สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78867 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2019 15:20:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
หากความโกรธเป็นดั่งพายุใหญ่ที่หอบเอาบางความรู้สึกจากไป

ในยามที่เมฆฝนคลี่คลาย พายุร้ายจะกลายเป็นเพียงกระแสลมอ่อน ๆ ที่พัดพาความรู้สึกเดิมให้หวนคืน

เมื่อถึงเวลานั้นร่างกายจะเบาหวิวและหัวใจก็คงปลิดปลิวไปในอากาศ


สารบัญ

ตอนที่ 1 ลมรำเพย
ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่
ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม
ตอนที่ 4 พายุก่อตัว
ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่
ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ
ตอนที่ 7 มิตรภาพ
ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน
ตอนที่ 9 ความลับ
ตอนที่ 10 ตัวป่วน
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ ครึ่งแรก
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ ครึ่งหลัง
ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป
ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล
ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้
ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 16 กำลังใจ
ตอนที่ 17 กอด
ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน
ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ
ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 21 กระซิบรัก (ตอนจบ)





เรื่องอื่น ๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2019 23:03:31 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 1 ลมรำเพย


สายลมพัดเอื่อยพาให้ดอกวาสนาในกระถางขยับไหวส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วบริเวณบ้านไม้สองชั้นซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายทหาร แม้จะเป็นบ้านพักของผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย แต่กลับตกแต่งอย่างเรียบง่ายที่สุดตามความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของซึ่งก็คือหมอทหารยศพันโทวัย 47 ปี


ตาคมละจากดอกไม้ที่โปรดปรานซึ่งมักแย้มกลีบส่งกลิ่นหอมอบอวลในช่วงฤดูหนาว ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องฝั่งที่อยู่ใกล้กับต้นเสี้ยวดอกขาวต้นใหญ่ เห็นว่าไฟยังคงสว่างจึงเดินกลับเข้าบ้าน ไม่นานก็มาหยุดหน้าห้องซึ่งยกให้เป็นห้องนอนของลูกชายนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงความอ่อนโยนทอดมองหนุ่มน้อยที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ส่วนผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ กันนั้นเป็นทั้งแม่ผู้แสนใจดีและภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่งตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในวันแต่งงาน


“สองคนแม่ลูกทำอะไรกันอยู่ หัวเราะเสียงดัง ได้ยินไปถึงข้างล่าง” ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้นเมื่อเดินพ้นประตูเข้ามา จากนั้นจึงนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง


“กำลังคุยกันเรื่องที่วันนี้ม่อนไปส่งขนมผิดบ้านครับพ่อ” ลูกชายตอบพลางปิดหนังสือแล้วขยับนอนหนุนตักแม่


“อีกแล้วเหรอ” พ่อกล่าว ไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาพาครอบครัวออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา ที่ลูกชายคุ้นเคยหน่อยก็คงมีแค่วัด โรงเรียนและโรงพยาบาลภายในค่ายทหารแห่งนี้เท่านั้น


“แม่โทรคุยกับลูกค้าเสียดิบดีว่าจะให้ลูกชายขี่จักรยานไปส่งขนม เขาก็ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะออกมารอรับที่หน้าบ้าน” วาสนาเสริม “แต่ลูกเราดันไปผิดบ้านเสียได้” เธอกล่าวพร้อมกับก้มลงมองดวงหน้าหมดจดของคนที่เป็นเสมือนโซ่ทองคล้องใจ


“ม่อนไปกดกริ่งตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิด แถมยังโดนหมาบ้านข้าง ๆ วิ่งไล่อีก มันคงรำคาญเสียงกริ่ง ม่อนขี่จักรยานหนีแทบไม่ทัน นึกว่าจะโดนหมากัดก้นเสียแล้ว” หนุ่มน้อยบ่นอุบ


“แล้วทำยังไงถึงรู้ว่าไปส่งผิดล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความสงสัย


“แม่ลืมเอาโทรศัพท์มือถือให้ลูกไป ลูกค้าเขาเห็นว่านานผิดสังเกตก็เลยโทรมาตามที่แม่ แม่เลยขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปดูถึงได้รู้ว่าลูกไปผิดบ้าน เจ้าตัวดีนี่แหละ แม่บอกให้เอากระดาษที่จดเลขที่บ้านติดไปด้วยก็ไม่ยอมเอาไป บอกว่าจำได้ ๆ”


“ม่อนจำเลขได้ทุกตัวจริง ๆ นี่ครับแม่ แค่จำสลับกันเท่านั้นเอง” ท้ายประโยคนั้นอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง


“แบบนี้แหละจ้ะที่เขาเรียกว่าจำไม่ได้ นคินทร” ว่าแล้วก็บีบจมูกลูกชายอย่างเอ็นดู


“นคินทร” คือชื่อของเด็กชายวัยสิบห้าย่างสิบหกปี ลูกชายคนเดียวของพันโทนายแพทย์ธรณิน และวาสนา ปฐวิพัฒน์ แต่เดิมนั้นทั้งคู่มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่เพราะผู้นำครอบครัวได้รับคำสั่งให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายทหารในจังหวัดน่าน วาสนาจึงตัดสินใจทิ้งกิจการร้านขนมที่รับช่วงต่อจากมารดารวมถึงชีวิตอันแสนสบายในเมืองกรุง พาลูกชายวัย 12 ปี ย้ายถิ่นฐานมาเริ่มต้นชีวิตในต่างจังหวัดตามประสาครอบครัวที่ไปไหนไปกัน


“โชคดีนะที่ทั้งขนมแล้วก็คนไม่เป็นอะไร นี่ถ้าโดนหมากัดขึ้นมา หรือโดนมันวิ่งไล่จนรถล้มจะว่ายังไง” พันโทนายแพทย์ธรณินเอ่ยขึ้น


เมื่อได้ฟัง ลูกชายก็ยิ้มแฉ่งก่อนจะตอบคำถามของผู้เป็นพ่อ “ก็มาให้พ่อทำแผลให้ไงครับ”


“เจ้าลูกคนนี้นี่ จะโตเป็นหนุ่มอยู่แล้วยังทำทะเล้นเป็นเด็ก ๆ”


“ถ้าพ่อบอกว่าม่อนโตแล้ว อย่างนั้นม่อนขอไปโรงเรียนเองได้ไหมครับ”


“นึกยังไงถึงจะไปโรงเรียนเอง” ผู้เป็นพ่อถามอย่างประหลาดใจ


“ก็...เทอมหน้าม่อนขึ้นม.สี่แล้วนะพ่อ ขืนยังต้องให้พ่อไปส่งที่โรงเรียน มีหวังม่อนโดนเพื่อน ๆ กับรุ่นน้องล้อแน่ ๆ”


“แล้วลูกจะไปยังไง” วาสนาแทรกขึ้นเพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากที่ลูกชายบอกเอาไว้ว่าจะหาโอกาสพูดกับผู้เป็นพ่อให้ได้


“เดี๋ยวม่อนให้ฉายมารับครับ เพราะยังไงฉายต้องมาช่วยแม่ตั้งร้านในโรงอาหารของโรงพยาบาลอยู่แล้ว ส่วนตอนเย็นก็ให้ฉายมาส่ง ม่อนจะให้ฉายหัดขี่มอเตอร์ไซค์ให้ด้วยเลย อีกหน่อยม่อนจะได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนเองได้”


“อืม เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่พ่อขอเจอกันครึ่งทางนะ ตอนเช้าให้ฉายมารับ ส่วนตอนเย็นพ่อไปรับม่อนที่โรงเรียนเหมือนเดิม ถ้าวันไหนพ่อติดประชุมพ่อจะให้อาทหารไปรับแทน ให้ฉายคอยรับส่งตลอดพ่อว่าไม่เหมาะ เผื่อวันไหนฉายมีธุระหรืออยากไปไหนของเขาบ้าง”


“ก็ได้ครับพ่อ”


“แต่บอกฉายนะว่าอย่าพากันโลดโผนนัก พ่อกับแม่เป็นห่วง”


“ครับพ่อ”


“แล้วนี่ลูกจะสอบเมื่อไร”


“สัปดาห์หน้าครับ”


“หลังจากนั้นก็ปิดเทอมแล้วสิ สงสัยพ่อจะไปส่งลูกกับแม่ที่บ้านคุณปู่แล้วก็พาลูกไปทำบุญวันเกิดตามที่สัญญาไว้ไม่ได้แล้วละ”


“งานที่โรงพยาบาลยุ่งเหรอจ๊ะพ่อ” ผู้เป็นภรรยาถาม กระนั้นก็พอจะคาดเดาได้ สำหรับธรณินแล้วหากไม่ใช่เรื่องของส่วนรวมแล้ว อย่างไรครอบครัวก็ต้องมาก่อน


“เดือนหน้าโรงพยาบาลค่ายร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจะออกให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคภัยที่มากับหน้าร้อนน่ะ”


“ไม่เป็นไรจ้ะพ่อ แม่ไปกับลูกได้”


“ใช่ครับ พอลงรถทัวร์ก็ต่อแท็กซีไปบ้านคุณปู่ สบายมากครับพ่อ” เด็กชายกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง ลุกขึ้นนั่ง ลอบสบตาผู้เป็นแม่จากนั้นจึงตัดสินใจพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่อง


“ต...แต่ก่อนไปบ้านคุณปู่ ม่อนขอไปทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ ได้ไหมครับพ่อ”


“ทัศนศึกษา” พันโทนายแพทย์ธรณินทวนคำ


“ครับ เพื่อน ๆ ลงความเห็นกันว่าอยากจะทำกิจกรรมร่วมกันก่อนที่บางคนจะย้ายไปเรียนที่อื่นครับ อาจารย์ก็เลยเสนอให้ไปทัศนศึกษาที่ลำปางจะได้ถือโอกาสไปดูกีฬาเยาวชนแห่งชาติด้วย”


“ลำปางเหรอ ไกลเหมือนกันนะ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียบ ๆ เมื่อเห็นแววตามีความหวังวูบหม่นลงจึงถามต่อ “แล้วจะไปกันยังไง”


“โรงเรียนจัดรถบัสให้ครับ”


“แบบนี้ก็ต้องค้างคืนน่ะสิ”


“ใช่ครับพ่อ”


“แล้วจะไปกี่วันกี่คืนกัน”


“ค้างหนึ่งคืนครับ”


เมื่อได้ฟังคำลูกชาย ธรณินก็หันไปสบตาภรรยาเพื่อขอความเห็น แต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มในดวงตาของวาสนาเขาก็กล่าวต่อ “อืม ถ้าอย่างนั้นก็เอาโทรศัพท์มือถือไปแล้วโทรบอกพ่อกับแม่ด้วยแล้วกันว่าเดินทางถึงไหนแล้ว”


“ครับพ่อ” ลูกชายรับคำเสียงใส


“ยิ้มแก้มปริเชียวนะจ๊ะ” วาสนากระเซ้าลูกชายพลางส่งยิ้มให้สามีเป็นการขอบคุณที่เขายอมปล่อยให้ลูกชายได้ออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเองสักที


....


พันโทนายแพทย์ธรณินลดหนังสือพิมพ์ลงทันทีที่เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ในชุดทหารลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูเป็นเวลาเดียวกับที่หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนสะพายเป้วิ่งลงบันไดมาพร้อมกับเสียงปรามของผู้เป็นแม่


“ม่อน อย่าวิ่งอย่างนั้นสิลูก”


“ครับแม่” ว่าแล้วก็นั่งลงที่กรอบประตูหยิบรองเท้ามาสวม จากนั้นก็ลุกขึ้นหันมายิ้มให้พ่อและแม่ “ม่อนไปโรงเรียนก่อนนะครับ สวัสดีครับ” นคินทรยกมือไหว้ยังไม่ทันเสร็จก็หมุนตัวกลับกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปนอกรั้ว รับหมวกนิรภัยจากเพื่อนมาสวมแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างกระฉับกระเฉง เพียงไม่ถึงอึดใจรถจักยานยนต์แบบที่วัยรุ่นนิยมใช้ก็พาทั้งคู่ลับตาไป


“พ่อคิดถูกใช่ไหมที่ปล่อยให้ลูกไปโรงเรียนเอง”


วาสนามองสีหน้าเจือความกังวลของสามีแล้วยิ้มน้อย ๆ “เอาน่าพ่อ แม่ว่าฉายเป็นเด็กดีไว้ใจได้”


“พ่อรู้ว่าฉายเป็นเด็กดี พ่อไม่ได้กลัวว่าสองคนจะชวนกันไปทำอะไรเสียหายหรอก แต่กลัวว่าจะพากันไปรถล้มที่ไหนนี่สิ”


“อย่าคิดมากเลยจ้ะพ่อ ลูกเราไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างรถราที่นี่ก็ไม่ได้มากมายเหมือนในกรุงเทพฯ สักหน่อย”


ธรณินพยักหน้า ถึงจะพยายามปล่อยวางแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ “พ่อแค่รู้สึกแปลก ๆ น่ะ” คนพูดถอนหายใจ “ทุกเช้าจะได้ไปส่งลูก ได้เห็นลูกเดินเข้าโรงเรียนแล้วมันสบายใจ นี่ต้องรอลุ้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม”


“นี่เพิ่งจะไม่กี่วันเองพ่อ อีกหน่อยก็ชิน รีบไปทำงานดีกว่าจ้ะ เดี๋ยวจะสาย” วาสนาพูดพลางดึงมือสามีเดินกลับเข้าไปในบ้าน


เมื่อรถจักรยานยนต์พ้นเขตกำแพงอันแข็งแกร่งของค่ายทหารภาณุก็เร่งความเร็วขึ้น นคินทรยิ้มกว้างเมื่อลมเย็นปะทะเข้ากับใบหน้า ดวงตาทอประกายจับจ้องไปยังลำน้ำที่ทอดยาวขนานไปกับเส้นทางที่พวกเขาใช้สัญจรอยู่ในขณะนี้ แม้จะเป็นเวลาเจ็ดนาฬิกา แต่ม่านหมอกก็ยังคงปกคลุมไปทั่ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนน่านนครก็ให้ความรู้สึกเงียบสงบชวนหลงใหล บรรยากาศรอบกายทำให้เด็กหนุ่มผู้ปราศจากความทุกข์ร้อนใด ๆ เผลอปล่อยมือจากเอวเพื่อน กางแขนออกราวนกน้อยสยายปีกยามเมื่อหลุดออกจากกรงทอง บินถลาท่ามกลางสายลมพัดพลิ้ว


“เฮ้ย ๆ เกาะดี ๆ สิม่อน”


“ขอโทษ ลืมตัวน่ะ” 


“เดี๋ยวตกลงไป ลุงผู้พันได้มาฆ่าเราแน่ ๆ”


“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” คนซ้อนท้ายกล่าวพร้อมกับเลื่อนมือลงมายังตำแหน่งเดิม


ภาณุพานคินทรขี่รถลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยจนในที่สุดก็ถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัย หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว เด็ก ๆ ก็แยกย้ายไปยังห้องของตนเพื่อพบกับอาจารย์ประจำชั้นในชั่วโมงโฮมรูม


“นี่ ตกลงแกจะไปทัศนศึกษาไหมฉาย เราจะส่งชื่อให้อาจารย์แล้วนะ” ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าห้องกล่าวพลางวางกระดาษที่มีรายชื่อของเพื่อนทั้งห้องลงบนโต๊ะ กอดอกมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านอยู่ที่หลังห้อง


“ไปถามม่อนก่อนเลย ถ้าม่อนไปเราก็ไป” ภาณุตอบส่ง ๆ


“ตัวติดกันจังเลยนะ” สาวน้อยกล่าวอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ไม่วายตะโกนถามเด็กหนุ่มที่อาสาช่วยรวบรวมสมุดการบ้านของเพื่อน ๆ ให้ “ม่อน ไปทัศนศึกษาด้วยกันไหม”


“ไปสิ” นคินทรตอบ


“สบายใจแล้วสินะ” เจ้าของร่างเล็กในชุดนักเรียนคอซองกล่าวพลางดึงกระดาษขึ้นแล้วใช้ปากกาทำเครื่องหมายที่หน้าชื่อของเพื่อน “เมื่อเช้าก็มาโรงเรียนด้วยกัน ไม่รู้จะตัวติดกันไปถึงไหน”


“แกอิจฉาหรือไงยัยหวาน” ภาณุทำแลบลิ้นปลิ้นตา “พวกเรียนเก่งจนไม่มีคนคบ”


“อิจฉาบ้าอะไร รำคาญสิไม่ว่า อะไรก็ม่อน อะไรก็ถามม่อนก่อน แล้วแต่ม่อน เชอะ! คิดเองไม่เป็นหรือไงวะ”


“เงียบปากไปเลย พวกขี้อิจฉา”


“ไอ้ฉาย! บอกแล้วไงว่าไม่ได้อิจฉา แต่รำคาญโว้ย!”


นคินทรมองสองคนที่หาเรื่องเถียงกันได้ทุกวันพลางส่ายหัว “อย่าเถียงกันเลยน่า เอ้านี่...เราเก็บมาให้หมดแล้ว” พูดจบก็วางสมุดกองโตลงบนโต๊ะ


“ขอบใจนะม่อน” เธอหันมายิ้มให้


“ขอบใจนะม่อน” ภาณุทำจีบปากจีบคอล้อเลียน


“กวน...” น้ำหวานเลือกที่จะไม่เปล่งเสียงในพยางค์สุดท้ายแต่เปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวแทน    


“ทีกับม่อนละพูดเพราะ”


“ก็ม่อนมีมารยาท สุภาพเรียบร้อย ไม่เหมือนบางคน” เธอตอบห้วน ๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าแล้วหันมาถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างไป “ครบไหมม่อน”


“เหลือของฉายแล้วก็...” ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็แทรกขึ้น


“ดี เราจะบอกอาจารย์ว่าแกไม่ยอมส่งการบ้าน อาจารย์จะได้หักคะแนนแก” ว่าแล้วหัวหน้าห้องก็ยกกองสมุดขึ้น


“เดี๋ยว!!!” ภาณุลากเสียง ท่าทางไม่สะทกสะท้านต่อคำขู่ทำให้คนมองอดแปลกใจไม่ได้


“จะขอให้รอเหรอ”


“เปล่า...แต่จะบอกว่าถ้าเราโดนหักคะแนน แกก็โดนด้วย” พูดพร้อมกับชูสมุดที่เป็นต้นฉบับขึ้นพลางส่งยิ้มยียวน


“อ...เอ้อ...เล่มที่ฉายลอกอยู่น่ะของหวาน” คนกลางกล่าวอ้อมแอ้ม


“อ...ไอ้ฉาย รีบลอกเร็ว ๆ เลย”


นคินทรละสายตาจากสองคนที่เริ่มเปิดฉากเถียงกันอีกครั้ง เขาเดินกลับไปนั่งยังที่นั่งของตนพลางมองโต๊ะติดกัน นึกถึงวันแรกที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ในสายตาของเพื่อน ๆ เขาดูแปลกแยกจากคนอื่น เพราะความที่เป็นคนต่างถิ่นซ้ำยังเป็นลูกชายนายทหาร แต่โชคดีได้คนมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างภาณุมาชวนพูดคุยและทำกิจกรรมต่าง ๆ จนสามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกใหม่ของห้องในที่สุด และภาณุก็ยังคงเป็นเจ้าของโต๊ะตัวข้าง ๆ เป็นเช่นนี้มาตลอด 3 ปี ในใจหวังว่าคงเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งจบชั้นมัธยมปลาย


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 15:06:49 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)

หลังสอบปลายภาคได้เพียงไม่กี่วัน สมาชิกเกือบทุกคนภายในห้องก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รถบัสคันใหญ่จอดรออยู่ที่ริมรั้ว โดยมีอาจารย์ประจำชั้นและหัวหน้าห้องช่วยกันตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่จะเดินทางไปทัศนศึกษาในครั้งนี้ เด็กชายหญิงในในชุดพลศึกษาที่ต่างสะพายเป้ใบโตกำลังนั่งรอเรียกชื่ออยู่ที่สนามหน้าเสาธง ครู่หนึ่งรถเก๋งสีดำก็เคลื่อนผ่านประตูโรงเรียนเข้ามาหยุดที่ใต้ร่มไม้เหมือนเช่นเคย ใครที่เห็นต่างรู้ดีว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นคือหมอทหารยศพันโทผู้รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย นอกจากจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมทั่วไปแล้วยังได้รับการยอมรับนับถือในความเป็นนักพัฒนาผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอีกด้วย 


“ม่อนไปก่อนนะครับพ่อ” นคินทรกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้


“ถึงแล้วโทรมาบอกพ่อบ้างนะ”


“ครับ” ลูกชายรับคำฉะฉานก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ


พันโทนายแพทย์ธรณินมองตามหนุ่มน้อยที่กำลังวิ่งไปสบทบกับเพื่อน ๆ อดใจหายไม่ได้ว่าอีกไม่กี่ปี ม่อนดอยน้อย ๆ นี้คงกลายเป็นภูผาแข็งแกร่งตั้งตระหง่านสู้แดดสู้ลมตามวิถีของความผู้ใหญ่เพื่อเก็บสั่งสมเป็นประสบการณ์ให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง


รถบัสคันใหญ่พาเด็ก ๆ มาถึงจังหวัดลำปางในตอนสาย หลังจากเที่ยวชมวัดวาอาราม หอศิลป์และสถานที่สำคัญจนครบตามกำหนดการของวันแรกแล้ว ทุกคนก็พากันกลับขึ้นรถมุ่งหน้าสู่สนามที่ใช้เป็นสถานที่แข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติทันที เป้าหมายของทุกคนคือการเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศ แต่เมื่อดูตารางการแข่งขันแล้วเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาจึงพากันไปนั่งหลบแดดที่สระว่ายน้ำที่อยู่ไม่ห่างกัน


“กว่าบอลจะแข่งอีกตั้งนาน เดี๋ยวเรารอดูว่ายน้ำรายการสุดท้ายก่อนแล้วค่อยไปที่สนามกีฬาก็แล้วกัน” ภาณุเอ่ยขึ้น
และคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ก็ใช้การแข่งขันกีฬาว่ายน้ำเป็นสิ่งคั่นเวลาระหว่างรอการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเช่นเดียวกับเขา เด็กหนุ่มอ้าปากหาวพลางปรบมือเมื่อพิธีมอบเหรียญรางวัลรายการว่ายผลัดฟรีสไตล์ 4 x 50 เมตร (หญิง) สิ้นสุดลง


ทันทีที่เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงดังขึ้นอีกครั้ง คนดูรอบสระโดยเฉพาะสาว ๆ ต่างพากันหยุดสนทนาและเงี่ยหูฟัง เมื่อรู้ว่ารายการว่ายน้ำถัดไปคือฟรีสไตล์ 200 เมตร (ชาย) ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังประตูใต้อัฒจันทร์ ไม่นานเหล่านักกีฬารูปร่างสูงใหญ่ก็เดินตามเจ้าหน้าที่ออกมา จากนั้นจึงแยกย้ายไปยืนประจำจุดของตน จัดการถอดเสื้อผ้าออกเหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำ ในขณะที่โฆษกสนามยังคงกล่าวถึงสถิติการว่ายที่มีนักกีฬาเคยทำไว้ทั้งในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติและสถิติประเทศไทยตามด้วยการประกาศชื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขัน


“มีแต่นักกีฬาจากกรุงเทพฯ แล้วก็จังหวัดใกล้เคียงทั้งนั้นเลย ไม่มีตัวแทนภาคเหนือบ้างเหรอ”


นคินทรพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโฆษกสนามก็ประกาศชื่อนักกีฬาในช่องว่ายสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวแทนจากจังหวัดลำปางอีกทั้งยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำหนึ่งเดียวของภาคเหนือที่ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาแข่งขันรายการว่ายฟรีสไตล์ 200 เมตร ในรอบสุดท้ายนี้ 


เมื่อได้ยินเสียงขานชื่อตนเองฉลามหนุ่มทีมเจ้าภาพก็ยืนขึ้นยกมือไหว้ จากนั้นจึงรูดซิปปลดเสื้อวอร์มออกวางพาดกับเก้าอี้ แม้จะเพิ่งก้าวเข้าสู่วัยรุ่นได้เพียงไม่นาน แต่ร่างกายนั้นกำยำผิดกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน นั่นเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก มือขาวดึงแว่นตากันน้ำที่รัดอยู่รอบศีรษะซึ่งคลุมด้วยหมวกซิลิโคนลง ยืนนิ่งรอฟังสัญญาณ


“แกว่ารอบนี้ใครชนะ”


“ผมว่าสูสีว่ะพี่ ถ้าไม่ใช่พี่ธรรม์ ก็อีกคนที่มาจากนนทบุรี เพื่อนพี่ธรรม์น่ะ ชื่ออะไรนะ”


“มีน”


“เออใช่ พี่มีน”


“แต่งานนี้ฉันว่าไอ้ธรรม์ชนะขาด” พูดพลางจ้องมองไปยังฉลามหนุ่มจากกรุงเทพมหานครในช่องว่ายที่ 5 ซึ่งเพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ว่ายผลัดผสมมาหมาด ๆ


“อืม...แต่ของลำปางคนนี้ก็ทำเวลาท่าฟรีสไตล์ตอนว่ายผลัดผสมได้ดีนะพี่ เสียตรงที่มาร่วมทีมกับพวกอ่อน ไม่อย่างนั้นคงติดหนึ่งในสี่ไปแล้ว”


“ไอ้พวกเด็กหลังเขามันจะมาดีกว่าเด็กกรุงเทพฯ อย่างเราได้ยังไงวะ” คนเดิมพูดกลั้วหัวเราะ


ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ประโยคนั้นก็ทำเอานคินทรจำต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า หันไปมองจึงเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ซ้ำทั้งสองคนยังเป็นสมาชิกทีมว่ายผลัดผสมที่เพิ่งขึ้นรับเหรียญทองไปเมื่อ 20 นาทีก่อนอีกด้วย


“คนนั้นไง ที่เพิ่งขึ้นรับเหรียญทองไปก่อนหน้านี้” สาวน้อยในชุดพละเอ่ยขึ้น


“ตัวสูง กล้ามเป็นมัด ไหล่กว๊างกว้าง แถมหล่ออีกต่างหาก” อีกคนว่าพลางโบกไม้โบกมือให้นักกีฬา


“หล่อแล้วยังไง” ภาณุกอดอกมองบรรดาเพื่อนผู้หญิงในห้องอย่างไม่สบอารมณ์


“นี่ ๆ แกอิจฉาเขาเหรอฉาย” คนที่นั่งอยู่ด้านหลังสะกิดถาม


“น้อย ๆ หน่อยยัยหวาน เราจะอิจฉาทำไม”


“ก็เขามาจากกรุงเทพฯ ขาว สูง หุ่นดี เป็นนักกีฬา แถมสาวยังกรี๊ดขนาดนั้น”


“มาจากกรุงเทพฯ แล้วยังไง หุ่นดีแล้วยังไง เป็นนักกีฬาแล้วยังไง” ภาณุทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ก็ไม่ยังไง แค่เป็นนักกีฬาตัวจริง ไม่เหมือนบางคนที่อยู่ชมรมฟุตบอลมาตั้งแต่ม.หนึ่ง แต่เป็นแค่เด็กเก็บบอล”


“ย...ยัยหวาน นี่หลอกด่าเหรอ”


“ด่าตรง ๆ แต่คนถูกด่ามันไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนด่า” สาวน้อยยื่นหน้ายื่นตาท้าทาย


ภาณุทำหน้าทมึงทึง กำลังจะอ้าปากเถียงแต่คนข้าง ๆ ก็ยื่นมือเข้าห้ามทัพไว้เสียก่อน


“เอาละ ๆ พอได้แล้ว เขาจะแข่งกันแล้ว” นคินทรกล่าว


เมื่อเสียงสัญญาณนกหวีดยาวดัง นักกีฬาทั้งหมดก็ก้าวขึ้นยืนบนแท่นกระโดดแล้วก้มตัวลง แตะมือกับขอบแท่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เจ้าหน้าที่เดินเข้าประจำแต่ละจุดเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ทันทีที่เสียงสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ฉลามหนุ่มทั้งแปดก็พุ่งตัวลงอยู่ผืนน้ำพร้อม ๆ กัน ถึงจังหวะที่เหมาะสมต่างคนต่างวาดแขนจ้วงน้ำเพื่อพาตัวเองไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด     


“นำแล้ว ๆ ไอ้ธรรม์นำแล้วโว้ย!”


“ห่างกันครึ่งช่วงตัวเอง พี่มีนอาจจะตามทันก็ได้นะพี่ เหลืออีกตั้งรอบครึ่ง”


“นั่น ๆ ไอ้ธรรม์กลับตัวแล้ว คนแรกด้วย เร็วโว้ย! ไอ้ธรรม์!” เด็กหนุ่มตะโกนก้อง


“ช่องว่ายที่แปดก็แรงไม่ตกเลย อ้าวนั่น! แซงพี่มีนขึ้นมาแล้ว จะขึ้นมาเท่าพี่ธรรม์แล้ว” คนพูดกำหมัดแน่นด้วยความลุ้นระทึก


“ยังไงไอ้เด็กหลังเขาอย่างมันก็เอาชนะไอ้ธรรม์ไม่ได้หรอก”


กระทั่งเมื่อนักกีฬากลับตัวที่ 50 เมตรสุดท้าย จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่นั่งด้านล่าง


“พายสู้ ๆ พายสู้ ๆ” สาวน้อยป้องปากตะโกนท่ามกลางความงุนงงของคนรอบข้าง เธอมองซ้ายมองขวาก่อนจะยิ้มและส่งเสียงอีกครั้ง “พายสู้ ๆ ลำปางสู้ ๆ”


ท้ายประโยคช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกสายตาที่จ้องมองมา เธอยังตะโกนคำเดิมซ้ำ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเจ้าของชื่อจะได้ยินหรือไม่ แต่แล้วในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งลุกขึ้นตะโกนด้วยถ้อยคำเดียวกัน


“ลำปางสู้ ๆ”


ภาณุเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจู่ ๆ เพื่อนรักจะทำอะไรเช่นนี้ “เฮ้ย! นายรู้จักเขาหรือไงไปตะโกนเชียร์เขาแบบนั้นน่ะ”


คนถูกถามส่ายหัวแล้วตอบ “รู้แค่ว่าเขาเป็นตัวแทนภาคเรา ถ้าไม่เชียร์คนบ้านเดียวกันแล้วจะไปเชียร์ใคร”


เพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ต่างพากันพยักหน้าเห็นตาม ในที่สุดเสียงเรียกชื่อ “พาย” และจังหวัดลำปางก็ดังก้องไปทั่วทั้งสระ จนกระทั่งการแข่งขันสิ้นสุดลง ไม่มีใครตอบได้ว่าผู้เข้าแข่งขันในช่องว่ายใดที่สามารถแตะขอบสระได้เป็นคนแรก แม้แต่ตัวนักกีฬาเองก็ยังตอบไม่ได้ มองซ้ายมองขวาหาสิ่งที่จะมาช่วยตัดสิน ทั้งสนามเงียบกริบ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่จอแอลอีดี และเมื่อชื่อของนักกีฬาเจ้าภาพปรากฏขึ้นเป็นชื่อแรกเสียงเฮก็ดังไปทั่ว 


“ปัดโธ่โว้ย! เฉือนกันแค่หนึ่งวินาที”


“ม้ามืดจริง ๆ ลำปางแตะขอบสระที่หนึ่ง ที่สองพี่ธรรม์ ที่สามพี่มีน”   


“พายุพัด นาวาภักดิ์” ตัวแทนจากจังหวัดลำปาง คือชื่อที่โฆษกสนามประกาศว่าเป็นนักกีฬาที่ว่ายแตะขอบสระได้เป็นอันดับที่หนึ่ง แม้จะไม่ได้ทำลายสถิติใด ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นม้ามืดของรายการนี้


เสียงอื้ออึงดังปนเปกับเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียง ฉลามหนุ่มทีมเจ้าภาพรั้งแว่นตากันน้ำออกจากศีรษะด้วยท่าทางนิ่งสงบ เงยหน้ามองหน้าจอขนาดใหญ่ เมื่อเห็นชื่อของตนเองปรากฏเป็นลำดับแรก รอยยิ้มแห่งความปิติก็ระบายทั่วใบหน้า มองขึ้นไปบนอัฒจันทร์พร้อมกับโบกมือให้สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ส่งเสียงเชียร์นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาก้าวเข้ามาในสระว่ายน้ำ เธอชื่อ “สิชล” เป็นลูกสาวของ “สินธู” ผู้ที่เป็นทั้งครูสอนวิชาพลศึกษาและโค้ชสอนว่ายน้ำของเขา


ตาสีเข้มมองเลยไปยังกลุ่มเด็กหญิงชายรุ่นราวคราวเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือคนที่ตะโกนให้กำลังใจเขาเสียดังลั่น ไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ เพราะแม้จะมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดน่านแต่เขาก็ย้ายตามโค้ชสินธูมาเรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปางได้ 3 ปีแล้ว


พายุพัดละสายตาจากใครคนนั้น ดำลงใต้น้ำเพื่อลอดทุ่นลู่ว่ายเข้าหาขอบสระ เมื่อขึ้นจากน้ำก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าก่อนจะกลับเข้าสู่ห้องพักนักกีฬา ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อโฆษกสนามประกาศว่าพิธีการลำดับต่อไปคือการมอบเหรียญรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันรายการเมื่อสักครู่


“รายการว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์สองร้อยเมตรชาย เหรีญทองแดง ได้แก่ ชลชาติ วรวิวัฒน์ จากนนทบุรี...”

“...เหรียญเงิน ได้แก่ ธรรม์ณธร ทวีศักดิ์ จากกรุงเทพมหานคร...”

“...และเหรียญทอง ได้แก่ พายุพัด นาวาภักดิ์ จากลำปาง”


สิ้นเสียงประกาศ เจ้าของชื่อก็ก้าวขึ้นบนแท่นอย่างสง่าผ่าเผย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นม้ามืด แต่ฝีไม้ลายมือก็ได้ปรากฏเด่นชัดแก่สายตาของผู้คนทั่วทั้งสระ เรียกเสียงปรบมือกึกก้องไร้ข้อกังขา


เสร็จพิธีมอบเหรียญรางวัลก็จวนได้เวลาแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศ หลายคนจึงพากันลุกขึ้นมุ่งหน้าสู่สนามฟุตบอล นคินทรเดินรั้งท้ายสอดส่ายสายตากระทั่งพบเป้าหมายจึงเอ่ยขึ้น   


“พวกนายเดินไปก่อนนะ เราขอโทรหาพ่อหน่อย เสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”


“อ้าว ไหนบอกว่าพ่อให้โทรศัพท์มือถือมาไง ทำไมต้องใช้ตู้หยอดเหรียญ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“แบตหมดน่ะ”


“เออ เร็ว ๆ นะ อีกไม่กี่นาทีบอลจะเริ่มแล้ว”


เด็กหนุ่มพยักหน้าจากนั้นจึงเดินไปหยุดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งถูกติดตั้งเรียงรายอยู่บนผนังหน้าทางเข้าสระว่ายน้ำ ควานหาเศษสตางค์ในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรหาผู้เป็นพ่อที่ตอนนี้คงจะเฝ้ารอข่าวคราวจากเขาอยู่ที่โต๊ะทำงาน และเมื่ออีกฝั่งรับสายก็เป็นเวลาเดียวกับที่กลุ่มของนักกีฬา โค้ชและเจ้าหน้าที่เดินผ่านมาพอดี


“ยินดีด้วยนะ” หนุ่มน้อยตัวแทนจากจังหวัดนนทบุรีเอ่ยขึ้นขณะเดินตามร่างสูงของผู้ที่ได้รับเหรียญเงิน


“ขอบใจ” ธรรม์ณธรหันมาตอบห้วน ๆ พลางมองเลยไปยังอีกคน อดคิดไม่ได้ว่าหากเหรียญทองที่คล้องคอเขาอยู่นั้นเป็นของตน คงได้ยิ้มร่ารับถ้อยคำแสดงความยินดีเมื่อครู่อย่างเต็มใจ


“น่าเสียดาย เฉือนกันนิดเดียวเองนะพี่” เด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่แทรกขึ้น 


“ฉันว่าฟลุ้กมากกว่า” อีกคนเสริม


ชลชาติมิได้ใส่ใจคำพูดจาไม่น่าฟังของกัปตันทีมว่ายผลัดผสม เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจ้าของเหรียญทองที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมา


“ยินดีด้วย”


“ขอบใจนะ”


แม้ใบหน้าจะนิ่งเรียบ กระนั้นคนฟังก็ยังรับรู้ถึงความจริงใจได้มากกว่า


“ไปยินดีกับมันทำไม มันชนะนายนะ” ธรรม์ณธรแสดงทีท่าไม่พอใจ เมื่อเห็นชลชาติซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมไปพูดดีกับคู่แข่ง


“แสดงความยินดีกับคนชนะไม่ถูกหรือไง” 


“ก็แค่เด็กหลังเขาละวะ ดีที่สุดก็คงแค่เหรียญทองกีฬาเยาวชนนี่แหละ”


พายุพัดจ้องคนพูดตาเขม็ง มือกำเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปน นัยน์ฉายแววโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังสามารถสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้
“บ้านเราอยู่หลังเขาก็ดีนะพ่อ ได้เห็นหมอกทุกเช้าเลย” เสียงนั้นเรียกทุกสายตาให้จับจ้องไปยังคนที่ยังคงแนบหูกับโทรศัพท์


“ปละ...เปล่าพ่อ ม่อนไม่ได้ละเมอ ม่อนก็แค่คิดถึงบ้านน่ะครับ...”


“นายเรียนที่ลำปางเหรอ” ชลชาติถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง


“ใช่” คนถูกถามตอบเพียงสั้น ๆ


“ซ้อมหนักมากเลยละสิ แรงไม่ตกเลย ห้าสิบเมตรสุดท้ายเราตามไม่ทันเลย”


พายุพัดเพียงแต่พยักหน้าด้วยไม่อยากเป็นจุดสนใจของพวกที่พูดจาดูถูกเขา


“เมื่อไรรถจะมารับวะ เบื่ออยู่ที่นี่จะแย่แล้ว ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาเลยสักนิด หันไปทางไหนก็มีแต่บ้านเก่า ๆ ทุ่งนา ป่าแล้วก็ภูเขา” ธรรม์ณธรกล่าวอย่างฉุนเฉียว


“โน่น...รถมาพอดี ไปกันเถอะ” กัปตันทีมว่ายผลัดผสมว่าพลางกอดคอเพื่อนทั้งสอง ไม่วายหันมายักคิ้วเยาะหยันก่อนจะพากันเดินจากไป


“ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะ” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ไม่เป็นไรหรอก เราก็เด็กหลังเขาจริง ๆ อย่างที่พวกนั้นว่า” แม้จะกล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลายแต่ภายในใจของพายุพัดกลับรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย


นคินทรวางหูโทรศัพท์ เห็นกลับมาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่ายังมีคนยืนอยู่ตรงนั้น จะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกร่างสูงใหญ่ขวางเอาไว้


“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”


“ม...มีอะไรหรือเปล่า”


ชลชาติอมยิ้มแล้วกล่าว “จำเราไม่ได้เหรอ”


นคินทรมุ่นคิ้ว “จะโกรธไหมถ้าเราบอกว่าเราจำไม่ได้”


คนฟังส่ายหัวดิกก่อนจะเฉลย “มีนไง จำได้ไหม”


“มีน?”


“อื้อ”


“มีน...” นคินทรมุ่นคิ้ว “ที่ชอบกินบลูเบอรีชีสพาย แล้วก็มีคุณแม่เป็นพยาบาลใช่ไหม”


ชลชาติพยักหน้ายิ้ม ๆ พลางนึกถึงเบเกอรีที่แม่ของอีกฝ่ายนำมาฝากขายที่โรงอาหารของโรงพยาบาล “คิดถึงบลูเบอรีชีสพายของคุณป้าวาสนาจะแย่”


ดวงตาคมกริบของฉลามหนุ่มจ้องมองคนแปลกหน้าที่ตะโกนเชียร์เขาจากบนอัฒจันทร์ ตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ตนเองจะกลายเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นพายุพัดจึงเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ


“เราไปก่อนนะ”


“อื้อ ไว้เจอกัน” ชลชาติว่าพลางมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไป แต่แล้วก็ต้องดึงสายตากลับพร้อมกับอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบ่นงึมงำ


“คนอะไร ขี้เก๊กเป็นบ้า”


“ว่าเขาขี้เก๊ก แต่ม่อนก็เชียร์เขาไม่ใช่เหรอ”


“ก็เห็นว่าอยู่ภาคเดียวกัน นี่ถ้ารู้ว่าเป็นมีนเราก็เชียร์มีนไปแล้ว”


“อย่างนั้นคราวหน้าถ้าเจอกันม่อนต้องเชียร์เรานะ ห้ามเชียร์คนอื่น”


“เออ เชียร์อยู่แล้วแหละน่า ตอบแทนที่ตอนเด็ก ๆ ทำการบ้านให้เรา”


“ยังจำได้เหรอ”


“อือ จำได้สิ ก็มีนกับเรานั่งรอพ่อแม่เลิกงานอยู่ที่โรงอาหารของโรงพยาบาลด้วยกันตั้งกี่ปี”


“จริงสินะ กินมันจนครบทุกร้านเลย” ชลชาติหัวเราะ


“ไม่เจอตั้งนาน ตัวใหญ่ขึ้นเป็นกอง ถ้าไม่ทักเราก่อนเราจำไม่ได้จริง ๆ นะเนี่ย”


“ม่อนก็ตัวสูงขึ้นตั้งเยอะ ว่าแต่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


“มาทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนน่ะ จริง ๆ ก็มาเที่ยวก่อนจะแยกย้ายไปเรียนม.สี่นั่นแหละ”


“จริงสินะ แม่เราเคยบอกว่าคุณพ่อของม่อนย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเนอะ แล้วกลับกรุงเทพฯ บ้างหรือเปล่า”


“เรากลับไปอยู่บ้านคุณปู่เฉพาะตอนปิดเทอมน่ะ มีนล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“สบายดี” เด็กหนุ่มยังคงยิ้มไม่หุบ “ดีใจจังที่ได้เจอกันอีก”


“อื้อ เราก็ดีใจ เอ้อ...ยินดีด้วยนะ ไม่คิดเลยว่าเจอกันอีกทีมีนจะกลายเป็นนักกีฬาไปแล้ว”


“ขอบใจนะ” ก่อนที่ชลชาติจะกล่าวต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“มีน โค้ชให้มาตามน่ะ”


เจ้าของชื่อหันไปพยักหน้าก่อนจะดึงสายตากลับมาที่จุดเดิม “เรา...ต้องไปแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่”


“เราก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” นคินทรว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “แล้วเจอกันนะ” พูดจบก็โบกมือลาแล้วรีบวิ่งออกมาทันที


เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบจนกระทั่งมาถึงทางเข้าสนามฟุตบอล โชคดีที่ภาณุยังคงยืนรออยู่ไม่เช่นนั้นคงต้องหาให้วุ่น สองคนเดินตามกันขึ้นไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ และอาจารย์บนอัฒจันทร์ การแข่งขันดำเนินไปได้เพียงสิบนาทีก็มีทีมหนึ่งสามารถทำประตูขึ้นนำได้สำเร็จ เรียกเสียงเฮของคนทั้งสนาม


“ม่อน ๆ” ภาณุสะกิด


“อะไร” นคินทรขมวดคิ้วเมื่อถูกขัดจังหวะ


“คนนั้นไง ที่เจอที่สระว่ายน้ำ น่ารักไหม”


“ก็น่ารักดี นายชอบเหรอ”


“มาก”


คนฟังพยักหน้ามองตามสายตาที่ราวกับถูกตรึงเข้ากับหน้าสวย เธอยืนชะเง้อหาใครบางคนอยู่ที่ด้านล่างของอัฒจันทร์ ครู่หนึ่งนคินทรก็หันกลับมาเพราะรู้สึกจั๊กจี้ เด็กหนุ่มเลื่อนตาลงมองมือของภาณุที่กำลังเกาต้นแขนของตนเพื่อระบายความเขินแล้วกล่าว


“ตาเยิ้มเชียวนะ”


“โอ๊ย! น่ารักเนอะ สนามฟุตบอลเป็นพยาน ถ้าได้เจออีกนะจะจีบมาเป็นแม่ของลูกให้ได้เลย”


“ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เรียนที่ไหนเนี่ยนะ”


คนขี้เล่นเปลี่ยนสีหน้ายืดตัวตรงก่อนจะพูดเสียงขรึมจนน่าหมั่นไส้ “นายจะรู้อะไร ของแบบนี้มันต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตนะม่อน”


“เดินไปขอเบอร์ง่ายกว่าไหม” นคินทรส่ายหัวพลางเบนสายตาไปยังร่างเล็ก ยากจะปฏิเสธว่าเธอน่ารักจริงตามที่อีกฝ่ายพูด ไม่นานสาวน้อยก็นั่งลงข้างใครคนหนึ่ง นักกีฬาเจ้าของเหรียญทองคนนั้น...ที่แท้เขาก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง...   


“โทษทีพาย สิเจอเพื่อนที่โรงเรียนน่ะ เลยคุยกันนานไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร เราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”


“ขอบคุณมากนะที่ช่วยอยู่ดูเป็นเพื่อนน่ะ ถ้าไม่อ้างว่าพายก็มาดูด้วย พ่อต้องลากสิกลับแน่ ๆ เลย”


“ตลกดีนะ พ่อเป็นโค้ชว่ายน้ำ แต่ลูกสาวกลับชอบฟุตบอล”


“ก็มันเบื่อนี่นา จำความได้ก็อยู่แต่กับสระว่ายน้ำ นี่ถ้าพ่อบังคับให้สิเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วยมีหวังสิได้หนีออกจากบ้านแน่”
พายุพัดฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม


“ไม่เจอนานเลยนะ ไม่ค่อยได้กลับบ้านเหรอ”


“อือ ไม่ค่อยได้กลับน่ะ หลังงานศพพ่อก็ไม่ได้กลับอีกเลย แล้วสิมาลำปางได้ยังไง”


“แม่มาส่งน่ะ แม่ต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดเลยมาส่งสิไว้กับพ่อ มาอยู่ได้หลายวันแล้วละ เห็นพ่อบอกว่าพายแข่ง สิก็เลยขอตามมาเชียร์ด้วย”


“ขอบใจนะ”


“เอ้อ แล้วนี่ตัดสินใจได้หรือยังว่าม.สี่จะเรียนที่ไหน”


“ว่าจะไปสอบเข้าโรงเรียนในกรุงเทพฯ น่ะ ใช้โควตานักกีฬาน่าจะพอมีโอกาส”


“ไกลจัง พายไม่คิดถึงบ้านเหรอ”


“คิดถึงทำไม อยู่มาตั้งแต่เกิด จนไปแข่งที่ไหนใคร ๆ ก็เรียกเราว่าเด็กหลังเขา”


“สนใจพวกนั้นทำไมกัน พวกชอบดูถูกคนอื่น บ้านเราน่าอยู่จะตายไป”


“แต่ถ้าได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็คงมีโอกาสมากกว่าอยู่ที่นี่”


“อืม...ก็จริงนะ ถ้าพายได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ละก็ อีกหน่อยสิต้องมีเพื่อนติดทีมชาติแน่ ๆ เลย” สิชลยิ้มกว้างพยายามกดเสียงให้ต่ำแล้วกล่าวเลียนแบบโฆษกสนาม “ฉลามพระพาย เจ้าของสถิติว่ายฟรีสไตล์สองร้อยเมตรในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์”


พายุพัดยิ้มจาง ๆ มิได้ขัด เพราะเขาเองก็หวังไว้เช่นนั้น หรืออาจจะไกลกว่านั้นด้วยซ้ำ...


สิ้นสุดการแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศก็ได้เวลากล่าวคำอำลา นั่นเพราะสิชลต้องเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดน่านพร้อมกับพ่อของเธอ และแม้โค้ชสินธูจะหว่านล้อมอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าพายุพัดซึ่งเป็นศิษย์รักจะยอมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วยกัน
หลังจากส่งสิชลขึ้นรถแล้ว เด็กหนุ่มจึงย้อนกลับไปยังสนามฟุตบอลอีกครั้ง ที่นั่นแทบจะไม่เหลือใครแล้วนอกจากเจ้าหน้าที่เทศบาลไม่กี่คนที่กำลังช่วยกันเก็บกวาดขยะ พายุพัดเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์หวังจะหาที่เงียบ ๆ อยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวนบางเรื่อง ขายาวก้าวไปตามขั้นบันไดดวงตามองไปข้างหน้า พลันภาพของใครบางคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ไม่ไกลก็ทำให้เขาต้องชะลอฝีเท้า


นคินทรคว้าโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างเก้าอี้นั่งได้ก็เดินลิ่วลงจากอัฒจันทร์และเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหย่อนต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งลงในกระเป๋าจึงทำให้เกือบปะทะเข้ากับร่างสูงของหนุ่มนักกีฬาที่เดินสวนขึ้นมา เมื่อถึงจุดหนึ่งต่างคนต่างเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป กระทั่งประโยคหนึ่งหลุดจากปากของเจ้าของใบหน้านิ่งขรึม ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันเพียงเสี้ยววินาที


“ขอบคุณนะที่เชียร์” 



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 15:14:26 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

รถเก๋งสีดำแล่นเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ภายในรั้วของโรงเรียนเมื่อจวนได้เวลานัด พันโทนายแพทย์ธรณินในเครื่องแบบทหารเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตรงไปนั่งที่ม้าหินอ่อน มือประสานกันตรงหน้าในหัวยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งประชุมเสร็จไปเมื่อตอนก่อนเลิกงานจึงไม่ทันได้สนใจคนที่เดินมาหยุด จนอีกฝ่ายต้องทักทายเป็นครั้งที่สอง


“สวัสดีค่ะท่านผอ.โรงพยาบาลค่าย”


“อ...เอ้อ สวัสดีครับ”


“ตายจริง ดิฉันมารบกวนหรือเปล่าคะเนี่ย”


“ไม่หรอกครับ ต้องขอโทษด้วย พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นขอนั่งด้วยคนนะคะ”


“เชิญครับ” พันโทนายแพทย์ธรณินผายมือพลางลอบมองใบหน้าของคู่สนทนา สมองประมวลผลอยู่ชั่วอึดใจก็นึกได้ว่าที่แท้เธอก็คือคุณนายท่านปลัดจังหวัดที่เคยพบตามงานการกุศลต่าง ๆ นั่นเอง


“ท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายคงมารอรับลูกเหมือนกันสินะคะ”


“ครับ คุณศจีเรียกชื่อผมก็ได้ครับ ไม่ต้องมากพิธี”


“เรียกแบบนี้แหละค่ะดีแล้ว เราเป็นคนมียศฐาบรรดาศักดิ์เราต้องภูมิใจในยศฐาบรรดาศักดิ์ของตัวเองสิคะ”


“ครับ คุณนายท่านปลัดจังหวัด” ธณินจำต้องเปลี่ยนคำเรียก


เมื่อได้ฟัง คุณนายศจีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพออกพอใจ “ลูกชายท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายนี่ขยันจังเลยนะคะ มาเรียนพิเศษด้วย ยัยเอ้ลูกสาวดิฉันก็ขอไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เพิ่งไปส่งไว้ที่บ้านญาติมาเมื่อวันก่อนนี่เอง วันนี้ก็มารับลูกชายคนเล็กค่ะ ปิดเทอมไม่อยากให้เที่ยวเล่นไร้สาระ เลยส่งให้มาเรียนพิเศษที่โรงเรียน”


“ลูกชายผมไม่ได้มาเรียนพิเศษหรอกครับ แกขอไปทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ น่ะ”


“อุ๊ย! ตายจริง ทัศนศึกษาเหรอคะ” คุณนายปลัดจังหวัดปิดปากตกใจที่ได้ฟัง แต่สุดท้ายก็แสร้งเห็นดีเห็นงามด้วย “ก็ดีนะคะ จะได้ไปเปิดหูเปิดตา เรียนรู้นอกห้องเรียนก่อนแล้วค่อยเรียนพิเศษ”


ธรณินพยักหน้าเห็นด้วยกับบางช่วงบางตอนของถ้อยคำ นึกขอบคุณการประชุมผู้ปกครองที่ทำให้จิตใจของเขาเริ่มมีภูมิต้านทานและเข้าใจวิถีของความเป็นพ่อเป็นแม่ที่อยากจะอวดลูกต่อหน้าธารกำนัลทุกครั้งที่มีโอกาส


“อันที่จริงผมก็ไม่เคยให้ลูกเรียนพิเศษเลย เพราะแกไม่เคยขอ” คนเป็นพ่อตอบตามจริง


“ไม่ขอก็บังคับได้ค่ะท่านผอ.โรงพยาบาลค่าย เราเป็นพ่อเป็นแม่นะคะ เราทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับลูก การให้ลูกเรียนพิเศษก็เป็นการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะอีกไม่กี่ปีลูกก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ว่าแต่คุณพ่อเป็นท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายแบบนี้จะให้ลูกชายเป็นหมอหรือเป็นทหารดีคะ หรือจะให้หมอทหารเหมือนคุณพ่อ”


พันโทนายแพทย์ธรณินยังไม่ทันได้ตอบคำถาม รถบัสคันใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณโรงเรียน เด็กหญิงชายทยอยเดินลงจากรถ ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำอำลาอาจารย์ประจำชั้นก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน


“ตายจริง ดูแต่งตัวกันเข้า ไม่ไหวเลยนะคะเด็กสมัยนี้” คุณนายปลัดจังหวัดยกมือขึ้นทาบอกเมื่อเห็นเด็กสาวสวมเชือกถักเต็มข้อมือดูรกรุงรัง ส่วนเด็กหนุ่มบางคนก็สวมกางเกงยีนขาด ๆ แม้จะเป็นการแต่งตัวตามยุคสมัยแต่ก็ยังขัดใจคุณแม่เจ้าระเบียบอย่างเธออยู่ดี


“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณนายท่านปลัดจังหวัด” พันโทนายแพทย์ธรณินลุกขึ้น เขาเลือกที่จะกลับไปรอที่รถแทนที่จะให้ลูกชายเดินมาหาตนเองที่นี่


“พ่อ! รอม่อนด้วย!” นคินทรร้องเรียก เห็นผู้เป็นพ่อหยุดเดินจึงรีบวิ่งเข้าไปหา เด็กหนุ่มยิ้มร่าพลางยกมือไหว้ “พ่อมารอม่อนนานไหมครับ”


“ไม่นานหรอก” พูดพร้อมกับโอบไหล่ลูกชายเอาไว้ “กว่าพ่อจะเลิกประชุมก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว แล้วเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม”


“สนุกมากเลยครับพ่อ ม่อนไปเที่ยววัด พิพิธภันณ์ หอศิลป์ ไปดูเขาทำเซรามิก แล้วก็ไปดูกีฬา มีฟุตบอล ว่ายน้ำแล้วก็กรีฑาด้วย”


“แล้วชอบอะไรมากที่สุด”


“ม่อนชอบว่ายน้ำที่สุด”


“ทำไมล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามอย่างแปลกใจด้วยรู้ดีว่าลูกชายของตนว่ายน้ำไม่เป็น


“ม่อนว่านอกจากแข่งเป็นกีฬาแล้วยังเอาไว้ช่วยคนอื่นได้อีก” พูดจบก็ขยับตัวออกห่าง “ตอนนักฬากระโดดลงไปในน้ำแล้วนะพ่อ เขาก็ว่ายแบบนี้ แล้วก็จ้วง ๆๆ ไม่ยั้งเลย”


ธรณินเห็นลูกชายทำท่าทางประกอบแล้วอดขำไม่ได้ “ท่าได้นี่ ลูกอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไหม พ่อจะส่งไปเรียน”
ลูกชายส่ายหัวดิกเดินกลับสู่อ้อมแขนของผู้เป็นพ่อเหมือนเดิม


“ถ้าอย่างนั้นลูกอยากเป็นอะไร”


ลูกชายก็ยังคงเอาแต่ส่ายหัว


“ไม่ฝันอยากเป็นอะไรเลยเหรอ” มือใหญ่กระชับแน่นขึ้น


“อืม...ม่อนไม่แน่ใจ แต่ม่อนเป็นอะไรก็ได้ที่พ่อกับแม่อยากให้เป็น เพราะม่อนรู้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อกับแม่กลั่นกรองมาแล้ว ถ้าพ่ออยากให้ม่อนเป็นหมอทหารแบบพ่อ ม่อนก็จะตั้งใจเรียน ทำคะแนนสอบให้ดี ม่อนไปเรียนว่ายน้ำก็ได้” นคินทรกล่าวพลางปลดเป้วางไว้ที่เบาะหลัง


“ม่อนอยากทำให้พ่อกับแม่มีความสุข เหมือนที่พ่อก็ทำให้คุณปู่มีความสุข” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในรถ


คำพูดของลูกชายทำให้พันโทนายแพทย์ธรณินได้หวนนึกถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจสอบเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ทหาร ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะติดยศรับราชการเพียงแค่อยากเป็นหมอรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เพราะพันเอกปฐพีผู้เป็นบิดามีความประสงค์อันแรงกล้าที่จะให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้ก้าวตามรอยพ่อบนเส้นทางนักรบ ดังนั้นลูกชายคนโตของตระกูลจึงต้องยื่นข้อเสนอขอพบกันครึ่งทางโดยการเป็นหมอทหารนั่นเอง


“ขอบใจนะม่อนที่ลูกคิดแบบนี้ พ่อเองก็อยากให้ลูกมีความสุข” มือใหญ่เอื้อมวางบนศีรษะลูกชายก่อนจะกล่าว “ลูกอยากกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไหม”


“ไม่ครับ ม่อนอยากอยู่กับพ่อกับแม่มากกว่า”


“แต่ถ้าลูกกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ ลูกก็จะได้มีโอกาสมากกว่าคนอื่น ๆ บางทีอาจจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็ได้”


“ม่อนคิดแค่...อยากอยู่กับเพื่อน ๆ ที่นี่ไปจนเรียนจบน่ะพ่อ” นคินทรตอบไม่เต็มเสียงด้วยไม่มั่นใจว่าคำพูดของตนจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ฟังหรือไม่


ธรณินโยกหัวลูกชายเบา ๆ อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเด็กก็ต้องการอยู่แค่นี้ แค่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้เล่นสนุกกับเพื่อน พลันรอยยิ้มอ่อนโยนก็เจือขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ด้วยรู้ดีว่าชีวิตในวัยเยาว์นั้นเหมือนกับสายลมรำเพย พัดมาให้หวนนึกถึงทีไรก็มีแต่จะทำให้สุขสดชื่นหัวใจทุกครั้ง


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ

หายไปปีกว่า กลับมาคราวนี้รื้อฟื้นอยู่นานว่าต้องทำอะไรบ้าง
ดีใจที่ได้เจอทุกคนอีกครั้งค่ะ เราเริ่มคิดพล็อตแล้วก็เขียนเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
จากนั้นก็ปล่อยทิ้งมานานเลย มีแพลนไปจังหวัดน่านอีกครั้งในกลางปีนี้
กะว่าจะเริ่มเขียนอีกทีหลังจากกลับมา จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ฟังเพลง ๆ หนึ่งแล้วอยากเขียนต่อ เลยรื้อไฟล์ขึ้นมา
เริ่มหาข้อมูลเพิ่มก็เลยมีโอกาสเก็บเล็กผสมน้อย เขียนสะสมไปเรื่อย ๆ จนได้มา 1 ตอนค่ะ
เป็นการแนะนำตัวละครก็แล้วกัน ตอนเดียวก็ออกมาจนเกือบหมดแล้ว ความเร็วในการเขียนอาจจะตกลงไปเยอะมาก ๆ
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามและหวังว่าจะทุกคนจะชอบนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 15:16:58 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
คิดถึงจังเลย


ขอบคุณเรื่องรักดีๆๆๆ ของถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

อ่านแล้วได้ บรรยากาศ กลิ่นอาย ภาคเหนือ

หนุ่มลำปาง เป็น พระเอก ละสิเนีย 

:กอด1:  พาย*ม่อน


 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ม่อนน่ารักเป็นเด็กดีเรื้องจะดราม่าไหมน้าติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
น่าอ่านมากๆค่ะ ชอบความค่อยๆดำเนินแต่ก็กระชับไม่เยิ่นเย้อ
อ่านไปเหมือนได้กลิ่นอายของสายลมแผ่วๆจริงจัง^^
รอติดตามการได้พบเจอรู้จักและสัมพันธ์ของทุกๆตัวละครค่ะ
ขอบคุณนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ครอบครัวม่อนนี่อบอุ่นดีจังเลย

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เราชอบหนุ่มนักกีฬา~~~
อยากให้หนุ่มๆ เขากิ๊กั๊กกันเร็วๆ แต่ดูท่ากว่าจะได้จีบกันตามถ้าเธอสไตล์คงหน้าที่ร้อยเป็นอย่างน้อย แถมโปรยมาว่าเริ่มด้วยความเกลียดเราคงหวังที่สองร้อยเป็นอย่างต่ำ
ว่าแต่... สองหนุ่มดูจะพบกันด้วยดี แล้วนี่จะโกรธเกลียดกันด้วยเรืองอะไร...ม่อนจะไปเดินเตะพายตกขอบสระอ่ออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ดีใจที่มีเรื่องใหม่
ปล เราซื้อ คุณไปรษณี มาแล้ว

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ปักกกกก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ดูน่าจะออกแนวใสๆ คงไม่ดราม่าเท่าไหร่นะ
มารอตอนต่อไปจ๊ะ
 :really2:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ดีใจจังเลยค่ะ ที่คุณมาลงเรื่องใหม่ ชอบสำนวนการเขียนของคุณมากเลยค่ะ อ่านตอนที่แข่งว่ายน้ำแล้วทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่องRoughขึ้นมาเลยล่ะค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
มารอติดตามเรืรองใหม่นะครับ คิดถึงสำนวน คิดถึงความรู้สึกอุ่น ๆ เวลาอ่านแบบนี้มากเลยครับ :)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่


รถจักรยานยนต์ของพ่อที่เคยจอดในโรงรถบัดนี้ถูกจูงออกมาปัดฝุ่นและตรวจสอบสภาพโดยผู้เป็นลูกชาย ลองติดเครื่องบิดคันเร่งเสียงดังจนควันโขมง เมื่อเห็นว่าเครื่องยนต์ยังใช้การได้ดี พายุพัดจึงจัดการล้างทำความสะอาดแล้วจูงไปจอดทิ้งไว้ที่ใต้ร่มไม้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองไปยังเนินซึ่งมีรูปปั้นพญานาคทอดตัวยาวไปตามแนวลาดเขา ถัดขึ้นไปคือวัดสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีกระต่าย พายุพัดดึงสายตากลับก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงโคนต้นเสี้ยวขาวต้นใหญ่ เบื้องหน้าคือที่นาผืนกว้างที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้หลังจากเสียชีวิตลงเมื่อปีกลาย และผู้ที่รับหน้าที่ดูแลต่อก็คือแม่ของเขา   


“เอาแบบนี้จริง ๆ เหรอ” หญิงสาววัย 20 ปีกล่าวเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ 


เธอคือเพียงพรรษ ผู้ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเล็กว่าจะเป็นเกษตรกรเหมือนพ่อกับแม่ ดังนั้นเธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนในสาขาวิชาการเกษตรหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา และในที่สุดความพยายามก็เป็นผลเมื่อเธอสามารถสอบเข้าเรียนที่คณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ได้สำเร็จ   


“แบบนี้แหละดีแล้ว” น้องชายตอบเรียบ ๆ


“แล้วเรื่องว่ายน้ำล่ะ”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะ พี่ฝนเรียนจบแล้วก็รีบกลับมาอยู่กับแม่ก็แล้วกัน พายจะได้ไปทำอะไรที่พายอยากทำบ้าง”


พี่สาวพยักหน้า “พี่ขอบใจพายนะที่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่สัญญาว่าจะรีบกลับมา พี่จะทำให้มรดกที่พ่อทิ้งไว้งอกเงยให้ได้ พายกับแม่จะได้สบาย”


“ไม่ต้องเผื่อแผ่มาถึงพายหรอก พี่ฝนดูแลแม่ให้ดีก็พอ อยากทำอะไรกับที่ดินของพ่อก็ทำเถอะ พายไม่ได้คิดว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไปอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้พายอยากจะพาแม่กับพี่ฝนไปอยู่ที่อื่นด้วยซ้ำ”


พี่สาวมิได้แสดงทีท่าตกใจเมื่อได้ยิน นั่นเพราะน้องชายของเธอมักกล่าวเช่นนี้อยู่เสมอ แต่คนเป็นพี่ก็อดพูดเตือนสติไม่ได้ “แต่นี่บ้านเรานะพาย”


“หลังเขานี่น่ะเหรอ” น้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน ส่วนสายตายังคงจับจ้องเมฆสีขาวที่เคลื่อนต่ำลงจนแทบจะบดบังทิวเขาซึ่งทอดตัวยาวเป็นฉากหลังของท้องทุ่งกว้างใหญ่ “ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย ไกลโรงพยาบาล ไม่มีหมอเก่ง ๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครช่วยเราได้เลย”


“พาย...” เพียงพรรษยกมือขึ้นบีบเบา ๆ ที่ไหล่ของน้องพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่อีกฝ่ายมีอายุได้เพียง 5 ขวบเศษ ช่วงนั้นฝนตกตั้งแต่เช้าจดค่ำ ลมแรงพัดหลังคาบ้านหลายหลังเปิดจนชาวบ้านอยู่กันไม่ได้ แม่ตัดสินใจพาเธอและน้องหนีตายขึ้นไปบนเนินอาศัยชายคาวัดเพื่อหลบฝน ส่วนพ่อกับพวกอีก 2-3 คน มุ่งหน้าไปยังภูเขาเพื่อตรวจดูฝายชะลอน้ำ ด้วยเกรงว่ากล้าข้าวที่เพิ่งปักดำไปเมื่อไม่กี่วันจะเสียหายหากฝายพัง ใครห้ามก็ไม่ฟัง นั่นเพราะข้าวแต่ละเม็ดจะถูกแปลงเป็นเงินสำหรับให้ลูกชายคนเล็กได้เรียนในโรงเรียนที่ดี แต่โชคร้ายที่เกิดน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขา ร่างของพ่อจมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก เช้าวันต่อมาเพื่อนบ้านพากันออกตามหา ในที่สุดก็พบร่างอันบอบช้ำอยู่ใต้ซากต้นไม้ใหญ่ที่หักโค่นแล้วไหลลงมากองรวมกันบริเวณที่นาของชาวบ้าน ใครที่ได้เห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคงจะหมดหนทางรอด


แต่พ่อก็ใจสู้เหลือเกิน พ่อถูกนำส่งไปที่โรงพยาบาล เมื่อแพทย์ทำการเอกซเรย์พบว่ากระดูกสันหลังหัก ขณะนั้นยังขาดเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยรวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พ่อจึงถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลที่พร้อมกว่าเพื่อทำการผ่าตัด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นครอบครัวที่เคยอยู่กันอย่างสุขสบายพอมีพอกินก็พังไม่เป็นท่า เพราะผู้ซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านต้องกลายเป็นอัมพาตครึ่งท่อน แม้จะทำกายภาพบำบัดอยู่หลายปีแต่พ่อก็ไม่สามารถเดินเหินและขับถ่ายได้เป็นปกติ จากคนที่ร่างกายแข็งแรงกลับป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เงินทองที่สะสมมาก็ร่อยหรอ ยังดีที่น้องชายสอบชิงทุนเข้าเรียนในโรงเรียนกีฬาที่จังหวัดลำปางได้ นอกจากจะทำให้เธอสามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเดิมได้แล้วยังแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในบ้านไปได้พอสมควร กระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วจู่ ๆ พ่อก็ไข้ขึ้นสูงติดต่อกันหลายวัน แม่ต้องขอให้เพื่อนบ้านขับรถพาไปโรงพยาบาลกลางดึก เมื่อไปถึงพ่อก็ไม่รู้สึกตัวเสียแล้วและหลังจากนั้นอีกเพียง 2 วันพ่อก็จากทุกคนไปอย่างไม่มีวันกลับ แพทย์เจ้าของไข้สรุปสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อว่าเกิดจากการติดเชื้อในปอด และด้วยเหตุการณ์ในคราวนั้นน้องชายของเธอจึงมักเฝ้าโทษตนเองอยู่เสมอว่าเขาเป็นต้นเหตุที่นำพาความโชคร้ายมาสู่ครอบครัว 


“อย่าคิดมากนะ พี่รู้ว่าพายเองก็พยายามทำทุกอย่างให้บ้านเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม พี่รู้ว่าพายรักการว่ายน้ำ และพายไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่ทำเพื่อเราทุกคน เพื่อพี่ เพื่อแม่ แล้วก็เพื่อพ่อ”


เจ้าของชื่อฟังแล้วน้ำตารื้น จำต้องเสมองไปทางอื่น เพียงพรรษราวกับอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่เสียแรงที่เขาไว้ใจเธอและยกให้เธอเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด


“ถ้าจะมีคนที่ต้องรู้สึกผิดก็ขอให้เป็นพี่เถอะ” มือเล็กคลายจากไหล่หนาเลื่อนลงกำแน่นบนหน้าตัก “เพราะพี่... พายถึงต้องไปเรียนไกลบ้าน”


“พูดอะไรอย่างนั้น ถึงจะไกลไปหน่อย แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพายนะ” เด็กหนุ่มมองมือขาวอย่างตัดสินใจ น้อยครั้งที่เขาจะแสดงความรู้สึกจริง ๆ ให้ใครได้เห็น ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็มักจะถูกสะกดไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งขรึม แต่เพราะเป็นพี่สาว พายุพัดจึงวางมือของตนบนมือของอีกฝ่ายเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ภายใน ซึ่งสองคนสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครพูดมันออกมา


เพียงพรรษเอนกายพิงร่างของน้องก่อนจะเอียงศีรษะพักลงบนบ่ากว้าง ปากเรียวปิดสนิท ดวงตาทอดมองทุ่งนาเขียวขจีที่ตอนนี้ภาพนั้นกลับพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา


“เป็นอะไรไป”


“คิดถึงพ่อน่ะ ถ้าพ่อยังอยู่คงได้ร้องเฮลั่นบ้านแน่ ๆ ตอนที่รู้ว่าพายได้เหรียญทอง”


“นั่นสินะ” เด็กหนุ่มเผลอยิ้มเมื่อนึกถึงชายผู้เป็นได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่เป็นเทวดาที่สามารถเสกรถของเล่นให้เขาได้ เป็นเครื่องบินที่พาเขาลอยขึ้นกลางอากาศ หรือแม้กระทั่งเป็นม้าให้เขาขี่


พายุพัดนั่งนิ่งกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ฝืนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “มาทำซึ้งอะไรเนี่ย”


“ก็ไม่อยากให้คิดมากไง เลิกคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้พ่อป่วยได้แล้วรู้ไหม” เพียงพรรษบอกก่อนจะขยับออกห่าง ยกมือขึ้นขยี้หัวน้อง “ไปกินข้าวกัน แม่ทำกับข้าวฉลองแชมป์ว่ายน้ำกีฬาเยาวชนแห่งชาติไว้เยอะแยะเลย”


พูดจบก็เตรียมจะลุกแต่คนข้าง ๆ กลับชิงลุกขึ้นเสียก่อน หญิงสาวมองมือที่น้องชายยื่นให้ พลันรอยยิ้มก็ระบายไปทั่วทั้งใบหน้า มือขาววางลงบนมือใหญ่ กระทั่งอีกฝ่ายออกแรงดึงเพียงนิดคนตัวเล็กก็ยืนขึ้นเคียงข้างเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กที่จูงมือกันเดินเล่นไปตามคันนา เพียงพรรษเพิ่งสังเกตว่าขณะนี้พายุพัดสูงกว่าตนเองอยู่มากโข ไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยที่คอยหลบหลังพี่สาวอีกต่อไปแล้ว


“เก็บกระเป๋าเรียบร้อยหรือยัง กินข้าวเสร็จพายจะไปส่งขึ้นรถ”


“เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ ว่าแต่พายจะไปส่งพี่ยังไง”


“ก็ลมกลดของพ่อนี่ไง” น้องชายบอกพลางบุ้ยปากไปยังรถจักยานยนต์คันเก่าที่จอดอยู่


“จริงด้วยสิ พี่เกือบลืมไปเลยว่าบ้านเรามีลมกลด ปกติเห็นแม่ขับแต่รถยนต์”


“เครื่องยังดีอยู่ เอาไปเปลี่ยนยางแล้วก็ถ่ายน้ำมันเครื่องเสียหน่อยก็คงกลับมาเป็นลมกลดสมชื่อ”


“อืม...จะว่าไปมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็อายุพอ ๆ กับพายเลยนะเนี่ย ปีนั้นพายุเข้าพ่อก็เลยตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิดกับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้คล้องจองกัน” พี่สาวอมยิ้ม


“เลิกแซวได้แล้วน่า”


“ดีแล้ว พายจะได้ขี่ไปโรงเรียน”


“อือ”


“รับรองสาวกรี๊ด”


“เก่าขนาดนี้สาวที่ไหนจะกล้าซ้อนท้าย”


“ก็...สิไง ได้ข่าวว่าย้ายมาเรียนที่เดียวกัน”


“ข่าวไวเนอะ แม่บอกสิท่า” พายุพัดตอบพลางยกมือขึ้นเกาต้นคอ “เขามีแม่คอยรับส่งจะมาซ้อนท้ายพายทำไม”


“ก็ไม่แน่นะ แล้วตกลงคนนี้ยังไง เรียกแฟนได้หรือยัง”   


“ฟงแฟนอะไรเล่า ไปกินข้าวดีกว่า” พูดจบร่างสูงก็รีบก้าวยาว ๆ หวังจะหนีข้อสันนิษฐานของพี่สาวให้พ้น


“อ้าว เดี๋ยวสิพาย กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน” เพียงพรรษทักท้วง แต่น้องชายก็เดินไปไกลเสียแล้ว


พายุพัดเดินกลับเข้าไปในบ้าน ภาพที่เห็นคือแม่กำลังยืนลูบ ๆ คลำ ๆ เหรียญรางวัลที่เขาวางไว้หน้าโกศใส่กระดูกของผู้เป็นพ่อ อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดผู้หญิงคนนี้จึงมีจิตใจที่เข้มแข็งนัก นอกจากจะต้องเลี้ยงลูก 2 คน ต้องพยาบาลสามีเป็นอัมพาตที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังต้องดูแลเลือกสวนไร่นาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่นำรายได้มาสู่ครอบครัว ทั้งที่มีโอกาสละทิ้งทุกอย่างไปหาความสบาย แต่แม่ก็เลือกที่จะอยู่เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน


“แม่” ลูกชายเอ่ยขึ้นพลางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะหยุดตรงหน้าผู้ให้กำเนิด สังเกตเห็นคราบน้ำตากรังไปทั้งสองแก้ม แต่ริมฝีปากยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม 


“หิวหรือยังลูก ไปกินข้าวกัน” แม่กล่าว


พายุพัดจ้องมองดวงหน้านั้นไม่วางตา แม่ต่างกับเขาตรงที่ไม่ว่าในใจจะรู้สึกอย่างไร เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ใจสักเพียงไหน หรือเศร้าโศกสักเท่าใด แม่ก็ยังยิ้มได้เสมอ และรอยยิ้มนี้ก็เป็นดั่งน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงหัวใจของทุกคนในบ้านให้ยืนหยัดต่อสู้ไปด้วยกัน หรือหากจะมีคนที่ถูกยกเว้นก็คือตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นเพียงพรรษไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องไปเรียนไกลบ้าน เพราะยิ่งไกลเขาก็ยิ่งไม่ต้องรับรู้ถึงความยากลำบากที่ครอบครัวต้องเผชิญ แม้แต่วันที่พ่อหมดลมหายใจก็ยังไม่มีโอกาสได้อยู่ดูใจกันเป็นครั้งสุดท้าย


“ขอกอดหน่อยได้ไหมแม่” เป็นครั้งแรกที่ปากตรงกับใจมากที่สุด ลูกชายไม่รอฟังคำตอบ สอดแขนเข้าโอบเอวร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าที่แบกรับภาระอันหนักอึ้งมาแสนนาน


“พาย เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ถามพลางเลื่อนมือขึ้นลูบบนแผ่นหลังกว้าง


“คิดถึง”


คำตอบสั้น ๆ ทำเอาคนฟังน้ำตารื้น


“แม่ก็คิดถึงลูก”


ยิ่งได้ฟัง พายุพัดยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้น ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความคิดถึงเอาไว้ได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มปล่อยโฮอย่างที่ไม่เคยมาก่อนจนผู้เป็นแม่เองก็ยากจะฝืนยิ้มได้


เพียงพรรษที่เกาะประตูเฝ้ามองอยู่นานรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ กางแขนเล็กโอบทั้งน้องชายและแม่เอาไว้ แล้วทั้ง 3 คนก็กอดกันกลมร้องไห้ต่อหน้ารูปของพ่อ


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 19:14:48 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เมื่อเสร็จพิธีการหน้าเสาธงในเช้าวันแรกของการเปิดภาคการศึกษา บรรดานักเรียนหญิงชายต่างทยอยเดินขึ้นไปยังห้องของตนเพื่อพบกับอาจารย์ประจำชั้นในชั่วโมงโฮมรูม นคินทรยืนรออยู่ที่ใต้ถุนอาคารพร้อมกับชะเง้อหาคนที่จู่ ๆ ก็หายตัวไปตั้งแต่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนยังให้โอวาทไม่ทันเสร็จ ไม่เห็นวี่แววว่าภาณุจะโผล่มาจึงตัดสินใจเดินขึ้นห้องเรียนไปก่อน แม้ในเทอมนี้จะเปลี่ยนห้องโฮมรูม แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงเลือกนั่งที่โต๊ะในตำแหน่งประจำซึ่งค่อนไปทางด้านหลังของห้องเหมือนเคย ไม่นานเหล่านกกระจอกแตกรังก็เงียบเสียงลงเมื่ออาจารย์นภาปรากฏตัวขึ้น หญิงวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีกากีหยุดที่หน้าห้อง กล่าวทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในภาคเรียนก่อนเธอรับหน้าที่สอนวิชาภาษาไทยให้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งระดับชั้น เมื่อถึงภาคเรียนนี้ที่ได้มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาจึงไม่ต้องแนะนำตัวกันให้มากความ นั่นเพราะส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี


ขณะที่อาจารย์นภากำลังพูดถึงการเลือกหัวหน้าห้อง จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังร่างสูงของใครคนหนึ่งที่มาหยุดยืนหอบอยู่หน้าประตู เขาทำความเคารพอาจารย์ประจำชั้นก่อนจะกล่าว


“ขออนุญาตเข้าห้องครับ”


“วันแรกก็สายเลยนะจ๊ะ”


“ขอโทษครับอาจารย์ ผมหาห้องเรียนไม่เจอ” เด็กหนุ่มตอบตามจริง


“ไม่คุ้นหน้าเลย เพิ่งย้ายมาใหม่เหรอจ๊ะ”


“ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นมานี่มา มาแนะนำตัวให้ครูกับเพื่อน ๆ รู้จักก่อน”


ทันทีที่ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในห้อง เสียงอื้ออึงก็ดังรับกันเป็นทอด ๆ


“เอาละ ๆ หยุดคุยกันแล้วฟังเพื่อนค่ะนักเรียน” พูดจบอาจารย์นภาก็หันไปส่งสัญญาณกับคนที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ไม่ไกลให้เริ่มแนะนำตัว


“สวัสดีครับ ผมชื่อนายพายุพัด นาวาภักดิ์ ชื่อเล่นชื่อพาย เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนกีฬาลำปางครับ”


“อืม ชื่อแปลกดี ใครตั้งให้จ๊ะ”


“พ่อครับ ผมเกิดในช่วงที่พายุเข้า พ่อก็เลยให้ชื่อนี้”


นคินทรเผลอพยักหน้า ความนิ่งขรึมยังคงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่พบกันแล้วหนหนึ่งในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่ผ่านมา


“มาจากโรงเรียนกีฬา...แล้วเล่นกีฬาอะไรเป็นบ้างจ๊ะ”


“หลายอย่างครับ แต่ชอบว่ายน้ำที่สุด”


“เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำค่ะอาจารย์ ได้เหรียญทองกีฬาเยาวชนฯ ด้วยหนูจำได้” น้ำหวานกล่าวเจื้อยแจ้ว คำพูดของเธอเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก


“เอ้า! ปรบมือให้เพื่อนสิจ๊ะ รออะไร” สิ้นเสียงอาจารย์นภา นักเรียนทั้งห้องก็พากันปรบมือพร้อมกับโห่ร้องต้อนรับเพื่อนใหม่


“มีที่ว่างตรงไหนให้เพื่อนนั่งได้บ้างจ๊ะ” พูดพลางมองไปรอบ ๆ “นั่น ข้าง ๆ นายนคินทรยังว่างอยู่ พายุพัดเธอไปนั่งตรงนั้นก็ได้จ้ะ”


“อ...อาจารย์ครับ!” นคินทรเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือ “ตรงนี้ที่ของภาณุครับ”


“แหม...ห่างกันไม่ได้เลยนะ” น้ำหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายักคิ้วให้หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลัง


“ผมนั่งโต๊ะถัดไปก็ได้ครับ” พายุพัดบอก จากนั้นจึงก้าวไปตามช่องทางเดินระหว่างโต๊ะ เขายิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาวที่ยังอุตส่าห์จำเขาได้ก่อนจะเผลอสบตาคนที่มีโอกาสพบกันเป็นครั้งที่สองแล้วมองเลยไปยังเด็กหนุ่มด้านหลัง


“ขอเรานั่งด้วยคนนะ”


“ได้เลย นายชื่อพายใช่ไหม เราชื่อหมอกนะ ส่วนข้างหน้านี่ชื่อ...”


“เราชื่อฉาย” คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลง ไม่ได้สนใจเสียงบ่นของอาจารย์นภาเลยสักนิด “ส่วนนี่...ชื่อโดเรมอน” พูดจบก็หันไปรั้งคอเพื่อนรักให้หันมา


“อย่าไปฟังมัน เราชื่อม่อน ม่อนที่แปลว่าภูเขาน่ะ” นคินทรตอบห้วน ๆ แล้วหันกลับไปสนใจที่หน้าห้องเช่นเดิม รอกระทั่งภาณุเลิกคุยกับคนข้างหลังจึงเอ่ยขึ้น “ท้องเสียหรือไง เข้าห้องน้ำนานเป็นชาติ”


“ท้องไม่ได้เสีย แต่เป็นโรคกระเพาะ” เห็นนคินทรไม่ได้ใส่ใจจึงกล่าวต่อ “ไม่ถามเหรอว่ากระเพาะอะไร”


“กระเพาะอะไรวะ”


“กะเพราะ...รักเธอ”


คนฟังส่ายหัวดิก “ท้องเสียจนสมองก็ไหลออกไปด้วยหรือไง”


“ไอ้ม่อน! สมองที่ไหนจะไหลตามขี้วะ แต่ถ้าเป็นหัวใจลอยตามใครไปยังพอว่า”


“เพ้อขนาดนี้ต้องไปเจอสาวมาแน่ ๆ”


“เออ”


“ใคร” นคินทรหันมาถามอย่างสนใจ


“ก็ที่เจอกันที่ลำปางไง คนที่น่ารัก ๆ ที่มาเชียร์ไอ้พาย” สิ้นเสียงกระซิบกระซาบ ต่างฝ่ายต่างเหลียวไปมองหนุ่มนักกีฬาที่นั่งอยู่ด้านหลัง


“มีอะไรหรือเปล่า” พายุพัดเอ่ยขึ้นทันทีที่ดวงตาสองคู่จับจ้องมาที่ตน


“เปล๊า!” ทั้งภาณุและนคินทรพร้อมใจเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปคนละทิศละทาง


....


ภายในโรงอาหารเต็มไปด้วยนักเรียนชั้นม.ปลายที่เพิ่งเลิกเรียนในคาบเช้า ต่างคนต่างมองหาร้านอาหารถูกปาก บ้างได้ที่นั่งแล้วก็วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แยกย้ายกันไปซื้อน้ำและอาหาร บ้างก็ยังชะเง้อมองรอว่าเมื่อไรจะมีคนกินเสร็จแล้วลุกออกไปเพื่อที่ตนเองจะได้นั่งต่อ ความชุลมุนวุ่นวายนี้จะยังดำเนินไปจนกว่าสัญญาณเข้าห้องเรียนจะดังขึ้นในอีกเกือบ 1 ชั่วโมงข้างหน้า


“พาย พระพาย ทางนี้!” หญิงสาวที่นั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ร้องขึ้นพร้อมกับโบกไม้โบกมือเมื่อเจ้าของร่างสูงก้าวย่างเข้ามาในโรงอาหาร


พายุพัดโบกมือตอบก่อนเดินไปหยุดยังโต๊ะที่มีแต่นักเรียนหญิง สังเกตจากการพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนมก็เดาได้ไม่ยากว่าสาว ๆ เหล่านี้คงเป็นเพื่อนจากโรงเรียนเก่าของสิชลเป็นแน่


“นั่งด้วยกันสิพาย” สิ้นเสียงสิชล เพื่อน ๆ ของเธอก็สบตากันพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วจัดการเขยิบจนชิดให้พอมีที่เหลือสำหรับอีกคน


“ไม่เป็นไร สินั่งกับเพื่อนเถอะ แค่นี้ก็เบียดกันจะแย่แล้ว เดี๋ยวเราไปนั่งตรงโน้นก็ได้”


“ตามใจจ้ะ”


“ไปก่อนนะ” พูดจบก็เดินเลยไปทางด้านหลัง กวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งเห็นใครคนหนึ่งกวักมือเรียก


“ไอ้พายโว้ย! ทางนี้ ๆ”


เป็นหมอกนั่นเอง พายุพัดยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเห็นแล้ว จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ เตรียมจะนั่งลงตรงยังฝั่งตรงข้าม แต่เสียงกระแอมของคนที่เดินถือน้ำมา 2 แก้วก็ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ อ้อมหลังเพื่อนไปวางกระเป๋าลงที่อีกฝั่งจากนั้นจึงเดินไปซื้ออาหาร


นคินทรนั่งลงพลางเลื่อนแก้วน้ำอีกแก้ววางไว้ข้าง ๆ ไม่นานภาณุก็เดินมาถึง วางจานใส่อาหาร 2 จานลงบนโต๊ะ ไม่วายบ่อนพึมพำ


“รอคิวโคตรนาน คนเยอะอย่างกับแจกฟรี”


“นั่งลงเถอะน่า บ่นอยู่ได้” หมอกเอ่ยขึ้น


“เออ รู้แล้ว แล้วนี่กระเป๋าใครวะ”


“ของไอ้พายมัน เห็นมันไม่มีที่นั่งเลยชวนมานั่งด้วยกัน”


คนถามพยักหน้าแล้วจึงตักข้าวเข้าปาก เป็นเวลาเดียวกับที่พายุพัดเดินกลับมาที่โต๊ะ


“เฮ้ยมา ๆ นั่ง ๆ” ภาณุกล่าวทั้งที่ข้าวเต็มปาก


ร่างสูงนั่งลงมองคนที่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง


“เจอกันตอนเย็นนะพาย”


เขาเพียงแต่พนักหน้าและยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังโบกมือให้ รอจนเธอเดินลับตาไปจึงลงมือตักข้าวเข้าปาก


“แฟนเหรอ” คำถามของภาณุทำเอาทุกคนชะงัก แล้วทุกสายตาก็มองไปยังพายุพัดไม่เว้นแม้กระทั่งนคินทรที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่ม


“ใคร?”


“ก็คนที่โบกมือหยอย ๆ บอกน้อยจะไปชายแดนอยู่เมื่อกี้ไง”


นคินทรแทบสำลัก รีบวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะใช้หลังมือเช็ดน้ำที่เลอะอยู่รอบปาก


“ชื่อสิชล เป็นเพื่อนสมัยประถม” หนุ่มนักกีฬาตอบเรียบ ๆ


“ใช่เร้อ! เห็นไปเชียร์กันที่สระว่ายน้ำด้วย”


“ไม่เชื่อก็ตามใจ”


“แล้วเขามีแฟนหรือยังวะ” ภาณุถามพลางยื่นหน้าเข้าใกล้


“ไม่รู้”


“แล้ว...”


“จะถามอีกนานไหม เราจะกินข้าว ไม่อย่างนั้นจะไปนั่งที่อื่นแล้วนะ” พายุพัดกล่าวหน้านิ่ง


“เออ ๆ ไม่ถามแล้วก็ได้” ภาณุเลิกสนใจ ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะยิ้มกริ่มหันไปกล่าวกับนคินทร “กินข้าวเสร็จแล้วโทรไปบอกลุงผู้พันว่าไม่ต้องมารับนะม่อน เดี๋ยวเย็นนี้เราไปส่งเอง”


“ทำไมล่ะ”


“จะพาไปดูของดี”


“อะไรวะ”


“เออน่า เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ” คนขี้เล่นยิ้มเป็นปริศนาก่อนจะลงมือจัดการกับข้าวในจานต่อ


....


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 19:21:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เมื่อถึงตอนเลิกเรียนนคินทรก็ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของภาณุ ถามอีกฝ่ายว่าจะพาไปที่ใดแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ลูกชายหมอทหารทอดตามมองตึกรามบ้านช่องที่ตั้งขนาบสองข้างทาง เมื่อข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมาได้หน่อยก็สังเกตว่าบ้านเรือนเริ่มบางตาลงจนเหลือเพียงพื้นที่ทำการเกษตร ฝนที่เพิ่งซาเม็ดไปได้เพียงไม่นานส่งผลให้อากาศหนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องกอดกระเป๋าแน่น ไม่ช้ารถก็เลี้ยวขึ้นไปบนเนินผ่านวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวงกระทั่งหยุดที่ศาลาริมทาง


“ไม่ได้มาพระธาตุหรอกเหรอ” นคินทรกล่าวขณะลงมายืน ปลดหมวกนิรภัยส่งคืนให้เพื่อน


“ถ้าอยากไหว้พระธาตุเดี๋ยวขากลับเราพาไปแวะก็ได้”


“แล้วมาที่นี่ทำไม ไหนล่ะของดีที่บอกจะพามาดู”


“หันไปดูสิ”


นคินทรมองคนพูดอย่างแปลกใจก่อนจะหันหลังกลับ สองเท้าก้าวช้า ๆ ไปจนสุดขอบกั้น จากตรงนี้สามารถมองเห็นผืนนาสีเขียวขจีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา


“โห...สวยจัง”


“บอกแล้วไงว่าของดี” ภาณุที่เดินมายืนข้างกันเอ่ยขึ้น


“เออ ขอบใจมากนะที่พามา”


“ไม่เป็นไร ถ้าอยากมาอีกก็บอกแล้วกัน ไปไหว้พระธาตุไหม เราจะพาไป”


“อื้อ คนถูกถามพยักหน้าก่อนจะตามอีกฝ่ายไปที่รถ รับหมวกนิรภัยมาสวมแล้วขึ้นซ้อนท้าย


เมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่งพาสองคนย้อนกลับมายังทางแยกหน้าวัด ความคิดที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุก็ต้องเป็นอันล้มเลิกเมื่อใครคนหนึ่งกำลังวิ่งลงมาจากทางลาดที่ขนาบข้างด้วยรูปปั้นพญานาค สังเกตว่าชุดกีฬาที่สวมใส่นั้นโซมไปด้วยเหงื่อนคาดว่าคงต้องวิ่งขึ้นลงอยู่หลายรอบแล้วแน่ ๆ


ภาณุชะลอรถและจอดที่ข้างทางก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่นไอ้พายนี่หว่า มันมาทำอะไรที่นี่วะ”


“ถามเราแล้วเราจะรู้ไหม ก็มาพร้อมกัน” นคินทรบ่นงึมงำ “ขึ้นไปไหว้พระธาตุเถอะ จะอยากรู้เรื่องคนอื่นไปทำไม”


“คนอื่นที่ไหน นี่น่ะอนาคตเพื่อนแฟนเว้ย” คนพูดหัวเราะก่อนจะโบกมือทักทาย “พาย!”


เจ้าของชื่อเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่พบภาณุและนคินทรที่นี่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ไปหยุดยังจุดที่สองคนจอดรถ กดปุ่มเพื่อหยุดเวลาที่นาฬิกาจับเวลาแล้วเอ่ยขึ้น


“มาทำอะไรกัน”


“พาม่อนมาดูทุ่งนา”


“ไม่เคยเห็นเหรอ” พายุพัดถามซื่อ ๆ พลางมองเลยไปยังคนซ้อนท้าย


“เคย” นคินทรบอกพร้อมกับยกมือขึ้นตีลงบนศีรษะของเจ้าของรถอย่างมันเขี้ยว


“ม่อนมันเป็นเด็กกรุงเทพฯ วัน ๆ อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยรู้หรอกว่าบ้านนอกเขามีอะไรบ้าง ต้องพามาเปิดหูเปิดตา แล้วนายล่ะ มาทำอะไรแถวนี้”


“มาวิ่งน่ะ”


“เออ ลืมไปว่าเป็นนักกีฬา แล้วนี่จะกลับบ้านหรือยัง กลับเลยไหมเราไปส่งได้นะ”
 

“จะไปยังไงวะ” คนซ้อนท้ายเอ่ยขึ้น


“ก็ไปกันหมดนี่แหละ”


นคินทรกำลังจะอ้าปากประท้วง พายุพัดก็แทรกขึ้นเสียก่อน “บ้านเราอยู่แถวนี้น่ะ”


“ไหน ๆ ตรงไหน ๆ” ภาณุชะเง้อคอยืด


“ที่เห็นอยู่ไกล ๆ โน่น”


“อืม ถ้าอย่างนั้นมาแข่งกัน ใครไปถึงทางเข้าบ้านนายก่อนชนะ”
   

“จะวิ่งแข่งกับเราเหรอ” พายุพัดถามอย่างแปลกใจ
   

“ขี่มอเตอร์ไซค์สิ”
   

“โธ่ นึกว่าจะวิ่งแข่งกับเขา” นคินทรส่ายหัว


“ถ้าไม่ติดว่าขี่มอเตอร์ไซค์มาก็จะวิ่งอยู่หรอก”
   

“ขี้โม้ ขนาดวิ่งเก็บบอลข้างสนามยังบ่นว่าเหนื่อยเลย”
   

“อย่ามาดูถูกอนาคตศูนย์หน้าทีมชาตินะเฟ้ย”
   

“ชาติไหน”
   

“ชาตินี้แหละ อีกไม่นานเกินรอ” ภาณุกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ


“ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งสิ คิดซะว่าซ้อมก่อนลงสนามจริงก็ได้” นคินทรยุ


“แล้วใครจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับ”


“เราไง เราขี่ได้นะ”


“เงียบปากไปเลยม่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วขี่ไปล้มจนหน้าแข้งถลอกหายแล้วหรือไง”


“ตกสะเก็ดแล้วน่า เชื่อสิเราขี่ได้”


“พอเลย รถเรายังไม่หายเป็นรอย ไม่อยากได้รอยใหม่เพิ่มแล้ว” พูดจบก็ลูบ ๆ คลำ ๆ หน้ารถราวกับเป็นลูกรักก็ไม่ปาน “วันนี้ถนนลื่นด้วย ขืนไปล้มอีกมีหวังโดนลุงผู้พันห้ามไม่ให้หัดขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลอดแน่ ถ้าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ก็ช่วยพายจับเวลาโน่น”


“เดี๋ยว” พายุพัดเอ่ยขึ้น “คนชนะได้อะไร”


“ใครแพ้ต้องทำเวรตอนเย็นแทนอีกคนไปหนึ่งเดือน”


“ยุติธรรมมาก” นคินทรลากเสียง


“ไม่ตกลงก็ได้นี่” ว่าแล้วเจ้าของความคิดก็หันไปอีกทาง “ว่ายังไง”


“ได้”


ทันทีที่หนุ่มนักกีฬาตอบตกลง ภาณุก็หันมายักคิ้วให้คนซ้อนท้าย   


นคินทรถอนใจก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างเซ็ง ๆ “เอานาฬิกามาสิ เดี๋ยวเราจับเวลาให้”


พายุพัดสบตาก่อนจะวางนาฬิกาจับเวลาลงบนมือของอีกฝ่าย 


“เอาละ จะเริ่มละนะ” ภาณุเอ่ยขึ้นก่อนจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์ เห็นอีกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจึงบิดคันเร่งถี่ ๆ “ม่อนนับ!”


“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก จ...”


“แค่สามก็พอ” คนสั่งถอนใจ “จะนับไปถึงร้อยเลยหรือไง”


“ก็ไม่บอกนี่ว่าให้นับสาม ถ้าอย่างนั้นเอาใหม่นะ” เห็นสองคนพนักหน้า นคินทรจึงเริ่มนับ “สาม!”


กว่าภาณุจะรู้ตัว พายุพัดก็วิ่งไปไกลแล้ว...


ขายาวสับถี่ ๆ ลงจากเนินโดยมีรถจักรยานยนต์ตามหลัง ไม่นานก็ทันกัน แม้พายุพัดจะพยายามเร่งฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจแซงเครื่องยนต์ได้


ภาณุบิดคันเร่งแซงขึ้นไปช้า ๆ และรักษาความเร็วเพื่อให้ทิ้งระยะเล็กน้อย ไม่วายหันมาทำหน้าทะเล้น หนุ่มนักกีฬาเลื่อนสายตาจากคนขับมายังคนที่นั่งจับเวลาอยู่ท้ายรถได้ยินเขาเอ่ยขึ้น 

   
“เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวก็ได้ทำเวรแทนฉายหรอก”


“อ้าว นี่อยู่ข้างใครเนี่ยม่อน” ภาณุหันมาถาม


“ก็นายได้เปรียบ”


พายุพัดอาศัยจังหวะที่รถชะลอเร็วเร่งฝีเท้าแซงขึ้นไปแต่ก็ได้เพียงระยะหนึ่ง เมื่อถึงเส้นชัยจึงพบว่าตนเองแพ้ราบคาบ


เสียงรถจักรยานยนต์ที่เข้ามาจอดทำให้ดวงพรต้องละจากงานในครัวออกมาดูว่าใครมา ในที่สุดเธอก็พบลูกชายกำลังยืนหอบแฮกอยู่หน้าบ้าน ใกล้กันคือเด็กหนุ่ม 2 คนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน


“พาย ใครมาน่ะลูก” แม่ถามเมื่อเดินมาถึง


“เพื่อนน่ะแม่” ลูกชายตอบ


ทั้งภาณุและนคินทรจึงยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้อาวุโส


“ไหว้พระเถอะลูก แล้วนี่ชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”


“ผมชื่อฉายครับ ส่วนนี่ม่อน”


“โดเรมอนน่ะเหรอลูก” ดวงพรยิ้มพลางมองเจ้าของชื่ออย่างเอ็นดู


คำถามนั้นทำเอาภาณุหลุดหัวเราะ ในขณะที่พายุพัดเองแม้จะนึกขันแต่ก็ยังคงวางหน้านิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีเหมือนเคย


 “ม...ไม่ใช่ครับแม่ ม่อนเฉย ๆ ครับ” นคินทรบอก เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางแปลก ๆ จึงถามให้หายสงสัย “ผ...ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ”


“เปล่าจ้ะ...เปล่า แม่แค่ไม่คุ้นที่เพื่อนพายเรียกแม่ว่าแม่น่ะจ้ะ”


“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณน้าก็ได้ครับ”


“ไม่เป็นไรลูก” ดวงพรรีบยกมือห้าม เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “เรียกแม่เถอะจ้ะ ที่แม่บอกว่าไม่คุ้นเพราะพายน่ะไปเรียนที่ลำปาง แม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนของพายเลยสักคน อ้อ...ลูกชื่อม่อน ดอยม่อนน้อ”


“ครับ” นคินทรยิ้มรับ รู้สึกดีใจที่นาน ๆ จะมีคนเข้าใจความหมายของชื่อตนเอง


“พายชวนเพื่อนเข้าบ้านก่อนสิลูก”


“ไม่เป็นไรครับแม่ พวกผมกำลังจะกลับพอดี” นคินทรกล่าวอย่างเกรงใจ


“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอลูก วันนี้แม่ทอดปลาทูกินกับน้ำพริก ของโปรดของพายน่ะ”


“อ...เอ้อ...เสียงอะไรน่ะแม่” ลูกชายแทรกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากในโรงรถ


“เสียงนังเปียกปูนมันร้องน่ะลูก สงสัยจะเจ็บท้อง”


เมื่อได้ฟัง พายุพัดจึงเดินหายเข้าไปในโรงรถ


“ถ้าไม่สนิทพายก็จะเงียบ ๆ แบบนี้แหละ มีอะไรอย่าถืออย่าสากันเลยนะลูก มาเที่ยวหาพายบ่อย ๆ เน้อ” ดวงพรกล่าว
สองหนุ่มได้แต่มองหน้ากันก่อนจะตอบรับผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม


พายุพัดเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมเจ้าแมวสีดำขาวตัวอ้วนกลมในอ้อมกอด มันร้องเหมียว ๆ เสียงดังจนใครที่ได้ยินก็คิดว่าคงต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ


“พายเอามันเข้าบ้านได้ไหมแม่ มันคงเจ็บท้องจริง ๆ เห็นมันเดินไปเดินมาอยู่ในโรงรถ”


“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จะหากล่องกับผ้ามาให้ มันจะได้อยู่เป็นที่ เกิดเดินไปออกลูกใต้ตู้ละแย่เลย” พูดจบแม่ก็เตรียมจะเดินเข้าบ้าน


ดังนั้นภาณุและนคินทรจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


“ถ้าอย่างนั้นผมลากลับก่อนนะครับ/ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่ดูแมวคลอดลูกก่อนนะครับ”


ราวกับนัดกันมา...


“อ้าวเฮ้ย!” ภาณุหันขวับ    


“นะ ๆ ฉายนะ เราขออยู่ดูแป๊บเดียวเอง” นคินทรละล่ำละลัก


“งานนี้ยาวแน่นอน” ภาณุหันไปพูดกับลมกับฟ้า


...


ลังกระดาษใบใหญ่รองด้วยเสื้อผ้าไม่ใช้แล้วถูกนำมาวางที่มุมหนึ่งของบ้าน พายุพัดค่อย ๆ วางแม่แมวท้องแก่ลงก่อนจะถอยห่างออกมา มันเดินอุ้ยอ้ายวนไปวนมาได้เพียงไม่นานก็ล้มแผละส่งเสียงร้องเหมียว ๆ ลั่นบ้าน


นคินทรคลานเข้าไปใกล้พลางลูบท้องอวบเป่งอย่างเบามือในขณะที่ปากก็พร่ำพูดไปด้วย “เปียกปูนเบ่งนะ ฮึบ...ฮึบ...”


“ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลเหรอ” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“เฮ้ย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เรื่องนี้ขอให้เชื่อมือม่อนหมอตำแย” พูดจบภาณุก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ ๆ พาให้ทุกคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ล้อมวงกันเข้ามา


“ม่อนเคยทำคลอดแมวเหรอลูก” แม่ถาม


“ไม่เคยครับแม่” นคินทรตอบตามจริงในขณะที่มือยังไม่หยุดทำหน้าที่


“แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ พ่อม่อนเป็นหมอ ม่อนก็ต้องได้รับกรรมพันธุ์ความเป็นหมอมาจากพ่อ” ภาณุกล่าว


“มันใช่ที่ไหนเล่า” ลูกชายหมอทหารพึมพำ


“เป็นสัตวแพทย์เหรอ” พายุพัดถามบ้าง


“อย่าไปฟังฉายมัน” นคินทรเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าคนถามกำลังมองมาที่ตน “พ่อเราเป็นหมอรักษาคน”


“ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ โอ๊ะ ๆ นั่น ๆ มีอะไรโผล่ออกมาแล้ว อี๋...” ภาณุถอยห่างออกมานั่งพิงผนังเมื่อของเหลวสีคล้ำไหลซึมไปบนผ้า “โอย...จะเป็นลม”


ใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนลูกชายทำเอาดวงพรอดยิ้มไม่ได้


“เบ่งหน่อยนะ อีกนิดเดียว จะออกแล้ว ๆ” 


ท้องของเจ้าเหมียวขยับขึ้นลงเป็นคลื่น ในที่สุดลูกแมวตัวแรกก็หลุดออกมาจนได้ ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เจ้าเปียกปูนขยับลุกขึ้นเลียทำความสะอาดให้ลูก


“ยังไม่หมดใช่ไหม” นคินทรกล่าวเมื่อสังเกตเห็นว่าแม่แมวล้มแผละลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอีกหน “เบ่งอีกทีนะ” เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปจนกระทั่งลูกแมวตัวที่สองออกมาดูโลก เวลาผ่านไปพักใหญ่ เจ้าลูกแมวทั้งสองก็คลานเข้าซุกพุงอุ่น ๆ ของแม่แมว


“สบายใจแล้วนะม่อน ได้เจอเพื่อนแล้ว” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อคลานเข้ามามองเจ้าแมวสามแม่ลูกอย่างพิจารณา


“อือ” นคินทรครางในลำคอ ปลายนิ้วยังคงลูบไปบนขนของเจ้าตัวเล็ก
   

“เอาไปเลี้ยงไหมจ๊ะแม่ให้ ไว้มันหย่านมแล้วค่อยมารับไป”
   

“ไม่ดีกว่าครับแม่” เด็กหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ “ให้มันอยู่กับแม่มันดีกว่าครับ”
   

ภาณุใช้ศอกสะกิด “ไม่เอาจริงอะ ชอบแมวไม่ใช่เหรอ”
   

“ก็ชอบ แต่ว่าให้มันอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดีกว่า ขืนไปจับแยกกัน มีหวังคิดถึงกันแย่เลย”


“พูดซะคิดถึงแม่ขึ้นมาเลย” ว่าแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “โอ้โห...จะทุ่มแล้วนี่นา ป่านนี้แม่คิดถึงเราแย่แล้ว ไม่มีคนช่วยล้างผัก” ภาณุหัวเราะแหะ ๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับเถอะ” นคินทรกล่าวก่อนจะหันไปลาเจ้าของบ้าน “ผมกลับก่อนนะครับแม่”


“ไม่อยู่กินข้าวกินปลาด้วยกันก่อนเหรอลูก”


“ไม่ดีกว่าครับ ป่านนี้พ่อกับแม่รอแย่แล้ว”


“จ้ะ เอาไว้แวะมาเที่ยวใหม่นะลูก”


เมื่อร่ำลาเจ้าของบ้านเรียบร้อย สองคนก็เดินตามพายุพัดออกมาจนถึงจุดที่พวกเขาจอดรถจักรยานยนต์เอาไว้


“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น


“เออ อย่าลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้ก็แล้วกัน” ภาณุกล่าวขณะขึ้นนั่งประจำที่


“ไม่ลืมหรอกน่า”


“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ ไปโว้ยม่อน เอาประตูวิเศษออกมา”


“ไอ้ฉาย บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โดเรมอน”


“เอ้า เห็นเข้าอกเข้าใจแมวดี ก็นึกว่าใช่” ว่าพลางส่งหมวกนิรภัยให้


“ไปได้แล้ว มัวแต่พูดเล่นอยู่ได้” นคินทรรับหมวกมาสวมก่อนจะขึ้นนั่งซ้อนท้าย ไม่ลืมหันไปกล่าวกับคนที่เดินออกมาส่ง “ไปก่อนนะ”


พายุพัดตอบด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ร่างสูงยืนนิ่ง ทอดมองแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไปตามถนนจนกระทั่งเลือนหายไปในความมืด


“ทำเป็นอยู่หน้าเดียวหรือไง” นคินทรพึมพำกับตัวเองเมื่อรถมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ


“บ่นอะไรวะม่อน”


“ไม่มีอะไรหรอก”


“เราหูแว่วสินะ”


“ไม่ได้บ่นอะไรจริง ๆ”


“เออ ไม่บ่นก็ไม่บ่น” ภาณุไม่คิดเซ้าซี้ถาม


ในที่สุดรถจักรยานยนต์ก็เข้าเขตค่ายทหาร โดยมีจุดหมายปลายทางคือบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย ภาณุจอดรถที่หน้ารั้วไม้สีขาว ส่งเพื่อนเรียบร้อยก็บิดคันเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนคินทรเห็นรถของพ่อจอดอยู่ในโรงรถจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นวีรกรรมทำคลอดแมวก็ถูกถ่ายทอดให้พ่อและแม่ได้ฟังอย่างยิ่งใหญ่    


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ขอบคุณคอมเม้นของทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ
เราก็ยินดีที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2018 19:29:18 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เรื่องของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า อ่านทีไรก็รู้สึกถึงความละมุน ๆ ทุกที ดีใจที่เปิดเรื่องใหม่นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องม่อนเป็นเด็กใสใส น่ารักเชียว

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
   คิดถึงมากๆๆๆ  หายไปนานเลยครับ
 
  กำลังคิดถึงนิยายที่มีความละมุน

  ของ  ถธปทฟ. อยู่เลยว่าเมื่อไหล่

  จะมีผลงานมาให้ได้อ่านกันอีก

    :L1: :L1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เหมือนม่อนกับพายกำลังหยั่งเชิงกัน

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
คิดถึงนิยายของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเสมอนะคะ
ดีใจมากเลยค่ะได้อ่านเรื่องใหม่   แค่ชื่อเรื่องก็อบอุ่นหัวใจจังค่ะ

ครอบครัวพายน่าสงสารแอบร้องไห้ไปด้วยเลยค่ะ
แต่พอม่อนมาเที่ยวถึงบ้านก็พาให้บ้านของพายดูสดชื่น  สดใสขึ้นมาทันทีเลยค่ะ

ม่อนเป็นหมอตำแยไปซะแล้ว555  น่ารักจัง

ขอบคุณมากค่ะ :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องม่อนน่ารักมากกก มีโมเม้นท์เล็กๆให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ   :mew1:

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ติดตามอยู่ค่ะ

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
น่ารักมากๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม


นักเรียนชั้นม.4/1 ต่างพากันลงจากอาคารเรียนวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกปรอย ๆ มุ่งหน้าไปที่โรงยิมเนเซียมซึ่งอยู่ใกล้กับโรงอาหาร เมื่อไปถึงก็พบกับอาจารย์ประจำวิชาพลศึกษากำลังรออยู่พอดี หลังจากทุกคนวางกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งรอบสนามอย่างกระตือรือร้นเพราะเป็นวิชาสุดท้ายก่อนเลิกเรียน เมื่อวิ่งครบจำนวนรอบที่เคยตกลงกันเอาไว้ก็เดินมารวมแถวที่กลางสนาม จากนั้นผู้ที่เป็นเวรนำอบอุ่นร่างกายก็ออกไปที่หน้าแถวทีละคน ต่างคนต่างทำท่าบริหารร่างกายให้เพื่อน ๆ ทำตามจนครบ เมื่อจบขั้นตอนอาจารย์จึงให้นักเรียนนั่งลงรอฟังขานชื่อ


“วันนี้ขาดสองคนใช่ไหม นายภาณุกับนายอวัศย์”


“ใช่ค่ะอาจารย์” น้ำหวานตอบ เพราะเป็นคนพูดจาฉะฉาน มีความรับผิดชอบอีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำ เพื่อน ๆ จึงไว้วางใจให้เธอทำหน้าที่หัวหน้าห้องต่อไป


“ถ้าอย่างนั้นก็พอดีคู่” อาจารย์กล่าวพลางปิดสมุดรายชื่อแล้วเงยหน้าขึ้นมองทั่ว ๆ “เมื่อคราวก่อนครูให้พวกเธอฝึกการเคลื่อนที่และการเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอลไปแล้ว วันนี้ครูจะให้จับคู่กัน ทดลองส่งลูก ทั้งแบบส่งเหนือศีรษะและแบบกระดอนลงพื้น นักเรียนทุกคนยืนขึ้นแล้วจับคู่กันครับ”


พายุพัดยืนขึ้น ดวงตาจับจ้องความโกลาหลตรงหน้า ปกติเมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้เพื่อน ๆ ก็มักจับคู่ตามที่นั่งเรียนด้วยกันในห้อง แต่วันนี้อวัศย์ไม่มา ทำให้เขาต้องเริ่มมองหาใครอีกคนที่จะมาเป็นคู่ด้วย


ด้านนคินทรเองเมื่อไม่มีภาณุก็ต้องหาคู่ใหม่เช่นกัน เขาเดินตรงเข้าไปหาพายุพัดที่ครั้งก่อนเคยจับคู่กับอวัศย์ กำลังจะอ้าปากชวนแต่อีกฝ่ายกลับเดินไปอีกทาง


“อ้าวพาย มีอะไรหรือเปล่า” น้ำหวานเอ่ยขึ้น มือก็เลี้ยงลูกบาสเก็ตบอลไปด้วย


“คือ...เราขอคู่กับแบงค์ได้ไหม” พายุพัดกล่าวอย่างเกรงใจ


สาวน้อยยิ้ม คิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอตัวเล็กกว่าคู่ซ้อมอยู่มากโขจึงได้ขอเปลี่ยนตัวกัน “อ๋อ ได้สิ แหม...เห็นว่าเราเตี้ยกว่าแบงค์ละสิ ถึงตัวเล็กอย่างนี้แต่เราเป็นตัวแทนโรงเรียนตอนม.ต้นนะ” พูดจบน้ำหวานก็หันไปหานคินทร “ถ้าอย่างนั้นม่อนคู่กับเรานะ”


นคินทรทำเพียงพยักหน้า เลื่อนสายตามองเจ้าของร่างสูงเล็กน้อยก่อนจะรับลูกบาสเก็ตบอลที่คนพูดส่งให้ พยายามคิดในทางที่ดีตามข้อสันนิษฐานของน้ำหวานแทนการคิดว่าในสายตานักกีฬาอย่างพายุพัดคงเห็นเขาเป็นเพียงตัวถ่วง


ชั่วโมงเรียนสุดท้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออาจารย์ประจำวิชาสั่งแยกแถวแล้ว สมาชิกในห้องก็พากันไปหาน้ำเย็น ๆ ดื่มที่โรงอาหาร รอกระทั่งฝนขาดเม็ดจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน นคินทรจำต้องย้อนกลับไปที่ห้องโฮมรูมอีกครั้งเพราะนึกได้ว่าลืมหยิบสมุดการบ้านของภาณุออกมาจากใต้โต๊ะ ด้วยเมื่อ 2 วันก่อนอีกฝ่ายอุตส่าห์ตากฝนพาตนเองไปเที่ยวจนวันนี้เป็นไข้ทำให้ต้องขาดเรียน ดังนั้นนคินทรจึงรีบทำการบ้านจนเสร็จตั้งแต่เมื่อตอนพักกลางวัน เพื่อตกเย็นจะขอพ่อแวะเอาสมุดการบ้านไปให้เพื่อนที่บ้าน


เด็กหนุ่มเดินไปตามระเบียงชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาคาร ขายาวก้าวอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่ดวงตาทอดมองแสงแดดอ่อน ๆ สาดกระทบหยดน้ำที่ย้อยลงจากกิ่งของต้นหางนกยูงซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง ได้ยินเสียงเอะอะอื้ออึง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างเห็นนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่กันไปบนถนนคอนกรีตที่เปียกชุ่ม ก้าวหนึ่งที่เหยียบลงไปในแอ่งส่งผลให้น้ำที่ขังกระจายเปียกรองเท้าสาว ๆ ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ จนพวกเธอส่งเสียงวี้ดว้าย และสุดท้ายเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นก็ถูกก่นด่าไปตามระเบียบ


เมื่อนคินทรก้าวเข้าไปในห้องก็พบว่าขณะนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว วันที่บนกระดานดำถูกเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ ส่วนโต๊ะเก้าอี้ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เหลือเพียงหน้าต่างฝั่งที่อยู่ติดกระดานดำที่ยังไม่ได้ปิด คาดว่าเพื่อนที่เป็นเวรทำความสะอาดประจำวันคงจะลืม จึงตั้งใจว่าเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจะปิดให้เรียบร้อย ขณะกำลังนั่งลงเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินถือถังขยะเข้ามา


พายุพัดที่เพิ่งกลับจากทิ้งขยะชะงักเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ เจ้าของร่างสูงวางถังขยะลงที่หลังห้องจากนั้นจึงเดินเงียบ ๆ ไปหยุดที่ริมหน้าต่าง


“วันนี้ไม่ใช่เวรนายนี่ อย่าบอกนะว่ามาทำแทนฉาย” นคินทรว่าพลางมองอีกคนอย่างสงสัย เมื่อเห็นเขาพยักหน้าจึงอดพูดต่อไม่ได้ “จริง ๆ ไม่เห็นต้องมาทำแทนเลย เพราะยังไงวันนี้ฉายก็ไม่ได้มาเรียน”


คนถูกทักท้วงไม่ได้ว่าอย่างไร เขาเอื้อมมือดึงบานหน้าต่างเข้าหาตัว เมื่อครบทุกบานแล้วจึงกล่าว “ลืมของเหรอ”


“อือ มาเอาสมุดการบ้านให้ฉายน่ะ” บอกพลางหยิบหนังสือที่เพื่อนรักไม่คิดจะเอาใส่กระเป๋ากลับบ้านออกจากใต้โต๊ะ “แล้วแมวเป็นยังไงบ้าง”


“แข็งแรงดี” อีกฝ่ายยังคงสงวนคำพูดเช่นเคย ร่างสูงเดินไปนั่งลงบนโต๊ะค่อนไปทางหน้าห้องซึ่งเขาวางกระเป๋านักเรียนเอาไว้ มองคนที่กำลังดึงหนังสืออกจากใต้โต๊ะแล้วเรียงตามความสั้นยาวแยกเป็นกอง ๆ


“ตั้งชื่อหรือยัง”


“ตั้งแล้ว แม่มันชื่อเปียกปูน แม่เราเลยตั้งชื่ออีกสองตัวที่เพิ่งเกิดว่าสาคูกับสังขยา”


คนฟังยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ คิดว่าชื่อนี้ช่างเหมาะกับเจ้าลูกแมวสีขมุกขมัวกับสีเหลืองสลับขาวดีแท้ เขาหยิบหนังสือขึ้นกระทุ้งเบา ๆ แล้วสอดเก็บคืนที่จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นฟังอีกคนอธิบาย


“เจ้าพวกตัวเล็ก ๆ นั่นร้องบ่อย สงสัยว่าเปียกปูนจะไม่ค่อยมีนมให้ลูกกินเท่าไร”


“เหรอ” นคินทรหูผึ่ง เลิกคิ้วพลางหยิบสมุดแล้วลุกขึ้น ดวงตายังจับจ้องเด็กหนุ่มที่นั่งห่างออกไป แม้จะสนใจเอามาก ๆ แต่กลับไม่คิดจะเดินเข้าไปหาด้วยเกรงว่าจะเป็นการล่วงล้ำพื้นที่ของคนโลกส่วนตัวสูง “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหานมมาป้อนให้มันแล้วละ”


“นมกล่องได้หรือเปล่า”


คนหลังห้องส่ายหัว “ต้องเป็นนมแพะหรือนมสำหรับหมาแมวน่ะ”


“แล้วเราจะไปซื้อได้ที่ไหนบ้าง”


คนถูกถามมิได้ตอบในทันที เพียงแต่ยิ้มอย่างมีแผนการ...


เช้าวันต่อมา นคินทรมาโรงเรียนแต่เช้าตามปกติ แทนที่จะไปที่เตร็ดเตร่รอเข้าแถวเคารพธงชาติอยู่ที่สนามเหมือนเช่นเคยกลับนั่งที่ใต้ถุนอาคารเรียน ไม่นานเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่กำลังรอเดินตรงเข้ามา


“จะเอาไปให้แมวที่ไหนกินวะม่อน” พูดจบอวัศย์ก็ยื่นถุงพลาสติกให้


“เดี๋ยวก็รู้ นั่งก่อน ๆ” 


ได้ฟังดังนั้นอวัศย์จึงนั่งลงมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการรื้อของออกจากถุง ซึ่งมีทั้งนมกระป๋องสำหรับชงให้สัตว์และหลอดฉีดยา


“บอกหน่อยไม่ได้เหรอว่าในตะกร้ามีอะไร”


เสียงที่ดังมาแต่ไกลเรียกให้นคินทรและอวัศย์หันไปในทิศทางเดียวกัน และภาพที่เห็นก็คือภาณุกำลังเดินเคียงข้างมากับพายุพัดซึ่งในมือของเขาหิ้วตะกร้าพลาสติกสีฟ้าใบใหญ่แบบมีฝาปิดมาด้วย


“บอกหน่อยสิ มัวอมพะนำอยู่ได้”


เจ้าของตะกร้าไม่ได้สนใจคำรบเร้า แต่กลับวางตะกร้าแล้วนั่งลง


“ไหนบอกจะหยุดอีกวันไง” นคินทรกล่าวกับคนยังไม่หายป่วย


“เป็นตายยังไงวันนี้ก็ต้องมา เดี๋ยวยื่นใบสมัครชมรมไม่ทัน วันนี้วันสุดท้ายแล้วด้วย” ภาณุกล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูกพลางกระแอมเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงแล้วยื่นหน้าถามคนข้าง ๆ “ตกลงในตะกร้ามันมีอะไรวะ”


พายุพัดตอบคำถามนั้นโดยการเปิดฝาออก พลันเจ้าแมวสีดำสลับขาวก็โผล่หัวออกมาร้องเหมียวทักทายทุกคน ข้างตัวของมันมีลูกน้อย 2 ตัวนอนขดเบียดกันเป็นก้อนกลม เมื่อแม่แมวเริ่มอยู่ไม่สุขลูก ๆ ก็พากันบิดขี้เกียจลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงร้องแข่งกัน


“ตื่นมาก็หิวเลยนะ” นคินทรว่า


“สรุปว่าเอานมมาให้เจ้าสองตัวนี้กินใช่ไหม” อวัศย์ถาม ในขณะที่ตัวต้นคิดได้แต่พยักหน้ายิ้ม ๆ “แมวใครวะ”


“แมวเราเอง” พายุพัดตอบ “แม่มันไม่ค่ออยนมให้ลูกกินน่ะ”


“แล้วจะเอาน้ำที่ไหนชงนมวะ” ภาณุกล่าวพร้อมกับยกกระป๋องนมผงขึ้น พลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็วางลงก่อนจะเปลี่ยนไปเกาคางเจ้าเปียกปูนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย


“เราเตรียมมา” ว่าแล้วนคินทรก็ดึงกระติกน้ำ ถ้วยพลาสติกและช้อนออกจากกระเป๋าหูหิ้วที่วันนี้พกมาโรงเรียนด้วย


เมื่ออุปกรณ์พร้อม อวัศย์ก็จัดการเปิดกระป๋องนมผงแล้วตักใส่ในถ้วย จากนั้นจึงให้หลอดฉีดยาขนาดใหญ่ดูดน้ำใส่ตามลงไปแล้วใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ด้วยความที่เป็นลูกชายสัตวแพทย์และเคยช่วยงานที่คลินิกของพ่ออยู่บ่อย ๆ ทำให้เขาหยิบจับอะไรก็ดูคล่องแคล่วไปหมด เด็กหนุ่มหยิบหลอดฉีดยาอันเล็กดูดของเหลวสีขาวจากถ้วย แล้วจึงช้อนตัวเจ้าลูกแมวจากตะกร้าค่อย ๆ สอดปลายหลอดเข้าในปากเล็กแล้วดันกระบอกฉีดเบา ๆ เจ้าลูกแมวขัดขืนตามสัญชาติญาณอยู่ได้เพียงชั่วอึดใจ เมื่อรู้ว่าแน่นั่นคืออาหารมันก็จัดการดูดเองจนเกลี้ยง


“ทำไมคล่องจัง” พายุพัดพึมพำแต่ก็ไม่อาจพ้นหูคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ


“พ่อหมอกเป็นสัตวแพทย์” ภาณุกล่าวก่อนจะส่งลูกแมวอีกตัวให้เพื่อน


“นายดูไว้ เดี๋ยวนายต้องกลับไปทำแบบนี้ที่บ้าน เราถามพ่อมาแล้ว พ่อบอกว่าใช้นมชงดีกว่า ชงเป็นครั้ง ๆ ไป เพราะเป็นนมกระป๋องใช้ไม่หมดต้องแช่ตู้เย็น จะเอาออกมาป้อนให้แมวกินก็ต้องเสียเวลาอุ่น” ลูกชายนายสัตวแพทย์อธิบาย


“ทั้งหมดเท่าไร” เจ้าของแมวถาม


“ไม่เป็นไร เราจ่ายเอง เราเป็นคนบอกให้หมอกเอามาให้” คนออกความคิดแทรกขึ้น


“ไม่ต้องแย่งกันจ่าย เลี้ยงข้าวกลางวันเราเป็นค่าถือมาก็พอ” อวัศย์ตอบเนิบ ๆ มือยังคงป้อนนมลูกแมว


“ได้ ๆ เราเลี้ยงเอง” นคินทรว่า แต่พายุพัดยังคงยืนกรานเจตนารมณ์เดิม


“ไม่ เราเอง”


“ยังจะแย่งกันอีก” คนกลางมุ่นคิ้ว


“ถ้าอย่างนั้นเพื่อตัดปัญหา ไอ้พายเลี้ยงไอ้หมอก ส่วนม่อนเลี้ยงเรา” ภาณุเสนอ


“เกี่ยวอะไรวะ”


“ก็ตอบแทนที่พาไปเที่ยวเมื่อวันก่อนจนไม่สบายนี่ไง”


“เออ เอาตามนี้ก็ได้” นคินทรสรุป


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 20:21:56 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

กว่าจะตกลงแบ่งหัวข้อทำรายงานกลุ่มกันเรียบร้อยก็เลยเวลาพักกลางวันมาเกือบ 20 นาที นักเรียนในโรงอาหารเริ่มบางตา ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงสามารถหาที่นั่งได้ทันที ทั้งภาณุ นคินทร พายุพัด และอวัศย์ต่างวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วแยกย้ายกันไปซื้ออาหาร ไม่นานก็กลับมาที่โต๊ะ ความหิวทำให้พวกเขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่มีใครพูดกับใคร กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนจึงวางช้อน


“พาย แมวล่ะ”


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น เป็นสิชลนั่นเอง ท่าทางที่เธอยืดคอมองหาสิ่งที่เพิ่งถามถึงดูตลกและน่ารักในเวลาเดียวกัน


“ฝากให้อยู่กับลุงยามที่ป้อมยามน่ะ”


“เหรอ ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นพายอย่าเพิ่งรีบกลับนะ สิอยากเล่นกับแมวน่ะ เมื่อเช้ายังไม่ได้เล่นเลย”


พายุพัดพยักหน้ายิ้ม ๆ ในขณะที่ภาณุได้แต่อ้าปากค้าง ภาพของสองคนที่ส่งยิ้มให้กันทำให้อดจินตนาการในหัวไม่ได้ว่าตอนนี้ตัวเขาและคนอื่น ๆ ในโรงอาหารคงกลายเป็นเพียงหัวกะหล่ำ ต้นหญ้า หรืออากาศ ท่ามกลางฉากหลังที่เบลอแล้วเบลออีก ภาพทั้งภาพคงมีแต่พายุพัดกับสิชลกระมังที่ชัดเจน เด็กหนุ่มกระแอมเบา ๆ เรียกสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำพยักพเยิดเป็นสัญญาณว่ายังมีเขานั่งเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ด้วย


“จะไม่แนะนำหน่อยเหรอ นั่งกันอยู่ตั้งสี่ชีวิต”


พายุพัดเห็นท่าทางเช่นนั้นก็อดส่ายหัวไม่ได้ ในที่สุดก็จำใจต้องแนะนำให้ทั้งหมดได้รู้จักกัน


“นี่เพื่อนเราชื่อสิ อยู่ห้องหก” ว่าแล้วก็หันไปหาสิชล “ส่วนนี่หมอก ม่อน แล้วก็...”


“เราชื่อฉายคร้าบ”   


“เสนอหน้าเชียว” นคินทรโพล่งขึ้น


“เพื่อนพายตลกจัง ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เธอพูดกับ ‘คนอื่น’ ได้เพียงไม่กี่คำก็หันไปหาคนสนิทกัน “พายส่งใบสมัครชมรมหรือยัง”


คนถูกถามส่ายหัว “สิส่งแล้วเหรอ ตกลงสมัครชมรมอะไร”


“นาฏศิลป์จ้ะ แล้วพายล่ะ”


“ยังไม่รู้เลย”


“วันสุดท้ายแล้วนะ รีบ ๆ ตัดสินใจเข้า อาจารย์เปิดรับใบสมัครถึงแค่ในชั่วโมงกิจกรรมคาบสุดท้ายนะ เดี๋ยวสิต้องไปแล้วนะพาย อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ล่ะ เจอกันตอนเย็นนะ”


พายุพัดพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อเงียบ ๆ หลังจากสิชลเดินจากไป


“เขียนใบสมัครหรือยังวะม่อน ตกลงจะอยู่ชมรมอะไร” ภาณุเอ่ยขึ้น


“เหมือนเดิมแหละ ห้องสมุด”


คนถามส่ายศีรษะเมื่อได้รับคำตอบ “โลกนี้ความตื่นเต้นเร้าใจมันอยู่ที่ไหนวะ”


นคินทรไม่คิดจะต่อปากต่อคำ กลับถามอวัศย์ “แล้วหมอกล่ะ”


“ชมรมสัตว์เลี้ยงน่ะ”


“สมกับเป็นว่าที่นายสัตวแพทย์จริงจริ๊ง” ภาณุว่า


“เออ แล้วนายล่ะปีนี้สมัครชมรมอะไร” ลูกชายนายสัตว์แพทย์รวบช้อนแล้วหันมาถาม


“ระดับเรามันก็ต้องชมรมฟุตบอลสิครับทุกท่าน”


“แค่ไปเก็บลูกบอลให้เขา ถึงกับต้องสมัครเข้าชมรมเลยเหรอ”


“โห...อ...ไอ้หมอก พูดกับอนาคตกองหน้าทีมชาติไทยแบบนี้ได้ยังวะ”


“ตำแหน่งกลองยาวยังพอเห็นอนาคตบ้าง”


“หือ! ไอ้หมอก!”


“พอแล้วน่า” นคินทรห้ามทัพก่อนจะเร่งให้เพื่อน ๆ รีบกินข้าวจะได้เข้าเรียนคาบบ่าย


....


ท้ายชั่วโมงชีววิทยา เห็นว่ายังพอมีเวลาพายุพัดจึงหยิบใบสมัครชมรมออกมาจากกระเป๋า ซึ่งกรอกข้อมูลส่วนตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เหลือก็เพียงใส่ชื่อชมรมที่ต้องการเข้าเท่านั้น ในขณะที่เพื่อน ๆ กำลังช่วยกันเก็บกล้องจุลทัศน์และอุปกรณ์อื่น ๆ เด็กหนุ่มก็จัดการจรดปากกาลงบนกระดาษ เมื่อถึงชั่วโมงกิจกรรมจึงมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของชมรมที่ตัวเองต้องการสมัครทันที


“สมัครชมรมห้องสมุดด้วยเหรอ” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องสมุด


“เปล่า จะสมัครชมรมสัตว์เลี้ยงน่ะ แต่หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” พายุพัดตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ เช่นเคย   


กระนั้นคนถามก็อดชะเง้อมองใบสมัครในมือของอีกฝ่ายไม่ได้ ยังไม่ทันเห็นมือใหญ่ก็เลื่อนไปไว้ด้านหลังเสียแล้ว


“ไปก่อนนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ว่าแล้วพายุพัดก็จากไปอย่างรวดเร็ว


เจ้าของร่างสูงเดินดุ่ม ๆ ไปหยุดยังม้าหินอ่อนข้างโรงเรือนเพาะชำซึ่งตั้งอยู่หลังโรงเรียน จุดนี้เป็นที่ตั้งของชมรมสัตว์เลี้ยง แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหวังเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมแจ้งว่าได้รับนักเรียนครบตามจำนวนที่กำหนดเอาไว้แล้ว พายุพัดจึงเดินเตร็ดเตร่พลางคิดว่าจะอยู่ชมรมอะไรดี ในที่สุดเขาก็พบกับภาณุที่เดินคอตกออกมาจากโรงยิมเนเซียม


“พาย มีชมรมอยู่หรือยังวะ”


“ยังเลย” คนพูดน้อยตอบพลางมองใบสมัครในมือตนเอง “แล้วนายล่ะ”


“เต็มว่ะ มาไม่ทัน ไม่รู้จะฮิตอะไรกันนักหนา”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องไปอยู่ชมรมวรรณศิลป์กับอาจารย์นภาแล้วละมั้ง เมื่อเช้าอาจารย์บอกว่ายังรับได้อีกหลายคน”


“เจอหน้าอาจารย์ทุกเช้ายังไม่เบื่อหรือไงวะ”


“ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา รีบไปเถอะเดี๋ยวเต็มพอดี”


พายุพัดกำลังจะก้าวก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้น


“มาต่อกลอนกัน ถ้านายชนะเราไปอยู่ชมรมวรรณศิลป์กับอาจารย์นภา” ไม่รอให้เพื่อนได้ทักท้วง ภาณุก็กล่าวต่อ “เราเริ่มก่อน”


พายุพัดพยักหน้าส่ง ๆ


“แมวเอ๋ยแมวเหมียว”


“รูปร่างประเปรียวเป็นหนักหนา”


“เก่งโว้ย! ต่อ ๆ”


“ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา”


“ผิด!” ภาณุโพล่งขึ้น


“อ้าว ไม่ใช่อย่างนี้เหรอ”


“ไม่ใช่ ต้องเป็น...ร้องเรียกเหมียวเหมียว กี่เหมียวก็ไม่มา”


“แล้วยังไงต่อ”


“จนคุณตาต้องล่อด้วยปลาทู”


พายุพัดส่ายหัว “เสียเวลาไม่พอ ยังทำกลอนเขาเสียอีก เราไปคนเดียวก็ได้” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่ก็โดนขวางเอาไว้


“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ล้อเล่นนิดเดียวเองทำใจร้อนไปได้”


“แล้วจะเอายังไง” คนพูดยังคงวางหน้านิ่ง


“ไปอยู่ชมรมของอาจารย์เมธีกัน รับรองว่าที่ว่างเพียบ”


“อาจารย์เมธี” พายุพัดนิ่งนึกด้วยรู้สึกคุ้นชื่อ “ชมรมอะไร”


“ตามมาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้” ภาณุยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องพักอาจารย์หมวดสุขศึกษาและพลศึกษาซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคาร


ที่นั่นทั้งสองคนได้พบกับอาจารย์เมธีซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมจิตอาสา พายุพัดนึกออกทันทีที่เจอหน้า แท้จริงแล้วอาจารย์เมธีผู้นี้ก็เคยมาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิชาพลศึกษาที่โรงเรียนตั้งแต่เขาอยู่ชั้นประถม ซ้ำชายหนุ่มผู้นี้ยังรู้จักกับอาจารย์สินธูซึ่งเป็นโค้ชว่ายน้ำของเขาอีกด้วย


“แหม ขีดฆ่ามาเรื่อยเลยนะ ตั้งแต่ชมรมห้องสมุด ชมรมสัตว์เลี้ยง” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นสบตาพายุพัดก่อนจะสลับเอากระดาษอีกใบขึ้นมาอ่าน “นี่ก็ไม่ธรรมดา ชมรมนาฏศิลป์ ชมรมฟุตบอล คนละแนวกันเลยนะภาณุ”


เมื่อได้ยินว่ามีชื่อชมรมนาฏศิลป์ในใบสมัครที่ไม่ใช่ของตน พายุพัดเองก็อดหันไปมองคนข้าง ๆ ไม่ได้ 


“ก็ผมเป็นคนที่มีความสนใจหลากหลายนี่ครับอาจารย์ แต่อยากช่วยเหลือคนอื่นเลยพากันมาอยู่ชมรมจิตอาสาของอาจารย์นี่แหละครับ” ภาณุยิ้มแหย ๆ


“ไม่ใช่ว่าชมรมอื่นเขาเต็มแล้วหรอกเหรอ” อาจารย์เมธีกล่าวอย่างรู้ทัน


“เต็มอะไรกันอาจารย์ ที่ขีดฆ่านี่คือคิดหลายตลบแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจมาอยู่ชมรมนี้ดีกว่า เนอะพายเนอะ”


คนพูดน้อยยืนนิ่ง ไม่ได้เออออไปกับเพื่อนด้วย เมื่อเห็นอาจารย์หนุ่มหันหลังกลับไปวางใบสมัครลงในตะกร้าแล้วให้รู้สึกสบายใจที่ไม่ถูกปฏิเสธ


“เอาเป็นว่าสัปดาห์หน้าค่อยมาเจอกันก็แล้วกัน ครูจะแจ้งกฎกติกาของชมรมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำให้ฟังอีกที”


สิ้นเสียงอาจารย์เมธี สองหนุ่มก็พากันกล่าวขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้แล้วพากันเดินออกจากห้องพักอาจารย์


“เราจะไปโรงอาหาร นายจะไปด้วยกันไหม”


“ไปเถอะ เดี๋ยวเราต้องไปหาลุงยามที่ป้อมยามหลังโรงเรียน” พายุพัดว่า


“ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ” พูดจบภาณุก็เดินแยกไปอีกทาง


ดวงตาสีดำสนิทละจากแผ่นหลังกว้าง กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องหยุดเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่บนทางคอนกรีตข้างล่าง เป้ที่สะพายสะพายหลังดูใหญ่ไปนิดเมื่อเทียบกับร่างกายที่สูงแต่ติดจะผอมไปสักหน่อย เขาพยายามหลบหลีกบรรดานักเรียนหญิงชายที่เพิ่งทยอยลงจากอาคารเรียน ท่าทางดูรีบร้อน แต่ขายาวก็ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ดังใจ เดินเพียง 2-3 ก้าวก็ต้องหยุดแล้วเลี่ยงไปอีกทาง


“ยังไม่กลับเหรอ” เสียงนั้นดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับภาพของใครคนนั้นที่เพิ่งลับตาไป


“ยังครับ” พายุพัดกล่าวเมื่อเจ้าของเสียงเดินมาหยุดข้าง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นนั่งคุยกันก่อนสิ ไม่เจอนานเลย”


เมื่อเห็นอาจารย์นั่งลง เด็กหนุ่มจึงนั่งตาม


“เจ้าฉายมันมาโม้ให้ฟังอยู่ว่าที่ห้องมีคนย้ายมาใหม่ เป็นนักกีฬาเหรียญทองกีฬาเยาวชนฯ ที่แท้ก็เธอนี่เอง ทำไมถึงย้ายกลับมาที่นี่ล่ะ ครูคิดว่าเธอจะเรียนที่โรงเรียนกีฬาจนจบม.หก หรือไม่ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ที่เขารับโควตานักกีฬาเสียอีก”


“ผมตั้งใจจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่น่ะครับ”


“แล้วเรื่องว่ายน้ำล่ะ”


“คงหยุดไปสักพักครับ รอพี่สาวเรียนจบแล้วค่อยว่ากัน”


“เรื่องกลับมาอยู่บ้านกับแม่น่ะครูว่าเหมาะสมแล้ว แต่ถ้าเธอยังมีความคิดที่จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอยู่ การหยุดว่ายน้ำไปดื้อ ๆ แบบนี้ไม่น่าจะส่งผลดี”


“คงดีที่สุดได้เท่านี้แหละครับอาจารย์”


เมธีถอนใจด้วยความเสียดาย แต่พอจะรู้ภูมิหลังของลูกศิษย์มาบ้าง สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงหยิบยื่นความปรารถนาดีโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับมันเอาไว้หรือไม่


“ครูกลับบ้านที่ลำปางเกือบทุกอาทิตย์ ถ้าเธออยากกลับไปซ้อมที่โรงเรียนเก่ากับอาจารย์สินธูก็บอกได้นะ”


คุยกับอาจารย์เมธีต่ออีกครู่หนึ่งพายุพัดก็ลากลับ เขาเดินลงจากอาคารเรียนจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังป้อมยามซึ่งอยู่ประตูด้านหลังของโรงเรียน


อาศัยความสนิทสนมของพวกภาณุกับลุงยามประจำโรงเรียน เจ้าเปียกปูนจึงสามารถออกจากตะกร้าเดินไปเดินมาอยู่ภายในอาคารสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ได้ ซ้ำยังมีคนคอยให้ข้าวให้น้ำไม่ขาด


“มารับเจ้าพวกนี้กลับบ้านรึ” เป็นประโยคแรกที่ชายในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอ่ยขึ้น


“ครับลุง แต่ก่อนกลับผมขอเข้าไปเอานมให้เจ้าตัวเล็ก ๆ มันกินก่อนนะครับ”


“มันเพิ่งกินอิ่มไปเดี๋ยวนี้เอง”


“ลุงป้อนนมให้มันเหรอครับ” พายุพัดกำลังจะกล่าวขอบคุณ ลุงยามก็พูดขึ้นเสียก่อน


“เปล่าหรอก เพื่อนเจ้าฉายที่พ่อเป็นผู้พันน่ะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”


“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำสั้น ๆ ก่อนจะเข้าไปอุ้มเจ้าเปียกปูนใส่ลงในตะกร้า ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณคุณลุงที่ให้ความช่วยเหลือ


พายุพัดเดินหิ้วตะกร้าออกมาได้หน่อยก็เห็นสิชลกำลังยืนคุยกับเด็กหนุ่มแปลกหน้า รออยู่จนเธอโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วเดินตรงเข้ามาหาตามที่นัดกันเอาไว้


“คนเมื่อกี้ใครน่ะ”


“พี่ม.ห้า เป็นพี่ที่โรงเรียนเก่า แล้วนี่ยังมาอยู่ชมรมเดียวกันอีก หน้าตาไม่ให้เลย นึกยังไงก็ไม่รู้มาสมัครชมรมนาฏศิลป์ เห็นพี่ ๆ ในชมรมบอกว่าเมื่อเทอมที่แล้วพี่เขาอยู่ชมรมวิทยาศาสตร์ด้วยนะ”


“เขาตามสิมาละสิ” พายุพัดสันนิษฐาน


“ตามอะไรนักหนา น่ารำคาญ”


“อ้าว ไม่ดีเหรอ มีคนหล่อ ๆ มาจีบ”


“ไม่ได้อยากให้มาจีบสักหน่อย พูดคะขาอะไรก็ไม่รู้ฟังแล้วขนลุก” สิชลทำท่าประกอบ


“แปลก มีคนมาสนใจกลับไม่ชอบ”


“ก็เราไม่ได้ชอบพี่เขานี่นา” หญิงสาวทำหน้ามุ่ยอยู่ได้ไม่นานก็กลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่าจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเธอคือการเล่นกับเจ้าแมวเหมียว “เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ สิอยากดูลูกแมวแล้ว เราไปนั่งตรงโน้นกัน”


พูดจบสาวสวยก็เดินนำไปนั่งลงที่ม้าหินอ่อนได้ร่มไม้ รอให้พายุพัดเปิดฝาตะกร้าเธอจึงเอื้อมมือเกาคางเจ้าเปียกปูนเพื่อสร้างความคุ้นเคย


“น่ารักจัง แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นหนักหนา ร้องเรียกเหมียวเหมียว...กี่เหมียวก็ไม่มา จนคุณตาต้องล่อด้วยปลาทู”


‘กลอนบ้านี่อีกแล้ว’ พายุพัดคิดในใจ มองคนพูดไปยิ้มไปพลันคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากัน


“ไปเอามาจากไหน”


“ก็เพื่อนพายท่องให้ฟัง อืม...คนที่ตลก ๆ น่ะ ชื่ออะไรนะ”


“ฉาย”


“ใช่ ๆ ชื่อฉาย เจอกันในโรงอาหารน่ะ ฉาย...แล้วก็อีกคนตามมาทีหลัง อืม...หมอกหรือม่อนนะ ที่สูง ๆ ขาว ๆ ก่อนหน้านี้เคยเห็นซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับฉาย”


“ม่อน”


“อืม...น่าจะใช่” สิชลกล่าวพลางเลื่อนมือสัมผัสเจ้าลูกแมวตัวจิ๋วที่นอนหลับทั้งที่ปากยังคาอยู่กับนมแม่ “เพื่อนพายนี่ตลกดีเนอะ ได้เรียนด้วยกันท่าทางจะพากันหัวเราะทั้งวัน”


“อยากมาเรียนด้วยไหมล่ะ รับรองว่าได้อะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไปเยอะแน่ เหมือนกลอนที่สิท่องเมื่อกี้ไง” พายุพัดว่า เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อมยิ้มก็อดถามไม่ได้ “ยิ้มอะไร”


“พายอยู่กับฉายเยอะก็เลยพูดเยอะตามฉายใช่ไหม”


คนฟังมองไปทางอื่นพลางลอบถอนหายใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกเอียนกับชื่อนี้ขึ้นมา


“ดีจัง สิอยากให้พายพูดเยอะ ๆ ไม่ใช่ถามคำตอบคำ ทำหน้านิ่งตลอดเวลาแบบนี้ไม่มีสาวที่ไหนอยากเข้าใกล้หรอกนะ” สิชลหัวเราะ “สิอุตส่าห์ไปคุยในห้องว่าเพื่อนสิเป็นนักกีฬา มีคนอยากรู้จักพายตั้งเยอะแต่เขาไม่กล้ามาคุยเพราะพายชอบทำหน้านิ่งแบบนี้ ยิ้มบ้างก็ได้ ไหนยิ้มซิ”


“อยู่ ๆ จะให้ยิ้ม บ้าหรือเปล่า”


“ยิ้ม! ไม่อย่างนั้นไม่ให้แมวคืนนะ ยิ่งอยากได้อยู่”


เมื่อถูกบังคับ พายุพัดก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่มันกลับทำให้คนออกคำสั่งยิ่งส่ายหัวหนัก เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกไปนั้นน่าจะเรียกว่าการแยกเขี้ยวเสียมากกว่า



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 20:28:41 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด