เสื้อกาวน์เก่าๆ.......กับเราสองคน ตอนที่ 120 หมอติ๊บกลับมาแล้วววโดย Dr.Mike ณ วันที่ 16 กันยายน 2010 เวลา 20:35 น.
กลางเดือนตุลาคม หัวใจผมเต้นตูมตามและพองโตด้วยความดีใจ เมื่อ ได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กออดอ้อนมาตามสายว่าจะเดินทางกลับมาเย็นนี้และพูดจา ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนให้ผมไปรับที่ขนส่งในตัวจังหวัดเอาในตอนเกือบๆเที่ยง คืน
วันนี้ผมจึงทำงานด้วยความตื่นเต้นและเฝ้ารอเวลาให้ถึงเวลานัดกันอย่างเร็วที่สุด การรอคอยจะได้สิ้นสุดลงเสียทีเพราะผมเฝ้ารอการกลับมาของเจ้าตัวเล็กร่วมสอง อาทิตย์แล้ว แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลับมาแต่ความคิดถึงมันท่วมท้นเอาเสีย เหลือเกิน พาลให้วิตกจริตไปเลยทีเดียวเมื่อนึกถึงคราวที่เราจะต้องห่างกันแสนไกลในอนาคตอันใกล้ ผมจะอยู่ได้อย่างไรกันหนอนี่
''เป็นอะไรหมอไม้ยิ้มทังวัน” เสียงหมอกิ๊กเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้เวลาพักวางมือจากการทำงานไปรับประทานอาหารในช่วงเที่ยงวัน
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบหมอกิ๊กแต่ก็ยังไม่ไม่หยุดเผยรอยยิ้มกว้างๆให้หมอกิ๊กได้งุนงง
“หรือว่า เย็นนี้มีข่าวดีอะไรหรือเปล่าบอกมานะ”
“ไม่มี๊” ผมตอบเสียงสูงปรี๊ด
“ฮั่นแน่ แฟนจะกลับมาละซิ ยิ้มหน้าบานแบบนี้” หมอกิ๊กเดินมากระแซะข้างๆตัวผม เขินแฮะ
“อืมม ไปกินข้าวกันเหอะเที่ยงละ อย่ามัวแซวกันอยู่เลย” ผมตัดบทก่อนเดินลากหมอกิ๊กไปยังโรงอาหารด้านหลังโรงพยาบาล
เมื่อ ได้ที่นั่งและได้อาหารเที่ยงตามชอบของแต่ละคนแล้วผมกับหมอกิ๊กก็จัดการอาหาร เที่ยงกันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนตบท้ายด้วยไอติมสำหรับเราสองคน
“หมอไม้ ถามอะไรหน่อยซิ” กิ๊กหันมาถามผมหน้าตาจริงจัง
“อืม มีอะไรเหรอ” ผมรับคำก่อนหันไปตักไอติมเข้าปากพร้อมด้วยความคิดถึงเจ้าตัวเล็กที่ชื่นชอบไอติมเสียเหลือเกิน
“หมอไม้ คบกับน้องติ๊บนี่คบกันจริงจังป่าวอะ หรือว่าเล่นๆ ตามกระแสแฟชั่น” กิ๊กพูดจบก็ทำเอาผมหยุดชะงักกับคำถามของเธอทันที
“ก็ไม่รู้อะ ดูๆกันไปใช่ก็คบกันต่อ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องยอมรับอะ” ผมตอบกิ๊กไปแบบนั้นแต่ในใจนี่สิ มันกลับคิดสวนทางกับคำตอบที่ให้หมอกิ๊กไปเล็กน้อย คบมาจะสามปีขนาดนี้ คิดถึงขนาดนี้ รักมากขนาดนี้ยังจะให้ตอบว่าไม่จริงจังได้อีกเหรอ
“งั้นเราขอถามกิ๊กมั่งดิ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อนสาวคนสวยที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เมื่อไหร่กิ๊กจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักทีล่ะ” ผมถามจริงจังมากๆ
“แหม หมอไม้จะไปรู้อะไร บางทีเราอาจจะมีคนที่คบๆ อยู่แล้วก็ได้แต่ปิดข่าวไม่ให้ไม้ได้รู้”
“โห ใครวะ” ผมถามจริงจังหนักขึ้นไปอีก
“ไม่รู้ว่ะ พูดเผื่อๆไว้แต่ตอนนี้มันยังไม่มีเท่านั้นเอง แต่หมอไม้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ สวยๆอย่างชั้นนี่ใครๆก็หมายปอง ขึ้นอยู่ที่ว่าชั้นจะเลือกใครมากกว่า” เอากับเธอซิ พอได้รับคำตอบของหมอกิ๊กเข้าไปผมถึงกับส่ายหัวในความมั่นใจในความสวยของเธอเลยทีเดียว สวยจริงๆเพื่อนผมคนนี้
และ หลังจากทานไอติมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่เราสองคนจะต้องกลับไปทำงาน กันต่อในช่วงบ่าย ซึ่งผมเองก็มีงานรออยู่อีกไม่น้อยในช่วงบ่ายของวัน…
แต่ เมื่อกลับมาทำงานผมก็ต้องพบกับความแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบว่ามีหนึ่งบุคคลที่ ผมไม่ค่อยอยากพบอยากเจอมันซักเท่าไหร่นั่งรออยู่หน้าเค้าท์เตอร์ และผมเองก็เลี่ยงไม่ได้เสียด้วยที่จะต้องสนทนากับบุคคลดังกล่าว
“อ้าวพี่ไม้หวัดดีครับ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายลุกขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ทักทายผม
“หวัดดีครับ มาทำไรอ่ะเราวันนี้”
“พอดีผมว่าจะมาให้พี่ไม้ฟัน เอ้ย ขอฟันพี่ไม้ เอ้ยให้พี่ไม้ตรวจฟันให้หน่อยอ่ะคับ” ดูท่าทางเหมือนมันจะมาเล่นซิทคอมมากกว่ามาให้ผมตรวจฟันให้นะนี่
“งั้นเบสนั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ขอทำคนไข้อีกคนนึงพอดีเขามารอแต่เช้าแล้ว”
จะว่าโชคดีก็เป็นโชคดีของนายเบส ที่คนไข้รายก่อนหน้านั้นแค่มาถอนฟัน ผมจึงใช้เวลาไม่นานในการทำคนไข้คนก่อนหน้า แต่ก็คงเป็นโชคร้ายของนายเบสที่ดันมาเจอหมออย่างผม ผมเลยแกล้งทำงานอื่นที่คั่งค้างไว้ก่อนหน้านี้จนเสร็จเรียบร้อยจึงเรียกนาย เบสหน้าหล่อนั่นเข้าไปทำฟัน
“พอดีพี่บอยแนะนำมาอะคับ ว่าให้มาทำกับพี่ไม้เพราะพี่ไม้ทำฟันเก่งมาก” ไม่ทันได้ทำไรนายเบสที่นั่งลงบนยูนิตทำฟันก็จ้อขึ้นมาทันที
“พี่ว่าแล้วเชียว คราวก่อนพี่ทำให้นายบอยไปหลายชั่วโมงไม่เมื่อยเหรอวะมาบอกว่าพี่ทำดีอีก”
“ไม่รู้เหมือนกันคับพี่ เขาบอกให้มาผมก็มา พี่ไม้อย่าแกล้งทำนานแล้วกันนะ ผมขี้เมื่อย” อ้าว ไอ้นี่ออกคำสั่งหมอซะงั้น เดี๋ยวได้โยนเครื่องมือให้ทำเองเลยดีมั้ยนี่
ก่อนที่นายเบสจะพูดพล่าม ไปมากกว่านี้ผมปรับยูนิตทำฟันลงให้อยู่ในแนวถนัดและให้คนไข้ได้นอนสบายๆบน ยูนิตนุ่มๆ แต่ความสูงของมันก็เป็นปัญหาสำหรับผมไม่น้อยเพราะมันออกจะเกินระยะถนัดของผม อยู่ไม่น้อย ผมสั่งให้นายเบสถอยตัวลงนิดหน่อยก่อนจัดการคลุมหน้าหล่อของมันด้วยผ้าสีม่วง และเว้นช่องไว้ให้เฉพาะช่วงปากเท่านั้น
เมื่อผมตรวจฟันของนายเบสเป็น ที่เรียบร้อยแล้วก็ไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ นอกจากอาการเสียวฟันที่เจ้าตัวบ่นว่ามีเมื่อดื่มน้ำเย็นๆหรือไอศกรีม ดีแล้วปล่อยให้มันเสียวต่อไป จะได้ไม่กล้าชวนหมอติ๊บไปกินไอติม ความคิดชั่วร้ายแว๊บเข้ามาในสมอง
แต่ไม่ดีกว่า แกเป็นหมอนะไม้รักษาจรรยาบรรณหน่อย ความคิดด้านดีในสมองค้านขึ้นมา และสุดท้ายก็จบลงด้วยการทายาแก้เสียวให้ไปก่อน หากมีอาการอีกคราวหน้าคงต้องเอ๊กซเรย์ดูเผื่อมีฟันที่ผุซ่อนอยู่ด้านใน
“เดี๋ยววันนี้พี่ทายาแก้เสียวให้ไปก่อนเพราะดูแล้วไม่มีฟันผุ ไม่มีหินปูนพี่เลยไม่ได้ทำไรให้แต่อาจมีปัญหาจากเหงือกร่นนิดหน่อย อย่าแปรงฟันแรงมากแล้วกัน” ผมสั่งกำชับก่อนเก็บผ้าและอุปกรณ์ทำฟันส่งให้ผู้ช่วย
“พอดีผมชอบทำแรงๆอะคับพี่ จะได้เสียวๆ” เอากับมันซิไอ้เด็กคนนี้พูดจาพร้อมกับทำหน้าทะเล้นมาทางผมซะงั้น
“งั้นถ้าเสียวมาคราวหน้าพี่ก็ไม่ทายาให้แล้วนะ ถ้าชอบเสียวๆ” ผมตอบห้วนๆกลับไป
“เสียวอย่างอื่นพอว่าครับ แต่เสียวฟันนี่ไม่ไหว ทรมาน” นายเบสบอกพลางกุมหน้าหล่อๆของมันไว้ คงจะเมื่อยน่าดูเพราะผมเล่นทายาแก้เสียวให้แบบพิถีพิถันเป็นพิเศษ จะได้อ้าปากนานๆ
“ทะลึ่งใหญ่ละ เรียบร้อยแล้วกลับไปเรียนต่อได้แล้วเดี๋ยวพี่มีคนไข้คนอื่นต่อ” ผมเริ่มจะออกเสียงดุดันกับไอ้เด็กที่ผมเดาใจมันไม่ถูกว่าจะมาแนวไหน
“แล้วว่าแต่พี่ติ๊บกลับบ้าน จะกลับมาวันไหนเหรอพี่” ไอ้เบสยังไม่วายยื่นคำถามก่อนลุกออกจากยูนิตทำฟัน
“ไม่รู้เหมือนกัน พี่ไม่ได้คุยกันหลายวันแล้ว” ผมแกล้งตอบทั้งที่ใจจริงคุยกันทุกคืนแต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าผมจะ ต้องบอกรายละเอียดให้มันมาเกาะแกะเจ้าตัวเล็กเลยนี่
“ไม่ได้คุยกันแสดงว่าใกล้เลิกกันแล้วใช่มั้ยพี่ เลิกกันเมื่อไหร่บอกนะผมรอเสียบ” ไอ้ เบสสื่อความหมายสองแง่สามง่ามก่อนรีบวิ่งผลุนผลันออกไปก่อนที่ขายาวๆ ของผมจะ ฟาดลงที่ร่างกายมันซักแห่งแน่ๆถ้าอยู่นานกว่านี้ กวนประสาทผมต่อไปอีกนิดได้โดนดีเป็นแน่…
หลังจากเสร็จคนไข้คนสุดท้ายในช่วงเย็นของวันแล้วผมก็รีบกลับห้องอาบน้ำแต่งตัวเสียตั้งแต่หัว ค่ำ จนออกมาหล่อลากกกกกกก ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรแค่จะไปรับเจ้าตัวเล็กที่ขนส่งในช่วงเที่ยงคืนแต่นี่ หัวค่ำอยู่เลยผมก็แต่งตัวมาทำหน้าหล่ออยู่หน้ากระจกเรียบร้อยแล้ว ยังกะเป็นวัยรุ่นนัดเดทคราวแรกเลยวุ้ยยย
สองทุ่มผ่านไป กับการแต่งหล่ออยู่หน้ากระจกแม้ความหล่อจะมีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เหอะ
สามทุ่มผ่านไป กับการจัดห้องรอคอยการมาถึงห้องของใครบางคน
สี่ทุ่มผ่านไป กับการเหงื่อแตกเพราะจัดห้องเลยต้องอาบน้ำใหม่ แล้วผมจะแต่งหล่อไปตั้งแต่หัวค่ำทำไมว่ะเนี่ยยย….
ห้าทุ่มผ่านไป กับการนั่งรอการมาถึงของคนหนึ่งคนท่ารถขนส่งในเมืองพิษณุโลก
เที่ยงคืนผ่านไป กับการคิดถึงวันวานครั้งแรกเมื่อเจอกับเจ้าตัวเล็กที่นี่เมื่อสองสามปีก่อน
ทำไมอารมณ์ตอนนี้มันตื่นเต้น ใจเต้นโครมครามกว่าเมื่อคราวก่อนเยอะเลยละ
เที่ยงคืนเศษๆ รถปรับอากาศนครพนม – เชียงรายก็เข้าเทียบท่ารถพร้อมกับพาดวงใจของผมกลับมาด้วย
เจ้า ตัวเล็กเดินลงมาจากรถด้วยชุดสบายๆ แต่ตาปรือๆไม่บอกก็รู้ว่าคงหลับในรถมานานพอสมควร ผมเดินไปรับกระเป๋าจากเจ้าตัวเล็กที่เดินก้าวลงมาจากรถอย่างสลึมสลือ ขยี้หูขยี้ตาเป็นการใหญ่ ผมหัวเราะให้กับภาพที่ได้เห็นก่อนเดินลากแขนเจ้าตัวเล็กมานั่งยังที่พักผู้ โดยสารก่อนเดินไปซื้อผ้าเย็นให้เช็ดหน้าเช็ดตาจะได้หายจากอาการง่วงเหงาหาว นอนขึ้นมาบ้าง
“ทำไมลงรถมาสภาพอย่างงี้ละ” ผมเอ่ยถามพร้อมกับใช้ผ้าเย็นเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอให้เจ้าตัวรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“ไม่รู้เหมือนกันตั้งแต่รถออกมาจากเมืองเลยแล้วติ๊บก็หลับมาแบบไม่รู้เรื่อง นี่แหละ ดีนะที่ไม่หลับจนเลยขนส่งไปถึงเชียงราย” เจ้าตัวเล็กตอบก่อนหาวกว้างๆออกมาให้เห็นถึงความง่วง
“งั้นก็กลับกันเถอะจะได้รีบกลับไปนอน” ผมลากเจ้าตัวเล็กไปยังรถที่จอดอยู่ด้านข้างขนส่งทันที
เมื่อ เข้ามานั่งในรถหลังจากใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าเช็ดตาแล้ว ก็ยังมีตัวช่วยเป็นคาเฟอีนจากชาเขียวเย็นเจี๊ยบในมือเจ้าตัวเล็กนั่นแหละที่ ทำให้สดชื่นขึ้นมาได้บ้าง
ผมหัวเราะพลางส่ายหน้ากับภาพที่ได้เห็นไม่คิดว่าคนเราจะหมดสภาพเพราะความง่วงได้ขนาดนี้
“ไปอดหลับอดนอนจากไหนมาเนี่ย” ผมเอ่ยแซวขำๆหลังจากที่เจ้าตัวเล็กดูสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“ก็ไม่ได้อดหลับอดนอนที่ไหนน่ะ ก็คนมันง่วงก็คือง่วง” เจ้าตัวเล็กตอบค้อนๆ
“กลับบ้านไปสองอาทิตย์ คิดถึงพี่มั่งป่าว” ผมแอบกระแซะถามแหย่เจ้าตัวเล็กเล่นๆหลังจากขับรถออกมาจากขนส่ง
“นิดนึง” เจ้าตัวตอบกลับมาเขินๆ ผมจึงบีบมือเจ้าตัวเล็กที่ผมชอบเกาะกุมมันตลอดเวลาที่ขับรถ
“แต่พี่คิดถึงติ๊บจังเลย” ผมหยอดไปหนึ่งดอกพร้อมกับหันมาจ้องหน้าเจ้าตัวเล็กให้ได้แสดงอาการเขินเล็กน้อย
“ไม่อยากคิดถึงมากเดี๋ยวคิดถึงมากก็จะเป็นห่วงมาก กังวลมาก คิดถึงน้อยๆวันละนิดวันละหน่อยก็พอ” ติ๊บตอบกลับมายิ้มๆ
“อ่ะ ก็ยังดีที่ยังคิดถึงกันอยู่บ้าง คนเรา” ผมเอ่ยขึ้นพลางทำสีหน้าผิดหวังสุดฤทธิ์
“ว่าแต่ช่วงที่ติ๊บไม่อยู่ไปเถลไถลที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า” เอาละซิ เจ้าตัวเล็กหันหน้ามาจ้องผมแบบต้องการคำตอบอย่างจริงจัง แอบน่ากลัวแฮะ
“ไม่ได้ไปไหนเลยทำงานตลอด ไปไหนก็โทรบอกตลอดเลยนี่นา” ผมตอบกลับไป
“อย่าให้รู้นะ” เจ้าตัวเล็กไม่หยุดแค่จ้องแต่ยังทำหน้าดุใส่ผมอีกด้วย
“ทำไมเหรอ “ ผมถามด้วยความอยากรู้ แต่คำตอบที่ได้กลับมานี่ซิ
“จะจับเจี๋ยนซะให้หมดปัญหาไปเลย” เจ้าตัวเล็กให้คำตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำท่าเป็นกรรไกรตัดฉับๆเข้าที่น้อง ชายผม อูยยยย น่ากลัวได้อีก
“อย่าใจร้ายซิ พี่ไม่มีใครหรอกสาบานได้ จริงๆนะ” ผมระล่ำระลักบอกด้วยอาการกลัว
“งั้นก็รอดตัวไป แต่ว่าดูท่าทางพี่ไม้แล้ว ติ๊บคงไม่ใจร้ายพอจะจับพี่ไม้เจี๋ยนหรอก”
“อืมมม พี่ก็ว่างั้นแหละ หมอติ๊บใจดีจะตายไม่ทำร้ายคนไข้หน้าหล่อๆแบบพี่ได้หรอก “
“เปล่า ไม่ได้ใจดี แต่ติ๊บว่าอย่างเคสของพี่ไม้ตัดไม่ตัดก็มีค่าเท่ากัน เพราะมันคงไม่สั้นไปกว่านี้แล้วละ” เจ้าตัวพูดจบก็หัวเราะร่ากับมุกที่ปล่อยออกมา แต่ผู้ชายอย่างผมซิ ลมขึ้นหูเลยครับถือเป็นการสบประมาทอย่างแรงเลยเนี่ยยย เดี๋ยวกลับไปต้องให้ทบทวนหน่อยแล้วว่าหมอไม้อ่ะไม่ได้มีดีแค่หน้าตาอย่าง เดียวเหมือนกันนะเฟ้ยยยยย
มิสเตอร์ไม้ เขียน
แฮกค์ พิสูจน์
ปล.
“เปล่า ไม่ได้ใจดี แต่ติ๊บว่าอย่างเคสของพี่ไม้ตัดไม่ตัดก็มีค่าเท่ากัน เพราะมันคงไม่สั้นไปกว่านี้แล้วละ”
อะจึ๊ย...
