(ต่อค่ะ)
เมื่อถึงตอนเลิกเรียนนคินทรก็ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของภาณุ ถามอีกฝ่ายว่าจะพาไปที่ใดแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ลูกชายหมอทหารทอดตามมองตึกรามบ้านช่องที่ตั้งขนาบสองข้างทาง เมื่อข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมาได้หน่อยก็สังเกตว่าบ้านเรือนเริ่มบางตาลงจนเหลือเพียงพื้นที่ทำการเกษตร ฝนที่เพิ่งซาเม็ดไปได้เพียงไม่นานส่งผลให้อากาศหนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องกอดกระเป๋าแน่น ไม่ช้ารถก็เลี้ยวขึ้นไปบนเนินผ่านวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวงกระทั่งหยุดที่ศาลาริมทาง
“ไม่ได้มาพระธาตุหรอกเหรอ” นคินทรกล่าวขณะลงมายืน ปลดหมวกนิรภัยส่งคืนให้เพื่อน
“ถ้าอยากไหว้พระธาตุเดี๋ยวขากลับเราพาไปแวะก็ได้”
“แล้วมาที่นี่ทำไม ไหนล่ะของดีที่บอกจะพามาดู”
“หันไปดูสิ”
นคินทรมองคนพูดอย่างแปลกใจก่อนจะหันหลังกลับ สองเท้าก้าวช้า ๆ ไปจนสุดขอบกั้น จากตรงนี้สามารถมองเห็นผืนนาสีเขียวขจีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
“โห...สวยจัง”
“บอกแล้วไงว่าของดี” ภาณุที่เดินมายืนข้างกันเอ่ยขึ้น
“เออ ขอบใจมากนะที่พามา”
“ไม่เป็นไร ถ้าอยากมาอีกก็บอกแล้วกัน ไปไหว้พระธาตุไหม เราจะพาไป”
“อื้อ คนถูกถามพยักหน้าก่อนจะตามอีกฝ่ายไปที่รถ รับหมวกนิรภัยมาสวมแล้วขึ้นซ้อนท้าย
เมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่งพาสองคนย้อนกลับมายังทางแยกหน้าวัด ความคิดที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุก็ต้องเป็นอันล้มเลิกเมื่อใครคนหนึ่งกำลังวิ่งลงมาจากทางลาดที่ขนาบข้างด้วยรูปปั้นพญานาค สังเกตว่าชุดกีฬาที่สวมใส่นั้นโซมไปด้วยเหงื่อนคาดว่าคงต้องวิ่งขึ้นลงอยู่หลายรอบแล้วแน่ ๆ
ภาณุชะลอรถและจอดที่ข้างทางก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่นไอ้พายนี่หว่า มันมาทำอะไรที่นี่วะ”
“ถามเราแล้วเราจะรู้ไหม ก็มาพร้อมกัน” นคินทรบ่นงึมงำ “ขึ้นไปไหว้พระธาตุเถอะ จะอยากรู้เรื่องคนอื่นไปทำไม”
“คนอื่นที่ไหน นี่น่ะอนาคตเพื่อนแฟนเว้ย” คนพูดหัวเราะก่อนจะโบกมือทักทาย “พาย!”
เจ้าของชื่อเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่พบภาณุและนคินทรที่นี่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ไปหยุดยังจุดที่สองคนจอดรถ กดปุ่มเพื่อหยุดเวลาที่นาฬิกาจับเวลาแล้วเอ่ยขึ้น
“มาทำอะไรกัน”
“พาม่อนมาดูทุ่งนา”
“ไม่เคยเห็นเหรอ” พายุพัดถามซื่อ ๆ พลางมองเลยไปยังคนซ้อนท้าย
“เคย” นคินทรบอกพร้อมกับยกมือขึ้นตีลงบนศีรษะของเจ้าของรถอย่างมันเขี้ยว
“ม่อนมันเป็นเด็กกรุงเทพฯ วัน ๆ อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยรู้หรอกว่าบ้านนอกเขามีอะไรบ้าง ต้องพามาเปิดหูเปิดตา แล้วนายล่ะ มาทำอะไรแถวนี้”
“มาวิ่งน่ะ”
“เออ ลืมไปว่าเป็นนักกีฬา แล้วนี่จะกลับบ้านหรือยัง กลับเลยไหมเราไปส่งได้นะ”
“จะไปยังไงวะ” คนซ้อนท้ายเอ่ยขึ้น
“ก็ไปกันหมดนี่แหละ”
นคินทรกำลังจะอ้าปากประท้วง พายุพัดก็แทรกขึ้นเสียก่อน “บ้านเราอยู่แถวนี้น่ะ”
“ไหน ๆ ตรงไหน ๆ” ภาณุชะเง้อคอยืด
“ที่เห็นอยู่ไกล ๆ โน่น”
“อืม ถ้าอย่างนั้นมาแข่งกัน ใครไปถึงทางเข้าบ้านนายก่อนชนะ”
“จะวิ่งแข่งกับเราเหรอ” พายุพัดถามอย่างแปลกใจ
“ขี่มอเตอร์ไซค์สิ”
“โธ่ นึกว่าจะวิ่งแข่งกับเขา” นคินทรส่ายหัว
“ถ้าไม่ติดว่าขี่มอเตอร์ไซค์มาก็จะวิ่งอยู่หรอก”
“ขี้โม้ ขนาดวิ่งเก็บบอลข้างสนามยังบ่นว่าเหนื่อยเลย”
“อย่ามาดูถูกอนาคตศูนย์หน้าทีมชาตินะเฟ้ย”
“ชาติไหน”
“ชาตินี้แหละ อีกไม่นานเกินรอ” ภาณุกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งสิ คิดซะว่าซ้อมก่อนลงสนามจริงก็ได้” นคินทรยุ
“แล้วใครจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับ”
“เราไง เราขี่ได้นะ”
“เงียบปากไปเลยม่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วขี่ไปล้มจนหน้าแข้งถลอกหายแล้วหรือไง”
“ตกสะเก็ดแล้วน่า เชื่อสิเราขี่ได้”
“พอเลย รถเรายังไม่หายเป็นรอย ไม่อยากได้รอยใหม่เพิ่มแล้ว” พูดจบก็ลูบ ๆ คลำ ๆ หน้ารถราวกับเป็นลูกรักก็ไม่ปาน “วันนี้ถนนลื่นด้วย ขืนไปล้มอีกมีหวังโดนลุงผู้พันห้ามไม่ให้หัดขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลอดแน่ ถ้าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ก็ช่วยพายจับเวลาโน่น”
“เดี๋ยว” พายุพัดเอ่ยขึ้น “คนชนะได้อะไร”
“ใครแพ้ต้องทำเวรตอนเย็นแทนอีกคนไปหนึ่งเดือน”
“ยุติธรรมมาก” นคินทรลากเสียง
“ไม่ตกลงก็ได้นี่” ว่าแล้วเจ้าของความคิดก็หันไปอีกทาง “ว่ายังไง”
“ได้”
ทันทีที่หนุ่มนักกีฬาตอบตกลง ภาณุก็หันมายักคิ้วให้คนซ้อนท้าย
นคินทรถอนใจก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างเซ็ง ๆ “เอานาฬิกามาสิ เดี๋ยวเราจับเวลาให้”
พายุพัดสบตาก่อนจะวางนาฬิกาจับเวลาลงบนมือของอีกฝ่าย
“เอาละ จะเริ่มละนะ” ภาณุเอ่ยขึ้นก่อนจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์ เห็นอีกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจึงบิดคันเร่งถี่ ๆ “ม่อนนับ!”
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก จ...”
“แค่สามก็พอ” คนสั่งถอนใจ “จะนับไปถึงร้อยเลยหรือไง”
“ก็ไม่บอกนี่ว่าให้นับสาม ถ้าอย่างนั้นเอาใหม่นะ” เห็นสองคนพนักหน้า นคินทรจึงเริ่มนับ “สาม!”
กว่าภาณุจะรู้ตัว พายุพัดก็วิ่งไปไกลแล้ว...
ขายาวสับถี่ ๆ ลงจากเนินโดยมีรถจักรยานยนต์ตามหลัง ไม่นานก็ทันกัน แม้พายุพัดจะพยายามเร่งฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจแซงเครื่องยนต์ได้
ภาณุบิดคันเร่งแซงขึ้นไปช้า ๆ และรักษาความเร็วเพื่อให้ทิ้งระยะเล็กน้อย ไม่วายหันมาทำหน้าทะเล้น หนุ่มนักกีฬาเลื่อนสายตาจากคนขับมายังคนที่นั่งจับเวลาอยู่ท้ายรถได้ยินเขาเอ่ยขึ้น
“เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวก็ได้ทำเวรแทนฉายหรอก”
“อ้าว นี่อยู่ข้างใครเนี่ยม่อน” ภาณุหันมาถาม
“ก็นายได้เปรียบ”
พายุพัดอาศัยจังหวะที่รถชะลอเร็วเร่งฝีเท้าแซงขึ้นไปแต่ก็ได้เพียงระยะหนึ่ง เมื่อถึงเส้นชัยจึงพบว่าตนเองแพ้ราบคาบ
เสียงรถจักรยานยนต์ที่เข้ามาจอดทำให้ดวงพรต้องละจากงานในครัวออกมาดูว่าใครมา ในที่สุดเธอก็พบลูกชายกำลังยืนหอบแฮกอยู่หน้าบ้าน ใกล้กันคือเด็กหนุ่ม 2 คนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“พาย ใครมาน่ะลูก” แม่ถามเมื่อเดินมาถึง
“เพื่อนน่ะแม่” ลูกชายตอบ
ทั้งภาณุและนคินทรจึงยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้อาวุโส
“ไหว้พระเถอะลูก แล้วนี่ชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”
“ผมชื่อฉายครับ ส่วนนี่ม่อน”
“โดเรมอนน่ะเหรอลูก” ดวงพรยิ้มพลางมองเจ้าของชื่ออย่างเอ็นดู
คำถามนั้นทำเอาภาณุหลุดหัวเราะ ในขณะที่พายุพัดเองแม้จะนึกขันแต่ก็ยังคงวางหน้านิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีเหมือนเคย
“ม...ไม่ใช่ครับแม่ ม่อนเฉย ๆ ครับ” นคินทรบอก เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางแปลก ๆ จึงถามให้หายสงสัย “ผ...ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ”
“เปล่าจ้ะ...เปล่า แม่แค่ไม่คุ้นที่เพื่อนพายเรียกแม่ว่าแม่น่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณน้าก็ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรลูก” ดวงพรรีบยกมือห้าม เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “เรียกแม่เถอะจ้ะ ที่แม่บอกว่าไม่คุ้นเพราะพายน่ะไปเรียนที่ลำปาง แม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนของพายเลยสักคน อ้อ...ลูกชื่อม่อน ดอยม่อนน้อ”
“ครับ” นคินทรยิ้มรับ รู้สึกดีใจที่นาน ๆ จะมีคนเข้าใจความหมายของชื่อตนเอง
“พายชวนเพื่อนเข้าบ้านก่อนสิลูก”
“ไม่เป็นไรครับแม่ พวกผมกำลังจะกลับพอดี” นคินทรกล่าวอย่างเกรงใจ
“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอลูก วันนี้แม่ทอดปลาทูกินกับน้ำพริก ของโปรดของพายน่ะ”
“อ...เอ้อ...เสียงอะไรน่ะแม่” ลูกชายแทรกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากในโรงรถ
“เสียงนังเปียกปูนมันร้องน่ะลูก สงสัยจะเจ็บท้อง”
เมื่อได้ฟัง พายุพัดจึงเดินหายเข้าไปในโรงรถ
“ถ้าไม่สนิทพายก็จะเงียบ ๆ แบบนี้แหละ มีอะไรอย่าถืออย่าสากันเลยนะลูก มาเที่ยวหาพายบ่อย ๆ เน้อ” ดวงพรกล่าว
สองหนุ่มได้แต่มองหน้ากันก่อนจะตอบรับผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม
พายุพัดเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมเจ้าแมวสีดำขาวตัวอ้วนกลมในอ้อมกอด มันร้องเหมียว ๆ เสียงดังจนใครที่ได้ยินก็คิดว่าคงต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ
“พายเอามันเข้าบ้านได้ไหมแม่ มันคงเจ็บท้องจริง ๆ เห็นมันเดินไปเดินมาอยู่ในโรงรถ”
“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จะหากล่องกับผ้ามาให้ มันจะได้อยู่เป็นที่ เกิดเดินไปออกลูกใต้ตู้ละแย่เลย” พูดจบแม่ก็เตรียมจะเดินเข้าบ้าน
ดังนั้นภาณุและนคินทรจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมลากลับก่อนนะครับ/ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่ดูแมวคลอดลูกก่อนนะครับ”
ราวกับนัดกันมา...
“อ้าวเฮ้ย!” ภาณุหันขวับ
“นะ ๆ ฉายนะ เราขออยู่ดูแป๊บเดียวเอง” นคินทรละล่ำละลัก
“งานนี้ยาวแน่นอน” ภาณุหันไปพูดกับลมกับฟ้า
...
ลังกระดาษใบใหญ่รองด้วยเสื้อผ้าไม่ใช้แล้วถูกนำมาวางที่มุมหนึ่งของบ้าน พายุพัดค่อย ๆ วางแม่แมวท้องแก่ลงก่อนจะถอยห่างออกมา มันเดินอุ้ยอ้ายวนไปวนมาได้เพียงไม่นานก็ล้มแผละส่งเสียงร้องเหมียว ๆ ลั่นบ้าน
นคินทรคลานเข้าไปใกล้พลางลูบท้องอวบเป่งอย่างเบามือในขณะที่ปากก็พร่ำพูดไปด้วย “เปียกปูนเบ่งนะ ฮึบ...ฮึบ...”
“ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลเหรอ” พายุพัดเอ่ยขึ้น
“เฮ้ย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เรื่องนี้ขอให้เชื่อมือม่อนหมอตำแย” พูดจบภาณุก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ ๆ พาให้ทุกคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ล้อมวงกันเข้ามา
“ม่อนเคยทำคลอดแมวเหรอลูก” แม่ถาม
“ไม่เคยครับแม่” นคินทรตอบตามจริงในขณะที่มือยังไม่หยุดทำหน้าที่
“แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ พ่อม่อนเป็นหมอ ม่อนก็ต้องได้รับกรรมพันธุ์ความเป็นหมอมาจากพ่อ” ภาณุกล่าว
“มันใช่ที่ไหนเล่า” ลูกชายหมอทหารพึมพำ
“เป็นสัตวแพทย์เหรอ” พายุพัดถามบ้าง
“อย่าไปฟังฉายมัน” นคินทรเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าคนถามกำลังมองมาที่ตน “พ่อเราเป็นหมอรักษาคน”
“ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ โอ๊ะ ๆ นั่น ๆ มีอะไรโผล่ออกมาแล้ว อี๋...” ภาณุถอยห่างออกมานั่งพิงผนังเมื่อของเหลวสีคล้ำไหลซึมไปบนผ้า “โอย...จะเป็นลม”
ใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนลูกชายทำเอาดวงพรอดยิ้มไม่ได้
“เบ่งหน่อยนะ อีกนิดเดียว จะออกแล้ว ๆ”
ท้องของเจ้าเหมียวขยับขึ้นลงเป็นคลื่น ในที่สุดลูกแมวตัวแรกก็หลุดออกมาจนได้ ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เจ้าเปียกปูนขยับลุกขึ้นเลียทำความสะอาดให้ลูก
“ยังไม่หมดใช่ไหม” นคินทรกล่าวเมื่อสังเกตเห็นว่าแม่แมวล้มแผละลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอีกหน “เบ่งอีกทีนะ” เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปจนกระทั่งลูกแมวตัวที่สองออกมาดูโลก เวลาผ่านไปพักใหญ่ เจ้าลูกแมวทั้งสองก็คลานเข้าซุกพุงอุ่น ๆ ของแม่แมว
“สบายใจแล้วนะม่อน ได้เจอเพื่อนแล้ว” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อคลานเข้ามามองเจ้าแมวสามแม่ลูกอย่างพิจารณา
“อือ” นคินทรครางในลำคอ ปลายนิ้วยังคงลูบไปบนขนของเจ้าตัวเล็ก
“เอาไปเลี้ยงไหมจ๊ะแม่ให้ ไว้มันหย่านมแล้วค่อยมารับไป”
“ไม่ดีกว่าครับแม่” เด็กหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ “ให้มันอยู่กับแม่มันดีกว่าครับ”
ภาณุใช้ศอกสะกิด “ไม่เอาจริงอะ ชอบแมวไม่ใช่เหรอ”
“ก็ชอบ แต่ว่าให้มันอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดีกว่า ขืนไปจับแยกกัน มีหวังคิดถึงกันแย่เลย”
“พูดซะคิดถึงแม่ขึ้นมาเลย” ว่าแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “โอ้โห...จะทุ่มแล้วนี่นา ป่านนี้แม่คิดถึงเราแย่แล้ว ไม่มีคนช่วยล้างผัก” ภาณุหัวเราะแหะ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับเถอะ” นคินทรกล่าวก่อนจะหันไปลาเจ้าของบ้าน “ผมกลับก่อนนะครับแม่”
“ไม่อยู่กินข้าวกินปลาด้วยกันก่อนเหรอลูก”
“ไม่ดีกว่าครับ ป่านนี้พ่อกับแม่รอแย่แล้ว”
“จ้ะ เอาไว้แวะมาเที่ยวใหม่นะลูก”
เมื่อร่ำลาเจ้าของบ้านเรียบร้อย สองคนก็เดินตามพายุพัดออกมาจนถึงจุดที่พวกเขาจอดรถจักรยานยนต์เอาไว้
“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น
“เออ อย่าลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้ก็แล้วกัน” ภาณุกล่าวขณะขึ้นนั่งประจำที่
“ไม่ลืมหรอกน่า”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ ไปโว้ยม่อน เอาประตูวิเศษออกมา”
“ไอ้ฉาย บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โดเรมอน”
“เอ้า เห็นเข้าอกเข้าใจแมวดี ก็นึกว่าใช่” ว่าพลางส่งหมวกนิรภัยให้
“ไปได้แล้ว มัวแต่พูดเล่นอยู่ได้” นคินทรรับหมวกมาสวมก่อนจะขึ้นนั่งซ้อนท้าย ไม่ลืมหันไปกล่าวกับคนที่เดินออกมาส่ง “ไปก่อนนะ”
พายุพัดตอบด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ร่างสูงยืนนิ่ง ทอดมองแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไปตามถนนจนกระทั่งเลือนหายไปในความมืด
“ทำเป็นอยู่หน้าเดียวหรือไง” นคินทรพึมพำกับตัวเองเมื่อรถมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ
“บ่นอะไรวะม่อน”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“เราหูแว่วสินะ”
“ไม่ได้บ่นอะไรจริง ๆ”
“เออ ไม่บ่นก็ไม่บ่น” ภาณุไม่คิดเซ้าซี้ถาม
ในที่สุดรถจักรยานยนต์ก็เข้าเขตค่ายทหาร โดยมีจุดหมายปลายทางคือบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย ภาณุจอดรถที่หน้ารั้วไม้สีขาว ส่งเพื่อนเรียบร้อยก็บิดคันเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนคินทรเห็นรถของพ่อจอดอยู่ในโรงรถจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นวีรกรรมทำคลอดแมวก็ถูกถ่ายทอดให้พ่อและแม่ได้ฟังอย่างยิ่งใหญ่
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ขอบคุณคอมเม้นของทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ
เราก็ยินดีที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งค่ะ