ตอนที่ 130 ซึ้งหลังจากสวีทหวานกันจนจุใจ แดดอ่อนๆ ตอนสายๆในท่ามกลางฤดูหนาวก็เริ่มทอแสงออกมาให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้คลายความเหน็บหนาวลงไปบ้าง
"พี่ไม้คร้าบบบบ วันนี้ติ๊บขออะไรได้ป่าว" เจ้าตัวเล็กเดินอ้อมมาด้านหลังเก้าอี้ที่ผมนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก่อนเอื้อมมือมาโอบรอบคอผมไว้แล้วกระซิบข้างๆหู
"ขออะไรอีกอะ อ้อนมาแบบนี้ทุกทีแล้วพี่จะขัดใจเราได้ไงนี่ฮึ" ผมตอบพลางหันไปหอมแก้มใสๆที่อยู่ติดกับแก้มผมในตอนนี้
"พาติ๊บไปซื้อของใช้ในเมืองหน่อยได้ป่าวคับ พอดีของใช้ในห้องเราหมดไปหลายอย่างแล้วอีกอย่างของกินในตู้เย็นก็หมดแล้วด้วย และที่สำคัญไปกว่านั้นติ๊บก็ไม่มีไอติมตกถึงท้องมาหลายวันแล้วนะคับ" ในที่สุดเจ้าตัวเล็กก็เผยไต๋ให้ผมได้ขำจนได้
"ตกลงว่าสาระสำคัญคืออยากกินไอติมว่างั้น" ผมหันไปย้อนถามแบบแอบกัดนิดๆไม่ได้
"ก็นิดนึงอะ นิดเดียวไม่ได้หิวอะไรมากหรอก นิดเดียวจริงๆนะ"
"จ้า นิดเดียวก็นิดเดียวดูอาการฟ้องยังกะคนติดยาขนาดนี้" ผมหันไปหัวเราะส่ายหน้าให้กับเจ้าตัวเล็กที่ยังคงทำหน้าออดอ้อนมองตาผมปริบๆอย่างน่าสงสาร
"โอเคๆ เดี๋ยวพี่ขอทำงานเสร็จก่อนสายๆพาไป เช้าแบบนี้ห้างยังไม่เปิดหรอกมั้งไปก็ต้องไปนั่งรออยู่ดีดูการ์ตูนดูหนังเกาหลีไปก่อนแล้วกันเดี๋ยวพี่ทำงานเสร็จอาบน้ำแล้วพี่พาไปกินไอติม"
ผมนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นนานสองนานจนเสร็จเอาในช่วงสายๆของวันก่อนหันหลังกลับมาก็พบว่าเจ้าตัวเล็กนอนหลับอยู่บนเตียงไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ไอ้เราก็คิดว่าดูทีวีอยู่ซะอีก ที่ไหนได้กลายเป็นว่าทีวีดูคนซะอย่างนั้น
ผมเดินไปหอมแก้มเนียนนั้นหนึ่งทีก่อนเดินเข้าไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและแต่งหล่ออีกเล็กๆน้อยๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินเคียงข้างกับว่าที่คุณหมอน่ารักๆ ในห้างที่นานๆทีจะได้มีโอกาสไปเดินด้วยกันแบบไม่รีบร้อนซักทีนึง
หลังจากผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เป็นหน้าที่ของเจ้าตัวเล็กที่เดินไปอาบน้ำแต่งตัวเล็กน้อยแล้ว เดินออกมาพร้อมเสื้อสีแดงแปลกตาที่ปกติผมไม่เคยเห็นเจ้าตัวเล็กใส่เสื้อสีสันจัดจ้านแบบนี้เท่าไหร่นัก
"วันนี้คิดอะไรใส่เสื้อสีแดง" ผมถามด้วยสีหน้างงๆขณะที่เจ้าตัวเล็กกำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจก
"ก็ไม่ได้คิดอะไรแค่อยากให้ชีวิตมีสีสันบ้างเท่านั้นเอง เสื้อตัวนี้ไม่ได้ใส่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่ เสื้อใหม่อะไรหรอก"
"อือ ก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ดูมีชีวิตชีวาดีถ้าคนใส่ยิ้มสดใสร่าเริงขึ้นอีกนิ้ดดดดด" แทนคำตอบเจ้าตัวเล็กยิ้มมุมปากเบาๆผ่านกระจกให้ผมหนึ่งที
"แต่พี่ว่าเปลี่ยนกางเกงหน่อยดีมั้ย" ผมออกคำแนะนำเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กหยิบกางเกงขาสั้นมาใส่
"ทำไมเหรอคับใส่ขาสั้นแล้วทำไมเหรอ หรือว่าขาติ๊บใหญ่ ก็ไม่ใหญ่นะ ไม่ได้โก่ง ไม่ได้ลาย ทำไมให้ติ๊บใส่กางเกงขาสั้นไม่ได้อะคับ"
"ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับขาหรอกนะ แต่พี่ไม่ชอบให้ติ๊บใส่ขาสั้นแบบนี้อะพี่ว่ามันสั้นไป"
"พูดซะอย่างกะมั้นสั้นติดโคนขา นี่มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับกางเกงนักเรียนเลยนะ" ติ๊บหันมาค้าน
"ก็อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้อากาศมันเย็น อีกอย่างไปเดินในห้างอากาศเย็นจะตาย"
"อ่ะๆ เปลี่ยนก็ได้" เจ้าตัวเล็กค้อนผมหนึ่งทีก่อนเดินไปหยิบกางเกงตัวใหม่มาใส่ที่ทำให้ผมยิ้มขึ้นมาได้หน่อย อย่างน้อยมันก็ไม่สั้นมากไป เอ๊ะ ผมกำลังหวงติ๊บมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ยย
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเจ้าตัวเล็กก็พร้อมสำหรับการไปเดินชอปปิ้งและผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนอันหนักหนาสาหัสไปเที่ยวในห้างสรรพสินค้ากับผมแล้วในตอนนี้
ผมขับรถออกจากมหาวิทยาลัยและวันนี้ผมก็อดคิดย้อนหลังกลับไปเมื่อตอนที่ผมมาอยู่ที่นี่เมื่อสามปีก่อนไม่ได้ ตอนนั้นหอพักเอกชนยังไม่ได้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแบบนี้ตอนนี้รอบมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยหอพักเอกชนและร้านค้าต่างๆมากมาย
เมื่อขับรถผ่านด้านข้างมหาวิทยาลัยตอนนี้ก็ได้มีคณะมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาการจัดการ แยกออกจากกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วในขณะที่ตอนที่ผมเข้ามายังมีเพียงคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์รวมกันอยู่เลย ตลอดจนอาคารศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยที่เด่นตระงานใหญ่โตในตอนนี้ที่
กลายสภาพมาเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเรียบร้อย ผมว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพมหาวิทยาลัย การจัดการมหาวิทยาลัย ผมว่าตอนนี้มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเมืองไทยคงไม่ได้ผูกขาดไว้ที่จุฬางกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเพียงเท่านั้นแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมเชื่อว่ามหาวิทยาลัยต่างๆในเมืองไทยคงเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดไม่แพ้กันนี้ และเมื่อถึงเวลาที่การศึกษาในเมืองไทยเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกแล้วอย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ผมหวังเหลือเกินคือคนไทยไม่จำเป็นต้องไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
และต้องลาจากสิ่งอันเป็นที่รักแบบผมในอนาคตอันใกล้แบบนี้ด้วย
แฮะๆ พูดมาเป็นวิชาการเสียดิบดีที่แท้ไม่อยากจากเจ้าตัวเล็กไปไหนนี่เอง เค้ากลัววววววว
"คิดอะไรอยู่หรือเปล่าพี่ไม้" เจ้าตัวเล็กหันมาถามเมื่อเห็นผมนิ่งอึ้งคิดอะไรเพลินๆอยู่ตั้งแต่ออกมาจากที่หอแล้ว
"ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวอีกไม่นานติ๊บก็ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วซินะ"
ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่พักของเจ้าตัวเล็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่การเรียนในคณะแพทย์ในชั้นปีที่สี่ ที่เจ้าตัวเล็กต้องเข้ามาเรียนและพักอาศัยอยู่ที่หอพักแพทย์ในโรงพยาบาลพุทธชินราช ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพิษณุโลกมากกว่าตอนนี้
"ก็ไม่ใช่เร็วๆนี้ซักหน่อย อย่างน้อยก็ช้ากว่าที่พี่ไม้ไปเรียนต่อ"
"แล้วติ๊บจะลืมห้องของเรามั้ยอะ" ผมเอ่ยถามเบาๆอย่างใจหาย
"ถ้าติ๊บลืมห้องของเราก็หมายความว่าติ๊บลืมเรื่องของเราด้วย พี่ไม้ดีกับติ๊บขนาดนี้ เป็นทุกอย่างให้ติ๊บขนาดนี้แล้วติ๊บจะลืมพี่ไม้ ลืมเรื่องของเราได้ยังไงละคับ" เจ้าตัวเล็กตอบมาให้ผมชื่นใจซะจริงๆ ผมดึงมือที่กอบกุมมือเจ้าตัวเล็กตลอดเวลาที่ขับรถขึ้นมาจูบเบาๆหนึ่งที
"ติ๊บเคยคิดมั้ยว่าอะไรที่ทำให้เราได้พบกัน…" ผมเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กในขณะที่ขับรถผ่านถนนที่ขนาบข้างไปด้วยหมู่บ้านใหญ่น้อย และเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้สลับกับท้องทุ่งนาที่เหลืองอร่ามรอการเก็บเกี่ยวสมกับเป็นทุ่งสีทองของเมืองพิษณุโลกซะจริงๆ
"อะไรที่ทำให้เราพบกันความโชคดีของติ๊บ หรือไม่ก็คงเป็นความโชคร้ายของพี่ไม้ละมั้งคับที่ทำให้เราได้พบกัน ทำไมถึงถามแบบนั้นละคับ"
"ก็ไม่รู้ซิ พี่แค่อยากรู้ความคิดของติ๊บบ้างเท่านั้นเอง แต่พี่กลับคิดตรงข้ามกับติ๊บตรงที่พี่คิดว่าพี่เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกต่างหากที่ได้พบ ได้เจอ ได้รู้จัก และได้รักติ๊บ ติ๊บรู้มั้ยว่าติ๊บเป็นคนน่ารักนะ ใครๆอยู่ใกล้ติ๊บก็ต้องหลงรักติ๊บแบบพี่นี่แหละ"
"รู้ครับ รู้ตัวเอง เจียมตัวมาตั้งนานแล้วคับว่าติ๊บเป็นน่ารัก" บทกำลังซึ้งเป็นอันจบลงเพราะการเจียมตัวของเจ้าตัวเล็กนี่แหละ
"แล้วพี่ไม้คิดว่าพี่ไม้ชอบติ๊บตรงไหน อะไรที่ทำให้พี่ไม้อยากจะปกป้องดูแลติ๊บแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้อะคับ"
"พี่ก็ไม่รู้อะติ๊บ ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พี่รักติ๊บ ไม่รู้ด้วยว่ามันเริ่มตอนไหน ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นยังไง แต่ที่พี่ตอบได้คือ อะไรที่ทำให้พี่ชอบติ๊บ พี่คงตอบได้ว่าทุกอย่างที่มันรวมกันเป็นตัวติ๊บนั่นแหละ พี่ชอบเวลาเห็นติ๊บนอนหลับตัวงอ ชอบเวลาเห็นติ๊บทำกับข้าวอย่างมีความสุข ชอบเวลาเห็นติ๊บกินไอติมอย่างอารมณ์ดี ชอบเวลาเห็นติ๊บยิ้มหัวเราะจนตาหยี ชอบเวลาที่ติ๊บมา ออดอ้อนขอพี่ทำโน่น นี่ นั่น แม้กระทั่งตอนร้องไห้งอแงพี่ก็ยังชอบ สรุปว่าพี่ชอบทุกอย่างที่เป็นติ๊บ"
"แล้วติ๊บอะชอบพี่ตรงไหน" ผมหันกลับมาถามเจ้าตัวเล็กและจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตคู่สวยนั้นแบบเจ้าเล่ห์นิดๆก่อนหันไปมองถนนและขับรถต่อไปมุ่งหน้ายังห้างสรรพสินค้าในเมือง
"ชอบพี่ไม้ตรงที่พี่ไม้เป็นเจ้ามือเลี้ยงไอติมได้ทุกวันนี่แหละ แถมพาไปกินได้ตลอดเวลาด้วย" เจ้าตัวตอบขำจนตาหยีก่อนที่ผมจะเขกหัวเหม่งนั้นหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ คนอะไรไม่โรแมนติกซะบ้างเลย
"ไม่ได้ล้อเล่นน่ะพี่ไม้ ตอบจริงๆ" เจ้าตัวเล็กเอียงข้างหันหน้ามาจ้องผมจริงจัง
"อ้าว แบบนี้แสดงว่าถ้าพี่ไม่ได้อยู่กับติ๊บเป็นเจ้ามือหรือพาไปเลี้ยงไอติมไม่ได้แล้วติ๊บก็ไม่ชอบพี่แล้วอะดิ" ผมตอบพร้อมเก๊กฟอร์มทำหน้าตาบึ้งตึงสุดฤทธิ์
"เปล่าซะหน่อย ติ๊บแค่คิดว่าคงไม่มีวันไหนที่ติ๊บจะเลิกกินไอติมได้อย่างถาวร ตราบใดที่ติ๊บยังกินไอติมได้ ติ๊บก็จะยังคงรัก คงชอบพี่ไม้ไปตลอดๆนานพอกันกับที่ติ๊บยังกินไอติมได้นั่นแหละคับ"
"โห เข้าใจเปรียบเทียบวะคนเรา ดูหนังเกาหลีมากไปป่าวเนี่ยเรา" ผมถามพร้อมขยี้หัวฟูเมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าตัวเล็กแล้วทำให้ผมยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว
"พี่สัญญาจะรักติ๊บทุกวันและจากนี้ไปจะใช้ทุกวันทุกเวลาให้คุ้มค่าและมีความหมายที่สุด"
"ขอบคุณคับพี่ไม้ ติ๊บคงให้สัญญาอะไรกับพี่ไม้ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ติ๊บรู้แค่ว่าติ๊บจะทำหน้าที่ของคนรัก ตอบแทนความรักที่พี่ไม้มีให้มาอย่างดีที่สุดครับ"
"ติ๊บรักพี่ไม้นะ" เจ้าตัวเล็กบอกเขินๆก่อนยื่นหน้ามาหอมแก้มผมทีนึง
โอว พระเจ้าวันนี้วันอะไรหว่าทำไมโลกมันเป็นสีชมพูไปหมดเลยยย ทำไมมันหอมอบอวลไอด้วยกลิ่นความรักขนาดนี้
ผมฝันไปหรือเปล่าเนี่ยยยย หมอติ๊บบอกรักผมอีกแล้วววววว ไชโย……..
ผมอยากจะขับรถไปให้ถึงสุไหงโกลกเลยทีเดียว ทำไมวันนี้ผมมีความสุขกับการขับรถจังเลย เสียดายที่ขับเข้ามาแค่ในเมืองเลยได้ฟังคนบอกรักแค่รอบเดียว เฮ้อออออ
เมื่อหาที่จอดรถได้เจ้าตัวเล็กก็เดินนำผมเข้าไปยังห้างสรรพสินค้า
"พี่ไม้หิวอะไรหรือยังคับ เราจะซื้อของก่อนหรือเดินหาไรกินก่อนดีอะคับ"
"พี่ยังไม่หิวเลยพี่ว่าเราหาซื้อของกันก่อนเหอะติ๊บอยากได้อะไรก็ซื้อ เดี๋ยวเหนื่อยจากการซื้อของจะได้ไปหาไรกินกันทีเดียว"
"โอเคคับงั้นเราหาซื้อของกินของใช้กันก่อนแล้วกัน" เจ้าตัวเล็กตอบก่อนเดินเลี้ยวเข้าไปในห้างโดยไม่ลืมกำชับผมไปลากรถเข็นมาด้วย แบบนี้ทุกทีซิน่า
ผมเดินเข็นรถเข็นเดินตามเจ้าตัวเล็กซื้อของใช้จนครบตามลิสต์รายการที่เจ้าตัวเล็กจดมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนเดินไปหาซื้อของกินมาตุนใส่ตู้เย็นไว้เป็นปกติของเจ้าตัวเล็กที่มักจะซื้อของกินไปตุนไว้ในตู้เย็นเพื่อการทำอาหาร และเผื่อบางวันที่ผมหิวรอบดึก เจ้าตัวเล็กก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเรื่องอาหารการกินแต่อย่างใด
หลังจากที่เราสองคนเลือกซื้อของกินของใช้จนครบตามรายการของเจ้าตัวเล็กแต่เพียงผู้เดียวแล้ว เจ้าตัวเล็กก็เดินนำผมมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านหนังสือก่อนหยิบหนังสือมาได้สองเล่มซึ่งแน่นอนว่านั่นคือ คู่มือทำอาหารเล่มใหม่ของเดือนนี้ ผมจะเป็นยักษ์ก็เพราะต้องเป็นหนูทดลองให้กับข้าวเมนูใหม่ๆพวกนี้แหละคับ แต่หมอติ๊บชอบเรียกผมว่า..หมูทดลอง..ตลอดเลย
จากนั้นก็มาหยุดเดินกันที่หน้าร้านไอศกรีมที่เจ้าตัวเล็กโปรดปรานก่อนหันมามองหน้าผมทำตาออดอ้อนปริบๆ
"ทานข้าวก่อนแล้วค่อยมาทานไอติม เค้ายังไม่ปิดร้านหรอกติ๊บ" ผมส่ายหัวกับการบ้าคลั่งไอติมของเจ้าตัวเล็กไม่ได้คงจะอยากกินมากเพราะสองสามวันมานี้กินแต่ขนมจากงานลอยกระทงเท่านั้น ยังไม่ได้กินไอศครีมเลย น่าสงสารจริงๆ ขาดไอศกรีมในกระแสเลือด
หลังจากอาหารเช้าและอาหารเที่ยงรวมกันเป็นมื้อเดียวกันเรียบร้อยแล้ว
และผ่านพ้นไปได้ด้วยไก่ทอดจากร้านฟาสฟู๊ดแล้ว ก็ได้เวลามานั่งดูเจ้าตัวเล็กยิ้มและเผยรัศมีแห่งความสุขออกมาให้ผมได้มีความสุขไปด้วย เมื่อเจ้าตัวเล็กกินไอศครีมไปอย่างอารมณ์ดีและยิ้มอย่างมีความสุขในทุกคำที่ได้ลิ้มลองรสไอศครีมรสชาติใหม่ที่สมัยนั้นเพิ่งมีวางจำหน่าย ช็อคโกแลตฟองดู ผมก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะอร่อยไปกว่าไอศครีมรสชอคโกแลตเท่าไหร่หรอก
แต่วิธีการกินมันแปลกแตกต่างไปจากที่เคยกินเท่านั้นเอง แต่จะอร่อยกว่าแบบเดิมก็ตรงที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เรารักแค่นี้ผมก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้วละ
หลังจากอิ่มอร่อยแบบแฮปปี้กับไอศกรีมของโปรดแล้ว ก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนสายตาที่ห้องของเราสองคนและก่อนกลับเจ้าตัวเล็กยังไม่วายตบท้ายด้วยไอติมกะทิจากรถขายไอติมข้างถนนอีกแนะ จะชอบมากเกินไปหรือเปล่าน้อ แต่เห็นแบบนี้ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดได้ว่าเจ้าตัวเล็กจะรักผมนานๆพอกับที่เจ้าตัวเล็กชอบที่จะทานไอติมนั่นแหละ
เฮ้อออ ดีใจจังไม่เสียทีที่เกิดมาหล่อ อิอิอิ ยังโชคดีที่หาแฟน( น่ารัก ) กับเขาได้บ้าง

TBC...
// เบิกชิวด์ท็อก 1 โหล ด่วนๆ ทริปเปิ้ลหวานเชียว
