ครึ่งหลัง
มือขาวจรดปลายกรรไกรขลิบกระดาษเป็นรูปดอกไม้เพื่อเตรียมไว้สำหรับเป็นสื่อการสอน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับแหวนทองคำขาวที่นิ้วของตัวเอง ผิวมันวาวนั้นสลักลายแทนตำแหน่งของกลุ่มดาวประจำตัวของคนให้ซึ่งก็คือกลุ่มดาวสิงโต และคริสตัลเม็ดจิ๋วก็แทนหัวใจของเจ้าป่านั่นเอง นคินทรเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอด มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นว่าค่ำแล้วจึงนึกสงสัยว่าใครกันที่มาเยือนในเวลานี้ ชายหนุ่มวางกรรไกร ยกเจ้าตะโก้ออกจากตักวางบนพื้นแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู พบพายุพัดยืนรออยู่ที่ปลายบันได
“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมาเอาป่านนี้” เจ้าของบ้านถามเมื่อเดินลงมาหยุด
“เราจะมาบอกม่อนว่ากลางเดือนนี้คุณปัณณ์จะส่งเจ้าหน้าที่มาติดตั้งสระว่ายน้ำให้ที่โรงเรียน” พายุพัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม คนฟังจึงพลอยยิ้มตามไปด้วย
“เรื่องแค่นี้เอง ส่งข้อความหรือโทรมาก็ได้”
“อยากมาบอกด้วยตัวเองน่ะ”
“มาเสียค่ำเชียว”
“ที่มาตอนนี้ก็เผื่อว่า...” คนพูดกล่าวพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเลื่อนมือขึ้นเกาต้นคอ
“เผื่อว่าอะไร”
“เผื่อว่าม่อนจะชวนเราค้างด้วย"
นคินทรมองเจ้าของร่างสูงแล้วได้แต่อมยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายเลื่อนตาขึ้นสบ
“จะไล่เรากลับอีกหรือเปล่า”
“ไล่ก็ไม่กลับแล้วมั้ง” พูดพร้อมกับชะเง้อมองเป้ที่อีกฝ่ายสะพายมาด้วย
พายุพัดยิ้มเขินเมื่อถูกรู้ทัน จากนั้นทั้งสองคนก็เดินตามกันขึ้นไปบนบ้าน
เมื่อนคินทรกลับมานั่งลงที่เดิม เจ้าตะโก้ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนอนตีหางเหนือกองกระดาษสีบนโต๊ะญี่ปุ่นก็ย้ายลงมานอนบนตักของเจ้านายเหมือนเมื่อครู่ พายุพัดดึงเป้ออกจากหลังแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง ตาคมกวาดมองทั่ว ๆ แล้วหยุดที่ตุ๊กตาผ้ารูปปลาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“นี่อะไรน่ะม่อน”
“ของเล่นของตะโก้กับซ่าหริ่มน่ะ แม่เย็บให้”
พายุพัดพยักหน้า หยิบปลายเชือกด้านหนึ่งขึ้นพลางมองเจ้าปลาน้อยห้อยต่องแต่ง มุมปากยกนิด ๆ เดินไปนั่งลงใกล้เจ้าของบ้าน แอบหยิบไหมพรมจากกล่องที่อีกฝ่ายวางไว้มาผูกกับปลายเชือก...
นคินทรยังคงจดจ่ออยู่กับการตัดกระดาษ แม้จะได้ยินเสียงลากเก้าอี้แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ครู่หนึ่งก็ต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ดี ๆ เจ้าตะโก้ก็ผงกหัวขึ้นทำตาวาว ส่วนเจ้าซ่าหริ่มที่นอนอยู่บนแหย่งไม้สักก็กระโดดข้ามไหล่ของเขาไปยืนจังก้า และเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก็พบตุ๊กตารูปปลาของแม่กำลังลอยไปมาเรี่ยพื้นเพราะปลายเชือกถูกต่อยาวขึ้นไปผูกกับตะปูบนเพดาน พลันเจ้าแมวแม่ลูกก็พากันกระโดดเข้าตะครุบให้วุ่น พวกมันสารวนกับการทำให้เจ้าปลาสีซึ่งทำจากผ้าชมพูลายจุดยัดใยสังเคราะห์อยู่นิ่ง ๆ และในที่สุดซ่าหริ่มก็ตะปบได้ มันฝังคมเขี้ยวลงไปไม่กีทีก็เบื่อ พยายามสลัดเท้า แต่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดเพราะปลายเล็บเกี่ยวเข้ากับเนื้อผ้า ในขณะที่เจ้าตะโก้ก็ยังไม่เลิกตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ ใช้ปากงับหางปลาแล้วสะบัด สุดท้ายตุ๊กตาผ้ารูปปลาก็กระเด้งขึ้นกลางอากาศพาให้เจ้าสองแมวเหมียวตาลุกวาวเปิดศึกช่วงชิงของเล่นเสียงดังโครมคราม ส่วนคนต้นคิดกลับนั่งหัวเราะชอบใจซ้ำยังทำเนียนนอนหนุนตักของเขาอย่างสบายอารมณ์จนนคินทรต้องส่ายหัวน้อย ๆ อดคิดไม่ได้ว่าแมวหรือคนที่ซนกว่ากัน
...
หลังจากได้รับแจ้งข่าวจากพายุพัด นคินทรและพิทักษ์ก็เริ่มรับสมัครเด็ก ๆ ที่สนใจเรียนว่ายน้ำ เมื่อได้จำนวนที่แน่นอนก็พากันจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งแว่นตากันน้ำและกางเกงว่ายน้ำเอาไว้รอ ถึงวันเสาร์กลางเดือน รถบรรทุกหกล้อจากพี เอส สปอร์ตก็แล่นเข้ามาจอดที่หลังโรงเรียน เมื่อผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทเข้าพบครูใหญ่เพื่อพูดคุยรายละเอียดเป็นที่เรียบร้อย การดำเนินการติดตั้งสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบก็เริ่มขึ้นท่ามกลางสายตาของบรรดาคุณครูและผู้ปกครองที่ยืนเอาใจช่วย ส่วนเด็ก ๆ เองก็เฝ้ามองการทำงานของพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
ทันทีที่สระว่ายน้ำถูกประกอบเสร็จ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของอำเภอก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบ จัดการเปิดน้ำที่สูบมาจากลำธารใส่ลงในสระ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพิทักษ์จึงทำความเข้าใจกับแก่เด็ก ๆ โดยการอธิบายวัตถุประสงค์ของการใช้งานสระว่ายน้ำถอดประกอบ รวมถึงให้เด็ก ๆ ช่วยกันรักษาความสะอาด จากนั้นจึงเริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากการจมน้ำ แล้วจึงมอบหน้าที่สอนว่ายน้ำให้กับพายุพัด
นักกีฬาหนุ่มเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนยืดกล้ามเนื้อเพื่ออบอุ่นนร่างกายก่อนลงสระ จากนั้นจึงให้เด็ก ๆ ได้ลงน้ำเพื่อฝึกการหายใจ นคินทรมองเจ้าของร่างสูงสวมกางเกงขาสั้นที่กำลังก้าวลงในสระทรงสี่เหลี่ยม พลันหูก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากกลุ่มของสาว ๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
“คนนี้ใช่ไหมแกที่เขาบอกว่าเป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติน่ะ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ใช่ คนนี้แหละ” ว่าแล้วก็ทำปากขมุบขมิบ
“นับอะไรของแก”
“หือ...แกนี่ เงียบ ๆ หน่อยสิ ฉันกำลังนับแพคพี่ฉลามพาย หนึ่ง...สอง สาม สี่ ห้า หก ฮือ...ซิกซ์แพคจริงด้วย”
คนบังเอิญได้ยินโคลงหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางวงโดยมีเด็ก ๆ ล้อมรอบ เมื่ออธิบายขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อย พายุพัดก็เริ่มฝึกการหายใจและสอนให้แต่ละคนลอยตัวในน้ำด้วยท่าปลาดาวและท่าแมงกระพรุน โดยมีพิทักษ์คอยช่วยอีกแรง
เมื่อเด็ก ๆ เริ่มคุ้นเคย ในสัปดาห์ต่อ ๆ มานักกีฬาหนุ่มจึงเริ่มสอนการเหยียดตัวตรงและตีเท้าในน้ำ การลอยตัวด้วยโฟม และฝึกว่ายท่าฟรีสไตล์
นคินทรเดินออกจากห้องพักครูหลังจากเข้ามานั่งทำคะแนนของนักเรียนอยู่ครึ่งค่อนวัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปที่สระว่ายน้ำด้านหลังโรงเรียนซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้โครงเหล็กมุงกระเบื้องที่มีผู้ใหญ่ใจดีบริจาคให้ เป็นเวลาเดียวกับที่เด็ก ๆ กำลังแยกย้ายกันกลับบ้านพอดี จะเหลือก็เพียงเด็กชายผู้หนึ่งที่ยังแหวกว่ายอยู่ในสระโดยมีพายุพัดดูแลอยู่ใกล้ ๆ
ทันทีที่เห็นนคินทร เด็กชายสุชาติก็ว่ายมาเกาะขอบสระพร้อมกับส่งยิ้มให้คุณครูใจดีที่อุตส่าห์ไปช่วยพูดจนพ่อกับแม่อนุญาตให้เขามาเรียนว่ายน้ำกับเพื่อน ๆ
“ยังไม่กลับอีกเหรอสุชาติ”
“ยังครับครู” ว่าแล้วก็หันไปกล่าวกับพายุพัด “ครูพายช่วยสอนผมให้เป็นนักกีฬาทีมชาติแบบครูพายได้ไหมครับ”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วก่อนจะกล่าว “เอาสิ แต่การจะเป็นนักกีฬาต้องมีระเบียบวินัยแล้วก็ขยันฝึกซ้อมนะ สุชาติทำได้หรือเปล่า”
“ทำได้ครับครูพาย”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าอย่างนั้นก่อนที่เราจะฝึกกัน สุชาติต้องเลิกเรียกพี่พายว่าครูพายก่อน”
“ทำไมล่ะครับ ก็ครูพายสอนผมว่ายน้ำก็ต้องเป็นครูสิครับ”
พายุพัดไร้คำโต้แย้ง เลื่อนสายตาไปยังอีกคนเพื่อนขอความเห็น แต่นคินทรก็ทำเพียงอมยิ้ม
“เรียกครูพายถูกแล้วใช่ไหมครับครูม่อน”
คนถูกถามพยักหน้า
“เย้! ผมเรียกถูกแล้วนะครับครูพาย” เด็กชายสุชาติกระโดดโลดเต้น
“นักกีฬาที่มีระเบียบวินัยจะต้องกลับบ้านให้ตรงเวลาด้วยรู้ไหมสุชาติ พ่อกับแม่จะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าการมาว่ายน้ำทำให้เราเป็นคนเหลวไหล เข้าใจที่ครูพูดไหม” นคินทรถาม
“เข้าใจครับครู ผมจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ครับ จะไม่เถลไถลที่ไหน แล้วอาทิตย์หน้าผมจะมาเรียนกับครูพายอีกนะครับ” พูดจบเด็กชายก็รีบขึ้นจากน้ำ ยกมือไหว้สองหนุ่ม ก่อนจะคว้าเสื้อผ้าและรองเท้าใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยาน
“ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” นคินทรมองตามเด็กชายที่กำลังปั่นจักรยานออกไปโดยสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียว ครูหนุ่มเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่บนม้าหินอ่อนแล้วเดินมาที่ขอบสระ พาดผ้าในมือลงบนบ่าของคนที่เพิ่งเดินมาหยุด
“แล้วเราล่ะ ต้องรีบกลับบ้านด้วยไหม” พายุพัดเอ่ยขึ้น
“อือ กลับได้แล้ว”
“ให้เรากลับบ้านไหน”
“มีหลายบ้านหรือไง ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็แช่อยู่ในน้ำนี่แหละ เราไปละ” พูดจบนคินทรก็หันหลังให้แล้วเดินจากมา โดยไม่ได้สนใจคนที่รีบขึ้นจากน้ำหอบเสื้อผ้าเดินตาม
“รอเราด้วย” เจ้าของร่างสูงร้องบอก เห็นอีกฝ่ายชะลอฝีเท้าจึงก้าวยาว ๆ กระทั่งทันกัน “ม่อนช่วยพูดกับสุชาติแล้วก็เด็ก ๆ คนอื่น ๆ ให้เราหน่อยได้ไหม”
“อยากให้เราพูดอะไร”
“ช่วยบอกให้ทุกคนเลิกเรียกเราว่าครูพาย”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เราไม่ใช่ครู”
“แต่นายก็สอนให้พวกเขาว่ายน้ำเป็นเหมือนที่สุชาติบอกไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่”
นคินทรมองคนหมดข้อโต้แย้งแล้วยิ้ม “สมัยเราฝึกสอนน่ะ ตอนเย็น ๆ จะมีพ่อค้าคนหนึ่งเข็นรถเข็นมาขายขนมที่ข้างรั้วโรงเรียน เขาบอกเราว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่น่าภูมิใจ ใครเจอใครก็ไหว้ แต่เราว่าสิ่งที่น่าภูมิใจกว่าคือการที่ใครสักคนเรียกเราว่าครูจากหัวใจของเขา”
“มีเหตุผลตลอดเลย” เจ้าของร่างสูงบ่นพึมพำ
“เราก็แค่จะบอกว่าการที่เด็ก ๆ เรียกนายแบบนี้ แสดงว่าเขารู้สึกว่านายเป็นครูของพวกเขาจริง ๆ น่าภูมิใจออก”
“ก็ได้ ๆ เรายอมแพ้แล้ว” หนุ่มนักกีฬากล่าวยิ้ม ๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พายุพัดก็ถูกไล่ให้ไปอาบน้ำอาบท่า ผ่านไปพักใหญ่เขาก็เปิดประตูออกมาในชุดคล้าย ๆ เมื่อตอนก่อนหน้า คือสวมเพียงกางเกงขาสั้น เปลือยท่อนบนโดยมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่า ชายหนุ่มเดินมานั่งลงกับพื้นเอนหลังพิงแหย่งไม้สัก รอให้อีกคนเช็ดผมให้เหมือนเคย
นคินทรคว้าผ้าขนหนูขยี้บนศีรษะที่ยังคงชุ่มไปด้วยน้ำ เห็นพายุพัดมือขึ้นบีบนวดนวดบริเวณบ่าจึงเอ่ยขึ้น “ปวดอีกแล้วเหรอ”
“อืม สงสัยวันนี้ว่ายหนักไปหน่อยน่ะ”
“เราว่าไปหาหมอได้แล้วมั้ง อย่าปล่อยไว้นานเลย เอาไว้ไปกรุงเทพฯ เมื่อไร เราจะให้พ่อช่วยแนะนำหมอให้”
“เป็นห่วงเหรอ” เห็นนคินทรไม่พูดอะไร พายุพัดจึงแหงนหน้าขึ้นจนศีรษะเกือบจะวางบนตักของคนที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่า มองจุดสีน้ำตาลจาง ๆ ที่ข้างสันจมูกแล้วให้อยากจะสัมผัสริมฝีปากลงไปตรงนั้นอีกสักครั้ง แต่ก็ได้แค่คิด เมื่อจู่ ๆ มือขาวก็ดันหัวของเขาขึ้น
“เดี๋ยวเรานวดให้”
คนฟังอมยิ้ม แม้นคินทรจะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ผ่านทางคำพูด แต่เขาก็รับรู้ทุกสิ่งผ่านการกระทำเสมอ ชายหนุ่มเหลียวมองมือที่กดลงมาบนบ่า นับตั้งแต่ที่กลับจากดอยเสมอดาวคราวนั้น เรียวนิ้วนี้ก็ไม่เคยห่างจากแหวนที่เขาให้เลยสักครั้ง
พายุพัดจับมือของอีกฝ่ายก่อนจะดึงมาแนบอก ส่งผลให้คนข้างหลังจำต้องโน้มตัวตามลงมาจนผิวแก้มแนบกัน
“ถ้าม่อนรู้สึกว่ารักเราเมื่อไร บอกให้เรารู้บ้างนะ”
ทันทีที่จบประโยคนั้น ความเงียบก็โรยตัวโอบร่างทั้งสองเอาไว้ สิ่งที่ทำให้รู้ว่ายังมีอีกคนอยู่คือไออุ่นจากร่างกายที่สัมผัสกันกับเสียงลมหายใจ นคินทรไม่ได้ตอบเพียงแต่วาดแขนข้างที่เหลือกอดคอคนตรงหน้าแล้วกระซิบชิดใบหู
“สัญญา”
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ