สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78708 ครั้ง)

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
แอบดีใจที่สิไม่ได้ลงเอยกับฉาย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เป็นตอนที่อบอุ่นจังเลยจ๊ะ เพื่อนความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นไม่จางหาย
ให้คิดถึงตอนเด็กๆ นะ อ่านแล้วทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ คิดถึงจัง
ไม่ได้แก่นะ แค่คิดถึง อิอิอิ
 :o8: :o8:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
กลับมาครบทุกคนแล้ว กว่าจะรวมตัวกันได้ร่ำ ๆ จะสามสิบขวบ อย่ารอเวลานะจ๊ะพาย

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ละมุนนนนน อยากให้พายกับม่อนได้เจอกันไว ๆ

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นึกว่าจะได้เจอกันในงานแต่ง เจอกันผ่านตัวอักษรก็ยังดีเนาะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านแล้วอบอุ่นใจ คิดถึงความหลังสมัยเด็กๆที่อยู่ต่างจังหวัด

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
มีความละมุน เนิบนาบ ทำให้ยิ้มได้

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน


“ปลายฝนต้นหนาว” คือชื่อของโฮมสเตย์เล็ก ๆ ที่เจ้าของลงทุนลงแรงปรับปรุงอาณาบริเวณของบ้านหลังเก่า ปลูกต้นไม้ จัดสวน รวมถึงสร้างเรือนพักเล็ก ๆ ขึ้นใหม่อีกเกือบสิบหลังไว้ให้บริการบรรดาผู้คนที่ต้องการหนีจากชีวิตวุ่นวายในเมืองหลวงเพื่อมาสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พายุพัดนั่งลงบนทางเดินไม้ระแนงที่เชื่อมเรือนพักเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละหลังกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ เอนหลังพิงต้นเสี้ยวต้นใหญ่ที่ช่างอุตส่าห์วางแนวทางเดินอ้อมโคนต้นเพื่อจะได้ไม่ต้องโค่นทิ้ง ตาคมทอดมองผืนนาที่ชุ่มนองไปด้วยน้ำ อีกไม่นานเมื่อกล้าข้าวที่แม่กับพี่สาวของเขาร่วมกันเพาะงอกขึ้นจนเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงก็คงได้นำลงไปปักดำ แล้วพื้นที่ตรงนี้ก็จะกลับมาเขียวสดไปจนสุดลูกหูลูกตา


ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ขบกรามแน่นเป็นระยะตามความรู้สึกปวดหน่วงที่หัวไหล่ข้างขวา กระนั้นยังฝืนหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาเปิดอ่านข้อความจากชลชาติที่ส่งมาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าตรู่


“เราเพิ่งได้คุยกับโค้ช โค้ชบอกว่าบาดแผลจากอุบัติเหตุของนายก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรมากนัก เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไมนายถึงตัดสินใจจะวางมือ แต่ถ้านายแน่ใจแล้ว พวกเราทุกคนก็พร้อมจะยอมรับ อาจารย์ทวีรู้ข่าวนี้ก็เลยฝากมาถามว่าสนใจมาเป็นอาจารย์ที่คณะไหม”


ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ตอบกลับ


“ขอเวลาสักพักนะ แล้วเราจะให้คำตอบ”


เมื่อเรียบร้อยจึงวางโทศัพท์ลงที่เดิม


“คิดแล้วเชียวว่าพายต้องอยู่ที่นี่” เพียงพรรษเอ่ยขึ้นขณะเดินมาหยุด เธอสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกอย่างปลอดโปร่ง ยิ้มให้กับท้องทุ่งก่อนจะนั่งลง “ช่วงนี้แขกเยอะหน่อยนะพาย อาจจะมีเสียงดังบ้าง”


“ไม่เป็นไรนี่ จริง ๆ ตรงนี้ก็เงียบดี”


“บ้านปลายนา”


น้องชายมองเสี้ยวหน้าสวยอย่างแปลกใจ


“พี่ตั้งชื่อเรือนข้างหลังนี้ว่าบ้านปลายนา” หญิงสาวกล่าวพลางหันกลับไปมองเรือนไม้ชั้นเดียวมีดาดฟ้า นับเป็นเรือนหลังสุดท้ายของโฮมสเตย์ที่อยู่ลึกเข้ามาจนติดชายทุ่ง “เมื่อสมัยเด็ก ๆ เห็นพายชอบมานั่งเล่นตรงนี้ พี่เลยกันเอาไว้ยังไม่ให้แขกเข้าพัก กะจะรอถามพายว่าอยากจะได้เป็นห้องส่วนตัวไหม ข้างในพี่ให้ช่างเขาเจาะผนังติดประตูบานพับทั้งสองด้าน หน้าฝนตื่นขึ้นมาจะได้มองเห็นต้นข้าวเขียว ๆ แบบร้อยแปดสิบองศา”


“อุตส่าห์ทำมาก็ให้แขกพักไปเถอะ พายอยู่ห้องเดิมก็ดีแล้ว”


“ตามใจพายก็แล้วกัน”


“ตามหาพายมีอะไรหรือเปล่า”


“พี่จะบอกว่าเมื่อเช้าพี่แวะเอาหนังสือบริจาคของพายไปให้หวานที่บ้านแล้วนะ พี่ฝากเงินไว้จำนวนหนึ่งด้วย เผื่อว่าหวานจะเอาไปซื้ออะไรเพิ่มเติม หวานตื่นเต้นใหญ่เลยที่รู้ว่าพายกลับมาอยู่บ้าน นี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”
น้องชายส่ายหัวเบา ๆ “พี่ฝนรู้จักหวานได้ยังไง”


“ก็หวานเป็นภรรยาฉายนี่นา”


“ภรรยา?”


“ใช่” พี่สาวเลิกคิ้ว “นี่รู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนบ้างเนี่ย เขาอยู่ด้วยกันจนมีลูกชายอายุขวบกว่า ๆ แล้วนะ”


พายุพัดถอนใจเบา ๆ เมื่อยากจะหาเหตุผลมาอธิบายจึงถามเรื่องที่สงสัยต่อ “แล้วฉายล่ะ ทำไมรู้จักฉาย”


“ก็พี่เอก สถาปนิกที่ออกแบบบ้านให้เรา เขาบอกว่าเขามีน้องที่รู้จักเป็นคนน่าน ถามไปถามมาปรากฏว่าเป็นฉาย ตอนทำบ้านฉายก็แวะมาหาพี่เอกบ่อย ๆ แม่จำฉายได้ พี่ก็เลยรู้ว่าฉายเป็นเพื่อนพาย”


“อืม” คนฟังพยักหน้า


“กับสิชลล่ะ คุยกันบ้างหรือเปล่า


“นาน ๆ ทีน่ะ”


“แล้วนี่รู้ไหมว่าเขาจะแต่งงาน”


“รู้แล้ว”


“ค่อยยังชั่ว นึกว่าการเป็นนักกีฬาดังจะทำให้น้องชายพี่ต้องตัดขัดจากเพื่อนฝูงเสียแล้ว”


“ว่าไปนั่น”


“ก็มันจริงนี่นา ถามจริง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไหม”


น้องชายนิ่งนึก ยกมือขึ้นถูต้นคอพลางกดตาลงมองกำไลเงินที่ข้อมือแล้วตอบ “เป็นสิ”


“แล้วจากนี้ไปล่ะจะเอายังไง จะไม่ว่ายน้ำแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากอยู่เฉย ๆ สักพัก” พูดจบก็หันมองพี่สาว “พายทำให้พี่ฝนกับแม่ลำบากหรือเปล่า”


“ทำไมคิดแบบนั้น จะลำบากเรื่องอะไร” เพียงพรรษวาดแขนเล็กขึ้นโอบไหล่น้องชาย “น้องชายพี่ทั้งคน พี่เลี้ยงได้สบายมาก”


“พายดำนาแลกข้าวก็ได้”


“ดูพูดเข้า”


“แล้วพี่ฝนกับแม่ล่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะสนับสนุนให้พายว่ายน้ำหรือเปล่า”


“ก็ต้องอย่างนั้นสิ” พี่สาวตอบอย่างไม่ลังเล “มันเป็นสิ่งที่พายรักนี่ พี่กับแม่ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว”


“ไม่รู้สึกว่าที่ผ่านมาพายเห็นแก่ตัวเหรอ พายได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ออกไปใช้ชีวิตอิสระ”


“ไม่เลย เพราะสิ่งที่พี่อยากทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของเรา ดูแลพายกับแม่ พี่รู้ว่าพายเองอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้สบาย วันหนึ่งเมื่อสิ่งที่เรารักกลายเป็นหน้าที่ มันมักมีความกดดัน มีความคาดหวังจากคนอื่น มีความรู้สึกของผู้คนมากมายให้เราต้องรับผิดชอบ พี่สิต้องถามว่าพายน่ะรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม”


น้องชายฟังแล้วได้แต่เอียงศีรษะพิงไหล่เล็ก เขาเลือกที่จะไม่ตอบเพราะพี่สาวได้พูดแทนไปหมดแล้ว


“กลับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อนมาก ๆ บางทีอาจจะนึกได้ว่าที่ผ่านมาเราลืมอะไรไป”


“ก็อาจจะจริงนะ ที่ผ่านมาพายรู้สึกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบบังคับให้เราต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องอยู่ด้วยตัวเองได้ นึกถึงแต่ความรู้สึกของคนอื่นจนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัว ลืมนึกถึงแม่ ลืมนึกถึงพี่ฝน ลืมไปว่าเพื่อน ๆ ก็คงอยากรู้ข่าวคราวของเราเหมือนกัน”


“อย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของตัวเองด้วยล่ะ”


“พี่ฝนหมายความว่ายังไง”



“ก็แค่เป็นห่วงน่ะ กลัวว่าจะนึกถึงความรู้สึกคนโน้นคนนี้ จนลืมว่าตัวเองรู้สึกยังไง” พี่สาวดันหัวน้องออก ยืดแขนบิดขี้เกียจพร้อมกับถอนหายใจยาว “เฮ้อ! พี่ไปดีกว่า” พูดจบเธอก็ลุกเดินไปเสียดื้อ ๆ


พายุพัดละสายตาจากร่างเล็ก หยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นอย่างต่อเนื่องขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจดจ่ออยู่กับข่าวคราวที่ถูกส่งกันภายในกลุ่มนักกีฬาสมาคมว่ายน้ำ แต่วันนี้กลับมองข้ามมันไปแล้วเปิดอ่านข้อความจากเพื่อน ๆ สมัยมัธยมแทน ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ด้วยยอมรับอย่างเต็มใจว่าที่ผ่านมาเขาลืมนึกถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัวไปเสียสนิท แต่กลับไม่เคยลืมความรู้สึกของตนเอง แม้จะพยายามลืมเท่าไรก็ตาม

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 01:20:18 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

หนุ่มนักกีฬาเดินฝ่ารถรามากมายที่จอดติดอยู่บนถนนเพราะต่างรอเข้าจอดภายในลานกว้างที่โรงแรมเตรียมไว้ให้บริการยามเมื่อมีงานเลี้ยงหลายงานจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มอาศัยแสงไฟจากโคมติดหัวเสาเตี้ย ๆ เดินไปตามทางที่ขนาบข้างด้วยสวนดอกไม้กระทั่งถึงหน้าอาคารชั้นเดียวหลังแรกซึ่งทำเชิงบันไดเลียนแบบวัดในภาคเหนือ เงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรเหนือกรอบประตูซึ่งเป็นชื่อของห้องจัดเลี้ยง ด้านล่างคือซุ้มดอกไม้ประดับชื่อและภาพถ่ายคู่รัก เมื่อเห็นว่ามาไม่ผิดจึงก้าวขึ้นบันไดเดินเข้าไปภายใน ร่างสูงหยุดนิ่งกวาดตามองหาคนคุ้นหน้าท่ามกลางแขกเหรื่อ บ้างก็ยืนคุยกัน บ้างก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ แต่ในบรรดาผู้คนมากมายก็ไม่ปรากฏคนที่รู้จักเลยสักคน   


“พาย”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อต้องหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นคือหญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ส่วนในอ้อมแขนนั้นคือหนูน้อยแก้มยุ้ยในชุดเอี๊ยมสีใกล้เคียงกันกับชุดที่เธอสวม


“หวาน”


“ดีใจจังที่ได้เจอ เพิ่งมาถึงเหรอ”


“อืม หวานล่ะ เพิ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ”


“เรามาถึงสักพักแล้วละ แต่ลูกงอแง ก็เลยพาไปเดินเล่นข้างนอกมา” ว่าแล้วก็หันไปหาลูกชาย “ฟีฟ่าธุจ้าอาพายก่อนลูก”


“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกใคร” พายุพัดกล่าวพลางมองเด็กชายที่กำลังทักทายเขาด้วยการตบมือแปะ ๆ


“พ่อเขาตั้งน่ะ” น้ำหวานยิ้ม “พายไปนั่งด้วยกันนะ เดี๋ยวหวานพาไปเจอเพื่อน ๆ”


ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินตามหญิงสาวไปยังโต๊ะทรงกลมที่อยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหน้าใกล้กับเวทีซึ่งมีป้ายเขียนกำกับให้รู้ว่าเป็นโต๊ะสำหรับเพื่อน ๆ สมัยมัธยมของฝ่ายเจ้าบ่าว หลายคนที่นั่งล้อมวงอยู่คือคนที่พายุพัดคุ้นหน้าเป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นคือภาณุ เขาลุกขึ้นเดินมารับลูกชายไปอุ้มแล้วกล่าวทักทายเพื่อนเก่า


“นั่งด้วยกันสิพาย ข้างเรายังว่าง”


เจ้าของชื่อพยักหน้า จากนั้นจึงนั่งลงตามคำเชิญ และเขาก็กลายเป็นคนที่เพื่อน ๆ ต่างก็ให้ความสนใจ ชายหนุ่มต้องตอบคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาหายไปจากชีวิตของทุกคน แต่นั่นกลับไม่ทำให้พายุพัดรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด มันดีกว่าการถูกรุมล้อมโดยนักข่าวสายกีฬาที่พร้อมใจกันยื่นไมโครโฟนจ่อปากสัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกเช่นไรที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เป็นไหน ๆ


เมื่อเพื่อน ๆ เริ่มให้ความสนใจกับอาหารที่เพิ่งถูกบริกรยกออกมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มจึงได้มีโอกาสได้มองสำรวจไปรอบ ๆ โต๊ะข้าง ๆ คือบรรดาเพื่อนของฝ่ายเจ้าสาว สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นหญิงสาวผมยาวที่นั่งหันข้างให้ ไม่ใช่เพราะเธอสวยเด่นหรือเพราะเธอคืออดีตประธานสี แต่เพราะเธอคือคนที่เคยได้รับดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่จากคนที่เขากำลังมองหาอยู่ในขณะนี้ต่างหาก


ทันทีที่บทเพลง “หากันจนเจอ” ดังขึ้น ทั้งห้องก็เงียบกริบ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดผ้าทอพื้นเมืองที่กำลังจูงมือกันผ่านประตูเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงท่ามกลางแสงแฟล็ชและเสียงชัตเตอร์ แม้ในขณะนี้ทั้งคู่จะเดินไปจนเกือบถึงเวทีแล้ว แต่ดวงตาของพายุพัดกลับไม่อาจละจากเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่กำลังยืนถือโทรศัพท์บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ระยะที่เขายืนนั้นห่างจากตรงนี้อยู่พอสมควร แต่พายุพัดก็จำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองมากนัก ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่การได้พบกันอีกครั้งกลับยิ่งตอกย้ำว่าไม่ใช่ ยิ่งร่างสูงนั้นก้าวใกล้เข้ามา หัวใจก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ รัวและแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตนเองว่ายแตะขอบสระเป็นที่หนึ่งเสียอีก


นคินทรเดินมานั่งยังที่ของตน มองคู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่บนเวที ด้านหลังปรากฏวิดีโอสั้นบนฉากรับภาพเล่าเรื่องราวความรักของคนสองคน เสียงปรบมือโห่ร้องดังไม่ขาด ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่ามีรูปของตนสมัยที่ยังเป็นนักเรียนม.ปลายรวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่อจบเรื่องราวที่เล่าด้วยภาพและเสียง พิธีกรก็แนะนำคู่บ่าวสาวพร้อมทั้งเชิญพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายขึ้นกล่าวอวยพร พ่อแม่ของอวัศย์น้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้มใจ ส่วนอาจารย์สินธูและภรรยาซึ่งเป็นพ่อแม่ของสิชลก็เสียงสั่นสุดจะกลั้น เล่นเอาคนฟังที่อยู่ด้านล่างน้ำตารื้นไปตาม ๆ กัน


พิธีการต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยความกระชับฉับไว กระทั่งถึงตอนท้าย สาว ๆ หลายคนต้องผิดหวังที่ในวันนี้ไม่มีการโยนดอกไม้และไม่มีเจ้าสาวคนต่อไป เพราะหลังจากนั้นอวัศย์และสิชลก็เดินลงมาจากเวทีเพื่อถ่ายรูปกับบรรดาแขกผู้ใหญ่ นคินทรมองตามสองคนที่จูงมือกันพลางยิ้มน้อย ๆ และเมื่อเขาดึงสายตากลับก็บังเอิญสบเข้ากับดวงตาอีกคู่ ยังไม่ทันได้ยิ้มหรือกล่าวทักทายกัน อีกฝ่ายก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองเสียแล้ว


พายุพัดใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอไปเรื่อยเปื่อยราวกับมันเป็นเพียงสิ่งที่จะทำให้มือไม้มีที่วางในยามต้องเผชิญหน้ากับคนที่ดูดเอาความมั่นใจของเขาหายไปจนหมด ครู่หนึ่งก็หยุดที่หน้าของโปรแกรมสนทนาซึ่งเต็มไปด้วยข้อความมากมาย ปลายนิ้วแตะที่รูปแทนตัวของใครบางคนจนปรากฏหน้าต่างใหม่มีข้อความให้กดเพิ่มเป็นเพื่อน จ้องอยู่คู่หนึ่งก็กดปิดแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา


“โอ๊ะ ๆ ๆ” ภาณุร้องขณะลุกขึ้น ไม่รู้ว่าขาพันกันท่าไหนจึงเซไปกระแทกพายุพัดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำเอาโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือเกือบตกพื้น แต่ยังโชคดีที่เจ้าตัวคว้าไว้ได้ทัน


“ระวังหน่อยสิพ่อ” น้ำหวานกล่าวขณะยกผ้ากันเปื้อนขึ้นซับน้ำลายให้เจ้าตัวเล็ก


ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วก็หันไปขอโทษเพื่อน “โทษทีว่ะพาย สงสัยจะเมา”


“เมาอะไรวะ ทั้งโต๊ะมีแต่น้ำอัดลม” คนนั่งข้างนคินทรเอ่ยขึ้น


“เออ ก็เมาน้ำอัดลมไงครับแบงค์ ไปฉี่ก่อนนะ ปวดฉี่ว่ะ”


พายุพัดหงายโทรศัพท์ขึ้น เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เผลอไปแตะถูกข้อความนั่นเสียแล้ว แม้จะตกใจแต่ก็พยายามวางหน้านิ่ง


นคินทรดึงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูจึงพบว่ามีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


Prapai เพิ่มคุณเป็นเพื่อน


ชายหนุ่มเงยหน้ามองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเดินหายไปไหนเสียแล้ว


เมื่อภาณุและพายุพัดเดินกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งก็เป็นเวลาเดียวกับที่อวัศย์และสิชลเดินมาถึงโต๊ะที่พวกเขานั่งพอดี เพื่อน ๆ ต่างยืนเบียดเสียดจัดท่าถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนุกสนาน นับเป็นภาพประทับใจที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักที


“ฉายกับพายมาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว” สิชลเรียก


สองคนจึงรีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ทันที


“ไอ้ม่อนมาเบียดทำไมเนี่ย ไปยืนตรงโน้นเลย ตรงนี้พ่อแม่ลูกเขาจะยืนด้วยกัน” ภาณุเอ่ยปากไล่ไม่จริงจังนัก


“ใครกันแน่ที่เบียด มาทีหลังแล้วยังจะเรื่องเยอะอีก” นคินทรบ่นก่อนจะเดินอ้อมมาอีกทางเป็นจังหวะเดียวกับที่พายุพัดก็เดินไปหยุดที่ตำแหน่งนั้นเช่นกัน


“ยืนชิด ๆ กันหน่อย” ย้งที่รับหน้าที่เป็นตากล้องเอ่ยขึ้นพลางโบกไม้โบกมือให้เพื่อน ๆ ขยับเข้าหากัน เขามองภาพผ่านช่องมองภาพแล้วเงยหน้าขึ้นถอนหายใจ “ไอ้พาย เขยิบชิด ๆ ไอ้ม่อนหน่อย จะเว้นไว้ทำไม เอาไว้จ้วงน้ำว่ายท่าฟรีสไตล์เหรอ”


สิ้นเสียงช่างภาพ ทุกคนก็พากันหัวเราะ ยกเว้นพายุพัดที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แขนขาวยกขึ้นโอบไหล่และรั้งร่างของเขาเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่าย


“ไม่กัดหรอก” นคินทรกล่าวทั้งที่ดวงตาจับจ้องไปที่เลนส์ขนาดใหญ่ของกล้อง DSLR


เจ้าของร่างสูงไม่ได้พูดอะไร เขาลอบมองดวงหน้านั้นได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องหันไปตามคำสั่ง...


“เอ้า! มองกล้อง... อะ...แยกเขี้ยววว!”


เสียงชัตเตอร์ดังรัว แต่ก็คงสู้เสียงหัวใจที่บีบตัวถี่ ๆ จนแทบจะทะลุออกนอกอกเสื้อไม่ได้


นคินทรคลายวงแขนออก ยังไม่ทันจะได้ทักทายกัน มัทนาก็เดินเข้ามาเสียก่อน เธอส่งดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ให้เจ้าสาวแล้วถอยออกมายืนรวมกับบรรดาสาว ๆ ชมรมนาฏศิลป์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันงงว่าเกิดอะไรขึ้น


“สิกับหมอก เราคุยกันว่าจะไม่มีการโยนดอกไม้ แต่เราอยากจะมอบดอกไม้ช่อนี้ให้กับเพื่อนคนหนึ่งที่เรารักมาก ๆ” พูดจบเธอก็สืบเท้าไปหยุดตรงหน้าของน้ำหวานแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้ “สิขอให้หวานได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปนะจ๊ะ”
ถ้อยคำจริงใจนั้นทำเอาคนที่ยืนล้อมวงฟังน้ำตาคลอเบ้า โดยเฉพาะน้ำหวาน เธอฝากลูกชายไว้กับภาณุ รับดอกไม้ช่อนั้นแล้วสวมกอดสิชล


“ขอบคุณมากนะสิ ขอบคุณจริง ๆ”   


“ไม่เอาสิ ไม่ร้อง เดี๋ยวสิร้องตามนะ” เจ้าสาวกล่าวพลางลูบหลังเพื่อนเบา ๆ


ได้ฟังดังนั้นน้ำหวานจึงรีบเช็ดน้ำตาขยับห่างออกมาเล็กน้อยแล้วยิ้มให้


“ต้องอย่างนี้สิ น้ำหวานที่สิรู้จักน่ะ เข้มแข็งที่สุด”


“ขอบใจมากนะสิ” หญิงสาวกล่าวพลางฝืนกลืนน้ำตา เธอต้องเข้มแข็งนับแต่วันที่รู้ว่าตนเองตั้งท้องลูกของภาณุในวันที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ใช้เงินเก็บก้อนเดียวที่มีเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ภายในบริเวณบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ส่วนภาณุก็ต้องไปหยิบยืมเงินจากผู้เป็นแม่มาซื้ออุปกรณ์สำหรับทำร้านรับออกแบบป้ายและสิ่งพิมพ์อยู่ข้าง ๆ กัน แต่ที่เข้มแข็งกว่าเธอเป็นล้านเท่าก็คือสิชล ที่ยอมให้อภัยอดีตคนรักเพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้แม้ว่าภาณุจะเคยทำให้เจ็บซ้ำสักเท่าใด ยิ่งตอกย้ำว่าสิชลรักอวัศย์อย่างแท้จริงจึงยอมเสียสละได้ถึงเพียงนี้


สิชลยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าบ่าวของเธอ พลันอวัศย์ก็ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อผ้าฝ้าย หยิบบางอย่างออกมาแล้วส่งให้


“สิมีของที่อยากจะคืนให้ฉาย” พูดจบเธอก็ส่งซองกำมะหยี่เล็ก ๆ ให้ชายหนุ่ม


ภาณุแบมือรับของที่คนรักเก่ามอบให้ เปิดออกจึงพบว่ามันคือสร้อยข้อมือทำจากเงินคล้องจี้รูปหัวใจที่เคยให้อีกฝ่ายเพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่าหัวใจของเขาจะหยุดอยู่ที่เธอคนนี้เพียงผู้เดียว


“มันควรอยู่กับคนที่ฉายรักนะ”


“ขอบคุณมากนะสิ ขอบคุณจริง ๆ” พูดจบก็เลื่อนสายตาไปยังอีกคน “ขอบใจนายด้วยนะหมอกที่ยังนับเราเป็นเพื่อน”


“พูดอะไรแบบนั้นวะ” นายสัตวแพทย์กล่าวก่อนจะสืบเท้าแล้วเลื่อนมือขึ้นบีบไหล่เพื่อนเพื่อย้ำเตือนความรู้สึก


เมื่ออวัศย์และสิชลเดินผ่านไปแล้ว ภาณุจึงหันมากล่าวกับนคินทร “ขอบใจนายด้วยนะม่อน”


“เรื่องอะไร”


“ก็ที่อุตส่าห์ไปซื้อสร้อยเส้นนี้แล้วฝากพายมาให้ไง”


“ม...ไม่เป็นไร” นคินทรกล่าวก่อนจะเหลียวมองคนข้าง ๆ ไม่คิดจะถามหาที่มาที่ไปเพราะสร้อยเส้นนั้นก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวมันเองแล้ว


“ถ่ายรูปคู่บ่าวสาวไปแล้ว เรามาถ่ายรูปคู่จิ้นกันบ้างไหมครับพี่หนูนา” จู่ ๆ ย้งก็พูดขึ้นเสียงดัง จนบรรดาเพื่อน ๆ พากันเกาะกลุ่มไม่ไปไหน


“คู่จิ้นอะไรจ๊ะน้องย้ง”


“ก็พี่ม.ห้ากับน้องม.สี่ไงครับ เขาเห็นกันทั้งโรงเรียนว่าไอ้ม่อนเอากุหลาบไปให้พี่หนูนา ความสัมพันธ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”


นคินทรหันขวับก่อนจะกล่าวแบบไม่มีเสียงในคำสุดท้าย “ความสัมพันธ์...”


“สวัสดีครับพ่อ” ย้งยกมือไหว้ท่วมหัว


“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วน้องย้ง ม่อนเอามาให้พี่เพราะว่าม่อนจะย้ายโรงเรียน ไม่ได้อยู่ถึงวันปัจฉิมนิเทศตอนที่พี่ขึ้นม.หกต่างหาก”


อีกคนที่ถูกพาดพิงพยักหน้า


“ไม่มีลุ้นแล้วสินะ ไป ๆ แยกย้าย ๆ” แบงค์โพล่งขึ้น ดังนั้นบรรดาคนที่ยืนลุ้นจึงพากันกลับไปนั่งที่โต๊ะ


“อ้าว นี่ผมจิ้นผิดมาเป็นสิบปีเลยเหรอเนี่ย” ตากล้องหนุ่มเกาหัว


พายุพัดกลั้นยิ้มแล้วเสมองไปทางอื่น ไม่ใช่แค่ย้งคนเดียวหรอกที่คิดเช่นนั้น ยังมีเขาอีกคน ชายหนุ่มลอบส่ายหัวเบา ๆ ใจพองอยู่ได้ไม่นานก็แฟบลงพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของใครคนหนึ่ง


“ม่อน”


เจ้าของชื่อเหลียวกลับไปมอง พบแสนยากำลังเดินเข้ามา “นึกว่านายไม่มา”


“ยังไงก็ต้องมา สิแต่งงานทั้งที นี่พอคุยงานเรียบร้อยก็รีบขับรถมาจากเชียงใหม่เลย แถมมาทันฟังเรื่องสนุก ๆ ด้วย”


“เรื่องอะไร”


“ก็เรื่องนายกับพี่คนสวยนั่นไง ไม่เคยรู้เลยว่าโรงเรียนเรามีเรื่องแบบนี้ด้วย”


“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ”


“แต่ถ้าอยากให้เข้าใจถูกเราช่วยได้นะ” แสนยาส่งสายตากรุ้มกริ่ม


“หมายความว่ายังไง”


“ถ้าอยากมีคู่จิ้นละก็บอกเราได้”


“จะหาให้ม่อนมันหรือไง” ภาณุจงใจแทรกขึ้น


“เปล่า จะเป็นให้ต่างหาก” แสนยาหัวเราะก่อนจะหันไปหานักว่ายน้ำหนุ่มที่ยืนทำหน้านิ่งไม่ผิดจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน  “ไม่คิดว่าจะเจอนักกีฬาดังที่นี่ด้วย”


“ไม่คิดว่าจะเจอนายเหมือนกัน” พายุพัดตอบกลับเรียบ ๆ


“พูดน้อยไม่เปลี่ยนเลยนะ ฟังแล้วดูเหมือนนายไม่ค่อยอยากเจอเราเท่าไร แต่ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็มีคนอยากเจอเราตั้งเยอะแยะจริงไหมม่อน” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นโอบไหล่นคินทรแล้วกระซิบ “เราขอตัวไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ก่อนนะ ไว้เจอกัน”


นคินทรได้แต่พยักหน้างง ๆ 


“กวนตีนไม่เปลี่ยน” ภาณุโพล่งขึ้น


“อย่าพูดไม่เพราะต่อหน้าลูกสิพ่อ” น้ำหวานปราม


“จ้ะแม่”


นคินทรยิ้มน้อย ๆ ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ คงเป็นเพราะเจ้าหนูน้อยที่ฟุบหน้าอยู่กับบ่าของเขาเป็นแน่


“ว่าแต่นายเถอะ ไปรู้จักไอ้แสนมันตอนไหน”


“เจอกันครั้งหนึ่งที่หอศิลป์น่ะ สิแนะนำให้รู้จัก” ชายหนุ่มตอบตามจริง


“ทำเนียนยังกับสนิทมาสิบปี” ภาณุกล่าวอย่างไม่สบอารณ์   


หลังจากถ่ายรูปกับผู้ที่มาร่วมงานจนครบทุกโต๊ะแล้ว คู่บ่าวสาวก็ออกไปรอส่งแขกที่หน้าห้องจัดเลี้ยง เมื่อเห็นแขกผู้ใหญ่เริ่มทยอยกลับ บรรดาเพื่อน ๆ ก็ขอตัวลาเช่นกัน


“ฉาย เราขอกุญแจเปิดรถหน่อยสิ” นคินทรกระซิบขณะย่อตัวลงนั่งที่ด้านหลัง มองหนุ่มน้อยที่กำลังหาวหวอด ๆ ซบหน้าลงกับบ่าของผู้เป็นพ่อ


“ลืมของเหรอ”


“เปล่า จะเอาเป้น่ะ เดี๋ยวเราติดรถแบงค์ไปที่พักเอง นายกับหวานไม่ต้องไปส่งหรอก”


“ทำไมล่ะม่อน” น้ำหวานถามแทนสามี “เดี๋ยวให้ฉายไปส่งก็ได้ ที่พักที่สิจองไว้ให้น่ะฉายรู้จัก”


“ไม่เป็นไร เราไปกับแบงค์ได้ สิจองที่พักให้แบงค์ที่นั่นเหมือนกัน ดึกแล้ว หวานกับฉายจะได้พาลูกกลับบ้าน" พูดพลางแตะหลังนิ้วที่แก้มยุ้ยก่อนจะถูกเบา ๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองมา


ภาณุเหลือบมองลูกชายที่กำลังหลับปุ๋ยสลับกับใบหน้าของภรรยาแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงล้วงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงส่งให้
นคินทรรับมาแล้วเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง ข้ามถนนไปยังลานจอดรถที่อยู่อีกฝั่ง ชายหนุ่มเปิดประตู คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง ตั้งใจจะข้ามกลับมายังฝั่งโรงแรมเพื่อร่ำลาบ่าวสาว แต่เมื่อพบใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่อีกฟากถนนก็หยุด เห็นใบหน้าเรียบเฉยแล้วอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงยังโกรธที่เขาเข้าใจผิดจนต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงไปในวันนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจในขณะที่หูได้ยินเสียงแตรรถยนต์ กำลังจะหันกลับไปมองก็ถูกมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขน รั้งให้หลบเข้าข้างทาง


นัยน์ตาสีเข้มมองตามไฟท้ายรถยนต์ที่เพิ่งเลี้ยวออกไปก่อนจะเลื่อนกลับมายังดวงหน้าของคนข้างกาย เห็นอีกฝ่ายอยู่ในอารามตกใจจึงเอ่ยขึ้น “มัวคิดอะไรอยู่ รถเกือบชนแล้วรู้ไหม” พูดจบพายุพัดก็คลายมือออก


“ขอบคุณนะ” นคินทรกล่าวเมื่อตั้งสติได้ “เรื่องสร้อย...ขอบคุณที่อุตส่าห์ตามไปเก็บมาให้”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยตัดบทพลางล้วงมือข้างขวาลงในกระเป๋ากางเกง “เราเองก็ต้องขอโทษนายเรื่องวันนั้นเหมือนกัน”


“ลืมไปหมดแล้วละ ถ้าตอนนี้มีใครมาถามว่าทำไมวันนั้นถึงกระโดดลงไปก็จะตอบว่าจำไม่ได้แล้ว”


พายุพัดส่ายหัวพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้กับความอ้อมค้อมไม่เคยเปลี่ยนของคู่สนทนา


“แล้วก็...เรื่องสมุด ขอโทษที่ต่อว่าไปแรง ๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง หลังจากวันนั้นฉายมาสารภาพกับเรา เราอยากอยู่ขอโทษ แต่มันไม่ทันจริง ๆ”


“สมุด” หนุ่มนักกีฬาพึมพำ ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในหัวทำให้รู้สึกหูอื้อไปหมดจนแทบไม่ได้ประโยคถัดจากนั้น


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่มีอะไร เราขอตัวกลับก่อนนะ”


ทั้งที่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน แต่พายุพัดกลับเลือกที่จะตัดบทแล้วจากมา นั่นเพราะเขามีเรื่องสำคัญต้องทำ...
เพียงพรรษที่กำลังนั่งดูข่าวภาคดึกยืดคอขึ้นมองเมื่อน้องชายเดินเข้ามาในบ้าน เห็นร่างสูงก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรีบร้อนจึงไม่ทันได้ถามเกี่ยวกับงานเลี้ยงวันนี้


เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนได้ พายุพัดก็ดึงลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือออกมา จัดการรื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจายไปหมด
“อยู่ไหนวะ จำได้ว่าเอาใส่ไว้ในนี้นี่นา”



....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 01:26:20 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

นคินทรปรือตาขึ้นก่อนจะเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ เมื่อยกขึ้นดูก็พบข้อความของแบงค์ที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอนสีขาวสะอาด จากนั้นจึงเดินไปรั้งผ้าม่านสีขาวให้เปิดออก เมื่อคืนตอนที่มาถึงก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่านอกประตูบานเฟี้ยมติดกระจกนั้นคือทุ่งนากว้างใหญ่ที่ขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยกล้าข้าวสีเขียวที่เพิ่งปักดำ มีแนวภูเขาทอดตัวลดหลั่นเป็นฉากหลัง


ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดประตูออกไปด้านนอก โดยไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องเจอกับสภาพอากาศแบบใด ทันทีที่กระแสลมอ่อน ๆ พัดปะทะผิว ทั้งร่างก็สั่นสะท้านจนต้องยกมือขึ้นกอดอก กระนั้นเท้าเปลือยยังคงก้าวตามพื้นไม้ชื้นแฉะก่อนจะหยุดทอดตามองทิวทัศน์ตรงหน้า ฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนทำให้เห็นกลุ่มเมฆลอยต่ำเรี่ยไปกับสันเขา หมอกจาง ๆ ยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนแสงอาทิตย์ไม่อาจออกมาทักทายต้นไม้ใบหญ้าได้อย่างเคย ที่นี่เงียบสงบอย่างที่อวัศย์และสิชลบอกไว้ไม่มีผิด นคินทรเงยหน้าขึ้นมองต้นเสี้ยวต้นใหญ่ เห็นแล้วชวนให้นึกถึงหน้าต่างห้องนอนบนชั้นสองของบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งยังเด็ก พลันรอยยิ้มแรกของวันก็แย้มขึ้นบนใบหน้า


เห็นว่าจวนได้ที่นัดให้เพื่อนครูมารับ ชายหนุ่มจึงจำต้องผละจากบรรยากาศแสนสบาย กลับเข้าไปอาบน้ำอาบท่าและเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า นคินทรเดินไปตามทางเดินไม้ระแนง ผ่านส่วนที่เป็นสวนและบ่อเลี้ยงปลากระทั่งถึงอาคารหลังหน้าสุด ซึ่งยังคงความเป็นบ้านไม้สองชั้นเอาไว้ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในเพื่อคืนกุญแจก็เป็นเวลาเดียวกับที่ลูกชายเจ้าของบ้านเดินลงบันไดมาพอดี ต่างคนต่างประหลาดใจเมื่อพบหน้ากันและกัน


“มาได้ไง”


“เราสิต้องถาม ก็นี่บ้านเรา” พายุพัดว่า


นคินทรเลิกคิ้วก่อนจะมองสำรวจไปรอบ ๆ บนผนังเต็มไปด้วยภาพการขึ้นรับเหรียญรางวัลของฉลามหนุ่มคนดัง แต่สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพายุพัดมากขึ้นไปอีกก็คือเจ้าของบ้านท่าทางใจดีที่เดินยิ้มออกมาจากในครัว


“ม่อนใช่ไหมลูก”


เจ้าของชื่อยกมือไหว้ แม้จะไม่ได้พบกันเสียนานแต่ก็จำแววตาอ่อนโอนของเธอได้ขึ้นใจ


“ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเป็นบ้านของพาย ตอนที่ฝากสิจองที่พักให้ สิแค่บอกว่าเป็นโฮมสเตย์ของแม่เพื่อน ถ้าทราบมาก่อนคงมาทักทายคุณน้าตั้งแต่เมื่อคืน”


“ไม่เป็นไรจ้ะ”


“คุณน้า...”


“เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะลูก เพื่อนพายก็เหมือนกับลูกแม่นั่นแหละ”


“ครับ” นคินทรรับคำด้วยความเต็มใจ “แม่สบายดีเหรอครับ”
   

“สบายตามประสาคนแก่นั่นแหละจ้ะ” เธอยิ้มแล้วหันไปพูดกับลูกชาย “แม่ลืมบอกพาย นี่ก็กะว่าจะออกมารอดักม่อน กลัวว่าเดี๋ยวจะไปเสียก่อน”


“กำลังจะไปพอดีครับแม่ ผมแวะเอากุญแจมาคืน” พูดจบชายหนุ่มก็วางกุญแจไว้ที่เคาน์เตอร์ “เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้นะครับ” เขากล่าวด้วยเข้าใจดีว่าเป็นกฎกติกาของโรงแรมทั่วไปที่จะต้องรอให้พนักงานตรวจสอบห้องพักให้เรียบร้อยเสียก่อน


“ไม่เป็นไรจ้ะ อยู่กินข้าวกับแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ทอดปลาทูอีกกระทะก็เสร็จแล้ว” ดวงพรกล่าวก่อนหันไปบอกลูกชาย “พายชวนเพื่อนอยู่กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนนะลูก”


“อ...เอ้อ ครับ” พายุพัดรับคำพลางมองผู้เป็นแม่ที่เดินกลับเข้าไปในครัว จากนั้นจึงเบนหน้ามายังอีกคน “กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”


นคินทรพยักหน้า ปลดเป้วางลงบนเก้าอี้แล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ จนมาหยุดที่ตู้หลังใหญ่ที่ข้างในเต็มไปด้วยถ้วยรางวัล ด้านบนมีรูปของพายุพัดที่ถ่ายไว้เมื่อตอนเดินสายแข่งขันรายการต่าง ๆ


“ยังอยู่ไหม เจ้าสามตัวนี้น่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อสายตามาหยุดที่กรอบรูปเล็ก ๆ ซึ่งเป็นภาพของเจ้าแมวเหมียวสามตัวนั่งเรียงกันอยู่บนขอบหน้าต่าง


“ตายไปตั้งแต่เราเข้ามหาวิทยาลัย”
   

คนฟังพยักหน้า ได้ยินเสียงแม่เรียกแว่ว ๆ จึงพากันเดินเข้าไปในครัว


“คนนี้นี่เองที่ชื่อน้องม่อน” เพียงพรรษเอ่ยขึ้นหลังจากรับไหว้ชายหนุ่มแปลกหน้า “เมื่อคืนก็เจอกันแต่พี่ไม่รู้ ที่คุ้นหน้าก็มีแค่สิ หมอก ฉาย แล้วก็น้ำหวาน”


“ผมเรียนกับพายแค่เทอมเดียวน่ะครับ จากนั้นก็ย้ายตามพ่อไปอยู่เพชรบูรณ์”


“คุณพ่อรับราชการเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถามขณะรับจานและช้อนจากผู้เป็นแม่


“เป็นหมอทหารครับ”


“โห...เท่จัง แล้วตอนนี้ม่อนทำงานที่ไหนจ๊ะ”


เสียงกระแอมทำให้เพียงพรรษต้องหันมองน้องชายหน้านิ่ง


“กินข้าวได้แล้วมั้ง” พายุพัดว่า


“ก็อยากรู้นี่นา”


“เป็นนักข่าวหรือไง”


เห็นพี่น้องทำท่าจะตีกัน นคินทรจึงเอ่ยขึ้น “เป็นครูอยู่ที่อำเภอสันติสุขครับ”


“อ๋อ...ถ้าอย่างนั้นที่น้ำหวานบอกว่าจะเอาของไปบริจาคให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียนที่เพื่อนสอนอยู่ก็คือโรงเรียนของม่อนใช่ไหมจ๊ะ”


“ครับ”


“แล้ว...”


“กินข้าวก่อนเถอะลูก ป่านนี้น้องหิวแล้ว” แม่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวยังไม่เลิกสงสัย


หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย นคินทรก็ลาทุกคนก่อนจะออกมายืนรอพิทักษ์ที่หน้าโฮมสเตย์โดยมีพายุพัดมายืนรอเป็นเพื่อน สองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งรถของนคินทรที่ให้เพื่อนครูที่โรงเรียนยืมไปเคลื่อนมาจอดเทียบ


“เราไปก่อนนะ” ชายหนุ่มหันมากล่าว


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า ได้แต่มองคนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปนั่ง ยืนรอจนรถเคลื่อนลับตาไป เมื่อหมุนตัวกลับเตรียมจะเข้าบ้านก็พบพี่สาวยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า


“มีอะไรหรือเปล่าพี่ฝน”


“พี่จะมาถามว่าเมื่อคืนพายทำอะไรเสียงดังโครมครามมาถึงข้างล่าง”


“หาของ”


“อะไรเหรอ เผื่อพี่จะเห็น”


“กล่องใส่ของน่ะ ในนั้นมีปลอกคอแมว เหรียญ แล้วก็สมุด พี่ฝนเห็นบ้างไหม”


“อืม...คลับคล้ายคลับคลา” พี่สาวทำท่านึก


“ไม่ต้องนึกแล้ว เดี๋ยวพายว่าจะไปดูในตู้ที่เคยใส่หนังสือในห้องเก็บของ น่าจะอยู่ในนั้นแหละ”


“ใช่กล่องกระดาษสีน้ำตาลมีฝาปิดหรือเปล่า”


“ใช่ พี่ฝนเห็นเหรอ” พายุพัดตาวาว


“ตอนย้ายของออกจากห้องพายให้ช่างทาสีใหม่ พี่ต้องเผลอใส่ไปกับลังหนังสือแน่ ๆ เลย”


“ล...ลังหนังสือ”


เพียงพรรษพยักหน้าช้า ๆ อย่างรู้สึกผิด “ใช่...ลังใส่หนังสือบริจาคที่พี่เอาไปให้หวาน...”


ยังฟังไม่ทันจบชายหนุ่มก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากุญแจจากนั้นจึงกลับออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังโรงรถอย่างรีบร้อน ชั่วพริบตาซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็เคลื่อนผ่านหน้าหญิงสาวไป เธอทำได้เพียงแค่มองตามและค่อย ๆ หุบปากที่อ้าค้างไว้ลง


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 8 แล้ว ได้เจอกันสักที จนตอนนี้เราก็ยังไม่กล้าเอาไฟล์มารวมกัน ลองคิดคร่าว ๆ ถ้าตอนละ 13 หน้า x 8 ก็ปาไปประมาณ 104 หน้า 104 หน้าถึงได้กลับมาเจอกัน! เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันค่ะ หลังจากโดนแซวบ่อย ๆ เรื่องกว่าตัวเอกจะมาเจอกัน ว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถเขียนให้เร็วกว่านั้นได้ไหม เคยพยายามแล้ว สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า ไม่ได้ว่ะ เดี๋ยวก็ต้องกลับมาเล่าย้อนอยู่ดี เพราะมันมีเรื่องราวมากมายที่ต้องเล่าก่อน มีตัวละครอื่น ๆ ที่อยากแนะนำ ซึ่งส่งผลกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่พยายามเขียนไทม์ไลน์ให้เดินหน้าอย่างเดียว คงเหมือนเวลาที่ตำรวจจะสาวถึงตัวคนร้ายก็ต้องมีพยานแวดล้อมค่ะ เราขอบคุณที่ทุกคนใช้ความอดทนอ่านมาจนถึงตอนที่ 8 นี้ ถือเป็นการได้กลับมาพบกันในรอบ 10 ปีของม่อนและพาย เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่น ๆ โดยคนจุ้น ๆ และแมวจอมหยิ่งค่ะ จากนี้ไปทั้งพายและม่อนคงต้องเจอกับเรื่องราววุ่นวาย (ที่ตัวเองก่อบ้างไม่ได้ก่อบ้าง) อีกเยอะ ยังไงฝากเอาใจช่วยทั้งสองคนด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเม้นค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 01:29:15 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
รอติดตามจ้าาา

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :L1:  :L1:  อ่านไปลุ้นไป ชอบ

เขียนตามที่คิดว่าดีที่สุดแหละครับ
ยังงัยผมก็ติดตามอยู่แล้ว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องที่คุณเขียนทั้งสำนวนและการใช้คำและภาษาที่แทบจะไม่มีคำผิดเลย ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่เราชอบมากมันแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจในงานเขียนของคุณจริง

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ละมุน อุ่น ๆ ดีจังครับ พายได้เจอกับม่อนแล้ว ว่าแต่ต้องมีอะไรเกี่ยวกับหนังสือแน่ ๆ เลย พายดูลนมาก

ออฟไลน์ thanin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ลีลาเยอะจริงพ่อคุณ
ความลับอยู่ในสมุดหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
มีความลับอะไรสมุดจ๊ะพาย

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เหมือนความรู้สึก/ความทรงจำที่มันตกตะกอนถูกทำให้มันขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องสมุดเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจพายมาตลอด แต่คิดว่าพายน่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในสมุดด้วยแหงๆ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สนุกมากเหมือนเคยค่ะ  ติดตามจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
จุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่น ๆ โดยคนจุ้น ๆ และแมวจอมหยิ่ง .. นิยามเรื่องนี้สินะ

 :heaven :heaven :heaven ......น่าอ่านมากกก

 


ปรบมือรัวๆๆ ..... ไม่น่าเชื่อว่า คุณ ถธปทฟ จะทำตามสถิติจนได้ :-[

ผ่านไป 104 หน้า  พาย กับ ม่อน ถึงได้กลับมาเจอกัน!  :กอด1:

 :hao5: :hao5: :hao5:

 รอลุ้นว่า ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำ จะตามนายม่อนทันมั้ยนะ


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แหมพายพ่อมาดขรึม พอนึกว่าของที่ต้องการได้บริจาคไปแล้ว ก็วิ่งตาตั้งออกรถไป
ขอให้ม่อนได้อ่านก่อนเถ้อะะะ
 :z2: :z2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ม่อนต้องได้อ่านและรับรู้จากสมุดเล่มนั้น
เพราะเราคนอ่านก็อยากจะรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
อิอิ

ชื่นชอบอ่านสำนวนนิยายเรื่องนี้ อ่านเพลินเรื่อยๆแต่ได้อารมณ์มาก
สนุกดี..ชอบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เรื่องละมุนมากกกกกก

ได้เจอกันแล้วต่อไปพายต้องเข้าหาม่อนบ่อยๆนะ

ทำคะแนนๆ

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
เห็นชื่อคนเขียนนี้รีบเปิดเข้ามาเลยค่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 9 ความลับ


นัยน์สีดำสนิทจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏตัวเลขสิบตัว มันคือหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้มาจากภาณุ หลังจากที่เขารีบบึ่งรถมาที่บ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทำเอาสองสามีภรรยาแปลกใจไม่น้อย ตั้งใจจะมาถามหาของสำคัญที่พี่สาวคาดคะเนว่าน่าจะติดมากับลังใส่หนังสือบริจาค แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ามันไม่อยู่เสียแล้วเพราะนคินทรแวะเข้ามาเอาและเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ลองโทรไปสิ เห็นม่อนบอกว่าไปทำธุระกับเพื่อนแล้วค่อยกลับ เผื่อยังอยู่แถวนี้จะได้ไปเอา” ภาณุที่ตามออกมาส่งเอ่ยขึ้น


“โทรแล้ว แต่ไม่รับ” พายุพัดตอบ แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่ความกังวลนั้นกลับส่งผ่านออกมาทางดวงตา


“เดี๋ยวเห็นก็คงโทรกลับแหละ ว่าแต่ของอะไรวะ สำคัญมากเลยเหรอ ถึงต้องเอาคืนให้ได้”


“อือ” นักกีฬาหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง รอจนสายตัดไปเองจึงพูดขึ้น “เรากลับก่อนนะ”


“เออ โชคดี ไม่รู้จะไปไหนก็มานั่งดื่มอะไรเย็น ๆ ที่ร้านได้นะ” ภาณุกล่าวพลางมองคนหน้านิ่งที่เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ไม่นานซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็เคลื่อนจากไป


พายุพัดกลับมาที่บ้านด้วยใจหวังว่าจะได้พบของสำคัญในห้องเก็บของซึ่งยังไม่ได้เข้าไปค้นหา แต่สุดท้ายเมื่อรื้อทุกอย่างจนกระจุยกระจายความหวังที่เคยมีก็เหือดหาย ชายหนุ่มเดินหลบเลี่ยงแขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึงไปยังเรือนหลังสุดท้ายชายทุ่ง เท้าก้าวช้า ๆ ปล่อยให้สายลมพัดปะทะร่างเพื่อคลายความร้อนทั้งกายและใจ กระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องพักซึ่งติดป้ายเหนือกรอบประตูว่า “บ้านปลายนา” ลองเอื้อมบิดลูกบิดและพบว่าสามารถเปิดเข้าไปภายในได้ คงเพราะคนงานยังไม่ได้มาทำความสะอาด เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปจึงเห็นว่าคนเข้าพักได้พับผ้าห่มวางไว้ที่ปลายเตียง เรียงหมอนไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยที่หัวนอนก่อนจะจากไป


สายลมเย็นพัดผ่านช่องประตูบานเฟี้ยมที่แง้มไว้พาให้ม่านสีขาวปลิวไสว ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นอนซึ่งยกสูงจากพื้นไม่มาก วางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วดึงหมอนใบนุ่มมาไว้บนตักพลางใช้มือลูบเบา ๆ ราวกับตรงหน้าคือแก้วบางที่พร้อมจะแตกสลายยามเมื่อถูกสัมผัส ทำเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานก่อนจะใช้สองมือประคองยกหมอนขึ้นแล้วโน้มลงสูดกลิ่นหอมที่ยังไม่จางหาย จำได้แม่นยำว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่ปลายจมูกได้สัมผัสเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา พายุพัดเอนกายนอนหนุนหมอนอีกใบในขณะที่สองแขนยังกอดอีกใบไม่ยอมปล่อย ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มในขณะที่เปลือกตาปิดลงช้า ๆ บดบังภาพจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าแต่ในหัวกลับปรากฏภาพเสมือนของใครคนหนึ่งขึ้นชัดเจน...


เมื่อเวลาผ่านไป หนุ่มนักกีฬาก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังครืด ๆ ใกล้หู เขาลืมตาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดู ตกใจเมื่อเห็นตัวเลขแสดงเวลาบ่ายคล้อย แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าก็คือชื่อของคนที่โทรเข้ามา พายุพัดสูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะกดรับสาย แต่แทนที่จะกล่าวทักทายเขากลับนิ่งเงียบ


“สวัสดีครับ”


“...”


“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าได้ยินไหมครับ”


“...”


“สงสัยสัญญาณไม่ค่อยดี ถ้าอย่างนั้นผมวางสายแล้วนะครับ”


ได้ยินคนที่ปลายสายกล่าวเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้น “ด...เดี๋ยวก่อนม่อน นี่เราเอง”


“เราเอง...เราไหน”


“พาย”


“อ๋อ มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรมาตั้งหลายครั้ง พอดีเรามัวแต่ซื้อของก็เลยไม่ได้ยินน่ะ” นคินทรกล่าวเสียงใส


“ถ...ถึงบ้านหรือยัง”


“ใกล้แล้วละ มีอะไรหรือเปล่า คงไม่ได้โทรมาแค่จะถามว่าเราถึงบ้านแล้วหรือยังหรอกนะ” คนพูดหัวเราะ   


“ค...คือ” ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป “คือเราจะขอของคืนน่ะ”


“ของ? ของอะไรเหรอ”


“ลังใส่หนังสือบริจาค อ..เอ้อ ไม่ใช่ เราแค่จะขอของที่ติดไปคืนน่ะ”


“ได้สิ”


“ถ้าอย่างนั้น...ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ามีกล่องกระดาษสีน้ำตาลติดไปด้วยหรือเปล่า”


“ได้ ๆ รอเดี๋ยวนะ ดูให้เดี๋ยวนี้แหละ” นคินทรกล่าว


พายุพัดได้ยินเสียงโวยวายของชายหนุ่มอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนขับรถตามด้วยเสียงโครมครามจากการรื้อค้น ครู่หนึ่งปลายสายก็ตอบกลับ


“เฮ้อ...กว่าจะเจอ อยู่เกือบก้นกล่อง ข้างในมีอะไรเนี่ย...”


ยังพูดไม่ทันจบ เจ้าของก็โพล่งขึ้น “ห้ามเปิดดูนะ”


“ไม่เปิดหรอก แล้วจะให้เราเอาไปให้ไหม”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเอาเอง ช่วยส่งพิกัดมาให้ก็พอ”


“ได้ เดี๋ยวเราส่งให้ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ”


“ม...ม่อน เดี๋ยวก่อน”


“ว่าไง”


“สัญญานะว่าจะไม่เปิดดู”


“รู้แล้วน่า มีความลับอะไรนักหนา” นคินทรบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางสาย


....


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำลัดเลาะเส้นทางคดเคี้ยวผ่านหมู่บ้านกระทั่งสองข้างทางแปรเปลี่ยนเป็นเพียงทุ่งนาและไร่ข้าวโพดบนเนินเขา ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าทางคอนกรีตแคบ ๆ จนมาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มขับอ้อมไปด้านหลัง จนระบบบอกพิกัดแจ้งเตือนว่าขณะนี้ถึงที่หมายแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถ มองไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงสำหรับจอดรถ รออยู่ไม่นานเจ้าของบ้านก็เปิดประตูเดินลงบันไดมาพร้อมกับกล่องกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่เกือบเท่ากระดาษสำหรับพิมพ์เอกสาร 


“นี่ใช่ไหม” นคินทรถามพลางยื่นของให้


คนเพิ่งมาถึงพยักหน้าแล้วรับมาถือไว้


“มาเสียเย็นเชียว ที่จริงวันเสาร์หน้าเราเอาไปให้ก็ได้ ยังไงเราต้องแวะไปหาหมอกอยู่แล้ว”


“ไม่เป็นไร เรามาเอาเองดีกว่า”


จบประโยคของพายุพัด ต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้น


“พี่ม่อน พี่จะเอาของในรถไปเก็บที่โรงเรียนเลยไหม ผมจะได้ช่วยขน”


เห็นอีกฝ่ายสวมชุดบอลเต็มยศจึงกล่าว “พี่ขนเองได้ พิงจะไปเตะบอลก็ไปเถอะ”
   

“เอาอย่างนั้นก็ได้พ..พี่...” พิทักษ์อ้าปากค้างเมื่อเหลือบไปเห็นอีกคน “พ...พี่คือฉลามพาย ฉลามพายใช่ไหมพี่” มัวแต่ละล่ำละลักจนแทบลืมวิธีลงจากจักรยาน


ร่างล่ำสันจอดจักรยานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เดินตุปัดตุเป๋ราวกับขาไร้เรี่ยวแรง ฉีกยิ้มเสียกว้างแล้วกล่าว “ค...คือ ผมเป็นแฟนคลับพี่เลย ตอนที่รู้ข่าวว่าพี่ประสบอุบัติเหตุน่ะผมตกใจแทบแย่ ดีจังที่พี่ไม่เป็นไร ตัวจริงพี่หล่อกว่าในหนังสือพิมพ์ตั้งเยอะ”


พายุพัดสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก


“ผม...ผมขอถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมพี่”


“ได้สิ” หนุ่มนักกีฬาตอบ


“เอ่อ...คือ จะเป็นไรไหมครับ ถ้าผมจะขอกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”


“ทำไมล่ะ ชุดนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” นคินทรมุ่นคิ้วสงสัย


“โธ่...พี่ม่อน มันไม่เข้าอะ นี่พี่ฉลามพายนะ ไม่ใช่เมสซีเจ ดูพี่ฉลามพายซิใส่เสื้อเชิ้ตมาอย่างหล่อ แล้วดูผม” พูดพลางก้มมองตัวเอง


คนฟังได้แต่ส่ายหัว กำลังจะหันไปถามความเห็นจากอีกคน แต่พายุพัดก็พูดขึ้นเสียก่อน


“ได้สิ พี่ไม่ได้รีบไปไหน”


“ถ้าอย่างนั้นพี่รอผมแป๊บนะพี่” พูดจบพิทักษ์หันไปคว้าจักรยาน ปั่นสุดชีวิตกลับไปที่บ้านพักของตน


“นั่งก่อนไหม หรือจะขึ้นไปดื่มน้ำบนบ้าน” นคินทรเอ่ยขึ้น
   

“เรานั่งรอข้างล่างก็ได้” พายุพัดตอบ เปิดประตูเพื่อเอาของเก็บในรถแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่ง มองน้ำในลำธารที่ขณะนี้เริ่มขุ่นเล็กน้อยเหตุเพราะฝนที่ตกชะหน้าดินไหลลงมารวมกัน


ครู่หนึ่งให้รู้สึกคล้ายมีบางอย่างวนเวียนอยู่ที่ขา เมื่อก้มลงมองก็พบลูกแมวกำลังเอาหัวถูไถไปกับขากางเกง มันเกือบจะเป็นสีขาวทั้งตัวหากไม่มีกระจุกขนสีเทาบริเวณโคนหาง เจ้าแมวรุ่นท่าทางปราดเปรียวเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วก่อนจะส่งเสียงร้องเหมียว ๆ พลันอีกตัวที่ใหญ่กว่าก็กระโดดขึ้นนั่งใกล้ ๆ พายุพัด


“ซ่าหริ่มพาลูกลงมาทำไม” นคินทรเอ่ยขึ้นก่อนจะอุ้มเจ้าสามสีขึ้นแล้วนั่งลงแทนที่ จากนั้นจึงวางมันบนตัก


พายุพัดละสายตาจากใบหน้าระบายยิ้มของคนข้าง ๆ โน้นตัวลงแล้วลูบหัวเจ้าตัวเล็กเป็นการทักทาย


“ม่อนบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาตะโก้ลงมาข้างล่าง”


คนฟังลอบอมยิ้มทั้งที่มือยังคลอเคลียอยู่กับเจ้าลูกแมวตัวเล็ก ได้ยินเสียงร้องของแม่แมวจึงยืดตัว หันกลับไปเห็นนคินทรยกตัวเจ้าเหมียวขึ้นกลางอากาศจึงถือโอกาสลอบมองเจ้าของแมวโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว


เจ้าซ่าหริ่มดิ้นขลุกขลักจนนคนิทรต้องรีบปล่อยมันลงด้วยเกรงว่ามือของตนจะเป็นที่ฝนเล็บชั้นดี เมื่อสี่เท้าสัมผัสพื้นมันก็เดินเข้าไปเลียเจ้าตัวเล็กโดยไม่สนใจผู้เป็นนายอีกเลย 


“ทำไมไปเปลี่ยนเสื้อผ้านานจังวะ” นคินทรบ่นพลางชะเง้อมอง “เดี๋ยวเราโทรตามให้นะ” กำลังจะดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็ต้องหยุดเมื่ออีกคนพูดขึ้น


“ปล่อยเขาเถอะ เราบอกแล้วไงว่าไม่ได้รีบไปไหน” เมื่อพายุพัดพูดจบก็พอดีกับที่พิทักษ์ขี่จักรยานกลับมา


“มาแล้วคร้าบบบ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น ปลดเป้วางในตะกร้าหน้ารถ


“โอ้โห! นี่ถึงขนาดไปอาบน้ำประแป้งมาเลยเหรอ” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาในชุดใหม่ แถมหวีผมทาแป้งเสียหอมฟุ้ง


“ผมก็ต้องให้เกียรตินักกีฬาในดวงใจของผมหน่อยสิพี่” ครูหนุ่มกล่าวพลางจอดจักรยานพิงกับต้นไม้


“ถ้าอย่างนั้นเอาโทรศัพท์มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”   


“ขอบคุณครับพี่ม่อน” พูดจบพิทักษ์ก็ยื่นโทรศัพท์ให้ก่อนจะเดินไปยืนข้างพายุพัด


“ยิ้มนะ” ตากล้องจำเป็นบอกก่อนจะนับ 1-3 กดบันทึกภาพไป 3-4 ภาพก็ส่งโทรศัพท์ให้เจ้าของ “ดูก่อนนะว่าชอบไหม ถ้าไม่ถูกใจเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ใหม่”


พิทักษ์รับโทรศัพท์คืน ใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปไปก็ยิ้มไป “ดีทุกรูปเลยพี่ แต่เสียดายพี่ฉลามพายไม่ยิ้มเลยสักรูป แต่ไม่เป็นไรครับ แบบนี้เท่ดี สมกับฉายาฉลามหิน”


ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของชื่อถึงกับทำหน้าไม่ถูก ส่วนนคินทรเองก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ


“ขอบคุณครับพี่ม่อน ขอบคุณครับพี่ฉลามพาย”


“เรียกพายเฉย ๆ ก็ได้” พายุพัดบอก


“ครับพี่พาย” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคน “พี่ม่อนไม่ยักบอกกันบ้างเลยว่าเป็นเพื่อนกับนักกีฬาดัง”


“ก็...มันนานมาแล้วนี่นา เคยเรียนด้วยกันตอนม.ปลาย ไม่คิดว่าจะได้เจออีก” นคินทรตอบตามที่คิด


“อ้าว นี่เพิ่งได้เจอกันหรอกเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมถ่ายรูปให้พวกพี่บ้าง” พิทักษ์ว่า กำลังจะยกโทรศัพท์ พายุพัดก็ขัดขึ้น


“เอาเครื่องพี่ก็ได้” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้คนรับอาสา


“ยืนชิด ๆ กันหน่อยครับ”


ได้ฟังดังนั้นสองคนจึงขยับเข้าไปยืนเคียงข้างกัน


“ยิ้มหน่อยนะครับพี่พาย” พูดจบนิ้วหนาก็แตะลงบนหน้าจอสัมผัสเพื่อบันทึกภาพก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ


“ขอดูหน่อย” นคินทรพูดขึ้น ดึงโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นรูปก็หลุดหัวเราะ “กลัวถูกหาว่าเป็นฉลามหินเหรอ ยิ้มเสียกว้างเชียว”


“ไม่ใช่สักหน่อย” พายุพัดมุ่นคิ้วเก้อ ๆ ดึงโทรศัพท์กลับคืนก่อนจะใส่ลงในกระเป๋า


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเตะบอลก่อนนะพี่” พิทักษ์บอกทั้งที่นิ้วยังเขี่ยหน้าจอ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นยกมือไหว้สองคนที่อาวุโสกว่าแล้วจึงขี่จักรยานจากไป


“จะกลับเลยไหม เราจะเดินไปส่ง”


“นายจะเอาหนังสือไปเก็บที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราช่วยขน”


“ไว้พรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันขนก็ได้”


“ไม่เป็นไร เราช่วยเอง” พูดจบพายุพัดก็เดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใต้ถุนบ้าน “เปิดรถสิ”


นคินทรปลดล็อกพลางมองเจ้าของร่างสูงที่เอื้อมมือดึงเปิดประตูด้านหลัง


“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”


“อือ ท้ายรถก็ยังมีอีก เราว่าจะคัดแยกก่อน เพราะมีทั้งหนังสือสำหรับเด็กแล้วก็หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ปน ๆ กันมา ถึงบอกว่าพรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ มาช่วยกันขนก็ได้”


“พอแยกแล้วจะเอาไปไหนเหรอ” นักกีฬาหนุ่มถามพลางดึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นพลิกดู


“เราจะเอาหนังสือสำหรับเด็กไปไว้ที่ห้องสมุดของโรงเรียนน่ะ แต่ถ้าเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ก็ว่าจะเอาไปให้ที่ห้องสมุดประชาชนของหมู่บ้าน”


“ต้องเอาขึ้นไปบนบ้านก่อนใช่ไหม”


“อือ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราช่วย” พูดจบก็วางหนังสือลงแล้วดึงกล่องใบใหญ่ออกจากรถ “ไปเปิดประตูบ้านเถอะ”


นคินทรพยักหน้า รีบเดินขึ้นไปเปิดประตู จากนั้นสองคนก็ช่วยกันขนหนังสือจำนวนมากขึ้นไปบนบ้าน กว่าจะคัดแยกเรียบร้อยก็ค่ำพอดี โชคดีได้กินบะหมี่ที่พิทักษ์ซื้อฝากเมื่อขากลับจากเตะบอล ไม่เช่นนั้นคงจะหิวไส้กิ่วไปตาม ๆ กัน


“เราไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นะเนี่ย” เจ้าของบ้านบ่นพลางยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหันไปเกาพุงเจ้าซ่าหริ่มที่นอนตีหางขึ้นลงอยู่บนกองหนังสือที่มัดด้วยเชือกฟางซึ่งผ่านการคัดแยกแล้ว


พายุพัดผูกเชือกกับหนังสือกองสุดท้าย ยกขึ้นวางซ้อนกับกองตรงหน้า พลันความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นจากช่วงบ่าข้างขวาลงไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มขบฟันแน่นค่อย ๆ เอื้อมมืออีกข้างขึ้นบีบนวดหวังให้คลายอาการ


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า” หนุ่มนักกีฬาตอบสั้น ๆ แล้วลุกขึ้น “เรากลับก่อนนะ”


“ที่จริงค้างด้วยกันก็ได้นะ ขับรถมืด ๆ มันอันตราย”


“ไม่เป็นไร เราขับกลับได้” พายุพัดยังคงยืนยันความตั้งใจเดิม


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ” นคินทรลุกขึ้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ในขณะที่พายุพัดเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยสมุดการบ้านของนักเรียน


ครู่หนึ่งเจ้าของบ้านก็กลับออกมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำร้อนและผ้าขนหนู


“ถอดเสื้อสิ”


คนฟังหันขวับ มองอีกคนที่กำลังวางภาชนะที่มีน้ำอยู่เกือบครึ่งลงบนโต๊ะ


“ถ...ถอดทำไม”


“เดี๋ยวเราประคบร้อนให้จะได้ขับรถสบายขึ้น”


“ต...แต่”


“เร็ว ๆ เข้า”


พายุพัดกลืนน้ำลาย หันหลังกลับ ค่อย ๆ ปลดกระดุมแล้วรั้งเสื้อลงเผยให้เห็นบ่ากว้างและต้นแขนที่มีมัดกล้ามนิด ๆ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อมืออุ่นแตะลงบนผิวเนื้อ จู่ ๆ หัวใจก็เต้นระส่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ตรงนี้ใช่ไหม”


“ช...ใช่”


นคินทรพยักหน้ากับตัวเองก่อนจะคลี่ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมลงบนบ่าของคนตรงหน้า จากนั้นจึงใช้อีกผืนจุ่มน้ำ บิดจนหมาดแล้ววางทับลงไป


“ร้อนไปหรือเปล่า ถ้าร้อนไปบอกได้นะ”


พายุพัดไม่ได้ตอบเนื่องจากความร้อนยังคงอยู่ในระดับที่เขาสามารถทนได้ และยิ่งมีผ้าขนหนูรองอีกชั้นป้องกันไม่ให้ความร้อนสัมผัสผิวเนื้อโดยตรงก็ยิ่งทำให้สบาย แต่มือที่จุ่มลงไปในน้ำเมื่อครู่คงร้อนน่าดู


“เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนน้ำก่อนนะ” นคินทรเอ่ยขึ้นหลังจากทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง


เห็นคนพูดเตรียมจะยกกะละมังจึงคว้ามือเอาไว้ “ม่อน พอแล้วละ เราดีขึ้นแล้ว”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ” พายุพัดตอบพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก เขารั้งผ้าขนหนูลงจากบ่าแล้ววางคืนในกะละมัง จากนั้นจึงดึงเสื้อขึ้นแล้วติดกระดุม เมื่อเรียบร้อยก็ไม่ลืมที่หันกลับมาขอบคุณเจ้าของบ้านก่อนจะขอตัวกลับ...


แม้นาฬิกาติดฝาหนังจะบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไฟบนห้องนอนชั้นสองก็ยังคงเปิดสว่าง ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ทอดตามองบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏข้อความ “เราถึงบ้านแล้วนะ” ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งไปบอกให้อีกคนตามที่ได้รับปากเอาไว้ ที่ทำเอาตาสว่างนอนยิ้มไม่หุบมาจนกระทั่งตอนนี้เห็นทีจะเป็นการ์ตูนรูปแมวกับข้อความ “OK” และ “ฝันดี” ที่ถูกส่งกลับมา
พายุพัดวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง พลิกตัวนอนคว่ำแล้วดึงกล่องกระดาษสีน้ำตาลมาตรงหน้า เมื่อเปิดฝากล่องออกก็พบว่าของข้างในยังอยู่ครบ มีทั้งเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายน้ำรายการเล็ก ๆ รายการหนึ่ง ปลอกคอสำหรับลูกแมวสองเส้น ซึ่งทั้งหมดวางทับอยู่บนสมุดเล่มหนึ่ง มือใหญ่หยิบสมุดนั้นขึ้นมา กวาดมองตัวอักษรเป็นระเบียบที่ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่น ตรงชื่อวิชามีข้อความ “แบบฝึกหัดเสริมวิชาเคมี” ส่วนชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของคือ “นายนคินทร ปฐวิพัฒน์”


พายุพัดพลิกกระดาษไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หยุดที่หน้าหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายเล่ม ตาคมไล่อ่านข้อความที่มีอยู่เกือบเต็มหน้า พลันรอยยิ้มก็ยิ่งระบายชัดขึ้นราวกับถูกย้ำด้วยปลายพู่กัน ชายหนุ่มโคลงหัวน้อย ๆ ยกมือขึ้นลูบต้นคอ หากจะถามหาตัวคนเขียนก็ไม่ยาก เพราะที่บรรทัดสุดท้ายนั้นปรากฏชื่อเจ้าของลายมือและลงวันที่กำกับชัดเจน


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2019 15:56:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


“ทำไมพากันมาทั้งแม่ทั้งลูกเลยล่ะ หืม...ตะโก้ วันนี้เรามีนัดฉีดวัคซีนกันแค่นั้นไม่ใช่เหรอ”


อวัศย์กล่าวขณะรับกรงที่ข้างในมีลูกแมวและแม่ของมันจากมือนคินทร จากนั้นจึงนำเข้าไปภายในห้องตรวจ เขาวางกรงลงที่มุมห้อง หันไปเตรียมอุปกรณ์ในขณะที่หูก็ฟังเพื่อนเล่าไปด้วย


“ซ่าหริ่มไปทำอะไรมาไม่รู้ว่ะหมอก มีแผลเป็นรูโบ๋เลย”


“แม่ซ่าหริ่มซนเหรอ” นายสัตวแพทย์หนุ่มว่าพลางย่อตัวลงเปิดกรงนำเจ้าตัวเล็กออกมา “เดี๋ยวฉีดยาตะโก้ก่อนนะ แล้วเราจะทำแผลให้”


อวัศย์วางเจ้าลูกแมวลงบนโต๊ะสแตนเลสก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยสัตวแพทย์จับมันไว้ จากนั้นเขาก็ลงมือฉีดวัคซีนก่อนจะส่งกลับเข้ากรงแล้วจับเจ้าตัวแม่ออกมา


“มีแค่รูเดียวตรงนี้ใช่ไหม” คุณหมอกล่าวขณะจับแม่แมวพลิกไปมา เห็นว่ามีแผลบริเวณสะโพกเพียงจุดเดียวจึงวางลง “เดี๋ยวเราจะโกนขน ทำความสะอาดแผลแล้วก็ใส่ยาให้นะ ช่วงนี้คงต้องปิดแผลไว้ไม่ให้มันเลีย อีกสักสามวันค่อยมาดูกันว่าอักเสบไหม อืม...ยังมีคราบนมอยู่เลยนี่นา”


นคินทรมองตามมือของเพื่อนที่กำลังลูบคลำบริเวณหน้าท้องของเจ้าสามสี “ใช่ เจ้าตะโก้ไม่ยอมเลิกกินนมแม่สักที”


ดังนั้นหลังจากทำแผลเจ้าซ่าหริ่มแล้ว อวัศย์จึงใช้เสื้อยืดเก่าพันลำตัวของมันยาวตั้งแต่ช่วงคอไปจนถึงโคนหาง โดยตัดชายผ้าด้านบนให้เป็นเส้น ๆ แล้วผูกเป็นปมเรียกกันไปตามแนวสันหลังคล้ายเปียตะขาบ ทำเอาเจ้าซ่าหริ่มแทบไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน


“เดี๋ยวจะเจาะตรงเต้านมให้นะ กลับไปจะได้ไม่โดนเจ้าตะโก้ทึ้ง” พูดจบก็ใช้ปลายกรรไกรตัดเนื้อผ้าเป็นวงจำนวนสี่วงตามตำแหน่งของเต้านม


“สิไม่อยู่เหรอ”


“ไปดูลูกแมวที่บ้านฉายน่ะ”


“ลูกแมว”


“ก็ที่น้ำหวานส่งรูปให้ดูในกลุ่มไง เจ้าแฝดสามที่แม่มันโดนรถเหยียบตายตรงหน้าบ้าน หวานมาซื้อนมสำหรับสัตว์ไปป้อนแล้ว แต่เมื่อกลางสัปดาห์พวกมันดูซึม ๆ ก็เลยให้ฉายพามาที่คลินิก”


“แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“ปริมาณนมที่ให้ไม่พอกับความต้องการของแมวน่ะ เราเลยป้อนน้ำผึ้งจนพวกมันดีขึ้น ให้ฉายเอากลับบ้านแล้วตั้งเวลาให้นม ป่านนี้มันคงบ่นแย่แล้ว ต้องตื่นมาให้นมลูกแมวสามตัวทุกสองชั่วโมง ยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอีก” อวัศย์หัวเราะพลางปล่อยเจ้าซ่าหริ่มให้ลงเดินกับพื้น มันนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะก้าวขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะล้มแผละลงกับพื้น


“คงหายซ่าไปหลายวัน” นคินทรว่าพลางอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมากอดพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ แล้วเดินตามอวัศย์ที่ถือกรงเจ้าตะโก้ออกไปด้านนอก


“สิมาพอดีเลย” สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวพลางวางกรงลง มองหญิงสาวที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา


“เอาตะโก้มาฉีดยาเหรอม่อน”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงที่เดินหิ้วกรงตามหลังร่างเล็ก


“เป็นยังไงบ้าง” อวัศย์กล่าว


“เจ้าแฝดสามทำน้ำหวานกับฉายแย่เลย สิก็เลยรับอาสาเอามาดูแล ก่อนจะหาเจ้าของให้พวกมันได้ ดีที่เจอพายที่บ้านฉาย พายเห็นสิขี่มอเตอร์ไซค์ไปก็เลยรับอาสามาส่งเจ้าสามตัวให้”


“แล้วตอนที่สิไปโรงเรียนใครจะดู”


“ก็หมอหมอกไงจ๊ะ นะ ๆ” สิชลส่งยิ้มหวาน ในขณะที่สามีได้แต่ยืนส่ายหัวเพราะรู้แน่ว่าไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจของภรรยาได้


“ถ้าแม่มันอยู่ก็คงจะดี ฉายกับหวานคงยังพอเลี้ยงได้” พายุพัดเอ่ยขึ้นก่อนจะวางกรงลงใกล้กรงของเจ้าตะโก้ พลันลูกแมววัยรุ่นก็ทำตาวาวด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเจ้าตัวจิ๋วสามตัวที่พากันส่งเสียงร้องไม่เกรงใจใคร 


“ขืนต้องคอยป้อนนมกันทุกสองชั่วโมงมีหวังไม่ได้ทำอะไรกันพอดี แถมมีตั้งสามตัว” นคินทรเสริม


“ร้องใหญ่แล้ว สงสัยจะหิว เดี๋ยวสิไปเตรียมนมก่อนนะ” สิชลบอก กำลังจะเดินไปหลังคลินิกอวัศย์ก็ท้วงขึ้น


“ไม่ต้องหรอกสิ ให้เจ้าพวกนี้มันลองกินนมแม่ดูบ้าง”


“นมแม่เหรอ” หญิงสาวทวนคำก่อนจะมองตามสายตาของผู้เป็นสามี


“เดี๋ยววว” นคินทรกอดเจ้าซ่าหริ่มแน่นก่อนจะพากันถอยกรูด “ถามซ่าหริ่มแล้วหรือยัง”


“โธ่ม่อน อย่าหวงตัวน่า ซ่าหริ่มไม่ใช่สาว ๆ แล้วนะ” ว่าแล้วก็หันไปสั่งพายุพัด “ไอ้พายไปเอามา”


เจ้าของชื่อพยักหน้า สืบเท้าไปหยุดต่อหน้าเจ้าของแมว เขาอมยิ้มน้อย ๆ รับเจ้าซ่าหริ่มจากนคินทร ดูไม่เต็มใจทั้งคนทั้งแมว


“วางลงเลย” อวัศย์บอกขณะนั่งลงเปิดกรงนำเจ้าตัวจิ๋วทั้งสามตัวออกมา “ม่อนมานี่เลย ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย”


“ที่ทำอยู่นี่ยังไม่มีประโยชน์อีกเหรอวะ” นคินทรบ่นก่อนจะเดินมาหยุด นั่งลงแล้วรับลูกแมวมาตัวหนึ่ง มองเจ้าซ่าหริ่มที่ถูกพายุพัดและสิชลช่วยกันขึงพรืดตรึงไว้กับพื้น “ขอโทษนะซ่าหริ่ม” พูดจบก็จ่อปากลูกแมวกับเต้านม


เมื่อเจ้าแฝดสามเข้าเต้าได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูดนม ตะกุยตะกายจนเจ้าซ่าหริ่มเริ่มรำคาญ มันพยายามดิ้นแต่ก็ไปไหนไม่ได้ พ่ายแพ้ต่อแรงมนุษย์ สุดท้ายได้แต่นอนทำหน้าเซ็ง รอว่าเมื่อไรคนทั้งหลายจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ


เหล่าทาสแมวขลุกกันอยู่ที่คลินิกของอวัศย์จนถึงบ่าย เมื่อซ่าหริ่มเริ่มคุ้นเคยกับการเป็นแม่นมจำเป็นก็ยอมนอนนิ่ง ๆ ให้เจ้าตัวจิ๋วทั้งสามกินนมแต่โดยดี แถมยังเหลืออีกหนึ่งเต้าสำหรับเจ้าตะโก้ ภาพที่ใคร ๆ ที่แวะเวียนกันเข้ามาภายในคลินิกได้เห็นจึงเป็นภาพของแม่แมวที่กำลังให้นมลูกตัวโข่งกับเจ้าเล็ก ๆ อีกสามตัว


“สิจะลองถามเพื่อนครูกับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนว่าใครสนใจรับเจ้าแฝดสามไปเลี้ยงบ้าง” สิชลเอ่ยขึ้น


“เราเอาไปเลี้ยงเองก็ได้” พายุพัดกล่าวพลางไล่คว้าปลายหางที่ตวัดไปมาอยู่บนพื้น


“ดีเลย” อวัศย์ว่า “พายก็เอาซ่าหริ่มกับตะโก้ไปด้วย”


“เดี๋ยววว” นคินทรเลิกคิ้ว


“นายจะได้ไม่ต้องขับรถพาซ่าหริ่มมาให้เราดูแผลไง ให้พายพามา แล้ววันเสาร์หรือวันอาทิตย์หน้านายค่อยมารับกลับ หรือจะฝากพายไว้จนเจ้าแฝดสามมันหย่านมก็แล้วแต่”


“เป็นความคิดที่ดีนะจ๊ะม่อน” สิชลสนับสนุนความคิดของสามี


“ไม่เป็นไร ช่วงนี้เราอยู่ว่าง ๆ เราดูแลพวกมันได้ อีกอย่างที่บ้านก็อยู่กันตั้งหลายคน” พายุพัดกล่าวด้วยเกรงว่าอีกคนจะลำบากใจ


“อย่าหวงตัวสิม่อน”


“ไม่ได้หวงตัวโว้ย” นคินทรบอกก่อนจะหันไปหาพายุพัด “แต่ถ้าทิ้งไว้ เรากลัวว่าอาทิตย์หน้าเราจะมารับไม่ได้น่ะสิ”


“ก็ให้พายไปส่ง” สามีและภรรยาพร้อมใจกันยื่นข้อเสนอ


พายุพัดพยักหน้า “เราไปส่งให้ได้นะ”


“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าเรามารับได้เราจะบอกนะ”


เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนคินทรจึงตามพายุพัดไปที่บ้าน ทั้งแม่และพี่สาวของอีกฝ่ายดูตื่นเต้นเป็นพิเศษที่รู้ว่ามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นถึงสามตัว แถมยังมีแม่นมกับพี่เลี้ยงพ่วงมาด้วย เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็วางใจ


“คราวก่อนพายตามไปเอาของคืนถึงที่โรงเรียนเลยเหรอจ๊ะ” จู่ ๆ เพียงพรรษก็เอ่ยขึ้น


“ครับ”


“น้องม่อนได้เปิดดูไหมว่าในนั้นมีอะไร” หญิงสาวกระซิบพลางเหล่มองน้องชายที่กำลังนั่งเกาคางเจ้าตะโก้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ตัวจึงหันมามองอย่างไม่ไว้ใจ


“เปล่าครับ” คนอายุน้อยกว่าตอบ


“มันต้องมีความลับอะไรซ่อนออยู่ในนั้นแน่ ๆ พายถึงได้หวงขนาดนั้น”


“พี่ฝน...” น้องชายลากเสียง “ไปรับแขกข้างนอกไหม แขกเข้าแล้ว”


“ก็ให้พนักงานรับไปสิ พี่จะคุยกับน้องม่อน” ว่าแล้วก็ซุบซิบต่อ “เอาไว้พี่จะขโมยมาแล้วเรามาเปิดดูกันสองคนเนอะน้องม่อน”


นคินทรได้แต่ยิ้ม มองเลยไปยังอีกคนที่เอาแต่วางหน้านิ่ง จากนั้นจึงก้มดูเวลาบนหน้าบัดนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเย็นมากแล้วจึงขอตัวกลับ


“นึกว่าน้องม่อนจะอยู่ทานข้าวแล้วก็ค้างด้วยกันเสียอีก” เพียงพรรษกล่าวขณะเดินมาส่งนคินทรที่รถ


“เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันครับพี่ฝน”


“ได้เลยจ้ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ”


“ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะพาพ่อกับแม่มาพัก ท่านน่าจะชอบ แต่ไม่รู้ว่าจะจองบ้านปลายนาทันไหม เห็นคนเข้าพักตลอดเลย”


“น้องม่อนชอบเหรอจ๊ะ รู้ไหมว่าน้องม่อนเป็นคนแรกเลยนะที่ได้พักห้องนั้น แล้วก็น่าจะเป็นคนสุดท้ายด้วย”


“ทำไมล่ะครับ” นคินทรถามแทรกเสียงกระแอมของเจ้าของร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาหยุดยืนข้างพี่สาว


“ตอนนี้โดยพายยึดไปแล้วจ้ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปกล่าวกับน้องชาย “ตอนแรกพี่ตั้งใจจะกันเรือนหลังนั้นไว้เป็นห้องของพายจะได้เป็นส่วนตัวหน่อย แต่พายบอกให้เปิดให้แขกพัก พี่ก็เลยขายให้น้องสิที่โทรมาจองให้เพื่อน แต่ถ้าพ่อกับแม่น้องม่อนมาพี่จะให้พายย้ายออกชั่วคราว”


“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับพี่ฝน ห้องไหนก็ได้ครับ บรรยากาศที่นี่ดีอยู่แล้ว”


“จ้ะ พี่ล้อเล่นน่ะ ถ้าจะพาพ่อกับแม่มาเมื่อไรก็บอกพายมานะ พี่จะเตรียมห้องไว้ให้” เพียงพรรษกล่าว เมื่อเห็นมีรถเพิ่งแล่นเข้ามาจอด เธอจึงขอตัวไปต้อนรับแขก


“เรากลับก่อนนะ ยังไงฝากซ่าหริ่มกับตะโก้ด้วย”


“ไม่ต้องห่วง เราจะพาซ่าหริ่มไปให้หมอกดูแผล แล้วถ้าอาทิตย์หน้านายมารับไม่ได้ เราจะเอาไปส่งให้”


นคินทรพยักหน้าแล้วหมุนตัวกลับ เอื้อมมือดึงประตู


“ม...ม่อน”


ตาคมทอดมองคนพูดผ่านเงาสะท้อนบนกระจก


“ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”


“อื้อ” นคินทรหันมายิ้ม ทำเอาเจ้าของฉายาฉลามหินเผลอยิ้มตามไปด้วย



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
   


สวัสดีค่ะ หลายคนเดาถูกด้วยว่าต้องมีอะไรในสมุดแน่ ๆ รอบก่อนก็เรื่องกำไล นี่นักอ่านหรือนักสืบกันเนี่ย 555 แซวเล่นค่ะ สำหรับตอนนี้ก็พูดถึงความลับที่ยังไม่ได้ถูกเฉลยของพายนะคะ นึกถึงเพลง “ความลับ” ของวงพอสขึ้นมาเลย (เกิดทันกันหรือเปล่า) เขียนเกี่ยวกับพายไปก็แอบบ่นในใจไป รู้สึกว่าไม่เคยเขียนพระเอกได้เสียอาการขนาดนี้ เป็นความรู้สึกของเพื่อนที่แอบชอบเพื่อน แล้วได้อยู่ใกล้คนที่ชอบเนอะ มีความกลัว กลัวว่าเจ้าตัวจะรู้ แถมกลัวคนอื่นดูออกอีก แล้วมาติดตามกันต่อนะคะว่าคนอ้ำอึ้งจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของทุก ๆ คนจากคราวก่อนนะคะ เราก็คงจะยึดวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ แต่ก็จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ค่ะ
 
ปล. เดี๋ยวว่าง ๆ จะทำสารบัญให้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 23:38:00 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทำไม ทำไม ทำไม บรรยากาศเหมือนที่ใฝ่ฝัน ชนบท ทุ่งนา เพื่อนๆ ที่คบกันมาแต่เล็กๆ
แถมบ้านพักของพายก็น่าอยู่ อะไรจะดูอบอุ่นปานนั้นนะ ถึงแม้ชีวิตจริงอาจจะไม่ใช่
แต่อ่านแล้วจรรโลงใจ
 :กอด1: :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด