ตอนที่ 126 น้ำครึ่งแก้ว
ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนและรู้สึกว่าหัวของผมเช้านี้มันช่างหนักซะเหลือเกิน กว่าจะชะโงกคอให้พ้นผ้าห่มขึ้นมาชำเลืองดูนาฬิกาข้างฝาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าเข้าไปแล้ว
ผมมองไปรอบห้องที่ยังพอนึกออกว่าเมื่อคืนได้พานายเบสมาพักค้างที่ห้องด้วย แต่ตอนนี้ผมไม่ปรากฏร่างนายเบสอยู่ที่ห้องแต่อย่างใด มันกลับไปตอนไหนวะเนี่ยยย
ผมเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำอาบท่าขจัดอาการเมาค้างออกไปจากร่างกายด้วยน้ำผลไม้ ในตู้เย็นและความสดชื่อนจากการอาบน้ำ จึงพอเรียกสติกลับมาเป็นนายไม้ปกติคนเดิมได้
ผมเดินไปเปิดตู้ เย็นหาอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปไปเข้าไมโครเวฟ เพื่อหาอะไรรองท้องซักหน่อยเพราะวันนี้คงไม่ออกไปไหนแล้ว ก่อนเดินไปหยิบมือถือบนหัวเตียงขึ้นมาดู
อ้าว ซวยแล้วงานนี้สายเรียกเข้าจากเจ้าตัวเล็กเกือบจะสิบสาย
ผมยกโทรศัพท์กดออกเบอร์โทรล่าสุดทันที
“หายไปไหนมาอะ โทรไปตั้งแต่เช้าก็ไม่รับวันหยุดไม่ใช่เหรอวันนี้” เสียงเจ้าตัวเล็กเอ่ยถามมาตามสายทันทีที่กดรับ
“พอดีมึนๆอะ เมื่อคืนไปเที่ยวกะเพื่อนๆมา”
“อ้าว หนีเที่ยวหรอกเหรอ แอบหิ้วใครกลับมาห้องป่าวเนี่ยยย” เจ้าตัวเล็กถามกระเซ้าแหย่กลับมา
“หิ้วมาด้วยหนึ่งคน แต่พอตื่นมาก็หนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
ผมตอบไปตามตรง
“จริงเหรอ หิ้วใครมาด้วยจริงเหรอ”
ติ๊บถามเหมือนคนไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นั่นแหละผมจึงขำน้อยๆก่อนตอบไปตามเรื่องจริงที่เกิดขึ้นให้ฟังเมื่อวาน
“อ๋อ น้องเบสก็แล้วไป ไม่มีไรเกินเลยก็ดีแล้ว ที่น้องเขาไม่ได้มาที่นี่ด้วยเพราะพวกติ๊บมากันแค่เพื่อนๆ เขาคงจะเห็นว่ามาก็ไม่รู้จักใครนอกจากติ๊บกับบอยแหละมั้งเลยไม่ได้มาด้วย”
“แล้วเป็นไงบ้างเที่ยวสนุกมั้ยวันนี้อยู่ที่ไหนแล้วเนี่ย” ผมถามไปด้วยความเป็นห่วง
“ตอนนี้เที่ยวกันเรียบร้อย ครบตามโปรแกรมที่วางแผนกันเรียบร้อยหมดแล้วกำลังแวะเข้ามาที่บ้านบอยพอดีแม่ บอยทำขนมจีนไว้เลี้ยงอะ แถมมีขนมถ้วยอร่อยๆ อีกอะ ไม่อยากกลับเลยเชียวละ”
“โห กลับมาเหอะพี่คิดถึงแย่แล้ว” ผมหยอดคำหวานไปตามสาย
“ติ๊บก็คิดถึงพี่ไม้เหมือนกัน แต่ติ๊บคิดถึงขนมถ้วยฝีมือแม่บอยมากกว่าอ่ะตอนนี้อร่อยมาก ไปกินก่อนน่ะเดี๋ยวเพื่อนๆแย่งติ๊บกินหมดเดี๋ยวกินไม่ทันคนอื่น” ติ๊บบอกก่อนตัดบทวางสายไปโดยไม่ทันให้ผมได้ล่ำลา หรือหยอดคำหวานเพิ่มไปจากเดิม
เฮ้อออ เห็นคนของกินสำคัญกว่าผมทุกทีทีซิน่า
พลบ ค่ำเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นอีกครั้งจากการโทรเข้ามาของเจ้าตัวเล็ก แน่นอนว่าคงเดินทางกลับกันมาเรียบร้อยแล้วและที่โทรมาคงโทรตามให้ผมไปรับที่ หน้ามหาวิทยาลัยแน่นอน
ไม่กี่นาทีหลังจากวางสาย ผมพารถคู่ใจมาจอดหน้ามหาวิทยาลัยในขณะที่พวกเด็กยืนรอและบางส่วนก็เริ่มทอยกันกลับที่พักเพื่อพักผ่อนในช่วงเย็นของวันเพื่อเอาแรงในการเรียนที่กำลัง จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก
เจ้าตัวเล็กเดินหิ้วกระเป๋าเป้เดิน ตรงมาที่รถทันทีที่ส่งเพื่อนๆคนอื่นขับมอเตอร์ไซด์กลับหอพักเรียบร้อยแล้ว ก่อนเปิดประตูรถเข้ามายิ้มหน้าบานให้ผมเห็น
“เป็นไงบ้างสนุกมั้ย” ผมเอ่ยถามขึ้นพร้อมยื่นมือไปขยี้หัวฟูรับขวัญการกลับมาของเจ้าตัวเล็ก
“สนุกดีถ้าไม่ติดว่าเป็นหน้าฝนน่ะ เลยสนุกแบบเฉอะแฉะนิดหน่อย” เจ้าตัวเล็กตอบยิ้มๆ
“แล้วคิดถึงพี่ป่าวอะ” ผมหันไปจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กจริงจังก่อนส่งสายตาโลมเลียหน้าขาวๆนั้น
“อะไรไม่เจอกันแค่วันสองวันเอง” เจ้าตัวเล็กหันมาทำหน้าเหรอหราตาโต
“ก็พี่คิดถึงนี่นา อยากรู้ว่าติ๊บจะคิดถึงพี่หรือเปล่า” ผมตอบพร้อมเอื้อมมือไปจับมือเล็กเข้าเกียร์รถออกไปหาอะไรกินในช่วงค่ำของวัน
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าวันนี้” ผมหันมาถามเจ้าตัวเล็กที่นั่งเงียบมาตลอดทาง
“กินอะไรง่ายๆดีกว่า พอดีติ๊บยังอิ่มขนมจีนกะขนมถ้วยเมื่อกลางวันอยู่เลย แล้วตัวเองหิวอะไรหรือเปล่า วันนี้ได้กินอะไรไปหรือยัง” ติ๊บถามผมกลับมาและน้ำเสียงนั้นถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยได้เป็นอย่างดีจนผมรู้สึกได้
แทนคำขอบคุณผมดึงมือบางๆที่ผมเกาะกุมอยู่ที่กระปุกเกียร์ขึ้นมาหอมเบาๆหนึ่งที ก่อนพาเจ้าตัวเล็กเลี้ยวรถเข้าไปจอดยังร้านอาหารที่มีไอศกรีมและเครื่อง ดื่มๆเย็นไว้บริการด้วยซึ่งอยู่ตรงข้ามหอพักของผมนี่เอง
วันนี้เจ้าตัวเล็กทานข้าวได้ไม่เยอะ เพราะคงยังอิ่มจากมื้อเที่ยงที่เล่นตุนอาหารไว้เยอะ ส่วนผมก็เอร็ดอร่อยไปตามประสาเพราะมื้อกลางวันก็ไม่ได้กินไรมากไปกว่าอาหาร สำเร็จรูปจากตู้เย็น
ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ฟังเจ้าตัวเล็กเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานออกรสออกชาติ จนผมต้องมองค้อนขวับๆเพราะรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กจะเล่าเสียงดังขึ้นทุกทีๆจน โต๊ะข้างๆหันมามองบ่อยๆ
นี่ถ้าหน้าตาไม่ดีจริงคงถูกโต๊ะข้างๆเขม่นไปแล้วนะเนี่ย
หลังจากที่เราจัดการอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยและฟังเจ้าตัวเล็กบอกเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานและออกรสชาติเต็มที่แล้ว ผมก็พาเจ้าตัวเล็กกลับหอพักเพื่อเก็บเรี่ยวแรงไว้ในการทำงานของผม และการเริ่มเรียนในเทอมใหม่ของเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะมาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น
“วันพรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วเตรียมตัวพร้อมหรือยังเนี่ย มีไรขาดเหลือหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กหลังจากเราสองคนเดินกลับมาถึงห้องและเจ้าตัวเล็กจัดการ กับกระเป๋าสะพายที่ใส่เสื้อผ้าไปเที่ยวในช่วงสองวันนี้
“ก็ไม่มีไรแล้วละคับ แค่ทำหน้าตาดีๆไปเรียนก็ไปแล้ว” เจ้าตัวเล็กตอบติดตลกกลับมาก่อนหันหน้าพยักเพยิดให้เห็นความน่ารักของตัว เอง
“เทอมนี้ก็เป็นเทอมสุดท้ายแล้วซิที่ติ๊บจะได้เรียนที่นี่”
“ใช่แล้ว เปิดเทอมหน้าก็เข้าไปอยู่โรงบาลพุทธแล้วใส่เสื้อกาวน์ เดินว่อนในโรงบาลแล้ว” ติ๊บตอบกลับมา
ขออธิบายเรื่องการเรียนของนิสิตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้กันซักนิดหน่อย เท่าที่ผมรู้คร่าวๆ แล้วกัน ช่วงปีหนึ่งถึงปีสามเด็กแพทย์จะเรียนร่วมกับคณะอื่นๆ ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในเขตนอกตัวเมือง พอขึ้นชั้นปีที่สี่ นิสิตแพทย์ก็จะถูกย้ายไปเรียนยังโรงพยาบาลพุทธชินราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง และก็มีนิสิตแพทย์บางส่วนที่ไปอยู่โรงพยาบาลที่เป็นเขตรับผิดชอบร่วมกับ ทางมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับโรงพยาบาลพุทธชินราชแต่อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่ามี โรงพยาบาลไหนบ้าง ก็อย่างเช่นอุตรดิตถ์ พิจิตร เป็นต้น
ส่วนหมอติ๊บ เนื่องจากไม่ได้เป็นเด็กในภูมิภาคจึงไม่ต้องกลับไปฝึกยังจังหวัดที่เป็นต้นสังกัดของตนเอง จึงต้องฝึกอยู่ที่โรงพยาบาลพุทธชินราชในชั้นปีที่ 4 – 6
“ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย แบบนี้เวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันก็ใกล้หมดลงแล้วอะดิ”
ผมแกล้งทำหน้าจ๋อยๆเดินไปโอบเอวบางจากด้านหลัง
“ก็อย่าคิดอย่างงั้นซิ พี่ไม้ชอบคิดในแง่ที่ทำให้รู้สึกว่าติดลบ” เจ้าตัวมองค้อนกลับมา
“คิดติดลบยังไงเหรอ”
ผมถามด้วยอาการงงๆ
“ก็พี่ไม้ชอบคิดว่าการที่เราจะจากกันในเดือนกุมภาที่จะถึงนี้ มันใกล้เข้ามาทำให้เวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันสั้นลงทุกที มันก็รู้สึกว่าติดลบ แต่ถ้าคนที่คิดบวกก็จะได้คิดว่าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกตั้งนานจนถึงเดือนกุมภาโน่นแน่ะ ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะแยะจะได้ทำสิ่งดีๆให้กันมากๆ
รู้คุณค่าของวันเวลา และที่สำคัญเราจากกันเร็วก็หมายถึงว่าเราจะได้กลับมาพบกันเร็วๆด้วย
พี่ไม้ไปเร็วก็จบเร็ว กลับมาเร็ว ก็จะได้มาใช้ชีวิตด้วยกันเร็วๆไง” ติ๊บตอบยิ้มก่อนหันมาสบตาผมและนั่นทำให้ผมยิ้มได้กับการมองโลกในแง่ดีของ ติ๊บมาเสมอ
“ติ๊บจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือมาเล่มนึง เขาบอกว่า ถ้าเรามีน้ำหนึ่งแก้วแล้วดื่มน้ำในแก้วไปแล้วครึ่งนึง เราก็จะคิดได้สองแบบ”
“คนประเภทแรก จะบอกว่าน้ำเหลือแค่ครึ่งแก้ว ใกล้จะหมดแล้ว คือคนประเภทนี้จะมองถึงสิ่งที่มีอยู่และหวาดกลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น คือกลัวว่าน้ำจะหมดแก้ว คิดแล้วทำให้ใจวุ่นวายไม่มีความสุข
คนประเภทที่สอง จะบอกว่ามีน้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว ยังโชคดีที่น้ำไม่ได้หมดไปยังมีน้ำเหลือให้ใช้ประโยชน์อีกตั้งครึ่งแก้ว เมื่อคิดว่ายังมีน้ำเหลืออีกตั้งครึ่งแก้วก็จะไม่คาดการณ์ไปล่วงหน้าว่าน้ำ จะหมดแก้วแล้ว จิตใจก็จะไม่วุ่นวายเพราะเขาเลือกที่จะมองในแง่ของความคิดบวก”
“อืมมม คร้าบบบบ”
ผมรับคำก่อนหอมแก้มฟอดใหญ่ไปหนึ่งที กะว่าจะคิดบัญชีที่หายไปสองวันแต่พอเจอปรัชญาเข้าไปเลยพาเจ้าตัวเล็กเข้านอน ดีกว่า คงเหนื่อยมาทั้งวันละ
เป็นไงครับความคิดความอ่านของแฟนผม เกินตัวไปมั้ย
แต่ ผมก็ชอบนะเพราะผมไม่เคยเห็นติ๊บวิตกกังวลกับหลายๆปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่า ปัญหาจะยิ่งใหญ่มากน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะผมมักจะได้ยินติ๊บบอกและปลอบใจผมเสมอๆเวลาที่เจอปัญหา ด้วยเหตุผลและถ้อยคำเดิมๆว่า
“ก็ยังดีที่………………….”
และจบท้ายด้วยประโยคเดิมๆ
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วมันย่อมงดงามเสมอ อยู่ที่เราจะเลือกมองมุนจากมุมไหนเท่านั้นเอง”
มิสเตอร์ไม้ เขียน