สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78909 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(มีต่อค่ะ)


สำหรับบางคน...ใช้เวลาไม่นานความเป็นเพื่อนก็ยิ่งแน่นแฟ้น ในขณะที่บางคน...แม้เวลาจะผ่านไปเกือบครึ่งปี แต่เพราะมีเหตุผลบางประการทำให้ต้องรักษาพื้นที่รอบ ๆ ตัวเองอย่างคงเส้นคงวา จนไม่มีใครสามารถก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่ขีดคั่นกลางเพื่อไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นได้ และสำหรับพายุพัด เหตุผลบางประการที่ทำให้เขาต้องสร้างประการป้องกันตัวเองจากความสนิทชิดเชื้อที่เพื่อน ๆ ร่วมชั้นพร้อมจะมอบให้ก็คือความต้องการที่จะพาตัวเองไปเรียนต่อยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาในกรุงเทพฯ และนี่ก็คือวิธีการตัดไฟแต่ต้นลมของเขา


มือหนาจับเมาส์คลิกบนไฮเปอร์เท็กซ์ซึ่งนำไปสู่รายละเอียดของการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ประเทศไทยบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตาคมกวาดมองทีละบรรทัดก่อนจะสั่งพิมพ์ เมื่อกระดาษ 2-3 แผ่นเลื่อนออกจากเครื่องพิมพ์ พายุพัดก็เดินไปจ่ายเงิน รับกระดาษเหล่านั้นใส่ในกระเป๋าหนังสือก่อนจะเดินออกจากร้านถ่ายเอกสารซึ่งตั้งอยู่ข้างโรงอาหาร


“พาย!”


เจ้าของชื่อหันไปมองและพบว่าคนเรียกกำลังเดินตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน


“มีอะไรเหรอ”


“ช่วยอะไรสิหน่อยได้ไหม” สิชลกระซิบกระซาบ


“ได้ สิจะให้เราทำอะไรล่ะ”


“ช่วยถือกระเป๋าให้สิหน่อย” พูดจบเธอก็ยื่นกระเป๋าให้ “เดินไปกับสิจนถึงหน้าโรงเรียนเลยนะ”


พายุพัดพยักหน้าพลางรับกระเป๋านักเรียนของอีกฝ่ายมาถือไว้จากนั้นก็เดินเคียงคู่กันไป


“มีอะไรหรือเปล่า”


“รำคาญพี่สิทธิ์น่ะ ตามอยู่ได้”


“แล้วทำไมไม่พูดกับเขาไปตรง ๆ ล่ะ”


“ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใคร พูดกันง่าย ๆ ก็ดีสิ พายจะให้สิเดินเข้าไปแล้วบอกว่า ‘สิไม่ได้ชอบพี่ เลิกยุ่งกับสิสักที สิรำคาญ’ แบบนี้น่ะเหรอ”


“ก็อยากพูดอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”


“มาก”


“แล้วทำไมไม่พูดล่ะ”


“สงสารเขา เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่ทำตัวน่ารำคาญไปหน่อยเท่านั้นเอง”


“ถ้าไม่พูดแล้วจะเอายังไงต่อไป”


“สิมีวิธีของสิ” สาวน้อยยักคิ้วพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย


“วิธีอะไร”


“มันต้องตัดไฟแต่ต้นลม สิจะบอกเขาว่าสิมีแฟนแล้ว พายว่าดีไหม”


“แล้วจริง ๆ มีหรือเปล่า” พายุพัดถามซื่อ ๆ


“ไม่มีไง”


“แล้วเอาใครมาเป็นแฟนไปหลอกเขา”


“ก็พายไง” สิชลยิ้มกว้างก่อนจะเกาะแขนอีกฝ่ายแน่น เท่านั้นพายุพัดก็รู้ชะตากรรมตัวเอง...
   

“ไหนมันบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกับสิไงวะ” ภาณุกล่าวอย่างอารมณ์เสียพลางง้างเท้าหวดเข้าเต็มแรงเพื่อส่งบอลที่เพิ่งตกลงกลางวงคืนสนาม ดวงตาจับจ้องไปยังสองคนที่เดินเคียงกันไปจนถึงประตูโรงเรียน


“ไม่เป็นแฟนกันสิแปลก สนิทกันขนาดนั้น” อวัศย์เอ่ยขึ้น รอจนเพื่อนกลับมานั่งที่โต๊ะจึงกล่าวต่อ “ใคร ๆ เขาก็พูดกันว่าพายกับสิน่ะเป็นแฟนกัน ไม่เห็นเหรอว่าพอเริ่มเปิดตัวไอ้พี่สิทธิ์ม.ห้าก็หายหัวกบาลไปเลย”


“แล้วทำไมมันต้องโกหกพวกเราด้วย”


“ไม่รู้โว้ย” อวัศย์เกาหัว “แต่จะว่าไปไอ้พายมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเรานี่หว่า มันนับเราเป็นเพื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“เออจริง กินข้าวด้วยกันมาเทอมหนึ่งแล้วยังรู้สึกเข้าไปไม่ถึงมันสักที จะโลกส่วนตัวสูงไปไหน”


“แต่ก็อย่าไปสนใจเลยว่ะ อันที่จริงพายมันก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไรอะไรหรอก พวกเราอาจจะเข้าไม่ถึงก็เท่านั้นเอง”


“มันก็ใช่” ภาณุพึมพำคล้ายจะเห็นตาม แต่ก็นึกได้เมื่อย้อนกลับไปดูภาพบาดตาบาดใจ “เฮ้ย! เริ่มไม่ใช่แล้ว”


“เอาน่า...ไม่เป็นไรนะ ถึงจะอกหักก็ยังมีเพื่อนรักอยู่ตรงนี้ มา ๆ ทำโจทย์ข้อนี้ต่อ” พูดจบอวัศย์ก็วาดแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อน


“ใคร? ใครเพื่อนรัก” ภาณุเหล่ตามองคนข้าง ๆ


“ก็เราไง”


“อย่ามาสำคัญตัวเองครับคุณหมอก เพื่อนรักของผมอยู่นี่” ว่าแล้วก็ขยับไปนั่งคู่กับนคินทรพร้อมกับโอบไหล่อีกฝ่าย “ม่อน...ช่วยเราด้วย”


“จะให้ช่วยอะไร” เจ้าของชื่อกล่าวเรียบ ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาแก้โจทย์คณิตศาสตร์


“ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมไง ไปกันไอ้พายออกจากสิให้หน่อย นะ ๆ”


“เราจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”


“ทำได้สิ นายไปช่วยมันทำอัฒจันทร์กีฬาสีแทนเรา ส่วนเราจะไปเป็นรามสูรแทนนาย”


“เฮ้ย! ขืนทำแบบนั้นสิได้มาต่อว่าเราแน่ อีกอย่าง...นายไม่ใช่หรือไงที่ไปบอกพี่ประธานสีว่าเราเคยเรียนโขนตอนเด็ก ๆ เขาถึงจับเราไปรำคู่กับสิ”


“มันก็มีเหตุขัดข้องให้ต้องยกเลิกบ้างไหมล่ะ”


“แต่เราไม่มีนี่”


“ก็พูดอยู่นี่ไงว่าแลกกัน ตอนนั้นพี่เขาจะให้เรารำ แต่เราไม่รู้นี่ว่าจะได้รำคู่กับสิ เรารำไม่เป็นก็เลยปฏิเสธไป ถ้ารู้ละก็...เรารับปากไปแล้ว ”


“ตอนนี้รำเป็นแล้วหรือไง” นคินทรเงยหน้าขึ้นถาม


“เห็นนายซ้อมทุกวันก็ดูไม่ยากนี่ นายเองก็เพิ่งเริ่มซ้อมได้ไม่นาน กว่าจะถึงงานกีฬาสีก็อีกตั้งเดือนกว่า นะ ๆ ม่อนนะ”


“ไม่ได้” นคินทรเสียงแข็ง


“แค่นี้เอง ช่วยเพื่อนหน่อยนะม่อนนะ” ภาณุทำเสียงอ่อนเสียงหวาน


“ไม่ได้จริง ๆ”


เมื่อเห็นนคินทรยังยืนกรานเช่นเดิมซึ่งผิดวิสัยของคนหัวอ่อน ภาณุจึงถามถึงเหตุผล


“ทำไมวะ”


“เพราะมันสำคัญกับเรามาก ๆ”


ได้ฟังน้ำเสียงและเห็นแววตาจริงจังของเพื่อนให้รู้สึกใจหายแปลก ๆ กระนั้นภาณุก็ยังไม่หยุดรบเร้า “ถ้าไม่แลก นายก็ไปช่วยเราทำอัฒจันทร์ด้วย นายหาจังหวะกันไอ้พายไว้ เราเองก็จะหาโอกาสไปทำคะแนน นะม่อนนะ นะ ๆ ตกลงนะ”


“ติวต่อเถอะหมอก” นคินทรเลือกกล่าวกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแทนการตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอเมื่อครู่


แม้จะไม่ได้ตกปากรับคำด้วยวาจา แต่การเงียบของอีกฝ่ายก็ทำให้คนที่สนิทสนมกันมานานอย่างภาณุแจ้งแก่ใจว่าคนใจอ่อนอย่างนคินทรมิได้ปฏิเสธคำร้องขอของตน


....


นคินทรถอนหายใจแรง ๆ ขณะเดินออกจากห้องนาฏศิลป์ แม้จะไม่ยอมรับข้อเสนอของภาณุ แต่สุดท้ายความเป็นเพื่อนก็ทำให้เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปบอกประธานสีรวมถึงเพื่อน ๆ ที่ร่วมซ้อมรำในพิธีเปิดกีฬาสีว่าตนเองจะขอสละสิทธิ์ หากแต่คำขอนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลเนื่องจากไม่มีใครเห็นด้วย ต่างคนต่างลงความเห็นกึ่งขอร้องให้เขาทำหน้าที่ต่อ เนื่องจากทุกคนได้เริ่มต้นซักซ้อมจนเข้าขากันดีมาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 แล้ว


“ม่อน อย่าเพิ่งไป รอสิก่อน” สิชลเอ่ยขึ้น ถือกระเป๋าเดินตามออกมาจากห้อง เธอรีบสวมรองเท้าก่อนจะก้าวมาหยุดตรงหน้าของชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่มาก


“สิมีอะไรเหรอ”


“ทำไมม่อนถึงจะถอนตัวล่ะ หรือว่าสิทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ถ้าม่อนลำบากใจ สิจะช่วยพูดกับพี่ ๆ เขาให้”


“เฮ้ย! เปล่าเลย” นคินทรรู้สึกตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาฝืนยิ้มกว้างให้คู่สนทนาสบายใจพลางส่ายหน้าช้า “ไม่เกี่ยวกับสิเลย แต่เราคิดว่ามีคนที่เหมาะกว่าเรา”


“ฉายใช่ไหม”


“จริง ๆ คนที่พี่เขาเลือกตั้งแต่แรกคือฉาย”


“แต่ฉายเองนี่นาที่เป็นคนเสนอม่อน เพราะฉายน่ะนึกถึงแต่ตัวเอง ตัวเองไม่อยากทำก็โยนให้เพื่อน” สิชลว่า เวลาหนึ่ง เทอมทำให้เธอสามารถมองคนรอบ ๆ ตัวได้ทะลุปรุโปร่งในระดับหนึ่ง


“อย่าไปว่าฉายเลย เพื่อนกันทั้งนั้น”


“สิไม่รู้หรอกว่าม่อนกับฉายไปตกลงอะไรกันมา แต่สิอยากบอกม่อนนะว่าสิอยากเป็นเมขลาแล้วมีม่อนรำเป็นรามสูรคู่กัน”


“เราเข้าใจแล้ว” นคินทรกล่าวด้วยความรู้สึกยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้ดีกว่าการแข็งขืนยืนกรานไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ เพราะอย่างไรก็ต้องรับฟังเสียงของคนรอบข้าง รวมถึงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าเห็นแก่พวกพ้อง “ขอโทษนะที่ทำให้สิต้องคิดมาก”


“ไม่เป็นไรจ้ะ เราพอจะเข้าใจความรู้สึกของม่อน แต่ม่อนต้องอย่ายอมฉายมากนะ ต้องแข็งบ้างไม่อย่างนั้นฉายจะเคยตัว”


“อื้อ”


“อื้อแล้วต้องทำด้วย ถ้าฉายมาเอาเปรียบม่อนแล้วไม่พูด สิจะเป็นคนไปพูดกับฉายเอง”


“รู้แล้ว ๆ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นคินทรยิ้ม


“แล้วเดี๋ยวม่อนจะไปช่วยเพื่อนทำอัฒจันทร์หรือเปล่า”


“ก็ว่าจะไปนะ”


“ถ้าอย่างนั้นสิไปด้วย สิกำลังจะไปหาพายอยู่พอดี”


ทั้งคู่เดินลงจากอาคาร เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า ไฟทางเดินและที่รอบ ๆ สนามถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ความสว่างแก่หลาย ๆ คนที่กำลังซ้อมกีฬา ซ้อมการแสดง และกลุ่มที่ช่วยกันตกแต่งอัฒจันทร์


“พาย”


เสียงเจื้อยแจ้วเรียกสายตาสองคู่ให้จับจ้องไปยังสาวน้อยร่างเล็กในชุดนักเรียนที่กำลังเดินเข้ามา ยิ้มสดใสของเธอทำให้บางคนสดชื่นได้พอ ๆ กับน้ำดื่มที่เธอมักถือติดไม้ติดมือมาด้วย


“พักกินน้ำก่อน สิซื้อน้ำมาฝาก” พูดจบก็หยิบขวดน้ำหวานออกจากถุงแล้วยื่นให้


พายุพัดวางมือจากการผูกลวดกับโครงไม้เพื่อยึดผืนผ้าใบสำหรับกันแดดเหนืออัฒจันทร์ กล่าวขอบคุณแล้วรับมาเปิดดื่มพลางเลื่อนสายตาไปยังคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


“ไม่มีของเราบ้างเหรอ” ภาณุกล่าวขณะก้าวลงจากอัฒจันทร์
   

“ฉายก็ทำอัฒจันทร์ด้วยเหรอ ปกติสิเห็นไปป้วนเปี้ยนแถวห้องนาฏศิลป์”


“เราก็มาช่วยทำเกือบทุกวันนะ ขืนไม่มาอาจารย์เมธีคงไม่ให้คะแนนกิจกรรมชมรมแน่ ๆ เฮ้อ...หิวน้ำจัง”


“เรามีนะ กินมั้ย” นคินทรกำลังจะดึงขวดน้ำออกจากเป้ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้น


“ไม่ต้องหรอก เราอยากกินแบบพายน่ะ สิไปซื้อจากไหนเหรอ ยี่ห้อนี้เราชอบมากเลยแต่หากินยากจัง”


“สิซื้อจากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนน่ะ ถ้าฉายอยากกินเดี๋ยวสิเดินไปซื้อให้ก็ได้”


“สิ เดี๋ยวเราไปเอง” นคินทรเสนอ


“ไม่เป็นไรจ้ะ” สิชลกล่าวขณะดึงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ “แม่สิออกจากที่ทำงานแล้ว สิต้องออกไปรอที่หน้าโรงเรียนแล้วละ ถ้าอย่างนั้นฉายเดินไปพร้อมกับสิก็ได้ เดี๋ยวสิชี้ให้ดูว่าร้านไหน”


ภาณุรีบพยักหน้า


“นายอยู่นี่ช่วยไอ้พายมันทำงานเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปกับสิก็ได้” พูดจบก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินไปโอบไหล่เพื่อนรักพร้อมกับกระซิบเบา ๆ “ฝากด้วยนะเพื่อน” จากนั้นจึงเดินตามสิชลไป


นคินทรมองสองคนที่เดินคู่กันไป ในที่สุดเขาก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินประโยคหนึ่ง


“หน้าที่ของฉาย ไม่เห็นต้องมาทำแทนเลย”


“ไม่เกี่ยวกับฉายนี่ เราแค่อยากมาช่วย หมอกก็มาทำ คนอื่น ๆ ในห้องก็มา”


“เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกนั้นไง เราแบ่งหน้าที่กันแล้ว นายเองก็มีหน้าที่ของนาย”


“ก็วันนี้หน้าที่เราหมดแล้วนี่ เราก็เลยมาช่วยทำอัฒจันทร์ เมื่อวันก่อนสิก็มาเพราะห้องสิกับห้องเราอยู่สีเดียวกัน”


พายุพัดขี้เกียจเถียง เขาพรูลมหายใจพลางมองคนที่กำลังปลดเป้ลงวางกับพื้นหญ้า


“ถึงเราจะเล่นบาสไม่เป็น ดูเป็นตัวถ่วงจนนายไม่อยากจับคู่ด้วย ถึงจะอยู่ชมรมห้องสมุดที่วัน ๆ เอาแต่จัดหนังสือ แต่เราก็ระบายสีเป็นนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ผสมสีสำหรับระบายป้ายที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนไม่ทันฟังถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากของอีกคน


“ไปกันใหญ่แล้ว”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังคิดถึงกันนะคะ

อย่างที่บอกว่าเราก็คิดถึงทุกคนเหมือนกัน คิดถึงบรรยากาศตอนที่ลงนิยายครั้งแรก

ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ คิดว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่า เห็นว่ามีคนอ่านค่อยใจชื้น ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นต์ค่ะ

จากที่ห่างหายไปนานกลับมาเขียนคราวนี้รู้สึกว่ายังฝืด ๆ ติด ๆ ขัด ๆ หลายอย่าง เหมือนสนิมจะจับ

ยังไงก็จะพยายามให้มาก ๆ ค่ะ

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 20:33:57 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ้าวน้องม่อนงอนอะไร พายเค้าจะรู้ด้วยไหม
อย่างสิว่าก็ถูกนะ ฉายเอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อ่านแล้วนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กร่วมทำกิจกรรมในโรงเรียนเลยค่ะ

เราว่าพายช่างเย็นชา  ม่อนช่างน่ารัก  สิช่างเหตุผล  ฉายช่างเฮฮา  หมอกช่างแสนดี
ชอบทุกตัวละครเลยค่ะ  แตกต่างกันแบบนี้  อยู่ด้วยกันต้องมีเรื่องราวตื่นเต้นให้ได้ลุ้นสนุกแน่เลยค่ะ555

ขอบคุณมากค่ะ  ที่จริงเราชอบอ่านเรื่องในวัยทำงานมากกว่าแต่เพราะเป็นเรื่องของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า  พออ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ  ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
มารอดูว่าพายจะกะเทาะตัวเองออกจากโลกส่วนตัวยังไงค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า.  ดีใจที่มาลงเรื่องใหม่ให้อ่านนะ

ออฟไลน์ masochism2018

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
เป็นกำลังใจให้คนแต่งและน้องๆค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 พายุก่อตัว


“ม่อน พี่นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก”


เสียงหวานที่ดังแว่วมาทำให้นคินทรต้องชะงัก เขาจุ่มพู่กันลงในขวดพลาสติกตัดครึ่งสำหรับผสมสี หรี่ตามองเงาตะคุ่มในความมืด กระทั่งร่างเล็กเดินเข้าใกล้บริเวณอัฒจันทร์แสงไฟจึงทำให้เห็นอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น เธอคือ “มัทนา” นักเรียนชั้นม.6 ผู้รั้งตำแหน่งประธานสีเขียวอีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงานกีฬาสีของโรงเรียน 


“ผมไม่ได้รีบไปไหนก็เลยแวะมาช่วยเพื่อน ๆ ทำป้ายติดอัฒจันทร์ของสีเราน่ะครับ” นคินทรบอก หางตาเห็นร่างสูงของใครบางคนที่เพิ่งก้าวลงจากอัฒจันทร์


“พี่ขอโทษด้วยนะที่ช่วยพูดกับพวกนั้นให้ไม่ได้เรื่องที่ม่อนจะขอถอนตัว”


‘พวกนั้น’ ที่หญิงสาวพูดถึงก็คือเหล่าคณะกรรมการคนอื่น ๆ ประกอบไปด้วยประธานสีทั้งห้าและบรรดาคณะกรรมการนักเรียนนั่นเอง


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับหลายคน อีกอย่างเราก็ซ้อมกันมานานมากแล้วด้วย”


คนอายุมากกว่าพยักหน้า “แต่ถึงพวกนั้นจะยอม พี่ว่าเวลาแค่เดือนเดียวมันน้อยเกินไปที่ฉายจะซ้อม เราไม่ได้เลือกม่อนเพราะว่าฉายปฏิเสธนะ แต่เลือกเพราะเห็นว่าม่อนพอมีพื้นฐานมาบ้าง ม่อนเข้าใจพวกพี่นะ”


“ผมเข้าใจครับพี่หนูนา”


มัทนาคลี่ยิ้มนิด ๆ และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเคร่งเครียดของเธอน่ามองขึ้นมาตั้งเยอะ ตาคู่งามมองเลยไปยังเด็กหนุ่ม 4-5 คนที่อยู่บนอัฒจันทร์จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “นี่น้อง ๆ จากชมรมจิตอาสาของอาจารย์เมธีหรือเปล่าคะ”


“ใช่ครับพี่” หนึ่งในนั้นร้องตอบ


“เสร็จจากขึงผ้าใบแล้วยังต้องทำอะไรกันอีกหรือเปล่า”


“ไม่มีแล้วครับ อาจารย์เมธีสั่งให้ทำแค่นี้ เวลาที่ซ้อมเชียร์จะได้ไม่ร้อนกัน ส่วนที่เหลือให้แต่ละสีจัดการกันเองครับ”


“ขอบใจมาก ๆ เลยนะจ๊ะที่อุตส่าห์มาช่วย”


เมื่อได้ฟัง ทั้งหมดบนอัฒจันทร์ต่างขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน


“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะม่อน แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อมจ้ะ”


“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างกระตือรือร้น


หลังจากมัทนาไปแล้วนคินทรก็ลงมือระบายสีต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งน้ำขวดหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า


มือขาวที่ตอนนี้กรังไปด้วยสีเอื้อมจับอีกฝั่งของขวดพร้อมกับกล่าว “ขอบใจนะ”


แต่พายุพัดไม่ได้ปล่อยในทันที เขาย่อตัวลงนั่งจนดวงตาสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน “เราไม่เคยคิดว่านายเป็นตัวถ่วงนะ”


นคินทรเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถือเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของตน กระนั้นก็ยังนิ่งฟัง


“แล้วก็ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครอยู่ชมรมไหนด้วย”


“รู้หรอกน่า” ว่าแล้วก็ดึงขวดน้ำจนหลุดจากมือใหญ่ “เราก็แค่พูดเล่น ทำไมต้องจริงจังด้วย”


“ไม่อยากใครต้องมาคิดแทน” พูดจบพายุพัดก็หมุนตัวแล้วนั่งลงหันหลังให้ ดวงตาทอดมองความเป็นไปรอบ ๆ สนาม


“จริงจังอะไรขนาดนั้น ชีวิตรู้จักทางสายกลางบ้างไหม” นคินทรพึมพำพลางเปิดขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นจึงลงมือทำงานต่อ สมาธิอยู่ที่ปลายพู่กันซึ่งลากไปบนระนาบไม้ พักหนึ่งหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้าขึ้นจึงรู้ว่าเป็นอาจารย์เมธีผู้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ปรึกษาการจัดงานกีฬาสี ใกล้ค่ำแล้วอาจารย์มักเดินตรวจตราตามปกติ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจผู้มาใหม่ ยังคงทำหน้าที่ของตนไปเรื่อย ๆ


“อาทิตย์นี้อาจารย์กลับบ้านที่ลำปางไหมครับ” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“กลับสิ มีอะไรเหรอ”


“ผมอยากจะขอติดรถอาจารย์ไปซ้อมที่สระโรงเรียนเก่า”


คนฟังคลี่ยิ้ม รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายยังมีใจให้การว่ายน้ำ “ได้สิ ว่าแต่ทำไมถึงอยากซ้อมขึ้นมา”


“ผมอยากลงแข่งรายการชิงแชมป์ประเทศไทย”   


“รายการใหญ่กลางปีหน้านี่นา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องฝึกซ้อมให้มาก ๆ ระหว่างนี้ลองลงแข่งรายการอื่น ๆ เก็บเป็นประสบการณ์ด้วย อืม...” อาจารย์หนุ่มเอียงคอใช้ความคิด “เมื่อเช้าครูเพิ่งได้รับเอกสารประชาสัมพันธ์ เป็นรายการเล็ก ๆ แต่ก็น่าสนใจอยู่ จัดที่เชียงใหม่ประมาณต้น ๆ ปี ลองลงรายการนี้ก่อนก็ได้”


“แต่ผมไม่อยากแข่งรายการเล็ก ๆ”


เมธีเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของหนุ่มนักกีฬา “เธอจะเอาแต่ซ้อมโดยไม่แข่งกับใครเลยมันเป็นไม่ไม่ได้หรอกพายุพัด ลองไปคิดดูก็แล้วกันนะ” พูดจบเขาก็เดินจากไป


ตัวเลขดิจิทัลบนหนาปัดนาฬิกาแสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มครึ่ง อาจารย์เมธีถือสปอร์ตไลท์เดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบ ๆ สนามและตามอาคาร เป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าได้เวลาที่ต้องหยุดทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว นคินทรกับเพื่อน ๆ ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนช่วยกันล้างพู่กันก่อนจะถือป้ายที่ทำเสร็จแล้วบางส่วนไปฝากไว้ยังห้องกิจกรรม จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน


เด็กหนุ่มสะพายเป้เดินไปตามถนนคอนกรีตหน้าอาคารเรียน เขาแวะที่ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญซึ่งแขวนอยู่กับผนังข้างห้องวิชาการ หลังจากโทรบอกให้พ่อมารับแล้วก็เดินไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ใกล้กับอาคารฝ่ายปกครอง ส่วนคนอื่น ๆ บ้างก็ออกไปยืนรอผู้ปกครองมารับที่หน้าโรงเรียน บ้างก็อาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเพื่อนกลับ


ลมต้นฤดูหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะพาให้กิ่งของต้นไม้เสียดสีกันเกิดเสียงดังสวบสาบ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาเรียกให้นคินทรเงยหน้าขึ้นจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ มือขาวยกขึ้นบังแสงจากไฟหน้ารถที่สาดกระทบใบหน้าจนต้องหยีตา เมื่อเสียงเครื่องยนต์เงียบลง เจ้าของรถก็ดันหน้าหมวกนิรภัยขึ้นแล้วพูด


“ทำไมถึงจะไม่รำแล้ว”


“แอบฟังเหรอ” นคินทรตั้งใจถามเพื่อลดความจริงจังของเรื่องราว เขาหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อเห็นคู่สนทนายังคงวางหน้าขรึม


“เพราะฉายใช่ไหม เพราะฉายอยากรำคู่สิ นายถึงจะถอนตัว”


เมื่อรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นคินทรจึงตอบตามจริง “นั่นมันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของเหตุผลทั้งหมด”


“ยังมีเหตุผลอะไรอีก”


“เรียนด้วยกันมาเกือบปี เราว่านายพอจะรู้ว่าฉายเป็นคนยังไง ถึงการเรียนจะไม่โดดเด่น ไม่ได้เก่งวิชาที่คนเรียนสายวิทย์ควรจะทำได้ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องศิลปะละก็ ลองได้ตั้งใจทำก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดจะถอนตัวเพราะสิ่งที่ต้องทำคราวนี้มันสำคัญกับเรา แต่พอมาคิด ๆ แล้ว ถ้าหากมันจะช่วยให้คนคนหนึ่งรู้จักรับผิดชอบขึ้นมาบ้าง เราว่ามันก็คุ้มนะ” ริมฝีปากบางยังไม่ขาดรอยยิ้ม “แล้วสาคูกับสังขยาเป็นยังไงบ้าง”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง พายุพัดจึงไม่แสดงความเห็นใด ๆ อีก “โตขึ้นมากแล้ว แล้วก็ซนมากด้วย”


“เหรอ” ได้ยินเพียงเท่านั้นก็ตาวาว


“อือ ชอบออกไปนอกบ้าน บางวันก็ได้แผลกลับมา น่าจับขังเสียให้เข็ด”


“ให้มันออกไปข้างนอกนั่นแหละดีแล้ว มันจะได้รู้จักดูแลตัวเอง ถ้าเราเลี้ยงเหมือนกับปลาในตู้ ปลามันจะคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในพื้นที่สี่เหลี่ยม พอถูกปล่อยถึงได้รู้ว่าในทะเลไม่ได้มีแค่ปลาเล็ก ๆ แต่ยังมีฉลามแล้วก็สัตว์ร้ายอีกเยอะ”


“อยากจะพูดอะไรกันแน่” พายุพัดกล่าวอย่างรู้ทัน นี่ไม่ใช่หนแรกที่ความอ้อมค้อมของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องฉุกคิด


“ทำไมถึงไม่อยากไปแข่งรายการเล็ก ๆ ล่ะ กลัวชนะหรือว่ากลัวแพ้” นคินทรถามตามตรง “ต้องกลัวแพ้สินะ เป็นถึงเจ้าของเหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาตินี่นา”


“เราไม่ได้กลัวแพ้” พายุพัดกล่าวเสียงแผ่ว และนี่ก็เป็นครั้งที่ล้านที่ปากไม่ตรงกับใจตัวเอง


“ถ้าอย่างนั้นก็ลงแข่งรายการที่อาจารย์เมธีเสนอมาสิ ถ้านายชนะเราจะซื้อปลอกคอให้เจ้าสองตัวนั่น เวลามันออกไปเที่ยวนอกบ้านคนอื่นจะได้รู้ว่ามันมีเจ้าของ”


“แล้วถ้าเราแพ้ล่ะ”


“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”


พายุพัดยังคงนิ่งเงียบจนกระทั่งได้ฟังข้อเสนอสุดท้าย


“หรือไม่อย่างนั้นเราเลี้ยงข้าวปลอบใจก็ได้”


“ตกลง เราจะแข่ง” คนฟังตอบรับทันที


“อย่าเห็นแก่กินจนเผลอออมแรงก็แล้วกัน” นคินทรพูดกลั้วหัวเราะ เหลือบไปเห็นรถเก๋งที่เพิ่งเคลื่อนพ้นประตูโรงเรียนเข้ามาจึงเอ่ยขึ้น “พ่อมาแล้ว เราไปก่อนนะ” ไม่รอช้าเด็กหนุ่มรีบวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างในทันที แต่หากเขานั่งอยู่ตรงนั้นต่ออีกสักอีกสักหน่อย แสงไฟรอบ ๆ บริเวณก็คงพอทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคนที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเป็นแน่


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 11:53:40 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ภาพการซ้อมเชียร์บนอัฒจันทร์มีให้เห็นในทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน อีกเพียงสัปดาห์เดียวพิธีเปิดกีฬาสีก็จะเริ่มขึ้น หลังได้รับมอบหมายจากพี่ม.5 ให้รับผิดชอบขบวนพาเหรดของสี สมาชิกห้องม.4/1 และม. 4/6 ก็นัดพบกันที่โรงอาหารเพื่อวางแผน และแบ่งงาน ห้องม.4/6 รับหน้าที่ออกแบบขบวน จัดหาคนที่จะมาแต่งกายในชุดต่าง ๆ คนถือป้าย รวมถึงแจ้งรายการสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับเป็นอุปกรณ์ประกอบให้แก่ห้องม.4/1 ซึ่งรับหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยจึงแยกย้ายไปเตรียมตัวก่อนที่ตัวแทนห้องจะมาพบกันอีกครั้งในเย็นวันถัดไป ทันทีที่เพื่อน ๆ ห้องม.4/6 ไปแล้ว สมาชิกห้องม.4/1 จึงจับกลุ่มพูดคุยกันถึงการบ้านและรายงานจำนวนมหาศาลของอาจารย์กฤษณา อาจารย์ประจำวิชาเคมี ซึ่งทั้งหมดจะต้องส่งหลังจบกีฬาสี


“น้ำหวานช่วยพูดกับอาจารย์ให้เลื่อนวันส่งงานกับวันสอบเก็บคะแนนไปเป็นหลังปีใหม่ได้ไหม” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“เราก็อยากจะช่วย เพราะเราเองก็เห็นว่ามันเยอะมาก และทุกคนก็ต้องช่วยกันเตรียมงานกีฬาสี ไหนจะต้องซ้อมเพื่อลงแข่งกีฬาอีก” หัวหน้าห้องกอดอกก่อนจะเบนสายตาไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งกระดิกขาอยู่ด้านหลัง “แต่คราวก่อนไอ้ฉายทำแบบฝึกหัดที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จเราก็ไปขอเลื่อนส่งมาทีหนึ่งแล้ว ตอนหมอกไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันงานวิชาการพวกเธอก็ถือโอกาสให้เราเอาชื่อหมอกไปอ้างเพื่อเลื่อนสอบเก็บคะแนนเพราะอ่านหนังสือไม่ทัน จำได้หรือเปล่า ขืนไปต่อรองอาจารย์บ่อย ๆ มีหวังโดนหมายหัวแน่”


ทุกคนต่างสบตากันเมื่ออับจนหนทาง อาจารย์กฤษณานอกจากจะเป็นหัวหน้าหมวดวิทยาศาสตร์แล้วยังเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่เจ้าระเบียบเอามาก ๆ คนที่เคยเรียนกับอาจารย์ต่างรู้กิตติศัพท์เรื่องความตรงต่อเวลา หากใครเข้าเรียนสายหรือส่งการบ้านเกินกำหนดก็จะโดนหักคะแนนคูณด้วยเวลาที่ล่าช้า มิหนำซ้ำอาจถูกทำโทษเอาง่าย ๆ


“แต่มันเยอะมากเลยนะ ไหนจะรายงาน ไหนจะแบบฝึกหัด ยังจะสอบเก็บคะแนนอีก อาจารย์สั่งเยอะยังกับทั้งเทอมพวกเราเรียนเคมีแค่วิชาเดียว เราต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบวิชาอื่นเหมือนกัน แถมยังต้องเตรียมงานกีฬาสีอีกจะเอาเวลาที่ไหนไปทำ” สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางบ่น


“อย่าบ่นเลย ที่อาจารย์สั่งงานเยอะก็เพราะอยากจะให้เราฝึกทำโจทย์นั่นแหละ อีกอย่างเทอมนี้มีกิจกรรมเยอะ เวลาเรียนก็แทบจะไม่มี หมอกเป็นตัวแทนไปแข่งวิชาการ ห้องอื่น ๆ ก็เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกีฬาบ้าง งานที่อาจารย์สั่งก็เป็นเหมือนคะแนนช่วยนั่นแหละ” นคินทรกล่าวก่อนจะนั่งลง


“อืม...ที่ม่อนพูดก็มีเหตุผล” จู่ ๆ ภาณุก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ “ถ้าให้ม่อนไปพูดกับอาจารย์ อาจารย์อาจจะฟังก็ได้นะ”


“เกี่ยวอะไรกับเรา” คนถูกเสนอชื่อมุ่นคิ้ว


“ก็อาจารย์กฤษณาเป็นภรรยาของคุณหมอที่เป็นเพื่อนกับพ่อนาย บางทีถ้านายไปพูดอาจารย์อาจจะยอมก็ได้”


สิ้นเสียงภาณุก็เกิดเสียงซุบซิบอื้ออึงดังตามมา


นคินทรรู้สึกไม่เห็นด้วยกับเหตุผลทุกข้อ ซ้ำยังหาความดีจากแต่ละข้อที่ภาณุยกมาไม่ได้เลยสักนิด แต่เมื่อมีหนึ่งเสียงเห็นด้วย ก็มีเสียงที่สอง สาม สี่ ตามมา ทำได้เพียงหันไปสบตาน้ำหวาน


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเดี๋ยวนี้เลย เลิกเรียนแล้วอาจารย์กฤษณาน่าจะไปนั่งที่ห้องฝ่ายปกครอง”


“แต่เราต้องไปซ้อมรำแล้ว”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะน่า เรื่องการบ้านวิชาเคมีสำคัญกว่าตั้งเยอะ จริงไหมพวกเรา” ว่าแล้วภาณุก็หันไปหาแนวร่วม


“ได้ เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่เรามีข้อแลกเปลี่ยน”


“อะไร” ร่างสูงกระโดดลงจากเก้าอี้ จ้องหน้าคนพูด


“เราเสนอให้ฉายเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์ทำป้ายผ้า” นคินทรบอกก่อนจะเงยมองภาณุ คว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้น “นายต้องรับปากว่าจะจัดการเรื่องป้ายผ้าในขบวนพาเหรดให้เรียบร้อย ต้องดูแลทุกขั้นตอน เพื่อนขาดเหลืออะไรนายต้องเป็นคนหา”


เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพลางโอบไหล่เพื่อน “โธ่...นึกว่าอะไร เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นี่ใครครับ นี่ภาณุนะครับ รับรองขบวนพาเหรดสีเราชนะแน่ นายไม่ต้องห่วง”


เมื่อเห็นเพื่อนรับคำอย่างแข็งขัน นคินทรก็จำต้องรวบรวมความกล้าเข้าไปพบอาจารย์กฤษณาที่ห้องฝ่ายปกครอง


“อาจารย์ว่ายังบ้าง” ภาณุเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนเปิดประตูออกมา


“อาจารย์ให้ส่งรายงานกลุ่มหลังกีฬาสี อาจารย์จะได้ช่วยดูความถูกต้องแล้วคืนให้ เปิดมาหลังปีใหม่จะได้นำเสนอหน้าห้องแล้วสอบเก็บคะแนนเรื่องนั้นเลย ส่วนแบบฝึกหัดเสริมให้ส่งสัปดาห์ถัดไป”


“ก็ยังดี” ภาณุยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ส่งท่านกุนซือผู้ฉลาดปราดเปรื่องและมีความสามารถด้านการใช้วาทศิลป์เป็นทัพหน้าไปต่อรองกับอาจารย์ ที่จริงเขาแสร้งทำเดือดเนื้อร้อนใจไปอย่างนั้น เพราะไม่ว่าอาจารย์จะให้ส่งตอนไหนเขาก็มีส่งอยู่แล้ว อย่างไรเสียกลุ่มที่ทำรายงานก็มีทั้งนคินทรและอวัศย์ ส่วนงานเดี่ยวอื่น ๆ ลอกเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ อีกทั้งคนให้ลอกก็มีอยู่มากมายในห้องที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมคนเก่ง


“เราไปซ้อมรำแล้วนะ” นคินทรเอ่ยขึ้น


“เราไปด้วย”


“แล้วนายไม่ไปซื้ออุปกรณ์ที่จะใช้วันเสาร์นี้หรือไง นายบอกน้ำหวานว่าจะไปซื้อของวันนี้นี่นา”


“เราเอาเงินให้ไอ้หมอกไปซื้อแล้ว รับรองได้ของครบแน่” ภาณุกล่าวพลางวาดแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อน “รีบไปซ้อมเถอะ เดี๋ยวสายนะ”


นคินทรส่ายหัวกับความเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงไม่คิดต่อล้อต่อเถียง เมื่อไปถึงห้องนาฏศิลป์กลับพบว่าประตูปิด ไฟดับ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของสาว ๆ ที่อยู่ด้านใน สังเกตว่าที่ห้องข้าง ๆ มีใครคนหนึ่งกำลังก้าวพ้นกรอบประตูออกมา ในมือประคองเค้กก้อนโต พลันเสียงเพลงอวยพรวันเกิดก็ดังขึ้น


“ม่อนมาพอดีเลย มาเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องสิด้วยกันจ้ะ” มัทนาเอ่ยขึ้นแล้วหันไปกล่าวกับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เดี๋ยวพอประตูเปิดพายก็เดินเข้าไปเลยนะ”


ว่าแล้วมัทนาก็เคาะประตู เสียงวี้ดว้ายจึงดังขึ้นอีกระลอกตามด้วยเสียงเพลงอวยพรวันเกิดที่ทุกคนในห้องช่วยกันร้อง


“มารผจญแท้ ๆ” ภาณุพึมพำก่อนจะเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปข้างใน


สิ้นเสียงเพลง เจ้าของวันเกิดก็เป่าเทียน ไฟในห้องจึงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อสิชลเห็นหน้าคนที่ถือเค้กเข้ามาให้ก็ต้องประหลาดใจ


“พายมาได้ยังไงเนี่ย”


“ถูกหลอกมา” มัทนากล่าวก่อนจะหันไปยิ้มกับสาว ๆ ที่คาดว่าตอนนี้คงจะนึกอิจฉาสิชลอยู่ไม่น้อย


“พี่เขามาถามวันเกิดสิจากเรา แต่เราไม่รู้” พายุพัดตอบอ้อมแอ้ม


“วันนี้ได้รู้แล้วนะจ๊ะน้องพาย แหม...สนิทกันขนาดนี้ไม่รู้วันเกิดน้องสิได้ยังไง น่าตีจริง ๆ” มัทนากล่าวท่ามกลางเสียงโห่รับของบรรดาลูกคู่


“เอาละ ๆ สาว ๆ ไม่ต้องอิจฉาจ้ะ เรามากินเค้กกันดีกว่า” ว่าแล้วก็รับเค้กจากมือเด็กหนุ่มมาวางบนโต๊ะแล้วจัดการตัดแบ่งแจกจ่ายให้ทุกคน


“สุขสันต์วันเกิดนะสิ เราไม่รู้มาก่อนก็เลยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย” นคินทรเอ่ยขึ้น


“ไม่เป็นไรจ้ะม่อน สิก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดหรอก นี่เค้กก้อนแรกในชีวิตเลยนะ” พูดจบสิชลก็ยิ้มให้ภาณุ


อีกฝ่ายเห็นเป็นโอกาสจึงกล่าว “ไว้เราจะเอาของขวัญมาให้ทีหลังนะสิ”


“ไม่เป็นไรจ้ะฉาย ไม่ต้องลำบากหรอก” สิชลพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันไปหาอีกคน “ขอบใจมากนะพาย”


“ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย” พายุพัดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่ารู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ที่นี่เต็มที


“เดี๋ยวพายไปไหนต่อ”


“รอสิเลิกซ้อมไง วันนี้แม่มารับช้าไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราอยู่รอเป็นเพื่อน”


“จ้ะ ขอบใจนะพาย”


ดังนั้นวันนี้ในห้องซ้อมรำจึงมีทั้งแขกที่ได้รับเชิญและแขกที่บังเอิญเกาะขามาด้วย...


กว่าการซ้อมการแสดงในพิธีเปิดกีฬาสีจะเลิกก็เกือบหกโมงครึ่ง เสียงจากโทรโข่งของอาจารย์เมธีทำให้ทุกคนต้องรีบเก็บข้าวของลงจากตึก นคินทรมองหนุ่มสาวที่เดินนำหน้าเคียงข้างกันไปตามถนนหน้าอาคาร คนหนึ่งคือเพื่อนร่วมห้องของเขา ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่ร่ายรำเป็นนางเมขลาได้อย่างอ่อนช้อยงดงามที่สุด ส่วนที่เดินอยู่ข้าง ๆ กันในขณะนี้คือภาณุที่เอาแต่บ่นราวกับหมีกินผึ้ง


“ไอ้พายมันโคตรขโมยซีนเลยว่ะ”


“ขโมยซีนยังไง เราไม่เห็นเขาจะทำอะไรแบบที่นายว่า”


“ก็ที่อยู่ ๆ มันไปโผล่ที่ห้องนาฏศิลป์ไง”


“เขารู้จักกันนี่นา ไม่สิ...เขาสนิทกัน” นคินทรกล่าว


“ไม่รู้แหละ ยังไงเราต้องทำให้สิหันมาชอบเราให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นก็ลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างสิ”


ภาณุพยักหน้าหยุดเดินแล้วพูดอย่างมุ่งมั่น “รับรองว่าสิจะต้องทึ่งในตัวเรา” แต่แล้วความมุ่งมั่นนั้นก็เป็นคล้ายกับเศษน้ำแข็งแห้งที่ระเหิดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาหันไปบีบนวดแขนคู่สนทนา “แต่ว่านายต้องช่วยเรานะม่อน”


“จะให้เราช่วยอะไร”


“นายช่วยไปเลือกของขวัญให้เราหน่อยนะ เราจะเอาให้สิวันที่เขารำเปิดกีฬาสีน่ะ”


“นายจะให้เขา นายก็ไปเลือกเองสิ”


“เราเลือกไม่เป็น เราว่าคนสุภาพนุ่มนวลอย่างนายเลือกมาแล้วต้องถูกใจสิแน่ ๆ นะ ๆ ม่อนนะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายปริปากภาณุก็พูดต่อ “เย้! ม่อนรับปากแล้ว”


นคินทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองคนที่กำลังเดินกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า หากมองข้ามเรื่องที่อีกฝ่ายมักเอาแต่ใจตัวเองแบบเด็ก ๆ แล้วมองในอีกแง่มุมหนึ่งจะพบว่าภาณุเป็นคนที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงไหนก็ไม่สามารถทำลายความสดใสร่าเริงของเขาได้ สำหรับนคินทรแล้วถือว่าน่าอิจฉาอยู่พอสมควร     


วันต่อมาเมื่อได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับขบวนพาเหรดจากหัวหน้าห้องม.4/6 แล้ว น้ำหวานก็แจกจ่ายงานให้เพื่อน ๆ ภาณุรับหน้าที่ร่างภาพต้นแบบลงในกระดาษจากนั้นจึงนัดแนะเรื่องการใช้สีกับเพื่อน ๆ ที่มีฝีมือในการวาดรูป และเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนที่มีหน้าที่ทำป้ายผ้าสำหรับขบวนพาเหรดต่างมารวมตัวกันที่โรงอาหาร อุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ ทั้งพู่กัน สี พาชนะใส่น้ำและผสมสี รวมถึงผ้าดิบ ถูกนำลงมาจากห้องเรียน พวกผู้หญิงช่วยกันปูกระดาษหนังสือพิมพ์บริเวณพื้นซึ่งอยู่มุมหนึ่งของโรงอาหารที่คนไม่พลุกพล่าน จากนั้นพวกผู้ชายก็เริ่มร่างภาพลงบนผ้าดิบ เพียงไม่นานก็สามารถช่วยกันลงสีได้


การเขียนป้ายผ้ายังคงดำเนินมาจนถึงวันเสาร์ วันนี้นคินทรต้องไปส่งขนมให้แม่ กว่าจะตามมาสมทบกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็สายมากแล้ว ไม่ลืมหยิบขนมที่แม่ทำเตรียมไว้ให้ติดไม้ติดมือมาด้วย ลงจากรถที่อาทหารขับมาส่งได้ก็รีบวิ่งตรงไปที่โรงอาหารทันที เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายด่าทอดังขรม เห็นสีหกกระจายเต็มพื้นและเศษผ้าขาดรุ่งริ่งกองอยุ่หลายกระจุก เด็กหนุ่มวางขนมบนโต๊ะจากนั้นก็หันไปถามคนที่คิดว่าน่าจะให้ข้อมูลได้ดีที่สุด


“เกิดอะไรขึ้นวะหมอก”


“ก็เมื่อเย็นวานที่เพื่อน ๆ มาเขียนป้ายผ้ากัน ไอ้ฉายมันไปไหนไม่รู้ บอกไว้แค่ว่าเดี๋ยวมันมาทำต่อแล้วจะเอาอุปกรณ์ขึ้นไปเก็บบนห้องเอง เช้ามาสภาพก็ตามที่เห็นนี่แหละ เมื่อคืนฝนตก หมามันคงเข้ามาหลบฝน เจอของพวกนี้เข้าเลยจัดการซะ ยังดีที่ยัยหวานมันเอาป้ายบางอันที่ทำเสร็จกับอุปกรณ์ที่ทำให้ห้องหกขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนจะกลับบ้าน ที่หมากัดขาดก็คือป้ายที่เขียนเสร็จแล้วแต่ยังไม่แห้ง หลายผืนอยู่เหมือนกัน เพราะพวกเราตกลงกันว่าจะทำให้เสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้เอาเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบ เมื่อวานเลยขออาจารย์เมธีอยู่กันจนเกือบสองทุ่ม”       


“แกทำอย่างนี้ได้ยังไงวะฉาย พูดแล้วไม่เป็นพูด” น้ำหวานกล่าวน้ำตาคลอด้วยความโมโห


“บ่นอะไรวะ มันพังก็ทำใหม่สิ ไม่เห็นจะยาก เราทำคนเดียวก็ได้ ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” ภาณุกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน


“ง่ายเนอะ เรารู้ว่าแกวาดรูปเก่ง ทำไม่นานก็เสร็จ แล้วที่เพื่อน ๆ อุตส่าห์ช่วยกันทำล่ะ”


“ก็ไม่เห็นจะสวยเลย ถ้าให้เราทำ รับรองสวยกว่านี้อีก”


“แล้วทำไมไม่ทำวะ” คนหนึ่งแทรกขึ้น “มัวแต่ไปตามผู้หญิง ไหนรับปากม่อนว่าจะช่วยทำไง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่น่ารับปากแต่แรก”


“ถ้าเราไม่รับปากแล้วม่อนมันจะไปช่วยพูดกับอาจารย์ให้ไหม แล้วสุดท้ายใครได้ประโยชน์ ก็เราทั้งห้องนั่นแหละ” ภาณุกล่าว สีหน้าของเขาเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ


“แล้วทีนี้จะทำยังไง เสียไปเกือบครึ่ง จะใช้วันจันทร์อยู่แล้ว” น้ำหวานถาม


“ก็บอกแล้วไงว่าให้เอาเวลามาต่อว่าเราไปซื้อุปกรณ์มาทำใหม่ ไม่เห็นยาก”


“ยืนฟังมาตั้งนานเรายังไม่เห็นนายแสดงความรู้สึกผิดเลยสักนิด” พายุพัดที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเอ่ยขึ้น


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย นายทำด้วยหรือไงถึงเดือดร้อนแทนคนอื่น”


“ไอ้พายมันต้องไปช่วยอาจารย์เมธีเตรียมอุปกรณ์สำหรับแข่งกีฬา แต่มันก็มาช่วยทุกวัน นายไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้” อวัศย์ถามทั้งที่มีคำตอบอยู่แล้ว


“เรื่องเล็กแค่นี้ทำไมต้องจริงจังด้วยวะ เอาเวลาด่าเราไปซื้ออุปกรณ์แล้วทำงานต่อดีกว่าไหม”


“ป้ายผ้าที่เพื่อน ๆ ช่วยกันทำถูกหมากัดขาดเพราะไม่มีคนเก็บ นายบอกว่าเรื่องเล็กเหรอ” พายุพัดว่า “ถ้างานแค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ก็ไปเถอะ อย่ามาทำเลย”


“อ้าวไอ้พาย ทำไมพูดแบบนี้วะ”


“เราพูดผิดตรงไหน นายรู้ไหมว่าทุกคนใช้เวลาเท่าไรกว่าจะทำป้ายผ้าพวกนี้เสร็จ ทุกคนอยู่ทำกันจนดึกในขณะที่นายเอาแต่เดินตามผู้หญิง”


“อ...ไอ้พาย!”


“ถ้าหน้าที่ตัวเองยังรับผิดชอบไม่ได้ก็อย่าคิดไปจีบใครเลย”


“ถ้านายหมายถึงสิละก็ คอยดูเถอะ เราต้องทำให้สิชอบเราให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นก็คอยดู เราเองก็ไม่ยอมปล่อยให้สิไปคบกับนายง่าย ๆ หรอก”


“ไอ้พาย!” คนพูดกัดฟันกรอด มองตาขวาง


แม้พายุพัดจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นั่นกลับทำให้อารมณ์ของภาณุยิ่งพลุ่งพล่าน เมื่อไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ขายาวก็ก้าวเข้าหาหวังจะปล่อยหมัดใส่ให้สมแค้น มือใหญ่เอื้อมจับคอเสื้อของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกันก่อนจะง้างหมัดท่ามกลางเสียงหวีดร้องของพวกผู้หญิงที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกล


เห็นพายุพัดไม่คิดหลบเลี่ยง นคินทรจึงเอ่ยขึ้น “พอได้แล้ว แค่พูดว่าขอโทษมันยากนักหรือไง”


ภาณุชะงัก พยายามระงับอารมณ์จนสั่นไปทั้งแขน ในที่สุดเขาก็คลายมือออกก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร


นคินทรมองตามร่างสูงพลางถอนใจเฮือก หันไปบอกให้เพื่อน ๆ ช่วยกันทำความสะอาดโรงอาหาร ส่วนเขากับอวัศย์จะออกไปซื้ออุปกรณ์


โชคยังดีที่ในวันหยุดเช่นนี้พอจะมีร้านเครื่องเขียนและร้านขายวัสดุก่อสร้างเปิดบริการอยู่บ้าง ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานนคินทรก็ซื้อของได้ครบ สองคนมุ่งหน้ากลับไปที่โรงเรียนและพบว่าพื้นโรงอาหารถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อย กระดาษหนังสือพิมพ์ถูกปูรอเอาไว้แล้ว แม้จะมีเพื่อน ๆ เหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คนแต่ทุกคนก็ยินดีที่จะช่วยทำงานอย่างแข็งขัน พวกผู้หญิงกางผ้าดิบออกวัดขนาดแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ส่วนพวกผู้ชายก็เริ่มลงมือร่างภาพอีกครั้ง 


“เรา...ขอโทษแทนฉายด้วยนะ” นคินทรกล่าวกับคนที่กำลังนั่งระบายสีเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม


พายุพัดขบกรามแน่น เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเอียนกับชื่อนี้ เขาถอนใจเบา ๆ แล้วตอบกลับด้วยคำถาม “ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงที่ต้องคอยทำอะไรเพื่อคนอื่น”


คราวนี้กลายเป็นนคินทรที่เงียบ เขาแตะพู่กันลงบนผืนผ้าพลางลากช้า ๆ ใช้สีถมส่วนที่ยังเป็นสีของเนื้อผ้า


“เราว่าทำให้สิสนใจฉายยังไม่ยากเท่าทำให้ฉายเปลี่ยนแปลงตัวเอง


“ก็ไม่แน่นะ มาพนันกันไหมล่ะ”


พายุพัดแปลกใจที่เห็นมุมปากคนพูดยกขึ้นน้อย ๆ


“นายมั่นใจว่าฉายจะเปลี่ยนตัวเองและทำให้สิสนใจได้อย่างนั้นเหรอ”


“นคินทรส่ายหัวเบา ๆ “เราไม่มั่นใจเรื่องสิก็เพราะฉายมีนายเป็นคู่แข่ง” นคินทรหยุดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อ “แต่เรื่องของฉาย...ถ้าวันหนึ่งรู้ตัวว่าชอบใครมาก ๆ ก็อาจจะคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนคนนั้นก็ได้”



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 12:01:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนจึงทำให้สามารถทำป้ายผ้าได้เสร็จตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ เมื่อช่วยกันเก็บของขึ้นห้องเรียบร้อยก็ได้เวลาแยกย้ายกลับบ้าน


“ม่อน กลับยังไงวะ” อวัศย์เอ่ยขึ้นขณะเดินออกจากโรงอาหาร


“เดี๋ยวโทรให้อาทหารมารับ”


“พ่อไม่อยู่เหรอ”


“อือ ไปประชุมที่ต่างจังหวัดน่ะ”


“ให้รอเป็นเพื่อนก่อนไหม”


“ไม่ต้องหรอก นายกลับไปช่วยพ่อเถอะ”


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะ ไว้เจอกันวันจันทร์ จะได้เห็นรามสูรสุดหล่อซะที” หมอกหัวเราะ


“เออ ได้เห็นแน่ ไปได้แล้วไป” นคินทรโบกมือไล่ รอจนเพื่อนขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจึงมุ่งหน้าไปที่อาคารเรียนเพื่อใช้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญโทรกลับไปที่บ้านเหมือนเช่นเคย


ขาก้าวไปตามพื้นคอนกรีตช้า ๆ เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเอง เรื่องต่าง ๆ ก็ประดังเข้ามาในหัวอีกครั้ง รู้สึกอดเป็นห่วงภาณุไม่ได้ เพราะหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อเช้าอีกฝ่ายก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย นคินทรคิดอะไรเพลินจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งขี่รถจักรยานบนต์ตามหลัง เห็นด้วยหางตาก็ตอนที่เขามาหยุดข้าง ๆ แล้ว   


“ม่อน” พายุพัดหยุดรถก่อนจะเอื้อมฉวยที่ข้อมือเล็ก และเมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาสบตาด้วยความสงสัยระคนตกใจ มือใหญ่ก็คลายออก เลื่อนขึ้นรั้งพวงกุญแจรูปแมวสีน้ำเงินที่ติดอยู่กับเเป้สะพายหลังของอีกฝ่าย


“ไม่ได้ยินหรือไง เราเรียกตั้งหลายครั้ง”


“คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ มีอะไรหรือเปล่า”


“เดี๋ยวเราไปส่ง”


“บ้านเราคนละทางกับบ้านนาย เราโทรบอกให้อาทหารมารับก็ได้”


“ถือว่าตอบแทนที่ช่วยไปซื้ออุปกรณ์เขียนป้ายผ้าให้ก็แล้วกัน” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อเห็นคู่สนทนามีท่าทีลังเลจึงเอ่ยขึ้น “เร็ว! ขึ้นรถ”


นคินทรมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจก่อนจะยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นช่วยไปส่งเราที่ที่หนึ่งได้ไหม แต่บอกไว้ก่อนว่าเราไม่ถือบุญคุณจนยอมแพ้เรื่องสิกับฉายหรอกนะ”


“รู้น่า” พายุพัดส่ายหัว รอกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นซ้อนท้ายจึงค่อย ๆ ออกรถ


....


นคินทรทอดตามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนและวัดวาอาราม ครู่หนึ่งพายุพัดก็เลี้ยวเข้าซอย เบื้องหน้าคือถนนสายแคบ ๆ ที่แน่นขนัดไปด้วยร้านรวง เมื่อทำนองเพลงชาติไทยดังขึ้นรถก็ค่อย ๆ ชะลอแล้วจอดสนิทที่ข้างกำแพงสีขาวเตี้ย ๆ แสดงอาณาเขตของวัดสำคัญวัดหนึ่ง ผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของพากันหยุดนิ่ง ต่างคนต่างอยู่ในอาการสงบ กระทั่งสิ้นเสียงเพลง ความมีชีวิตชีวาก็กลับคืนสู่ถนนคนเดินแห่งนี้อีกครั้ง


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” นคินทรกล่าวเมื่อลงจากรถ


“นึกยังไงถึงมาที่นี่”


“มีเรื่องสำคัญต้องทำน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำเถอะ เรารออยู่นี่”


“รอทำไม”


“ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่งที่บ้าน”


นคินทรได้แต่พยักหน้า เพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่จึงไม่เสียเวลาพูดให้มากความ ร่างสูงเดินฝ่าผู้คนไปตามแนวกำแพงกระทั่งหยุดที่ร้านขายเครื่องเงินหน้าวัดภูมินทร์ กวดตามองสร้อยข้อมือและกำไลที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่สีแดง ในที่สุดมือขาวก็เอื้อมหยิบกำไลวงหนึ่งขึ้นมา


“วงนี้ยังอยู่นะม่อน ป้าว่ามันต้องรอม่อนแน่ ๆ” ด้วยความที่เป็นลูกค้าเบเกอรีฝีมือแม่ของเด็กหนุ่ม เจ้าของร้านจึงกล่าวอย่างเป็นกันเอง


นคินทรยิ้มพลางมองกำไลเงินวงเล็กรูปปลาคู่ในมือ เขาตั้งใจเก็บเงินซื้อมัน แต่เมื่อได้เงินครบตามจำนวนกลับต้องวางลงที่เดิม


“วันนี้ม่อนตั้งใจจะมาซื้อสร้อย เงินคงไม่พอซื้อกำไลหรอกครับป้านี ไว้เก็บเงินครบแล้วม่อนจะมาใหม่นะครับ”


“ป้าเอาให้ก่อนก็ได้นะ เราคนกันเอง”


“ไม่เป็นไรครับ ม่อนอยากเก็บเงินซื้อเอง แต่ถ้ามีคนจะซื้อ ป้านีก็ขายให้เขาไปเลยนะครับ เผื่อม่อนไม่ได้มาอีก” พูดจบก็หยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งขึ้น


“จะซื้อไปให้สาวใช่ไหมเนี่ย” ป้านีกระเซ้า


“ไม่ใช่ของม่อนหรอกครับป้านี เพื่อนม่อนฝากซื้อ แต่ก็จะเอาไปให้สาวแบบที่ป้านีว่านั่นแหละครับ” นคินทรหัวเราะ


“เส้นที่ม่อนหยิบก็สวย เหลือเส้นสุดท้ายแล้ว ม่อนนี่เข้าใจเลือกนะเนี่ย”


“ถ้าป้านีว่าสวย ม่อนเอาเส้นนี้ก็แล้วกันครับ” พูดจบก็ส่งสร้อยเงินห้อยจี้รูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ให้เจ้าของร้าน จากนั้นจึงดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบธนาบัตรใบละห้าร้อยบาทยื่นให้ ทันทีที่ได้ของกับเงินทอนอีกไม่กี่สิบคืน นคินทรก็เดินออกจากร้านแวะซื้อลูกชิ้นปิ้งกับน้ำอัดลมแล้วย้อนกลับไปยังจุดที่แยกกับพายุพัด แต่เมื่อไปถึงกลับพบเพียงรถจอดอยู่ เด็กหนุ่มยืนรอสักพักผู้เป็นเจ้าของก็ปรากฏตัวขึ้น


“เราซื้อลูกชิ้นกับน้ำมาฝาก” คนรอบอก แต่ร่างสูงกลับเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าของเขานิ่งเฉยกว่าที่เคยเป็น หรืออาจจะค่อนไปทางบูดบึ้งเสียด้วยซ้ำ กระนั้นนคินทรก็ยังทำใจดีสู้เสือ “เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า ขึ้นรถเถอะ”


“หรือถ้านายมีธุระ...”


“เราบอกให้ขึ้นรถไง” พายุพัดกล่าวซ้ำด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม


“หงุดหงิดอะไรมาเนี่ย”


นคินทรบ่นงึมงำพลางวาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย มือหนึ่งจับแก้วน้ำ ถุงกระดาษและถุงใส่ลูกชิ้นแน่นในขณะที่อีกมือจับอานรถจักรยานยนต์แน่นเมื่อรู้สึกถึงความเร็วที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สายลมปะทะเข้าจนหน้าชาไปหมด ทิวทัศน์ข้างทางแปลกตาชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าพายุพัดจะพาตนไปยังที่ใดกันแน่ แม้จะสงสัยเพียงใดแต่กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายก็ทำให้ไม่กล้าปริปากถาม


ตาคมเจือแววแห่งความโกรธขึ้งมองไปข้างหน้าในขณะที่มือกำคันเร่งแน่น พายุพัดถอนใจหนัก รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเหตุใดเขาจึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่แล้วเมื่อมือของคนซ้อนท้ายเลื่อนมาจับชายเสื้อของตน มือใหญ่ก็ผ่อนคันเร่งลงอัตโนมัติ เมื่อพ้นจากสะพานข้ามแม่น้ำก็บ่ายหน้าเข้าซอยลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ กระทั่งมาหยุดยังศาลาริมบึงน้ำขนาดใหญ่   


“พาเรามาที่นี่ทำไม” นคินทรถามเมื่อก้าวลงจากรถเดินไปหยุดที่ขอบคันกั้น ในมือยังคงถือของพะรุงพะรัง “ฉายไม่ยักบอกว่ามีที่แบบนี้ด้วย”


คนฟังขบกรามแน่น สาวเท้าเข้าไปหยุดยืนข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “สร้อยนั่นน่ะของฉายใช่ไหม”


“สะกดรอยตามเราเหรอ เป็นนักสืบหรือไง” ทำพูดติดตลก เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่มีอารมณ์ร่วมจึงกล่าวตามจริง “ฉายฝากซื้อน่ะ บอกว่าจะเอาให้สิวันที่มีพิธีเปิดกีฬาสี”


“ทำไมต้องทำอะไรขนาดนี้”


“นายพูดเรื่องอะไร” นคินทรหันมาถามอย่างแปลกใจ


พายุพัดจ้องตาเขม็งก่อนจะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายขึ้น จนคนไม่ทันตั้งตัวเผลอทำทั้งแก้วน้ำ ถุงใส่ลูกชิ้นและถุงจากร้านป้านีหลุดมือร่วงลงกับพื้น


“เฮ้ย! เบา ๆ หน่อยสิ น้ำหกหมดแล้ว” กำลังจะก้มลงเก็บ แต่ก็ช้ากว่าพายุพัดที่รีบฉวยถุงซึ่งมีสร้อยคออยู่ในนั้นขึ้นมาเสียก่อน “นายเป็นอะไรของนาย เราทำอะไรให้ถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้”


“ทำไมต้องทำอะไรให้ฉายขนาดนี้”


“ก็เพราะฉายเป็นเพื่อนเราไง ทำไม นายกลัวแพ้ฉายเหรอ” นคินทรแกล้งแหย่เล่นเผื่ออีกฝ่ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง


“ทำไมเราต้องกลัวแพ้”


“เพราะนายชอบสิ ก็เลยกลัวว่าจะแพ้ฉายใช่ไหม”


“เราไม่เคยคิดอะไรกับสิ ทุกอย่างที่นายพูดมาเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้เราทั้งนั้น”


“อย่ามาโกหกเลยน่า ไม่ต้องเขินหรอก” นคินทรยิ้ม พยายามทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลง


“เราไม่ได้โกหก คนที่โกหกคือนายต่างหาก นายโกหกทุกคน โกหกแม้กระทั่งตัวเอง”


พลันรอยยิ้มก็เหือดหายไปจากใบหน้า “ร...เราโกหกเรื่องอะไร”


“ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไงเวลาที่เห็นไอ้ฉายไปให้ความสำคัญกับสิแบบนั้น”


“เราต้องรู้สึกอะไร” นคินทรถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เอื้อมมือไปคว้าของของตนในมืออีกฝ่ายแต่ก็ได้เพียงอากาศ


“คนที่แอบชอบเพื่อนสนิท แล้วเห็นเพื่อนไปให้ความสำคัญกับคนอื่นเขารู้สึกยังไง ก็รู้สึกแบบนั้นแหละ”


“เอาของของเราคืนมา เราจะกลับบ้าน”


“เราพูดถูกใช่ไหม”


“นายเองก็กำลังหยิบยื่นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการเหมือนกัน”


“ถ้าอย่างนั้นมาพิสูจน์กัน” พูดจบก็ปาถุงกระดาษลงไปในน้ำ


“เฮ้ย! นายทำอะไรวะ บ้าไปแล้วหรือไง” นคินทรละล่ำละลัก


“ถ้านายไม่ได้คิดกับฉายเกินกว่าเพื่อนก็อย่าลงไปเก็บ” พายุพัดกล่าวเรียบ ๆ หากแต่หนักแน่นราวประกาศิต


“เราทำอะไรให้นาย” นคินทรถามตามประสาคนที่ไม่เคยมีเรื่องกับใคร เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ไม่คิดหันมามองหน้า ตาจ้องเขม็งไปยังถุงกระดาษที่กำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันคงหลุดเข้าไปในประตูระบายน้ำแล้วไหลลงคลองไปเป็นแน่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกทาง แม้จะถูกมือใหญ่เหนี่ยวรั้งไว้แต่ก็สะบัดจนหลุด นคินทรหยุดที่ริมตลิ่ง ใช้เวลาคิดไม่ถึงอึดใจก็ปลดเป้แล้วกระโดดลงไปในน้ำ


พายุพัดมองร่างที่กำลังแหวกว่ายไขว่คว้าของสำคัญ เมื่อเห็นท่าทางนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดจึงรีบกระโดดตามลงไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหลังก่อนจะลากเข้าฝั่ง


“ปล่อยเรา เราจะไปเอาของของเรา” นคินทรเอื้อมมือไขว่คว้า แต่ถุงใบนั้นก็ลอยห่างออกไปทุกทีกระทั่งผลุบหายไปในกระแสน้ำไหลเชี่ยวเมื่อถึงประตูน้ำ


“ว่ายน้ำไม่เป็นทำไมยังทำแบบนี้อีก จะบ้าหรือไง ฉายมันไม่เคยสนใจความรู้สึกของนายด้วยซ้ำ” พายุพัดตะโกนลั่นใส่หน้าคนที่กำลังหอบตัวโยน


“ไม่เกี่ยวกับนาย” นคินทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล คว้าเป้ได้ก็ก้าวแบบไม่สนใจใคร แม้รอบกายจะปกคลุมด้วยความมืดแต่เท้าก็ยังคงก้าวไม่หยุด


“ขึ้นรถ เดี๋ยวเราไปส่ง” พายุพัดที่ขี่รถขนาบข้างเอ่ยขึ้น เมื่อไร้ถ้อยคำตอบกลับจึงตัดสินใจหักหน้ารถขวาง แสงไฟอันน้อยนิดทำให้เห็นว่าดวงตาที่เคยสดใสของนคินทรบัดนี้เจือด้วยความกลัว ความเสียใจ ความโกรธผสมปนเปยากเกินจะคาดเดา


“เรากลับเองได้”


“นายจะกลับไปในสภาพแบบนี้ได้ยังไง เราจะไปส่งนายที่บ้านหมอก” พายุพัดกล่าว


นคินทรนิ่งคิด แม้ในยามนี้จะไม่อาจสะกัดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้แต่ก็ยังพอมีสติรู้คิด เขาใช้เวลาสั้น ๆ ทบทวนผลที่จะตามก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย ทันทีที่รถเคลื่อนแหวกอากาศร่างกายก็สั่นสะท้านรู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ กระนั้นยังฝืนนั่งหลังตรงไม่ปล่อยให้ส่วนใดได้สัมผัสกับร่างกายของอีกคนโดยไม่จำเป็น สองแขนพราวไปด้วยน้ำกอดเป้สะพายหลังแน่น ดวงตาทอดมองไปในความมืด กระทั่งได้ยินเสียงสะล้อซอซึงดังใกล้เข้ามา


จนเมื่อถึงบริเวณลานข่วงเมืองซึ่งเป็นลานกว้างสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้นั่งรับประทานขันโตกพร้อมกับชมการแสดงทางวัฒธรรมในช่วงวันหยุด พายุพัดก็อาศัยแสงจากเสาไฟสูงลอบมองคนซ้อนท้ายผ่านกระจกเล็ก ๆ ใบหน้าของเขาซีดเซียว นัยน์ตาสีเข้มปราศจากแววแห่งความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นผิดกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิง ไม่นานรถก็มาหยุดที่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ ประตูเหล็กม้วนถูกดึงลงมาฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งยังคงเปิดเอาไว้เพราะคนไข้ตัวสุดท้ายกำลังรอรับยา ครู่หนึ่งก็เห็นอวัศย์อุ้มเจ้าลูกสุนัขพันธุ์ไทยเดินตามหลังคุณลุงคนหนึ่งออกจากคลินิก ด้านอวัศย์เมื่อวางวางเจ้าตัวเล็กลงในตะกร้าหน้ารถ กำลังจะหันหลังกลับเข้าบ้านก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเพื่อนสองคนในสภาพลูกหมาตกน้ำ
 


 

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



สวัสดีค่ะ รอบนี้มาเร็วหน่อย เพราะเป็นตอนที่เราเขียนยาวมาจากตอนที่ 3 แล้วจบไม่ลง

ที่จริงเหตุการณ์ที่เรากำลังเล่าถึงนี้เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตค่ะ

ตามพล็อตเราตั้งใจเขียนให้จบในตอนที่ 3 แต่ตอนนี้งอกเป็น 4 เลยตัดเอามาอัพก่อน เพราะมันยาวไปถึง 5 แล้ว

แต่ก็ใจชื้นแล้วค่ะ จากที่เป็นกังวลว่าเรื่องยาวเรื่องนี้จะถึง 10 ตอนไหม

งอกขนาดนี้ ถึงแน่ ๆ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 12:05:13 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  สนุกมากกกก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ม่อนชอบฉายหรือนี่  :katai1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ที่ฉายทำมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ นั่นแหละ ส่วนม่อนจะชอบฉายจริงหรือเปล่า พายยุ่งอะไรกับเขา หรือว่าหึง

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
งู้ยย ตกลงเรื่องมันยังไงมายังไงกันแน่นะ

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
แรก ๆ คิดว่าฉายเป็นเด็กดีมาตลอด แล้วดูทำเข้าสิ

ท้ายตอน 4 นี่อึดอัดจริง ๆ ค่ะ ก็แอบคิดอยู่ว่าม่อนจะแอบชอบฉายไหม เห็นยอมทุกอย่างไม่ว่าขออะไร สรุปว่าใช่จริง ๆ

รอลุ้นเรื่องตอนปัจจุบันนะคะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
หงุดหงิดฉายมาก และรู้สึกดีที่มาอนทำให้พายยิ้มได้

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รอติดตามนะครับ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่

สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อแม่ผู้ปกครองที่มายืนรอดูบุตรหลานของตน ทุกสายตาต่างจับจ้องคทาหัวมงกุฎโลหะพันด้วยเชือกที่ถูกโยนขึ้นกลางอากาศ และเมื่อมันตกลงสู่มือคทากรกรหนุ่มหล่อ เสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรดาตากล้องทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพต่างลั่นชัตเตอร์กันไม่หยุด ไม่นานขบวนพาเหรดของแต่ละสีก็เคลื่อนเข้าสู่สนามหญ้าหน้าเสาธงในขณะวงโยธวาทิตของโรงเรียนยังคงบรรเลงเพลงกราวกีฬาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเพลงจบผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นประธานในพิธีก็เดินขึ้นสู่แท่นหน้าเสาธง กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานจากนั้นจึงกล่าวเปิดการแข่งขันกีฬาภายใน


สิ้นเสียงผู้อำนวยการโรงเรียน วงโยธวาทิตบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ธงสีทั้งห้าถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นสมาชิกของแต่ละสีก็แยกย้ายกันไปนั่งประจำบนอัฒจันทร์ กระทั่งความชุลมุนวุ่นวายคลี่คลายลง วงปี่พาทย์ไม้แข็งก็บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ พลันสาวน้อยในชุดยืนเครื่องสีน้ำเงินก็ร่ายรำออกมาจากฝั่งหนึ่ง ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามสมเป็นนางเมขลา ต่างกับผู้แสดงเป็นอสูรเทพบุตรที่มาในชุดยืนเครื่องสีเขียว มือถือขวานเพชร บดบังใบหน้าด้วยหัวโขนหน้ายักษ์ เขาร่ายรำด้วยท่วงท่าแข็งแรง กิริยาท่าทางการเยื้องย่างดูสง่างามยิ่งนัก กระนั้นกระบวนท่ารำของทั้งสองก็ยังมีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน


“ไม่เสียชื่อโขนสาธิตเนอะแม่” พันโทธรณินนกระซิบกับผู้เป็นภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกันในเต็นท์กองอำนวยการ อดนึกชื่นชมลูกชายของตัวเองไม่ได้ แม้การย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดด้วยกันจะทำให้นคินทรต้องลาออกจากโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่วิชาโขนที่เคยร่ำเรียนก็ยังติดตัวมา


“จ้ะพ่อ” วาสนากล่าวพลางละสายตาจากสองผู้แสดงที่ร่ายรำอยู่กลางสนาม มองสามีตัวเองที่วันนี้ตั้งใจลางานครึ่งวันมาดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนำการแสดงในพิธีเปิดกีฬาสีของโรงเรียน


นางเมขลาโยนแก้วล่อไล่ไปมาท่ามกลางเสียงรัวระนาด ส่วนรามสูรที่กำลังโกรธเกรี้ยวก็ขว้างขวานใส่ เป็นที่มาของตำนานฟ้าแลบฟ้าร้องซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลาง เสียงฟ้าคำรามครั่นครื้นดังจากเครื่องขยายเสียงราวกับกำลังเกิดพายุฝนขึ้นจริง ๆ ทุกสายตาต่างจับจ้องที่กระถางเพลิงซึ่งปรากฏเปลวไฟขึ้น ชาวพริบตาก็ลุกโชนเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันกีฬาภายในได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง นคินทรก็เดินตรงไปยังเต็นท์กองอำนวยการเพื่อถ่ายรูปกับพ่อและแม่ จากนั้นจึงเดินต่อไปที่อัฒจันทร์สีของตนเองเพื่อถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้


“มาแล้ว ๆ ม่อนมาแล้ว” น้ำหวานละล่ำละลัก


เด็กหนุ่มเดินตรงไปหาเพื่อน ๆ ที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ข้างสนาม แม้จะถอดหัวโขนแล้วแต่ชุดที่สวมก็ทำให้ทุกย่างก้าวของเขายังคงสง่างาม


“ยืนตรงกลางเลยม่อน” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


เจ้าของชื่อยิ้มร่ารีบเข้าไปแทรกตรงที่เพื่อนเว้นไว้ให้


“เดี๋ยวเราไปตามพายก่อน มันช่วยอาจารย์เมธีเตรียมสนามแข่งเปตองอยู่ทางโน้น” อวัศย์ว่าก่อนจะชี้ไปที่ริมสนามอีกฝั่ง กำลังจะทำตามที่ปากพูดแต่ก็ต้องชะงัก


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก”


คนฟังพยักหน้าจากนั้นจึงหันไปบ่นเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้ยังตกลงตำแหน่งการยืนกันไม่ได้สักที ดังนั้นเพื่อนห้องหกซึ่งรับหน้าที่เป็นตากล้องจึงเดินไปยืนประจำที่ มองความวุ่นวายตรงหน้าผ่านช่องมองภาพแล้วออกคำสั่งให้บรรดาลูกปูยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ เมื่อได้ภาพจำนวนมากพอแล้วเพื่อน ๆ ก็พากันกลับไปรวมตัวที่อัฒจันทร์เพื่อรอดูลีลาการเชียร์ของสีต่าง ๆ
นคินทรเหลือบไปเห็นภาณุซึ่งยืนอยู่ใต้ร่มไม้จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าว “ถ่ายรูปกับเราหน่อยสิ”
 

อีกฝ่ายดูประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็เดินมายืนข้างกัน


“น้ำหวานถ่ายรูปให้เราหน่อยสิ” นคินทรบอกก่อนจะหันไปเรียกอวัศย์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามแต่โดยดี


ภาณุยืนนิ่ง มองอวัศย์ที่เดินมาหยุดข้างนคินทรและน้ำหวานที่ถูกไหว้วานให้ถ่ายรูปให้ แต่ละคนต่างทำตัวเป็นปกติแม้จะผ่านเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งมาได้เพียงไม่กี่วัน คงเพราะนคินทรเอ่ยปาก ทั้งน้ำหวานและอวัศย์จึงได้พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อันที่จริงไม่ใช่แค่สองคนนี้แต่ยังรวมไปถึงเพื่อน ๆ ในห้องที่ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองหมางเกิดขึ้น ใจหนึ่งอยากยอมรับผิดที่ตนคิดน้อยเกินไป ซ้ำยังเอาแต่เล่น บอกว่าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เพื่อน ๆ แก้ปัญหากันเอง และยิ่งทุกคนปฏิบัติเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ส่วนอีกใจก็นึกน้อยใจที่เพื่อนซึ่งคบกันมานานพากันเข้าข้างพายุพัดที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาเรียนด้วยกันได้ไม่ถึงปี เมื่อทิฐิอยู่เหนือความละอายใจภาณุก็เลือกมองข้ามที่จะกล่าวคำขอโทษต่อทุกคน


“ชิด ๆ กันหน่อย ยิ้มด้วย” น้ำหวานบอก


“ถ่ายเราให้ออกมาหล่อ ๆ นะ” หมอกว่า


“วันนี้ไม่มีใครหล่อเกินม่อนหรอกจ้ะ” พูดจบนิ้วเรียวก็กดบันทึกภาพ


“ถ่ายคู่บ้างสิ”


ได้ฟังนคินทรพูดเช่นนั้น อวัศย์จึงก้าวห่างออกมา ปล่อยให้เพื่อนรักได้ชักภาพร่วมกัน


“เรียบร้อย” น้ำหวานเอ่ยขึ้นแล้วก้มลงมองภาพในหน้าจอ LCD ของกล้องดิจิทัลในมือ 


“ส่งให้เราบ้างนะหวาน” นคินทรกำชับ


“ได้จ้ะ”


“เดี๋ยวนายไปไหนต่อ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“ไปเปลี่ยนชุดน่ะ นายมีแข่งกรีฑาใช่ไหม”


“อือ”


“ถ้าอย่างนั้นเราไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วจะมาเชียร์” พูดจบนคินทรก็เดินเลาะริมขอบสนามฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้องนาฏศิลป์ ไม่ว่าระหว่างทางจะพบกับรุ่นพี่ รุ่นน้องหรือเพื่อนรุ่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายขอถ่ายรูปด้วย เขาก็จะหยุดด้วยความยินดี


เมื่อช่วยอาจารย์เมธีเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแข่งขันเปตองเรียบร้อยแล้ว พายุพัดก็เดินออกจากสนามอย่างรีบร้อน ขายาวก้าวฝ่าผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังสนามย่อยที่ใช้แข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่งโรงเรียน ไม่นานเขาก็มาหยุดที่ระเบียงชั้นสองของอาคาร เห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารดูภูมิฐานกับหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับอาจารย์วัชรีอาจารย์ผู้สอนวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ เด็กหนุ่มจึงก้มหลังก่อนจะเดินผ่านคนทั้งหมดไปยังห้องนาฏศิลป์ ทันทีที่ไปถึงก็พบสิชลในชุดนางรำกำลังถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน 


“อ้าว...พายมาพอดีเลย มาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว” สาวน้อยเอ่ยขึ้น


เด็กหนุ่มยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ ดวงตามองสำรวจไปรอบ ๆ


“เดี๋ยวสิไปเรียกม่อนก่อนนะ ไม่รู้ม่อนเปลี่ยนชุดหรือยัง เผื่อจะทัน”


พายุพัดไม่ทันได้พูดอะไร คนที่ถูกกล่าวถึงก็เดินพ้นประตูออกมา ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันอีกครั้ง


“ว้า! ม่อนเปลี่ยนชุดเสียแล้ว พายเลยไม่ได้ถ่ายรูปกับรามสูตรสุดเท่ของสิเลย” สิชลกล่าว


“ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดว่า


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเนอะ ถ่ายชุดพละแบบนี้ก็ได้”


“สิถ่ายกันเถอะ เราไปหาพ่อกับแม่ก่อน” นคินทรบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


หลังจากคุยกัยอาจารย์วัชรีแล้ว นคินทรก็เดินลงมาส่งพ่อกับแม่ที่รถ


“ตอนเย็นพ่อมารับนะม่อน” พันโทธรณิณกล่าวเมื่อลดกระจกลง


“ครับพ่อ” นคินทรยิ้ม มองเลยไปยังผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งถัดไป จากนั้นจึงดึงสายตากลับมายังคนตรงหน้า “ขอบคุณนะครับพ่อ”


ธรณิณพยักหน้า เอื้อมมือบีบไหล่ลูกชายเบา ๆ จากนั้นจึงปรับกระจกขึ้นและขับรถออกไป ดวงตามุ่งมั่นแต่แฝงความอ่อนโยนมองภาพของลูกชายที่สะท้อนอยู่บนกระจก อดคิดไม่ได้ว่าอีกเพียงไม่กี่ปีก็คงจะต้องไกลกันแล้ว


“ขอบคุณนะจ๊ะพ่อ” วาสนากล่าวพลางเลื่อนมือขึ้นแตะแขนแกร่ง


ผู้เป็นสามีหันมาสบตา รู้สึกขอบคุณเช่นกัน แม้เธอจะไม่เคยสร้างตัวเองให้โดดเด่นเป็นหินสลักในสายตาใคร แต่สำหรับเขาเธอผู้นี้เป็นดังสายลมที่ปัดเป่าความเหนื่อยล้า และหอบเอากำลังใจมาให้ในยามสิ้นหวังไม่ เป็นลมใต้ปีกที่หนุนนำให้เขาได้โบยบินไปถึงจุดหมาย


...


เมื่อจบจากกีฬาภายในก็ตามมาติด ๆ ด้วยเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กว่าจะปรับตัวให้คุ้นชินกับบรรยากาศของการเรียนได้ก็ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของปี ม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ไม่เคยว่าง เพราะเด็ก ๆ ต่างใช้ที่ตรงนี้ในการอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ในขณะที่เด็กบางส่วนก็จับกลุ่มติวข้อสอบอยู่บนระเบียงของอาคารเรียน และหากสังเกตให้ดีหลายคนคงได้เห็นกุหลาบสีแดงดอกโตที่เสียบอยู่ในเป้สะพายหลังของเด็กหนุ่มชั้นม.4 ที่กำลังเดินผ่านมา แม้ใครจะถามถึงที่มาของดอกไม้เขาก็ไม่ตอบ ถูกกระเซ้าเย้าแหย่ตลอดทางก็ไม่สน ยังคงเดินต่อไปในขณะที่รอยยิ้มก็มิได้เลือนหายจากใบหน้า ในที่สุดเขาก็มาหยุดหน้าห้องกิจกรรมซึ่งเป็นที่นัดพบกันของเหล่าประธานสีและกรรมการนักเรียน


“พี่หนูนาอยู่นี่เอง” นคินทรเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้เจอคนที่ตามหา


“ม่อนมีอะไรหรือเปล่า” มัทนาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ


“ผมมีของจะให้พี่หนูนาครับ” พูดจบก็ดึงกุหลาบดอกโตจากออกจากเป้แล้วยื่นให้ เล่นเอาบรรดาสาว ๆ ที่อยู่ในห้องพากันตาวาว จับกลุ่มกระซิบกระซาบกรี๊ดกร๊าดกันเป็นการใหญ่


“ให้พี่เหรอ”


“ครับ”


“เนื่องในโอกาสอะไร ยังไม่ถึงวันแห่งความรักสักหน่อย” คนอายุมากกว่าแกล้งเย้า


“ไม่ใช่เนื่องในโอกาสอะไรหรอกครับ ผมอยากให้ก็เท่านั้นเอง กลัวว่าถ้ารอต่อไปอีกจะไม่ได้ให้กันพอดี”


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจนะจ๊ะ” มัทนาบอกพลางรับดอกไม้มาถือไว้


และเหตุการณ์แปลกประหลาดในวันนั้นก็เป็นที่โจษจันอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าใครจะถามถึงดอกกุหลาบปริศนา นคินทรก็ไม่ยอมปริปาก ถึงใครจะลือกันไปต่าง ๆ นานา เด็กหนุ่มก็ไม่เคยคิดแก้ข่าวหรือโต้แย้งใด ๆ แต่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วทุกอย่างก็จางหายไปเอง...


(มีต่อค่ะ)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เพื่อน ๆ ทุกคนต่างเอาใจจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือสอบเพื่อเลื่อนชั้น แต่พายุพัดต่างจากคนอื่นตรงที่เขามีอีกหนึ่งเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จปพร้อม ๆ กัน เด็กหนุ่มใช้เวลาหลังเลิกเรียนหมดไปกับการซ้อมว่ายน้ำที่บึงน้ำขนาดใหญ่นอกตัวเมือง และเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักติดตามอาจารย์เมธีไปยังจังหวัดลำปางเพื่อฝึกซ้อมในสระของโรงเรียนเก่าภายในการดูแลของอาจารย์สินธู ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการแข่งขันว่ายน้ำรายการหนึ่งซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ประเทศไทยที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปี


ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาค ทุกคนต่างสะสางงานที่ค้างอยู่และเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ เพื่อที่หลังจากนั้นพวกเขาจะได้สามารถเที่ยวเล่นหรือทำกิจกรรมที่วางแผนไว้ได้อย่างสบายใจในช่วงปิดเทอม ก่อนหมดชั่วโมงเคมีอาจารย์กฤษณาให้หัวหน้าห้องไปหยิบสมุดแบบฝึกหัดที่เธอเพิ่งตรวจเสร็จเมื่อไม่กี่วันก่อนจากห้องพักครู รอไม่นานน้ำหวานก็หอบสมุดกองโตเข้ามาในห้อง


“เดี๋ยวหัวหน้าแจกคืนเพื่อน จะได้เอากลับไปอ่านก่อนสอบ” อาจารย์กฤษณากล่าว “แจกเสร็จจะได้รู้ด้วยว่าหนึ่งคนที่ไม่ส่งงานครูเป็นใคร”


จบประโยคนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังไปทั่วห้อง ทุกคนต่างสบตากันเลิ่กลั่ก ในขณะที่น้ำหวานเองก็เดินแจกสมุดคืนเพื่อนแต่ละคนด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ รู้สึกไม่อยากทำหน้าที่นี้เลยด้วยซ้ำ กระทั่งสมุดเล่มสุดท้ายถูกวางตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของเธอจึงกลับไปนั่งประจำที่


“ม่อน นายไม่ได้ส่งแบบฝึกหัดอาจารย์กฤษณาเหรอ” อวัศย์ที่นั่งอยู่ด้านหลังสะกิดถาม แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของชื่อจะหันไปตอบ เขาก็ถูกเรียกให้ยืนขึ้นเสียก่อน


“เธอมีอะไรจะพูดไหมนคินทร”


เด็กหนุ่มยืนนิ่ง สบตาน้ำหวานที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วงแวบหนึ่ง “ไม่ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นครูต้องหักคะแนนเธอ แล้วก็ทำโทษในฐานะที่เธอเป็นตัวตั้งตัวตีมาขอให้เลื่อนส่งงานแต่กลับเหลวไหลเสียเอง”


นคินทรก้าวออกจากโต๊ะ เดินไปหยุดที่หน้าห้อง ในขณะที่อาจารย์กฤษณาเองก็เตรียมไม้เรียวไว้พร้อมแล้ว ทั้งห้องเงียบกริบ แม้ส่วนใหญ่คิดคัดค้านแต่ก็จนต่อหลักฐานจนไม่อาจทัดทานอะไรได้
เด็กหนุ่มเลื่อนขึ้นมือกอดอก ทบทวนแล้วว่าหากเขาดึงดันไม่ยอมรับรังแต่จะสร้างความลำบากใจให้แก่อาจารย์ ในเมื่อผิดก็ต้องว่าไปตามผิด


อาจารย์กฤษณาก้าวช้า ๆ มือกำไม้เรียวแน่น ก่อนหน้านี้เธอคาดหวังว่าจะได้ฟังข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลจากปากของนักเรียนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กดีคนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรสักคำ เธอหยุดแล้ววาดแขนออกก่อนจะฟาดไม้ไผ่เหลาแบนลงบนบั้นท้ายของเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งจนเกิดเสียงดัง


นักเรียนทั้งห้องพากันหลับตาปี๋ ในขณะที่นคินทรยังคงมองตรงไปข้างหน้า ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อย กัดฟันทนจนเสียงไม้แหวกอากาศกระทบกับผิวเนื้อใต้กางเกงอีกเป็นหนที่สอง...และสาม จึงยกมือไหว้อาจารย์และกลับไปนั่งประจำที่ หลังจากอาจารย์กฤษณาออกจากห้องไปแล้ว ทุกคนก็พากันสืบสาวราวเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“เราว่ามันต้องไปตกหล่นตรงไหนแน่ ๆ เลย” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “เราจะลองไปหาที่ห้องพักอาจารย์ อย่างน้อยม่อนก็จะได้มีสมุดไว้อ่านสอบ”


“ไม่ต้องหรอกหวาน เดี๋ยวเรายืมของหมอกไปถ่ายเอกสารไว้อ่านตอนสอบก็ได้” นคินทรตอบเรียบ ๆ


“หรือว่ามีใครเอาไปลอกแล้วลืมส่งวะ” ข้อสันนิษฐานของเธอทำให้เพื่อน ๆ เริ่มนึกทบทวน


“ว...วันนั้นที่นั่งลอกกันอยู่ในห้อง ร...เราเอาของม่อนมาลอกแต่เราส่งให้แล้วนะ” ภาณุอ้อมแอ้ม “เราเอาไปส่งพร้อมหมอก”
สายตานับสิบต่างจับจ้องไปที่อวัศย์ และเมื่อเขาพยักหน้า ทุกคนก็พากันมุ่นคิ้วคิดไม่ตกว่าแค่สมุดแบบฝึกหัดจะหายไปไหนได้


“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว มันหายก็ให้มันหายไปเถอะ” นคินทรบอกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นสะพายเป้ มือกำสะพายพายแน่นเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บ “กลับบ้านกันดีกว่า”


เมื่อเห็นเพื่อนไม่คิดสืบหาที่มาที่ไป สมาชิกในห้องต่างก็พากันเดินออกจากห้องเรียนวิชาเคมี


นคินทรแวะเอาสมุดแบบฝึกหัดของอวัศย์ไปถ่ายเอกสาร จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องโฮมรูมเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่เวรประจำวันเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าเพื่อน ๆ ได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงนั่งลงที่เก้าอี้ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งมาหนุดที่โต๊ะข้าง ๆ ซึ่งเป็นของภาณุ อดใจหายไม่ได้เพราะอีกไม่นานเมื่อพวกเขาเลื่อนชั้น ห้องนี้ก็จะกลายเป็นเพียงอดีต


“นายกำลังทำให้ฉายเคยตัว” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


นคินทรประคองร่างลุกขึ้นก่อนจะหันกลับไปสบตาคนพูดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เกี่ยวกับนาย”


“ก็จริง มันไม่เกี่ยวกับเรา เพราะคนที่มีส่วนทำให้ฉายเสียนิสัยก็คือนาย”


นคินทรไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่เจ้าของร่างสูงก็ขวางไว้เสียก่อน


“นายกล้าค้นโต๊ะฉายไหมล่ะ”


คนฟังจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง “เราบอกแล้วว่าของมันหายไปแล้วก็ให้มันหายไป”


“กลัวใช่ไหม กลัวว่าจะเจอสมุดนั่นในโต๊ะของฉาย ถ้านายกลัวเราจะค้นเอง” พูดจบก็รั้งข้อมือของอีกฝ่ายไม่ให้ขวางทาง
เมื่อถูกดึงร่างของนคินทรก็เซไปชนกับโต๊ะที่อยู่ด้านหลังทำให้หนังสือและสมุดที่อยู่ข้างในร่วงลงพื้น


“ไม่ต้องค้นแล้ว” เด็กหนุ่มหลังจากหยิบสมุดที่ตกอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมา “มันอยู่กับนาย”


พายุพัดหันขวับ แต่เมื่อเห็นสมุดในมือของอีกฝ่ายก็ยากจะหาคำแก้ตัว


“เราทำอะไรให้” พูดพลางเดินเข้าหาพร้อมกับใช้มือข้างที่ถือสมุดดันแผงอกกว้างซ้ำ ๆ “เกลียดเรามากนักหรือไงถึงต้องทำแบบนี้”


พายุพัดยืนนิ่งกำหมัดแน่น ความรู้สึกเจ็บตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนผิวกายแต่มาจากข้างในเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำคลอด้วยน้ำตา เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเพื่อน ๆ จึงมักพูดว่านคินทรไม่ใช่คนที่จะโกรธได้ง่าย ๆ แต่ลองถ้าได้เป็นคนทำให้อีกฝ่ายโกรธแล้วก็พิจารณาตัวเองได้เลย


“นายเกลียดเรามากใช่ไหมถึงต้องใช้วิธีการสกปรกแบบนี้”


เด็กหนุ่มขบกรามแน่น กระทั่งไม่อาจสะกดอารมณ์ คว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้สตะโกนเสียงดัง “เออใช่! เราทำเอง เราขโมยสมุดนาย ตั้งใจให้นายโดนทำโทษแล้วก็ผิดใจกับฉาย พอใจแล้วหรือยัง!”


นคินทรสะบัดมือออก จ้องหน้าอีกฝ่าย รู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตากระนั้นก็ยังพยายามสงบใจ “เราสิต้องถามว่านายพอใจแล้วหรือยัง” พูดจบก็ปาสมุดไปอีกทางแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งให้คนมองได้แต่ถอนใจ


เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปตามปกติ ที่ไม่ปกติเห็นจะมีเพียงโต๊ะเรียนที่ติดกับโต๊ะของอวัศย์เท่านั้นที่ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นเจ้าของ เพราะนับแต่วันนั้นพายุพัดก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย เพื่อน ๆ ได้พบเขาอีกครั้งในช่วงสอบ ซึ่งเมื่อสอบเสร็จในแต่ละวันเขาก็จากไปอย่างรีบร้อน ไม่อยู่ติวกับเพื่อน ๆ เพื่อเตรียมสอบวิชาต่อไปอย่างที่ได้ตกลงกันเอาไว้


....


“สอบเสร็จแล้วแบบนี้ ก็จะได้มีเวลาซ้อมยาว ๆ สักทีนะ” อาจารย์เมธีเอ่ยขึ้นขณะที่รถแล่นไปตามเส้นทางคดเคี้ยว “ว่าแต่ทำไมอยู่ ๆ ถึงทุ่มเทให้การแข่งครั้งนี้ขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกมันแทบไม่อยู่ในสายตาของเธอด้วยซ้ำ”


พายุพัดไม่ได้ตอบ ดวงตาของเขายังคงทอดมองทิวเขาเขียวขจีที่เรียงตัวสลับซับซ้อนข้างทาง


“หรือว่ามีใครมาพูดอะไร” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางใช้ศอกสะกิดคนนั่งข้าง ๆ ”จะทำให้สาวประทับใจหรือไง”


“อาจารย์ก็พูดไป สาวที่ไหนล่ะครับ”


“ก็สิชล ลูกสาวอาจารย์สินธูไง เห็นเดินด้วยกันบ่อย ๆ ได้ข่าวว่าเป็นดาวโรงเรียนด้วยนี่”


“ไม่ใช่หรอหรอกครับ” พายุพัดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็แค่คนธรรมดา ๆ ที่บางครั้งแค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมยิ้มไปทั้งวัน แต่บางครั้ง...ก็ทำให้ผมโกรธจนแทบบ้า”


เมธีหยุดรถกะทันหัน ทำเอาคนพูดเกือบหัวทิ่ม


“ไม่น่าเชื่อว่าเสือยิ้มยากจะมีอารมณ์ละเมียดละไมกับเขาด้วย”


“อย่าแซวได้ไหม ผมอุตส่าห์กล้าพูดให้ฟังแล้วนะ”


“ต่อสิ มีอะไรอยากพูดก็พูดมา เก็บเอาไว้คนเดียวไม่ดีหรอก” ว่าแล้วอาจารย์หนุ่มก็ออกรถ


“อาจารย์เคยเป็นไหม รู้สึกเขินมาก ๆ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ใครสักคน จนบางทีก็อยากจะหนีไปให้ไกล ๆ ไม่กล้าคุย ไม่กล้าสบตาเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเราคิดยังไง”


“ฉลามหนุ่มเอ๋ย...เจ้ากำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความรัก” เมธีอดกระเซ้าไม่ได้


“อาจารย์พูดอะไรเนี่ย ฟังแล้วจั๊กจี้หู”


เมธีหัวเราะก่อนจะถามตรง ๆ “เขารู้ตัวหรือเปล่า”


พายุพัดได้แต่ส่ายหน้า


“แอบชอบเขาข้างเดียวว่างั้นเถอะ” อาจารย์หนุ่มถอนใจยาว “แล้วคิดจะบอกเขาไหม”


“ผมไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงดี”


“ต้องถามตัวเองก่อนว่าเธอเป็นประเภทไหน บางคนแอบชอบแล้วต้องการบอกให้เขารู้ อยากให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาของเขา ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา ส่วนบางคนก็ขอแค่ให้ได้บอก ไม่กลัวผลที่จะตามมา ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเงียบ”


“แล้วก็เก็บความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความลับ ตายไปกับตัวอย่างนั้นน่ะเหรอครับอาจารย์”


“ใช่”


“มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ” พายุพัดพึมพำ


“มีสิ เพราะเขาไม่ได้ต้องการครอบครองไง พวกที่ชอบ...แต่ก็ไม่ได้อยากได้มาเป็นของเรา แค่ได้เห็นว่าเขาเป็นยังไง มีความสุขดีไหมก็พอใจ แล้วเธอล่ะเป็นแบบไหน”


“ผม...”



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2018 21:43:02 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

หลังจากสอบเสร็จเพียงนาน ทุกคนในโรงเรียนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อฟังผลสอบและรับสมุดประจำตัว ก่อนพบอาจารย์ประจำชั้นสมาชิกห้องม.4/1 ไปรวมตัวกันที่อัฒจันทร์เพื่อถ่ายรูปหมู่สำหรับนำไปเป็นภาพประกอบในหนังสือที่ระลึกที่จะแจกให้นักเรียนชั้นม.3 และม.6 ในงานปัจฉิมนิเทศ ทั้งที่เป็นการพบกันครั้งแรกหลังสอบเสร็จ และเมื่อไม่กี่วันก่อนสื่อต่าง ๆ ประโคมข่าวการขึ้นรับตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สประจำปี 2550 ของนางสาวฟ้ารุ่ง ยุติธรรม แต่แทบไม่มีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่เช่นนกกระจอกแตกรังเหมือนทุกครั้ง คนที่มักสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนอย่างภาณุก็กลับเงียบขรึม พายุพัดสังเกตเห็นความผิดนี้ตั้งแต่ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ และเมื่อน้ำหวานซึ่งเป็นหัวหน้าห้องเริ่มขานชื่อเพื่อน ๆ ให้ยืนตามลำดับเลขที่ก็ยิ่งชวนให้ฉงน กระนั้นก็ยังเก็บความสงสัยเอาไว้จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย


“ถ้าใครอยากเอาของมามอบให้รุ่นพี่รุ่นน้องในวันปัจฉิมนิเทศก็เอามาได้เลยนะ แต่โรงเรียนมีดอกกุหลาบเตรียมไว้ให้คนละดอก” น้ำหวานร้องบอกเพื่อน ๆ ตามที่ได้รับแจ้งมาจากคณะกรรมการนักเรียน


“หวาน ล...แล้วม่อนล่ะ” พายุพัดตัดสินใจเอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ กำลังจะเดินขึ้นไปบนห้องโฮมรูม


น้ำหวานนิ่งอึ้ง หันมามองคนถามจากนั้นจึงมองเลยไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลัง


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ขึ้นห้องกันก่อนเถอะ เดี๋ยวอาจารย์รอ” หมอกว่า


จากนั้นทุกคนจึงพากันเดินขึ้นไปยังห้องโฮมรูม พายุพัดมองโต๊ะเรียนริมหน้าต่างที่ขณะนี้ไม่มีคนนั่งเหมือนก่อน หนังสือที่เคยเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ใต้โต๊ะถูกเก็บออกไปจนหมด และแล้วเขาก็ได้รับความกระจ่างเมื่ออาจารย์นภาเดินถือสมุดประจำตัวนักเรียนเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่าวเสียดายนักเรียนในที่ปรึกษาที่มีเหตุจำเป็นทำให้ต้องย้ายตามผู้ปกครองจนไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก


“ม่อนย้ายตามพ่อไปอยู่เพชรบูรณ์น่ะ” หมอกเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับ “ม่อนฝากของไว้ให้นาย” พูดจบก็ยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้แล้วเดินจากไปเงียบ ๆ


พายุพัดทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เมื่อเทของที่อยู่ในซองออก ก็พบว่ามันคือปลอกคอติดลูกกระพรวนเล็ก ๆ สองเส้น กับกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือ


“เราเชื่อว่านายต้องทำสำเร็จ”


ถึงจะมีเรื่องให้ต้องบาดหมางแต่นคินทรยังคงรักษาคำพูด ส่วนเขาเองก็ทำตามสัญญาเช่นกัน เด็กหนุ่มล้วงหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อวางลงตรงหน้า และมันก็คือเหรียญรางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันการว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ แม้จะเป็นรายการแข่งขันเล็ก ๆ แต่เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติเมื่อปีก่อน


“พาย” คนที่เดินมาหยุดเอ่ยขึ้น


พายุพัดถอนใจเบา ๆ เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย


“เรา...เราอยากขอโทษนาย”


“ขอโทษเราเรื่องอะไร” พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แต่ก็ฝืนใจถาม


“เราเป็นคนขโมยสมุดของม่อน”


“นายทำแบบนั้นทำไม” แม้รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แต่พายุพัดก็ยังอยากฟังเหตุผลจากปากของเขา


“เราอิจฉาที่เพื่อน ๆ เข้าข้างนาย เรารู้ว่าม่อนคงขอร้องให้ทุกคนไม่โกรธเรา แต่เรากลับทำให้นายสองคนต้องผิดใจกัน เราขอโทษจริง ๆ” ภาณุกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า เพิ่งสำนึกได้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นได้ส่งผลร้ายต่อจิตใจของเพื่อนทุกคน เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย...


และทั้งหมดก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบเก้าปีก่อน



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็เล่าเรื่องในอดีตได้ครบ 95% ภายใน 5 ตอน
รู้สึกโล่งมาก ๆ ค่ะ ต่อจากนี้ไปจะได้เขียนถึงเหตุการณ์ที่เริ่มจะเข้าใกล้ปัจจุบันแล้ว
ที่เราบอกว่ารู้สึกโล่งก็เพราะ 5 ตอนที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2548-2550
ทำให้ต้องนึกย้อนไปว่าตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง เรากำลังทำอะไรกันอยู่
ฟังเพลงอะไร มีข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็สนุกดีค่ะ
ยังไงมาติดตามกันต่อนะคะว่าแก๊งสี่ยอดกุมาร ดินน้ำลมไฟ (ม่อน สิ พาย ฉาย) จะกลับมาเจอกันอีกได้ยังไง
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับคอมเม้นค่ะ         

   

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
โห เจอแบบนี้นี่แย่มาก
ฉายแย่จริงๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แง.... อิฉาย อิเด็กบ้า สร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แทนที่จะสร้างความทรงจำดี ๆ ให้กัน โถ ม่อนและพายของป้า

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :mew4:
สงสารม่อนนะ อย่างว่าตอนเด็กทุกคนต้องเคยเจอในแนวนี้นะ เราก็เคย เคยทำให้คนอื่น อิอิอิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
9,ผ่านปีไปจะได้เจอกันใหม่ใช่ไหมเนี่ย
อึมครึมมากค่า
เงียบหงิบ ----------#เงียบกริบ  จ้า

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พูดได้แค่ เด็กหนอเด็ก
ช่วงวัยรุ่นทุกคนเคยผ่านเรื่องแนวๆ นี้กันมาหมด

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
  :ruready
   รัก ม่อน
  โกรธ พายุ
  เซ็ง นายฉาย
  หมอก ดูอารมณ์เย็น  เท่ สุดละ

   ต้อง รอ อีก กี่ปี ....4 ยอดกุมาร ถึงจะโคจร กลับมาเจอกัน  :เฮ้อ:

  เขาจะจำกันได้ไหมเน้อ


อ้างถึง
พายุพัดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็แค่คนธรรมดา ๆ ที่บางครั้งแค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมยิ้มไปทั้งวัน แต่บางครั้ง...ก็ทำให้ผมโกรธจนแทบบ้า”

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อ่านตอนที่4-5 จบ  นักเขียนบอกว่าโล่ง  แต่คนอ่านอยากอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ555  ทำไงดี :a5:

แม้จะคาใจในเรื่องอดีตของทุกคนอยู่  แต่ขอลุ้นเหตุการณ์ปัจจุบันก็ได้  เราจะได้สบายใจ555

อยากให้หมอกและสิเป็นพระเอกและนางเอกแทนเลย   เพราะรู้สึกหมั่นไส้พาย  ม่อน  และฉายมากๆเลยค่ะ555  โทษฐานทำให้เราอ่านไปหงุดหงิดไปกับพวกนาย :katai1:

เริ่มเรื่องด้วยวัยว้าวุ่นสับสนแต่ก็ทำให้คนอ่านรู้สึกเติบโตไปพร้อมกับตัวละครดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องที่สนุกและน่าลุ้นของดินน้ำลมไฟในรูปแบบของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้านะคะ :กอด1: :L2:



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด