สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78873 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
วาปไปตอนหน้าที :katai1: :katai1:อารณ์ค้างไม่ไหวแล้ววววว

อีกนิดนะพายทนรออีกนิด

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ไหนๆคุณพ่่อคุณแม่ไม่ว่าแล้ว ยอมรับความรุ้สึก และทำตามหัวใจตัวเองดีกว่านะม่อน :hao5:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อยากเมินพายเลยนะม่อนน :z3:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
คุณพ่อของม่อนตลบหลังลูกอย่างนี้เลยหรอ 555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสดงว่า  ตอนเด็ก  ม่อนคิดกับฉายแบบเดียวกับที่พายเข้าใจใช่ไหม?

ป.ล. เรื่องราวของผู้แต่ง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ไม่ว่าจะเรื่องไหน ส่วนใหญ่จะเป็นเลือกใช้สถานที่ทางภาคเหนือเป็นหลักนะเนี่ย

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พายอุตส่าพยามเข้ามาใกล้ชิดวงใน จนกลายเป็นนักบังเอิญในตำนาน แต่ม่อนตีมึน
แถมจะหนีพายอีกตะหาก ทั้งๆ ที่ก็มีใจ
เห้อออออ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ช่วงนี้พายุเข้า น่าน อ.สันติสุข ไม่รู้ว่าโรงเรียนที่่ม่อนสอน และโฮมสเตย์ของพาย น้ำท่วมไหม
5555 เราอินถึงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย
 :hao7:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ค่อย ๆ อ่านนะคะ

ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้


“พ่อกับแม่จะมาทำไมไม่บอกม่อนครับ”


คำถามของลูกชายส่งผลให้พลตรี นพ.ธรณิน ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดทั้งหมดต้องหันกลับมาอธิบาย “พ่อนัดสังสรรค์กับเพื่อน ๆ แล้วก็เลยแวะไปเยี่ยมลุงน้อย ไม่อยากให้ลูกต้องมาฟังคนแก่คุยกันทั้งวันก็เลยไม่ได้บอกให้รู้”


“แล้วจะกลับวันไหนครับ”


“นอนที่นี่อีกคืน พรุ่งนี้ก็ว่าจะไปค้างกับลูกแล้วค่อยกลับ”


นคินทรพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ม่อนก็ค้างกับคุณพ่อคุณแม่เสียที่นี่สิลูก” ดวงพรว่า “แล้วก็เชิญคุณ ๆ ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ” 


“น้องม่อนนอนกับพายก็ได้เนอะ...” เพียงพรรษหันกล่าว ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ พลันเสียงกระแอมก็ดังขึ้นถี่ ๆ 


“อย่าลำบากเลยหนู ให้ม่อนนอนด้วยกันกับลุงกับป้านี่แหละ” ผู้เป็นพ่อบอก


“อ...เอ้อ ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะสั่งให้เด็กเอาที่นอนไปเสริมให้นะคะ”


ระหว่างรับประทานอาหารเย็น...


นคินทรรู้สึกเหมือนตกกระไดพลอยโจนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวมองพวกผู้ใหญ่ที่คุยกันถูกคอ คงเพราะแม่ของพายุพัดเป็นคนท้องถิ่นส่วนทั้งพ่อและแม่ของเขาก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก่อน ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องไหนขึ้นมาพูดก็เห็นภาพตรงกันไปเสียหมด เพียงพรรษที่ปกติช่างพูดช่างคุยอยู่แล้วก็กลมกลืนไปกับวงสนทนาด้วย ที่ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ เห็นจะมีเพียงตัวเขากับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเท่านั้น


“น้องม่อนมาอยู่ไกล ๆ อย่างนี้คุณลุงกับคุณป้าคงคิดถึงแย่เลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่เธอเริ่มทำโฮมสเตย์ในขณะที่น้องชายได้ทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศจบ


“ก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดาจ้ะ ลุงกับป้ามีลูกชายกับเขาอยู่คนเดียวนี่นา” วาสนาตอบ


“รออยู่เหมือนกันว่าเมื่อไรเขาจะได้ย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ เพราะอีกไม่กี่เดือนลุงก็จะเกษียณแล้ว”


คำพูดของพลตรี นพ.ธรณิน ทำให้ลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์ที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานต้องเงยหน้าขึ้น และเป็นอีกครั้งที่บังเอิญได้สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม


“แล้วมีโอกาสได้ย้ายกลับไหมจ๊ะน้องม่อน”


“ครับ” ชายหนุ่มรับคำสั้น ๆ “คิดว่าน่าจะมีครับ แต่อาจจะได้แค่ใกล้เข้ามาหน่อย”


“ถ้าน้องม่อนย้ายไปจริง ๆ ละก็ คนทางนี้ต้องคิดถึงมากแน่ ๆ เลย” เพียงพรรษบ่นงึมงำจนแม่ต้องสะกิด


“เพื่อน ๆ ทางนี้ต้องยินดีถึงจะถูกนะลูกที่น้องได้ย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ คุณพ่อคุณแม่”


“จ้ะแม่ แต่มันก็อดใจหายไม่ได้นี่นา เรื่องป้านีก็ทีหนึ่งแล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันมาเกือบสิบปี จู่ ๆ ก็จะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เสียนี่”
เกรงว่าสองสามีภรรยาจะสงสัย ดวงพรจึงอธิบาย “พี่นีแกเคยเป็นเจ้าของร้านเครื่องเงินในเมืองค่ะ พอขายร้านแล้วแกก็มาซื้อที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันนี่เอง เมื่อปีก่อนลูกสาวสอบเป็นข้าราชการได้ที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะมาพาแม่ไปอยู่ด้วยกัน”


“ไม่ถามแกสักคำว่าแกอยากไปอยู่กรุงเทพฯ ไหม บ้านเราอากาศดีจะตาย แล้วป้านีก็ไม่ได้อยู่คนเดียวด้วย มีหลาน ๆ แถมมีเพื่อนบ้านที่ชอบพอกันก็ตั้งเยอะแยะ” เพียงพรรษบ่นเป็นหมีกินผึ้ง นั่นเพราะเคยได้ฟังป้านีปรับทุกข์เรื่องนี้กับแม่ของตนมาก่อน


“เขาเป็นลูกเขาก็อยากให้แม่ไปอยู่ใกล้ ๆ จะได้ดูแลกันไงลูก”


หญิงสาวถอนใจจากนั้นจึงตักข้าวเข้าปาก


“ใช่พี่มณีที่เป็นเจ้าของร้านมณีจันทร์หรือเปล่าคะ” วาสนาเอ่ยขึ้น


“ใช่ค่ะ คุณแม่รู้จักพี่นีด้วยเหรอคะ”


“รู้จักกันค่ะ พี่นีแกชอบไปนั่งคุยที่บ้านบ่อย ๆ โชคดีจังที่ได้รู้ข่าว ตอนที่ม่อนมาบอกว่าป้านีย้ายร้านไปแล้วยังนึกเสียดายอยู่เลยค่ะที่ก่อนหน้านั้นไม่มีโอกาสได้ติดต่อกัน เลยไม่รู้ว่าแกไปอยู่ที่ไหน”


“บ้านพี่นีอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถ้าคุณ ๆ อยากไปเยี่ยม พรุ่งนี้ฉันจะให้พายพาไปนะคะ” เจ้าของบ้านเสนอ


หลังมื้อเย็น ดวงพรชวนวาสนาไปดูผ้าทอพื้นเมืองที่เธอเก็บสะสมไว้ข้างบนบ้าน ส่วนเพียงพรรษอาสาปอกผลไม้แล้วออกมาแจกจ่ายให้คนอื่น ๆ ที่นั่งเอกเขนกอยู่บริเวณพื้นที่สำหรับรับแขก นคินทรนั่งลงกับพื้นพิงกรอบประตูหันหลังให้ทุกคน บนตักคือเจ้าเหมียวขนสีส้มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มปล่อยให้เขาเกาคาง เห็นแล้วให้คิดถึงเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้ที่พาไปฝากไว้กับพิทักษ์นัก


“ในถุงนี่อะไรน่ะพาย” พี่สาวกล่าวพลางยกถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดู


“ขนมกับลูกประคบน่ะ ป้านีเอามาให้”


“ลูกประคบเหรอ” เมื่อเธอรั้งถุงกระดาษสีน้ำตาลที่อยู่ข้างในออกมา กลิ่นสมุนไพรก็คละคลุ้งจนต้องเบ้หน้า  “ป้านีเห็นพายปวดบ่าแน่ ๆ ถึงเอามาให้ ไม่เห็นมีวิธีใช้เลย ต้องทำยังไงบ้างก็ไม่รู้”


“ในครัวมีซึ้งไหมล่ะหนู” ธรณินกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์


“มีค่ะคุณลุง”


“ต้องเอาลูกประคบแช่น้ำก่อนแล้วค่อยนึ่ง”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปทำให้นะ” พี่สาวบอก ทว่ายังไม่ได้ไปไหนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทันทีที่รับสายเธอจึงได้ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้นที่เรือนพักหลังหนึ่ง 


“มีอะไรหรือเปล่าพี่ฝน” พายุพัดถามหลังจากพี่สาววางโทรศัพท์ลง


“แขกโทรมาบอกว่าไฟไม่ติดจ้ะ สงสัยหลอดจะขาด แถมเครื่องทำน้ำอุ่นยังใช้การไม่อีก แล้วนี่คนงานที่เป็นช่างก็กลับไปแล้วด้วยสิ”


เห็นท่าทีเป็นกังวลของพี่สาว น้องชายจึงเสนอตัวแก้ปัญหานี้ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพายไปดูให้ พี่ฝนมีหลอดไฟสำรองหรือเปล่า”


“เดี๋ยวพี่หาในห้องเก็บของก่อนนะ” ว่าแล้วเธอก็เดินไปเปิดห้องเล็กใต้บันไดรื้อค้นสิ่งของในนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับหลอดไฟที่ยังไม่ได้แกะกล่อง


“พี่ฝนไปรอที่เรือนพักของแขกก่อนนะ เดี๋ยวพายไปเอาบันไดกับเครื่องมือช่างที่โรงรถแล้วจะตามไป”


“เสร็จแล้วพี่จะนึ่งลูกประคบให้ก็แล้วกันนะ”


คนพูดน้อยทำเพียงพยักหน้า กำลังจะเดินไปที่ประตูก็ต้องชะงักเพราะประโยคหนึ่งที่ได้ยิน


“ม่อนไปทำให้เพื่อนสิ เดี๋ยวพ่อจะบอกให้ว่าต้องทำยังไง” ธรณินเอ่ยขึ้น


“อุ้ย! ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูกลับมาทำให้น้องเองค่ะ” เพียงพรรษกล่าวอย่างเกรงใจ


“ม่อนว่างอยู่ก็ให้ม่อนทำนั่นแหละ กว่าจะซ่อมไฟกับเครื่องทำน้ำอุ่นเสร็จลูกประคบคงใช้ได้พอดี”


ได้ยินดังนั้นนคินทรจึงค่อย ๆ ยกเจ้าเหมียวออกจากตักแล้ววางมันลงบนพื้น เมื่อเขาลุกขึ้นอีกคนก็เดินสวนมาพอดี ดวงตาสองคู่บังเอิญสบกันเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นต่างคนก็ต่างมองไปคนละทาง


“รบกวนแล้วนะจ๊ะน้องม่อน” หญิงสาวกล่าว แม้จะอยากจะทักท้วงแต่ก็ไม่กล้าขัดผู้อาวุโส


“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ พี่ฝนรีบไปปดูแขกเถอะ” พูดจบนคินทรก็หยิบถุงกระดาษใส่ลูกประคบเดินนำผู้เป็นพ่อเข้าไปในครัว


เมื่อดวงพรและวาสนาจูงมือกันลงมาจากชั้นบนของบ้านก็ได้กลิ่นไพลตลบอบอวล ทั้งคู่จึงพากันเดินตามกลิ่นเข้าไปในครัว ภรรยานายพลมองสองพ่อลูกที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่หน้าเตาไฟแล้วเอ่ยขึ้น


“มาแอบทำอะไรกันจ๊ะพ่อลูก”


“กำลังนึ่งลูกประคบน่ะแม่” ผู้เป็นสามีตอบแล้วเลื่อนสายตาไปยังเจ้าของบ้าน “ลูก ๆ คุณดวงไปเปลี่ยนหลอดไฟที่เรือนพักของแขก ผมกับเจ้าม่อนก็เลยรับอาสา”


“ตายจริง ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละค่ะคุณ เดี๋ยวฉันให้คนงานมาทำต่อ” ดวงพรบอก


“เสร็จแล้วละครับ” ว่าแล้วธรณินก็หันไปเตือนลูกชายให้ปิดวาล์วแก๊ส


“ลืมเลย มัวแต่ฟังพ่อเล่าตำนานลูกประคบเพลิน” นคินทรหัวเราะ จากนั้นทั้งหมดก็พากันเดินออกมายังห้องรับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่เพียงพรรษกลับเข้ามาพอดี


“เป็นยังไงบ้างหนู” ผู้อาวุโสถาม


“เปลี่ยนหลอดไฟก็ใช้ได้แล้วค่ะคุณลุง ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ได้เสีย คนทำความสะอาดน่าจะเผลอไปยกเบรกเกอร์ลง แขกก็เลยเปิดไม่ติด หาสาเหตุกันอยู่ตั้งนาน โชคดีที่พายตาไวไปเห็นเข้าพอดี ตอนนี้ใช้งานได้ปกติแล้วค่ะ”


“น้องชายหนูไปไหนเสียแล้วล่ะ”


“อืม...ไม่เห็นเดินตามมา สงสัยกลับไปที่เรือนแล้วละค่ะ เห็นบ่นปวดเมื่อยมาตั้งแต่เมื่อวาน ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป”


“ลูกคนนี้ดื้อเงียบค่ะ” ผู้เป็นแม่เสริม กระนั้นในดวงตาของเธอยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเอ็นดู


“เป็นมานานหรือยัง บังคับให้ไปตรวจบ้างก็ดีนะครับ ปล่อยไว้เดี๋ยวจะไปกันใหญ่” พูดจบหมอทหารยศพลตรีก็หันไปหาลูกชาย “ม่อนเอาลูกประคบไปให้เพื่อนสิ”


ลูกชายเลิกคิ้ว ชี้ที่ตัวเอง “ม่อนเหรอ”


“ลูกนั่นแหละ ไปสิ เอาไปให้เพื่อน” ธรณินย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะชวนภรรยากลับไปพักผ่อน 


เมื่อพ่อบอกเช่นนั้นลูกชายจึงจำต้องรับคำ ตรงเข้าครัว เปิดซึ้งแล้วคีบลูกประคบร้อน ๆ ใส่อ่างแก้ว ใช้ความคุ้นเคยเดินไปยังเรือนพักหลังสุดท้าย


“พ่อคิดจะทำอะไรของพ่อกันแน่” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยเมื่อกลับมาถึงห้อง


“พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรนี่” สามีกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้


คนฟังถอนใจ “แล้วที่มาที่นี่น่ะ ตั้งใจจะมาหาเพื่อน มาหาลูกหรือมาทำอะไรกันแน่”


ธรณินมองภรรยาที่กำลังยืนกอดออกรอคำตอบ เห็นไม่มีทางเลี่ยงจึงกล่าวอ้อมแอ้ม “ตอนแรกก็ตั้งใจมาหาเพื่อนกับลูกนั่นแหละแม่ แต่ตอนนี้อยากทำความรู้จักเพื่อนลูกด้วย ได้ไหมล่ะ”


ได้ยินเช่นนั้นคนเป็นภรรยาก็โคลงหัวเบา ๆ


...



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2018 02:41:17 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

พายุพัดเดินออกจากห้องน้ำในสภาพที่ท่อนล่างพันด้วยผ้าขนหนู เขารั้งกางเกงขาสั้นที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มาสวมแล้วโยนผ้าเช็ดตัวลงในตะกร้า ความรู้สึกปวดหน่วงบริเวณช่วงไหล่ บ่า ร้าวไปไปถึงต้นคอทำให้เผลอยกมือขึ้นบีบหนวดด้วยความเคยชิน ร่างสูงนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักหยิบหลอดยาทาบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบออกมาวาง ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิด


“เราเอาลูกประคบมาให้” คนที่ยืนอยู่ด้านนอกกล่าว


เจ้าของห้องไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามา ตาคมมองตามร่างสูงที่เดินไปหยุดหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ได้ยินเขาถามเบา ๆ


“ยังไม่หายอีกเหรอ”


“เมื่อวานไปช่วยป้านียกของก็เลยปวดขึ้นมาอีก”


“นั่งสิ เดี๋ยวเราประคบให้”


“เราทำเองก็ได้” พายุพัดกล่าวเสียงเรียบ เห็นท่าทีเฉยชาแล้วคาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงมาที่นี่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


“ไม่เป็นไร นายมานั่งเถอะ”


หนุ่มนักกีฬาสบตาคนพูดอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ ลอบมองทุกอากัปกิริยาของอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนบนกระจก


นคินทรคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่ม้วนอยู่บนโต๊ะมาคลี่ออกแล้วคลุมลงบนบ่ากว้างที่ยังพราวไปด้วยหยดน้ำ หยิบลูกประคบขึ้นได้หน่อยก็ต้องปล่อยเพราะมันร้อนเกินไป พลันมือขาวก็ยกมือขึ้นแนบใบหูโดยอัตโนมัติ


“เป็นอะไรหรือเปล่า” พายุพัดว่าพลางคว้ามือของอีกฝ่าย เมื่อหงายขึ้นก็พบว่าผิวนิ่มนั้นขึ้นสีแดงซ้ำยังร้อนจนรู้สึกได้


“ไม่เป็นไร”


“แต่มือนายแดงไปหมดแล้ว” พูดจบก็โน้มหน้าลงเพื่อเป่าให้


นคินทรทอดตามองคนตรงหน้า ในที่สุดก็ค่อย ๆ ดึงมือให้พ้นจากการสัมผัส กำลังจะหันไปหยิบลูกประคบก็ต้องชะงัก


“นายเอาวางไว้เถอะ เดี๋ยวเราจัดการเอง”


เมื่อเจ้าของห้องยืนยันเช่นนั้น ลูกชายหมอทหารก็ไม่คิดเซ้าซี้ เดินจากมาเงียบ ๆ


นคินทรอาศัยแสงจากโคมไฟติดหัวเสาก้าวไปตามทางเดินไม้ระแนงท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบ อากาศข้างนอกนั้นเย็นเฉียบแต่ก็ไม่อาจสู้น้ำเสียงของใครบางคนได้ ชายหนุ่มหยุดยืนใกล้ต้นเสี้ยวขาวต้นใหญ่ที่เห็นทีไรก็พาให้นึกถึงหน้าต่างห้องนอนที่บ้านพักในค่ายทหาร ป่านนี้คงออกดอกเช่นกัน ครู่หนึ่งก็พรูลมหายใจแล้วละสายตาจากภาพตรงหน้า ขณะที่เท้ากำลังจะก้าวต่อที่ข้อมือก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นจากอีกมือที่สัมผัสลงมา เมื่อหันกลับไปนคินทรก็พบว่าเจ้าของมือนั้นคือคนเดียวกับเมื่อครู่ที่เพิ่งใช้คำพูดไล่ตนเองทางอ้อม แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟพอจะทำให้เห็นแววตาเศร้าสร้อยของเขาอยู่บ้าง


“เราขอโทษ จะโกรธเราก็ได้ แต่อย่าเกลียดเราเลยนะ” พายุพัดกล่าว


“ปล่อยเถอะ” คนฟังพยายามขยับให้หลุดแต่มือของอีกฝ่ายยิ่งกระชับแน่น


“ขอร้องละม่อน ช่วยฟังเราหน่อยนะ”


ได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น นคินทรจึงยอมหยุด ดวงตาหลุบต่ำลงมองวัตถุวับวาวที่ข้อมือใหญ่ ไม่คิดเงยหน้าขึ้นสบตากัน 


“คราวที่แล้วเราอยากจะพูดคำนี้กับนายแต่ไม่มีโอกาส เราแค่อยากบอกนายว่า...อย่าไปเลยนะ” คนพูดกัดฟันคุมเสียงไม่ให้สั่น “อย่าไป...เพราะว่านายเกลียดเรา”


น้ำเสียงตัดพ้อ ทำให้นคินทรไม่อาจเฉยเมย เลื่อนตามองดวงหน้าเศร้าหมอง แต่ก็มิได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ


“ถ้านายต้องไปเพราะความจำเป็น...ก็ไปเถอะ” พายุพัดค่อย ๆ คลายมือออก “เราสัญญาว่าจะไม่รั้งนายไว้อีก”


“แค่นี้ใช่ไหมที่นายอยากจะพูดกับเรา” นคินทรถามกลับเสียงนิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีกจึงหันหลังให้แล้วเดินจากมา     


...


วันต่อมาลูกชายหมอทหารมุ่งหน้าเข้าเมืองตั้งแต่เช้าเพื่อจัดการคืนรถที่พ่อของเขาเช่ามา ดังนั้นหน้าที่พาพลตรี นพ.ธรณินและคุณวาสนาไปเยี่ยมเพื่อนเก่าจึงตกเป็นของพายุพัดโดยสมบูรณ์ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์พาสองสามีภรรยาลัดเลาะชายทุ่งจนกระทั่งถึงบ้านไม้ชั้นเดียวที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม หลังจากนั่งคุยกับเจ้าของบ้านอยู่พักใหญ่ ๆ ธรณินก็ขอตัวออกมาเดินชมรอบ ๆ รู้สึกเสียดายที่อีกไม่นานบ้านหลังนี้จะถูกรื้อถอนเพราะเจ้าของมีความประสงค์จะขายที่ดินเปล่าให้กับผู้ที่สนใจ
หมอทหารยศพลตรีเดินเอามือไพล่หลัง หลุดมองชายหนุ่มที่กำลังยืนชมทิวทัศน์เบื้องหน้า ซึ่งเป็นทิวเขาปกคลุมด้วยเมฆขาว ลอบพิจารณาลักษณะภายนอกของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้าวขึ้นไปยืนข้างกัน   


“ที่สวย ๆ แบบนี้แถมยังติดกับโฮมสเตย์ คุณไม่คิดจะซื้อไว้เองเหรอ”


พายุพัดหันไปยังคนพูด อดคิดไม่ได้ว่าสรรพนามแทนตัวที่หมอทหารท่านนี้เลือกใช้นั้นฟังแล้วช่างห่างเหินนัก เมื่อเทียบที่เขาเป็นเพื่อนกับลูกชายของอีกฝ่าย 


“เป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ เงินซื้อที่เท่าหยิบมือคงไม่ลำบากอะไรใช่ไหม”


เจ้าของร่างสูงยิ้มจาง ๆ “พอจะมีอยู่บ้างครับ แต่ผมอยากเก็บไว้ให้ทุกคนในครอบครัวอุ่นใจว่าเราจะมีใช้เมื่อจำเป็นมากกว่า อีกอย่าง...เราตกลงกันแต่แรกว่าจะทำโฮมสเตย์เล็ก ๆ บนที่ดินของพ่อ ไม่ได้คิดจะขยับขยายให้ใหญ่โต เพราะรายได้จากที่นากับเรือนพักไม่กี่หลังที่มีอยู่ตอนนี้ก็พอจะจุนเจือให้ไม่ขัดสน”


“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณประกาศอำลาวงการ ผมยังคิดว่าเวลาที่นักกีฬาเขาเลิกทำอาชีพนักกีฬา เขาคงมีทรัพย์สินมากพอสำหรับการอยู่อย่างสบายไปตลอดชีวิต หรือไม่อย่างนั้นก็คงมีธุรกิจใหญ่โต ไม่คิดว่าคุณจะเป็นแค่เจ้าของโฮมสเตย์เล็ก ๆ” ธรณินกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่พูดนี่ไม่ได้จะดูถูกหรอกนะ ผมแค่รู้สึกเสียดายที่คุณทิ้งอาชีพที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำไปน่ะ”


“ถึงผมจะไม่ทิ้ง วันหนึ่งอาชีพนี้ก็ต้องทิ้งผมไปอยู่ดีครับ ถ้าไม่เพราะอายุที่มากขึ้นก็เพราะมีคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมและแข็งแรงกว่าเข้ามาแทนที่เรา”


พลตรี นพ.ธรณิน พยักหน้า เห็นเป็นจริงดังว่า “คุณนี่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้นะ ผมเคยคิดว่าคนหนุ่มแถมยังมีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างคุณน่าจะอยากใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองแบบที่คนวัยเดียวกันโหยหาเสียอีก”


“ผมเคยคิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ อยากเรียนสูง ๆ อยากมีเงินเยอะ ๆ อยากสุขสบาย แต่ที่ว่ามาทั้งหมดก็ต้องแลกมาด้วยการอยู่ห่างไกลครอบครัว ผมเคยคิดจะซื้อบ้านสักหลังในกรุงเทพฯ แล้วพาแม่กับพี่ฝนไปอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิด”


“อะไรล่ะที่ทำให้คุณเปลี่ยนใจ”


“ส่วนหนึ่งมาจากแม่ครับ แม่ของผมท่านรักที่นี่มากเพราะที่นี่เป็นเหมือนสิ่งแทนตัวพ่อ อีกส่วนหนึ่ง...” คนพูดกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจกล่าวต่อ “เป็นเพราะม่อน”


“ลูกชายผมน่ะเหรอ” ธรณินถาม ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงว่าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไร


“ครับ ม่อนทำให้ผมรู้ว่า ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าที่นั่นมีเขา”


คนฟังเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะลั่น “เอ้อดี ตรงดี พูดกันตรง ๆ แบบนี้ก็คุยกันง่ายหน่อย เคยอ่านเรื่องของคุณจากคอลัมน์ซุบซิบวงการกีฬาในหนังสือพิมพ์ คิดว่าคุณจะเป็นพวกไม่สนใจโลกเหมือนฉายาที่นักข่าวตั้งให้เสียอีก”


พายุพัดยิ้มอย่างคนยอมรับชะตากรรม กดตาลงต่ำมองผืนดินที่กำลังเหยียบ “บางครั้งสิ่งที่เราเป็นก็มาจากสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้นะครับ”


หมอทหารยศพลตรีเบนสายตาไปยังทิวเขาเบื้องหน้าแล้วกล่าวเสียงขรึม “ในเมื่อคุณพูดตรง ๆ ผมก็จะพูดตรง ๆ เหมือนกัน ผมรู้เรื่องของคุณกับม่อนแล้ว เสียใจด้วยนะที่ลูกชายผมไม่ได้คิดแบบเดียวกับคุณ หรือถ้าคิด...ก็จะไม่มีวันปริปากบอก ไม่แม้แต่จะแสดงออกให้ใครรู้ ม่อนน่ะเป็นคนร่างเริง ใครว่ายังไงก็ว่าตามนั้น โกรธใครไม่เป็น แต่จริงแล้ว ๆ ใจแข็งชนิดที่คนเป็นพ่ออย่างผมยังไม่อยากจะเชื่อ  ยอมได้แม้กระทั่งหักดิบความรู้สึกตัวเองเพื่อรักษาความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม” เมื่อกล่าวจบก็หันมาสบตาชายหนุ่ม


“ผมเข้าใจครับ” พายุพัดตอบเสียงแผ่วราวกับคนหมดแรง พลันดวงตาที่เคยฉายแววเข้มแข็งแน่วแน่ก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด “ผมรับรองว่าผมจะไม่ทำให้ม่อนต้องลำบากใจครับ”


...


ถึงกำหนดที่พ่อและแม่ต้องเดินทางกลับ นคินทรก็ขับรถมาส่งทั้งสองที่สนามบินตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่ตนเองจะได้กลับไปทันสอนในช่วงสาย ตกเย็นครูหนุ่มก็นั่งตรวจการบ้านของเด็ก ๆ ต่อจึงไม่ได้ไปช่วยสุพักตร์ซ่อมหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนเหมือนอย่างเคย เมื่อถึงบ้านนคินทรก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำจอดอยู่ที่ใต้ร่มไม้ มองหาเจ้าของรถก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งริมลำธาร 


“นายมาทำอะไรที่นี่” เจ้าของบ้านถามทันทีที่เดินมาหยุด


พายุพัดลุกขึ้นแล้วหันกลับมาพร้อมกับยื่นสิ่งหนึ่งให้ “เราเอาของมาคืนนาย”


ดวงตาเจือแววสงสัยจับจ้องไปยังสมุดในมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นชื่อที่เขียนกำกับอยู่บนปกจึงรู้ว่ามันเคยเป็นของตนมาก่อน


มือขาวกำลังจะเอื้อมไปหยิบ แต่พายุพัดก็ดึงกลับไปเสียก่อน


“มีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังไม่ได้บอกนาย” ตาคมมองคนตรงหน้าได้เพียงนิดก็หลุบลงแล้วกล่าวเบา ๆ “เราพูดไม่เก่ง เราก็เลยต้องเขียนไว้ในสมุดเล่มนี้ เราพยายามค้นหาว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนประเภทไหน วันนี้เราเลือกแล้ว เราไม่กลัวว่าสุดท้ายผลมันจะออกมาเป็นยังไง ขอแค่นายช่วยรับฟังก็พอ” เจ้าของร่างสูงเม้มปากแน่น เสียงของเขาเงียบลงแล้ว แต่ที่ยังดังอยู่ตอนนี้ก็คือเสียงหัวใจเต้นระส่ำยามเมื่อได้สบตาคู่นั้น ในที่สุดพายุพัดก็ตัดสินใจเผยความรู้สึกที่เก็บมาแสนนาน


“เรา...ชอบนาย ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน” ลอบถอนใจด้วยความโล่งอกเพราะอย่างน้อยประโยคเมื่อครู่ก็น่าจะช่วยให้กล่าวถ้อยคำที่เหลือง่ายขึ้น “ที่เราจับคู่เล่นบาสกับคนอื่นเพราะว่าเราเขิน กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่น ๆ ต่อหน้านาย เราคิดจะสมัครเข้าชมรมห้องสมุดก็เพราะนาย แต่สุดท้ายที่เราไม่เข้าชมรมนั้นก็เพราะนายเหมือนกัน”


นคินทรโคลงหัว ดวงตายังไม่ละจากชายหนุ่มที่อยู่ในอาการตกประหม่า นึกถึงคำของผู้เป็นพ่อที่บอกให้เขาลองสลัดคำว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ พลันมุมปากก็ยกขึ้นบางเบาจนคนที่กำลังยกมือขึ้นลูบต้นคอไม่ทันได้สังเกต


“นึกว่าจะไม่ได้ฟังเสียแล้ว”


“หมะ...หมายความว่ายังไง” พายุพัดมุ่นคิ้วอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้าง “ไหนบอกว่าไม่ได้เปิดสมุดดูไง”


“เราไม่ได้เปิดจริง ๆ” เจ้าของสมุดตัวจริงตอบตามตรง “แต่หวานถ่ายรูปไว้”


หนุ่มนักกีฬาเลื่อนมือที่กำสมุดไปไว้ด้านหลัง ทันทีที่ได้รู้ความจริงอาการประหม่าก็ยิ่งปรากฏชัด อัตราการเต้นของหัวใจขณะนี้น่าจะเท่ากับเมื่อครั้งที่ก้าวขึ้นรับเหรียญรางวัลเหรียญแรกในชีวิต


“เอามา” นคินทรกล่าวพร้อมกับแบมือรอ และเมื่อเขากล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สอง พายุพัดจึงยอมคืนให้...


สองคนนั่งลงที่ม้านั่ง ทอดตามองสายน้ำที่เริ่มตื้นเขิน มือขาวถือสมุดไว้ไม่คิดจะเปิดดู นั่นเพราะเขาได้อ่านมันแล้วทุกตัวอักษร เพียงแค่รอว่าเมื่อไรจะได้ฟังจากปากคนเขียนเท่านั้น


“ทำไมถึงยอมบอกล่ะ”


“เพระว่าเรา...เป็นนักกีฬาไง” มุมปากของคนพูดหยักเข้าเป็นรอยยิ้ม และค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นยามได้นึกถึงคำของใครคนหนึ่ง


“ยังไม่ทันได้ลงแข่งก็ยอมแพ้เสียแล้ว ที่ผมตั้งใจมาพบคุณครั้งนี้ ไม่ได้จะมาพูดเพื่อให้คุณยอมแพ้นะ เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า...การแพ้เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง น่าเสียดาย น่าเสียดาย”


พายุพัดมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ น้ำเสียงขึ้นลงของเขาในช่วงท้ายของประโยคฟังแล้วคุ้น ๆ


“ถ้าคนสองคนไม่ใจตรงกันผมคงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง ผมเป็นพ่อ ผมก็อยากให้ลูกมีความสุข ผมพยายามทำในส่วนของผมแล้ว แต่เจ้าม่อนมันใจแข็ง ที่เหลือคงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคุณ ที่ผมพอจะช่วยได้ก็แค่จะบอกว่าการจะเอาชนะใจคนใจแข็งแบบนี้มันต้องใช้สุภาษิตของคนรุ่นผม...”


...ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก...




“เราจะเอาชนะคนใจแข็งอย่างม่อนให้ได้ มาแข่งกันไหม”


“คนชนะได้อะไร”


“ถ้าเราชนะ ม่อนก็เป็นแฟนเรา”


“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”


“ก็เอาคนอกหักอย่างเราไปดูแลด้วย”


“ยุติธรรมมาก” นคินทรลุกขึ้นในขณะที่อีกคนก็ลุกตาม


“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้ตอบเลยว่าจะแข่งไหม”


คนถูกถามนิ่งคิด ในที่สุดก็พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้น...เราจีบนะ”


นคินทรเสมองไปทางอื่น ครางอือแบบไม่เต็มเสียงนักแล้วเดินหนี ทิ้งให้หนุ่มนักกีฬายืนยิ้มอยู่อย่างนั้น


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2018 02:45:26 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


aMOXi: ไปเสมอดาวกัน

Sunny: โอ้โห! ไอ้หมอกชวนไปเที่ยว สงสัยหมาออกลูกเป็นตัว

aMOXi: หมามันก็ออกลูกเป็นตัวอยู่แล้วไหม

Sunny: เออว่ะ โทษ ๆ

Sweety: มัวแต่ไร้สาระกันอยู่ได้

Sunny: นั่นไง หัวหน้าห้องมาแล้ว

Sweety: พ่อให้หมอกพูดก่อนสิ

Sunny: ได้จ้ะแม่

Sunny: ต่อ ๆ คุณหมอ

aMOXi: ไม่มีอะไร ก็เห็นไอ้ม่อนมันอยากไปเสมอดาว ช่วงนี้ที่คลินิกมีรุ่นน้องเรามาช่วย พอจะมีเวลาก็เลยชวนไปเสียก่อน ถ้าเกิดม่อนต้องย้ายไปที่อื่นจริง ๆ กลัวว่าตอนนั้นจะไม่ว่างน่ะ

Sichon: ใจหายเนอะ เหมือนตอนที่พายจะย้ายโรงเรียนเลย

Sunny: นั่นน่ะพายมันต้องย้ายเพราะสอบได้ในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ แต่นี่ม่อนยังไม่ทันได้ขอย้ายเลย พวกเราก็มาช่วยกันบนให้ม่อนไม่ได้ย้ายสิ

MON: ไอ้ฉายยย

Sweety: เอาละ ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตกลงเราจะไปวันไหนดีจ๊ะหมอก

aMOXi: เสาร์หน้าไหม

Sweety: พ่อว่างไหม

Sunny: ไม่ว่างก็ต้องว่างจ้ะแม่ เราปิดร้านพาลูกไปเที่ยวกัน

Sweety: OK. ใครไปอีกบ้าง ม่อนไปเนอะ

MON: ไป ๆ

Sichon: สิกับหมอกจ้ะ

Sweety: พายล่ะไปด้วยกันไหม

5 นาทีต่อมา...

Prapai: ถ้าม่อนไปเราก็ไป

Sichon: แหม...

aMOXi: แหมมม

Sweety: แหม ๆ ๆ

Sunny: ตัวติดกันหรือไง

aMOXi: เงียบ มันต้องแอบไปคุยกันสองตัวแน่ ๆ



เมื่อตกลงกันได้ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านของพายุพัดในตอนบ่ายวันเสาร์ปลายเดือนมกราคม ภาณุเปิดท้ายรถเพื่อตรวจดูเต็นท์ที่ไปขอยืมมาจากเพื่อนเมื่อตอนก่อนจะมาถึง ส่วนสิชลกับหมอกตามพายุพัดเข้าไปช่วยกันขนเสบียงที่แม่ของอีกฝ่ายเตรียมเอาไว้ให้


“ไอ้ม่อนเอาของขึ้นรถสักทีสิ” ภาณุกล่าวเมื่อเห็นเพื่อนรักยังคงยืนสะพายเป้เก้ ๆ กัง ๆ


“เราไปกับนายไม่ได้เหรอ เราอยากเล่นกับฟีฟ่า”


“ไม่ได้ นายต้องไปรถพายสิ ไม่อย่างนั้นใครจะนั่งเป็นเพื่อนมัน เกิดมันง่วงแล้วหลับในจะทำยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นให้ฟีฟ่าไปกับเรานะ รับรองเราดูแลให้อย่างดี” นคินทรยื่นข้อเสนอพลางหันไปหยอกล้อกับเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่


“ไม่ได้โว้ย ไม่เข้าใจคำว่าพ่อแม่ลูกเหรอวะ”


คนฟังทำคอตก ในขณะที่น้ำหวานได้แต่มองยิ้ม ๆ เมื่อนคินทรเห็นอวัศย์กับสิชลกำลังเดินมาทางนี้จึงพูดขึ้น “แล้วหมอกจะเอารถไปอีกคันให้เปลืองน้ำมันทำไม ทำไมไม่ไปรถพาย”


“เข้าใจคำว่าฮันนีมูนไหมม่อน” พูดจบสัตวแพทย์หนุ่มก็โอบเอวแล้วส่งยิ้มให้ภรรยา


“ไอ้พายมานี่ ๆ” ภาณุกวักมือเรียกคนที่เพิ่งเอาของเก็บที่ท้ายรถเสร็จ “มาเอาไอ้ม่อนไปหน่อย”


พายุพัดพยักหน้า เจ้าของร่างสูงเดินเข้ามาหยุดแล้วกล่าว “เอาเป้มา เดี๋ยวเราเอาไปเก็บให้”


“ไม่เป็นไร เราเอาไปเก็บเองได้” ว่าแล้วนคินทรก็เดินไปที่รถโดยมีอีกคนเดินตามไม่ห่าง


“คนใจตรงกันมันก็จะเขิน ๆ หน่อยอะเนอะ น้ำหวานกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้สิชล


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ขับนำขบวนมุ่งหน้าสู่อำเภอนาน้อย ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมายนั่นคือดอยเสมอดาว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน พวกผู้ชายพากันมองหาทำเลเหมาะ ๆ จากนั้นจึงช่วยกันกางเต็นท์ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินสำรวจรอบ ๆ บนจุดชมวิวดอยเสมอดาวสามารถเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา เบื้องล่างมองเห็นแม่น้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวท่ามกลางทิวเขาเขียวขจี


“จากตรงนี้จะเห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน พอถึงพรุ่งนี้เช้ารอบ ๆ นี้ก็จะกลายเป็นทะเลหมอก” พายุพัดกล่าวเมื่อเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ คนที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติตรงหน้า


“นายชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก” นคินทรถาม


“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้น มันทำให้รู้สึกถึงการเริ่มต้น เราไม่ชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกเพราะอีกเดี๋ยวมันก็มืด” หนุ่มนักกีฬาตอบ นอกจากจะมืดแล้วช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินยังทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียพ่อไป “นายล่ะ”


“เราชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลับไปด้านหลังภูเขาแล้วแต่บนฟ้ายังมีริ้วสี เราว่าช่วงเวลานั้นท้องฟ้าสวยดี เป็นภาพสวยงามภาพสุดท้ายของวันให้ได้จดจำก่อนจะหลับไป แต่พอตื่นมาตอนเช้าก็ไม่มีเวลาได้คิดถึงแล้ว เพราะมีเรื่องเยอะแยะที่รอให้เราทำ”


พายุพัดเหลียวมองเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งปะทะเข้ากับขาของตนเอง เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเจ้าหนูแก้มยุ้ยลูกชายของเพื่อนนั่นเอง


“ขี่มะ ขี่มะ”


“ไง...ฟีฟ่าอยากขี่ม้าเหรอ” นคินทรกล่าวก่อนจะยกตัวหนูน้อยลอยขึ้นกลางอากาศ


เด็กชายฟีฟ่าหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยังคงพูด “มะมะ อาพาย” ไม่ขาดปาก


“อาพายว่ายังไง”


พายุพัดยิ้ม ย่อตัวให้อีกฝ่ายวางเจ้าหนูจ้ำม่ำลงหลังของตน


“ฟีฟ่าพร้อมหรือยัง เดี๋ยวอาพายจะพาเหาะ” ชายหนุ่มหันปถามเจ้าของแขนเล็กที่กอดคอของเขาแน่น จากนั้นจึงพากันวิ่งลงเนินไป


และเพราะ “มะมะ อาพาย” จึงทำให้เด็กชายฟีฟ่าสิ้นฤทธิ์หลับเป็นตายไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ


กองไฟเล็ก ๆ ถูกก่อขึ้นเพื่อคลายความหนาว ชายหนุ่มหญิงสาวหกคนนั่งล้อมวงรำลึกความหลังเมื่อครั้งเป็นนักเรียนมัธยมและมีโอกาสได้มาที่นี่ด้วยกันเป็นครั้งแรก วันนั้นเหมือนวันนี้ตรงที่บนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับประดาด้วยดวงดาวมากมายเกินกว่าที่สายตาจะประมาณจำนวนได้ อวัศย์หยิบกีตาร์โปร่งจากท้ายรถแล้วส่งให้พายุพัดก่อนจะกลับมานั่งลงข้างสิชล ไม่นานทำนองเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้นตามด้วยคำร้องเรียบง่ายซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่ม มันคือบทเพลงที่สองที่ชายหนุ่มฝึกเล่นอย่างจริงจังหลังจากไม่ได้จับกีตาร์เสียนาน กระทั่งประสบอุบัติเหตุจนต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านจึงได้มีเวลาค้นหาคอร์ดกีตาร์ หวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสร้องเล่นต่อหน้าใครคนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงนี้


นคินทรมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เพียงชั่วครู่ก็จำต้องมองไปทางอื่น อากาศบนดอยเสมอดาวนั้นหนาวเย็น แต่คำร้องของบทเพลงที่แฝงความหมายกลับทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ความยาวเกือบสี่นาทียาวนานราวกับสี่ปีที่โดนจับจ้องด้วยสายตาของใครบางคน


ในที่สุดท่วงทำนองหวานหูแผ่วหายไปกับสายลม...


“เพลงนี้เพลงอะไรนะพาย” สิชลเอ่ยขึ้น


“เขียนคำว่ารัก” พายุพัดตอบพร้อมกับส่งกีตาร์คืนให้อวัศย์ นายสัตวแพทย์รับมาก่อนจะเริ่มเกาเพลงเบา ๆ ให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป


“จำได้ว่าตอนที่พวกเรามาเสมอดาวด้วยกันคราวก่อนพายเล่นเพลงดาว มันหวาน ๆ ปนเศร้ายังไงไม่รู้ แต่พอเป็นเพลงนี้เลยทำให้สินึกถึงหนังสือชื่อ ‘โปรดอ่านใต้แสงเทียนเพราะผมเขียนใต้แสงดาว’ ขึ้นมาเลย”


“ฟังดูโรแมนติกจัง” น้ำหวานกล่าว “ว่าแต่ฝึกเพลงนี้ไว้เล่นให้ใครฟังหรือเปล่าจ๊ะพาย” พูดจบหญิงสาวก็แกล้งเขยิบเบียดชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ


“อืม...คราวก่อนม่อนไม่ได้มาด้วยกันนี่เนอะ แสดงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ม่อนได้ฟังพายร้องเพลงสินะ”


“ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ก่อนเข้านอนคืนนี้จะมีคนฝันดีกี่คนน้า...” น้ำหวานกระเซ้า


“แม่...วันนี้เราปิดร้านนะ เลิกชงสักวันได้ไหม” ภาณุกล่าวก่อนจะหยิบโหลพลาสติกใบหนึ่งออกมาวาง “เล่นเกมกันดีกว่า”


“เกมอะไรวะ” อวัศย์ถาม


“อันนี้เขาเรียกว่ามาร์ชเมลโลพูดความจริง เราจะแกะแล้วก็โยนเข้าปากคนที่เราเรียกชื่อ ถ้าคนนั้นรับได้จะได้สิทธิ์ในการถามคำถามคนที่เหลือ แล้วคนที่ถูกถามก็ต้องตอบตามความจริง”


“ไปนอนก่อนนะ” อวัศย์เอ่ยขึ้น


“นั่งเลยไอ้หมอก” ภาณุชี้นิ้ว “ไอ้พวกมีความลับเยอะมันจะนั่งไม่ติดที่แบบนี้แหละสิ ถ้าอย่างนั้นเริ่มที่ไอ้หมอกก่อนเลย” ว่าแล้วก็จัดการแกะขนมออกจากห่อแล้วโยนส่ง ๆ กระนั้นหมอหมาก็ใช้ความคล่องแคล่วแบบเยอรมันเชเพิร์ดกระโดดงับได้ทัน


“ถามนายนั่นแหละ” สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ ชี้มือไปยังคนคิดเกม “ตอนม.ต้น นายไม่ได้แกล้งปล่อยลมยางรถอาจารย์นนูญจริงเหรอ”


ภาณุมองซ้ายมองขวา พบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ตนจึงอ้อมแอ้มตอบ “ก็...ไม่จริงไง”


“คนเลว” อวัศย์กล่าว จากนั้นจึงเดินไปคว้ามาร์ชเมลโลมาแกะกินอีกชิ้น “ต่อ ๆ”


“เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ”


“เออ กติกายืดหยุ่น” เมื่อกลืนขนมลงคอแล้วจึงถาม “เมื่อไรจะแต่งงาน”


คำถามนั้นทำเอาเพื่อน ๆ หูผึ่ง ต่างคนต่างช่วยย้ำประโยคเมื่อครู่เพื่อกดดันให้เจ้าตัวตอบ


“เออ...พอแล้ว ๆ รู้แล้วว่ากรรมกำลังตามสนอง” ภาณุบ่นก่อนจะสบตาภรรยาที่ดูเหมือนว่าจะรอคอยคำตอบนี้อยู่เช่นกัน “กลางปีนี้นะจ๊ะแม่”


ได้ฟังสามีพูดเช่นนั้นน้ำหวานก็ยิ้มเขิน นับเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างก็รอคอย


“ตาเราบ้าง” ภาณุทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือก็แกะห่อขนมไปด้วย “สิ” พูดจบก็โยนขนมย้อยข้ามฝั่งไปตรงที่หญิงสาวนั่ง แล้วเธอก็สามารถรับได้


สิชลแตะมือสามีด้วยความยินดี จากนั้นจึงหันขวับไปทางน้ำหวาน ทุกคนต่างคิดว่าเธอจะถามคำถามเพื่อให้น้ำหวานตอบ แต่แท้จริงแล้วสองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันต่างหาก “สิไม่ถามหวานหรอก ถามพายดีกว่า”


พายุพัดเลิกคิ้ว มองตาปริบ ๆ


“สมัยเรียนพายเคยแอบชอบใครบ้างไหม”


“ร...เรา...” จู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ให้ว่องเลยไอ้พาย” ภาณุเร่งรัด


“ม่อน” คนจนมุมตอบเสียงแผ่ว


“อะไรนะจ๊ะ”


“คนที่เราแอบชอบตั้งแต่สมัยเรียนก็...ม่อนไง” พายุพัดยกมือขึ้นลูบต้นคอ ลอบสบตาคนที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ในขณะที่เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันส่งเสียงโห่แซวไม่ขาดปาก


“อะพอ ๆ อย่าชงมากครับทุกคน เดี๋ยวร้านเราเจ๊ง” ภาณุว่าก่อนจะโยนมาร์ชเมลโลชิ้นหนึ่งให้พายุพัด


ชายหนุ่มรับมันมาแกะออกแล้วเรียกชื่ออีกคน


“ม่อน”


เพราะตั้งใจโยนให้รับได้ นคินทรจึงได้เป็นผู้ถามคำถามถัดไป


“เราถามหวานก็แล้วกัน เราอยากรู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องสมุดเล่มนั้น”


“ตายแล้ว...” ภาณุหลบหลังภรรยาแล้วพึมพำกับตัวเอง


“อ...เอ่อ...โห ถามกันตรง ๆ แบบนี้เลยเหรอ” น้ำหวานหัวเราะเก้อ ๆ มองกวาดรอบวงแล้วหยุดที่คนถาม แววตาของนคินทรยังคงความใจดีขี้เล่น แต่เธอก็เห็นความเอาจริงเอาจังอยู่ในนั้น ในที่สุดริมฝีปากก็ค่อย ๆ คายความลับ


“ก็...พี่ฝนน่ะไปค้นเจอสมุดเล่มนั้นตอนที่รีโนเวทบ้าน เลยเอามาถามเราว่ารู้จักเจ้าของสมุดไหม เราก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แฮ่...” หญิงสาวทำตลกกลบเกลื่อน


“พี่ฝนด้วยเหรอ” พายุพัดถอนหายใจ


“แล้วมันก็บังเอิญตรงที่สิไปเจอม่อนที่หอศิลป์ ทีนี้ก็เลย...”


“ย้าว!” ภาณุแทรกขึ้น


“ทั้งเรื่องในงานแต่งงาน แล้วก็เรื่องแมว”


พายุพัดพยักหน้าหงึก ๆ พลางนึกถึงเรื่องบังเอิญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในงานแต่งงานของสิชล ที่แท้มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่คิด


“นี่นายก็เอากับเขาด้วยเหรอ” นคินทรหันไปทางอวัศย์


“จังหวะมันได้ เราก็เลยตามน้ำ” สัตวแพทย์หนุ่มตอบหน้าตาย


“ง่วงวุ้ย!” ภาณุหาวหวอด ๆ คนอื่น ๆ ก็เลยพากันหาวตาม “แยกย้ายกันไปนอนดีกว่า”


“อ้าวอะไรวะ ยังคุยไม่ทันจบเลย” นคินทรเลิกคิ้วเมื่อเห็นทุกคนกำลังจะลุกขึ้น


“อะนี่ เหลืออีกสามชิ้น ถ้านายสองคนยังไม่ง่วงก็เอาไปเล่นกันต่อก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็โยนโหลใส่มาร์ชเมลโลให้พายุพัด


เห็นว่าเพื่อน ๆ แยกย้ายกันเข้านอน นคินทรที่ยังคงตื่นเต้นกับสถานที่และทิวทัศน์แปลกตาจึงย้ายไปนั่งที่ขอนไม้ปลายเนิน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงพร่างพราวไปด้วยดวงดาว ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าถึงอย่างที่พายุพัดเคยบอกไว้จริง ๆ


“เล่นต่อไหม” คนพูดน้อยกล่าวเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ


“ยังจะเล่นอีกเหรอ”


“เรามีอีก 2-3 เรื่องที่อยากถามม่อน”


“ถามมาเลยก็ได้”


“ไม่ได้สิ ต้องใช้มาร์ชเมลโลพูดความจริง”


“กลัวเราโกหกหรือไง”


พายุพัดไม่ตอบ เพียงแต่ส่งขนมชิ้นหนึ่งให้ ดังนั้นนคินทรจึงรับมา เดินไปที่กลางเนินหญ้าแล้วหันไปกล่าวกับคนที่กำลังเดินตามมา


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”


“ไกลขนาดนี้เราจะรับได้ไหมเนี่ย”


“ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องถาม” พูดจบก็โยนขนมขึ้นกลางอากาศ มองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาแล้วหัวเราะชอบใจ คิดว่าพายุพัดจะรับไม่ได้ แต่สุดท้ายก้อนกลม ๆ ก็ตกลงไปอยู่ในปากของอีกฝ่ายจนได้


ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า รีบเคี้ยวขนมแล้วกลืนก่อนจะถาม “นาย...เคยชอบฉายหรือเปล่า”


คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่สำหรับพายุพัด นั่นถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว


“ตานายแล้ว” นคินทรกล่าว


หนุ่มนักกีฬาพยักหน้าแล้วแกะขนม ไม่ได้โยนแต่กลับยื่นให้ที่ปากของอีกฝ่าย นคินทรใช้ปากงับขนม เคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วถาม 


“ทำไมถึงรู้”


“ถ้าในสายตาของนายมีใครสักคนอยู่ตลอดเวลา นายจะรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร กำลังรู้สึกแบบไหน”


คำพูดสื่อความในใจทำให้นคินทรที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้จำต้องหลุบตาลงมองขนมอีกหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ ริมฝีปากสีเรื่อพึมพำเบา ๆ แต่ก็พอจับใจความได้   


“ยังเหลือมาร์ชเมลโลอีกชิ้น นายจะถามหรือจะให้เราถาม”


“เราอยากถามม่อน”


เจ้าของชื่อพยักหน้าจากนั้นจึงแกะขนมออกจากซอง เตรียมจะเดินห่างออกไปแต่ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้


“อย่าไปไกลเลยนะ เรากลัวว่าถ้าเรารับไม่ได้ เราจะไม่ได้ถามคำถามนี้กับม่อน”


ดังนั้นนคินทรจึงยื่นขนมจ่อที่ปากของคนที่ได้สิทธิ์ในการถามทั้งที่ข้อมือของตนเองยังคงอุ่นเพราะสัมผัสจากมือใหญ่


เมื่อพายุพัดกินขนมจนหมดก็เงยหน้าขึ้นสบตา รั้งมือขาวแนบที่อกแล้วถามคำถามสุดท้าย


“คบกับเราได้ไหม”


นคินทรเลื่อนตาลงมองกำไลเงินรูปปลาคู่ที่ข้อมือของอีกฝ่าย จากนั้นจึงค่อย ๆ แกะมือนั้นแล้วถอยห่างออกมา ในขณะที่พายุพัดเองก็ได้แต่มองตามตาละห้อย รู้สึกใจจะขาดเอาเสียให้ได้เมื่อช่องว่างที่คั่นกลางระหว่างกันขยายกว้างขึ้นไปทุกที แต่ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา เขาก็เห็นรอยยิ้มฉายชัดอยู่ใบหน้าของอีกฝ่าย


“ม...ม่อน”


ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เพียงเสี้ยววินาทีหัวใจก็พาร่างสูงก้าวเข้าประชิดแล้วสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหนอีก


“เราแพ้แล้ว” นคินทรกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหลับตาลงในอ้อมแขนแกร่ง



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2018 02:51:12 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ่านไปลุ้นไป กลัวม่อนไม่ตอบตกลง

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เขินเป็นบ้าเป็นบอ
มาเรียบ ๆ แต่ได้ใจมาก
ฮือออออ เขินจนต้องหยุดอ่านไปกรี๊ด 555
แถมตอนสุดท้ายเค้าคบกันแล้วอีก  จะไม่ทนนนนน :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ
รั้ง  ใช้คำว่าหยิบดีกว่าไหมคะ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โอ๊ย......ย เป็นวันหยุดที่ทำให้ยิ้มได้ทั้งวันเลยนะ
ทั้งบรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่บรรยยายได้เหมือนกับไปอยู่สถานที่นั้นจริงๆ
ทั้งความเขินของแต่ละคน อ่านไปยิ้มไป
ทั้งการรวมหัวของเพื่อนๆ ที่เปิดเผยออกมา รวมทั้งพี่ฝนด้วยมิน่าละถึงได้ชงจังเลย
ทั้งบทสรุปที่สมบูรณ์สุดๆ ตรงใจเรามากเลย และค่อยๆ อ่านตามคนเขียนแล้วนะ
ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ อ้อ ตรงตกกระไดพลอยโจร ผิดนะ ต้องโจน อิอิอิ
ขอบคุณอีกครั้ง
 :กอด1:  :L2:  :กอด1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ สุดท้ายพายก็ชนะ รางวัลของผุ้ชนะคือ ได้คบม่อนเป็นแฟน

สำหรับพาย รักนี้ยืนยงมาก สิบปีที่รอคอย

สำหรับม่อน ม่อนเริ่มรักพายเมื่อไร?  เพราะตอนที่จากกันม่อนยังรักฉายอยู่เลย

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ดีใจกับสองหนุ่ม ได้คบกันซะที สงสารพายรอมานานแล้ว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
กราบขอบพระคุณท่านนายพลค่ะ มีลูกชายใจแข็งพ่อก็เลยต้องออกแรงช่วย
ดีใจกับพาย รอมานานเหลือเกิน แต่ก็อย่างว่านะ สองคนนี้พอ ๆ กัน
ถ้าไม่มีตัวช่วยเกรงว่าจะแอบรักในใจจนแก่เฒ่า ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้แน่
อันที่จริงเราก็รู้แหละว่าตอนเด็กม่อนชอบฉาย แต่ฉายไม่น่ารักไงเลยอยากให้ชอบพายมากกว่า

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ ksoleef

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กลัวม่อนไม่ตกลงมาก :katai2-1:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พายเป็นคนที่มั่นคง มีความเป็นสุภาพบุรุษมาก แต่แสดงออกไม่เป็น พูดไม่เก่ง คนอื่นจะรู้ก็ต่อเมื่อโป๊ะแตกออกมาเอง เช่น ในกรณีสมุดนี่แหละ โดยรวมเราว่าพายน่ารัก และ nice ยิ่งกว่าม่อนซะอีกแฮะ

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

เรื่อง ของ ถธปทฟ   ยิ่งอ่าน ยิ่งซึ้ง  อ่าน 3-4 รอบแล้วเนี่ย

ลุ้นมากกกกกกกกกกกกก 

:sad4:


พายก้อเก็บรักไว้ในใจ ..ไม่พูด ไม่บอกสักที  :เฮ้อ:

ม่อน ก้อใจแข็ง ทำซึน ....แกล้งเนียนไปตามน้ำ 

ดีนะ ได้คุณพ่อ นายพล   :กอด1:  มาช่วยเหลือ กับเพื่อนๆๆ ทุกคน



//ชอบความนักสืบ ใน นิยายรักมากกกก  เข้ากันเจงๆ 

  :heaven :heaven :heaven

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
พายุจะร้องไห้ตามมมมแล้วนะ :mew4:

ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่า

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
ลุ้นมาก ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว  :กอด1:

ออฟไลน์ ARMTORY

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สุด  :hao5:

แต่ม่อนเก็บเนียนมากจริงๆ ตอนชอบฉายก็ดูไม่ออกเลยจนพายทัก ตอนชอบพายก็ดูไม่ออกเลยจนไปคุยกับน้ำหวาน ใจแข็งสุดๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด