เสื้อกราวด์เก่าๆ...กับเราสองคน ตอนที่ 1
สวัสดีคับเพื่อนๆ ผู้อ่านทุกคน…..
ผมไม่รู้เลยว่าผมจะ เริ่มต้นเรื่องราวของผมกับคนที่ผมรักได้ยังไง แต่เมื่อลองได้อ่านของเพื่อนๆแล้วผมเลยอยากลองเอาเรื่องราวของผมมาเล่าดู บ้าง เหตุผลที่ผมอยากทำอ่ะเหรอ กล้าบอกเลยว่า เพราะผมอยากให้คนบางคนได้มีโอกาสได้อ่าน เพราะผมเคยได้เห็นคนที่ผมรักแอบเขียนไดอารี่อยู่บ่อยๆ
แต่ผมไม่มีโอกาส ได้เปิดอ่านเลยซักครั้งเดียว ถ้าเจ้าตัวไม่บอกผมคงไม่รู้หรอกว่าเค้าเขียนถึงผมเพราะพอเขียนเสร็จเจ้าตัว ก็รีบเอากุญแจล็อคไว้เรียบร้อยหมดโอกาสที่ผมจะได้อ่านมันทันที….
…นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมมาอยู่ที่นี่
ตอนนี้แสงแดดตอนเช้าของเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กำลังดี สายหมอกตอนเช้าที่ขาวเป็นหย่อมๆตัดกับทิวสนที่ทอดยาวไปจนแทบสุดสายตา ผมบรรจงชงกาแฟ ที่เคยมีใครบางคนสอนผมเอาไว้ว่า ให้เอากาแฟชงกับน้ำร้อนก่อนที่จะใส่ครีม นม น้ำตาลตามลงไป แต่ไม่ลืมที่จะสั่งผมว่าอย่าใส่น้ำตาลเยอะเพราะมันจะอ้วน อย่าทานเกินสอง แก้วต่อวันเพราะจะทำให้ระบบประสาททำหนักกว่าที่ควรจะเป็นเสียงที่กึ่งบอก กึ่งดุยังดังในความรู้สึกผมอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงกาแฟ
เจ้าตัวไม่ใช่ใครที่ไหนเลย…
ภาพแรกที่ผมนึกถึงเจ้าของสูตรนี้คือ เด็กนักเรียนแพทย์ตัวเล็กๆ สูงซักประมาณ 168 ซ.ม. ได้ แต่น้ำหนักตอนนี้ผมชักจะไม่แน่ใจ เพราะพักหลังๆ มาเห็นบอกว่ากินเก่งเพราะต้องอยู่เวรดึกบ่อยๆ
แต่ก็เป็นคน ที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับผู้ชายวัยกลางคนอย่างผมที่สูง 187 ซ.ม. กับน้ำหนักตัวที่เกือบจะเป็นสองเท่าของคุณหมอตัวเล็กๆ ของผม
ผมหยิบ โทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วยิ้มให้กับรูปคนบนหน้าจอเล็กน้อย จะใครซะอีกล่ะหมอน้อยของผม ที่ทำหน้าตาบ้องแบ๊วอยู่หน้าจอนี่ไงที่ผมถ่ายไว้นานเกือบสองปีเห็นจะได้ ผมยิ้มให้กับเจ้าของรูปก่อนเปิดโทรศัพท์โทรกลับมาเมืองไทย ที่ตอนนี้คงได้เวลาเลิกเรียนเรียบร้อยแล้ว
“ว่าไงโย่ง ติ๊บยังกลับไม่ถึงห้องเลย อาจารย์หมอให้แปลผลแลบส่งวันนี้ด้วย ยังทำไม่ได้เลย แล้วนี่เป็นไงบ้างตื่นรึยัง อากาศหนาวมั้ย แต่งตัวไปเรียนรึยัง เมื่อคืนนอนห่มผ้ารึเปล่า แล้วว่าแต่เมื่อคืนได้อาบน้ำก่อนนอนรึเปล่าเห็นบอกว่าเมื่อคืนกลับดึก” ผมยิ้มเล็กน้อยกับคำถามของคนบางคนที่ผมไม่รู้ว่าจะเลือกตอบคำถามไหนก่อน
“จะตอบคำถามไหนก่อนดีอ่ะครับคุณหมออออ…” ผมแกล้งลากเสียงยาวกวนอารมณ์คนเล่น
“งั้น... ก็ไม่ต้องตอบเลย หมอเดาจากประวัติคนไข้ได้เลยว่า เมื่อคืนไม่ได้ห่มผ้า ถึงห่มก็ถีบออกแล้วที่สำคัญอาบน้ำแบบวิ่งผ่านใช่ม่ะ” โอโหหมอนี่ดูแม่นจริงๆ เลยน่ะคับ
“นี่คนเค้าเป็นหมอน่ะเค้ามีการศึกษาประวัติคนไข้ จะมาให้เป็นหมอดูซะแล้ว แล้วจะให้เป็นหมอผ่าศพด้วยเลยมั้ยพอดีจะฆ่าคนแถว นี้อยู่พอดี”
“โอ๋ๆๆ ล้อเล่นครับ คุณหมออย่าโกรธนะๆๆ เดี่ยวแก่หนักขึ้นไปอีก” ผมทำเสียงอ่อนเสียงหวานไปตามสายเดี่ยวเจ้าตัวจะโมโหขึ้นมาจริงๆ
“นี่กำลังดื่มกาแฟอยู่เดี่ยวก็จะออกไปเรียนแล้วล่ะ แล้วติ๊บละ” ผมเปลี่ยนสรรพนามให้ดูคุ้นเคย เพราะปกติผมจะเรียกเค้าว่า ติ๊บตลอด
“ก็เพิ่งลงเวรอ่ะ แต่อาจารย์หมอให้ส่งผลแลปวันนี้ด้วยอ่ะ ติ๊บยังทำไม่เสร็จเลยวันนี้มีหวัง กลับบ้านดึกแหงๆเลย” เจ้าตัวตอบผมมาพร้อมน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยจนรู้สึกได้
“ก็ค่อยๆ คิดไป อย่าเครียดมากนะจะยิ่งคิดไม่ออก หมู่นี้พี่ว่าติ๊บเครียดๆ ไปน่ะ” ผมออกอาการเป็นห่วงคนปลายสายอยู่พอสมควร
“คับผม ยังไม่ยอมเป็นบ้าหรอกน่า ยิ่งยังหาแฟนไม่ได้เลยน่ะ” เสียงเจ้าตัวดูร่าเริงขึ้น
“อ้าว ว้า//// แล้วพี่เป็นไรอ่ะไม่ใช่แฟนหรอกเหรอ”
“ไม่รู้ ไม่บอก” เสียงเจ้าตัวดูท่าจะเขินๆอยู่พอประมาณ นี่ถ้าผมอยู่ใกล้ๆ คงจับกอดให้แน่นๆ เหมือนที่เคยเล่นกันเป็นประจำ
“โย่งๆ เดี่ยวติ๊บทำงานก่อนน่ะ เพื่อนๆ เขาเร่งงานอยู่ ติ๊บก็ต้องทำงานเหมือนกันเอาไว้เย็นนี้ค่อยคุยกันใหม่แล้วกันน่ะ”
“แล้วจะนานแค่ไหนอ่ะ เดี่ยวพี่ต้องไปเรียนแล้วน่ะติ๊บ” ผมถามเพราะยังอยากคุยต่อก็คนมันคิดถึงนี่คับ
“ก็ประมาณสี่ทุ่มมั้ง ก็ไม่เป็นไรไม่ได้คุยวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้คุยอยู่ดีแหละ”
“โหย ใจร้าย ก็คนมันคิดถึงอ่ะ อุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาโทรหาแต่เช้า” ผมออกเสียงออดอ้อนขอความสงสารเต็มที่
“งั้นเดี่ยวติ๊บทำเสร็จ กลับถึงห้องจะโทรกลับมาหาแล้วกัน แต่ห้ามรับน่ะไม่งั้นงอน” ไม่วายที่เจ้าตัวจะใช้คำสั่งประกาศิตกับผมอีกครั้งนึง
“คับผม อย่าให้หมอที่ไหนมาจีบน่ะ พี่ห่วง หวงมากด้วย” ผมกำชับแบบที่ผมรู้สึกจริงๆ
“ไม่มีหรอกโย่ง บอกแล้วสเปคติ๊บอ่ะต้องเป็นหมอฟันแก่ๆ บ้าๆ หน่อย แถมหื่นกามด้วยน่ะ” เจ้าตัวทำเสียงคิกคักมาตามสาย ทำให้ผมอดยิ้มไปกับความมีอารมณ์ดีของเจ้าตัวไม่ได้
“งั้นรีบไปทำงานเหอะคับ ตั้งใจทำงานน่ะคับ คิดถึงพี่ด้วยน่ะคับ บาย” ผม วางโทรศัพท์แล้วก็อดคิดถึงคนที่อยู่เมืองไทยไม่ได้
ถ้าเป็นนิยายหรือละคร เค้าคงบอกว่านางเอกมีรูปพรรณสัณฐานยังไง แต่สำหรับติ๊บคนที่ผมรู้สึกดีคน นี้ ภาพที่ผมเห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คงเป็นแค่เด็กนักเรียนตัวเล็กกว่าผมพอสมควร ไม่ถึงกับอ้วนแต่ไม่ใช่คนผอม แน่ๆ ผิวขาวดูเนียนใสแบบเด็กแพทย์ทั่วไป แต่ที่แตกต่างจากคนอื่นควงเป็นแววตาใสๆ บ้องแบ๊ว ของว่าที่คุณหมอที่ไม่มีการบดบังจากแว่นตาเหมือนว่าที่คุณหมอคนอื่นๆ และจุดที่ผมชอบที่สุดคงเป็นปากเรียวๆ น่ารักๆ ของติ๊บนี่เอง
อันที่ จริง ชื่อโย่ง ของผมก็มาจากร่างกายของผมนี่แหละ ผมอาจจะไม่ใช่คนสูงมากแค่ 187 หากเป็นคนอื่นก็ปกติ แต่เมื่อมายืนกับว่าที่คุณหมอตัวเล็กๆ แบบนี้ผมก็กลายเป็นยักษ์ไปในทันที แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกผมชินแล้ว และรู้สึกว่าชอบที่จะให้ติ๊บเรียกแต่ถ้าคนอื่นเรียกผมแบบนี้คงจะไม่ปลื้มซักเท่าไหร่
ผมจิบกาแฟยามเช้าบนโต๊ะอ่านหนังสือที่หันหน้าออกไปทางหน้าต่างมองหมอกในตอน เช้าอย่างอารมณ์ดี พร้อมๆ กับการคิดถึงใครบางคน ผมจะเริ่มต้นเล่ายังไงดีให้ดูเป็นนักเขียนมืออาชีพกับเขาซักหน่อย เอาเป็น ว่าวันแรกที่ผมรู้จักกับเด็กคนนี้เลยแล้วกัน
ประมาณปี 46 เทศกาลรับน้องของมหาวิทยาลัย เริ่มครึกครื้นไปด้วยเสียงกลอง และเสียงเพลงของบรรดาพี่น้อง ในรั้วมหาวิทยาลัยสีเทา แสด อันที่จริงผม ไม่ได้เป็นเด็กในมหาวิทยาลัยนี้เลยด้วยซ้ำ และผมเองก็ไม่ได้เป็นคนพิษณุโลก ลูกสมเด็จพระนเรศวรแต่อย่างใด แต่อาจจะเป็นโชคชะตาหรือพรมลิขิต ที่ทำให้ผมต้องมาเป็นหมอฟันคนใหม่ ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่นี่
ผมเดินผ่านเสียงกลองและรุ่นน้องปีสองที่ มารอต้อนรับน้องปีหนึ่งที่หน้าคณะอย่างเร่งรีบ เพราะนี่ก็สายมากแล้วสำหรับการทำงานของผม เพราะเมื่อคืนกว่าจะมาถึงที่นี่กว่าจะเก็บของเสร็จก็เล่นเอาดึก ทั้งที่ตั้งใจจะไม่มาสายในการทำงานวันแรกเป็นอันขาด
“พี่ค่ะๆ รอหนูด้วยค่ะ” หญิงสาวร่างจ้ำม่ำที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังลิฟต์ก่อนที่ผมจะได้ทันกดปิดลิฟต์
“หนูชื่อกิ๊ก ค่ะเป็นทันตแพทย์มาทำงานที่นี่วันแรกค่ะ” เธอแนะนำตัวให้ผมรู้จัก
“อ้อไม่เป็นไรหรอกคับรุ่นเดียวกัน ผมไม้คับมาจากธรรมศาสตร์”
“แล้วกิ๊กมาจากไหนเหรอครับ” ผมเริ่มทำความรู้จักกับเธอ
“อ้อ หนูจบจากที่นี่แหละค่ะ อยู่ที่นี่มา 7 ปีแล้ว” เธอบ่นพร้อมทำหน้าเซ็งก่อนที่เราจะเดินเข้าห้องทำงาน
ผมมาอยู่ที่นี่แบบไม่รู้จักใครเลยนอกจากเพื่อนโรงเรียนเก่าของผมไอ้วิทย์ ที่มันเป็นธุระเรื่องจัดหาหอพักให้ผมแบบราคาถูกแถมดีแบบไม่น่าเชื่อ อาจจะเป็นเพราะที่นี่คือพิษณุโลกไม่ใช่กรุงเทพฯ ที่เงินสามพันสามารถเปลี่ยนเป็นที่พักผ่อนเป็นหอพักชั้นดีแตกต่างจากใน กรุงเทพฯที่ห้องแบบนี้ไม่ต่ำกว่าห้าพันบาทต่อเดือนเป็นแน่
“ไม้ๆ เปิดประตูให้กูหน่อยดิว่ะ” ไอ้วิทย์มาเคาะเรียกผมอยู่หน้าประตูห้องในตอนสี่ทุ่มเศษๆ
“มีไรของมึง มาเคาะเอาป่านนี้ว่ะ”
“มึงไปในเมืองเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ กูต้องไปรับเพื่อนของน้องรหัสกู” มันบอกผมแบบรีบร้อน
“ตอนนี้มาถึงขนส่งในเมืองแล้วว่ะ แต่มอเตอร์ไซด์กูมันไม่ค่อยดีว่ะ เลยจะมาให้มึงพาไป”
“โอเค ได้ๆ รอแป๊บนึงกูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ผมบอกมันก่อนที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ถึงมันจะเป็นเพื่อนกันก็เหอะแต่ถ้ามาแก้ผ้าให้ทันเห็นผมก็ยังอายอยู่ดี
“น้องเค้าเป็นเพื่อนกะน้องรหัสกู แต่ว่าเป็นเด็กซิ่วมาที่นี่แล้วเค้าไม่รู้จักใคร น้องรหัสกูเลยขอร้องให้กูช่วย กูก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง” มันสาธยายให้ผมฟัง
หลังจากผมซักถามเหตุผลที่มันต้องกุลีกุจอไปเร่งรัดผมให้ ขับรถจากมหาวิทยาลัยมาในเมืองก็ประมาณ 16 กิโลเมตร แต่โชคดีที่ผมเอาแจสสีแดงคู่ใจที่แม่เพิ่งถอยให้ใหม่มาใช้ที่นี่ด้วย เลยได้พามันมาถึงในเมืองในเวลาไม่กี่นาที
“สวัสดีคับ พี่วิทย์ป่าวคับ” เสียงของเด็กหนุ่มอายุ 18 ที่ถามเจ้าวิทย์ที่กึ่งนั่งกึ่งหลับอยู่ในขนส่ง
“คับผม พี่…วิทย์คับ น้อง…..” ไอ้วิทย์เว้นช่องว่างให้น้องตอบ
“กะติ๊บคับ แต่พี่เรียกสั้นๆว่า ติ๊บเฉยๆ ก็ได้คับ”
“เชิญคับ รถพี่จอดทางนี้คับ” เจ้าวิทย์เชิญน้องกลับพร้อมหิ้วกระเป๋าใบเขื่องไปที่รถของผมซึ่งจอดรออยู่ทางด้านข้างสถานีขนส่งทันที
“นี่เพื่อนพี่คับ ชื่อไม้ เป็นทันตแพทย์อยู่ที่นี่”
“สวัสดีคับพี่ไม้” ติ๊บไหว้ผมอย่างมีมารยาท เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตดูเผินๆ ว่าเด็กน้อยคนนี้เค้าก็ดูน่ารักดี แต่จะให้ผมแอบมองจังๆ คงน่าเกลียดตายได้แต่ขับรถไปแอบมองไป หน้าน้องคนนี้แบบว่าคุ้นมากแต่ผมก็ยังนึกไม่ได้อยู่ดีว่าเคยเจอที่ไหน
“ติ๊บเป็นคนที่ไหนเหรอคับ” ผมถามเพราะอยากรู้แกมอยากคุยด้วยแหละจะได้ไม่ง่วง
“เป็นคนนครพนมคับ” ติ๊บตอบ
“พี่นึกว่าเป็นคนเหนือซะอีก เห็นผิวขาวๆ”
“อ้อ คนนครพนมจะผิวแบบนี้กันแทบทุกคนแหละคับ ไม่ใช่คนเหนือหรอกคับ เค้าเรียกว่า แกว”
“อะไรคือแกวคับ” ผมถามเพราะอยากรู้อีกรอบ
“ก็เป็นคนเผ่าหนึ่งที่อยู่ในประเทศลาวแล้วก็เวียดนาม แล้วก็มีบางส่วนอยู่ที่นครพนมคับ ตัวจะขาวๆ แบบนี้ทุกคนแหละ”
“ไม่หรอก ขาวๆ แบบนี้ไงถึงได้สอบแพทย์ติด” ไอ้วิทย์เอ่ยขึ้นมาบ้างพร้อมเรียกเสียงหัวเราะจากผมและติ๊บแก้ง่วงชั่วขณะ
“แล้วหิวข้าวมั้ยคับ” ผมถามเพราะเริ่มจะหิวแล้ว
“ก็ ไม่ค่อยหิวคับ พอดีรถที่ติ๊บนั่งมาเค้ามีให้แวะทานอาหารตั้งแต่ตอนสองทุ่มแล้ว แล้วพี่ วิทย์กะพี่ไม้หิวมั้ยคับ จะแวะทานอะไรก่อนก็ได้น่ะ แล้วค่อยไปหาโรงแรมที่พักให้ติ๊บก็ได้”
“ไม่ต้องพักโรงแรมไหนหรอกคับ พักที่ห้องพี่ก็ได้จะได้ไม่เปลืองตังค์” ไอ้วิทย์ออกตัว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ติ๊บเกรงใจแค่ที่พี่วิทย์กับพี่ไม้มารับตอนห้าทุ่มแบบนี้ติ๊บก็เกรงใจแย่แล้วคับ”
“ไม่ ต้องคิดแบบนั้นหรอกติ๊บ เดี่ยวยายปอน้องรหัสพี่มันจะมาว่าพี่ได้ว่าดูแลติ๊บไม่ดีแล้วอีกอย่างถ้า ติ๊บพักที่อื่นแล้วพรุ่งนี้จะไปตรวจร่างกายยังไง ต้องนั่งรถเข้าเมืองน่ะ ไม่มีรถมอเตอร์ไซด์ต้องเดินมาขึ้นรถเมล์ตั้งไกล”
“ไม่เป็นไรคับติ๊บเดินได้” ติ๊บยังยืนยันจะไปพักโรงแรมให้ได้
“พรุ่งนี้พี่มีธุระต้องเข้ามาในเมืองพอดีคับ ติ๊บพักกะวิทย์มันก็ได้พรุ่งนี้ค่อยติดรถมาในเมืองกะพี่ ที่ทางก็ยังไม่รู้จะมาถูกได้ยังไง” ผมถามแกมออกคำสั่งจนเจ้าตัวต้องนั่งนิ่งแล้วยอมรับแต่โดยดี
“งั้นต้องรบกวนพี่ไม้แล้วล่ะคับ” ติ๊บบอกผมก่อนรถจะเลี้ยวเข้ามาสู่มหาวิทยาลัยเพราะหอพักของผมอยู่ทางด้านหลังมหาวิทยาลัย
“ไม่เป็นไรคับ คิดซะว่าพี่น้องกัน” ผมบอกติ๊บก่อนจะพากันขึ้นห้องแล้วผมหลับใหลไปอย่างอ่อนแรงในที่สุด
TBC...