สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78825 ครั้ง)

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
สนุกมากๆค่า รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อย่าหายไปนานซิครับคิดถึง  :L1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ยังไม่มีเวลาเขียนต่อเลยค่ะทุกคน ต้องขอโทษด้วยค่ะ

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ว่าง ๆ แล้วมาต่อนะครับ ผมชอบงานเขียนของคุณ

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ถึงกับอุทานว่า อห ฉายนี่โคตรแย่อ่ะ
ห่วยแบบไม่มีชิ้นดี แย่มากกก อินไปอีกเรา 555
เคยเจอคนประมาณฉายแล้วรู้สึกว่า เอ้ยยยยยย แย่อ่ะ
รอดูตอนโตว่าจะเป็นยังไงกันต่อไป

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ


กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2559


นัยน์ตาสีเข้มทอดมองร่างขาวโพลนของฉลามหนุ่มวัย 26 ปี ที่กำลังแหวกว่ายท่าฟรีสไตล์ซึ่งเป็นท่าที่ถนัดอยู่ระหว่างทุ่นลู่กลางสระ พลันมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา ก้าวเท้าไปหยุดที่ขอบสระแล้วหย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิพลางพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น รอจนอีกฝ่ายว่ายเข้ามาใกล้


“ไม่มีสอนเหรอถึงมานี่ได้” พายุพัดเอ่ยขึ้นก่อนจะถอดแว่นกันน้ำ ลูบหน้าลูบตาแล้วเท้าแขนลงกับขอบสระ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย


คนเพิ่งมาถึงก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางโคลงหัว “มัวแต่ซ้อมจนไม่ดูเวลาเลยหรือไง นี่มันสองทุ่มแล้วนะ อ้อ...แล้วนี่มันก็เลยเวลาซ้อมแล้วด้วย เห็นน้อง ๆ บอกว่านายมาซ้อมตั้งแต่เมื่อตอนเช้า อย่าหักโหมให้มากนักนะ ระวังจะบาดเจ็บก่อนคัดตัว”


“รู้แล้วน่า” หนุ่มนักกีฬากล่าวก่อนจะดึงตัวขึ้นนั่งข้าง ๆ นึกถึงเมื่อครั้งเป็นสมาชิกชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนเมื่อสมัยมัธยมปลายที่ขณะนั้นอีกฝ่ายดำรงตำแหน่งประธานชมรม แม้จะรักษาระเบียบอย่างไม่ย่อหย่อนผ่อนปรน แต่สมาชิกในชมรมต่างรู้ดีว่าในความเคร่งครัดนั้นมีความปรารถนาดีซ่อนอยู่


แม้อายุจะเท่ากัน แต่เพราะพายุพัดตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเดิม ใช้ความสามารถทางด้านกีฬาเป็นใบเบิกทางจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงด้านการผลิตนักกีฬาว่ายน้ำได้ จึงทำให้เขากลายมาเป็นรุ่นน้องของ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” การพบกันมาแล้วหนหนึ่งในกีฬาเยาวชนแห่งชาติส่งผลให้ทั้งคู่เริ่มต้นความเป็นเพื่อนได้อย่างไม่ยาก เพียงปีแรกของการเรียนในที่ใหม่ พายุพัดก็มีชื่อติดทีมชาติชุดซีเกมส์เช่นเดียวกับชลชาติ และเขาทั้งสองก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาครองได้สำเร็จ กระทั่งระดับอุดมศึกษา พายุพัดยังสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นรุ่นน้องของชลชาติที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา สองคนต่างสร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบันจากการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย และเมื่อต่างฝ่ายต่างมีชื่อติดทีมชาติในกีฬาเอเชียนเกมส์ก็ไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง


หลังจากสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ชลชาติก็มุ่งศึกษาต่อระดับปริญญาโท ตัดสินใจอำลาสระแล้วผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ส่วนพายุพัดได้ทุนไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างศึกษาก็มิได้ทิ้งการว่ายน้ำ ยังคงลงแข่งขันรายการสำคัญอยู่เนือง ๆ ซ้ำยังถูกเรียกตัวกลับมารับใช้ชาติอยู่บ่อยครั้ง


“ตั้งแต่บินกลับมา ได้กลับบ้านบ้างหรือยัง”


พายุพัดส่ายหัว


“จะสองเดือนแล้วนะ ไม่คิดจะกลับไปหาคนที่บ้านบ้างหรือไง”


“รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนเถอะ”


“ทุ่มเทอะไรขนาดนั้น สมาคมเขาไม่ได้ดูที่ผลการแข่งขันตอนคัดตัวอย่างเดียวหรอกนะ เขาดูผลงานที่ผ่านมาด้วย นายก็ทำได้ดีออก ตอนไปลงว่ายชิงแชมป์ที่โน่นน่ะ สุดยอดมากเลยรู้ไหม”


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่โอลิมปิกครั้งที่สองในชีวิตเลยนะ บางที...อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้” นักว่ายน้ำหนุ่มกล่าวอย่างรู้ตัว ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาจำต้องคิดเรื่องการหลีกทางให้เด็กรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่พอมีกำลังและความฝันอยู่


ชลชาติพยักหน้าเข้าใจ รับรู้ได้ถึงความกดดันในน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีนิ่งสงบของอีกฝ่าย “แล้วหลังจากโอลิมปิกล่ะ จะเอายังไงต่อ คิดไว้แล้วหรือยัง”


“ว่าจะกลับไปเรียนต่อให้จบ ทิ้งมานานแล้ว”


“อืม เราจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน ทั้งเรื่องการแข่งขันแล้วก็เรื่องเรียนของนาย”


“ขอบใจมากนะ”


ชลชาติพยักหน้า “ไปกินข้าวกันเถอะ”


“ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ”


“อือ วันนี้ไปบรรยายข้างนอกมา ผ่านมาแถวนี้เลยว่าจะแวะมากินเย็นตาโฟป้านงข้างหลังสระ กะแล้วว่านายต้องอยู่ที่นี่”


“นี่ป้านงแกยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่อีกเหรอ”


“เป็นรุ่นลูกแล้วละ”


“นึกถึงสมัยก่อน ตอนที่มาเก็บตัวที่นี่ก็กินกันแต่ก๋วยเตี๋ยวป้านงนี่แหละ”


“สนุกเนอะตอนนั้นน่ะ” ว่าแล้วก็ถอนใจเบา ๆ “นายรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราหิวจะแย่แล้ว” ชลชาติบอกพลางลูบท้องตัวเอง


พายุพัดพยักหน้า ดึงตัวขึ้นจากสระแล้วเดินตรงไปยังห้องพักนักกีฬา คว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวชำระล้างร่างกายอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหมุนปิด เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก สักพักก็ได้ยินเสียงชลชาติ


“ไม่รู้ว่านายก็อยู่ที่นี่ด้วย”


“มีนนี่เอง ถึงว่ารถคุ้น ๆ มาทำอะไรที่นี่”


เพียงได้ยินเสียงของอีกคน พายุพัดก็รู้ทันทีว่าคู่สนทนาของชลชาติคือใคร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องให้ความสนใจ ชายหนุ่มจึงเปิดฝักบัวอาบน้ำต่อ ในขณะที่ด้านนอกยังคงสนทนากันต่อไป


“มาชวนพายไปกินข้าวน่ะ แล้วนายล่ะมาทำอะไรตอนสระใกล้ปิด” อดีตนักว่ายน้ำดาวรุ่งกล่าว


“แวะมาเอาของน่ะ” พูดจบคนมาใหม่ก็เปิดล็อกเกอร์ออกรื้อค้นของข้างใน กระทั่งมือใหญ่รั้งกระเป๋าใส่อุปกรณ์ว่ายน้ำออกจากตู้เหล็กได้ พลันบางสิ่งก็ร่วงลงกระทบพื้น นัยน์ตาสีเข้มมองตามขวดพลาสติกใสที่กำลังกลิ้งไปชนกับปลายเท้าของอีกฝ่าย จะเดินไปหยิบแต่ก็ช้ากว่าคนที่กำลังก้มลงเก็บมันขึ้นมา


“ยาอะไรน่ะ ไม่เห็นมีฉลากเลย” ชลชาติพลิกขวดไปมา พบว่าข้างในบรรจุยาเม็ดเล็กจำนวนหนึ่ง


“ยาแก้หวัด แบ่งมาจากที่บ้าน” ธรรม์ณธรตอบห้วน ๆ รีบเดินไปคว้าขวดยานั้นเก็บใส่กระเป๋า


“ไม่สบายก็ไปหาหมอสิ อย่าหายากินเอง” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าตนเองเป็นคู่แข่ง แต่ในฐานะเพื่อน ชลชาติก็อดแสดงความเป็นห่วงไม่ได้


“ก็ว่าจะไปอยู่แต่ยังไม่มีเวลาน่ะ”


“ซ้อมหนักเหรอ ได้ข่าวว่าแยกไปซ้อมกับโค้ชส่วนตัวนี่”


“อือ ก็โค้ชที่สมาคมจัดให้มันไม่ได้เรื่อง โคตรอ่อน มัวแต่ให้ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน สู้โค้ชที่ฉันจ้างมาเองก็ไม่ได้ เทคนิคเพียบ”
เสียงเปิดประตูเรียกให้ธรรม์ณธรต้องละสายตามจากคู่สนทนา เหลียวไปมองอีกทาง เห็นคู่ปรับตลอดกาลเดินออกจากห้องน้ำในสภาพที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างจึงกล่าวต่อ “ขืนซ้อมกับโค้ชที่สมาคมจัดให้มีหวังไม่ได้ไปไหนกันพอดี”


“โค้ชแต่ละคนเขาก็มีวิธีการฝึกต่างกันไป เป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาเป็นสิบปี เจอโค้ชมาไม่รู้เท่าไรนายก็น่าจะรู้ดี”


“ก็เพราะรู้ไงถึงไม่อยากจะดักดานอยู่กับโค้ชของสมาคม”


เน้นคำว่า “ดักดาน” จนพายุพัดอดเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดไม่ได้ กระนั้นนักกีฬาหนุ่มก็ยังคงอยู่ในอาการสงบ เดินไปเปิดล็อกเกอร์ หยิบเสื้อผ้าออกมาสวมเงียบ ๆ


“ไปก่อนนะ” พูดจบธรรม์ณธรก็เดินจากไปโดยไม่ทักทายผู้ที่เคยร่วมเก็บตัวฝึกซ้อมด้วยกันสักคำ


“นิสัยไม่เปลี่ยนเลย สมัยเรียนเป็นยังไงโตมาก็เหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ” ชลชาติส่ายหัวพลางนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวซึ่งวางอยู่ตรงกลางระหว่างล็อกเกอร์สองฟาก “คงคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้วมั้ง เป็นราชสีห์เจ้าป่า แต่ลืมไปว่าในป่าไม่ได้มีราชสีห์ตัวเดียว ในทะเลก็ไม่ได้มีแค่ฉลาม”


พายุพัดเสยผมขึ้น หยิบกำไลเงินมาสวมเข้าที่ข้อมือข้างขวา ปิดตู้เหล็ก จากนั้นจึงเดินไปหยุดตรงหน้าก่อนจะถาม “แล้วมีอะไรอีก”


“หมึกกรอบ แมงกะพรุน เกี๊ยวปลา ลูกชิ้น เลือดก้อนใหญ่ ๆ แล้วก็ผักบุ้ง”


“หิวมากใช่ไหมเนี่ย”


“เออ คุยกับไอ้ธรรม์ทีไรท้องไส้ปั่นป่วนทุกที” ชลชาติกล่าวพลางลุกขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นไปหาอะไรกินกัน” พูดจบพายุพัดก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะพากันเดินออกไปด้านนอก


ซอยด้านหลังสระว่ายน้ำเป็นที่ตั้งของร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นไม่มีชื่อที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “ร้านป้านง” ตามชื่อผู้เป็นเจ้าของ แม้วันนี้ป้านงจะวางมือพักผ่อนอยู่กับบ้าน ปล่อยให้ลูกสาวกับลูกชายออกมาขายแทน แต่ลูกค้าก็ยังคงนั่งเต็มทุกโต๊ะเหมือนเช่นเคย พายุพัดและชลชาติยืนชะเง้อหาที่นั่งอยู่เพียงไม่นาน ลูกค้ากลุ่มหนึ่งก็พากันลุกออก ทั้งสองจึงเดินไปนั่งแทนที่ทันที กว่าลูกชายป้านงจะเก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะเรียบร้อยพวกเขาก็จดรายการอาหารเสร็จพอดี ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเย็นตาโฟเกี๊ยวปลาร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางพร้อมกับน้ำชาในแก้วสแตนเลส


ชลชาติถอดกระเป๋าสะพายวางบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ จากนั้นจึงหยิบตะเกียบกับช้อนคนส่วนผสมที่อยู่ในชามแล้วตักชิม เมื่อแน่ใจว่าไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มจึงลงมือจัดการกับของโปรดทันที


“ช้า ๆ หน่อย เดี๋ยวก็ลวกปากกันพอดี” พายุพัดบอกพลางมองคนตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร


“ต้องกินร้อน ๆ สิ ถึงจะอร่อย” ว่าแล้วก็หันไปสั่งเพิ่มอีกชามทั้งที่เพิ่งกินไปได้เพียง 2-3 คำ


คนมองได้แต่ยิ้มขัน ๆ ตักน้ำซุปขึ้นชิมบ้าง ทันทีที่ได้ลิ้มรสชาติคุ้นลิ้นก็ให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ เมื่อครั้งเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันกีฬาซีเกมส์หนแรกในชีวิต นักกีฬาทุกคนล้วนมาจากต่างโรงเรียน ต่างทีม แต่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันที่นี่ หลังซ้อมเสร็จโค้ชก็มักจะมาฝากท้องไว้กับร้านป้านง เมื่อหมดภาระหน้าที่ก็แยกย้ายกันกลับไปเรียนหนังสือ กระนั้นสถานที่แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่เขายังไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ   


“อร่อยเหมือนเดิมเลย”


“สั่งเพิ่มได้เลยนะ มื้อนี้เราเลี้ยงเอง...” ชลชาติกล่าวทั้งที่อาหารยังเต็มปาก


“ไม่เกรงใจนะ” พายุพัดยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณบอกลูกชายเจ้าของร้านว่าเขาต้องการแบบในชามตรงหน้านี้อีกหนึ่ง


สองคนใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับเย็นตาโฟเกี๊ยวปลาทั้งสี่ชาม แต่ที่ยังไม่ลุกไปไหนก็เพราะเห็นว่ายังพอมีโต๊ะว่าง นานแล้วที่ความรับผิดชอบซึ่งเพิ่มขึ้นตามวัยส่งผลให้ต่างคนต่างต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำในโลกแห่งการทำงาน เมื่อมีโอกาสได้พบกันในช่วงเวลาที่แต่ละคนต่างวางภาระอันหนักอึ้งไว้ชั่วคราว เรื่องราวสัพเพเหระในอดีตจึงถูกหยิบยกมาพูดถึง ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ อีกส่วนก็เพื่อสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต 



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 22:14:44 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

พายุพัดและชลชาติปักหลักรำลึกความหลังอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวป้านงจนเกือบสามทุ่ม กระทั่งลูกค้าเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น ชลชาติที่อาสาเป็นเจ้าภาพจึงกวักมือเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งเสร็จจากการคิดเงินโต๊ะข้าง ๆ


“น้อง ๆ เก็บตังด้วยครับ” พูดไม่ทันจบดี จู่ ๆ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น กำลังจะหันกลับไปมอง ใครคนหนึ่งก็วิ่งมาชนเข้าที่ด้านหลังอย่างจัง เล่นเอาหัวแทบทิ่ม โต๊ะที่พวกเขานั่งเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม ซ้ำน้ำซุปที่เหลืออยู่ก้นชามยังกระฉอกออกข้างนอกเละเทอะไปหมด


“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย” ชายหนุ่มโวยวาย มองเด็กชายอายุราว ๆ 14-15 ปีที่ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ท่าทางของเขาดูรุกรี้รุกรนปนหวาดกลัว ชั่วพริบตาก็ลุกขึ้นวิ่งอีกครั้ง


“หนีอะไรมาวะ แล้วดูสิ ไม่ขอโทษสักคำ”


“ช่างเถอะ” พายุพัดกล่าวเรียบ ๆ พลางเลื่อนโต๊ะคืนที่ จากนั้นจึงดึงกระดาษชำระซับน้ำก๋วยเตี๋ยวที่หกกระจายอยู่บนโต๊ะ


“ไม่ต้องเช็ดหรอกครับพี่ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ลูกชายเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุด เขากวาดตามองพร้อมกับคำนวณตัวเลขในหัวแล้วกล่าวต่อ “ทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบบาทครับ”


ชลชาติพยักหน้า กำลังจะเอื้อมหยิบกระเป๋าสตางค์ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เหลือเพียงความว่างเปล่า กระเป๋าสะพายที่เคยวางอยู่บัดนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว “อ้าว! กระเป๋าไปไหนวะ”


ในใจยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะหล่นอยู่ใต้โต๊ะ แต่เมื่อก้มลงสำรวจรอบ ๆ กลับไม่พบ “ไม่มีว่ะ พูดพลางมองเลยไปด้านหลัง เห็นร่างผอมของเด็กคนนั้นกำลังลับหายไปในความมืดจึงเลื่อนตากลับมาสบคนตรงหน้า 


ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร พายุพัดลุกพรวดขึ้นควักธนบัตรจากกระเป๋ากางเกงวางลงบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งตามไปทันที ขายาวก้าวถี่ ๆ กระทั่งเห็นเงาตะคุ่มผลุบหายไปเข้าไปในซอยเปลี่ยวซึ่งเป็นที่ตั้งของโกดังสินค้าจึงหันไปส่งสัญญาณให้ชลชาติวิ่งไปดักที่ศาลารถประจำทางซึ่งมีทางเชื่อมถึงกัน ส่วนตนเองตามเข้าไปด้านใน


ชลชาติวิ่งอ้อมไปทางด้านหน้าหวังจะได้พบคนร้ายที่ป้ายรอรถประจำทางซึ่งวิ่งรับส่งภายในซอยกับป้ายรถเมล์ที่ถนนใหญ่ แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าบริเวณศาลารอรถในยามนี้ร้างผู้คน รถที่สัญจรก็บางตา เมื่อไม่เห็นใครที่ผิดสังเกต ชายหนุ่มจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของกองระเกะระกะ ไม่กี่อึดใจก็ทะลุออกซอยเดียวกับที่เพื่อนวิ่งเข้ามาก่อนหน้า พลันหูได้ยินเสียงการต่อสู้ และภาพที่เห็นก็คือร่างของพายุพัดถูกเหวี่ยงไปชนกับลังไม้ที่วางซ้อนกันอยู่จนโค่นล้มระเนนระนาด แต่ก็ยังคงกอดกระเป๋าสะพายแน่น   


“พาย!” ชลชาติตะโกนลั่น รีบวิ่งเข้าไปประคองเพื่อน “เกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่เห็นริมฝีกปากของอีกฝ่ายกรังไปด้วยเลือดเต็มตาความตกใจก็เพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี


พายุพัดไม่ทันได้อธิบาย ร่างสูงใหญ่ก็ย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือไม้หน้าสาม ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเลือดตกยางออกอยู่ในตอนนี้


“ม...มีน ระวัง!”


ไม่ทันที่เจ้าของชื่อจะได้ทำตามที่บอก ก็ถูกฟาดจากทางด้านข้างของศีรษะแถมเตะอัดเข้าที่ชายโครงจนล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้น กระนั้นชลชาติยังพยายามเพ่งมอง แม้จะพอมีแสงไฟอยู่บ้างแต่เพราะผู้คิดร้ายปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรม จึงทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ และที่สำคัญคือฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาคนเดียว ยังมีอีกคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ริมกำแพง อาศัยเงามืดที่ทอดจากอาคารสามชั้นพรางกาย ข้าง ๆ กันนั้นมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่ เมื่อพิจารณาจากขนาดร่างกายที่สูงใหญ่พอ ๆ กันกับพวกเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เด็กชายคนเมื่อครู่อย่างแน่นอน ที่น่าแปลกก็คือกระเป๋าสะพายของเขาอยู่ที่นี่ หรือว่าแท้จริงแล้วเด็กนั่นเกี่ยวพันกับสองคนนี้กันแน่


ชลชาติหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น ดวงตายังจับจ้องเจ้าของร่างสูงที่โยนไม้ทิ้งแล้วก้มลงยื้อกระเป๋าสะพายจากพายุพัด แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย คนร้ายก็ใช้เท้าเหยียบยอดอกจนคนตกเป็นรองจำต้องคลายมือแล้วเปลี่ยนมาจับที่ข้อเท้าของเขาแทน พยายามดิ้นรนแต่ไม่อาจสู้แรงที่กดลงมาจนทำให้แทบหายใจไม่ออก ในที่สุดชายผู้นั้นก็ได้กระเป๋าสะพายไปและทิ้งท้ายด้วยการเตะซ้ำ ๆ จนพายุพัดถึงกับนอนตัวงอ


มือใหญ่ล้วงกระเป๋าสตางค์ได้ก็โยนกระเป๋าใบใหญ่ไปอีกทาง


“รีบไปเถอะพี่” คนที่เดินออกจากเงามืดกล่าวอย่างร้อนรน


“เดี๋ยวสิวะ ขอดูก่อนว่ามีอะไรให้หยิบติดไม้ติดมือไปเป็นที่ระลึกอีกบ้าง” ว่าแล้วก็หยิบธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ออกมานับ จากนั้นจึงดึงบัตรต่าง ๆ ที่เสียบอยู่ออกดูทีละใบ


พายุพัดอาศัยจังหวะที่หัวขโมยกำลังเผลอ คว้าท่อนไม้แล้วฟาดเข้าเต็มแรงที่ข้อพับ ทำเอาคนเจ็บร้องครวญคราง ทิ้งทุกอย่างลงกับพื้น ไม่รอให้เสียเวลา นักว่ายน้ำหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วโถมเข้าใส่คนร้ายที่กำลังเสียสูญ ออกแรงดันจนร่างสูงกระแทกกับกำแพง คว้าคอเสื้อแล้วรัวหมัดอัดใส่ใบหน้าภายใต้หมวกไหมพรมจนเลือดกลบปาก แต่แล้วพายุพัดก็พลาดท่าถูกอีกคนที่ดูเหมือนจะเตี้ยกว่าตนเล็กน้อยล็อกตัวไว้พร้อมกับใช้เชือกไนลอนที่ฉวยได้จากแถวนั้นพันที่ข้อมือทั้งสองข้าง


“ฤทธิ์มากนักนะมึง” เจ้าของร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างเดือดดาล ถ่มน้ำลายปนเลือดลงพื้นแล้วพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง “มึงจับมันกดกับแพง”


ชายอีกคนพยักหน้า จากนั้นจึงทำตามคำสั่งโดยการดันร่างของนักกีฬาหนุ่มชิดกับกำแพง เมื่อเหลือบไปเห็นลูกพี่ดึงบางสิ่งออกจากกระเป๋ากางเกงจึงเอ่ยขึ้น “พ...พี่จะทำอะไร แค่นี้มันก็นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวันแล้วนะ”


“ก็จะทำให้มันหายซ่าไง” เจ้าของแววตาดุดันกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แทรกตัวเข้าแทนที่ ใช้มือกดท้ายทอยจนใบหน้าของพายุพัดเสียดสีไปกับความหยาบกระด้างของผิวคอนกรีต ปลายนิ้วกดสลักเปิดใบมีดแล้วแตะผิวสัมผัสเย็นเฉียบลงบริเวณลำคอของคนที่พยายามดิ้น


“พ...พี่ ต...แต่ว่าพี่ธ...รรม์” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตะหวาดจนต้องถอยห่างออกไป


ชลชาติฝืนพยุงตัวขึ้นเมื่อดวงตามองเห็นแสงสะท้อนวัตถุเงาวับ แต่รู้สึกความปวดแปลบที่ศีรษะผสมกับความมึนงงก็ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้


คนร้ายค่อย ๆ ลากปลายมีดเรื่อยลงมาจนถึงใต้บ่าข้างขวา หมายจะแทงให้ทะลุแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อแสงไฟหน้ารถจักรยานยนต์สาดกระทบใบหน้า


“เฮ้ย หยุด! ไม่งั้นพ่อยิงไส้แตกแน่” เสียงตะโกนกร้าวดังแทรกเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาต้องมี “ปืน” และคนที่มีอาวุธปืนก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...


“ต...ตำรวจ พ...พี่ ตำรวจมา หนีเร็ว” คนอายุน้อยกว่าละล่ำละลัก พยายามจะก้าวขาแต่ก็ก้าวไม่ออก


“หนีสิวะ มัวยืนบื้ออยู่ทำไม” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็รั้งแขนอีกฝ่ายแล้วพากันวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่


ผู้มาใหม่ยังไม่ทันลงจากรถ สองคนที่ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรมก็พากันหนีไปเสียแล้ว


คนซ้อนท้ายกระโดดลงจากรถ รีบวิ่งไปพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นนั่งพิงกับลังไม้ “เป็นอะไรมากไหมพี่”
ชลชาติปรือตาขึ้น ที่แท้ก็ลูกชายป้านงนี่เอง


“พ...เพื่อนพี่ ป...ไปดูหน่อย”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่กำแพง เห็นพายุพัดยืนโงนเงนจึงรีบเข้าไปหิ้วปีก “เดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาลนะพี่ ทำแผลเสร็จเราไปแจ้งความกัน นั่นพี่เขยผม เขาเป็นตำรวจ” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปยังชายในเครื่องแบบรูปร่างบึกบึนที่กำลังพยุงชลชาติให้ลุกขึ้น


“ช่วยไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลที่ร้านขายยาให้พี่ก็พอ” คนบาดเจ็บตอบด้วยน้ำสียงแหบพร่า


“อ้าว ไม่ไปทั้งโรงพยาบาลทั้งโรงพักเลยเหรอพี่”


“ไม่” พายุพัดโพล่งขึ้น


ชลชาติมองด้วยความแปลกใจ แต่คิดว่าเพื่อนคงต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น ด้านลูกชายเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเองฟังแล้วได้แต่เกาหัวแกรก สุดท้ายก็ยอมทำตามความประสงค์ เรียกแท็กซีพาทั้งคู่ไปทำแผลที่คลินิกใกล้ ๆ ก่อนจะเล่าสาเหตุที่เขาต้องตามมาให้ฟัง


“พี่คนนี้ลืมกระเป๋าไว้ที่ร้าน” ชายหนุ่มชี้มายังพายุพัดที่กำลังนั่งให้ผู้ช่วยคุณหมอทำแผล  “ใกล้จะเก็บร้านแล้วแต่ผมเห็นพวกพี่ไม่กลับมาเอาสักที พี่เขยกลับมาจากทำงานพอดีก็เลยชวนกันขี่รถตามมาดู อ้อ...แล้วก็ไอ้เด็กนั่น ผมจำหน้ามันได้ มันเป็นลูกชายรปภ.ที่อยู่สระว่ายน้ำใกล้ ๆ นี่เอง เห็นว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด มาอยู่กับพ่อได้ไม่ถึงเดือนก่อเรื่องเสียแล้ว”
ชลชาติและพายุพัดต่างมองหน้ากัน


“พวกคุณแน่ใจเหรอครับว่าจะไม่ไปแจ้งความ พวกมันทำร้ายร่างกายแถมยังเอาเงินด้วยนะ” นายตำรวจชั้นประทวนเอ่ยขึ้น


“ช่างเถอะครับพี่ ผมไม่ได้ติดใจอะไร ของมีค่าอย่างอื่นก็อยู่ครบ” นักกีฬาหนุ่มยืนยันคำเดิม กระนั้นก็ยังหันไปสบตาผู้เสียหายตัวจริง ซึ่งชลชาติเองก็พยักหน้าเห็นด้วย


“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาลเท่าไร โชคดีที่ได้พวกพี่ช่วยไว้ ของมีค่าทุกอย่างเลยอยู่ครบ คิดเสียว่าฟาดเคราะห์ไป”


ฉะนั้นในวันต่อมาหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับจึงปราศจากข่าวของสองนักกีฬาว่ายน้ำชื่อดังที่โดนทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์ นั่นเพราะพายุพัดไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง และมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่มีเพียงเขาและชลชาติเท่านั้นที่รู้
หลังเหตุการณ์ในวันนั้นพายุพัดก็เก็บตัวเงียบอยู่ที่คอนโดมิเนียม ตั้งใจจะรอให้แผลบนใบหน้าและรอยฟกช้ำตามลำตัวจางลงกว่านี้สักหน่อยจึงจะกลับไปซ้อมตามปกติ ยังดีที่ได้ชลชาติคอยส่งข้าวส่งน้ำบ้าง ไม่เช่นนั้นคงต้องฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถัดไปไม่ไกลทุกวันเป็นแน่


“สองคนนั้นพูดอะไร นายถึงไม่ยอมแจ้งความ” คนเพิ่งมาถึงกล่าวขณะเทข้าวต้มใส่ชาม


“มันพูดถึงธรรม์”


“แล้วนายคิดว่ายังไง คิดว่าธรรม์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเกี่ยวจริง นายก็รู้ว่าถ้าเรื่องถึงสมาคม ผลมันจะเป็นยังไง”


“เรารู้ แล้วเราก็ว่าธรรม์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถึงจะปิดหน้าปิดตา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ทำไมเราจะจำเสียงสองคนนั่นไม่ได้ แต่ถ้าพวกเรานิ่งเฉย นั่นเท่ากับว่าพวกเรานี่แหละที่สนับสนุนให้คนทำผิด”


“เราก็หวังว่าสักวันธรรม์จะสำนึกได้เอง”


ชลชาติได้แต่ถอนใจ “เราก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 22:18:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


พายุพัดกลับไปฝึกซ้อมที่สระของสมาคมว่ายน้ำในสัปดาห์ต่อมา ใบหน้าและตามลำตัวยังคงมีร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้ปรากฏให้ใคร ๆ ใคร่รู้ถึงสาเหตุอยู่บ้าง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยปริปากถึงที่มาของรอยจาง ๆ เหล่านี้ เขายังคงซ้อมอย่างหนักตั้งแต่เช้าจดค่ำจนกระทั่งถึงวันแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักกีฬา และเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง ชื่อของ “พายุพัด นาวาภักดิ์” ก็ปรากฏอยู่ในรายชื่อนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติชุดโอลิมปิกตามที่หลายคนคาดหมาย


หลังจากประกาศรายชื่อทีมชาติได้เพียงไม่นาน จู่ ๆ สมาคมว่ายน้ำก็ออกแถลงการณ์ปลด “ธรรม์ณธร ทวีศักดิ์” ออกจากการเป็นทีมชาติและมีคำสั่งให้ทำทัณฑ์บน เนื่องจากมีการตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้น นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้รู้ แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่รู้เป็นการภายใน คือเขาคนนี้มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน โดยหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยได้แจ้งกับคณะกรรมการของสมาคมว่ามีข่าวลือว่าลูกชายของพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งไปก่อเหตุวิ่งราว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์และถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้มีการสอบสวนจนเด็กชายยอมสารภาพว่าที่ทำลงไปเพราะถูกนักกีฬาของสมาคมบังคับ ข่มขู่ว่าหากไม่ทำตามจะทำร้าย


และเมื่อสมาคมให้คนตามตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่รอบ ๆ ก็พบว่าธรรม์ณธรและพวกได้พูดคุยกับเด็กชายผู้นั้นในวันเกิดเหตุจริง เมื่อสอบถามชาวบ้านในละแวกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเคยเห็นชายหนุ่มกลุ่มที่ปรากฏในภาพมาด้อม ๆ มอง ๆ แถวสระว่ายน้ำอยู่บ่อย ๆ เมื่อได้รับการยืนยันดังนั้นก็สาวไปถึงตัวผู้ร่วมขบวนการได้สำเร็จ ซึ่งนอกจากธรรม์ณธรแล้วยังมีสองนักว่ายน้ำที่ถูกตัดสิทธิ์เข้าแข่งขันคัดตัวนักฬาและถูกทำทัณฑ์บนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากทำผิดระเบียบของสมาคม ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นระหว่างการแข่งขัน และหนึ่งในสองคนซัดทอดว่าธรรม์ณธรคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด เหตุที่ทำไปก็เพราะต้องการให้พายุพัดบาดเจ็บจนไม่สามารถลงแข่งได้ โดยวางแผนว่าแกล้งขับรถเฉี่ยว ทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ เพราะอีกฝ่ายมักจะใช้วิธีการเดินกลับคอนโดฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่โชคร้ายที่วันนั้นชลชาติดันอยู่ที่นี่ด้วยแผนจึงเปลี่ยน เรื่องราวเลยบานปลายอย่างที่เห็น


พายุพัดไม่คิดเอาความแต่แรก เขายังคงใช้ความพูดน้อยสยบทุกความเคลื่อนไหว ด้วยไม่อยากทำลายอนาคตของคนที่ได้ชื่อว่าอยู่ร่วมสมาคมเดียวกัน แต่หลักฐานและพยายานแวดล้อมก็ชี้ชัดจนธรรม์ณธรไม่อาจดิ้นหลุด โดยเฉพาะเรื่องการใช้สารกระตุ้น ดังนั้นแทนที่นักกีฬาดาวรุ่งเช่นธรรม์ณธรจะได้แสดงความสามารถให้ปรากฏแก่สายตาคนทั่วไป สร้างความภาคภูมิใจในช่วงปลายของอายุที่ยังมีกำลังลงแข่งขันให้ผู้อื่นได้จดจำ กลับต้องมาแพ้ภัยการกระทำของตัวเอง


เหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นไปและได้สร้างบทเรียนให้ใครหลายคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องยังสามารถยึดเอาเรื่องราวนี้ไว้เป็นเครื่องเตือนใจตนเอง ไม่ปล่อยให้ความทะเยอะทะยานมีอำนาจเหนือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น และผลจากการทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักก็ทำให้ชื่อของพายุพัดปรากฏในรายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ในกีฬาโอลิมปิก แม้จะไม่ได้เหรียญรางวัลใด ๆ แต่ก็ทำให้ “ฉลามพาย” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งยังสร้างความหวาดหวั่นให้คู่ต่อสู้เสมอมาตลอดระยะเวลาที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิตของเขา


....


ในขณะที่ชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย ชื่อของ “นคินทร ปฐวิพัฒน์” กลับค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเพื่อน ๆ และปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา ในฐานะข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอที่ให้ความรู้สึกเป็นสุขสมชื่อ หลังจากย้ายตามผู้เป็นพ่อซึ่งต้องไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายพร้อมติดยศพันเอกที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้เพียงปีกว่า ๆ เขาก็สามารถสอบเข้าเรียนคณะศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ได้ นคินทรใช้ชีวิตเพียงลำพังอยู่ที่นั่นเกือบ 3 ปี จนกระทั่งพ่อของเขาย้ายมารับตำแหน่งผู้อำนวนการโรงพยาบาลค่ายที่จังหวัดเชียงใหม่ ครอบครัวปฐวิพัฒน์จึงได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง


เมื่อสำเร็จการศึกษาสาขาการประถมศึกษา นคินทรก็มุ่งสอบเป็นข้าราชการครูตามที่ตั้งใจ และสถานที่ที่บัณฑิตจบใหม่เลือกสอบบรรจุก็เกินความคาดหมายของใครหลายคน กระนั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพันเอกนายแพทย์ธรณินและคุณวาสนาก็ยังให้การสนับสนุนเสมอมา ไม่ว่าลูกชายจะคิดทำสิ่งใด จนในที่สุดโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอสันติสุขก็มีโอกาสอ้าแขนต้อนรับครูหนุ่มไฟแรง


ลูกชายบรรจุเป็นข้าราชการครูที่จังหวัดน่านได้ไม่นาน พันเอกนายแพทย์ธรณินในวัย 56 ปี ก็ถูกเชิญให้ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษากรมแพทย์ทหารบกประดับยศพลตรี ซึ่งเจ้าตัวหวังจะใช้ประสบการณ์ของการเป็นนักพัฒนาทำประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศชาติในช่วง 4 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ


“เสียดายนะครับที่แม่ไม่ได้มาด้วย”


ผู้เป็นพ่อครางรับในลำคอก่อนจะละเลียดจิบกาแฟในถ้วยพลางทอดตามมองลำธารเล็ก ๆ จากระเบียงหลังบ้านพักครูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ด้วยภาระหน้าที่ทำให้นายทหารใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกต่างจังหวัด หลังจากเดินทางมาร่วมงานศพเพื่อนเก่าที่เมืองน่านตั้งแต่เมื่อคืนก่อนก็ให้ทหารคนสนิทขับรถต่อมาเพื่อเยี่ยมลูกชายทันที


“พ่อรู้ข่าวกะทันหันน่ะ ตั๋วเครื่องบินก็จองไม่ทันแล้วเลยให้ลูกน้องขับรถมาให้ กลัวว่าแม่เขานั่งรถนาน ๆ แล้วจะไม่ไหว ก็เลยไม่ได้ชวนมาด้วยกัน”


“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ม่อนยังอยู่ที่นี่อีกนาน”


คำพูดนั้นทำให้ธรณินต้องหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ “นี่ไม่คิดจะกลับไปอยู่ด้วยกันเลยหรือไง อีกไม่กี่ปพ่อก็จะเกษียณแล้วนะ”


น้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือความอ่อนโยนทำให้คนเป็นลูกรู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นพ่อไม่ได้ซ่อนนัยยะใด ๆ ไว้ในถ้อยคำเหล่านั้น “ไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนสิครับ”


“เจ้าลูกคนนี้นี่” ธรณินส่ายหัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ วางถ้วยกาแฟบนโต๊ะ “นี่แม่เขาก็บ่นคิดถึงม่อนทุกวัน”


“ม่อนรู้ครับพ่อ ม่อนรู้ว่าม่อนทำให้พ่อกับแม่ต้องคิดถึง ม่อนขอเวลาอีกหน่อยนะพ่อ ม่อนสัญญาว่าพ่อเกษียณเมื่อไร ม่อนจะกลับไปอยู่บ้านเราแน่นอนครับ”


“ลูก...รักที่นี่เหรอ”


ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากลูกชาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“พี่ม่อน! พี่ม่อนอยู่ไหมครับ”


“ใครมา” ผู้เป็นพ่อว่าพลางชะเง้อมอง


“สงสัยพิงมาน่ะพ่อ”


“คนที่บอกว่าเพิ่งมาบรรจุใหม่น่ะเหรอ”


“ครับ เดี๋ยวม่อนลงไปดูก่อนนะพ่อ”


พูดจบนคินทรก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน โผล่หน้าดูที่หน้าต่าง เมื่อเห็นว่าคนมาร้องเรียกเป็นเพื่อนครูที่โรงเรียนจริงตามคาดจึงรีบลงบันไดไปหา


“ไง”


“เมื่อวันก่อนเห็นพี่บอกว่าพ่อแวะมาเยี่ยม เมื่อเช้าผมผ่านมาเห็นรถจอด คิดว่าต้องใช่ ไปตลาดก็เลยซื้อโจ๊กกับหนังสือพิมพ์มาฝาก ฟ้าครึ้มแบบนี้กะว่าพี่ต้องยังไม่ได้ออกไปไหนแน่ ๆ”


“ขอบใจมากนะ” นคินทรกล่าวพลางรับถุงใส่โจ๊กและหนังสือพิมพ์จากมือของอีกฝ่าย


“ไม่เป็นไรพี่”


“แล้วนี่ไม่กลับบ้านเหรอ”


“ไม่กลับครับ วันนี้มีแข่งฟุตบอลที่สนามโรงเรียนเรา ผมต้องอยู่ตัดสินน่ะ”


“เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นจากครูพละมาเป็นกรรมการฟุตบอลแล้วเหรอ”


“ใช่ ผมน่ะเป็นได้ทุกอย่างยกเว้นไอ้ที่อยากจะเป็น” พิทักษ์ถอนใจ


นคินทรอมยิ้มพลางเลิกคิ้วสงสัย “อยากเป็นอะไร ไม่ได้อยากเป็นครูพละหรอกเหรอ”


ครูหนุ่มถอนใจอีกเฮือกเอื้อมหยิบหนังสือพิมพ์ในตะกร้าหน้ารถจักรยานออกมากางแล้วจิ้มลงบนภาพใหญ่ที่หน้าแรก “ผมอยากเป็นนี่...”


“นักว่ายน้ำเหรอ”


“ใช่”


“แล้วทำไมไม่เป็นล่ะ”


“ก็บ้านเรามันไม่มีสระว่ายน้ำนี่นาพี่ สมัยผมเด็ก ๆ น่ะใครอยากเป็นนักกีฬาต้องดิ้นรนไปเรียนโรงเรียนกีฬาที่ต่างจังหวัดทั้งนั้น บ้านผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ทุกวันนี้ก็เลยต้องมาใช้ทุนครูคืนถิ่นนี่ไง”


“แล้วไม่ดีเหรอ ได้กลับมาอยู่ใกล้ ๆ บ้าน”


“ก็ดีครับ” แม้จะไม่ได้ดีเสียทั้งหมด แต่พิทักษ์คิดว่ามันก็ยังพอมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง “ว่าแต่พี่เถอะ เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ นึกยังไงมาสอบบรรจุที่นี่ แทนที่จะไปสอบครู กทม.”


“ครู กทม. มีคนต่างจังหวัดไปสอบตั้งเยอะแยะ พี่ก็เลยเลือกมาที่นี่ไง จะได้ถ่วงดุลกัน” นคินทรหัวเราะ


“แปลกคน” พิทักษ์ได้แต่เกาหัว



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ

แล้วก็ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยค่ะสำหรับคอมเม้น

ในเพจพอเห็นไทม์ไลน์ก็เดาอนาคตของม่อนกับพายไปหลายทางเลย

มาถูกทางกันบ้างไหมคะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 22:20:08 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เวลาผ่านไปหลายปี รอพายกัับม่อนกลับมาเจอกันค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ชีวิตดูไกลกันเหลือเกิน
รอวันได้กลับมาเจอกัน

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ง่ะ ผิดคาดแฮะ คิดว่านุ้งม่อนจะไปสายแพทย์ ส่วนนุ้งพายยังเหมือนเดิมพูดน้อย ต่อยหนัก ถวายหัวให้กับการว่ายน้ำ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วสินะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกัน รอ ๆ ๆ
 :katai4:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พายกลับบ้านเมื่อไหร่ก็คงได้เจอม่อนละมั้งเนาะ

ส่วนธรรม์ณธรนั้นแพ้ภัยตัวเองแท้ ๆ ความสามารถก็มีแต่เลือกเดินผิดทาง หมดอนาคตทันที

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อยากให้พายกับม่อนได้เจอกันไว ๆ ขอบคุณนะครับที่มาต่อ รอนะครับ ^^

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
  ฮือออออออ  สงสารพายยยยยยยยย  โดน ทำร้ายปางตาย  :o12:


เรา จะรอ รอ รอ ตอน 

..........จนกว่า พายุ จะพัดกลับมาเจอ ครู ม่อน



ขอบคุณ ผู้แต่ง  ที่รีบกลับมาลงตอนต่อไวไว จริงเลย :กอด1:

ปล.  ฉาย กับ สิ ไปไหน  :ruready

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
รอเวลาที่จะได้มาเจอกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
ยังละมุนเหมือนเดิมกับทุกเรื่องที่ ถธปทฟ แต่ง
ขอเดาว่ากำไลเงินที่พายใส่ ต้องได้มาจากร้านป้านีที่ม่อนหมายปองไว้แน่เลย แล้วกำไลน้อยนี้จะได้ไปสวมคืนคนที่เคยหมายปองไว้มั๊ยนะ
มโนล้วนๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เราก็อุตส่าห์เนียน ๆ ค่ะคุณ bon

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
พายกับม่อนโตแล้ว  ลุ้นว่าจะเจอรักเมื่อไหร่  ที่ไหน  อย่างไรค่ะ อิอิ :-[

พายยังคงจริงจังกับกีฬาว่ายน้ำจนมีชื่อเสียงไปแล้ว  ส่วนม่อนก็เป็นคุณครูรักสงบอยู่ที่น่าน  ดีจัง  รอเพื่อนคนอื่นๆมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งด้วย o13

และขอลุ้นเรื่องกำไลด้วยคนค่ะ555

ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 7 มิตรภาพ

“ม่อนส่งแค่นี้นะพ่อ เดินทางปลอดภัยครับ” นคินทรกล่าวหลังจากประตูรถถูกดึงปิด


พลตรี นพ.ธรณินยิ้มพร้อมกับบีบไหล่ลูกชายที่ค้อมตัวไหว้ผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่ลดกระจกลง “ขอบใจนะลูกที่มาส่ง”


“พ่อถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรบอกม่อนหน่อยนะครับ” มองเลยไปยังนายทหารคนสนิทของพ่อที่ขณะนี้นั่งประจำที่คนขับ “ม่อนฝากพ่อด้วยนะครับอา ถ้าอาง่วงต้องแวะพักนะ”


“ครับคุณม่อน ไม่ต้องห่วงครับ รับรองว่าผมจะส่งท่านให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”


ได้ยินอีกฝ่ายรับปากเช่นนั้น นคินทรจึงค่อยคลายกังวล ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู เลื่อนมือขึ้นโยกหัวลูกชายเบา ๆ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาจึงดึงมือกลับ ทันทีที่กระจกเลื่อนขึ้น รถเก๋งคันหรูก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากปั๊มน้ำมันกลางเมือง


นคินทรรอกระทั่งรถของพ่อลับตาจึงเดินกลับไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ชายหนุ่มขับรถมุ่งหน้าออกนอกเมืองลัดเลาะไปตามถนนคดโค้ง เกือบสามสิบนาทีรถก็มาจอดสนิทภายในอาณาบริเวณอันร่มรื่นของหอศิลป์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน เมื่อลงจากรถเขาก็เดินไปยังอาคารไม้ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ


“อ้าวม่อน วันนี้ลมอะไรหอบมาจ๊ะ” เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนกล่าวทักทาย ขณะกำลังชงเครื่องดื่มให้แขกที่นั่งรออยู่ตรงระเบียงด้านนอก


“ผมขับรถมาส่งพ่อที่ในเมืองครับน้าดา คิดถึงเจ้าพวกนี้ก็เลยแวะมาหา” พูดจบก็ย่อตัวลงนั่งเกาคางเจ้าเหมียวพุงกลมที่กำลังนอนบิดขี้เกียจสบายอารมณ์อยู่บนตะกร้าสานแบบมีฝาปิด


“นอนกันทั้งวันเลย ตื่นมาก็ไล่ขับไล่กัดกันให้วุ่น” เจ้าของร้านพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะยกเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ


“แกวิ่งไล่ใครไหวด้วยเหรอเจ้าอ้วน” ชายหนุ่มหัวเราะพลางเลื่อนมือขึ้นลูบหัวเจ้าแมวอ้วนสีเทาแซมขาว


“ตัวดีเลยละ เห็นพุงย้อยอย่างนี้น่ะ เป็นหัวโจกพาเพื่อนวิ่งขับเจ้าตัวที่มาใหม่จนหางจุกตูดเลยนะ”


“มีแมวตัวใหม่เหรอครับน้าดา” นคินทรหันมาถามคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา


“ลูกแมวจ้ะ หลงมาจากไหนก็ไม่รู้ เจ้าพวกนี้ก็เหลือเกิน จ้องจะกัดมันอยู่เรื่อย น้าเลยต้องจับขังไว้ในกรง อยู่โน่นไง” น้าดากล่าวพร้อมกับชี้ไปยังกรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่อีกทาง


นคินทรมองตามอย่างสนใจ ในที่สุดก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดที่หน้าต่างบานยาว จากตรงนี้มองเห็นสายน้ำสีราวกับชาไทยผสมนม สายลมที่พัดผ่านยามฝนเริ่มขาดเม็ดทำเจ้าลูกแมวสามสีสั่นไปทั้งตัว เอาแต่นอนขดไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้ชายหนุ่มจะส่งเสียงเรียก


“ม่อนเอาไปเลี้ยงไหม น้ายกให้”


เป็นประโยคคำถามที่ทำเอาหูผึ่ง “ยกให้ผมจริง ๆ เหรอครับน้าดา”


“จริงสิจ๊ะ มันอยู่กับน้าก็ต้องอยู่ในกรง เพราะถ้าปล่อยออกมาก็ถูกเจ้าแก๊งอันธพาลพวกนี้ไล่กัด น้าตามช่วยตลอดเวลาไม่ได้หรอก ดีไม่ดีจะตกน้ำตกท่าไป”


นคินทรพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปพูดกับลูกแมว “ไปอยู่ด้วยกันไหม”


ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าลูกแมวฟังเข้าใจหรือเพราะนอนขดจนเมื่อย มันขยับตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องเหมียวทักทายชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จากนั้นจึงลุกขึ้นปิดขี้เกียจแล้วเดินถูไถไปมารอบกรง


“ดูท่าทางมันจะชอบม่อนนะ”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอเอามันไปเลี้ยงนะครับน้าดา”


“ได้เลยจ้ะ ยกไปทั้งกรงเลย น้าให้”


“ขอบคุณครับน้าดา” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันกลับไปเปิดกรงแล้วยกเจ้าตัวเล็กออกมา “ให้แกชื่ออะไรดีนะ” พูดไปก็มองตาแป๋ว ๆ ไปพลาง “อืม...มีสามสีแบบนี้ ชื่อซ่าหริ่มก็แล้วกัน”


“ชื่อน่ารักเชียว” น้าดากล่าว มองเจ้าตัวเล็กที่กำลังใช้ขาหน้าเขี่ยปลายจมูกเจ้าของคนใหม่ของมันอย่างเอ็นดู “แล้วนี่ม่อนเข้าไปข้างในมาหรือยังจ๊ะ ตรงที่เขาจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนน่ะเขามีงานมาเปลี่ยนแล้วนะ”


“ยังเลยครับน้าดา ถ้าอย่างนั้นผมฝากเจ้าซ่าหริ่มไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวตอนกลับจะแวะมารับ” พูดจบนคินทรก็ใส่เจ้าลูกแมวกลับเข้าไปในกรงเหมือนเดิม จากนั้นจึงออกจากร้านกาแฟ เดินตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ทั้งที่เป็นนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน


ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโถงสีขาวขนาดใหญ่ก็รู้สึกถึงความเงียบสงบดังเช่นทุกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ทำให้รู้ว่าตนเองมิได้อยู่ลำพัง นคินทรก้าวช้า ๆ ตากวาดมองภาพร่องรอยสีดำบนกระดาษในกรอบสีขาวที่ติดเรียงกันไปบนผนัง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นด้านหลังผนังสีขาวที่กั้นกลางตามแนวขวางแบ่งห้องออกเป็นสองฝั่ง


“ว่าไงสิ...”


“...เราอยู่ข้างในอาคารนิทรรศการน่ะ”


ภาพบนเฟรมผ้าใบสีสันฉูดฉาดเรียกให้นคินทรต้องย้ายสายตาจากงานภาพพิมพ์สีหม่น เดินไปหยุดที่ผนังกลางห้อง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนที่อยู่อีกฟากชัดขึ้น


“สิกับอาจารย์คุยธุระเสร็จแล้วใช่ไหม”


“...อืม...ถ้าอย่างนั้นเรารอข้างในนะ”


ชายหนุ่มขยับเท้าตามดวงตาที่เลื่อนไปหยุดยังภาพสุดท้าย ก้มอ่านชื่อเจ้าของผลงานก่อนจะยืดตัวขึ้น กำลังจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังของผนังเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น


“อยู่ตรงไหนเนี่ย เดินออกมาหน่อยสิ”


“เดี๋ยวสิ ขอดูภาพตรงนี้ก่อน”


“ตรงไหน”


ดูเหมือนต่างคนต่างก็ได้ยินเสียงของกันและกัน


“ตรงนี้ไง” คนที่อยู่หลังผนังพูดกลั้วหัวเราะพลางสืบเท้าห่างออกจากจุดกำบังอย่างรวดเร็วจนทำให้ปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินอ้อมมาดูผลงานศิลปะด้านหลัง


ด้วยความตกใจทำให้นคินทรพยายามขืนตัว รีบชักเท้ากลับ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เซไม่เป็นท่า โชคดีที่อีกฝ่ายไวกว่า สามารถคว้าต้นแขนของเขาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น


“ข...ขอโทษครับ” ฝ่ายผิดกล่าวอย่างร้อนใจ


“ไม่เป็นไร ผมไม่ทันระวังเอง” นคินทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะขยับออกห่างพร้อมกับกล่าวขอบคุณ


“ม่อน!”


“ใครเรียก?” นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในหัวก่อนที่เจ้าของชื่อจะหันกลับไปยังด้านหลัง ดวงตาจับจ้องใบหน้าสวยของคนที่กำลังเดินมาหยุดอย่างพิจารณา


“จำสิได้ไหม”


นคินทรตอบคำถามตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น และยิ่งหญิงสาวถามคำถามเมื่อครู่ก็ยิ่งตอกย้ำว่าคำตอบของเขานั้นถูกต้อง


“ใครจะจำดาวโรงเรียนไม่ได้” ชายหนุ่มยิ้ม


“แล้วจำผมได้หรือเปล่า” จู่ ๆ เจ้าของร่างสูงที่สวมเสื้อม่อฮ่อมทับเสื้อยืดสีขาวก็แทรกขึ้น


พลันรอยยิ้มของนคินทรก็ค่อย ๆ จางหาย หันกลับไปมองคนถามในขณะที่หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน “เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอครับ”


คำถามนั้นทำสิชลหลุดขำ “นี่เพื่อนห้องสิเองจ้ะม่อน ชื่อแสนยา”


“เรียกแสนเฉย ๆ ก็ได้” อีกคนกล่าว


“แสนก็ถามแปลก ๆ ม่อนจะจำแสนได้ยังไง ก็แสนน่ะย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเราหลังจากม่อนลาออกไปแล้วนี่นา”


“ก็ถามดูเฉย ๆ เผื่อว่าจะเคยเดินสวนกันที่ไหน” แสนยากล่าวพลางมองคนที่ยังทำหน้างงไม่หาย เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ “สิคุยกับเพื่อนไปก่อนนะ เราเดินเข้าไปดูงานข้างในก่อน”


สิชลพยักหน้าแล้วหันมากล่าวกับคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายปี “ดีใจจังที่ได้เจอม่อน”


“เราก็ดีใจ สิสบายดีนะ”


“สบายดีจ้ะ ว่าแต่ม่อนเถอะ มาทำอะไรที่นี่”


“เราเข้ามาส่งพ่อในเมืองน่ะ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยแวะที่นี่”


“แสดงว่าตอนนี้ม่อนอยู่น่านเหรอ” หญิงสาวทำตาวาว


“อื้อ สอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่น่ะ”


“นานหรือยังจ๊ะ”


“สามปีแล้วละ”


“ไม่ได้เจอกันเลยเนอะ ตั้งแต่เรียนจบสิก็ไปสอบบรรจุเป็นครูนาฏศิลป์ได้ที่แพร่น่ะ เพิ่งย้ายกลับมาบ้านเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง วันนี้สิพาอาจารย์หัวหน้าหมวดมาคุยกับเจ้าของหอศิลป์ จะขอพาเด็ก ๆ มาทำกิจกรรมที่นี่จ้ะ ส่วนแสนน่ะขอตามมาด้วย เห็นว่าจะมาเก็บข้อมูลทำวิจัย”


นคินทรพยักหน้าพลางมองชายหนุ่มที่กำลังยืนจ้องภาพเขียนขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านในสุดของห้องโถง


“ม่อนเจอเพื่อน ๆ บ้างไหม”


“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอใครเลย ไปที่โรงพยาบาลค่าย คนที่นั่นก็บอกว่าแม่ฉายย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนคลินิกของพ่อหมอกก็กลายเป็นร้านสะดวกซื้อไปแล้ว”


“คลินิกย้ายไปอยู่หลังตลาดจ้ะ พอดีได้ตึกแถวที่ใหญ่กว่าเดิม ตอนนี้หมอกก็ดูแลอยู่”


“แสดงว่าหมอกเป็นสัตวแพทย์เหรอ”


“ใช่แล้ว เป็นไปตามคาดใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้ม


“ดีจัง” นคินทรพลอยยิ้มตามไปด้วย


“วันหลังม่อนเข้ามาในเมืองก็แวะไปสิ หมอกอยู่คลินิกทั้งวันแหละ ส่วนฉาย...” ยังไม่ทันได้อธิบาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“ตายจริง! มัวแต่คุยเพลิน อาจารย์โทรตามแล้ว” ว่าแล้วเธอก็กดรับสาย พูดกันอยู่ 2-3 ประโยคก็กดวาง “สิต้องไปแล้วนะม่อน สิขอเบอร์ม่อนไว้หน่อยได้ไหม กลางปีหน้าสิจะแต่งงาน จะได้โทรคุยกัน”


“ได้สิ” นคินทรตื่นเต้นตามไปด้วย รีบดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้


หญิงสาวรับมาก่อนจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนตำแหน่งของตัวเลข ไม่นานหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็แจ้งเตือนว่ามีสายเข้า “เบอร์นี้นะ”


“อื้อ”


“ถ้าอย่างนั้นสิเข้าไปตามแสนก่อนนะม่อน นี่จ้ะ” พูดจบก็คืนโทรศัพท์ให้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน


นคินทรมองตามร่างเล็กที่เดินห่างออกไป แม้มีคำถามหนึ่งยังคาใจ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทิ้งข้อสงสัยเอาไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มขึ้นไปยังชั้นที่สองของอาคาร เดินชมผลงานศิลปะจนลืมดูนาฬิกา นึกขึ้นได้ว่าต้องกลับเสียทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงฟ้าคำรามครืน ๆ ดังมาจากด้านนอก เท้าก้าวไปหยุดที่ระเบียงหน้าต่างบานยาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเห็นเมฆสีเทาลอยต่ำก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาเป็นแน่ ดังนั้นนคินทรจึงรีบเดินออกจากอาคารแสดงนิทรรศการตรงไปยังร้านกาแฟทันที


“ฝนตั้งเค้ามาแล้วนะม่อน” เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นขณะเก็บกวาดหน้าเคาน์เตอร์เพราะจวนได้เวลาปิดร้าน


“ท่าทางจะตกหนักเลยนะครับ” พูดพลางสอดมือที่หูหิ้วของกรงใบเล็กที่มีเจ้าลูกแมวสามสีนอนขดอยู่ข้างในแล้วยกขึ้น


“นั่นสิ พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้น่ะ กว่ารถประจำทางจะมาสงสัยเปียกฝนเสียก่อนแน่ ๆ” น้าดาพึมพำกับตัวเอง


นคินทรได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ถามว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร เขาเดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์เพื่อบอกลาเจ้าของร้านก่อนจะพาเจ้าแมวเหมียวไปที่รถ


“กลับบ้านกันดีกว่าซ่าหริ่ม” ว่าแล้วก็วางกรงไว้ที่เบาะหลัง


ทันทีที่เข้ามานั่งประจำที่คนขับ เจ้าลูกแมวสามสีก็ส่งเสียงร้องเหมียว ๆ จนนคินทรต้องหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“อยากออกมาข้างนอกละสิ เดี๋ยวไว้ถึงบ้านก่อนนะ ขืนออกมาตอนนี้ มีหวังซ่าหริ่มฝนเล็บจนเบาะรถม่อนเป็นรอยแน่ ๆ”


เจ้าตัวเล็กคล้ายจะเข้าใจ มันเดินวนไปวนอยู่ครู่หนึ่งก็นอนลงเงียบ ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกจากลานจอด กระทั่งเคลื่อนมาถึงปากทางก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนเงยหน้าขึ้นมองทั้งฟ้าขมุกขมัวสลับกับเส้นทางที่ทอดยาวซึ่งขณะนี้ปราศจากรถรา นคินทรจึงชะลอความเร็วแล้วเลื่อนกระจกลง


“จะไปไหนเหรอ”


“จะกลับเข้าไปในเมืองน่ะ รอรถประจำทางตั้งนานแล้ว ไม่ผ่านมาสักคัน” ชายหนุ่มที่พบกันแล้วหนหนึ่งในหอศิลป์กล่าว


“ขึ้นมาสิเดี๋ยวเราไปส่ง เราก็กำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน”


เมื่ออีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ แสนยาก็ไม่คิดปฏิเสธ เขาปลดเป้สะพายหลังเปิดประตูขึ้นมานั่ง และเมื่อปิดประตูฝนก็ตกลงมาพอดี


“เกือบเปียกแล้วไหมล่ะ ขอบคุณมากนะ อืม...ม่อนใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะออกรถ “ให้เราไปส่งที่ไหน”


“ข่วงเมืองก็ได้ ไม่ลำบากใช่ไหม”


“ไม่หรอก แล้วทำไมถึงไม่กลับกับสิล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ”


“แค่อาศัยรถเขามาน่ะ กะว่าจะนั่งรถประจำทางกลับเอง”


“ปกติรถประจำทางก็ไม่เยอะหรอก ยิ่งฝนตกแบบนี้นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน จริง ๆ บอกทางมาเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไร เราพักโรงแรมน่ะ พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว วันนี้แค่มาเก็บข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนทำวิจัยน่ะ”


เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ชัดเจน นคินทรก็ไม่เซ้าซี้ เขายังคงขับรถไปเงียบ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น


“เห็นสิบอกว่าพ่อนายเป็นทหาร”


“ใช่ ทำไมเหรอ”


“พ่อเราก็เป็นทหารเหมือนกัน เคยย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่นี่น่ะ เราก็เลยต้องย้ายตามมาด้วย จนได้มาเจอสิที่โรงเรียน แบบนี้นายก็ต้องรู้จักหมอกกับฉายน่ะสิ”


“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.ต้นน่ะ”


“แล้วทำไมถึงย้ายโรงเรียนล่ะ”


“พ่อเราย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่เพชรบูรณ์”


“ที่แท้พ่อนายก็เป็นผู้อำนวยการคนเก่านี่เอง พ่อเราพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ว่าท่านเป็นนักพัฒนาที่เก่งมาก ๆ ล่าสุดได้ข่าวว่าย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วนี่นา แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”


“เราสอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่”


“มาเสียไกลเลย แสดงว่าที่บ้านไม่ว่าละสิ”


“อือ ก็ไม่ได้ว่าอะไร”


“ไม่เหมือนพ่อเรา ตั้งแต่เล็กจนโตพูดกรอกหูทุกวันว่าอยากให้เราเป็นทหาร ตอนที่รู้ว่าเราไปสอบเข้าคณะจิตรกรรมได้ก็โวยวายบ้านแทบแตก เรียนจบมาแล้วยังบังคับให้เรียนต่อจะได้ไปเป็นอาจารย์ เราขี้เกียจฟังพ่อบ่นก็เลยเรียนให้ จะได้จบ ๆ จริง ๆ อยากเปิดแกลเลอรีวาดรูปมากกว่า พ่อไม่รู้หรอกว่าศิลปินดัง ๆ ขายรูปทีได้เป็นแสน เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยน้อยจะตาย”


“เจอกันครึ่งทางไง ถึงจะเป็นอาจารย์แต่ก็ยังวาดรูปได้นี่ อย่างน้อยก็ทำให้พ่อสบายใจแถมตัวเองก็ได้ทำในสิ่งที่รัก”


“มันก็ใช่แหละ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงมาเป็นครูล่ะ เราได้ยินเขาพูดกันว่าครูน่ะเงินเดือนน้อยไม่ใช่เหรอ”


“เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่ำรวยจากอาชีพนี้นี่” นคินทรตอบสั้น ๆ แต่ก็สื่อความหมายได้ชัดเจนจนอีกฝ่ายไม่คิดจะถามอะไรต่อ
เมื่อรถเคลื่อนเข้าเขตชุมชมก็เป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนเริ่มซาเม็ดลงพอดี นคินทรส่งแสนยาลงที่ลานข่วงเมืองก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักครูที่โรงเรียนเล็ก ๆ ภายในอำเภอสันติสุขซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณสามสิบกว่ากิโลเมตร


...

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 23:22:46 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


สายรุ้งหลากสี กล่องของขวัญใบจิ๋วที่ห่อด้วยกระดาษอังกฤษและการ์ดอวยพรยังถูกประดับประดาไว้บนป้ายนิทรรศการหน้าห้องเรียน แม้จะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มาจนกระทั่งเข้าสู่เดือนที่สามแล้วก็ตาม เมื่อได้ยินสัญญาณโรงเรียนเลิกสมาชิกตัวน้อยต่างช่วยกันยกเก้าอี้ขึ้นวางบนโต๊ะและทำความสะอาดห้องเรียนจนเรียบร้อย เมื่อเด็ก ๆ แยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว ร่างสูงในชุดสีกากีจึงเดินกลับมายังห้องพักครู ทอดตามองม่านผ้าฝ้ายมัดย้อมสีครามที่กำลังปลิวไสว กระดาษสมุดพลิกตีกันเกิดเสียงดังเพราะแรงลม ชายหนุ่มนั่งลงหยิบป้ายชื่อทรงสามเหลี่ยมทำจากไม้เนื้อหนาวางทับเหนือกองสมุดด้วยเกรงว่าหน้ากระดาษจะฉีกขาด ตาคมจับจ้องตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยพูกันเพื่อแสดงให้นักเรียนรู้ว่านี่คือโต๊ะของ “ครูนคินทร ปฐวิพัฒน์”


เจ้าของชื่อถอนใจ นึกถึงข้อความที่ผู้เป็นมารดาส่งมาตั้งแต่เช้า นอกจากจะอวยพรวันเกิดปีที่ 27 แล้วยังเป็นการเรียบเคียงถามอยู่กลาย ๆ ถึงเรื่องโยกย้าย แม้หลังจากเข้ารับราชการได้สองปีจะมีโอกาสขอย้ายกลับไปยังโรงเรียนใกล้บ้าน กระนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจอยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอห่างไกลนี้ต่อ จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สี่ จึงไม่แปลกที่ช่วงหลังมานี้จะได้ยินแม่เปรยถึงเรื่องขอย้ายอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน แม่จึงปรารถนาให้เขาได้กลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดในยามที่ผู้เป็นพ่อเกษียณอายุราชการ


นคินทรพรูลมหายใจพร้อมกับสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ดึงสมุดการบ้านของเด็ก ๆ ที่ตรวจค้างไว้ออกจากกองแล้วเปิดอ่าน มือกดตราประทับรูปดาว จากนั้นลงชื่อกำกับใต้ข้อความสุดท้ายที่เจ้าของสมุดเขียนด้วยลายมือโย้เย้แต่ก็ถูกต้องทุกคำ ชายหนุ่มปิดสมุดแล้ววางรวมไว้ในกองที่ตรวจเสร็จก่อนจะดึงสายตามาหยุดยังสมุดการบ้านเล่มสุดท้าย ไล่อ่านทุกตัวอักษรที่บรรยายถึงอาชีพในฝันซึ่งเป็นหัวข้อของการเขียนเรียงความที่เขาสั่งให้นักเรียนทำส่งตั้งแต่เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน


“อยากเป็นนักว่ายน้ำเหรอเนี่ย” ครูหนุ่มพึมพำก่อนจะพลิกสมุดเพื่อดูชื่อคนเขียน พลันปากบางก็เผยรอยยิ้มแรกของวัน ตาคมกวาดมองไปทีละบรรทัดกระทั่งหยุดที่ภาพซึ่งตัดมาจากนิตยสารเก่า มันคือภาพข่าวเมื่อปีก่อน เป็นเหตุการณ์การแข่งขันว่ายน้ำรอบสุดท้ายในกีฬาโอลิมปิกของฉลามหนุ่มหนึ่งเดียวจากประเทศไทยที่ชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” นคินทรถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น...


สิชลเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง เพราะหลังจากได้พบกับหญิงสาวที่หอศิลป์เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว อีกไม่กี่วันถัดมาเขาก็ได้รับข้อความเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มในโปรแกรมสนทนาบนโทรศัพท์มือถือ จากที่ห่างหายกันไปนานก็เหมือนได้ใกล้กันแม้ไม่พบหน้า ได้รู้ข่าวคราวของทุกคนรวมถึงเรื่องที่น่าตกในเรื่องหนึ่ง นั่นคือพายุพัดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับมายังประเทศไทยหลังจากสำเร็จการศึกษา จนทำให้ต้องอยู่พักรักษาตัวต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างไม่มีกำหนด


.....


พายุพัดเปิดประตูออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ดวงตาทอดมองผืนนากว้างใหญ่ที่ขณะนี้กลับแห้งแล้งเพราะใกล้เข้าหน้าร้อน ยังดีที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาจึงทำให้ที่ทำให้อากาศภายในบริเวณบ้านยังคงเย็นสบาย ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับฝีมือการออกแบบของสถาปนิกผู้มากประสบการณ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่สาวของเขา บ้านน้อยปลายนาจึงกลายเป็นแดนสวรรค์ที่บรรดานักท่องเที่ยวหนุ่มสาวต่างหมายปอง ห้องพักซึ่งมีอยู่เพียงไม่มากเน้นความความเรียบง่าย เป็นส่วนตัว เงียบสงบตามใจผู้เป็นเจ้าของที่ต้องการคงความอบอุ่นภายในครอบครัวเอาไว้ ผืนนาของพ่อยังคงถูกเก็บรักษาและกลับมีชีวิตชีวาเขียวขจีทุกครั้งในช่วงฤดูฝน


ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนออก นานแล้วที่ชีวิตในเมืองทำให้เขาห่างไกลจากความรู้สึกสดชื่นเช่นนี้ และนานเหลือเกินที่เกียรติยศชื่อเสียงรวมถึงหน้าที่ทำให้เกือบหลงลืมหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปเสียสนิท พายุพัดค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แบบปรับเอนได้ หยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะมาเปิดอ่านข้อความ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นข้อความจากเพื่อนนักกีฬา เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รวมไปถึงบรรดาผู้ใหญ่ที่นับถือ สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นตัวเลขแจ้งเตือนข้อความเข้านับพันข้อความจากกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่เขาแทบไม่ได้เปิดอ่านมันเลยนับตั้งแต่ที่ถูกใครสักคนดึงชื่อเข้าไปในกลุ่ม แต่เมื่ออยู่ในช่วงที่ต้องพักรักษาตัวเช่นนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มากเสียจนกลายเป็นความเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอไล่อ่านข้อความไปเรื่อย ๆ เมื่อพบว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องสัพเพเหระจึงเขี่ยผ่านอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาหยุดที่ข้อความท้าย ๆ ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่เขาเห็นว่าหาแก่นสารไม่ได้


Sweety: สงกรานต์นี้ใครกลับบ้านอย่าลืมมาแวะชิมกาแฟที่ร้านนะ ร้านเราจะเปิดเดือนหน้าแล้ว


Bankham: ได้ฤกษ์เปิดแล้วเหรอ


Sweety: จ้า แบงค์


GongYoo_GooYong: ดี ๆ เดี๋ยวจะไปถ่ายรูปมาเขียนคอลัมน์รีวิว


Sweety: ยิ่งยงกลับบ้านถูกด้วยเหรอ


GongYoo_GooYong: ให้เกียรติความอินเตอร์ของหน้าตาเราด้วยหวาน บอกว่าอย่าเรียกชื่อจริงไง


Sweety: จ้า พ่อกงยู


Bankham: เป็นช่างภาพก็ดีแบบนี้ ได้เที่ยวตลอดเลย น่าอิจฉา


aMOXi: นิตยสารเขายังไม่ไล่ออกอีกเหรอวะย้ง


GongYoo_GooYong: อ้าวไอ้หมอก ปากไม่เป็นมงคลแล้วไง เอาไว้ถูกไล่ออกเมื่อไรจะมาสมัครเป็นคนตัดขนหมาที่คลินิกนะ


aMOXi: ไม่ต้อนรับ


GongYoo_GooYong: ไอ้***หมอก (เซ็นเซอร์เองได้โว้ย)


MON: ทะเลาะอะไรกัน


Sweety: นักเรียนเคารพ!


Bankham: สวัสดีค่ะคุณครู


LookKaew: สวัสดีค่ะคุณครู


GongYoo_GooYong: แหม...นี่ก็กะจะทำหน้าที่หัวหน้าห้องได้ยันแก่เลยหรือไง


Sweety: ไอ้ยิ่งโยงงง


Sweety: @MON ปีนี้เราได้กลับมารวมตัวกัน เพื่อน ๆ ก็เลยตกลงกันว่าจะรวบเงินซื้อของยริจาคให้เด็ก ๆ น่ะ คุณครูมีคำแนะนำอะไรไหมจ๊ะ


Bankham: ดีเลยหวาน เดี๋ยวแบงค์จะไปชวนเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วย


MON: เป็นพวกหนังสือหรืออุปกรณ์การเรียนก็น่าจะดีนะ เพราะเด็ก ๆ ใช้ได้ตลอด


Sweety: ได้จ้ะ


“เอ็ม...โอ...เอ็น...มน?”


“หม่อน?”


พายุพัดนิ่งคิด เพื่อนในห้องมีชื่อที่สะกดแบบนี้ตั้งเยอะแยะ กระนั้นดวงตายังจับจ้องภาพเนินเขาที่เจ้าของชื่อใช้เป็นภาพแทนตัว ปลายนิ้วแตะเลื่อนข้อความลงมาเรื่อย ๆ จนถึงการสนทนาเมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่พบชื่อของใครคนนั้นแล้ว ย้อนกลับไปอ่านข้อความก่อนหน้าก็แทบจะไม่มีชื่อนี้ปรากฏขึ้นในการสนทนาเลย หรือหากมี ใคร ๆ ก็พากันเรียกว่า “คุณครู” แทนการเรียกชื่อเล่น


“ใช่หรือเปล่าวะ” ชายหนุ่มพึมพำก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง เมื่อดึงประตูออกก็พบพี่สาวยืนยิ้มอยู่ที่ด้านนอก


“นึกว่ายังไม่ตื่นเสียอีก พี่เห็นเมื่อคืนกว่าพายจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว นี่แม่ให้พี่ขึ้นมาตามไปกินข้าวน่ะ”


พายุพัดพยักหน้าก่อนจะเดินตามเจ้าของร่างเล็กลงมาด้านล่าง


“เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม”


“หลับ ๆ ตื่น ๆ น่ะ แต่อีกสักพักก็คงชิน” น้องชายว่าพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ “บ้านเปลี่ยนไปเยอะเลยนะพี่ฝน”


“พายชอบไหม”


“อือ สวยดี”


แม้จะเป็นคำตอบที่สั้นเกินไปหน่อยแต่ก็พอจะสร้างรอยยิ้มให้แก่คนเป็นพี่สาวได้บ้าง


“แล้วนี่หมอว่ายังบ้าง แล้วยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกไหม”


“ไม่แล้วละ” พายุพัดเลือกที่จะตอบเช่นนั้นแทนการต้องอธิบายอาการของตนเองให้ยืดยาว


ได้ยินน้องชายตัดบทเพียงพรรษจึงไม่ได้เซ้าซี้ถาม เมื่อก้าวถึงชั้นล่างเห็นลังกระดาษใบใหญ่ที่ใต้บันไดจึงนึกขึ้นได้ “พี่เก็บของออกมาจากห้องพายตั้งแต่ตอนรีโนเวทบ้าน เห็นลังกระดาษนี่อยู่ใต้เตียง ข้างในก็เป็นพวกหนังสือเรียน หนังสือการ์ตูน จะเก็บในห้องเก็บของก็กลัวปลวกจะขึ้น พายจะบริจาคไหม หรือถ้าจะเก็บไว้พี่จะได้หาตู้มาใส่ให้”


“บริจาคไปก็ได้ ไม่ได้ใช้ทำอะไรแล้วละ”


“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เมื่อวันก่อนพี่เจอน้ำหวานที่ตลาด เห็นว่าจะเอาของไปบริจาคให้เด็ก ๆ ที่อยู่ต่างอำเภอ พี่จะได้ยกกล่องนี้ให้ไปเลย”


พายุพัดพยักหน้า ไม่คิดแม้แต่จะรื้อดูของที่อยู่ข้างในเลยสักนิด



...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 23:25:43 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


“ช...ช่วยด้วย ช่วย...ด...ด้วย ช...ช่วยด้วย...”


ร่างใต้ผ้าห่มดิ้นขลุกขลัก หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต มือไม้ไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะราวกับกำลังตกลงไปในห้วงน้ำที่ดูดกลืนร่างให้จมลึก พลันดวงตาก็เบิกโพลงเมื่อสิ้นเสียงตะโกนให้คนช่วยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย ชายหนุ่มรีบยันกายลุกขึ้นนั่งหายใจหอบ เลื่อนมือขึ้นกดลงบนหน้าอกหวังจะระงับการเต้นรัวของหัวใจ เจ้าแมวเหมียวที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอะอะโวยวายของเจ้านายก็พลอยตกใจกระโดดแผล็วลงจากเตียงไปด้วย


“ทำไมอยู่ ๆ ก็ฝันเรื่องนี้นะ” นคินทรบ่นกับตัวเอง มือคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือข้างเตียงขึ้นกดดูเห็นว่าจวนได้เวลาตื่นจึงไม่คิดนอนต่อ


ชายหนุ่มลุกจากที่นอน วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ หมุนเปิดก๊อกแล้ววักน้ำเย็นเฉียบขึ้นลูบหน้าลูบตา ใบหน้าซีดเซียวที่สะท้อนบนกระจกชวนให้หวนนึกถึงเรื่องสุดท้ายที่คิดก่อนจะผล็อยหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน นคินทรรีบอาบน้ำอาบท่าจากนั้นจึงพันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูแล้วเดินออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่แม่ไก่ตัวเขื่องในเล้าที่เด็ก ๆ เลี้ยงเอาไว้หลังอาคารเรียนโก่งคอขัน ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น จมูกได้กลิ่นควันไฟที่ชาวบ้านสุมขึ้นเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บ ชายหนุ่มเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเครื่องแบบข้าราชการติดเครื่องหมายเรียบร้อยออกมาสวม จากนั้นจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อตอนหัวค่ำวันก่อน ปลายนิ้วแตะเพื่อขยายภาพการ์ดแต่งงานสีหวานพิมพ์ตัวอักษรสีทองเป็นชื่อของคนที่เขารู้จักดี


‘สิชล-อวัศย์’


และนั่นยิ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่เพื่อน ๆ จนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทุกคนพากันพูดถึงจนดึกดื่น ไม่มีใครรู้ว่าสองคนไปคบหากันตอนไหน มีแต่ถ้อยคำติดตลกที่ว่าที่เจ้าสาวฝากมากับว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ โดยมีเนื้อความว่าให้รอดูวิดีโอสั้นที่จะเปิดภายในงานที่จะมีขึ้นช่วงกลางปี


ก่อนถึงงานมงคลสมรสเพียงหนึ่งสัปดาห์ นคินทรก็ได้รับข้อความส่วนตัวจากอวัศย์ เชิญให้เขาไปร่วมพบปะสังสรรค์กันที่ร้านกาแฟในสวนของน้ำหวาน และนคินทรก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับ ชายหนุ่มขับรถออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้าไปตามพิกัดในแผนที่ที่เพื่อนส่งให้ เมื่อไปถึงเขาก็พบกับสิชลและอวัศย์ที่รออยู่ก่อนแล้ว


“ยินดีด้วยนะสิ หมอก” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อพบหน้ากัน


“ขอบใจมากนะ” อวัศย์กล่าวพร้อมกับสวมกอดเพื่อนเก่า


“โชคดีจังเลยที่สิบังเอิญเจอม่อนเมื่อคราวก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะติดต่อม่อนได้ที่ไหน”


เจ้าของชื่อยิ้ม รู้สึกว่าเป็นความโชคดีอย่างที่สุด เขาถอยห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อมองเพื่อนให้ชัด สิ่งที่ทำให้อวัศย์ดูแปลกไปจากเดิมเห็นจะมีเพียงแว่นสายตากรอบโลหะที่อีกฝ่ายสวมอยู่


“ไปนั่งคุยกันข้างบนดีกว่าจ้ะม่อน” สิชลเอ่ยขึ้น


ดังนั้นนคินทรจึงเดินตามทั้งสองคนขึ้นไปยังชั้นสองของร้านซึ่งแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นห้องสมุด ดูเหมือนว่าคนที่ถูกเชิญจะมีเพียงเขาเท่านั้น


“คราวก่อนที่เจอกันแล้วสิบอกว่าจะแต่งงาน เราคิดว่า...” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อนั่งลง


“คิดว่าจะเป็นฉายใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าในขณะที่สิชลได้แต่ยิ้ม


“อ้าว หวานมาพอดีเลย”อวัศย์เอ่ยขึ้น


“รับอะไรดีจ๊ะเพื่อน ๆ” อดีตหัวหน้าห้องกล่าวเมื่อเดินมาหยุด


“ไม่เจอกันนานเลยนะหวาน ผอมลงไปเยอะเลย” นคินทรกล่าว


“ช่วงนี้วุ่น ๆ เรื่องในร้านจ้ะ ไหนจะต้องเลี้ยงเจ้าตัวเล็กอีก”


“เจ้าตัวเล็ก?”


“ลูกชายหวานเอง” หญิงสาวยิ้ม


“มีลูกแล้วด้วยเหรอ” นคินทรกล่าวอย่างประหลาดใจระคนยินดี “ไม่รู้เลยว่าหวานแต่งงานแล้ว”


“ก็นายเล่นหายไปเลยตั้งกี่ปี” อวัศย์เอ่ยขึ้น


“ร...เราไม่ได้แต่งหรอกม่อน เราไม่มีเงินจัดงานหรอก เงินทั้งหมดที่มีก็ลงไปกับร้าน ที่พอจะเหลืออยู่ก็กะว่าจะเก็บไว้ให้ลูก” น้ำหวานตอบอย่างเหนียมอาย


“เอาไว้ค่อยแต่งตอนลูกโตก็ได้เนอะ” สิชลบอก “ว่าแต่พ่อของลูกอยู่ไหนจ๊ะ”


“พาลูกไปบ้านย่าน่ะ คงจะหลบหน้าสิกับหมอกนั่นแหละ” เจ้าของร้านกล่าวก่อนจะนั่งลง


“อะไรกัน นี่ยังเก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดอีกเหรอ ที่สินัดม่อนที่นี่เพราะตั้งใจให้พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันนะ”


“ฉ...ฉาย” นคินทรมุ่นคิ้ว “มีเรื่องอะไรกันเหรอ”


เพื่อคลายความสงสัยของเพื่อน สิชลจึงอาสาเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนคินทรลาออกจากโรงเรียน


“สิกับฉายคบกันจนกระทั่งเรียนจบ จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเรียนต่อ หมอกกับสิสอบได้มหาวิทยาลัยเดียวกันที่กรุงเทพฯ ส่วนฉายต้องแยกไปเรียนที่ขอนแก่น น้ำหวานเองก็ต้องไปเรียนที่ลำปาง ความสัมพันธ์ของสิกับฉายยังราบรื่นดี เราไปมาหาสู่กัน ระยะทางไม่เคยทำให้สิคิดระแวงเลยว่าฉายจะมีคนอื่น นั่นเพราะฉายมักจะวาดฝันอนาคตของเราสองคนให้สิฟังอยู่บ่อย ๆ พอฉายเรียนจบก็เข้าทำงานที่บริษัทออกแบบตกแต่งภายในในกรุงเทพฯ ส่วนสิต้องไปฝึกสอนที่ต่างจังหวัดหนึ่งปีเต็ม ๆ แต่สิก็ยังพยายามมาเจอฉาย แต่ดูเหมือนฉายจะไม่อยากเจอสิเท่าไร เราคุยกันน้อยลง พบกันน้อยลง จนตอนหลังสิรู้ว่าฉายมีคนอื่น สิก็เลยตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์” สิชลหยุดไปชั่วขณะ “ตอนนั้น...รู้สึกแย่มากเลยละ เหมือนคนบ้า ที่ฝันไว้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันพังหมด สิกัดฟันอ่านหนังสือเพื่อสอบบรรจุไกล ๆ จะได้ลืม ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่มีหมอกอยู่ข้าง ๆ มาตลอด”


“ฉายเองก็คิดน้อยไป คิดจะคบกับอีกคนแก้เหงา พอถูกสิบอกเลิกก็แทบไม่เป็นผู้เป็นคน ทำตัวสำมะเลเทเมาจนโดนไล่ออกจากงาน รู้ว่าสิมาคบกับหมอกก็เอาแต่โทษว่าหมอกเป็นต้นเหตุ ไม่เคยคิดโทษตัวเอง ผ่านมาหลายปีถึงสำนึกได้จนไม่กล้าสู้หน้ากัน” น้ำหวานเสริม


“ยังไงสิฝากหวานบอกฉายหน่อยนะจ๊ะว่าสิลืมเรื่องพวกนั้นไปหมดแล้ว สิอยากให้ฉายกับหมอกกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม อยากให้ฉายไปงานแต่งงานของเรา”


“หวานไม่รับปากนะ แต่จะพยายามลากตัวไปให้ได้...” น้ำหวานยังพูดไม่ทันจบเสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น


“มะ...มะ...”


ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังเด็กชายวัยขวบเศษที่เดินเตาะแตะเข้ามา เสียงก๊อบแก๊บที่รองเท้ากับแก้มยุ้ยน่าฟัดทำให้ทุกคนอดยิ้มไม่ได้


“มาได้ยังไงเนี่ยลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวก่อนจะอุ้มหนูน้อยไว้ในอ้อมแขน ไม่นานเธอก็ได้คำตอบเมื่อใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


“ฉ...ฉาย” นคินทรกล่าวอย่างแผ่วเบา สองตาจับจ้องดวงหน้าของชายหนุ่มที่เดินมาหยุดตรงประตู หนวดเคราขึ้นครึ้มแต่มีหรือที่เขาจะจำแววตาขี้เล่นนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเคลือบด้วยความหม่นเศร้าก็ตาม


เจ้าของชื่อฝืนยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉ...ฉายขอโทษนะสิ ขอโทษจริง ๆ” ว่าแล้วภาณุก็เบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างคนรักเก่า “เราขอโทษนายด้วยนะหมอก ขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีกับนาย”


อวัศย์ไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอด กระชับไม่ให้เหลือระยะห่างที่เกิดจากความเข้าใจผิด “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก”


ภาพนั้นทำเอาคนมองน้ำตารื้น


“ไอ้ม่อนมานี่ มากอดที”


นคินทรส่ายหัวยิ้ม ๆ เมื่อได้ฟัง กระนั้นก็ยังลุกขึ้นแล้วเดินตามเข้าไปสมทบ เพื่อนรักทั้งสามกอดกันกลมทำเอาหญิงสาวสองคนพากันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ยินดีกับมิตรภาพที่จะยังคงอยู่ตลอดไป…


....


Sichon เชิญคุณเข้ากลุ่ม


พายุพัดทอดตามองข้อความที่ปรากฏขึ้น ในที่สุดจึงแตะปลายนิ้วลงบนหน้าจอสัมผัส จากนั้นก็นั่งจ้องโทรศัพท์ในมือที่สั่นทุกครั้งเมื่อมีข้อความเข้า


Sunny: ใครตั้งชื่อกลุ่มวะ


Sweety: แม่เอง


Sunny: แล้วไปจ้ะแม่


Sichon: ตลกชื่อกลุ่มจัง


Sichon: สี่ยอดกุมาร ดูตามลูกสินะ


Sweety: ใช่แล้วจ้าสิ


Sunny: ไพเราะเสนาะหู


aMOXi: ถุย! หงอนี่หว่า


Sunny: อีกหน่อยนายก็ต้องเป็นแบบนี้แหละหมอก


MON: ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่สมาคมกลัวเมียแห่งประเทศไทย


aMOXi: ไอ้เหมียววว


Sunny: ไอ้ม่อนนน


ชายหนุ่มจ้องข้อความนั้นตาเขม็ง ไม่รู้ทำไม...แค่เห็นชื่อก็หัวใจเต้นรัวแล้ว


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


พยายามจะเขียนให้รอด

ให้ได้เจอกันสักทีในตอนนี้

แต่สุดท้ายไม่รอดค่ะ ยาวเกินไป

ยังไงเอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ได้เจอแน่ ๆ จ้าาา (หน้าที่ 100 แหง ๆ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 23:29:13 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ได้เจอกันผ่านตัวอักษรแวบๆ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ ใกล้กันอีกนิดแล้ว ใกล้จะได้เจอกันแล้วค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด