สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78916 ครั้ง)

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง)


ปลายฝนต้นหนาว...อากาศเย็นสบายน่านอน แต่สมุดการบ้านของนักเรียนที่กองอยู่ตรงหน้าก็ทำให้นคินทรไม่อาจทำตามใจได้ ชายหนุ่มกดตราประทับรูปดอกไม้ลงบนกระดาษก่อนจะลงชื่อกำกับแล้ววางซ้อนรวมกับเล่มอื่น ๆ ดันโต๊ะญี่ปุ่นออกห่างตัว บิดซ้ายขวาให้คลายความเมื่อยล้า อดอิจฉาคนที่นอนหลับสบายอยู่บนแหย่งไม้สัก โดยมีเจ้าแม่แมวสามสีนอนขดอยู่ข้าง ๆ ส่วนบนหน้าอกคือเจ้าตะโก้ที่นอนแผ่หราท่าทางสบายไม่แพ้กัน
   

นคินทรเอื้อมคว้าหางที่ห้อยลง เจ้าซ่าหริ่มไม่ได้ลืมตาเพียงแต่ตวัดหางให้พ้นมือซน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดเล่นสนุก หมุนตัวกลับไปลูบหัวด้วยความมันเขี้ยว รู้สึกว่าหลังจากทำหมันนับวันเจ้าเหมียวก็ยิ่งอ้วนท้วนน่ากอด ตาคมทอดมองมือของตนที่ยังคงลูบไปบนขนนุ่มก่อนจะเลื่อนขึ้นมองใบหน้าคมสัน พลันหูได้ยินเสียงเรียกดังแว่วมา เจ้าของบ้านจึงผุดลุกขึ้น เมื่อโผล่ออกไปทางช่องหน้าต่างก็พบเด็กชายคู่หนึ่งซ้อนท้ายจักรยานมาด้วยกัน เนื้อตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่ก


เมื่อเพื่อนชะลอความเร็วจนจอดสนิท คนซ้อนท้ายจึงเอ่ยขึ้น “ครูครับ ๆ ช่วยสุชาติด้วยครับ สุชาติกำลังจะจมน้ำ”
   

“แล้วตอนนี้สุชาติอยู่ที่ไหน”
   

“เหนือฝายชะลอน้ำครับ”
   

“เดี๋ยวครูรีบไป” พูดจบนคินทรก็หันกลับเตรียมจะลงจากบ้าน
   

“มีอะไรหรือเปล่าม่อน” พายุพัดกล่าวพร้อมยันกายลุกขึ้นนั่ง ทำเอาเจ้าแมวแม่ลูกวงแตก กระโดดลงจากแหย่งไปตาม ๆ กัน
   

“นักเรียนมาบอกว่าเพื่อนจมน้ำน่ะ เราก็เลยจะไปดู”
   

“ถ้าอย่างนั้นเราไปด้วย” เจ้าของร่างสูงยืนขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็รีบพากันลงจากบ้าน
   

สองคนวิ่งตามจักรยานย้อนธารน้ำไปจนถึงฝายชะลอน้ำ เหนือฝายชะลอน้ำขึ้นไปไม่ไกลเป็นเวิ้งน้ำกว้าง ถัดไปคือน้ำตกซึ่งมีระดับความสูงไม่มากนัก พบเด็กชายผู้หนึ่งกำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยว มือเล็กคว้าเถาวัลย์ประคองตัวไม่ให้ไหลไปตามน้ำ นคินทรหยุดกึกที่ริมตลิ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง หูยังคงได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย ประเมินด้วยสายตาแล้วคิดว่าระดับน้ำไม่สูงมาก หากเป็นผู้ใหญ่อาจจะพอยืนถึง แต่กับเด็กตัวเล็ก ๆ คงเป็นเรื่องยากเอาการ ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น ก้าวเท้าลงไปยืนบนโขดหินได้ข้างหนึ่งก็ต้องชะงักเพราะมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขน
   

“ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า” พายุพัดถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง   
   

คนถูกถามส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ตอบก็ถูกดึงตัวกลับขึ้นมา
   

“เราไปเอง” หนุ่มนักกีฬาบอก จากนั้นจึงหย่อนตัวลงในน้ำ ก้าวไปตามโขดหินได้หน่อยก็ต้องเปลี่ยนเป็นใช้สองมือแหวกว่ายเพราะระดับน้ำลึกเกินกว่าจะยืนถึง แขนแกร่งจ้วงน้ำเพียงไม่กี่ทีก็เข้าประชิดตัวหนุ่มน้อย เขาวาดแขนพาดผ่านหน้าอกของอีกฝ่ายแล้วจับเข้าที่ใต้วงแขน ใช้มือข้างที่เหลือในการว่ายเข้าหาฝั่ง พยายามพยุงตัวเด็กชายให้ปากและจมูกอยู่เหนือผิวน้ำให้มากที่สุด
   


เมื่อเห็นพายุพัดใกล้เข้ามา นคินทรก็ก้าวลงไปบนโขดหินรับตัวลูกศิษย์ขึ้นมานั่งพัก สุชาติหอบตัวโยนซ้ำยังไอโขลก ๆ  ใบหน้าซีดเผือดบูดเบี้ยวแต่ก็ยังมีสติ สามารถบอกได้ว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดตรงไหน


“เจ็บครับครู”


ครูหนุ่มมองสำรวจ สุดท้ายก็พบสาเหตุจึงประคองลูกศิษย์ลุกขึ้นนั่ง


“น้ำเย็นก็เลยเป็นตะคริว” พายุพัดบอกพลางนั่งลงจัดขาของเด็กชายให้ยืดตรง ใช้มือข้างหนึ่งจับข้อเท้า ส่วนข้างที่เหลือจับปลายเท้ากระดกขึ้นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ


เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ สองคนก็พาเด็กชายสุชาติไปส่งที่โรงพยาบาลเพื่อทำแผลซึ่งเกิดขึ้นตอนถูกกระแสน้ำพัดจนเท้าติดกับซอกหิน รวมถึงให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ จากนั้นนคินทรจึงแจ้งให้ผู้ปกครองของเด็กทราบ หลังจากสืบสาวราวเรื่องเอาจากคนอื่น ๆ ที่ไปด้วยกันจึงรู้ว่า ทั้งสามคนพากันไปเล่นน้ำที่เหนือฝาย ทั้งที่ต่างคนต่างว่ายน้ำไม่เป็น นั่นเพราะได้เห็นภาพนักกีฬาดังที่ครูพิทักษ์เอามาอวดในชั่วโมงพลศึกษา เด็กชายสุชาติที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเป็นทุนเดิมจึงเป็นตัวตั้งตัวตีนัดแนะเพื่อน ๆ ไปเล่นน้ำที่น้ำตกในวันหยุด ใช้วิธีการประมาณด้วยสายตา คิดว่าน้ำน่าจะไม่ลึก แต่ลืมไปว่าเวิ้งน้ำบริเวณนั้นมีทั้งแนวหินที่สามารถยืนได้และมีทั้งส่วนที่เว้าลงไปเป็นแอ่ง ประกอบกับอุณหภูมิน้ำที่เย็นเฉียบจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น


กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งกลับถึงบ้านพักครูซึ่งอยู่หลังโรงเรียนก็จวนค่ำ ซ้ำฝนยังมาตกหนัก ดังนั้นนคินทรจึงชวนให้พายุพัดค้างด้วยกัน


“เรายังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันนี้นายไม่อยู่ด้วย เด็กคนนั้นจะเป็นยังไง” เจ้าของบ้านพึมพำขณะก้มหน้าก้มตาตรวจการบ้านนักเรียน


“เลิกคิดมากได้แล้ว วันนี้เราก็อยู่ที่นี่แล้วไง เราช่วยเด็กคนนั้นได้” พายุพัดที่นอนอยู่บนแหย่งไม้สักโผล่เพียงศีรษะออกมาจากผ้าห่มกล่าวพลางหาวหวอด ๆ ไม่วายแกล้งขยับปลายเท้าล่อเจ้าเหมียวตัวอ้วนฉุที่กำลังนั่งตวัดหางอยู่บนหลังตู้ เจ้าซ่าหริ่มกระโดดแผล็วลงมา กางกรงเล็บตะปบสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ผ้าห่มได้ครู่หนึ่งก็เริ่มเบื่อ มันลงจากแหย่งอย่างไม่ไยดี เดินวนไปวนมาอยู่สักพักจึงล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ ผู้เป็นเจ้านาย


“ง่วงก็นอนเถอะ” นคินทรว่า


“ยังตรวจไม่เสร็จอีกเหรอ”


“ใกล้แล้วละ”


พายุพัดขยับหมอนนอนตะแคงมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย บางครั้งก็เห็นหัวคิ้วแทบจะชนกันยามที่ดวงตาไล่อ่านข้อความทีละบรรทัดซึ่งเขียนด้วยลายมือโย้เย้ บางครั้งก็เห็นรอยยิ้ม บางครั้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จนนึกสงสัยว่านคินทรกำลังตรวจการบ้านอยู่จริง ๆ หรือไม่ แต่ในทุก ๆ ครั้งเมื่อสุดบรรทัด มือขาวก็จะประทับตราและบรรจงเขียนชื่อกำกับอย่างสวยงาม พอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดคุณครูคนนี้จึงใช้เวลาเป็นวัน ๆ ในการตรวจการบ้านของนักเรียน คิดได้ดังนั้นริมฝีปากได้รูปก็หยักเข้าเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด...



“ช...ช่วยด้วย”



“ช่วย...ช่วยด้วย”



“ม่อน”


“ช...ช่วยด้วย”


“ม่อน”


เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงเขย่า ๆ ที่ต้นแขน


“ฝันร้ายเหรอ” คนที่ย้ายจากแหย่งไม้สักมานั่งขัดสมาธิอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะญี่ปุ่นถามพลางมองคนที่กำลังยืดตัวขึ้นหลังจากฟุบหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้


“อือ ฝันว่าจมน้ำ” นคินทรไม่ปิดบัง


“ตกใจหมด”


“เราทำให้นายตื่นใช่ไหม”


“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ” พายุพัดเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เรื่องที่นายฝัน...มันเป็นเพราะเราแล้วก็เรื่องคราวนั้นใช่ไหม”


“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”


“เห็นอาการนายเมื่อตอนกลางวัน จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมา”
   

“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก เราบอกแล้วไงว่าเราลืมมันไปหมดแล้ว” ถึงปากจะพูดไป แต่ในใจยังคงจดจำความรู้สึกของคนที่ขาดอากาศหายใจและกำลังจะตายในตอนนั้นได้ดี
   

เห็นความแคลงใจยังปรากฏชัดบนใบหน้าฝ่ายตรงข้าม นคินทรจึงเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเด็ก ๆ ว่ายน้ำเป็นทุกคนก็คงดี”
   

“พ่อแม่เขาไม่ได้สอนเหรอ” พายุพัดเท้าคางรอฟัง
   

“ต้องออกไปทำงานทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปสอนกัน ถ้าปล่อยให้ไปเล่นน้ำกันเองก็จะเกิดกรณีแบบนี้อีก”
   

“ถ้าอย่างนั้นก็สร้างสระว่ายน้ำสิ”
   

“จะเอาเงินที่ไหน โรงเรียนเราไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอก ถึงมีก็ต้องจัดสรรไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือถ้าจะเรี่ยไรกันก็คงได้ไม่เท่าไร”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ขอทุนจากเอกชนไง”
   

“ขอทุนจากเอกชนเหรอ”
   

“อื้อ” หนุ่มนักกีฬายักคิ้ว


...


นคินทรต้องแปลกใจที่จู่ ๆ วันนี้ก็มีนักเรียนโข่งมานั่งเรียนวิชาสุดท้ายอยู่ที่หลังห้อง เขาเดินเข้ามาเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้ขัดจังหวะการสอน กระนั้นเมื่อเด็ก ๆ หันไปเห็นว่าเป็น “พี่ฉลามพาย” ก็พากันหัวเราะคิกคัก จนแทบไม่ได้สนใจการบ้านที่ครูม่อนกำลังจะสั่งเลย
   

ครูหนุ่มกระแอมเบา ๆ ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่หลังห้องจึงต้องโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้เด็ก ๆ หันกลับไปสนใจชายหนุ่มในชุดสีกากีที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอกวางหน้านิ่ง เมื่อเห็นลูกศิษย์หันกลับมานั่งตัวตรงตั้งใจเรียนอีกครั้ง เขาจึงเริ่มอธิบายต่อ จากนั้นก็ถามทวนอีกครั้งจนแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจตรงกันจึงอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้ หัวหน้าห้องกล่าว “นักเรียนทำความเคารพ” ทุกคนก็พากันเปล่งเสียงสวัสดีคุณครูโดยพร้อมเพรียงกัน


เด็ก ๆ รอฟังสัญญาณปล่อยกลับบ้าน สวดมนต์ไหว้พระจนเสร็จเรียบร้อย แต่กลับไม่มีใครลุกออกจากห้องเลยสักคน ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังหนุ่มนักกีฬาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กชายสุชาติราวกับต้องการทราบเหตุผลในการมาที่นี่ของเขา
พายุพัดลุกขึ้น เดินไปหานคินทรที่หน้าห้อง แล้วส่งโปสเตอร์ม้วนหนึ่งให้


“อะไรเหรอ”


“เป็นวิธีการป้องกันการจมน้ำ วิธีเอาตัวรอดจากการจมน้ำ แล้วก็การปฐมพยาบาลคนจมน้ำน่ะ เราให้เพื่อนที่กรุงเทพฯ ส่งมาให้ นายจะได้เอาไว้สอนเด็ก ๆ”


“ขอบใจนะ” นคินทรกล่าวแล้วจึงรับม้วนกระดาษมาถือไว้ “อยู่ ๆ ก็มาโผล่กลางสัปดาห์ คงไม่ได้มาด้วยเรื่องแค่นี้หรอกมั้ง”


“ปกติก็มาด้วยเรื่องแค่นี้อยู่แล้วนะ” พายุพัดตอบไม่เต็มเสียง


“ว่าไงนะ” คนถามเลิกคิ้ว


“ขอเวลาเราหน่อยได้ไหม” อีกคนเปลี่ยนเรื่อง     


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีโครงการจะมานำเสนอน่ะ”
   

“โครงการ...” พูดจบนคินทรก็นั่งลงที่โต๊ะเรียนด้านหน้าสุดที่วันนี้เจ้าของลาป่วยเพราะเป็นไข้หวัด “ไหนว่ามาซิ”
   

“คืออย่างนี้...” ร่างสูงก้าวไปยืนที่กลางห้อง
   

“เดี๋ยวครับ” คุณครูยกมือขึ้นห้าม “แนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักก่อน” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มกับเด็ก ๆ พลันเสียงปรบมือก็ดังขึ้น
   

เมื่อถูกโยนภาระมาให้เช่นนั้น คนพูดน้อยก็จำต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม ก้าวขึ้นมาข้างหน้าครึ่งก้าว สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าว “ผมชื่อเด็กชายพายุพัด นาวาภักดิ์ วันนี้จะมานำเสนอเรื่อง สระว่ายน้ำมีขาครับ”
   

สิ้นเสียงนั้น เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะครืน


“สระว่ายน้ำมีขาเดินได้เหรอครับพี่พาย” คนหนึ่งยกมือถาม
   

“ใช่แล้ว” พูดจบพายุพัดก็หันไปจับชอล์กแล้วเริ่มลากเส้นบนกระดานสีเขียว ในที่สุดภาพสระว่ายน้ำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น จากนั้นชายหนุ่มจึงเติมขาที่มุมทั้งสี่ “นี่ไงขา แต่เป็นขาของ...” หยุดไว้เพียงเท่านั้นแล้วลากต่อขึ้นไปเป็นตัวคน
ที่แท้สระว่ายน้ำมีขาของเขาก็คือสระที่สามารถให้คนเคลื่อนย้ายได้นี่เอง
   


“จะทำได้จริง ๆ เหรอ” นคินทรถาม
   


“ได้สิ มีคนเคยทำมาแล้ว เขาทำสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบ เอาขึ้นไปสอนเด็ก ๆ ชาวเขาในจังหวัดเชียงใหม่ให้ว่ายน้ำเป็น เพื่อให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองได้เวลาเกิดภัยพิบัติ”


“แล้วที่นี่ใครจะเป็นคนสอน”
   

“ก็เราไง” พายุพัดตอบอย่างมั่นใจ “แต่เรามีเรื่องอยากให้นายช่วย”
   

“เราช่วยอะไรได้ด้วยเหรอ”


“ได้สิ เราอยากให้นายไปนำเสนอโครงการนี้ด้วยกัน”
   

หลังจากการนำเสนอสระว่ายน้ำมีขาในวันนั้น เรื่องราวดี ๆ นี้ก็ถูกเด็ก ๆ เล่ากันปากต่อปาก นคินทรจึงจำต้องเป็นคนกลางในการนำสาส์นจากทุกคนที่เกี่ยวข้องมาถ่ายทอดให้เจ้าของความคิดฟังในวันก่อนเดินทางไปนำเสนอแนวความคิดที่กรุงเทพมหานคร


“หอบอะไรมาเยอะแยะ” พายุพัดถามขณะรับถุงหูหิ้วใบใหญ่จากคนที่เพิ่งมาถึงในตอนค่ำ


“เด็ก ๆ ฝากขนมมาให้พี่พาย บอกว่ากรุงเทพฯ อยู่ไกล ต้องหิวมากแน่ ๆ ก็เลยฝากขนมให้ไปกินระหว่างทาง ส่วนอาจารย์ใหญ่กับคุณครูคนอื่น ๆ ฝากกำลังใจมาให้”


“ขอบใจนะ” เจ้าของร่างสูงยิ้มก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน


“บ้านเงียบจัง แม่กับพี่ฝนไม่อยู่เหรอ”


“อือ พี่ฝนพาแม่ไปคุยกับป้าเจ้าของที่ข้าง ๆ น่ะ” พายุพัดบอกพลางมองไปตามแสงไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ “เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งนานจะย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว”


“น่าใจหายเหมือนกันนะ”


“เห็นว่าลูกสาวสอบเป็นข้าราชการได้ที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะพาแม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นป้าแกก็ต้องอยู่ที่นี่คนเดียว”


“แล้วบ้านกับที่ทางทางนี้ล่ะ”


“ก็คงจะขายนั่นแหละ”


นคินทรพยักหน้า เดินตามเจ้าของบ้านไปจนถึงเรือนพักหลังสุดท้าย อาศัยความคุ้นเคยจัดการวางสัมภาระแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ถือโอกาสถามในสิ่งที่ยังสงสัย


“ที่จริงแค่สระว่ายน้ำถอดประกอบ เอาเงินเราไปซื้อก็ได้นะ ถ้าใช้เงินจำนวนไม่มาก อาจารย์ใหญ่กับคุณครูคนอื่น ๆ ก็พร้อมจะสนับสนุนอยู่แล้ว ทำไมต้องไปนำเสนอโครงการกับบริษัทใหญ่ด้วยล่ะ”


“เงินของนายอาจจะซื้ออุปกรณ์ทำสระว่ายน้ำถอดประกอบสำหรับเด็ก ๆ ที่นี่ได้ แต่อย่าลืมว่านายคนเดียวช่วยทุกคนในประเทศนี้ไม่ได้หรอก” พายุพัดตอบ “เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่สังคมควรต้องรับรู้ว่ายังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่อีกเยอะ อีกอย่างทุนนี้ก็เป็นทุนที่บริษัทนั้นกับองค์กรภาครัฐทำความรวมมือกันมอบให้เป็นสาธารณประโยน์ในรูปแบบของเงินทุนทุกปีอยู่แล้ว แต่มีเงื่อนไขว่าใครที่จะขอก็ต้องมานำเสนอโครงการที่ทำได้จริงในงบประมาณที่ไม่เกินไปจากเงินทุนที่เขาสามารถให้ได้”
   

“ดูนายตั้งใจจังเลย ไม่คิดจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแน่แล้วใช่ไหม”


พายุพัดไม่ตอบ ในหัวกลับนึกถึงข้อความที่ส่งถึงชลชาติเมื่อครั้งที่ตั้งปณิธาณอย่างแน่วแน่ว่าจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ
   

“ต้นเดือนหน้าเราจะแวะไปหานะ”


“ตกลงจะสมัครเป็นอาจารย์ที่คณะเหรอ”
   

“เราคงไม่ได้สมัครหรอก เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ฝากขอโทษอาจารย์ทวีด้วยนะ”
   

“ว่ายังไง” นคินทรถามซ้ำ
   

“เบื่อกรุงเทพฯ แล้วน่ะ เราไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเห็นแต่ตึกสูง ๆ เราอยากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นภูเขามากกว่า” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ



ขอบคุณสำหรับการติดตาม


เดิมคิดไว้ว่าจะให้จบเรื่องราวตามที่กำหนดไว้ในพล็อตภายในครึ่งนี้ค่ะ
เพื่อให้จบพาร์ทตั้งใจ คือไปให้ถึงเสนอโครงการและเรื่องหลังจากนั้นอีกนิดหน่อย
แต่พอเขียนแล้วมันมีรายละเอียด เริ่มยาว ตอนที่ 11 นี้เลยจะจบอยู่ที่ตรงนี้นะคะ
ขอตัดที่เหลือไปรวมกับตอนหน้า และขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 23:12:48 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เจอม่อนแล้ว พายก็คงไม่อยากห่างกันอีก เกาะติดขนาดนี้ม่อนก็ช่วยพิจารณาด้วย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
การที่อยู่กับสิ่งที่เรารัก ไม่จำเป็นต้องหรูหราหรอกนะ แค่มีใครสักคนอยู่ข้างๆ ด้วยกัน ฮิ้วววว
อบอุ่นจังเลยคู่นี้
 :z2: :z2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ม่อนนี้ยังไงนะ มีใจหรือป่าว :ling1:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ได้อยู่ใกล้กันแล้ว

พายต้องมั่นทำคะแนเยอะๆ นะ :hao3:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
พายก็จะมีการอ่อยม่อนไปเรื่อยๆ 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ชอบพายเวอร์ชั่นนี้จัง ละมุนๆดี :o8:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป


ถือเป็นโชคดีของนคินทรที่การนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนจัดขึ้นในตอนเช้าวันอาทิตย์ เขาจึงไม่ต้องลางานและมีเวลาพอที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวในช่วงคืนวันเสาร์ก่อนจะต้องเดินทางกลับหลังจากได้นำเสนอเรียบร้อยเพื่อให้ทันทำงานในเช้าวันจันทร์ ทันทีที่ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง พายุพัดก็ได้รับโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง เขากดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่ายตั้งแต่ลงเครื่องกระทั่งเดินไปตามทางที่มุ่งสู่อาคารที่พักผู้โดยสาร นคินทรมองมือข้างที่สวมกำไลเงินรูปปลาคู่ซึ่งกำโทรศัพท์แน่น แม้จะถามคำตอบคำเป็นปกติแต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว คนที่ปลายสายคงต้องเป็นคนคุ้นเคยที่มักทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นแน่


“เออ จะถึงแล้วเนี่ย อย่าเร่งสิ คนเยอะ เดินเร็วได้แค่นี้” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะกดตัดสาย หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาบอกคนเดินข้าง ๆ “เพื่อนเรารออยู่ข้างนอกแล้วละ”


“เดินไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเพื่อนรอนาน”


“ไม่เป็นไร ไปด้วยกันนี่แหละ เราอยากให้นายเจอเพื่อนเรา” พายุพัดบอก


นคินทรเพียงแต่พยักหน้า เดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งออกสู่บริเวณที่พักผู้โดยสาร เห็นคนมาด้วยกันยกมือขึ้นโบก ไม่นานใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้น


“ที่แท้ก็มีนนี่เอง” ชายหนุ่มยิ้ม ดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง


“ม่อนนี่เองคนที่พายบอกว่าจะให้มาช่วยนำเสนอโครงการ ก็ว่าอยู่ว่าหน้าอย่างฉลามหินนี่จะพูดได้เกินห้าประโยคหรือเปล่า ได้ม่อนมานำเสนอให้ แบบนี้ต้องผ่านแน่ ๆ เลย”


“ทีอย่างนี้ละไม่รีบ” คนหน้านิ่งแทรกขึ้น


“เออ ขอคุยกับม่อนหน่อยสิ นาน ๆ เจอกันที” ชลชาติบอก


“เราไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก”


“แต่งานนี้ไอ้พายมันหวังไว้มากเลยนะ”


นคินทรพยักหน้า เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขารับรู้มาโดยตลอด


“ไปกันเถอะ”


“จะรีบไปไหนวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว


“เดี๋ยวม่อนถึงบ้านมืด” คนพูดน้อยตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำไป...


พายุพัดละสายตาจากเจ้าของรถที่เพิ่งหยุดบ่นเรื่องการจราจรบนถนนวิภาวดี-รังสิต มองผ่านกระจกมองหลัง เห็นนคินทรกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง อดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เพราะอยู่บนเครื่องบินเขาก็เอาแต่ทำเช่นนี้ ดูพูดน้อยกว่าทุกครั้งที่พบกัน


“ไม่ให้เราไปส่งที่บ้านจริง ๆ เหรอม่อน” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“รถติดขนาดนี้ เราไปเองดีกว่า มีนส่งเราตรงที่ป้ายรถเมล์ที่บอกนั่นแหละ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซีต่อไปเอง”


ชายหนุ่มพยักหน้า มองเพื่อนเก่าผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่งแล้วย้ายกลับไปมองทางต่อ “ไม่คิดจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ บ้างเหรอม่อน คุณลุงหมอกับคุณป้าวาสนาคิดถึงแย่แล้วมั้งป่านนี้”


“พ่อกับแม่ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน” นคินทรตอบเสียงเรียบ ยังคงมองออกไปนอกกระจก


“เออ เห็นพายบอกว่าม่อนเรียนห้องเดียวกับพายก่อนที่พายจะย้ายมาเรียนกรุงเทพฯ เหรอ”


“อือ” คนถูกถามรับคำในลำคอ


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“เราย้ายโรงเรียน แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่เชียงใหม่น่ะ”


“จริงเหรอ อย่างนี้ม่อนก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกับพ่อเราน่ะสิ พ่อเราจบเภสัช แล้วเป็นยังไงบ้าง เป็นเด็กกรุงเทพฯ ไปเรียนเชียงใหม่ โดนแกล้งอะไรไหม พ่อเราเล่าให้ฟังว่าไปถึงก็โดนเลย จะไปจีบสาวคณะทันตะ ก็เลยให้เพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่สอนพูดคำเมือง เพื่อนก็ดี๊ดี ช่วยสอนให้”


“แล้วเป็นยังไง” นคินทรหันมาฟังอย่างสนใจด้วยรู้ว่าแม่ของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นทันตแพทย์แต่เป็นพยาบาล


“ไปถึงพ่อก็เอาดอกไม้ไปยื่นให้แล้วบอก เธอ ๆ น่าง่าวจัง”


ทั้งนคินทรและพายุพัดต่างพากันหัวเราะพรืด


“โดนสาวไล่ตะเพิด ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้ากลับไปเหยียบคณะทันตะอีกเลย” ชลชาติเล่าไปยิ้มไป นึกถึงเจ้าของร้านขายยาร้านใหญ่ย่านติวานนท์ “แล้วม่อนล่ะ โดนแกล้งอะไรบ้างไหม”


“อืม...เคยโดนหลอกให้ไปซื้อน้ำบ่ดายปั่น”


“น้ำอะไรนะ” หนุ่มเมืองนนท์ทวนคำ


“น้ำบ่ดาย” พายุพัดตอบแทน “แปลว่าน้ำเปล่า”


“นั่นแหละ จนแม่ค้าต้องติดป้าบอกว่าอย่าแกล้งให้เพื่อนมาสั่งน้ำบ่ดายปั่นเพราะมันไม่มี ดีไม่ดีจะถูกด่ากลับ แต่นี่ยังน้อย บางคนโดนให้ไปซื้อน้ำอย่างอื่น หลบกระบวยแทบไม่ทัน”


“เออ ๆ ตลกดีว่ะ” ชลชาติหัวเราะ “ไอ้พายนี่ก็ใช่ย่อย”


“อะไร” เจ้าของชื่อหันขวับ


“ก็ตอนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนใหม่ ๆ ไง นายไม่พูดอะไรเลย จนบางทีเราก็นึกสงสัยว่าขี้เก๊กหรือ...” คนพูดนิ่งนึก “ภาษาเหนือเขาเรียกอะไรนะ คนที่ไม่รู้สึกไม่รู้สา ถูกด่าก็ยังเฉยน่ะ”


“มีน...” พายุพัดลากเสียงเป็นเชิงปราม


“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียม” นคินทรบอก


“เออ ๆ นั่นแหละ ๆ ก็เลยโดนหลอกให้ไปโบกรถไฟฟ้า”


“โบกรถไฟฟ้า?”


“อือ วันนั้นจะไปสยามกัน แล้วด้วยความที่ไอ้พายมันเข้ามาเป็นรุ่นน้องไง พวกเพื่อน ๆ เราก็เลยถือโอกาสสอนไอ้พายโบกทั้งแท็กซี รถเมล์ แล้วก็รถไฟฟ้าเสียเลย”


“มีน...พอแล้วมั้ง” พายุพัดยกมือห้ามแต่ก็ถูกชลชาติคว้าหมับเข้าที่ข้อมือซึ่งไม่เคยว่างจากกำไลรูปปลา


“ไม่ต้องห้ามเลย เรื่องนี้มันต้องเล่าสู่กันฟัง” พูดจบก็ย้ายมืออีกฝ่ายไปวางบนตักของผู้เป็นเจ้าของแล้วมองนคินทรผ่านกระจกมองหลัง “พอเห็นรถไฟฟ้าใกล้จะมาถึงเพื่อน ๆ ก็ส่งไอ้พายออกไปโบก ไอ้พายก็ซื่อไง ให้โบกก็โบก เลยโดน รปภ. เป่านหวีดไล่”


“มีน...”


ชลชาติยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบ “หน้าง่าว”


“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียมน่ะนายมากกว่า” พายุพัดถอนใจสลัดให้หลุดจากสัมผัสของอีกฝ่าย


“ทำงอน ๆ”


นคินทรละสายจากสองคนที่กำลังหยอกล้อกัน มองไปนอกกระจกเห็นว่าใกล้ถึงป้ายรถเมล์ที่เขาจะต้องลงจึงเตือนชลชาติอีกครั้ง เมื่อรถจอดเทียบบาทวิถีชายหนุ่มก็เตรียมสะพายเป้ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถ


“ขอบใจนะมีน” พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตู แต่ต้องชะงักเพราะอีกคนที่หันมาเรียก


“ม่อน ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”


เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วกล่าว “พรุ่งนี้เจอกัน”


พายุพัดมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองข้างจนกระทั่งรถเคลื่อนกลับเข้าสู่เส้นทางจราจรที่แสนคับคั่งอีกครั้ง ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ฮัมเพลงเบา ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังบ่นเรื่องรถติดไม่หยุดปาก
ไม่รู้เสียงฮัมเพลงหยุดไปตอนไหน จู่ ๆ ชลชาติก็เอ่ยขึ้น “กับเราไม่เห็นเคยพูดแบบนี้บ้างเลย”


“พูดอะไร”


“ก็...” ทำยืนหน้าเข้ามาใกล้แล้วส่งสายตาวิบวับ “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ”


“ไอ้มีน” คนพูดน้อยมุ่นคิ้ว ตะปบมือแล้วดันหน้าตี๋ออก “ไปห่าง ๆ”


“แหม...ใช่สิ กับเราละอยากให้ไปห่าง ๆ แต่กับบางคนน่ะใจลอยตามเขาไปถึงไหน ๆ”


พายุพัดถอนใจเฮือก เสมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง


“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ม่อนนี่เอง คนที่ทำให้ฉลามหินของเราหวั่นไหวได้”


“ขืนยังพูดมาก ต่อไปจะไม่เล่าอะไรให้ฟังแล้ว”


“พูดน้อยแบบนายก็ไม่ไหวนะ ระวังเถอะ ไม่บอกให้เขารู้ คนอื่นจะมาคาบไปกิน”


พายุพัดฟังเพื่อนพูดแล้วพลันนึกถึงคำพูดของอาจารย์เมธีขึ้นมา...


“ต้องถามตัวเองก่อนว่าเธอเป็นประเภทไหน บางคนแอบชอบแล้วต้องการบอกให้เขารู้ อยากให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาของเขา ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา ส่วนบางคนก็ขอแค่ให้ได้บอก ไม่กลัวผลที่จะตามมา ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเงียบ”


...ถึงตอนนี้ก็ยังค้นไม่พบว่าตนเองเป็นคนประเภทไหน


“กลัวเหรอ”


“อือ” ชายหนุ่มตอบตามตรง นั่นเพราะชลชาติเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเลือกที่จะคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย    


“กลัวอะไรวะ กลัวว่าเขาจะไม่คิดเหมือนกันเหรอ”


พายุพัดส่ายหัว “กลัวถูกเกลียด”


“พายเอ๊ย... เราว่าม่อนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก อย่างน้อยถ้านายบอก นายก็ไม่ต้องอึดอัดใจที่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว ส่วนม่อนเองก็จะได้รู้ว่านายคิดแบบไหน ถ้าไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไรนี่ เป็นเพื่อนกันต่อไป ดีเสียอีก ต่างคนจะได้รู้ว่าควรปฏิบัติต่อกันยังไงหลังจากนี้”


คนฟังถอนหายใจรอบที่ล้าน “ถ้ามันง่ายอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดีสิ”


...


ในวันรุ่งขึ้น ชลชาติ พายุพัด และนคินทรนัดพับกันที่อาคารพีเอสบนถนนรามคำแหงซึ่งเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิก่อฝันปันสุข” ก่อตั้งโดยคุณปัณณ์ สุขวิบูล ประธานบริษัท พี เอส สปอร์ต จำกัด บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา มูลนิธินี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลาย ๆ หน่วยงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางด้านกีฬาและนันทนาการภายในประเทศ ในแต่ละปีมูลนิธิก่อฝันปันสุขจะพิจารณามอบเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ จำนวน 10 ทุน โดยมีการกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในปีนี้มีผู้เสนอโครงการกว่า 30 โครงการ มีโครงการที่ผ่านการพิจารณาในรอบแรกซึ่งเป็นการพิจารณาจากเอกสารรวม 17 โครงการ ซึ่งจะต้องมานำเสนอกันในวันนี้


พายุพัดเดินนำเข้าไปภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาจากทั่วสารทิศ บ้างจับกลุ่มซักซ้อม บ้างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกัน ชายหนุ่มกวาดตามองขึ้นตามแนวที่นั่งซึ่งลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ด้านหน้าสุดเป็นที่สำหรับคณะกรรมการ ส่วนถัดขึ้นไปจัดไว้ให้ผู้มานำเสนอและผู้ที่สนใจเข้าฟัง เมื่อพบที่นั่งว่างสามคนจึงพากันเดินขึ้นไปตามช่องทางด้านข้าง วางสัมภาระแล้วนั่งลง   


“มาได้ไงวะ” ชลชาติพึมพำกับตัวเองเมื่อจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ผลักประตูบานใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่พวกเขานั่งเข้ามา


“ใคร” พายุพัดถาม


“ไอ้ธรรม์”


นคินทรมองสองคนก่อนจะเบนสายตาไปยังเจ้าของร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตผูกเนคไท ผมเผ้าจัดแต่งทรงดูเนี้ยบ ผิดกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ ชายคนนั้นกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดตรงที่พวกเขานั่ง พลันริมฝีปากก็เกิดรอยยิ้มยากจะคาดเดาความคิด ครู่หนึ่งก็มีอีกคนเดินตามเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสูทดูภูมิฐาน ชายคนที่อายุน้อยกว่าผายมือเชิญ จากนั้นจึงเดินตามไปส่งจนถึงที่นั่งซึ่งมีป้ายชื่อติดกำกับ


“ลืมไปเลยว่ะว่าอาจารย์ธนิตก็เป็นคณะกรรมการของมูลนิธินี้”


“ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดตอบสั้น ๆ


“ใครเหรอ” คนที่นั่งถัดเข้าไปด้านในเอ่ยขึ้น รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็นึกว่าออกว่าเคยเจอชายหนุ่มผู้นั้นที่ไหน


“เพื่อนเก่าน่ะ”


นคินทรพยักหน้า พายุพัดยังไม่ทันอธิบายต่อ คนที่กำลังถูกกล่าวถึงก็เดินมาหยุด ถือโอกาสนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้า ใช้เท้ายันพื้นหมุนเก้าอี้เพื่อหันกลับทักทาย 


“ไง ได้ข่าวว่าพวกนายก็มานำเสนอโครงการกับเขาด้วยเหรอ” ธรรม์ณธรว่าพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนัก วางท่าราวกับเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่


พายุพัดตอบอือ ส่วนที่เหลือนั่งฟังเฉย ๆ


“ยากหน่อยนะ เห็นอาจารย์ธนิตบอกว่ามีแต่โครงการน่าสนใจทั้งนั้น อันที่จริง...ถ้านายลองใช้ความมีชื่อเสียงให้เป็นประโยชน์ ขี้คร้านบริษัทดัง ๆ จะพากันวิ่งเข้าหา” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “อ้อ...เราลืมไป นายประกาศอำลาวงการไปแล้วนี่ ตอนนี้ชื่อเสียงพวกนั้นมันไม่เหลือแล้วสินะ”


“ไอ้ธรรม์” ชลชาติเตรียมจะลุกขึ้นแต่ถูกเพื่อนรักรั้งไว้


“นายเองก็อีกคน” ธรรม์ณธรชี้หน้าอาจารย์หนุ่ม “ไว้ให้เราเข้าไปเป็นเลขารองคณบดีได้เมื่อไร นายเตรียมตัวตกกระป๋องได้ จะได้รู้รสชาติว่าการเป็นคนที่ถูกมองข้ามมันเป็นยังไง” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็หัวเราะหึก่อนจะเดินจากไป


“ดูท่าทางเขาคงไม่นับพวกนายเป็นเพื่อนหรอกมั้ง” นคินทรว่า


ชลชาติถอนใจ “สงสัยจะเจองานหินแล้วว่ะไอ้พาย”


พายุพัดมองตามธรรม์ณธรซึ่งขณะนี้เดินไปหยุดที่ด้านหลังโต๊ะของคณะกรรมการ ในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก มือใหญ่เผลอกำแน่น แต่แล้วมือของอีกคนที่วางลงมาบนบ่าก็ทำให้ได้สติ


“ไม่เป็นไรน่า” นคินทรยิ้ม


เมื่อการนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนเริ่มขึ้น เจ้าของโครงการแต่ละโครงการต่างเตรียมพร้อม ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับการนำเสนอ ทั้งโมเดลตัวอย่าง รวมถึงแบบแปลนต่าง ๆ ในกรณีที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่นานข้อมูลทางสถิติและตัวหนังสือมากมายก็ถูกทยอยฉายขึ้นให้เห็นบนฉากรองรับขนาดใหญ่กลางเวที


“ตื่นเต้นไหม” พายุพัดหันมาถามคนนั่งข้าง ๆ


“สบาย ๆ” นคินทรไหวไหล่ก่อนจะวางมือบนแขนของอีกฝ่าย


“มือเย็นเฉียบยังว่าสบาย ๆ”


“ก็เหมือนสอนหน้าชั้นเรียนหรือยืนรายงานหน้าห้องนั่นแหละ นายอยากลองไหมล่ะ”


“นั่นแหละที่เราเกลียด ถ้าเราทำได้คงไม่ขอร้องให้นายมาหรอก”


“คุยอะไรกัน ขึ้นไปเตรียมตัวได้แล้ว” ชลชาติเตือน


นคินทรจึงลุกขึ้น เดินไปรอที่ข้างเวที เขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอยู่ครู่หนึ่ง รอผู้นำเสนอโครงการก่อนหน้าลงจากเวทีจึงก้าวขึ้นไปแทนที่ ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังโต๊ะสำหรับวางเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่ไม่ได้นำอุปกรณ์เหล่านี้ติดตัวมา รอเจ้าหน้าที่เทคนิคตั้งค่าต่าง ๆ เรียบร้อยจึงคว้าไมโครโฟนก้าวออกมายืนตรงกลางเวทีแล้วกล่าวทักทายทุกคน


“สวัสดีครับ ผมชื่อนคินทร ปฐวิพัฒน์ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดครับ พ่อของผมเป็นนายทหาร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน พวกเราย้ายตามพ่อไปอยู่ที่จังหวัดน่านตั้งแต่ผมจบป.หก”


ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ในตอนแรกนั้นคืองุนงงกับวิธีการนำเสนอของคนบนเวที แต่นานเข้าความฉงนสนเท่ห์ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นการฟังอย่างตั้งใจ


“ผมเริ่มเรียนชั้นมัธยมที่จังหวัดน่านจนกระทั่งถึงม.สี่ พ่อก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น หลังจากผมเรียนจบปริญญาตรี ผมก็ตั้งใจว่าผมจะต้องกลับมาที่น่านอีก เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ ที่หลังรักจังหวัดนี้ไปเสียแล้วละครับ ผมกลับมาที่น่านในสถานะใหม่ ไม่ได้เป็นนักเรียนเหมือนก่อน แต่เป็นครู” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสเพื่อสั่งเลื่อนสไลด์รูปภาพที่ได้บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พลันภาพต่าง ๆ ที่ทั้งเขาและพิทักษ์ช่วยกันเตรียมก็ปรากฏขึ้นบนฉากด้านหลัง


พายุพัดนั่งหลังตรง ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างสูงบนเวทีที่ใช้วิธีการเล่าด้วยภาพและเล่าอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่สภาพทั่วไปของท้องถิ่น ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน รวมถึงการยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าพื้นที่เล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ขาดแคลนสิ่งใดบ้าง อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าแม้นคินทรจะไม่ใช่คนในท้องถิ่นแต่กลับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ดีกว่าคนที่เกิดและโตที่นั่นอย่างตนเองเสียอีก


“แต่ผมเป็นครูที่ว่ายน้ำไม่เป็นครับ พ่อของผมท่านเคยสัญญาว่าจะสอนผมว่ายน้ำ สุดท้ายท่านก็งานยุ่งจนไม่มีเวลา และผมเองก็ไม่เคยคิดจะเรียนว่ายน้ำกับใคร...ถ้าหากคนนั้นไม่ใช่พ่อ”


นคินทรนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วเริ่มพูดต่อ “ผมรู้ว่าตอนที่คนเราจมน้ำและกำลังจะตายนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน เด็ก ๆ ที่โรงเรียนของผมส่วนใหญ่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น เพราะบ้านของเราอยู่ท่ามกลางภูเขา พ่อแม่ก็ทำไร่ทำนา แหล่งน้ำที่มีก็คือก็ลำธารที่มักจะแห้งขอดในช่วงหน้าแล้ง แล้วก็ไหลเชี่ยวในช่วงหน้าฝน ทุก ๆ ปีจะมีเด็กประสบอุบัติเหตุจมน้ำอยู่บ่อยครั้ง ผมจึงเป็นตัวแทนนำความหวังของเด็ก ๆ ในอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่งมานำเสนอ นั่นก็คือโครงการสระว่ายน้ำมีขาครับ”


นคินทรยังคงเล่าต่อไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับโครงการและวัตถุประสงค์ ด้านหลังของเขาคือภาพโครงร่างสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบได้ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นภาพรวม และภาพเมื่อแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกจากกัน


“ที่ผมใช้คำว่าความหวังของเด็ก ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกดดันผู้ใหญ่ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างแบกรับเอาความหวังของคนที่อยู่ข้างหลังเอาไว้บนบ่า วันนี้จึงเป็นวันที่เราได้รับโอกาสที่ดีในการเป็นสื่อกลางสะท้อนเสียงที่เคยดังอยู่แค่ในซอกหลืบของหุบภูเขา บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเล หรือบริเวณชายขอบของประเทศ ให้คนอื่น ๆ ได้รับฟัง ผมคิดว่าโครงการแต่ละโครงการล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซ้ำยังนำประโยชน์มาสู่ส่วนรวม หากโครงการเหล่านี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนอย่างถ้วนทั่วก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเรา ๆ อยู่ไม่น้อยครับ”


และเมื่อเขานำเสนอจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องประชุม... 


หลังจากสิ้นสุดการนำเสนอโครงการ คณะกรรมการของมูลนิธิรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสาขาก็พากันเข้าไปภายในห้องประชุมย่อยเพื่อทำการตัดสินและประกาศชื่อโครงการที่จะได้รับทุน


ผ่านไปเกือบ 30 นาที ปัณณ์ สุขวิบูล ก็เดินนำคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิออกมา ชายวัยห้าสิบปีเศษก้าวขึ้นยืนบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นจึงทำการประกาศรายชื่อโครงการที่ได้รับทุนทั้ง 10 โครงการ


“ทำไมไม่มีชื่อโครงการของเราวะ” ชลชาติกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พายุพัดเองก็กำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสูงที่หันมาส่งยิ้มเยาะเย้ย


“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” นคินทรว่า ดวงหน้าของเขาปราศจากความผิดหวัง ซึ่งต่างจากสองคนที่มาด้วยกัน “กลับกันเถอะ” สิ้นเสียงคนที่ดูจะคุมสติได้มากที่สุด อีกสองคนก็พากันลุกออกจากห้องประชุม


พายุพัดเดินดุ่ม ๆ ไปที่หน้าลิฟต์ กำหมัดทุบกำแพงเสียงดังสนั่น “เป็นเพราะเรา” สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะโทษตัวเองแทนที่จะโทษว่าเป็นฝีมือของธรรม์ณธร


นคินทรก้าวไปหยุดยืนใกล้ ๆ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง “ไม่ได้เป็นเพราะใครหรอก ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ที่ไม่ได้ก็เพราะว่าเขาไม่เลือกเรา อาจจะเป็นเพราะโครงการของเรายังไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในวงกว้างเท่าที่ควร” พูดจบก็วางมือลงบนบ่าหนาแล้วบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ


“แต่ว่าเด็ก ๆ...” ความรู้สึกหนักอึ้งประดังประเดไม่ต่างจากครั้งยังมีธงไตรรงค์ติดหน้าอก


“ไม่เป็นไร ทุกคนรู้ว่านายตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ถึงพวกเขาจะไม่มีสระว่ายน้ำ ชีวิตของพวกเขาก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่เหรอ เล่นกระโดดหนังยาง ถีบจักรยาน เตะฟุตบอล มีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ เหมือนตอนที่นายชวดเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทุกคนทางนี้ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ มีแต่นายนั่นแหละที่รู้สึกว่าทำให้คนทั้งประเทศต้องผิดหวัง”


“จริงอย่างม่อนว่า นายอย่าคิดมากเลยพาย” ชลชาติเสริม “นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกพวกเราว่า ครั้งนี้เรามาเพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่ายังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่อีกมาก”


พายุพัดคลายมือออก หันมาสบตาทั้งสองคนก่อนจะพยักหน้าเข้าใจในความหมายที่ต่างคนต่างพยายามจะสื่อ


“ถึงกับคอตกเลยเหรอ” จู่ ๆ เสียงที่ไม่มีใครอยากได้ยินก็ดังขึ้น


ธรรม์ณธรเดินจกกระเป๋ามาหยุดที่หน้าลิฟต์ “บอกแล้วไงว่ายากหน่อยนะ” พูดจบก็เอื้อมมือกดปุ่มเพื่อให้ลิฟต์หยุด


“พูดแบบนี้แสดงว่าเล่นสกปรกเหมือนเคยสินะ” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ก็ถ้ามันจะทำให้พวกนายแพ้ทุกทาง จะสกปรกหรือสกปรกกว่านี้เราก็ทำ” คนพูดกล่าวอย่างไม่ยี่หระ


พายุพัดหันขวับ คิดจะตอบโต้แต่ก็ช้ากว่านคินทร


“แบบนี้ก็ง่ายดี” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ในที่สุดก็นึกได้ว่าที่แท้ก็เคยเจอเขาเมื่อตอนที่ได้พบกับพายุพัดเป็นครั้งแรกนั่นเอง


“อะไรง่ายเหรอม่อน” ชลชาติถามซื่อ ๆ


“ง่าย...เวลาที่จะแยกคนเลวออกจากคนดีไง”


“ก...แก!” ธรรม์ณธรกัดฟันกรอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา หันไปก็พบว่าอาจารย์ธนิตกับคณะกรรมและผู้ทรงคุณวุฒิกำลังพากันเดินมาทางนี้ ดวงตาอาฆาตจ้องชายหนุ่มแปลกหน้า แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว “เชิญครับอาจารย์” ว่าแล้วก็ผายมือเชื้อเชิญบุคคลสำคัญเหล่านั้น แล้วปุ่มค้างไว้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกพอดี


“สามคนนี้เขารออยู่ก่อนนี่ ให้เขาไปก่อนสิ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินคู่มากับประธานสูงสุดของ พี เอส สปอร์ต จำกัด เอ่ยขึ้น


“เราไปกันก่อนเถอะครับ พวกนี้เขาคนหนุ่มไฟแรง กำลังวังชายังดีอยู่” อาจารย์ธนิตกล่าวเมื่อพบว่าสองในสามคนคือศิษย์รักของอาจารย์ทวีคู่ปรับคนสำคัญ


“ไม่ได้สิครับอาจารย์ธนิต เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะให้เด็ก ๆ มาว่า ว่าเป็นไม้หลักปักขี้เลนด้วยเหตุผลนี้ไม่ได้” เห็นรองคณบดีทำหน้าเจื่อนเกรงอีกฝ่ายจะเสียหน้าจึงได้กล่าวติดตลก “อีกอย่างผมก็ไม่แก่ขนาดนั้นด้วย ส่วนอาจารย์เองก็อายุน้อยกว่าผมอยู่ตั้งหลายปีนี่นะ”


“ท่านอานุภาพล้อผมเล่นอีกแล้วนะครับ” อาจารย์ธนิตฝืนหัวเราะ


“เชิญอาจารย์ไปกันก่อนได้เลยครับ” นคินทรเอ่ยขึ้น


“อ้อ...คนนี้ที่มาจากน่านใช่ไหม ชื่ออะไรนะ” ผู้อาวุโสถามพลางยกมือขึ้นลูบหนวดอย่างใช้ความคิด


“นคินทรครับ”


“นคินทร ปฐวิพัฒน์ ใช่ไหม”


“ครับ”


เจ้าของร่างสูงใหญ่เพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปในลิฟต์


....
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 00:25:10 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

สามหนุ่มเดินออกจากตึกพี เอส ตอนใกล้เที่ยง ดูเหมือนเรื่องของเพื่อนเก่าบวกกับอากาศร้อนอบอ้าวยิ่งทำให้ชลชาติที่ปกติจะรักษาอาการสุขุมลุ่มลึกตามแบบฉบับผู้คงแก่เรียนร้อนรุ่มหัวใจจนเจ้าตัวเผลอถอนหายใจเฮือก ๆ 


“ยังไม่ทันประกาศผลก็คิดจะเป็นเลขารองคณบดีเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ มองธรรม์ณธรที่เดินไปเปิดประตูรถให้อาจารย์ธนิต จากนั้นจึงหันมาหาพายุพัด “เปลี่ยนใจสมัครเป็นอาจารย์ยังทันนะ พรุ่งนี้วันสุดท้าย”


“ไหนบอกว่าให้เรากลับไปว่ายน้ำเหมือนเดิมดีแล้วไง”


“หมั่นไส้ไอ้ธรรม์มัน สมัครไหม เดี๋ยวเราบอกหาใบสมัครให้กรอก”


“บอกแล้วไงว่าไม่เอา” หนุ่มนักกีฬายังยืนยันคำเดิม


“เขาดูเป็นคนอยู่เป็น เอาตัวรอดได้ดี” นคินทรเอ่ยขึ้น


“ธรรม์เป็นคนเก่ง แต่ใช้ความเก่งในเรื่องไม่ดีเสียเป็นส่วนใหญ่”


“บางทีถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่ถนัดจริง ๆ อาจจะดีก็ได้นะ ตอนนี้มันเหมือนถูกจับให้ทำเพราะคนอื่นคิดว่าเหมาะสม”


“หรือบางทีการที่มันมาเป็นอาจารย์ ต้องมีความรับผิดชอบต่อนักศึกษา อาจจะทำให้มันเปลี่ยนแปลงก็ได้นะ” ชลชาติกล่าว


“เราว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคน เรามีเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่ง เป็นคนไม่เอาอะไรเลย ไม่มีความรับผิดชอบ จนเพื่อน ๆ ในรุ่นลงความเห็นว่าควรจะให้มันรับผิดชอบอะไรบ้าง ปีนั้นทุกคนก็เลยเลือกมันเป็นประธานโครงการค่ายอาสาของภาควิชา แล้วปีนั้นก็เป็นปีที่พังที่สุด พอปีถัดมามันเลือกไปเป็นฝ่ายอาหารมันกลับทำได้ดี ตอนนี้ก็เลยเป็นครูสอนวิชาคหกรรมไปแล้ว สำหรับเพื่อนนายคนนี้ เราว่าแทนที่จะภาวนาให้ภาระหน้าที่เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา สู้มาลุ้นให้เขาค้นเจอสิ่งที่ทำแล้วเหมาะกับตัวเองดีกว่า ถึงวันนั้นทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ”


คนฟังได้แต่ถอนใจ ในขณะพายุพัดรู้ดีว่าทั้งตัวเขาและชลชาติต่างไม่ได้จงเกลียดจงชังธรรม์ณธร ลึก ๆ ยังคงมีความหวังที่จะเห็นเพื่อนได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้จะเป็นความหวังที่ดูริบหรี่ก็ตาม


เมื่อเดินไปถึงที่จอดรถ ชลชาติก็เห็นรถคันหนึ่งแล่นฉิวผ่านไป ชายหนุ่มหยุดมองกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนลับตาจึงเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ กระนั้นก็ยังเงยหน้าขึ้นมองไปในทิศทางเดิมอีกครั้ง


“มีอะไรหรือเปล่ามีน” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของรถไม่กดปลดล็อกประตูสักที


“เปล่า ไม่มีอะไร” พูดจบก็กดเปิดประตูรถ เมื่อทุกคนเข้ามานั่งกันครบจึงเอ่ยขึ้น “ไปสนามบินเลยไหม เราจะไปส่ง” เห็นสองคนพากันพยักหน้าจึงออกรถ


...


พายุพัดมองออกไปนอกผนังกระจก เห็นเครื่องบินกำลังลดระดับลงจนล้อแตะพื้น อดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกของหัวหน้านักบินในยามนี้คงจะโล่งอกที่สามารถนำพาทุกชีวิตสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัย ไม่นานเขาก็ค้อมตัวลงยันข้อศอกกับหน้าขาทั้งสองข้างมองมือตัวเองที่กำลังหมุนกำไลเงินไปมา พลันโกโก้ปั่นแก้วหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า


“อะนี่ กินอะไรหวาน ๆ หน่อยจะได้อารมณ์ดี” นคินทรกล่าว รอกระทั่งอีกฝ่ายรับแก้วทรงสูงในมือจึงนั่งลงข้าง ๆ ยกโกโก้ปั่นขึ้นดูด


“นายว่าเด็ก ๆ จะผิดหวังไหม”


“ไม่หรอกน่า แล้วก็ไม่มีใครทวงขนมคืนด้วย”


คนถามส่ายหัวหันมายิ้ม “ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มาช่วย”


“เราก็ต้องขอบคุณนายเหมือนกันที่ช่วยเตือนสติว่าเราแค่คนเดียวช่วยแก้ปัญหาให้คนอีกมากมายได้ มันต้องอาศัยหลาย ๆ ฝ่ายช่วยกัน”


พายุพัดพยักหน้าก่อนจะยกโกโก้ปั่นขึ้นดูดบ้าง


“เราว่าอร่อยสู้ที่หวานทำไม่ได้”


“อือ” อีกคนครางรับในลำคอ รู้สึกเห็นด้วย


นคินทรพิจารณาแก้วทรงสูงในมือที่มีโกโก้ปั่นอยู่เกือบเต็ม จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “ซูโครสเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ย่อยได้ในลำไส้เล็ก พอย่อยแล้วก็จะได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว คือ กลูโคสกับฟรุกโตส จึงจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย”


พายุพัดเลิกคิ้ว


“สร้างคุณค่าไง คิดแบบนี้จะได้ไม่เสียดายตังค์” ว่าแล้วก็ก้มลงดูดโกโก้ปั่นสูตรเจือจางต่อ เล่นเอาคนมองอดยิ้มไม่ได้


....


เช้าวันจันทร์ มีผู้คนมากมายรอฟังข่าวด้วยใจหวัง ทันทีนคินทรแจ้งผลให้ทราบ ทั้งครูใหญ่ เพื่อนครู รวมถึงเด็ก ๆ ที่รอคอย ทุกคนคนต่างแสดงความรู้สึกผิดหวัง เมื่อมีความคาดหวังแล้วไม่สมหวังก็ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นธรรมดา แต่พวกเขาก็เข้าใจว่ามันคือการแข่งขัน และคำตัดสินของคณะกรรมการเจ้าของเงินทุนถือเป็นอันสิ้นสุด ไม่มีใครทวงคำสัญญา ไม่มีใครทวงความหวังและความฝัน หรือแม้กระทั่งทวงขนมคืน มีแต่ถามหาฉลามพายผู้เป็นตัวตั้งตัวตีริเริ่มโครงการนี้ เจ้าตัวก็กลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านเสียนี่


ส่วนชลชาติ เมื่อพายุพัดปฏิเสธการสมัครคัดเลือกเข้าเป็นอาจารย์ของคณะ ตัวเขาก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป นอกจากจะมีธรรม์ณธรมาคอยปั่นปวนสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจในฐานะเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ยังมีอีกหนึ่งคนที่สร้างความปวดหัวให้ไม่ต่างกัน



“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา เรามีสอน” อาจารย์หนุ่มกล่าวขณะปลายนิ้วยังรัวบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“เราก็ต้องรีบไปหอสมุดเหมือนกัน แต่มีเรื่องสำคัญต้องมาบอกก่อน” หนุ่มศิลปินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวพลางเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะ


“เออ ๆ พูดมา ๆ” ชลชาติเงยหน้าขึ้น


“ตอบมาก่อนว่าพวกนายไปรู้จักลุงเราได้ยังไง”


คนฟังมุ่นคิ้ว “ลุงนายเป็นใครเรายังไม่รู้เลย อาจารย์ฉลองชัย โฆษิตพิศาล คนที่เป็นศิลปินแห่งชาติหรือไง”


“ไม่ใช่สิ ลุงเราเป็นทหารไม่ใช่จิตรกร”


“สรุปว่าลุงนายเป็นใครกันแน่” ชลชาติเริ่มฉุน


“เดี๋ยวเอารูปให้ดู” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเลื่อนหาภาพ “นี่ไง คนข้าง ๆ เรา”


อาจารย์หนุ่มจ้องมองภาพที่หน้าจอ พลันหัวคิ้วก็ขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ รู้สึกคุ้นหน้าชายในเครื่องแบบทหารส่วนอีกคนคือแสนยาซึ่งสวมชุดครุย คาดว่าน่าจะเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร


“จำได้แล้ว เราเคยเจอเขาวันที่พายกับม่อนไปนำเสนอโครงการที่มูลนิธิก่อฝันปันสุข”


“ปิ๊งป่อง ถูกต้องนะคร้าบบบ!!!”


“แสดงว่ารู้อยู่แล้ว แล้วจะถามทำไมวะ” ชลชาติพึมพำ ที่แท้รถเต่าสีนมเย็นที่เห็นในวันนั้นก็คือคันเดียวกับที่จอดแยงตาอยู่หน้าคณะนี่เอง


“ก็เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันไง”


“ลุงนายมีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา”


“ลุงเราเป็นที่ปรึกษาของมูลนิธิ เจ้าของมูลนิธิเขาอยากคุยกับเจ้าของโครงการสระว่ายน้ำมีขาน่ะ”


“แล้วทำไมถึงต้องฝากนายมา”


“ก็บังเอิญลุงเห็นรูปงานแต่งงานเพื่อนเราสมัยมัธยมน่ะ มีม่อนกับพายอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยมาถามเราว่ารู้จักกับพวกนายไหม แล้วคนป๊อปปูลาร์อย่างเราจะตอบว่าไม่รู้จักได้ยังไง”


“ถุย!”


....


นคินทรต้องประหลาดใจเมื่อจู่ ๆ คนที่หายหน้าไปเกือบครึ่งเดือนก็โผล่มาที่บ้าน ตาคมมองตามซูบารุ ฟอเรสเตอร์ที่แล่นเข้ามาจอด ไม่นานเจ้าของรถก็เปิดประตูลงมายืน ใบหน้าของเขาดูสดชื่นมีชีวิตชีวาผิดกับวันสุดท้ายที่กล่าวอำลากันที่บ้านของอีกฝ่าย


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีนโทรมาบอกว่ามีคนอยากสนับสนุนโครงการของพวกเรา” พายุพัดกล่าวอย่างไม่สามารถเก็บอาการดีใจเอาไว้ได้ กระนั้นเมื่อนึกถึงคำพูดของชลชาติแล้วยังขำไม่หาย


“ใหญ่กว่าอาจารย์ธนิตก็ลุงไอ้แสนนี่แหละ พลตรี นายแพทย์อานุภาพ อนุชิตอนันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่ปรึกษามูลนิธิก่อฝันปันสุขและที่ปรึกษาของบริษัท พี เอส สปอร์ต จำกัด”


“นายจำผู้ชายตัวสูง ๆ มีหนวด ที่ทักนายวันที่พวกเราไปนำเสนอโครงการได้ไหม”


“จำได้”


“เขาเป็นที่ปรึกษาของมูลนิธิก่อฝันปันสุขและที่ปรึกษาของพี เอส สปอร์ต”


“ที่ปรึกษาเหรอ”


“ใช่”


“มีนเล่าให้ฟังว่าแสนมาหา บอกว่าลุงของมันอยากคุยกับเจ้าของโครงการสระว่ายน้ำมีขา มีนเลยอาสาไปคุยให้”


“แล้วเป็นยังบ้าง”


“มีนบอกว่าในบอร์ดบริหารของพี เอส สปอร์ต มีการหารือกัน อยากจะต่อยอดโครงการของพวกเรา โดยไม่เกี่ยวอะไรกับมูลนิธิของคุณปัณณ์ เขาอยากสนับสนุนเงินทุนสำหรับทำสระว่ายน้ำถอดประกอบให้กับเด็ก ๆ บนภูเขา โดยให้โรงเรียนที่สนใจเสนอชื่อเข้าไปแล้วเขาจะพิจารณาความเหมาะสมและรวมถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ อีกที มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีครูที่สามารถให้ความรู้กับเด็ก ๆ เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากการจมน้ำและสอนเด็ก ๆ ว่ายน้ำได้ เขาจะเอาโครงการและชุมชนของพวกเราเป็นต้นแบบ”


“เฮ้ย! จริงเหรอพี่” พิทักษ์ที่เพิ่งถีบจักรยานมาหยุดร้องขึ้นด้วยความดีใจ ทิ้งจักรยานโครมแล้วรีบเดินเข้ามาฟัง


“ดีใจด้วยนะ” นคินทรกล่าว


พายุพัดพยักหน้า ยิ้มแก้มแทบปริ ทำอะไรไม่ถูกจนต้องยกมือขึ้นลูบต้นคอ จากนั้นจึงหันไปกอดครูพละที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทนการกอดคนที่ไปนำเสนอโครงการให้


“ดีใจด้วยนะพี่” พิทักษ์ละล่ำละลัก สองคนกอดกันกลม โดยมีนคินทรยืนมองยิ้ม ๆ
เมื่อต่างคนต่างผละออก ครูหนุ่มก็รีบรั้งจักรยานขึ้นแล้วปั่นไปยังสนามฟุตบอลของโรงเรียนเพื่อนำข่าวดีนี้ไปบอกให้เด็ก ๆ รู้ทันที


“ต้องหัดว่ายน้ำแล้วนะ” พายุพัดกล่าวแก้เก้อ


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ยังจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่ประตูบ้านพักครูถูกใส่กุญแจ ส่วนเจ้าแมวสองแม่ลูกก็นอนเอกเขนกอยู่ที่ระเบียง
ชายหนุ่มสองคนเดินขึ้นไปตามลำธาร จนกระทั่งถึงเวิ้งน้ำกว้างเหนือฝายชะลอน้ำ


“ด...เดี๋ยวพาย เรา...เราว่ายน้ำไม่เป็น” นคินทรขืนร่างเมื่อมือหนารั้งข้อมือของตนให้เดินตามกันลงไปในน้ำ


“ว่ายไม่เป็นก็ต้องฝึก ถ้าว่ายไม่เป็นแล้วมีเหตุการณ์แบบนั้นอีกจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไงกัน” พายุพัดออกแรงดึงแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเดินตาม ในที่สุดเจ้าของร่างสูงก็คลายมือออกแล้วหันกลับไปถาม



“เชื่อใจเราหรือเปล่า” พูดจบก็หงายมือ สบตาที่เต็มไปด้วยแววแห่งความหวาดหวั่น


นคินทรมองมือใหญ่พลางถอนใจเฮือก เลื่อนตาขึ้นสบอย่างตัดสินใจก่อนจะวางมือลงบนมือของอีกฝ่าย แล้วเดินตามกันลงไปในแอ่งน้ำขนาดใหญ่


เมื่อระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นความลังเลก็ส่งผ่านมือที่เกาะกุมกันจนพายุพัดรับรู้ได้


“ไม่ต้องกลัว มันไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหรอก” กล่าวพลางหันมองมาที่คนข้างหลัง


“เกือบถึงคอยังว่าไม่ลึกอีกเหรอ” คนว่ายน้ำไม่เป็นเขย่งปลายเท้า พยายามให้ใบหน้าไม่สัมผัสน้ำ


“เกาะแขนเราแล้วลองยกขาขึ้นตีน้ำสิ”


นคินทรมุ่นคิ้ว แต่ก็ยอมทำตามโดยดี ทำเช่นน้ำซ้ำ ๆ โดยที่สองมือยังจับแขนแกร่งเอาไว้แน่น


“อย่างนั้นแหละ ดีมาก” หนุ่มนักกีฬากล่าว จากนั้นจึงค่อย ๆ แกะมือของอีกฝ่ายออก กว่านคินทรจะรู้ตัว เจ้าของร่างสูงก็ขยับห่างออกไปเสียแล้ว


“ม่อน ตีขาไว้แล้วว่ายมาหาเราสิ”


ระยะทางค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่นคินทรก็ทำให้มันสั้นลงด้วยการว่ายท่าลูกหมาตกน้ำเข้าหาคนสอน เป็นเช่นนั้นอยู่หลายรอบ จนกระทั่งในครั้งสุดท้ายแทนที่จะว่ายไปหาคนที่ยืนรออยู่อีกฝั่ง เขากลับว่ายไปที่โขดหินเพื่อหาที่ยืน


“อะไรกัน แค่นี้ก็หมดแรงแล้วเหรอ”


คนหอบแฮกไร้แรงตอบโต้ มองชายหนุ่มที่กำลังว่ายน้ำเข้ามาหา แต่เมื่อถึงกลางทางจู่ ๆ พายุพัดก็หยุดว่ายไปเสียดื้อ ๆ ภาพที่เห็นคือร่างสูงคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ นคินทรจึงตัดสินใจเรียก


“พาย เป็นอะไรหรือเปล่า” แต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ
ไม่รอให้เสียเวลา ครูหนุ่มก็รีบว่ายเข้าไปรั้งตัวอีกฝ่ายให้หงายขึ้น โอบร่างเขาจากด้านหลังแล้วเรียกอีกครั้ง “พาย!”


นคินทรรู้สึกใจคอไม่ดี รีบลากอีกฝ่ายเข้าฝั่ง กระทั่งเท้าสามารถยืนได้จึงค่อยรู้สึกอุ่นใจ แต่แรงที่มีก็ไม่อาจพานักกีฬาตัวใหญ่ผู้นี้ให้ขึ้นจากน้ำได้ ทำได้เพียงพักร่างอีกฝ่ายพิงกับโขดหิน ใช้มือตบลงเบา ๆ บนแก้มของคนไม่ได้สติ


“อย่าเป็นอะไรนะ” ในขณะที่ความรู้สึกร้อนใจเริ่มพลุ่งพล่าน หูก็ได้ยินเสียง


“เก่งมาก”


“แกล้งกันหรอกเหรอ” เจ้าของหน้าซีดเผือดผลักอกอีกฝ่ายก่อนจะเดินหนี แต่สุดท้ายก็ถูกรั้งต้นแขนไว้


พายุพัดออกแรงเพียงนิดก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับมายืนยังจุดเดิมได้ ทันทีที่ดวงตาสองคู่สบกัน จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรง มือใหญ่เลื่อนขึ้นประคองลำคอขาว ตามองริมฝีปากเซียวที่กำลังสั่นระริกเพราะความเย็นของน้ำ ในที่สุดก็ตัดสินใจโน้มหน้าเข้าหาจนเนื้อปากจวนเจียนจะสัมผัสกัน หวังจะส่งผ่านความอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นภายในใจยามได้อยู่ใกล้ชิด


ลมหายใจร้อนที่เป่ารดบนใบหน้าเรียกสติของนคินทรกลับคืนมา เขาใช้มือทั้งสองข้างผลักอกแกร่งก่อนจะหันหลังให้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างรีบร้อน ส่งผลให้ปลายเท้าผลุบลงไปขัดในซอกหินจนต้องชะงักกึก ความรู้สึกเจ็บแล่นร้าวไปทั้งขา กระนั้นก็ยังทนกัดฟัน


“ม่อน เป็นอะไรหรือเปล่า” พายุพัดสาวเท้าเข้ามาใกล้ใช้สองมือยึดที่ต้นแขนของคนเจ็บ


“ไม่เป็นไร” เจ้าของชื่อตอบเพียงสั้น ๆ ค่อย ๆ ชักเท้าออก อาศัยเถาวัลย์รั้งตัวเองขึ้นจากน้ำ   


“เลือดออกนี่” คนที่เดินตามมาติด ๆ เอ่ยขึ้น จากนั้นจึงรีบแย่งรองเท้าจากมืออีกฝ่าย “ขี่หลังเรา เดี๋ยวเราไปส่ง”


“ไม่เป็นไร” นคินทรกล่าวคำเดิมซ้ำ แววตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ยิ่งจุดความกลัวของพายุพัดให้ลุกโชน “ส่งรองเท้าให้เราเถอะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น พายุพัดก็จำต้องคืนรองเท้าให้ ได้แต่เดินตามคนขากะเผลก ตามองเท้าขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ในที่สุดก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวผ่านเลยได้อีกต่อไป มือใหญ่คว้าข้อมือคนเจ็บรั้งให้เขาหยุดเดิน


“ม่อน...ร...เราอยากขอโทษเรื่องเมื่อกี้” 



“ช่างมันเถอะ เรารู้ว่านายอยากให้เราว่ายน้ำเป็น” นคินทรตอบทั้งที่หันหลังให้


“ม...ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่เรา...”


“รีบกลับไปผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งเถอะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน นายยังต้องขับรถกลับบ้านอีก” พูดจบนคินทรก็ดึงมือกลับแล้วเดินต่อ
เป็นครั้งแรกที่ความอ้อมค้อมของอีกฝ่ายตรงไปตรงมาที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงบ้านแทนที่พายุพัดจะทำเสื้อผ้าให้แห้งเสียก่อน เขากลับเลือกที่จะขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ดีใจมาก ๆ ค่ะ ที่ในที่สุดก็ได้เขียนมาถึงตอนนี้

ทนอึดอัดกับความคิดของม่อนมา 12 ตอน

ตอนหน้าจะได้รู้สักที ว่าคนคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่

จากนี้ไปน่าจะเป็นการตอบข้อสงสัยของผู้อ่านในหลาย ๆ ข้อค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 13 ลูกชายนายพลนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 00:29:02 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อะไรยังไง ใจคอไม่ดีแล้วว
อยากให้พายสมหวัง :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หนทางความรักยังมืดมน

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
คนบางเรื่องบุกน้ำลุยไฟยังไงก็ไม่กลัว แต่บางเรื่องเหมือนกับคอขาดบาดตาย
เข้าใจความรู้สึกนั้นนะ กลัวอีกฝ่ายจะเกลียด กลัวว่าถ้าไม่เป็นอย่างที่หวังจะเสียใจ
ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ฝ่ายเดียว
สู้ๆ นะพาย / เป็นเรื่องที่คนเขียนไม่เคยเฉลยความในใจฝั่งม่อนเลย
คนอ่านก็ลุ้น ๆ ๆ ๆ ๆ  มาต่อเร็วๆ เลยนะ
 :katai4:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ม่อนอย่าผลักไสพายสิ กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ขนาดนี้
เอ๊ะ ๆ หรือคิดว่าพายเป็นแฟนชลชาติ

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
โถ่พายเอ้ยยยยยย

ม่อนเริ่มรับรู้ความในใจแล้ว...อีกไม่นานหรอก

มั่นมาหาบ่อยๆ น๊าาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ม่อนทำให้พายเสียใจอีกแล้ว  เห็นใจทั้งคู่นะแต่ทำไมเราอยากให้พายคู่แสนยาค่ะ555

รอลุ้นความรักที่ซับซ้อนของผู้ใหญ่ค่ะ  ทีมพายแสนยา อิอิ

ขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล


ภาณุที่กำลังลงกลอนประตูต้องยืดตัวขึ้นหรี่ตามองเมื่อจู่ ๆ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็แล่นเข้ามาจอดชิดริมรั้ว หลังจากเครื่องยนต์ดับลงสักครู่ เจ้าของรถก็เปิดประตูลงมาในสภาพที่เสื้อผ้ายังคงชุ่มไปด้วยน้ำ     


“ทำไมเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้วะ” เจ้าของบ้านถามอย่างแปลกใจ กระนั้นคนเพิ่งมาถึงมิได้ให้ความกระจ่าง


พายุพัดก้าวมาหยุดแล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”


ภาณุพยักหน้า ก้มลงปลดกลอนเปิดประตูให้เพื่อนเข้ามา จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปในบ้าน


“เกิดอะไรขึ้นวะ”


คนพูดน้อยยังคงนิ่งเงียบ เขานั่งลงที่เคาน์เตอร์ มองมือซึ่งประสานกันอยู่ตรงหน้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร     


“เอาเบียร์หน่อยไหม แต่มีโควตาอยู่แค่สองกระป๋องนะ เมียให้กินอาทิตย์ละเท่านี้” ภาณุบอก ไม่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ เดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปเปิดตู้เย็น จากนั้นจึงหยิบเบียร์ที่มีอยู่เพียงสองกระป๋องแล้วหันกลับมาวางลงบนเคาน์เตอร์ จัดการเปิดกระป๋องหนึ่งยื่นให้เพื่อน


“รถใครจอดหน้าบ้านน่ะพ่อ” น้ำหวานเอ่ยขึ้นขณะเดินลงจากบันได มองผู้เป็นสามีแล้วจึงเบนสายตาไปยังอีกคน “พายหรอกเหรอ แล้วทำไมเปียกไปหมดแบบนี้ล่ะ”


“ไม่มีอะไร” พายุพัดตอบก่อนจะกระดกเบียร์ชนิดไม่เว้นช่วงหายใจ


“เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” ว่าแล้วภาณุก็ใช้นิ้วงัดเปิดอีกกระป๋อง


น้ำหวานเดินมาหยุดข้างผู้เป็นสามี มองเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเขาวางกระป๋องเปล่าลงบนโต๊ะจึงกล่าวต่อ “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าพาย”


“อย่าเพิ่งไปถามมันเลยแม่” พูดจบก็ดันกระป๋องเบียร์ที่ตั้งใจเปิดดื่มเองไปไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย “เอาไว้ให้นายสบายใจก่อน อยากเล่าเมื่อไรค่อยเล่า”


พายุพัดคลายมือจากบรรจุภัณฑ์โลหะที่ยังคงเย็นเฉียบ เงยหน้าขึ้นสบตา รู้สึกขอบคุณที่เพื่อนเข้าใจ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับอีกฝ่ายมากนัก แต่ไม่รู้เพราะอะไรในยามที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้จึงนึกถึงที่นี่เป็นที่แรก


“แม่ขึ้นนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่ออยู่เป็นเพื่อนพายเอง”   


“จ้ะพ่อ แม่ขึ้นไปดูลูกก่อนนะ ถ้าพายจะค้างที่นี่พ่อหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนด้วยล่ะ” น้ำหวานกล่าว หากแต่สายตาของเธอยังจับจ้องที่ใบหน้านิ่งขรึมด้วยความเป็นห่วง


ด้านภาณุเมื่อเห็นภรรยากลับขึ้นไปบนบ้านจึงเดินไปที่ตู้เย็น แหวกขวดน้ำอัดลมและขนมของลูกซึ่งแช่อยู่ช่องล่างสุด หยิบเอาเบียร์กระป๋องที่ซ่อนไว้แล้วกลับมานั่งที่เดิม ชายหนุ่มงัดเปิดกระป๋องจากนั้นจึงยกขึ้นดื่ม พลันหูก็ได้ยินประโยคหนึ่ง...


“เราเผลอ...จนเกือบจะจูบม่อน”


ถ้อยคำเหล่านั้นทำคนฟังถึงกับสำลัก ชายหนุ่มรีบใช้หลังมือซับริมฝีปากก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ที่ดื่มไปได้หน่อยลงบนโต๊ะ มองพายุพัดที่บทจะอมพะนำก็แทบต้องง้างปากกัน บทจะพูดก็พูดออกมาตรง ๆ ไม่มีเกริ่นนำใด ๆ ทั้งสิ้น


“น...นายว่าไงนะ”


“เราเกือบจะจูบม่อน” คนพูดเงยหน้าขึ้น แววตาจริงจังยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


ภาณุถอนหายใจเฮือก “ไปทำอีท่าไหนวะ”


หนุ่มนักกีฬานิ่งงันไปชั่วครู่ นึกถึงแววตาห่วงใยที่ทำให้เผลอไผล ในที่สุดจึงตัดสินใจปริปาก...


....


เป็นอีกวันที่ซีดานสีเทาดำจอดอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ กับห้องสมุดประชาชนซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียวทาทับด้วยสีขาวที่นับวันกาลเวลายิ่งพาให้หม่นหมองลง บ่งบอกว่าไร้ผู้บูรณะมานาน หนังสือเก่าจำนวนมากถูกคัดออกมาจากชั้นวางซ้อนกันบนโต๊ะเพื่อรอการชุบชีวิต ส่วนเล่มที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วถูกนำกลับเข้าชั้นก็มีอยู่ไม่น้อย เหตุที่งานซ่อมแซมหนังสือรุดหน้าไปได้มากก็เพราะสุพักตร์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ได้อดีตสมาชิกชมรมห้องสมุดอย่างนคินทรมาเป็นลูกมือ


“ช่วงนี้มาบ่อยนะม่อน” หญิงวัยสามสิบหกปีกล่าวขณะจัดหนังสือคืนชั้น


“ไม่รู้จะไปไหนน่ะครับ” นคินทรตอบพลางสอดปลายเข็มเข้าในรูที่เจาะไว้ใกล้สันหนังสือ


“ทำไมไม่เข้าเมืองไปหาเพื่อนบ้างล่ะจ๊ะ มาช่วยพี่ซ่อมหนังสือเกือบทุกวันเลย ระวังเพื่อน ๆ จะลืมนะ” บรรณารักษ์สาวกระเซ้า


ชายหนุ่มหยุดมือ ทอดมองกระดาษที่ซ้อนเป็นชั้น ๆ แล้วยึดไว้ด้วยคลิปหนีบกระดาษตัวใหญ่ อดนึกไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาขาดการติดต่อกับเพื่อน ๆ หากนับดี ๆ ระยะเวลาก็คงเท่ากับช่วงที่มาขลุกอยู่ที่นี่ ทั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์และเกือบทุกเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วพบซูบารุ ฟอเรสเตอร์จอดรออยู่หน้าบ้าน


กระแสลมพัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาส่งผลให้อาคารทรงสี่เหลี่ยมอบอวลไปด้วยกลิ่นหนังสือเก่าผสมกับกลิ่นควันไฟที่ชาวบ้านจุดเพื่อไล่ยุงและคลายความหนาวให้แก่วัวควายรวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ กระดิ่งลมที่ห้อยลงมาจากชายคาแกว่งไกวกระทบกันเกิดเสียงดังกังวานเรียกให้นคินทรต้องมองออกไปด้านนอก พบว่าท้องฟ้าว่างเปล่าแต่ยังปรากฏริ้วสีส้มให้รู้ว่ามีดวงไฟลูกใหญ่เคยอยู่ตรงนั้น ในยามนี้ฤดูฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ที่เข้ามาแทนก็คือความหนาวเหน็บของฤดูเหมันต์ แต่บางเรื่องที่ยังคงค้างคาในใจของนคินทรนั้น ไม่รู้ยามไหนจึงจะสามารถสลัดทิ้งและก้าวข้ามมันไปได้ ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจเบา ๆ จากนั้นจงลงมือทำงานที่ค้างอยู่ต่อ


“ตายจริง นี่ยังไม่หกโมงเลย จะมืดแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวกล่าวเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง


“เข้าหน้าหนาวแล้วก็แบบนี้ละครับ”


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้กลับเร็วหน่อยดีกว่านะจ๊ะม่อน กลับค่ำ ๆ แล้วพี่เป็นห่วง”


“ครับ”


นคินทรรับคำเบา ๆ กระนั้นก็ไม่ได้เร่งมือ จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งทุ่ม ข้อความหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์


Prapai: กลับบ้านเถอะ เราจะกลับแล้ว


มือใหญ่วางโทรศัพท์ลงบนที่นั่งข้างคนขับ มองขึ้นไปบนบ้านไม้ใต้ถุนสูงไร้ซึ่งแสงสว่างพลางถอนใจ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คราวนั้นเขาก็มาที่นี่เกือบทุกวันแต่ไม่เคยพบเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง เมื่อถามเอากับพิทักษ์ซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกับนคินทร เจ้าตัวก็ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าอีกฝ่ายไปอยู่เสียที่ไหน ในที่สุดพายุพัดก็รู้สึกว่าคงถึงเวลาที่ตนเองจะต้องยอมแพ้สักที


....


“คุณปัณณ์ต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน ก็เลยอยากให้นายกับม่อนเข้าไปพบช่วงปีใหม่ เขาอยากคุยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่พวกนายริเริ่ม หลังหยุดยาวจะได้สั่งให้ลูกน้องดำเนินการได้ทันที”


ข้อความจากชลชาติทำให้พายุพัดจำต้องหวนกลับไปที่บ้านพักครูในอำเภอสันติสุขอีกหน และผลก็เป็นดังเช่นทุกครั้งคือเขาไม่พบนคินทรที่นั่น ที่ใต้ถุนบ้านไม่มีซีดานสีเทาดำ ซ้ำประตูบ้านใส่กุญแจแน่นหนา ชายหนุ่มก้าวลงจากบันไดเดินไปนั่งลงที่ม้าข้างลำธารซึ่งเริ่มตื้นเขิน ได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานจึงหันกลับไปมอง


“พี่พายมาหาพี่ม่อนเหรอครับ” พิทักษ์ถามเมื่อขี่จักรยานมาหยุด เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ป่านนี้คงถึงกรุงเทพฯ แล้วมั้ง เห็นว่ากลัวรถจะเยอะเลยไปตั้งแต่เมื่อคืน รอบนี้ขับรถไปเองเพราะพาเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้ไปด้วย สงสัยจะเอาเจ้าสองตัวไปทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่”


“บ้านใหม่” พายุพัดทวนคำ


“ก็บ้านที่กรุงเทพฯ นั่นแหละครับ เห็นพี่ม่อนเปรย ๆ มาตั้งนานแล้วว่าถ้าพ่อเกษียณคงต้องย้ายกลับสักที” คนพูดเม้มปากพลางมุ่นคิ้ว “อืม...แต่ผมไม่แน่ใจว่าแกจะขอย้ายหรือว่าจะลาออกกันแน่”


ฟังแล้วให้รู้สึกใจหาย พายุพัดผุดลุกขึ้นแล้วหันมาทางหนุ่มรุ่นน้อง ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น


“อ...อ้าว นี่พี่ม่อนไม่ได้บอกพี่พายหรอกเหรอครับ”


“เปล่า”


“เอ้อ...แต่อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะพี่ พี่ม่อนน่ะรักที่นี่จะตาย” พิทักษ์ยิ้มเจื่อน ๆ


“ม่อนบอกนายหรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไร”


คนถูกถามส่ายหัว


“แล้วนายรู้ไหมว่าบ้านม่อนที่กรุงเทพฯ อยู่ตรงไหน”


คำถามนี้ยิ่งแล้วใหญ่...


....


   Prapai : พรุ่งนี้เราจะเข้าไปพบคุณปัณณ์ที่ตึกพี เอส อยากให้นายไปด้วยกัน



นคินทรอ่านข้อความที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน ถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโซฟา หยิบหนังสือมาอ่านได้ครู่หนึ่งก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นเปิดดูข้อความ เป็นเช่นนี้ซ้ำ ๆ จนผู้เป็นแม่ที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอนหลังบนห้องต้องหยุดมอง


เวลาผ่านไปกระทั่งบ่ายคล้อย เมื่อวาสนากลับลงมาเพื่อเตรียมอาหารเย็นก็พบชายลูกชายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แม้มือจะค่อย ๆ พลิกกระดาษไปทีละหน้า หากแต่ดวงตากลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่ได้ยินเสียงกริ่งเขาก็ผุดลุกขึ้น ขายาวก้าวไปได้หน่อยก็หยุดชะงัก หันหลังกลับเดินเข้าไปในครัวซึ่งอยู่ค่อนไปทางหลังบ้าน เห็นแม่บ้านกำลังร้องเรียกเจ้าแมวเหมียวที่หอบหิ้วกันมาจากต่างจังหวัดจึงเอ่ยขึ้น


“มีอะไรเหรอครับน้าอุ่น”


“เจ้าซ่าหริ่มมันไม่ยอมลงมากินข้าวค่ะคุณม่อน หนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้ เจ้าตะโก้ก็พลอยตามแม่ของมันขึ้นไปด้วย”


“เดี๋ยวม่อนเอาลงเองครับ น้าอุ่นช่วยไปดูที่หน้าบ้านหน่อย ถ้ามีคนมาถามหาม่อน รบกวนน้าอุ่นบอกเขาทีว่าม่อนไม่อยู่ เพื่อนมารับออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า”


หญิงวัยย่างห้าสิบพยักหน้า เธอหยุดยิ้มให้คุณผู้หญิงของบ้านก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“มีอะไรเหรอม่อน”


“ซ่าหริ่มกับตะโก้ไม่ยอมลงมากินข้าวครับแม่ ม่อนจะจับมันลงมา” พูดจบนคินทรก็เดินไปยกเก้าอี้มาวาง จากนั้นจึงปีนขึ้นไปพาเจ้าแมวสองแม่ลูกลงมา “อุตส่าห์จะพามาให้คุ้นกับบ้านหลังนี้ ดันหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้เสียนี่ซ่าหริ่ม”


ชายหนุ่มว่าพลางวางเจ้าสองตัวลงใกล้ ๆ กับชามใส่อาหาร แต่ทั้งเจ้าตะโก้และเจ้าซ่าหริ่มก็ทำเพียงแค่ดมแล้วเดินหนี


“สงสัยจะไม่ชอบที่นี่ละมั้ง เคยอยู่แบบอิสระจะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องกลัวใคร มาอยู่บ้านเราถึงจะปล่อยออกจากกรงก็เหมือนถูกขังอยู่ดี แต่ถ้าจะให้ออกไปเดินข้างนอก แม่ก็กลัวว่าสุนัขของคุณลุงบ้านข้าง ๆ จะไล่ฟัดเอา”


“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวอีกสักพักก็คุ้น” พูดจบก็ตามไปจับเจ้าสองตัว แต่พวกมันพากันกระโดดหนีขึ้นไปบนหลังตู้เสียก่อน นคินทรจึงต้องปีนขึ้นไปบนเก้าอี้อีกครั้งเพื่อจับมันลงมา


“ปล่อยมันเถอะลูก” ผู้เป็นแม่กล่าว กระนั้นลูกชายก็ยังไม่ละความพยายาม
ยิ่งเอื้อมมือเท่าไร เจ้าซ่าหริ่มก็ยิ่งขยับหนีจนเกินจะคว้าถึง ชายหนุ่มได้แต่ยืนครุ่นคิดหาวิธีกระทั่งแม่บ้านเดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง


“น้าบอกเขาอย่างที่คุณม่อนให้บอกแล้วค่ะ แต่เขายืนยันจะรอ เอายังไงดีคะคุณม่อน ให้น้าไปเชิญเขามาข้างในไหมคะ”
ร่างสูงชะงัก ชักมือกลับแล้วก้าวลงจากเก้าอี้ “ไม่เป็นไรครับน้าอุ่น ถ้าเขาอยากจะรอก็ปล่อยเขา” นคินทรตอบเสียงเรียบ


“ใครมาเหรอม่อน”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ แม่อย่าไปสนใจเลย นี่แม่จะทำอาหารเย็นแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวม่อนช่วย” ลูกชายกล่าวพร้อมกับกอดเอวผู้เป็นแม่อย่างประจบ


เมื่ออีกฝ่ายจงใจตัดบทเช่นนั้น วาสนาจึงไม่เซ้าซี้ถามอีก เธอหันไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นไว้รอผู้เป็นสามีซึ่งออกไปพบปะผู้ใหญ่ที่นับถือเพื่ออวยพรและมอบกระเช้าปีใหม่ตั้งแต่เมื่อตอนสาย


กว่าพลตรี นายแพทย์ธรณิณจะกลับถึงบ้านก็เกือบหกโมงเย็น ขณะที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้ว สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนถัดไปไม่ไกล


นายทหารคนสนิทเห็นเป็นคนแปลกหน้าจึงยังไม่กดรีโมตให้ประตูเปิด แต่หันมาถามผู้เป็นนาย


“ท่านรู้จักไหมครับ”


“ไม่เคยเห็นหน้า เพื่อนเจ้าม่อนหรือเปล่า” ธรณินมุ่นคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาผ่านฟิล์มติดกระจกรถยนต์


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะลงไปถามนะครับ” พูดจบคนขับก็ลงจากรถ เดินเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่มเพียงไม่กี่ประโยคก็เดินกลับมานั่งประจำที่


“ว่ายังไง” ผู้เป็นนายถาม


“เขาบอกว่าเป็นเพื่อนคุณม่อนครับ”


“อ้าว แล้วทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”


“แม่บ้านบอกว่าคุณม่อนไม่อยู่ครับ”
   

เจ้าของบ้านชะเง้อมองผ่านซี่ประตูรั้วที่กำลังเลื่อนเปิด เห็นรถของลูกชายจอดอยู่ในโรงรถก็แปลกใจ “รถก็อยู่นี่นา หรือว่าถีบจักรยานออกไปปากซอย บอกให้เขาเข้าไปรอในบ้านก่อนสิ”


“เขาบอกว่ากำลังจะกลับพอดีครับท่าน”


ดวงตาเฉียบคมมองร่างสูงขณะรถเคลื่อนผ่าน และเมื่อเหลียวหลังกลับไป ธรณินก็พบว่าอีกฝ่ายได้จากไปเสียแล้ว ทันทีที่พบหน้าภรรยาและลูก ผู้เป็นเจ้าบ้านก็ลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเสียสนิท


มื้อเย็นในวันที่สองของศักราชใหม่ปรุงโดยภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากดูจะทำให้หมอทหารยศพลตรีเจริญอาหารเป็นพิเศษ แม้จะเทียบไม่ได้กับหลาย ๆ มื้อที่ได้ลิ้มลองยามต้องร่วมโต๊ะกับผู้หลักผู้ใหญ่ แม้เป็นเพียงกับข้าวพื้น ๆ แต่ถูกปากเสียจนต้องเติมข้าวอีกเป็นรอบที่สอง ปากได้รูปอมยิ้มนิด ๆ เมื่อสบตาคู่ชีวิต ยอมรับอย่างยินดีว่าต้นเหตุแห่งความรู้สึกชื่นมื่นในหัวใจส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสชาติของอาหารที่เธอทำ อีกส่วนมาจากการได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก


“กินเงียบเชียว ไม่อร่อยเหรอม่อน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายมือไม่ช่างพูดช่างคุยเท่าที่ควร


“อร่อยสิครับพ่อ ฝีมือแม่อร่อยที่สุดอยู่แล้ว” พูดจบก็ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ พร้อมกับยิ้มให้คนนั่งหัวโต๊ะ


“อร่อยก็ทานเยอะ ๆ จ้ะ กลับมาคราวนี้ม่อนผอมลงไปเยอะเลยนะ” วาสนาบอกก่อนจะเลื่อนจานผักต้มพร้อมน้ำพริกกะปิให้ลูกชาย


“ถ้าอย่างนั้นแม่คงต้องตำน้ำพริกฝากให้กลับไปกินแล้วมั้ง ลูกจะได้เจริญอาหารเหมือนพ่อ” ธรณินพูดในขณะที่มือก็ลูบพุงตัวเองไปด้วย


“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ อยู่ที่โน่นม่อนหาทานได้ ในตลาดก็มีเยอะแยะ ถึงจะอร่อยไม่เท่าที่แม่ทำแต่ก็พอแก้ขัดได้ หลัง ๆ ก็ได้ทานฝีมือแม่เพื่อนอยู่บ่อย ๆ รสชาติใกล้เคียงกับที่แม่ทำเลย” นคินทรกล่าว นึกถึงไปปิ่นโตเถาเล็กใส่ผักต้ม ปลาทูทอดและน้ำพริกกะปิที่ใครบางคนแวะเอามาให้ เขายังเคยชื่นชมต่อหน้าคนทำด้วยซ้ำว่ารสชาติอร่อยถูกปากไม่ต่างจากที่แม่ทำให้กิน


หลังอาหารมื้อเย็นทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเช่นเคย ในขณะที่แม่กำลังรื้ออุปกรณ์เย็บปักถักร้อยออกมาวางบนโต๊ะ พ่อก็กดรีโมตเปลี่ยนช่องเพื่อดูรายการข่าว ส่วนนคินทรยังคงพยายามพาเจ้าซ่าหริ่มลงจากหลังตู้ให้ได้


“ปล่อยมันเถอะลูก อย่าไปบังคับมันเลย” วาสนากล่าวขณะเริ่มตัดเศษผ้า


“ทำไมรึแม่ เจ้าซ่าหริ่มมันเป็นอะไร”


“มันคงแปลกที่จ้ะพ่อ ตั้งแต่มาก็พาลูกหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้ ไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลา”


ผู้เป็นสามีได้ฟังก็พยักหน้าแล้วหันไปหาลูกชาย “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะม่อน อย่าไปบังคับมันเลย อีกไม่กี่วันเดี๋ยวลูกก็กลับแล้ว”


“แต่ม่อนอยากให้มันคุ้นเคยกับบ้านนี้นี่นา” นคินทรบ่น


“ถ้ามันจะคุ้นมันคงคุ้นไปนานแล้วละลูก” พูดจบแม่ก็เงยหน้าขึ้น “นี่อยู่มาตั้งหลายวันแล้วก็ยังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย...ทั้งคนทั้งแมว”


นคินทรที่กำลังเอื้อมมือรั้งตัวเจ้าเหมียวชะงัก หันกลับมามองคนพูด   


“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แม่เห็นตั้งแต่กลับมาม่อนดูเหม่อ ๆ ยังไงไม่รู้”


“เปล่านี่ครับ ม่อนอยู่บ้านเราก็มีความสุขดี” ชายหนุ่มกล่าวพลางก้าวลงจากเก้าอี้แล้วเดินมานั่งลงที่โซฟา “ม่อนยังคิดอยู่เลยว่าอยากจะลาออกแล้วย้ายกลับมาอยู่กับพ่อกับแม่”


“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก” วาสนาจำต้องวางมือจากสิ่งที่ทำแล้วเดินมานั่งลงข้างลูกชาย


“ม่อนจะได้มาอยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่ไงครับ เพราะถึงขอย้ายก็คงไม่ได้กลับมาอยู่กรุงเพทฯ อยู่ดี”


“ลาออกแล้วลูกจะทำอะไร” ธรณินถามพร้อมกับกดปิดทีวี


“ม่อนไปสอนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาของเพื่อนก็ได้ครับ หรือไม่อย่างนั้นก็ไปสมัครเป็นครูโรงเรียนเอกชน”


“ตอนแรกลูกบอกว่าอยากรับราชการที่ต่างจังหวัดไม่ใช่รึ” ธรณินวางรีโมตลงบนโต๊ะแล้วหันมาคุยกับลูกชายอย่างจริงจัง


“ม่อนไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีแล้ว อีกไม่นานพ่อก็จะเกษียณ ม่อนเลยอยากกลับมาอยู่บ้านนี้ เราจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้ายังไงครับ”


ธรณินสบตาภรรยา แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ทั้งเขาและเธอต่างปรารถนา แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่ลูกจะต้องเก็บเอาไปครุ่นคิดและทำให้สัมฤทธิผลในเร็ววัน


“งานที่โรงเรียนหนักเกินไป หรือว่าลูกมีเรื่องไม่สบายใจ บอกพ่อกับแม่ได้นะ” ผู้เป็นแม่บอกพร้อมกับบีบมือลูกชายเบา ๆ “เห็นลูกซึม ๆ ตั้งแต่กลับมาแล้วพ่อกับแม่ไม่สบายใจเลย”


“ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับแม่” ลูกชายยิ้มเจื่อน


“ม่อน...พ่อกับแม่เลี้ยงลูกมาทำไมเราจะดูไม่ออกว่าลูกกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ที่พ่อกับแม่ไม่พูดเพราะคิดว่าถ้าลูกพร้อมแล้วลูกคงจะคุยกับพวกเราเอง” พ่อกล่าวพร้อมกับวาดแขนขึ้นโอบไหล่ “เราไม่เคยปิดบังอะไรกันนะม่อน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพ่อมาซิ”


นคินทรยังคงนิ่งเงียบ อ้อมแขนของพ่อกำลังทำให้เขาอ่อนแอ


“เกี่ยวกับเพื่อนลูก คนที่มายืนรอที่หน้าบ้านวันนี้หรือเปล่า” และคำพูดของแม่ก็ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน


“ม่อน...” ริมฝีปากเม้นแน่นก่อนจะค่อย ๆ คลายออกเมื่อไม่อาจเก็บงำความในใจได้อีกต่อไป “ม่อนคิดว่าม่อนจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้...”


ชายหนุ่มมองมือที่ประสานกันอยู่บนตักผ่านม่านน้ำตา ถ้อยคำที่เขาเพิ่งพูดออกไปนั้นเป็นถ้อยคำเดียวกับที่เคยพูดกับน้ำหวานเมื่อก่อนหน้านี้...



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 23:47:46 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ยืดคอชะเง้อเมื่อคนคุ้นเคยผลักประตูเข้ามา แปลกใจเมื่อเห็นว่าที่นอกรั้วมีเพียงซีดานสีเทาดำจอดอยู่


“มองหาอะไรเหรอหวาน” คนเพิ่งมาถึงเลิกคิ้วพร้อมกับมองตาม


“มองหาอีกคนจ้ะ”


“ใคร” ว่าแล้วนคินทรก็นั่งลงหน้าเคาน์เตอร์


“ก็พายไง ปกติบังเอิญมาด้วยกันนี่นา มีม่อนก็ต้องบังเอิญมีพาย หวานว่าอีกไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวพายต้องมาแน่ ๆ”


“ไม่มาหรอก เราไม่ได้บอกน้องที่โรงเรียนไว้ว่าจะไหน ไม่มีสายคอยรายงาน”


“นี่แสดงว่าม่อนรู้เหรอว่าที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”


คนฟังยิ้ม


“ว้า...ถ้าอย่างนั้นวันนี้โกโก้ปั่นของเราก็ไม่มีคู่น่ะสิ” พูดจบเธอก็หันไปทำเมนูสุดโปรดของเพื่อน ในขณะที่นคินทรเองได้แต่ส่ายหัวก่อนจะหยิบนิตยสารที่วางอยู่ใกล้มือมาเปิดอ่านระหว่างรอ


หลังจากเสียงเครื่องปั่นอาหารสงบลง ครู่หนึ่งโกโก้ปั่นในแก้วทรงสูงก็ถูกยกมาวางตรงหน้า 


“ขอบใจนะ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ” น้ำหวานกล่าวพลางหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนขึ้นมาวางแล้วเท้าคางมองคนตรงข้ามอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “ม่อน...รู้สึกใช่ไหมว่าพายต่างจากคนอื่น”


“ยังไงเหรอ” ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่ดวงตายังคงจดจ่ออยู่กับรูปภาพในหน้านิตยสาร


“กับคนอื่น ๆ พายก็ไม่ได้เป็นพาย...แบบที่อยู่กับม่อน หวานว่าคนเราทุกคนมีเซ้นส์กับเรื่องพวกนี้นะ มันมีบางอย่างที่ใช้แยกคนที่คิดกับเราแบบเพื่อนกับคนที่คิดกับเราเกินกว่านั้นออกจากกัน แล้วพายก็ไม่ใช่คนเก็บความรู้สึกเก่งอะไร...หวานว่าม่อนเองก็น่าจะรู้สึกได้”


คนฟังครางอือในลำคอ “เราถึงได้ทำตัวให้เป็นปกติไง” พูดจบนคินทรก็เงยหน้าขึ้นสบตา “หวานเองหรือแม้แต่เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็อย่าไปแซวพายเลย เราอยากให้ความรู้สึกของพายหยุดอยู่แค่นี้ อยู่ในจุดที่มันควรจะเป็น”


“ใจร้ายจัง นี่รู้มาตลอดเลยใช่ไหม แล้วไม่คิดจะให้โอกาสพายหน่อยเหรอ”


นคินทรส่ายหัวยิ้ม ๆ “เราก็ให้โอกาสแล้วไง ให้โอกาสที่จะเป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เราเชื่อว่าวันหนึ่งพายจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้”


กล่าวอย่างมั่นใจ แต่สุดท้ายก็เป็นเขาต่างหากที่...


“หวานรู้เรื่องพายจากฉาย เห็นสภาพพายตอนนี้แล้วนึกเป็นห่วงม่อนเลยแวะมาดู โทรมาก็ไม่รับสาย ส่งข้อความมาก็ไม่ตอบ รู้ไหมว่าเพื่อน ๆ เป็นห่วงนะม่อน”


“ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ต้องยุ่งยาก”


หญิงสาวมุ่นคิ้ว “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ม่อน...ไม่เป็นไรใช่ไหม”


ชายหนุ่มส่ายหัวไม่ใช่เพราะไม่เป็นอะไร แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่ “ร...เราไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี”


“ม่อน” น้ำหวานกล่าวพร้อมกับจับมือเพื่อน


“ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน ก่อนหน้านี้เราคิดแต่ว่าที่เราเป็นห่วงพายมันคือความรู้สึกที่เพื่อนมีให้กัน ตอนที่เห็นพายจมน้ำถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ เรากลัวแทบแย่ กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก พอรู้ว่าพายเอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อกันเล่น เราก็เลยโกรธมาก ๆ ไม่เคยรู้สึกโกรธใครขนาดนี้มาก่อน”


นคินทรกล่าวพลางนึกถึงตอนที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายจวนจะแตะริมฝีปากของตน ลมหายใจร้อนที่คลอเคลียอยู่บนปลายจมูก และ...ผิวสัมผัสหยาบ ๆ ของกำไลเงินรูปปลาที่เสียดสีอยู่กับต้นคอ “แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ดันไปรู้สึกแบบกับพายนั้น ทั้งที่บอกตัวเองไว้ว่าเราจะจัดการมันได้...”


ใช่ เขาคิดมาตลอดว่าจะสามารถจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ เหมือนที่เคยทำมาแล้วหนหนึ่ง ความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ที่เกิดขึ้นกับใครบางคน เวลานั้นเขาอายุน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำแต่ก็สามารถทำได้ ผิดกับครั้งนี้


“แต่กับพาย…”


“ทำไม่ได้ใช่ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะขยับเข้าสวมกอดร่างเล็ก ในขณะที่น้ำหวานเองก็ยกมือขึ้นลูบบนแผ่นหลังของเพื่อนเพื่อปลอบประโลม


“ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ เราจะไม่ให้โอกาส...”


 “อย่าคิดอย่างนั้นสิม่อน” หญิงสาวแทรกขึ้น “หวานว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่สองคนได้กลับมาพบกัน เกือบสิบปีเชียวนะที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปอยู่เสียที่ไหน ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าใจตรงกันทั้งคู่ แต่ทำไมกลับไม่มีใครมีความสุขเลย มันติดตรงไหนบอกหวานได้ไหมม่อน”


“เรา…”


พลตรี นพ.ธรณินมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อใช้มองลูกชาย ไม่ว่าเขาจะเป็นนายนคินทรหรือเป็นเพียงเด็กชายนคินทรที่ยังพูดจาไม่เป็นภาษา ดวงตาคู่นี้ก็ไม่มีวันแปรผัน แขนแกร่งยังไม่คลายจากไหล่กว้างซ้ำยังกระชับแน่นขึ้นอีก


“พ่อแม่อยู่กับลูกไม่ได้ตลอดไปหรอกนะม่อน คนที่ลูกรักต่างหากจะเป็นคนที่อยู่กับลูกไปจนถึงตอนที่ลูกอายุเท่า ๆ กับพวกเรา ลูกอย่าเอาความกตัญญูหรือหน้าที่การงานของพ่อมาเป็นสิ่งผูกมัดตัวเอง อย่าคิดว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันเพียงเพราะต้องการหนีความรู้สึกที่ตัวลูกนิยามมันว่าไม่เหมาะไม่ควร”


ธรณินสบตาลูกชาย ไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายได้หรือไม่ เลี้ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออก คนเป็นพ่ออย่างเขาย่อมรู้ดี แม้ภายนอกนคินทรจะดูเป็นเด็กหัวอ่อน ร่าเริง แท้จริงแล้วหัวจิตหัวใจนั้นกลับแข็งแกร่งนัก


“แต่ม่อนอยากทำให้พ่อกับแม่มีความสุขในเวลาที่พ่อกับแม่ยังอยู่กับม่อน” ลูกชายกล่าวเสียงแผ่ว


ผู้เป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ส่ายหัว ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงสมัยตนยังเป็นแพทย์ใช้ทุน ที่ขณะนั้นบิดาเป็นเพียงนายทหารชั้นประทวนไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง กว่าจะทำให้เจ้าของร้านขนมยอมรับจนยกลูกสาวให้ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย แต่วาสนาผู้เป็นภรรยาก็ทำให้เขาเห็นว่ายศฐาบรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกนั้นไม่สำคัญไปกว่าความมั่นคงที่คนสองคนมีต่อกัน แล้วนับประสาอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอกและคำที่บ่งบอกชาย-หญิง ในเมื่อความรักเป็นเรื่องของหัวใจไม่ใช่ความถูกต้องหรือเหมาะสม 


“ถ้าลูกไม่มีความสุข พ่อกับแม่จะมีความสุขได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่กล่าว


“พ่ออยากให้ลูกกลับมาอยู่ด้วยกันเพราะลูกอยากมาจริง ๆ แต่พ่อจะบอกไว้นะ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนพ่อกับแม่ไม่เคยนึกน้อยใจ เพราะเรารู้ว่าเมื่อลูกอยู่ที่นั่นลูกได้ทำในสิ่งที่ลูกอยากทำ แล้วมันก็เป็นประโยชน์กับคนอื่นเหมือนที่พ่อเคยสอนลูกตั้งแต่เด็ก ลูกลองกลับไปคิดทบทวนดู ลองใช้ชีวิตอย่างที่ลูกต้องการ ปล่อยความรู้สึกให้หลุดออกจากการถูกควบคุมด้วยคำว่าถูกต้องเหมาะสม แล้วพ่อจะถามลูกอีกครั้ง ว่าแบบนั้นกับแบบที่ลูกทำอยู่ตอนนี้ แบบไหนที่ลูกมีความสุขมากกว่ากัน”


พูดจบพลตรี นพ.ธรณินก็โยกหัวลูกชายเบา ๆ ลุกขึ้นเดินออกไปรับลมที่สวนหลังบ้าน ร่างสูงยืนเอามือไพล่หลัง ทอดตามองต้นวาสนาในกระถางที่ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนให้หวนนึกถึงเรื่องราวสมัยที่เขาและภรรยายังเป็นหนุ่มสาว วาสนายอมทิ้งชีวิตสุขสบายในเมืองกรุงและกิจการร้านขนมของครอบครัวหอบลูกชายตามเขาไปที่จังหวัดน่านและอีกหลาย ๆ ที่เมื่อมีคำสั่งโยกย้าย คนที่มีความสุขที่สุดก็คือเขาที่มีทั้งลูกและภรรยาคอยเป็นกำลังใจไม่ห่าง หากมีคนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็คงเป็นเขาอีกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกยอมเสียสละความสุขของตัวเอง หมอทหารยศพลตรีนิ่งนึกถึงคำพูดไร้เดียงสาในครานั้น


“ม่อนคิดแค่...อยากอยู่กับเพื่อน ๆ ที่นี่ไปจนเรียนจบน่ะพ่อ”


และเขาก็เป็นคนสะบั้นความสุขของลูกลงกับมือ เพียงเพราะความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในท้องถิ่นห่างไกลขาดแคลนหมอ ดังนั้นธรณินจึงไม่ปฏิเสธคำร้องขอของผู้ใหญ่ให้ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนหน้าที่ของพ่อ...ทำได้ดีที่สุดเพียงขอยื้อเวลาให้ลูกได้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ จนหมดเทอมเท่านั้น


....


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 23:51:20 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงสิ้นปีจนถึงหลังปีใหม่เรือนพักริมทุ่งนาก็อ้าแขนต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมามิได้ขาด ผู้คนที่เข้าพักส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนุ่มสาววัยทำงานที่ต้องการการพักผ่อนอย่างแท้จริง ด้วยหวังจะได้มีเวลาเก็บสะสมพลังสำหรับกลับไปต่อสู้กับงานและผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าเดือนข้างหน้า ต่างคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการได้มาพักที่นี่นอกจากจะใกล้ชิดธรรมชาติแล้วยังให้ความรู้สึกราวกับการอาศัยนอนบ้านญาติ นั่นเพราะความเป็นกันเองของพนักงาน รวมถึงคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ที่ใจดีและยังเป็นมิตรกับทุกคน ใครก็ตามที่มาพักจึงมักได้รับความประทับใจและรอยยิ้มกลับไปด้วยเสมอ กระทั่งปลายเดือนมกราคมโฮมสเตย์แห่งนี้จึงมีโอกาสได้รับรองสามีภรรยาวัยเกษียณคู่หนึ่ง


“อากาศดีจังเลยนะพ่อ” ผู้เป็นภรรยากล่าวเมื่อลงจากรถ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแต่อากาศก็ยังคงเย็น หากมาถึงเช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เสื้อกันหนาวตัวบางที่สวมอยู่คงไม่ได้ช่วยอะไรเป็นแน่ เธอกระชับผ้าพันคอที่ลูกชายซื้อให้ก่อนจะเดินไปหาสามีที่กำลังเปิดท้ายเพื่อยกกระเป๋าลง “ไหวไหม มา...แม่ช่วยยก”


“ไม่ต้องหรอกแม่ แค่นี้สบายมาก พ่อยังไม่แก่สักหน่อย”


“ดูพูดเข้า ทำเป็นหนุ่ม ๆ ไปได้” หญิงวัยกลางคนส่ายศีรษะน้อย ๆ “แล้วเมื่อไรจะบอกลูกสักทีว่าเรามา นี่ถ้าลูกรู้ว่านั่งเครื่องมาแถมยังมาเช่ารถขับมีหวังพ่อได้ถูกบ่นแน่ ๆ”


“ก็พ่ออยากมาเดทกับแม่แค่สองคนนี่นา” สามีทำยักคิ้วหลิ่วตา กำลังจะหันไปรั้งกระเป๋าจากท้ายรถก็ต้องหยุดเพราะเสียงของใครคนหนึ่ง   


“ให้ผมช่วยนะครับ” พายุพัดกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ผู้มาเยือน มองเพียงแวบเดียวก็อดคิดไม่ได้ว่าหากพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชายตรงหน้าเป็นแน่ หรือหากจะต่างก็ตรงที่อีกฝ่ายดูภูมิฐานและผิวพรรณดีกว่าชาวนาชาวไร่เช่นพ่อของเขา


“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม” พูดจบก็หลีกทางให้คนขันอาสา


เมื่อยกยกกระเป๋าลากใบย่อม ๆ สองใบออกจากท้ายรถเรียบร้อยลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์ก็หันมาถาม “คุณลุงกับคุณป้าจองห้องพักไว้แล้วใช่ไหมครับ” เห็นทั้งสองคนพยักหน้ารับพร้อมกันจึงกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญข้างในเลยครับ” พูดจบเขาก็เดินนำสองผู้อาวุโสเข้าไปในบ้าน


“พี่ฝนรับแขกด้วยครับ”


ได้ยินเสียงน้องชาย พี่สาวก็เงยหน้าขึ้นจากบัญชีรายรับรายจ่าย ดวงตาสดใสมองร่างสูงที่เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์ เขาวางกระเป๋าสองใบลงจากนั้นจึงกระซิบเบา ๆ


“พายไปช่วยป้านีเก็บของที่บ้านนะ”


“จ้ะ” เพียงพรรษรับคำ จากนั้นจึงยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายผู้ที่เพิ่งมาถึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“คุณลุงคุณป้าจองไว้ชื่ออะไรคะ”


“อืม...ผมให้ลูกน้องจองมาให้ ลืมถามเสียด้วยสิว่าเขาใช้ชื่อใครจอง”


“พ่อนี่...ไม่รอบคอบเลย ไหนบอกยังไม่แก่ไง” ภรรยามุ่นคิ้วล้อ ๆ


“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูเช็กก่อน น่าจะเหลืออีกหนึ่งห้องที่แขกยังไม่เข้ามาพัก” พูดจบเพียงพรรษก็เปิดสมุดดูตารางจองห้องพัก “อืม...ชื่อคนจองคือคุณธรณินค่ะ พลตรี นพ.ธรณิน ปฐวิพัฒน์”


พายุพัดเกือบจะได้ยินชื่อและนามสกุลนั้นหากเขาไม่เดินออกไปข้างนอกเสียก่อน


“อ้อ...ใช่ ๆ นั่นแหละผมเอง” เจ้าของชื่อกล่าวกลั้วหัวเราะ


“จองไว้หนึ่งห้อง สองคืนนะคะ เดี๋ยวหนูให้เด็กช่วยยกกระเป๋าไปให้ ส่วนนี่เป็นคูปองอาหารเช้าค่ะ” หญิงสาวส่งกระดาษแผ่นเล็กให้จากนั้นจึงอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ อีก 2-3 ประโยคจึงหันไปบอกพนักงานให้ยกกระเป๋าไปเก็บที่ห้อง


“ขอบใจนะหนู” ผู้อาวุโสกล่าวจากนั้นจึงพาภรรยาเดินตามพนักงานไปที่เรือนพัก


“เมื่อไรพ่อจะบอกลูกสักที” วาสนาเอ่ยขึ้นหลังจากนำเสื้อผ้าออกแขวนในตู้ จากนั้นก็หันไปยังสามีที่กำลังยืนกอดอกทอดอารมณ์อยู่ข้างหน้าต่าง


ดวงตาเฉียบคมมองแนวเขาที่ปกคลุมไปด้วยปุยเมฆตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้หวนกลับมาที่นี่อีกโดยไร้ซึ่งเหตุจำเป็นใด ๆ เป็นสิ่งบังคับ เหตุผลที่เขากลับมาที่นี่เพียงเพราะคำเชิญของเพื่อนเก่าที่นัดพบปะสังสรรค์กันในยามที่ต่างคนต่างใกล้ปลดระวาง     


“เอาไว้เราไปกินข้าวบ้านพี่น้อยแล้วก็ขับรถชมเมืองเสร็จพ่อค่อยโทรบอก ให้ลูกมาหาเราพรุ่งนี้เช้าดีไหม”


วาสนาโคลงศีรษะ “ไม่ไหวเลยพ่อนี่ ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ”


“ก็พ่ออยากรำลึกความหลังสองคนกับแม่แบบที่ไม่มีลูกมาขัดจังหวะนี่” ธรณินยิ้มพลางเดินเข้ามาโอบกอดหญิงคนรัก “ได้ไหมล่ะ”


ผู้เป็นภรรยาจึงแสร้งมองค้อนแล้วกล่าว “แล้วแต่พ่อเถอะ”


....


กว่านคินทรจะรู้ว่าพ่อกับแม่เดินทางมายังจังหวัดที่เขาอยู่ก็เลยเที่ยงของวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขับรถออกจากบ้านพักครูที่อำเภอสันติสุขทันที แต่แล้วความเร่งรีบก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอ้อยสร้อย เพราะชื่อที่พักที่พ่อบอกนั้นคือปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ ชายหนุ่มผ่อนคันเร่งเป็นระยะกระทั่งเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงเลี้ยวรถไปตามป้ายบอกทาง ไม่นานซีดานสีเทาดำก็มาจอดเทียบข้างซูบารุ ฟอเรสเตอร์


เมื่อนคินทรเปิดประตูลงจากรถก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถนั่งแบบครอบครัวคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด เขามองกระจกหน้าต่างที่เลื่อนลงช้า ๆ จนเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหญิงผู้หนึ่ง เธอหันไปคว้าถุงใส่ของที่อยู่ด้านหลังจากนั้นจึงชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน นคินทรใช้เวลาทบทวนอยู่เพียงนิดก็ยิ้มออกมา


“ป้านีใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ เห็นอีกฝ่ายทำหน้าฉงนจึงกล่าวต่อ “นี่ม่อนไงครับ ม่อนลูกแม่วาสนา”


“วาสนา...” อีกฝ่ายทวนชื่อก่อนจะยิ้มกว้าง “คุณวาดภรรยาคุณหมอธรณินใช่ไหมลูก”


ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ


“โตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ป้าแทบจำไม่ได้เลย แล้วม่อนมาทำอะไรที่นี่ล่ะลูก”


“พ่อกับแม่มาเที่ยวน่านก็เลยมาพักที่นี่ครับ แล้วป้านีล่ะครับมาทำอะไรแถวนี้”


“ป้าแวะเอาขนมกับลูกประคบมาให้ลูกชายบ้านนี้จ้ะ พอดีเมื่อวานเขาไปช่วยเก็บของที่บ้าน ลูกสาวป้าแวะมาเยี่ยมก็เลยให้พามาหน่อย”


นคินทรพยักหน้า


“ป้านีไม่ได้อยู่ที่ตึกแถวในตลาดแล้วเหรอครับ ม่อนเคยแวะไปหาแต่ตึกตรงนั้นกลายเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไปแล้ว”


“ป้าขายให้เขาไปหลายปีแล้วละจ้ะ เอาเงินที่ได้มาซื้อที่ปลูกบ้านแถวนี้ โน่นไงบ้านป้า” พูดจบเธอก็ชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ “ไว้ม่อนชวนพ่อกับแม่ไปเที่ยวสิ แต่อีกไม่นานป้าก็จะย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่กรุงเทพฯ แล้วละ” ป้านีกล่าวด้วยนำเสียงเศร้า ๆ แต่แล้วรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง     
 

“นั่นไง คนที่ป้าจะเอาของมาให้”


เมื่อนคินทรเหลียวกลับไปมองก็พบพายุพัดกำลังเดินเข้ามา ดังนั้นเขาจึงขยับเบี่ยงไปอีกทาง เพื่อให้อีกฝ่ายได้สนทนากับเพื่อนบ้านสะดวกขึ้น


ลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์สบตาคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนานแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้อาวุโส


“ป้าแวะเอาขนมกับลูกประคบมาให้ เห็นเมื่อวานพายบ่นปวดเนื้อปวดตัว ลูกประคบทำใหม่ ๆ ป้าซื้อมาจากคนรู้จักที่เขาทำงานอยู่อนามัย ลองใช้ดูนะลูก”


พายุพัดรับของพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เอ่ยปากชวนป้านีให้เข้าไปในบ้านแต่เพราะอีกฝ่ายเกรงใจลูกสาวที่ขับรถมาให้จึงปฏิเสธคำเชิญนั้นอย่างสุภาพ


“ป้าไปก่อนนะลูก”


ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มสองคนจึงพากันยกมือไหว้และกล่าวอำลาป้านี


แต่ก่อนจะที่กระจกหน้าต่างจะเลื่อนปิด จู่ ๆ อดีตเจ้าของร้านเครื่องเงินก็เอ่ยขึ้น “ม่อนจำได้ไหม ที่ม่อนเคยถามป้าว่าใครมาซื้อกำไลวงนั้นไป ตอนนั้นป้านึกไม่ออกเพราะไม่คุ้นหน้าคนซื้อ แต่ตอนนี้ป้านึกออกแล้ว” ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่อีกคน พลันปลายนิ้วค่อย ๆ เลื่อนลงในตำแหน่งข้อมือข้างขวาที่สวมกำไลเงินรูปปลาคู่ “พายนี่ไง”


นคินทรละสายตาจากคนพูดมองไปยังอีกคนที่ยืนข้าง ๆ รถนั่งแบบครอบครัวเคลื่อนลับตาไปแล้ว แต่ชายหนุ่มสองคนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม   


....


“วันนี้คุณลุงกับคุณป้าไปเที่ยวไหนกันมาบ้างคะ” เพียงพรรษกล่าวทักทายสามีภรรยาที่จูงมือกันเดินเข้ามาในบ้าน


“ลุงกับป้าแวะไปหาเพื่อน นั่งคุยกันตามประสาคนแก่อยู่พักใหญ่ ๆ แล้วก็พากันไปไหว้พระธาตุจ้ะ” ผู้เป็นภรรยาตอบ


“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณลุงกับคุณป้านั่งพักก่อนนะคะ วันนี้แม่ทำน้ำลำไยไว้ เดี๋ยวหนูไปยกมาให้ดื่มค่ะ”


เพียงพรรษบอก จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในครัว ส่วนวาสนานั่งลงที่เก้าอี้หวาย เอื้อมมือเกาคางเจ้าเหมียวสีส้มหนึ่งในสามตัวที่นอนขดเบียดกันเป็นกระจุกอยู่บนโต๊ะ ด้านพลตรี นพ.ธรณิน ก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดยืนที่ผนังด้านหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกรอบรูป ภาพที่อยู่ใกล้ตาที่สุดเป็นภาพเด็กชายสวมห่วงยางมีชายหนุ่มผู้หนึ่งคอยจับ ฉากหลังเป็นน้ำตกที่ไหนสักแห่ง ที่เหลือคือภาพของเด็กหนุ่มสวมกางเกงและแว่นตาสำหรับว่ายน้ำในอิริยาบถต่าง ๆ มีภาพการขึ้นรับเหรียญรางวัลโดยมีนักกีฬาอีกสองคนยืนขนาบข้าง ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นธงไตรรงค์บนอกเสื้อซึ่งแสดงให้รู้ว่าเขาคือตัวแทนของประเทศไทย


“น้ำลำไยหวานเย็นชื่นใจมาแล้วค่ะ” เพียงพรรษกล่าวเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะไปหยุดข้าง ๆ คนที่กำลังยืนมองภาพถ่ายน้องชายของเธอ รอจนเขาหยิบแก้วจากถาดจึงเดินไปหาภรรยาของเขา “นี่ค่ะคุณป้า”


วาสนายิ้มให้ก่อนจะรับแก้วน้ำลำไยแล้วยกดื่ม


“หวานไปไหมคะคุณป้า”


“ไม่เลยจ้ะ หวานกำลังดี”


“ถ้าอย่างนั้นทานเยอะ ๆ นะคะ ถ้าจะรับเพิ่มก็บอกหนูได้เลย” เมื่อหญิงสาวหันหลังกลับเพื่อนำถาดเข้าไปเก็บในครัวก็พบแม่ของตนเดินออกมาพอดี


“แขกว่ายังไงบ้างลูก”


“คุณป้าบอกว่าหวานกำลังดีจ้ะแม่”


ดวงพรพยักหน้า จากนั้นจึงส่งยิ้มให้หญิงวัยเดียวกันที่กำลังเล่นกับเจ้าแมวแฝดสาม “ชอบแมวเหรอคะคุณแม่”


“ลูกชายชอบค่ะ พ่อกับแม่ก็เลยชอบตามไปด้วย”


“ลูกชายบ้านนี้ก็ชอบแมวเหมือนกันค่ะ” เจ้าของบ้านกล่าว


“ลูกชายเป็นนักกีฬาเหรอครับ” ธรณินหันมาถามพลางวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ


“เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติค่ะ” คนเป็นแม่ตอบเขิน ๆ


หมอทหารยศพลตรีพยักหน้าก่อนจะกล่าวถึงลูกชายตัวเอง “เจ้าลูกชายผมมันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ชอบดูแข่งขันว่ายน้ำมาก ช่วงที่มีกีฬาซีเกมส์ เอเชียนเกมส์พ่อแม่ดูรายการอื่นไม่ได้เลย เพราะลูกรอดูแข่งว่ายน้ำ เห็นบอกว่าเพื่อนเป็นนักกีฬาทีมชาติ จะรอเชียร์เพื่อน" ธรณินเล่าไปยิ้มไป


“บ้านนี้ก็เป็นค่ะคุณลุง เวลาน้องลงแข่งทีไร แม่กับฝนก็อยู่แต่หน้าทีวีไม่เป็นอันทำอะไรเลย” เพียงพรรษเสริม ยังไม่ทันพูดต่อเสียงกระแอมเบา ๆ ก็แทรกขัดจังหวะเสียก่อน “นั่นไงคะคุณลุง เจ้าของฉายาฉลามหิน” พี่สาวอดกระเซ้าชายหนุ่มที่เอาแต่วางหน้านิ่ง เธอพุ่งความสนใจไปที่น้องของตัวเองได้เพียงครู่เดียว เมื่อเหลือบไปเห็นอีกคนที่เดินตามเข้ามาก็กล่าวด้วยความดีใจ


“น้องม่อนนี่นา หายหน้าไปเลย พี่กับแม่คิดถึงจะแย่”


นคินทรยิ้ม ทำความเคารพเจ้าของบ้านและเพียงพรรษก่อนจะหันไปทำความเคารพพ่อและแม่ของตน


“นี่น้องม่อนเป็นลูกชายคุณลุงกับคุณป้าหรอกเหรอคะ”


“จ้ะ” วาสนาตอบแล้วหันไปส่งสายตาให้ลูกชายแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน


“นี่พ่อกับแม่ของผมครับ” ชายหนุ่มกล่าว จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปที่คนซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว หากแต่เกี่ยวข้องกับตนเองมากที่สุด “นี่พาย...เพื่อนม่อน พี่ฝนแล้วก็แม่ของพายครับ”


“คนกันเองทั้งนั้นเลย บังเอิญจังเลยค่ะ” วาสนายิ้มแล้วเบนสายตาไปยังสามีที่ตอนนี้เสมองไปทางอื่นเสียแล้ว



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2018 03:19:34 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ม่อนนน โห นึกว่าไม่รู้ว่าพายชอบ
ที่แท้ตีมึนนี่เอง
อย่างน้อยก็มั่นใจอย่างนึงว่าเค้าชอบกันแน่ๆ
อีกนิดนะพาย อดทนไว้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โอ้ รู้ตัวนี้นา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ตอนเด็กกับตอนนี้ม่อนก็ยังชอบพายเหมือนเดิมใช่ไหม

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ไม่ใช่กับพายน้าาาา เราเติมให้แล้วจ้า

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แหม.. คนเขียนเก็บความลับของม่อนมาตลอดเลยนะ นึกว่าไม่รู้ใจตัวเอง
ที่ผ่านมาตีมึนนี่เอง แล้วเป็นไงละซึมไปเลยซินะ นี่กลายเป็นรวมญาติทั้ง
สองฝ่ายโดยไม่ได้นัดหมาย
ชอบที่สุด ก็ตรงที่ม่อนปล่อยให้น้ำตาไหล ตอนที่พ่อถามถึงเพื่อนที่รอหน้าบ้าน
เราก็แอบซึมไปด้วย เรียกว่าถึงจะเข้มแข็งปานใด เมื่อมาอยู่ในจุดที่อ่อนแอ
ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่สามารถห้ามได้
 :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
แผนคุณพ่อกับคุณแม่นี่น่ารักสุด ๆ 555

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอให้ม่อนกับพายเปิดตัวกันได้เร็วๆ คุณพ่อ คุณแม่น่ารักมากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด