สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78920 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ละมุนมาก :กอด1:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ไม่อยาให้พายปิดม่อนเลยแงงง

ออฟไลน์ dyomonrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ สนุกทีเดียว
เราอ่านถึงแค่หน้า 7

พอเจอทัศนคติความรักของม่อน เราเลยงงๆ นิดหน่อย
เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ อันนี้แค่ความคิดเรานะคะ (อีกด้านหนึ่ง)
ม่อนเหมือนจะเป็นคนมีหลักการเรื่องความรักที่ดี รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร
แต่สุดท้ายก็เห็นแก่ตัวอ่ะค่ะ

บอกว่าหวังว่าพายจะหักห้ามใจตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้
แต่ม่อนก็เป็นคนที่ปล่อยให้พายรู้สึกมามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าพายชอบ
แต่ม่อนปักธงไว้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ทำอะไรทั้งๆ ที่ทำได้ เพื่ออะไร?
คือจะบอกว่าเพื่อนกัน ไม่ต้องสนิทมากก็เป็นเพื่อนได้
แบบนี้มันยิ่งทำให้พายถลำลึกไปอีก สุดท้ายพอถึงขีดสุดที่เขาจะสารภาพ ตัวเองกลับบอกว่ารักกันไม่ได้ เฮลโหลลล

ซึ่งมันต่างจากเคสตอนม่อนกับฉายนะ เพราะฉายไม่ได้รู้สึกอะไรกับม่อน

ในความคิดเราม่อนไม่สู้อ่ะค่ะ รู้ดีทุกอย่าง ทำเพื่อคนอื่นมาเยอะ
รู้ว่าต้องทำยังไงฉายถึงจะมีความรับผิดชอบ รู้ว่าพูดยังไงพายถึงจะไปแข่ง
แต่พอถึงคราวตัวเองไม่พยายามทำอะไรซักอย่างเลย
อันนี้ง่ายมากแค่พายถอดใจก็จบได้

เราอินนะคะ เรื่องนี้สนุกมาก
แต่เราอินความรู้สึกของพาย ไม่ใช่ของม่อน มันเลยมีความติดค้างในใจ
เลยมาคอมเม้นท์ ถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีก็ขอโทษด้วยค่ะ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
พาย สู้ๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน


ชลชาติเงยหน้าขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมองคนฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่มาถึง  กระทั่งตอนนี้เกือบ 10 นาทีแล้วที่เขาต้องฟังอีกฝ่ายบ่นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการวิ่งเพื่อสุขภาพซึ่งคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาจัดขึ้นเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา


“มีปัญหาตั้งแต่ตอนเปิดให้ลงทะเบียนยันวันจริง น้ำดื่มไม่พอแจก คุณภาพเสื้อนี่ไม่ต้องพูดถึง เก็บเงินตั้งแพงทั้งที่ไม่ได้จ้างออแกไนซ์สักหน่อย เราเห็นทีมงานก็มีแต่นักศึกษา” แสนยากล่าวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ทีมแพทย์กับหน่วยพยาบาลประจำจุดต่าง ๆ ก็น้อยมาก มีคนเป็นลมตั้งหลายคน หนักที่สุดคือมีคนหมดสติ โชคดีน้องพยาบาลกลุ่มหนึ่งเขาลงวิ่งด้วย ก็เลยช่วยทำ CPR ได้ทัน เป็นงานใหญ่แท้ ๆ แต่ดูไม่มีความพร้อมเลยสักนิด”


อาจารย์หนุ่มฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ได้ยินศิษย์เก่าที่เข้าร่วมโครงการบ่นในแบบเดียวกันนี้ แต่ไม่มีใครกล้าโวยวายเพราะเห็นว่ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้แก่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย เพื่อจัดซื้อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อไป


“มาบอกเราแล้วเราจะช่วยอะไรได้ นายต้องไปบอกคนจัดงานโน่น”


“บอกแล้ว คนอื่น ๆ ก็บอก แต่สุดท้ายก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ โยนกันไปโยนกันมา”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกบ่นได้แล้ว เพราะบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์” ชลชาติว่า ปลายนิ้วยังคงรัวไปบนแป้นพิมพ์ ดวงตาจ้องเขม็งที่หน้าจอ


หนุ่มศิลปินถอนหายใจแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนคางแทบจะพาดหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพา “นายเข้าใจคำว่าผู้ฟังที่ดีไหม เราแค่ต้องการให้มีคนฟังความอัดอั้นตันใจของเราบ้าง ไม่ได้ให้นายช่วยแก้ปัญหาสักหน่อย”


“แล้วถามเราสักคำหรือยังว่าเราอยากฟังหรือเปล่า เสียเวลาทำงานจริง ๆ” อาจารย์หนุ่มส่ายหัว พยายามสะกดอารมณ์ทั้งที่อยากดันหน้าผากคนที่กำลังใช้สองมือเกาะหน้าจอใจจะขาด


“หิวข้าวแล้ว”


คนฟังเงยหน้าขึ้นพลางมุ่นคิ้ว “ก็ไปกินสิ” พูดจบก็ก้มลงมองใต้โต๊ะ


“หาอะไรวะ”


“ก็จะดูว่าเราเหยียบหางนายไว้หรือเปล่า ถึงลุกไปไหนไม่ได้”


แสนยายืดตัวขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกดหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้พับลงแล้วดึงมาไว้กับตัว


“เอาคืนมา เราจะทำงาน”


“พรุ่งนี้วันเสาร์ เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ นี่จะสองทุ่มครึ่งแล้วนะ”


ชลชาติชะงัก ยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นเป็นจริงตามที่อีกฝ่ายว่า เขานั่งพิมพ์เอกสารคำสอนเสียเพลินแถมยังต้องมาฟังแสนยาบ่นจนลืมเสียงสัญญาณเตือนผิดตึกเมื่อเกือบสามสิบนาทีก่อนไปเลย “จะสองทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย”


“ใช่ ไม่หิวข้าวหรือไง”


“นายหิวนายก็ไปกินสิ เดี๋ยวเราจะไปนั่งทำต่อที่หอสมุด”


“แต่เราหิว แล้วนายก็เคยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเรา”


“สัปดาห์หน้าก็แล้วกัน วันนี้เรายุ่งจริง ๆ เอาโน้ตบุ๊กเราคืนมาได้แล้ว”


แสนยามุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนใจเบา ๆ แล้วส่งของคืนให้ “พวกไม่รักษาคำพูด เรารึอุตส่าห์ออกแบบป้ายให้ ส่งเมลให้ร้าน ต่อรองราคา ไปเอาให้ แถมยังมาช่วยติดตั้งอีก คนเรานะคนเรา...”


“พอ ๆ รำคาญ” พูดจบชลชาติก็สอดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาใส่ลงในกระเป๋า “ไปก็ได้ เลี้ยงคราวนี้แล้วไม่มีบุญคุณต่อกันแล้วนะ”


คนฟังก็รีบพยักหน้ารัว ทำตาวาวราวกับหมาเห็นกระดูกแบบที่อีกฝ่ายเคยพูด


เมื่อชลชาติลุกขึ้นถอดปลั๊กเครื่องใช้สำนักงานภายในห้องพัก เสียงสัญญาณประกาศเตือนครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้นพอดี ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าก่อนจะเดินไปปิดไฟ ส่วนแสนยานั้นออกไปรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว


หนุ่มศิลปินเกาะขอบหน้าต่างทอดตามองแสงไฟระยิบระยับบนทางยกระดับ กำลังจะหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับไฟรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถแบบมีหลังคาคลุมของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาซึ่งใคร ๆ ต่างรู้กันว่าเป็นที่จอดรถสำหรับผู้บริหารระดับสูงของคณะ


“มัวมองอะไรอยู่ ไหนบอกว่าหิวไง”


แสนยาเหลียวไปตามเสียง เห็นชลชาติเดินไปไกลแล้วจึงรีบเดินตาม


เพราะใกล้เวลาตึกปิดอาจารย์หนุ่มจึงเลือกลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ซึ่งมีเวลาเปิด-ปิดเช่นกัน กระทั่งถึงชั้นลอยซึ่งคั่นระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง จู่ ๆ เท้าก็หยุดเมื่อมองลงไปด้านล่างเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา แม้จะค่ำมืดแต่เครื่องแต่งกายของเขายังคงเนี้ยบราวกับเพิ่งก้าวเข้ามาทำงานในชั่วโมงแรกของวัน ร่างสมส่วนเดินลิ่วโดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ และนั่นคือสิ่งที่ฝ่ายนั้นปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไรนับแต่ยังไม่สวมหัวโขน


“คนนั้นใคร ตึกจะปิดอยู่แล้วยังจะเข้ามาทำอะไรอีก” แสนยาเอ่ยขึ้น


“อาจารย์ธนิต เป็นรองคณบดี”


“คนนี้นี่เองที่เป็นประธานจัดงานวิ่ง” นึกอะไรขึ้นมาได้หนุ่มศิลปินจึงรีบเดินลงบันได


“อ...อ้าว...ไอ้แสน จะไปไหน” ชลชาติเร่งฝีเท้าตาม


“ก็จะไปถามเขาไงว่ามีใครรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นให้รู้บ้างหรือเปล่า”


“เขาไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ อย่างนายหรอกน่า” ว่าแล้วชลชาติก็เอื้อมมือรั้งคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้


“ไอ้มีนปล่อย” แสนยาสะบัดจนหลุด ขายาวก้าวพรวดเดียวผ่านบันไดสามขั้น แต่กว่าจะถึงพื้น ชายในชุดสูทก็ขึ้นลิฟต์ไปเสียแล้ว “โว้ย! จะดึงทำไมเนี่ย”


“ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่สนใจนายหรอก ส่วนเรื่องรายงานน่ะ ก็มีคนรายงานแล้ว แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเสียงจากคนแค่ไม่กี่คน สุดท้ายก็แค่ตัดบทด้วยการบอกว่าถ้ามีคราวหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”


“แล้วชาติไหนถึงจะจัดอีก จะเอาทั้งงานเลยไหมล่ะ เราจะไปล่ารายชื่อมาให้” หนุ่มศิลปินกล่าวในขณะที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้า


“เราว่าไปหาข้าวกินยังมีประโยชน์มากกว่าไปพูดเรื่องนี้กับอาจารย์ธนิต” สิ้นสุดประโยคนั้นชลชาติก็เดินนำออกจากตึก


สองคนพากันเดินผ่านช่องประตูที่เชื่อมกับซอยซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ และสิทธิ์ในการเลือกร้านก็ตกเป็นของผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้มีพระคุณ


“เอาร้านนี้แหละ” แสนยาชี้ จากนั้นจึงผลักประตูกระจกเข้าไปภายในร้านชาบู


“กินชาบูก่อนนอนเนี่ยนะ”


“เออ จะให้กินตอนนอนแล้วหรือไง เวลากินยา หมอยังให้กินก่อนนอน ไม่เห็นหมอคนไหนบอกให้กินยาหลังจากนอนแล้วเลยสักที”


“แสน ๆ พอแล้ว ๆ” ชลชาติกล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ พลางถอนใจ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องต่อล้อต่อเถียง พูดจบชายหนุ่มเดินไปนั่งลงเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสั่งอาหารจนเรียบร้อย เมื่อพนักงานยกจานใส่ผักและเนื้อสัตว์มาวาง สองคนก็ช่วยกันเททุกอย่างใส่ลงในหม้อ 


“มีน!”


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก “พี่ต่อ สวัสดีครับ มากินข้าวเหรอพี่”


“เออ พาลูกน้องมาเลี้ยงน่ะ นี่อิ่มแล้ว กำลังจะกลับ” ร่างท้วมในชุดยูนิฟอร์มปักสัญญลักษณ์หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่อกเสื้อกล่าว “ได้ข่าวว่าจะจัดว่ายน้ำการกุศลเอาเงินไปช่วยโค้ชนทีเหรอ”


“ใช่พี่ พี่ไปดูให้ได้นะ รับรองว่างานนี้คุ้ม นอกจากพี่จะได้เจอตัวท็อปของประเทศ ยังจะได้เห็นฉลามหินคืนสระอีกครั้ง” ชลชาติทำพูดติดตลก


“บ๊ะ! ไอ้พายก็จะลงว่ายด้วยเหรอ อย่างนี้พลาดไม่ได้แล้วละ ยังเสียดายไม่หายตอนมันประสบอุบัติเหตุแล้วประกาศอำลาสระ จัดเมื่อไรก็ส่งข่าวด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะชวนเพื่อน ๆ มาดู”


“ครับ ไว้ได้กำหนดการเมื่อไรผมจะติดต่อไปนะพี่”


“เอ้อ...ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ”


ชลชาติยกมือไหว้ เหลียวมองตามชายหนุ่มแก้มยุ้ยรุ่นพี่คณะเดียวกันและอดีตนักรักบี้ตัวแทนมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงหันกลับมายังหม้อชาบู


“ไม่เห็นบอกเลย” จู่ ๆ คนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น


“บอกอะไรวะ” อาจารย์หนุ่มถามพลาง ใช้กระบวยตักผักกับลูกชิ้นในหม้อ


“ก็เรื่องว่ายน้ำการกุศลนั่นไง”


“แล้วทำไมเราต้องบอกนายด้วย” ชลชาติพูดพลางก้มลงมองข้อความที่ปรากฏจอโทรศัพท์มือถือ


KhaoOat:  มีน เราได้วันกับสถานที่มาแล้วนะ หาคนออกแบบโปสเตอร์ให้ด้วย


“นะ ๆ บอกหน่อย ทำยังไงถึงจะได้ดู”


KhaoOat:  มีเวลาประชาสมัพันธ์แค่เดือนเดียว ด่วนนะมีน!!! เอาพรุ่งนี้เช้า ส่งข้อมูลให้ในเมลแล้วนะจ๊ะ จุ๊บๆ


อาจารย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝั่ง พลันมุมปากก็ค่อย ๆ ยกขึ้น “มันเป็นงานการกุลศน่ะ หารายได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ นายอยากดูไหม เราหาบัตรให้นายได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”


“ว่ามา” หนุ่มศิลปินวางตะเกียบ จ้องหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย


“นายต้องออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานให้เรา”


“ได้ สบายมาก แต่ถึงนายไม่ให้บัตร เราก็ทำให้อยู่แล้วเพราะเราเป็นคนดี คนดีย่อมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก” แสนยายิ้มร่าก่อนจะคีบเนื้อหมูใส่ปาก


“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เพื่อนเราส่งข้อมูลมาให้แล้ว เดี๋ยวเราส่งให้นาย”


“แล้วต้องเสร็จเมื่อไร” ว่าแล้วก็ยกตะเกียบคีบลูกชิ้นใส่ปาก


“พรุ่งนี้เช้า”


คำตอบสั้น ๆ ทำคนฟังสำลัก “ทำไมชอบสั่งงานกันแบบนี้วะ”


“เทพไม่ใช่เหรอ”


“มันก็ใช่”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบ่น รีบกิน จะได้รีบกลับไปทำงาน” ชลชาติหัวเราะ คีบลูกชิ้นใส่ลงในชามของคนตรงหน้า “อะ กินเยอะ ๆ คืนนี้ยังอีกยาวไกล”


แสนยาหน้านิ่ว ใช้ตะเกียบจิ้มลูกชิ้นใส่ปาก เคี้ยวกร้วม ๆ “แล้วนายไม่ลงว่ายกับเขาบ้างเหรอ เราไม่อยากไปเชียร์ไอ้พาย คนอะไรวะชอบทำหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา”


“นายก็เชียร์คนอื่นไปสิ งานนี้มีอดีตทีมชาติลงว่ายตั้งเยอะ”


“อายพุงละสิ”


“พุงพ่อง...”


“หือ? พุงอะไรนะ นี่ผู้มีพระคุณนะ” หนุ่มศิลปินแสร้งเลิกคิ้ว


“พุงเพิงอะไรเล่า รีบกินเถอะ จะได้รีบกลับ” ชลชาติบ่นขมุบขมิบด้วยรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก


...


พายุพัดสะดุ้งตื่นเพราะอาการปวดที่หัวไหล่และเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นถี่ ๆ มือใหญ่ควานหาข้างลำตัว เปลือกตาเปิดขึ้นสู้แสงจากหน้าจอ เห็นข้อความนับร้อยที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อใช้ปลายนิ้วลากผ่านพลางกวาดมองคร่าว ๆ จึงรู้ว่าเพื่อน ๆ กำลังคุยกันเกี่ยวกับกำหนดการจัดงานว่ายน้ำการกุศล ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูพอจะทำให้เห็นว่าอีกฝั่งของเตียงนอนไร้ซึ่งเงาของนคินทร จำได้แต่เพียงว่าเมื่อตอนหัวค่ำตนเองกำลังนอนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวสักพักก็ได้กลิ่นหอมของสบู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำตอนไหน และตัวเขานั้นผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พายุพัดขบกรามแน่นขณะค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น จากนั้นจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก เห็นเจ้าซ่าหริ่มนอนขดอยู่ใกล้กับกองผ้าดิบบนแหย่งไม้สัก ที่พื้นมีทั้งสะดึงและอุปกรณ์สำหรับเย็บปักวางอยู่ ส่วนนคินทรกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง คงจะคุยโทรศัพท์กับพ่อและแม่เหมือนเช่นเคย 


ร่างสูงเอนกายหนุนหมอนนอนลงบนแหย่งไม้ มือไล่คว้าหางเจ้าแม่แมวที่กำลังกวัดแกว่งไปมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงเจ้าของบ้าน


“ทำไมออกมานอนตรงนี้ล่ะ”


“โทรศัพท์สั่นก็เลยสะดุ้งตื่นน่ะ เห็นไฟข้างนอกเปิดก็เลยออกมาดู”


นคินทรไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่นั่งลงกับพื้น วางโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะญี่ปุ่น หยุดเกาพุงเจ้าตะโก้เล่นจากนั้นจึงหยิบสะดึงปักผ้าขึ้นมาลงมือปักลายที่ทำค้างไว้


พายุพัดขยับตัวนอนตะแคงสูดกลิ่นกายของคนตรงหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “หอมจัง” พูดจบก็ลงมานั่งข้าง ๆ กัน ใช้สองแขนโอบเอวรั้งคนตัวหอมให้เอนหลังพิงกับอกของตน “ทำอะไรเหรอ”


“ปักผ้า วันนี้คุณครูภาณีเขาสอนเด็ก ๆ ปักชื่อตัวเองบนเสื้อนักเรียน เราเห็นน่าสนุกดีเลยขอเข้าไปเรียนด้วย คุณครูเขาก็เลยให้ยืมอุปกรณ์มา”


“แล้วม่อนปักรูปอะไร”


“ดอกเสี้ยวไง สวยไหม” พูดจบก็ยกสะดึงในมือขึ้นแล้วเหลียวมองคนที่ยื่นหน้ามาจนคางเกือบจะเกยไหล่ของตน


พายุพัดทอดตามองลายดอกไม้สีชมพูอ่อนบนผ้าดิบก่อนจะตอบซื่อ ๆ “ต้องปักอีกสักร้อยดอก”


“ใจร้ายว่ะ” นคินทรบ่นยิ้ม ๆ


หนุ่มนักกีฬาหัวเราะเบา ๆ ละสายตาจากปลายเข็มที่แทงทะลุเนื้อผ้ามองแพขนตาของคนพูดเรื่อยลงมาจนถึงจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ที่ข้างสันจมูก ในที่สุดก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อมองเลยไปยังริมฝีปากได้รูป


 “ยิ้มอะไร”


“เปล่านี่” เจ้าของวงแขนแกร่งบอก จากนั้นจึงซุกหน้าแล้วถูปลายจมูกไปมากับบ่าของอีกฝ่าย


“พอน่า จั๊กจี้ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้านะ” นคินทรว่า ที่ต้องเร่งให้อีกฝ่ายรีบเข้านอนก็เพราะวันรุ่งขึ้นพายุพัดจะต้องพาสุชาติไปเข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ภาคเหนือที่สระว่ายน้ำสนามกีฬาจังหวัดแพร่ รายการแข่งขันนี้เป็นรายการแข่งขันที่ใหญ่ขึ้นมากอีกสำหรับเด็กชายวัยสิบย่าสิบเอ็ดปี แต่เพราะตัวเขาติดธุระสำคัญจึงจำต้องปล่อยให้ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาไปกันเองตามลำพัง


“นอนไม่หลับ”


“ตื่นเต้นเหรอ”


พายุพัดพาดคางลงบนบ่าของอีกฝ่าย เอียงคอมองริมฝีปากที่กำลังขยับพลางนึกถึงสาเหตุที่ตนเองนอนไม่หลับไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะหากเข้าไปนอนตอนนี้ก็จะไม่มีคนตัวหอม ๆ ให้กอดต่างหาก


“สุชาติก็คงตื่นเต้นเหมือนกัน คืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้” นคินทรกล่าวเนิบ ๆ พลางสอดเข็มมัดปม แล้วใช้กรรไกรตัดด้ายที่เหลือออก “เหมือนตอนที่พ่ออนุญาตให้เราไปทัศนศึกษาที่ลำปาง เป็นครั้งแรกี่ยอมให้ไปเที่ยวไกล ๆ คืนนั้นเรานอนไม่หลับเลย”


“คืนก่อนหน้านั้นเราก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พอถึงวันแข่งกลับเจอคนที่ทำให้นอนไม่หลับไปอีกหลายคืน” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของอีกฝ่าย


นคินทรเลื่อนตาลงมองคนบนตักพลางลูบศีรษะของเขาเบา ๆ “พาย”


“หืม?”


“กดดันหรือเปล่า” 


“ไม่เลย เราไม่ได้หวังว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง แต่เราเชื่อว่าสุชาติต้องทำออกมาดีที่สุดเหมือนที่ม่อนเชื่อในตัวเรา” พายุพัดบอกก่อนจะดึงมือนิ่มมาแนบแก้ม


...


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

หลังจากพาสุชาติตระเวนแข่งขันรายการเล็ก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์ได้ระยะหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่ต้องพาฉลามตัวน้อยไปเผชิญกับโลกกว้าง เห็นว่าเป็นช่วงปิดเทอมพายุพัดจึงให้เด็กชายเริ่มต้นโดยการเข้าร่วมแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ภาคเหนือ และสุชาติก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากรายการแข่งขันนั้นมาครองได้สำเร็จ ในที่สุดพายุพัดในฐานะผู้ฝึกสอนก็ตัดสินใจส่งชื่อสุชาติเข้าร่วมแข่งขันรายการสำคัญรายการหนึ่ง นั่นคือการแข่งขันว่ายน้ำระดับเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยที่จัดโดยสมาคมว่ายน้ำร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์เมธีซึ่งอนุญาตให้ทั้งโค้ชและนักกีฬามาเก็บตัวฝึกซ้อมที่สปอร์ตคลับ และอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมาการเดินทางตามหาความฝันของฉลามตัวน้อยก็เริ่มขึ้น


นคินทรมองร่างเล็กที่กำลังเอาหน้าแนบกับกระจกหน้าต่างเครื่องบินแล้วอดยิ้มไม่ได้ สองแขนกอดเป้สะพายหลังแน่นตั้งแต่กัปตันนำเครื่องขึ้นจนมีเสียงประกาศว่าเครื่องจะลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองในอีกไม่กี่นาที แม้เขาจะเสนอให้วางสัมภาระที่นำติดตัวมาไว้บนช่องเหนือศีรษะแต่เด็กชายก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวของจะหาย เพราะข้างในนอกจากจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่พ่อกับแม่ซื้อให้ ยังมีแว่นตากันน้ำที่พี่แยมและพี่มะนาวหุ้นกันซื้อและขนมที่เพื่อน ๆ ในห้องฝากมาให้กินระหว่างเดินทางด้วย


มือเล็กเลื่อนขึ้นทาบบนระนาบกระจกในขณะที่ดวงตาวับวาวจับจ้องไปยังเมฆก้อนใหญ่ เด็กชายไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้สิ่งที่ปกติได้แต่มองจากพื้นดินเช่นนี้ ภาพของทุ่งนาป่าเขาค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพของถนนหนทางเชื่อมโยงต่อเนื่อง มองเห็นหลังคาบ้านเรียงรายเป็นแถวทิว เล็กเกือบเท่าหัวไม้ขีด เคยฟังยายเล่าว่ากรุงเทพฯ นั้นอยู่ไกลแสนไกล ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวัน ๆ เมื่อตอนที่รู้ว่าครูพายต้องเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ ยังเคยฝากขนมมาให้กินระหว่างทางเพราะกลัวว่าครูจะหิว แต่วันนี้รู้แล้วว่าเจ้านกเหล็กตัวนี้นอกจากจะทำให้กรุงเทพฯ อยู่ไม่ไกลแล้วยังทำให้ท้องฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม


เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินดอนเมือง สุชาติก็สะพายเป้อย่างกระตือรือร้น ชะเง้อรอว่าเมื่อไรจะเป็นงคิวของตนที่ได้เดินออกจากเครื่องบินสักที ทันทีที่ผู้โดยสารเริ่มขยับตามกันร่างเล็กเดินนำสองหนุ่มไปตามสะพานเทียบเครื่องบนที่เชื่อมระหว่างเครื่องบินกับอาคาร พลันหัวใจก็เต้นรัวยามเมื่อได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยครั้งแรก ดวงตาทอประกายกวาดมองไปรอบ ๆ ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยผู้คนที่รอเดินทาง ภายในอาคารมีร้านค้าและร้านอาหาร นอกผนังกระจกมีทั้งเครื่องบินที่จอดนิ่งและลำที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งหมดล้วนเป็นภาพตื่นตาที่เด็กชายตั้งใจว่าจะต้องกลับไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง


“โอ้โห! กว้างกว่าสนามบินบ้านเราตั้งเยอะครับครู” คนตัวเล็กกล่าวขณะเดินไปตามทางเลื่อน


“จะสุดทางแล้ว ระวังด้วยนะ อย่ามัวแต่ตื่นเต้น” นคินทรกำชับก่อนจะหันไปยิ้มกับเจ้าของร่างสูงที่สาวเท้าตามอยู่ด้านนอก
เมื่อใกล้สุดทางเลื่อน เด็กชายก็กระโดดแผล็วจากนั้นจึงรีบวิ่งไปหาพายุพัดที่หยุดรออยู่


นคินทรมองคู่หูต่างวัยที่พากันวิ่งไปบนทางเดิน ต่างฝ่ายต่างหลบหลีกผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางบันไดเลื่อนเพื่อรับกระเป๋าสัมภาระราวกับทุกคนเป็นสิ่งกีดขวางในเกมของพวกเขา ครูหนุ่มได้แต่โคลงหัวยิ้ม ๆ ก่อนดึงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย 


ถึงบริเวณที่พักผู้โดยสาร พายุพัดก็ชะลอฝีเท้าเมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มที่เมื่อครู่เห็นว่ากำลังเงยหน้าขึ้นมองจอแสดงเวลาขึ้นลงของเครื่องบินก็หันมาทางนี้และส่งยิ้มให้ เขายกมือขึ้นโบกก่อนจะเดินตรงเข้ามา ยิ่งใกล้เท่าไรพายุพัดก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่เคยพบหน้าอีกฝ่ายมาก่อน หนุ่มนักกีฬาได้แต่ยืนนิ่ง แต่แล้วร่างสูงของชายผู้นั้นก็ผ่านไป ทันทีที่เหลียวกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายกำลังทักทายนคินทรที่กำลังเดินตามมา


“ครูพายเร็ว ๆ ครับ” สุชาติเรียกก่อนจะวิ่งย้อนกลับมาดึงแขนแกร่ง


“ด...เดี๋ยวสุชาติ” คนไม่ทันตั้งตัวร้องห้ามแต่ก็ช้าไป แม้แรงที่ฉุดรั้งนั้นจะไม่มาก แต่ก็ทำให้รู้สึกปวดร้าวไปทั้งแขน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นเผลอขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นกุมหัวไหล่ แต่เมื่อเห็นเด็กชายทำหน้าซีดเป็นไก่ต้มจึงได้ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ 


“ค...ครูพายเจ็บแขนเหรอครับ ผมขอโทษนะครับ”


“ไม่เป็นไร” เจ้าของร่างสูงตอบยิ้ม ๆ พลางโยกหัวเจ้าหนู


“เป็นอะไรหรือเปล่า” นคินทรเอ่ยขึ้นทันทีที่เดินมาถึง


พายุพัดตอบโดยการส่ายหัว เลื่อนมือมากระชับสายเป้สะพายหลังแล้วมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไปยังชายหนุ่มที่กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน


“ไม่เป็นเป็นไรแน่นะ”


คนถูกถามดึงสายตากลับก่อนจะตอบ “เราไม่เป็นไร”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ อาทหารจอดรถรออยู่ข้างนอกแล้ว ไปกันสุชาติ ประตูสิบ” พูดยังไม่ทันขาดคำเด็กชายก็วิ่งนำไปเสียแล้ว
นคินทรกำลังจะเดินถามก็ต้องชะงักเพราะคำพูดหนึ่ง “เดี๋ยวม่อน คนเมื่อกี้...ใครเหรอ”


“เพื่อนเก่าน่ะ” เห็นอีกฝ่ายวางหน้าขรึม เกรงว่าหากปล่อยไปจะเข้าใจผิดเหมือนที่เขาเคยเข้าใจผิดเรื่องมีนจึงกล่าวต่อ “ไม่ใช่แฟนเก่าหรอก เพราะเราเพิ่งมีแฟนคนแรกตอนอายุยี่สิบแปดนี่เอง”


“ม่อน” คนฟังมุ่นคิ้ว ในที่สุดก็ไม่อาจกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป


...


เด็กชายจากจังหวัดน่านเกาะขอบประตูเมอร์เซเดรส-เบ็นซ์ ตามองออกไปนอกกระจกตั้งแต่รถเลี้ยวออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองตึกสูง บางครั้งก็จ้องมองผู้คนบนประจำทางสีครีม-แดงที่จอดติดอยู่ข้างกันนานนับสิบนาทีพลางถอนหายใจจนนคินทรที่นั่งอยู่ข้างกันต้องชวนคุยเป็นระยะ และเมื่อเมอร์เซเดรส-เบ็นซ์เคลื่อนเข้าภายในรั้วรอบขอบชิดเต็มที่ไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กก็ปรากฏขึ้นในแววตาของสุชาติอีกครั้ง
รถจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังใหญ่ เมื่อพายุพัดที่นั่งอยู่ข้างคนขับเปิดประตูลงมายืน เจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของคุณลุงบ้านข้าง ๆ ก็ส่งเสียงเห่าทักทาย


“ตัวใหญ่จัง” สุชาติพึมพำพร้อมกับหลบหลังผู้เป็นครูเมื่อเห็นเจ้าหูตูบโผล่หัวออกมาทางซี่ลูกกรงที่ทำเป็นช่องสลับกับแนวกำแพง


“เจ้ากะหล่ำมันใจดี” นคินทรกล่าว


เด็กชายยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พายุพัดที่เดินมาหยุดข้างกันก็เอ่ยขึ้น “สุชาติสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของครูม่อนก่อน”
เจ้าของชื่อมองตามสายตาคนพูดเห็นสองสามีภรรยาจูงมือกันออกมาจึงยกมือไหว้


“นี่นะเรอะหนุ่มน้อยนักกีฬา” พลตรีนายแพทย์ธรณินกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางรับไหว้ทุกคน
สุชาติจ้องมองร่างสูงในชุดเครื่องแบบทหารด้วยความตื่นตะลึงแล้วกล่าว “คุณพ่อครูม่อนเท่จัง”


“เรียกคุณตาก็ได้” นคินทรบอก


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าก่อนจะหันไปหาหนุ่มน้อย “ตาเท่มากไหมสุชาติ”


“มาก ๆ เลยครับคุณตา”


พลตรีนายแพทย์ธรณินยิ้มพอใจก่อนหันไปยักคิ้วให้ภรรยา “เขาว่าเด็กไม่โกหกเนอะแม่”


“พ่อก็...” วาสนาส่ายหัว “มาเหนื่อย ๆ เข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก นี่แม่จัดห้องไว้แล้ว เดี๋ยวให้พายกับสุชาตินอนห้องม่อน ส่วนม่อนไปนอนห้องคุณปู่ก็แล้วกันนะลูก แม่ให้น้าอุ่นย้ายเครื่องนอนของลูกไปให้แล้ว”


“ครับแม่” ลูกชายว่าพลางโอบเอวผู้เป็นแม่ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน


“วันนี้พ่อให้อาทหารไปรับม่อนที่สนามบินแล้วพ่อกลับมายังไงครับ”


“เมื่อบ่ายมีนัดตรวจที่โรงพยาบาล พอดีเพื่อนพ่อเขาก็จะไปด้วยเหมือนกันก็เลยมาชวนไปด้วยกัน ขากลับเขาบอกจะมาส่ง พ่อก็เลยให้อาทหารไปรับลูก”


“แล้วนี่หัวเข่าเป็นยังไงบ้างครับ”


“ไม่ต้องห่วง ๆ เดี๋ยวนี้เช้า ๆ พอเดินออกกำลังกายได้เหมือนเดิมแล้ว หาน้ำหาท่าให้เพื่อนกินนะ เดี๋ยวพ่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” พูดจบธรณินก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน


“บ้านหอมจัง” พายุพัดเอ่ยขึ้น


สุชาติทำจมูกฟุดฟิด “จริงด้วยครับ ห้อมหอม”


“หอมเหมือน...” หนุ่มนักกีฬาพึมพำกับตัวเอง


“เหมือนอะไรเหรอจ๊ะพาย” วาสนาถาม


“เหมือน...” สบตาลูกชายเจ้าของบ้านแวบหนึ่งจึงกล่าว “ม...เหมือนดอกไม้ครับ”


“แต่ผมว่าหอมเหมือนครูม่อนมากกว่า” หนุ่มน้อยโพล่งขึ้น “หอมแบบนี้เลยครับ เพื่อน ๆ ในห้องยังบอกเลยว่าครูม่อนตัวห้อมหอม”


สองคนสบตากันอีกครั้งก่อนจะหันหน้าไปคนละทิศละทาง


“อ...เอ้อ สุชาติโทรไปบอกที่บ้านไหมว่าถึงแล้ว เดี๋ยวครูให้ยืมโทรศัพท์ พ่อกับแม่จะได้ไม่เป็นห่วง” พูดจบนคินทรก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ก่อนจะพาเด็กชายเดินออกไปที่สวนหลังบ้านทิ้งให้พายุพัดได้แต่ยืนเกาแก้มตัวเองพร้อมกับยิ้มเก้อ ๆ


“กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจ้ะ” วาสนากล่าว มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู


“ค...ครับ”


“ป้ามีเพื่อนทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ให้ความผ่อนคลายด้วยน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกวาสนา เขาก็เลยให้มาลองใช้ มีทั้งสบู่ น้ำหอม เทียนหอม เพราะรู้ว่าพ่อม่อนชอบกลิ่นดอกวาสนา ถ้าพายกลิ่นนี้ชอบเดี๋ยววันกลับป้าจะฝากไปให้ใช้นะจ๊ะ”


“ข...ขอบคุณครับ”


“ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะพาย เดี๋ยวป้าเข้าไปเตรียมอาหารในครัวก่อน” พูดจบนายหญิงของบ้านก็เดินหายเข้าไปในครัว 


พายุพัดปลดเป้ลงวางพิงกับโซฟา กวาดตามองไปรอบ ๆ บ้านสองชั้นที่ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา เฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดทำจากไม้ ใต้บันไดถูกทำเป็นชั้นวางหนังสือ ถัดไปเป็นตู้เก็บโล่และภาพการเข้ารับรางวัลต่าง ๆ ของพลตรีนายแพทย์ธรณินผู้เป็นเจ้าบ้าน ร่างสูงเดินไปหยุดที่โต๊ะวางจักรไฟฟ้า หยิบกรอบรูปที่ข้างในมีภาพถ่ายเด็กชายชั้นประถมสวมชุดแสดงโขนขึ้นมาดู พลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ครู่หนึ่งก็วางลงก่อนจะหยิบอีกอันซึ่งเป็นภาพชายหนุ่มสวมชุดครุยยืนเคียงข้างพ่อและแม่ในวันสำเร็จการศึกษา ทั้งสามคนในภาพต่างยิ้ม พาให้คนมองพลอยยิ้มไปด้วย


เสียงผิวปากเป็นทำนองเพลงคุ้นหูทำให้พายุพัดต้องวางกรอบรูปในมือลง หันกลับไปเห็นชายวัยใกล้เกษียณในชุดลำลองกำลังเดินลงบันไดมา เขายิ้มแต้ให้ลูกชายที่เดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี


“หิวหรือยังสุชาติ”


“หิวแล้วครับคุณตา”


“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวกัน” ธรณินว่ายิ้ม ๆ


เมื่อสมาชิกมากันพร้อม เจ้าบ้านซึ่งนั่งหัวโต๊ะก็เชิญให้ทุกคนลงมือรับประทานอาหาร นคินทรนั่งข้าง ๆ แม่ของตน ฝั่งตรงข้ามคือพายุพัดและสุชาติที่นั่งติดพลตรีนายแพทย์ธรณิน


“พรุ่งนี้พ่อจะไปดูสุชาติแข่งด้วยกันกับม่อนไหมครับ” ลูกชายเอ่ยขึ้นหลังจากรับประทานอาหารได้ครู่หนึ่ง 


“ไปสิ พรุ่งนี้เริ่มแข่งกี่โมงล่ะ” ธรณินมองเลยไปที่พายุพัด


“รายการแข่งของสุชาติเริ่มตอนสิบโมง แต่ต้องไปรายงานตัวตั้งแต่แปดโมงครึ่งครับคุณลุง”


หมอทหารยศพลตรีกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวอ้อมแอ้มในลำคอ “บอกแล้วไงให้เรียกพ่อ”


“ค...ครับคุณพ่อ”


คำพูดของผู้เป็นสามีทำเอาวาสนานึกขัน อดไม่ได้จนต้องกระเซ้าคนนั่งเยื้องกัน “อย่างนี้ก็ต้องเลิกเรียกป้าว่าป้าแล้วนะพาย”
หนุ่มนักกีฬาพยายามวางหน้านิ่ง แต่เพราะหัวใจที่พองฟูจึงไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป เขายิ้มน้อย ๆ พลางยกมือขึ้นเกาต้นคอ ไม่วายแอบสบตาคนตรงหน้าซึ่งอยู่ในอาการไม่ต่างกันนัก


วาสนาเหลือบมองลูกชายที่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ ก่อนจะหันไปถามเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ไม่พูดไม่จาเช่นกัน “ตื่นเต้นไหมจ๊ะสุชาติ”


“ตอนแรกตื่นเต้นมากครับคุณยาย แต่ครูพายให้คิดว่าการแข่งก็เหมือนกับการฝึกซ้อมที่เราต้องแข่งกับตัวเอง ตอนนี้เลยก็เลยเหลือแค่นิดหน่อยครับ”


คนฟังยิ้มด้วยความเอ็นดู นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเล่นของอีกฝ่ายจึงถามต่อ “สุชาติมีชื่อเล่นหรือเปล่าจ๊ะ”


“มีครับ ผมชื่อกำบี้ แต่เพื่อน ๆ เรียกว่าบู้บี้ครับ”


ทั้งนคินทรและพายุพัดต่างเงยหน้าขึ้นสบตากันเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ที่เคยได้ยินเด็กคนอื่น ๆ เรียกก็มักจะเรียกกันสั้น ๆ แค่บี้เท่านั้น แม้แต่ที่บ้านของสุชาติเองก็ยังเรียกเช่นนี้ สองคนจึงไม่เคยรู้ที่มาที่ไป และปกติก็พากันเรียกชื่อจริงของเด็กชายตามที่คุณครูคนอื่นเรียก


“โกรธไหมจ๊ะที่เพื่อนเรียกแบบนั้น”


เด็กชายส่ายหัว “ไม่ครับ”


“กำบี้...ที่แปลว่าแมลงปอน่ะรึ” ธรณินว่า


“ใช่ครับคุณตา”


“น่ารักจัง ใครตั้งให้จ๊ะ”


“ยายของผมเป็นคนตั้งให้ครับ”


“แล้วกำบี้มีพี่น้องหรือเปล่าจ๊ะ”


สุชาติพพยักหน้า “มีน้องชายชื่อกำเบ้อ ส่วนน้องน้อยที่เป็นผู้หญิงชื่อกำปุ้ง กำเบ้อแปลว่าผีเสื้อ ส่วนกำปุ้งแปลว่าแมงมุมครับ”


“เอ้อ! กำบี้ กำเบ้อ กำปุ้ง” หมอทหารยศพลตรีกล่าวกลั้วหัวเราะ “มีพี่น้องเยอะ ๆ ท่าทางจะสนุก ตอนนั้นเราน่าจะมีลูกหลาย ๆ คนบ้างนะแม่ เจ้าม่อนจะได้มีเพื่อนเล่น”


นคินทรเลิกคิ้วหันไปสบตาผู้เป็นแม่


“แม่เคยชวนให้มีลูกอีกสักคนพ่อก็ไม่ยอม” ว่าแล้ววาสนาก็หันไปทางพายุพัด “พ่อเขาบอกว่าเขาไม่อยากเอาความรักไปแบ่งให้ใครอีกแล้ว ลูกคนนี้เขารักของเขาคนเดียว ตอนที่ม่อนเข้าโรงเรียนใหม่ ๆ แล้วเพื่อนม่อนมาเรียกพ่อเขาว่าคุณพ่อแทนที่จะเป็นคุณลุงหรือคุณอายังแอบขัดใจ มาบ่นให้แม่ฟังอยู่บ่อย ๆ”


“ม่อนเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉายฟัง ฉายก็เลยเรียกพ่อว่าคุณลุงผู้พันตลอดเลย” นคินทรกล่าว


“ก็พ่อไม่ชิน ลูกเรามีอยู่คนเดียว อยู่ ๆ ใครไม่รู้มาเรียกเราว่าพ่อ ก็ต้องรู้สึกแปลก ๆ เป็นธรรมดา”


“ตอนนี้ชินแล้วเหรอจ๊ะ ถึงยอมให้พายเรียกว่าพ่อ”


“ก็...” ธรณินกระแอมเบา ๆ “พูดเยอะ เจ็บคอ”สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ตอบโดยการยกน้ำขึ้นดื่ม เสร็จแล้วก็หันไปคุยกับเด็กชายที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ปล่อยให้สามคนที่เหลือได้แต่สบตากันยิ้ม ๆ


...


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว วาสนาก็สั่งให้แม่บ้านพาสุชาติขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อจะได้รีบพักผ่อน ธรณินชวนนคินทรและพายุพัดไปที่ห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยลังกระดาษวางระเกะระกะ


“หนังสือพวกนี้มาจากไหนเหรอครับพ่อ” ลูกชายกล่าวก่อนจะนั่งลงกับพื้น หยิบหนังสือจากลังกระดาษาออกมาเปิดอ่าน ในขณะที่พายุพัดเองก็นั่งถัดจากเขาไปไม่ไกลนัก


“พ่อทยอยขนมาจากที่ทำงานน่ะ”


“เอาเข้าชั้นไหมครับ ม่อนช่วย”


“ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพ่อค่อยหาที่เก็บทีเดียว” พูดจบธรณินก็ถอนหายใจเบา ๆ “พูดแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทุกครั้งตอนที่ต้องเก็บของใส่กล่อง ยังคิดว่าเดี๋ยวเราก็จะได้ไปเริ่มต้นทำงานที่ใหม่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันคงจะแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน ทุกเช้าเคยตื่นขึ้นมาแล้วไปทำงาน แต่วันหนึ่งกลับต้องอยู่บ้านเฉย ๆ ลูกน้องที่เคยเห็นหน้าทุกวันก็จะไม่ได้เจอกันอีก นี่ก็เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์แล้ว”


พายุพัดกดตาลงมองกรอบรูปในลังกระดาษใกล้ ๆ ซึ่งเป็นภาพของพลตรีนายแพทย์ธรณินเมื่อครั้งยังหนุ่ม พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ในยามที่บ้านของป้านีถูกรื้อถอนออกไปจากตำแหน่งที่เคยอยู่ และนั่นเป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่ได้พบกับเพื่อนบ้านใจดีผู้นี้อีก...อาจจะตลอดไป


“ไม่เศร้านะพ่อ คิดเสียว่าทำงานมานานแล้วก็พักผ่อนบ้าง” นคินทรว่าก่อนเบนสายตาไปยังสิ่งที่พายุพัดเพิ่งหยิบออกมาจากลังกระดาษ ใต้กรอบรูปนั้นมีซีดี 2-3 แผ่น ซึ่งเป็นของศิลปินคนเดียวกัน “นี่พ่อเอาซีดีพี่เบิร์ดไปฟังที่ทำงานด้วยเหรอครับ”


ธรณินครางอือในลำคอ “พ่อซ้อมเอาไว้ร้องในงานเลี้ยงเกษียณน่ะ นี่ก็ไปยืมกีตาร์หลานชายคุณประชาที่อยู่ข้างบ้านเรามา อยากจะทำอะไรให้มันพิเศษ ๆ หน่อย” พูดจบก็เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางพิงไว้ข้างชั้นวางหนังสือแล้วกลับมานั่งลงที่โซฟา “คราวก่อนพ่อโทรไปหาม่อน ได้ยินเสียงกีตาร์ ถามม่อนม่อนบอกว่าพายเล่น ถ้าจะให้ช่วยทวบทวนความจำให้นักเรียนใกล้เกษียณหน่อยจะได้ไหม แต่ตอนนี้มือไม้มันแข็งไปหมดแล้วละ ถ้าไปไม่รอด เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับจากดูเจ้ากำบี้แข่งพ่อคงต้องเอาไปคืน”


พายุพัดมองคนที่กำลังตั้งท่าเกากีตาร์แล้วยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงใกล้ ๆ “ผมไปเล่นให้ได้นะครับ ยังไงช่วงนี้ผมก็ต้องเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ อยู่แล้ว”


พลตรีนายแพทย์ธรณินนิ่งนึกก่อนจะกล่าว “ไม่รบกวนแน่นะ”


“ไม่เลยครับ” คนพูดน้อยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงต้องรบกวนเธอแล้วละ” พูดจบก็ส่งกีตาร์ให้เพื่อนลูกชาย


“ผมยินดีครับ” พายุพัดรับกีตาร์มาจัดการตั้งสาย


นคินทรมองสองคนที่กำลังปรึกษาหารือการเรื่องเพลงที่จะเล่นในงานเกษียณได้เพียงครู่หนึ่งก็ต้องเดินออก เมื่อน้าอุ่นซึ่งเป็นแม่บ้านมาตามเขาไปพบกับผู้เป็นแม่ที่ห้องพระ กว่าจะคุยกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งพ่อและพายุพัดก็แยกย้ายกันไปเสียแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนของคุณปู่ อาบน้ำอาบท่าแล้วจึงเปิดประตูออกไปยืนรับลมที่ระเบียง นึกทบทวนเรื่องที่ได้ฟังจากผู้เป็นแม่ พลันเสียงลูกบิดประตูก็ทำให้ต้องหันกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่ข้างกัน เห็นพายุพัดเดินออกมาจึงเอ่ยขึ้น


“ยังไม่นอนอีกเหรอ”


“นอนไม่หลับน่ะ แล้วม่อนไปไหนมา”


“ไปคุยกับแม่น่ะ”


ใบหน้าไร้รอยยิ้มผิดกับเมื่อตอนหัวค่ำชวนให้พายุพัดนึกเป็นห่วงจึงถามต่อ “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”


นคินทรส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมกับกล่าว “เปล่า นายไปนอนเถอะ เราจะนอนแล้ว”


“ด...เดี๋ยวม่อน” พายุพัดรีบห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินกลับเข้าห้อง


“มีอะไรเหรอ”


“วันนี้ยังไม่ได้กอดเลย เราข้ามไปนะ” หนุ่มนักกีฬาเตรียมจะทำอย่างที่พูด แต่เสียงเห่าของเจ้ากะหล่ำกับคำห้ามปรามของลูกชายเจ้าของบ้านก็ทำให้ต้องหยุด     


“ไม่ต้องข้ามมา รออยู่นี่แหละ” นคินทรมุ่นคิ้วก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งเขาก็ออกมาพร้อมกับหมอนใบหนึ่ง ยื่นข้ามระเบียงไปให้อีกฝ่าย “นี่หมอนเรา เอาไปกอดไป”


พายุพัดรับหมอนสีขาวใบโตมากอดแต้ ก่อนจะค่อย ๆ ยกขึ้นสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทั้งที่ดวงตาสองคู่ยังสบกัน เล่นเอาเจ้าของหมอนต้องรีบเดินกลับเข้าไปในห้อง


...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2018 14:34:44 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ผู้คนมากมายต่างจับจองที่นั่งเพื่อคอยให้กำลังใจนักกีฬาเยาวชนที่จะลงแข่งขันในรายการถัดไป นั่นคือการว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร (ชาย) รุ่นอายุ 10-11 ปี พลตรีนายแพทย์ธรณินนั่งคู่กับคุณวาสนาผู้เป็นภรรยาที่ตรงกลางอัฒจันทร์ ถัดลงไปคือนคินทรซึ่งกำลังชะเง้อหาเจ้าของที่นั่งข้าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่เสียที่ไหน กระทั่งก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่นาทีพายุพัดก็เดินมานั่งลงข้างกัน


“เป็นยังไงบ้าง สุชาติตื่นเต้นหรือเปล่า”


“นิดหน่อยน่ะ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


ทั่วบริเวณเงียบกริบทันทีที่เสียงโฆษกดังขึ้น และเมื่อเหล่าฉลามหนุ่มตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นกองเชียร์รอบ ๆ สระก็พากันปรบมือ เมื่อพายุพัดมองไปรอบ ๆ ก็ก็พบว่าหลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างเป็นคนที่เขารู้จัก บ้างเป็นผู้ฝึกสอน บ้างเป็นตัวแทนจากสมาคมว่ายน้ำที่มาทำหน้าที่แมวมอง สรรหานักกีฬาเข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรอรับการคัดเลือกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติต่อไป


และเมื่อโฆษกเริ่มแนะนำนักกีฬาในแต่ละช่องว่าย เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องอีกครั้ง แต่ละคนล้วนมาจากสโมสรหรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง กระทั่งถึงช่องว่ายที่หกซึ่งเป็นช่องว่ายของผู้เข้าแข่งขันหนึ่งเดียวจากต่างจังหวัด เสียงปรบมือกลับแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดและกลับดังขึ้นใหม่เมื่อถึงนักกีฬาช่องว่ายถัดไป กระนั้นเด็กชายร่างเล็กก็ก้าวออกมายืนด้วยความมั่นใจ สุชาติโบกมือให้โค้ชพายและครูม่อนที่นั่งให้กำลังใจอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของอัฒจันทร์ เมื่อได้ยินสัญญาณนกหวีด นักกีฬาทั้งแปดคนก็ก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัว ได้ยินกรรมการขาน “Take your mark” จึงก้มลงอยู่ในท่าเทียมพร้อม ทันทีที่สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ทุกคนก็พุ่งลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมกับดอลฟินคิกใต้น้ำไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มหมุนแขน


พายุพัดลอบมองคนข้าง ๆ ที่กำลังส่งเสียงเชียร์นักเรียนของตนไม่ขาดปาก พลางนึกถึงวันที่ตัวเขาเองเคยอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับสุชาติ ทั้งที่รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวตั้งแต่ตอนที่โฆษกแนะนำนักกีฬา แต่เมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องให้กำลังใจจากใครบางคน จู่ ๆ ก็มีกำลังฮึดสู้


“จะตามทันแล้ว กำบี้จะตามทันแล้ว”


พายุพัดต้องละสายตาจากเสี้ยวหน้าของครูหนุ่มแล้วหันกลับไปมองเจ้าของเสียง พลตรีนายแพทย์ธรณินเองก็ไม่ต่างกับผู้เป็นลูกชาย ป้องปากตะโกนเชียร์คนตกเป็นรองจนออกนอกหน้า ซ้ำยังลุกขึ้นยืนลุ้นจนลืมอาการปวดข้อเข่าของตนเองไปเลย


“พาย สุชาตินำแล้ว” นคินทรละล่ำละลักพลางเขย่าแขนแกร่ง


และเมื่อเด็กชายในช่องว่ายที่หกแตะขอบสระเป็นที่หนึ่ง ต่างคนต่างชูสองแขนขึ้นสุดก่อนจะกอดกันกลมด้วยความดีใจเช่นเดียวกับสองตายายที่นั่งถัดขึ้นไป


“ทำได้แล้วนะ” นคินทรว่าพลางตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ จากนั้นจึงคลายวงแขนออกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ ของผู้เป็นพ่อ


พายุพัดพยักหน้ายิ้ม ๆ “ขอบคุณนะ เราเพิ่งรู้ว่าความสุขที่ได้นั่งอยู่ริมสระมันเป็นแบบนี้นี่เอง”


...


“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา”


นั่นคือคำกล่าวสุดท้ายในงานเลี้ยงเกษียณของหมอทหารยศพลตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งแพทย์และนักพัฒนาที่ดีที่สุดคนหนึ่งของกองทัพบก พลตรีนายแพทย์ธรณินส่งไมโครโฟนคืนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบกับขาตั้ง รออีกฝ่ายปรับระดับจนเรียบร้อยจึงนั่งลงที่เก้าอี้


“ก่อนจะแยกย้ายกัน ผมมีบทเพลงหนึ่งตั้งใจมอบให้ทุกคน ผมชวนลูกชายมาเล่นดนตรีให้” พูดจบก็ผายมือไปยังอีกฝั่งของเวที “วันนี้เป็นวันพิเศษ ก็เลยอยากทำอะไรพิเศษ ๆ สักหน่อย เราจะได้ไม่ลืมกันตามชื่อเพลง”


เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้าวขึ้นบนเวทีพร้อมกับกีตาร์โปร่ง เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย ตั้งใจปล่อยเวทีนี้ให้เป็นของเจ้าของงาน และเมื่อเสียงปรบมือเงียบลง ปลายนิ้วก็เริ่มเกี่ยวสายโลหะจนเกิดเป็นท่วงทำนองสอดผสานกับเสียงทุ้มนุ่มของพลตรีนายแพทย์ธรณินยิ่งทำคนฟังน้ำตาคลอ


“มาได้ไงวะ” แสนยาพึมพำเมื่อมองขึ้นไปบนเวที


“เรามากกว่าที่ต้องถามว่านายมาได้ยังไง” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“เราก็มากับพ่อกับพี่เรา” พูดจบก็บุ้ยปากไปยังพันเอกอำนาจผู้เป็นพ่อและนายแพทย์เดชาลูกชายของพลตรีนายแพทย์อานุภาพที่เกษียณอายุราชการในปีนี้เช่นกัน


“ม่อนเป็นลูกชายคุณลุงธรณิน แล้วที่เมื่อกี้คุณลุงธรณินแนะนำไอ้พายว่าเป็นลูกชายมันยังไงกัน” คนขี้สงสัยมุ่นคิ้ว


“ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม” ชลชาติว่า กำลังจะเดินกลับไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่กับคุณป้าวาสนาที่โต๊ะแต่ก็ถูกขวางเอาไว้จนได้


“เดี๋ยววว อย่าเพิ่งไป”


“อะไรอีก” อาจารย์หนุ่มถอนใจ


“บอกมาก่อนว่าไอ้พายกับม่อนมันยังไงกันแน่”


“คุณลุงธรณินก็แนะนำอยู่ว่าพายเป็นลูกชาย ยังจะต้องสงสัยอะไรอีก”


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...ม่อน...ก...กับไอ้พาย...”


ชลชาติยักคิ้วก่อนจะกดยิ้มมุมปาก “ทำไม เสียดายหรือไง”


“เออ...เสียดายสิ เสียดายแทนม่อน ไม่น่าไปคบกับไอ้ฉลามหินอะไรนั่นเลย ชาตินี้คงไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากมันหรอก”


“นายรู้ได้ยังไง บางทีเวลาที่พายอยู่กับม่อน พายอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นายเห็นก็ได้”


คนฟังเบ้ปาก “เข้าข้างกันจริงจริ๊ง! ไปดีกว่า รำคาญ” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่กลายเป็นว่าถูกอีกคนรั้งแขนเอาไว้ 


“เดี๋ยว”


“อะไรอีก”


“ต้นเดือนหน้าอย่าลืมไปเชียร์ไอ้พายล่ะ ม่อนก็น่าจะมาด้วยนะ ก็สองคนนั้นน่ะ...”


“เออ! รู้แล้ว!” แสนยาแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “จะขยี้อะไรนักหนาวะ”


หลังกลับจากงานเลี้ยง คุณวาสนาก็โทรศัพท์หาลูกชายที่วันนี้ไม่สามารถมาร่วมงานเกษียณของพ่อได้


“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับแม่”


“ร้องไห้ไปตาม ๆ กันจ้ะ ทั้งคนเกษียณและคนไม่เกษียณ”


“แล้วพ่อละครับ ลืมเนื้อเพลงบ้างหรือเปล่า”


“ไม่ลืมหรอกจ้ะ พายแวะมาซ้อมด้วยเกือบทุกเย็น” ผู้เป็นแม่กลั้นหัวเราะ “ตอนพ่อเขาแนะนำว่าพายเป็นลูกชายน่ะแม่ยังขำไม่หาย”


“ทำไมเหรอครับ”


“คนที่ไม่รู้เขาก็คิดว่าพายเป็นลูกพ่อจริง ๆ จ้ะ มีคนทักเหมือนกันว่าพายน่ะหน้าเหมือนพ่อ แถมยังเหมือนนักกีฬาดัง พายเองก็เงียบ ๆ ไม่พูดอะไร พ่อเขาก็เลยเออออ บอกว่าลูกชายหล่อเหมือนพ่อ แล้วก็มีคนทักว่าเหมือนคนดังอยู่บ่อย ๆ”


“พ่อนี่ชอบอำตลอดเลย” นคินทรหัวเราะ 


“ส่วนเรื่องที่เราเคยคุยกัน...แม่กับพ่อจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สัปดาห์หน้าเราจะไปน่าน  ม่อนช่วยจองที่พักให้หน่อยนะลูก” การเปลี่ยนเรื่องของผู้เป็นแม่ส่งผลให้ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง และเมื่อวาสนาถาม “ม่อน ฟังแม่อยู่หรือเปล่าลูก” จึงได้ยินลูกชายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ 


“ได้ครับแม่”


“พ่อกับแม่ไม่ได้ทำให้ลูกลำบากใจใช่ไหม”


“ทำไมแม่ถามอย่างนั้นล่ะครับ”


“เราก็แค่ไม่อยากให้การได้กลับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์ ม่อนเข้าใจที่แม่พูดใช่ไหมลูก”


“เข้าใจครับแม่ ม่อนทราบครับว่าพ่อกับแม่รักม่อน”


“แล้วนี่ลูกบอกพายหรือยัง”


“ยังครับแม่ ช่วงนี้เห็นว่าเตรียมตัวซ้อมว่ายงานการกุศล ม่อนก็เลยยังไม่ได้คุย”


“จ้ะ ยังไงก็หาโอกาสบอกกันนะลูก”


“ครับแม่”


...


พายุพัดต้องประหลาดใจเมื่อจู่ ๆ ปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ก็มีโอกาสได้ต้อนรับคู่สามีภรรยาจากเมืองกรุงอีกครั้ง เมื่อจัดการยกกระเป๋าไปเก็บที่ห้องเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินกลับมายังบริเวณที่เป็นส่วนต้อนรับ นั่งลงพิงกรอบประตูปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนขนสีเหลืองขึ้นมานอนแกว่งหางอยู่บนตัก ฟังผู้ใหญ่สนทนากันเรื่องสัพเพเหระ


“เห็นพายบอกว่าคุณพ่อเกษียณแล้วเหรอคะ” ดวงพรเอ่ยขึ้น


“ใช่ครับ ไม่ได้ไปทำงานมาสองสัปดาห์แล้ว”


“เหงาไหมคะคุณลุง” เพียงพรรษถาม


“แรก ๆ ไม่ชินเลย มันเหมือนอยู่ ๆ ก็ต้องมาหยุดทำอะไรที่ทำอยู่เป็นประจำ ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกับคนที่เคยทำงานด้วยกันทุกวัน”


“น่าใจหายเหมือนกันนะคะคุณลุง”


“พอมีเวลาเยอะแล้วฟุ้งซ่านจ้ะ บ่นคิดถึงม่อนทุกวัน ก็เลยต้องพากันมาที่นี่” วาสนาเสริม


ในที่สุดพลตรีนายแพทย์ธรณินก็แจ้งถึงวัตถุประสงค์ในการมาเยือนน่านนครในครั้งนี้


“มาคราวนี้ลุงมีเรื่องจะรบกวนหนูฝนหน่อย”


“คุณลุงมีอะไรให้ฝนช่วยเหรอคะ”


“พอดีลุงจะสร้างบ้านใหม่ เห็นเจ้าม่อนชอบที่นี่ ลุงก็จะขอให้หนูฝนช่วยติดต่อสถาปนิกที่ออกแบบที่นี่ให้หน่อย จะให้เขาออกแบบบ้านหลังใหม่ให้ เวลาที่มาเจ้าม่อนมาอยู่ด้วยกันจะได้มีความสุข”


“ได้เลยค่ะคุณลุง” เพียงพรรษรับคำอย่างกระตือรือร้น


คำพูดของผู้อาวุโสทำคนที่นั่งฟังอยู่ห่าง ๆ ใจหายไม่น้อย พายุพัดยกเจ้าแมวอ้วนออกจากตักแล้ววางลงกับพื้น จากนั้นจึงเดินไปตามทางไม้ระแนงที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปขนาบข้างผืนนากว้างใหญ่ หันหลังให้ซีดานสีดำที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด เมื่อถึงต้นเสี้ยวปลายนาพายุพัดจึงหยุดทอดตามองแสงแดดยามเย็นที่สาดกระทบต้นข้าวที่เริ่มออกรวง อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อพลตรีนายแพทย์ธรณินเกษียณอายุราชการแล้วเช่นนี้ ก็คงถึงเวลาที่นคินทรจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวสักที การได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อและแม่ของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้ว่าหากวันเวลาสร้างเงื่อนไขให้นคินทรต้องเลือก เจ้าตัวก็คงจะตัดสินใจเลือกทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มนึกตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเข้าแทรกซึมอยู่ในความคิด ทั้งที่เคยลั่นวาจาว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่รั้งให้อีกฝ่ายต้องทนอยู่อย่างลำบากใจ


“มาอยู่นี่เอง” คนเพิ่งมาถึงเอ่ยขึ้น


เมื่อพายุพัดหันกลับมาก็พบกับรอยยิ้มที่ตนเองปรารถนาจะได้เห็นทุกเช้าค่ำ เขายิ้มตอบ อยากหยุดมองภาพนี้ไปอีกนานแสนนาน แต่ก็จำต้องสืบเท้าเข้าใกล้และสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อรอยยิ้มนั้นกำลังจะถูกแทนที่ด้วยน้ำตา


“พ...พาย เป็นอะไรหรือเปล่า” นคินทรกล่าวพลางลูบผ่านหลังกว้างอย่างเบามือ รู้สึกตกใจที่จู่ ๆ ร่างสูงก็เริ่มสั่นเทิ้ม พยายามจะดันออก แต่ยิ่งดันเท่าไรวงแขนแกร่งก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเท่านั้น


“ข...ขอโทษ... ขอโทษนะ” ปากพูดไปแต่ในใจกลับตะโกนก้องว่า “ไม่ไปได้ไหม อยู่ด้วยกันตลอดไปได้ไหม” พายุพัดกัดฟันกลั้นความรู้สึก ไม่ยอมผละจากคนในอ้อมแขน รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาด้วยเกรงว่ามันจะสร้างปัญหาให้แก่อีกฝ่าย


“ขอโทษเราเรื่องอะไร”


“ขอโทษที่เราอ่อนแอ เราเห็นแก่ตัว...”


“พาย...” นคินทรกล่าวเสียงแผ่ว ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจึงได้เห็นคราบน้ำตา “ร้องไห้เหรอ ร้องไห้ทำไม ไม่สบายใจเรื่องอะไรบอกเราได้ไหม” ว่าพลางยกมือประคองสองแก้มของคนตรงหน้าแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำใส ๆ ที่ใต้ดวงตาคู่นั้น


“ไม่ร้องนะ”


บอกคนอื่นนั้นง่ายดายกว่าบอกตนเองนัก...


ในที่สุดก็เป็นนคินทรที่ไม่อาจฝืนน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดที่เก็บงำเอาไว้ได้อีกต่อไป “เราต่างหากที่ต้องขอโทษ เราต่างหากที่เห็นแก่ตัว อ่อนแอจนไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง เราต่างหากที่พยายามจะหนี เราเองที่ทำให้นายต้องเสียใจ”


“ม่อน...” พายุพัดตกใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อตอนที่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นน้ำตาของนคินทรนั่นก็ว่าปวดใจแล้ว แต่ครั้งนี้กลับปวดใจเสียยิ่งกว่า ไม่คาดคิดว่าคนที่ปกติร่าเริงสดใสและมักยิ้มให้เขาเสมอจะมีบางสิ่งเก็บซ่อนอยู่ภายในใจเช่นกัน ฟังความในใจที่พรั่งพรูแล้วให้รู้สึกใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก แต่คนพูดไม่เก่ง ปลอบใครไม่เป็นเช่นเขาก็ทำได้เพียงดึงร่างของอีกฝ่ายกลับมาไว้ในอ้อมกอดดังเดิมเท่านั้น


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์ค่ะ
มีบางท่านเราตอบเป็นข้อความส่วนตัว
ยังไงลองตรวจสอบดูอีกทีนะคะ


สำหรับนิยายเรื่องนี้เราตั้งใจว่าจะรวมเล่มเอง ผู้อ่านสามารถให้ข้อเสนอแนะได้ที่แบบสอบถามที่ปักมุดในเพจนะคะ

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2018 07:38:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
แง้ ม่อนต้องไปอยู่กับที่บ้านหรอ หรือยังไงงง

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ขอบคุณนะ ไม่มีอะไรที่จะเม้นไปดีกว่าคำๆนี้อีกแล้ว
 :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ราวกับว่าพายจะฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดนะเนี่ย

ความเข้าใจเราคือ พ่อกับแม่มาสร้างบ้านให้ม่อนที่น่าน

เผลอ ๆ ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่น่านเลยหล่ะ  ทีนี้ม่อนก็ไม่ต้องย้ายเข้ากรุงเทพแล้ว

แหม...ก็คุณพ่อตารักลูกชายคนใหม่ซะเต็มประดาอ่ะ

ก็ไม่เคยให้ใครคนไหนเรียกพ่อเลยนิ นอกจากฉลามพาย นาจา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ดีใจกับน้องกำบี้ ความพยายามและความมุ่งมั่นของน้องจะพาน้องไปไกลกว่านั้นแน่นอน
ม่อนย้ายกลับบ้าน พายก็ไปทำงานที่กรุงเทพด้วยสิ จะได้อยู่ด้วยกัน


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
พ่อของม่อนจะยอมย้ายมาอยู่น่านแน่ๆเพื่อความสุขจองลูกชาย ที่จะให้สร้างบ้านก็ต้องเป็นที่ดินที่อยู่ติดกันด้วย

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วอบอุ่นใจจริงๆ :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เกิดอะไรขึ้นนนน  :katai1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ


นคินทรซบหน้าลงบนบ่ากว้างเมื่อจู่ ๆ ความรู้สึกผิดต่อทุกสิ่งที่ติดค้างในใจก็ประดังเข้ามา ทั้งที่ตั้งใจมองข้าม พยายามจะจับมือกันก้าวข้ามไป แต่วันนี้คนตรงหน้ากลับทำให้เขาต้องหยุดคิด นคินทรไม่รู้ว่าเหตุใดพายุพัดจึงได้เอาแต่กล่าวคำขอโทษตน แต่เมื่อโดนสะกิดเพียงนิด ความรู้สึกที่ไม่เคยได้ปริปากบอกใครก็ถึงคราวที่ไม่อาจเก็บงำเอาไว้ได้อีก ส่วนหนึ่งคือความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่าย และอีกส่วนคือความรู้สึกผิดต่อบุพการี


พายุพัดที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันเลื่อนมือขึ้นจับท้ายทอยของร่างที่สั่นเทิ้มแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาจนแทบเท่าเสียงกระซิบ “เราต้องจากกันจริง ๆ แล้วใช่ไหม ถ้ามันถึงเวลาแล้วม่อนก็ไปเถอะนะ”


“อย่าเพิ่งไล่เราเลย อย่าเพิ่งจับเราไปวางตรงนั้นตรงนี้ เท่านี้เราก็รู้สึกว่าเราเห็นแก่ตัวมากแล้ว”


พายุพัดขยับห่างออกมานิด ประคองสองแก้มที่กรังไปด้วยคราบน้ำตา “ม่อน มันเกิดอะไรขึ้น”


นคินทรกัดฟันแน่นกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ในที่สุดก็ตัดสินใจเล่า...


“ม่อนจะว่ายังไง ถ้าพ่อกับแม่จะขายบ้านหลังนี้” วาสนากล่าวเมื่อลูกชายเปิดประตูเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบลงใกล้ ๆ


“ข...ขาย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่เชื่อหู “ถ้าขายแล้วพ่อกับแม่จะไปอยู่ที่ไหนครับ”


“พ่อกับแม่...เราคุยกันว่าจะซื้อที่ของป้านี ปลูกบ้านหลังใหม่ แล้วก็ไปย้ายไปอยู่กับลูกที่น่าน ลูกจะได้ไม่ต้องย้ายกลับมาที่นี่”


“แม่...” พลันน้ำตาก็ค่อย ๆ เอ่อล้นจนอาบสองแก้ม ชายหนุ่มสั่นศีรษะก่อนจะขยับเข้าโอบเอวผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่บนพรมหน้าโต๊ะหมู่บูชา “แม่อย่าทำให้ม่อนรู้สึกผิดเลยนะครับ ม่อนจะกลับ ม่อนสัญญาว่าม่อนจะกลับ จะกลับมาอยู่บ้านเรา พ่อกับแม่อย่าขายบ้านหลังนี้เลยนะครับ ม่อนรู้ว่าพ่อรักบ้านหลังนี้มาก ม่อนก็รักบ้านหลังนี้เหมือนกัน”


วาสนาวางมือลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วลูบเบา ๆ “ม่อนฟังแม่นะลูก ถึงพ่อจะรักบ้านหลังนี้ แต่เหนื่อสิ่งอื่นใดก็คือลูก”


คนฟังยิ่งสั่นหัว “แม่อย่าขายเลยนะครับ” นคินทรละล่ำละลักดึงมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมาแนบแก้ม “ม่อนจะกลับมา ม่อนสัญญา”


“พ่อกับแม่จะมีความสุขได้ยังไงถ้าลูกต้องเป็นทุกข์ เราจะพรากลูกจากคนที่ลูกอยากอยู่ใกล้ ๆ ได้ยังไง”


“ม...ม่อน ม่อนไม่เป็นไรแม่ ให้ม่อนโอกาสม่อนได้พยายามอีกหน่อยเถอะนะครับแม่ ม่อนสัญญาว่าม่อนจะกลับมาอยู่ที่บ้านของเรา”


ผู้เป็นแม่เลื่อนมืออีกข้างขึ้นประคองดวงหน้าหมดจดพลางสบตาคนที่รักสุดหัวใจ “แล้วพายล่ะลูก ตัวม่อนอีก อย่าให้ความตั้งใจของพ่อกับแม่เสียเปล่าเลยนะลูก”


พายุพัดฟังแล้วไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด นั่นเพราะเขารู้ว่านคินทรรักครอบครัวมากแค่ไหน และตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน แม้ลึก ๆ จะไม่อยากให้นคินทรจากไปไหน แต่เขาก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวเก็บอีกฝ่ายเอาไว้คนเดียวจนทำให้ผู้ใหญ่ต้องลำบากใจ   


“ถ้าเราเข้มแข็งกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกของทั้งเราและนายถลำลึกไปมากกว่าที่ควร ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้ เรากำลังจะทำให้ทุกคนต้องเสียใจ”


คนฟังแทบใจสลาย “ไม่ม่อน ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาด” พูดพลางดึงร่างของอีกฝ่ายกลับคืนสู่อ้อมกอดอีกครั้ง “อ่อนแอเถอะนะ จะร้องไห้ก็ได้ แต่ขอให้เราได้อยู่ข้าง ๆ ม่อนในช่วงเวลาแบบนี้ เราจะไปคุยกับคุณพ่อของม่อน ให้ท่านทบทวนอีกครั้ง”


และพายุพัดก็ทำตามที่พูด...


หลังจากรับประทานอาหารค่ำฝีมือเจ้าของโฮมสเตย์เรียบร้อยแล้ว พลตรีนายแพทย์ธรณินก็ออกไปยืนรับลมที่หน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเพียงพรรษที่เชิญให้ทุกคนรับประทานผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จจึงเดินกลับเข้ามา หยุดที่กรอบประตูวางมือโยกหัวลูกชายซึ่งนั่งเล่นอยู่กับเจ้าแมวแฝดสามแล้วจึงไปนั่งลงข้างภรรยา รับแก้วน้ำขิงอุ่น ๆ ที่หญิงสาวส่งให้มาจิบแล้ววางลง จากนั้นจึงเริ่มสนทนาเรื่องที่ค้างไว้ในระหว่างมื้ออาหาร


พายุพัดลุกจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ให้พี่สาวมาแทนที่ ส่วนตนเองเดินไปนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ มองสองผู้อาวุโสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างตัดสินใจ ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น


“คุณพ่อแน่ใจแล้วเหรอครับ”


คำพูดของชายหนุ่มทำธรณินกระตุกยิ้มพร้อมกับโคลงหัวเบา ๆ พายุพัดไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามนี้แต่เป็นลูกชายของเขา นคินทรเฝ้าถามเช่นนี้ซ้ำ ๆ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาจะขายบ้านที่กรุงเทพฯ แล้วมาซื้อที่ดินข้าง ๆ โฮมสเตย์แห่งนี้เพื่อปลูกบ้านหลังใหม่ แต่เขาก็มิได้ให้คำตอบที่ให้ชัดเจนเพราะคิดว่าการให้คนเป็นแม่พูดกับลูกน่าจะดีกว่า   


“ผมอยากให้คุณพ่อลองทบทวนอีกสักครั้ง”


ธรณินสบตาภรรยาก่อนจะหันไปยิ้มให้ดวงพรด้วยรู้สึกชื่นชมหัวจิตหัวใจลูกชายของเธอ “เจ้าเด็กสองคนนี้นี่ คิดมากอะไรกันนักหนา” หมอทหารยศพลตรีว่าพลางมองเลยไปยังลูกชายของตนที่เอาแต่นั่งเงียบ พิงกรอบประตู ปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนสามตัวขึ้นมานอนบนตัก


“ผมยอมรับว่าลึก ๆ แล้วผมก็ไม่อยากให้ม่อนไปไหน แต่ถ้าม่อนอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความสุข ผมก็อยากให้เขากลับไปอยู่ที่บ้านที่มีทั้งพ่อและแม่ครับ”


“แล้วตัวเธอล่ะ”


“ผมไม่เป็นไร” พายุพัดตอบเสียงแผ่วหากแต่หนักแน่นยิ่งนัก


“แล้วเจ้าม่อนล่ะ”


คนถูกถามไม่รู้จะตอบเช่นไรทำได้แค่หันไปมองอีกคน


“ม่อนก็ไม่เป็นไรพ่อ”


วาสนามองทั้งสองคนพลางส่ายศีรษะ จากนั้นเอื้อมมือแตะหลังมือของสามีแล้วบีบเบา ๆ เธอบอกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาควรเป็นคนพูดเรื่องนี้กับลูกเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนคินทรถูกปลูกฝังมาในแบบที่ต้องเชื่อฟังผู้เป็นพ่อมากที่สุด แต่ธรณินก็ลีลาเยอะ จนเรื่องราวชักจะบานปลาย


“มานั่งใกล้ ๆ พ่อนี่ม่อน พ่อจะบอกอะไรให้”


เมื่อได้ฟังดังนั้น นคินทรจึงค่อย ๆ ยกเจ้าแมวอ้วนที่นอนขดอยู่บนตักวางลงที่พื้นทีละตัวก่อนจะย้ายไปนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นพ่อ


“ลูกรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อลูกว่านคินทร” ธรณินยิ้ม “นั่นเพราะนคินทรแปลว่าภูเขา เพราะพ่อชอบภูเขา ดังนั้นพ่อถึงไม่ลังเลเลยตอนที่ถูกขอให้มารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์ พ่อตั้งใจจะมาคนเดียว แต่แม่ของลูกไม่ยอม เราก็เลยหอบหิ้วกันมาทั้งครอบครัว พ่อเคยคิดว่าวันหนึ่งจะลงหลักปักฐานที่นี่ แต่เพราะหน้าที่มันก็เลยออกมาเป็นแบบที่ลูกเห็น แม่กับลูกก็เลยต้องระหกระเหิน”


“ไม่...พ่อ ม่อนกับแม่เต็มใจ” นคินทรกล่าวเสียงเครือ


“พ่อรู้ ก็เพราะลูกกับแม่ที่เข้าใจ มันก็เลยทำให้ช่วงเวลาแห่งการทำงานของพ่อเป็นช่วงที่พ่อมีความสุขมาก ๆ” พูดจบผู้เป็นพ่อก็โน้มตัวลง ใช้มือทั้งสองจับที่ต้นแขนของลูกชายแล้วรั้งตัวของเขาขึ้น “แต่ตอนนี้พ่อพักแล้วม่อน ต่อไปนี้มันคือช่วงเวลาของลูก พ่ออยากให้ลูกมีความสุข เพราะความสุขของลูกก็คือความสุขของพ่อกับแม่ด้วย”


“พ่อ...” นคินทรโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อ


“พ่อจะถามลูกอีกครั้ง ลูกอยู่ที่นี่ ลูกมีความสุขใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าทั้งที่ยังซุกอยู่กับพุงอุ่น ๆ


พลตรีนายแพทย์ธรณินยิ้ม ตบหลังลูกชายเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่กำลังมองมาด้วยสายตาขอบคุณ “พอ ๆ อย่ากอดเยอะ พ่อเขิน”


คนฟังเช็ดน้ำตาไปกลั้นหัวเราะไป นั่งขัดสมาธิลงแล้วเอียงศีรษะอิงกับต้นขาของผู้เป็นพ่อ


“ดีจังเลยค่ะ มีคุณลุงกับคุณป้าย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านกัน แม่กับฝนก็จะได้ไม่เหงา น้องม่อนก็จะได้เจอคุณพ่อคุณแม่บ่อยขึ้น” เพียงพรรษว่า


“อย่าคิดว่ามาเป็นเพื่อนบ้านเลยจ้ะ คิดเสียว่ามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะจ๊ะคุณแม่ เราคนกันเอง” ดวงพรยิ้มให้หญิงวัยเดียวกันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทางนั้นก็ยิ้มตอบเช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้นผมฝากเจ้าม่อนไว้เป็นลูกชายคุณดวงพรอีกคนด้วยก็แล้วกันนะครับ” ธรณินว่า


“ถึงคุณพ่อไม่เอ่ยปาก แม่ก็ว่าจะขออยู่เหมือนกันจ้ะ” เจ้าของบ้านกล่าวพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดู


เสียงรัวกดเครื่องคิดเลขทำพายุพัดต้องหันไปมองพี่สาวแล้วกระซิบ “พี่ฝน ทำอะไร”


“เขินน่ะ รู้สึกเหมือนมีหนุ่มพาพ่อมาสู่ขอ”


น้องชายยกมือขึ้นเกาต้นคอ เสมองไปทางอื่นแต่ก็กลายเป็นเผลอไปสบตากับอีกคนเข้า สุดท้ายดวงตาสองคู่ก็จำต้องละจากกันโดยอัตโนมัติ


“เฮ้อ! เดี๋ยวหนูไปบอกให้คนงานจัดที่นอนให้น้องม่อนดีกว่าค่ะ จะได้พักผ่อนกัน”


หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อใครคนหนึ่งกระแอมขึ้นเบา ๆ


“เจ้าม่อนเคยนอนที่ไหนก็ให้นอนที่นั่นแหละ จะได้ไม่ต้องลำบากหนูฝน”


....


พายุพัดที่นอนฟุบอยู่กับหมอนเงยหน้าขึ้น เห็นคนข้าง ๆ กึ่งนั่งกึงนอนเอนหลังพิงหมอนใบโต มือขาวยกตัวเจ้าแมวอ้วนสีส้มลอยกลางอากศก่อนจะใช้ปลายจมูกถูกับปลายจมูกของเจ้าเหมียวเบา ๆ คนมองเม้มปากแน่นแสร้งถอนหายใจแรงแล้วขยับตัวนอนตะแคงหันหลังให้ สุดท้ายเมื่อไม่ได้รับความสนใจก็พลิกตัวกลับขึ้นมาทาบทับอยู่บนร่างของอีกฝ่าย เล่นเอาเจ้าทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองแตกกระเจิง มีแค่เจ้าทองหยอดที่กระโดดกลับขึ้นมาบนเตียงเลือกหาที่นอนตามใจชอบเช่นเดิม


นคินทรอุ้มเจ้าแมวขี้อ้อนขึ้นมาวางบนตัวคนที่ซุกหน้าลงกับซอกคอของตน มองเจ้าเหมียวใช้เท้าหน้าย่ำลงบนหลังแผ่นหลังกว้างแล้วหัวเราะ สองเท้าย่ำอยู่เช่นนั้นไม่กี่ทีก็ล้มแผละนอนแผ่หลับตาพริ้ม     


“ทองหยอดลงไปเลย” พายุพัดบ่นเสียงอู้อี้


“นายนั่นแหละลงไป” นคินทรว่า


“ไม่ นี่ที่ของเรา” ว่าแล้วก็ถูจมูกกับผิวเนื้อกรุ่นกลิ่นหอมอย่างมันเขี้ยว


“พาย...ลงไปนอนดี ๆ”


“ไม่ลง” พายุพัดยืนยันคำเดิมแกล้งขยับตัวจนเจ้าเหมียวหล่นจากตัว ปลายจมูกซุกไซ้ไต่ขึ้นไปตามลำคอระหงเรื่อยไปตามแนวสันกรามแล้วหยุดกระซิบชิดใบหู “อย่าไล่เราเลยนะ” พูดจบชายหนุ่มก็แนบหูลงกับแผงอกของคนใต้ร่าง ๆ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ


“อย่าหนีเราไปไหนอีกนะม่อน”


นคินทรสอดแขนเข้าข้างลำตัวอีกฝ่าย กอดเขาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เลื่อนมือข้างที่เหลือขึ้นแล้วแทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงกับกลุ่มผมสีดำสนิท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบเบา ๆ “เราไม่ไปไหนแล้ว ถึงจะไล่ก็ไม่ไป”


พายุพัดไม่เพียงแต่เงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ยังใช้ปากรับถ้อยคำจากปากของอีกฝ่ายมาเก็บไว้กับตัว กลีบปากที่ยังคงเผยอค้างเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวชวนให้เผลอใจแตะจูบลงอีกครั้ง...ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนแทบจะกลืนกิน มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อใส่นอนลูบไล้ไปตามลำตัวของคนใต้ร่างโดยไม่สนใจแรงต้านจากฝ่ามือที่ดันแผงอกของตน พายุพัดถอนริมฝีปากออกปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสกอบโกยอากาศ ตาคมเลื่อนต่ำมองปลายนิ้วของตัวเองที่กำลังปลดกระดุมเม็ดบนเผยให้เห็นผิวขาวขึ้นสี ชายหนุ่มพรมจูบไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าเรื่อยลงมาถึงกลางอกอย่างหลงไหลจนกระทั่ง...


“พาย” นคินทรใช้มือตีเบา ๆ ที่แก้มสากเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างเลื่อนลอย


“ว...ว่าไงนะ” พายุพัดตื่นจากภวังค์


“มัวคิดอะไรอยู่ เราบอกว่าไปดูดาวกัน”


คนถูกถามไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ได้แต่ซุกหน้าลงกับซอกคอขาวแล้วโคลงหัวเบา ๆ


“พอแล้ว จั๊กจี้ ไปดูดาวกัน”


“ดาวก็อยู่นี่แล้วไง” พูดจบก็ดึงมือของนคินทรข้างที่สวมแหวนขึ้นมาแตะจูบบนข้อนิ้ว


“นะ ไปดูดาวกัน” คนชวนพยักหน้ารัว


แล้วจะไม่ให้ใจอ่อนได้อย่างไร พายุพัดสั่นศีรษะก่อนจะพลิกตัวกลับนอนแผ่อย่างอ่อนใจ


“ลุกเร็ว” คนที่ตอนนี้ลุกขึ้นเดินอ้อมเตียงมาอีกฝั่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งมือให้จับ แต่พายุพัดกลับหลับตาแล้ววางมือซ้ายลงมา


“ลืมตาสิ” นคินทรว่า


“อยากพาเราไปไหนก็ไปสิ” ชายหนุ่มกล่าว รอจนอีกฝ่ายออกแรงดึงให้ลุกขึ้น


“เดี๋ยวก็เดินชนข้าวของกันพอดี”


“เรารู้ว่าม่อนไม่ปล่อยให้เราเป็นแบบนั้นหรอก จริงไหม” พายุพัดยิ้มทั้งที่ยังหลับตา “ต่อไป...ม่อนจะเป็นเหมือนเข็มทิศของชีวิตเรานะ”


“เราคงเป็นเข็มทิศให้นายไม่ได้หรอก มีแต่จะพาหลง”


“ถึงว่า...”


“ถึงว่าอะไร”


“ถึงว่าว่าตอนนี้เราหลงม่อนจะแย่แล้ว”


“ไปจำมาจากไหน” นคินทรไม่ได้พูดอะไรมากหากแต่กุมมืออีกฝ่ายแน่น สองร่างเดินเคียงกันไม่ห่างไปตามเดินไม้ระแนง จนกระทั่งถึงต้นเสี้ยวต้นใหญ่


“ลืมตาเร็ว ถึงแล้ว”


พายุพัดเปิดเปลือกตาขึ้นมองคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


“ดาวเต็มไปหมดเลย ถ้าตอนนี้อยู่บนดอยเสมอดาวก็คงเห็นแบบนี้แน่ ๆ”


“ม่อนชอบดูดาวเหรอ”


นคินทรพยักหน้า


“เอาไว้เราจะพาไปอีกที่ ไปดูดาวบนดินบ้าง”


“ดาวบนดิน...ที่ไหนเหรอ”


พายุพัดไม่ได้บอกว่าที่ไหน เพียงแต่ถามกลับ “จะไปด้วยกันหรือเปล่าล่ะ”


นคินทรสบตาคนถามพลางยิ้มน้อย ๆ ยกมือที่ยังคงเกี่ยวกันแน่นให้ดูแทนคำตอบ


สายลมหนาวพัดต้นข้าวในนาเสียดสีกันดังสวบสาบ เบื้องหน้าคือความมืดดำหากแต่ยังปรากฏแสงดาวระยิบระยับช่วยล้างจินตนาการอันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและเภทภัยนานา ส่งผลให้ภาพที่เห็นกลายเป็นภาพตราตรึงใจไปจนกระทั่งยามหลับฝัน พายุพัดนั่งตัวตรงเพื่อเป็นที่พักพิงให้แก่คนที่ยึดเอาไหล่ของตนเป็นหมอนอิง แขนแกร่งเลื่อนขึ้นโอบไหล่หวังจะไล่ความเหน็บหนาวไม่ให้กล้ำกราย ในขณะที่ดวงตาก็มิได้ห่างหายจากเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย
   

“ทำไมนายถึงปฏิเสธทุนการฝึกอบรมผู้ฝึกสอนว่ายน้ำล่ะ” จู่ ๆ นคินทรก็เอ่ยขึ้น


“รู้ได้ยังไง อาจารย์เมธีบอกเหรอ” พายุพัดถอนใจพลางนึกถึงอีเมลที่ได้รับจากสมาคมว่ายน้ำแห่งประเทศออสเตรเลีย เชิญให้เขาเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนว่ายน้ำเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน


คนนั่งข้าง ๆ ตอบอือในลำคอแล้วกล่าว “อาจารย์เมธีให้เรามาช่วยพูดกับนาย ถ้ากำบี้รู้ก็คงอยากให้นายรับทุนนี้”


“เราไม่อยากไป เราอยากอยู่กับม่อนที่นี่” หนุ่มนักกีฬาตอกย้ำคำพูดของตนเองด้วยการกระชับวงแขนแน่น “ม่อนอยากให้เราไปเหรอ”


“มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยากให้นายไปหรือไม่อยากให้ไป เพราะทุกอย่างอยู่ที่นายตัดสินใจ เราแค่อยากให้นายคิดดูดี ๆ”


“แต่เราไม่ได้อยากเป็นโค้ชที่มีชื่อเสียง เราแค่อยากสอนเด็ก ๆ ให้ว่ายน้ำก็แค่นั้น”


“แต่นายคือฉลามพาย เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น นายอาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ใคร ๆ คิดอยากว่ายน้ำ แต่นายคือคนที่ทำให้อดีตนักว่ายน้ำเห็นว่าพวกเขายังสามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ถึงแม้จะไม่มีธงไตรรงค์ติดที่หน้าอกแล้ว”


พายุพัดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้กับความอ้อมค้อมที่มักนำพาให้เขาค้นพบหนทางที่จะเดินต่อเสมอ   


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2018 12:58:28 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ชลชาติมองลอดหน้าต่างบานเกล็ดเข้าไปภายในห้องศึกษาค้นคว้าสำหรับนักศึกษาปริญญาโทของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายในมีเพียงชายหนุ่มในชุดกางเกงยีน สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีดำ แขนเสื้อถูกถกลวก ๆ ขึ้นมาจนถึงศอก ผมสีเข้มรองทรงรวบตึงตั้งแต่ช่วงกลางศีรษะแล้วปัดไปทางด้านหลังเพื่อไม่ให้ปอยผมตกลงมาระลูกตา แว่นสายตากรอบโลหะที่สวมส่งผลให้วันนี้ใบหน้าของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย


“โทรศัพท์ก็ไม่รับ คิดแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางวางแก้วทรงสูงที่ข้างในมีเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กเม็ดเล็กลงบนโต๊ะ


แสนยาเงยหน้าขึ้นมองพอให้รู้ว่าเป็นใครก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้ปากกาขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญที่อ่านผ่าน “มีอะไรหรือเปล่า”   


“เราแวะเอาบัตรเข้าชมการแข่งขันว่ายน้ำมาให้ ส่วนนี่ก็ตอบแทนที่นายช่วยออกแบบโปสเตอร์” ว่าแล้วก็ดึงบัตรจากกระเป๋าเสื้อวางไว้บนฝาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“ขอบใจนะ”


ชลชาติมุ่นคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับอาการนิ่งขรึมของอีกฝ่ายสักเท่าไร             


“กินข้าวกลางวันหรือยัง ไปกินข้าวไหม”


“นายไปกินเถอะ” พูดจบก็มองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือ “เรามีนัดคุยกับอาจารย์ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง”


คนถูกปฏิเสธเพียงแต่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราไม่รบกวนก็แล้วกัน ตอนบ่ายเรามีประชุม ต้องรีบกลับไปเตรียมเอกสาร” พูดจบชลชาติจึงถอยห่างออกมา กำลังจะเดินพ้นประตูก็ต้องหยุด


“เป็นข้าวเย็นได้ไหม” แสนยาถาม


“ได้” อาจารย์หนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล


“ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นเราแวะไปหานายที่คณะก็แล้วกัน”


“อือ” ชลชาติตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากมา


เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้วอาจารย์หนุ่มก็เดินกลับมายังคณะ จัดเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมประจำเดือนของภาควิชาจนเรียบร้อย เห็นว่าจวนได้เวลาจึงเดินไปที่ห้องประชุม ทันทีที่เปิดเข้าไปก็พบว่าอาจารย์ส่วนใหญ่มาพร้อมกันหมดแล้วจะเหลือก็แต่คนที่เคยนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับตน ชลชาติวางเอกสารแล้วนั่งลงข้างอาจารย์ทวี ต่างคนต่างพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งเลยเวลาประชุมมาเกือบสิบนาที หัวหน้าภาควิชาซึ่งเป็นประธานการประชุมจึงเอ่ยขึ้น 


“อาจารย์ธรรม์ณธรไปไหมีใครทราบไหม”


เมื่อไม่ได้รับคำตอบ จึงสั่งให้เริ่มดำเนินการประชุม การพิจารณาวาระต่าง ๆ เสร็จสิ้นภายในเวลาสองชั่วโมง ทันทีที่ออกจากห้องประชุมชลชาติก็ตรงไปยังห้องเรียนทันที กว่าจะสอนก็เกือบสิบแปดนาฬิกา ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ห้องพักอาจารย์จึงเห็นแสนยามายืนรออยู่แล้ว


“รอนานไหม”


“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้” พูดจบก็ชี้ไปที่ห้องพักอาจารย์ที่อยู่ถัดไป “คนนั้นใครน่ะ”


“ธรรม์ณธร...เพื่อนเราเอง ทำไมเหรอ”


“ไม่รู้รีบอะไรนักหนา แซงคิวคนอื่นขึ้นลิฟต์ แถมเดินชนนักศึกษาก็ไม่ขอโทษ”


ชลชาติมองชายหนุ่มที่กำลังยืนรื้อตู้เอกสาร ในที่สุดก็เปิดประตูเดินเข้าไป


“นายไม่รู้เหรอว่าวันนี้มีประชุม”


ธรรม์ณธรที่หันหลังให้ชงัก ผลักลิ้นชักตู้คืนที่จนเกิดเสียงดังแล้วตอบห้วน ๆ “รู้ แต่เรามีธุระต้องทำ”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ชลชาติถามพลางกวาดตามองรอบ ๆ เห็นว่าบนโต๊ะที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยบัดนี้เต็มไปด้วยเอกสาร


“ไม่มีอะไร แค่หาเอกสารสำคัญไม่เจอเฉย ๆ” พูดจบมือหนาก็ดึงลิ้นชักชั้นล่างออกมา


“อืม ถ้านายมีเวลาก็เข้าไปชี้แจงกับหัวหน้าภาคฯ หน่อยก็แล้วกัน คราวหลังก็อย่าขาดประชุมอีก”


คนฟังถอนหายใจเฮือก ผลักลิ้นชักเก็บเสียงดังสนั่น จนแสนยาที่ยืนอยู่ข้างนอกต้องชะเง้อมองว่าเกิดอะไรขึ้น


“เอาเวลาไปห่วงเพื่อนรักเถอะ” เจ้าของร่างสูงหันมากล่าวอย่างฉุนเฉียว


“นายหมายถึงใคร”


ธรรม์ณธรหัวเราะหึแล้วกล่าว “ก็ไอ้พายไง”


“พายทำไม”   


“ก็ระวังมันจะแพ้เราไง อีกไม่กี่วันก็จะแข่งแล้ว” คนพูดทำยิ้มเยาะ “เดี๋ยวจะไม่ได้ทั้งตั้งกองทุนไม่ได้สอนว่ายน้ำต่อ ได้ข่าวว่าไปเป็นโค้ชสอนว่ายน้ำที่บ้านนอกนี่”


“นายหมายความว่ายังไง นายรู้อะไรมา” ชลชาติมุ่นคิ้ว


“เปล่า” ธรรม์ณธรทำไม่นี่หระ “เราก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า คนไร้ประโยชน์แล้วสมาคมไม่มาสนใจหรอก”


ป่วยการจะต่อความยาวสาวความยืด ชลชาติจึงได้แต่กล่าวทิ้งท้าย “เรื่องประชุม...เราก็แค่เตือนด้วยความหวังดี ถ้านายคิดว่าเราก้าวก่ายก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” พูดจบก็เดินออกจากห้อง


แสนยาและชลชาติพากันเดินลงบันได ในขณะที่ผ่านชั้นสามซึ่งเป็นที่ตั้งของฝ่ายการเงินของคณะก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังแว่วมา


“แก...ที่เขาว่าเงินจากงานวิ่งหายไปหลายแสนน่ะจริงหรือเปล่า”


“แกไปได้ยินมาจากไหน”


“ฉันได้ยินพี่ติ๋วคุยกับอาจารย์ธรรม์ณธรน่ะ แต่ฟังไม่ถนัด เขาคุยกันเบามาก”


“ใบเสร็จมันไม่ตรงกับยอดเบิกน่ะ ฉันช่วยพี่ติ๋วทำเอกสารอยู่ คนร่วมงานก็บ่นว่าจัดไม่ดี ฝั่งการเงินก็บอกว่าโครงการนี้งบเยอะ แต่แกอย่าไปเล่าต่อนะ เหยียบเอาไว้เลย”


“ฉันรู้น่าแก”


แสนยาหัวเราะในลำคอแล้วหันไปกล่าวกับคนที่กำลังยืนอึ้ง “สูญเสียกันมานักต่อนักกับคำว่ารู้แล้วเหยียบ”


ในหัวของชลชาติไม่เพียงแต่คิดเรื่องที่กำลังได้ฟังอยู่ในขณะนี้ แต่ยังคิดถึงเรื่องพายุพัดที่ธรรม์ณธรพูดถึงเมื่อสักครู่ด้วย


“ไปเถอะ หิวแล้ว” แสนยาบอกพลางรั้งแขนอีกคน


“เดี๋ยวแสน” อาจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น


“มีอะไรเหรอ”


“นายมีเบอร์ติดต่อของพี่เดชไหม”


แสนยาพยักหน้า แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเบอร์โทรศัพท์ของลูกพี่ลูกน้องไปทำไม แต่เขาก็กุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาให้


...


และแล้ววันที่แฟนกีฬาว่ายน้ำต่างรอคอยก็มาถึง บนอัฒจันทร์แน่นขนัดไปด้วยผู้คน นอกจากที่ขอบสระจะครึกครื้นแล้ว ภายในห้องพักนักกีฬาก็คึกคักไม่ต่างกัน ทั้งเพื่อนเก่า รุ่นพี่ รุ่นน้อง ได้กลับมาพบปะกันอีกครั้ง บรรยากาศโดยรวมจึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น จะมีก็แต่ชลชาติที่เอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่มาถึง


“เลิกทำหน้าเครียดได้แล้วน่า” พายุพัดบอกขณะถอดเสื้อออกเผยให้เห็นแผ่นหลังที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อ


“ไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ” ชลชาติบอกพลางนึกถึงอาการป่วยของอีกฝ่ายที่ไปเลียบเคียงถามจากนายแพทย์เดชา


“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วย” หนุ่มนักกีฬาทำพูดติดตลกแต่เพื่อนกลับไม่ตลกด้วย


“ทำเป็นพูดดีไปไอ้พาย เจ็บยิ่งกว่าเดิมจะทำยังไง”


“เราปรึกษาพี่เดชเรื่องผ่าตัดแล้ว แต่ให้ผ่านงานนี้ไปก่อน” เห็นสีหน้ายังไม่คลายกังวลของเพื่อนจึงเอื้อมมือขึ้นบีบไหล่หนาเบา ๆ “เราไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” พายุพัดกล่าว มองเลยไปยังนคินทรที่เดินคู่กับอีกคน


แสนยาแสร้งยกแขนลอยขึ้นในอากาศทำท่าจะโอบไหล่คนที่เดินข้างกันโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ซ้ำยังยักคิ้วให้เจ้าของหน้าขรึมที่กำลังมองมาทางนี้ พอนคินทรหันมองก็รีบทำเป็นบิดขี้เกียจทันที


“มาด้วยกันได้ยังไง” พายุพัดพึมพำ
   

“ไอ้แสนมันช่วยออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานให้ เราก็เลยชวนมันมาดูนายแข่ง”


“แต่ไม่เชียร์บางคนหรอกนะ” คนที่กำลังถูกพูดถึงเอ่ยขึ้น
   

“เขาก็ไม่ได้ขอร้องให้เชียร์ไหม” ชลชาติว่าก่อนจะหันไปทักทายเพื่อนเก่า “คราวก่อนนึกว่าจะได้เจอม่อนในงานเกษียณคุณลุงหมอเสียอีก”


“มีงานที่โรงเรียนน่ะ ก็เลยมาไม่ได้”


“เลยไม่ได้เห็นนักร้องคู่หูดูโอ้คู่ใหม่เลย สาว ๆ ในงานกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ โดยเฉพาะมือกีตาร์” ว่าแล้วก็ใช้ศอกสะกิดคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง “พูดอะไรบ้างสิวะ”


“จะให้พูดอะไร” พายุพัดมุ่นคิ้ว


นคินทรมองคนพูดน้อยแล้วยิ้ม


“แหม...กลายเป็นเนื้องอกเลยเรา” แสนยาหัวเราะกับลมกับฟ้า


ชลชาติยกนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่าใกล้ได้เวลาแข่งจึงเอ่ยขึน “จวนได้เวลาไอ้พายแข่งแล้ว พวกเราออกไปนั่งที่อัฒจันทร์กันเถอะ” ว่าแล้วก็โอบหลังรั้งตัวหนุ่มศิลปิน ตั้งใจจะปล่อยให้สองคนได้มีเวลาพูดคุยกัน


“เดี๋ยว ๆๆ จะรีบไปไหน เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ”
   

“ไปเถอะน่ะ”


“เราจะไปพร้อมม่อน” แสนยายืนกราน


“ตัวติดกับม่อนหรือไง”


นคินทรเบนสายตาจากสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่ด้านหลัง หันมากล่าวกับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เรานั่งดูอยู่ที่เดิมนะ”


พายุพัดพยักหน้า เห็นอีกฝ่ายกำลังจะหันหลังให้จึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวม่อน เราฝากของหน่อย”


“เอามาสิ” ว่าแล้วคนพูดก็แบมือรอ


ฉลามหนุ่มถอดกำไลเงินรูปปลาที่มักสวมติดตัวออก แต่แทนที่จะวางบนฝ่ามือของคนรับกลับจับมือนั้นไว้แล้วค่อย ๆ สวมกำไลลงไปในตำแหน่งเดียวกัน


ชลชาติละสายตาจากภาพตรงหน้า มองคนข้าง ๆ ที่ยืนอ้าปากหวอ ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นนิด ๆ ก่อนจะตบลงบนหลังของอีกฝ่าย แต่คงแรงไปหน่อยเพราะแสนยาถึงกับเซไปข้างหน้า


เมื่อตั้งตัวได้หนุ่มศิลปินจึงกระแอมเบา ๆ “ไปกันได้แล้วมั้ง”


...

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

พายุพัดออกจากห้องพักนักกีฬาเมื่อจนได้เวลาแข่ง เขาเดินตามคนอื่น ๆ ไปประตูทางออกสู่สระว่ายน้ำ จากตรงนี้ได้ยินเสียงปรบมือดังกึงก้องเมื่อโฆษกประกาศชื่อนักว่ายน้ำหญิงที่สามารถแตะขอบสระได้เป็นอันดับหนึ่งจากการแข่งขันรายการที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นบีบไหล่ที่จู่ ๆ ก็เกิดปวดแปลบขึ้นมา พลันหูก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินมาหยุด


“น่าภูมิใจแทนโค้ชนทีจริง ๆ ที่มีลูกศิษย์ดี ๆ แบบนี้” ธรรม์ณธรยิ้มเย้ย “รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยังลงแข่ง ทุ่มเทจริงจริ๊ง”


พายุพัดไม่ได้ชายตาแลคนพูด เพียงแต่ลดมือลงแล้วมองตรงไปข้างหน้า  “เราทำหน้าที่ของเรา”


คนฟังหัวเราะหึ “ถ้าอย่างนั้นเราก็จะทำหน้าที่ของเราก็คือการเอาชนะนายให้ได้”


พายุพัดหันมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนจะกล่าวเพียงสั้น ๆ “อย่าลืมที่พูดเอาไว้ก็แล้วกัน”


เมื่อโฆษกประกาศแจ้งรายการแข่งขันรายการว่ายฟรีสไตล์ 100 เมตร (ชาย) ซึ่งเป็นรายการแข่งรายการสุดท้าย บรรดานักกีฬาก็พากันเดินชักแถวออกมา แต่ละคนล้วนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำดาวรุ่งในสมัยของตนเอง จึงถือได้ว่ารายการว่ายน้ำรายการนี้เป็นรายการแข่งที่รวมดาราเอาไว้มากที่สุดก็ว่าได้ ต่างคนต่างอยู่ในอากัปกิริยาผ่อนคลายโบกมือทักทายกองเชียร์ ผิดกับเมื่อครั้งยังรับใช้ชาติที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศเอาไว้บนบ่า แต่ในบรรดานักกีฬาทั้งแปด เห็นจะมีเพียงพายุพัดที่ยังคงความนิ่งสุขุมไว้ในทุกก้าวย่าง เขามองขึ้นไปยังอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง เห็นชลชาติ แสนยา และครอบครัวของนคินทรต่างโบกไม้โบกมือให้จึงพอยิ้มได้บ้าง


ชายหนุ่มร่างกายกำยำต่างเดินไปหยุดยังตำแหน่งของตนซึ่งอยู่หลังแท่นปล่อยตัว รอโฆษกแนะนำนักกีฬา และเมื่อสิ้นเสียงประกาศชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” เสียงปรบมือต้อนรับการคืนสระของฉลามหนุ่มก็ดังกึกก้อง พายุพัดก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโบกมือทักทายแฟนกีฬาทั่วทั้งสระ และไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือให้คนที่บอกว่าจะนั่งเชียร์เขาอยู่ ‘ที่เดิม’

พายุพัดเหลือบมองชายหนุ่มในตำแหน่งช่องว่ายข้าง ๆ หากไม่ใช่เพราะคำท้าของธรรม์ณธร ในการแข่งขันที่คาดว่าจะเป็นการแข่งครั้งสุดท้ายก่อนปิดฉากการเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติไทยโดยถาวรนี้คงได้ชวนพี่สาวและแม่มานั่งให้กำลังใจที่ขอบสระ ฉลามหนุ่มหันหน้าหนีรอยยิ้มเยาะหยัน ดึงแว่นตากันน้ำลงครอบดวงตาทั้งสองพร้อมกับทำสมาธิ


ทันทีที่กรรมการขาน “Take your mark” ทั้งแปดคนก็ก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัว ถอยเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วก้มตัวลงรอฟังสัญญาณ เมื่อสิ้นเสียงนกหวีด ฉลามหนุ่มทั้งแปดก็พุ่งตัวลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกเป็นภาพที่งดงามดูคล้ายฝูงโลมาแสนปราดเปรียวที่มักเห็นได้จากสารคดี


นคินทรจับจ้องร่างขาวโพลนลู่ไปกับน้ำราวลูกธนูที่เพิ่งถูกปล่อย ถึงระยะหนึ่งเขาก็เริ่มหมุนแขนจ้วงน้ำ  มือขาวเลื่อนมือจับกำไลเอาไว้แน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าวันนี้พายุพัดได้สลัดคราบของโลมาหนุ่มออกจนหมดเหลือไว้เพียงคราบของฉลามที่มุ่งพิฆาตเหยื่อ


พายุพัดจ้วงแขนหนักหน่วงเมื่อเห็นธรรม์ณธรตีคู่ขึ้นมา ความรู้สึกปวดแปลบตั้งแต่เริ่มออกตัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น กระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของฉลามหนุ่มได้ เมื่อพ้นช่วงกลับตัวที่ขอบสระฝั่งตรงข้าม ทั้งแปดคนต่างรักษาระยะห่างที่สูสีกันสมกับตำแหน่งดาวรุ่งและเจ้าของเหรียญรางวัลมากมาย กระทั่งในระยะยี่สิบเมตรสุดท้าย จู่ ๆ ธรรม์ณธรก็แผ่วลงราวกับเส้นชัยข้างหน้าไม่มีความหมายกับเขาอีกต่อไป พายุพัดไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นก่อนจะแซงกันขาดนั้นคือรอยยิ้มปริศนาของอีกฝ่ายหรือไม่ ฉลามหนุ่มมิได้ใส่ใจยังคงออกแรงอย่างหนักจนทิ้งห่างคนอื่น ๆ และในที่สุดเขาก็สามารถแตะขอบสระเป็นคนแรกได้สำเร็จอย่างไม่ค้านสายตาและไม่ต้องใช้ภาพจากล้องตัวใด ๆ มายืนยัน


เจ้าของฉายาฉลามหินยืนสงบนิ่งพิงกับขอบสระ เมื่อเห็นชื่อตนชื่อปรากฏขึ้นบนจอขนาดยักษ์เป็นลำดับแรกจึงค่อยยิ้มออก ส่วนสองอันดับที่เหลือคือชื่อของอดีตนักกีฬาทีมชาติเจ้าของเหรียญเงินกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เชียงใหม่ และอีกคนคือเจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ครั้งล่าสุด เสียงปรบมือเปาะแปะที่ดังอยู่ไม่ห่างทำให้ต้องดึงแว่นตากันน้ำออกแล้วหันกลับไปมอง เห็นธรรม์ณธรใช้แขนข้างหนึ่งหนีบทุ่นลู่พลางปรบมือให้


"เก่งไม่มีใครเกินเลย ชื่นชม ๆ"

คนฟังวางหน้านิ่งหากแต่ในใจกลับนึกสงสัยว่าเหตุใดผู้แพ้จึงมิได้สะทกสะท้าน แต่สำหรับพายุพัดแล้วธรรม์ณธรก็เป็นเพียงแค่อากาศที่ไม่มีตัวตนอยู่ในสายตา ซ้ยังเป็นมลพิษที่ต้องเดินหนีให้ไกล คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงดำน้ำลอดทุ่นลู่มุ่งหน้าสู่ขอบสระ


ชลชาติผุดลุกขึ้นมือเห็นสิ่งผิดปกติ นั่นคือการที่พายุพัดพาตัวเองกลับขึ้นสระด้วยแขนข้างที่ไม่ถนัดเพียงข้างเดียว ชายหนุ่มเดินลงอัฒจันทร์โดยไม่ได้ฟังคำทัดทานของแสนยาที่มาด้วยกัน แต่กว่าจะลงไปถึงด้านล่างพายุพัดก็หายเข้าไปทางประตูที่อยู่ใต้อัฒจันทร์เสียแล้ว


“ไง รีบมาดูอาการเพื่อนเหรอ” ธรรม์ณธรที่ท่อนล่างยังคงสวมกางเกงว่ายน้ำส่วนท่อนบนคลุมทับด้วยเสื้อวอร์มเผยให้เห็นอกแกร่งที่กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงเอ่ยขึ้น


“ไอ้ธรรม์” ชลชาติกำหมัดแน่น “นายรู้ตั้งแต่แรกใช่ไหมว่าพายเจ็บ แต่ก็ยังมาท้าแข่ง”


“ช่วยไม่ได้อยากโง่เอง” คนพูดเหยียดยิ้ม “แต่ก็อย่างว่าละนะ ท้าทายไอ้พวกที่ทุ่มเทมาก ๆ นี่มันท้าขึ้นจริง ๆ”


“รักษาคำพูดด้วยก็แล้วกัน” อดีตฉลามหนุ่มกัดฟันกรอด


“เราไม่ได้ตั้งใจจะเอาชนะตั้งแต่แรก ทำไมเราต้องรักษาคำพูดด้วย” พูดจบก็หัวเราะเยาะก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้อีกคนได้แต่ยืนตัวสั่นกำหมัดแน่น


ชลชาติสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออก พยายามสะกดอารมณ์ เขารีบเดินไปที่ห้องพักนักกีฬาที่ณะนี้เหล่านักว่ายน้ำต่างทยอยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปพบปะแฟน ๆ ที่ริมสระ ชายหนุ่มเคาะประตูห้องน้ำแต่ละห้องพร้อมกับส่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนรัก ในที่สุดประตูห้องสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ด้านหลังก็เปิดออก เมื่อชลชาติหันกลับไปก็เห็นพายุพัดเดินออกมาในชุดที่เดียวกับที่สวมมาเมื่อช่วงเช้า ที่คอพาดผ้าเช็ดตัว ผมเฝ้ายังคงเปียกชุ่ม


“เราอยู่นี่” เจ้าของร่างสูงกล่าวเสียงแผ่ว


“เป็นอะไรหรือเปล่า เราเห็นท่าทางนายไม่ค่อยดีเลย”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยยังคงตอบเพียงสั้น ๆ เช่นเคย


ชลชาติพยักหน้า ตั้งใจจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวยาวกลางห้องก็ต้องชะงักเมื่อมือของเพื่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของตนเอง ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง แม้จะเป็นมือข้างที่พายุพัดไม่ถนัด หากแต่แรงบีบของเขาก็พอจะบอกถึงอาการเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ให้อีกคนรับรู้ได้ไม่ยาก


ฉลามหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะแข็งใจพูด “มีน...ตามพี่เดชให้เราหน่อย”   
   

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

อย่าปล่อยมือ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2018 13:14:02 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หมดภารกิจนี้พายก็รีบรักษาตัวอย่างจริงจังได้แล้ว อาการหนักขนาดนี้ ธรรม์ณธรทำปากดีไป ชีวิตนายจบไม่สวยแน่ ทำเรื่องแย่ ๆ มาเยอะแยะ คงไม่รอดได้ทุกครั้งหรอกน่า
ส่วนเรื่องพ่อแม่ม่อนจะย้ายไปอยู่น่านนี่ต้องกราบคารวะจริง ๆ พ่อหาทางออกให้ม่อนได้เสมอ

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
พายอย่าเป็นอะไรนะ  :hao5:

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่าาาาาา ลุ้น มารอตามนะครับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนหน้าขอให้คดียักยอกเงินจัดวิ่งถูกเปิดโปงพร้อมหาคนทำผิดได้ ซึ่งก็คือ แพะเช่นธรรม์ กับคนทำผิดตัวจริงคือรองคณบดีด้วยเถอะ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ธรรมนี่เกินเยียวยารึเปล่า
น้ำใจนักกีฬาไม่มีสักแอะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ธรรม์นี่เกินเยียวยาจริงๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สงสารพาย บางทีการจะทำอะไรให้ดีที่สุด ก็ต้องแลกกับบางสิ่ง
เป็นกำลังใจให้นะ
 :L2 :L2:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
"อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม
จับมือฉันไว้ตลอดเวลา"

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด