พิมพ์หน้านี้ - สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:30:35

หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:30:35
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:31:39
หากความโกรธเป็นดั่งพายุใหญ่ที่หอบเอาบางความรู้สึกจากไป

ในยามที่เมฆฝนคลี่คลาย พายุร้ายจะกลายเป็นเพียงกระแสลมอ่อน ๆ ที่พัดพาความรู้สึกเดิมให้หวนคืน

เมื่อถึงเวลานั้นร่างกายจะเบาหวิวและหัวใจก็คงปลิดปลิวไปในอากาศ


สารบัญ

ตอนที่ 1 ลมรำเพย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3835234#msg3835234)
ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3843083#msg3843083)
ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3846612#msg3846612)
ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3848215#msg3848215)
ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3849878#msg3849878)
ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3856103#msg3856103)
ตอนที่ 7 มิตรภาพ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3859848#msg3859848)
ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3861446#msg3861446)
ตอนที่ 9 ความลับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3863119#msg3863119)
ตอนที่ 10 ตัวป่วน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3866191#msg3866191)
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3871095#msg3871095)
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ ครึ่งหลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3871448#msg3871448)
ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3872305#msg3872305)
ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3874691#msg3874691)
ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3875953#msg3875953)
ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3889457#msg3889457)
ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3890070#msg3890070)
ตอนที่ 16 กำลังใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3893868#msg3893868)
ตอนที่ 17 กอด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3895243#msg3895243)
ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3898578#msg3898578)
ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3899478#msg3899478)
ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3902167#msg3902167)
ตอนที่ 21 กระซิบรัก (ตอนจบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67253.msg3903428#msg3903428)





เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:36:49
ตอนที่ 1 ลมรำเพย


สายลมพัดเอื่อยพาให้ดอกวาสนาในกระถางขยับไหวส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วบริเวณบ้านไม้สองชั้นซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายทหาร แม้จะเป็นบ้านพักของผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย แต่กลับตกแต่งอย่างเรียบง่ายที่สุดตามความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของซึ่งก็คือหมอทหารยศพันโทวัย 47 ปี


ตาคมละจากดอกไม้ที่โปรดปรานซึ่งมักแย้มกลีบส่งกลิ่นหอมอบอวลในช่วงฤดูหนาว ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องฝั่งที่อยู่ใกล้กับต้นเสี้ยวดอกขาวต้นใหญ่ เห็นว่าไฟยังคงสว่างจึงเดินกลับเข้าบ้าน ไม่นานก็มาหยุดหน้าห้องซึ่งยกให้เป็นห้องนอนของลูกชายนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงความอ่อนโยนทอดมองหนุ่มน้อยที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ส่วนผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ กันนั้นเป็นทั้งแม่ผู้แสนใจดีและภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่งตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในวันแต่งงาน


“สองคนแม่ลูกทำอะไรกันอยู่ หัวเราะเสียงดัง ได้ยินไปถึงข้างล่าง” ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเอ่ยขึ้นเมื่อเดินพ้นประตูเข้ามา จากนั้นจึงนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง


“กำลังคุยกันเรื่องที่วันนี้ม่อนไปส่งขนมผิดบ้านครับพ่อ” ลูกชายตอบพลางปิดหนังสือแล้วขยับนอนหนุนตักแม่


“อีกแล้วเหรอ” พ่อกล่าว ไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาที่ไม่ค่อยมีเวลาพาครอบครัวออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา ที่ลูกชายคุ้นเคยหน่อยก็คงมีแค่วัด โรงเรียนและโรงพยาบาลภายในค่ายทหารแห่งนี้เท่านั้น


“แม่โทรคุยกับลูกค้าเสียดิบดีว่าจะให้ลูกชายขี่จักรยานไปส่งขนม เขาก็ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะออกมารอรับที่หน้าบ้าน” วาสนาเสริม “แต่ลูกเราดันไปผิดบ้านเสียได้” เธอกล่าวพร้อมกับก้มลงมองดวงหน้าหมดจดของคนที่เป็นเสมือนโซ่ทองคล้องใจ


“ม่อนไปกดกริ่งตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิด แถมยังโดนหมาบ้านข้าง ๆ วิ่งไล่อีก มันคงรำคาญเสียงกริ่ง ม่อนขี่จักรยานหนีแทบไม่ทัน นึกว่าจะโดนหมากัดก้นเสียแล้ว” หนุ่มน้อยบ่นอุบ


“แล้วทำยังไงถึงรู้ว่าไปส่งผิดล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความสงสัย


“แม่ลืมเอาโทรศัพท์มือถือให้ลูกไป ลูกค้าเขาเห็นว่านานผิดสังเกตก็เลยโทรมาตามที่แม่ แม่เลยขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปดูถึงได้รู้ว่าลูกไปผิดบ้าน เจ้าตัวดีนี่แหละ แม่บอกให้เอากระดาษที่จดเลขที่บ้านติดไปด้วยก็ไม่ยอมเอาไป บอกว่าจำได้ ๆ”


“ม่อนจำเลขได้ทุกตัวจริง ๆ นี่ครับแม่ แค่จำสลับกันเท่านั้นเอง” ท้ายประโยคนั้นอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง


“แบบนี้แหละจ้ะที่เขาเรียกว่าจำไม่ได้ นคินทร” ว่าแล้วก็บีบจมูกลูกชายอย่างเอ็นดู


“นคินทร” คือชื่อของเด็กชายวัยสิบห้าย่างสิบหกปี ลูกชายคนเดียวของพันโทนายแพทย์ธรณิน และวาสนา ปฐวิพัฒน์ แต่เดิมนั้นทั้งคู่มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่เพราะผู้นำครอบครัวได้รับคำสั่งให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายทหารในจังหวัดน่าน วาสนาจึงตัดสินใจทิ้งกิจการร้านขนมที่รับช่วงต่อจากมารดารวมถึงชีวิตอันแสนสบายในเมืองกรุง พาลูกชายวัย 12 ปี ย้ายถิ่นฐานมาเริ่มต้นชีวิตในต่างจังหวัดตามประสาครอบครัวที่ไปไหนไปกัน


“โชคดีนะที่ทั้งขนมแล้วก็คนไม่เป็นอะไร นี่ถ้าโดนหมากัดขึ้นมา หรือโดนมันวิ่งไล่จนรถล้มจะว่ายังไง” พันโทนายแพทย์ธรณินเอ่ยขึ้น


เมื่อได้ฟัง ลูกชายก็ยิ้มแฉ่งก่อนจะตอบคำถามของผู้เป็นพ่อ “ก็มาให้พ่อทำแผลให้ไงครับ”


“เจ้าลูกคนนี้นี่ จะโตเป็นหนุ่มอยู่แล้วยังทำทะเล้นเป็นเด็ก ๆ”


“ถ้าพ่อบอกว่าม่อนโตแล้ว อย่างนั้นม่อนขอไปโรงเรียนเองได้ไหมครับ”


“นึกยังไงถึงจะไปโรงเรียนเอง” ผู้เป็นพ่อถามอย่างประหลาดใจ


“ก็...เทอมหน้าม่อนขึ้นม.สี่แล้วนะพ่อ ขืนยังต้องให้พ่อไปส่งที่โรงเรียน มีหวังม่อนโดนเพื่อน ๆ กับรุ่นน้องล้อแน่ ๆ”


“แล้วลูกจะไปยังไง” วาสนาแทรกขึ้นเพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากที่ลูกชายบอกเอาไว้ว่าจะหาโอกาสพูดกับผู้เป็นพ่อให้ได้


“เดี๋ยวม่อนให้ฉายมารับครับ เพราะยังไงฉายต้องมาช่วยแม่ตั้งร้านในโรงอาหารของโรงพยาบาลอยู่แล้ว ส่วนตอนเย็นก็ให้ฉายมาส่ง ม่อนจะให้ฉายหัดขี่มอเตอร์ไซค์ให้ด้วยเลย อีกหน่อยม่อนจะได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนเองได้”


“อืม เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่พ่อขอเจอกันครึ่งทางนะ ตอนเช้าให้ฉายมารับ ส่วนตอนเย็นพ่อไปรับม่อนที่โรงเรียนเหมือนเดิม ถ้าวันไหนพ่อติดประชุมพ่อจะให้อาทหารไปรับแทน ให้ฉายคอยรับส่งตลอดพ่อว่าไม่เหมาะ เผื่อวันไหนฉายมีธุระหรืออยากไปไหนของเขาบ้าง”


“ก็ได้ครับพ่อ”


“แต่บอกฉายนะว่าอย่าพากันโลดโผนนัก พ่อกับแม่เป็นห่วง”


“ครับพ่อ”


“แล้วนี่ลูกจะสอบเมื่อไร”


“สัปดาห์หน้าครับ”


“หลังจากนั้นก็ปิดเทอมแล้วสิ สงสัยพ่อจะไปส่งลูกกับแม่ที่บ้านคุณปู่แล้วก็พาลูกไปทำบุญวันเกิดตามที่สัญญาไว้ไม่ได้แล้วละ”


“งานที่โรงพยาบาลยุ่งเหรอจ๊ะพ่อ” ผู้เป็นภรรยาถาม กระนั้นก็พอจะคาดเดาได้ สำหรับธรณินแล้วหากไม่ใช่เรื่องของส่วนรวมแล้ว อย่างไรครอบครัวก็ต้องมาก่อน


“เดือนหน้าโรงพยาบาลค่ายร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจะออกให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคภัยที่มากับหน้าร้อนน่ะ”


“ไม่เป็นไรจ้ะพ่อ แม่ไปกับลูกได้”


“ใช่ครับ พอลงรถทัวร์ก็ต่อแท็กซีไปบ้านคุณปู่ สบายมากครับพ่อ” เด็กชายกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง ลุกขึ้นนั่ง ลอบสบตาผู้เป็นแม่จากนั้นจึงตัดสินใจพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่อง


“ต...แต่ก่อนไปบ้านคุณปู่ ม่อนขอไปทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ ได้ไหมครับพ่อ”


“ทัศนศึกษา” พันโทนายแพทย์ธรณินทวนคำ


“ครับ เพื่อน ๆ ลงความเห็นกันว่าอยากจะทำกิจกรรมร่วมกันก่อนที่บางคนจะย้ายไปเรียนที่อื่นครับ อาจารย์ก็เลยเสนอให้ไปทัศนศึกษาที่ลำปางจะได้ถือโอกาสไปดูกีฬาเยาวชนแห่งชาติด้วย”


“ลำปางเหรอ ไกลเหมือนกันนะ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียบ ๆ เมื่อเห็นแววตามีความหวังวูบหม่นลงจึงถามต่อ “แล้วจะไปกันยังไง”


“โรงเรียนจัดรถบัสให้ครับ”


“แบบนี้ก็ต้องค้างคืนน่ะสิ”


“ใช่ครับพ่อ”


“แล้วจะไปกี่วันกี่คืนกัน”


“ค้างหนึ่งคืนครับ”


เมื่อได้ฟังคำลูกชาย ธรณินก็หันไปสบตาภรรยาเพื่อขอความเห็น แต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มในดวงตาของวาสนาเขาก็กล่าวต่อ “อืม ถ้าอย่างนั้นก็เอาโทรศัพท์มือถือไปแล้วโทรบอกพ่อกับแม่ด้วยแล้วกันว่าเดินทางถึงไหนแล้ว”


“ครับพ่อ” ลูกชายรับคำเสียงใส


“ยิ้มแก้มปริเชียวนะจ๊ะ” วาสนากระเซ้าลูกชายพลางส่งยิ้มให้สามีเป็นการขอบคุณที่เขายอมปล่อยให้ลูกชายได้ออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเองสักที


....


พันโทนายแพทย์ธรณินลดหนังสือพิมพ์ลงทันทีที่เสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ในชุดทหารลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูเป็นเวลาเดียวกับที่หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนสะพายเป้วิ่งลงบันไดมาพร้อมกับเสียงปรามของผู้เป็นแม่


“ม่อน อย่าวิ่งอย่างนั้นสิลูก”


“ครับแม่” ว่าแล้วก็นั่งลงที่กรอบประตูหยิบรองเท้ามาสวม จากนั้นก็ลุกขึ้นหันมายิ้มให้พ่อและแม่ “ม่อนไปโรงเรียนก่อนนะครับ สวัสดีครับ” นคินทรยกมือไหว้ยังไม่ทันเสร็จก็หมุนตัวกลับกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปนอกรั้ว รับหมวกนิรภัยจากเพื่อนมาสวมแล้วกระโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างกระฉับกระเฉง เพียงไม่ถึงอึดใจรถจักยานยนต์แบบที่วัยรุ่นนิยมใช้ก็พาทั้งคู่ลับตาไป


“พ่อคิดถูกใช่ไหมที่ปล่อยให้ลูกไปโรงเรียนเอง”


วาสนามองสีหน้าเจือความกังวลของสามีแล้วยิ้มน้อย ๆ “เอาน่าพ่อ แม่ว่าฉายเป็นเด็กดีไว้ใจได้”


“พ่อรู้ว่าฉายเป็นเด็กดี พ่อไม่ได้กลัวว่าสองคนจะชวนกันไปทำอะไรเสียหายหรอก แต่กลัวว่าจะพากันไปรถล้มที่ไหนนี่สิ”


“อย่าคิดมากเลยจ้ะพ่อ ลูกเราไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างรถราที่นี่ก็ไม่ได้มากมายเหมือนในกรุงเทพฯ สักหน่อย”


ธรณินพยักหน้า ถึงจะพยายามปล่อยวางแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ “พ่อแค่รู้สึกแปลก ๆ น่ะ” คนพูดถอนหายใจ “ทุกเช้าจะได้ไปส่งลูก ได้เห็นลูกเดินเข้าโรงเรียนแล้วมันสบายใจ นี่ต้องรอลุ้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นไหม”


“นี่เพิ่งจะไม่กี่วันเองพ่อ อีกหน่อยก็ชิน รีบไปทำงานดีกว่าจ้ะ เดี๋ยวจะสาย” วาสนาพูดพลางดึงมือสามีเดินกลับเข้าไปในบ้าน


เมื่อรถจักรยานยนต์พ้นเขตกำแพงอันแข็งแกร่งของค่ายทหารภาณุก็เร่งความเร็วขึ้น นคินทรยิ้มกว้างเมื่อลมเย็นปะทะเข้ากับใบหน้า ดวงตาทอประกายจับจ้องไปยังลำน้ำที่ทอดยาวขนานไปกับเส้นทางที่พวกเขาใช้สัญจรอยู่ในขณะนี้ แม้จะเป็นเวลาเจ็ดนาฬิกา แต่ม่านหมอกก็ยังคงปกคลุมไปทั่ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนน่านนครก็ให้ความรู้สึกเงียบสงบชวนหลงใหล บรรยากาศรอบกายทำให้เด็กหนุ่มผู้ปราศจากความทุกข์ร้อนใด ๆ เผลอปล่อยมือจากเอวเพื่อน กางแขนออกราวนกน้อยสยายปีกยามเมื่อหลุดออกจากกรงทอง บินถลาท่ามกลางสายลมพัดพลิ้ว


“เฮ้ย ๆ เกาะดี ๆ สิม่อน”


“ขอโทษ ลืมตัวน่ะ” 


“เดี๋ยวตกลงไป ลุงผู้พันได้มาฆ่าเราแน่ ๆ”


“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” คนซ้อนท้ายกล่าวพร้อมกับเลื่อนมือลงมายังตำแหน่งเดิม


ภาณุพานคินทรขี่รถลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยจนในที่สุดก็ถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัย หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว เด็ก ๆ ก็แยกย้ายไปยังห้องของตนเพื่อพบกับอาจารย์ประจำชั้นในชั่วโมงโฮมรูม


“นี่ ตกลงแกจะไปทัศนศึกษาไหมฉาย เราจะส่งชื่อให้อาจารย์แล้วนะ” ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าห้องกล่าวพลางวางกระดาษที่มีรายชื่อของเพื่อนทั้งห้องลงบนโต๊ะ กอดอกมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านอยู่ที่หลังห้อง


“ไปถามม่อนก่อนเลย ถ้าม่อนไปเราก็ไป” ภาณุตอบส่ง ๆ


“ตัวติดกันจังเลยนะ” สาวน้อยกล่าวอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ไม่วายตะโกนถามเด็กหนุ่มที่อาสาช่วยรวบรวมสมุดการบ้านของเพื่อน ๆ ให้ “ม่อน ไปทัศนศึกษาด้วยกันไหม”


“ไปสิ” นคินทรตอบ


“สบายใจแล้วสินะ” เจ้าของร่างเล็กในชุดนักเรียนคอซองกล่าวพลางดึงกระดาษขึ้นแล้วใช้ปากกาทำเครื่องหมายที่หน้าชื่อของเพื่อน “เมื่อเช้าก็มาโรงเรียนด้วยกัน ไม่รู้จะตัวติดกันไปถึงไหน”


“แกอิจฉาหรือไงยัยหวาน” ภาณุทำแลบลิ้นปลิ้นตา “พวกเรียนเก่งจนไม่มีคนคบ”


“อิจฉาบ้าอะไร รำคาญสิไม่ว่า อะไรก็ม่อน อะไรก็ถามม่อนก่อน แล้วแต่ม่อน เชอะ! คิดเองไม่เป็นหรือไงวะ”


“เงียบปากไปเลย พวกขี้อิจฉา”


“ไอ้ฉาย! บอกแล้วไงว่าไม่ได้อิจฉา แต่รำคาญโว้ย!”


นคินทรมองสองคนที่หาเรื่องเถียงกันได้ทุกวันพลางส่ายหัว “อย่าเถียงกันเลยน่า เอ้านี่...เราเก็บมาให้หมดแล้ว” พูดจบก็วางสมุดกองโตลงบนโต๊ะ


“ขอบใจนะม่อน” เธอหันมายิ้มให้


“ขอบใจนะม่อน” ภาณุทำจีบปากจีบคอล้อเลียน


“กวน...” น้ำหวานเลือกที่จะไม่เปล่งเสียงในพยางค์สุดท้ายแต่เปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวแทน    


“ทีกับม่อนละพูดเพราะ”


“ก็ม่อนมีมารยาท สุภาพเรียบร้อย ไม่เหมือนบางคน” เธอตอบห้วน ๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าแล้วหันมาถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างไป “ครบไหมม่อน”


“เหลือของฉายแล้วก็...” ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็แทรกขึ้น


“ดี เราจะบอกอาจารย์ว่าแกไม่ยอมส่งการบ้าน อาจารย์จะได้หักคะแนนแก” ว่าแล้วหัวหน้าห้องก็ยกกองสมุดขึ้น


“เดี๋ยว!!!” ภาณุลากเสียง ท่าทางไม่สะทกสะท้านต่อคำขู่ทำให้คนมองอดแปลกใจไม่ได้


“จะขอให้รอเหรอ”


“เปล่า...แต่จะบอกว่าถ้าเราโดนหักคะแนน แกก็โดนด้วย” พูดพร้อมกับชูสมุดที่เป็นต้นฉบับขึ้นพลางส่งยิ้มยียวน


“อ...เอ้อ...เล่มที่ฉายลอกอยู่น่ะของหวาน” คนกลางกล่าวอ้อมแอ้ม


“อ...ไอ้ฉาย รีบลอกเร็ว ๆ เลย”


นคินทรละสายตาจากสองคนที่เริ่มเปิดฉากเถียงกันอีกครั้ง เขาเดินกลับไปนั่งยังที่นั่งของตนพลางมองโต๊ะติดกัน นึกถึงวันแรกที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ในสายตาของเพื่อน ๆ เขาดูแปลกแยกจากคนอื่น เพราะความที่เป็นคนต่างถิ่นซ้ำยังเป็นลูกชายนายทหาร แต่โชคดีได้คนมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างภาณุมาชวนพูดคุยและทำกิจกรรมต่าง ๆ จนสามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกใหม่ของห้องในที่สุด และภาณุก็ยังคงเป็นเจ้าของโต๊ะตัวข้าง ๆ เป็นเช่นนี้มาตลอด 3 ปี ในใจหวังว่าคงเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งจบชั้นมัธยมปลาย


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:43:13
(ต่อนะคะ)

หลังสอบปลายภาคได้เพียงไม่กี่วัน สมาชิกเกือบทุกคนภายในห้องก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รถบัสคันใหญ่จอดรออยู่ที่ริมรั้ว โดยมีอาจารย์ประจำชั้นและหัวหน้าห้องช่วยกันตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่จะเดินทางไปทัศนศึกษาในครั้งนี้ เด็กชายหญิงในในชุดพลศึกษาที่ต่างสะพายเป้ใบโตกำลังนั่งรอเรียกชื่ออยู่ที่สนามหน้าเสาธง ครู่หนึ่งรถเก๋งสีดำก็เคลื่อนผ่านประตูโรงเรียนเข้ามาหยุดที่ใต้ร่มไม้เหมือนเช่นเคย ใครที่เห็นต่างรู้ดีว่าผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นคือหมอทหารยศพันโทผู้รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย นอกจากจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมทั่วไปแล้วยังได้รับการยอมรับนับถือในความเป็นนักพัฒนาผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอีกด้วย 


“ม่อนไปก่อนนะครับพ่อ” นคินทรกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้


“ถึงแล้วโทรมาบอกพ่อบ้างนะ”


“ครับ” ลูกชายรับคำฉะฉานก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ


พันโทนายแพทย์ธรณินมองตามหนุ่มน้อยที่กำลังวิ่งไปสบทบกับเพื่อน ๆ อดใจหายไม่ได้ว่าอีกไม่กี่ปี ม่อนดอยน้อย ๆ นี้คงกลายเป็นภูผาแข็งแกร่งตั้งตระหง่านสู้แดดสู้ลมตามวิถีของความผู้ใหญ่เพื่อเก็บสั่งสมเป็นประสบการณ์ให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง


รถบัสคันใหญ่พาเด็ก ๆ มาถึงจังหวัดลำปางในตอนสาย หลังจากเที่ยวชมวัดวาอาราม หอศิลป์และสถานที่สำคัญจนครบตามกำหนดการของวันแรกแล้ว ทุกคนก็พากันกลับขึ้นรถมุ่งหน้าสู่สนามที่ใช้เป็นสถานที่แข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติทันที เป้าหมายของทุกคนคือการเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศ แต่เมื่อดูตารางการแข่งขันแล้วเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาจึงพากันไปนั่งหลบแดดที่สระว่ายน้ำที่อยู่ไม่ห่างกัน


“กว่าบอลจะแข่งอีกตั้งนาน เดี๋ยวเรารอดูว่ายน้ำรายการสุดท้ายก่อนแล้วค่อยไปที่สนามกีฬาก็แล้วกัน” ภาณุเอ่ยขึ้น
และคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ก็ใช้การแข่งขันกีฬาว่ายน้ำเป็นสิ่งคั่นเวลาระหว่างรอการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเช่นเดียวกับเขา เด็กหนุ่มอ้าปากหาวพลางปรบมือเมื่อพิธีมอบเหรียญรางวัลรายการว่ายผลัดฟรีสไตล์ 4 x 50 เมตร (หญิง) สิ้นสุดลง


ทันทีที่เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงดังขึ้นอีกครั้ง คนดูรอบสระโดยเฉพาะสาว ๆ ต่างพากันหยุดสนทนาและเงี่ยหูฟัง เมื่อรู้ว่ารายการว่ายน้ำถัดไปคือฟรีสไตล์ 200 เมตร (ชาย) ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังประตูใต้อัฒจันทร์ ไม่นานเหล่านักกีฬารูปร่างสูงใหญ่ก็เดินตามเจ้าหน้าที่ออกมา จากนั้นจึงแยกย้ายไปยืนประจำจุดของตน จัดการถอดเสื้อผ้าออกเหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำ ในขณะที่โฆษกสนามยังคงกล่าวถึงสถิติการว่ายที่มีนักกีฬาเคยทำไว้ทั้งในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติและสถิติประเทศไทยตามด้วยการประกาศชื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขัน


“มีแต่นักกีฬาจากกรุงเทพฯ แล้วก็จังหวัดใกล้เคียงทั้งนั้นเลย ไม่มีตัวแทนภาคเหนือบ้างเหรอ”


นคินทรพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงโฆษกสนามก็ประกาศชื่อนักกีฬาในช่องว่ายสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวแทนจากจังหวัดลำปางอีกทั้งยังเป็นนักกีฬาว่ายน้ำหนึ่งเดียวของภาคเหนือที่ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาแข่งขันรายการว่ายฟรีสไตล์ 200 เมตร ในรอบสุดท้ายนี้ 


เมื่อได้ยินเสียงขานชื่อตนเองฉลามหนุ่มทีมเจ้าภาพก็ยืนขึ้นยกมือไหว้ จากนั้นจึงรูดซิปปลดเสื้อวอร์มออกวางพาดกับเก้าอี้ แม้จะเพิ่งก้าวเข้าสู่วัยรุ่นได้เพียงไม่นาน แต่ร่างกายนั้นกำยำผิดกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน นั่นเป็นผลมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก มือขาวดึงแว่นตากันน้ำที่รัดอยู่รอบศีรษะซึ่งคลุมด้วยหมวกซิลิโคนลง ยืนนิ่งรอฟังสัญญาณ


“แกว่ารอบนี้ใครชนะ”


“ผมว่าสูสีว่ะพี่ ถ้าไม่ใช่พี่ธรรม์ ก็อีกคนที่มาจากนนทบุรี เพื่อนพี่ธรรม์น่ะ ชื่ออะไรนะ”


“มีน”


“เออใช่ พี่มีน”


“แต่งานนี้ฉันว่าไอ้ธรรม์ชนะขาด” พูดพลางจ้องมองไปยังฉลามหนุ่มจากกรุงเทพมหานครในช่องว่ายที่ 5 ซึ่งเพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ว่ายผลัดผสมมาหมาด ๆ


“อืม...แต่ของลำปางคนนี้ก็ทำเวลาท่าฟรีสไตล์ตอนว่ายผลัดผสมได้ดีนะพี่ เสียตรงที่มาร่วมทีมกับพวกอ่อน ไม่อย่างนั้นคงติดหนึ่งในสี่ไปแล้ว”


“ไอ้พวกเด็กหลังเขามันจะมาดีกว่าเด็กกรุงเทพฯ อย่างเราได้ยังไงวะ” คนเดิมพูดกลั้วหัวเราะ


ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ประโยคนั้นก็ทำเอานคินทรจำต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า หันไปมองจึงเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ซ้ำทั้งสองคนยังเป็นสมาชิกทีมว่ายผลัดผสมที่เพิ่งขึ้นรับเหรียญทองไปเมื่อ 20 นาทีก่อนอีกด้วย


“คนนั้นไง ที่เพิ่งขึ้นรับเหรียญทองไปก่อนหน้านี้” สาวน้อยในชุดพละเอ่ยขึ้น


“ตัวสูง กล้ามเป็นมัด ไหล่กว๊างกว้าง แถมหล่ออีกต่างหาก” อีกคนว่าพลางโบกไม้โบกมือให้นักกีฬา


“หล่อแล้วยังไง” ภาณุกอดอกมองบรรดาเพื่อนผู้หญิงในห้องอย่างไม่สบอารมณ์


“นี่ ๆ แกอิจฉาเขาเหรอฉาย” คนที่นั่งอยู่ด้านหลังสะกิดถาม


“น้อย ๆ หน่อยยัยหวาน เราจะอิจฉาทำไม”


“ก็เขามาจากกรุงเทพฯ ขาว สูง หุ่นดี เป็นนักกีฬา แถมสาวยังกรี๊ดขนาดนั้น”


“มาจากกรุงเทพฯ แล้วยังไง หุ่นดีแล้วยังไง เป็นนักกีฬาแล้วยังไง” ภาณุทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ก็ไม่ยังไง แค่เป็นนักกีฬาตัวจริง ไม่เหมือนบางคนที่อยู่ชมรมฟุตบอลมาตั้งแต่ม.หนึ่ง แต่เป็นแค่เด็กเก็บบอล”


“ย...ยัยหวาน นี่หลอกด่าเหรอ”


“ด่าตรง ๆ แต่คนถูกด่ามันไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนด่า” สาวน้อยยื่นหน้ายื่นตาท้าทาย


ภาณุทำหน้าทมึงทึง กำลังจะอ้าปากเถียงแต่คนข้าง ๆ ก็ยื่นมือเข้าห้ามทัพไว้เสียก่อน


“เอาละ ๆ พอได้แล้ว เขาจะแข่งกันแล้ว” นคินทรกล่าว


เมื่อเสียงสัญญาณนกหวีดยาวดัง นักกีฬาทั้งหมดก็ก้าวขึ้นยืนบนแท่นกระโดดแล้วก้มตัวลง แตะมือกับขอบแท่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เจ้าหน้าที่เดินเข้าประจำแต่ละจุดเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ทันทีที่เสียงสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ฉลามหนุ่มทั้งแปดก็พุ่งตัวลงอยู่ผืนน้ำพร้อม ๆ กัน ถึงจังหวะที่เหมาะสมต่างคนต่างวาดแขนจ้วงน้ำเพื่อพาตัวเองไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด     


“นำแล้ว ๆ ไอ้ธรรม์นำแล้วโว้ย!”


“ห่างกันครึ่งช่วงตัวเอง พี่มีนอาจจะตามทันก็ได้นะพี่ เหลืออีกตั้งรอบครึ่ง”


“นั่น ๆ ไอ้ธรรม์กลับตัวแล้ว คนแรกด้วย เร็วโว้ย! ไอ้ธรรม์!” เด็กหนุ่มตะโกนก้อง


“ช่องว่ายที่แปดก็แรงไม่ตกเลย อ้าวนั่น! แซงพี่มีนขึ้นมาแล้ว จะขึ้นมาเท่าพี่ธรรม์แล้ว” คนพูดกำหมัดแน่นด้วยความลุ้นระทึก


“ยังไงไอ้เด็กหลังเขาอย่างมันก็เอาชนะไอ้ธรรม์ไม่ได้หรอก”


กระทั่งเมื่อนักกีฬากลับตัวที่ 50 เมตรสุดท้าย จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่นั่งด้านล่าง


“พายสู้ ๆ พายสู้ ๆ” สาวน้อยป้องปากตะโกนท่ามกลางความงุนงงของคนรอบข้าง เธอมองซ้ายมองขวาก่อนจะยิ้มและส่งเสียงอีกครั้ง “พายสู้ ๆ ลำปางสู้ ๆ”


ท้ายประโยคช่วยไขข้อข้องใจให้กับทุกสายตาที่จ้องมองมา เธอยังตะโกนคำเดิมซ้ำ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเจ้าของชื่อจะได้ยินหรือไม่ แต่แล้วในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งลุกขึ้นตะโกนด้วยถ้อยคำเดียวกัน


“ลำปางสู้ ๆ”


ภาณุเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจู่ ๆ เพื่อนรักจะทำอะไรเช่นนี้ “เฮ้ย! นายรู้จักเขาหรือไงไปตะโกนเชียร์เขาแบบนั้นน่ะ”


คนถูกถามส่ายหัวแล้วตอบ “รู้แค่ว่าเขาเป็นตัวแทนภาคเรา ถ้าไม่เชียร์คนบ้านเดียวกันแล้วจะไปเชียร์ใคร”


เพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ต่างพากันพยักหน้าเห็นตาม ในที่สุดเสียงเรียกชื่อ “พาย” และจังหวัดลำปางก็ดังก้องไปทั่วทั้งสระ จนกระทั่งการแข่งขันสิ้นสุดลง ไม่มีใครตอบได้ว่าผู้เข้าแข่งขันในช่องว่ายใดที่สามารถแตะขอบสระได้เป็นคนแรก แม้แต่ตัวนักกีฬาเองก็ยังตอบไม่ได้ มองซ้ายมองขวาหาสิ่งที่จะมาช่วยตัดสิน ทั้งสนามเงียบกริบ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่จอแอลอีดี และเมื่อชื่อของนักกีฬาเจ้าภาพปรากฏขึ้นเป็นชื่อแรกเสียงเฮก็ดังไปทั่ว 


“ปัดโธ่โว้ย! เฉือนกันแค่หนึ่งวินาที”


“ม้ามืดจริง ๆ ลำปางแตะขอบสระที่หนึ่ง ที่สองพี่ธรรม์ ที่สามพี่มีน”   


“พายุพัด นาวาภักดิ์” ตัวแทนจากจังหวัดลำปาง คือชื่อที่โฆษกสนามประกาศว่าเป็นนักกีฬาที่ว่ายแตะขอบสระได้เป็นอันดับที่หนึ่ง แม้จะไม่ได้ทำลายสถิติใด ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นม้ามืดของรายการนี้


เสียงอื้ออึงดังปนเปกับเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียง ฉลามหนุ่มทีมเจ้าภาพรั้งแว่นตากันน้ำออกจากศีรษะด้วยท่าทางนิ่งสงบ เงยหน้ามองหน้าจอขนาดใหญ่ เมื่อเห็นชื่อของตนเองปรากฏเป็นลำดับแรก รอยยิ้มแห่งความปิติก็ระบายทั่วใบหน้า มองขึ้นไปบนอัฒจันทร์พร้อมกับโบกมือให้สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ส่งเสียงเชียร์นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาก้าวเข้ามาในสระว่ายน้ำ เธอชื่อ “สิชล” เป็นลูกสาวของ “สินธู” ผู้ที่เป็นทั้งครูสอนวิชาพลศึกษาและโค้ชสอนว่ายน้ำของเขา


ตาสีเข้มมองเลยไปยังกลุ่มเด็กหญิงชายรุ่นราวคราวเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือคนที่ตะโกนให้กำลังใจเขาเสียดังลั่น ไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ เพราะแม้จะมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดน่านแต่เขาก็ย้ายตามโค้ชสินธูมาเรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดลำปางได้ 3 ปีแล้ว


พายุพัดละสายตาจากใครคนนั้น ดำลงใต้น้ำเพื่อลอดทุ่นลู่ว่ายเข้าหาขอบสระ เมื่อขึ้นจากน้ำก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าก่อนจะกลับเข้าสู่ห้องพักนักกีฬา ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อโฆษกสนามประกาศว่าพิธีการลำดับต่อไปคือการมอบเหรียญรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันรายการเมื่อสักครู่


“รายการว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์สองร้อยเมตรชาย เหรีญทองแดง ได้แก่ ชลชาติ วรวิวัฒน์ จากนนทบุรี...”

“...เหรียญเงิน ได้แก่ ธรรม์ณธร ทวีศักดิ์ จากกรุงเทพมหานคร...”

“...และเหรียญทอง ได้แก่ พายุพัด นาวาภักดิ์ จากลำปาง”


สิ้นเสียงประกาศ เจ้าของชื่อก็ก้าวขึ้นบนแท่นอย่างสง่าผ่าเผย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นม้ามืด แต่ฝีไม้ลายมือก็ได้ปรากฏเด่นชัดแก่สายตาของผู้คนทั่วทั้งสระ เรียกเสียงปรบมือกึกก้องไร้ข้อกังขา


เสร็จพิธีมอบเหรียญรางวัลก็จวนได้เวลาแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศ หลายคนจึงพากันลุกขึ้นมุ่งหน้าสู่สนามฟุตบอล นคินทรเดินรั้งท้ายสอดส่ายสายตากระทั่งพบเป้าหมายจึงเอ่ยขึ้น   


“พวกนายเดินไปก่อนนะ เราขอโทรหาพ่อหน่อย เสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”


“อ้าว ไหนบอกว่าพ่อให้โทรศัพท์มือถือมาไง ทำไมต้องใช้ตู้หยอดเหรียญ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“แบตหมดน่ะ”


“เออ เร็ว ๆ นะ อีกไม่กี่นาทีบอลจะเริ่มแล้ว”


เด็กหนุ่มพยักหน้าจากนั้นจึงเดินไปหยุดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งถูกติดตั้งเรียงรายอยู่บนผนังหน้าทางเข้าสระว่ายน้ำ ควานหาเศษสตางค์ในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรหาผู้เป็นพ่อที่ตอนนี้คงจะเฝ้ารอข่าวคราวจากเขาอยู่ที่โต๊ะทำงาน และเมื่ออีกฝั่งรับสายก็เป็นเวลาเดียวกับที่กลุ่มของนักกีฬา โค้ชและเจ้าหน้าที่เดินผ่านมาพอดี


“ยินดีด้วยนะ” หนุ่มน้อยตัวแทนจากจังหวัดนนทบุรีเอ่ยขึ้นขณะเดินตามร่างสูงของผู้ที่ได้รับเหรียญเงิน


“ขอบใจ” ธรรม์ณธรหันมาตอบห้วน ๆ พลางมองเลยไปยังอีกคน อดคิดไม่ได้ว่าหากเหรียญทองที่คล้องคอเขาอยู่นั้นเป็นของตน คงได้ยิ้มร่ารับถ้อยคำแสดงความยินดีเมื่อครู่อย่างเต็มใจ


“น่าเสียดาย เฉือนกันนิดเดียวเองนะพี่” เด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่แทรกขึ้น 


“ฉันว่าฟลุ้กมากกว่า” อีกคนเสริม


ชลชาติมิได้ใส่ใจคำพูดจาไม่น่าฟังของกัปตันทีมว่ายผลัดผสม เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับเจ้าของเหรียญทองที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมา


“ยินดีด้วย”


“ขอบใจนะ”


แม้ใบหน้าจะนิ่งเรียบ กระนั้นคนฟังก็ยังรับรู้ถึงความจริงใจได้มากกว่า


“ไปยินดีกับมันทำไม มันชนะนายนะ” ธรรม์ณธรแสดงทีท่าไม่พอใจ เมื่อเห็นชลชาติซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมไปพูดดีกับคู่แข่ง


“แสดงความยินดีกับคนชนะไม่ถูกหรือไง” 


“ก็แค่เด็กหลังเขาละวะ ดีที่สุดก็คงแค่เหรียญทองกีฬาเยาวชนนี่แหละ”


พายุพัดจ้องคนพูดตาเขม็ง มือกำเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปน นัยน์ฉายแววโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังสามารถสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้
“บ้านเราอยู่หลังเขาก็ดีนะพ่อ ได้เห็นหมอกทุกเช้าเลย” เสียงนั้นเรียกทุกสายตาให้จับจ้องไปยังคนที่ยังคงแนบหูกับโทรศัพท์


“ปละ...เปล่าพ่อ ม่อนไม่ได้ละเมอ ม่อนก็แค่คิดถึงบ้านน่ะครับ...”


“นายเรียนที่ลำปางเหรอ” ชลชาติถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง


“ใช่” คนถูกถามตอบเพียงสั้น ๆ


“ซ้อมหนักมากเลยละสิ แรงไม่ตกเลย ห้าสิบเมตรสุดท้ายเราตามไม่ทันเลย”


พายุพัดเพียงแต่พยักหน้าด้วยไม่อยากเป็นจุดสนใจของพวกที่พูดจาดูถูกเขา


“เมื่อไรรถจะมารับวะ เบื่ออยู่ที่นี่จะแย่แล้ว ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาเลยสักนิด หันไปทางไหนก็มีแต่บ้านเก่า ๆ ทุ่งนา ป่าแล้วก็ภูเขา” ธรรม์ณธรกล่าวอย่างฉุนเฉียว


“โน่น...รถมาพอดี ไปกันเถอะ” กัปตันทีมว่ายผลัดผสมว่าพลางกอดคอเพื่อนทั้งสอง ไม่วายหันมายักคิ้วเยาะหยันก่อนจะพากันเดินจากไป


“ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะ” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ไม่เป็นไรหรอก เราก็เด็กหลังเขาจริง ๆ อย่างที่พวกนั้นว่า” แม้จะกล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลายแต่ภายในใจของพายุพัดกลับรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย


นคินทรวางหูโทรศัพท์ เห็นกลับมาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่ายังมีคนยืนอยู่ตรงนั้น จะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกร่างสูงใหญ่ขวางเอาไว้


“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”


“ม...มีอะไรหรือเปล่า”


ชลชาติอมยิ้มแล้วกล่าว “จำเราไม่ได้เหรอ”


นคินทรมุ่นคิ้ว “จะโกรธไหมถ้าเราบอกว่าเราจำไม่ได้”


คนฟังส่ายหัวดิกก่อนจะเฉลย “มีนไง จำได้ไหม”


“มีน?”


“อื้อ”


“มีน...” นคินทรมุ่นคิ้ว “ที่ชอบกินบลูเบอรีชีสพาย แล้วก็มีคุณแม่เป็นพยาบาลใช่ไหม”


ชลชาติพยักหน้ายิ้ม ๆ พลางนึกถึงเบเกอรีที่แม่ของอีกฝ่ายนำมาฝากขายที่โรงอาหารของโรงพยาบาล “คิดถึงบลูเบอรีชีสพายของคุณป้าวาสนาจะแย่”


ดวงตาคมกริบของฉลามหนุ่มจ้องมองคนแปลกหน้าที่ตะโกนเชียร์เขาจากบนอัฒจันทร์ ตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ตนเองจะกลายเป็นส่วนเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นพายุพัดจึงเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ


“เราไปก่อนนะ”


“อื้อ ไว้เจอกัน” ชลชาติว่าพลางมองตามร่างสูงที่เดินห่างออกไป แต่แล้วก็ต้องดึงสายตากลับพร้อมกับอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบ่นงึมงำ


“คนอะไร ขี้เก๊กเป็นบ้า”


“ว่าเขาขี้เก๊ก แต่ม่อนก็เชียร์เขาไม่ใช่เหรอ”


“ก็เห็นว่าอยู่ภาคเดียวกัน นี่ถ้ารู้ว่าเป็นมีนเราก็เชียร์มีนไปแล้ว”


“อย่างนั้นคราวหน้าถ้าเจอกันม่อนต้องเชียร์เรานะ ห้ามเชียร์คนอื่น”


“เออ เชียร์อยู่แล้วแหละน่า ตอบแทนที่ตอนเด็ก ๆ ทำการบ้านให้เรา”


“ยังจำได้เหรอ”


“อือ จำได้สิ ก็มีนกับเรานั่งรอพ่อแม่เลิกงานอยู่ที่โรงอาหารของโรงพยาบาลด้วยกันตั้งกี่ปี”


“จริงสินะ กินมันจนครบทุกร้านเลย” ชลชาติหัวเราะ


“ไม่เจอตั้งนาน ตัวใหญ่ขึ้นเป็นกอง ถ้าไม่ทักเราก่อนเราจำไม่ได้จริง ๆ นะเนี่ย”


“ม่อนก็ตัวสูงขึ้นตั้งเยอะ ว่าแต่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


“มาทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนน่ะ จริง ๆ ก็มาเที่ยวก่อนจะแยกย้ายไปเรียนม.สี่นั่นแหละ”


“จริงสินะ แม่เราเคยบอกว่าคุณพ่อของม่อนย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเนอะ แล้วกลับกรุงเทพฯ บ้างหรือเปล่า”


“เรากลับไปอยู่บ้านคุณปู่เฉพาะตอนปิดเทอมน่ะ มีนล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“สบายดี” เด็กหนุ่มยังคงยิ้มไม่หุบ “ดีใจจังที่ได้เจอกันอีก”


“อื้อ เราก็ดีใจ เอ้อ...ยินดีด้วยนะ ไม่คิดเลยว่าเจอกันอีกทีมีนจะกลายเป็นนักกีฬาไปแล้ว”


“ขอบใจนะ” ก่อนที่ชลชาติจะกล่าวต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“มีน โค้ชให้มาตามน่ะ”


เจ้าของชื่อหันไปพยักหน้าก่อนจะดึงสายตากลับมาที่จุดเดิม “เรา...ต้องไปแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่”


“เราก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” นคินทรว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “แล้วเจอกันนะ” พูดจบก็โบกมือลาแล้วรีบวิ่งออกมาทันที


เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบจนกระทั่งมาถึงทางเข้าสนามฟุตบอล โชคดีที่ภาณุยังคงยืนรออยู่ไม่เช่นนั้นคงต้องหาให้วุ่น สองคนเดินตามกันขึ้นไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ และอาจารย์บนอัฒจันทร์ การแข่งขันดำเนินไปได้เพียงสิบนาทีก็มีทีมหนึ่งสามารถทำประตูขึ้นนำได้สำเร็จ เรียกเสียงเฮของคนทั้งสนาม


“ม่อน ๆ” ภาณุสะกิด


“อะไร” นคินทรขมวดคิ้วเมื่อถูกขัดจังหวะ


“คนนั้นไง ที่เจอที่สระว่ายน้ำ น่ารักไหม”


“ก็น่ารักดี นายชอบเหรอ”


“มาก”


คนฟังพยักหน้ามองตามสายตาที่ราวกับถูกตรึงเข้ากับหน้าสวย เธอยืนชะเง้อหาใครบางคนอยู่ที่ด้านล่างของอัฒจันทร์ ครู่หนึ่งนคินทรก็หันกลับมาเพราะรู้สึกจั๊กจี้ เด็กหนุ่มเลื่อนตาลงมองมือของภาณุที่กำลังเกาต้นแขนของตนเพื่อระบายความเขินแล้วกล่าว


“ตาเยิ้มเชียวนะ”


“โอ๊ย! น่ารักเนอะ สนามฟุตบอลเป็นพยาน ถ้าได้เจออีกนะจะจีบมาเป็นแม่ของลูกให้ได้เลย”


“ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เรียนที่ไหนเนี่ยนะ”


คนขี้เล่นเปลี่ยนสีหน้ายืดตัวตรงก่อนจะพูดเสียงขรึมจนน่าหมั่นไส้ “นายจะรู้อะไร ของแบบนี้มันต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตนะม่อน”


“เดินไปขอเบอร์ง่ายกว่าไหม” นคินทรส่ายหัวพลางเบนสายตาไปยังร่างเล็ก ยากจะปฏิเสธว่าเธอน่ารักจริงตามที่อีกฝ่ายพูด ไม่นานสาวน้อยก็นั่งลงข้างใครคนหนึ่ง นักกีฬาเจ้าของเหรียญทองคนนั้น...ที่แท้เขาก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง...   


“โทษทีพาย สิเจอเพื่อนที่โรงเรียนน่ะ เลยคุยกันนานไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร เราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”


“ขอบคุณมากนะที่ช่วยอยู่ดูเป็นเพื่อนน่ะ ถ้าไม่อ้างว่าพายก็มาดูด้วย พ่อต้องลากสิกลับแน่ ๆ เลย”


“ตลกดีนะ พ่อเป็นโค้ชว่ายน้ำ แต่ลูกสาวกลับชอบฟุตบอล”


“ก็มันเบื่อนี่นา จำความได้ก็อยู่แต่กับสระว่ายน้ำ นี่ถ้าพ่อบังคับให้สิเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วยมีหวังสิได้หนีออกจากบ้านแน่”
พายุพัดฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม


“ไม่เจอนานเลยนะ ไม่ค่อยได้กลับบ้านเหรอ”


“อือ ไม่ค่อยได้กลับน่ะ หลังงานศพพ่อก็ไม่ได้กลับอีกเลย แล้วสิมาลำปางได้ยังไง”


“แม่มาส่งน่ะ แม่ต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดเลยมาส่งสิไว้กับพ่อ มาอยู่ได้หลายวันแล้วละ เห็นพ่อบอกว่าพายแข่ง สิก็เลยขอตามมาเชียร์ด้วย”


“ขอบใจนะ”


“เอ้อ แล้วนี่ตัดสินใจได้หรือยังว่าม.สี่จะเรียนที่ไหน”


“ว่าจะไปสอบเข้าโรงเรียนในกรุงเทพฯ น่ะ ใช้โควตานักกีฬาน่าจะพอมีโอกาส”


“ไกลจัง พายไม่คิดถึงบ้านเหรอ”


“คิดถึงทำไม อยู่มาตั้งแต่เกิด จนไปแข่งที่ไหนใคร ๆ ก็เรียกเราว่าเด็กหลังเขา”


“สนใจพวกนั้นทำไมกัน พวกชอบดูถูกคนอื่น บ้านเราน่าอยู่จะตายไป”


“แต่ถ้าได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็คงมีโอกาสมากกว่าอยู่ที่นี่”


“อืม...ก็จริงนะ ถ้าพายได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ละก็ อีกหน่อยสิต้องมีเพื่อนติดทีมชาติแน่ ๆ เลย” สิชลยิ้มกว้างพยายามกดเสียงให้ต่ำแล้วกล่าวเลียนแบบโฆษกสนาม “ฉลามพระพาย เจ้าของสถิติว่ายฟรีสไตล์สองร้อยเมตรในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์”


พายุพัดยิ้มจาง ๆ มิได้ขัด เพราะเขาเองก็หวังไว้เช่นนั้น หรืออาจจะไกลกว่านั้นด้วยซ้ำ...


สิ้นสุดการแข่งขันฟุตบอลรอบรองชนะเลิศก็ได้เวลากล่าวคำอำลา นั่นเพราะสิชลต้องเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดน่านพร้อมกับพ่อของเธอ และแม้โค้ชสินธูจะหว่านล้อมอย่างไรก็ไม่มีทีท่าว่าพายุพัดซึ่งเป็นศิษย์รักจะยอมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วยกัน
หลังจากส่งสิชลขึ้นรถแล้ว เด็กหนุ่มจึงย้อนกลับไปยังสนามฟุตบอลอีกครั้ง ที่นั่นแทบจะไม่เหลือใครแล้วนอกจากเจ้าหน้าที่เทศบาลไม่กี่คนที่กำลังช่วยกันเก็บกวาดขยะ พายุพัดเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์หวังจะหาที่เงียบ ๆ อยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวนบางเรื่อง ขายาวก้าวไปตามขั้นบันไดดวงตามองไปข้างหน้า พลันภาพของใครบางคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ไม่ไกลก็ทำให้เขาต้องชะลอฝีเท้า


นคินทรคว้าโทรศัพท์ที่ตกอยู่ข้างเก้าอี้นั่งได้ก็เดินลิ่วลงจากอัฒจันทร์และเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหย่อนต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งลงในกระเป๋าจึงทำให้เกือบปะทะเข้ากับร่างสูงของหนุ่มนักกีฬาที่เดินสวนขึ้นมา เมื่อถึงจุดหนึ่งต่างคนต่างเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป กระทั่งประโยคหนึ่งหลุดจากปากของเจ้าของใบหน้านิ่งขรึม ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันเพียงเสี้ยววินาที


“ขอบคุณนะที่เชียร์” 



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2018 10:53:05
(ต่อค่ะ)

รถเก๋งสีดำแล่นเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ภายในรั้วของโรงเรียนเมื่อจวนได้เวลานัด พันโทนายแพทย์ธรณินในเครื่องแบบทหารเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตรงไปนั่งที่ม้าหินอ่อน มือประสานกันตรงหน้าในหัวยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งประชุมเสร็จไปเมื่อตอนก่อนเลิกงานจึงไม่ทันได้สนใจคนที่เดินมาหยุด จนอีกฝ่ายต้องทักทายเป็นครั้งที่สอง


“สวัสดีค่ะท่านผอ.โรงพยาบาลค่าย”


“อ...เอ้อ สวัสดีครับ”


“ตายจริง ดิฉันมารบกวนหรือเปล่าคะเนี่ย”


“ไม่หรอกครับ ต้องขอโทษด้วย พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นขอนั่งด้วยคนนะคะ”


“เชิญครับ” พันโทนายแพทย์ธรณินผายมือพลางลอบมองใบหน้าของคู่สนทนา สมองประมวลผลอยู่ชั่วอึดใจก็นึกได้ว่าที่แท้เธอก็คือคุณนายท่านปลัดจังหวัดที่เคยพบตามงานการกุศลต่าง ๆ นั่นเอง


“ท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายคงมารอรับลูกเหมือนกันสินะคะ”


“ครับ คุณศจีเรียกชื่อผมก็ได้ครับ ไม่ต้องมากพิธี”


“เรียกแบบนี้แหละค่ะดีแล้ว เราเป็นคนมียศฐาบรรดาศักดิ์เราต้องภูมิใจในยศฐาบรรดาศักดิ์ของตัวเองสิคะ”


“ครับ คุณนายท่านปลัดจังหวัด” ธณินจำต้องเปลี่ยนคำเรียก


เมื่อได้ฟัง คุณนายศจีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพออกพอใจ “ลูกชายท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายนี่ขยันจังเลยนะคะ มาเรียนพิเศษด้วย ยัยเอ้ลูกสาวดิฉันก็ขอไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เพิ่งไปส่งไว้ที่บ้านญาติมาเมื่อวันก่อนนี่เอง วันนี้ก็มารับลูกชายคนเล็กค่ะ ปิดเทอมไม่อยากให้เที่ยวเล่นไร้สาระ เลยส่งให้มาเรียนพิเศษที่โรงเรียน”


“ลูกชายผมไม่ได้มาเรียนพิเศษหรอกครับ แกขอไปทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ น่ะ”


“อุ๊ย! ตายจริง ทัศนศึกษาเหรอคะ” คุณนายปลัดจังหวัดปิดปากตกใจที่ได้ฟัง แต่สุดท้ายก็แสร้งเห็นดีเห็นงามด้วย “ก็ดีนะคะ จะได้ไปเปิดหูเปิดตา เรียนรู้นอกห้องเรียนก่อนแล้วค่อยเรียนพิเศษ”


ธรณินพยักหน้าเห็นด้วยกับบางช่วงบางตอนของถ้อยคำ นึกขอบคุณการประชุมผู้ปกครองที่ทำให้จิตใจของเขาเริ่มมีภูมิต้านทานและเข้าใจวิถีของความเป็นพ่อเป็นแม่ที่อยากจะอวดลูกต่อหน้าธารกำนัลทุกครั้งที่มีโอกาส


“อันที่จริงผมก็ไม่เคยให้ลูกเรียนพิเศษเลย เพราะแกไม่เคยขอ” คนเป็นพ่อตอบตามจริง


“ไม่ขอก็บังคับได้ค่ะท่านผอ.โรงพยาบาลค่าย เราเป็นพ่อเป็นแม่นะคะ เราทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับลูก การให้ลูกเรียนพิเศษก็เป็นการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะอีกไม่กี่ปีลูกก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ว่าแต่คุณพ่อเป็นท่านผอ.โรงพยาบาลค่ายแบบนี้จะให้ลูกชายเป็นหมอหรือเป็นทหารดีคะ หรือจะให้หมอทหารเหมือนคุณพ่อ”


พันโทนายแพทย์ธรณินยังไม่ทันได้ตอบคำถาม รถบัสคันใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณโรงเรียน เด็กหญิงชายทยอยเดินลงจากรถ ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำอำลาอาจารย์ประจำชั้นก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน


“ตายจริง ดูแต่งตัวกันเข้า ไม่ไหวเลยนะคะเด็กสมัยนี้” คุณนายปลัดจังหวัดยกมือขึ้นทาบอกเมื่อเห็นเด็กสาวสวมเชือกถักเต็มข้อมือดูรกรุงรัง ส่วนเด็กหนุ่มบางคนก็สวมกางเกงยีนขาด ๆ แม้จะเป็นการแต่งตัวตามยุคสมัยแต่ก็ยังขัดใจคุณแม่เจ้าระเบียบอย่างเธออยู่ดี


“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณนายท่านปลัดจังหวัด” พันโทนายแพทย์ธรณินลุกขึ้น เขาเลือกที่จะกลับไปรอที่รถแทนที่จะให้ลูกชายเดินมาหาตนเองที่นี่


“พ่อ! รอม่อนด้วย!” นคินทรร้องเรียก เห็นผู้เป็นพ่อหยุดเดินจึงรีบวิ่งเข้าไปหา เด็กหนุ่มยิ้มร่าพลางยกมือไหว้ “พ่อมารอม่อนนานไหมครับ”


“ไม่นานหรอก” พูดพร้อมกับโอบไหล่ลูกชายเอาไว้ “กว่าพ่อจะเลิกประชุมก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว แล้วเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม”


“สนุกมากเลยครับพ่อ ม่อนไปเที่ยววัด พิพิธภันณ์ หอศิลป์ ไปดูเขาทำเซรามิก แล้วก็ไปดูกีฬา มีฟุตบอล ว่ายน้ำแล้วก็กรีฑาด้วย”


“แล้วชอบอะไรมากที่สุด”


“ม่อนชอบว่ายน้ำที่สุด”


“ทำไมล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามอย่างแปลกใจด้วยรู้ดีว่าลูกชายของตนว่ายน้ำไม่เป็น


“ม่อนว่านอกจากแข่งเป็นกีฬาแล้วยังเอาไว้ช่วยคนอื่นได้อีก” พูดจบก็ขยับตัวออกห่าง “ตอนนักฬากระโดดลงไปในน้ำแล้วนะพ่อ เขาก็ว่ายแบบนี้ แล้วก็จ้วง ๆๆ ไม่ยั้งเลย”


ธรณินเห็นลูกชายทำท่าทางประกอบแล้วอดขำไม่ได้ “ท่าได้นี่ ลูกอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไหม พ่อจะส่งไปเรียน”
ลูกชายส่ายหัวดิกเดินกลับสู่อ้อมแขนของผู้เป็นพ่อเหมือนเดิม


“ถ้าอย่างนั้นลูกอยากเป็นอะไร”


ลูกชายก็ยังคงเอาแต่ส่ายหัว


“ไม่ฝันอยากเป็นอะไรเลยเหรอ” มือใหญ่กระชับแน่นขึ้น


“อืม...ม่อนไม่แน่ใจ แต่ม่อนเป็นอะไรก็ได้ที่พ่อกับแม่อยากให้เป็น เพราะม่อนรู้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อกับแม่กลั่นกรองมาแล้ว ถ้าพ่ออยากให้ม่อนเป็นหมอทหารแบบพ่อ ม่อนก็จะตั้งใจเรียน ทำคะแนนสอบให้ดี ม่อนไปเรียนว่ายน้ำก็ได้” นคินทรกล่าวพลางปลดเป้วางไว้ที่เบาะหลัง


“ม่อนอยากทำให้พ่อกับแม่มีความสุข เหมือนที่พ่อก็ทำให้คุณปู่มีความสุข” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในรถ


คำพูดของลูกชายทำให้พันโทนายแพทย์ธรณินได้หวนนึกถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจสอบเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ทหาร ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะติดยศรับราชการเพียงแค่อยากเป็นหมอรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เพราะพันเอกปฐพีผู้เป็นบิดามีความประสงค์อันแรงกล้าที่จะให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้ก้าวตามรอยพ่อบนเส้นทางนักรบ ดังนั้นลูกชายคนโตของตระกูลจึงต้องยื่นข้อเสนอขอพบกันครึ่งทางโดยการเป็นหมอทหารนั่นเอง


“ขอบใจนะม่อนที่ลูกคิดแบบนี้ พ่อเองก็อยากให้ลูกมีความสุข” มือใหญ่เอื้อมวางบนศีรษะลูกชายก่อนจะกล่าว “ลูกอยากกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไหม”


“ไม่ครับ ม่อนอยากอยู่กับพ่อกับแม่มากกว่า”


“แต่ถ้าลูกกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ ลูกก็จะได้มีโอกาสมากกว่าคนอื่น ๆ บางทีอาจจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็ได้”


“ม่อนคิดแค่...อยากอยู่กับเพื่อน ๆ ที่นี่ไปจนเรียนจบน่ะพ่อ” นคินทรตอบไม่เต็มเสียงด้วยไม่มั่นใจว่าคำพูดของตนจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ฟังหรือไม่


ธรณินโยกหัวลูกชายเบา ๆ อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเด็กก็ต้องการอยู่แค่นี้ แค่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้เล่นสนุกกับเพื่อน พลันรอยยิ้มอ่อนโยนก็เจือขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ด้วยรู้ดีว่าชีวิตในวัยเยาว์นั้นเหมือนกับสายลมรำเพย พัดมาให้หวนนึกถึงทีไรก็มีแต่จะทำให้สุขสดชื่นหัวใจทุกครั้ง


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ

หายไปปีกว่า กลับมาคราวนี้รื้อฟื้นอยู่นานว่าต้องทำอะไรบ้าง
ดีใจที่ได้เจอทุกคนอีกครั้งค่ะ เราเริ่มคิดพล็อตแล้วก็เขียนเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
จากนั้นก็ปล่อยทิ้งมานานเลย มีแพลนไปจังหวัดน่านอีกครั้งในกลางปีนี้
กะว่าจะเริ่มเขียนอีกทีหลังจากกลับมา จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ฟังเพลง ๆ หนึ่งแล้วอยากเขียนต่อ เลยรื้อไฟล์ขึ้นมา
เริ่มหาข้อมูลเพิ่มก็เลยมีโอกาสเก็บเล็กผสมน้อย เขียนสะสมไปเรื่อย ๆ จนได้มา 1 ตอนค่ะ
เป็นการแนะนำตัวละครก็แล้วกัน ตอนเดียวก็ออกมาจนเกือบหมดแล้ว ความเร็วในการเขียนอาจจะตกลงไปเยอะมาก ๆ
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามและหวังว่าจะทุกคนจะชอบนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 23-05-2018 11:41:12
คิดถึงจังเลย


ขอบคุณเรื่องรักดีๆๆๆ ของถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

อ่านแล้วได้ บรรยากาศ กลิ่นอาย ภาคเหนือ

หนุ่มลำปาง เป็น พระเอก ละสิเนีย 

:กอด1:  พาย*ม่อน

 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-05-2018 12:00:55
ม่อนน่ารักเป็นเด็กดีเรื้องจะดราม่าไหมน้าติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 23-05-2018 12:54:08
น่าอ่านมากๆค่ะ ชอบความค่อยๆดำเนินแต่ก็กระชับไม่เยิ่นเย้อ
อ่านไปเหมือนได้กลิ่นอายของสายลมแผ่วๆจริงจัง^^
รอติดตามการได้พบเจอรู้จักและสัมพันธ์ของทุกๆตัวละครค่ะ
ขอบคุณนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 23-05-2018 13:31:55
ครอบครัวม่อนนี่อบอุ่นดีจังเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-05-2018 14:07:14
เราชอบหนุ่มนักกีฬา~~~
อยากให้หนุ่มๆ เขากิ๊กั๊กกันเร็วๆ แต่ดูท่ากว่าจะได้จีบกันตามถ้าเธอสไตล์คงหน้าที่ร้อยเป็นอย่างน้อย แถมโปรยมาว่าเริ่มด้วยความเกลียดเราคงหวังที่สองร้อยเป็นอย่างต่ำ
ว่าแต่... สองหนุ่มดูจะพบกันด้วยดี แล้วนี่จะโกรธเกลียดกันด้วยเรืองอะไร...ม่อนจะไปเดินเตะพายตกขอบสระอ่ออออ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-05-2018 15:03:35
 :L2: :pig4:

ดีใจที่มีเรื่องใหม่
ปล เราซื้อ คุณไปรษณี มาแล้ว
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 23-05-2018 15:51:10
ปักกกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-05-2018 20:50:14
ดูน่าจะออกแนวใสๆ คงไม่ดราม่าเท่าไหร่นะ
มารอตอนต่อไปจ๊ะ
 :really2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 23-05-2018 21:30:13
ดีใจจังเลยค่ะ ที่คุณมาลงเรื่องใหม่ ชอบสำนวนการเขียนของคุณมากเลยค่ะ อ่านตอนที่แข่งว่ายน้ำแล้วทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่องRoughขึ้นมาเลยล่ะค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 24-05-2018 14:10:23
มารอติดตามเรืรองใหม่นะครับ คิดถึงสำนวน คิดถึงความรู้สึกอุ่น ๆ เวลาอ่านแบบนี้มากเลยครับ :)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 1 ลมรำเพย (23-05-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-05-2018 18:07:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-06-2018 02:41:01
ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่


รถจักรยานยนต์ของพ่อที่เคยจอดในโรงรถบัดนี้ถูกจูงออกมาปัดฝุ่นและตรวจสอบสภาพโดยผู้เป็นลูกชาย ลองติดเครื่องบิดคันเร่งเสียงดังจนควันโขมง เมื่อเห็นว่าเครื่องยนต์ยังใช้การได้ดี พายุพัดจึงจัดการล้างทำความสะอาดแล้วจูงไปจอดทิ้งไว้ที่ใต้ร่มไม้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองไปยังเนินซึ่งมีรูปปั้นพญานาคทอดตัวยาวไปตามแนวลาดเขา ถัดขึ้นไปคือวัดสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีกระต่าย พายุพัดดึงสายตากลับก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงโคนต้นเสี้ยวขาวต้นใหญ่ เบื้องหน้าคือที่นาผืนกว้างที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้หลังจากเสียชีวิตลงเมื่อปีกลาย และผู้ที่รับหน้าที่ดูแลต่อก็คือแม่ของเขา   


“เอาแบบนี้จริง ๆ เหรอ” หญิงสาววัย 20 ปีกล่าวเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ 


เธอคือเพียงพรรษ ผู้ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเล็กว่าจะเป็นเกษตรกรเหมือนพ่อกับแม่ ดังนั้นเธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนในสาขาวิชาการเกษตรหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา และในที่สุดความพยายามก็เป็นผลเมื่อเธอสามารถสอบเข้าเรียนที่คณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ได้สำเร็จ   


“แบบนี้แหละดีแล้ว” น้องชายตอบเรียบ ๆ


“แล้วเรื่องว่ายน้ำล่ะ”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะ พี่ฝนเรียนจบแล้วก็รีบกลับมาอยู่กับแม่ก็แล้วกัน พายจะได้ไปทำอะไรที่พายอยากทำบ้าง”


พี่สาวพยักหน้า “พี่ขอบใจพายนะที่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ พี่สัญญาว่าจะรีบกลับมา พี่จะทำให้มรดกที่พ่อทิ้งไว้งอกเงยให้ได้ พายกับแม่จะได้สบาย”


“ไม่ต้องเผื่อแผ่มาถึงพายหรอก พี่ฝนดูแลแม่ให้ดีก็พอ อยากทำอะไรกับที่ดินของพ่อก็ทำเถอะ พายไม่ได้คิดว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไปอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้พายอยากจะพาแม่กับพี่ฝนไปอยู่ที่อื่นด้วยซ้ำ”


พี่สาวมิได้แสดงทีท่าตกใจเมื่อได้ยิน นั่นเพราะน้องชายของเธอมักกล่าวเช่นนี้อยู่เสมอ แต่คนเป็นพี่ก็อดพูดเตือนสติไม่ได้ “แต่นี่บ้านเรานะพาย”


“หลังเขานี่น่ะเหรอ” น้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน ส่วนสายตายังคงจับจ้องเมฆสีขาวที่เคลื่อนต่ำลงจนแทบจะบดบังทิวเขาซึ่งทอดตัวยาวเป็นฉากหลังของท้องทุ่งกว้างใหญ่ “ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย ไกลโรงพยาบาล ไม่มีหมอเก่ง ๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครช่วยเราได้เลย”


“พาย...” เพียงพรรษยกมือขึ้นบีบเบา ๆ ที่ไหล่ของน้องพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่อีกฝ่ายมีอายุได้เพียง 5 ขวบเศษ ช่วงนั้นฝนตกตั้งแต่เช้าจดค่ำ ลมแรงพัดหลังคาบ้านหลายหลังเปิดจนชาวบ้านอยู่กันไม่ได้ แม่ตัดสินใจพาเธอและน้องหนีตายขึ้นไปบนเนินอาศัยชายคาวัดเพื่อหลบฝน ส่วนพ่อกับพวกอีก 2-3 คน มุ่งหน้าไปยังภูเขาเพื่อตรวจดูฝายชะลอน้ำ ด้วยเกรงว่ากล้าข้าวที่เพิ่งปักดำไปเมื่อไม่กี่วันจะเสียหายหากฝายพัง ใครห้ามก็ไม่ฟัง นั่นเพราะข้าวแต่ละเม็ดจะถูกแปลงเป็นเงินสำหรับให้ลูกชายคนเล็กได้เรียนในโรงเรียนที่ดี แต่โชคร้ายที่เกิดน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขา ร่างของพ่อจมหายไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก เช้าวันต่อมาเพื่อนบ้านพากันออกตามหา ในที่สุดก็พบร่างอันบอบช้ำอยู่ใต้ซากต้นไม้ใหญ่ที่หักโค่นแล้วไหลลงมากองรวมกันบริเวณที่นาของชาวบ้าน ใครที่ได้เห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคงจะหมดหนทางรอด


แต่พ่อก็ใจสู้เหลือเกิน พ่อถูกนำส่งไปที่โรงพยาบาล เมื่อแพทย์ทำการเอกซเรย์พบว่ากระดูกสันหลังหัก ขณะนั้นยังขาดเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยรวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พ่อจึงถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลที่พร้อมกว่าเพื่อทำการผ่าตัด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นครอบครัวที่เคยอยู่กันอย่างสุขสบายพอมีพอกินก็พังไม่เป็นท่า เพราะผู้ซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านต้องกลายเป็นอัมพาตครึ่งท่อน แม้จะทำกายภาพบำบัดอยู่หลายปีแต่พ่อก็ไม่สามารถเดินเหินและขับถ่ายได้เป็นปกติ จากคนที่ร่างกายแข็งแรงกลับป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เงินทองที่สะสมมาก็ร่อยหรอ ยังดีที่น้องชายสอบชิงทุนเข้าเรียนในโรงเรียนกีฬาที่จังหวัดลำปางได้ นอกจากจะทำให้เธอสามารถเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเดิมได้แล้วยังแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในบ้านไปได้พอสมควร กระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วจู่ ๆ พ่อก็ไข้ขึ้นสูงติดต่อกันหลายวัน แม่ต้องขอให้เพื่อนบ้านขับรถพาไปโรงพยาบาลกลางดึก เมื่อไปถึงพ่อก็ไม่รู้สึกตัวเสียแล้วและหลังจากนั้นอีกเพียง 2 วันพ่อก็จากทุกคนไปอย่างไม่มีวันกลับ แพทย์เจ้าของไข้สรุปสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อว่าเกิดจากการติดเชื้อในปอด และด้วยเหตุการณ์ในคราวนั้นน้องชายของเธอจึงมักเฝ้าโทษตนเองอยู่เสมอว่าเขาเป็นต้นเหตุที่นำพาความโชคร้ายมาสู่ครอบครัว 


“อย่าคิดมากนะ พี่รู้ว่าพายเองก็พยายามทำทุกอย่างให้บ้านเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม พี่รู้ว่าพายรักการว่ายน้ำ และพายไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่ทำเพื่อเราทุกคน เพื่อพี่ เพื่อแม่ แล้วก็เพื่อพ่อ”


เจ้าของชื่อฟังแล้วน้ำตารื้น จำต้องเสมองไปทางอื่น เพียงพรรษราวกับอ่านใจได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่เสียแรงที่เขาไว้ใจเธอและยกให้เธอเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด


“ถ้าจะมีคนที่ต้องรู้สึกผิดก็ขอให้เป็นพี่เถอะ” มือเล็กคลายจากไหล่หนาเลื่อนลงกำแน่นบนหน้าตัก “เพราะพี่... พายถึงต้องไปเรียนไกลบ้าน”


“พูดอะไรอย่างนั้น ถึงจะไกลไปหน่อย แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพายนะ” เด็กหนุ่มมองมือขาวอย่างตัดสินใจ น้อยครั้งที่เขาจะแสดงความรู้สึกจริง ๆ ให้ใครได้เห็น ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็มักจะถูกสะกดไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งขรึม แต่เพราะเป็นพี่สาว พายุพัดจึงวางมือของตนบนมือของอีกฝ่ายเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ภายใน ซึ่งสองคนสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครพูดมันออกมา


เพียงพรรษเอนกายพิงร่างของน้องก่อนจะเอียงศีรษะพักลงบนบ่ากว้าง ปากเรียวปิดสนิท ดวงตาทอดมองทุ่งนาเขียวขจีที่ตอนนี้ภาพนั้นกลับพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา


“เป็นอะไรไป”


“คิดถึงพ่อน่ะ ถ้าพ่อยังอยู่คงได้ร้องเฮลั่นบ้านแน่ ๆ ตอนที่รู้ว่าพายได้เหรียญทอง”


“นั่นสินะ” เด็กหนุ่มเผลอยิ้มเมื่อนึกถึงชายผู้เป็นได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่เป็นเทวดาที่สามารถเสกรถของเล่นให้เขาได้ เป็นเครื่องบินที่พาเขาลอยขึ้นกลางอากาศ หรือแม้กระทั่งเป็นม้าให้เขาขี่


พายุพัดนั่งนิ่งกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ฝืนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “มาทำซึ้งอะไรเนี่ย”


“ก็ไม่อยากให้คิดมากไง เลิกคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้พ่อป่วยได้แล้วรู้ไหม” เพียงพรรษบอกก่อนจะขยับออกห่าง ยกมือขึ้นขยี้หัวน้อง “ไปกินข้าวกัน แม่ทำกับข้าวฉลองแชมป์ว่ายน้ำกีฬาเยาวชนแห่งชาติไว้เยอะแยะเลย”


พูดจบก็เตรียมจะลุกแต่คนข้าง ๆ กลับชิงลุกขึ้นเสียก่อน หญิงสาวมองมือที่น้องชายยื่นให้ พลันรอยยิ้มก็ระบายไปทั่วทั้งใบหน้า มือขาววางลงบนมือใหญ่ กระทั่งอีกฝ่ายออกแรงดึงเพียงนิดคนตัวเล็กก็ยืนขึ้นเคียงข้างเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กที่จูงมือกันเดินเล่นไปตามคันนา เพียงพรรษเพิ่งสังเกตว่าขณะนี้พายุพัดสูงกว่าตนเองอยู่มากโข ไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยที่คอยหลบหลังพี่สาวอีกต่อไปแล้ว


“เก็บกระเป๋าเรียบร้อยหรือยัง กินข้าวเสร็จพายจะไปส่งขึ้นรถ”


“เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ ว่าแต่พายจะไปส่งพี่ยังไง”


“ก็ลมกลดของพ่อนี่ไง” น้องชายบอกพลางบุ้ยปากไปยังรถจักยานยนต์คันเก่าที่จอดอยู่


“จริงด้วยสิ พี่เกือบลืมไปเลยว่าบ้านเรามีลมกลด ปกติเห็นแม่ขับแต่รถยนต์”


“เครื่องยังดีอยู่ เอาไปเปลี่ยนยางแล้วก็ถ่ายน้ำมันเครื่องเสียหน่อยก็คงกลับมาเป็นลมกลดสมชื่อ”


“อืม...จะว่าไปมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็อายุพอ ๆ กับพายเลยนะเนี่ย ปีนั้นพายุเข้าพ่อก็เลยตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิดกับมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้คล้องจองกัน” พี่สาวอมยิ้ม


“เลิกแซวได้แล้วน่า”


“ดีแล้ว พายจะได้ขี่ไปโรงเรียน”


“อือ”


“รับรองสาวกรี๊ด”


“เก่าขนาดนี้สาวที่ไหนจะกล้าซ้อนท้าย”


“ก็...สิไง ได้ข่าวว่าย้ายมาเรียนที่เดียวกัน”


“ข่าวไวเนอะ แม่บอกสิท่า” พายุพัดตอบพลางยกมือขึ้นเกาต้นคอ “เขามีแม่คอยรับส่งจะมาซ้อนท้ายพายทำไม”


“ก็ไม่แน่นะ แล้วตกลงคนนี้ยังไง เรียกแฟนได้หรือยัง”   


“ฟงแฟนอะไรเล่า ไปกินข้าวดีกว่า” พูดจบร่างสูงก็รีบก้าวยาว ๆ หวังจะหนีข้อสันนิษฐานของพี่สาวให้พ้น


“อ้าว เดี๋ยวสิพาย กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน” เพียงพรรษทักท้วง แต่น้องชายก็เดินไปไกลเสียแล้ว


พายุพัดเดินกลับเข้าไปในบ้าน ภาพที่เห็นคือแม่กำลังยืนลูบ ๆ คลำ ๆ เหรียญรางวัลที่เขาวางไว้หน้าโกศใส่กระดูกของผู้เป็นพ่อ อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดผู้หญิงคนนี้จึงมีจิตใจที่เข้มแข็งนัก นอกจากจะต้องเลี้ยงลูก 2 คน ต้องพยาบาลสามีเป็นอัมพาตที่แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังต้องดูแลเลือกสวนไร่นาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่นำรายได้มาสู่ครอบครัว ทั้งที่มีโอกาสละทิ้งทุกอย่างไปหาความสบาย แต่แม่ก็เลือกที่จะอยู่เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน


“แม่” ลูกชายเอ่ยขึ้นพลางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะหยุดตรงหน้าผู้ให้กำเนิด สังเกตเห็นคราบน้ำตากรังไปทั้งสองแก้ม แต่ริมฝีปากยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม 


“หิวหรือยังลูก ไปกินข้าวกัน” แม่กล่าว


พายุพัดจ้องมองดวงหน้านั้นไม่วางตา แม่ต่างกับเขาตรงที่ไม่ว่าในใจจะรู้สึกอย่างไร เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ใจสักเพียงไหน หรือเศร้าโศกสักเท่าใด แม่ก็ยังยิ้มได้เสมอ และรอยยิ้มนี้ก็เป็นดั่งน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงหัวใจของทุกคนในบ้านให้ยืนหยัดต่อสู้ไปด้วยกัน หรือหากจะมีคนที่ถูกยกเว้นก็คือตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นเพียงพรรษไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องไปเรียนไกลบ้าน เพราะยิ่งไกลเขาก็ยิ่งไม่ต้องรับรู้ถึงความยากลำบากที่ครอบครัวต้องเผชิญ แม้แต่วันที่พ่อหมดลมหายใจก็ยังไม่มีโอกาสได้อยู่ดูใจกันเป็นครั้งสุดท้าย


“ขอกอดหน่อยได้ไหมแม่” เป็นครั้งแรกที่ปากตรงกับใจมากที่สุด ลูกชายไม่รอฟังคำตอบ สอดแขนเข้าโอบเอวร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าที่แบกรับภาระอันหนักอึ้งมาแสนนาน


“พาย เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ถามพลางเลื่อนมือขึ้นลูบบนแผ่นหลังกว้าง


“คิดถึง”


คำตอบสั้น ๆ ทำเอาคนฟังน้ำตารื้น


“แม่ก็คิดถึงลูก”


ยิ่งได้ฟัง พายุพัดยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้น ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความคิดถึงเอาไว้ได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มปล่อยโฮอย่างที่ไม่เคยมาก่อนจนผู้เป็นแม่เองก็ยากจะฝืนยิ้มได้


เพียงพรรษที่เกาะประตูเฝ้ามองอยู่นานรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ กางแขนเล็กโอบทั้งน้องชายและแม่เอาไว้ แล้วทั้ง 3 คนก็กอดกันกลมร้องไห้ต่อหน้ารูปของพ่อ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-06-2018 02:46:09
(ต่อค่ะ)


เมื่อเสร็จพิธีการหน้าเสาธงในเช้าวันแรกของการเปิดภาคการศึกษา บรรดานักเรียนหญิงชายต่างทยอยเดินขึ้นไปยังห้องของตนเพื่อพบกับอาจารย์ประจำชั้นในชั่วโมงโฮมรูม นคินทรยืนรออยู่ที่ใต้ถุนอาคารพร้อมกับชะเง้อหาคนที่จู่ ๆ ก็หายตัวไปตั้งแต่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนยังให้โอวาทไม่ทันเสร็จ ไม่เห็นวี่แววว่าภาณุจะโผล่มาจึงตัดสินใจเดินขึ้นห้องเรียนไปก่อน แม้ในเทอมนี้จะเปลี่ยนห้องโฮมรูม แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงเลือกนั่งที่โต๊ะในตำแหน่งประจำซึ่งค่อนไปทางด้านหลังของห้องเหมือนเคย ไม่นานเหล่านกกระจอกแตกรังก็เงียบเสียงลงเมื่ออาจารย์นภาปรากฏตัวขึ้น หญิงวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีกากีหยุดที่หน้าห้อง กล่าวทักทายทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในภาคเรียนก่อนเธอรับหน้าที่สอนวิชาภาษาไทยให้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งระดับชั้น เมื่อถึงภาคเรียนนี้ที่ได้มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาจึงไม่ต้องแนะนำตัวกันให้มากความ นั่นเพราะส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี


ขณะที่อาจารย์นภากำลังพูดถึงการเลือกหัวหน้าห้อง จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังร่างสูงของใครคนหนึ่งที่มาหยุดยืนหอบอยู่หน้าประตู เขาทำความเคารพอาจารย์ประจำชั้นก่อนจะกล่าว


“ขออนุญาตเข้าห้องครับ”


“วันแรกก็สายเลยนะจ๊ะ”


“ขอโทษครับอาจารย์ ผมหาห้องเรียนไม่เจอ” เด็กหนุ่มตอบตามจริง


“ไม่คุ้นหน้าเลย เพิ่งย้ายมาใหม่เหรอจ๊ะ”


“ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นมานี่มา มาแนะนำตัวให้ครูกับเพื่อน ๆ รู้จักก่อน”


ทันทีที่ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในห้อง เสียงอื้ออึงก็ดังรับกันเป็นทอด ๆ


“เอาละ ๆ หยุดคุยกันแล้วฟังเพื่อนค่ะนักเรียน” พูดจบอาจารย์นภาก็หันไปส่งสัญญาณกับคนที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ไม่ไกลให้เริ่มแนะนำตัว


“สวัสดีครับ ผมชื่อนายพายุพัด นาวาภักดิ์ ชื่อเล่นชื่อพาย เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนกีฬาลำปางครับ”


“อืม ชื่อแปลกดี ใครตั้งให้จ๊ะ”


“พ่อครับ ผมเกิดในช่วงที่พายุเข้า พ่อก็เลยให้ชื่อนี้”


นคินทรเผลอพยักหน้า ความนิ่งขรึมยังคงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่พบกันแล้วหนหนึ่งในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่ผ่านมา


“มาจากโรงเรียนกีฬา...แล้วเล่นกีฬาอะไรเป็นบ้างจ๊ะ”


“หลายอย่างครับ แต่ชอบว่ายน้ำที่สุด”


“เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำค่ะอาจารย์ ได้เหรียญทองกีฬาเยาวชนฯ ด้วยหนูจำได้” น้ำหวานกล่าวเจื้อยแจ้ว คำพูดของเธอเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก


“เอ้า! ปรบมือให้เพื่อนสิจ๊ะ รออะไร” สิ้นเสียงอาจารย์นภา นักเรียนทั้งห้องก็พากันปรบมือพร้อมกับโห่ร้องต้อนรับเพื่อนใหม่


“มีที่ว่างตรงไหนให้เพื่อนนั่งได้บ้างจ๊ะ” พูดพลางมองไปรอบ ๆ “นั่น ข้าง ๆ นายนคินทรยังว่างอยู่ พายุพัดเธอไปนั่งตรงนั้นก็ได้จ้ะ”


“อ...อาจารย์ครับ!” นคินทรเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือ “ตรงนี้ที่ของภาณุครับ”


“แหม...ห่างกันไม่ได้เลยนะ” น้ำหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายักคิ้วให้หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลัง


“ผมนั่งโต๊ะถัดไปก็ได้ครับ” พายุพัดบอก จากนั้นจึงก้าวไปตามช่องทางเดินระหว่างโต๊ะ เขายิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาวที่ยังอุตส่าห์จำเขาได้ก่อนจะเผลอสบตาคนที่มีโอกาสพบกันเป็นครั้งที่สองแล้วมองเลยไปยังเด็กหนุ่มด้านหลัง


“ขอเรานั่งด้วยคนนะ”


“ได้เลย นายชื่อพายใช่ไหม เราชื่อหมอกนะ ส่วนข้างหน้านี่ชื่อ...”


“เราชื่อฉาย” คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลง ไม่ได้สนใจเสียงบ่นของอาจารย์นภาเลยสักนิด “ส่วนนี่...ชื่อโดเรมอน” พูดจบก็หันไปรั้งคอเพื่อนรักให้หันมา


“อย่าไปฟังมัน เราชื่อม่อน ม่อนที่แปลว่าภูเขาน่ะ” นคินทรตอบห้วน ๆ แล้วหันกลับไปสนใจที่หน้าห้องเช่นเดิม รอกระทั่งภาณุเลิกคุยกับคนข้างหลังจึงเอ่ยขึ้น “ท้องเสียหรือไง เข้าห้องน้ำนานเป็นชาติ”


“ท้องไม่ได้เสีย แต่เป็นโรคกระเพาะ” เห็นนคินทรไม่ได้ใส่ใจจึงกล่าวต่อ “ไม่ถามเหรอว่ากระเพาะอะไร”


“กระเพาะอะไรวะ”


“กะเพราะ...รักเธอ”


คนฟังส่ายหัวดิก “ท้องเสียจนสมองก็ไหลออกไปด้วยหรือไง”


“ไอ้ม่อน! สมองที่ไหนจะไหลตามขี้วะ แต่ถ้าเป็นหัวใจลอยตามใครไปยังพอว่า”


“เพ้อขนาดนี้ต้องไปเจอสาวมาแน่ ๆ”


“เออ”


“ใคร” นคินทรหันมาถามอย่างสนใจ


“ก็ที่เจอกันที่ลำปางไง คนที่น่ารัก ๆ ที่มาเชียร์ไอ้พาย” สิ้นเสียงกระซิบกระซาบ ต่างฝ่ายต่างเหลียวไปมองหนุ่มนักกีฬาที่นั่งอยู่ด้านหลัง


“มีอะไรหรือเปล่า” พายุพัดเอ่ยขึ้นทันทีที่ดวงตาสองคู่จับจ้องมาที่ตน


“เปล๊า!” ทั้งภาณุและนคินทรพร้อมใจเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปคนละทิศละทาง


....


ภายในโรงอาหารเต็มไปด้วยนักเรียนชั้นม.ปลายที่เพิ่งเลิกเรียนในคาบเช้า ต่างคนต่างมองหาร้านอาหารถูกปาก บ้างได้ที่นั่งแล้วก็วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แยกย้ายกันไปซื้อน้ำและอาหาร บ้างก็ยังชะเง้อมองรอว่าเมื่อไรจะมีคนกินเสร็จแล้วลุกออกไปเพื่อที่ตนเองจะได้นั่งต่อ ความชุลมุนวุ่นวายนี้จะยังดำเนินไปจนกว่าสัญญาณเข้าห้องเรียนจะดังขึ้นในอีกเกือบ 1 ชั่วโมงข้างหน้า


“พาย พระพาย ทางนี้!” หญิงสาวที่นั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ร้องขึ้นพร้อมกับโบกไม้โบกมือเมื่อเจ้าของร่างสูงก้าวย่างเข้ามาในโรงอาหาร


พายุพัดโบกมือตอบก่อนเดินไปหยุดยังโต๊ะที่มีแต่นักเรียนหญิง สังเกตจากการพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนมก็เดาได้ไม่ยากว่าสาว ๆ เหล่านี้คงเป็นเพื่อนจากโรงเรียนเก่าของสิชลเป็นแน่


“นั่งด้วยกันสิพาย” สิ้นเสียงสิชล เพื่อน ๆ ของเธอก็สบตากันพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วจัดการเขยิบจนชิดให้พอมีที่เหลือสำหรับอีกคน


“ไม่เป็นไร สินั่งกับเพื่อนเถอะ แค่นี้ก็เบียดกันจะแย่แล้ว เดี๋ยวเราไปนั่งตรงโน้นก็ได้”


“ตามใจจ้ะ”


“ไปก่อนนะ” พูดจบก็เดินเลยไปทางด้านหลัง กวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งเห็นใครคนหนึ่งกวักมือเรียก


“ไอ้พายโว้ย! ทางนี้ ๆ”


เป็นหมอกนั่นเอง พายุพัดยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเห็นแล้ว จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ เตรียมจะนั่งลงตรงยังฝั่งตรงข้าม แต่เสียงกระแอมของคนที่เดินถือน้ำมา 2 แก้วก็ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ อ้อมหลังเพื่อนไปวางกระเป๋าลงที่อีกฝั่งจากนั้นจึงเดินไปซื้ออาหาร


นคินทรนั่งลงพลางเลื่อนแก้วน้ำอีกแก้ววางไว้ข้าง ๆ ไม่นานภาณุก็เดินมาถึง วางจานใส่อาหาร 2 จานลงบนโต๊ะ ไม่วายบ่อนพึมพำ


“รอคิวโคตรนาน คนเยอะอย่างกับแจกฟรี”


“นั่งลงเถอะน่า บ่นอยู่ได้” หมอกเอ่ยขึ้น


“เออ รู้แล้ว แล้วนี่กระเป๋าใครวะ”


“ของไอ้พายมัน เห็นมันไม่มีที่นั่งเลยชวนมานั่งด้วยกัน”


คนถามพยักหน้าแล้วจึงตักข้าวเข้าปาก เป็นเวลาเดียวกับที่พายุพัดเดินกลับมาที่โต๊ะ


“เฮ้ยมา ๆ นั่ง ๆ” ภาณุกล่าวทั้งที่ข้าวเต็มปาก


ร่างสูงนั่งลงมองคนที่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง


“เจอกันตอนเย็นนะพาย”


เขาเพียงแต่พนักหน้าและยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังโบกมือให้ รอจนเธอเดินลับตาไปจึงลงมือตักข้าวเข้าปาก


“แฟนเหรอ” คำถามของภาณุทำเอาทุกคนชะงัก แล้วทุกสายตาก็มองไปยังพายุพัดไม่เว้นแม้กระทั่งนคินทรที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่ม


“ใคร?”


“ก็คนที่โบกมือหยอย ๆ บอกน้อยจะไปชายแดนอยู่เมื่อกี้ไง”


นคินทรแทบสำลัก รีบวางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะใช้หลังมือเช็ดน้ำที่เลอะอยู่รอบปาก


“ชื่อสิชล เป็นเพื่อนสมัยประถม” หนุ่มนักกีฬาตอบเรียบ ๆ


“ใช่เร้อ! เห็นไปเชียร์กันที่สระว่ายน้ำด้วย”


“ไม่เชื่อก็ตามใจ”


“แล้วเขามีแฟนหรือยังวะ” ภาณุถามพลางยื่นหน้าเข้าใกล้


“ไม่รู้”


“แล้ว...”


“จะถามอีกนานไหม เราจะกินข้าว ไม่อย่างนั้นจะไปนั่งที่อื่นแล้วนะ” พายุพัดกล่าวหน้านิ่ง


“เออ ๆ ไม่ถามแล้วก็ได้” ภาณุเลิกสนใจ ยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะยิ้มกริ่มหันไปกล่าวกับนคินทร “กินข้าวเสร็จแล้วโทรไปบอกลุงผู้พันว่าไม่ต้องมารับนะม่อน เดี๋ยวเย็นนี้เราไปส่งเอง”


“ทำไมล่ะ”


“จะพาไปดูของดี”


“อะไรวะ”


“เออน่า เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ” คนขี้เล่นยิ้มเป็นปริศนาก่อนจะลงมือจัดการกับข้าวในจานต่อ


....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-06-2018 02:54:19
(ต่อค่ะ)


เมื่อถึงตอนเลิกเรียนนคินทรก็ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของภาณุ ถามอีกฝ่ายว่าจะพาไปที่ใดแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ลูกชายหมอทหารทอดตามมองตึกรามบ้านช่องที่ตั้งขนาบสองข้างทาง เมื่อข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมาได้หน่อยก็สังเกตว่าบ้านเรือนเริ่มบางตาลงจนเหลือเพียงพื้นที่ทำการเกษตร ฝนที่เพิ่งซาเม็ดไปได้เพียงไม่นานส่งผลให้อากาศหนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องกอดกระเป๋าแน่น ไม่ช้ารถก็เลี้ยวขึ้นไปบนเนินผ่านวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวงกระทั่งหยุดที่ศาลาริมทาง


“ไม่ได้มาพระธาตุหรอกเหรอ” นคินทรกล่าวขณะลงมายืน ปลดหมวกนิรภัยส่งคืนให้เพื่อน


“ถ้าอยากไหว้พระธาตุเดี๋ยวขากลับเราพาไปแวะก็ได้”


“แล้วมาที่นี่ทำไม ไหนล่ะของดีที่บอกจะพามาดู”


“หันไปดูสิ”


นคินทรมองคนพูดอย่างแปลกใจก่อนจะหันหลังกลับ สองเท้าก้าวช้า ๆ ไปจนสุดขอบกั้น จากตรงนี้สามารถมองเห็นผืนนาสีเขียวขจีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา


“โห...สวยจัง”


“บอกแล้วไงว่าของดี” ภาณุที่เดินมายืนข้างกันเอ่ยขึ้น


“เออ ขอบใจมากนะที่พามา”


“ไม่เป็นไร ถ้าอยากมาอีกก็บอกแล้วกัน ไปไหว้พระธาตุไหม เราจะพาไป”


“อื้อ คนถูกถามพยักหน้าก่อนจะตามอีกฝ่ายไปที่รถ รับหมวกนิรภัยมาสวมแล้วขึ้นซ้อนท้าย


เมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่งพาสองคนย้อนกลับมายังทางแยกหน้าวัด ความคิดที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุก็ต้องเป็นอันล้มเลิกเมื่อใครคนหนึ่งกำลังวิ่งลงมาจากทางลาดที่ขนาบข้างด้วยรูปปั้นพญานาค สังเกตว่าชุดกีฬาที่สวมใส่นั้นโซมไปด้วยเหงื่อนคาดว่าคงต้องวิ่งขึ้นลงอยู่หลายรอบแล้วแน่ ๆ


ภาณุชะลอรถและจอดที่ข้างทางก่อนจะเอ่ยขึ้น “นั่นไอ้พายนี่หว่า มันมาทำอะไรที่นี่วะ”


“ถามเราแล้วเราจะรู้ไหม ก็มาพร้อมกัน” นคินทรบ่นงึมงำ “ขึ้นไปไหว้พระธาตุเถอะ จะอยากรู้เรื่องคนอื่นไปทำไม”


“คนอื่นที่ไหน นี่น่ะอนาคตเพื่อนแฟนเว้ย” คนพูดหัวเราะก่อนจะโบกมือทักทาย “พาย!”


เจ้าของชื่อเองก็รู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่พบภาณุและนคินทรที่นี่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ไปหยุดยังจุดที่สองคนจอดรถ กดปุ่มเพื่อหยุดเวลาที่นาฬิกาจับเวลาแล้วเอ่ยขึ้น


“มาทำอะไรกัน”


“พาม่อนมาดูทุ่งนา”


“ไม่เคยเห็นเหรอ” พายุพัดถามซื่อ ๆ พลางมองเลยไปยังคนซ้อนท้าย


“เคย” นคินทรบอกพร้อมกับยกมือขึ้นตีลงบนศีรษะของเจ้าของรถอย่างมันเขี้ยว


“ม่อนมันเป็นเด็กกรุงเทพฯ วัน ๆ อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยรู้หรอกว่าบ้านนอกเขามีอะไรบ้าง ต้องพามาเปิดหูเปิดตา แล้วนายล่ะ มาทำอะไรแถวนี้”


“มาวิ่งน่ะ”


“เออ ลืมไปว่าเป็นนักกีฬา แล้วนี่จะกลับบ้านหรือยัง กลับเลยไหมเราไปส่งได้นะ”
 

“จะไปยังไงวะ” คนซ้อนท้ายเอ่ยขึ้น


“ก็ไปกันหมดนี่แหละ”


นคินทรกำลังจะอ้าปากประท้วง พายุพัดก็แทรกขึ้นเสียก่อน “บ้านเราอยู่แถวนี้น่ะ”


“ไหน ๆ ตรงไหน ๆ” ภาณุชะเง้อคอยืด


“ที่เห็นอยู่ไกล ๆ โน่น”


“อืม ถ้าอย่างนั้นมาแข่งกัน ใครไปถึงทางเข้าบ้านนายก่อนชนะ”
   

“จะวิ่งแข่งกับเราเหรอ” พายุพัดถามอย่างแปลกใจ
   

“ขี่มอเตอร์ไซค์สิ”
   

“โธ่ นึกว่าจะวิ่งแข่งกับเขา” นคินทรส่ายหัว


“ถ้าไม่ติดว่าขี่มอเตอร์ไซค์มาก็จะวิ่งอยู่หรอก”
   

“ขี้โม้ ขนาดวิ่งเก็บบอลข้างสนามยังบ่นว่าเหนื่อยเลย”
   

“อย่ามาดูถูกอนาคตศูนย์หน้าทีมชาตินะเฟ้ย”
   

“ชาติไหน”
   

“ชาตินี้แหละ อีกไม่นานเกินรอ” ภาณุกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ


“ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งสิ คิดซะว่าซ้อมก่อนลงสนามจริงก็ได้” นคินทรยุ


“แล้วใครจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับ”


“เราไง เราขี่ได้นะ”


“เงียบปากไปเลยม่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วขี่ไปล้มจนหน้าแข้งถลอกหายแล้วหรือไง”


“ตกสะเก็ดแล้วน่า เชื่อสิเราขี่ได้”


“พอเลย รถเรายังไม่หายเป็นรอย ไม่อยากได้รอยใหม่เพิ่มแล้ว” พูดจบก็ลูบ ๆ คลำ ๆ หน้ารถราวกับเป็นลูกรักก็ไม่ปาน “วันนี้ถนนลื่นด้วย ขืนไปล้มอีกมีหวังโดนลุงผู้พันห้ามไม่ให้หัดขี่มอเตอร์ไซค์ไปตลอดแน่ ถ้าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ก็ช่วยพายจับเวลาโน่น”


“เดี๋ยว” พายุพัดเอ่ยขึ้น “คนชนะได้อะไร”


“ใครแพ้ต้องทำเวรตอนเย็นแทนอีกคนไปหนึ่งเดือน”


“ยุติธรรมมาก” นคินทรลากเสียง


“ไม่ตกลงก็ได้นี่” ว่าแล้วเจ้าของความคิดก็หันไปอีกทาง “ว่ายังไง”


“ได้”


ทันทีที่หนุ่มนักกีฬาตอบตกลง ภาณุก็หันมายักคิ้วให้คนซ้อนท้าย   


นคินทรถอนใจก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างเซ็ง ๆ “เอานาฬิกามาสิ เดี๋ยวเราจับเวลาให้”


พายุพัดสบตาก่อนจะวางนาฬิกาจับเวลาลงบนมือของอีกฝ่าย 


“เอาละ จะเริ่มละนะ” ภาณุเอ่ยขึ้นก่อนจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์ เห็นอีกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจึงบิดคันเร่งถี่ ๆ “ม่อนนับ!”


“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก จ...”


“แค่สามก็พอ” คนสั่งถอนใจ “จะนับไปถึงร้อยเลยหรือไง”


“ก็ไม่บอกนี่ว่าให้นับสาม ถ้าอย่างนั้นเอาใหม่นะ” เห็นสองคนพนักหน้า นคินทรจึงเริ่มนับ “สาม!”


กว่าภาณุจะรู้ตัว พายุพัดก็วิ่งไปไกลแล้ว...


ขายาวสับถี่ ๆ ลงจากเนินโดยมีรถจักรยานยนต์ตามหลัง ไม่นานก็ทันกัน แม้พายุพัดจะพยายามเร่งฝีเท้าแต่ก็ไม่อาจแซงเครื่องยนต์ได้


ภาณุบิดคันเร่งแซงขึ้นไปช้า ๆ และรักษาความเร็วเพื่อให้ทิ้งระยะเล็กน้อย ไม่วายหันมาทำหน้าทะเล้น หนุ่มนักกีฬาเลื่อนสายตาจากคนขับมายังคนที่นั่งจับเวลาอยู่ท้ายรถได้ยินเขาเอ่ยขึ้น 

   
“เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวก็ได้ทำเวรแทนฉายหรอก”


“อ้าว นี่อยู่ข้างใครเนี่ยม่อน” ภาณุหันมาถาม


“ก็นายได้เปรียบ”


พายุพัดอาศัยจังหวะที่รถชะลอเร็วเร่งฝีเท้าแซงขึ้นไปแต่ก็ได้เพียงระยะหนึ่ง เมื่อถึงเส้นชัยจึงพบว่าตนเองแพ้ราบคาบ


เสียงรถจักรยานยนต์ที่เข้ามาจอดทำให้ดวงพรต้องละจากงานในครัวออกมาดูว่าใครมา ในที่สุดเธอก็พบลูกชายกำลังยืนหอบแฮกอยู่หน้าบ้าน ใกล้กันคือเด็กหนุ่ม 2 คนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน


“พาย ใครมาน่ะลูก” แม่ถามเมื่อเดินมาถึง


“เพื่อนน่ะแม่” ลูกชายตอบ


ทั้งภาณุและนคินทรจึงยกมือไหว้และกล่าวทักทายผู้อาวุโส


“ไหว้พระเถอะลูก แล้วนี่ชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”


“ผมชื่อฉายครับ ส่วนนี่ม่อน”


“โดเรมอนน่ะเหรอลูก” ดวงพรยิ้มพลางมองเจ้าของชื่ออย่างเอ็นดู


คำถามนั้นทำเอาภาณุหลุดหัวเราะ ในขณะที่พายุพัดเองแม้จะนึกขันแต่ก็ยังคงวางหน้านิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีเหมือนเคย


 “ม...ไม่ใช่ครับแม่ ม่อนเฉย ๆ ครับ” นคินทรบอก เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางแปลก ๆ จึงถามให้หายสงสัย “ผ...ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ”


“เปล่าจ้ะ...เปล่า แม่แค่ไม่คุ้นที่เพื่อนพายเรียกแม่ว่าแม่น่ะจ้ะ”


“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณน้าก็ได้ครับ”


“ไม่เป็นไรลูก” ดวงพรรีบยกมือห้าม เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “เรียกแม่เถอะจ้ะ ที่แม่บอกว่าไม่คุ้นเพราะพายน่ะไปเรียนที่ลำปาง แม่ก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนของพายเลยสักคน อ้อ...ลูกชื่อม่อน ดอยม่อนน้อ”


“ครับ” นคินทรยิ้มรับ รู้สึกดีใจที่นาน ๆ จะมีคนเข้าใจความหมายของชื่อตนเอง


“พายชวนเพื่อนเข้าบ้านก่อนสิลูก”


“ไม่เป็นไรครับแม่ พวกผมกำลังจะกลับพอดี” นคินทรกล่าวอย่างเกรงใจ


“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอลูก วันนี้แม่ทอดปลาทูกินกับน้ำพริก ของโปรดของพายน่ะ”


“อ...เอ้อ...เสียงอะไรน่ะแม่” ลูกชายแทรกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากในโรงรถ


“เสียงนังเปียกปูนมันร้องน่ะลูก สงสัยจะเจ็บท้อง”


เมื่อได้ฟัง พายุพัดจึงเดินหายเข้าไปในโรงรถ


“ถ้าไม่สนิทพายก็จะเงียบ ๆ แบบนี้แหละ มีอะไรอย่าถืออย่าสากันเลยนะลูก มาเที่ยวหาพายบ่อย ๆ เน้อ” ดวงพรกล่าว
สองหนุ่มได้แต่มองหน้ากันก่อนจะตอบรับผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม


พายุพัดเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมเจ้าแมวสีดำขาวตัวอ้วนกลมในอ้อมกอด มันร้องเหมียว ๆ เสียงดังจนใครที่ได้ยินก็คิดว่าคงต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ


“พายเอามันเข้าบ้านได้ไหมแม่ มันคงเจ็บท้องจริง ๆ เห็นมันเดินไปเดินมาอยู่ในโรงรถ”


“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่จะหากล่องกับผ้ามาให้ มันจะได้อยู่เป็นที่ เกิดเดินไปออกลูกใต้ตู้ละแย่เลย” พูดจบแม่ก็เตรียมจะเดินเข้าบ้าน


ดังนั้นภาณุและนคินทรจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


“ถ้าอย่างนั้นผมลากลับก่อนนะครับ/ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่ดูแมวคลอดลูกก่อนนะครับ”


ราวกับนัดกันมา...


“อ้าวเฮ้ย!” ภาณุหันขวับ    


“นะ ๆ ฉายนะ เราขออยู่ดูแป๊บเดียวเอง” นคินทรละล่ำละลัก


“งานนี้ยาวแน่นอน” ภาณุหันไปพูดกับลมกับฟ้า


...


ลังกระดาษใบใหญ่รองด้วยเสื้อผ้าไม่ใช้แล้วถูกนำมาวางที่มุมหนึ่งของบ้าน พายุพัดค่อย ๆ วางแม่แมวท้องแก่ลงก่อนจะถอยห่างออกมา มันเดินอุ้ยอ้ายวนไปวนมาได้เพียงไม่นานก็ล้มแผละส่งเสียงร้องเหมียว ๆ ลั่นบ้าน


นคินทรคลานเข้าไปใกล้พลางลูบท้องอวบเป่งอย่างเบามือในขณะที่ปากก็พร่ำพูดไปด้วย “เปียกปูนเบ่งนะ ฮึบ...ฮึบ...”


“ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลเหรอ” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“เฮ้ย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เรื่องนี้ขอให้เชื่อมือม่อนหมอตำแย” พูดจบภาณุก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ ๆ พาให้ทุกคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ล้อมวงกันเข้ามา


“ม่อนเคยทำคลอดแมวเหรอลูก” แม่ถาม


“ไม่เคยครับแม่” นคินทรตอบตามจริงในขณะที่มือยังไม่หยุดทำหน้าที่


“แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ พ่อม่อนเป็นหมอ ม่อนก็ต้องได้รับกรรมพันธุ์ความเป็นหมอมาจากพ่อ” ภาณุกล่าว


“มันใช่ที่ไหนเล่า” ลูกชายหมอทหารพึมพำ


“เป็นสัตวแพทย์เหรอ” พายุพัดถามบ้าง


“อย่าไปฟังฉายมัน” นคินทรเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าคนถามกำลังมองมาที่ตน “พ่อเราเป็นหมอรักษาคน”


“ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ โอ๊ะ ๆ นั่น ๆ มีอะไรโผล่ออกมาแล้ว อี๋...” ภาณุถอยห่างออกมานั่งพิงผนังเมื่อของเหลวสีคล้ำไหลซึมไปบนผ้า “โอย...จะเป็นลม”


ใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนลูกชายทำเอาดวงพรอดยิ้มไม่ได้


“เบ่งหน่อยนะ อีกนิดเดียว จะออกแล้ว ๆ” 


ท้องของเจ้าเหมียวขยับขึ้นลงเป็นคลื่น ในที่สุดลูกแมวตัวแรกก็หลุดออกมาจนได้ ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เจ้าเปียกปูนขยับลุกขึ้นเลียทำความสะอาดให้ลูก


“ยังไม่หมดใช่ไหม” นคินทรกล่าวเมื่อสังเกตเห็นว่าแม่แมวล้มแผละลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอีกหน “เบ่งอีกทีนะ” เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปจนกระทั่งลูกแมวตัวที่สองออกมาดูโลก เวลาผ่านไปพักใหญ่ เจ้าลูกแมวทั้งสองก็คลานเข้าซุกพุงอุ่น ๆ ของแม่แมว


“สบายใจแล้วนะม่อน ได้เจอเพื่อนแล้ว” ภาณุเอ่ยขึ้นเมื่อคลานเข้ามามองเจ้าแมวสามแม่ลูกอย่างพิจารณา


“อือ” นคินทรครางในลำคอ ปลายนิ้วยังคงลูบไปบนขนของเจ้าตัวเล็ก
   

“เอาไปเลี้ยงไหมจ๊ะแม่ให้ ไว้มันหย่านมแล้วค่อยมารับไป”
   

“ไม่ดีกว่าครับแม่” เด็กหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ “ให้มันอยู่กับแม่มันดีกว่าครับ”
   

ภาณุใช้ศอกสะกิด “ไม่เอาจริงอะ ชอบแมวไม่ใช่เหรอ”
   

“ก็ชอบ แต่ว่าให้มันอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดีกว่า ขืนไปจับแยกกัน มีหวังคิดถึงกันแย่เลย”


“พูดซะคิดถึงแม่ขึ้นมาเลย” ว่าแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “โอ้โห...จะทุ่มแล้วนี่นา ป่านนี้แม่คิดถึงเราแย่แล้ว ไม่มีคนช่วยล้างผัก” ภาณุหัวเราะแหะ ๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับเถอะ” นคินทรกล่าวก่อนจะหันไปลาเจ้าของบ้าน “ผมกลับก่อนนะครับแม่”


“ไม่อยู่กินข้าวกินปลาด้วยกันก่อนเหรอลูก”


“ไม่ดีกว่าครับ ป่านนี้พ่อกับแม่รอแย่แล้ว”


“จ้ะ เอาไว้แวะมาเที่ยวใหม่นะลูก”


เมื่อร่ำลาเจ้าของบ้านเรียบร้อย สองคนก็เดินตามพายุพัดออกมาจนถึงจุดที่พวกเขาจอดรถจักรยานยนต์เอาไว้


“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น


“เออ อย่าลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้ก็แล้วกัน” ภาณุกล่าวขณะขึ้นนั่งประจำที่


“ไม่ลืมหรอกน่า”


“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ ไปโว้ยม่อน เอาประตูวิเศษออกมา”


“ไอ้ฉาย บอกแล้วไงว่าไม่ใช่โดเรมอน”


“เอ้า เห็นเข้าอกเข้าใจแมวดี ก็นึกว่าใช่” ว่าพลางส่งหมวกนิรภัยให้


“ไปได้แล้ว มัวแต่พูดเล่นอยู่ได้” นคินทรรับหมวกมาสวมก่อนจะขึ้นนั่งซ้อนท้าย ไม่ลืมหันไปกล่าวกับคนที่เดินออกมาส่ง “ไปก่อนนะ”


พายุพัดตอบด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ร่างสูงยืนนิ่ง ทอดมองแสงไฟหน้ารถที่เคลื่อนไปตามถนนจนกระทั่งเลือนหายไปในความมืด


“ทำเป็นอยู่หน้าเดียวหรือไง” นคินทรพึมพำกับตัวเองเมื่อรถมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ


“บ่นอะไรวะม่อน”


“ไม่มีอะไรหรอก”


“เราหูแว่วสินะ”


“ไม่ได้บ่นอะไรจริง ๆ”


“เออ ไม่บ่นก็ไม่บ่น” ภาณุไม่คิดเซ้าซี้ถาม


ในที่สุดรถจักรยานยนต์ก็เข้าเขตค่ายทหาร โดยมีจุดหมายปลายทางคือบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่าย ภาณุจอดรถที่หน้ารั้วไม้สีขาว ส่งเพื่อนเรียบร้อยก็บิดคันเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนคินทรเห็นรถของพ่อจอดอยู่ในโรงรถจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นวีรกรรมทำคลอดแมวก็ถูกถ่ายทอดให้พ่อและแม่ได้ฟังอย่างยิ่งใหญ่    


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ขอบคุณคอมเม้นของทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ
เราก็ยินดีที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งค่ะ

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-06-2018 17:35:12
เรื่องของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า อ่านทีไรก็รู้สึกถึงความละมุน ๆ ทุกที ดีใจที่เปิดเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-06-2018 22:36:58
น้องม่อนเป็นเด็กใสใส น่ารักเชียว
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 09-06-2018 14:23:44
   คิดถึงมากๆๆๆ  หายไปนานเลยครับ
 
  กำลังคิดถึงนิยายที่มีความละมุน

  ของ  ถธปทฟ. อยู่เลยว่าเมื่อไหล่

  จะมีผลงานมาให้ได้อ่านกันอีก

    :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-06-2018 15:56:54
เหมือนม่อนกับพายกำลังหยั่งเชิงกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 09-06-2018 20:22:25
คิดถึงนิยายของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเสมอนะคะ
ดีใจมากเลยค่ะได้อ่านเรื่องใหม่   แค่ชื่อเรื่องก็อบอุ่นหัวใจจังค่ะ

ครอบครัวพายน่าสงสารแอบร้องไห้ไปด้วยเลยค่ะ
แต่พอม่อนมาเที่ยวถึงบ้านก็พาให้บ้านของพายดูสดชื่น  สดใสขึ้นมาทันทีเลยค่ะ

ม่อนเป็นหมอตำแยไปซะแล้ว555  น่ารักจัง

ขอบคุณมากค่ะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-06-2018 09:58:48
น้องม่อนน่ารักมากกก มีโมเม้นท์เล็กๆให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ   :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 12-06-2018 00:23:55
ติดตามอยู่ค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 12-06-2018 00:52:50
น่ารักมากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่ (08-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-06-2018 10:36:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-06-2018 01:08:12
ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม


นักเรียนชั้นม.4/1 ต่างพากันลงจากอาคารเรียนวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกปรอย ๆ มุ่งหน้าไปที่โรงยิมเนเซียมซึ่งอยู่ใกล้กับโรงอาหาร เมื่อไปถึงก็พบกับอาจารย์ประจำวิชาพลศึกษากำลังรออยู่พอดี หลังจากทุกคนวางกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งรอบสนามอย่างกระตือรือร้นเพราะเป็นวิชาสุดท้ายก่อนเลิกเรียน เมื่อวิ่งครบจำนวนรอบที่เคยตกลงกันเอาไว้ก็เดินมารวมแถวที่กลางสนาม จากนั้นผู้ที่เป็นเวรนำอบอุ่นร่างกายก็ออกไปที่หน้าแถวทีละคน ต่างคนต่างทำท่าบริหารร่างกายให้เพื่อน ๆ ทำตามจนครบ เมื่อจบขั้นตอนอาจารย์จึงให้นักเรียนนั่งลงรอฟังขานชื่อ


“วันนี้ขาดสองคนใช่ไหม นายภาณุกับนายอวัศย์”


“ใช่ค่ะอาจารย์” น้ำหวานตอบ เพราะเป็นคนพูดจาฉะฉาน มีความรับผิดชอบอีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำ เพื่อน ๆ จึงไว้วางใจให้เธอทำหน้าที่หัวหน้าห้องต่อไป


“ถ้าอย่างนั้นก็พอดีคู่” อาจารย์กล่าวพลางปิดสมุดรายชื่อแล้วเงยหน้าขึ้นมองทั่ว ๆ “เมื่อคราวก่อนครูให้พวกเธอฝึกการเคลื่อนที่และการเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอลไปแล้ว วันนี้ครูจะให้จับคู่กัน ทดลองส่งลูก ทั้งแบบส่งเหนือศีรษะและแบบกระดอนลงพื้น นักเรียนทุกคนยืนขึ้นแล้วจับคู่กันครับ”


พายุพัดยืนขึ้น ดวงตาจับจ้องความโกลาหลตรงหน้า ปกติเมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้เพื่อน ๆ ก็มักจับคู่ตามที่นั่งเรียนด้วยกันในห้อง แต่วันนี้อวัศย์ไม่มา ทำให้เขาต้องเริ่มมองหาใครอีกคนที่จะมาเป็นคู่ด้วย


ด้านนคินทรเองเมื่อไม่มีภาณุก็ต้องหาคู่ใหม่เช่นกัน เขาเดินตรงเข้าไปหาพายุพัดที่ครั้งก่อนเคยจับคู่กับอวัศย์ กำลังจะอ้าปากชวนแต่อีกฝ่ายกลับเดินไปอีกทาง


“อ้าวพาย มีอะไรหรือเปล่า” น้ำหวานเอ่ยขึ้น มือก็เลี้ยงลูกบาสเก็ตบอลไปด้วย


“คือ...เราขอคู่กับแบงค์ได้ไหม” พายุพัดกล่าวอย่างเกรงใจ


สาวน้อยยิ้ม คิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอตัวเล็กกว่าคู่ซ้อมอยู่มากโขจึงได้ขอเปลี่ยนตัวกัน “อ๋อ ได้สิ แหม...เห็นว่าเราเตี้ยกว่าแบงค์ละสิ ถึงตัวเล็กอย่างนี้แต่เราเป็นตัวแทนโรงเรียนตอนม.ต้นนะ” พูดจบน้ำหวานก็หันไปหานคินทร “ถ้าอย่างนั้นม่อนคู่กับเรานะ”


นคินทรทำเพียงพยักหน้า เลื่อนสายตามองเจ้าของร่างสูงเล็กน้อยก่อนจะรับลูกบาสเก็ตบอลที่คนพูดส่งให้ พยายามคิดในทางที่ดีตามข้อสันนิษฐานของน้ำหวานแทนการคิดว่าในสายตานักกีฬาอย่างพายุพัดคงเห็นเขาเป็นเพียงตัวถ่วง


ชั่วโมงเรียนสุดท้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออาจารย์ประจำวิชาสั่งแยกแถวแล้ว สมาชิกในห้องก็พากันไปหาน้ำเย็น ๆ ดื่มที่โรงอาหาร รอกระทั่งฝนขาดเม็ดจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน นคินทรจำต้องย้อนกลับไปที่ห้องโฮมรูมอีกครั้งเพราะนึกได้ว่าลืมหยิบสมุดการบ้านของภาณุออกมาจากใต้โต๊ะ ด้วยเมื่อ 2 วันก่อนอีกฝ่ายอุตส่าห์ตากฝนพาตนเองไปเที่ยวจนวันนี้เป็นไข้ทำให้ต้องขาดเรียน ดังนั้นนคินทรจึงรีบทำการบ้านจนเสร็จตั้งแต่เมื่อตอนพักกลางวัน เพื่อตกเย็นจะขอพ่อแวะเอาสมุดการบ้านไปให้เพื่อนที่บ้าน


เด็กหนุ่มเดินไปตามระเบียงชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาคาร ขายาวก้าวอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่ดวงตาทอดมองแสงแดดอ่อน ๆ สาดกระทบหยดน้ำที่ย้อยลงจากกิ่งของต้นหางนกยูงซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง ได้ยินเสียงเอะอะอื้ออึง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างเห็นนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่กันไปบนถนนคอนกรีตที่เปียกชุ่ม ก้าวหนึ่งที่เหยียบลงไปในแอ่งส่งผลให้น้ำที่ขังกระจายเปียกรองเท้าสาว ๆ ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ จนพวกเธอส่งเสียงวี้ดว้าย และสุดท้ายเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นก็ถูกก่นด่าไปตามระเบียบ


เมื่อนคินทรก้าวเข้าไปในห้องก็พบว่าขณะนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว วันที่บนกระดานดำถูกเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้ ส่วนโต๊ะเก้าอี้ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เหลือเพียงหน้าต่างฝั่งที่อยู่ติดกระดานดำที่ยังไม่ได้ปิด คาดว่าเพื่อนที่เป็นเวรทำความสะอาดประจำวันคงจะลืม จึงตั้งใจว่าเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจะปิดให้เรียบร้อย ขณะกำลังนั่งลงเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินถือถังขยะเข้ามา


พายุพัดที่เพิ่งกลับจากทิ้งขยะชะงักเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ เจ้าของร่างสูงวางถังขยะลงที่หลังห้องจากนั้นจึงเดินเงียบ ๆ ไปหยุดที่ริมหน้าต่าง


“วันนี้ไม่ใช่เวรนายนี่ อย่าบอกนะว่ามาทำแทนฉาย” นคินทรว่าพลางมองอีกคนอย่างสงสัย เมื่อเห็นเขาพยักหน้าจึงอดพูดต่อไม่ได้ “จริง ๆ ไม่เห็นต้องมาทำแทนเลย เพราะยังไงวันนี้ฉายก็ไม่ได้มาเรียน”


คนถูกทักท้วงไม่ได้ว่าอย่างไร เขาเอื้อมมือดึงบานหน้าต่างเข้าหาตัว เมื่อครบทุกบานแล้วจึงกล่าว “ลืมของเหรอ”


“อือ มาเอาสมุดการบ้านให้ฉายน่ะ” บอกพลางหยิบหนังสือที่เพื่อนรักไม่คิดจะเอาใส่กระเป๋ากลับบ้านออกจากใต้โต๊ะ “แล้วแมวเป็นยังไงบ้าง”


“แข็งแรงดี” อีกฝ่ายยังคงสงวนคำพูดเช่นเคย ร่างสูงเดินไปนั่งลงบนโต๊ะค่อนไปทางหน้าห้องซึ่งเขาวางกระเป๋านักเรียนเอาไว้ มองคนที่กำลังดึงหนังสืออกจากใต้โต๊ะแล้วเรียงตามความสั้นยาวแยกเป็นกอง ๆ


“ตั้งชื่อหรือยัง”


“ตั้งแล้ว แม่มันชื่อเปียกปูน แม่เราเลยตั้งชื่ออีกสองตัวที่เพิ่งเกิดว่าสาคูกับสังขยา”


คนฟังยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ คิดว่าชื่อนี้ช่างเหมาะกับเจ้าลูกแมวสีขมุกขมัวกับสีเหลืองสลับขาวดีแท้ เขาหยิบหนังสือขึ้นกระทุ้งเบา ๆ แล้วสอดเก็บคืนที่จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นฟังอีกคนอธิบาย


“เจ้าพวกตัวเล็ก ๆ นั่นร้องบ่อย สงสัยว่าเปียกปูนจะไม่ค่อยมีนมให้ลูกกินเท่าไร”


“เหรอ” นคินทรหูผึ่ง เลิกคิ้วพลางหยิบสมุดแล้วลุกขึ้น ดวงตายังจับจ้องเด็กหนุ่มที่นั่งห่างออกไป แม้จะสนใจเอามาก ๆ แต่กลับไม่คิดจะเดินเข้าไปหาด้วยเกรงว่าจะเป็นการล่วงล้ำพื้นที่ของคนโลกส่วนตัวสูง “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหานมมาป้อนให้มันแล้วละ”


“นมกล่องได้หรือเปล่า”


คนหลังห้องส่ายหัว “ต้องเป็นนมแพะหรือนมสำหรับหมาแมวน่ะ”


“แล้วเราจะไปซื้อได้ที่ไหนบ้าง”


คนถูกถามมิได้ตอบในทันที เพียงแต่ยิ้มอย่างมีแผนการ...


เช้าวันต่อมา นคินทรมาโรงเรียนแต่เช้าตามปกติ แทนที่จะไปที่เตร็ดเตร่รอเข้าแถวเคารพธงชาติอยู่ที่สนามเหมือนเช่นเคยกลับนั่งที่ใต้ถุนอาคารเรียน ไม่นานเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่กำลังรอเดินตรงเข้ามา


“จะเอาไปให้แมวที่ไหนกินวะม่อน” พูดจบอวัศย์ก็ยื่นถุงพลาสติกให้


“เดี๋ยวก็รู้ นั่งก่อน ๆ” 


ได้ฟังดังนั้นอวัศย์จึงนั่งลงมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการรื้อของออกจากถุง ซึ่งมีทั้งนมกระป๋องสำหรับชงให้สัตว์และหลอดฉีดยา


“บอกหน่อยไม่ได้เหรอว่าในตะกร้ามีอะไร”


เสียงที่ดังมาแต่ไกลเรียกให้นคินทรและอวัศย์หันไปในทิศทางเดียวกัน และภาพที่เห็นก็คือภาณุกำลังเดินเคียงข้างมากับพายุพัดซึ่งในมือของเขาหิ้วตะกร้าพลาสติกสีฟ้าใบใหญ่แบบมีฝาปิดมาด้วย


“บอกหน่อยสิ มัวอมพะนำอยู่ได้”


เจ้าของตะกร้าไม่ได้สนใจคำรบเร้า แต่กลับวางตะกร้าแล้วนั่งลง


“ไหนบอกจะหยุดอีกวันไง” นคินทรกล่าวกับคนยังไม่หายป่วย


“เป็นตายยังไงวันนี้ก็ต้องมา เดี๋ยวยื่นใบสมัครชมรมไม่ทัน วันนี้วันสุดท้ายแล้วด้วย” ภาณุกล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูกพลางกระแอมเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงแล้วยื่นหน้าถามคนข้าง ๆ “ตกลงในตะกร้ามันมีอะไรวะ”


พายุพัดตอบคำถามนั้นโดยการเปิดฝาออก พลันเจ้าแมวสีดำสลับขาวก็โผล่หัวออกมาร้องเหมียวทักทายทุกคน ข้างตัวของมันมีลูกน้อย 2 ตัวนอนขดเบียดกันเป็นก้อนกลม เมื่อแม่แมวเริ่มอยู่ไม่สุขลูก ๆ ก็พากันบิดขี้เกียจลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงร้องแข่งกัน


“ตื่นมาก็หิวเลยนะ” นคินทรว่า


“สรุปว่าเอานมมาให้เจ้าสองตัวนี้กินใช่ไหม” อวัศย์ถาม ในขณะที่ตัวต้นคิดได้แต่พยักหน้ายิ้ม ๆ “แมวใครวะ”


“แมวเราเอง” พายุพัดตอบ “แม่มันไม่ค่ออยนมให้ลูกกินน่ะ”


“แล้วจะเอาน้ำที่ไหนชงนมวะ” ภาณุกล่าวพร้อมกับยกกระป๋องนมผงขึ้น พลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็วางลงก่อนจะเปลี่ยนไปเกาคางเจ้าเปียกปูนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย


“เราเตรียมมา” ว่าแล้วนคินทรก็ดึงกระติกน้ำ ถ้วยพลาสติกและช้อนออกจากกระเป๋าหูหิ้วที่วันนี้พกมาโรงเรียนด้วย


เมื่ออุปกรณ์พร้อม อวัศย์ก็จัดการเปิดกระป๋องนมผงแล้วตักใส่ในถ้วย จากนั้นจึงให้หลอดฉีดยาขนาดใหญ่ดูดน้ำใส่ตามลงไปแล้วใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ด้วยความที่เป็นลูกชายสัตวแพทย์และเคยช่วยงานที่คลินิกของพ่ออยู่บ่อย ๆ ทำให้เขาหยิบจับอะไรก็ดูคล่องแคล่วไปหมด เด็กหนุ่มหยิบหลอดฉีดยาอันเล็กดูดของเหลวสีขาวจากถ้วย แล้วจึงช้อนตัวเจ้าลูกแมวจากตะกร้าค่อย ๆ สอดปลายหลอดเข้าในปากเล็กแล้วดันกระบอกฉีดเบา ๆ เจ้าลูกแมวขัดขืนตามสัญชาติญาณอยู่ได้เพียงชั่วอึดใจ เมื่อรู้ว่าแน่นั่นคืออาหารมันก็จัดการดูดเองจนเกลี้ยง


“ทำไมคล่องจัง” พายุพัดพึมพำแต่ก็ไม่อาจพ้นหูคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ


“พ่อหมอกเป็นสัตวแพทย์” ภาณุกล่าวก่อนจะส่งลูกแมวอีกตัวให้เพื่อน


“นายดูไว้ เดี๋ยวนายต้องกลับไปทำแบบนี้ที่บ้าน เราถามพ่อมาแล้ว พ่อบอกว่าใช้นมชงดีกว่า ชงเป็นครั้ง ๆ ไป เพราะเป็นนมกระป๋องใช้ไม่หมดต้องแช่ตู้เย็น จะเอาออกมาป้อนให้แมวกินก็ต้องเสียเวลาอุ่น” ลูกชายนายสัตวแพทย์อธิบาย


“ทั้งหมดเท่าไร” เจ้าของแมวถาม


“ไม่เป็นไร เราจ่ายเอง เราเป็นคนบอกให้หมอกเอามาให้” คนออกความคิดแทรกขึ้น


“ไม่ต้องแย่งกันจ่าย เลี้ยงข้าวกลางวันเราเป็นค่าถือมาก็พอ” อวัศย์ตอบเนิบ ๆ มือยังคงป้อนนมลูกแมว


“ได้ ๆ เราเลี้ยงเอง” นคินทรว่า แต่พายุพัดยังคงยืนกรานเจตนารมณ์เดิม


“ไม่ เราเอง”


“ยังจะแย่งกันอีก” คนกลางมุ่นคิ้ว


“ถ้าอย่างนั้นเพื่อตัดปัญหา ไอ้พายเลี้ยงไอ้หมอก ส่วนม่อนเลี้ยงเรา” ภาณุเสนอ


“เกี่ยวอะไรวะ”


“ก็ตอบแทนที่พาไปเที่ยวเมื่อวันก่อนจนไม่สบายนี่ไง”


“เออ เอาตามนี้ก็ได้” นคินทรสรุป


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-06-2018 01:16:40
(ต่อค่ะ)

กว่าจะตกลงแบ่งหัวข้อทำรายงานกลุ่มกันเรียบร้อยก็เลยเวลาพักกลางวันมาเกือบ 20 นาที นักเรียนในโรงอาหารเริ่มบางตา ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงสามารถหาที่นั่งได้ทันที ทั้งภาณุ นคินทร พายุพัด และอวัศย์ต่างวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วแยกย้ายกันไปซื้ออาหาร ไม่นานก็กลับมาที่โต๊ะ ความหิวทำให้พวกเขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารโดยไม่มีใครพูดกับใคร กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนจึงวางช้อน


“พาย แมวล่ะ”


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น เป็นสิชลนั่นเอง ท่าทางที่เธอยืดคอมองหาสิ่งที่เพิ่งถามถึงดูตลกและน่ารักในเวลาเดียวกัน


“ฝากให้อยู่กับลุงยามที่ป้อมยามน่ะ”


“เหรอ ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นพายอย่าเพิ่งรีบกลับนะ สิอยากเล่นกับแมวน่ะ เมื่อเช้ายังไม่ได้เล่นเลย”


พายุพัดพยักหน้ายิ้ม ๆ ในขณะที่ภาณุได้แต่อ้าปากค้าง ภาพของสองคนที่ส่งยิ้มให้กันทำให้อดจินตนาการในหัวไม่ได้ว่าตอนนี้ตัวเขาและคนอื่น ๆ ในโรงอาหารคงกลายเป็นเพียงหัวกะหล่ำ ต้นหญ้า หรืออากาศ ท่ามกลางฉากหลังที่เบลอแล้วเบลออีก ภาพทั้งภาพคงมีแต่พายุพัดกับสิชลกระมังที่ชัดเจน เด็กหนุ่มกระแอมเบา ๆ เรียกสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำพยักพเยิดเป็นสัญญาณว่ายังมีเขานั่งเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ด้วย


“จะไม่แนะนำหน่อยเหรอ นั่งกันอยู่ตั้งสี่ชีวิต”


พายุพัดเห็นท่าทางเช่นนั้นก็อดส่ายหัวไม่ได้ ในที่สุดก็จำใจต้องแนะนำให้ทั้งหมดได้รู้จักกัน


“นี่เพื่อนเราชื่อสิ อยู่ห้องหก” ว่าแล้วก็หันไปหาสิชล “ส่วนนี่หมอก ม่อน แล้วก็...”


“เราชื่อฉายคร้าบ”   


“เสนอหน้าเชียว” นคินทรโพล่งขึ้น


“เพื่อนพายตลกจัง ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เธอพูดกับ ‘คนอื่น’ ได้เพียงไม่กี่คำก็หันไปหาคนสนิทกัน “พายส่งใบสมัครชมรมหรือยัง”


คนถูกถามส่ายหัว “สิส่งแล้วเหรอ ตกลงสมัครชมรมอะไร”


“นาฏศิลป์จ้ะ แล้วพายล่ะ”


“ยังไม่รู้เลย”


“วันสุดท้ายแล้วนะ รีบ ๆ ตัดสินใจเข้า อาจารย์เปิดรับใบสมัครถึงแค่ในชั่วโมงกิจกรรมคาบสุดท้ายนะ เดี๋ยวสิต้องไปแล้วนะพาย อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ล่ะ เจอกันตอนเย็นนะ”


พายุพัดพยักหน้าแล้วกินข้าวต่อเงียบ ๆ หลังจากสิชลเดินจากไป


“เขียนใบสมัครหรือยังวะม่อน ตกลงจะอยู่ชมรมอะไร” ภาณุเอ่ยขึ้น


“เหมือนเดิมแหละ ห้องสมุด”


คนถามส่ายศีรษะเมื่อได้รับคำตอบ “โลกนี้ความตื่นเต้นเร้าใจมันอยู่ที่ไหนวะ”


นคินทรไม่คิดจะต่อปากต่อคำ กลับถามอวัศย์ “แล้วหมอกล่ะ”


“ชมรมสัตว์เลี้ยงน่ะ”


“สมกับเป็นว่าที่นายสัตวแพทย์จริงจริ๊ง” ภาณุว่า


“เออ แล้วนายล่ะปีนี้สมัครชมรมอะไร” ลูกชายนายสัตว์แพทย์รวบช้อนแล้วหันมาถาม


“ระดับเรามันก็ต้องชมรมฟุตบอลสิครับทุกท่าน”


“แค่ไปเก็บลูกบอลให้เขา ถึงกับต้องสมัครเข้าชมรมเลยเหรอ”


“โห...อ...ไอ้หมอก พูดกับอนาคตกองหน้าทีมชาติไทยแบบนี้ได้ยังวะ”


“ตำแหน่งกลองยาวยังพอเห็นอนาคตบ้าง”


“หือ! ไอ้หมอก!”


“พอแล้วน่า” นคินทรห้ามทัพก่อนจะเร่งให้เพื่อน ๆ รีบกินข้าวจะได้เข้าเรียนคาบบ่าย


....


ท้ายชั่วโมงชีววิทยา เห็นว่ายังพอมีเวลาพายุพัดจึงหยิบใบสมัครชมรมออกมาจากกระเป๋า ซึ่งกรอกข้อมูลส่วนตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เหลือก็เพียงใส่ชื่อชมรมที่ต้องการเข้าเท่านั้น ในขณะที่เพื่อน ๆ กำลังช่วยกันเก็บกล้องจุลทัศน์และอุปกรณ์อื่น ๆ เด็กหนุ่มก็จัดการจรดปากกาลงบนกระดาษ เมื่อถึงชั่วโมงกิจกรรมจึงมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของชมรมที่ตัวเองต้องการสมัครทันที


“สมัครชมรมห้องสมุดด้วยเหรอ” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องสมุด


“เปล่า จะสมัครชมรมสัตว์เลี้ยงน่ะ แต่หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” พายุพัดตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ เช่นเคย   


กระนั้นคนถามก็อดชะเง้อมองใบสมัครในมือของอีกฝ่ายไม่ได้ ยังไม่ทันเห็นมือใหญ่ก็เลื่อนไปไว้ด้านหลังเสียแล้ว


“ไปก่อนนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ว่าแล้วพายุพัดก็จากไปอย่างรวดเร็ว


เจ้าของร่างสูงเดินดุ่ม ๆ ไปหยุดยังม้าหินอ่อนข้างโรงเรือนเพาะชำซึ่งตั้งอยู่หลังโรงเรียน จุดนี้เป็นที่ตั้งของชมรมสัตว์เลี้ยง แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหวังเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมแจ้งว่าได้รับนักเรียนครบตามจำนวนที่กำหนดเอาไว้แล้ว พายุพัดจึงเดินเตร็ดเตร่พลางคิดว่าจะอยู่ชมรมอะไรดี ในที่สุดเขาก็พบกับภาณุที่เดินคอตกออกมาจากโรงยิมเนเซียม


“พาย มีชมรมอยู่หรือยังวะ”


“ยังเลย” คนพูดน้อยตอบพลางมองใบสมัครในมือตนเอง “แล้วนายล่ะ”


“เต็มว่ะ มาไม่ทัน ไม่รู้จะฮิตอะไรกันนักหนา”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องไปอยู่ชมรมวรรณศิลป์กับอาจารย์นภาแล้วละมั้ง เมื่อเช้าอาจารย์บอกว่ายังรับได้อีกหลายคน”


“เจอหน้าอาจารย์ทุกเช้ายังไม่เบื่อหรือไงวะ”


“ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา รีบไปเถอะเดี๋ยวเต็มพอดี”


พายุพัดกำลังจะก้าวก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้น


“มาต่อกลอนกัน ถ้านายชนะเราไปอยู่ชมรมวรรณศิลป์กับอาจารย์นภา” ไม่รอให้เพื่อนได้ทักท้วง ภาณุก็กล่าวต่อ “เราเริ่มก่อน”


พายุพัดพยักหน้าส่ง ๆ


“แมวเอ๋ยแมวเหมียว”


“รูปร่างประเปรียวเป็นหนักหนา”


“เก่งโว้ย! ต่อ ๆ”


“ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา”


“ผิด!” ภาณุโพล่งขึ้น


“อ้าว ไม่ใช่อย่างนี้เหรอ”


“ไม่ใช่ ต้องเป็น...ร้องเรียกเหมียวเหมียว กี่เหมียวก็ไม่มา”


“แล้วยังไงต่อ”


“จนคุณตาต้องล่อด้วยปลาทู”


พายุพัดส่ายหัว “เสียเวลาไม่พอ ยังทำกลอนเขาเสียอีก เราไปคนเดียวก็ได้” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่ก็โดนขวางเอาไว้


“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ล้อเล่นนิดเดียวเองทำใจร้อนไปได้”


“แล้วจะเอายังไง” คนพูดยังคงวางหน้านิ่ง


“ไปอยู่ชมรมของอาจารย์เมธีกัน รับรองว่าที่ว่างเพียบ”


“อาจารย์เมธี” พายุพัดนิ่งนึกด้วยรู้สึกคุ้นชื่อ “ชมรมอะไร”


“ตามมาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้” ภาณุยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องพักอาจารย์หมวดสุขศึกษาและพลศึกษาซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคาร


ที่นั่นทั้งสองคนได้พบกับอาจารย์เมธีซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมจิตอาสา พายุพัดนึกออกทันทีที่เจอหน้า แท้จริงแล้วอาจารย์เมธีผู้นี้ก็เคยมาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิชาพลศึกษาที่โรงเรียนตั้งแต่เขาอยู่ชั้นประถม ซ้ำชายหนุ่มผู้นี้ยังรู้จักกับอาจารย์สินธูซึ่งเป็นโค้ชว่ายน้ำของเขาอีกด้วย


“แหม ขีดฆ่ามาเรื่อยเลยนะ ตั้งแต่ชมรมห้องสมุด ชมรมสัตว์เลี้ยง” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นสบตาพายุพัดก่อนจะสลับเอากระดาษอีกใบขึ้นมาอ่าน “นี่ก็ไม่ธรรมดา ชมรมนาฏศิลป์ ชมรมฟุตบอล คนละแนวกันเลยนะภาณุ”


เมื่อได้ยินว่ามีชื่อชมรมนาฏศิลป์ในใบสมัครที่ไม่ใช่ของตน พายุพัดเองก็อดหันไปมองคนข้าง ๆ ไม่ได้ 


“ก็ผมเป็นคนที่มีความสนใจหลากหลายนี่ครับอาจารย์ แต่อยากช่วยเหลือคนอื่นเลยพากันมาอยู่ชมรมจิตอาสาของอาจารย์นี่แหละครับ” ภาณุยิ้มแหย ๆ


“ไม่ใช่ว่าชมรมอื่นเขาเต็มแล้วหรอกเหรอ” อาจารย์เมธีกล่าวอย่างรู้ทัน


“เต็มอะไรกันอาจารย์ ที่ขีดฆ่านี่คือคิดหลายตลบแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจมาอยู่ชมรมนี้ดีกว่า เนอะพายเนอะ”


คนพูดน้อยยืนนิ่ง ไม่ได้เออออไปกับเพื่อนด้วย เมื่อเห็นอาจารย์หนุ่มหันหลังกลับไปวางใบสมัครลงในตะกร้าแล้วให้รู้สึกสบายใจที่ไม่ถูกปฏิเสธ


“เอาเป็นว่าสัปดาห์หน้าค่อยมาเจอกันก็แล้วกัน ครูจะแจ้งกฎกติกาของชมรมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำให้ฟังอีกที”


สิ้นเสียงอาจารย์เมธี สองหนุ่มก็พากันกล่าวขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้แล้วพากันเดินออกจากห้องพักอาจารย์


“เราจะไปโรงอาหาร นายจะไปด้วยกันไหม”


“ไปเถอะ เดี๋ยวเราต้องไปหาลุงยามที่ป้อมยามหลังโรงเรียน” พายุพัดว่า


“ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ” พูดจบภาณุก็เดินแยกไปอีกทาง


ดวงตาสีดำสนิทละจากแผ่นหลังกว้าง กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องหยุดเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่บนทางคอนกรีตข้างล่าง เป้ที่สะพายสะพายหลังดูใหญ่ไปนิดเมื่อเทียบกับร่างกายที่สูงแต่ติดจะผอมไปสักหน่อย เขาพยายามหลบหลีกบรรดานักเรียนหญิงชายที่เพิ่งทยอยลงจากอาคารเรียน ท่าทางดูรีบร้อน แต่ขายาวก็ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ดังใจ เดินเพียง 2-3 ก้าวก็ต้องหยุดแล้วเลี่ยงไปอีกทาง


“ยังไม่กลับเหรอ” เสียงนั้นดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับภาพของใครคนนั้นที่เพิ่งลับตาไป


“ยังครับ” พายุพัดกล่าวเมื่อเจ้าของเสียงเดินมาหยุดข้าง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นนั่งคุยกันก่อนสิ ไม่เจอนานเลย”


เมื่อเห็นอาจารย์นั่งลง เด็กหนุ่มจึงนั่งตาม


“เจ้าฉายมันมาโม้ให้ฟังอยู่ว่าที่ห้องมีคนย้ายมาใหม่ เป็นนักกีฬาเหรียญทองกีฬาเยาวชนฯ ที่แท้ก็เธอนี่เอง ทำไมถึงย้ายกลับมาที่นี่ล่ะ ครูคิดว่าเธอจะเรียนที่โรงเรียนกีฬาจนจบม.หก หรือไม่ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ที่เขารับโควตานักกีฬาเสียอีก”


“ผมตั้งใจจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่น่ะครับ”


“แล้วเรื่องว่ายน้ำล่ะ”


“คงหยุดไปสักพักครับ รอพี่สาวเรียนจบแล้วค่อยว่ากัน”


“เรื่องกลับมาอยู่บ้านกับแม่น่ะครูว่าเหมาะสมแล้ว แต่ถ้าเธอยังมีความคิดที่จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอยู่ การหยุดว่ายน้ำไปดื้อ ๆ แบบนี้ไม่น่าจะส่งผลดี”


“คงดีที่สุดได้เท่านี้แหละครับอาจารย์”


เมธีถอนใจด้วยความเสียดาย แต่พอจะรู้ภูมิหลังของลูกศิษย์มาบ้าง สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงหยิบยื่นความปรารถนาดีโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับมันเอาไว้หรือไม่


“ครูกลับบ้านที่ลำปางเกือบทุกอาทิตย์ ถ้าเธออยากกลับไปซ้อมที่โรงเรียนเก่ากับอาจารย์สินธูก็บอกได้นะ”


คุยกับอาจารย์เมธีต่ออีกครู่หนึ่งพายุพัดก็ลากลับ เขาเดินลงจากอาคารเรียนจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังป้อมยามซึ่งอยู่ประตูด้านหลังของโรงเรียน


อาศัยความสนิทสนมของพวกภาณุกับลุงยามประจำโรงเรียน เจ้าเปียกปูนจึงสามารถออกจากตะกร้าเดินไปเดินมาอยู่ภายในอาคารสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ได้ ซ้ำยังมีคนคอยให้ข้าวให้น้ำไม่ขาด


“มารับเจ้าพวกนี้กลับบ้านรึ” เป็นประโยคแรกที่ชายในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอ่ยขึ้น


“ครับลุง แต่ก่อนกลับผมขอเข้าไปเอานมให้เจ้าตัวเล็ก ๆ มันกินก่อนนะครับ”


“มันเพิ่งกินอิ่มไปเดี๋ยวนี้เอง”


“ลุงป้อนนมให้มันเหรอครับ” พายุพัดกำลังจะกล่าวขอบคุณ ลุงยามก็พูดขึ้นเสียก่อน


“เปล่าหรอก เพื่อนเจ้าฉายที่พ่อเป็นผู้พันน่ะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”


“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำสั้น ๆ ก่อนจะเข้าไปอุ้มเจ้าเปียกปูนใส่ลงในตะกร้า ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณคุณลุงที่ให้ความช่วยเหลือ


พายุพัดเดินหิ้วตะกร้าออกมาได้หน่อยก็เห็นสิชลกำลังยืนคุยกับเด็กหนุ่มแปลกหน้า รออยู่จนเธอโบกมือให้อีกฝ่ายแล้วเดินตรงเข้ามาหาตามที่นัดกันเอาไว้


“คนเมื่อกี้ใครน่ะ”


“พี่ม.ห้า เป็นพี่ที่โรงเรียนเก่า แล้วนี่ยังมาอยู่ชมรมเดียวกันอีก หน้าตาไม่ให้เลย นึกยังไงก็ไม่รู้มาสมัครชมรมนาฏศิลป์ เห็นพี่ ๆ ในชมรมบอกว่าเมื่อเทอมที่แล้วพี่เขาอยู่ชมรมวิทยาศาสตร์ด้วยนะ”


“เขาตามสิมาละสิ” พายุพัดสันนิษฐาน


“ตามอะไรนักหนา น่ารำคาญ”


“อ้าว ไม่ดีเหรอ มีคนหล่อ ๆ มาจีบ”


“ไม่ได้อยากให้มาจีบสักหน่อย พูดคะขาอะไรก็ไม่รู้ฟังแล้วขนลุก” สิชลทำท่าประกอบ


“แปลก มีคนมาสนใจกลับไม่ชอบ”


“ก็เราไม่ได้ชอบพี่เขานี่นา” หญิงสาวทำหน้ามุ่ยอยู่ได้ไม่นานก็กลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่าจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเธอคือการเล่นกับเจ้าแมวเหมียว “เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ สิอยากดูลูกแมวแล้ว เราไปนั่งตรงโน้นกัน”


พูดจบสาวสวยก็เดินนำไปนั่งลงที่ม้าหินอ่อนได้ร่มไม้ รอให้พายุพัดเปิดฝาตะกร้าเธอจึงเอื้อมมือเกาคางเจ้าเปียกปูนเพื่อสร้างความคุ้นเคย


“น่ารักจัง แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นหนักหนา ร้องเรียกเหมียวเหมียว...กี่เหมียวก็ไม่มา จนคุณตาต้องล่อด้วยปลาทู”


‘กลอนบ้านี่อีกแล้ว’ พายุพัดคิดในใจ มองคนพูดไปยิ้มไปพลันคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากัน


“ไปเอามาจากไหน”


“ก็เพื่อนพายท่องให้ฟัง อืม...คนที่ตลก ๆ น่ะ ชื่ออะไรนะ”


“ฉาย”


“ใช่ ๆ ชื่อฉาย เจอกันในโรงอาหารน่ะ ฉาย...แล้วก็อีกคนตามมาทีหลัง อืม...หมอกหรือม่อนนะ ที่สูง ๆ ขาว ๆ ก่อนหน้านี้เคยเห็นซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับฉาย”


“ม่อน”


“อืม...น่าจะใช่” สิชลกล่าวพลางเลื่อนมือสัมผัสเจ้าลูกแมวตัวจิ๋วที่นอนหลับทั้งที่ปากยังคาอยู่กับนมแม่ “เพื่อนพายนี่ตลกดีเนอะ ได้เรียนด้วยกันท่าทางจะพากันหัวเราะทั้งวัน”


“อยากมาเรียนด้วยไหมล่ะ รับรองว่าได้อะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไปเยอะแน่ เหมือนกลอนที่สิท่องเมื่อกี้ไง” พายุพัดว่า เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อมยิ้มก็อดถามไม่ได้ “ยิ้มอะไร”


“พายอยู่กับฉายเยอะก็เลยพูดเยอะตามฉายใช่ไหม”


คนฟังมองไปทางอื่นพลางลอบถอนหายใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกเอียนกับชื่อนี้ขึ้นมา


“ดีจัง สิอยากให้พายพูดเยอะ ๆ ไม่ใช่ถามคำตอบคำ ทำหน้านิ่งตลอดเวลาแบบนี้ไม่มีสาวที่ไหนอยากเข้าใกล้หรอกนะ” สิชลหัวเราะ “สิอุตส่าห์ไปคุยในห้องว่าเพื่อนสิเป็นนักกีฬา มีคนอยากรู้จักพายตั้งเยอะแต่เขาไม่กล้ามาคุยเพราะพายชอบทำหน้านิ่งแบบนี้ ยิ้มบ้างก็ได้ ไหนยิ้มซิ”


“อยู่ ๆ จะให้ยิ้ม บ้าหรือเปล่า”


“ยิ้ม! ไม่อย่างนั้นไม่ให้แมวคืนนะ ยิ่งอยากได้อยู่”


เมื่อถูกบังคับ พายุพัดก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่มันกลับทำให้คนออกคำสั่งยิ่งส่ายหัวหนัก เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกไปนั้นน่าจะเรียกว่าการแยกเขี้ยวเสียมากกว่า



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-06-2018 01:25:53
(มีต่อค่ะ)


สำหรับบางคน...ใช้เวลาไม่นานความเป็นเพื่อนก็ยิ่งแน่นแฟ้น ในขณะที่บางคน...แม้เวลาจะผ่านไปเกือบครึ่งปี แต่เพราะมีเหตุผลบางประการทำให้ต้องรักษาพื้นที่รอบ ๆ ตัวเองอย่างคงเส้นคงวา จนไม่มีใครสามารถก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่ขีดคั่นกลางเพื่อไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นได้ และสำหรับพายุพัด เหตุผลบางประการที่ทำให้เขาต้องสร้างประการป้องกันตัวเองจากความสนิทชิดเชื้อที่เพื่อน ๆ ร่วมชั้นพร้อมจะมอบให้ก็คือความต้องการที่จะพาตัวเองไปเรียนต่อยังโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาในกรุงเทพฯ และนี่ก็คือวิธีการตัดไฟแต่ต้นลมของเขา


มือหนาจับเมาส์คลิกบนไฮเปอร์เท็กซ์ซึ่งนำไปสู่รายละเอียดของการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ประเทศไทยบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตาคมกวาดมองทีละบรรทัดก่อนจะสั่งพิมพ์ เมื่อกระดาษ 2-3 แผ่นเลื่อนออกจากเครื่องพิมพ์ พายุพัดก็เดินไปจ่ายเงิน รับกระดาษเหล่านั้นใส่ในกระเป๋าหนังสือก่อนจะเดินออกจากร้านถ่ายเอกสารซึ่งตั้งอยู่ข้างโรงอาหาร


“พาย!”


เจ้าของชื่อหันไปมองและพบว่าคนเรียกกำลังเดินตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน


“มีอะไรเหรอ”


“ช่วยอะไรสิหน่อยได้ไหม” สิชลกระซิบกระซาบ


“ได้ สิจะให้เราทำอะไรล่ะ”


“ช่วยถือกระเป๋าให้สิหน่อย” พูดจบเธอก็ยื่นกระเป๋าให้ “เดินไปกับสิจนถึงหน้าโรงเรียนเลยนะ”


พายุพัดพยักหน้าพลางรับกระเป๋านักเรียนของอีกฝ่ายมาถือไว้จากนั้นก็เดินเคียงคู่กันไป


“มีอะไรหรือเปล่า”


“รำคาญพี่สิทธิ์น่ะ ตามอยู่ได้”


“แล้วทำไมไม่พูดกับเขาไปตรง ๆ ล่ะ”


“ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใคร พูดกันง่าย ๆ ก็ดีสิ พายจะให้สิเดินเข้าไปแล้วบอกว่า ‘สิไม่ได้ชอบพี่ เลิกยุ่งกับสิสักที สิรำคาญ’ แบบนี้น่ะเหรอ”


“ก็อยากพูดอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”


“มาก”


“แล้วทำไมไม่พูดล่ะ”


“สงสารเขา เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่ทำตัวน่ารำคาญไปหน่อยเท่านั้นเอง”


“ถ้าไม่พูดแล้วจะเอายังไงต่อไป”


“สิมีวิธีของสิ” สาวน้อยยักคิ้วพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย


“วิธีอะไร”


“มันต้องตัดไฟแต่ต้นลม สิจะบอกเขาว่าสิมีแฟนแล้ว พายว่าดีไหม”


“แล้วจริง ๆ มีหรือเปล่า” พายุพัดถามซื่อ ๆ


“ไม่มีไง”


“แล้วเอาใครมาเป็นแฟนไปหลอกเขา”


“ก็พายไง” สิชลยิ้มกว้างก่อนจะเกาะแขนอีกฝ่ายแน่น เท่านั้นพายุพัดก็รู้ชะตากรรมตัวเอง...
   

“ไหนมันบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกับสิไงวะ” ภาณุกล่าวอย่างอารมณ์เสียพลางง้างเท้าหวดเข้าเต็มแรงเพื่อส่งบอลที่เพิ่งตกลงกลางวงคืนสนาม ดวงตาจับจ้องไปยังสองคนที่เดินเคียงกันไปจนถึงประตูโรงเรียน


“ไม่เป็นแฟนกันสิแปลก สนิทกันขนาดนั้น” อวัศย์เอ่ยขึ้น รอจนเพื่อนกลับมานั่งที่โต๊ะจึงกล่าวต่อ “ใคร ๆ เขาก็พูดกันว่าพายกับสิน่ะเป็นแฟนกัน ไม่เห็นเหรอว่าพอเริ่มเปิดตัวไอ้พี่สิทธิ์ม.ห้าก็หายหัวกบาลไปเลย”


“แล้วทำไมมันต้องโกหกพวกเราด้วย”


“ไม่รู้โว้ย” อวัศย์เกาหัว “แต่จะว่าไปไอ้พายมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเรานี่หว่า มันนับเราเป็นเพื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“เออจริง กินข้าวด้วยกันมาเทอมหนึ่งแล้วยังรู้สึกเข้าไปไม่ถึงมันสักที จะโลกส่วนตัวสูงไปไหน”


“แต่ก็อย่าไปสนใจเลยว่ะ อันที่จริงพายมันก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไรอะไรหรอก พวกเราอาจจะเข้าไม่ถึงก็เท่านั้นเอง”


“มันก็ใช่” ภาณุพึมพำคล้ายจะเห็นตาม แต่ก็นึกได้เมื่อย้อนกลับไปดูภาพบาดตาบาดใจ “เฮ้ย! เริ่มไม่ใช่แล้ว”


“เอาน่า...ไม่เป็นไรนะ ถึงจะอกหักก็ยังมีเพื่อนรักอยู่ตรงนี้ มา ๆ ทำโจทย์ข้อนี้ต่อ” พูดจบอวัศย์ก็วาดแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อน


“ใคร? ใครเพื่อนรัก” ภาณุเหล่ตามองคนข้าง ๆ


“ก็เราไง”


“อย่ามาสำคัญตัวเองครับคุณหมอก เพื่อนรักของผมอยู่นี่” ว่าแล้วก็ขยับไปนั่งคู่กับนคินทรพร้อมกับโอบไหล่อีกฝ่าย “ม่อน...ช่วยเราด้วย”


“จะให้ช่วยอะไร” เจ้าของชื่อกล่าวเรียบ ๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาแก้โจทย์คณิตศาสตร์


“ช่วยตัดไฟแต่ต้นลมไง ไปกันไอ้พายออกจากสิให้หน่อย นะ ๆ”


“เราจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”


“ทำได้สิ นายไปช่วยมันทำอัฒจันทร์กีฬาสีแทนเรา ส่วนเราจะไปเป็นรามสูรแทนนาย”


“เฮ้ย! ขืนทำแบบนั้นสิได้มาต่อว่าเราแน่ อีกอย่าง...นายไม่ใช่หรือไงที่ไปบอกพี่ประธานสีว่าเราเคยเรียนโขนตอนเด็ก ๆ เขาถึงจับเราไปรำคู่กับสิ”


“มันก็มีเหตุขัดข้องให้ต้องยกเลิกบ้างไหมล่ะ”


“แต่เราไม่มีนี่”


“ก็พูดอยู่นี่ไงว่าแลกกัน ตอนนั้นพี่เขาจะให้เรารำ แต่เราไม่รู้นี่ว่าจะได้รำคู่กับสิ เรารำไม่เป็นก็เลยปฏิเสธไป ถ้ารู้ละก็...เรารับปากไปแล้ว ”


“ตอนนี้รำเป็นแล้วหรือไง” นคินทรเงยหน้าขึ้นถาม


“เห็นนายซ้อมทุกวันก็ดูไม่ยากนี่ นายเองก็เพิ่งเริ่มซ้อมได้ไม่นาน กว่าจะถึงงานกีฬาสีก็อีกตั้งเดือนกว่า นะ ๆ ม่อนนะ”


“ไม่ได้” นคินทรเสียงแข็ง


“แค่นี้เอง ช่วยเพื่อนหน่อยนะม่อนนะ” ภาณุทำเสียงอ่อนเสียงหวาน


“ไม่ได้จริง ๆ”


เมื่อเห็นนคินทรยังยืนกรานเช่นเดิมซึ่งผิดวิสัยของคนหัวอ่อน ภาณุจึงถามถึงเหตุผล


“ทำไมวะ”


“เพราะมันสำคัญกับเรามาก ๆ”


ได้ฟังน้ำเสียงและเห็นแววตาจริงจังของเพื่อนให้รู้สึกใจหายแปลก ๆ กระนั้นภาณุก็ยังไม่หยุดรบเร้า “ถ้าไม่แลก นายก็ไปช่วยเราทำอัฒจันทร์ด้วย นายหาจังหวะกันไอ้พายไว้ เราเองก็จะหาโอกาสไปทำคะแนน นะม่อนนะ นะ ๆ ตกลงนะ”


“ติวต่อเถอะหมอก” นคินทรเลือกกล่าวกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแทนการตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอเมื่อครู่


แม้จะไม่ได้ตกปากรับคำด้วยวาจา แต่การเงียบของอีกฝ่ายก็ทำให้คนที่สนิทสนมกันมานานอย่างภาณุแจ้งแก่ใจว่าคนใจอ่อนอย่างนคินทรมิได้ปฏิเสธคำร้องขอของตน


....


นคินทรถอนหายใจแรง ๆ ขณะเดินออกจากห้องนาฏศิลป์ แม้จะไม่ยอมรับข้อเสนอของภาณุ แต่สุดท้ายความเป็นเพื่อนก็ทำให้เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปบอกประธานสีรวมถึงเพื่อน ๆ ที่ร่วมซ้อมรำในพิธีเปิดกีฬาสีว่าตนเองจะขอสละสิทธิ์ หากแต่คำขอนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลเนื่องจากไม่มีใครเห็นด้วย ต่างคนต่างลงความเห็นกึ่งขอร้องให้เขาทำหน้าที่ต่อ เนื่องจากทุกคนได้เริ่มต้นซักซ้อมจนเข้าขากันดีมาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 แล้ว


“ม่อน อย่าเพิ่งไป รอสิก่อน” สิชลเอ่ยขึ้น ถือกระเป๋าเดินตามออกมาจากห้อง เธอรีบสวมรองเท้าก่อนจะก้าวมาหยุดตรงหน้าของชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเองอยู่มาก


“สิมีอะไรเหรอ”


“ทำไมม่อนถึงจะถอนตัวล่ะ หรือว่าสิทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ถ้าม่อนลำบากใจ สิจะช่วยพูดกับพี่ ๆ เขาให้”


“เฮ้ย! เปล่าเลย” นคินทรรู้สึกตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาฝืนยิ้มกว้างให้คู่สนทนาสบายใจพลางส่ายหน้าช้า “ไม่เกี่ยวกับสิเลย แต่เราคิดว่ามีคนที่เหมาะกว่าเรา”


“ฉายใช่ไหม”


“จริง ๆ คนที่พี่เขาเลือกตั้งแต่แรกคือฉาย”


“แต่ฉายเองนี่นาที่เป็นคนเสนอม่อน เพราะฉายน่ะนึกถึงแต่ตัวเอง ตัวเองไม่อยากทำก็โยนให้เพื่อน” สิชลว่า เวลาหนึ่ง เทอมทำให้เธอสามารถมองคนรอบ ๆ ตัวได้ทะลุปรุโปร่งในระดับหนึ่ง


“อย่าไปว่าฉายเลย เพื่อนกันทั้งนั้น”


“สิไม่รู้หรอกว่าม่อนกับฉายไปตกลงอะไรกันมา แต่สิอยากบอกม่อนนะว่าสิอยากเป็นเมขลาแล้วมีม่อนรำเป็นรามสูรคู่กัน”


“เราเข้าใจแล้ว” นคินทรกล่าวด้วยความรู้สึกยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้ดีกว่าการแข็งขืนยืนกรานไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ เพราะอย่างไรก็ต้องรับฟังเสียงของคนรอบข้าง รวมถึงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าเห็นแก่พวกพ้อง “ขอโทษนะที่ทำให้สิต้องคิดมาก”


“ไม่เป็นไรจ้ะ เราพอจะเข้าใจความรู้สึกของม่อน แต่ม่อนต้องอย่ายอมฉายมากนะ ต้องแข็งบ้างไม่อย่างนั้นฉายจะเคยตัว”


“อื้อ”


“อื้อแล้วต้องทำด้วย ถ้าฉายมาเอาเปรียบม่อนแล้วไม่พูด สิจะเป็นคนไปพูดกับฉายเอง”


“รู้แล้ว ๆ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” นคินทรยิ้ม


“แล้วเดี๋ยวม่อนจะไปช่วยเพื่อนทำอัฒจันทร์หรือเปล่า”


“ก็ว่าจะไปนะ”


“ถ้าอย่างนั้นสิไปด้วย สิกำลังจะไปหาพายอยู่พอดี”


ทั้งคู่เดินลงจากอาคาร เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า ไฟทางเดินและที่รอบ ๆ สนามถูกเปิดขึ้นเพื่อให้ความสว่างแก่หลาย ๆ คนที่กำลังซ้อมกีฬา ซ้อมการแสดง และกลุ่มที่ช่วยกันตกแต่งอัฒจันทร์


“พาย”


เสียงเจื้อยแจ้วเรียกสายตาสองคู่ให้จับจ้องไปยังสาวน้อยร่างเล็กในชุดนักเรียนที่กำลังเดินเข้ามา ยิ้มสดใสของเธอทำให้บางคนสดชื่นได้พอ ๆ กับน้ำดื่มที่เธอมักถือติดไม้ติดมือมาด้วย


“พักกินน้ำก่อน สิซื้อน้ำมาฝาก” พูดจบก็หยิบขวดน้ำหวานออกจากถุงแล้วยื่นให้


พายุพัดวางมือจากการผูกลวดกับโครงไม้เพื่อยึดผืนผ้าใบสำหรับกันแดดเหนืออัฒจันทร์ กล่าวขอบคุณแล้วรับมาเปิดดื่มพลางเลื่อนสายตาไปยังคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


“ไม่มีของเราบ้างเหรอ” ภาณุกล่าวขณะก้าวลงจากอัฒจันทร์
   

“ฉายก็ทำอัฒจันทร์ด้วยเหรอ ปกติสิเห็นไปป้วนเปี้ยนแถวห้องนาฏศิลป์”


“เราก็มาช่วยทำเกือบทุกวันนะ ขืนไม่มาอาจารย์เมธีคงไม่ให้คะแนนกิจกรรมชมรมแน่ ๆ เฮ้อ...หิวน้ำจัง”


“เรามีนะ กินมั้ย” นคินทรกำลังจะดึงขวดน้ำออกจากเป้ อีกฝ่ายก็ขัดขึ้น


“ไม่ต้องหรอก เราอยากกินแบบพายน่ะ สิไปซื้อจากไหนเหรอ ยี่ห้อนี้เราชอบมากเลยแต่หากินยากจัง”


“สิซื้อจากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนน่ะ ถ้าฉายอยากกินเดี๋ยวสิเดินไปซื้อให้ก็ได้”


“สิ เดี๋ยวเราไปเอง” นคินทรเสนอ


“ไม่เป็นไรจ้ะ” สิชลกล่าวขณะดึงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ “แม่สิออกจากที่ทำงานแล้ว สิต้องออกไปรอที่หน้าโรงเรียนแล้วละ ถ้าอย่างนั้นฉายเดินไปพร้อมกับสิก็ได้ เดี๋ยวสิชี้ให้ดูว่าร้านไหน”


ภาณุรีบพยักหน้า


“นายอยู่นี่ช่วยไอ้พายมันทำงานเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปกับสิก็ได้” พูดจบก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินไปโอบไหล่เพื่อนรักพร้อมกับกระซิบเบา ๆ “ฝากด้วยนะเพื่อน” จากนั้นจึงเดินตามสิชลไป


นคินทรมองสองคนที่เดินคู่กันไป ในที่สุดเขาก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินประโยคหนึ่ง


“หน้าที่ของฉาย ไม่เห็นต้องมาทำแทนเลย”


“ไม่เกี่ยวกับฉายนี่ เราแค่อยากมาช่วย หมอกก็มาทำ คนอื่น ๆ ในห้องก็มา”


“เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกนั้นไง เราแบ่งหน้าที่กันแล้ว นายเองก็มีหน้าที่ของนาย”


“ก็วันนี้หน้าที่เราหมดแล้วนี่ เราก็เลยมาช่วยทำอัฒจันทร์ เมื่อวันก่อนสิก็มาเพราะห้องสิกับห้องเราอยู่สีเดียวกัน”


พายุพัดขี้เกียจเถียง เขาพรูลมหายใจพลางมองคนที่กำลังปลดเป้ลงวางกับพื้นหญ้า


“ถึงเราจะเล่นบาสไม่เป็น ดูเป็นตัวถ่วงจนนายไม่อยากจับคู่ด้วย ถึงจะอยู่ชมรมห้องสมุดที่วัน ๆ เอาแต่จัดหนังสือ แต่เราก็ระบายสีเป็นนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ผสมสีสำหรับระบายป้ายที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนไม่ทันฟังถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากของอีกคน


“ไปกันใหญ่แล้ว”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ยังคิดถึงกันนะคะ

อย่างที่บอกว่าเราก็คิดถึงทุกคนเหมือนกัน คิดถึงบรรยากาศตอนที่ลงนิยายครั้งแรก

ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ คิดว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่า เห็นว่ามีคนอ่านค่อยใจชื้น ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นต์ค่ะ

จากที่ห่างหายไปนานกลับมาเขียนคราวนี้รู้สึกว่ายังฝืด ๆ ติด ๆ ขัด ๆ หลายอย่าง เหมือนสนิมจะจับ

ยังไงก็จะพยายามให้มาก ๆ ค่ะ

   
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-06-2018 08:03:53
อ้าวน้องม่อนงอนอะไร พายเค้าจะรู้ด้วยไหม
อย่างสิว่าก็ถูกนะ ฉายเอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-06-2018 09:34:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 17-06-2018 12:51:30
อ่านแล้วนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กร่วมทำกิจกรรมในโรงเรียนเลยค่ะ

เราว่าพายช่างเย็นชา  ม่อนช่างน่ารัก  สิช่างเหตุผล  ฉายช่างเฮฮา  หมอกช่างแสนดี
ชอบทุกตัวละครเลยค่ะ  แตกต่างกันแบบนี้  อยู่ด้วยกันต้องมีเรื่องราวตื่นเต้นให้ได้ลุ้นสนุกแน่เลยค่ะ555

ขอบคุณมากค่ะ  ที่จริงเราชอบอ่านเรื่องในวัยทำงานมากกว่าแต่เพราะเป็นเรื่องของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า  พออ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ  ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-06-2018 13:47:46
มารอดูว่าพายจะกะเทาะตัวเองออกจากโลกส่วนตัวยังไงค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-06-2018 14:11:52
ติดตามจ้า.  ดีใจที่มาลงเรื่องใหม่ให้อ่านนะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 17-06-2018 21:02:07
เป็นกำลังใจให้คนแต่งและน้องๆค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 3 ตัดไฟแต่ต้นลม (15-06-2561 หน้า 1)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-06-2018 21:06:58
พายขรึมมาก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-06-2018 11:44:26
ตอนที่ 4 พายุก่อตัว


“ม่อน พี่นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก”


เสียงหวานที่ดังแว่วมาทำให้นคินทรต้องชะงัก เขาจุ่มพู่กันลงในขวดพลาสติกตัดครึ่งสำหรับผสมสี หรี่ตามองเงาตะคุ่มในความมืด กระทั่งร่างเล็กเดินเข้าใกล้บริเวณอัฒจันทร์แสงไฟจึงทำให้เห็นอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น เธอคือ “มัทนา” นักเรียนชั้นม.6 ผู้รั้งตำแหน่งประธานสีเขียวอีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงานกีฬาสีของโรงเรียน 


“ผมไม่ได้รีบไปไหนก็เลยแวะมาช่วยเพื่อน ๆ ทำป้ายติดอัฒจันทร์ของสีเราน่ะครับ” นคินทรบอก หางตาเห็นร่างสูงของใครบางคนที่เพิ่งก้าวลงจากอัฒจันทร์


“พี่ขอโทษด้วยนะที่ช่วยพูดกับพวกนั้นให้ไม่ได้เรื่องที่ม่อนจะขอถอนตัว”


‘พวกนั้น’ ที่หญิงสาวพูดถึงก็คือเหล่าคณะกรรมการคนอื่น ๆ ประกอบไปด้วยประธานสีทั้งห้าและบรรดาคณะกรรมการนักเรียนนั่นเอง


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับหลายคน อีกอย่างเราก็ซ้อมกันมานานมากแล้วด้วย”


คนอายุมากกว่าพยักหน้า “แต่ถึงพวกนั้นจะยอม พี่ว่าเวลาแค่เดือนเดียวมันน้อยเกินไปที่ฉายจะซ้อม เราไม่ได้เลือกม่อนเพราะว่าฉายปฏิเสธนะ แต่เลือกเพราะเห็นว่าม่อนพอมีพื้นฐานมาบ้าง ม่อนเข้าใจพวกพี่นะ”


“ผมเข้าใจครับพี่หนูนา”


มัทนาคลี่ยิ้มนิด ๆ และนั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเคร่งเครียดของเธอน่ามองขึ้นมาตั้งเยอะ ตาคู่งามมองเลยไปยังเด็กหนุ่ม 4-5 คนที่อยู่บนอัฒจันทร์จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “นี่น้อง ๆ จากชมรมจิตอาสาของอาจารย์เมธีหรือเปล่าคะ”


“ใช่ครับพี่” หนึ่งในนั้นร้องตอบ


“เสร็จจากขึงผ้าใบแล้วยังต้องทำอะไรกันอีกหรือเปล่า”


“ไม่มีแล้วครับ อาจารย์เมธีสั่งให้ทำแค่นี้ เวลาที่ซ้อมเชียร์จะได้ไม่ร้อนกัน ส่วนที่เหลือให้แต่ละสีจัดการกันเองครับ”


“ขอบใจมาก ๆ เลยนะจ๊ะที่อุตส่าห์มาช่วย”


เมื่อได้ฟัง ทั้งหมดบนอัฒจันทร์ต่างขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน


“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะม่อน แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อมจ้ะ”


“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างกระตือรือร้น


หลังจากมัทนาไปแล้วนคินทรก็ลงมือระบายสีต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งน้ำขวดหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า


มือขาวที่ตอนนี้กรังไปด้วยสีเอื้อมจับอีกฝั่งของขวดพร้อมกับกล่าว “ขอบใจนะ”


แต่พายุพัดไม่ได้ปล่อยในทันที เขาย่อตัวลงนั่งจนดวงตาสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน “เราไม่เคยคิดว่านายเป็นตัวถ่วงนะ”


นคินทรเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถือเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของตน กระนั้นก็ยังนิ่งฟัง


“แล้วก็ไม่ได้แบ่งแยกว่าใครอยู่ชมรมไหนด้วย”


“รู้หรอกน่า” ว่าแล้วก็ดึงขวดน้ำจนหลุดจากมือใหญ่ “เราก็แค่พูดเล่น ทำไมต้องจริงจังด้วย”


“ไม่อยากใครต้องมาคิดแทน” พูดจบพายุพัดก็หมุนตัวแล้วนั่งลงหันหลังให้ ดวงตาทอดมองความเป็นไปรอบ ๆ สนาม


“จริงจังอะไรขนาดนั้น ชีวิตรู้จักทางสายกลางบ้างไหม” นคินทรพึมพำพลางเปิดขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นจึงลงมือทำงานต่อ สมาธิอยู่ที่ปลายพู่กันซึ่งลากไปบนระนาบไม้ พักหนึ่งหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้าขึ้นจึงรู้ว่าเป็นอาจารย์เมธีผู้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ปรึกษาการจัดงานกีฬาสี ใกล้ค่ำแล้วอาจารย์มักเดินตรวจตราตามปกติ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจผู้มาใหม่ ยังคงทำหน้าที่ของตนไปเรื่อย ๆ


“อาทิตย์นี้อาจารย์กลับบ้านที่ลำปางไหมครับ” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“กลับสิ มีอะไรเหรอ”


“ผมอยากจะขอติดรถอาจารย์ไปซ้อมที่สระโรงเรียนเก่า”


คนฟังคลี่ยิ้ม รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายยังมีใจให้การว่ายน้ำ “ได้สิ ว่าแต่ทำไมถึงอยากซ้อมขึ้นมา”


“ผมอยากลงแข่งรายการชิงแชมป์ประเทศไทย”   


“รายการใหญ่กลางปีหน้านี่นา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องฝึกซ้อมให้มาก ๆ ระหว่างนี้ลองลงแข่งรายการอื่น ๆ เก็บเป็นประสบการณ์ด้วย อืม...” อาจารย์หนุ่มเอียงคอใช้ความคิด “เมื่อเช้าครูเพิ่งได้รับเอกสารประชาสัมพันธ์ เป็นรายการเล็ก ๆ แต่ก็น่าสนใจอยู่ จัดที่เชียงใหม่ประมาณต้น ๆ ปี ลองลงรายการนี้ก่อนก็ได้”


“แต่ผมไม่อยากแข่งรายการเล็ก ๆ”


เมธีเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของหนุ่มนักกีฬา “เธอจะเอาแต่ซ้อมโดยไม่แข่งกับใครเลยมันเป็นไม่ไม่ได้หรอกพายุพัด ลองไปคิดดูก็แล้วกันนะ” พูดจบเขาก็เดินจากไป


ตัวเลขดิจิทัลบนหนาปัดนาฬิกาแสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มครึ่ง อาจารย์เมธีถือสปอร์ตไลท์เดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบ ๆ สนามและตามอาคาร เป็นสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าได้เวลาที่ต้องหยุดทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว นคินทรกับเพื่อน ๆ ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนช่วยกันล้างพู่กันก่อนจะถือป้ายที่ทำเสร็จแล้วบางส่วนไปฝากไว้ยังห้องกิจกรรม จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน


เด็กหนุ่มสะพายเป้เดินไปตามถนนคอนกรีตหน้าอาคารเรียน เขาแวะที่ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญซึ่งแขวนอยู่กับผนังข้างห้องวิชาการ หลังจากโทรบอกให้พ่อมารับแล้วก็เดินไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ใกล้กับอาคารฝ่ายปกครอง ส่วนคนอื่น ๆ บ้างก็ออกไปยืนรอผู้ปกครองมารับที่หน้าโรงเรียน บ้างก็อาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเพื่อนกลับ


ลมต้นฤดูหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะพาให้กิ่งของต้นไม้เสียดสีกันเกิดเสียงดังสวบสาบ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาเรียกให้นคินทรเงยหน้าขึ้นจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ มือขาวยกขึ้นบังแสงจากไฟหน้ารถที่สาดกระทบใบหน้าจนต้องหยีตา เมื่อเสียงเครื่องยนต์เงียบลง เจ้าของรถก็ดันหน้าหมวกนิรภัยขึ้นแล้วพูด


“ทำไมถึงจะไม่รำแล้ว”


“แอบฟังเหรอ” นคินทรตั้งใจถามเพื่อลดความจริงจังของเรื่องราว เขาหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อเห็นคู่สนทนายังคงวางหน้าขรึม


“เพราะฉายใช่ไหม เพราะฉายอยากรำคู่สิ นายถึงจะถอนตัว”


เมื่อรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นคินทรจึงตอบตามจริง “นั่นมันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของเหตุผลทั้งหมด”


“ยังมีเหตุผลอะไรอีก”


“เรียนด้วยกันมาเกือบปี เราว่านายพอจะรู้ว่าฉายเป็นคนยังไง ถึงการเรียนจะไม่โดดเด่น ไม่ได้เก่งวิชาที่คนเรียนสายวิทย์ควรจะทำได้ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องศิลปะละก็ ลองได้ตั้งใจทำก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดจะถอนตัวเพราะสิ่งที่ต้องทำคราวนี้มันสำคัญกับเรา แต่พอมาคิด ๆ แล้ว ถ้าหากมันจะช่วยให้คนคนหนึ่งรู้จักรับผิดชอบขึ้นมาบ้าง เราว่ามันก็คุ้มนะ” ริมฝีปากบางยังไม่ขาดรอยยิ้ม “แล้วสาคูกับสังขยาเป็นยังไงบ้าง”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง พายุพัดจึงไม่แสดงความเห็นใด ๆ อีก “โตขึ้นมากแล้ว แล้วก็ซนมากด้วย”


“เหรอ” ได้ยินเพียงเท่านั้นก็ตาวาว


“อือ ชอบออกไปนอกบ้าน บางวันก็ได้แผลกลับมา น่าจับขังเสียให้เข็ด”


“ให้มันออกไปข้างนอกนั่นแหละดีแล้ว มันจะได้รู้จักดูแลตัวเอง ถ้าเราเลี้ยงเหมือนกับปลาในตู้ ปลามันจะคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในพื้นที่สี่เหลี่ยม พอถูกปล่อยถึงได้รู้ว่าในทะเลไม่ได้มีแค่ปลาเล็ก ๆ แต่ยังมีฉลามแล้วก็สัตว์ร้ายอีกเยอะ”


“อยากจะพูดอะไรกันแน่” พายุพัดกล่าวอย่างรู้ทัน นี่ไม่ใช่หนแรกที่ความอ้อมค้อมของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องฉุกคิด


“ทำไมถึงไม่อยากไปแข่งรายการเล็ก ๆ ล่ะ กลัวชนะหรือว่ากลัวแพ้” นคินทรถามตามตรง “ต้องกลัวแพ้สินะ เป็นถึงเจ้าของเหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาตินี่นา”


“เราไม่ได้กลัวแพ้” พายุพัดกล่าวเสียงแผ่ว และนี่ก็เป็นครั้งที่ล้านที่ปากไม่ตรงกับใจตัวเอง


“ถ้าอย่างนั้นก็ลงแข่งรายการที่อาจารย์เมธีเสนอมาสิ ถ้านายชนะเราจะซื้อปลอกคอให้เจ้าสองตัวนั่น เวลามันออกไปเที่ยวนอกบ้านคนอื่นจะได้รู้ว่ามันมีเจ้าของ”


“แล้วถ้าเราแพ้ล่ะ”


“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”


พายุพัดยังคงนิ่งเงียบจนกระทั่งได้ฟังข้อเสนอสุดท้าย


“หรือไม่อย่างนั้นเราเลี้ยงข้าวปลอบใจก็ได้”


“ตกลง เราจะแข่ง” คนฟังตอบรับทันที


“อย่าเห็นแก่กินจนเผลอออมแรงก็แล้วกัน” นคินทรพูดกลั้วหัวเราะ เหลือบไปเห็นรถเก๋งที่เพิ่งเคลื่อนพ้นประตูโรงเรียนเข้ามาจึงเอ่ยขึ้น “พ่อมาแล้ว เราไปก่อนนะ” ไม่รอช้าเด็กหนุ่มรีบวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างในทันที แต่หากเขานั่งอยู่ตรงนั้นต่ออีกสักอีกสักหน่อย แสงไฟรอบ ๆ บริเวณก็คงพอทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของใครบางคนที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเป็นแน่


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-06-2018 11:49:37
(ต่อค่ะ)

ภาพการซ้อมเชียร์บนอัฒจันทร์มีให้เห็นในทุก ๆ วันหลังเลิกเรียน อีกเพียงสัปดาห์เดียวพิธีเปิดกีฬาสีก็จะเริ่มขึ้น หลังได้รับมอบหมายจากพี่ม.5 ให้รับผิดชอบขบวนพาเหรดของสี สมาชิกห้องม.4/1 และม. 4/6 ก็นัดพบกันที่โรงอาหารเพื่อวางแผน และแบ่งงาน ห้องม.4/6 รับหน้าที่ออกแบบขบวน จัดหาคนที่จะมาแต่งกายในชุดต่าง ๆ คนถือป้าย รวมถึงแจ้งรายการสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับเป็นอุปกรณ์ประกอบให้แก่ห้องม.4/1 ซึ่งรับหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยจึงแยกย้ายไปเตรียมตัวก่อนที่ตัวแทนห้องจะมาพบกันอีกครั้งในเย็นวันถัดไป ทันทีที่เพื่อน ๆ ห้องม.4/6 ไปแล้ว สมาชิกห้องม.4/1 จึงจับกลุ่มพูดคุยกันถึงการบ้านและรายงานจำนวนมหาศาลของอาจารย์กฤษณา อาจารย์ประจำวิชาเคมี ซึ่งทั้งหมดจะต้องส่งหลังจบกีฬาสี


“น้ำหวานช่วยพูดกับอาจารย์ให้เลื่อนวันส่งงานกับวันสอบเก็บคะแนนไปเป็นหลังปีใหม่ได้ไหม” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“เราก็อยากจะช่วย เพราะเราเองก็เห็นว่ามันเยอะมาก และทุกคนก็ต้องช่วยกันเตรียมงานกีฬาสี ไหนจะต้องซ้อมเพื่อลงแข่งกีฬาอีก” หัวหน้าห้องกอดอกก่อนจะเบนสายตาไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งกระดิกขาอยู่ด้านหลัง “แต่คราวก่อนไอ้ฉายทำแบบฝึกหัดที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จเราก็ไปขอเลื่อนส่งมาทีหนึ่งแล้ว ตอนหมอกไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันงานวิชาการพวกเธอก็ถือโอกาสให้เราเอาชื่อหมอกไปอ้างเพื่อเลื่อนสอบเก็บคะแนนเพราะอ่านหนังสือไม่ทัน จำได้หรือเปล่า ขืนไปต่อรองอาจารย์บ่อย ๆ มีหวังโดนหมายหัวแน่”


ทุกคนต่างสบตากันเมื่ออับจนหนทาง อาจารย์กฤษณานอกจากจะเป็นหัวหน้าหมวดวิทยาศาสตร์แล้วยังเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่เจ้าระเบียบเอามาก ๆ คนที่เคยเรียนกับอาจารย์ต่างรู้กิตติศัพท์เรื่องความตรงต่อเวลา หากใครเข้าเรียนสายหรือส่งการบ้านเกินกำหนดก็จะโดนหักคะแนนคูณด้วยเวลาที่ล่าช้า มิหนำซ้ำอาจถูกทำโทษเอาง่าย ๆ


“แต่มันเยอะมากเลยนะ ไหนจะรายงาน ไหนจะแบบฝึกหัด ยังจะสอบเก็บคะแนนอีก อาจารย์สั่งเยอะยังกับทั้งเทอมพวกเราเรียนเคมีแค่วิชาเดียว เราต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบวิชาอื่นเหมือนกัน แถมยังต้องเตรียมงานกีฬาสีอีกจะเอาเวลาที่ไหนไปทำ” สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลางบ่น


“อย่าบ่นเลย ที่อาจารย์สั่งงานเยอะก็เพราะอยากจะให้เราฝึกทำโจทย์นั่นแหละ อีกอย่างเทอมนี้มีกิจกรรมเยอะ เวลาเรียนก็แทบจะไม่มี หมอกเป็นตัวแทนไปแข่งวิชาการ ห้องอื่น ๆ ก็เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกีฬาบ้าง งานที่อาจารย์สั่งก็เป็นเหมือนคะแนนช่วยนั่นแหละ” นคินทรกล่าวก่อนจะนั่งลง


“อืม...ที่ม่อนพูดก็มีเหตุผล” จู่ ๆ ภาณุก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ “ถ้าให้ม่อนไปพูดกับอาจารย์ อาจารย์อาจจะฟังก็ได้นะ”


“เกี่ยวอะไรกับเรา” คนถูกเสนอชื่อมุ่นคิ้ว


“ก็อาจารย์กฤษณาเป็นภรรยาของคุณหมอที่เป็นเพื่อนกับพ่อนาย บางทีถ้านายไปพูดอาจารย์อาจจะยอมก็ได้”


สิ้นเสียงภาณุก็เกิดเสียงซุบซิบอื้ออึงดังตามมา


นคินทรรู้สึกไม่เห็นด้วยกับเหตุผลทุกข้อ ซ้ำยังหาความดีจากแต่ละข้อที่ภาณุยกมาไม่ได้เลยสักนิด แต่เมื่อมีหนึ่งเสียงเห็นด้วย ก็มีเสียงที่สอง สาม สี่ ตามมา ทำได้เพียงหันไปสบตาน้ำหวาน


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเดี๋ยวนี้เลย เลิกเรียนแล้วอาจารย์กฤษณาน่าจะไปนั่งที่ห้องฝ่ายปกครอง”


“แต่เราต้องไปซ้อมรำแล้ว”


“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะน่า เรื่องการบ้านวิชาเคมีสำคัญกว่าตั้งเยอะ จริงไหมพวกเรา” ว่าแล้วภาณุก็หันไปหาแนวร่วม


“ได้ เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่เรามีข้อแลกเปลี่ยน”


“อะไร” ร่างสูงกระโดดลงจากเก้าอี้ จ้องหน้าคนพูด


“เราเสนอให้ฉายเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอุปกรณ์ทำป้ายผ้า” นคินทรบอกก่อนจะเงยมองภาณุ คว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้น “นายต้องรับปากว่าจะจัดการเรื่องป้ายผ้าในขบวนพาเหรดให้เรียบร้อย ต้องดูแลทุกขั้นตอน เพื่อนขาดเหลืออะไรนายต้องเป็นคนหา”


เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพลางโอบไหล่เพื่อน “โธ่...นึกว่าอะไร เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นี่ใครครับ นี่ภาณุนะครับ รับรองขบวนพาเหรดสีเราชนะแน่ นายไม่ต้องห่วง”


เมื่อเห็นเพื่อนรับคำอย่างแข็งขัน นคินทรก็จำต้องรวบรวมความกล้าเข้าไปพบอาจารย์กฤษณาที่ห้องฝ่ายปกครอง


“อาจารย์ว่ายังบ้าง” ภาณุเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนเปิดประตูออกมา


“อาจารย์ให้ส่งรายงานกลุ่มหลังกีฬาสี อาจารย์จะได้ช่วยดูความถูกต้องแล้วคืนให้ เปิดมาหลังปีใหม่จะได้นำเสนอหน้าห้องแล้วสอบเก็บคะแนนเรื่องนั้นเลย ส่วนแบบฝึกหัดเสริมให้ส่งสัปดาห์ถัดไป”


“ก็ยังดี” ภาณุยิ้มเจ้าเล่ห์ รู้สึกว่าตนเองคิดไม่ผิดที่ส่งท่านกุนซือผู้ฉลาดปราดเปรื่องและมีความสามารถด้านการใช้วาทศิลป์เป็นทัพหน้าไปต่อรองกับอาจารย์ ที่จริงเขาแสร้งทำเดือดเนื้อร้อนใจไปอย่างนั้น เพราะไม่ว่าอาจารย์จะให้ส่งตอนไหนเขาก็มีส่งอยู่แล้ว อย่างไรเสียกลุ่มที่ทำรายงานก็มีทั้งนคินทรและอวัศย์ ส่วนงานเดี่ยวอื่น ๆ ลอกเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ อีกทั้งคนให้ลอกก็มีอยู่มากมายในห้องที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมคนเก่ง


“เราไปซ้อมรำแล้วนะ” นคินทรเอ่ยขึ้น


“เราไปด้วย”


“แล้วนายไม่ไปซื้ออุปกรณ์ที่จะใช้วันเสาร์นี้หรือไง นายบอกน้ำหวานว่าจะไปซื้อของวันนี้นี่นา”


“เราเอาเงินให้ไอ้หมอกไปซื้อแล้ว รับรองได้ของครบแน่” ภาณุกล่าวพลางวาดแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อน “รีบไปซ้อมเถอะ เดี๋ยวสายนะ”


นคินทรส่ายหัวกับความเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงไม่คิดต่อล้อต่อเถียง เมื่อไปถึงห้องนาฏศิลป์กลับพบว่าประตูปิด ไฟดับ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของสาว ๆ ที่อยู่ด้านใน สังเกตว่าที่ห้องข้าง ๆ มีใครคนหนึ่งกำลังก้าวพ้นกรอบประตูออกมา ในมือประคองเค้กก้อนโต พลันเสียงเพลงอวยพรวันเกิดก็ดังขึ้น


“ม่อนมาพอดีเลย มาเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องสิด้วยกันจ้ะ” มัทนาเอ่ยขึ้นแล้วหันไปกล่าวกับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เดี๋ยวพอประตูเปิดพายก็เดินเข้าไปเลยนะ”


ว่าแล้วมัทนาก็เคาะประตู เสียงวี้ดว้ายจึงดังขึ้นอีกระลอกตามด้วยเสียงเพลงอวยพรวันเกิดที่ทุกคนในห้องช่วยกันร้อง


“มารผจญแท้ ๆ” ภาณุพึมพำก่อนจะเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปข้างใน


สิ้นเสียงเพลง เจ้าของวันเกิดก็เป่าเทียน ไฟในห้องจึงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อสิชลเห็นหน้าคนที่ถือเค้กเข้ามาให้ก็ต้องประหลาดใจ


“พายมาได้ยังไงเนี่ย”


“ถูกหลอกมา” มัทนากล่าวก่อนจะหันไปยิ้มกับสาว ๆ ที่คาดว่าตอนนี้คงจะนึกอิจฉาสิชลอยู่ไม่น้อย


“พี่เขามาถามวันเกิดสิจากเรา แต่เราไม่รู้” พายุพัดตอบอ้อมแอ้ม


“วันนี้ได้รู้แล้วนะจ๊ะน้องพาย แหม...สนิทกันขนาดนี้ไม่รู้วันเกิดน้องสิได้ยังไง น่าตีจริง ๆ” มัทนากล่าวท่ามกลางเสียงโห่รับของบรรดาลูกคู่


“เอาละ ๆ สาว ๆ ไม่ต้องอิจฉาจ้ะ เรามากินเค้กกันดีกว่า” ว่าแล้วก็รับเค้กจากมือเด็กหนุ่มมาวางบนโต๊ะแล้วจัดการตัดแบ่งแจกจ่ายให้ทุกคน


“สุขสันต์วันเกิดนะสิ เราไม่รู้มาก่อนก็เลยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย” นคินทรเอ่ยขึ้น


“ไม่เป็นไรจ้ะม่อน สิก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดหรอก นี่เค้กก้อนแรกในชีวิตเลยนะ” พูดจบสิชลก็ยิ้มให้ภาณุ


อีกฝ่ายเห็นเป็นโอกาสจึงกล่าว “ไว้เราจะเอาของขวัญมาให้ทีหลังนะสิ”


“ไม่เป็นไรจ้ะฉาย ไม่ต้องลำบากหรอก” สิชลพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันไปหาอีกคน “ขอบใจมากนะพาย”


“ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย” พายุพัดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้ากลับบ่งบอกว่ารู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ที่นี่เต็มที


“เดี๋ยวพายไปไหนต่อ”


“รอสิเลิกซ้อมไง วันนี้แม่มารับช้าไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราอยู่รอเป็นเพื่อน”


“จ้ะ ขอบใจนะพาย”


ดังนั้นวันนี้ในห้องซ้อมรำจึงมีทั้งแขกที่ได้รับเชิญและแขกที่บังเอิญเกาะขามาด้วย...


กว่าการซ้อมการแสดงในพิธีเปิดกีฬาสีจะเลิกก็เกือบหกโมงครึ่ง เสียงจากโทรโข่งของอาจารย์เมธีทำให้ทุกคนต้องรีบเก็บข้าวของลงจากตึก นคินทรมองหนุ่มสาวที่เดินนำหน้าเคียงข้างกันไปตามถนนหน้าอาคาร คนหนึ่งคือเพื่อนร่วมห้องของเขา ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่ร่ายรำเป็นนางเมขลาได้อย่างอ่อนช้อยงดงามที่สุด ส่วนที่เดินอยู่ข้าง ๆ กันในขณะนี้คือภาณุที่เอาแต่บ่นราวกับหมีกินผึ้ง


“ไอ้พายมันโคตรขโมยซีนเลยว่ะ”


“ขโมยซีนยังไง เราไม่เห็นเขาจะทำอะไรแบบที่นายว่า”


“ก็ที่อยู่ ๆ มันไปโผล่ที่ห้องนาฏศิลป์ไง”


“เขารู้จักกันนี่นา ไม่สิ...เขาสนิทกัน” นคินทรกล่าว


“ไม่รู้แหละ ยังไงเราต้องทำให้สิหันมาชอบเราให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นก็ลองทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างสิ”


ภาณุพยักหน้าหยุดเดินแล้วพูดอย่างมุ่งมั่น “รับรองว่าสิจะต้องทึ่งในตัวเรา” แต่แล้วความมุ่งมั่นนั้นก็เป็นคล้ายกับเศษน้ำแข็งแห้งที่ระเหิดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาหันไปบีบนวดแขนคู่สนทนา “แต่ว่านายต้องช่วยเรานะม่อน”


“จะให้เราช่วยอะไร”


“นายช่วยไปเลือกของขวัญให้เราหน่อยนะ เราจะเอาให้สิวันที่เขารำเปิดกีฬาสีน่ะ”


“นายจะให้เขา นายก็ไปเลือกเองสิ”


“เราเลือกไม่เป็น เราว่าคนสุภาพนุ่มนวลอย่างนายเลือกมาแล้วต้องถูกใจสิแน่ ๆ นะ ๆ ม่อนนะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายปริปากภาณุก็พูดต่อ “เย้! ม่อนรับปากแล้ว”


นคินทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองคนที่กำลังเดินกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า หากมองข้ามเรื่องที่อีกฝ่ายมักเอาแต่ใจตัวเองแบบเด็ก ๆ แล้วมองในอีกแง่มุมหนึ่งจะพบว่าภาณุเป็นคนที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงไหนก็ไม่สามารถทำลายความสดใสร่าเริงของเขาได้ สำหรับนคินทรแล้วถือว่าน่าอิจฉาอยู่พอสมควร     


วันต่อมาเมื่อได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับขบวนพาเหรดจากหัวหน้าห้องม.4/6 แล้ว น้ำหวานก็แจกจ่ายงานให้เพื่อน ๆ ภาณุรับหน้าที่ร่างภาพต้นแบบลงในกระดาษจากนั้นจึงนัดแนะเรื่องการใช้สีกับเพื่อน ๆ ที่มีฝีมือในการวาดรูป และเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนที่มีหน้าที่ทำป้ายผ้าสำหรับขบวนพาเหรดต่างมารวมตัวกันที่โรงอาหาร อุปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ ทั้งพู่กัน สี พาชนะใส่น้ำและผสมสี รวมถึงผ้าดิบ ถูกนำลงมาจากห้องเรียน พวกผู้หญิงช่วยกันปูกระดาษหนังสือพิมพ์บริเวณพื้นซึ่งอยู่มุมหนึ่งของโรงอาหารที่คนไม่พลุกพล่าน จากนั้นพวกผู้ชายก็เริ่มร่างภาพลงบนผ้าดิบ เพียงไม่นานก็สามารถช่วยกันลงสีได้


การเขียนป้ายผ้ายังคงดำเนินมาจนถึงวันเสาร์ วันนี้นคินทรต้องไปส่งขนมให้แม่ กว่าจะตามมาสมทบกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนก็สายมากแล้ว ไม่ลืมหยิบขนมที่แม่ทำเตรียมไว้ให้ติดไม้ติดมือมาด้วย ลงจากรถที่อาทหารขับมาส่งได้ก็รีบวิ่งตรงไปที่โรงอาหารทันที เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายด่าทอดังขรม เห็นสีหกกระจายเต็มพื้นและเศษผ้าขาดรุ่งริ่งกองอยุ่หลายกระจุก เด็กหนุ่มวางขนมบนโต๊ะจากนั้นก็หันไปถามคนที่คิดว่าน่าจะให้ข้อมูลได้ดีที่สุด


“เกิดอะไรขึ้นวะหมอก”


“ก็เมื่อเย็นวานที่เพื่อน ๆ มาเขียนป้ายผ้ากัน ไอ้ฉายมันไปไหนไม่รู้ บอกไว้แค่ว่าเดี๋ยวมันมาทำต่อแล้วจะเอาอุปกรณ์ขึ้นไปเก็บบนห้องเอง เช้ามาสภาพก็ตามที่เห็นนี่แหละ เมื่อคืนฝนตก หมามันคงเข้ามาหลบฝน เจอของพวกนี้เข้าเลยจัดการซะ ยังดีที่ยัยหวานมันเอาป้ายบางอันที่ทำเสร็จกับอุปกรณ์ที่ทำให้ห้องหกขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนจะกลับบ้าน ที่หมากัดขาดก็คือป้ายที่เขียนเสร็จแล้วแต่ยังไม่แห้ง หลายผืนอยู่เหมือนกัน เพราะพวกเราตกลงกันว่าจะทำให้เสร็จภายในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้เอาเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือเตรียมสอบ เมื่อวานเลยขออาจารย์เมธีอยู่กันจนเกือบสองทุ่ม”       


“แกทำอย่างนี้ได้ยังไงวะฉาย พูดแล้วไม่เป็นพูด” น้ำหวานกล่าวน้ำตาคลอด้วยความโมโห


“บ่นอะไรวะ มันพังก็ทำใหม่สิ ไม่เห็นจะยาก เราทำคนเดียวก็ได้ ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” ภาณุกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน


“ง่ายเนอะ เรารู้ว่าแกวาดรูปเก่ง ทำไม่นานก็เสร็จ แล้วที่เพื่อน ๆ อุตส่าห์ช่วยกันทำล่ะ”


“ก็ไม่เห็นจะสวยเลย ถ้าให้เราทำ รับรองสวยกว่านี้อีก”


“แล้วทำไมไม่ทำวะ” คนหนึ่งแทรกขึ้น “มัวแต่ไปตามผู้หญิง ไหนรับปากม่อนว่าจะช่วยทำไง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่น่ารับปากแต่แรก”


“ถ้าเราไม่รับปากแล้วม่อนมันจะไปช่วยพูดกับอาจารย์ให้ไหม แล้วสุดท้ายใครได้ประโยชน์ ก็เราทั้งห้องนั่นแหละ” ภาณุกล่าว สีหน้าของเขาเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ


“แล้วทีนี้จะทำยังไง เสียไปเกือบครึ่ง จะใช้วันจันทร์อยู่แล้ว” น้ำหวานถาม


“ก็บอกแล้วไงว่าให้เอาเวลามาต่อว่าเราไปซื้อุปกรณ์มาทำใหม่ ไม่เห็นยาก”


“ยืนฟังมาตั้งนานเรายังไม่เห็นนายแสดงความรู้สึกผิดเลยสักนิด” พายุพัดที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเอ่ยขึ้น


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย นายทำด้วยหรือไงถึงเดือดร้อนแทนคนอื่น”


“ไอ้พายมันต้องไปช่วยอาจารย์เมธีเตรียมอุปกรณ์สำหรับแข่งกีฬา แต่มันก็มาช่วยทุกวัน นายไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้” อวัศย์ถามทั้งที่มีคำตอบอยู่แล้ว


“เรื่องเล็กแค่นี้ทำไมต้องจริงจังด้วยวะ เอาเวลาด่าเราไปซื้ออุปกรณ์แล้วทำงานต่อดีกว่าไหม”


“ป้ายผ้าที่เพื่อน ๆ ช่วยกันทำถูกหมากัดขาดเพราะไม่มีคนเก็บ นายบอกว่าเรื่องเล็กเหรอ” พายุพัดว่า “ถ้างานแค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ก็ไปเถอะ อย่ามาทำเลย”


“อ้าวไอ้พาย ทำไมพูดแบบนี้วะ”


“เราพูดผิดตรงไหน นายรู้ไหมว่าทุกคนใช้เวลาเท่าไรกว่าจะทำป้ายผ้าพวกนี้เสร็จ ทุกคนอยู่ทำกันจนดึกในขณะที่นายเอาแต่เดินตามผู้หญิง”


“อ...ไอ้พาย!”


“ถ้าหน้าที่ตัวเองยังรับผิดชอบไม่ได้ก็อย่าคิดไปจีบใครเลย”


“ถ้านายหมายถึงสิละก็ คอยดูเถอะ เราต้องทำให้สิชอบเราให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นก็คอยดู เราเองก็ไม่ยอมปล่อยให้สิไปคบกับนายง่าย ๆ หรอก”


“ไอ้พาย!” คนพูดกัดฟันกรอด มองตาขวาง


แม้พายุพัดจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นั่นกลับทำให้อารมณ์ของภาณุยิ่งพลุ่งพล่าน เมื่อไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ขายาวก็ก้าวเข้าหาหวังจะปล่อยหมัดใส่ให้สมแค้น มือใหญ่เอื้อมจับคอเสื้อของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกันก่อนจะง้างหมัดท่ามกลางเสียงหวีดร้องของพวกผู้หญิงที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกล


เห็นพายุพัดไม่คิดหลบเลี่ยง นคินทรจึงเอ่ยขึ้น “พอได้แล้ว แค่พูดว่าขอโทษมันยากนักหรือไง”


ภาณุชะงัก พยายามระงับอารมณ์จนสั่นไปทั้งแขน ในที่สุดเขาก็คลายมือออกก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร


นคินทรมองตามร่างสูงพลางถอนใจเฮือก หันไปบอกให้เพื่อน ๆ ช่วยกันทำความสะอาดโรงอาหาร ส่วนเขากับอวัศย์จะออกไปซื้ออุปกรณ์


โชคยังดีที่ในวันหยุดเช่นนี้พอจะมีร้านเครื่องเขียนและร้านขายวัสดุก่อสร้างเปิดบริการอยู่บ้าง ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานนคินทรก็ซื้อของได้ครบ สองคนมุ่งหน้ากลับไปที่โรงเรียนและพบว่าพื้นโรงอาหารถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อย กระดาษหนังสือพิมพ์ถูกปูรอเอาไว้แล้ว แม้จะมีเพื่อน ๆ เหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คนแต่ทุกคนก็ยินดีที่จะช่วยทำงานอย่างแข็งขัน พวกผู้หญิงกางผ้าดิบออกวัดขนาดแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ส่วนพวกผู้ชายก็เริ่มลงมือร่างภาพอีกครั้ง 


“เรา...ขอโทษแทนฉายด้วยนะ” นคินทรกล่าวกับคนที่กำลังนั่งระบายสีเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม


พายุพัดขบกรามแน่น เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเอียนกับชื่อนี้ เขาถอนใจเบา ๆ แล้วตอบกลับด้วยคำถาม “ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงที่ต้องคอยทำอะไรเพื่อคนอื่น”


คราวนี้กลายเป็นนคินทรที่เงียบ เขาแตะพู่กันลงบนผืนผ้าพลางลากช้า ๆ ใช้สีถมส่วนที่ยังเป็นสีของเนื้อผ้า


“เราว่าทำให้สิสนใจฉายยังไม่ยากเท่าทำให้ฉายเปลี่ยนแปลงตัวเอง


“ก็ไม่แน่นะ มาพนันกันไหมล่ะ”


พายุพัดแปลกใจที่เห็นมุมปากคนพูดยกขึ้นน้อย ๆ


“นายมั่นใจว่าฉายจะเปลี่ยนตัวเองและทำให้สิสนใจได้อย่างนั้นเหรอ”


“นคินทรส่ายหัวเบา ๆ “เราไม่มั่นใจเรื่องสิก็เพราะฉายมีนายเป็นคู่แข่ง” นคินทรหยุดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อ “แต่เรื่องของฉาย...ถ้าวันหนึ่งรู้ตัวว่าชอบใครมาก ๆ ก็อาจจะคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนคนนั้นก็ได้”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-06-2018 11:57:07
(ต่อค่ะ)


ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนจึงทำให้สามารถทำป้ายผ้าได้เสร็จตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ เมื่อช่วยกันเก็บของขึ้นห้องเรียบร้อยก็ได้เวลาแยกย้ายกลับบ้าน


“ม่อน กลับยังไงวะ” อวัศย์เอ่ยขึ้นขณะเดินออกจากโรงอาหาร


“เดี๋ยวโทรให้อาทหารมารับ”


“พ่อไม่อยู่เหรอ”


“อือ ไปประชุมที่ต่างจังหวัดน่ะ”


“ให้รอเป็นเพื่อนก่อนไหม”


“ไม่ต้องหรอก นายกลับไปช่วยพ่อเถอะ”


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะ ไว้เจอกันวันจันทร์ จะได้เห็นรามสูรสุดหล่อซะที” หมอกหัวเราะ


“เออ ได้เห็นแน่ ไปได้แล้วไป” นคินทรโบกมือไล่ รอจนเพื่อนขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจึงมุ่งหน้าไปที่อาคารเรียนเพื่อใช้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญโทรกลับไปที่บ้านเหมือนเช่นเคย


ขาก้าวไปตามพื้นคอนกรีตช้า ๆ เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเอง เรื่องต่าง ๆ ก็ประดังเข้ามาในหัวอีกครั้ง รู้สึกอดเป็นห่วงภาณุไม่ได้ เพราะหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อเช้าอีกฝ่ายก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย นคินทรคิดอะไรเพลินจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งขี่รถจักรยานบนต์ตามหลัง เห็นด้วยหางตาก็ตอนที่เขามาหยุดข้าง ๆ แล้ว   


“ม่อน” พายุพัดหยุดรถก่อนจะเอื้อมฉวยที่ข้อมือเล็ก และเมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาสบตาด้วยความสงสัยระคนตกใจ มือใหญ่ก็คลายออก เลื่อนขึ้นรั้งพวงกุญแจรูปแมวสีน้ำเงินที่ติดอยู่กับเเป้สะพายหลังของอีกฝ่าย


“ไม่ได้ยินหรือไง เราเรียกตั้งหลายครั้ง”


“คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ มีอะไรหรือเปล่า”


“เดี๋ยวเราไปส่ง”


“บ้านเราคนละทางกับบ้านนาย เราโทรบอกให้อาทหารมารับก็ได้”


“ถือว่าตอบแทนที่ช่วยไปซื้ออุปกรณ์เขียนป้ายผ้าให้ก็แล้วกัน” คนพูดเงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อเห็นคู่สนทนามีท่าทีลังเลจึงเอ่ยขึ้น “เร็ว! ขึ้นรถ”


นคินทรมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจก่อนจะยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นช่วยไปส่งเราที่ที่หนึ่งได้ไหม แต่บอกไว้ก่อนว่าเราไม่ถือบุญคุณจนยอมแพ้เรื่องสิกับฉายหรอกนะ”


“รู้น่า” พายุพัดส่ายหัว รอกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นซ้อนท้ายจึงค่อย ๆ ออกรถ


....


นคินทรทอดตามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนและวัดวาอาราม ครู่หนึ่งพายุพัดก็เลี้ยวเข้าซอย เบื้องหน้าคือถนนสายแคบ ๆ ที่แน่นขนัดไปด้วยร้านรวง เมื่อทำนองเพลงชาติไทยดังขึ้นรถก็ค่อย ๆ ชะลอแล้วจอดสนิทที่ข้างกำแพงสีขาวเตี้ย ๆ แสดงอาณาเขตของวัดสำคัญวัดหนึ่ง ผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของพากันหยุดนิ่ง ต่างคนต่างอยู่ในอาการสงบ กระทั่งสิ้นเสียงเพลง ความมีชีวิตชีวาก็กลับคืนสู่ถนนคนเดินแห่งนี้อีกครั้ง


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” นคินทรกล่าวเมื่อลงจากรถ


“นึกยังไงถึงมาที่นี่”


“มีเรื่องสำคัญต้องทำน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำเถอะ เรารออยู่นี่”


“รอทำไม”


“ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่งที่บ้าน”


นคินทรได้แต่พยักหน้า เพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่จึงไม่เสียเวลาพูดให้มากความ ร่างสูงเดินฝ่าผู้คนไปตามแนวกำแพงกระทั่งหยุดที่ร้านขายเครื่องเงินหน้าวัดภูมินทร์ กวดตามองสร้อยข้อมือและกำไลที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่สีแดง ในที่สุดมือขาวก็เอื้อมหยิบกำไลวงหนึ่งขึ้นมา


“วงนี้ยังอยู่นะม่อน ป้าว่ามันต้องรอม่อนแน่ ๆ” ด้วยความที่เป็นลูกค้าเบเกอรีฝีมือแม่ของเด็กหนุ่ม เจ้าของร้านจึงกล่าวอย่างเป็นกันเอง


นคินทรยิ้มพลางมองกำไลเงินวงเล็กรูปปลาคู่ในมือ เขาตั้งใจเก็บเงินซื้อมัน แต่เมื่อได้เงินครบตามจำนวนกลับต้องวางลงที่เดิม


“วันนี้ม่อนตั้งใจจะมาซื้อสร้อย เงินคงไม่พอซื้อกำไลหรอกครับป้านี ไว้เก็บเงินครบแล้วม่อนจะมาใหม่นะครับ”


“ป้าเอาให้ก่อนก็ได้นะ เราคนกันเอง”


“ไม่เป็นไรครับ ม่อนอยากเก็บเงินซื้อเอง แต่ถ้ามีคนจะซื้อ ป้านีก็ขายให้เขาไปเลยนะครับ เผื่อม่อนไม่ได้มาอีก” พูดจบก็หยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งขึ้น


“จะซื้อไปให้สาวใช่ไหมเนี่ย” ป้านีกระเซ้า


“ไม่ใช่ของม่อนหรอกครับป้านี เพื่อนม่อนฝากซื้อ แต่ก็จะเอาไปให้สาวแบบที่ป้านีว่านั่นแหละครับ” นคินทรหัวเราะ


“เส้นที่ม่อนหยิบก็สวย เหลือเส้นสุดท้ายแล้ว ม่อนนี่เข้าใจเลือกนะเนี่ย”


“ถ้าป้านีว่าสวย ม่อนเอาเส้นนี้ก็แล้วกันครับ” พูดจบก็ส่งสร้อยเงินห้อยจี้รูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ให้เจ้าของร้าน จากนั้นจึงดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบธนาบัตรใบละห้าร้อยบาทยื่นให้ ทันทีที่ได้ของกับเงินทอนอีกไม่กี่สิบคืน นคินทรก็เดินออกจากร้านแวะซื้อลูกชิ้นปิ้งกับน้ำอัดลมแล้วย้อนกลับไปยังจุดที่แยกกับพายุพัด แต่เมื่อไปถึงกลับพบเพียงรถจอดอยู่ เด็กหนุ่มยืนรอสักพักผู้เป็นเจ้าของก็ปรากฏตัวขึ้น


“เราซื้อลูกชิ้นกับน้ำมาฝาก” คนรอบอก แต่ร่างสูงกลับเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ใบหน้าของเขานิ่งเฉยกว่าที่เคยเป็น หรืออาจจะค่อนไปทางบูดบึ้งเสียด้วยซ้ำ กระนั้นนคินทรก็ยังทำใจดีสู้เสือ “เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า ขึ้นรถเถอะ”


“หรือถ้านายมีธุระ...”


“เราบอกให้ขึ้นรถไง” พายุพัดกล่าวซ้ำด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม


“หงุดหงิดอะไรมาเนี่ย”


นคินทรบ่นงึมงำพลางวาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย มือหนึ่งจับแก้วน้ำ ถุงกระดาษและถุงใส่ลูกชิ้นแน่นในขณะที่อีกมือจับอานรถจักรยานยนต์แน่นเมื่อรู้สึกถึงความเร็วที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สายลมปะทะเข้าจนหน้าชาไปหมด ทิวทัศน์ข้างทางแปลกตาชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าพายุพัดจะพาตนไปยังที่ใดกันแน่ แม้จะสงสัยเพียงใดแต่กิริยาท่าทางของอีกฝ่ายก็ทำให้ไม่กล้าปริปากถาม


ตาคมเจือแววแห่งความโกรธขึ้งมองไปข้างหน้าในขณะที่มือกำคันเร่งแน่น พายุพัดถอนใจหนัก รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเหตุใดเขาจึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่แล้วเมื่อมือของคนซ้อนท้ายเลื่อนมาจับชายเสื้อของตน มือใหญ่ก็ผ่อนคันเร่งลงอัตโนมัติ เมื่อพ้นจากสะพานข้ามแม่น้ำก็บ่ายหน้าเข้าซอยลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ กระทั่งมาหยุดยังศาลาริมบึงน้ำขนาดใหญ่   


“พาเรามาที่นี่ทำไม” นคินทรถามเมื่อก้าวลงจากรถเดินไปหยุดที่ขอบคันกั้น ในมือยังคงถือของพะรุงพะรัง “ฉายไม่ยักบอกว่ามีที่แบบนี้ด้วย”


คนฟังขบกรามแน่น สาวเท้าเข้าไปหยุดยืนข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “สร้อยนั่นน่ะของฉายใช่ไหม”


“สะกดรอยตามเราเหรอ เป็นนักสืบหรือไง” ทำพูดติดตลก เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่มีอารมณ์ร่วมจึงกล่าวตามจริง “ฉายฝากซื้อน่ะ บอกว่าจะเอาให้สิวันที่มีพิธีเปิดกีฬาสี”


“ทำไมต้องทำอะไรขนาดนี้”


“นายพูดเรื่องอะไร” นคินทรหันมาถามอย่างแปลกใจ


พายุพัดจ้องตาเขม็งก่อนจะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายขึ้น จนคนไม่ทันตั้งตัวเผลอทำทั้งแก้วน้ำ ถุงใส่ลูกชิ้นและถุงจากร้านป้านีหลุดมือร่วงลงกับพื้น


“เฮ้ย! เบา ๆ หน่อยสิ น้ำหกหมดแล้ว” กำลังจะก้มลงเก็บ แต่ก็ช้ากว่าพายุพัดที่รีบฉวยถุงซึ่งมีสร้อยคออยู่ในนั้นขึ้นมาเสียก่อน “นายเป็นอะไรของนาย เราทำอะไรให้ถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้”


“ทำไมต้องทำอะไรให้ฉายขนาดนี้”


“ก็เพราะฉายเป็นเพื่อนเราไง ทำไม นายกลัวแพ้ฉายเหรอ” นคินทรแกล้งแหย่เล่นเผื่ออีกฝ่ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง


“ทำไมเราต้องกลัวแพ้”


“เพราะนายชอบสิ ก็เลยกลัวว่าจะแพ้ฉายใช่ไหม”


“เราไม่เคยคิดอะไรกับสิ ทุกอย่างที่นายพูดมาเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้เราทั้งนั้น”


“อย่ามาโกหกเลยน่า ไม่ต้องเขินหรอก” นคินทรยิ้ม พยายามทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลง


“เราไม่ได้โกหก คนที่โกหกคือนายต่างหาก นายโกหกทุกคน โกหกแม้กระทั่งตัวเอง”


พลันรอยยิ้มก็เหือดหายไปจากใบหน้า “ร...เราโกหกเรื่องอะไร”


“ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไงเวลาที่เห็นไอ้ฉายไปให้ความสำคัญกับสิแบบนั้น”


“เราต้องรู้สึกอะไร” นคินทรถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เอื้อมมือไปคว้าของของตนในมืออีกฝ่ายแต่ก็ได้เพียงอากาศ


“คนที่แอบชอบเพื่อนสนิท แล้วเห็นเพื่อนไปให้ความสำคัญกับคนอื่นเขารู้สึกยังไง ก็รู้สึกแบบนั้นแหละ”


“เอาของของเราคืนมา เราจะกลับบ้าน”


“เราพูดถูกใช่ไหม”


“นายเองก็กำลังหยิบยื่นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการเหมือนกัน”


“ถ้าอย่างนั้นมาพิสูจน์กัน” พูดจบก็ปาถุงกระดาษลงไปในน้ำ


“เฮ้ย! นายทำอะไรวะ บ้าไปแล้วหรือไง” นคินทรละล่ำละลัก


“ถ้านายไม่ได้คิดกับฉายเกินกว่าเพื่อนก็อย่าลงไปเก็บ” พายุพัดกล่าวเรียบ ๆ หากแต่หนักแน่นราวประกาศิต


“เราทำอะไรให้นาย” นคินทรถามตามประสาคนที่ไม่เคยมีเรื่องกับใคร เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ไม่คิดหันมามองหน้า ตาจ้องเขม็งไปยังถุงกระดาษที่กำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันคงหลุดเข้าไปในประตูระบายน้ำแล้วไหลลงคลองไปเป็นแน่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกทาง แม้จะถูกมือใหญ่เหนี่ยวรั้งไว้แต่ก็สะบัดจนหลุด นคินทรหยุดที่ริมตลิ่ง ใช้เวลาคิดไม่ถึงอึดใจก็ปลดเป้แล้วกระโดดลงไปในน้ำ


พายุพัดมองร่างที่กำลังแหวกว่ายไขว่คว้าของสำคัญ เมื่อเห็นท่าทางนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดจึงรีบกระโดดตามลงไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหลังก่อนจะลากเข้าฝั่ง


“ปล่อยเรา เราจะไปเอาของของเรา” นคินทรเอื้อมมือไขว่คว้า แต่ถุงใบนั้นก็ลอยห่างออกไปทุกทีกระทั่งผลุบหายไปในกระแสน้ำไหลเชี่ยวเมื่อถึงประตูน้ำ


“ว่ายน้ำไม่เป็นทำไมยังทำแบบนี้อีก จะบ้าหรือไง ฉายมันไม่เคยสนใจความรู้สึกของนายด้วยซ้ำ” พายุพัดตะโกนลั่นใส่หน้าคนที่กำลังหอบตัวโยน


“ไม่เกี่ยวกับนาย” นคินทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล คว้าเป้ได้ก็ก้าวแบบไม่สนใจใคร แม้รอบกายจะปกคลุมด้วยความมืดแต่เท้าก็ยังคงก้าวไม่หยุด


“ขึ้นรถ เดี๋ยวเราไปส่ง” พายุพัดที่ขี่รถขนาบข้างเอ่ยขึ้น เมื่อไร้ถ้อยคำตอบกลับจึงตัดสินใจหักหน้ารถขวาง แสงไฟอันน้อยนิดทำให้เห็นว่าดวงตาที่เคยสดใสของนคินทรบัดนี้เจือด้วยความกลัว ความเสียใจ ความโกรธผสมปนเปยากเกินจะคาดเดา


“เรากลับเองได้”


“นายจะกลับไปในสภาพแบบนี้ได้ยังไง เราจะไปส่งนายที่บ้านหมอก” พายุพัดกล่าว


นคินทรนิ่งคิด แม้ในยามนี้จะไม่อาจสะกัดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้แต่ก็ยังพอมีสติรู้คิด เขาใช้เวลาสั้น ๆ ทบทวนผลที่จะตามก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย ทันทีที่รถเคลื่อนแหวกอากาศร่างกายก็สั่นสะท้านรู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ กระนั้นยังฝืนนั่งหลังตรงไม่ปล่อยให้ส่วนใดได้สัมผัสกับร่างกายของอีกคนโดยไม่จำเป็น สองแขนพราวไปด้วยน้ำกอดเป้สะพายหลังแน่น ดวงตาทอดมองไปในความมืด กระทั่งได้ยินเสียงสะล้อซอซึงดังใกล้เข้ามา


จนเมื่อถึงบริเวณลานข่วงเมืองซึ่งเป็นลานกว้างสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้นั่งรับประทานขันโตกพร้อมกับชมการแสดงทางวัฒธรรมในช่วงวันหยุด พายุพัดก็อาศัยแสงจากเสาไฟสูงลอบมองคนซ้อนท้ายผ่านกระจกเล็ก ๆ ใบหน้าของเขาซีดเซียว นัยน์ตาสีเข้มปราศจากแววแห่งความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นผิดกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิง ไม่นานรถก็มาหยุดที่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ ประตูเหล็กม้วนถูกดึงลงมาฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งยังคงเปิดเอาไว้เพราะคนไข้ตัวสุดท้ายกำลังรอรับยา ครู่หนึ่งก็เห็นอวัศย์อุ้มเจ้าลูกสุนัขพันธุ์ไทยเดินตามหลังคุณลุงคนหนึ่งออกจากคลินิก ด้านอวัศย์เมื่อวางวางเจ้าตัวเล็กลงในตะกร้าหน้ารถ กำลังจะหันหลังกลับเข้าบ้านก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเพื่อนสองคนในสภาพลูกหมาตกน้ำ
 


 

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



สวัสดีค่ะ รอบนี้มาเร็วหน่อย เพราะเป็นตอนที่เราเขียนยาวมาจากตอนที่ 3 แล้วจบไม่ลง

ที่จริงเหตุการณ์ที่เรากำลังเล่าถึงนี้เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตค่ะ

ตามพล็อตเราตั้งใจเขียนให้จบในตอนที่ 3 แต่ตอนนี้งอกเป็น 4 เลยตัดเอามาอัพก่อน เพราะมันยาวไปถึง 5 แล้ว

แต่ก็ใจชื้นแล้วค่ะ จากที่เป็นกังวลว่าเรื่องยาวเรื่องนี้จะถึง 10 ตอนไหม

งอกขนาดนี้ ถึงแน่ ๆ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-06-2018 14:31:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 18-06-2018 20:08:08
ขอบคุณค่ะ  สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 18-06-2018 20:38:57
ม่อนชอบฉายหรือนี่  :katai1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-06-2018 23:41:20
ที่ฉายทำมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ นั่นแหละ ส่วนม่อนจะชอบฉายจริงหรือเปล่า พายยุ่งอะไรกับเขา หรือว่าหึง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-06-2018 04:08:38
งู้ยย ตกลงเรื่องมันยังไงมายังไงกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 19-06-2018 21:35:06
แรก ๆ คิดว่าฉายเป็นเด็กดีมาตลอด แล้วดูทำเข้าสิ

ท้ายตอน 4 นี่อึดอัดจริง ๆ ค่ะ ก็แอบคิดอยู่ว่าม่อนจะแอบชอบฉายไหม เห็นยอมทุกอย่างไม่ว่าขออะไร สรุปว่าใช่จริง ๆ

รอลุ้นเรื่องตอนปัจจุบันนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 19-06-2018 23:36:17
หงุดหงิดฉายมาก และรู้สึกดีที่มาอนทำให้พายยิ้มได้
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 4 พายุก่อตัว (18-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 20-06-2018 15:22:47
รอติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-06-2018 06:54:03
ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่

สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อแม่ผู้ปกครองที่มายืนรอดูบุตรหลานของตน ทุกสายตาต่างจับจ้องคทาหัวมงกุฎโลหะพันด้วยเชือกที่ถูกโยนขึ้นกลางอากาศ และเมื่อมันตกลงสู่มือคทากรกรหนุ่มหล่อ เสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรดาตากล้องทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพต่างลั่นชัตเตอร์กันไม่หยุด ไม่นานขบวนพาเหรดของแต่ละสีก็เคลื่อนเข้าสู่สนามหญ้าหน้าเสาธงในขณะวงโยธวาทิตของโรงเรียนยังคงบรรเลงเพลงกราวกีฬาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเพลงจบผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นประธานในพิธีก็เดินขึ้นสู่แท่นหน้าเสาธง กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานจากนั้นจึงกล่าวเปิดการแข่งขันกีฬาภายใน


สิ้นเสียงผู้อำนวยการโรงเรียน วงโยธวาทิตบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ธงสีทั้งห้าถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นสมาชิกของแต่ละสีก็แยกย้ายกันไปนั่งประจำบนอัฒจันทร์ กระทั่งความชุลมุนวุ่นวายคลี่คลายลง วงปี่พาทย์ไม้แข็งก็บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ พลันสาวน้อยในชุดยืนเครื่องสีน้ำเงินก็ร่ายรำออกมาจากฝั่งหนึ่ง ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามสมเป็นนางเมขลา ต่างกับผู้แสดงเป็นอสูรเทพบุตรที่มาในชุดยืนเครื่องสีเขียว มือถือขวานเพชร บดบังใบหน้าด้วยหัวโขนหน้ายักษ์ เขาร่ายรำด้วยท่วงท่าแข็งแรง กิริยาท่าทางการเยื้องย่างดูสง่างามยิ่งนัก กระนั้นกระบวนท่ารำของทั้งสองก็ยังมีความเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องกัน


“ไม่เสียชื่อโขนสาธิตเนอะแม่” พันโทธรณินนกระซิบกับผู้เป็นภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกันในเต็นท์กองอำนวยการ อดนึกชื่นชมลูกชายของตัวเองไม่ได้ แม้การย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดด้วยกันจะทำให้นคินทรต้องลาออกจากโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่วิชาโขนที่เคยร่ำเรียนก็ยังติดตัวมา


“จ้ะพ่อ” วาสนากล่าวพลางละสายตาจากสองผู้แสดงที่ร่ายรำอยู่กลางสนาม มองสามีตัวเองที่วันนี้ตั้งใจลางานครึ่งวันมาดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนำการแสดงในพิธีเปิดกีฬาสีของโรงเรียน


นางเมขลาโยนแก้วล่อไล่ไปมาท่ามกลางเสียงรัวระนาด ส่วนรามสูรที่กำลังโกรธเกรี้ยวก็ขว้างขวานใส่ เป็นที่มาของตำนานฟ้าแลบฟ้าร้องซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลาง เสียงฟ้าคำรามครั่นครื้นดังจากเครื่องขยายเสียงราวกับกำลังเกิดพายุฝนขึ้นจริง ๆ ทุกสายตาต่างจับจ้องที่กระถางเพลิงซึ่งปรากฏเปลวไฟขึ้น ชาวพริบตาก็ลุกโชนเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันกีฬาภายในได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง นคินทรก็เดินตรงไปยังเต็นท์กองอำนวยการเพื่อถ่ายรูปกับพ่อและแม่ จากนั้นจึงเดินต่อไปที่อัฒจันทร์สีของตนเองเพื่อถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้


“มาแล้ว ๆ ม่อนมาแล้ว” น้ำหวานละล่ำละลัก


เด็กหนุ่มเดินตรงไปหาเพื่อน ๆ ที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ข้างสนาม แม้จะถอดหัวโขนแล้วแต่ชุดที่สวมก็ทำให้ทุกย่างก้าวของเขายังคงสง่างาม


“ยืนตรงกลางเลยม่อน” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


เจ้าของชื่อยิ้มร่ารีบเข้าไปแทรกตรงที่เพื่อนเว้นไว้ให้


“เดี๋ยวเราไปตามพายก่อน มันช่วยอาจารย์เมธีเตรียมสนามแข่งเปตองอยู่ทางโน้น” อวัศย์ว่าก่อนจะชี้ไปที่ริมสนามอีกฝั่ง กำลังจะทำตามที่ปากพูดแต่ก็ต้องชะงัก


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก”


คนฟังพยักหน้าจากนั้นจึงหันไปบ่นเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้ยังตกลงตำแหน่งการยืนกันไม่ได้สักที ดังนั้นเพื่อนห้องหกซึ่งรับหน้าที่เป็นตากล้องจึงเดินไปยืนประจำที่ มองความวุ่นวายตรงหน้าผ่านช่องมองภาพแล้วออกคำสั่งให้บรรดาลูกปูยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ เมื่อได้ภาพจำนวนมากพอแล้วเพื่อน ๆ ก็พากันกลับไปรวมตัวที่อัฒจันทร์เพื่อรอดูลีลาการเชียร์ของสีต่าง ๆ
นคินทรเหลือบไปเห็นภาณุซึ่งยืนอยู่ใต้ร่มไม้จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าว “ถ่ายรูปกับเราหน่อยสิ”
 

อีกฝ่ายดูประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็เดินมายืนข้างกัน


“น้ำหวานถ่ายรูปให้เราหน่อยสิ” นคินทรบอกก่อนจะหันไปเรียกอวัศย์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามแต่โดยดี


ภาณุยืนนิ่ง มองอวัศย์ที่เดินมาหยุดข้างนคินทรและน้ำหวานที่ถูกไหว้วานให้ถ่ายรูปให้ แต่ละคนต่างทำตัวเป็นปกติแม้จะผ่านเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งมาได้เพียงไม่กี่วัน คงเพราะนคินทรเอ่ยปาก ทั้งน้ำหวานและอวัศย์จึงได้พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อันที่จริงไม่ใช่แค่สองคนนี้แต่ยังรวมไปถึงเพื่อน ๆ ในห้องที่ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองหมางเกิดขึ้น ใจหนึ่งอยากยอมรับผิดที่ตนคิดน้อยเกินไป ซ้ำยังเอาแต่เล่น บอกว่าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เพื่อน ๆ แก้ปัญหากันเอง และยิ่งทุกคนปฏิบัติเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ส่วนอีกใจก็นึกน้อยใจที่เพื่อนซึ่งคบกันมานานพากันเข้าข้างพายุพัดที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาเรียนด้วยกันได้ไม่ถึงปี เมื่อทิฐิอยู่เหนือความละอายใจภาณุก็เลือกมองข้ามที่จะกล่าวคำขอโทษต่อทุกคน


“ชิด ๆ กันหน่อย ยิ้มด้วย” น้ำหวานบอก


“ถ่ายเราให้ออกมาหล่อ ๆ นะ” หมอกว่า


“วันนี้ไม่มีใครหล่อเกินม่อนหรอกจ้ะ” พูดจบนิ้วเรียวก็กดบันทึกภาพ


“ถ่ายคู่บ้างสิ”


ได้ฟังนคินทรพูดเช่นนั้น อวัศย์จึงก้าวห่างออกมา ปล่อยให้เพื่อนรักได้ชักภาพร่วมกัน


“เรียบร้อย” น้ำหวานเอ่ยขึ้นแล้วก้มลงมองภาพในหน้าจอ LCD ของกล้องดิจิทัลในมือ 


“ส่งให้เราบ้างนะหวาน” นคินทรกำชับ


“ได้จ้ะ”


“เดี๋ยวนายไปไหนต่อ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“ไปเปลี่ยนชุดน่ะ นายมีแข่งกรีฑาใช่ไหม”


“อือ”


“ถ้าอย่างนั้นเราไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วจะมาเชียร์” พูดจบนคินทรก็เดินเลาะริมขอบสนามฟุตบอลไปเรื่อย ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ห้องนาฏศิลป์ ไม่ว่าระหว่างทางจะพบกับรุ่นพี่ รุ่นน้องหรือเพื่อนรุ่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายขอถ่ายรูปด้วย เขาก็จะหยุดด้วยความยินดี


เมื่อช่วยอาจารย์เมธีเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแข่งขันเปตองเรียบร้อยแล้ว พายุพัดก็เดินออกจากสนามอย่างรีบร้อน ขายาวก้าวฝ่าผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังสนามย่อยที่ใช้แข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่งโรงเรียน ไม่นานเขาก็มาหยุดที่ระเบียงชั้นสองของอาคาร เห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารดูภูมิฐานกับหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับอาจารย์วัชรีอาจารย์ผู้สอนวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ เด็กหนุ่มจึงก้มหลังก่อนจะเดินผ่านคนทั้งหมดไปยังห้องนาฏศิลป์ ทันทีที่ไปถึงก็พบสิชลในชุดนางรำกำลังถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน 


“อ้าว...พายมาพอดีเลย มาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว” สาวน้อยเอ่ยขึ้น


เด็กหนุ่มยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ ดวงตามองสำรวจไปรอบ ๆ


“เดี๋ยวสิไปเรียกม่อนก่อนนะ ไม่รู้ม่อนเปลี่ยนชุดหรือยัง เผื่อจะทัน”


พายุพัดไม่ทันได้พูดอะไร คนที่ถูกกล่าวถึงก็เดินพ้นประตูออกมา ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันอีกครั้ง


“ว้า! ม่อนเปลี่ยนชุดเสียแล้ว พายเลยไม่ได้ถ่ายรูปกับรามสูตรสุดเท่ของสิเลย” สิชลกล่าว


“ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดว่า


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเนอะ ถ่ายชุดพละแบบนี้ก็ได้”


“สิถ่ายกันเถอะ เราไปหาพ่อกับแม่ก่อน” นคินทรบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


หลังจากคุยกัยอาจารย์วัชรีแล้ว นคินทรก็เดินลงมาส่งพ่อกับแม่ที่รถ


“ตอนเย็นพ่อมารับนะม่อน” พันโทธรณิณกล่าวเมื่อลดกระจกลง


“ครับพ่อ” นคินทรยิ้ม มองเลยไปยังผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งถัดไป จากนั้นจึงดึงสายตากลับมายังคนตรงหน้า “ขอบคุณนะครับพ่อ”


ธรณิณพยักหน้า เอื้อมมือบีบไหล่ลูกชายเบา ๆ จากนั้นจึงปรับกระจกขึ้นและขับรถออกไป ดวงตามุ่งมั่นแต่แฝงความอ่อนโยนมองภาพของลูกชายที่สะท้อนอยู่บนกระจก อดคิดไม่ได้ว่าอีกเพียงไม่กี่ปีก็คงจะต้องไกลกันแล้ว


“ขอบคุณนะจ๊ะพ่อ” วาสนากล่าวพลางเลื่อนมือขึ้นแตะแขนแกร่ง


ผู้เป็นสามีหันมาสบตา รู้สึกขอบคุณเช่นกัน แม้เธอจะไม่เคยสร้างตัวเองให้โดดเด่นเป็นหินสลักในสายตาใคร แต่สำหรับเขาเธอผู้นี้เป็นดังสายลมที่ปัดเป่าความเหนื่อยล้า และหอบเอากำลังใจมาให้ในยามสิ้นหวังไม่ เป็นลมใต้ปีกที่หนุนนำให้เขาได้โบยบินไปถึงจุดหมาย


...


เมื่อจบจากกีฬาภายในก็ตามมาติด ๆ ด้วยเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กว่าจะปรับตัวให้คุ้นชินกับบรรยากาศของการเรียนได้ก็ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของปี ม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ไม่เคยว่าง เพราะเด็ก ๆ ต่างใช้ที่ตรงนี้ในการอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ในขณะที่เด็กบางส่วนก็จับกลุ่มติวข้อสอบอยู่บนระเบียงของอาคารเรียน และหากสังเกตให้ดีหลายคนคงได้เห็นกุหลาบสีแดงดอกโตที่เสียบอยู่ในเป้สะพายหลังของเด็กหนุ่มชั้นม.4 ที่กำลังเดินผ่านมา แม้ใครจะถามถึงที่มาของดอกไม้เขาก็ไม่ตอบ ถูกกระเซ้าเย้าแหย่ตลอดทางก็ไม่สน ยังคงเดินต่อไปในขณะที่รอยยิ้มก็มิได้เลือนหายจากใบหน้า ในที่สุดเขาก็มาหยุดหน้าห้องกิจกรรมซึ่งเป็นที่นัดพบกันของเหล่าประธานสีและกรรมการนักเรียน


“พี่หนูนาอยู่นี่เอง” นคินทรเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้เจอคนที่ตามหา


“ม่อนมีอะไรหรือเปล่า” มัทนาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ


“ผมมีของจะให้พี่หนูนาครับ” พูดจบก็ดึงกุหลาบดอกโตจากออกจากเป้แล้วยื่นให้ เล่นเอาบรรดาสาว ๆ ที่อยู่ในห้องพากันตาวาว จับกลุ่มกระซิบกระซาบกรี๊ดกร๊าดกันเป็นการใหญ่


“ให้พี่เหรอ”


“ครับ”


“เนื่องในโอกาสอะไร ยังไม่ถึงวันแห่งความรักสักหน่อย” คนอายุมากกว่าแกล้งเย้า


“ไม่ใช่เนื่องในโอกาสอะไรหรอกครับ ผมอยากให้ก็เท่านั้นเอง กลัวว่าถ้ารอต่อไปอีกจะไม่ได้ให้กันพอดี”


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจนะจ๊ะ” มัทนาบอกพลางรับดอกไม้มาถือไว้


และเหตุการณ์แปลกประหลาดในวันนั้นก็เป็นที่โจษจันอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าใครจะถามถึงดอกกุหลาบปริศนา นคินทรก็ไม่ยอมปริปาก ถึงใครจะลือกันไปต่าง ๆ นานา เด็กหนุ่มก็ไม่เคยคิดแก้ข่าวหรือโต้แย้งใด ๆ แต่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วทุกอย่างก็จางหายไปเอง...


(มีต่อค่ะ)


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-06-2018 06:59:14
(ต่อค่ะ)


เพื่อน ๆ ทุกคนต่างเอาใจจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือสอบเพื่อเลื่อนชั้น แต่พายุพัดต่างจากคนอื่นตรงที่เขามีอีกหนึ่งเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จปพร้อม ๆ กัน เด็กหนุ่มใช้เวลาหลังเลิกเรียนหมดไปกับการซ้อมว่ายน้ำที่บึงน้ำขนาดใหญ่นอกตัวเมือง และเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักติดตามอาจารย์เมธีไปยังจังหวัดลำปางเพื่อฝึกซ้อมในสระของโรงเรียนเก่าภายในการดูแลของอาจารย์สินธู ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการแข่งขันว่ายน้ำรายการหนึ่งซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ประเทศไทยที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปี


ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาค ทุกคนต่างสะสางงานที่ค้างอยู่และเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ เพื่อที่หลังจากนั้นพวกเขาจะได้สามารถเที่ยวเล่นหรือทำกิจกรรมที่วางแผนไว้ได้อย่างสบายใจในช่วงปิดเทอม ก่อนหมดชั่วโมงเคมีอาจารย์กฤษณาให้หัวหน้าห้องไปหยิบสมุดแบบฝึกหัดที่เธอเพิ่งตรวจเสร็จเมื่อไม่กี่วันก่อนจากห้องพักครู รอไม่นานน้ำหวานก็หอบสมุดกองโตเข้ามาในห้อง


“เดี๋ยวหัวหน้าแจกคืนเพื่อน จะได้เอากลับไปอ่านก่อนสอบ” อาจารย์กฤษณากล่าว “แจกเสร็จจะได้รู้ด้วยว่าหนึ่งคนที่ไม่ส่งงานครูเป็นใคร”


จบประโยคนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังไปทั่วห้อง ทุกคนต่างสบตากันเลิ่กลั่ก ในขณะที่น้ำหวานเองก็เดินแจกสมุดคืนเพื่อนแต่ละคนด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ รู้สึกไม่อยากทำหน้าที่นี้เลยด้วยซ้ำ กระทั่งสมุดเล่มสุดท้ายถูกวางตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของเธอจึงกลับไปนั่งประจำที่


“ม่อน นายไม่ได้ส่งแบบฝึกหัดอาจารย์กฤษณาเหรอ” อวัศย์ที่นั่งอยู่ด้านหลังสะกิดถาม แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของชื่อจะหันไปตอบ เขาก็ถูกเรียกให้ยืนขึ้นเสียก่อน


“เธอมีอะไรจะพูดไหมนคินทร”


เด็กหนุ่มยืนนิ่ง สบตาน้ำหวานที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วงแวบหนึ่ง “ไม่ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นครูต้องหักคะแนนเธอ แล้วก็ทำโทษในฐานะที่เธอเป็นตัวตั้งตัวตีมาขอให้เลื่อนส่งงานแต่กลับเหลวไหลเสียเอง”


นคินทรก้าวออกจากโต๊ะ เดินไปหยุดที่หน้าห้อง ในขณะที่อาจารย์กฤษณาเองก็เตรียมไม้เรียวไว้พร้อมแล้ว ทั้งห้องเงียบกริบ แม้ส่วนใหญ่คิดคัดค้านแต่ก็จนต่อหลักฐานจนไม่อาจทัดทานอะไรได้
เด็กหนุ่มเลื่อนขึ้นมือกอดอก ทบทวนแล้วว่าหากเขาดึงดันไม่ยอมรับรังแต่จะสร้างความลำบากใจให้แก่อาจารย์ ในเมื่อผิดก็ต้องว่าไปตามผิด


อาจารย์กฤษณาก้าวช้า ๆ มือกำไม้เรียวแน่น ก่อนหน้านี้เธอคาดหวังว่าจะได้ฟังข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลจากปากของนักเรียนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กดีคนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรสักคำ เธอหยุดแล้ววาดแขนออกก่อนจะฟาดไม้ไผ่เหลาแบนลงบนบั้นท้ายของเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งจนเกิดเสียงดัง


นักเรียนทั้งห้องพากันหลับตาปี๋ ในขณะที่นคินทรยังคงมองตรงไปข้างหน้า ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อย กัดฟันทนจนเสียงไม้แหวกอากาศกระทบกับผิวเนื้อใต้กางเกงอีกเป็นหนที่สอง...และสาม จึงยกมือไหว้อาจารย์และกลับไปนั่งประจำที่ หลังจากอาจารย์กฤษณาออกจากห้องไปแล้ว ทุกคนก็พากันสืบสาวราวเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“เราว่ามันต้องไปตกหล่นตรงไหนแน่ ๆ เลย” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “เราจะลองไปหาที่ห้องพักอาจารย์ อย่างน้อยม่อนก็จะได้มีสมุดไว้อ่านสอบ”


“ไม่ต้องหรอกหวาน เดี๋ยวเรายืมของหมอกไปถ่ายเอกสารไว้อ่านตอนสอบก็ได้” นคินทรตอบเรียบ ๆ


“หรือว่ามีใครเอาไปลอกแล้วลืมส่งวะ” ข้อสันนิษฐานของเธอทำให้เพื่อน ๆ เริ่มนึกทบทวน


“ว...วันนั้นที่นั่งลอกกันอยู่ในห้อง ร...เราเอาของม่อนมาลอกแต่เราส่งให้แล้วนะ” ภาณุอ้อมแอ้ม “เราเอาไปส่งพร้อมหมอก”
สายตานับสิบต่างจับจ้องไปที่อวัศย์ และเมื่อเขาพยักหน้า ทุกคนก็พากันมุ่นคิ้วคิดไม่ตกว่าแค่สมุดแบบฝึกหัดจะหายไปไหนได้


“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว มันหายก็ให้มันหายไปเถอะ” นคินทรบอกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นสะพายเป้ มือกำสะพายพายแน่นเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บ “กลับบ้านกันดีกว่า”


เมื่อเห็นเพื่อนไม่คิดสืบหาที่มาที่ไป สมาชิกในห้องต่างก็พากันเดินออกจากห้องเรียนวิชาเคมี


นคินทรแวะเอาสมุดแบบฝึกหัดของอวัศย์ไปถ่ายเอกสาร จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องโฮมรูมเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่เวรประจำวันเหมือนเช่นเคย เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าเพื่อน ๆ ได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงนั่งลงที่เก้าอี้ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งมาหนุดที่โต๊ะข้าง ๆ ซึ่งเป็นของภาณุ อดใจหายไม่ได้เพราะอีกไม่นานเมื่อพวกเขาเลื่อนชั้น ห้องนี้ก็จะกลายเป็นเพียงอดีต


“นายกำลังทำให้ฉายเคยตัว” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


นคินทรประคองร่างลุกขึ้นก่อนจะหันกลับไปสบตาคนพูดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เกี่ยวกับนาย”


“ก็จริง มันไม่เกี่ยวกับเรา เพราะคนที่มีส่วนทำให้ฉายเสียนิสัยก็คือนาย”


นคินทรไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่เจ้าของร่างสูงก็ขวางไว้เสียก่อน


“นายกล้าค้นโต๊ะฉายไหมล่ะ”


คนฟังจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง “เราบอกแล้วว่าของมันหายไปแล้วก็ให้มันหายไป”


“กลัวใช่ไหม กลัวว่าจะเจอสมุดนั่นในโต๊ะของฉาย ถ้านายกลัวเราจะค้นเอง” พูดจบก็รั้งข้อมือของอีกฝ่ายไม่ให้ขวางทาง
เมื่อถูกดึงร่างของนคินทรก็เซไปชนกับโต๊ะที่อยู่ด้านหลังทำให้หนังสือและสมุดที่อยู่ข้างในร่วงลงพื้น


“ไม่ต้องค้นแล้ว” เด็กหนุ่มหลังจากหยิบสมุดที่ตกอยู่ใต้โต๊ะขึ้นมา “มันอยู่กับนาย”


พายุพัดหันขวับ แต่เมื่อเห็นสมุดในมือของอีกฝ่ายก็ยากจะหาคำแก้ตัว


“เราทำอะไรให้” พูดพลางเดินเข้าหาพร้อมกับใช้มือข้างที่ถือสมุดดันแผงอกกว้างซ้ำ ๆ “เกลียดเรามากนักหรือไงถึงต้องทำแบบนี้”


พายุพัดยืนนิ่งกำหมัดแน่น ความรู้สึกเจ็บตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนผิวกายแต่มาจากข้างในเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำคลอด้วยน้ำตา เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเพื่อน ๆ จึงมักพูดว่านคินทรไม่ใช่คนที่จะโกรธได้ง่าย ๆ แต่ลองถ้าได้เป็นคนทำให้อีกฝ่ายโกรธแล้วก็พิจารณาตัวเองได้เลย


“นายเกลียดเรามากใช่ไหมถึงต้องใช้วิธีการสกปรกแบบนี้”


เด็กหนุ่มขบกรามแน่น กระทั่งไม่อาจสะกดอารมณ์ คว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้สตะโกนเสียงดัง “เออใช่! เราทำเอง เราขโมยสมุดนาย ตั้งใจให้นายโดนทำโทษแล้วก็ผิดใจกับฉาย พอใจแล้วหรือยัง!”


นคินทรสะบัดมือออก จ้องหน้าอีกฝ่าย รู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตากระนั้นก็ยังพยายามสงบใจ “เราสิต้องถามว่านายพอใจแล้วหรือยัง” พูดจบก็ปาสมุดไปอีกทางแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งให้คนมองได้แต่ถอนใจ


เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปตามปกติ ที่ไม่ปกติเห็นจะมีเพียงโต๊ะเรียนที่ติดกับโต๊ะของอวัศย์เท่านั้นที่ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นเจ้าของ เพราะนับแต่วันนั้นพายุพัดก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย เพื่อน ๆ ได้พบเขาอีกครั้งในช่วงสอบ ซึ่งเมื่อสอบเสร็จในแต่ละวันเขาก็จากไปอย่างรีบร้อน ไม่อยู่ติวกับเพื่อน ๆ เพื่อเตรียมสอบวิชาต่อไปอย่างที่ได้ตกลงกันเอาไว้


....


“สอบเสร็จแล้วแบบนี้ ก็จะได้มีเวลาซ้อมยาว ๆ สักทีนะ” อาจารย์เมธีเอ่ยขึ้นขณะที่รถแล่นไปตามเส้นทางคดเคี้ยว “ว่าแต่ทำไมอยู่ ๆ ถึงทุ่มเทให้การแข่งครั้งนี้ขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกมันแทบไม่อยู่ในสายตาของเธอด้วยซ้ำ”


พายุพัดไม่ได้ตอบ ดวงตาของเขายังคงทอดมองทิวเขาเขียวขจีที่เรียงตัวสลับซับซ้อนข้างทาง


“หรือว่ามีใครมาพูดอะไร” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางใช้ศอกสะกิดคนนั่งข้าง ๆ ”จะทำให้สาวประทับใจหรือไง”


“อาจารย์ก็พูดไป สาวที่ไหนล่ะครับ”


“ก็สิชล ลูกสาวอาจารย์สินธูไง เห็นเดินด้วยกันบ่อย ๆ ได้ข่าวว่าเป็นดาวโรงเรียนด้วยนี่”


“ไม่ใช่หรอหรอกครับ” พายุพัดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็แค่คนธรรมดา ๆ ที่บางครั้งแค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมยิ้มไปทั้งวัน แต่บางครั้ง...ก็ทำให้ผมโกรธจนแทบบ้า”


เมธีหยุดรถกะทันหัน ทำเอาคนพูดเกือบหัวทิ่ม


“ไม่น่าเชื่อว่าเสือยิ้มยากจะมีอารมณ์ละเมียดละไมกับเขาด้วย”


“อย่าแซวได้ไหม ผมอุตส่าห์กล้าพูดให้ฟังแล้วนะ”


“ต่อสิ มีอะไรอยากพูดก็พูดมา เก็บเอาไว้คนเดียวไม่ดีหรอก” ว่าแล้วอาจารย์หนุ่มก็ออกรถ


“อาจารย์เคยเป็นไหม รู้สึกเขินมาก ๆ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ใครสักคน จนบางทีก็อยากจะหนีไปให้ไกล ๆ ไม่กล้าคุย ไม่กล้าสบตาเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเราคิดยังไง”


“ฉลามหนุ่มเอ๋ย...เจ้ากำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความรัก” เมธีอดกระเซ้าไม่ได้


“อาจารย์พูดอะไรเนี่ย ฟังแล้วจั๊กจี้หู”


เมธีหัวเราะก่อนจะถามตรง ๆ “เขารู้ตัวหรือเปล่า”


พายุพัดได้แต่ส่ายหน้า


“แอบชอบเขาข้างเดียวว่างั้นเถอะ” อาจารย์หนุ่มถอนใจยาว “แล้วคิดจะบอกเขาไหม”


“ผมไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงดี”


“ต้องถามตัวเองก่อนว่าเธอเป็นประเภทไหน บางคนแอบชอบแล้วต้องการบอกให้เขารู้ อยากให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาของเขา ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา ส่วนบางคนก็ขอแค่ให้ได้บอก ไม่กลัวผลที่จะตามมา ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเงียบ”


“แล้วก็เก็บความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความลับ ตายไปกับตัวอย่างนั้นน่ะเหรอครับอาจารย์”


“ใช่”


“มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ” พายุพัดพึมพำ


“มีสิ เพราะเขาไม่ได้ต้องการครอบครองไง พวกที่ชอบ...แต่ก็ไม่ได้อยากได้มาเป็นของเรา แค่ได้เห็นว่าเขาเป็นยังไง มีความสุขดีไหมก็พอใจ แล้วเธอล่ะเป็นแบบไหน”


“ผม...”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-06-2018 07:14:52
(ต่อค่ะ)

หลังจากสอบเสร็จเพียงนาน ทุกคนในโรงเรียนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อฟังผลสอบและรับสมุดประจำตัว ก่อนพบอาจารย์ประจำชั้นสมาชิกห้องม.4/1 ไปรวมตัวกันที่อัฒจันทร์เพื่อถ่ายรูปหมู่สำหรับนำไปเป็นภาพประกอบในหนังสือที่ระลึกที่จะแจกให้นักเรียนชั้นม.3 และม.6 ในงานปัจฉิมนิเทศ ทั้งที่เป็นการพบกันครั้งแรกหลังสอบเสร็จ และเมื่อไม่กี่วันก่อนสื่อต่าง ๆ ประโคมข่าวการขึ้นรับตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สประจำปี 2550 ของนางสาวฟ้ารุ่ง ยุติธรรม แต่แทบไม่มีเสียงพูดคุยเซ็งแซ่เช่นนกกระจอกแตกรังเหมือนทุกครั้ง คนที่มักสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนอย่างภาณุก็กลับเงียบขรึม พายุพัดสังเกตเห็นความผิดนี้ตั้งแต่ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ และเมื่อน้ำหวานซึ่งเป็นหัวหน้าห้องเริ่มขานชื่อเพื่อน ๆ ให้ยืนตามลำดับเลขที่ก็ยิ่งชวนให้ฉงน กระนั้นก็ยังเก็บความสงสัยเอาไว้จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย


“ถ้าใครอยากเอาของมามอบให้รุ่นพี่รุ่นน้องในวันปัจฉิมนิเทศก็เอามาได้เลยนะ แต่โรงเรียนมีดอกกุหลาบเตรียมไว้ให้คนละดอก” น้ำหวานร้องบอกเพื่อน ๆ ตามที่ได้รับแจ้งมาจากคณะกรรมการนักเรียน


“หวาน ล...แล้วม่อนล่ะ” พายุพัดตัดสินใจเอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ กำลังจะเดินขึ้นไปบนห้องโฮมรูม


น้ำหวานนิ่งอึ้ง หันมามองคนถามจากนั้นจึงมองเลยไปยังสองคนที่อยู่ด้านหลัง


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ขึ้นห้องกันก่อนเถอะ เดี๋ยวอาจารย์รอ” หมอกว่า


จากนั้นทุกคนจึงพากันเดินขึ้นไปยังห้องโฮมรูม พายุพัดมองโต๊ะเรียนริมหน้าต่างที่ขณะนี้ไม่มีคนนั่งเหมือนก่อน หนังสือที่เคยเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ใต้โต๊ะถูกเก็บออกไปจนหมด และแล้วเขาก็ได้รับความกระจ่างเมื่ออาจารย์นภาเดินถือสมุดประจำตัวนักเรียนเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่าวเสียดายนักเรียนในที่ปรึกษาที่มีเหตุจำเป็นทำให้ต้องย้ายตามผู้ปกครองจนไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก


“ม่อนย้ายตามพ่อไปอยู่เพชรบูรณ์น่ะ” หมอกเอ่ยขึ้นหลังจากทุกคนแยกย้ายกันกลับ “ม่อนฝากของไว้ให้นาย” พูดจบก็ยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลให้แล้วเดินจากไปเงียบ ๆ


พายุพัดทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เมื่อเทของที่อยู่ในซองออก ก็พบว่ามันคือปลอกคอติดลูกกระพรวนเล็ก ๆ สองเส้น กับกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือ


“เราเชื่อว่านายต้องทำสำเร็จ”


ถึงจะมีเรื่องให้ต้องบาดหมางแต่นคินทรยังคงรักษาคำพูด ส่วนเขาเองก็ทำตามสัญญาเช่นกัน เด็กหนุ่มล้วงหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อวางลงตรงหน้า และมันก็คือเหรียญรางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันการว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ แม้จะเป็นรายการแข่งขันเล็ก ๆ แต่เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติเมื่อปีก่อน


“พาย” คนที่เดินมาหยุดเอ่ยขึ้น


พายุพัดถอนใจเบา ๆ เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย


“เรา...เราอยากขอโทษนาย”


“ขอโทษเราเรื่องอะไร” พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แต่ก็ฝืนใจถาม


“เราเป็นคนขโมยสมุดของม่อน”


“นายทำแบบนั้นทำไม” แม้รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ แต่พายุพัดก็ยังอยากฟังเหตุผลจากปากของเขา


“เราอิจฉาที่เพื่อน ๆ เข้าข้างนาย เรารู้ว่าม่อนคงขอร้องให้ทุกคนไม่โกรธเรา แต่เรากลับทำให้นายสองคนต้องผิดใจกัน เราขอโทษจริง ๆ” ภาณุกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า เพิ่งสำนึกได้ว่าสิ่งที่ตนทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นได้ส่งผลร้ายต่อจิตใจของเพื่อนทุกคน เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย...


และทั้งหมดก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบเก้าปีก่อน



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็เล่าเรื่องในอดีตได้ครบ 95% ภายใน 5 ตอน
รู้สึกโล่งมาก ๆ ค่ะ ต่อจากนี้ไปจะได้เขียนถึงเหตุการณ์ที่เริ่มจะเข้าใกล้ปัจจุบันแล้ว
ที่เราบอกว่ารู้สึกโล่งก็เพราะ 5 ตอนที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2548-2550
ทำให้ต้องนึกย้อนไปว่าตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง เรากำลังทำอะไรกันอยู่
ฟังเพลงอะไร มีข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็สนุกดีค่ะ
ยังไงมาติดตามกันต่อนะคะว่าแก๊งสี่ยอดกุมาร ดินน้ำลมไฟ (ม่อน สิ พาย ฉาย) จะกลับมาเจอกันอีกได้ยังไง
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับคอมเม้นค่ะ         

   
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 22-06-2018 08:13:35
โห เจอแบบนี้นี่แย่มาก
ฉายแย่จริงๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-06-2018 08:17:35
แง.... อิฉาย อิเด็กบ้า สร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แทนที่จะสร้างความทรงจำดี ๆ ให้กัน โถ ม่อนและพายของป้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-06-2018 13:04:46
 :mew4:
สงสารม่อนนะ อย่างว่าตอนเด็กทุกคนต้องเคยเจอในแนวนี้นะ เราก็เคย เคยทำให้คนอื่น อิอิอิ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2018 15:10:00
ปวดใจ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-06-2018 18:25:00
9,ผ่านปีไปจะได้เจอกันใหม่ใช่ไหมเนี่ย
อึมครึมมากค่า
เงียบหงิบ ----------#เงียบกริบ  จ้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-06-2018 19:11:46
พูดได้แค่ เด็กหนอเด็ก
ช่วงวัยรุ่นทุกคนเคยผ่านเรื่องแนวๆ นี้กันมาหมด
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 22-06-2018 20:00:05
  :ruready
   รัก ม่อน
  โกรธ พายุ
  เซ็ง นายฉาย
  หมอก ดูอารมณ์เย็น  เท่ สุดละ

   ต้อง รอ อีก กี่ปี ....4 ยอดกุมาร ถึงจะโคจร กลับมาเจอกัน  :เฮ้อ:

  เขาจะจำกันได้ไหมเน้อ

อ้างถึง
พายุพัดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็แค่คนธรรมดา ๆ ที่บางครั้งแค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมยิ้มไปทั้งวัน แต่บางครั้ง...ก็ทำให้ผมโกรธจนแทบบ้า”
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 23-06-2018 14:24:48
อ่านตอนที่4-5 จบ  นักเขียนบอกว่าโล่ง  แต่คนอ่านอยากอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ555  ทำไงดี :a5:

แม้จะคาใจในเรื่องอดีตของทุกคนอยู่  แต่ขอลุ้นเหตุการณ์ปัจจุบันก็ได้  เราจะได้สบายใจ555

อยากให้หมอกและสิเป็นพระเอกและนางเอกแทนเลย   เพราะรู้สึกหมั่นไส้พาย  ม่อน  และฉายมากๆเลยค่ะ555  โทษฐานทำให้เราอ่านไปหงุดหงิดไปกับพวกนาย :katai1:

เริ่มเรื่องด้วยวัยว้าวุ่นสับสนแต่ก็ทำให้คนอ่านรู้สึกเติบโตไปพร้อมกับตัวละครดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องที่สนุกและน่าลุ้นของดินน้ำลมไฟในรูปแบบของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้านะคะ :กอด1: :L2:


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 24-06-2018 16:40:44
สนุกมากๆค่า รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 28-06-2018 17:33:10
อย่าหายไปนานซิครับคิดถึง  :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 29-06-2018 14:56:00
ยังไม่มีเวลาเขียนต่อเลยค่ะทุกคน ต้องขอโทษด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 30-06-2018 08:24:36
ว่าง ๆ แล้วมาต่อนะครับ ผมชอบงานเขียนของคุณ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 30-06-2018 11:52:42
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 5 หลังพายุใหญ่ (22-06-2561 หน้า 2)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2018 13:19:46
ถึงกับอุทานว่า อห ฉายนี่โคตรแย่อ่ะ
ห่วยแบบไม่มีชิ้นดี แย่มากกก อินไปอีกเรา 555
เคยเจอคนประมาณฉายแล้วรู้สึกว่า เอ้ยยยยยย แย่อ่ะ
รอดูตอนโตว่าจะเป็นยังไงกันต่อไป
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-07-2018 18:04:55
ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ


กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2559


นัยน์ตาสีเข้มทอดมองร่างขาวโพลนของฉลามหนุ่มวัย 26 ปี ที่กำลังแหวกว่ายท่าฟรีสไตล์ซึ่งเป็นท่าที่ถนัดอยู่ระหว่างทุ่นลู่กลางสระ พลันมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา ก้าวเท้าไปหยุดที่ขอบสระแล้วหย่อนตัวลงนั่งขัดสมาธิพลางพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น รอจนอีกฝ่ายว่ายเข้ามาใกล้


“ไม่มีสอนเหรอถึงมานี่ได้” พายุพัดเอ่ยขึ้นก่อนจะถอดแว่นกันน้ำ ลูบหน้าลูบตาแล้วเท้าแขนลงกับขอบสระ ยกตัวขึ้นเล็กน้อย


คนเพิ่งมาถึงก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางโคลงหัว “มัวแต่ซ้อมจนไม่ดูเวลาเลยหรือไง นี่มันสองทุ่มแล้วนะ อ้อ...แล้วนี่มันก็เลยเวลาซ้อมแล้วด้วย เห็นน้อง ๆ บอกว่านายมาซ้อมตั้งแต่เมื่อตอนเช้า อย่าหักโหมให้มากนักนะ ระวังจะบาดเจ็บก่อนคัดตัว”


“รู้แล้วน่า” หนุ่มนักกีฬากล่าวก่อนจะดึงตัวขึ้นนั่งข้าง ๆ นึกถึงเมื่อครั้งเป็นสมาชิกชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนเมื่อสมัยมัธยมปลายที่ขณะนั้นอีกฝ่ายดำรงตำแหน่งประธานชมรม แม้จะรักษาระเบียบอย่างไม่ย่อหย่อนผ่อนปรน แต่สมาชิกในชมรมต่างรู้ดีว่าในความเคร่งครัดนั้นมีความปรารถนาดีซ่อนอยู่


แม้อายุจะเท่ากัน แต่เพราะพายุพัดตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเดิม ใช้ความสามารถทางด้านกีฬาเป็นใบเบิกทางจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยซึ่งมีชื่อเสียงด้านการผลิตนักกีฬาว่ายน้ำได้ จึงทำให้เขากลายมาเป็นรุ่นน้องของ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” การพบกันมาแล้วหนหนึ่งในกีฬาเยาวชนแห่งชาติส่งผลให้ทั้งคู่เริ่มต้นความเป็นเพื่อนได้อย่างไม่ยาก เพียงปีแรกของการเรียนในที่ใหม่ พายุพัดก็มีชื่อติดทีมชาติชุดซีเกมส์เช่นเดียวกับชลชาติ และเขาทั้งสองก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาครองได้สำเร็จ กระทั่งระดับอุดมศึกษา พายุพัดยังสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นรุ่นน้องของชลชาติที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา สองคนต่างสร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบันจากการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย และเมื่อต่างฝ่ายต่างมีชื่อติดทีมชาติในกีฬาเอเชียนเกมส์ก็ไม่ทำให้คนไทยผิดหวัง


หลังจากสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ชลชาติก็มุ่งศึกษาต่อระดับปริญญาโท ตัดสินใจอำลาสระแล้วผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ส่วนพายุพัดได้ทุนไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างศึกษาก็มิได้ทิ้งการว่ายน้ำ ยังคงลงแข่งขันรายการสำคัญอยู่เนือง ๆ ซ้ำยังถูกเรียกตัวกลับมารับใช้ชาติอยู่บ่อยครั้ง


“ตั้งแต่บินกลับมา ได้กลับบ้านบ้างหรือยัง”


พายุพัดส่ายหัว


“จะสองเดือนแล้วนะ ไม่คิดจะกลับไปหาคนที่บ้านบ้างหรือไง”


“รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนเถอะ”


“ทุ่มเทอะไรขนาดนั้น สมาคมเขาไม่ได้ดูที่ผลการแข่งขันตอนคัดตัวอย่างเดียวหรอกนะ เขาดูผลงานที่ผ่านมาด้วย นายก็ทำได้ดีออก ตอนไปลงว่ายชิงแชมป์ที่โน่นน่ะ สุดยอดมากเลยรู้ไหม”


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่โอลิมปิกครั้งที่สองในชีวิตเลยนะ บางที...อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้” นักว่ายน้ำหนุ่มกล่าวอย่างรู้ตัว ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขาจำต้องคิดเรื่องการหลีกทางให้เด็กรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่พอมีกำลังและความฝันอยู่


ชลชาติพยักหน้าเข้าใจ รับรู้ได้ถึงความกดดันในน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีนิ่งสงบของอีกฝ่าย “แล้วหลังจากโอลิมปิกล่ะ จะเอายังไงต่อ คิดไว้แล้วหรือยัง”


“ว่าจะกลับไปเรียนต่อให้จบ ทิ้งมานานแล้ว”


“อืม เราจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน ทั้งเรื่องการแข่งขันแล้วก็เรื่องเรียนของนาย”


“ขอบใจมากนะ”


ชลชาติพยักหน้า “ไปกินข้าวกันเถอะ”


“ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ”


“อือ วันนี้ไปบรรยายข้างนอกมา ผ่านมาแถวนี้เลยว่าจะแวะมากินเย็นตาโฟป้านงข้างหลังสระ กะแล้วว่านายต้องอยู่ที่นี่”


“นี่ป้านงแกยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่อีกเหรอ”


“เป็นรุ่นลูกแล้วละ”


“นึกถึงสมัยก่อน ตอนที่มาเก็บตัวที่นี่ก็กินกันแต่ก๋วยเตี๋ยวป้านงนี่แหละ”


“สนุกเนอะตอนนั้นน่ะ” ว่าแล้วก็ถอนใจเบา ๆ “นายรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราหิวจะแย่แล้ว” ชลชาติบอกพลางลูบท้องตัวเอง


พายุพัดพยักหน้า ดึงตัวขึ้นจากสระแล้วเดินตรงไปยังห้องพักนักกีฬา คว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวชำระล้างร่างกายอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหมุนปิด เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอก สักพักก็ได้ยินเสียงชลชาติ


“ไม่รู้ว่านายก็อยู่ที่นี่ด้วย”


“มีนนี่เอง ถึงว่ารถคุ้น ๆ มาทำอะไรที่นี่”


เพียงได้ยินเสียงของอีกคน พายุพัดก็รู้ทันทีว่าคู่สนทนาของชลชาติคือใคร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องให้ความสนใจ ชายหนุ่มจึงเปิดฝักบัวอาบน้ำต่อ ในขณะที่ด้านนอกยังคงสนทนากันต่อไป


“มาชวนพายไปกินข้าวน่ะ แล้วนายล่ะมาทำอะไรตอนสระใกล้ปิด” อดีตนักว่ายน้ำดาวรุ่งกล่าว


“แวะมาเอาของน่ะ” พูดจบคนมาใหม่ก็เปิดล็อกเกอร์ออกรื้อค้นของข้างใน กระทั่งมือใหญ่รั้งกระเป๋าใส่อุปกรณ์ว่ายน้ำออกจากตู้เหล็กได้ พลันบางสิ่งก็ร่วงลงกระทบพื้น นัยน์ตาสีเข้มมองตามขวดพลาสติกใสที่กำลังกลิ้งไปชนกับปลายเท้าของอีกฝ่าย จะเดินไปหยิบแต่ก็ช้ากว่าคนที่กำลังก้มลงเก็บมันขึ้นมา


“ยาอะไรน่ะ ไม่เห็นมีฉลากเลย” ชลชาติพลิกขวดไปมา พบว่าข้างในบรรจุยาเม็ดเล็กจำนวนหนึ่ง


“ยาแก้หวัด แบ่งมาจากที่บ้าน” ธรรม์ณธรตอบห้วน ๆ รีบเดินไปคว้าขวดยานั้นเก็บใส่กระเป๋า


“ไม่สบายก็ไปหาหมอสิ อย่าหายากินเอง” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าตนเองเป็นคู่แข่ง แต่ในฐานะเพื่อน ชลชาติก็อดแสดงความเป็นห่วงไม่ได้


“ก็ว่าจะไปอยู่แต่ยังไม่มีเวลาน่ะ”


“ซ้อมหนักเหรอ ได้ข่าวว่าแยกไปซ้อมกับโค้ชส่วนตัวนี่”


“อือ ก็โค้ชที่สมาคมจัดให้มันไม่ได้เรื่อง โคตรอ่อน มัวแต่ให้ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน สู้โค้ชที่ฉันจ้างมาเองก็ไม่ได้ เทคนิคเพียบ”
เสียงเปิดประตูเรียกให้ธรรม์ณธรต้องละสายตามจากคู่สนทนา เหลียวไปมองอีกทาง เห็นคู่ปรับตลอดกาลเดินออกจากห้องน้ำในสภาพที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างจึงกล่าวต่อ “ขืนซ้อมกับโค้ชที่สมาคมจัดให้มีหวังไม่ได้ไปไหนกันพอดี”


“โค้ชแต่ละคนเขาก็มีวิธีการฝึกต่างกันไป เป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาเป็นสิบปี เจอโค้ชมาไม่รู้เท่าไรนายก็น่าจะรู้ดี”


“ก็เพราะรู้ไงถึงไม่อยากจะดักดานอยู่กับโค้ชของสมาคม”


เน้นคำว่า “ดักดาน” จนพายุพัดอดเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดไม่ได้ กระนั้นนักกีฬาหนุ่มก็ยังคงอยู่ในอาการสงบ เดินไปเปิดล็อกเกอร์ หยิบเสื้อผ้าออกมาสวมเงียบ ๆ


“ไปก่อนนะ” พูดจบธรรม์ณธรก็เดินจากไปโดยไม่ทักทายผู้ที่เคยร่วมเก็บตัวฝึกซ้อมด้วยกันสักคำ


“นิสัยไม่เปลี่ยนเลย สมัยเรียนเป็นยังไงโตมาก็เหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ” ชลชาติส่ายหัวพลางนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวซึ่งวางอยู่ตรงกลางระหว่างล็อกเกอร์สองฟาก “คงคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้วมั้ง เป็นราชสีห์เจ้าป่า แต่ลืมไปว่าในป่าไม่ได้มีราชสีห์ตัวเดียว ในทะเลก็ไม่ได้มีแค่ฉลาม”


พายุพัดเสยผมขึ้น หยิบกำไลเงินมาสวมเข้าที่ข้อมือข้างขวา ปิดตู้เหล็ก จากนั้นจึงเดินไปหยุดตรงหน้าก่อนจะถาม “แล้วมีอะไรอีก”


“หมึกกรอบ แมงกะพรุน เกี๊ยวปลา ลูกชิ้น เลือดก้อนใหญ่ ๆ แล้วก็ผักบุ้ง”


“หิวมากใช่ไหมเนี่ย”


“เออ คุยกับไอ้ธรรม์ทีไรท้องไส้ปั่นป่วนทุกที” ชลชาติกล่าวพลางลุกขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นไปหาอะไรกินกัน” พูดจบพายุพัดก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะพากันเดินออกไปด้านนอก


ซอยด้านหลังสระว่ายน้ำเป็นที่ตั้งของร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นไม่มีชื่อที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “ร้านป้านง” ตามชื่อผู้เป็นเจ้าของ แม้วันนี้ป้านงจะวางมือพักผ่อนอยู่กับบ้าน ปล่อยให้ลูกสาวกับลูกชายออกมาขายแทน แต่ลูกค้าก็ยังคงนั่งเต็มทุกโต๊ะเหมือนเช่นเคย พายุพัดและชลชาติยืนชะเง้อหาที่นั่งอยู่เพียงไม่นาน ลูกค้ากลุ่มหนึ่งก็พากันลุกออก ทั้งสองจึงเดินไปนั่งแทนที่ทันที กว่าลูกชายป้านงจะเก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะเรียบร้อยพวกเขาก็จดรายการอาหารเสร็จพอดี ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเย็นตาโฟเกี๊ยวปลาร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางพร้อมกับน้ำชาในแก้วสแตนเลส


ชลชาติถอดกระเป๋าสะพายวางบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ จากนั้นจึงหยิบตะเกียบกับช้อนคนส่วนผสมที่อยู่ในชามแล้วตักชิม เมื่อแน่ใจว่าไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มจึงลงมือจัดการกับของโปรดทันที


“ช้า ๆ หน่อย เดี๋ยวก็ลวกปากกันพอดี” พายุพัดบอกพลางมองคนตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร


“ต้องกินร้อน ๆ สิ ถึงจะอร่อย” ว่าแล้วก็หันไปสั่งเพิ่มอีกชามทั้งที่เพิ่งกินไปได้เพียง 2-3 คำ


คนมองได้แต่ยิ้มขัน ๆ ตักน้ำซุปขึ้นชิมบ้าง ทันทีที่ได้ลิ้มรสชาติคุ้นลิ้นก็ให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ เมื่อครั้งเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันกีฬาซีเกมส์หนแรกในชีวิต นักกีฬาทุกคนล้วนมาจากต่างโรงเรียน ต่างทีม แต่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันที่นี่ หลังซ้อมเสร็จโค้ชก็มักจะมาฝากท้องไว้กับร้านป้านง เมื่อหมดภาระหน้าที่ก็แยกย้ายกันกลับไปเรียนหนังสือ กระนั้นสถานที่แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่เขายังไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ   


“อร่อยเหมือนเดิมเลย”


“สั่งเพิ่มได้เลยนะ มื้อนี้เราเลี้ยงเอง...” ชลชาติกล่าวทั้งที่อาหารยังเต็มปาก


“ไม่เกรงใจนะ” พายุพัดยิ้ม ยกมือส่งสัญญาณบอกลูกชายเจ้าของร้านว่าเขาต้องการแบบในชามตรงหน้านี้อีกหนึ่ง


สองคนใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับเย็นตาโฟเกี๊ยวปลาทั้งสี่ชาม แต่ที่ยังไม่ลุกไปไหนก็เพราะเห็นว่ายังพอมีโต๊ะว่าง นานแล้วที่ความรับผิดชอบซึ่งเพิ่มขึ้นตามวัยส่งผลให้ต่างคนต่างต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำในโลกแห่งการทำงาน เมื่อมีโอกาสได้พบกันในช่วงเวลาที่แต่ละคนต่างวางภาระอันหนักอึ้งไว้ชั่วคราว เรื่องราวสัพเพเหระในอดีตจึงถูกหยิบยกมาพูดถึง ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ อีกส่วนก็เพื่อสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต 



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-07-2018 18:08:18
(ต่อค่ะ)

พายุพัดและชลชาติปักหลักรำลึกความหลังอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวป้านงจนเกือบสามทุ่ม กระทั่งลูกค้าเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น ชลชาติที่อาสาเป็นเจ้าภาพจึงกวักมือเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งเสร็จจากการคิดเงินโต๊ะข้าง ๆ


“น้อง ๆ เก็บตังด้วยครับ” พูดไม่ทันจบดี จู่ ๆ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น กำลังจะหันกลับไปมอง ใครคนหนึ่งก็วิ่งมาชนเข้าที่ด้านหลังอย่างจัง เล่นเอาหัวแทบทิ่ม โต๊ะที่พวกเขานั่งเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม ซ้ำน้ำซุปที่เหลืออยู่ก้นชามยังกระฉอกออกข้างนอกเละเทอะไปหมด


“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย” ชายหนุ่มโวยวาย มองเด็กชายอายุราว ๆ 14-15 ปีที่ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ท่าทางของเขาดูรุกรี้รุกรนปนหวาดกลัว ชั่วพริบตาก็ลุกขึ้นวิ่งอีกครั้ง


“หนีอะไรมาวะ แล้วดูสิ ไม่ขอโทษสักคำ”


“ช่างเถอะ” พายุพัดกล่าวเรียบ ๆ พลางเลื่อนโต๊ะคืนที่ จากนั้นจึงดึงกระดาษชำระซับน้ำก๋วยเตี๋ยวที่หกกระจายอยู่บนโต๊ะ


“ไม่ต้องเช็ดหรอกครับพี่ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ลูกชายเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุด เขากวาดตามองพร้อมกับคำนวณตัวเลขในหัวแล้วกล่าวต่อ “ทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบบาทครับ”


ชลชาติพยักหน้า กำลังจะเอื้อมหยิบกระเป๋าสตางค์ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เหลือเพียงความว่างเปล่า กระเป๋าสะพายที่เคยวางอยู่บัดนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว “อ้าว! กระเป๋าไปไหนวะ”


ในใจยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะหล่นอยู่ใต้โต๊ะ แต่เมื่อก้มลงสำรวจรอบ ๆ กลับไม่พบ “ไม่มีว่ะ พูดพลางมองเลยไปด้านหลัง เห็นร่างผอมของเด็กคนนั้นกำลังลับหายไปในความมืดจึงเลื่อนตากลับมาสบคนตรงหน้า 


ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร พายุพัดลุกพรวดขึ้นควักธนบัตรจากกระเป๋ากางเกงวางลงบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งตามไปทันที ขายาวก้าวถี่ ๆ กระทั่งเห็นเงาตะคุ่มผลุบหายไปเข้าไปในซอยเปลี่ยวซึ่งเป็นที่ตั้งของโกดังสินค้าจึงหันไปส่งสัญญาณให้ชลชาติวิ่งไปดักที่ศาลารถประจำทางซึ่งมีทางเชื่อมถึงกัน ส่วนตนเองตามเข้าไปด้านใน


ชลชาติวิ่งอ้อมไปทางด้านหน้าหวังจะได้พบคนร้ายที่ป้ายรอรถประจำทางซึ่งวิ่งรับส่งภายในซอยกับป้ายรถเมล์ที่ถนนใหญ่ แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าบริเวณศาลารอรถในยามนี้ร้างผู้คน รถที่สัญจรก็บางตา เมื่อไม่เห็นใครที่ผิดสังเกต ชายหนุ่มจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของกองระเกะระกะ ไม่กี่อึดใจก็ทะลุออกซอยเดียวกับที่เพื่อนวิ่งเข้ามาก่อนหน้า พลันหูได้ยินเสียงการต่อสู้ และภาพที่เห็นก็คือร่างของพายุพัดถูกเหวี่ยงไปชนกับลังไม้ที่วางซ้อนกันอยู่จนโค่นล้มระเนนระนาด แต่ก็ยังคงกอดกระเป๋าสะพายแน่น   


“พาย!” ชลชาติตะโกนลั่น รีบวิ่งเข้าไปประคองเพื่อน “เกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่เห็นริมฝีกปากของอีกฝ่ายกรังไปด้วยเลือดเต็มตาความตกใจก็เพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี


พายุพัดไม่ทันได้อธิบาย ร่างสูงใหญ่ก็ย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือไม้หน้าสาม ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเลือดตกยางออกอยู่ในตอนนี้


“ม...มีน ระวัง!”


ไม่ทันที่เจ้าของชื่อจะได้ทำตามที่บอก ก็ถูกฟาดจากทางด้านข้างของศีรษะแถมเตะอัดเข้าที่ชายโครงจนล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้น กระนั้นชลชาติยังพยายามเพ่งมอง แม้จะพอมีแสงไฟอยู่บ้างแต่เพราะผู้คิดร้ายปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรม จึงทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ และที่สำคัญคือฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาคนเดียว ยังมีอีกคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ริมกำแพง อาศัยเงามืดที่ทอดจากอาคารสามชั้นพรางกาย ข้าง ๆ กันนั้นมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่ เมื่อพิจารณาจากขนาดร่างกายที่สูงใหญ่พอ ๆ กันกับพวกเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เด็กชายคนเมื่อครู่อย่างแน่นอน ที่น่าแปลกก็คือกระเป๋าสะพายของเขาอยู่ที่นี่ หรือว่าแท้จริงแล้วเด็กนั่นเกี่ยวพันกับสองคนนี้กันแน่


ชลชาติหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น ดวงตายังจับจ้องเจ้าของร่างสูงที่โยนไม้ทิ้งแล้วก้มลงยื้อกระเป๋าสะพายจากพายุพัด แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย คนร้ายก็ใช้เท้าเหยียบยอดอกจนคนตกเป็นรองจำต้องคลายมือแล้วเปลี่ยนมาจับที่ข้อเท้าของเขาแทน พยายามดิ้นรนแต่ไม่อาจสู้แรงที่กดลงมาจนทำให้แทบหายใจไม่ออก ในที่สุดชายผู้นั้นก็ได้กระเป๋าสะพายไปและทิ้งท้ายด้วยการเตะซ้ำ ๆ จนพายุพัดถึงกับนอนตัวงอ


มือใหญ่ล้วงกระเป๋าสตางค์ได้ก็โยนกระเป๋าใบใหญ่ไปอีกทาง


“รีบไปเถอะพี่” คนที่เดินออกจากเงามืดกล่าวอย่างร้อนรน


“เดี๋ยวสิวะ ขอดูก่อนว่ามีอะไรให้หยิบติดไม้ติดมือไปเป็นที่ระลึกอีกบ้าง” ว่าแล้วก็หยิบธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ออกมานับ จากนั้นจึงดึงบัตรต่าง ๆ ที่เสียบอยู่ออกดูทีละใบ


พายุพัดอาศัยจังหวะที่หัวขโมยกำลังเผลอ คว้าท่อนไม้แล้วฟาดเข้าเต็มแรงที่ข้อพับ ทำเอาคนเจ็บร้องครวญคราง ทิ้งทุกอย่างลงกับพื้น ไม่รอให้เสียเวลา นักว่ายน้ำหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วโถมเข้าใส่คนร้ายที่กำลังเสียสูญ ออกแรงดันจนร่างสูงกระแทกกับกำแพง คว้าคอเสื้อแล้วรัวหมัดอัดใส่ใบหน้าภายใต้หมวกไหมพรมจนเลือดกลบปาก แต่แล้วพายุพัดก็พลาดท่าถูกอีกคนที่ดูเหมือนจะเตี้ยกว่าตนเล็กน้อยล็อกตัวไว้พร้อมกับใช้เชือกไนลอนที่ฉวยได้จากแถวนั้นพันที่ข้อมือทั้งสองข้าง


“ฤทธิ์มากนักนะมึง” เจ้าของร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างเดือดดาล ถ่มน้ำลายปนเลือดลงพื้นแล้วพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง “มึงจับมันกดกับแพง”


ชายอีกคนพยักหน้า จากนั้นจึงทำตามคำสั่งโดยการดันร่างของนักกีฬาหนุ่มชิดกับกำแพง เมื่อเหลือบไปเห็นลูกพี่ดึงบางสิ่งออกจากกระเป๋ากางเกงจึงเอ่ยขึ้น “พ...พี่จะทำอะไร แค่นี้มันก็นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวันแล้วนะ”


“ก็จะทำให้มันหายซ่าไง” เจ้าของแววตาดุดันกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แทรกตัวเข้าแทนที่ ใช้มือกดท้ายทอยจนใบหน้าของพายุพัดเสียดสีไปกับความหยาบกระด้างของผิวคอนกรีต ปลายนิ้วกดสลักเปิดใบมีดแล้วแตะผิวสัมผัสเย็นเฉียบลงบริเวณลำคอของคนที่พยายามดิ้น


“พ...พี่ ต...แต่ว่าพี่ธ...รรม์” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตะหวาดจนต้องถอยห่างออกไป


ชลชาติฝืนพยุงตัวขึ้นเมื่อดวงตามองเห็นแสงสะท้อนวัตถุเงาวับ แต่รู้สึกความปวดแปลบที่ศีรษะผสมกับความมึนงงก็ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้


คนร้ายค่อย ๆ ลากปลายมีดเรื่อยลงมาจนถึงใต้บ่าข้างขวา หมายจะแทงให้ทะลุแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อแสงไฟหน้ารถจักรยานยนต์สาดกระทบใบหน้า


“เฮ้ย หยุด! ไม่งั้นพ่อยิงไส้แตกแน่” เสียงตะโกนกร้าวดังแทรกเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาต้องมี “ปืน” และคนที่มีอาวุธปืนก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...


“ต...ตำรวจ พ...พี่ ตำรวจมา หนีเร็ว” คนอายุน้อยกว่าละล่ำละลัก พยายามจะก้าวขาแต่ก็ก้าวไม่ออก


“หนีสิวะ มัวยืนบื้ออยู่ทำไม” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็รั้งแขนอีกฝ่ายแล้วพากันวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่


ผู้มาใหม่ยังไม่ทันลงจากรถ สองคนที่ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกไหมพรมก็พากันหนีไปเสียแล้ว


คนซ้อนท้ายกระโดดลงจากรถ รีบวิ่งไปพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นนั่งพิงกับลังไม้ “เป็นอะไรมากไหมพี่”
ชลชาติปรือตาขึ้น ที่แท้ก็ลูกชายป้านงนี่เอง


“พ...เพื่อนพี่ ป...ไปดูหน่อย”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่กำแพง เห็นพายุพัดยืนโงนเงนจึงรีบเข้าไปหิ้วปีก “เดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาลนะพี่ ทำแผลเสร็จเราไปแจ้งความกัน นั่นพี่เขยผม เขาเป็นตำรวจ” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปยังชายในเครื่องแบบรูปร่างบึกบึนที่กำลังพยุงชลชาติให้ลุกขึ้น


“ช่วยไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลที่ร้านขายยาให้พี่ก็พอ” คนบาดเจ็บตอบด้วยน้ำสียงแหบพร่า


“อ้าว ไม่ไปทั้งโรงพยาบาลทั้งโรงพักเลยเหรอพี่”


“ไม่” พายุพัดโพล่งขึ้น


ชลชาติมองด้วยความแปลกใจ แต่คิดว่าเพื่อนคงต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น ด้านลูกชายเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเองฟังแล้วได้แต่เกาหัวแกรก สุดท้ายก็ยอมทำตามความประสงค์ เรียกแท็กซีพาทั้งคู่ไปทำแผลที่คลินิกใกล้ ๆ ก่อนจะเล่าสาเหตุที่เขาต้องตามมาให้ฟัง


“พี่คนนี้ลืมกระเป๋าไว้ที่ร้าน” ชายหนุ่มชี้มายังพายุพัดที่กำลังนั่งให้ผู้ช่วยคุณหมอทำแผล  “ใกล้จะเก็บร้านแล้วแต่ผมเห็นพวกพี่ไม่กลับมาเอาสักที พี่เขยกลับมาจากทำงานพอดีก็เลยชวนกันขี่รถตามมาดู อ้อ...แล้วก็ไอ้เด็กนั่น ผมจำหน้ามันได้ มันเป็นลูกชายรปภ.ที่อยู่สระว่ายน้ำใกล้ ๆ นี่เอง เห็นว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด มาอยู่กับพ่อได้ไม่ถึงเดือนก่อเรื่องเสียแล้ว”
ชลชาติและพายุพัดต่างมองหน้ากัน


“พวกคุณแน่ใจเหรอครับว่าจะไม่ไปแจ้งความ พวกมันทำร้ายร่างกายแถมยังเอาเงินด้วยนะ” นายตำรวจชั้นประทวนเอ่ยขึ้น


“ช่างเถอะครับพี่ ผมไม่ได้ติดใจอะไร ของมีค่าอย่างอื่นก็อยู่ครบ” นักกีฬาหนุ่มยืนยันคำเดิม กระนั้นก็ยังหันไปสบตาผู้เสียหายตัวจริง ซึ่งชลชาติเองก็พยักหน้าเห็นด้วย


“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาลเท่าไร โชคดีที่ได้พวกพี่ช่วยไว้ ของมีค่าทุกอย่างเลยอยู่ครบ คิดเสียว่าฟาดเคราะห์ไป”


ฉะนั้นในวันต่อมาหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับจึงปราศจากข่าวของสองนักกีฬาว่ายน้ำชื่อดังที่โดนทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์ นั่นเพราะพายุพัดไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง และมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่มีเพียงเขาและชลชาติเท่านั้นที่รู้
หลังเหตุการณ์ในวันนั้นพายุพัดก็เก็บตัวเงียบอยู่ที่คอนโดมิเนียม ตั้งใจจะรอให้แผลบนใบหน้าและรอยฟกช้ำตามลำตัวจางลงกว่านี้สักหน่อยจึงจะกลับไปซ้อมตามปกติ ยังดีที่ได้ชลชาติคอยส่งข้าวส่งน้ำบ้าง ไม่เช่นนั้นคงต้องฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถัดไปไม่ไกลทุกวันเป็นแน่


“สองคนนั้นพูดอะไร นายถึงไม่ยอมแจ้งความ” คนเพิ่งมาถึงกล่าวขณะเทข้าวต้มใส่ชาม


“มันพูดถึงธรรม์”


“แล้วนายคิดว่ายังไง คิดว่าธรรม์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเกี่ยวจริง นายก็รู้ว่าถ้าเรื่องถึงสมาคม ผลมันจะเป็นยังไง”


“เรารู้ แล้วเราก็ว่าธรรม์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถึงจะปิดหน้าปิดตา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ทำไมเราจะจำเสียงสองคนนั่นไม่ได้ แต่ถ้าพวกเรานิ่งเฉย นั่นเท่ากับว่าพวกเรานี่แหละที่สนับสนุนให้คนทำผิด”


“เราก็หวังว่าสักวันธรรม์จะสำนึกได้เอง”


ชลชาติได้แต่ถอนใจ “เราก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-07-2018 18:13:16
(ต่อค่ะ)


พายุพัดกลับไปฝึกซ้อมที่สระของสมาคมว่ายน้ำในสัปดาห์ต่อมา ใบหน้าและตามลำตัวยังคงมีร่องรอยที่เกิดจากการต่อสู้ปรากฏให้ใคร ๆ ใคร่รู้ถึงสาเหตุอยู่บ้าง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยปริปากถึงที่มาของรอยจาง ๆ เหล่านี้ เขายังคงซ้อมอย่างหนักตั้งแต่เช้าจดค่ำจนกระทั่งถึงวันแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักกีฬา และเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง ชื่อของ “พายุพัด นาวาภักดิ์” ก็ปรากฏอยู่ในรายชื่อนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติชุดโอลิมปิกตามที่หลายคนคาดหมาย


หลังจากประกาศรายชื่อทีมชาติได้เพียงไม่นาน จู่ ๆ สมาคมว่ายน้ำก็ออกแถลงการณ์ปลด “ธรรม์ณธร ทวีศักดิ์” ออกจากการเป็นทีมชาติและมีคำสั่งให้ทำทัณฑ์บน เนื่องจากมีการตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้น นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ได้รู้ แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่รู้เป็นการภายใน คือเขาคนนี้มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน โดยหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยได้แจ้งกับคณะกรรมการของสมาคมว่ามีข่าวลือว่าลูกชายของพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งไปก่อเหตุวิ่งราว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์และถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้มีการสอบสวนจนเด็กชายยอมสารภาพว่าที่ทำลงไปเพราะถูกนักกีฬาของสมาคมบังคับ ข่มขู่ว่าหากไม่ทำตามจะทำร้าย


และเมื่อสมาคมให้คนตามตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่รอบ ๆ ก็พบว่าธรรม์ณธรและพวกได้พูดคุยกับเด็กชายผู้นั้นในวันเกิดเหตุจริง เมื่อสอบถามชาวบ้านในละแวกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเคยเห็นชายหนุ่มกลุ่มที่ปรากฏในภาพมาด้อม ๆ มอง ๆ แถวสระว่ายน้ำอยู่บ่อย ๆ เมื่อได้รับการยืนยันดังนั้นก็สาวไปถึงตัวผู้ร่วมขบวนการได้สำเร็จ ซึ่งนอกจากธรรม์ณธรแล้วยังมีสองนักว่ายน้ำที่ถูกตัดสิทธิ์เข้าแข่งขันคัดตัวนักฬาและถูกทำทัณฑ์บนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากทำผิดระเบียบของสมาคม ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นระหว่างการแข่งขัน และหนึ่งในสองคนซัดทอดว่าธรรม์ณธรคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด เหตุที่ทำไปก็เพราะต้องการให้พายุพัดบาดเจ็บจนไม่สามารถลงแข่งได้ โดยวางแผนว่าแกล้งขับรถเฉี่ยว ทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ เพราะอีกฝ่ายมักจะใช้วิธีการเดินกลับคอนโดฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่โชคร้ายที่วันนั้นชลชาติดันอยู่ที่นี่ด้วยแผนจึงเปลี่ยน เรื่องราวเลยบานปลายอย่างที่เห็น


พายุพัดไม่คิดเอาความแต่แรก เขายังคงใช้ความพูดน้อยสยบทุกความเคลื่อนไหว ด้วยไม่อยากทำลายอนาคตของคนที่ได้ชื่อว่าอยู่ร่วมสมาคมเดียวกัน แต่หลักฐานและพยายานแวดล้อมก็ชี้ชัดจนธรรม์ณธรไม่อาจดิ้นหลุด โดยเฉพาะเรื่องการใช้สารกระตุ้น ดังนั้นแทนที่นักกีฬาดาวรุ่งเช่นธรรม์ณธรจะได้แสดงความสามารถให้ปรากฏแก่สายตาคนทั่วไป สร้างความภาคภูมิใจในช่วงปลายของอายุที่ยังมีกำลังลงแข่งขันให้ผู้อื่นได้จดจำ กลับต้องมาแพ้ภัยการกระทำของตัวเอง


เหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นไปและได้สร้างบทเรียนให้ใครหลายคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องยังสามารถยึดเอาเรื่องราวนี้ไว้เป็นเครื่องเตือนใจตนเอง ไม่ปล่อยให้ความทะเยอะทะยานมีอำนาจเหนือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทุกคนย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น และผลจากการทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักก็ทำให้ชื่อของพายุพัดปรากฏในรายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ในกีฬาโอลิมปิก แม้จะไม่ได้เหรียญรางวัลใด ๆ แต่ก็ทำให้ “ฉลามพาย” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งยังสร้างความหวาดหวั่นให้คู่ต่อสู้เสมอมาตลอดระยะเวลาที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิตของเขา


....


ในขณะที่ชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย ชื่อของ “นคินทร ปฐวิพัฒน์” กลับค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเพื่อน ๆ และปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา ในฐานะข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอที่ให้ความรู้สึกเป็นสุขสมชื่อ หลังจากย้ายตามผู้เป็นพ่อซึ่งต้องไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายพร้อมติดยศพันเอกที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้เพียงปีกว่า ๆ เขาก็สามารถสอบเข้าเรียนคณะศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ได้ นคินทรใช้ชีวิตเพียงลำพังอยู่ที่นั่นเกือบ 3 ปี จนกระทั่งพ่อของเขาย้ายมารับตำแหน่งผู้อำนวนการโรงพยาบาลค่ายที่จังหวัดเชียงใหม่ ครอบครัวปฐวิพัฒน์จึงได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง


เมื่อสำเร็จการศึกษาสาขาการประถมศึกษา นคินทรก็มุ่งสอบเป็นข้าราชการครูตามที่ตั้งใจ และสถานที่ที่บัณฑิตจบใหม่เลือกสอบบรรจุก็เกินความคาดหมายของใครหลายคน กระนั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างพันเอกนายแพทย์ธรณินและคุณวาสนาก็ยังให้การสนับสนุนเสมอมา ไม่ว่าลูกชายจะคิดทำสิ่งใด จนในที่สุดโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอสันติสุขก็มีโอกาสอ้าแขนต้อนรับครูหนุ่มไฟแรง


ลูกชายบรรจุเป็นข้าราชการครูที่จังหวัดน่านได้ไม่นาน พันเอกนายแพทย์ธรณินในวัย 56 ปี ก็ถูกเชิญให้ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษากรมแพทย์ทหารบกประดับยศพลตรี ซึ่งเจ้าตัวหวังจะใช้ประสบการณ์ของการเป็นนักพัฒนาทำประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศชาติในช่วง 4 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ


“เสียดายนะครับที่แม่ไม่ได้มาด้วย”


ผู้เป็นพ่อครางรับในลำคอก่อนจะละเลียดจิบกาแฟในถ้วยพลางทอดตามมองลำธารเล็ก ๆ จากระเบียงหลังบ้านพักครูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ด้วยภาระหน้าที่ทำให้นายทหารใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกต่างจังหวัด หลังจากเดินทางมาร่วมงานศพเพื่อนเก่าที่เมืองน่านตั้งแต่เมื่อคืนก่อนก็ให้ทหารคนสนิทขับรถต่อมาเพื่อเยี่ยมลูกชายทันที


“พ่อรู้ข่าวกะทันหันน่ะ ตั๋วเครื่องบินก็จองไม่ทันแล้วเลยให้ลูกน้องขับรถมาให้ กลัวว่าแม่เขานั่งรถนาน ๆ แล้วจะไม่ไหว ก็เลยไม่ได้ชวนมาด้วยกัน”


“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ม่อนยังอยู่ที่นี่อีกนาน”


คำพูดนั้นทำให้ธรณินต้องหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ “นี่ไม่คิดจะกลับไปอยู่ด้วยกันเลยหรือไง อีกไม่กี่ปพ่อก็จะเกษียณแล้วนะ”


น้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือความอ่อนโยนทำให้คนเป็นลูกรู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นพ่อไม่ได้ซ่อนนัยยะใด ๆ ไว้ในถ้อยคำเหล่านั้น “ไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อนสิครับ”


“เจ้าลูกคนนี้นี่” ธรณินส่ายหัวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ วางถ้วยกาแฟบนโต๊ะ “นี่แม่เขาก็บ่นคิดถึงม่อนทุกวัน”


“ม่อนรู้ครับพ่อ ม่อนรู้ว่าม่อนทำให้พ่อกับแม่ต้องคิดถึง ม่อนขอเวลาอีกหน่อยนะพ่อ ม่อนสัญญาว่าพ่อเกษียณเมื่อไร ม่อนจะกลับไปอยู่บ้านเราแน่นอนครับ”


“ลูก...รักที่นี่เหรอ”


ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากลูกชาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“พี่ม่อน! พี่ม่อนอยู่ไหมครับ”


“ใครมา” ผู้เป็นพ่อว่าพลางชะเง้อมอง


“สงสัยพิงมาน่ะพ่อ”


“คนที่บอกว่าเพิ่งมาบรรจุใหม่น่ะเหรอ”


“ครับ เดี๋ยวม่อนลงไปดูก่อนนะพ่อ”


พูดจบนคินทรก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน โผล่หน้าดูที่หน้าต่าง เมื่อเห็นว่าคนมาร้องเรียกเป็นเพื่อนครูที่โรงเรียนจริงตามคาดจึงรีบลงบันไดไปหา


“ไง”


“เมื่อวันก่อนเห็นพี่บอกว่าพ่อแวะมาเยี่ยม เมื่อเช้าผมผ่านมาเห็นรถจอด คิดว่าต้องใช่ ไปตลาดก็เลยซื้อโจ๊กกับหนังสือพิมพ์มาฝาก ฟ้าครึ้มแบบนี้กะว่าพี่ต้องยังไม่ได้ออกไปไหนแน่ ๆ”


“ขอบใจมากนะ” นคินทรกล่าวพลางรับถุงใส่โจ๊กและหนังสือพิมพ์จากมือของอีกฝ่าย


“ไม่เป็นไรพี่”


“แล้วนี่ไม่กลับบ้านเหรอ”


“ไม่กลับครับ วันนี้มีแข่งฟุตบอลที่สนามโรงเรียนเรา ผมต้องอยู่ตัดสินน่ะ”


“เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นจากครูพละมาเป็นกรรมการฟุตบอลแล้วเหรอ”


“ใช่ ผมน่ะเป็นได้ทุกอย่างยกเว้นไอ้ที่อยากจะเป็น” พิทักษ์ถอนใจ


นคินทรอมยิ้มพลางเลิกคิ้วสงสัย “อยากเป็นอะไร ไม่ได้อยากเป็นครูพละหรอกเหรอ”


ครูหนุ่มถอนใจอีกเฮือกเอื้อมหยิบหนังสือพิมพ์ในตะกร้าหน้ารถจักรยานออกมากางแล้วจิ้มลงบนภาพใหญ่ที่หน้าแรก “ผมอยากเป็นนี่...”


“นักว่ายน้ำเหรอ”


“ใช่”


“แล้วทำไมไม่เป็นล่ะ”


“ก็บ้านเรามันไม่มีสระว่ายน้ำนี่นาพี่ สมัยผมเด็ก ๆ น่ะใครอยากเป็นนักกีฬาต้องดิ้นรนไปเรียนโรงเรียนกีฬาที่ต่างจังหวัดทั้งนั้น บ้านผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ทุกวันนี้ก็เลยต้องมาใช้ทุนครูคืนถิ่นนี่ไง”


“แล้วไม่ดีเหรอ ได้กลับมาอยู่ใกล้ ๆ บ้าน”


“ก็ดีครับ” แม้จะไม่ได้ดีเสียทั้งหมด แต่พิทักษ์คิดว่ามันก็ยังพอมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง “ว่าแต่พี่เถอะ เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ นึกยังไงมาสอบบรรจุที่นี่ แทนที่จะไปสอบครู กทม.”


“ครู กทม. มีคนต่างจังหวัดไปสอบตั้งเยอะแยะ พี่ก็เลยเลือกมาที่นี่ไง จะได้ถ่วงดุลกัน” นคินทรหัวเราะ


“แปลกคน” พิทักษ์ได้แต่เกาหัว



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ

แล้วก็ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยค่ะสำหรับคอมเม้น

ในเพจพอเห็นไทม์ไลน์ก็เดาอนาคตของม่อนกับพายไปหลายทางเลย

มาถูกทางกันบ้างไหมคะ



หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-07-2018 18:22:19
เวลาผ่านไปหลายปี รอพายกัับม่อนกลับมาเจอกันค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2018 18:36:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 05-07-2018 18:54:43
ชีวิตดูไกลกันเหลือเกิน
รอวันได้กลับมาเจอกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 05-07-2018 19:08:40
ง่ะ ผิดคาดแฮะ คิดว่านุ้งม่อนจะไปสายแพทย์ ส่วนนุ้งพายยังเหมือนเดิมพูดน้อย ต่อยหนัก ถวายหัวให้กับการว่ายน้ำ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-07-2018 19:24:16
โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วสินะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกัน รอ ๆ ๆ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-07-2018 19:42:56
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-07-2018 19:50:19
พายกลับบ้านเมื่อไหร่ก็คงได้เจอม่อนละมั้งเนาะ

ส่วนธรรม์ณธรนั้นแพ้ภัยตัวเองแท้ ๆ ความสามารถก็มีแต่เลือกเดินผิดทาง หมดอนาคตทันที
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2018 20:46:55
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 05-07-2018 21:20:15
อยากให้พายกับม่อนได้เจอกันไว ๆ ขอบคุณนะครับที่มาต่อ รอนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 05-07-2018 22:50:23
  ฮือออออออ  สงสารพายยยยยยยยย  โดน ทำร้ายปางตาย  :o12:


เรา จะรอ รอ รอ ตอน 

..........จนกว่า พายุ จะพัดกลับมาเจอ ครู ม่อน


ขอบคุณ ผู้แต่ง  ที่รีบกลับมาลงตอนต่อไวไว จริงเลย :กอด1:

ปล.  ฉาย กับ สิ ไปไหน  :ruready
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-07-2018 10:21:33
รอเวลาที่จะได้มาเจอกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 06-07-2018 21:17:43
ยังละมุนเหมือนเดิมกับทุกเรื่องที่ ถธปทฟ แต่ง
ขอเดาว่ากำไลเงินที่พายใส่ ต้องได้มาจากร้านป้านีที่ม่อนหมายปองไว้แน่เลย แล้วกำไลน้อยนี้จะได้ไปสวมคืนคนที่เคยหมายปองไว้มั๊ยนะ
มโนล้วนๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-07-2018 22:25:30
เราก็อุตส่าห์เนียน ๆ ค่ะคุณ bon
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 08-07-2018 23:13:39
พายกับม่อนโตแล้ว  ลุ้นว่าจะเจอรักเมื่อไหร่  ที่ไหน  อย่างไรค่ะ อิอิ :-[

พายยังคงจริงจังกับกีฬาว่ายน้ำจนมีชื่อเสียงไปแล้ว  ส่วนม่อนก็เป็นคุณครูรักสงบอยู่ที่น่าน  ดีจัง  รอเพื่อนคนอื่นๆมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งด้วย o13

และขอลุ้นเรื่องกำไลด้วยคนค่ะ555

ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 6 ลมเปลี่ยนทิศ (05-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-07-2018 16:27:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-07-2018 08:02:02
ตอนที่ 7 มิตรภาพ

“ม่อนส่งแค่นี้นะพ่อ เดินทางปลอดภัยครับ” นคินทรกล่าวหลังจากประตูรถถูกดึงปิด


พลตรี นพ.ธรณินยิ้มพร้อมกับบีบไหล่ลูกชายที่ค้อมตัวไหว้ผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่ลดกระจกลง “ขอบใจนะลูกที่มาส่ง”


“พ่อถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรบอกม่อนหน่อยนะครับ” มองเลยไปยังนายทหารคนสนิทของพ่อที่ขณะนี้นั่งประจำที่คนขับ “ม่อนฝากพ่อด้วยนะครับอา ถ้าอาง่วงต้องแวะพักนะ”


“ครับคุณม่อน ไม่ต้องห่วงครับ รับรองว่าผมจะส่งท่านให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”


ได้ยินอีกฝ่ายรับปากเช่นนั้น นคินทรจึงค่อยคลายกังวล ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู เลื่อนมือขึ้นโยกหัวลูกชายเบา ๆ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาจึงดึงมือกลับ ทันทีที่กระจกเลื่อนขึ้น รถเก๋งคันหรูก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากปั๊มน้ำมันกลางเมือง


นคินทรรอกระทั่งรถของพ่อลับตาจึงเดินกลับไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ชายหนุ่มขับรถมุ่งหน้าออกนอกเมืองลัดเลาะไปตามถนนคดโค้ง เกือบสามสิบนาทีรถก็มาจอดสนิทภายในอาณาบริเวณอันร่มรื่นของหอศิลป์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน เมื่อลงจากรถเขาก็เดินไปยังอาคารไม้ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ


“อ้าวม่อน วันนี้ลมอะไรหอบมาจ๊ะ” เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนกล่าวทักทาย ขณะกำลังชงเครื่องดื่มให้แขกที่นั่งรออยู่ตรงระเบียงด้านนอก


“ผมขับรถมาส่งพ่อที่ในเมืองครับน้าดา คิดถึงเจ้าพวกนี้ก็เลยแวะมาหา” พูดจบก็ย่อตัวลงนั่งเกาคางเจ้าเหมียวพุงกลมที่กำลังนอนบิดขี้เกียจสบายอารมณ์อยู่บนตะกร้าสานแบบมีฝาปิด


“นอนกันทั้งวันเลย ตื่นมาก็ไล่ขับไล่กัดกันให้วุ่น” เจ้าของร้านพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะยกเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ


“แกวิ่งไล่ใครไหวด้วยเหรอเจ้าอ้วน” ชายหนุ่มหัวเราะพลางเลื่อนมือขึ้นลูบหัวเจ้าแมวอ้วนสีเทาแซมขาว


“ตัวดีเลยละ เห็นพุงย้อยอย่างนี้น่ะ เป็นหัวโจกพาเพื่อนวิ่งขับเจ้าตัวที่มาใหม่จนหางจุกตูดเลยนะ”


“มีแมวตัวใหม่เหรอครับน้าดา” นคินทรหันมาถามคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา


“ลูกแมวจ้ะ หลงมาจากไหนก็ไม่รู้ เจ้าพวกนี้ก็เหลือเกิน จ้องจะกัดมันอยู่เรื่อย น้าเลยต้องจับขังไว้ในกรง อยู่โน่นไง” น้าดากล่าวพร้อมกับชี้ไปยังกรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่อีกทาง


นคินทรมองตามอย่างสนใจ ในที่สุดก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดที่หน้าต่างบานยาว จากตรงนี้มองเห็นสายน้ำสีราวกับชาไทยผสมนม สายลมที่พัดผ่านยามฝนเริ่มขาดเม็ดทำเจ้าลูกแมวสามสีสั่นไปทั้งตัว เอาแต่นอนขดไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้ชายหนุ่มจะส่งเสียงเรียก


“ม่อนเอาไปเลี้ยงไหม น้ายกให้”


เป็นประโยคคำถามที่ทำเอาหูผึ่ง “ยกให้ผมจริง ๆ เหรอครับน้าดา”


“จริงสิจ๊ะ มันอยู่กับน้าก็ต้องอยู่ในกรง เพราะถ้าปล่อยออกมาก็ถูกเจ้าแก๊งอันธพาลพวกนี้ไล่กัด น้าตามช่วยตลอดเวลาไม่ได้หรอก ดีไม่ดีจะตกน้ำตกท่าไป”


นคินทรพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปพูดกับลูกแมว “ไปอยู่ด้วยกันไหม”


ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าลูกแมวฟังเข้าใจหรือเพราะนอนขดจนเมื่อย มันขยับตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องเหมียวทักทายชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จากนั้นจึงลุกขึ้นปิดขี้เกียจแล้วเดินถูไถไปมารอบกรง


“ดูท่าทางมันจะชอบม่อนนะ”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอเอามันไปเลี้ยงนะครับน้าดา”


“ได้เลยจ้ะ ยกไปทั้งกรงเลย น้าให้”


“ขอบคุณครับน้าดา” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันกลับไปเปิดกรงแล้วยกเจ้าตัวเล็กออกมา “ให้แกชื่ออะไรดีนะ” พูดไปก็มองตาแป๋ว ๆ ไปพลาง “อืม...มีสามสีแบบนี้ ชื่อซ่าหริ่มก็แล้วกัน”


“ชื่อน่ารักเชียว” น้าดากล่าว มองเจ้าตัวเล็กที่กำลังใช้ขาหน้าเขี่ยปลายจมูกเจ้าของคนใหม่ของมันอย่างเอ็นดู “แล้วนี่ม่อนเข้าไปข้างในมาหรือยังจ๊ะ ตรงที่เขาจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนน่ะเขามีงานมาเปลี่ยนแล้วนะ”


“ยังเลยครับน้าดา ถ้าอย่างนั้นผมฝากเจ้าซ่าหริ่มไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวตอนกลับจะแวะมารับ” พูดจบนคินทรก็ใส่เจ้าลูกแมวกลับเข้าไปในกรงเหมือนเดิม จากนั้นจึงออกจากร้านกาแฟ เดินตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ทั้งที่เป็นนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน


ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโถงสีขาวขนาดใหญ่ก็รู้สึกถึงความเงียบสงบดังเช่นทุกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ทำให้รู้ว่าตนเองมิได้อยู่ลำพัง นคินทรก้าวช้า ๆ ตากวาดมองภาพร่องรอยสีดำบนกระดาษในกรอบสีขาวที่ติดเรียงกันไปบนผนัง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นด้านหลังผนังสีขาวที่กั้นกลางตามแนวขวางแบ่งห้องออกเป็นสองฝั่ง


“ว่าไงสิ...”


“...เราอยู่ข้างในอาคารนิทรรศการน่ะ”


ภาพบนเฟรมผ้าใบสีสันฉูดฉาดเรียกให้นคินทรต้องย้ายสายตาจากงานภาพพิมพ์สีหม่น เดินไปหยุดที่ผนังกลางห้อง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนที่อยู่อีกฟากชัดขึ้น


“สิกับอาจารย์คุยธุระเสร็จแล้วใช่ไหม”


“...อืม...ถ้าอย่างนั้นเรารอข้างในนะ”


ชายหนุ่มขยับเท้าตามดวงตาที่เลื่อนไปหยุดยังภาพสุดท้าย ก้มอ่านชื่อเจ้าของผลงานก่อนจะยืดตัวขึ้น กำลังจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังของผนังเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น


“อยู่ตรงไหนเนี่ย เดินออกมาหน่อยสิ”


“เดี๋ยวสิ ขอดูภาพตรงนี้ก่อน”


“ตรงไหน”


ดูเหมือนต่างคนต่างก็ได้ยินเสียงของกันและกัน


“ตรงนี้ไง” คนที่อยู่หลังผนังพูดกลั้วหัวเราะพลางสืบเท้าห่างออกจากจุดกำบังอย่างรวดเร็วจนทำให้ปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินอ้อมมาดูผลงานศิลปะด้านหลัง


ด้วยความตกใจทำให้นคินทรพยายามขืนตัว รีบชักเท้ากลับ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เซไม่เป็นท่า โชคดีที่อีกฝ่ายไวกว่า สามารถคว้าต้นแขนของเขาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น


“ข...ขอโทษครับ” ฝ่ายผิดกล่าวอย่างร้อนใจ


“ไม่เป็นไร ผมไม่ทันระวังเอง” นคินทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะขยับออกห่างพร้อมกับกล่าวขอบคุณ


“ม่อน!”


“ใครเรียก?” นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในหัวก่อนที่เจ้าของชื่อจะหันกลับไปยังด้านหลัง ดวงตาจับจ้องใบหน้าสวยของคนที่กำลังเดินมาหยุดอย่างพิจารณา


“จำสิได้ไหม”


นคินทรตอบคำถามตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น และยิ่งหญิงสาวถามคำถามเมื่อครู่ก็ยิ่งตอกย้ำว่าคำตอบของเขานั้นถูกต้อง


“ใครจะจำดาวโรงเรียนไม่ได้” ชายหนุ่มยิ้ม


“แล้วจำผมได้หรือเปล่า” จู่ ๆ เจ้าของร่างสูงที่สวมเสื้อม่อฮ่อมทับเสื้อยืดสีขาวก็แทรกขึ้น


พลันรอยยิ้มของนคินทรก็ค่อย ๆ จางหาย หันกลับไปมองคนถามในขณะที่หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน “เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอครับ”


คำถามนั้นทำสิชลหลุดขำ “นี่เพื่อนห้องสิเองจ้ะม่อน ชื่อแสนยา”


“เรียกแสนเฉย ๆ ก็ได้” อีกคนกล่าว


“แสนก็ถามแปลก ๆ ม่อนจะจำแสนได้ยังไง ก็แสนน่ะย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเราหลังจากม่อนลาออกไปแล้วนี่นา”


“ก็ถามดูเฉย ๆ เผื่อว่าจะเคยเดินสวนกันที่ไหน” แสนยากล่าวพลางมองคนที่ยังทำหน้างงไม่หาย เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ “สิคุยกับเพื่อนไปก่อนนะ เราเดินเข้าไปดูงานข้างในก่อน”


สิชลพยักหน้าแล้วหันมากล่าวกับคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายปี “ดีใจจังที่ได้เจอม่อน”


“เราก็ดีใจ สิสบายดีนะ”


“สบายดีจ้ะ ว่าแต่ม่อนเถอะ มาทำอะไรที่นี่”


“เราเข้ามาส่งพ่อในเมืองน่ะ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยแวะที่นี่”


“แสดงว่าตอนนี้ม่อนอยู่น่านเหรอ” หญิงสาวทำตาวาว


“อื้อ สอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่น่ะ”


“นานหรือยังจ๊ะ”


“สามปีแล้วละ”


“ไม่ได้เจอกันเลยเนอะ ตั้งแต่เรียนจบสิก็ไปสอบบรรจุเป็นครูนาฏศิลป์ได้ที่แพร่น่ะ เพิ่งย้ายกลับมาบ้านเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง วันนี้สิพาอาจารย์หัวหน้าหมวดมาคุยกับเจ้าของหอศิลป์ จะขอพาเด็ก ๆ มาทำกิจกรรมที่นี่จ้ะ ส่วนแสนน่ะขอตามมาด้วย เห็นว่าจะมาเก็บข้อมูลทำวิจัย”


นคินทรพยักหน้าพลางมองชายหนุ่มที่กำลังยืนจ้องภาพเขียนขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านในสุดของห้องโถง


“ม่อนเจอเพื่อน ๆ บ้างไหม”


“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอใครเลย ไปที่โรงพยาบาลค่าย คนที่นั่นก็บอกว่าแม่ฉายย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนคลินิกของพ่อหมอกก็กลายเป็นร้านสะดวกซื้อไปแล้ว”


“คลินิกย้ายไปอยู่หลังตลาดจ้ะ พอดีได้ตึกแถวที่ใหญ่กว่าเดิม ตอนนี้หมอกก็ดูแลอยู่”


“แสดงว่าหมอกเป็นสัตวแพทย์เหรอ”


“ใช่แล้ว เป็นไปตามคาดใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้ม


“ดีจัง” นคินทรพลอยยิ้มตามไปด้วย


“วันหลังม่อนเข้ามาในเมืองก็แวะไปสิ หมอกอยู่คลินิกทั้งวันแหละ ส่วนฉาย...” ยังไม่ทันได้อธิบาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


“ตายจริง! มัวแต่คุยเพลิน อาจารย์โทรตามแล้ว” ว่าแล้วเธอก็กดรับสาย พูดกันอยู่ 2-3 ประโยคก็กดวาง “สิต้องไปแล้วนะม่อน สิขอเบอร์ม่อนไว้หน่อยได้ไหม กลางปีหน้าสิจะแต่งงาน จะได้โทรคุยกัน”


“ได้สิ” นคินทรตื่นเต้นตามไปด้วย รีบดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้


หญิงสาวรับมาก่อนจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนตำแหน่งของตัวเลข ไม่นานหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็แจ้งเตือนว่ามีสายเข้า “เบอร์นี้นะ”


“อื้อ”


“ถ้าอย่างนั้นสิเข้าไปตามแสนก่อนนะม่อน นี่จ้ะ” พูดจบก็คืนโทรศัพท์ให้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน


นคินทรมองตามร่างเล็กที่เดินห่างออกไป แม้มีคำถามหนึ่งยังคาใจ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทิ้งข้อสงสัยเอาไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มขึ้นไปยังชั้นที่สองของอาคาร เดินชมผลงานศิลปะจนลืมดูนาฬิกา นึกขึ้นได้ว่าต้องกลับเสียทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงฟ้าคำรามครืน ๆ ดังมาจากด้านนอก เท้าก้าวไปหยุดที่ระเบียงหน้าต่างบานยาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเห็นเมฆสีเทาลอยต่ำก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาเป็นแน่ ดังนั้นนคินทรจึงรีบเดินออกจากอาคารแสดงนิทรรศการตรงไปยังร้านกาแฟทันที


“ฝนตั้งเค้ามาแล้วนะม่อน” เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นขณะเก็บกวาดหน้าเคาน์เตอร์เพราะจวนได้เวลาปิดร้าน


“ท่าทางจะตกหนักเลยนะครับ” พูดพลางสอดมือที่หูหิ้วของกรงใบเล็กที่มีเจ้าลูกแมวสามสีนอนขดอยู่ข้างในแล้วยกขึ้น


“นั่นสิ พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้น่ะ กว่ารถประจำทางจะมาสงสัยเปียกฝนเสียก่อนแน่ ๆ” น้าดาพึมพำกับตัวเอง


นคินทรได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ถามว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร เขาเดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์เพื่อบอกลาเจ้าของร้านก่อนจะพาเจ้าแมวเหมียวไปที่รถ


“กลับบ้านกันดีกว่าซ่าหริ่ม” ว่าแล้วก็วางกรงไว้ที่เบาะหลัง


ทันทีที่เข้ามานั่งประจำที่คนขับ เจ้าลูกแมวสามสีก็ส่งเสียงร้องเหมียว ๆ จนนคินทรต้องหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“อยากออกมาข้างนอกละสิ เดี๋ยวไว้ถึงบ้านก่อนนะ ขืนออกมาตอนนี้ มีหวังซ่าหริ่มฝนเล็บจนเบาะรถม่อนเป็นรอยแน่ ๆ”


เจ้าตัวเล็กคล้ายจะเข้าใจ มันเดินวนไปวนอยู่ครู่หนึ่งก็นอนลงเงียบ ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกจากลานจอด กระทั่งเคลื่อนมาถึงปากทางก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนเงยหน้าขึ้นมองทั้งฟ้าขมุกขมัวสลับกับเส้นทางที่ทอดยาวซึ่งขณะนี้ปราศจากรถรา นคินทรจึงชะลอความเร็วแล้วเลื่อนกระจกลง


“จะไปไหนเหรอ”


“จะกลับเข้าไปในเมืองน่ะ รอรถประจำทางตั้งนานแล้ว ไม่ผ่านมาสักคัน” ชายหนุ่มที่พบกันแล้วหนหนึ่งในหอศิลป์กล่าว


“ขึ้นมาสิเดี๋ยวเราไปส่ง เราก็กำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน”


เมื่ออีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ แสนยาก็ไม่คิดปฏิเสธ เขาปลดเป้สะพายหลังเปิดประตูขึ้นมานั่ง และเมื่อปิดประตูฝนก็ตกลงมาพอดี


“เกือบเปียกแล้วไหมล่ะ ขอบคุณมากนะ อืม...ม่อนใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะออกรถ “ให้เราไปส่งที่ไหน”


“ข่วงเมืองก็ได้ ไม่ลำบากใช่ไหม”


“ไม่หรอก แล้วทำไมถึงไม่กลับกับสิล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ”


“แค่อาศัยรถเขามาน่ะ กะว่าจะนั่งรถประจำทางกลับเอง”


“ปกติรถประจำทางก็ไม่เยอะหรอก ยิ่งฝนตกแบบนี้นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน จริง ๆ บอกทางมาเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไร เราพักโรงแรมน่ะ พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว วันนี้แค่มาเก็บข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนทำวิจัยน่ะ”


เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ชัดเจน นคินทรก็ไม่เซ้าซี้ เขายังคงขับรถไปเงียบ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น


“เห็นสิบอกว่าพ่อนายเป็นทหาร”


“ใช่ ทำไมเหรอ”


“พ่อเราก็เป็นทหารเหมือนกัน เคยย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่นี่น่ะ เราก็เลยต้องย้ายตามมาด้วย จนได้มาเจอสิที่โรงเรียน แบบนี้นายก็ต้องรู้จักหมอกกับฉายน่ะสิ”


“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.ต้นน่ะ”


“แล้วทำไมถึงย้ายโรงเรียนล่ะ”


“พ่อเราย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่เพชรบูรณ์”


“ที่แท้พ่อนายก็เป็นผู้อำนวยการคนเก่านี่เอง พ่อเราพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ว่าท่านเป็นนักพัฒนาที่เก่งมาก ๆ ล่าสุดได้ข่าวว่าย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วนี่นา แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”


“เราสอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่”


“มาเสียไกลเลย แสดงว่าที่บ้านไม่ว่าละสิ”


“อือ ก็ไม่ได้ว่าอะไร”


“ไม่เหมือนพ่อเรา ตั้งแต่เล็กจนโตพูดกรอกหูทุกวันว่าอยากให้เราเป็นทหาร ตอนที่รู้ว่าเราไปสอบเข้าคณะจิตรกรรมได้ก็โวยวายบ้านแทบแตก เรียนจบมาแล้วยังบังคับให้เรียนต่อจะได้ไปเป็นอาจารย์ เราขี้เกียจฟังพ่อบ่นก็เลยเรียนให้ จะได้จบ ๆ จริง ๆ อยากเปิดแกลเลอรีวาดรูปมากกว่า พ่อไม่รู้หรอกว่าศิลปินดัง ๆ ขายรูปทีได้เป็นแสน เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยน้อยจะตาย”


“เจอกันครึ่งทางไง ถึงจะเป็นอาจารย์แต่ก็ยังวาดรูปได้นี่ อย่างน้อยก็ทำให้พ่อสบายใจแถมตัวเองก็ได้ทำในสิ่งที่รัก”


“มันก็ใช่แหละ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงมาเป็นครูล่ะ เราได้ยินเขาพูดกันว่าครูน่ะเงินเดือนน้อยไม่ใช่เหรอ”


“เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่ำรวยจากอาชีพนี้นี่” นคินทรตอบสั้น ๆ แต่ก็สื่อความหมายได้ชัดเจนจนอีกฝ่ายไม่คิดจะถามอะไรต่อ
เมื่อรถเคลื่อนเข้าเขตชุมชมก็เป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนเริ่มซาเม็ดลงพอดี นคินทรส่งแสนยาลงที่ลานข่วงเมืองก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักครูที่โรงเรียนเล็ก ๆ ภายในอำเภอสันติสุขซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณสามสิบกว่ากิโลเมตร


...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-07-2018 08:08:01
(ต่อค่ะ)


สายรุ้งหลากสี กล่องของขวัญใบจิ๋วที่ห่อด้วยกระดาษอังกฤษและการ์ดอวยพรยังถูกประดับประดาไว้บนป้ายนิทรรศการหน้าห้องเรียน แม้จะผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่มาจนกระทั่งเข้าสู่เดือนที่สามแล้วก็ตาม เมื่อได้ยินสัญญาณโรงเรียนเลิกสมาชิกตัวน้อยต่างช่วยกันยกเก้าอี้ขึ้นวางบนโต๊ะและทำความสะอาดห้องเรียนจนเรียบร้อย เมื่อเด็ก ๆ แยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว ร่างสูงในชุดสีกากีจึงเดินกลับมายังห้องพักครู ทอดตามองม่านผ้าฝ้ายมัดย้อมสีครามที่กำลังปลิวไสว กระดาษสมุดพลิกตีกันเกิดเสียงดังเพราะแรงลม ชายหนุ่มนั่งลงหยิบป้ายชื่อทรงสามเหลี่ยมทำจากไม้เนื้อหนาวางทับเหนือกองสมุดด้วยเกรงว่าหน้ากระดาษจะฉีกขาด ตาคมจับจ้องตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยพูกันเพื่อแสดงให้นักเรียนรู้ว่านี่คือโต๊ะของ “ครูนคินทร ปฐวิพัฒน์”


เจ้าของชื่อถอนใจ นึกถึงข้อความที่ผู้เป็นมารดาส่งมาตั้งแต่เช้า นอกจากจะอวยพรวันเกิดปีที่ 27 แล้วยังเป็นการเรียบเคียงถามอยู่กลาย ๆ ถึงเรื่องโยกย้าย แม้หลังจากเข้ารับราชการได้สองปีจะมีโอกาสขอย้ายกลับไปยังโรงเรียนใกล้บ้าน กระนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจอยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอห่างไกลนี้ต่อ จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สี่ จึงไม่แปลกที่ช่วงหลังมานี้จะได้ยินแม่เปรยถึงเรื่องขอย้ายอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน แม่จึงปรารถนาให้เขาได้กลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดในยามที่ผู้เป็นพ่อเกษียณอายุราชการ


นคินทรพรูลมหายใจพร้อมกับสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ดึงสมุดการบ้านของเด็ก ๆ ที่ตรวจค้างไว้ออกจากกองแล้วเปิดอ่าน มือกดตราประทับรูปดาว จากนั้นลงชื่อกำกับใต้ข้อความสุดท้ายที่เจ้าของสมุดเขียนด้วยลายมือโย้เย้แต่ก็ถูกต้องทุกคำ ชายหนุ่มปิดสมุดแล้ววางรวมไว้ในกองที่ตรวจเสร็จก่อนจะดึงสายตามาหยุดยังสมุดการบ้านเล่มสุดท้าย ไล่อ่านทุกตัวอักษรที่บรรยายถึงอาชีพในฝันซึ่งเป็นหัวข้อของการเขียนเรียงความที่เขาสั่งให้นักเรียนทำส่งตั้งแต่เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน


“อยากเป็นนักว่ายน้ำเหรอเนี่ย” ครูหนุ่มพึมพำก่อนจะพลิกสมุดเพื่อดูชื่อคนเขียน พลันปากบางก็เผยรอยยิ้มแรกของวัน ตาคมกวาดมองไปทีละบรรทัดกระทั่งหยุดที่ภาพซึ่งตัดมาจากนิตยสารเก่า มันคือภาพข่าวเมื่อปีก่อน เป็นเหตุการณ์การแข่งขันว่ายน้ำรอบสุดท้ายในกีฬาโอลิมปิกของฉลามหนุ่มหนึ่งเดียวจากประเทศไทยที่ชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” นคินทรถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น...


สิชลเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง เพราะหลังจากได้พบกับหญิงสาวที่หอศิลป์เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว อีกไม่กี่วันถัดมาเขาก็ได้รับข้อความเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มในโปรแกรมสนทนาบนโทรศัพท์มือถือ จากที่ห่างหายกันไปนานก็เหมือนได้ใกล้กันแม้ไม่พบหน้า ได้รู้ข่าวคราวของทุกคนรวมถึงเรื่องที่น่าตกในเรื่องหนึ่ง นั่นคือพายุพัดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับมายังประเทศไทยหลังจากสำเร็จการศึกษา จนทำให้ต้องอยู่พักรักษาตัวต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างไม่มีกำหนด


.....


พายุพัดเปิดประตูออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ดวงตาทอดมองผืนนากว้างใหญ่ที่ขณะนี้กลับแห้งแล้งเพราะใกล้เข้าหน้าร้อน ยังดีที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาจึงทำให้ที่ทำให้อากาศภายในบริเวณบ้านยังคงเย็นสบาย ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับฝีมือการออกแบบของสถาปนิกผู้มากประสบการณ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่สาวของเขา บ้านน้อยปลายนาจึงกลายเป็นแดนสวรรค์ที่บรรดานักท่องเที่ยวหนุ่มสาวต่างหมายปอง ห้องพักซึ่งมีอยู่เพียงไม่มากเน้นความความเรียบง่าย เป็นส่วนตัว เงียบสงบตามใจผู้เป็นเจ้าของที่ต้องการคงความอบอุ่นภายในครอบครัวเอาไว้ ผืนนาของพ่อยังคงถูกเก็บรักษาและกลับมีชีวิตชีวาเขียวขจีทุกครั้งในช่วงฤดูฝน


ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนออก นานแล้วที่ชีวิตในเมืองทำให้เขาห่างไกลจากความรู้สึกสดชื่นเช่นนี้ และนานเหลือเกินที่เกียรติยศชื่อเสียงรวมถึงหน้าที่ทำให้เกือบหลงลืมหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปเสียสนิท พายุพัดค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แบบปรับเอนได้ หยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะมาเปิดอ่านข้อความ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นข้อความจากเพื่อนนักกีฬา เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย รวมไปถึงบรรดาผู้ใหญ่ที่นับถือ สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นตัวเลขแจ้งเตือนข้อความเข้านับพันข้อความจากกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่เขาแทบไม่ได้เปิดอ่านมันเลยนับตั้งแต่ที่ถูกใครสักคนดึงชื่อเข้าไปในกลุ่ม แต่เมื่ออยู่ในช่วงที่ต้องพักรักษาตัวเช่นนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มากเสียจนกลายเป็นความเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอไล่อ่านข้อความไปเรื่อย ๆ เมื่อพบว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องสัพเพเหระจึงเขี่ยผ่านอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาหยุดที่ข้อความท้าย ๆ ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่เขาเห็นว่าหาแก่นสารไม่ได้


Sweety: สงกรานต์นี้ใครกลับบ้านอย่าลืมมาแวะชิมกาแฟที่ร้านนะ ร้านเราจะเปิดเดือนหน้าแล้ว


Bankham: ได้ฤกษ์เปิดแล้วเหรอ


Sweety: จ้า แบงค์


GongYoo_GooYong: ดี ๆ เดี๋ยวจะไปถ่ายรูปมาเขียนคอลัมน์รีวิว


Sweety: ยิ่งยงกลับบ้านถูกด้วยเหรอ


GongYoo_GooYong: ให้เกียรติความอินเตอร์ของหน้าตาเราด้วยหวาน บอกว่าอย่าเรียกชื่อจริงไง


Sweety: จ้า พ่อกงยู


Bankham: เป็นช่างภาพก็ดีแบบนี้ ได้เที่ยวตลอดเลย น่าอิจฉา


aMOXi: นิตยสารเขายังไม่ไล่ออกอีกเหรอวะย้ง


GongYoo_GooYong: อ้าวไอ้หมอก ปากไม่เป็นมงคลแล้วไง เอาไว้ถูกไล่ออกเมื่อไรจะมาสมัครเป็นคนตัดขนหมาที่คลินิกนะ


aMOXi: ไม่ต้อนรับ


GongYoo_GooYong: ไอ้***หมอก (เซ็นเซอร์เองได้โว้ย)


MON: ทะเลาะอะไรกัน


Sweety: นักเรียนเคารพ!


Bankham: สวัสดีค่ะคุณครู


LookKaew: สวัสดีค่ะคุณครู


GongYoo_GooYong: แหม...นี่ก็กะจะทำหน้าที่หัวหน้าห้องได้ยันแก่เลยหรือไง


Sweety: ไอ้ยิ่งโยงงง


Sweety: @MON ปีนี้เราได้กลับมารวมตัวกัน เพื่อน ๆ ก็เลยตกลงกันว่าจะรวบเงินซื้อของยริจาคให้เด็ก ๆ น่ะ คุณครูมีคำแนะนำอะไรไหมจ๊ะ


Bankham: ดีเลยหวาน เดี๋ยวแบงค์จะไปชวนเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วย


MON: เป็นพวกหนังสือหรืออุปกรณ์การเรียนก็น่าจะดีนะ เพราะเด็ก ๆ ใช้ได้ตลอด


Sweety: ได้จ้ะ


“เอ็ม...โอ...เอ็น...มน?”


“หม่อน?”


พายุพัดนิ่งคิด เพื่อนในห้องมีชื่อที่สะกดแบบนี้ตั้งเยอะแยะ กระนั้นดวงตายังจับจ้องภาพเนินเขาที่เจ้าของชื่อใช้เป็นภาพแทนตัว ปลายนิ้วแตะเลื่อนข้อความลงมาเรื่อย ๆ จนถึงการสนทนาเมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่พบชื่อของใครคนนั้นแล้ว ย้อนกลับไปอ่านข้อความก่อนหน้าก็แทบจะไม่มีชื่อนี้ปรากฏขึ้นในการสนทนาเลย หรือหากมี ใคร ๆ ก็พากันเรียกว่า “คุณครู” แทนการเรียกชื่อเล่น


“ใช่หรือเปล่าวะ” ชายหนุ่มพึมพำก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง เมื่อดึงประตูออกก็พบพี่สาวยืนยิ้มอยู่ที่ด้านนอก


“นึกว่ายังไม่ตื่นเสียอีก พี่เห็นเมื่อคืนกว่าพายจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว นี่แม่ให้พี่ขึ้นมาตามไปกินข้าวน่ะ”


พายุพัดพยักหน้าก่อนจะเดินตามเจ้าของร่างเล็กลงมาด้านล่าง


“เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม”


“หลับ ๆ ตื่น ๆ น่ะ แต่อีกสักพักก็คงชิน” น้องชายว่าพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ “บ้านเปลี่ยนไปเยอะเลยนะพี่ฝน”


“พายชอบไหม”


“อือ สวยดี”


แม้จะเป็นคำตอบที่สั้นเกินไปหน่อยแต่ก็พอจะสร้างรอยยิ้มให้แก่คนเป็นพี่สาวได้บ้าง


“แล้วนี่หมอว่ายังบ้าง แล้วยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกไหม”


“ไม่แล้วละ” พายุพัดเลือกที่จะตอบเช่นนั้นแทนการต้องอธิบายอาการของตนเองให้ยืดยาว


ได้ยินน้องชายตัดบทเพียงพรรษจึงไม่ได้เซ้าซี้ถาม เมื่อก้าวถึงชั้นล่างเห็นลังกระดาษใบใหญ่ที่ใต้บันไดจึงนึกขึ้นได้ “พี่เก็บของออกมาจากห้องพายตั้งแต่ตอนรีโนเวทบ้าน เห็นลังกระดาษนี่อยู่ใต้เตียง ข้างในก็เป็นพวกหนังสือเรียน หนังสือการ์ตูน จะเก็บในห้องเก็บของก็กลัวปลวกจะขึ้น พายจะบริจาคไหม หรือถ้าจะเก็บไว้พี่จะได้หาตู้มาใส่ให้”


“บริจาคไปก็ได้ ไม่ได้ใช้ทำอะไรแล้วละ”


“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เมื่อวันก่อนพี่เจอน้ำหวานที่ตลาด เห็นว่าจะเอาของไปบริจาคให้เด็ก ๆ ที่อยู่ต่างอำเภอ พี่จะได้ยกกล่องนี้ให้ไปเลย”


พายุพัดพยักหน้า ไม่คิดแม้แต่จะรื้อดูของที่อยู่ข้างในเลยสักนิด



...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-07-2018 08:14:20
(ต่อค่ะ)


“ช...ช่วยด้วย ช่วย...ด...ด้วย ช...ช่วยด้วย...”


ร่างใต้ผ้าห่มดิ้นขลุกขลัก หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต มือไม้ไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะราวกับกำลังตกลงไปในห้วงน้ำที่ดูดกลืนร่างให้จมลึก พลันดวงตาก็เบิกโพลงเมื่อสิ้นเสียงตะโกนให้คนช่วยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย ชายหนุ่มรีบยันกายลุกขึ้นนั่งหายใจหอบ เลื่อนมือขึ้นกดลงบนหน้าอกหวังจะระงับการเต้นรัวของหัวใจ เจ้าแมวเหมียวที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอะอะโวยวายของเจ้านายก็พลอยตกใจกระโดดแผล็วลงจากเตียงไปด้วย


“ทำไมอยู่ ๆ ก็ฝันเรื่องนี้นะ” นคินทรบ่นกับตัวเอง มือคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือข้างเตียงขึ้นกดดูเห็นว่าจวนได้เวลาตื่นจึงไม่คิดนอนต่อ


ชายหนุ่มลุกจากที่นอน วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ หมุนเปิดก๊อกแล้ววักน้ำเย็นเฉียบขึ้นลูบหน้าลูบตา ใบหน้าซีดเซียวที่สะท้อนบนกระจกชวนให้หวนนึกถึงเรื่องสุดท้ายที่คิดก่อนจะผล็อยหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน นคินทรรีบอาบน้ำอาบท่าจากนั้นจึงพันท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูแล้วเดินออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่แม่ไก่ตัวเขื่องในเล้าที่เด็ก ๆ เลี้ยงเอาไว้หลังอาคารเรียนโก่งคอขัน ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น จมูกได้กลิ่นควันไฟที่ชาวบ้านสุมขึ้นเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บ ชายหนุ่มเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเครื่องแบบข้าราชการติดเครื่องหมายเรียบร้อยออกมาสวม จากนั้นจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อตอนหัวค่ำวันก่อน ปลายนิ้วแตะเพื่อขยายภาพการ์ดแต่งงานสีหวานพิมพ์ตัวอักษรสีทองเป็นชื่อของคนที่เขารู้จักดี


‘สิชล-อวัศย์’


และนั่นยิ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่เพื่อน ๆ จนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทุกคนพากันพูดถึงจนดึกดื่น ไม่มีใครรู้ว่าสองคนไปคบหากันตอนไหน มีแต่ถ้อยคำติดตลกที่ว่าที่เจ้าสาวฝากมากับว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ โดยมีเนื้อความว่าให้รอดูวิดีโอสั้นที่จะเปิดภายในงานที่จะมีขึ้นช่วงกลางปี


ก่อนถึงงานมงคลสมรสเพียงหนึ่งสัปดาห์ นคินทรก็ได้รับข้อความส่วนตัวจากอวัศย์ เชิญให้เขาไปร่วมพบปะสังสรรค์กันที่ร้านกาแฟในสวนของน้ำหวาน และนคินทรก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับ ชายหนุ่มขับรถออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้าไปตามพิกัดในแผนที่ที่เพื่อนส่งให้ เมื่อไปถึงเขาก็พบกับสิชลและอวัศย์ที่รออยู่ก่อนแล้ว


“ยินดีด้วยนะสิ หมอก” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อพบหน้ากัน


“ขอบใจมากนะ” อวัศย์กล่าวพร้อมกับสวมกอดเพื่อนเก่า


“โชคดีจังเลยที่สิบังเอิญเจอม่อนเมื่อคราวก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะติดต่อม่อนได้ที่ไหน”


เจ้าของชื่อยิ้ม รู้สึกว่าเป็นความโชคดีอย่างที่สุด เขาถอยห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อมองเพื่อนให้ชัด สิ่งที่ทำให้อวัศย์ดูแปลกไปจากเดิมเห็นจะมีเพียงแว่นสายตากรอบโลหะที่อีกฝ่ายสวมอยู่


“ไปนั่งคุยกันข้างบนดีกว่าจ้ะม่อน” สิชลเอ่ยขึ้น


ดังนั้นนคินทรจึงเดินตามทั้งสองคนขึ้นไปยังชั้นสองของร้านซึ่งแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นห้องสมุด ดูเหมือนว่าคนที่ถูกเชิญจะมีเพียงเขาเท่านั้น


“คราวก่อนที่เจอกันแล้วสิบอกว่าจะแต่งงาน เราคิดว่า...” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อนั่งลง


“คิดว่าจะเป็นฉายใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าในขณะที่สิชลได้แต่ยิ้ม


“อ้าว หวานมาพอดีเลย”อวัศย์เอ่ยขึ้น


“รับอะไรดีจ๊ะเพื่อน ๆ” อดีตหัวหน้าห้องกล่าวเมื่อเดินมาหยุด


“ไม่เจอกันนานเลยนะหวาน ผอมลงไปเยอะเลย” นคินทรกล่าว


“ช่วงนี้วุ่น ๆ เรื่องในร้านจ้ะ ไหนจะต้องเลี้ยงเจ้าตัวเล็กอีก”


“เจ้าตัวเล็ก?”


“ลูกชายหวานเอง” หญิงสาวยิ้ม


“มีลูกแล้วด้วยเหรอ” นคินทรกล่าวอย่างประหลาดใจระคนยินดี “ไม่รู้เลยว่าหวานแต่งงานแล้ว”


“ก็นายเล่นหายไปเลยตั้งกี่ปี” อวัศย์เอ่ยขึ้น


“ร...เราไม่ได้แต่งหรอกม่อน เราไม่มีเงินจัดงานหรอก เงินทั้งหมดที่มีก็ลงไปกับร้าน ที่พอจะเหลืออยู่ก็กะว่าจะเก็บไว้ให้ลูก” น้ำหวานตอบอย่างเหนียมอาย


“เอาไว้ค่อยแต่งตอนลูกโตก็ได้เนอะ” สิชลบอก “ว่าแต่พ่อของลูกอยู่ไหนจ๊ะ”


“พาลูกไปบ้านย่าน่ะ คงจะหลบหน้าสิกับหมอกนั่นแหละ” เจ้าของร้านกล่าวก่อนจะนั่งลง


“อะไรกัน นี่ยังเก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดอีกเหรอ ที่สินัดม่อนที่นี่เพราะตั้งใจให้พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันนะ”


“ฉ...ฉาย” นคินทรมุ่นคิ้ว “มีเรื่องอะไรกันเหรอ”


เพื่อคลายความสงสัยของเพื่อน สิชลจึงอาสาเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนคินทรลาออกจากโรงเรียน


“สิกับฉายคบกันจนกระทั่งเรียนจบ จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเรียนต่อ หมอกกับสิสอบได้มหาวิทยาลัยเดียวกันที่กรุงเทพฯ ส่วนฉายต้องแยกไปเรียนที่ขอนแก่น น้ำหวานเองก็ต้องไปเรียนที่ลำปาง ความสัมพันธ์ของสิกับฉายยังราบรื่นดี เราไปมาหาสู่กัน ระยะทางไม่เคยทำให้สิคิดระแวงเลยว่าฉายจะมีคนอื่น นั่นเพราะฉายมักจะวาดฝันอนาคตของเราสองคนให้สิฟังอยู่บ่อย ๆ พอฉายเรียนจบก็เข้าทำงานที่บริษัทออกแบบตกแต่งภายในในกรุงเทพฯ ส่วนสิต้องไปฝึกสอนที่ต่างจังหวัดหนึ่งปีเต็ม ๆ แต่สิก็ยังพยายามมาเจอฉาย แต่ดูเหมือนฉายจะไม่อยากเจอสิเท่าไร เราคุยกันน้อยลง พบกันน้อยลง จนตอนหลังสิรู้ว่าฉายมีคนอื่น สิก็เลยตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์” สิชลหยุดไปชั่วขณะ “ตอนนั้น...รู้สึกแย่มากเลยละ เหมือนคนบ้า ที่ฝันไว้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันพังหมด สิกัดฟันอ่านหนังสือเพื่อสอบบรรจุไกล ๆ จะได้ลืม ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่มีหมอกอยู่ข้าง ๆ มาตลอด”


“ฉายเองก็คิดน้อยไป คิดจะคบกับอีกคนแก้เหงา พอถูกสิบอกเลิกก็แทบไม่เป็นผู้เป็นคน ทำตัวสำมะเลเทเมาจนโดนไล่ออกจากงาน รู้ว่าสิมาคบกับหมอกก็เอาแต่โทษว่าหมอกเป็นต้นเหตุ ไม่เคยคิดโทษตัวเอง ผ่านมาหลายปีถึงสำนึกได้จนไม่กล้าสู้หน้ากัน” น้ำหวานเสริม


“ยังไงสิฝากหวานบอกฉายหน่อยนะจ๊ะว่าสิลืมเรื่องพวกนั้นไปหมดแล้ว สิอยากให้ฉายกับหมอกกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม อยากให้ฉายไปงานแต่งงานของเรา”


“หวานไม่รับปากนะ แต่จะพยายามลากตัวไปให้ได้...” น้ำหวานยังพูดไม่ทันจบเสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น


“มะ...มะ...”


ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังเด็กชายวัยขวบเศษที่เดินเตาะแตะเข้ามา เสียงก๊อบแก๊บที่รองเท้ากับแก้มยุ้ยน่าฟัดทำให้ทุกคนอดยิ้มไม่ได้


“มาได้ยังไงเนี่ยลูก” ผู้เป็นแม่กล่าวก่อนจะอุ้มหนูน้อยไว้ในอ้อมแขน ไม่นานเธอก็ได้คำตอบเมื่อใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


“ฉ...ฉาย” นคินทรกล่าวอย่างแผ่วเบา สองตาจับจ้องดวงหน้าของชายหนุ่มที่เดินมาหยุดตรงประตู หนวดเคราขึ้นครึ้มแต่มีหรือที่เขาจะจำแววตาขี้เล่นนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเคลือบด้วยความหม่นเศร้าก็ตาม


เจ้าของชื่อฝืนยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉ...ฉายขอโทษนะสิ ขอโทษจริง ๆ” ว่าแล้วภาณุก็เบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างคนรักเก่า “เราขอโทษนายด้วยนะหมอก ขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีกับนาย”


อวัศย์ไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอด กระชับไม่ให้เหลือระยะห่างที่เกิดจากความเข้าใจผิด “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก”


ภาพนั้นทำเอาคนมองน้ำตารื้น


“ไอ้ม่อนมานี่ มากอดที”


นคินทรส่ายหัวยิ้ม ๆ เมื่อได้ฟัง กระนั้นก็ยังลุกขึ้นแล้วเดินตามเข้าไปสมทบ เพื่อนรักทั้งสามกอดกันกลมทำเอาหญิงสาวสองคนพากันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ยินดีกับมิตรภาพที่จะยังคงอยู่ตลอดไป…


....


Sichon เชิญคุณเข้ากลุ่ม


พายุพัดทอดตามองข้อความที่ปรากฏขึ้น ในที่สุดจึงแตะปลายนิ้วลงบนหน้าจอสัมผัส จากนั้นก็นั่งจ้องโทรศัพท์ในมือที่สั่นทุกครั้งเมื่อมีข้อความเข้า


Sunny: ใครตั้งชื่อกลุ่มวะ


Sweety: แม่เอง


Sunny: แล้วไปจ้ะแม่


Sichon: ตลกชื่อกลุ่มจัง


Sichon: สี่ยอดกุมาร ดูตามลูกสินะ


Sweety: ใช่แล้วจ้าสิ


Sunny: ไพเราะเสนาะหู


aMOXi: ถุย! หงอนี่หว่า


Sunny: อีกหน่อยนายก็ต้องเป็นแบบนี้แหละหมอก


MON: ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่สมาคมกลัวเมียแห่งประเทศไทย


aMOXi: ไอ้เหมียววว


Sunny: ไอ้ม่อนนน


ชายหนุ่มจ้องข้อความนั้นตาเขม็ง ไม่รู้ทำไม...แค่เห็นชื่อก็หัวใจเต้นรัวแล้ว


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


พยายามจะเขียนให้รอด

ให้ได้เจอกันสักทีในตอนนี้

แต่สุดท้ายไม่รอดค่ะ ยาวเกินไป

ยังไงเอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ได้เจอแน่ ๆ จ้าาา (หน้าที่ 100 แหง ๆ)


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-07-2018 08:50:52
ได้เจอกันผ่านตัวอักษรแวบๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-07-2018 09:18:35
ขอบคุณค่ะ ใกล้กันอีกนิดแล้ว ใกล้จะได้เจอกันแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2018 09:56:53
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 14-07-2018 10:27:32
แอบดีใจที่สิไม่ได้ลงเอยกับฉาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-07-2018 11:25:12
เป็นตอนที่อบอุ่นจังเลยจ๊ะ เพื่อนความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นไม่จางหาย
ให้คิดถึงตอนเด็กๆ นะ อ่านแล้วทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ คิดถึงจัง
ไม่ได้แก่นะ แค่คิดถึง อิอิอิ
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-07-2018 11:25:42
กลับมาครบทุกคนแล้ว กว่าจะรวมตัวกันได้ร่ำ ๆ จะสามสิบขวบ อย่ารอเวลานะจ๊ะพาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 14-07-2018 11:41:11
ละมุนนนนน อยากให้พายกับม่อนได้เจอกันไว ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 14-07-2018 11:44:36
นึกว่าจะได้เจอกันในงานแต่ง เจอกันผ่านตัวอักษรก็ยังดีเนาะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-07-2018 14:54:30
คิดถึงบ้าน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-07-2018 15:00:23
อ่านแล้วอบอุ่นใจ คิดถึงความหลังสมัยเด็กๆที่อยู่ต่างจังหวัด
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 7 มิตรภาพ (ที่ไม่ได้เป็นแค่ชื่อถนน) (14-07-2561 หน้า 3)
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 15-07-2018 22:56:04
มีความละมุน เนิบนาบ ทำให้ยิ้มได้
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-07-2018 16:00:59
ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน


“ปลายฝนต้นหนาว” คือชื่อของโฮมสเตย์เล็ก ๆ ที่เจ้าของลงทุนลงแรงปรับปรุงอาณาบริเวณของบ้านหลังเก่า ปลูกต้นไม้ จัดสวน รวมถึงสร้างเรือนพักเล็ก ๆ ขึ้นใหม่อีกเกือบสิบหลังไว้ให้บริการบรรดาผู้คนที่ต้องการหนีจากชีวิตวุ่นวายในเมืองหลวงเพื่อมาสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พายุพัดนั่งลงบนทางเดินไม้ระแนงที่เชื่อมเรือนพักเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละหลังกระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ เอนหลังพิงต้นเสี้ยวต้นใหญ่ที่ช่างอุตส่าห์วางแนวทางเดินอ้อมโคนต้นเพื่อจะได้ไม่ต้องโค่นทิ้ง ตาคมทอดมองผืนนาที่ชุ่มนองไปด้วยน้ำ อีกไม่นานเมื่อกล้าข้าวที่แม่กับพี่สาวของเขาร่วมกันเพาะงอกขึ้นจนเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงก็คงได้นำลงไปปักดำ แล้วพื้นที่ตรงนี้ก็จะกลับมาเขียวสดไปจนสุดลูกหูลูกตา


ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ขบกรามแน่นเป็นระยะตามความรู้สึกปวดหน่วงที่หัวไหล่ข้างขวา กระนั้นยังฝืนหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาเปิดอ่านข้อความจากชลชาติที่ส่งมาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าตรู่


“เราเพิ่งได้คุยกับโค้ช โค้ชบอกว่าบาดแผลจากอุบัติเหตุของนายก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรมากนัก เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไมนายถึงตัดสินใจจะวางมือ แต่ถ้านายแน่ใจแล้ว พวกเราทุกคนก็พร้อมจะยอมรับ อาจารย์ทวีรู้ข่าวนี้ก็เลยฝากมาถามว่าสนใจมาเป็นอาจารย์ที่คณะไหม”


ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ตอบกลับ


“ขอเวลาสักพักนะ แล้วเราจะให้คำตอบ”


เมื่อเรียบร้อยจึงวางโทศัพท์ลงที่เดิม


“คิดแล้วเชียวว่าพายต้องอยู่ที่นี่” เพียงพรรษเอ่ยขึ้นขณะเดินมาหยุด เธอสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกอย่างปลอดโปร่ง ยิ้มให้กับท้องทุ่งก่อนจะนั่งลง “ช่วงนี้แขกเยอะหน่อยนะพาย อาจจะมีเสียงดังบ้าง”


“ไม่เป็นไรนี่ จริง ๆ ตรงนี้ก็เงียบดี”


“บ้านปลายนา”


น้องชายมองเสี้ยวหน้าสวยอย่างแปลกใจ


“พี่ตั้งชื่อเรือนข้างหลังนี้ว่าบ้านปลายนา” หญิงสาวกล่าวพลางหันกลับไปมองเรือนไม้ชั้นเดียวมีดาดฟ้า นับเป็นเรือนหลังสุดท้ายของโฮมสเตย์ที่อยู่ลึกเข้ามาจนติดชายทุ่ง “เมื่อสมัยเด็ก ๆ เห็นพายชอบมานั่งเล่นตรงนี้ พี่เลยกันเอาไว้ยังไม่ให้แขกเข้าพัก กะจะรอถามพายว่าอยากจะได้เป็นห้องส่วนตัวไหม ข้างในพี่ให้ช่างเขาเจาะผนังติดประตูบานพับทั้งสองด้าน หน้าฝนตื่นขึ้นมาจะได้มองเห็นต้นข้าวเขียว ๆ แบบร้อยแปดสิบองศา”


“อุตส่าห์ทำมาก็ให้แขกพักไปเถอะ พายอยู่ห้องเดิมก็ดีแล้ว”


“ตามใจพายก็แล้วกัน”


“ตามหาพายมีอะไรหรือเปล่า”


“พี่จะบอกว่าเมื่อเช้าพี่แวะเอาหนังสือบริจาคของพายไปให้หวานที่บ้านแล้วนะ พี่ฝากเงินไว้จำนวนหนึ่งด้วย เผื่อว่าหวานจะเอาไปซื้ออะไรเพิ่มเติม หวานตื่นเต้นใหญ่เลยที่รู้ว่าพายกลับมาอยู่บ้าน นี่ไม่ได้บอกใครเลยเหรอ”
น้องชายส่ายหัวเบา ๆ “พี่ฝนรู้จักหวานได้ยังไง”


“ก็หวานเป็นภรรยาฉายนี่นา”


“ภรรยา?”


“ใช่” พี่สาวเลิกคิ้ว “นี่รู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนบ้างเนี่ย เขาอยู่ด้วยกันจนมีลูกชายอายุขวบกว่า ๆ แล้วนะ”


พายุพัดถอนใจเบา ๆ เมื่อยากจะหาเหตุผลมาอธิบายจึงถามเรื่องที่สงสัยต่อ “แล้วฉายล่ะ ทำไมรู้จักฉาย”


“ก็พี่เอก สถาปนิกที่ออกแบบบ้านให้เรา เขาบอกว่าเขามีน้องที่รู้จักเป็นคนน่าน ถามไปถามมาปรากฏว่าเป็นฉาย ตอนทำบ้านฉายก็แวะมาหาพี่เอกบ่อย ๆ แม่จำฉายได้ พี่ก็เลยรู้ว่าฉายเป็นเพื่อนพาย”


“อืม” คนฟังพยักหน้า


“กับสิชลล่ะ คุยกันบ้างหรือเปล่า


“นาน ๆ ทีน่ะ”


“แล้วนี่รู้ไหมว่าเขาจะแต่งงาน”


“รู้แล้ว”


“ค่อยยังชั่ว นึกว่าการเป็นนักกีฬาดังจะทำให้น้องชายพี่ต้องตัดขัดจากเพื่อนฝูงเสียแล้ว”


“ว่าไปนั่น”


“ก็มันจริงนี่นา ถามจริง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไหม”


น้องชายนิ่งนึก ยกมือขึ้นถูต้นคอพลางกดตาลงมองกำไลเงินที่ข้อมือแล้วตอบ “เป็นสิ”


“แล้วจากนี้ไปล่ะจะเอายังไง จะไม่ว่ายน้ำแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากอยู่เฉย ๆ สักพัก” พูดจบก็หันมองพี่สาว “พายทำให้พี่ฝนกับแม่ลำบากหรือเปล่า”


“ทำไมคิดแบบนั้น จะลำบากเรื่องอะไร” เพียงพรรษวาดแขนเล็กขึ้นโอบไหล่น้องชาย “น้องชายพี่ทั้งคน พี่เลี้ยงได้สบายมาก”


“พายดำนาแลกข้าวก็ได้”


“ดูพูดเข้า”


“แล้วพี่ฝนกับแม่ล่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะสนับสนุนให้พายว่ายน้ำหรือเปล่า”


“ก็ต้องอย่างนั้นสิ” พี่สาวตอบอย่างไม่ลังเล “มันเป็นสิ่งที่พายรักนี่ พี่กับแม่ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว”


“ไม่รู้สึกว่าที่ผ่านมาพายเห็นแก่ตัวเหรอ พายได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ออกไปใช้ชีวิตอิสระ”


“ไม่เลย เพราะสิ่งที่พี่อยากทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของเรา ดูแลพายกับแม่ พี่รู้ว่าพายเองอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้สบาย วันหนึ่งเมื่อสิ่งที่เรารักกลายเป็นหน้าที่ มันมักมีความกดดัน มีความคาดหวังจากคนอื่น มีความรู้สึกของผู้คนมากมายให้เราต้องรับผิดชอบ พี่สิต้องถามว่าพายน่ะรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม”


น้องชายฟังแล้วได้แต่เอียงศีรษะพิงไหล่เล็ก เขาเลือกที่จะไม่ตอบเพราะพี่สาวได้พูดแทนไปหมดแล้ว


“กลับมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับเพื่อนมาก ๆ บางทีอาจจะนึกได้ว่าที่ผ่านมาเราลืมอะไรไป”


“ก็อาจจะจริงนะ ที่ผ่านมาพายรู้สึกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบบังคับให้เราต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องอยู่ด้วยตัวเองได้ นึกถึงแต่ความรู้สึกของคนอื่นจนบางครั้งก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัว ลืมนึกถึงแม่ ลืมนึกถึงพี่ฝน ลืมไปว่าเพื่อน ๆ ก็คงอยากรู้ข่าวคราวของเราเหมือนกัน”


“อย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของตัวเองด้วยล่ะ”


“พี่ฝนหมายความว่ายังไง”



“ก็แค่เป็นห่วงน่ะ กลัวว่าจะนึกถึงความรู้สึกคนโน้นคนนี้ จนลืมว่าตัวเองรู้สึกยังไง” พี่สาวดันหัวน้องออก ยืดแขนบิดขี้เกียจพร้อมกับถอนหายใจยาว “เฮ้อ! พี่ไปดีกว่า” พูดจบเธอก็ลุกเดินไปเสียดื้อ ๆ


พายุพัดละสายตาจากร่างเล็ก หยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นอย่างต่อเนื่องขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจดจ่ออยู่กับข่าวคราวที่ถูกส่งกันภายในกลุ่มนักกีฬาสมาคมว่ายน้ำ แต่วันนี้กลับมองข้ามมันไปแล้วเปิดอ่านข้อความจากเพื่อน ๆ สมัยมัธยมแทน ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ด้วยยอมรับอย่างเต็มใจว่าที่ผ่านมาเขาลืมนึกถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัวไปเสียสนิท แต่กลับไม่เคยลืมความรู้สึกของตนเอง แม้จะพยายามลืมเท่าไรก็ตาม

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-07-2018 16:06:21
(ต่อค่ะ)

หนุ่มนักกีฬาเดินฝ่ารถรามากมายที่จอดติดอยู่บนถนนเพราะต่างรอเข้าจอดภายในลานกว้างที่โรงแรมเตรียมไว้ให้บริการยามเมื่อมีงานเลี้ยงหลายงานจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มอาศัยแสงไฟจากโคมติดหัวเสาเตี้ย ๆ เดินไปตามทางที่ขนาบข้างด้วยสวนดอกไม้กระทั่งถึงหน้าอาคารชั้นเดียวหลังแรกซึ่งทำเชิงบันไดเลียนแบบวัดในภาคเหนือ เงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรเหนือกรอบประตูซึ่งเป็นชื่อของห้องจัดเลี้ยง ด้านล่างคือซุ้มดอกไม้ประดับชื่อและภาพถ่ายคู่รัก เมื่อเห็นว่ามาไม่ผิดจึงก้าวขึ้นบันไดเดินเข้าไปภายใน ร่างสูงหยุดนิ่งกวาดตามองหาคนคุ้นหน้าท่ามกลางแขกเหรื่อ บ้างก็ยืนคุยกัน บ้างก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ แต่ในบรรดาผู้คนมากมายก็ไม่ปรากฏคนที่รู้จักเลยสักคน   


“พาย”


เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อต้องหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นคือหญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ส่วนในอ้อมแขนนั้นคือหนูน้อยแก้มยุ้ยในชุดเอี๊ยมสีใกล้เคียงกันกับชุดที่เธอสวม


“หวาน”


“ดีใจจังที่ได้เจอ เพิ่งมาถึงเหรอ”


“อืม หวานล่ะ เพิ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ”


“เรามาถึงสักพักแล้วละ แต่ลูกงอแง ก็เลยพาไปเดินเล่นข้างนอกมา” ว่าแล้วก็หันไปหาลูกชาย “ฟีฟ่าธุจ้าอาพายก่อนลูก”


“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกใคร” พายุพัดกล่าวพลางมองเด็กชายที่กำลังทักทายเขาด้วยการตบมือแปะ ๆ


“พ่อเขาตั้งน่ะ” น้ำหวานยิ้ม “พายไปนั่งด้วยกันนะ เดี๋ยวหวานพาไปเจอเพื่อน ๆ”


ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินตามหญิงสาวไปยังโต๊ะทรงกลมที่อยู่ในตำแหน่งค่อนไปทางด้านหน้าใกล้กับเวทีซึ่งมีป้ายเขียนกำกับให้รู้ว่าเป็นโต๊ะสำหรับเพื่อน ๆ สมัยมัธยมของฝ่ายเจ้าบ่าว หลายคนที่นั่งล้อมวงอยู่คือคนที่พายุพัดคุ้นหน้าเป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นคือภาณุ เขาลุกขึ้นเดินมารับลูกชายไปอุ้มแล้วกล่าวทักทายเพื่อนเก่า


“นั่งด้วยกันสิพาย ข้างเรายังว่าง”


เจ้าของชื่อพยักหน้า จากนั้นจึงนั่งลงตามคำเชิญ และเขาก็กลายเป็นคนที่เพื่อน ๆ ต่างก็ให้ความสนใจ ชายหนุ่มต้องตอบคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาหายไปจากชีวิตของทุกคน แต่นั่นกลับไม่ทำให้พายุพัดรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด มันดีกว่าการถูกรุมล้อมโดยนักข่าวสายกีฬาที่พร้อมใจกันยื่นไมโครโฟนจ่อปากสัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกเช่นไรที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เป็นไหน ๆ


เมื่อเพื่อน ๆ เริ่มให้ความสนใจกับอาหารที่เพิ่งถูกบริกรยกออกมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มจึงได้มีโอกาสได้มองสำรวจไปรอบ ๆ โต๊ะข้าง ๆ คือบรรดาเพื่อนของฝ่ายเจ้าสาว สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นหญิงสาวผมยาวที่นั่งหันข้างให้ ไม่ใช่เพราะเธอสวยเด่นหรือเพราะเธอคืออดีตประธานสี แต่เพราะเธอคือคนที่เคยได้รับดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่จากคนที่เขากำลังมองหาอยู่ในขณะนี้ต่างหาก


ทันทีที่บทเพลง “หากันจนเจอ” ดังขึ้น ทั้งห้องก็เงียบกริบ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดผ้าทอพื้นเมืองที่กำลังจูงมือกันผ่านประตูเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงท่ามกลางแสงแฟล็ชและเสียงชัตเตอร์ แม้ในขณะนี้ทั้งคู่จะเดินไปจนเกือบถึงเวทีแล้ว แต่ดวงตาของพายุพัดกลับไม่อาจละจากเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่กำลังยืนถือโทรศัพท์บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ระยะที่เขายืนนั้นห่างจากตรงนี้อยู่พอสมควร แต่พายุพัดก็จำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองมากนัก ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่การได้พบกันอีกครั้งกลับยิ่งตอกย้ำว่าไม่ใช่ ยิ่งร่างสูงนั้นก้าวใกล้เข้ามา หัวใจก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ รัวและแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตนเองว่ายแตะขอบสระเป็นที่หนึ่งเสียอีก


นคินทรเดินมานั่งยังที่ของตน มองคู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่บนเวที ด้านหลังปรากฏวิดีโอสั้นบนฉากรับภาพเล่าเรื่องราวความรักของคนสองคน เสียงปรบมือโห่ร้องดังไม่ขาด ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่ามีรูปของตนสมัยที่ยังเป็นนักเรียนม.ปลายรวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่อจบเรื่องราวที่เล่าด้วยภาพและเสียง พิธีกรก็แนะนำคู่บ่าวสาวพร้อมทั้งเชิญพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายขึ้นกล่าวอวยพร พ่อแม่ของอวัศย์น้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้มใจ ส่วนอาจารย์สินธูและภรรยาซึ่งเป็นพ่อแม่ของสิชลก็เสียงสั่นสุดจะกลั้น เล่นเอาคนฟังที่อยู่ด้านล่างน้ำตารื้นไปตาม ๆ กัน


พิธีการต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยความกระชับฉับไว กระทั่งถึงตอนท้าย สาว ๆ หลายคนต้องผิดหวังที่ในวันนี้ไม่มีการโยนดอกไม้และไม่มีเจ้าสาวคนต่อไป เพราะหลังจากนั้นอวัศย์และสิชลก็เดินลงมาจากเวทีเพื่อถ่ายรูปกับบรรดาแขกผู้ใหญ่ นคินทรมองตามสองคนที่จูงมือกันพลางยิ้มน้อย ๆ และเมื่อเขาดึงสายตากลับก็บังเอิญสบเข้ากับดวงตาอีกคู่ ยังไม่ทันได้ยิ้มหรือกล่าวทักทายกัน อีกฝ่ายก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองเสียแล้ว


พายุพัดใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอไปเรื่อยเปื่อยราวกับมันเป็นเพียงสิ่งที่จะทำให้มือไม้มีที่วางในยามต้องเผชิญหน้ากับคนที่ดูดเอาความมั่นใจของเขาหายไปจนหมด ครู่หนึ่งก็หยุดที่หน้าของโปรแกรมสนทนาซึ่งเต็มไปด้วยข้อความมากมาย ปลายนิ้วแตะที่รูปแทนตัวของใครบางคนจนปรากฏหน้าต่างใหม่มีข้อความให้กดเพิ่มเป็นเพื่อน จ้องอยู่คู่หนึ่งก็กดปิดแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา


“โอ๊ะ ๆ ๆ” ภาณุร้องขณะลุกขึ้น ไม่รู้ว่าขาพันกันท่าไหนจึงเซไปกระแทกพายุพัดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำเอาโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือเกือบตกพื้น แต่ยังโชคดีที่เจ้าตัวคว้าไว้ได้ทัน


“ระวังหน่อยสิพ่อ” น้ำหวานกล่าวขณะยกผ้ากันเปื้อนขึ้นซับน้ำลายให้เจ้าตัวเล็ก


ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วก็หันไปขอโทษเพื่อน “โทษทีว่ะพาย สงสัยจะเมา”


“เมาอะไรวะ ทั้งโต๊ะมีแต่น้ำอัดลม” คนนั่งข้างนคินทรเอ่ยขึ้น


“เออ ก็เมาน้ำอัดลมไงครับแบงค์ ไปฉี่ก่อนนะ ปวดฉี่ว่ะ”


พายุพัดหงายโทรศัพท์ขึ้น เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เผลอไปแตะถูกข้อความนั่นเสียแล้ว แม้จะตกใจแต่ก็พยายามวางหน้านิ่ง


นคินทรดึงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูจึงพบว่ามีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


Prapai เพิ่มคุณเป็นเพื่อน


ชายหนุ่มเงยหน้ามองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเดินหายไปไหนเสียแล้ว


เมื่อภาณุและพายุพัดเดินกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งก็เป็นเวลาเดียวกับที่อวัศย์และสิชลเดินมาถึงโต๊ะที่พวกเขานั่งพอดี เพื่อน ๆ ต่างยืนเบียดเสียดจัดท่าถ่ายรูปร่วมกันอย่างสนุกสนาน นับเป็นภาพประทับใจที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักที


“ฉายกับพายมาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว” สิชลเรียก


สองคนจึงรีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ทันที


“ไอ้ม่อนมาเบียดทำไมเนี่ย ไปยืนตรงโน้นเลย ตรงนี้พ่อแม่ลูกเขาจะยืนด้วยกัน” ภาณุเอ่ยปากไล่ไม่จริงจังนัก


“ใครกันแน่ที่เบียด มาทีหลังแล้วยังจะเรื่องเยอะอีก” นคินทรบ่นก่อนจะเดินอ้อมมาอีกทางเป็นจังหวะเดียวกับที่พายุพัดก็เดินไปหยุดที่ตำแหน่งนั้นเช่นกัน


“ยืนชิด ๆ กันหน่อย” ย้งที่รับหน้าที่เป็นตากล้องเอ่ยขึ้นพลางโบกไม้โบกมือให้เพื่อน ๆ ขยับเข้าหากัน เขามองภาพผ่านช่องมองภาพแล้วเงยหน้าขึ้นถอนหายใจ “ไอ้พาย เขยิบชิด ๆ ไอ้ม่อนหน่อย จะเว้นไว้ทำไม เอาไว้จ้วงน้ำว่ายท่าฟรีสไตล์เหรอ”


สิ้นเสียงช่างภาพ ทุกคนก็พากันหัวเราะ ยกเว้นพายุพัดที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แขนขาวยกขึ้นโอบไหล่และรั้งร่างของเขาเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่าย


“ไม่กัดหรอก” นคินทรกล่าวทั้งที่ดวงตาจับจ้องไปที่เลนส์ขนาดใหญ่ของกล้อง DSLR


เจ้าของร่างสูงไม่ได้พูดอะไร เขาลอบมองดวงหน้านั้นได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องหันไปตามคำสั่ง...


“เอ้า! มองกล้อง... อะ...แยกเขี้ยววว!”


เสียงชัตเตอร์ดังรัว แต่ก็คงสู้เสียงหัวใจที่บีบตัวถี่ ๆ จนแทบจะทะลุออกนอกอกเสื้อไม่ได้


นคินทรคลายวงแขนออก ยังไม่ทันจะได้ทักทายกัน มัทนาก็เดินเข้ามาเสียก่อน เธอส่งดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ให้เจ้าสาวแล้วถอยออกมายืนรวมกับบรรดาสาว ๆ ชมรมนาฏศิลป์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันงงว่าเกิดอะไรขึ้น


“สิกับหมอก เราคุยกันว่าจะไม่มีการโยนดอกไม้ แต่เราอยากจะมอบดอกไม้ช่อนี้ให้กับเพื่อนคนหนึ่งที่เรารักมาก ๆ” พูดจบเธอก็สืบเท้าไปหยุดตรงหน้าของน้ำหวานแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้ “สิขอให้หวานได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไปนะจ๊ะ”
ถ้อยคำจริงใจนั้นทำเอาคนที่ยืนล้อมวงฟังน้ำตาคลอเบ้า โดยเฉพาะน้ำหวาน เธอฝากลูกชายไว้กับภาณุ รับดอกไม้ช่อนั้นแล้วสวมกอดสิชล


“ขอบคุณมากนะสิ ขอบคุณจริง ๆ”   


“ไม่เอาสิ ไม่ร้อง เดี๋ยวสิร้องตามนะ” เจ้าสาวกล่าวพลางลูบหลังเพื่อนเบา ๆ


ได้ฟังดังนั้นน้ำหวานจึงรีบเช็ดน้ำตาขยับห่างออกมาเล็กน้อยแล้วยิ้มให้


“ต้องอย่างนี้สิ น้ำหวานที่สิรู้จักน่ะ เข้มแข็งที่สุด”


“ขอบใจมากนะสิ” หญิงสาวกล่าวพลางฝืนกลืนน้ำตา เธอต้องเข้มแข็งนับแต่วันที่รู้ว่าตนเองตั้งท้องลูกของภาณุในวันที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ใช้เงินเก็บก้อนเดียวที่มีเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ภายในบริเวณบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ส่วนภาณุก็ต้องไปหยิบยืมเงินจากผู้เป็นแม่มาซื้ออุปกรณ์สำหรับทำร้านรับออกแบบป้ายและสิ่งพิมพ์อยู่ข้าง ๆ กัน แต่ที่เข้มแข็งกว่าเธอเป็นล้านเท่าก็คือสิชล ที่ยอมให้อภัยอดีตคนรักเพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้แม้ว่าภาณุจะเคยทำให้เจ็บซ้ำสักเท่าใด ยิ่งตอกย้ำว่าสิชลรักอวัศย์อย่างแท้จริงจึงยอมเสียสละได้ถึงเพียงนี้


สิชลยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าบ่าวของเธอ พลันอวัศย์ก็ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อผ้าฝ้าย หยิบบางอย่างออกมาแล้วส่งให้


“สิมีของที่อยากจะคืนให้ฉาย” พูดจบเธอก็ส่งซองกำมะหยี่เล็ก ๆ ให้ชายหนุ่ม


ภาณุแบมือรับของที่คนรักเก่ามอบให้ เปิดออกจึงพบว่ามันคือสร้อยข้อมือทำจากเงินคล้องจี้รูปหัวใจที่เคยให้อีกฝ่ายเพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่าหัวใจของเขาจะหยุดอยู่ที่เธอคนนี้เพียงผู้เดียว


“มันควรอยู่กับคนที่ฉายรักนะ”


“ขอบคุณมากนะสิ ขอบคุณจริง ๆ” พูดจบก็เลื่อนสายตาไปยังอีกคน “ขอบใจนายด้วยนะหมอกที่ยังนับเราเป็นเพื่อน”


“พูดอะไรแบบนั้นวะ” นายสัตวแพทย์กล่าวก่อนจะสืบเท้าแล้วเลื่อนมือขึ้นบีบไหล่เพื่อนเพื่อย้ำเตือนความรู้สึก


เมื่ออวัศย์และสิชลเดินผ่านไปแล้ว ภาณุจึงหันมากล่าวกับนคินทร “ขอบใจนายด้วยนะม่อน”


“เรื่องอะไร”


“ก็ที่อุตส่าห์ไปซื้อสร้อยเส้นนี้แล้วฝากพายมาให้ไง”


“ม...ไม่เป็นไร” นคินทรกล่าวก่อนจะเหลียวมองคนข้าง ๆ ไม่คิดจะถามหาที่มาที่ไปเพราะสร้อยเส้นนั้นก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวมันเองแล้ว


“ถ่ายรูปคู่บ่าวสาวไปแล้ว เรามาถ่ายรูปคู่จิ้นกันบ้างไหมครับพี่หนูนา” จู่ ๆ ย้งก็พูดขึ้นเสียงดัง จนบรรดาเพื่อน ๆ พากันเกาะกลุ่มไม่ไปไหน


“คู่จิ้นอะไรจ๊ะน้องย้ง”


“ก็พี่ม.ห้ากับน้องม.สี่ไงครับ เขาเห็นกันทั้งโรงเรียนว่าไอ้ม่อนเอากุหลาบไปให้พี่หนูนา ความสัมพันธ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”


นคินทรหันขวับก่อนจะกล่าวแบบไม่มีเสียงในคำสุดท้าย “ความสัมพันธ์...”


“สวัสดีครับพ่อ” ย้งยกมือไหว้ท่วมหัว


“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วน้องย้ง ม่อนเอามาให้พี่เพราะว่าม่อนจะย้ายโรงเรียน ไม่ได้อยู่ถึงวันปัจฉิมนิเทศตอนที่พี่ขึ้นม.หกต่างหาก”


อีกคนที่ถูกพาดพิงพยักหน้า


“ไม่มีลุ้นแล้วสินะ ไป ๆ แยกย้าย ๆ” แบงค์โพล่งขึ้น ดังนั้นบรรดาคนที่ยืนลุ้นจึงพากันกลับไปนั่งที่โต๊ะ


“อ้าว นี่ผมจิ้นผิดมาเป็นสิบปีเลยเหรอเนี่ย” ตากล้องหนุ่มเกาหัว


พายุพัดกลั้นยิ้มแล้วเสมองไปทางอื่น ไม่ใช่แค่ย้งคนเดียวหรอกที่คิดเช่นนั้น ยังมีเขาอีกคน ชายหนุ่มลอบส่ายหัวเบา ๆ ใจพองอยู่ได้ไม่นานก็แฟบลงพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของใครคนหนึ่ง


“ม่อน”


เจ้าของชื่อเหลียวกลับไปมอง พบแสนยากำลังเดินเข้ามา “นึกว่านายไม่มา”


“ยังไงก็ต้องมา สิแต่งงานทั้งที นี่พอคุยงานเรียบร้อยก็รีบขับรถมาจากเชียงใหม่เลย แถมมาทันฟังเรื่องสนุก ๆ ด้วย”


“เรื่องอะไร”


“ก็เรื่องนายกับพี่คนสวยนั่นไง ไม่เคยรู้เลยว่าโรงเรียนเรามีเรื่องแบบนี้ด้วย”


“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ”


“แต่ถ้าอยากให้เข้าใจถูกเราช่วยได้นะ” แสนยาส่งสายตากรุ้มกริ่ม


“หมายความว่ายังไง”


“ถ้าอยากมีคู่จิ้นละก็บอกเราได้”


“จะหาให้ม่อนมันหรือไง” ภาณุจงใจแทรกขึ้น


“เปล่า จะเป็นให้ต่างหาก” แสนยาหัวเราะก่อนจะหันไปหานักว่ายน้ำหนุ่มที่ยืนทำหน้านิ่งไม่ผิดจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน  “ไม่คิดว่าจะเจอนักกีฬาดังที่นี่ด้วย”


“ไม่คิดว่าจะเจอนายเหมือนกัน” พายุพัดตอบกลับเรียบ ๆ


“พูดน้อยไม่เปลี่ยนเลยนะ ฟังแล้วดูเหมือนนายไม่ค่อยอยากเจอเราเท่าไร แต่ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็มีคนอยากเจอเราตั้งเยอะแยะจริงไหมม่อน” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นโอบไหล่นคินทรแล้วกระซิบ “เราขอตัวไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ก่อนนะ ไว้เจอกัน”


นคินทรได้แต่พยักหน้างง ๆ 


“กวนตีนไม่เปลี่ยน” ภาณุโพล่งขึ้น


“อย่าพูดไม่เพราะต่อหน้าลูกสิพ่อ” น้ำหวานปราม


“จ้ะแม่”


นคินทรยิ้มน้อย ๆ ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ คงเป็นเพราะเจ้าหนูน้อยที่ฟุบหน้าอยู่กับบ่าของเขาเป็นแน่


“ว่าแต่นายเถอะ ไปรู้จักไอ้แสนมันตอนไหน”


“เจอกันครั้งหนึ่งที่หอศิลป์น่ะ สิแนะนำให้รู้จัก” ชายหนุ่มตอบตามจริง


“ทำเนียนยังกับสนิทมาสิบปี” ภาณุกล่าวอย่างไม่สบอารณ์   


หลังจากถ่ายรูปกับผู้ที่มาร่วมงานจนครบทุกโต๊ะแล้ว คู่บ่าวสาวก็ออกไปรอส่งแขกที่หน้าห้องจัดเลี้ยง เมื่อเห็นแขกผู้ใหญ่เริ่มทยอยกลับ บรรดาเพื่อน ๆ ก็ขอตัวลาเช่นกัน


“ฉาย เราขอกุญแจเปิดรถหน่อยสิ” นคินทรกระซิบขณะย่อตัวลงนั่งที่ด้านหลัง มองหนุ่มน้อยที่กำลังหาวหวอด ๆ ซบหน้าลงกับบ่าของผู้เป็นพ่อ


“ลืมของเหรอ”


“เปล่า จะเอาเป้น่ะ เดี๋ยวเราติดรถแบงค์ไปที่พักเอง นายกับหวานไม่ต้องไปส่งหรอก”


“ทำไมล่ะม่อน” น้ำหวานถามแทนสามี “เดี๋ยวให้ฉายไปส่งก็ได้ ที่พักที่สิจองไว้ให้น่ะฉายรู้จัก”


“ไม่เป็นไร เราไปกับแบงค์ได้ สิจองที่พักให้แบงค์ที่นั่นเหมือนกัน ดึกแล้ว หวานกับฉายจะได้พาลูกกลับบ้าน" พูดพลางแตะหลังนิ้วที่แก้มยุ้ยก่อนจะถูกเบา ๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองมา


ภาณุเหลือบมองลูกชายที่กำลังหลับปุ๋ยสลับกับใบหน้าของภรรยาแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงล้วงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงส่งให้
นคินทรรับมาแล้วเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง ข้ามถนนไปยังลานจอดรถที่อยู่อีกฝั่ง ชายหนุ่มเปิดประตู คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง ตั้งใจจะข้ามกลับมายังฝั่งโรงแรมเพื่อร่ำลาบ่าวสาว แต่เมื่อพบใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่อีกฟากถนนก็หยุด เห็นใบหน้าเรียบเฉยแล้วอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงยังโกรธที่เขาเข้าใจผิดจนต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงไปในวันนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจในขณะที่หูได้ยินเสียงแตรรถยนต์ กำลังจะหันกลับไปมองก็ถูกมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขน รั้งให้หลบเข้าข้างทาง


นัยน์ตาสีเข้มมองตามไฟท้ายรถยนต์ที่เพิ่งเลี้ยวออกไปก่อนจะเลื่อนกลับมายังดวงหน้าของคนข้างกาย เห็นอีกฝ่ายอยู่ในอารามตกใจจึงเอ่ยขึ้น “มัวคิดอะไรอยู่ รถเกือบชนแล้วรู้ไหม” พูดจบพายุพัดก็คลายมือออก


“ขอบคุณนะ” นคินทรกล่าวเมื่อตั้งสติได้ “เรื่องสร้อย...ขอบคุณที่อุตส่าห์ตามไปเก็บมาให้”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยตัดบทพลางล้วงมือข้างขวาลงในกระเป๋ากางเกง “เราเองก็ต้องขอโทษนายเรื่องวันนั้นเหมือนกัน”


“ลืมไปหมดแล้วละ ถ้าตอนนี้มีใครมาถามว่าทำไมวันนั้นถึงกระโดดลงไปก็จะตอบว่าจำไม่ได้แล้ว”


พายุพัดส่ายหัวพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้กับความอ้อมค้อมไม่เคยเปลี่ยนของคู่สนทนา


“แล้วก็...เรื่องสมุด ขอโทษที่ต่อว่าไปแรง ๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง หลังจากวันนั้นฉายมาสารภาพกับเรา เราอยากอยู่ขอโทษ แต่มันไม่ทันจริง ๆ”


“สมุด” หนุ่มนักกีฬาพึมพำ ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในหัวทำให้รู้สึกหูอื้อไปหมดจนแทบไม่ได้ประโยคถัดจากนั้น


“มีอะไรหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่มีอะไร เราขอตัวกลับก่อนนะ”


ทั้งที่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน แต่พายุพัดกลับเลือกที่จะตัดบทแล้วจากมา นั่นเพราะเขามีเรื่องสำคัญต้องทำ...
เพียงพรรษที่กำลังนั่งดูข่าวภาคดึกยืดคอขึ้นมองเมื่อน้องชายเดินเข้ามาในบ้าน เห็นร่างสูงก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรีบร้อนจึงไม่ทันได้ถามเกี่ยวกับงานเลี้ยงวันนี้


เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนได้ พายุพัดก็ดึงลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือออกมา จัดการรื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจายไปหมด
“อยู่ไหนวะ จำได้ว่าเอาใส่ไว้ในนี้นี่นา”



....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-07-2018 16:10:55
(ต่อค่ะ)

นคินทรปรือตาขึ้นก่อนจะเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ เมื่อยกขึ้นดูก็พบข้อความของแบงค์ที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอนสีขาวสะอาด จากนั้นจึงเดินไปรั้งผ้าม่านสีขาวให้เปิดออก เมื่อคืนตอนที่มาถึงก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่านอกประตูบานเฟี้ยมติดกระจกนั้นคือทุ่งนากว้างใหญ่ที่ขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยกล้าข้าวสีเขียวที่เพิ่งปักดำ มีแนวภูเขาทอดตัวลดหลั่นเป็นฉากหลัง


ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดประตูออกไปด้านนอก โดยไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องเจอกับสภาพอากาศแบบใด ทันทีที่กระแสลมอ่อน ๆ พัดปะทะผิว ทั้งร่างก็สั่นสะท้านจนต้องยกมือขึ้นกอดอก กระนั้นเท้าเปลือยยังคงก้าวตามพื้นไม้ชื้นแฉะก่อนจะหยุดทอดตามองทิวทัศน์ตรงหน้า ฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนทำให้เห็นกลุ่มเมฆลอยต่ำเรี่ยไปกับสันเขา หมอกจาง ๆ ยังคงปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนแสงอาทิตย์ไม่อาจออกมาทักทายต้นไม้ใบหญ้าได้อย่างเคย ที่นี่เงียบสงบอย่างที่อวัศย์และสิชลบอกไว้ไม่มีผิด นคินทรเงยหน้าขึ้นมองต้นเสี้ยวต้นใหญ่ เห็นแล้วชวนให้นึกถึงหน้าต่างห้องนอนบนชั้นสองของบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งยังเด็ก พลันรอยยิ้มแรกของวันก็แย้มขึ้นบนใบหน้า


เห็นว่าจวนได้ที่นัดให้เพื่อนครูมารับ ชายหนุ่มจึงจำต้องผละจากบรรยากาศแสนสบาย กลับเข้าไปอาบน้ำอาบท่าและเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า นคินทรเดินไปตามทางเดินไม้ระแนง ผ่านส่วนที่เป็นสวนและบ่อเลี้ยงปลากระทั่งถึงอาคารหลังหน้าสุด ซึ่งยังคงความเป็นบ้านไม้สองชั้นเอาไว้ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในเพื่อคืนกุญแจก็เป็นเวลาเดียวกับที่ลูกชายเจ้าของบ้านเดินลงบันไดมาพอดี ต่างคนต่างประหลาดใจเมื่อพบหน้ากันและกัน


“มาได้ไง”


“เราสิต้องถาม ก็นี่บ้านเรา” พายุพัดว่า


นคินทรเลิกคิ้วก่อนจะมองสำรวจไปรอบ ๆ บนผนังเต็มไปด้วยภาพการขึ้นรับเหรียญรางวัลของฉลามหนุ่มคนดัง แต่สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพายุพัดมากขึ้นไปอีกก็คือเจ้าของบ้านท่าทางใจดีที่เดินยิ้มออกมาจากในครัว


“ม่อนใช่ไหมลูก”


เจ้าของชื่อยกมือไหว้ แม้จะไม่ได้พบกันเสียนานแต่ก็จำแววตาอ่อนโอนของเธอได้ขึ้นใจ


“ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเป็นบ้านของพาย ตอนที่ฝากสิจองที่พักให้ สิแค่บอกว่าเป็นโฮมสเตย์ของแม่เพื่อน ถ้าทราบมาก่อนคงมาทักทายคุณน้าตั้งแต่เมื่อคืน”


“ไม่เป็นไรจ้ะ”


“คุณน้า...”


“เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะลูก เพื่อนพายก็เหมือนกับลูกแม่นั่นแหละ”


“ครับ” นคินทรรับคำด้วยความเต็มใจ “แม่สบายดีเหรอครับ”
   

“สบายตามประสาคนแก่นั่นแหละจ้ะ” เธอยิ้มแล้วหันไปพูดกับลูกชาย “แม่ลืมบอกพาย นี่ก็กะว่าจะออกมารอดักม่อน กลัวว่าเดี๋ยวจะไปเสียก่อน”


“กำลังจะไปพอดีครับแม่ ผมแวะเอากุญแจมาคืน” พูดจบชายหนุ่มก็วางกุญแจไว้ที่เคาน์เตอร์ “เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้นะครับ” เขากล่าวด้วยเข้าใจดีว่าเป็นกฎกติกาของโรงแรมทั่วไปที่จะต้องรอให้พนักงานตรวจสอบห้องพักให้เรียบร้อยเสียก่อน


“ไม่เป็นไรจ้ะ อยู่กินข้าวกับแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ทอดปลาทูอีกกระทะก็เสร็จแล้ว” ดวงพรกล่าวก่อนหันไปบอกลูกชาย “พายชวนเพื่อนอยู่กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนนะลูก”


“อ...เอ้อ ครับ” พายุพัดรับคำพลางมองผู้เป็นแม่ที่เดินกลับเข้าไปในครัว จากนั้นจึงเบนหน้ามายังอีกคน “กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”


นคินทรพยักหน้า ปลดเป้วางลงบนเก้าอี้แล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ จนมาหยุดที่ตู้หลังใหญ่ที่ข้างในเต็มไปด้วยถ้วยรางวัล ด้านบนมีรูปของพายุพัดที่ถ่ายไว้เมื่อตอนเดินสายแข่งขันรายการต่าง ๆ


“ยังอยู่ไหม เจ้าสามตัวนี้น่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อสายตามาหยุดที่กรอบรูปเล็ก ๆ ซึ่งเป็นภาพของเจ้าแมวเหมียวสามตัวนั่งเรียงกันอยู่บนขอบหน้าต่าง


“ตายไปตั้งแต่เราเข้ามหาวิทยาลัย”
   

คนฟังพยักหน้า ได้ยินเสียงแม่เรียกแว่ว ๆ จึงพากันเดินเข้าไปในครัว


“คนนี้นี่เองที่ชื่อน้องม่อน” เพียงพรรษเอ่ยขึ้นหลังจากรับไหว้ชายหนุ่มแปลกหน้า “เมื่อคืนก็เจอกันแต่พี่ไม่รู้ ที่คุ้นหน้าก็มีแค่สิ หมอก ฉาย แล้วก็น้ำหวาน”


“ผมเรียนกับพายแค่เทอมเดียวน่ะครับ จากนั้นก็ย้ายตามพ่อไปอยู่เพชรบูรณ์”


“คุณพ่อรับราชการเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถามขณะรับจานและช้อนจากผู้เป็นแม่


“เป็นหมอทหารครับ”


“โห...เท่จัง แล้วตอนนี้ม่อนทำงานที่ไหนจ๊ะ”


เสียงกระแอมทำให้เพียงพรรษต้องหันมองน้องชายหน้านิ่ง


“กินข้าวได้แล้วมั้ง” พายุพัดว่า


“ก็อยากรู้นี่นา”


“เป็นนักข่าวหรือไง”


เห็นพี่น้องทำท่าจะตีกัน นคินทรจึงเอ่ยขึ้น “เป็นครูอยู่ที่อำเภอสันติสุขครับ”


“อ๋อ...ถ้าอย่างนั้นที่น้ำหวานบอกว่าจะเอาของไปบริจาคให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียนที่เพื่อนสอนอยู่ก็คือโรงเรียนของม่อนใช่ไหมจ๊ะ”


“ครับ”


“แล้ว...”


“กินข้าวก่อนเถอะลูก ป่านนี้น้องหิวแล้ว” แม่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวยังไม่เลิกสงสัย


หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย นคินทรก็ลาทุกคนก่อนจะออกมายืนรอพิทักษ์ที่หน้าโฮมสเตย์โดยมีพายุพัดมายืนรอเป็นเพื่อน สองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งรถของนคินทรที่ให้เพื่อนครูที่โรงเรียนยืมไปเคลื่อนมาจอดเทียบ


“เราไปก่อนนะ” ชายหนุ่มหันมากล่าว


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า ได้แต่มองคนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปนั่ง ยืนรอจนรถเคลื่อนลับตาไป เมื่อหมุนตัวกลับเตรียมจะเข้าบ้านก็พบพี่สาวยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า


“มีอะไรหรือเปล่าพี่ฝน”


“พี่จะมาถามว่าเมื่อคืนพายทำอะไรเสียงดังโครมครามมาถึงข้างล่าง”


“หาของ”


“อะไรเหรอ เผื่อพี่จะเห็น”


“กล่องใส่ของน่ะ ในนั้นมีปลอกคอแมว เหรียญ แล้วก็สมุด พี่ฝนเห็นบ้างไหม”


“อืม...คลับคล้ายคลับคลา” พี่สาวทำท่านึก


“ไม่ต้องนึกแล้ว เดี๋ยวพายว่าจะไปดูในตู้ที่เคยใส่หนังสือในห้องเก็บของ น่าจะอยู่ในนั้นแหละ”


“ใช่กล่องกระดาษสีน้ำตาลมีฝาปิดหรือเปล่า”


“ใช่ พี่ฝนเห็นเหรอ” พายุพัดตาวาว


“ตอนย้ายของออกจากห้องพายให้ช่างทาสีใหม่ พี่ต้องเผลอใส่ไปกับลังหนังสือแน่ ๆ เลย”


“ล...ลังหนังสือ”


เพียงพรรษพยักหน้าช้า ๆ อย่างรู้สึกผิด “ใช่...ลังใส่หนังสือบริจาคที่พี่เอาไปให้หวาน...”


ยังฟังไม่ทันจบชายหนุ่มก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากุญแจจากนั้นจึงกลับออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังโรงรถอย่างรีบร้อน ชั่วพริบตาซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็เคลื่อนผ่านหน้าหญิงสาวไป เธอทำได้เพียงแค่มองตามและค่อย ๆ หุบปากที่อ้าค้างไว้ลง


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 8 แล้ว ได้เจอกันสักที จนตอนนี้เราก็ยังไม่กล้าเอาไฟล์มารวมกัน ลองคิดคร่าว ๆ ถ้าตอนละ 13 หน้า x 8 ก็ปาไปประมาณ 104 หน้า 104 หน้าถึงได้กลับมาเจอกัน! เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันค่ะ หลังจากโดนแซวบ่อย ๆ เรื่องกว่าตัวเอกจะมาเจอกัน ว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถเขียนให้เร็วกว่านั้นได้ไหม เคยพยายามแล้ว สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า ไม่ได้ว่ะ เดี๋ยวก็ต้องกลับมาเล่าย้อนอยู่ดี เพราะมันมีเรื่องราวมากมายที่ต้องเล่าก่อน มีตัวละครอื่น ๆ ที่อยากแนะนำ ซึ่งส่งผลกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่พยายามเขียนไทม์ไลน์ให้เดินหน้าอย่างเดียว คงเหมือนเวลาที่ตำรวจจะสาวถึงตัวคนร้ายก็ต้องมีพยานแวดล้อมค่ะ เราขอบคุณที่ทุกคนใช้ความอดทนอ่านมาจนถึงตอนที่ 8 นี้ ถือเป็นการได้กลับมาพบกันในรอบ 10 ปีของม่อนและพาย เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่น ๆ โดยคนจุ้น ๆ และแมวจอมหยิ่งค่ะ จากนี้ไปทั้งพายและม่อนคงต้องเจอกับเรื่องราววุ่นวาย (ที่ตัวเองก่อบ้างไม่ได้ก่อบ้าง) อีกเยอะ ยังไงฝากเอาใจช่วยทั้งสองคนด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเม้นค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 17-07-2018 16:37:38
รอติดตามจ้าาา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 17-07-2018 17:01:40
 :L1:  :L1:  อ่านไปลุ้นไป ชอบ

เขียนตามที่คิดว่าดีที่สุดแหละครับ
ยังงัยผมก็ติดตามอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-07-2018 17:02:50
มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องที่คุณเขียนทั้งสำนวนและการใช้คำและภาษาที่แทบจะไม่มีคำผิดเลย ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่เราชอบมากมันแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจในงานเขียนของคุณจริง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 17-07-2018 17:13:09
ละมุน อุ่น ๆ ดีจังครับ พายได้เจอกับม่อนแล้ว ว่าแต่ต้องมีอะไรเกี่ยวกับหนังสือแน่ ๆ เลย พายดูลนมาก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: thanin ที่ 17-07-2018 17:49:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-07-2018 18:14:15
ลีลาเยอะจริงพ่อคุณ
ความลับอยู่ในสมุดหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 17-07-2018 19:06:13
มีความลับอะไรสมุดจ๊ะพาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 17-07-2018 19:21:24
เหมือนความรู้สึก/ความทรงจำที่มันตกตะกอนถูกทำให้มันขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องสมุดเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจพายมาตลอด แต่คิดว่าพายน่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในสมุดด้วยแหงๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-07-2018 19:53:11
สนุกมากเหมือนเคยค่ะ  ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 17-07-2018 20:21:44
จุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่น ๆ โดยคนจุ้น ๆ และแมวจอมหยิ่ง .. นิยามเรื่องนี้สินะ

 :heaven :heaven :heaven ......น่าอ่านมากกก

 


ปรบมือรัวๆๆ ..... ไม่น่าเชื่อว่า คุณ ถธปทฟ จะทำตามสถิติจนได้ :-[

ผ่านไป 104 หน้า  พาย กับ ม่อน ถึงได้กลับมาเจอกัน!  :กอด1:

 :hao5: :hao5: :hao5:

 รอลุ้นว่า ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำ จะตามนายม่อนทันมั้ยนะ

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-07-2018 21:30:31
แหมพายพ่อมาดขรึม พอนึกว่าของที่ต้องการได้บริจาคไปแล้ว ก็วิ่งตาตั้งออกรถไป
ขอให้ม่อนได้อ่านก่อนเถ้อะะะ
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-07-2018 21:58:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-07-2018 22:20:24
ม่อนต้องได้อ่านและรับรู้จากสมุดเล่มนั้น
เพราะเราคนอ่านก็อยากจะรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
อิอิ

ชื่นชอบอ่านสำนวนนิยายเรื่องนี้ อ่านเพลินเรื่อยๆแต่ได้อารมณ์มาก
สนุกดี..ชอบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-07-2018 23:22:56
เรื่องละมุนมากกกกกก

ได้เจอกันแล้วต่อไปพายต้องเข้าหาม่อนบ่อยๆนะ

ทำคะแนนๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 8 สายลมพัดหวน (17-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 18-07-2018 19:18:07
เห็นชื่อคนเขียนนี้รีบเปิดเข้ามาเลยค่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-07-2018 12:11:49
ตอนที่ 9 ความลับ


นัยน์สีดำสนิทจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏตัวเลขสิบตัว มันคือหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้มาจากภาณุ หลังจากที่เขารีบบึ่งรถมาที่บ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทำเอาสองสามีภรรยาแปลกใจไม่น้อย ตั้งใจจะมาถามหาของสำคัญที่พี่สาวคาดคะเนว่าน่าจะติดมากับลังใส่หนังสือบริจาค แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ามันไม่อยู่เสียแล้วเพราะนคินทรแวะเข้ามาเอาและเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


“ลองโทรไปสิ เห็นม่อนบอกว่าไปทำธุระกับเพื่อนแล้วค่อยกลับ เผื่อยังอยู่แถวนี้จะได้ไปเอา” ภาณุที่ตามออกมาส่งเอ่ยขึ้น


“โทรแล้ว แต่ไม่รับ” พายุพัดตอบ แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่ความกังวลนั้นกลับส่งผ่านออกมาทางดวงตา


“เดี๋ยวเห็นก็คงโทรกลับแหละ ว่าแต่ของอะไรวะ สำคัญมากเลยเหรอ ถึงต้องเอาคืนให้ได้”


“อือ” นักกีฬาหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง รอจนสายตัดไปเองจึงพูดขึ้น “เรากลับก่อนนะ”


“เออ โชคดี ไม่รู้จะไปไหนก็มานั่งดื่มอะไรเย็น ๆ ที่ร้านได้นะ” ภาณุกล่าวพลางมองคนหน้านิ่งที่เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ไม่นานซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็เคลื่อนจากไป


พายุพัดกลับมาที่บ้านด้วยใจหวังว่าจะได้พบของสำคัญในห้องเก็บของซึ่งยังไม่ได้เข้าไปค้นหา แต่สุดท้ายเมื่อรื้อทุกอย่างจนกระจุยกระจายความหวังที่เคยมีก็เหือดหาย ชายหนุ่มเดินหลบเลี่ยงแขกกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึงไปยังเรือนหลังสุดท้ายชายทุ่ง เท้าก้าวช้า ๆ ปล่อยให้สายลมพัดปะทะร่างเพื่อคลายความร้อนทั้งกายและใจ กระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องพักซึ่งติดป้ายเหนือกรอบประตูว่า “บ้านปลายนา” ลองเอื้อมบิดลูกบิดและพบว่าสามารถเปิดเข้าไปภายในได้ คงเพราะคนงานยังไม่ได้มาทำความสะอาด เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปจึงเห็นว่าคนเข้าพักได้พับผ้าห่มวางไว้ที่ปลายเตียง เรียงหมอนไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยที่หัวนอนก่อนจะจากไป


สายลมเย็นพัดผ่านช่องประตูบานเฟี้ยมที่แง้มไว้พาให้ม่านสีขาวปลิวไสว ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นอนซึ่งยกสูงจากพื้นไม่มาก วางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วดึงหมอนใบนุ่มมาไว้บนตักพลางใช้มือลูบเบา ๆ ราวกับตรงหน้าคือแก้วบางที่พร้อมจะแตกสลายยามเมื่อถูกสัมผัส ทำเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานก่อนจะใช้สองมือประคองยกหมอนขึ้นแล้วโน้มลงสูดกลิ่นหอมที่ยังไม่จางหาย จำได้แม่นยำว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่ปลายจมูกได้สัมผัสเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา พายุพัดเอนกายนอนหนุนหมอนอีกใบในขณะที่สองแขนยังกอดอีกใบไม่ยอมปล่อย ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มในขณะที่เปลือกตาปิดลงช้า ๆ บดบังภาพจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าแต่ในหัวกลับปรากฏภาพเสมือนของใครคนหนึ่งขึ้นชัดเจน...


เมื่อเวลาผ่านไป หนุ่มนักกีฬาก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังครืด ๆ ใกล้หู เขาลืมตาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นดู ตกใจเมื่อเห็นตัวเลขแสดงเวลาบ่ายคล้อย แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าก็คือชื่อของคนที่โทรเข้ามา พายุพัดสูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะกดรับสาย แต่แทนที่จะกล่าวทักทายเขากลับนิ่งเงียบ


“สวัสดีครับ”


“...”


“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าได้ยินไหมครับ”


“...”


“สงสัยสัญญาณไม่ค่อยดี ถ้าอย่างนั้นผมวางสายแล้วนะครับ”


ได้ยินคนที่ปลายสายกล่าวเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้น “ด...เดี๋ยวก่อนม่อน นี่เราเอง”


“เราเอง...เราไหน”


“พาย”


“อ๋อ มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรมาตั้งหลายครั้ง พอดีเรามัวแต่ซื้อของก็เลยไม่ได้ยินน่ะ” นคินทรกล่าวเสียงใส


“ถ...ถึงบ้านหรือยัง”


“ใกล้แล้วละ มีอะไรหรือเปล่า คงไม่ได้โทรมาแค่จะถามว่าเราถึงบ้านแล้วหรือยังหรอกนะ” คนพูดหัวเราะ   


“ค...คือ” ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป “คือเราจะขอของคืนน่ะ”


“ของ? ของอะไรเหรอ”


“ลังใส่หนังสือบริจาค อ..เอ้อ ไม่ใช่ เราแค่จะขอของที่ติดไปคืนน่ะ”


“ได้สิ”


“ถ้าอย่างนั้น...ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ามีกล่องกระดาษสีน้ำตาลติดไปด้วยหรือเปล่า”


“ได้ ๆ รอเดี๋ยวนะ ดูให้เดี๋ยวนี้แหละ” นคินทรกล่าว


พายุพัดได้ยินเสียงโวยวายของชายหนุ่มอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนขับรถตามด้วยเสียงโครมครามจากการรื้อค้น ครู่หนึ่งปลายสายก็ตอบกลับ


“เฮ้อ...กว่าจะเจอ อยู่เกือบก้นกล่อง ข้างในมีอะไรเนี่ย...”


ยังพูดไม่ทันจบ เจ้าของก็โพล่งขึ้น “ห้ามเปิดดูนะ”


“ไม่เปิดหรอก แล้วจะให้เราเอาไปให้ไหม”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเอาเอง ช่วยส่งพิกัดมาให้ก็พอ”


“ได้ เดี๋ยวเราส่งให้ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ”


“ม...ม่อน เดี๋ยวก่อน”


“ว่าไง”


“สัญญานะว่าจะไม่เปิดดู”


“รู้แล้วน่า มีความลับอะไรนักหนา” นคินทรบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางสาย


....


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำลัดเลาะเส้นทางคดเคี้ยวผ่านหมู่บ้านกระทั่งสองข้างทางแปรเปลี่ยนเป็นเพียงทุ่งนาและไร่ข้าวโพดบนเนินเขา ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าทางคอนกรีตแคบ ๆ จนมาถึงโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มขับอ้อมไปด้านหลัง จนระบบบอกพิกัดแจ้งเตือนว่าขณะนี้ถึงที่หมายแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถ มองไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงสำหรับจอดรถ รออยู่ไม่นานเจ้าของบ้านก็เปิดประตูเดินลงบันไดมาพร้อมกับกล่องกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่เกือบเท่ากระดาษสำหรับพิมพ์เอกสาร 


“นี่ใช่ไหม” นคินทรถามพลางยื่นของให้


คนเพิ่งมาถึงพยักหน้าแล้วรับมาถือไว้


“มาเสียเย็นเชียว ที่จริงวันเสาร์หน้าเราเอาไปให้ก็ได้ ยังไงเราต้องแวะไปหาหมอกอยู่แล้ว”


“ไม่เป็นไร เรามาเอาเองดีกว่า”


จบประโยคของพายุพัด ต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งเสียงกริ่งจักรยานดังขึ้น


“พี่ม่อน พี่จะเอาของในรถไปเก็บที่โรงเรียนเลยไหม ผมจะได้ช่วยขน”


เห็นอีกฝ่ายสวมชุดบอลเต็มยศจึงกล่าว “พี่ขนเองได้ พิงจะไปเตะบอลก็ไปเถอะ”
   

“เอาอย่างนั้นก็ได้พ..พี่...” พิทักษ์อ้าปากค้างเมื่อเหลือบไปเห็นอีกคน “พ...พี่คือฉลามพาย ฉลามพายใช่ไหมพี่” มัวแต่ละล่ำละลักจนแทบลืมวิธีลงจากจักรยาน


ร่างล่ำสันจอดจักรยานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เดินตุปัดตุเป๋ราวกับขาไร้เรี่ยวแรง ฉีกยิ้มเสียกว้างแล้วกล่าว “ค...คือ ผมเป็นแฟนคลับพี่เลย ตอนที่รู้ข่าวว่าพี่ประสบอุบัติเหตุน่ะผมตกใจแทบแย่ ดีจังที่พี่ไม่เป็นไร ตัวจริงพี่หล่อกว่าในหนังสือพิมพ์ตั้งเยอะ”


พายุพัดสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก


“ผม...ผมขอถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมพี่”


“ได้สิ” หนุ่มนักกีฬาตอบ


“เอ่อ...คือ จะเป็นไรไหมครับ ถ้าผมจะขอกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”


“ทำไมล่ะ ชุดนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” นคินทรมุ่นคิ้วสงสัย


“โธ่...พี่ม่อน มันไม่เข้าอะ นี่พี่ฉลามพายนะ ไม่ใช่เมสซีเจ ดูพี่ฉลามพายซิใส่เสื้อเชิ้ตมาอย่างหล่อ แล้วดูผม” พูดพลางก้มมองตัวเอง


คนฟังได้แต่ส่ายหัว กำลังจะหันไปถามความเห็นจากอีกคน แต่พายุพัดก็พูดขึ้นเสียก่อน


“ได้สิ พี่ไม่ได้รีบไปไหน”


“ถ้าอย่างนั้นพี่รอผมแป๊บนะพี่” พูดจบพิทักษ์หันไปคว้าจักรยาน ปั่นสุดชีวิตกลับไปที่บ้านพักของตน


“นั่งก่อนไหม หรือจะขึ้นไปดื่มน้ำบนบ้าน” นคินทรเอ่ยขึ้น
   

“เรานั่งรอข้างล่างก็ได้” พายุพัดตอบ เปิดประตูเพื่อเอาของเก็บในรถแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่ง มองน้ำในลำธารที่ขณะนี้เริ่มขุ่นเล็กน้อยเหตุเพราะฝนที่ตกชะหน้าดินไหลลงมารวมกัน


ครู่หนึ่งให้รู้สึกคล้ายมีบางอย่างวนเวียนอยู่ที่ขา เมื่อก้มลงมองก็พบลูกแมวกำลังเอาหัวถูไถไปกับขากางเกง มันเกือบจะเป็นสีขาวทั้งตัวหากไม่มีกระจุกขนสีเทาบริเวณโคนหาง เจ้าแมวรุ่นท่าทางปราดเปรียวเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วก่อนจะส่งเสียงร้องเหมียว ๆ พลันอีกตัวที่ใหญ่กว่าก็กระโดดขึ้นนั่งใกล้ ๆ พายุพัด


“ซ่าหริ่มพาลูกลงมาทำไม” นคินทรเอ่ยขึ้นก่อนจะอุ้มเจ้าสามสีขึ้นแล้วนั่งลงแทนที่ จากนั้นจึงวางมันบนตัก


พายุพัดละสายตาจากใบหน้าระบายยิ้มของคนข้าง ๆ โน้นตัวลงแล้วลูบหัวเจ้าตัวเล็กเป็นการทักทาย


“ม่อนบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พาตะโก้ลงมาข้างล่าง”


คนฟังลอบอมยิ้มทั้งที่มือยังคลอเคลียอยู่กับเจ้าลูกแมวตัวเล็ก ได้ยินเสียงร้องของแม่แมวจึงยืดตัว หันกลับไปเห็นนคินทรยกตัวเจ้าเหมียวขึ้นกลางอากาศจึงถือโอกาสลอบมองเจ้าของแมวโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว


เจ้าซ่าหริ่มดิ้นขลุกขลักจนนคนิทรต้องรีบปล่อยมันลงด้วยเกรงว่ามือของตนจะเป็นที่ฝนเล็บชั้นดี เมื่อสี่เท้าสัมผัสพื้นมันก็เดินเข้าไปเลียเจ้าตัวเล็กโดยไม่สนใจผู้เป็นนายอีกเลย 


“ทำไมไปเปลี่ยนเสื้อผ้านานจังวะ” นคินทรบ่นพลางชะเง้อมอง “เดี๋ยวเราโทรตามให้นะ” กำลังจะดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก็ต้องหยุดเมื่ออีกคนพูดขึ้น


“ปล่อยเขาเถอะ เราบอกแล้วไงว่าไม่ได้รีบไปไหน” เมื่อพายุพัดพูดจบก็พอดีกับที่พิทักษ์ขี่จักรยานกลับมา


“มาแล้วคร้าบบบ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างกระตือรือร้น ปลดเป้วางในตะกร้าหน้ารถ


“โอ้โห! นี่ถึงขนาดไปอาบน้ำประแป้งมาเลยเหรอ” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาในชุดใหม่ แถมหวีผมทาแป้งเสียหอมฟุ้ง


“ผมก็ต้องให้เกียรตินักกีฬาในดวงใจของผมหน่อยสิพี่” ครูหนุ่มกล่าวพลางจอดจักรยานพิงกับต้นไม้


“ถ้าอย่างนั้นเอาโทรศัพท์มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”   


“ขอบคุณครับพี่ม่อน” พูดจบพิทักษ์ก็ยื่นโทรศัพท์ให้ก่อนจะเดินไปยืนข้างพายุพัด


“ยิ้มนะ” ตากล้องจำเป็นบอกก่อนจะนับ 1-3 กดบันทึกภาพไป 3-4 ภาพก็ส่งโทรศัพท์ให้เจ้าของ “ดูก่อนนะว่าชอบไหม ถ้าไม่ถูกใจเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ใหม่”


พิทักษ์รับโทรศัพท์คืน ใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปไปก็ยิ้มไป “ดีทุกรูปเลยพี่ แต่เสียดายพี่ฉลามพายไม่ยิ้มเลยสักรูป แต่ไม่เป็นไรครับ แบบนี้เท่ดี สมกับฉายาฉลามหิน”


ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของชื่อถึงกับทำหน้าไม่ถูก ส่วนนคินทรเองก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ


“ขอบคุณครับพี่ม่อน ขอบคุณครับพี่ฉลามพาย”


“เรียกพายเฉย ๆ ก็ได้” พายุพัดบอก


“ครับพี่พาย” ว่าแล้วก็หันไปหาอีกคน “พี่ม่อนไม่ยักบอกกันบ้างเลยว่าเป็นเพื่อนกับนักกีฬาดัง”


“ก็...มันนานมาแล้วนี่นา เคยเรียนด้วยกันตอนม.ปลาย ไม่คิดว่าจะได้เจออีก” นคินทรตอบตามที่คิด


“อ้าว นี่เพิ่งได้เจอกันหรอกเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมถ่ายรูปให้พวกพี่บ้าง” พิทักษ์ว่า กำลังจะยกโทรศัพท์ พายุพัดก็ขัดขึ้น


“เอาเครื่องพี่ก็ได้” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้คนรับอาสา


“ยืนชิด ๆ กันหน่อยครับ”


ได้ฟังดังนั้นสองคนจึงขยับเข้าไปยืนเคียงข้างกัน


“ยิ้มหน่อยนะครับพี่พาย” พูดจบนิ้วหนาก็แตะลงบนหน้าจอสัมผัสเพื่อบันทึกภาพก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ


“ขอดูหน่อย” นคินทรพูดขึ้น ดึงโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นรูปก็หลุดหัวเราะ “กลัวถูกหาว่าเป็นฉลามหินเหรอ ยิ้มเสียกว้างเชียว”


“ไม่ใช่สักหน่อย” พายุพัดมุ่นคิ้วเก้อ ๆ ดึงโทรศัพท์กลับคืนก่อนจะใส่ลงในกระเป๋า


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปเตะบอลก่อนนะพี่” พิทักษ์บอกทั้งที่นิ้วยังเขี่ยหน้าจอ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นยกมือไหว้สองคนที่อาวุโสกว่าแล้วจึงขี่จักรยานจากไป


“จะกลับเลยไหม เราจะเดินไปส่ง”


“นายจะเอาหนังสือไปเก็บที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราช่วยขน”


“ไว้พรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ ช่วยกันขนก็ได้”


“ไม่เป็นไร เราช่วยเอง” พูดจบพายุพัดก็เดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใต้ถุนบ้าน “เปิดรถสิ”


นคินทรปลดล็อกพลางมองเจ้าของร่างสูงที่เอื้อมมือดึงเปิดประตูด้านหลัง


“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”


“อือ ท้ายรถก็ยังมีอีก เราว่าจะคัดแยกก่อน เพราะมีทั้งหนังสือสำหรับเด็กแล้วก็หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ปน ๆ กันมา ถึงบอกว่าพรุ่งนี้ให้เด็ก ๆ มาช่วยกันขนก็ได้”


“พอแยกแล้วจะเอาไปไหนเหรอ” นักกีฬาหนุ่มถามพลางดึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นพลิกดู


“เราจะเอาหนังสือสำหรับเด็กไปไว้ที่ห้องสมุดของโรงเรียนน่ะ แต่ถ้าเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ก็ว่าจะเอาไปให้ที่ห้องสมุดประชาชนของหมู่บ้าน”


“ต้องเอาขึ้นไปบนบ้านก่อนใช่ไหม”


“อือ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราช่วย” พูดจบก็วางหนังสือลงแล้วดึงกล่องใบใหญ่ออกจากรถ “ไปเปิดประตูบ้านเถอะ”


นคินทรพยักหน้า รีบเดินขึ้นไปเปิดประตู จากนั้นสองคนก็ช่วยกันขนหนังสือจำนวนมากขึ้นไปบนบ้าน กว่าจะคัดแยกเรียบร้อยก็ค่ำพอดี โชคดีได้กินบะหมี่ที่พิทักษ์ซื้อฝากเมื่อขากลับจากเตะบอล ไม่เช่นนั้นคงจะหิวไส้กิ่วไปตาม ๆ กัน


“เราไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นะเนี่ย” เจ้าของบ้านบ่นพลางยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วหันไปเกาพุงเจ้าซ่าหริ่มที่นอนตีหางขึ้นลงอยู่บนกองหนังสือที่มัดด้วยเชือกฟางซึ่งผ่านการคัดแยกแล้ว


พายุพัดผูกเชือกกับหนังสือกองสุดท้าย ยกขึ้นวางซ้อนกับกองตรงหน้า พลันความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นจากช่วงบ่าข้างขวาลงไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มขบฟันแน่นค่อย ๆ เอื้อมมืออีกข้างขึ้นบีบนวดหวังให้คลายอาการ


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า” หนุ่มนักกีฬาตอบสั้น ๆ แล้วลุกขึ้น “เรากลับก่อนนะ”


“ที่จริงค้างด้วยกันก็ได้นะ ขับรถมืด ๆ มันอันตราย”


“ไม่เป็นไร เราขับกลับได้” พายุพัดยังคงยืนยันความตั้งใจเดิม


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ” นคินทรลุกขึ้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว ในขณะที่พายุพัดเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยสมุดการบ้านของนักเรียน


ครู่หนึ่งเจ้าของบ้านก็กลับออกมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำร้อนและผ้าขนหนู


“ถอดเสื้อสิ”


คนฟังหันขวับ มองอีกคนที่กำลังวางภาชนะที่มีน้ำอยู่เกือบครึ่งลงบนโต๊ะ


“ถ...ถอดทำไม”


“เดี๋ยวเราประคบร้อนให้จะได้ขับรถสบายขึ้น”


“ต...แต่”


“เร็ว ๆ เข้า”


พายุพัดกลืนน้ำลาย หันหลังกลับ ค่อย ๆ ปลดกระดุมแล้วรั้งเสื้อลงเผยให้เห็นบ่ากว้างและต้นแขนที่มีมัดกล้ามนิด ๆ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อมืออุ่นแตะลงบนผิวเนื้อ จู่ ๆ หัวใจก็เต้นระส่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ตรงนี้ใช่ไหม”


“ช...ใช่”


นคินทรพยักหน้ากับตัวเองก่อนจะคลี่ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมลงบนบ่าของคนตรงหน้า จากนั้นจึงใช้อีกผืนจุ่มน้ำ บิดจนหมาดแล้ววางทับลงไป


“ร้อนไปหรือเปล่า ถ้าร้อนไปบอกได้นะ”


พายุพัดไม่ได้ตอบเนื่องจากความร้อนยังคงอยู่ในระดับที่เขาสามารถทนได้ และยิ่งมีผ้าขนหนูรองอีกชั้นป้องกันไม่ให้ความร้อนสัมผัสผิวเนื้อโดยตรงก็ยิ่งทำให้สบาย แต่มือที่จุ่มลงไปในน้ำเมื่อครู่คงร้อนน่าดู


“เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนน้ำก่อนนะ” นคินทรเอ่ยขึ้นหลังจากทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง


เห็นคนพูดเตรียมจะยกกะละมังจึงคว้ามือเอาไว้ “ม่อน พอแล้วละ เราดีขึ้นแล้ว”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ” พายุพัดตอบพร้อมกับค่อย ๆ คลายมือออก เขารั้งผ้าขนหนูลงจากบ่าแล้ววางคืนในกะละมัง จากนั้นจึงดึงเสื้อขึ้นแล้วติดกระดุม เมื่อเรียบร้อยก็ไม่ลืมที่หันกลับมาขอบคุณเจ้าของบ้านก่อนจะขอตัวกลับ...


แม้นาฬิกาติดฝาหนังจะบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไฟบนห้องนอนชั้นสองก็ยังคงเปิดสว่าง ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ทอดตามองบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งปรากฏข้อความ “เราถึงบ้านแล้วนะ” ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งไปบอกให้อีกคนตามที่ได้รับปากเอาไว้ ที่ทำเอาตาสว่างนอนยิ้มไม่หุบมาจนกระทั่งตอนนี้เห็นทีจะเป็นการ์ตูนรูปแมวกับข้อความ “OK” และ “ฝันดี” ที่ถูกส่งกลับมา
พายุพัดวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง พลิกตัวนอนคว่ำแล้วดึงกล่องกระดาษสีน้ำตาลมาตรงหน้า เมื่อเปิดฝากล่องออกก็พบว่าของข้างในยังอยู่ครบ มีทั้งเหรียญทองจากการแข่งขันว่ายน้ำรายการเล็ก ๆ รายการหนึ่ง ปลอกคอสำหรับลูกแมวสองเส้น ซึ่งทั้งหมดวางทับอยู่บนสมุดเล่มหนึ่ง มือใหญ่หยิบสมุดนั้นขึ้นมา กวาดมองตัวอักษรเป็นระเบียบที่ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่น ตรงชื่อวิชามีข้อความ “แบบฝึกหัดเสริมวิชาเคมี” ส่วนชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของคือ “นายนคินทร ปฐวิพัฒน์”


พายุพัดพลิกกระดาษไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็หยุดที่หน้าหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายเล่ม ตาคมไล่อ่านข้อความที่มีอยู่เกือบเต็มหน้า พลันรอยยิ้มก็ยิ่งระบายชัดขึ้นราวกับถูกย้ำด้วยปลายพู่กัน ชายหนุ่มโคลงหัวน้อย ๆ ยกมือขึ้นลูบต้นคอ หากจะถามหาตัวคนเขียนก็ไม่ยาก เพราะที่บรรทัดสุดท้ายนั้นปรากฏชื่อเจ้าของลายมือและลงวันที่กำกับชัดเจน


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-07-2018 12:17:46
(ต่อค่ะ)


“ทำไมพากันมาทั้งแม่ทั้งลูกเลยล่ะ หืม...ตะโก้ วันนี้เรามีนัดฉีดวัคซีนกันแค่นั้นไม่ใช่เหรอ”


อวัศย์กล่าวขณะรับกรงที่ข้างในมีลูกแมวและแม่ของมันจากมือนคินทร จากนั้นจึงนำเข้าไปภายในห้องตรวจ เขาวางกรงลงที่มุมห้อง หันไปเตรียมอุปกรณ์ในขณะที่หูก็ฟังเพื่อนเล่าไปด้วย


“ซ่าหริ่มไปทำอะไรมาไม่รู้ว่ะหมอก มีแผลเป็นรูโบ๋เลย”


“แม่ซ่าหริ่มซนเหรอ” นายสัตวแพทย์หนุ่มว่าพลางย่อตัวลงเปิดกรงนำเจ้าตัวเล็กออกมา “เดี๋ยวฉีดยาตะโก้ก่อนนะ แล้วเราจะทำแผลให้”


อวัศย์วางเจ้าลูกแมวลงบนโต๊ะสแตนเลสก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยสัตวแพทย์จับมันไว้ จากนั้นเขาก็ลงมือฉีดวัคซีนก่อนจะส่งกลับเข้ากรงแล้วจับเจ้าตัวแม่ออกมา


“มีแค่รูเดียวตรงนี้ใช่ไหม” คุณหมอกล่าวขณะจับแม่แมวพลิกไปมา เห็นว่ามีแผลบริเวณสะโพกเพียงจุดเดียวจึงวางลง “เดี๋ยวเราจะโกนขน ทำความสะอาดแผลแล้วก็ใส่ยาให้นะ ช่วงนี้คงต้องปิดแผลไว้ไม่ให้มันเลีย อีกสักสามวันค่อยมาดูกันว่าอักเสบไหม อืม...ยังมีคราบนมอยู่เลยนี่นา”


นคินทรมองตามมือของเพื่อนที่กำลังลูบคลำบริเวณหน้าท้องของเจ้าสามสี “ใช่ เจ้าตะโก้ไม่ยอมเลิกกินนมแม่สักที”


ดังนั้นหลังจากทำแผลเจ้าซ่าหริ่มแล้ว อวัศย์จึงใช้เสื้อยืดเก่าพันลำตัวของมันยาวตั้งแต่ช่วงคอไปจนถึงโคนหาง โดยตัดชายผ้าด้านบนให้เป็นเส้น ๆ แล้วผูกเป็นปมเรียกกันไปตามแนวสันหลังคล้ายเปียตะขาบ ทำเอาเจ้าซ่าหริ่มแทบไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน


“เดี๋ยวจะเจาะตรงเต้านมให้นะ กลับไปจะได้ไม่โดนเจ้าตะโก้ทึ้ง” พูดจบก็ใช้ปลายกรรไกรตัดเนื้อผ้าเป็นวงจำนวนสี่วงตามตำแหน่งของเต้านม


“สิไม่อยู่เหรอ”


“ไปดูลูกแมวที่บ้านฉายน่ะ”


“ลูกแมว”


“ก็ที่น้ำหวานส่งรูปให้ดูในกลุ่มไง เจ้าแฝดสามที่แม่มันโดนรถเหยียบตายตรงหน้าบ้าน หวานมาซื้อนมสำหรับสัตว์ไปป้อนแล้ว แต่เมื่อกลางสัปดาห์พวกมันดูซึม ๆ ก็เลยให้ฉายพามาที่คลินิก”


“แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“ปริมาณนมที่ให้ไม่พอกับความต้องการของแมวน่ะ เราเลยป้อนน้ำผึ้งจนพวกมันดีขึ้น ให้ฉายเอากลับบ้านแล้วตั้งเวลาให้นม ป่านนี้มันคงบ่นแย่แล้ว ต้องตื่นมาให้นมลูกแมวสามตัวทุกสองชั่วโมง ยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอีก” อวัศย์หัวเราะพลางปล่อยเจ้าซ่าหริ่มให้ลงเดินกับพื้น มันนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะก้าวขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะล้มแผละลงกับพื้น


“คงหายซ่าไปหลายวัน” นคินทรว่าพลางอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมากอดพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ แล้วเดินตามอวัศย์ที่ถือกรงเจ้าตะโก้ออกไปด้านนอก


“สิมาพอดีเลย” สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวพลางวางกรงลง มองหญิงสาวที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา


“เอาตะโก้มาฉีดยาเหรอม่อน”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงที่เดินหิ้วกรงตามหลังร่างเล็ก


“เป็นยังไงบ้าง” อวัศย์กล่าว


“เจ้าแฝดสามทำน้ำหวานกับฉายแย่เลย สิก็เลยรับอาสาเอามาดูแล ก่อนจะหาเจ้าของให้พวกมันได้ ดีที่เจอพายที่บ้านฉาย พายเห็นสิขี่มอเตอร์ไซค์ไปก็เลยรับอาสามาส่งเจ้าสามตัวให้”


“แล้วตอนที่สิไปโรงเรียนใครจะดู”


“ก็หมอหมอกไงจ๊ะ นะ ๆ” สิชลส่งยิ้มหวาน ในขณะที่สามีได้แต่ยืนส่ายหัวเพราะรู้แน่ว่าไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจของภรรยาได้


“ถ้าแม่มันอยู่ก็คงจะดี ฉายกับหวานคงยังพอเลี้ยงได้” พายุพัดเอ่ยขึ้นก่อนจะวางกรงลงใกล้กรงของเจ้าตะโก้ พลันลูกแมววัยรุ่นก็ทำตาวาวด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเจ้าตัวจิ๋วสามตัวที่พากันส่งเสียงร้องไม่เกรงใจใคร 


“ขืนต้องคอยป้อนนมกันทุกสองชั่วโมงมีหวังไม่ได้ทำอะไรกันพอดี แถมมีตั้งสามตัว” นคินทรเสริม


“ร้องใหญ่แล้ว สงสัยจะหิว เดี๋ยวสิไปเตรียมนมก่อนนะ” สิชลบอก กำลังจะเดินไปหลังคลินิกอวัศย์ก็ท้วงขึ้น


“ไม่ต้องหรอกสิ ให้เจ้าพวกนี้มันลองกินนมแม่ดูบ้าง”


“นมแม่เหรอ” หญิงสาวทวนคำก่อนจะมองตามสายตาของผู้เป็นสามี


“เดี๋ยววว” นคินทรกอดเจ้าซ่าหริ่มแน่นก่อนจะพากันถอยกรูด “ถามซ่าหริ่มแล้วหรือยัง”


“โธ่ม่อน อย่าหวงตัวน่า ซ่าหริ่มไม่ใช่สาว ๆ แล้วนะ” ว่าแล้วก็หันไปสั่งพายุพัด “ไอ้พายไปเอามา”


เจ้าของชื่อพยักหน้า สืบเท้าไปหยุดต่อหน้าเจ้าของแมว เขาอมยิ้มน้อย ๆ รับเจ้าซ่าหริ่มจากนคินทร ดูไม่เต็มใจทั้งคนทั้งแมว


“วางลงเลย” อวัศย์บอกขณะนั่งลงเปิดกรงนำเจ้าตัวจิ๋วทั้งสามตัวออกมา “ม่อนมานี่เลย ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อย”


“ที่ทำอยู่นี่ยังไม่มีประโยชน์อีกเหรอวะ” นคินทรบ่นก่อนจะเดินมาหยุด นั่งลงแล้วรับลูกแมวมาตัวหนึ่ง มองเจ้าซ่าหริ่มที่ถูกพายุพัดและสิชลช่วยกันขึงพรืดตรึงไว้กับพื้น “ขอโทษนะซ่าหริ่ม” พูดจบก็จ่อปากลูกแมวกับเต้านม


เมื่อเจ้าแฝดสามเข้าเต้าได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูดนม ตะกุยตะกายจนเจ้าซ่าหริ่มเริ่มรำคาญ มันพยายามดิ้นแต่ก็ไปไหนไม่ได้ พ่ายแพ้ต่อแรงมนุษย์ สุดท้ายได้แต่นอนทำหน้าเซ็ง รอว่าเมื่อไรคนทั้งหลายจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ


เหล่าทาสแมวขลุกกันอยู่ที่คลินิกของอวัศย์จนถึงบ่าย เมื่อซ่าหริ่มเริ่มคุ้นเคยกับการเป็นแม่นมจำเป็นก็ยอมนอนนิ่ง ๆ ให้เจ้าตัวจิ๋วทั้งสามกินนมแต่โดยดี แถมยังเหลืออีกหนึ่งเต้าสำหรับเจ้าตะโก้ ภาพที่ใคร ๆ ที่แวะเวียนกันเข้ามาภายในคลินิกได้เห็นจึงเป็นภาพของแม่แมวที่กำลังให้นมลูกตัวโข่งกับเจ้าเล็ก ๆ อีกสามตัว


“สิจะลองถามเพื่อนครูกับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนว่าใครสนใจรับเจ้าแฝดสามไปเลี้ยงบ้าง” สิชลเอ่ยขึ้น


“เราเอาไปเลี้ยงเองก็ได้” พายุพัดกล่าวพลางไล่คว้าปลายหางที่ตวัดไปมาอยู่บนพื้น


“ดีเลย” อวัศย์ว่า “พายก็เอาซ่าหริ่มกับตะโก้ไปด้วย”


“เดี๋ยววว” นคินทรเลิกคิ้ว


“นายจะได้ไม่ต้องขับรถพาซ่าหริ่มมาให้เราดูแผลไง ให้พายพามา แล้ววันเสาร์หรือวันอาทิตย์หน้านายค่อยมารับกลับ หรือจะฝากพายไว้จนเจ้าแฝดสามมันหย่านมก็แล้วแต่”


“เป็นความคิดที่ดีนะจ๊ะม่อน” สิชลสนับสนุนความคิดของสามี


“ไม่เป็นไร ช่วงนี้เราอยู่ว่าง ๆ เราดูแลพวกมันได้ อีกอย่างที่บ้านก็อยู่กันตั้งหลายคน” พายุพัดกล่าวด้วยเกรงว่าอีกคนจะลำบากใจ


“อย่าหวงตัวสิม่อน”


“ไม่ได้หวงตัวโว้ย” นคินทรบอกก่อนจะหันไปหาพายุพัด “แต่ถ้าทิ้งไว้ เรากลัวว่าอาทิตย์หน้าเราจะมารับไม่ได้น่ะสิ”


“ก็ให้พายไปส่ง” สามีและภรรยาพร้อมใจกันยื่นข้อเสนอ


พายุพัดพยักหน้า “เราไปส่งให้ได้นะ”


“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าเรามารับได้เราจะบอกนะ”


เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนคินทรจึงตามพายุพัดไปที่บ้าน ทั้งแม่และพี่สาวของอีกฝ่ายดูตื่นเต้นเป็นพิเศษที่รู้ว่ามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นถึงสามตัว แถมยังมีแม่นมกับพี่เลี้ยงพ่วงมาด้วย เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็วางใจ


“คราวก่อนพายตามไปเอาของคืนถึงที่โรงเรียนเลยเหรอจ๊ะ” จู่ ๆ เพียงพรรษก็เอ่ยขึ้น


“ครับ”


“น้องม่อนได้เปิดดูไหมว่าในนั้นมีอะไร” หญิงสาวกระซิบพลางเหล่มองน้องชายที่กำลังนั่งเกาคางเจ้าตะโก้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ตัวจึงหันมามองอย่างไม่ไว้ใจ


“เปล่าครับ” คนอายุน้อยกว่าตอบ


“มันต้องมีความลับอะไรซ่อนออยู่ในนั้นแน่ ๆ พายถึงได้หวงขนาดนั้น”


“พี่ฝน...” น้องชายลากเสียง “ไปรับแขกข้างนอกไหม แขกเข้าแล้ว”


“ก็ให้พนักงานรับไปสิ พี่จะคุยกับน้องม่อน” ว่าแล้วก็ซุบซิบต่อ “เอาไว้พี่จะขโมยมาแล้วเรามาเปิดดูกันสองคนเนอะน้องม่อน”


นคินทรได้แต่ยิ้ม มองเลยไปยังอีกคนที่เอาแต่วางหน้านิ่ง จากนั้นจึงก้มดูเวลาบนหน้าบัดนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเย็นมากแล้วจึงขอตัวกลับ


“นึกว่าน้องม่อนจะอยู่ทานข้าวแล้วก็ค้างด้วยกันเสียอีก” เพียงพรรษกล่าวขณะเดินมาส่งนคินทรที่รถ


“เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันครับพี่ฝน”


“ได้เลยจ้ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ”


“ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะพาพ่อกับแม่มาพัก ท่านน่าจะชอบ แต่ไม่รู้ว่าจะจองบ้านปลายนาทันไหม เห็นคนเข้าพักตลอดเลย”


“น้องม่อนชอบเหรอจ๊ะ รู้ไหมว่าน้องม่อนเป็นคนแรกเลยนะที่ได้พักห้องนั้น แล้วก็น่าจะเป็นคนสุดท้ายด้วย”


“ทำไมล่ะครับ” นคินทรถามแทรกเสียงกระแอมของเจ้าของร่างสูงที่ก้าวขึ้นมาหยุดยืนข้างพี่สาว


“ตอนนี้โดยพายยึดไปแล้วจ้ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปกล่าวกับน้องชาย “ตอนแรกพี่ตั้งใจจะกันเรือนหลังนั้นไว้เป็นห้องของพายจะได้เป็นส่วนตัวหน่อย แต่พายบอกให้เปิดให้แขกพัก พี่ก็เลยขายให้น้องสิที่โทรมาจองให้เพื่อน แต่ถ้าพ่อกับแม่น้องม่อนมาพี่จะให้พายย้ายออกชั่วคราว”


“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับพี่ฝน ห้องไหนก็ได้ครับ บรรยากาศที่นี่ดีอยู่แล้ว”


“จ้ะ พี่ล้อเล่นน่ะ ถ้าจะพาพ่อกับแม่มาเมื่อไรก็บอกพายมานะ พี่จะเตรียมห้องไว้ให้” เพียงพรรษกล่าว เมื่อเห็นมีรถเพิ่งแล่นเข้ามาจอด เธอจึงขอตัวไปต้อนรับแขก


“เรากลับก่อนนะ ยังไงฝากซ่าหริ่มกับตะโก้ด้วย”


“ไม่ต้องห่วง เราจะพาซ่าหริ่มไปให้หมอกดูแผล แล้วถ้าอาทิตย์หน้านายมารับไม่ได้ เราจะเอาไปส่งให้”


นคินทรพยักหน้าแล้วหมุนตัวกลับ เอื้อมมือดึงประตู


“ม...ม่อน”


ตาคมทอดมองคนพูดผ่านเงาสะท้อนบนกระจก


“ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”


“อื้อ” นคินทรหันมายิ้ม ทำเอาเจ้าของฉายาฉลามหินเผลอยิ้มตามไปด้วย



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
   


สวัสดีค่ะ หลายคนเดาถูกด้วยว่าต้องมีอะไรในสมุดแน่ ๆ รอบก่อนก็เรื่องกำไล นี่นักอ่านหรือนักสืบกันเนี่ย 555 แซวเล่นค่ะ สำหรับตอนนี้ก็พูดถึงความลับที่ยังไม่ได้ถูกเฉลยของพายนะคะ นึกถึงเพลง “ความลับ” ของวงพอสขึ้นมาเลย (เกิดทันกันหรือเปล่า) เขียนเกี่ยวกับพายไปก็แอบบ่นในใจไป รู้สึกว่าไม่เคยเขียนพระเอกได้เสียอาการขนาดนี้ เป็นความรู้สึกของเพื่อนที่แอบชอบเพื่อน แล้วได้อยู่ใกล้คนที่ชอบเนอะ มีความกลัว กลัวว่าเจ้าตัวจะรู้ แถมกลัวคนอื่นดูออกอีก แล้วมาติดตามกันต่อนะคะว่าคนอ้ำอึ้งจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของทุก ๆ คนจากคราวก่อนนะคะ เราก็คงจะยึดวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ แต่ก็จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ค่ะ
 
ปล. เดี๋ยวว่าง ๆ จะทำสารบัญให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-07-2018 13:26:25
ทำไม ทำไม ทำไม บรรยากาศเหมือนที่ใฝ่ฝัน ชนบท ทุ่งนา เพื่อนๆ ที่คบกันมาแต่เล็กๆ
แถมบ้านพักของพายก็น่าอยู่ อะไรจะดูอบอุ่นปานนั้นนะ ถึงแม้ชีวิตจริงอาจจะไม่ใช่
แต่อ่านแล้วจรรโลงใจ
 :กอด1: :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-07-2018 14:55:56
 o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-07-2018 15:10:31
 :L1: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-07-2018 15:20:17
พาย...เก็บอาการหน่อย ออกนอกหน้ามาก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 21-07-2018 19:03:32
อ่านแล้งเขินเป็นบ้าเป็นบอ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 21-07-2018 21:20:31
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ ชอบบ
มารอดูความรักของพ่อฉลามหินกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-07-2018 18:46:23
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: sembia ที่ 23-07-2018 09:56:19
รออยู่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 23-07-2018 10:25:44
พายน่ารักพอกะแมวเลย ให้สมุดและความลับแก่ม่อนไวไวน้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 9 ความลับ (21-07-2561 หน้า 4)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-07-2018 22:07:31
อบอุ่นจังค่ะ 

ม่อนรู้ตัวเปล่าว่าทำให้คนยิัมยากมายิ้มได้ง่ายดายไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ :o8:

พายก็แอบรักม่อนมานานจริงๆ  ส่วนม่อนเราคิดว่าม่อนไม่ได้แอบรักฉายเกินเพื่อนเลย  คิดว่าม่อนรักเพื่อนทุกคน  แต่ตอนนั้นฉายจะเป็นเพื่อนที่ม่อนให้ความสำคัญมากที่สุดแค่นั้นเองค่ะ  ใช่ไหมม่อน(ม่อนบอกจำไม่ได้ซะงั้น555) :katai1:

แสนยามีบทมานิดหน่อยแต่แย่งซีนใครหลายคนเลยค่ะ   บุคลิกน่าค้นหามาก555 o13

ขอบคุณมากค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-07-2018 11:05:41
ตอนที่ 10 ตัวป่วน


พายุพัดยิ้มกับเจ้าแมวแม่ลูกที่อยู่ในกรง อดนึกไม่ได้ว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องไกลกันคงจะทำให้พวกมันคิดถึงเจ้าของ เพราะเขาเองก็...


แต่เมื่อซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำแล่นเข้าจอดเทียบข้างรถเต่าสีนมชมพู ซึ่งเจ้าของเพิ่งเปิดประตูลงมา พลันรอยยิ้มที่เรี่ยราดมาตลอดทางก็หุบหายราวกับดอกไม้ที่ไม่ได้รับแสงแดด ชายหนุ่มลงจากรถโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังโบกไม้โบกมือทักทาย เดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วรั้งเอากรงใส่เจ้าเหมียวออกมา


“คนอะไรวะหน้าตาโคตรไร้อารมณ์” แสนยาบ่นพึมพำ


นคินทรฟังแล้วได้แต่ส่ายหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปรับกรงแมวจากคนที่อุตส่าห์ขับรถมาให้ “ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำให้ลำบาก อาทิตย์นี้เราไม่ว่างจริง ๆ”


“ไม่เป็นไร” คนอาสาตอบสั้น ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังเปิดกรงปล่อยให้เจ้าซ่าหริ่มกับลูกของมันกลับขึ้นบ้าน “หมอกบอกว่าแผลไม่ได้อักเสบ นัดไปดูอีกทีสัปดาห์หน้า”


“ขอบใจนะ”


เสียงกระแอมของอีกคนที่ยังไม่ได้แจ้งวัตถุประสงค์ของการมาดังขึ้น “จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเรามาทำไม”


“ถามสิ” นคินทรตอบซื่อ ๆ แต่พายุพัดกลับชิงพูดแทนด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ


“มาทำไม”


“ให้เจ้าของบ้านถามดีกว่าไหม” แสนยามุ่นคิ้ว


เห็นสองคนจ้องหน้ากันไม่ลดละนคินทรจึงชิงตัดบท “นายมาถูกได้ยังไง”


“ถามชื่อโรงเรียนมาจากสิน่ะ” แสนยาตอบพลางดึงสายตามายังคู่สนทนา “ตอนที่ไปงานแต่งงานสิ เห็นเพื่อน ๆ ห้องนายคุยกันเรื่องบริจาคหนังสือ เรามีเพื่อนที่เขาเคยเปิดร้านหนังสือแล้วเลิกกิจการก็เลยไปคัดหนังสือที่เด็ก ๆ น่าจะชอบมาให้ อยู่ในรถนี่” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปยังที่นั่งด้านหลังคนขับซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือ


“วันนี้เราจะไปเก็บข้อมูลแถว ๆ บ่อเกลือ เห็นว่าผ่านพอดีเลยแวะเอามาให้”


นคินทรพยักหน้า แต่แล้วเสียงกริ่งก็เรียกสายตาทุกคู่ไปหยุดที่ชายหนุ่มในชุดบอลซึ่งกำลังถีบจักรยานใกล้เข้ามา


พิทักษ์ยิ้มร่าเมื่อได้พบนักกีฬาในดวงใจอีกครั้ง เขาใช้เท้ายันพื้นแล้วยกมือไหว้กราดก่อนจะกล่าวทักทายทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มแปลกหน้า


“พี่ม่อน จะไปเลยไหมพี่”


“พี่ขอคุยกับเพื่อนสักเดี๋ยวนะ” เจ้าของบ้านบอก จากนั้นจึงหันกลับมายังคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจแวะเอาหนังสือมาให้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราขนลงจากรถให้ นายจะได้ไปทำธุระต่อ”


“อ้าว ไม่ว่างหรอกเหรอ กะว่าจะชวนไปด้วยกันสักหน่อย” แสนยากล่าวอย่างเสียดาย 


“เรานัดกับเด็ก ๆ ไว้ว่าจะไปช่วยกันทำความสะอาดห้องสมุดน่ะ”


“หนังสือพวกนี้ก็ต้องเอาไปไว้ที่นั่นด้วยใช่ไหม”


“อืม”


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”


“เอาอย่างนั้นเหรอ”


“เอาอย่างนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลายกขึ้นยกลง” ว่าแล้วก็ย้ายสายตาไปที่หนุ่มนักกีฬา “จะไปด้วยกันก็ได้นะ ไหน ๆ มาแล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย”


“พี่พายไปด้วยกันไหมครับ ซ้อนจักรยานผมไปก็ได้” พิทักษ์เสริม


แต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่ง จนกระทั่ง...


“ถ้านายมีธุระ จะกลับ...”


“เราก็ไม่ได้รีบไปไหนนี่” พายุพัดตอบก่อนจะเดินไปซ้อนท้ายจักรยานของครูพละหุ่นล่ำ


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันที่โรงเรียนนะครับพี่ม่อน”


“ขี่ดี ๆ ล่ะ” นคินทรกำชับเพื่อนรุ่นน้อง


จักรยานคันใหญ่ขี่นำโฟล์กเต่ามาหยุดที่หน้าอาคารไม้ชั้นเดียวซึ่งทอดตัวยาวขนานไปกับสนามหญ้า สีชมพูหวานแหววทำเอาเด็ก ๆ ซึ่งจับกลุ่มเล่นกันอยู่ใต้ร่มไม้ต่างพากันให้ความสนใจ และทันทีที่นคินทรก้าวลงจากรถทุกคนก็กรูกันเข้ามารุมล้อม ต่างคนต่างช่วยคุณครูของตนลำเลียงหนังสือขึ้นไปเก็บในห้องสมุดแม้จะช่วยถือได้คนละไม่กี่เล่มก็ตาม


หลังจากขนหนังสือลงจากรถจนหมดแล้ว เด็ก ๆ ก็ช่วยกันทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูภายในห้อง ส่วนพวกผู้ใหญ่ช่วยกันซ่อมแซมและทาสีชั้นวางหนังสือใหม่


“พี่พายพี่ม่อนแล้วก็พี่แสนนี่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลายเลยเหรอครับ” จู่ ๆ พิทักษ์ก็เอ่ยขึ้น


“ไม่เชิงหรอก เรียนคนละห้องกัน พี่เรียนห้องเดียวกับม่อนตอนม.สี่เทอมต้น พอม่อนย้ายโรงเรียน แสนก็ย้ายมาเรียนอีกห้อง” คนถูกถามตอบเนิบ ๆ


“อย่างกับสนิทกันมานานนะครับ”


พายุพัดเงยหน้าขึ้นมองสองคนที่กำลังช่วยกันทาสีชั้นวางหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้ จริงอย่างที่พิทักษ์พูด หากไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างเคยพบกันเพียงสองหน ใครที่เห็นเข้าคงคิดว่าสนิทสนมกันมานาน คนมาดนิ่งละสายตาจากภาพตรงหน้า คว้าตะปูจากกระบะวางลงบนตำแหน่งที่เล็งเอาไว้จากนั้นจึงใช้ค้อนตอกไม่กี่ทีก็จมหายไปในเนื้อไม้


“แต่ดู ๆ ไปพี่แสนก็ท่าทางจะเข้ากับคนง่ายนะครับ ส่วนพี่ม่อนก็ใจดีกับทุกคนเป็นปกติ สองคนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครเห็นคงเข้าใจว่าสนิทกัน”


ไม่รู้เพราะได้ฟังประโยคหลังหรือเพราะวันนี้แดดแรงกว่าทุกวัน พายุพัดจึงได้รู้สึกร้อนจนแทบอยากกระโดดลงน้ำ แผ่นหลังเปียกชุม เหงื่อเม็ดโตผุดตามไรผมจนต้องยกหลังมือขึ้นปาดที่หน้าผาก จากนั้นจึงหยิบตะปูขึ้นมาอีกตัว


“วันนี้พี่พายดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะครับ” พิทักษ์กล่าวพลางมองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาตอกตะปู โดยมีตัวเขาเป็นลูกมือคอยช่วยจับแผ่นไม้ไม่ให้เคลื่อน


เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบ หากแต่ใบหน้าเรียบนิ่งก็เผยให้รู้ว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ในที่สุดคนช่างพูดก็ทำให้เขาต้องชะงัก


“พี่พายชอบพี่ม่อนเหรอครับ”


เป็นครั้งแรกที่การถูกคนอื่นยัดเยียดความรู้สึกนึกคิด ทำให้เขายากจะปฏิเสธ มือใหญ่ปล่อยด้ามค้อนทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกรั้งแขนไว้


“เดี๋ยวสิพี่ ผมทีมพี่นะ”


“หมายความว่ายังไง”


“ก็ถ้าผมต้องเลือกเชียร์ใครสักคนระหว่างพี่กับพี่แสน ผมเชียร์พี่พายอยู่แล้ว รับรองว่าจะทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์พี่ม่อนอย่างเต็มที่”


"เพ้อเจ้อ”


“จริง ๆ นะพี่ เอาเบอร์พี่มา รับรองผมจะรายงานความเคลื่อนไหวของพี่ม่อนทุกฝีก้าวเลย จะไม่ปล่อยให้ใครเข้าใกล้ง่าย ๆ”


พายุพัดถอนใจเฮือกพลางมองสองคนที่เห็นอยู่ไกล ๆ...


“เสร็จสักที” นคินทรเอ่ยขึ้น


“หน้าเลอะสีหมดแล้วม่อน มา...เดี๋ยวเราเอาออกให้” แสนยากล่าวก่อนจะวางพู่กันลง เตรียมจะเอื้อมมือเช็ดสีที่ติดอยู่กับแก้มของคนข้าง ๆ แต่ก็ถูกปัดออก


“ไม่ต้องเลย มือนายก็เลอะ”


“ไม่หลงกลเลย” แสนยาหัวเราะ


“ไปล้างมือเถอะ จะได้เตรียมเดินทางต่อ”


“นายไปก่อนเลย เราขอเก็บรายละเอียดตรงนี้อีกหน่อย” พูดจบก็ใช้พู่กันปาดขอบวงกลมสีส้มสดใสแล้วจึงเริ่มเขียนอีกวงใกล้ ๆ กัน


นคินทรลุกขึ้น เดินไปที่อ่างล้างมือซึ่งอยู่ข้างอาคารเรียน เปิดน้ำล้างไม้ล้างมือก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนผิวแก้ม เห็นว่ามีสีหลุดติดมาจึงเริ่มถูซ้ำ ๆ ในขณะที่ตาเหลือบมองอีกคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


“ออกหมดหรือยัง ดูให้หน่อย”


พายุพัดสำรวจใบหน้าคนข้าง ๆ สังเกตว่าที่ผิวแก้มนอกจากจะขึ้นรอยแดงเพราะอีกฝ่ายออกแรงถูยังมีสีเปื้อนอยู่เล็กน้อย


“ยังไม่หมด”


เมื่อได้ฟังนคินทรก็ยิ่งถูหนักกว่าเก่า


พายุพัดหันไปล้างมือจนเสร็จ เมื่อหันกลับมาอีกทีก็พบว่าสีทาภายในยังคงติดกรังอยู่ที่แก้มขาว


“เราเช็ดให้” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นประคองปรางแก้มแล้วใช้หัวแม่มือเปียกน้ำเกลี่ยออกให้ ตาคมจับจ้องที่ปลายนิ้วของตนเอง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนตรงหน้า พยายามทำให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ และเมื่อเห็นว่าผิวเนื้อนุ่มมือนั้นปราศจากคราบสกปรก ริมฝีปากได้รูปก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่แทบจะสังเกตไม่เห็น “ออกหมดแล้ว”     


“เดี๋ยวก่อน” นคินทรกล่าวพร้อมกับจับมือใหญ่เอาไว้ เห็นร่องรอยของบาดแผลเต็มตาจึงเอ่ยขึ้น “ทำไมเป็นแผลขนาดนี้”


“สงสัยโดนตะปูเกี่ยวตอนที่ช่วยพิงยกชั้นหนังสือออกมาซ่อมน่ะ เราซุ่มซ่ามเอง ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดดึงมือกลับ ซ่อนรอยแผลเลือดซิบที่ข้อมือขวาลงกระเป๋ากางเกง


“แผลขนาดนี้ยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีก” คนพูดมุ่นคิ้ว “ไปห้องพยาบาลกัน เดี๋ยวเราทำแผลให้”


“ไม่เป็นไร” หนุ่มนักกีฬายังยืนยันคำเดิม


“ถ้าไม่เป็นไรก็เดินตามมา อย่าให้ต้องลากกันไป” นคินทรกล่าวเสียงเข้ม ไม่คิดว่าจะต้องสวมวิญญาณคุณครูกับเพื่อน


พายุพัดมองสีหน้าเคร่งขรึมพลางกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็จำต้องเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงห้องพยาบาลซึ่งอยู่ที่อาคารด้านหลัง ภายในมีเตียงเล็ก ๆ เรียงกัน 3 เตียง อ่างล้างมือ กับตู้ยาสามัญประจำบ้าน ชายหนุ่มนั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ มองอีกคนที่กำลังเดินไปรื้อค้นอุปกรณ์ทำแผลมาวาง


นคินทรลากเก้าอี้มานั่ง ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้น ดวงตาจับจ้องที่กำไลเงินซึ่งเสียดสีอยู่กับปากแผลแล้วกล่าว “กำไลนี่ถอดออกก่อนได้ไหม”


คนถูกถามพยักหน้า จากนั้นจึงถอดกำไลเงินที่มักสวมติดตัวออกแล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ พลันความเจ็บแสบเมื่อสำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์เกลี่ยลงรอบแผลก็ทำให้เผลอดึงมือกลับ


“แสบเหรอ” นคินทรถามพลางเป่าลมออกจากปากในขณะที่มือก็เช็ดทำความสะอาดรอบบาดแผลไปด้วย “ที่มือก็มีแต่รอยถลอก”


“ไม่เป็นไรหรอกน่า”


“ใส่ยาแล้วปิดแผลไว้ก่อนก็แล้วกัน เวลาเข้าเมืองก็อย่าลืมแวะไปให้หมอดูด้วยล่ะ ตะปูเป็นสนิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะเป็นบาดทะยัก” ว่าแล้วลูกชายหมอทหารก็จัดการตัดผ้าก็อซวางบนแผลแล้วติดพลาสเตอร์อย่างคล่องแคล่ว


พายุพัดลอบมองดวงตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตาใต้แนวคิ้วเข้ม จากนั้นจึงไล่เรื่อยมาตามสันจมูกกระทั่งถึงริมฝีปาก จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงจนแทบอยากจะถอยหนี ในที่สุดจึงรีบเสมองไปทางอื่น


“คงต้องเปลี่ยนข้างใส่แล้วมั้ง”


“ว...ว่าไงนะ”


“เราบอกว่าคงต้องเปลี่ยนข้างใส่แล้ว” เห็นคู่สนทนาทำหน้าฉงนจึงกล่าวต่อ “ก็กำไลนั่นไง ใส่ติดข้อมือตลอดเลยไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนเราก็เห็นในทีวีบ่อย ๆ” นคินทรพูดพลางคลายมือออก จากนั้นจึงเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ คืนที่แล้วเดินไปล้างมือ


“ได้ดูด้วยเหรอ”


“อือ ไม่อยากดูก็ต้องดู ไม่ว่ารายการแข่งขันไหนก็มีแต่ชื่อฉลามพาย ทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งทีวีก็พากันเสนอข่าว”


“ดีจังเลยนะ”


“ดียังไง” เจ้าของริมฝีปากบางถามพลางมองมือตัวเองที่ยังคงถูกันไปมาท่ามกลางสายน้ำ


“หลังจากลาออกจากโรงเรียน เราก็ไม่รู้ข่าว... ไม่รู้ข่าวใครเลย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”


“เพื่อน ๆ ก็อยู่ที่โรงเรียนเดิมไง มีแต่เราที่ย้ายตามพ่อไปเพชรบูรณ์”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“สอบได้ที่เชียงใหม่ ส่วนพ่อกับแม่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันตอนเราขึ้นปีสาม พอเรียนจบเราก็มาสอบบรรจุที่นี่”


“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ”


“อืม...” นคินทรนิ่งนึกพลางหมุนปิดก๊อกน้ำ “ไม่ชินกับกรุงเทพฯ แล้วละ อีกอย่างรู้สึกว่าคุ้นเคยกับที่นี่ด้วยมั้ง มองไปทางไหนเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ก็เลยไม่กลัวเวลาที่ต้องมาอยู่คนเดียว”


พายุพัดฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจ ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองไม่เคยคิดเลยว่าที่นี่คือบ้าน ซ้ำยังจะหนีไปให้ไกลเพียงเพราะมันทำให้คนอื่นมองว่าตนเป็นเด็กหลังเขาไม่ควรได้รับโอกาสดี ๆ ดังเช่นเด็กในเมือง


“ถ้าอย่างนั้นก็...อยู่ไปนาน ๆ นะ”


“ม่อน! อยู่นี่หรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาหรือเสียงของอีกคนดังกว่า นคินทรจึงไม่ทันได้ยิน เมื่อเดินพ้นประตูก็เห็นแสนยายืนชะเง้ออยู่ด้านนอก


“จะไปแล้วเหรอ”


“ใช่”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


พายุพัดเดินตามสองคนไปจนกระทั่งถึงอาคารเรียนหลังที่อยู่ติดกับสนามฟุตบอล หยุดมองแสนยาที่แม้จะเข้าไปนั่งในรถแล้วก็ยังอุตส่าห์เปิดกระจกยื่นหน้าออกมาหาเรื่องคุยต่อได้อีก เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งค่อนไปทางบูดบึ้งถอนใจเบา ๆ กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นร่างกำยำล่ำสันของพิทักษ์ ไม่รู้ว่ามายืนข้างกันตั้งแต่เมื่อไร


“แบบนี้พี่แสนทำคะแนนนำแน่ ๆ” คนพูดเน้นทีละคำ


ได้ฟังดังนั้นพายุพัดจึงมุ่นคิ้วแล้วแบมือออก “เอามาสิ”


“อ...อะไรพี่”


“โทรศัพท์ไง จะเอาเบอร์ไม่ใช่เหรอ”


พิทักษ์ยิ้มกว้างก่อนจะรีบดึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้ ยืดคอมองตามปลายนิ้วที่รัวลงบนหน้าจอสัมผัส “ผมถือว่าพี่ตอบคำถามเมื่อกี้ของผมแล้วนะ”


“พูดมากน่า” ว่าแล้วหนุ่มนักกีฬาก็ส่งโทรศัพท์คืนแล้วหันหลังให้ มุมปากยกน้อย ๆ ก่อนจะเดินจากไป


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-07-2018 11:07:50
(ต่อค่ะ)

ชั้นวางหนังสือสีสวยถูกพิทักษ์และนคินทรช่วยกันยกกลับเข้ามาในห้องสมุดเมื่อตอนบ่ายคล้อย หลังจากวางตากแดดให้สีแห้งอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน จากนั้นครูพละกับเด็ก ๆ ที่โตหน่อยก็ช่วยกันนำหนังสือซึ่งจัดไว้เป็นกอง ๆ วางเรียงบนชั้น ส่วนน้อง ๆ อนุบาลและประถมต้นก็พานั่งล้อมวงที่มุมห้อง ฟังครูม่อนเล่าเรื่องราวของสัตว์หน้าตาแปลก ๆ ที่อยู่ในหนังสือภาษาอังกฤษอย่างตั้งอกตั้งใจ


“ครูครับ ถ้าวาฬไม่ใช่ปลาแล้วตัวที่อยู่ในทีวี ที่ปากแหลม ๆ ชอบกระโดดรอดห่วงนั่นเป็นปลาหรือเปล่าครับ”


พิทักษมุ่นคิ้ว “อ๋อ...โลมา ไปถามครูม่อนโน่น ครูม่อนเก่งวิชาวิทยาศาสตร์”


“โลมาไม่ใช่ปลา” นคินทรเอ่ยขึ้น “เราจัดให้โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรูปร่างคล้ายปลาน่ะ”


เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีได้ฟังก็เม้นปากพร้อมกับขมวดคิ้ว


“สงสัยอะไรอีกสุชาติ”


“แล้วมันจะกินนมยังไงครับครู”


“ก็กินใต้น้ำนั่นแหละ แม่โลมามีเต้านม มานี่สิครูจะให้ดูอะไร” นคินทรบอกพลางพลิกกระดาษไปที่หน้าหนึ่ง


เสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของเด็ก ๆ ที่ดังเป็นระลอกยามเมื่อเห็นภาพของสัตว์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้พายุพัดที่กำลังนั่งพิงวงกบประตูปล่อยอารมณ์ท่ามกลางสายลมพัดเอื่อยต้องเหลียวกลับไปมอง เข้าใจแล้วว่าทำไมนคินทรจึงเลือกขอของบริจาคเป็นหนังสือแทนที่เป็นอย่างอื่น ชายหนุ่มเผลอยิ้มกับตัวเองก่อนจะดึงกำไลเงินซึ่งหัวกำไลสลักเป็นรูปปลาตัวเล็ก ๆ สองตัวหันหน้าเข้าหากันออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วสวมลงบนข้อมือข้างซ้าย จากนั้นจึงเลื่อนตามองคนที่นั่งอยู่ทามกลางเด็ก ๆ     


“มา ๆ เดี๋ยวครูเปิดเพลงให้ฟัง” พิทักษ์กล่าวหลังจากนั่งพักเหนื่อยได้ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอ ไม่นานบทเพลงซึ่งกำลังเป็นที่นิยมก็ดังขึ้น


นคินทรส่งหนังสือให้เด็ก ๆ นำไปวางคืนที่ชั้นพลางเงี่ยหูฟัง เมื่อผ่านไปเกือบครึ่งเพลงจึงเอ่ยขึ้น “เพลงอะไร ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย” กระนั้นก็ยังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินสียงฮัมเพลงดังแว่วมาจากกลุ่มของเด็ก ๆ ที่ย้ายไปนั่งรวมกลุ่มกันข้างชั้นหนังสือ 


“อะไรกัน เพลงเขาออกจะดังนะพี่ พี่ไปอยู่ไหนมาถึงไม่เคยได้ยินเพลงนี้ ดูสิ นักเรียนยังร้องตามได้เลย”


“ก็ไม่เคยได้ยินจริง ๆ นี่หว่า”


“สงสัยชีวิตพี่ม่อนนี่ต้องหยุดอยู่ที่ยุค 90s แน่ ๆ ทุกวันนี้ยังฟังเพลงรบกวนมารักกันอะไรพวกนี้อยู่หรือเปล่าพี่”


“นั่นก็เก่าเกิน” ชายหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่จะว่าไป เพลงบางเพลงมันก็ทำให้เรานึกถึงบางเรื่องที่แทบจะลืมไปแล้วเหมือนกันนะ เรื่องที่ปกติไม่ได้อยู่ในหัว แต่พอฟังเพลงนี้ทีไร นึกถึงช่วงนั้นทุกที”


“ก็จริงนะพี่ ผมฟังเพลงหนึ่งทีไร นึกถึงตอนที่เพื่อนจะเลิกกับแฟนทุกที แล้วแฟนมันก็โทรมาถามผมว่าเพื่อนผมมีคนอื่นหรือเปล่า พอตกกลางคืนคลื่นวิทยุปล่อยเพลงนี้พอดีเลย ฟังแล้วปวดใจ โชคดีที่ผมตอบกลาง ๆ เพราะสุดท้ายพวกมันก็กลับมาคืนดีกัน ผมนี่เกือบเป็นหมาแล้ว”


นคินทรยิ้มพลางมองคนที่เอาแต่ส่ายหัว


“พี่ล่ะ ฟังเพลงไหนแล้วทำให้นึกถึงเรื่องที่ปกติไม่เคยนึกถึงบ้าง”


“อืม...รออยู่ตรงนี้ ตอนม.สามฉายมันแกะคอร์ดเองแล้วก็นั่งเกากีตาร์เพลงนี้ทั้งวัน พอโตมาได้ยินเพลงนี้ทีไรก็นึกถึงตอนนั้นทุกที”


“โอ้โห...แสดงว่าพี่ฉายนี่มีเป็นแววศิลปินมาตั้งแต่วัยรุ่นเลยนะเนี่ย”


“อือ” นคินทรยิ้ม


“แล้วพี่พายล่ะครับ มีเพลงแบบที่พี่ม่อนว่าบ้างหรือเปล่า”


พายุพัดเลื่อนตาจากใบหน้าเจือรอยยิ้มไปหยุดที่คนถาม ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ “ดาว”


“ดาว... ที่ร้องว่าหากคืนนี้มีดาวอยู่ร้อยดวง...”


“ล้านไหม ลดของเขาลงเสียเยอะเชียวนะ” นคินทรกล่าว


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า


“เก่ากว่ารบกวนมารักกันของพี่ม่อนอีก อืม...ถ้าว่ากันตามเนื้อเพลง ต้องทำให้นึกถึงตอนที่พี่พายไปบอกรักใครสักคนแน่ ๆ” คนพูดยิ้มกรุ้มกริ่ม


“เปล่าหรอก แค่มันทำให้นึกถึงที่หนึ่งที่เคยไปน่ะ”


“ที่ไหนครับ”


“เสมอดาว”


“ดอยเสมอดาวน่ะเหรอ” นคินทรกล่าวอย่างตื่นเต้น


“ใช่ ไปมาตอนช่วงปิดเทอมม.สี่จะขึ้นม.ห้าน่ะ พอเพื่อน ๆ รู้ว่าเราสอบเข้าโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ได้ก็เลยชวนกันไปกางเต็นท์ที่นั่น”


“ตอนเราย้ายโรงเรียนไม่เห็นมีอย่างนี้บ้างเลย” นคินทรตัดพ้อ


พายุพัดนึกอยากต่อว่าเรื่องที่อีกฝ่ายย้ายโรงเรียนกะทันหันเช่นกัน กว่าเพื่อน ๆ ในห้องจะรู้ก็เมื่อวันสุดท้ายของการสอบ ส่วนคนที่น่าจะต้องตัดพ้อก็คือตัวเขาที่รู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย ซ้ำเวลายังล่วงเลยไปนานแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรพิทักษ์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“เย็นแล้วนะนักเรียน กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นบรรดานักเรียนตัวน้อยก็พากันเก็บหนังสือคืนชั้นแล้วแยกย้ายกันกลับ บ้างก็เดิน บ้างก็ขึ้นซ้อนท้ายจักรยานของเพื่อน เสียงนกกระจอกแตกรังค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที ไม่นานรอบ ๆ บริเวณก็กลับเงียบเชียบ จะได้ยินก็เพียงเสียงไก่โก่งคอขันกับเสียงกริ่งจักรยานของพิทักษ์เท่านั้น


“ให้ผมถีบจักรยานไปส่งไหมพี่”


“ไม่เป็นไร ไปเถอะ เดี๋ยวพวกพี่เดินกลับกันเอง” นคินทรร้องบอกขณะมือกำลังคล้องแม่กุญแจ


“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับพี่พาย” พูดจบคนอายุน้อยที่สุดก็ยกมือไหว้เจ้าของร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่บันไดทางลง จากนั้นจึงตะโกนบอกอีกคน “ผมไปนะพี่ม่อน”


กว่านคินทรจะหันมาหนุ่มรุ่นน้องก็ไปไกลเสียแล้ว สองคนพากันเดินอ้อมอาคารเรียนไปตามทางที่โรยด้วยกรวด ผ่านสวนหย่อม แปลงเกษตรและเล้าไก่ของพวกเด็ก ๆ


“สวยไหมที่ดอยเสมอดาวน่ะ” จู่ ๆ นคินทรก็ถามขึ้น


“สวย ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด รู้สึกเหมือนใกล้แค่เอื้อมเลยละ”


“เพราะอย่างนี้เขาถึงได้เรียกว่าดอยเสมอดาวสินะ”


“อยากไปเหรอ”


“อื้อ ยังไม่เคยไปเลย”


“ไว้ว่าง ๆ เราจะพาไป” พายุพัดมองคนที่กำลังพยักหน้าแววตาเป็นประกายราวกับเด็กถูกล่อด้วยขนมแล้วอดยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อเห็นมือขาวยกขึ้นคว้าอากาศก็นึกสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม “ทำอะไรน่ะ”


“ซ้อมไง” นคินทรกล่าวในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่โคลงหัว


“เราชวนฉาย หวาน สิแล้วก็หมอกไปด้วยกันนะ”


“แล้วแต่นายสิ”


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-07-2018 11:12:10
(ต่อค่ะ)

หากไม่ใช่เพราะคำเชิญของอาจารย์ทวีที่ฝากมากับชลชาติ ฉลามหนุ่มก็ไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสได้หวนคืนสู่สถาบันอันเป็นที่บ่มเพาะให้เขากลายมาเป็นทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมจนถึงทุกวันนี้อีกเมื่อไร นอกจากอาจารย์สินธูแล้ว ก็มีอาจารย์ทวีที่เป็นทั้งครูและโค้ชสอนว่ายน้ำของเขา เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งชายหนุ่มยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายจนกระทั่งเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พายุพัดต้องเดินทางมาที่กรุงเทพฯ


นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองเอกสารที่เว้นช่องให้กรอกซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้อาวุโส ในหัวนึกอยากจะจับปากกาเติมข้อความในใบสมัครเข้าเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬานั่นเสียให้เรียบร้อยจะได้หมดเรื่อง แต่เมื่อนึกถึงผลในระยะยาว ความลังเลใจก็เกิดขึ้น


“ปกติเธอเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ดูลังเลนักล่ะ” อาจารย์ทวีกล่าว


“ผมไม่คิดว่าผมเก่งพอจะสอนใครได้ครับ”


ชายวัยห้าสิบต้น ๆ หัวเราะ “ทีคนที่ผมไม่คิดว่ามันจะไปสอนใครได้มันยังกล้ามาสมัครเลย”


“อาจารย์หมายถึงใครครับ”


คนถูกถามถอนใจเบา ๆ เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงเลื่อนกระดาษให้ใกล้ลูกศิษย์เข้าไปอีก “ยังพอมีเวลา ลองเอากลับไปคิดดูก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่น้อง ๆ ของคุณเถอะ”


พายุพัดมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ด้วยนิสัยเงียบขรึมทำให้ชายหนุ่มไม่คิดซักถามต่อ เขามิได้แตะต้องกระดาษแผ่นนั้นเพียงแต่กล่าวสั้น ๆ “ผมไม่รับปากนะครับอาจารย์”


อาจารย์ทวีพยักหน้าก่อนจะโบกมือไล่ เมื่อเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงกล่าวคำอำลา ทันทีที่เปิดประตูออกมาจากห้องก็พบชลชาตินั่งรออยู่แล้ว พายุพัดรับเป้ที่เพื่อนส่งให้ก่อนจะพากันเดินลงจากอาคารเรียน หวังจะหาที่เงียบ ๆ คุยกัน แต่แล้วคนที่เดินสวนมาก็ทำเสียบรรกาศ


“ไม่คิดเลยว่าจะเจอนักกีฬาใหญ่ที่นี่” ธรรม์ณธรทักทาย


“สบายดีเหรอ” พายุพัดกล่าว


“ก็คงสบายสู้นายไม่ได้หรอกมั้ง เป็นทั้งนักกีฬาชื่อดัง เอ๊ะ...หรือว่าอีกหน่อยอาจจะได้เป็นอาจารย์ด้วย”


“ไปกินข้าวกันเถอะว่ะพาย เราหิวแล้ว” ชลชาติแทรกขึ้น


“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน ยังคุยไม่จบเลย” ธรรม์ณธรหันไปจ้องหน้าคนขัดจังหวะ “แต่ถ้ามาเป็นอาจารย์ที่นี่ก็คงลำบากหน่อยนะ การเมืองมันเปลี่ยนขั้วแล้วนี่ ทำอะไรก็คงลำบาก หรือว่าไงมีน” ริมฝีปากคล้ำที่เกิดจากการสูบบุหรี่จัดยิ้มเยาะ


“ไม่ว่ายังไง เราเป็นแค่อาจารย์ เรามีหน้าที่สอนนักศึกษา เรื่องบริหารก็แล้วแต่ข้างบนจะตัดสินใจ”


“คิดแบบนี้ไม่มีวันโตหรอก เหมือนอาจารย์ทวีนั่นแหละ” พูดจบก็ยกมือขึ้นตบบ่าคู่สนทนาแล้วเดินจากไป


“อย่าไปสนใจมันเลย ไปกันดีกว่า” ชลชาติกล่าว จากนั้นทั้งสองคนก็เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ


พายุพัดมองสำรวจไปรอบ ๆ ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มากเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขายังเป็นนักศึกษา ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังคนข้าง ๆ เห็นท่าทางไม่รีบไม่ร้อนผิดจากเมื่อครู่แล้วอดถามไม่ได้


“ไม่หิวข้าวแล้วเหรอ”


“พูดไปอย่างนั้นแหละ รำคาญไอ้ธรรม์ ไปส่งนายที่สนามบินดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอนใจเฮือกเป็นรอบที่สามนับตั้งแต่เดินออกจากตึกคณะ


“มีอะไรหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องที่ธรรม์พูดเหรอ”


“อือ มันนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ทวีสั่งให้เราไปคะยั้นคะยอนาย”


“เกิดอะไรขึ้น”


“คณะมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารน่ะ นายก็น่าจะพอรู้มาบ้างตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นนักศึกษาว่าที่นี่มีสองพวก”


“อือ...คณบดีคนก่อนกับอาจารย์ธนิต”


“ใช่ ตอนนี้อาจารย์ธนิตได้เป็นรองคณบดีไปแล้วละ แล้วไอ้ธรรม์ก็ศิษย์รัก ก่อนหน้านี้อาจารย์ธนิตให้มันมาช่วยงานบ่อย ๆ สมัยเรียนนายก็เห็น มีชื่อเป็นคนสอน แต่วัน ๆ นักศึกษาแทบไม่เคยเห็นอาจารย์อยู่ในคณะเลย มัวไปรับเป็นกรรมการตัดสินข้างนอก ตอนนี้พอตัวเองขึ้นเป็นรองคณบดีก็เลยจะหาตำแหน่งให้ไอ้ธรรม์ อาจารย์ทวีเลยพยายามทาบทามลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงให้มาสมัครเป็นอาจารย์ เผื่อว่าผู้ใหญ่จะเปลี่ยนใจบ้าง”


“อย่างนี้เองอาจารย์ทวีถึงได้ดูเครียดนัก”


“เออ ก็น่าเห็นใจแก พยายามจะเป็นคนกลาง ไม่ยุ่งกับใคร สุดท้ายดันถูกแต่ละฝ่ายหาว่าอยู่ข้างอีกฝ่ายหนึ่ง แกเลยต้องปลีกวิเวกมาอยู่ตึกนี้ไง แต่พอมีข่าวว่าไอ้ธรรม์จะได้มาเป็นอาจารย์ก็เลยต้องออกมาเคลื่อนไหวบ้าง”


“แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง ยังไหวอยู่ไหม”


“ถามแบบนี้คงไม่ได้คิดจะเอาเราเข้าไปเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจหรอกนะ” ชลชาติหัวเราะ


“แต่ถ้าการมาของเรามาจะช่วยทำให้อะไรดีขึ้น...”


“ไม่มีอะไรดีขึ้นหรือแย่ลงหรอกพาย ถ้าทุกคนรู้ว่าตัวเองมีหน้าอะไรแล้วทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เราเคยบอกอาจารย์ทวีแล้ว ไม่ว่าไอ้ธรรม์มันจะเป็นคนแบบไหน มีประวัติยังไง แต่เมื่อมันต้องเข้ามารับหน้าที่สอน มันก็ต้องทำให้ดี ถ้ามันทำไม่ดี สุดท้ายนักศึกษานั่นแหละจะเป็นคนสะท้อนกลับการกระทำของมันเอง นายกลับไปว่ายน้ำเหมือนเดิมดีกว่า เป็นครูมันจะโตได้สักแค่ไหนกันเชียวถ้าไม่เข้าสู่เส้นทางบริหาร ปกติก็ทำหน้าที่ส่งลูกศิษย์ให้ถึงฝั่ง คอยมองดูเขาเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศเหมือนที่อาจารย์ทวีทำ”


“แล้วนายล่ะ ไม่คิดจะเป็นผู้บริหารบ้างเหรอ”


“เราอยากโตในใจลูกศิษย์มากกว่า อยู่ให้เขานึกถึง เราว่ามันเป็นการเติบโตในอาชีพที่ยั่งยืนดี”


พายุพัดยิ้ม


“ยิ้มอะไรวะ”


“นายกำลังทำให้เรานึกใครคนหนึ่งน่ะ”


“ยิ้มแบบนี้ไม่แค่นึกถึงแล้วมั้ง น่าจะเป็นคิดถึงมากกว่า” ว่าแล้วก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะกระซิบ “ใครวะ”


“รีบไปเถอะ เดี๋ยวเราไม่ทันเครื่องบิน”


“ไอ้พาย...ได้ข่าวว่ากลับไฟลท์สุดท้าย แล้วนี่ยังไม่ได้ด่าเลย มาทำไมวะมานอนแค่คืนเดียว ที่บ้านมีอะไรถึงต้องรีบกลับ เมื่อก่อนบอกให้กลับละทำอิดออด”


“เออน่า” พายุพัดตัดบทก่อนจะขยับออกห่าง


ชลชาติส่ายหัวยิ้ม ๆ เดินตามอีกฝ่ายไปยังรถที่จอดอยู่ เมื่อสองคนขึ้นนั่งประจำที่ เจ้าของรถก็ติดเครื่อง ฟังจากเสียงของเครื่องยนต์ก็ให้รู้สึกว่าการเดินทางไปสนามบินคงจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว ชลชาติเปิดประตูลงจากรถ ยกฝากระโปรงขึ้นเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติ สุดท้ายเขาก็พบว่าปัญหาอยู่ที่แบตเตอรี


“สงสัยแบตจะหมดว่ะ ไม่มีสายพ่วงด้วย” กล่าวกับคนที่เปิดกระจกโผล่หน้าออกมา


“แล้วจะทำยังไง”


“อืม...เดี๋ยวลองโทรหาพี่ที่คณะ แกน่าจะมีสายพ่วงแบต แต่ไม่รู้ว่ายังอยู่ในม.หรือเปล่า”


“ถ้าอย่างนั้นเราไปสนามบินเองก็ได้นะ”


“เดี๋ยวลองโทรก่อนนะ อยากไปส่งนายว่ะ”


พายุพัดพยักหน้า มองนาฬิกาเห็นว่ายังมีเวลาอีกนานจึงเปิดประตูลงจากรถ รอกระทั่งชลชาติโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย


“พี่เขาพานักศึกษาไปภาคสนามว่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร เรานั่งแท็กซีไปก็ได้ นายจัดการเรื่องรถเถอะ”


“แต่ว่า...” ชลชาติยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงแตรรถก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


เมื่อสองคนเหลียวกลับไปมองก็พบรถเต่าสีชมพูหวานแหววกำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบ เจ้าของรถลดกระจกลงแล้วถาม


“โซ่หลวมเหรอ”


พายุพัดกลอกตาพลางถอนหายใจก่อนจะหันไปหาคนข้าง ๆ   


“ใครวะ รู้จักเหรอ”


“เพื่อนโรงเรียนเก่าน่ะ”


ชลชาติพยักหน้าแล้วเบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูลงมายืน พิจารณาการแต่งตัวแล้วคิดว่าต้องเป็นคนทางสายศิลปะแน่ ๆ


“ถามไม่ตอบ”


“จะให้ตอบว่ายังไง ไม่ใช่จักรยาน” พายุพัดถอนใจอีกเฮือก


“แบตหมดน่ะ” เจ้าของรถบอก “นายมีสายพ่วงแบตหรือเปล่า”


“เดี๋ยวก่อน ๆ ก่อนจะขอความช่วยเหลือ ไม่คิดจะแนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยเหรอ”


“นี่มีน เพื่อนเราเอง มีน...นี่แสน” หนุ่มนักกีฬากล่าวอย่างเสียไม่ได้ “แล้วนายมาอยู่นี่ได้ไง”


“ก็เราเรียนที่นี่”


“ตกลงมีไหม สายพ่วงแบตน่ะ” ชลชาติแทรกขึ้น ชักเริ่มรำคาญในความยืดเยื้อนี้


“ไปซื้อก่อน” แสนยากล่าวพลางเตรียมจะหมุนตัวกลับ แต่ถูกมือของพายุพัดรั้งคอเสื้อเอาไว้


“ไอ้แสน อย่ากวนตีน ไม่มีก็บอกไม่มี”


“ปล่อย ๆ หายใจไม่ออก” คนถูกดึงพยายามสะบัดออกจนอีกฝ่ายยอมคลายมือ หันกลับมาได้ก็รีบจัดคอเสื้อแล้วกล่าว “สายพ่วงน่ะไม่มีหรอก”


“เออ ตอบแค่นี้ตั้งแต่แรกก็จบ” ชลชาติว่า “เดี๋ยวเราจอดไว้อย่างนี้แหละ ไปส่งนายก่อน”


“เดี๋ยววว” หนุ่มศิลปินกระโดดขวางหน้าพร้อมกับกางแขนออก “ไม่มีสายพ่วงแต่ไปส่งได้นะ จะไปไหนกัน”


“สนามบิน” พายุพัดตอบห้วน ๆ


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเลย เดี๋ยวเราไปส่ง”


“ว่างมากหรือไง”


“โธ่...เราอุตส่าห์มีน้ำใจนะ เห็นว่าเป็นคนกันเอง” แสนยาตัดพ้อ


“สนองมันหน่อยไหม” ชลชาติกระซิบ


“เออ ก็ได้” พายุพัดพูดตัดรำคาญ


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเลย รับรองว่าจะส่งให้ถึงสุวรรณภูมิ”


“ดอนเมืองก็พอ ไอ้พายมันขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง” ชลชาติบอกก่อนจะเดินตามพายุพัดไปที่รถ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะให้เขานั่งข้างหลังกลับชิงเข้าไปนั่งเสียเอง
   

“อยากสนองก็นั่งข้างหน้าไปเลยนะ” หนุ่มนักกีฬาหันมากล่าวก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งยังเบาะหลัง


ชลชาติถอนใจเบา ๆ จากนั้นจึงนั่งลงคู่กับคนขับ


“อะนี่ ฝากกอดน้องแสนดีด้วย”


จู่ ๆ ตุ๊กตาหมีตัวโตก็ถูกวางแหมะลงกับตัก
   

“อะไรวะเนี่ย”


“ก็น้องแสนดีไง นายมาแย่งที่น้องแสนดีก็ต้องดูแลด้วย”


ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากด้านหลังชลชาติก็ปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาทันที สองแขนโอบกอดตุ๊กตาตัวโตเอาไว้ เตรียมจะเอียงหัวพิงหน้าต่างหลับเสียให้รู้แล้วรู้รอดก็ถูกมือของอีกคนจับเข้าที่บ่าแล้วรั้งให้นั่งตัวตรง


“นั่งตรงนี้ห้ามหลับ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะหลับตาม”


“เออ!” ชลชาติคำรามเสียงดังแล้วเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะกล่าว “กวนตีน”


“ไปละนะ เกาะกันแน่น ๆ ล่ะ รถมันแรง” พูดจบแสนยาก็ออกรถ


เจ้าเต่าน้อยสีชมพูเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปบนถนนที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น เล่นเอาคนนั่งข้างหลังคอพับคออ่อน หลับไปตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยได้สักพัก เหลือก็แต่ชลชาติที่พยายามถ่างตาต่อสู้กับอาการง่วงเหงาหาวนอน แถมยังต้องคอยตอบคำถามของคนข้าง ๆ ที่ไม่มีท่าว่าจะหยุดปากสักที ตั้งแต่เรื่องสภาพการจราจร กีฬาว่ายน้ำ ยันเรื่องรถที่แบตหมดจนถึง...


“มีแฟนหรือยัง”


อาจารย์หนุ่มเหลียวมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ


“เกี่ยวอะไรกับเรื่องรถเสีย”


“เอ๊า! ถ้ายังไม่มีเราจะได้ขับกลับไปส่งที่มหาวิทยาลัย แล้วก็จะได้ช่วยคิดว่าจะทำยังไงต่อดี แต่ถ้ามีแฟนแล้วนายก็ให้แฟนขับมารับที่สนามบินก็แล้วกัน”


“ถึงไม่มีเราก็กลับเองได้ ไม่รบกวนให้นายไปส่งหรอก” ว่าพลางมือเผลอบีบคอเจ้าตุ๊กตาหมีบนตัก กระนั้นยังพยายามอดทนกับมนุษย์เจ้าปัญหา เพราะอีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว


“แสดงว่าไม่มี ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปส่ง” พูดจบแสนยาก็เปิดไฟขอทางเบี่ยงรถออกแล้วมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ


หลังจากหาที่จอดได้แล้ว ทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” พายุพัดกล่าวพลางกระชับสายเป้สะพายหลัง


“ไม่เป็นไร ไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก” แสนยาบอก


“ตอบว่าไม่เป็นไรเฉย ๆ ก็ดูเป็นคนมีมารยาทอยู่แล้วนะเราว่า” ชลชาติเอ่ยขึ้น ไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้อย่างไรก็หันไปหาเพื่อนรัก “เดินทางปลอดภัยนะ”


“ไว้แวะไปเที่ยวบ้างล่ะ”


“แน่นอนอยู่แล้ว” อาจารย์หนุ่มยิ้มมีเลศนัย


“ไม่กอดลากันหน่อยเหรอ จะได้ถ่ายเก็บไว้เป็นภาพประทับใจ” แสนยาเสนอ


“ดูละครเยอะไปหรือไง”


เห็นสองคนตั้งท่าจะเถียงกันอีก คนรักสงบจึงเอ่ยขึ้น “พวกนายรีบไปเถอะ เดี๋ยวรถติด ต้องเอารถไปซ่อมอีกไม่ใช่เหรอ”


“เออ จริงด้วย ไป ๆ กลับกันได้แล้ว” ว่าแล้วแสนยาก็รุนหลังคนข้าง ๆ


“เฮ้ยอะไรวะ เราไม่รีบ นายกลับไปก่อนเลย” ชลชาติรีบบอก


“กลับเถอะ” พายุพัดกล่าวพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนแล้วกระซิบ “จะได้เอามันกลับไปด้วย”


“อ้าวไอ้พาย”


“ไป ๆ ส่งกันพอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว มัวพูดมากเดี๋ยวพายพานไม่อยากกลับ”


“ใครกันแน่วะที่พูดมาก” ชลชาติกล่าวอย่างรำคาญ แล้วหันไปโบกมือลาเพื่อนสนิท “ไปก่อนนะ”


พายุพัดมองสองคนที่คนหนึ่งพยายามหนี ส่วนอีกคนก็ไม่ละความพยายามที่จะตามขึ้นไปเดินข้างกัน ชายหนุ่มพรูลมหายใจพร้อมกับโคลงหัวน้อย ๆ ในที่สุดความสงบก็กลับคืนสู่ชีวิตของตนเองสักที 




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-07-2018 12:38:10
ขอบคุณค่ะ สนุกเช่นเคย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 27-07-2018 12:55:36
อืม คู่นี้ก็ดูเคมีเข้ากันดีนะ 555555
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-07-2018 14:01:16
พอมีคู่แข่งพายก็ชักจะทนไม่ได้
อยากรู้ว่าม่อนคิดยังไง เป็นคนที่นิ่งได้ใจมาก
ส่วนคู่หลังนี่ น่าลุ้นมาก สรุปแสนยานี่หว่านไปทั่วหรือไง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 27-07-2018 18:11:57
 :pig4:
พายยยยยยย~
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2018 23:34:13
หึหึหึ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 28-07-2018 00:51:21
ยังไงอะ....
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 28-07-2018 08:57:54
:เหมือนจะมีอีกคู่นึงเลยยย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-07-2018 09:38:29
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 28-07-2018 12:50:00
กรี๊ดดดดดด ไม่ได้เข้าเล้ามานานมากกกกกกก เพราะยุ่งมากกกกกก

กลับมาเจอนิยายคุณ ถธปทฟ ดีใจมากค่ะ

ไล่อ่านมา10ตอนรวด
ติดตามน้องพาย น้องม่อน ต่อไปแน่นอน

ฉลามพายกับครูม่อนเนาะ ชอบความนิ่งนอกนุ่มในของพระเอกเรา 5555

ปล. เรากำลังจะไปน่าน อินมากค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-07-2018 20:10:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 28-07-2018 22:44:19
ฮื้อออออ ตัวป่วนเพียบเลย ไม่อยากให้พายต้องเข้าไปในวังวนการเมืองในคณะเลย
เป็นฉลามหินของม่อนดีกว่า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 10 ตัวป่วน (27-07-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 30-07-2018 14:00:02
555 แสนยาตัวป่วนกับทุกคน  แถมยังน่ารักกับทุกคนด้วยค่ะ 
มีตุ๊กตาหมีด้วย  ตกลงแสนยาชอบใครกันแน่?555

ทุกสังคมก็จะมีคนที่แตกต่างกันไป  มีการแข่งขันกัน  ขอเป็นกำลังใจให้ทุกตัวละครเลยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ  ตอนล่าสุดตัวป่วนทั้งแสนยาและพิทักษ์ทำให้ได้ยิ้มได้หัวเราะตลอดเลยค่ะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-08-2018 10:49:24
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ


น่าน, กันยายน 2560


เมื่อถึงกำหนดเวลาที่เจ้าซ่าหริ่มต้องทำหมัน นคินทรก็ขับรถออกจากบ้านพักครูในอำเภอสันติสุขเพื่อเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ จอดรถที่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ขนาด 2 คูหาซึ่งตั้งอยู่หลังตลาด ผลักประตูเข้าไปก็พบสิชลนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เธอกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเช่นทุกครั้ง เห็นว่ามีผู้คนพาสัตว์เลี้ยงมารอรับการรักษามากพอสมควรนคินทรจึงเปิดกรงอุ้มแม่แมวสามสีออกวางบนเครื่องชั่งน้ำหนักแบบที่อวัศย์เคยทำให้ดู ทันทีที่เจ้าซ่าหริ่มหันไปเห็นไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตมันก็ทำพองขนขู่ฟู่ ๆ ฝั่งเจ้าตาสีฟ้าก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความสงสัย กระโดดซ้ายทีขวาทีราวกับคิดว่านั่นคือวิธีการทักทายเพื่อนใหม่ของเจ้าแมว


“ซ่าหริ่ม ไม่เอาน่า” นคินทรปรามพร้อมกับดึงตัวเจ้าขนฟูขึ้นมากอดหลังจากผู้ช่วยสัตวแพทย์บันทึกตัวเลขลงกระดาษเรียบร้อย กระนั้นซ่าหริ่มยังส่งเสียงหง่าว ๆ คล้ายจะบ่นเจ้านายที่จู่ ๆ ก็พามันกลับมายังสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งอากาศหนาวเย็นแถมยังต้องเจอกับเจ้าหมาขี้สงสัยนี่อีก


“บ่นใหญ่เลยซ่าหริ่ม” สิชลว่าพลางเกาคางแม่แมวที่ดูไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย มันขืนตัวซ้ำยังทำตาโตจ้องเขม็งไปยังเจ้าหมาตัวใหญ่ที่ไม่เลิกทำท่าทางตลกสักที “เหมือนมันรู้เนอะว่าม่อนจะพามาเจ็บตัว”


“ไม่ต้องบ่นเลยซ่าหริ่ม ม่อนสิต้องบ่น หายออกจากบ้านไป 2-3 วัน กลับอีกทีเอาลูกใครก็ไม่รู้ใส่ท้องมาด้วย หมอกเตือนแล้วเชียว แต่เราดันชะล่าใจ เห็นยังเด็ก ๆ ไม่คิดว่าจะท้องได้ นี่พอเจ้าตะโก้เลิกกินนมก็อุตส่าห์ให้เวลาทำใจตั้งนานแล้วนะ ยังจะบ่นอะไรอีก หืม...ซ่าหริ่ม”


“เจ้าของบ่นเยอะกว่าแมวอีก ไปตรวจเลือดรอขึ้นเขียงกันดีกว่าเนอะซ่าหริ่มเนอะ หนีไปเที่ยวไหนพ่อจะได้ไม่บ่นอีก” พูดจบเธอก็หลีกทางให้ผู้ช่วยสัตวแพทย์อุ้มแมวเข้าไปข้างใน “ม่อนไปทำธุระก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวสิส่งข่าว”


นคินทรยังไม่ทันได้พูดอะไร อวัศย์ก็เดินออกมา “วันนี้คิวเยอะหน่อยนะม่อน ถ้าไม่มีธุระที่ไหนก็ไปเล่นกับฟีฟ่าก่อนก็ได้” พูดจบเขาก็หันไปทักทายไซบีเรียนฮัสกี้ ฝั่งเจ้าหมาก็เห่าตอบราวกับคุ้นเคยกันดี “ไปฉีดวัคซีนกันนะข้าวซอย”


แม้จะดูคุ้นเคยกัน แต่การพาเจ้าตัวโตแสนรู้เข้าไปในห้องตรวจเพื่อฉีดวัคซีนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเจ้าข้าวซอยคิดว่านายสัตวแพทย์หนุ่มกำลังเล่นกับมัน มันก็กระโดดไปมาจนคนที่มาซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไม่อาจควบคุมได้


“มันเคยถูกสัตว์มีพิษต่อยจนขาบวมไปหมด หมอกก็เลยให้มาอยู่ดูอาการที่นี่น่ะ อยู่ด้วยกันหลายสัปดาห์ก็เลยสนิทกัน” สิชลยิ้มไปพูดไป มองสามีที่กำลังรั้งสายจูงเพื่อพาเจ้าหมาตัวใหญ่เข้าไปในห้องตรวจ


“ดีใจได้เจอเพื่อนว่างั้น” นคินทรกล่าวเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป


“เดี๋ยวเถอะไอ้ม่อน เดี๋ยวเราจะเอาลูกยัดใส่ท้องซ่าหริ่มไปอีกแปดตัว”


“แค่ลูกโทนก็ปวดหัวจะแย่แล้ว” นคินทรหัวเราะ


“อ้าวพาย” สิชลเอ่ยขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา “วันนี้มาทำอะไรจ๊ะ”


เจ้าของชื่อยกมือทักทายอวัศย์ก่อนจะเบนสายตาไปยังอีกคน มุมปากหยักเข้าเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางเบาที่สุดแต่ก็ยังพอสังเกตได้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยวนาที ในที่สุดจึงตอบคำถาม 


“มาซื้ออาหารแมวน่ะ”


หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “หมดแล้วเหรอ เมื่อวัน-สองวันก็เพิ่งมาซื้อไปเองนี่นา”


“เรา...บังเอิญผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะซื้อตุนเอาไว้เฉย ๆ น่ะ”


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ”


“อ...เอายากำจัดเห็บหมัดด้วยนะสิ” พายุพัดกำชับ


“จ้ะ เดี๋ยวสิหยิบให้” พูดจบสิชลก็เดินไปหยิบอาหารแมวจากชั้นวางแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงหันไปเอื้อมหยิบน้ำยากำจัดเห็บหมัด


“นายมาทำอะไรที่นี่” พายุพัดกล่าว


“พาซ่าหริ่มมาทำหมันน่ะ”


“เดี๋ยวไปไหนต่อ” ยกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกเมื่อรู้สึกว่าตนเองถามคำถามเหล่านี้ได้คล่องเหลือเกิน


“ว่าจะไปนั่งเล่นบ้านฉายน่ะ นายล่ะ”


“เราก็ว่าจะไปที่นั่นอยู่พอดี”


นคินทรพยักหน้าแล้วหันกล่าวกับสิชล “เราไปก่อนนะสิ ฝากด้วยนะ”


“ไม่ต้องห่วงจ้ะม่อน” หญิงสาวกล่าว มองชายหนุ่มที่กำลังผลักประตูออกไปจากนั้นจึงเลื่อนสายตามายังเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะใส่ของทั้งหมดลงในถุงหูหิ้ว


“บังเอิญจังเลยน้า...มาเจอกันที่คลินิกทีไรก็บังเอิญจะไปบ้านฉายเหมือนกันทุกที” สิชลว่าพลางก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลข


....


ซีดานสีเทาดำจอดอยู่ริมรั้วไม้สน ถัดขึ้นไปคือซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำที่เพิ่งเคลื่อนเข้ามาหยุด ครู่หนึ่งเจ้าของก็เปิดประตูลงมาก่อนจะเดินเข้าไปภายในอาณาบริเวณร่มรื่นแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า มือใหญ่ผลักประตูไม้ติดกระจกแต่งด้วยเหล็กดัดเป็นลวดลายเครือเถาเข้าไปก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตาคู่สวยล้อมด้วยแพขนตายาวกำลังจับจ้องมาที่ตน


“วันนี้บังเอิญอีกแล้วสินะ” พูดจบน้ำหวานก็มองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งปั้นแป้งอยู่กับลูกชายของเธอ


“อือ บังเอิญเจอกันที่คลินิกหมอกน่ะ” นคินทรตอบ


“แล้วก็บังเอิญว่าจะมาที่นี่อยู่เหมือนกัน” หญิงสาวกล่าว แต่กลับหันมาเอาคำตอบจากคนที่เพิ่งมาถึง


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์แล้วนั่งลง


“บังเอิญเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อ บังเอิญเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า บังเอิญเจอกันที่สนามบิน บังเอิญเจอกันที่ตลาด” พูดพลางก้มหน้าก้มตาเช็ดแก้วทรงสูงแล้วคว่ำลงบนถาดไปพลาง “แถมยังบังเอิญกำลังจะมาที่นี่เหมือนกัน แหม...บังเอิญจังเลยเนอะ” ว่าแล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานให้หนุ่มนักกีฬา


“บ่นอะไรน่ะแม่” ภาณุที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านรับออกแบบป้ายเอ่ยขึ้น เห็นว่ามีอีกคนจึงกล่าวต่อ “อ้าวไอ้พาย บังเอิญมาเจอไอ้ม่อนอีกแล้วสิท่า”


พายุพัดไม่ได้ตอบคำถามแต่หันไปสั่งเครื่องดื่ม “โกโก้ปั่น”


“สองแก้ว...บังเอิญชอบกินเหมือนม่อนเลย ดีจังจะได้ทำทีเดียว รอเดี๋ยวนะ รับรองว่าหวานจะชงให้เข้ม ๆ เลยจ้ะ” น้ำหวานบอกก่อนจะกลับหลังหันไปทำเมนูสุดโปรดของเพื่อนทั้งสอง


“วันนี้ไปเจอกันที่ไหนวะ นายถึงบังเอิญมาที่นี่ได้ เราบอกให้มานั่งเล่นเวลาเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปไหนก็ไม่ยอมมา มาทีไรต้องบังเอิญมาพร้อมไอ้ม่อนทุกที มาเดี่ยว ๆ บ้างไม่ได้หรือไง” ภาณุกล่าว


“คลินิก” คนพูดน้อยตอบ


“พ่อใครพูดมาก ฟีฟ่ายกมือขึ้น!” สิ้นเสียงนคินทร เจ้าตัวเล็กก็คลายมือจากแป้งโดสีฉูดฉาดแล้วชูขึ้นสุดแขน


“อ้าวไอ้นี่ สอนหลานแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น”


เมื่อเสียงเครื่องปั่นอาหารดังกลบทุกสิ่ง การสนทนาจึงจำต้องหยุดลง ครู่หนึ่งโกโก้ปั่นสองแก้วก็ถูกยกมาวางที่หน้าเคาน์เตอร์ “นี่จ้ะพาย ได้แล้วนะจ๊ะม่อน”


ภาณุเห็นดังนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนให้นคินทรได้มาลิ้มลองเครื่องดื่มโปรด เขาแบมือรับแป้งโดที่อีกฝ่ายวางแหมะ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลูกชาย มองก้อนบุบบี้อย่างพิจารณา “นี่มันตัวอะไรวะ”


“แมวไง ดูไม่ออกเหรอ”


“แอบสแตรคโคตร ๆ” คนพูดถึงกับส่ายหัว “โรแดง* ยังต้องกราบขอชีวิต”


“แสดงว่าเจ๋งใช่ปะ นี่ปั้นสุดฝีมือแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดขณะเดินอ้อมไปล้างไม้ล้างมือด้านหลังเคาน์เตอร์ แล้วกลับมานั่งลงข้าง ๆ พายุพัด


“ถ้าไม่โดนรถทับก็ต้องพิการแต่กำเนิด”


“โธ่...อุตส่าห์ดีใจ” ว่าแล้วก็ยกแก้วโกโก้ขึ้นดูด ไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของตน


“ที่โรงเรียนเขาไม่ได้ให้นายสอนศิลปะใช่ไหม”


“อยากสอนอยู่เหมือนกัน แต่เขามีครูศิลปะครบแล้ว”


“เออ สอนวิทยาศาสตร์หรือภาษาไทยไปนั่นแหละดีแล้ว เนอะลูกเนอะ” ว่าแล้วก็หันไปสัพยอกลูกชาย ส่วนเจ้าตัวเล็กก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามผู้เป็นพ่อ


“ไม่กินเหรอพาย เดี๋ยวละลายหมดนะ” น้ำหวานบอก


“ก...กินสิ” พายุพัดกล่าวก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับหลอดคนเกล็ดน้ำแข็งในแก้วแล้วดูด


“ไม่เป็นรอยแล้วนี่ นึกว่าจะเป็นแผลเป็นเสียอีก” นคินทรเอ่ยขึ้นขณะมองข้อมือของอีกฝ่ายที่กลับมาสวมกำไลได้เช่นเดิม “ตอนที่เจอกันบนเครื่องยังเห็นเป็นรอยอยู่เลย” ว่าพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนก่อนที่อีกฝ่ายช่วยยกกระเป๋าลงจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะให้


“หายแล้วละ”


“แล้วไปให้หมอฉีดยาบาดทะยักหรือเปล่า”


คนถูกถามพยักหน้ากับแก้วโกโก้ปั่น


“ทำไมไม่สบตาเวลาคุยล่ะพาย” จู่ ๆ น้ำหวานก็เอ่ยขึ้น “หรือว่าเขินม่อน”


“มาเขินอะไรเรา” นคินทรเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ พร้อมกับใช้สองมือประคองแก้วแล้วก้มลงดูดโกโก้ต่อ เงยหน้าขึ้นชำเลือง เห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอ้ำอึ้งจึงยิ้มกริ่ม เช็ดไม้เช็ดมือกับกางเกงแล้วอาศัยจังหวะเผลอประกบมือเย็นเฉียบลงบนสองแก้มบิดหน้าของพายุพัดให้หันมาสบตากัน “ไหน มา”


เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสองคู่ประสานกันตรง ๆ พายุพัดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในขณะนี้ “เล่นอะไรเนี่ย” หนุ่มนักกีฬาบ่นพร้อมกับรีบคว้าข้อมือขาวแล้วดึงออก


“แก้เขินไง เราใช้วิธีนี้กับนักเรียนบ่อย ๆ พวกที่พูดน้อย ถามคำตอบคำอย่างนายนี่แหละ เดี๋ยวก็เลิกเขินไปเอง”


“สองคนนี้นี่ตลกจัง เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ” น้ำหวานส่ายหัว


เพราะความบังเอิญไม่รุ้จะไปไหน ทำให้ทั้งนคินทรและพายุพัดขลุกอยู่ที่บ้านของภาณุตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้อยู่เปล่า ๆ ยังช่วยแบ่งเบาสองสามีภรรยาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายจอมซนของทั้งคู่อีกด้วย กว่าเจ้าตัวเล็กจะหมดฤทธิ์ยอมกินนมนอนกลางวันก็เล่นเอาพายุพัดที่แปลงร่างจากฉลามมาเป็นม้าต้องวิ่งไปรอบบ้านอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็หมดแรงข้าวต้มสลบเหมือดไปทั้งอาทั้งหลาน


“หลับคาขวดนมเลยลูก สงสัยจะหมดแรง” หญิงสาวกล่าวพลางทอดตามองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน ค่อย ๆ ดึงขวดนมออกจากปากแล้ววางลูกลงบนที่นอน 


“พอกันเลย” นคินทรบอก หันมองชายหนุ่มที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล


“เราขอบใจม่อนกับพายมากนะ มาทีไรก็มาช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กทุกที”


“ไม่เป็นไร” นคินทรว่ายิ้ม ๆ ...


พายุพัดสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงครืด ๆ ดังอยู่ใกล้ ๆ เมื่อแรกลืมตาเห็นพัดลมทรงโบราณซึ่งติดอยู่บนเพดานกำลังหมุนเอื่อย ๆ ตาคมเลื่อนลงจนกระทั่งพบต้นตอ นั่นก็คือโทรศัพท์ในมือของอีกคนที่วางพาดลงมาบนหน้าอกของตน มองไล่ลงไปคือใบหน้าของคนที่กำลังหลับโดยการนั่งพับเพียบหันเข้าหาโซฟาแล้วเอียงหัวลงหนุนแขนตัวเอง เห็นแล้วให้รู้สึกเมื่อยแทน


นคินทรปรือตาขึ้น เลื่อนมือที่กำโทรศัพท์เข้าใกล้ตัว เห็นว่าเป็นชื่อสิชลจึงรีบกดรับ คุยกันอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางสาย ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ มองคนที่ยังคงนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับเรียกเบา ๆ


“พาย”


เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจึงตัดสินใจยื่นมือโบกไปมาเหนือใบหน้าของอีกฝ่าย 


“ท่าทางจะ หลับ ยา...ว” เตรียมจะชักมือกลับ เจ้าของร่างสูงก็พลิกตัวนอนตะแคงซ้ำยังรวบมือของเขาไปแนบไว้กับแก้มเสียอีก


นคินทรเรียกซ้ำอีกครั้ง เมื่อไม่เป็นผลจึงดึงมือออกอย่างแผ่วเบาที่สุดด้วยกลัวว่าคนที่กำลังนอนหลับสบายจะตกใจตื่น ทันทีที่มือหลุดจากสัมผัสอุ่น ๆ ก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก มัวแต่สนใจรูปเจ้าเหมียวที่เพิ่งทำหมันเสร็จซึ่งปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์จนไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่ที่ใบหน้าของอีกคน


ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสเพื่อเปลี่ยนภาพไปเรื่อย ๆ กำลังจะหมุนตัวหันหลังให้ก็ต้องหยุดเพราะคำถามหนึ่งรั้งไว้


“จะไปแล้วเหรอ”


“อือ” นคินทรตอบรับในลำคอก่อนจะกล่าวต่อเบา ๆ เพราะเกรงว่าจะรบกวนเจ้าตัวเล็ก “สิโทรมาบอกว่าซ่าหริ่มฟื้นตัวแล้วน่ะ” มองคนที่กำลังยันกายลุกขึ้นยืน


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับด้วย”


สองคนร่ำลาน้ำหวานที่ขณะนี้อยู่เฝ้าร้านโดยลำพัง เนื่องจากภาณุต้องออกไปติดตั้งป้ายนอกสถานที่ เมื่อเสริฟน้ำให้ลูกค้าชุดสุดท้ายเรียบร้อยจึงได้มีเวลากลับมาดูลูกชาย ไม่ได้เดินออกไปส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน


พายุพัดมองตามแผ่นหลังของคนข้างหน้าขณะเดินผ่านรั้วไม้เตี้ย ๆ เมื่อถึงรถก็เอื้อมมือจับที่เปิดประตู ในที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น “แม่บ่นคิดถึงน่ะ”


นคินทรหยุดแล้วหันมามองอย่างแปลกใจ


“ก็...คราวก่อนนายบอกแม่ว่าจะต้องมากินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่ให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นฝากบอกแม่ว่าคราวหน้าถ้าเราเข้ามาในเมือง เราจะแวะไปให้แม่ทำให้กินแน่ ๆ”


พายุพัดพยักหน้าแล้วชวนคุยต่อ “เจ้าสามตัวนั่นตอนนี้ก็ตัวใหญ่ขึ้นตั้งเยอะ”


“แล้วแยกออกหรือเปล่าว่าตัวไหนเป็นตัวไหน”


เจ้าของร่างสูงส่ายหัวก่อนจะอธิบาย “ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้หรอก เหมือนกันทุกตัว พี่ฝนต้องใส่ปลอกคอให้ตัวละสี จะได้เรียกถูก”


“แล้วแม่ตั้งชื่อมันว่าอะไรบ้าง”


“ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง”


คนฟังอมยิ้ม “ฟังแล้วหิวเลย”


“ถ...ถ้าอย่างนั้น” พายุพัดเลื่อนมือขึ้นลูบต้นคอ “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านเราก่อนไหม”


“อืม...ไว้วันหลังดีกว่า ไม่รู้ป่านนี้ซ่าหริ่มเป็นยังไงบ้างน่ะ เราไปก่อนนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วขับออกไป


โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้พายุพัดไม่มีโอกาสได้กล่าวคำอำลา เมื่อเขาดึงอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อคววามหนึ่งถูกส่งมาจากคนที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “องครักษ์พิทักษ์ม่อน” ชายหนุ่มส่ายหัว ยิ้มให้กับเรื่องบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้...
   

...และวันก่อน ๆ...


เมื่อความ “ความบังเอิญ” ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปร่าง...


.


.


“บังเอิญผ่านมาก็เลยแวะเอาน้ำพริกปลาทูมาให้น่ะ”


.


.


“บังเอิญคิดถึงเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้...ก็เลย...แวะมาหา”


.


.


“บังเอิญอยากกินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่น่ะ”


รู้ตัวอีกที...ความคุ้นเคยก็พาให้ต่างคนต่างไปนอนเอกเขนกอยู่ที่บ้านของกันและกันเสียแล้ว   


....
 

*โรแดง เป็นประติมากรที่ปั้น The Thinker


จบครึ่งแรก


สวัสดีค่ะ มาอัพแล้ว ชื่อตอนว่า บังเอิญ-ตั้งใจ
ในครึ่งแรกนี้เอาส่วนที่เป็นความบังเอิญไปอ่านกันก่อนเนอะ
แล้วว่าง ๆ จะรีบมาต่ออีกครึ่งที่เหลือด้วยความตั้งใจค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-08-2018 11:08:10
บังเอิ้้น​​  บังเอิญ​  เจอม่อนตลอดเลยนะพาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-08-2018 11:25:07
คนอื่นๆเลยได้รู้จักบังเอิญดีเลย ยกเว้นก็แต่คุณครูม่อนนี้แหละ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-08-2018 13:42:32
อยากจะแหมยาว ๆ ไม่เนียนเลยพาย คนเขารู้กันทั่ว
ส่วนม่อนนั้น เก็บอาการดีกว่า แต่น่าจะใจตรงกันแหละ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-08-2018 13:57:01
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-08-2018 14:12:03
ความบังเอิญหรือตั้งใจนาาาา
ยากจังเลยแบบนี้
บังเอิญะเมอเอามือม่อนมาแนบแก้มด้วยป่าววว  :hao5: :hao5:
คนอ่านเขินจนหงิกงอไปหมดแร้วค่าา
ทำใจไม่ไหวแล้ว  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-08-2018 14:37:39
เหมือนม่อนเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนะ ทุกครั้งที่เจอกันก็ธรรมดา
พายเองกระวนกระวาย ตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน
อยากรู้ความรู้สึกของม่อนแล้วสิ ว่าเป็นยังไงน้าาา หรือว่าเก็บไว้เก่ง
  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งแรก) (07-08-2561 หน้า 5)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-08-2018 16:31:55
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-08-2018 03:02:55
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง)


ปลายฝนต้นหนาว...อากาศเย็นสบายน่านอน แต่สมุดการบ้านของนักเรียนที่กองอยู่ตรงหน้าก็ทำให้นคินทรไม่อาจทำตามใจได้ ชายหนุ่มกดตราประทับรูปดอกไม้ลงบนกระดาษก่อนจะลงชื่อกำกับแล้ววางซ้อนรวมกับเล่มอื่น ๆ ดันโต๊ะญี่ปุ่นออกห่างตัว บิดซ้ายขวาให้คลายความเมื่อยล้า อดอิจฉาคนที่นอนหลับสบายอยู่บนแหย่งไม้สัก โดยมีเจ้าแม่แมวสามสีนอนขดอยู่ข้าง ๆ ส่วนบนหน้าอกคือเจ้าตะโก้ที่นอนแผ่หราท่าทางสบายไม่แพ้กัน
   

นคินทรเอื้อมคว้าหางที่ห้อยลง เจ้าซ่าหริ่มไม่ได้ลืมตาเพียงแต่ตวัดหางให้พ้นมือซน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดเล่นสนุก หมุนตัวกลับไปลูบหัวด้วยความมันเขี้ยว รู้สึกว่าหลังจากทำหมันนับวันเจ้าเหมียวก็ยิ่งอ้วนท้วนน่ากอด ตาคมทอดมองมือของตนที่ยังคงลูบไปบนขนนุ่มก่อนจะเลื่อนขึ้นมองใบหน้าคมสัน พลันหูได้ยินเสียงเรียกดังแว่วมา เจ้าของบ้านจึงผุดลุกขึ้น เมื่อโผล่ออกไปทางช่องหน้าต่างก็พบเด็กชายคู่หนึ่งซ้อนท้ายจักรยานมาด้วยกัน เนื้อตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่ก


เมื่อเพื่อนชะลอความเร็วจนจอดสนิท คนซ้อนท้ายจึงเอ่ยขึ้น “ครูครับ ๆ ช่วยสุชาติด้วยครับ สุชาติกำลังจะจมน้ำ”
   

“แล้วตอนนี้สุชาติอยู่ที่ไหน”
   

“เหนือฝายชะลอน้ำครับ”
   

“เดี๋ยวครูรีบไป” พูดจบนคินทรก็หันกลับเตรียมจะลงจากบ้าน
   

“มีอะไรหรือเปล่าม่อน” พายุพัดกล่าวพร้อมยันกายลุกขึ้นนั่ง ทำเอาเจ้าแมวแม่ลูกวงแตก กระโดดลงจากแหย่งไปตาม ๆ กัน
   

“นักเรียนมาบอกว่าเพื่อนจมน้ำน่ะ เราก็เลยจะไปดู”
   

“ถ้าอย่างนั้นเราไปด้วย” เจ้าของร่างสูงยืนขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็รีบพากันลงจากบ้าน
   

สองคนวิ่งตามจักรยานย้อนธารน้ำไปจนถึงฝายชะลอน้ำ เหนือฝายชะลอน้ำขึ้นไปไม่ไกลเป็นเวิ้งน้ำกว้าง ถัดไปคือน้ำตกซึ่งมีระดับความสูงไม่มากนัก พบเด็กชายผู้หนึ่งกำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยว มือเล็กคว้าเถาวัลย์ประคองตัวไม่ให้ไหลไปตามน้ำ นคินทรหยุดกึกที่ริมตลิ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง หูยังคงได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย ประเมินด้วยสายตาแล้วคิดว่าระดับน้ำไม่สูงมาก หากเป็นผู้ใหญ่อาจจะพอยืนถึง แต่กับเด็กตัวเล็ก ๆ คงเป็นเรื่องยากเอาการ ชายหนุ่มกัดริมฝีปากแน่น ก้าวเท้าลงไปยืนบนโขดหินได้ข้างหนึ่งก็ต้องชะงักเพราะมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขน
   

“ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า” พายุพัดถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง   
   

คนถูกถามส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ตอบก็ถูกดึงตัวกลับขึ้นมา
   

“เราไปเอง” หนุ่มนักกีฬาบอก จากนั้นจึงหย่อนตัวลงในน้ำ ก้าวไปตามโขดหินได้หน่อยก็ต้องเปลี่ยนเป็นใช้สองมือแหวกว่ายเพราะระดับน้ำลึกเกินกว่าจะยืนถึง แขนแกร่งจ้วงน้ำเพียงไม่กี่ทีก็เข้าประชิดตัวหนุ่มน้อย เขาวาดแขนพาดผ่านหน้าอกของอีกฝ่ายแล้วจับเข้าที่ใต้วงแขน ใช้มือข้างที่เหลือในการว่ายเข้าหาฝั่ง พยายามพยุงตัวเด็กชายให้ปากและจมูกอยู่เหนือผิวน้ำให้มากที่สุด
   


เมื่อเห็นพายุพัดใกล้เข้ามา นคินทรก็ก้าวลงไปบนโขดหินรับตัวลูกศิษย์ขึ้นมานั่งพัก สุชาติหอบตัวโยนซ้ำยังไอโขลก ๆ  ใบหน้าซีดเผือดบูดเบี้ยวแต่ก็ยังมีสติ สามารถบอกได้ว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดตรงไหน


“เจ็บครับครู”


ครูหนุ่มมองสำรวจ สุดท้ายก็พบสาเหตุจึงประคองลูกศิษย์ลุกขึ้นนั่ง


“น้ำเย็นก็เลยเป็นตะคริว” พายุพัดบอกพลางนั่งลงจัดขาของเด็กชายให้ยืดตรง ใช้มือข้างหนึ่งจับข้อเท้า ส่วนข้างที่เหลือจับปลายเท้ากระดกขึ้นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ


เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ สองคนก็พาเด็กชายสุชาติไปส่งที่โรงพยาบาลเพื่อทำแผลซึ่งเกิดขึ้นตอนถูกกระแสน้ำพัดจนเท้าติดกับซอกหิน รวมถึงให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ จากนั้นนคินทรจึงแจ้งให้ผู้ปกครองของเด็กทราบ หลังจากสืบสาวราวเรื่องเอาจากคนอื่น ๆ ที่ไปด้วยกันจึงรู้ว่า ทั้งสามคนพากันไปเล่นน้ำที่เหนือฝาย ทั้งที่ต่างคนต่างว่ายน้ำไม่เป็น นั่นเพราะได้เห็นภาพนักกีฬาดังที่ครูพิทักษ์เอามาอวดในชั่วโมงพลศึกษา เด็กชายสุชาติที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเป็นทุนเดิมจึงเป็นตัวตั้งตัวตีนัดแนะเพื่อน ๆ ไปเล่นน้ำที่น้ำตกในวันหยุด ใช้วิธีการประมาณด้วยสายตา คิดว่าน้ำน่าจะไม่ลึก แต่ลืมไปว่าเวิ้งน้ำบริเวณนั้นมีทั้งแนวหินที่สามารถยืนได้และมีทั้งส่วนที่เว้าลงไปเป็นแอ่ง ประกอบกับอุณหภูมิน้ำที่เย็นเฉียบจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น


กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งกลับถึงบ้านพักครูซึ่งอยู่หลังโรงเรียนก็จวนค่ำ ซ้ำฝนยังมาตกหนัก ดังนั้นนคินทรจึงชวนให้พายุพัดค้างด้วยกัน


“เรายังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันนี้นายไม่อยู่ด้วย เด็กคนนั้นจะเป็นยังไง” เจ้าของบ้านพึมพำขณะก้มหน้าก้มตาตรวจการบ้านนักเรียน


“เลิกคิดมากได้แล้ว วันนี้เราก็อยู่ที่นี่แล้วไง เราช่วยเด็กคนนั้นได้” พายุพัดที่นอนอยู่บนแหย่งไม้สักโผล่เพียงศีรษะออกมาจากผ้าห่มกล่าวพลางหาวหวอด ๆ ไม่วายแกล้งขยับปลายเท้าล่อเจ้าเหมียวตัวอ้วนฉุที่กำลังนั่งตวัดหางอยู่บนหลังตู้ เจ้าซ่าหริ่มกระโดดแผล็วลงมา กางกรงเล็บตะปบสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ผ้าห่มได้ครู่หนึ่งก็เริ่มเบื่อ มันลงจากแหย่งอย่างไม่ไยดี เดินวนไปวนมาอยู่สักพักจึงล้มตัวลงนอนใกล้ ๆ ผู้เป็นเจ้านาย


“ง่วงก็นอนเถอะ” นคินทรว่า


“ยังตรวจไม่เสร็จอีกเหรอ”


“ใกล้แล้วละ”


พายุพัดขยับหมอนนอนตะแคงมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย บางครั้งก็เห็นหัวคิ้วแทบจะชนกันยามที่ดวงตาไล่อ่านข้อความทีละบรรทัดซึ่งเขียนด้วยลายมือโย้เย้ บางครั้งก็เห็นรอยยิ้ม บางครั้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จนนึกสงสัยว่านคินทรกำลังตรวจการบ้านอยู่จริง ๆ หรือไม่ แต่ในทุก ๆ ครั้งเมื่อสุดบรรทัด มือขาวก็จะประทับตราและบรรจงเขียนชื่อกำกับอย่างสวยงาม พอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดคุณครูคนนี้จึงใช้เวลาเป็นวัน ๆ ในการตรวจการบ้านของนักเรียน คิดได้ดังนั้นริมฝีปากได้รูปก็หยักเข้าเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด...



“ช...ช่วยด้วย”



“ช่วย...ช่วยด้วย”



“ม่อน”


“ช...ช่วยด้วย”


“ม่อน”


เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงเขย่า ๆ ที่ต้นแขน


“ฝันร้ายเหรอ” คนที่ย้ายจากแหย่งไม้สักมานั่งขัดสมาธิอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะญี่ปุ่นถามพลางมองคนที่กำลังยืดตัวขึ้นหลังจากฟุบหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้


“อือ ฝันว่าจมน้ำ” นคินทรไม่ปิดบัง


“ตกใจหมด”


“เราทำให้นายตื่นใช่ไหม”


“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ” พายุพัดเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เรื่องที่นายฝัน...มันเป็นเพราะเราแล้วก็เรื่องคราวนั้นใช่ไหม”


“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”


“เห็นอาการนายเมื่อตอนกลางวัน จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมา”
   

“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก เราบอกแล้วไงว่าเราลืมมันไปหมดแล้ว” ถึงปากจะพูดไป แต่ในใจยังคงจดจำความรู้สึกของคนที่ขาดอากาศหายใจและกำลังจะตายในตอนนั้นได้ดี
   

เห็นความแคลงใจยังปรากฏชัดบนใบหน้าฝ่ายตรงข้าม นคินทรจึงเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเด็ก ๆ ว่ายน้ำเป็นทุกคนก็คงดี”
   

“พ่อแม่เขาไม่ได้สอนเหรอ” พายุพัดเท้าคางรอฟัง
   

“ต้องออกไปทำงานทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปสอนกัน ถ้าปล่อยให้ไปเล่นน้ำกันเองก็จะเกิดกรณีแบบนี้อีก”
   

“ถ้าอย่างนั้นก็สร้างสระว่ายน้ำสิ”
   

“จะเอาเงินที่ไหน โรงเรียนเราไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอก ถึงมีก็ต้องจัดสรรไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือถ้าจะเรี่ยไรกันก็คงได้ไม่เท่าไร”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ขอทุนจากเอกชนไง”
   

“ขอทุนจากเอกชนเหรอ”
   

“อื้อ” หนุ่มนักกีฬายักคิ้ว


...


นคินทรต้องแปลกใจที่จู่ ๆ วันนี้ก็มีนักเรียนโข่งมานั่งเรียนวิชาสุดท้ายอยู่ที่หลังห้อง เขาเดินเข้ามาเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้ขัดจังหวะการสอน กระนั้นเมื่อเด็ก ๆ หันไปเห็นว่าเป็น “พี่ฉลามพาย” ก็พากันหัวเราะคิกคัก จนแทบไม่ได้สนใจการบ้านที่ครูม่อนกำลังจะสั่งเลย
   

ครูหนุ่มกระแอมเบา ๆ ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่หลังห้องจึงต้องโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้เด็ก ๆ หันกลับไปสนใจชายหนุ่มในชุดสีกากีที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอกวางหน้านิ่ง เมื่อเห็นลูกศิษย์หันกลับมานั่งตัวตรงตั้งใจเรียนอีกครั้ง เขาจึงเริ่มอธิบายต่อ จากนั้นก็ถามทวนอีกครั้งจนแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจตรงกันจึงอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้ หัวหน้าห้องกล่าว “นักเรียนทำความเคารพ” ทุกคนก็พากันเปล่งเสียงสวัสดีคุณครูโดยพร้อมเพรียงกัน


เด็ก ๆ รอฟังสัญญาณปล่อยกลับบ้าน สวดมนต์ไหว้พระจนเสร็จเรียบร้อย แต่กลับไม่มีใครลุกออกจากห้องเลยสักคน ดวงตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังหนุ่มนักกีฬาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กชายสุชาติราวกับต้องการทราบเหตุผลในการมาที่นี่ของเขา
พายุพัดลุกขึ้น เดินไปหานคินทรที่หน้าห้อง แล้วส่งโปสเตอร์ม้วนหนึ่งให้


“อะไรเหรอ”


“เป็นวิธีการป้องกันการจมน้ำ วิธีเอาตัวรอดจากการจมน้ำ แล้วก็การปฐมพยาบาลคนจมน้ำน่ะ เราให้เพื่อนที่กรุงเทพฯ ส่งมาให้ นายจะได้เอาไว้สอนเด็ก ๆ”


“ขอบใจนะ” นคินทรกล่าวแล้วจึงรับม้วนกระดาษมาถือไว้ “อยู่ ๆ ก็มาโผล่กลางสัปดาห์ คงไม่ได้มาด้วยเรื่องแค่นี้หรอกมั้ง”


“ปกติก็มาด้วยเรื่องแค่นี้อยู่แล้วนะ” พายุพัดตอบไม่เต็มเสียง


“ว่าไงนะ” คนถามเลิกคิ้ว


“ขอเวลาเราหน่อยได้ไหม” อีกคนเปลี่ยนเรื่อง     


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีโครงการจะมานำเสนอน่ะ”
   

“โครงการ...” พูดจบนคินทรก็นั่งลงที่โต๊ะเรียนด้านหน้าสุดที่วันนี้เจ้าของลาป่วยเพราะเป็นไข้หวัด “ไหนว่ามาซิ”
   

“คืออย่างนี้...” ร่างสูงก้าวไปยืนที่กลางห้อง
   

“เดี๋ยวครับ” คุณครูยกมือขึ้นห้าม “แนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักก่อน” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มกับเด็ก ๆ พลันเสียงปรบมือก็ดังขึ้น
   

เมื่อถูกโยนภาระมาให้เช่นนั้น คนพูดน้อยก็จำต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม ก้าวขึ้นมาข้างหน้าครึ่งก้าว สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าว “ผมชื่อเด็กชายพายุพัด นาวาภักดิ์ วันนี้จะมานำเสนอเรื่อง สระว่ายน้ำมีขาครับ”
   

สิ้นเสียงนั้น เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะครืน


“สระว่ายน้ำมีขาเดินได้เหรอครับพี่พาย” คนหนึ่งยกมือถาม
   

“ใช่แล้ว” พูดจบพายุพัดก็หันไปจับชอล์กแล้วเริ่มลากเส้นบนกระดานสีเขียว ในที่สุดภาพสระว่ายน้ำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น จากนั้นชายหนุ่มจึงเติมขาที่มุมทั้งสี่ “นี่ไงขา แต่เป็นขาของ...” หยุดไว้เพียงเท่านั้นแล้วลากต่อขึ้นไปเป็นตัวคน
ที่แท้สระว่ายน้ำมีขาของเขาก็คือสระที่สามารถให้คนเคลื่อนย้ายได้นี่เอง
   


“จะทำได้จริง ๆ เหรอ” นคินทรถาม
   


“ได้สิ มีคนเคยทำมาแล้ว เขาทำสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบ เอาขึ้นไปสอนเด็ก ๆ ชาวเขาในจังหวัดเชียงใหม่ให้ว่ายน้ำเป็น เพื่อให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองได้เวลาเกิดภัยพิบัติ”


“แล้วที่นี่ใครจะเป็นคนสอน”
   

“ก็เราไง” พายุพัดตอบอย่างมั่นใจ “แต่เรามีเรื่องอยากให้นายช่วย”
   

“เราช่วยอะไรได้ด้วยเหรอ”


“ได้สิ เราอยากให้นายไปนำเสนอโครงการนี้ด้วยกัน”
   

หลังจากการนำเสนอสระว่ายน้ำมีขาในวันนั้น เรื่องราวดี ๆ นี้ก็ถูกเด็ก ๆ เล่ากันปากต่อปาก นคินทรจึงจำต้องเป็นคนกลางในการนำสาส์นจากทุกคนที่เกี่ยวข้องมาถ่ายทอดให้เจ้าของความคิดฟังในวันก่อนเดินทางไปนำเสนอแนวความคิดที่กรุงเทพมหานคร


“หอบอะไรมาเยอะแยะ” พายุพัดถามขณะรับถุงหูหิ้วใบใหญ่จากคนที่เพิ่งมาถึงในตอนค่ำ


“เด็ก ๆ ฝากขนมมาให้พี่พาย บอกว่ากรุงเทพฯ อยู่ไกล ต้องหิวมากแน่ ๆ ก็เลยฝากขนมให้ไปกินระหว่างทาง ส่วนอาจารย์ใหญ่กับคุณครูคนอื่น ๆ ฝากกำลังใจมาให้”


“ขอบใจนะ” เจ้าของร่างสูงยิ้มก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน


“บ้านเงียบจัง แม่กับพี่ฝนไม่อยู่เหรอ”


“อือ พี่ฝนพาแม่ไปคุยกับป้าเจ้าของที่ข้าง ๆ น่ะ” พายุพัดบอกพลางมองไปตามแสงไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ “เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งนานจะย้ายไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว”


“น่าใจหายเหมือนกันนะ”


“เห็นว่าลูกสาวสอบเป็นข้าราชการได้ที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะพาแม่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นป้าแกก็ต้องอยู่ที่นี่คนเดียว”


“แล้วบ้านกับที่ทางทางนี้ล่ะ”


“ก็คงจะขายนั่นแหละ”


นคินทรพยักหน้า เดินตามเจ้าของบ้านไปจนถึงเรือนพักหลังสุดท้าย อาศัยความคุ้นเคยจัดการวางสัมภาระแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ถือโอกาสถามในสิ่งที่ยังสงสัย


“ที่จริงแค่สระว่ายน้ำถอดประกอบ เอาเงินเราไปซื้อก็ได้นะ ถ้าใช้เงินจำนวนไม่มาก อาจารย์ใหญ่กับคุณครูคนอื่น ๆ ก็พร้อมจะสนับสนุนอยู่แล้ว ทำไมต้องไปนำเสนอโครงการกับบริษัทใหญ่ด้วยล่ะ”


“เงินของนายอาจจะซื้ออุปกรณ์ทำสระว่ายน้ำถอดประกอบสำหรับเด็ก ๆ ที่นี่ได้ แต่อย่าลืมว่านายคนเดียวช่วยทุกคนในประเทศนี้ไม่ได้หรอก” พายุพัดตอบ “เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่สังคมควรต้องรับรู้ว่ายังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่อีกเยอะ อีกอย่างทุนนี้ก็เป็นทุนที่บริษัทนั้นกับองค์กรภาครัฐทำความรวมมือกันมอบให้เป็นสาธารณประโยน์ในรูปแบบของเงินทุนทุกปีอยู่แล้ว แต่มีเงื่อนไขว่าใครที่จะขอก็ต้องมานำเสนอโครงการที่ทำได้จริงในงบประมาณที่ไม่เกินไปจากเงินทุนที่เขาสามารถให้ได้”
   

“ดูนายตั้งใจจังเลย ไม่คิดจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแน่แล้วใช่ไหม”


พายุพัดไม่ตอบ ในหัวกลับนึกถึงข้อความที่ส่งถึงชลชาติเมื่อครั้งที่ตั้งปณิธาณอย่างแน่วแน่ว่าจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ
   

“ต้นเดือนหน้าเราจะแวะไปหานะ”


“ตกลงจะสมัครเป็นอาจารย์ที่คณะเหรอ”
   

“เราคงไม่ได้สมัครหรอก เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ฝากขอโทษอาจารย์ทวีด้วยนะ”
   

“ว่ายังไง” นคินทรถามซ้ำ
   

“เบื่อกรุงเทพฯ แล้วน่ะ เราไม่ได้อยากตื่นขึ้นมาเห็นแต่ตึกสูง ๆ เราอยากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นภูเขามากกว่า” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้น ๆ



ขอบคุณสำหรับการติดตาม


เดิมคิดไว้ว่าจะให้จบเรื่องราวตามที่กำหนดไว้ในพล็อตภายในครึ่งนี้ค่ะ
เพื่อให้จบพาร์ทตั้งใจ คือไปให้ถึงเสนอโครงการและเรื่องหลังจากนั้นอีกนิดหน่อย
แต่พอเขียนแล้วมันมีรายละเอียด เริ่มยาว ตอนที่ 11 นี้เลยจะจบอยู่ที่ตรงนี้นะคะ
ขอตัดที่เหลือไปรวมกับตอนหน้า และขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-08-2018 03:43:09
  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-08-2018 07:16:25
เจอม่อนแล้ว พายก็คงไม่อยากห่างกันอีก เกาะติดขนาดนี้ม่อนก็ช่วยพิจารณาด้วย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-08-2018 08:20:12
การที่อยู่กับสิ่งที่เรารัก ไม่จำเป็นต้องหรูหราหรอกนะ แค่มีใครสักคนอยู่ข้างๆ ด้วยกัน ฮิ้วววว
อบอุ่นจังเลยคู่นี้
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-08-2018 11:58:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 08-08-2018 12:38:01
ม่อนนี้ยังไงนะ มีใจหรือป่าว :ling1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 08-08-2018 15:44:02
ได้อยู่ใกล้กันแล้ว

พายต้องมั่นทำคะแนเยอะๆ นะ :hao3:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 08-08-2018 16:09:29
พายก็จะมีการอ่อยม่อนไปเรื่อยๆ 
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-08-2018 17:21:56
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-08-2018 21:26:09
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ (ครึ่งหลัง) (08-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 09-08-2018 00:23:59
ชอบพายเวอร์ชั่นนี้จัง ละมุนๆดี :o8:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-08-2018 00:21:49
ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป


ถือเป็นโชคดีของนคินทรที่การนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนจัดขึ้นในตอนเช้าวันอาทิตย์ เขาจึงไม่ต้องลางานและมีเวลาพอที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวในช่วงคืนวันเสาร์ก่อนจะต้องเดินทางกลับหลังจากได้นำเสนอเรียบร้อยเพื่อให้ทันทำงานในเช้าวันจันทร์ ทันทีที่ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง พายุพัดก็ได้รับโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง เขากดรับสายแล้วคุยกับอีกฝ่ายตั้งแต่ลงเครื่องกระทั่งเดินไปตามทางที่มุ่งสู่อาคารที่พักผู้โดยสาร นคินทรมองมือข้างที่สวมกำไลเงินรูปปลาคู่ซึ่งกำโทรศัพท์แน่น แม้จะถามคำตอบคำเป็นปกติแต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว คนที่ปลายสายคงต้องเป็นคนคุ้นเคยที่มักทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นแน่


“เออ จะถึงแล้วเนี่ย อย่าเร่งสิ คนเยอะ เดินเร็วได้แค่นี้” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะกดตัดสาย หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาบอกคนเดินข้าง ๆ “เพื่อนเรารออยู่ข้างนอกแล้วละ”


“เดินไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเพื่อนรอนาน”


“ไม่เป็นไร ไปด้วยกันนี่แหละ เราอยากให้นายเจอเพื่อนเรา” พายุพัดบอก


นคินทรเพียงแต่พยักหน้า เดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งออกสู่บริเวณที่พักผู้โดยสาร เห็นคนมาด้วยกันยกมือขึ้นโบก ไม่นานใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้น


“ที่แท้ก็มีนนี่เอง” ชายหนุ่มยิ้ม ดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง


“ม่อนนี่เองคนที่พายบอกว่าจะให้มาช่วยนำเสนอโครงการ ก็ว่าอยู่ว่าหน้าอย่างฉลามหินนี่จะพูดได้เกินห้าประโยคหรือเปล่า ได้ม่อนมานำเสนอให้ แบบนี้ต้องผ่านแน่ ๆ เลย”


“ทีอย่างนี้ละไม่รีบ” คนหน้านิ่งแทรกขึ้น


“เออ ขอคุยกับม่อนหน่อยสิ นาน ๆ เจอกันที” ชลชาติบอก


“เราไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก”


“แต่งานนี้ไอ้พายมันหวังไว้มากเลยนะ”


นคินทรพยักหน้า เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขารับรู้มาโดยตลอด


“ไปกันเถอะ”


“จะรีบไปไหนวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว


“เดี๋ยวม่อนถึงบ้านมืด” คนพูดน้อยตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำไป...


พายุพัดละสายตาจากเจ้าของรถที่เพิ่งหยุดบ่นเรื่องการจราจรบนถนนวิภาวดี-รังสิต มองผ่านกระจกมองหลัง เห็นนคินทรกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง อดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เพราะอยู่บนเครื่องบินเขาก็เอาแต่ทำเช่นนี้ ดูพูดน้อยกว่าทุกครั้งที่พบกัน


“ไม่ให้เราไปส่งที่บ้านจริง ๆ เหรอม่อน” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“รถติดขนาดนี้ เราไปเองดีกว่า มีนส่งเราตรงที่ป้ายรถเมล์ที่บอกนั่นแหละ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซีต่อไปเอง”


ชายหนุ่มพยักหน้า มองเพื่อนเก่าผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่งแล้วย้ายกลับไปมองทางต่อ “ไม่คิดจะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ บ้างเหรอม่อน คุณลุงหมอกับคุณป้าวาสนาคิดถึงแย่แล้วมั้งป่านนี้”


“พ่อกับแม่ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน” นคินทรตอบเสียงเรียบ ยังคงมองออกไปนอกกระจก


“เออ เห็นพายบอกว่าม่อนเรียนห้องเดียวกับพายก่อนที่พายจะย้ายมาเรียนกรุงเทพฯ เหรอ”


“อือ” คนถูกถามรับคำในลำคอ


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“เราย้ายโรงเรียน แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่เชียงใหม่น่ะ”


“จริงเหรอ อย่างนี้ม่อนก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกับพ่อเราน่ะสิ พ่อเราจบเภสัช แล้วเป็นยังไงบ้าง เป็นเด็กกรุงเทพฯ ไปเรียนเชียงใหม่ โดนแกล้งอะไรไหม พ่อเราเล่าให้ฟังว่าไปถึงก็โดนเลย จะไปจีบสาวคณะทันตะ ก็เลยให้เพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่สอนพูดคำเมือง เพื่อนก็ดี๊ดี ช่วยสอนให้”


“แล้วเป็นยังไง” นคินทรหันมาฟังอย่างสนใจด้วยรู้ว่าแม่ของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นทันตแพทย์แต่เป็นพยาบาล


“ไปถึงพ่อก็เอาดอกไม้ไปยื่นให้แล้วบอก เธอ ๆ น่าง่าวจัง”


ทั้งนคินทรและพายุพัดต่างพากันหัวเราะพรืด


“โดนสาวไล่ตะเพิด ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้ากลับไปเหยียบคณะทันตะอีกเลย” ชลชาติเล่าไปยิ้มไป นึกถึงเจ้าของร้านขายยาร้านใหญ่ย่านติวานนท์ “แล้วม่อนล่ะ โดนแกล้งอะไรบ้างไหม”


“อืม...เคยโดนหลอกให้ไปซื้อน้ำบ่ดายปั่น”


“น้ำอะไรนะ” หนุ่มเมืองนนท์ทวนคำ


“น้ำบ่ดาย” พายุพัดตอบแทน “แปลว่าน้ำเปล่า”


“นั่นแหละ จนแม่ค้าต้องติดป้าบอกว่าอย่าแกล้งให้เพื่อนมาสั่งน้ำบ่ดายปั่นเพราะมันไม่มี ดีไม่ดีจะถูกด่ากลับ แต่นี่ยังน้อย บางคนโดนให้ไปซื้อน้ำอย่างอื่น หลบกระบวยแทบไม่ทัน”


“เออ ๆ ตลกดีว่ะ” ชลชาติหัวเราะ “ไอ้พายนี่ก็ใช่ย่อย”


“อะไร” เจ้าของชื่อหันขวับ


“ก็ตอนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนใหม่ ๆ ไง นายไม่พูดอะไรเลย จนบางทีเราก็นึกสงสัยว่าขี้เก๊กหรือ...” คนพูดนิ่งนึก “ภาษาเหนือเขาเรียกอะไรนะ คนที่ไม่รู้สึกไม่รู้สา ถูกด่าก็ยังเฉยน่ะ”


“มีน...” พายุพัดลากเสียงเป็นเชิงปราม


“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียม” นคินทรบอก


“เออ ๆ นั่นแหละ ๆ ก็เลยโดนหลอกให้ไปโบกรถไฟฟ้า”


“โบกรถไฟฟ้า?”


“อือ วันนั้นจะไปสยามกัน แล้วด้วยความที่ไอ้พายมันเข้ามาเป็นรุ่นน้องไง พวกเพื่อน ๆ เราก็เลยถือโอกาสสอนไอ้พายโบกทั้งแท็กซี รถเมล์ แล้วก็รถไฟฟ้าเสียเลย”


“มีน...พอแล้วมั้ง” พายุพัดยกมือห้ามแต่ก็ถูกชลชาติคว้าหมับเข้าที่ข้อมือซึ่งไม่เคยว่างจากกำไลรูปปลา


“ไม่ต้องห้ามเลย เรื่องนี้มันต้องเล่าสู่กันฟัง” พูดจบก็ย้ายมืออีกฝ่ายไปวางบนตักของผู้เป็นเจ้าของแล้วมองนคินทรผ่านกระจกมองหลัง “พอเห็นรถไฟฟ้าใกล้จะมาถึงเพื่อน ๆ ก็ส่งไอ้พายออกไปโบก ไอ้พายก็ซื่อไง ให้โบกก็โบก เลยโดน รปภ. เป่านหวีดไล่”


“มีน...”


ชลชาติยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบ “หน้าง่าว”


“คนบ่ฮู้คันบ่ฮู้เดียมน่ะนายมากกว่า” พายุพัดถอนใจสลัดให้หลุดจากสัมผัสของอีกฝ่าย


“ทำงอน ๆ”


นคินทรละสายจากสองคนที่กำลังหยอกล้อกัน มองไปนอกกระจกเห็นว่าใกล้ถึงป้ายรถเมล์ที่เขาจะต้องลงจึงเตือนชลชาติอีกครั้ง เมื่อรถจอดเทียบบาทวิถีชายหนุ่มก็เตรียมสะพายเป้ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถ


“ขอบใจนะมีน” พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตู แต่ต้องชะงักเพราะอีกคนที่หันมาเรียก


“ม่อน ถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ”


เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วกล่าว “พรุ่งนี้เจอกัน”


พายุพัดมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองข้างจนกระทั่งรถเคลื่อนกลับเข้าสู่เส้นทางจราจรที่แสนคับคั่งอีกครั้ง ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ฮัมเพลงเบา ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังบ่นเรื่องรถติดไม่หยุดปาก
ไม่รู้เสียงฮัมเพลงหยุดไปตอนไหน จู่ ๆ ชลชาติก็เอ่ยขึ้น “กับเราไม่เห็นเคยพูดแบบนี้บ้างเลย”


“พูดอะไร”


“ก็...” ทำยืนหน้าเข้ามาใกล้แล้วส่งสายตาวิบวับ “ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ”


“ไอ้มีน” คนพูดน้อยมุ่นคิ้ว ตะปบมือแล้วดันหน้าตี๋ออก “ไปห่าง ๆ”


“แหม...ใช่สิ กับเราละอยากให้ไปห่าง ๆ แต่กับบางคนน่ะใจลอยตามเขาไปถึงไหน ๆ”


พายุพัดถอนใจเฮือก เสมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง


“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ม่อนนี่เอง คนที่ทำให้ฉลามหินของเราหวั่นไหวได้”


“ขืนยังพูดมาก ต่อไปจะไม่เล่าอะไรให้ฟังแล้ว”


“พูดน้อยแบบนายก็ไม่ไหวนะ ระวังเถอะ ไม่บอกให้เขารู้ คนอื่นจะมาคาบไปกิน”


พายุพัดฟังเพื่อนพูดแล้วพลันนึกถึงคำพูดของอาจารย์เมธีขึ้นมา...


“ต้องถามตัวเองก่อนว่าเธอเป็นประเภทไหน บางคนแอบชอบแล้วต้องการบอกให้เขารู้ อยากให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาของเขา ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา ส่วนบางคนก็ขอแค่ให้ได้บอก ไม่กลัวผลที่จะตามมา ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะเงียบ”


...ถึงตอนนี้ก็ยังค้นไม่พบว่าตนเองเป็นคนประเภทไหน


“กลัวเหรอ”


“อือ” ชายหนุ่มตอบตามตรง นั่นเพราะชลชาติเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเลือกที่จะคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย    


“กลัวอะไรวะ กลัวว่าเขาจะไม่คิดเหมือนกันเหรอ”


พายุพัดส่ายหัว “กลัวถูกเกลียด”


“พายเอ๊ย... เราว่าม่อนไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก อย่างน้อยถ้านายบอก นายก็ไม่ต้องอึดอัดใจที่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว ส่วนม่อนเองก็จะได้รู้ว่านายคิดแบบไหน ถ้าไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไรนี่ เป็นเพื่อนกันต่อไป ดีเสียอีก ต่างคนจะได้รู้ว่าควรปฏิบัติต่อกันยังไงหลังจากนี้”


คนฟังถอนหายใจรอบที่ล้าน “ถ้ามันง่ายอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดีสิ”


...


ในวันรุ่งขึ้น ชลชาติ พายุพัด และนคินทรนัดพับกันที่อาคารพีเอสบนถนนรามคำแหงซึ่งเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิก่อฝันปันสุข” ก่อตั้งโดยคุณปัณณ์ สุขวิบูล ประธานบริษัท พี เอส สปอร์ต จำกัด บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา มูลนิธินี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลาย ๆ หน่วยงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางด้านกีฬาและนันทนาการภายในประเทศ ในแต่ละปีมูลนิธิก่อฝันปันสุขจะพิจารณามอบเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ จำนวน 10 ทุน โดยมีการกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในปีนี้มีผู้เสนอโครงการกว่า 30 โครงการ มีโครงการที่ผ่านการพิจารณาในรอบแรกซึ่งเป็นการพิจารณาจากเอกสารรวม 17 โครงการ ซึ่งจะต้องมานำเสนอกันในวันนี้


พายุพัดเดินนำเข้าไปภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาจากทั่วสารทิศ บ้างจับกลุ่มซักซ้อม บ้างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกัน ชายหนุ่มกวาดตามองขึ้นตามแนวที่นั่งซึ่งลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ด้านหน้าสุดเป็นที่สำหรับคณะกรรมการ ส่วนถัดขึ้นไปจัดไว้ให้ผู้มานำเสนอและผู้ที่สนใจเข้าฟัง เมื่อพบที่นั่งว่างสามคนจึงพากันเดินขึ้นไปตามช่องทางด้านข้าง วางสัมภาระแล้วนั่งลง   


“มาได้ไงวะ” ชลชาติพึมพำกับตัวเองเมื่อจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ผลักประตูบานใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่พวกเขานั่งเข้ามา


“ใคร” พายุพัดถาม


“ไอ้ธรรม์”


นคินทรมองสองคนก่อนจะเบนสายตาไปยังเจ้าของร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตผูกเนคไท ผมเผ้าจัดแต่งทรงดูเนี้ยบ ผิดกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ ชายคนนั้นกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดตรงที่พวกเขานั่ง พลันริมฝีปากก็เกิดรอยยิ้มยากจะคาดเดาความคิด ครู่หนึ่งก็มีอีกคนเดินตามเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสูทดูภูมิฐาน ชายคนที่อายุน้อยกว่าผายมือเชิญ จากนั้นจึงเดินตามไปส่งจนถึงที่นั่งซึ่งมีป้ายชื่อติดกำกับ


“ลืมไปเลยว่ะว่าอาจารย์ธนิตก็เป็นคณะกรรมการของมูลนิธินี้”


“ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดตอบสั้น ๆ


“ใครเหรอ” คนที่นั่งถัดเข้าไปด้านในเอ่ยขึ้น รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็นึกว่าออกว่าเคยเจอชายหนุ่มผู้นั้นที่ไหน


“เพื่อนเก่าน่ะ”


นคินทรพยักหน้า พายุพัดยังไม่ทันอธิบายต่อ คนที่กำลังถูกกล่าวถึงก็เดินมาหยุด ถือโอกาสนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้า ใช้เท้ายันพื้นหมุนเก้าอี้เพื่อหันกลับทักทาย 


“ไง ได้ข่าวว่าพวกนายก็มานำเสนอโครงการกับเขาด้วยเหรอ” ธรรม์ณธรว่าพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนัก วางท่าราวกับเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่


พายุพัดตอบอือ ส่วนที่เหลือนั่งฟังเฉย ๆ


“ยากหน่อยนะ เห็นอาจารย์ธนิตบอกว่ามีแต่โครงการน่าสนใจทั้งนั้น อันที่จริง...ถ้านายลองใช้ความมีชื่อเสียงให้เป็นประโยชน์ ขี้คร้านบริษัทดัง ๆ จะพากันวิ่งเข้าหา” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “อ้อ...เราลืมไป นายประกาศอำลาวงการไปแล้วนี่ ตอนนี้ชื่อเสียงพวกนั้นมันไม่เหลือแล้วสินะ”


“ไอ้ธรรม์” ชลชาติเตรียมจะลุกขึ้นแต่ถูกเพื่อนรักรั้งไว้


“นายเองก็อีกคน” ธรรม์ณธรชี้หน้าอาจารย์หนุ่ม “ไว้ให้เราเข้าไปเป็นเลขารองคณบดีได้เมื่อไร นายเตรียมตัวตกกระป๋องได้ จะได้รู้รสชาติว่าการเป็นคนที่ถูกมองข้ามมันเป็นยังไง” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็หัวเราะหึก่อนจะเดินจากไป


“ดูท่าทางเขาคงไม่นับพวกนายเป็นเพื่อนหรอกมั้ง” นคินทรว่า


ชลชาติถอนใจ “สงสัยจะเจองานหินแล้วว่ะไอ้พาย”


พายุพัดมองตามธรรม์ณธรซึ่งขณะนี้เดินไปหยุดที่ด้านหลังโต๊ะของคณะกรรมการ ในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก มือใหญ่เผลอกำแน่น แต่แล้วมือของอีกคนที่วางลงมาบนบ่าก็ทำให้ได้สติ


“ไม่เป็นไรน่า” นคินทรยิ้ม


เมื่อการนำเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนเริ่มขึ้น เจ้าของโครงการแต่ละโครงการต่างเตรียมพร้อม ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับการนำเสนอ ทั้งโมเดลตัวอย่าง รวมถึงแบบแปลนต่าง ๆ ในกรณีที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่นานข้อมูลทางสถิติและตัวหนังสือมากมายก็ถูกทยอยฉายขึ้นให้เห็นบนฉากรองรับขนาดใหญ่กลางเวที


“ตื่นเต้นไหม” พายุพัดหันมาถามคนนั่งข้าง ๆ


“สบาย ๆ” นคินทรไหวไหล่ก่อนจะวางมือบนแขนของอีกฝ่าย


“มือเย็นเฉียบยังว่าสบาย ๆ”


“ก็เหมือนสอนหน้าชั้นเรียนหรือยืนรายงานหน้าห้องนั่นแหละ นายอยากลองไหมล่ะ”


“นั่นแหละที่เราเกลียด ถ้าเราทำได้คงไม่ขอร้องให้นายมาหรอก”


“คุยอะไรกัน ขึ้นไปเตรียมตัวได้แล้ว” ชลชาติเตือน


นคินทรจึงลุกขึ้น เดินไปรอที่ข้างเวที เขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอยู่ครู่หนึ่ง รอผู้นำเสนอโครงการก่อนหน้าลงจากเวทีจึงก้าวขึ้นไปแทนที่ ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังโต๊ะสำหรับวางเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่ไม่ได้นำอุปกรณ์เหล่านี้ติดตัวมา รอเจ้าหน้าที่เทคนิคตั้งค่าต่าง ๆ เรียบร้อยจึงคว้าไมโครโฟนก้าวออกมายืนตรงกลางเวทีแล้วกล่าวทักทายทุกคน


“สวัสดีครับ ผมชื่อนคินทร ปฐวิพัฒน์ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดครับ พ่อของผมเป็นนายทหาร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน พวกเราย้ายตามพ่อไปอยู่ที่จังหวัดน่านตั้งแต่ผมจบป.หก”


ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ในตอนแรกนั้นคืองุนงงกับวิธีการนำเสนอของคนบนเวที แต่นานเข้าความฉงนสนเท่ห์ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นการฟังอย่างตั้งใจ


“ผมเริ่มเรียนชั้นมัธยมที่จังหวัดน่านจนกระทั่งถึงม.สี่ พ่อก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น หลังจากผมเรียนจบปริญญาตรี ผมก็ตั้งใจว่าผมจะต้องกลับมาที่น่านอีก เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ ที่หลังรักจังหวัดนี้ไปเสียแล้วละครับ ผมกลับมาที่น่านในสถานะใหม่ ไม่ได้เป็นนักเรียนเหมือนก่อน แต่เป็นครู” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แตะปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสเพื่อสั่งเลื่อนสไลด์รูปภาพที่ได้บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พลันภาพต่าง ๆ ที่ทั้งเขาและพิทักษ์ช่วยกันเตรียมก็ปรากฏขึ้นบนฉากด้านหลัง


พายุพัดนั่งหลังตรง ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างสูงบนเวทีที่ใช้วิธีการเล่าด้วยภาพและเล่าอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่สภาพทั่วไปของท้องถิ่น ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน รวมถึงการยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าพื้นที่เล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ขาดแคลนสิ่งใดบ้าง อดนึกชื่นชมไม่ได้ว่าแม้นคินทรจะไม่ใช่คนในท้องถิ่นแต่กลับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ดีกว่าคนที่เกิดและโตที่นั่นอย่างตนเองเสียอีก


“แต่ผมเป็นครูที่ว่ายน้ำไม่เป็นครับ พ่อของผมท่านเคยสัญญาว่าจะสอนผมว่ายน้ำ สุดท้ายท่านก็งานยุ่งจนไม่มีเวลา และผมเองก็ไม่เคยคิดจะเรียนว่ายน้ำกับใคร...ถ้าหากคนนั้นไม่ใช่พ่อ”


นคินทรนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วเริ่มพูดต่อ “ผมรู้ว่าตอนที่คนเราจมน้ำและกำลังจะตายนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน เด็ก ๆ ที่โรงเรียนของผมส่วนใหญ่ก็ว่ายน้ำไม่เป็น เพราะบ้านของเราอยู่ท่ามกลางภูเขา พ่อแม่ก็ทำไร่ทำนา แหล่งน้ำที่มีก็คือก็ลำธารที่มักจะแห้งขอดในช่วงหน้าแล้ง แล้วก็ไหลเชี่ยวในช่วงหน้าฝน ทุก ๆ ปีจะมีเด็กประสบอุบัติเหตุจมน้ำอยู่บ่อยครั้ง ผมจึงเป็นตัวแทนนำความหวังของเด็ก ๆ ในอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่งมานำเสนอ นั่นก็คือโครงการสระว่ายน้ำมีขาครับ”


นคินทรยังคงเล่าต่อไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับโครงการและวัตถุประสงค์ ด้านหลังของเขาคือภาพโครงร่างสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบได้ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นภาพรวม และภาพเมื่อแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ออกจากกัน


“ที่ผมใช้คำว่าความหวังของเด็ก ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกดดันผู้ใหญ่ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างแบกรับเอาความหวังของคนที่อยู่ข้างหลังเอาไว้บนบ่า วันนี้จึงเป็นวันที่เราได้รับโอกาสที่ดีในการเป็นสื่อกลางสะท้อนเสียงที่เคยดังอยู่แค่ในซอกหลืบของหุบภูเขา บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเล หรือบริเวณชายขอบของประเทศ ให้คนอื่น ๆ ได้รับฟัง ผมคิดว่าโครงการแต่ละโครงการล้วนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซ้ำยังนำประโยชน์มาสู่ส่วนรวม หากโครงการเหล่านี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนอย่างถ้วนทั่วก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเรา ๆ อยู่ไม่น้อยครับ”


และเมื่อเขานำเสนอจบ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องประชุม... 


หลังจากสิ้นสุดการนำเสนอโครงการ คณะกรรมการของมูลนิธิรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสาขาก็พากันเข้าไปภายในห้องประชุมย่อยเพื่อทำการตัดสินและประกาศชื่อโครงการที่จะได้รับทุน


ผ่านไปเกือบ 30 นาที ปัณณ์ สุขวิบูล ก็เดินนำคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิออกมา ชายวัยห้าสิบปีเศษก้าวขึ้นยืนบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นจึงทำการประกาศรายชื่อโครงการที่ได้รับทุนทั้ง 10 โครงการ


“ทำไมไม่มีชื่อโครงการของเราวะ” ชลชาติกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พายุพัดเองก็กำหมัดแน่น ดวงตาจับจ้องไปยังเจ้าของร่างสูงที่หันมาส่งยิ้มเยาะเย้ย


“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” นคินทรว่า ดวงหน้าของเขาปราศจากความผิดหวัง ซึ่งต่างจากสองคนที่มาด้วยกัน “กลับกันเถอะ” สิ้นเสียงคนที่ดูจะคุมสติได้มากที่สุด อีกสองคนก็พากันลุกออกจากห้องประชุม


พายุพัดเดินดุ่ม ๆ ไปที่หน้าลิฟต์ กำหมัดทุบกำแพงเสียงดังสนั่น “เป็นเพราะเรา” สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะโทษตัวเองแทนที่จะโทษว่าเป็นฝีมือของธรรม์ณธร


นคินทรก้าวไปหยุดยืนใกล้ ๆ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง “ไม่ได้เป็นเพราะใครหรอก ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ที่ไม่ได้ก็เพราะว่าเขาไม่เลือกเรา อาจจะเป็นเพราะโครงการของเรายังไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในวงกว้างเท่าที่ควร” พูดจบก็วางมือลงบนบ่าหนาแล้วบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ


“แต่ว่าเด็ก ๆ...” ความรู้สึกหนักอึ้งประดังประเดไม่ต่างจากครั้งยังมีธงไตรรงค์ติดหน้าอก


“ไม่เป็นไร ทุกคนรู้ว่านายตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ถึงพวกเขาจะไม่มีสระว่ายน้ำ ชีวิตของพวกเขาก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่เหรอ เล่นกระโดดหนังยาง ถีบจักรยาน เตะฟุตบอล มีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ เหมือนตอนที่นายชวดเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทุกคนทางนี้ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ มีแต่นายนั่นแหละที่รู้สึกว่าทำให้คนทั้งประเทศต้องผิดหวัง”


“จริงอย่างม่อนว่า นายอย่าคิดมากเลยพาย” ชลชาติเสริม “นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกพวกเราว่า ครั้งนี้เรามาเพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่ายังมีคนที่ขาดโอกาสอยู่อีกมาก”


พายุพัดคลายมือออก หันมาสบตาทั้งสองคนก่อนจะพยักหน้าเข้าใจในความหมายที่ต่างคนต่างพยายามจะสื่อ


“ถึงกับคอตกเลยเหรอ” จู่ ๆ เสียงที่ไม่มีใครอยากได้ยินก็ดังขึ้น


ธรรม์ณธรเดินจกกระเป๋ามาหยุดที่หน้าลิฟต์ “บอกแล้วไงว่ายากหน่อยนะ” พูดจบก็เอื้อมมือกดปุ่มเพื่อให้ลิฟต์หยุด


“พูดแบบนี้แสดงว่าเล่นสกปรกเหมือนเคยสินะ” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ก็ถ้ามันจะทำให้พวกนายแพ้ทุกทาง จะสกปรกหรือสกปรกกว่านี้เราก็ทำ” คนพูดกล่าวอย่างไม่ยี่หระ


พายุพัดหันขวับ คิดจะตอบโต้แต่ก็ช้ากว่านคินทร


“แบบนี้ก็ง่ายดี” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ในที่สุดก็นึกได้ว่าที่แท้ก็เคยเจอเขาเมื่อตอนที่ได้พบกับพายุพัดเป็นครั้งแรกนั่นเอง


“อะไรง่ายเหรอม่อน” ชลชาติถามซื่อ ๆ


“ง่าย...เวลาที่จะแยกคนเลวออกจากคนดีไง”


“ก...แก!” ธรรม์ณธรกัดฟันกรอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา หันไปก็พบว่าอาจารย์ธนิตกับคณะกรรมและผู้ทรงคุณวุฒิกำลังพากันเดินมาทางนี้ ดวงตาอาฆาตจ้องชายหนุ่มแปลกหน้า แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว “เชิญครับอาจารย์” ว่าแล้วก็ผายมือเชื้อเชิญบุคคลสำคัญเหล่านั้น แล้วปุ่มค้างไว้เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกพอดี


“สามคนนี้เขารออยู่ก่อนนี่ ให้เขาไปก่อนสิ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินคู่มากับประธานสูงสุดของ พี เอส สปอร์ต จำกัด เอ่ยขึ้น


“เราไปกันก่อนเถอะครับ พวกนี้เขาคนหนุ่มไฟแรง กำลังวังชายังดีอยู่” อาจารย์ธนิตกล่าวเมื่อพบว่าสองในสามคนคือศิษย์รักของอาจารย์ทวีคู่ปรับคนสำคัญ


“ไม่ได้สิครับอาจารย์ธนิต เราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะให้เด็ก ๆ มาว่า ว่าเป็นไม้หลักปักขี้เลนด้วยเหตุผลนี้ไม่ได้” เห็นรองคณบดีทำหน้าเจื่อนเกรงอีกฝ่ายจะเสียหน้าจึงได้กล่าวติดตลก “อีกอย่างผมก็ไม่แก่ขนาดนั้นด้วย ส่วนอาจารย์เองก็อายุน้อยกว่าผมอยู่ตั้งหลายปีนี่นะ”


“ท่านอานุภาพล้อผมเล่นอีกแล้วนะครับ” อาจารย์ธนิตฝืนหัวเราะ


“เชิญอาจารย์ไปกันก่อนได้เลยครับ” นคินทรเอ่ยขึ้น


“อ้อ...คนนี้ที่มาจากน่านใช่ไหม ชื่ออะไรนะ” ผู้อาวุโสถามพลางยกมือขึ้นลูบหนวดอย่างใช้ความคิด


“นคินทรครับ”


“นคินทร ปฐวิพัฒน์ ใช่ไหม”


“ครับ”


เจ้าของร่างสูงใหญ่เพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินตามคนอื่น ๆ เข้าไปในลิฟต์


....
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-08-2018 00:27:52
(ต่อค่ะ)

สามหนุ่มเดินออกจากตึกพี เอส ตอนใกล้เที่ยง ดูเหมือนเรื่องของเพื่อนเก่าบวกกับอากาศร้อนอบอ้าวยิ่งทำให้ชลชาติที่ปกติจะรักษาอาการสุขุมลุ่มลึกตามแบบฉบับผู้คงแก่เรียนร้อนรุ่มหัวใจจนเจ้าตัวเผลอถอนหายใจเฮือก ๆ 


“ยังไม่ทันประกาศผลก็คิดจะเป็นเลขารองคณบดีเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ มองธรรม์ณธรที่เดินไปเปิดประตูรถให้อาจารย์ธนิต จากนั้นจึงหันมาหาพายุพัด “เปลี่ยนใจสมัครเป็นอาจารย์ยังทันนะ พรุ่งนี้วันสุดท้าย”


“ไหนบอกว่าให้เรากลับไปว่ายน้ำเหมือนเดิมดีแล้วไง”


“หมั่นไส้ไอ้ธรรม์มัน สมัครไหม เดี๋ยวเราบอกหาใบสมัครให้กรอก”


“บอกแล้วไงว่าไม่เอา” หนุ่มนักกีฬายังยืนยันคำเดิม


“เขาดูเป็นคนอยู่เป็น เอาตัวรอดได้ดี” นคินทรเอ่ยขึ้น


“ธรรม์เป็นคนเก่ง แต่ใช้ความเก่งในเรื่องไม่ดีเสียเป็นส่วนใหญ่”


“บางทีถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่ถนัดจริง ๆ อาจจะดีก็ได้นะ ตอนนี้มันเหมือนถูกจับให้ทำเพราะคนอื่นคิดว่าเหมาะสม”


“หรือบางทีการที่มันมาเป็นอาจารย์ ต้องมีความรับผิดชอบต่อนักศึกษา อาจจะทำให้มันเปลี่ยนแปลงก็ได้นะ” ชลชาติกล่าว


“เราว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคน เรามีเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่ง เป็นคนไม่เอาอะไรเลย ไม่มีความรับผิดชอบ จนเพื่อน ๆ ในรุ่นลงความเห็นว่าควรจะให้มันรับผิดชอบอะไรบ้าง ปีนั้นทุกคนก็เลยเลือกมันเป็นประธานโครงการค่ายอาสาของภาควิชา แล้วปีนั้นก็เป็นปีที่พังที่สุด พอปีถัดมามันเลือกไปเป็นฝ่ายอาหารมันกลับทำได้ดี ตอนนี้ก็เลยเป็นครูสอนวิชาคหกรรมไปแล้ว สำหรับเพื่อนนายคนนี้ เราว่าแทนที่จะภาวนาให้ภาระหน้าที่เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา สู้มาลุ้นให้เขาค้นเจอสิ่งที่ทำแล้วเหมาะกับตัวเองดีกว่า ถึงวันนั้นทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ”


คนฟังได้แต่ถอนใจ ในขณะพายุพัดรู้ดีว่าทั้งตัวเขาและชลชาติต่างไม่ได้จงเกลียดจงชังธรรม์ณธร ลึก ๆ ยังคงมีความหวังที่จะเห็นเพื่อนได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้จะเป็นความหวังที่ดูริบหรี่ก็ตาม


เมื่อเดินไปถึงที่จอดรถ ชลชาติก็เห็นรถคันหนึ่งแล่นฉิวผ่านไป ชายหนุ่มหยุดมองกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนลับตาจึงเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ กระนั้นก็ยังเงยหน้าขึ้นมองไปในทิศทางเดิมอีกครั้ง


“มีอะไรหรือเปล่ามีน” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของรถไม่กดปลดล็อกประตูสักที


“เปล่า ไม่มีอะไร” พูดจบก็กดเปิดประตูรถ เมื่อทุกคนเข้ามานั่งกันครบจึงเอ่ยขึ้น “ไปสนามบินเลยไหม เราจะไปส่ง” เห็นสองคนพากันพยักหน้าจึงออกรถ


...


พายุพัดมองออกไปนอกผนังกระจก เห็นเครื่องบินกำลังลดระดับลงจนล้อแตะพื้น อดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกของหัวหน้านักบินในยามนี้คงจะโล่งอกที่สามารถนำพาทุกชีวิตสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัย ไม่นานเขาก็ค้อมตัวลงยันข้อศอกกับหน้าขาทั้งสองข้างมองมือตัวเองที่กำลังหมุนกำไลเงินไปมา พลันโกโก้ปั่นแก้วหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า


“อะนี่ กินอะไรหวาน ๆ หน่อยจะได้อารมณ์ดี” นคินทรกล่าว รอกระทั่งอีกฝ่ายรับแก้วทรงสูงในมือจึงนั่งลงข้าง ๆ ยกโกโก้ปั่นขึ้นดูด


“นายว่าเด็ก ๆ จะผิดหวังไหม”


“ไม่หรอกน่า แล้วก็ไม่มีใครทวงขนมคืนด้วย”


คนถามส่ายหัวหันมายิ้ม “ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์มาช่วย”


“เราก็ต้องขอบคุณนายเหมือนกันที่ช่วยเตือนสติว่าเราแค่คนเดียวช่วยแก้ปัญหาให้คนอีกมากมายได้ มันต้องอาศัยหลาย ๆ ฝ่ายช่วยกัน”


พายุพัดพยักหน้าก่อนจะยกโกโก้ปั่นขึ้นดูดบ้าง


“เราว่าอร่อยสู้ที่หวานทำไม่ได้”


“อือ” อีกคนครางรับในลำคอ รู้สึกเห็นด้วย


นคินทรพิจารณาแก้วทรงสูงในมือที่มีโกโก้ปั่นอยู่เกือบเต็ม จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “ซูโครสเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ย่อยได้ในลำไส้เล็ก พอย่อยแล้วก็จะได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว คือ กลูโคสกับฟรุกโตส จึงจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย”


พายุพัดเลิกคิ้ว


“สร้างคุณค่าไง คิดแบบนี้จะได้ไม่เสียดายตังค์” ว่าแล้วก็ก้มลงดูดโกโก้ปั่นสูตรเจือจางต่อ เล่นเอาคนมองอดยิ้มไม่ได้


....


เช้าวันจันทร์ มีผู้คนมากมายรอฟังข่าวด้วยใจหวัง ทันทีนคินทรแจ้งผลให้ทราบ ทั้งครูใหญ่ เพื่อนครู รวมถึงเด็ก ๆ ที่รอคอย ทุกคนคนต่างแสดงความรู้สึกผิดหวัง เมื่อมีความคาดหวังแล้วไม่สมหวังก็ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นธรรมดา แต่พวกเขาก็เข้าใจว่ามันคือการแข่งขัน และคำตัดสินของคณะกรรมการเจ้าของเงินทุนถือเป็นอันสิ้นสุด ไม่มีใครทวงคำสัญญา ไม่มีใครทวงความหวังและความฝัน หรือแม้กระทั่งทวงขนมคืน มีแต่ถามหาฉลามพายผู้เป็นตัวตั้งตัวตีริเริ่มโครงการนี้ เจ้าตัวก็กลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านเสียนี่


ส่วนชลชาติ เมื่อพายุพัดปฏิเสธการสมัครคัดเลือกเข้าเป็นอาจารย์ของคณะ ตัวเขาก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป นอกจากจะมีธรรม์ณธรมาคอยปั่นปวนสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจในฐานะเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ยังมีอีกหนึ่งคนที่สร้างความปวดหัวให้ไม่ต่างกัน



“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา เรามีสอน” อาจารย์หนุ่มกล่าวขณะปลายนิ้วยังรัวบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“เราก็ต้องรีบไปหอสมุดเหมือนกัน แต่มีเรื่องสำคัญต้องมาบอกก่อน” หนุ่มศิลปินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวพลางเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะ


“เออ ๆ พูดมา ๆ” ชลชาติเงยหน้าขึ้น


“ตอบมาก่อนว่าพวกนายไปรู้จักลุงเราได้ยังไง”


คนฟังมุ่นคิ้ว “ลุงนายเป็นใครเรายังไม่รู้เลย อาจารย์ฉลองชัย โฆษิตพิศาล คนที่เป็นศิลปินแห่งชาติหรือไง”


“ไม่ใช่สิ ลุงเราเป็นทหารไม่ใช่จิตรกร”


“สรุปว่าลุงนายเป็นใครกันแน่” ชลชาติเริ่มฉุน


“เดี๋ยวเอารูปให้ดู” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเลื่อนหาภาพ “นี่ไง คนข้าง ๆ เรา”


อาจารย์หนุ่มจ้องมองภาพที่หน้าจอ พลันหัวคิ้วก็ขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ รู้สึกคุ้นหน้าชายในเครื่องแบบทหารส่วนอีกคนคือแสนยาซึ่งสวมชุดครุย คาดว่าน่าจะเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตร


“จำได้แล้ว เราเคยเจอเขาวันที่พายกับม่อนไปนำเสนอโครงการที่มูลนิธิก่อฝันปันสุข”


“ปิ๊งป่อง ถูกต้องนะคร้าบบบ!!!”


“แสดงว่ารู้อยู่แล้ว แล้วจะถามทำไมวะ” ชลชาติพึมพำ ที่แท้รถเต่าสีนมเย็นที่เห็นในวันนั้นก็คือคันเดียวกับที่จอดแยงตาอยู่หน้าคณะนี่เอง


“ก็เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันไง”


“ลุงนายมีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา”


“ลุงเราเป็นที่ปรึกษาของมูลนิธิ เจ้าของมูลนิธิเขาอยากคุยกับเจ้าของโครงการสระว่ายน้ำมีขาน่ะ”


“แล้วทำไมถึงต้องฝากนายมา”


“ก็บังเอิญลุงเห็นรูปงานแต่งงานเพื่อนเราสมัยมัธยมน่ะ มีม่อนกับพายอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยมาถามเราว่ารู้จักกับพวกนายไหม แล้วคนป๊อปปูลาร์อย่างเราจะตอบว่าไม่รู้จักได้ยังไง”


“ถุย!”


....


นคินทรต้องประหลาดใจเมื่อจู่ ๆ คนที่หายหน้าไปเกือบครึ่งเดือนก็โผล่มาที่บ้าน ตาคมมองตามซูบารุ ฟอเรสเตอร์ที่แล่นเข้ามาจอด ไม่นานเจ้าของรถก็เปิดประตูลงมายืน ใบหน้าของเขาดูสดชื่นมีชีวิตชีวาผิดกับวันสุดท้ายที่กล่าวอำลากันที่บ้านของอีกฝ่าย


“มีอะไรหรือเปล่า”


“มีนโทรมาบอกว่ามีคนอยากสนับสนุนโครงการของพวกเรา” พายุพัดกล่าวอย่างไม่สามารถเก็บอาการดีใจเอาไว้ได้ กระนั้นเมื่อนึกถึงคำพูดของชลชาติแล้วยังขำไม่หาย


“ใหญ่กว่าอาจารย์ธนิตก็ลุงไอ้แสนนี่แหละ พลตรี นายแพทย์อานุภาพ อนุชิตอนันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่ปรึกษามูลนิธิก่อฝันปันสุขและที่ปรึกษาของบริษัท พี เอส สปอร์ต จำกัด”


“นายจำผู้ชายตัวสูง ๆ มีหนวด ที่ทักนายวันที่พวกเราไปนำเสนอโครงการได้ไหม”


“จำได้”


“เขาเป็นที่ปรึกษาของมูลนิธิก่อฝันปันสุขและที่ปรึกษาของพี เอส สปอร์ต”


“ที่ปรึกษาเหรอ”


“ใช่”


“มีนเล่าให้ฟังว่าแสนมาหา บอกว่าลุงของมันอยากคุยกับเจ้าของโครงการสระว่ายน้ำมีขา มีนเลยอาสาไปคุยให้”


“แล้วเป็นยังบ้าง”


“มีนบอกว่าในบอร์ดบริหารของพี เอส สปอร์ต มีการหารือกัน อยากจะต่อยอดโครงการของพวกเรา โดยไม่เกี่ยวอะไรกับมูลนิธิของคุณปัณณ์ เขาอยากสนับสนุนเงินทุนสำหรับทำสระว่ายน้ำถอดประกอบให้กับเด็ก ๆ บนภูเขา โดยให้โรงเรียนที่สนใจเสนอชื่อเข้าไปแล้วเขาจะพิจารณาความเหมาะสมและรวมถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ อีกที มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีครูที่สามารถให้ความรู้กับเด็ก ๆ เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากการจมน้ำและสอนเด็ก ๆ ว่ายน้ำได้ เขาจะเอาโครงการและชุมชนของพวกเราเป็นต้นแบบ”


“เฮ้ย! จริงเหรอพี่” พิทักษ์ที่เพิ่งถีบจักรยานมาหยุดร้องขึ้นด้วยความดีใจ ทิ้งจักรยานโครมแล้วรีบเดินเข้ามาฟัง


“ดีใจด้วยนะ” นคินทรกล่าว


พายุพัดพยักหน้า ยิ้มแก้มแทบปริ ทำอะไรไม่ถูกจนต้องยกมือขึ้นลูบต้นคอ จากนั้นจึงหันไปกอดครูพละที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทนการกอดคนที่ไปนำเสนอโครงการให้


“ดีใจด้วยนะพี่” พิทักษ์ละล่ำละลัก สองคนกอดกันกลม โดยมีนคินทรยืนมองยิ้ม ๆ
เมื่อต่างคนต่างผละออก ครูหนุ่มก็รีบรั้งจักรยานขึ้นแล้วปั่นไปยังสนามฟุตบอลของโรงเรียนเพื่อนำข่าวดีนี้ไปบอกให้เด็ก ๆ รู้ทันที


“ต้องหัดว่ายน้ำแล้วนะ” พายุพัดกล่าวแก้เก้อ


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ยังจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่ประตูบ้านพักครูถูกใส่กุญแจ ส่วนเจ้าแมวสองแม่ลูกก็นอนเอกเขนกอยู่ที่ระเบียง
ชายหนุ่มสองคนเดินขึ้นไปตามลำธาร จนกระทั่งถึงเวิ้งน้ำกว้างเหนือฝายชะลอน้ำ


“ด...เดี๋ยวพาย เรา...เราว่ายน้ำไม่เป็น” นคินทรขืนร่างเมื่อมือหนารั้งข้อมือของตนให้เดินตามกันลงไปในน้ำ


“ว่ายไม่เป็นก็ต้องฝึก ถ้าว่ายไม่เป็นแล้วมีเหตุการณ์แบบนั้นอีกจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไงกัน” พายุพัดออกแรงดึงแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเดินตาม ในที่สุดเจ้าของร่างสูงก็คลายมือออกแล้วหันกลับไปถาม



“เชื่อใจเราหรือเปล่า” พูดจบก็หงายมือ สบตาที่เต็มไปด้วยแววแห่งความหวาดหวั่น


นคินทรมองมือใหญ่พลางถอนใจเฮือก เลื่อนตาขึ้นสบอย่างตัดสินใจก่อนจะวางมือลงบนมือของอีกฝ่าย แล้วเดินตามกันลงไปในแอ่งน้ำขนาดใหญ่


เมื่อระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นความลังเลก็ส่งผ่านมือที่เกาะกุมกันจนพายุพัดรับรู้ได้


“ไม่ต้องกลัว มันไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหรอก” กล่าวพลางหันมองมาที่คนข้างหลัง


“เกือบถึงคอยังว่าไม่ลึกอีกเหรอ” คนว่ายน้ำไม่เป็นเขย่งปลายเท้า พยายามให้ใบหน้าไม่สัมผัสน้ำ


“เกาะแขนเราแล้วลองยกขาขึ้นตีน้ำสิ”


นคินทรมุ่นคิ้ว แต่ก็ยอมทำตามโดยดี ทำเช่นน้ำซ้ำ ๆ โดยที่สองมือยังจับแขนแกร่งเอาไว้แน่น


“อย่างนั้นแหละ ดีมาก” หนุ่มนักกีฬากล่าว จากนั้นจึงค่อย ๆ แกะมือของอีกฝ่ายออก กว่านคินทรจะรู้ตัว เจ้าของร่างสูงก็ขยับห่างออกไปเสียแล้ว


“ม่อน ตีขาไว้แล้วว่ายมาหาเราสิ”


ระยะทางค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่นคินทรก็ทำให้มันสั้นลงด้วยการว่ายท่าลูกหมาตกน้ำเข้าหาคนสอน เป็นเช่นนั้นอยู่หลายรอบ จนกระทั่งในครั้งสุดท้ายแทนที่จะว่ายไปหาคนที่ยืนรออยู่อีกฝั่ง เขากลับว่ายไปที่โขดหินเพื่อหาที่ยืน


“อะไรกัน แค่นี้ก็หมดแรงแล้วเหรอ”


คนหอบแฮกไร้แรงตอบโต้ มองชายหนุ่มที่กำลังว่ายน้ำเข้ามาหา แต่เมื่อถึงกลางทางจู่ ๆ พายุพัดก็หยุดว่ายไปเสียดื้อ ๆ ภาพที่เห็นคือร่างสูงคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ นคินทรจึงตัดสินใจเรียก


“พาย เป็นอะไรหรือเปล่า” แต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ
ไม่รอให้เสียเวลา ครูหนุ่มก็รีบว่ายเข้าไปรั้งตัวอีกฝ่ายให้หงายขึ้น โอบร่างเขาจากด้านหลังแล้วเรียกอีกครั้ง “พาย!”


นคินทรรู้สึกใจคอไม่ดี รีบลากอีกฝ่ายเข้าฝั่ง กระทั่งเท้าสามารถยืนได้จึงค่อยรู้สึกอุ่นใจ แต่แรงที่มีก็ไม่อาจพานักกีฬาตัวใหญ่ผู้นี้ให้ขึ้นจากน้ำได้ ทำได้เพียงพักร่างอีกฝ่ายพิงกับโขดหิน ใช้มือตบลงเบา ๆ บนแก้มของคนไม่ได้สติ


“อย่าเป็นอะไรนะ” ในขณะที่ความรู้สึกร้อนใจเริ่มพลุ่งพล่าน หูก็ได้ยินเสียง


“เก่งมาก”


“แกล้งกันหรอกเหรอ” เจ้าของหน้าซีดเผือดผลักอกอีกฝ่ายก่อนจะเดินหนี แต่สุดท้ายก็ถูกรั้งต้นแขนไว้


พายุพัดออกแรงเพียงนิดก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับมายืนยังจุดเดิมได้ ทันทีที่ดวงตาสองคู่สบกัน จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรง มือใหญ่เลื่อนขึ้นประคองลำคอขาว ตามองริมฝีปากเซียวที่กำลังสั่นระริกเพราะความเย็นของน้ำ ในที่สุดก็ตัดสินใจโน้มหน้าเข้าหาจนเนื้อปากจวนเจียนจะสัมผัสกัน หวังจะส่งผ่านความอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นภายในใจยามได้อยู่ใกล้ชิด


ลมหายใจร้อนที่เป่ารดบนใบหน้าเรียกสติของนคินทรกลับคืนมา เขาใช้มือทั้งสองข้างผลักอกแกร่งก่อนจะหันหลังให้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างรีบร้อน ส่งผลให้ปลายเท้าผลุบลงไปขัดในซอกหินจนต้องชะงักกึก ความรู้สึกเจ็บแล่นร้าวไปทั้งขา กระนั้นก็ยังทนกัดฟัน


“ม่อน เป็นอะไรหรือเปล่า” พายุพัดสาวเท้าเข้ามาใกล้ใช้สองมือยึดที่ต้นแขนของคนเจ็บ


“ไม่เป็นไร” เจ้าของชื่อตอบเพียงสั้น ๆ ค่อย ๆ ชักเท้าออก อาศัยเถาวัลย์รั้งตัวเองขึ้นจากน้ำ   


“เลือดออกนี่” คนที่เดินตามมาติด ๆ เอ่ยขึ้น จากนั้นจึงรีบแย่งรองเท้าจากมืออีกฝ่าย “ขี่หลังเรา เดี๋ยวเราไปส่ง”


“ไม่เป็นไร” นคินทรกล่าวคำเดิมซ้ำ แววตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ยิ่งจุดความกลัวของพายุพัดให้ลุกโชน “ส่งรองเท้าให้เราเถอะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น พายุพัดก็จำต้องคืนรองเท้าให้ ได้แต่เดินตามคนขากะเผลก ตามองเท้าขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ในที่สุดก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องราวผ่านเลยได้อีกต่อไป มือใหญ่คว้าข้อมือคนเจ็บรั้งให้เขาหยุดเดิน


“ม่อน...ร...เราอยากขอโทษเรื่องเมื่อกี้” 



“ช่างมันเถอะ เรารู้ว่านายอยากให้เราว่ายน้ำเป็น” นคินทรตอบทั้งที่หันหลังให้


“ม...ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่เรา...”


“รีบกลับไปผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งเถอะ เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน นายยังต้องขับรถกลับบ้านอีก” พูดจบนคินทรก็ดึงมือกลับแล้วเดินต่อ
เป็นครั้งแรกที่ความอ้อมค้อมของอีกฝ่ายตรงไปตรงมาที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงบ้านแทนที่พายุพัดจะทำเสื้อผ้าให้แห้งเสียก่อน เขากลับเลือกที่จะขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ดีใจมาก ๆ ค่ะ ที่ในที่สุดก็ได้เขียนมาถึงตอนนี้

ทนอึดอัดกับความคิดของม่อนมา 12 ตอน

ตอนหน้าจะได้รู้สักที ว่าคนคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่

จากนี้ไปน่าจะเป็นการตอบข้อสงสัยของผู้อ่านในหลาย ๆ ข้อค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 13 ลูกชายนายพลนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 10-08-2018 01:43:25
อะไรยังไง ใจคอไม่ดีแล้วว
อยากให้พายสมหวัง :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2018 03:03:48
หนทางความรักยังมืดมน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-08-2018 08:31:03
คนบางเรื่องบุกน้ำลุยไฟยังไงก็ไม่กลัว แต่บางเรื่องเหมือนกับคอขาดบาดตาย
เข้าใจความรู้สึกนั้นนะ กลัวอีกฝ่ายจะเกลียด กลัวว่าถ้าไม่เป็นอย่างที่หวังจะเสียใจ
ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ฝ่ายเดียว
สู้ๆ นะพาย / เป็นเรื่องที่คนเขียนไม่เคยเฉลยความในใจฝั่งม่อนเลย
คนอ่านก็ลุ้น ๆ ๆ ๆ ๆ  มาต่อเร็วๆ เลยนะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-08-2018 09:50:32
ม่อนอย่าผลักไสพายสิ กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ขนาดนี้
เอ๊ะ ๆ หรือคิดว่าพายเป็นแฟนชลชาติ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-08-2018 11:18:42
โถ่พายเอ้ยยยยยย

ม่อนเริ่มรับรู้ความในใจแล้ว...อีกไม่นานหรอก

มั่นมาหาบ่อยๆ น๊าาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 12 ตั้งใจ-เกินไป (10-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 12-08-2018 16:47:20
ม่อนทำให้พายเสียใจอีกแล้ว  เห็นใจทั้งคู่นะแต่ทำไมเราอยากให้พายคู่แสนยาค่ะ555

รอลุ้นความรักที่ซับซ้อนของผู้ใหญ่ค่ะ  ทีมพายแสนยา อิอิ

ขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-08-2018 00:17:50
ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล


ภาณุที่กำลังลงกลอนประตูต้องยืดตัวขึ้นหรี่ตามองเมื่อจู่ ๆ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำก็แล่นเข้ามาจอดชิดริมรั้ว หลังจากเครื่องยนต์ดับลงสักครู่ เจ้าของรถก็เปิดประตูลงมาในสภาพที่เสื้อผ้ายังคงชุ่มไปด้วยน้ำ     


“ทำไมเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้วะ” เจ้าของบ้านถามอย่างแปลกใจ กระนั้นคนเพิ่งมาถึงมิได้ให้ความกระจ่าง


พายุพัดก้าวมาหยุดแล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”


ภาณุพยักหน้า ก้มลงปลดกลอนเปิดประตูให้เพื่อนเข้ามา จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปในบ้าน


“เกิดอะไรขึ้นวะ”


คนพูดน้อยยังคงนิ่งเงียบ เขานั่งลงที่เคาน์เตอร์ มองมือซึ่งประสานกันอยู่ตรงหน้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร     


“เอาเบียร์หน่อยไหม แต่มีโควตาอยู่แค่สองกระป๋องนะ เมียให้กินอาทิตย์ละเท่านี้” ภาณุบอก ไม่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ เดินอ้อมเคาน์เตอร์ไปเปิดตู้เย็น จากนั้นจึงหยิบเบียร์ที่มีอยู่เพียงสองกระป๋องแล้วหันกลับมาวางลงบนเคาน์เตอร์ จัดการเปิดกระป๋องหนึ่งยื่นให้เพื่อน


“รถใครจอดหน้าบ้านน่ะพ่อ” น้ำหวานเอ่ยขึ้นขณะเดินลงจากบันได มองผู้เป็นสามีแล้วจึงเบนสายตาไปยังอีกคน “พายหรอกเหรอ แล้วทำไมเปียกไปหมดแบบนี้ล่ะ”


“ไม่มีอะไร” พายุพัดตอบก่อนจะกระดกเบียร์ชนิดไม่เว้นช่วงหายใจ


“เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” ว่าแล้วภาณุก็ใช้นิ้วงัดเปิดอีกกระป๋อง


น้ำหวานเดินมาหยุดข้างผู้เป็นสามี มองเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเขาวางกระป๋องเปล่าลงบนโต๊ะจึงกล่าวต่อ “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าพาย”


“อย่าเพิ่งไปถามมันเลยแม่” พูดจบก็ดันกระป๋องเบียร์ที่ตั้งใจเปิดดื่มเองไปไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย “เอาไว้ให้นายสบายใจก่อน อยากเล่าเมื่อไรค่อยเล่า”


พายุพัดคลายมือจากบรรจุภัณฑ์โลหะที่ยังคงเย็นเฉียบ เงยหน้าขึ้นสบตา รู้สึกขอบคุณที่เพื่อนเข้าใจ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับอีกฝ่ายมากนัก แต่ไม่รู้เพราะอะไรในยามที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้จึงนึกถึงที่นี่เป็นที่แรก


“แม่ขึ้นนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่ออยู่เป็นเพื่อนพายเอง”   


“จ้ะพ่อ แม่ขึ้นไปดูลูกก่อนนะ ถ้าพายจะค้างที่นี่พ่อหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนด้วยล่ะ” น้ำหวานกล่าว หากแต่สายตาของเธอยังจับจ้องที่ใบหน้านิ่งขรึมด้วยความเป็นห่วง


ด้านภาณุเมื่อเห็นภรรยากลับขึ้นไปบนบ้านจึงเดินไปที่ตู้เย็น แหวกขวดน้ำอัดลมและขนมของลูกซึ่งแช่อยู่ช่องล่างสุด หยิบเอาเบียร์กระป๋องที่ซ่อนไว้แล้วกลับมานั่งที่เดิม ชายหนุ่มงัดเปิดกระป๋องจากนั้นจึงยกขึ้นดื่ม พลันหูก็ได้ยินประโยคหนึ่ง...


“เราเผลอ...จนเกือบจะจูบม่อน”


ถ้อยคำเหล่านั้นทำคนฟังถึงกับสำลัก ชายหนุ่มรีบใช้หลังมือซับริมฝีปากก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ที่ดื่มไปได้หน่อยลงบนโต๊ะ มองพายุพัดที่บทจะอมพะนำก็แทบต้องง้างปากกัน บทจะพูดก็พูดออกมาตรง ๆ ไม่มีเกริ่นนำใด ๆ ทั้งสิ้น


“น...นายว่าไงนะ”


“เราเกือบจะจูบม่อน” คนพูดเงยหน้าขึ้น แววตาจริงจังยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


ภาณุถอนหายใจเฮือก “ไปทำอีท่าไหนวะ”


หนุ่มนักกีฬานิ่งงันไปชั่วครู่ นึกถึงแววตาห่วงใยที่ทำให้เผลอไผล ในที่สุดจึงตัดสินใจปริปาก...


....


เป็นอีกวันที่ซีดานสีเทาดำจอดอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ กับห้องสมุดประชาชนซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียวทาทับด้วยสีขาวที่นับวันกาลเวลายิ่งพาให้หม่นหมองลง บ่งบอกว่าไร้ผู้บูรณะมานาน หนังสือเก่าจำนวนมากถูกคัดออกมาจากชั้นวางซ้อนกันบนโต๊ะเพื่อรอการชุบชีวิต ส่วนเล่มที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วถูกนำกลับเข้าชั้นก็มีอยู่ไม่น้อย เหตุที่งานซ่อมแซมหนังสือรุดหน้าไปได้มากก็เพราะสุพักตร์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ได้อดีตสมาชิกชมรมห้องสมุดอย่างนคินทรมาเป็นลูกมือ


“ช่วงนี้มาบ่อยนะม่อน” หญิงวัยสามสิบหกปีกล่าวขณะจัดหนังสือคืนชั้น


“ไม่รู้จะไปไหนน่ะครับ” นคินทรตอบพลางสอดปลายเข็มเข้าในรูที่เจาะไว้ใกล้สันหนังสือ


“ทำไมไม่เข้าเมืองไปหาเพื่อนบ้างล่ะจ๊ะ มาช่วยพี่ซ่อมหนังสือเกือบทุกวันเลย ระวังเพื่อน ๆ จะลืมนะ” บรรณารักษ์สาวกระเซ้า


ชายหนุ่มหยุดมือ ทอดมองกระดาษที่ซ้อนเป็นชั้น ๆ แล้วยึดไว้ด้วยคลิปหนีบกระดาษตัวใหญ่ อดนึกไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาขาดการติดต่อกับเพื่อน ๆ หากนับดี ๆ ระยะเวลาก็คงเท่ากับช่วงที่มาขลุกอยู่ที่นี่ ทั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์และเกือบทุกเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วพบซูบารุ ฟอเรสเตอร์จอดรออยู่หน้าบ้าน


กระแสลมพัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาส่งผลให้อาคารทรงสี่เหลี่ยมอบอวลไปด้วยกลิ่นหนังสือเก่าผสมกับกลิ่นควันไฟที่ชาวบ้านจุดเพื่อไล่ยุงและคลายความหนาวให้แก่วัวควายรวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ กระดิ่งลมที่ห้อยลงมาจากชายคาแกว่งไกวกระทบกันเกิดเสียงดังกังวานเรียกให้นคินทรต้องมองออกไปด้านนอก พบว่าท้องฟ้าว่างเปล่าแต่ยังปรากฏริ้วสีส้มให้รู้ว่ามีดวงไฟลูกใหญ่เคยอยู่ตรงนั้น ในยามนี้ฤดูฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ที่เข้ามาแทนก็คือความหนาวเหน็บของฤดูเหมันต์ แต่บางเรื่องที่ยังคงค้างคาในใจของนคินทรนั้น ไม่รู้ยามไหนจึงจะสามารถสลัดทิ้งและก้าวข้ามมันไปได้ ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจเบา ๆ จากนั้นจงลงมือทำงานที่ค้างอยู่ต่อ


“ตายจริง นี่ยังไม่หกโมงเลย จะมืดแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวกล่าวเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง


“เข้าหน้าหนาวแล้วก็แบบนี้ละครับ”


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้กลับเร็วหน่อยดีกว่านะจ๊ะม่อน กลับค่ำ ๆ แล้วพี่เป็นห่วง”


“ครับ”


นคินทรรับคำเบา ๆ กระนั้นก็ไม่ได้เร่งมือ จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งทุ่ม ข้อความหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์


Prapai: กลับบ้านเถอะ เราจะกลับแล้ว


มือใหญ่วางโทรศัพท์ลงบนที่นั่งข้างคนขับ มองขึ้นไปบนบ้านไม้ใต้ถุนสูงไร้ซึ่งแสงสว่างพลางถอนใจ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คราวนั้นเขาก็มาที่นี่เกือบทุกวันแต่ไม่เคยพบเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง เมื่อถามเอากับพิทักษ์ซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกับนคินทร เจ้าตัวก็ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าอีกฝ่ายไปอยู่เสียที่ไหน ในที่สุดพายุพัดก็รู้สึกว่าคงถึงเวลาที่ตนเองจะต้องยอมแพ้สักที


....


“คุณปัณณ์ต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน ก็เลยอยากให้นายกับม่อนเข้าไปพบช่วงปีใหม่ เขาอยากคุยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่พวกนายริเริ่ม หลังหยุดยาวจะได้สั่งให้ลูกน้องดำเนินการได้ทันที”


ข้อความจากชลชาติทำให้พายุพัดจำต้องหวนกลับไปที่บ้านพักครูในอำเภอสันติสุขอีกหน และผลก็เป็นดังเช่นทุกครั้งคือเขาไม่พบนคินทรที่นั่น ที่ใต้ถุนบ้านไม่มีซีดานสีเทาดำ ซ้ำประตูบ้านใส่กุญแจแน่นหนา ชายหนุ่มก้าวลงจากบันไดเดินไปนั่งลงที่ม้าข้างลำธารซึ่งเริ่มตื้นเขิน ได้ยินเสียงกระดิ่งจักรยานจึงหันกลับไปมอง


“พี่พายมาหาพี่ม่อนเหรอครับ” พิทักษ์ถามเมื่อขี่จักรยานมาหยุด เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ป่านนี้คงถึงกรุงเทพฯ แล้วมั้ง เห็นว่ากลัวรถจะเยอะเลยไปตั้งแต่เมื่อคืน รอบนี้ขับรถไปเองเพราะพาเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้ไปด้วย สงสัยจะเอาเจ้าสองตัวไปทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่”


“บ้านใหม่” พายุพัดทวนคำ


“ก็บ้านที่กรุงเทพฯ นั่นแหละครับ เห็นพี่ม่อนเปรย ๆ มาตั้งนานแล้วว่าถ้าพ่อเกษียณคงต้องย้ายกลับสักที” คนพูดเม้มปากพลางมุ่นคิ้ว “อืม...แต่ผมไม่แน่ใจว่าแกจะขอย้ายหรือว่าจะลาออกกันแน่”


ฟังแล้วให้รู้สึกใจหาย พายุพัดผุดลุกขึ้นแล้วหันมาทางหนุ่มรุ่นน้อง ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น


“อ...อ้าว นี่พี่ม่อนไม่ได้บอกพี่พายหรอกเหรอครับ”


“เปล่า”


“เอ้อ...แต่อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะพี่ พี่ม่อนน่ะรักที่นี่จะตาย” พิทักษ์ยิ้มเจื่อน ๆ


“ม่อนบอกนายหรือเปล่าว่าจะกลับเมื่อไร”


คนถูกถามส่ายหัว


“แล้วนายรู้ไหมว่าบ้านม่อนที่กรุงเทพฯ อยู่ตรงไหน”


คำถามนี้ยิ่งแล้วใหญ่...


....


   Prapai : พรุ่งนี้เราจะเข้าไปพบคุณปัณณ์ที่ตึกพี เอส อยากให้นายไปด้วยกัน



นคินทรอ่านข้อความที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน ถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโซฟา หยิบหนังสือมาอ่านได้ครู่หนึ่งก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นเปิดดูข้อความ เป็นเช่นนี้ซ้ำ ๆ จนผู้เป็นแม่ที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอนหลังบนห้องต้องหยุดมอง


เวลาผ่านไปกระทั่งบ่ายคล้อย เมื่อวาสนากลับลงมาเพื่อเตรียมอาหารเย็นก็พบชายลูกชายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แม้มือจะค่อย ๆ พลิกกระดาษไปทีละหน้า หากแต่ดวงตากลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่ได้ยินเสียงกริ่งเขาก็ผุดลุกขึ้น ขายาวก้าวไปได้หน่อยก็หยุดชะงัก หันหลังกลับเดินเข้าไปในครัวซึ่งอยู่ค่อนไปทางหลังบ้าน เห็นแม่บ้านกำลังร้องเรียกเจ้าแมวเหมียวที่หอบหิ้วกันมาจากต่างจังหวัดจึงเอ่ยขึ้น


“มีอะไรเหรอครับน้าอุ่น”


“เจ้าซ่าหริ่มมันไม่ยอมลงมากินข้าวค่ะคุณม่อน หนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้ เจ้าตะโก้ก็พลอยตามแม่ของมันขึ้นไปด้วย”


“เดี๋ยวม่อนเอาลงเองครับ น้าอุ่นช่วยไปดูที่หน้าบ้านหน่อย ถ้ามีคนมาถามหาม่อน รบกวนน้าอุ่นบอกเขาทีว่าม่อนไม่อยู่ เพื่อนมารับออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า”


หญิงวัยย่างห้าสิบพยักหน้า เธอหยุดยิ้มให้คุณผู้หญิงของบ้านก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“มีอะไรเหรอม่อน”


“ซ่าหริ่มกับตะโก้ไม่ยอมลงมากินข้าวครับแม่ ม่อนจะจับมันลงมา” พูดจบนคินทรก็เดินไปยกเก้าอี้มาวาง จากนั้นจึงปีนขึ้นไปพาเจ้าแมวสองแม่ลูกลงมา “อุตส่าห์จะพามาให้คุ้นกับบ้านหลังนี้ ดันหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้เสียนี่ซ่าหริ่ม”


ชายหนุ่มว่าพลางวางเจ้าสองตัวลงใกล้ ๆ กับชามใส่อาหาร แต่ทั้งเจ้าตะโก้และเจ้าซ่าหริ่มก็ทำเพียงแค่ดมแล้วเดินหนี


“สงสัยจะไม่ชอบที่นี่ละมั้ง เคยอยู่แบบอิสระจะเดินไปทางไหนก็ไม่ต้องกลัวใคร มาอยู่บ้านเราถึงจะปล่อยออกจากกรงก็เหมือนถูกขังอยู่ดี แต่ถ้าจะให้ออกไปเดินข้างนอก แม่ก็กลัวว่าสุนัขของคุณลุงบ้านข้าง ๆ จะไล่ฟัดเอา”


“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวอีกสักพักก็คุ้น” พูดจบก็ตามไปจับเจ้าสองตัว แต่พวกมันพากันกระโดดหนีขึ้นไปบนหลังตู้เสียก่อน นคินทรจึงต้องปีนขึ้นไปบนเก้าอี้อีกครั้งเพื่อจับมันลงมา


“ปล่อยมันเถอะลูก” ผู้เป็นแม่กล่าว กระนั้นลูกชายก็ยังไม่ละความพยายาม
ยิ่งเอื้อมมือเท่าไร เจ้าซ่าหริ่มก็ยิ่งขยับหนีจนเกินจะคว้าถึง ชายหนุ่มได้แต่ยืนครุ่นคิดหาวิธีกระทั่งแม่บ้านเดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง


“น้าบอกเขาอย่างที่คุณม่อนให้บอกแล้วค่ะ แต่เขายืนยันจะรอ เอายังไงดีคะคุณม่อน ให้น้าไปเชิญเขามาข้างในไหมคะ”
ร่างสูงชะงัก ชักมือกลับแล้วก้าวลงจากเก้าอี้ “ไม่เป็นไรครับน้าอุ่น ถ้าเขาอยากจะรอก็ปล่อยเขา” นคินทรตอบเสียงเรียบ


“ใครมาเหรอม่อน”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ แม่อย่าไปสนใจเลย นี่แม่จะทำอาหารเย็นแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวม่อนช่วย” ลูกชายกล่าวพร้อมกับกอดเอวผู้เป็นแม่อย่างประจบ


เมื่ออีกฝ่ายจงใจตัดบทเช่นนั้น วาสนาจึงไม่เซ้าซี้ถามอีก เธอหันไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นไว้รอผู้เป็นสามีซึ่งออกไปพบปะผู้ใหญ่ที่นับถือเพื่ออวยพรและมอบกระเช้าปีใหม่ตั้งแต่เมื่อตอนสาย


กว่าพลตรี นายแพทย์ธรณิณจะกลับถึงบ้านก็เกือบหกโมงเย็น ขณะที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้ว สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนถัดไปไม่ไกล


นายทหารคนสนิทเห็นเป็นคนแปลกหน้าจึงยังไม่กดรีโมตให้ประตูเปิด แต่หันมาถามผู้เป็นนาย


“ท่านรู้จักไหมครับ”


“ไม่เคยเห็นหน้า เพื่อนเจ้าม่อนหรือเปล่า” ธรณินมุ่นคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาผ่านฟิล์มติดกระจกรถยนต์


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะลงไปถามนะครับ” พูดจบคนขับก็ลงจากรถ เดินเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่มเพียงไม่กี่ประโยคก็เดินกลับมานั่งประจำที่


“ว่ายังไง” ผู้เป็นนายถาม


“เขาบอกว่าเป็นเพื่อนคุณม่อนครับ”


“อ้าว แล้วทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”


“แม่บ้านบอกว่าคุณม่อนไม่อยู่ครับ”
   

เจ้าของบ้านชะเง้อมองผ่านซี่ประตูรั้วที่กำลังเลื่อนเปิด เห็นรถของลูกชายจอดอยู่ในโรงรถก็แปลกใจ “รถก็อยู่นี่นา หรือว่าถีบจักรยานออกไปปากซอย บอกให้เขาเข้าไปรอในบ้านก่อนสิ”


“เขาบอกว่ากำลังจะกลับพอดีครับท่าน”


ดวงตาเฉียบคมมองร่างสูงขณะรถเคลื่อนผ่าน และเมื่อเหลียวหลังกลับไป ธรณินก็พบว่าอีกฝ่ายได้จากไปเสียแล้ว ทันทีที่พบหน้าภรรยาและลูก ผู้เป็นเจ้าบ้านก็ลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเสียสนิท


มื้อเย็นในวันที่สองของศักราชใหม่ปรุงโดยภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากดูจะทำให้หมอทหารยศพลตรีเจริญอาหารเป็นพิเศษ แม้จะเทียบไม่ได้กับหลาย ๆ มื้อที่ได้ลิ้มลองยามต้องร่วมโต๊ะกับผู้หลักผู้ใหญ่ แม้เป็นเพียงกับข้าวพื้น ๆ แต่ถูกปากเสียจนต้องเติมข้าวอีกเป็นรอบที่สอง ปากได้รูปอมยิ้มนิด ๆ เมื่อสบตาคู่ชีวิต ยอมรับอย่างยินดีว่าต้นเหตุแห่งความรู้สึกชื่นมื่นในหัวใจส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสชาติของอาหารที่เธอทำ อีกส่วนมาจากการได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก


“กินเงียบเชียว ไม่อร่อยเหรอม่อน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายมือไม่ช่างพูดช่างคุยเท่าที่ควร


“อร่อยสิครับพ่อ ฝีมือแม่อร่อยที่สุดอยู่แล้ว” พูดจบก็ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ พร้อมกับยิ้มให้คนนั่งหัวโต๊ะ


“อร่อยก็ทานเยอะ ๆ จ้ะ กลับมาคราวนี้ม่อนผอมลงไปเยอะเลยนะ” วาสนาบอกก่อนจะเลื่อนจานผักต้มพร้อมน้ำพริกกะปิให้ลูกชาย


“ถ้าอย่างนั้นแม่คงต้องตำน้ำพริกฝากให้กลับไปกินแล้วมั้ง ลูกจะได้เจริญอาหารเหมือนพ่อ” ธรณินพูดในขณะที่มือก็ลูบพุงตัวเองไปด้วย


“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ อยู่ที่โน่นม่อนหาทานได้ ในตลาดก็มีเยอะแยะ ถึงจะอร่อยไม่เท่าที่แม่ทำแต่ก็พอแก้ขัดได้ หลัง ๆ ก็ได้ทานฝีมือแม่เพื่อนอยู่บ่อย ๆ รสชาติใกล้เคียงกับที่แม่ทำเลย” นคินทรกล่าว นึกถึงไปปิ่นโตเถาเล็กใส่ผักต้ม ปลาทูทอดและน้ำพริกกะปิที่ใครบางคนแวะเอามาให้ เขายังเคยชื่นชมต่อหน้าคนทำด้วยซ้ำว่ารสชาติอร่อยถูกปากไม่ต่างจากที่แม่ทำให้กิน


หลังอาหารมื้อเย็นทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเช่นเคย ในขณะที่แม่กำลังรื้ออุปกรณ์เย็บปักถักร้อยออกมาวางบนโต๊ะ พ่อก็กดรีโมตเปลี่ยนช่องเพื่อดูรายการข่าว ส่วนนคินทรยังคงพยายามพาเจ้าซ่าหริ่มลงจากหลังตู้ให้ได้


“ปล่อยมันเถอะลูก อย่าไปบังคับมันเลย” วาสนากล่าวขณะเริ่มตัดเศษผ้า


“ทำไมรึแม่ เจ้าซ่าหริ่มมันเป็นอะไร”


“มันคงแปลกที่จ้ะพ่อ ตั้งแต่มาก็พาลูกหนีขึ้นไปอยู่บนหลังตู้ ไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลา”


ผู้เป็นสามีได้ฟังก็พยักหน้าแล้วหันไปหาลูกชาย “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะม่อน อย่าไปบังคับมันเลย อีกไม่กี่วันเดี๋ยวลูกก็กลับแล้ว”


“แต่ม่อนอยากให้มันคุ้นเคยกับบ้านนี้นี่นา” นคินทรบ่น


“ถ้ามันจะคุ้นมันคงคุ้นไปนานแล้วละลูก” พูดจบแม่ก็เงยหน้าขึ้น “นี่อยู่มาตั้งหลายวันแล้วก็ยังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย...ทั้งคนทั้งแมว”


นคินทรที่กำลังเอื้อมมือรั้งตัวเจ้าเหมียวชะงัก หันกลับมามองคนพูด   


“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แม่เห็นตั้งแต่กลับมาม่อนดูเหม่อ ๆ ยังไงไม่รู้”


“เปล่านี่ครับ ม่อนอยู่บ้านเราก็มีความสุขดี” ชายหนุ่มกล่าวพลางก้าวลงจากเก้าอี้แล้วเดินมานั่งลงที่โซฟา “ม่อนยังคิดอยู่เลยว่าอยากจะลาออกแล้วย้ายกลับมาอยู่กับพ่อกับแม่”


“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก” วาสนาจำต้องวางมือจากสิ่งที่ทำแล้วเดินมานั่งลงข้างลูกชาย


“ม่อนจะได้มาอยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่ไงครับ เพราะถึงขอย้ายก็คงไม่ได้กลับมาอยู่กรุงเพทฯ อยู่ดี”


“ลาออกแล้วลูกจะทำอะไร” ธรณินถามพร้อมกับกดปิดทีวี


“ม่อนไปสอนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาของเพื่อนก็ได้ครับ หรือไม่อย่างนั้นก็ไปสมัครเป็นครูโรงเรียนเอกชน”


“ตอนแรกลูกบอกว่าอยากรับราชการที่ต่างจังหวัดไม่ใช่รึ” ธรณินวางรีโมตลงบนโต๊ะแล้วหันมาคุยกับลูกชายอย่างจริงจัง


“ม่อนไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีแล้ว อีกไม่นานพ่อก็จะเกษียณ ม่อนเลยอยากกลับมาอยู่บ้านนี้ เราจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้ายังไงครับ”


ธรณินสบตาภรรยา แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ทั้งเขาและเธอต่างปรารถนา แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่ลูกจะต้องเก็บเอาไปครุ่นคิดและทำให้สัมฤทธิผลในเร็ววัน


“งานที่โรงเรียนหนักเกินไป หรือว่าลูกมีเรื่องไม่สบายใจ บอกพ่อกับแม่ได้นะ” ผู้เป็นแม่บอกพร้อมกับบีบมือลูกชายเบา ๆ “เห็นลูกซึม ๆ ตั้งแต่กลับมาแล้วพ่อกับแม่ไม่สบายใจเลย”


“ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับแม่” ลูกชายยิ้มเจื่อน


“ม่อน...พ่อกับแม่เลี้ยงลูกมาทำไมเราจะดูไม่ออกว่าลูกกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ที่พ่อกับแม่ไม่พูดเพราะคิดว่าถ้าลูกพร้อมแล้วลูกคงจะคุยกับพวกเราเอง” พ่อกล่าวพร้อมกับวาดแขนขึ้นโอบไหล่ “เราไม่เคยปิดบังอะไรกันนะม่อน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพ่อมาซิ”


นคินทรยังคงนิ่งเงียบ อ้อมแขนของพ่อกำลังทำให้เขาอ่อนแอ


“เกี่ยวกับเพื่อนลูก คนที่มายืนรอที่หน้าบ้านวันนี้หรือเปล่า” และคำพูดของแม่ก็ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน


“ม่อน...” ริมฝีปากเม้นแน่นก่อนจะค่อย ๆ คลายออกเมื่อไม่อาจเก็บงำความในใจได้อีกต่อไป “ม่อนคิดว่าม่อนจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้...”


ชายหนุ่มมองมือที่ประสานกันอยู่บนตักผ่านม่านน้ำตา ถ้อยคำที่เขาเพิ่งพูดออกไปนั้นเป็นถ้อยคำเดียวกับที่เคยพูดกับน้ำหวานเมื่อก่อนหน้านี้...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-08-2018 00:20:45
(ต่อค่ะ)


หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ยืดคอชะเง้อเมื่อคนคุ้นเคยผลักประตูเข้ามา แปลกใจเมื่อเห็นว่าที่นอกรั้วมีเพียงซีดานสีเทาดำจอดอยู่


“มองหาอะไรเหรอหวาน” คนเพิ่งมาถึงเลิกคิ้วพร้อมกับมองตาม


“มองหาอีกคนจ้ะ”


“ใคร” ว่าแล้วนคินทรก็นั่งลงหน้าเคาน์เตอร์


“ก็พายไง ปกติบังเอิญมาด้วยกันนี่นา มีม่อนก็ต้องบังเอิญมีพาย หวานว่าอีกไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวพายต้องมาแน่ ๆ”


“ไม่มาหรอก เราไม่ได้บอกน้องที่โรงเรียนไว้ว่าจะไหน ไม่มีสายคอยรายงาน”


“นี่แสดงว่าม่อนรู้เหรอว่าที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”


คนฟังยิ้ม


“ว้า...ถ้าอย่างนั้นวันนี้โกโก้ปั่นของเราก็ไม่มีคู่น่ะสิ” พูดจบเธอก็หันไปทำเมนูสุดโปรดของเพื่อน ในขณะที่นคินทรเองได้แต่ส่ายหัวก่อนจะหยิบนิตยสารที่วางอยู่ใกล้มือมาเปิดอ่านระหว่างรอ


หลังจากเสียงเครื่องปั่นอาหารสงบลง ครู่หนึ่งโกโก้ปั่นในแก้วทรงสูงก็ถูกยกมาวางตรงหน้า 


“ขอบใจนะ”


“ไม่เป็นไรจ้ะ” น้ำหวานกล่าวพลางหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนขึ้นมาวางแล้วเท้าคางมองคนตรงข้ามอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “ม่อน...รู้สึกใช่ไหมว่าพายต่างจากคนอื่น”


“ยังไงเหรอ” ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่ดวงตายังคงจดจ่ออยู่กับรูปภาพในหน้านิตยสาร


“กับคนอื่น ๆ พายก็ไม่ได้เป็นพาย...แบบที่อยู่กับม่อน หวานว่าคนเราทุกคนมีเซ้นส์กับเรื่องพวกนี้นะ มันมีบางอย่างที่ใช้แยกคนที่คิดกับเราแบบเพื่อนกับคนที่คิดกับเราเกินกว่านั้นออกจากกัน แล้วพายก็ไม่ใช่คนเก็บความรู้สึกเก่งอะไร...หวานว่าม่อนเองก็น่าจะรู้สึกได้”


คนฟังครางอือในลำคอ “เราถึงได้ทำตัวให้เป็นปกติไง” พูดจบนคินทรก็เงยหน้าขึ้นสบตา “หวานเองหรือแม้แต่เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็อย่าไปแซวพายเลย เราอยากให้ความรู้สึกของพายหยุดอยู่แค่นี้ อยู่ในจุดที่มันควรจะเป็น”


“ใจร้ายจัง นี่รู้มาตลอดเลยใช่ไหม แล้วไม่คิดจะให้โอกาสพายหน่อยเหรอ”


นคินทรส่ายหัวยิ้ม ๆ “เราก็ให้โอกาสแล้วไง ให้โอกาสที่จะเป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เราเชื่อว่าวันหนึ่งพายจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้”


กล่าวอย่างมั่นใจ แต่สุดท้ายก็เป็นเขาต่างหากที่...


“หวานรู้เรื่องพายจากฉาย เห็นสภาพพายตอนนี้แล้วนึกเป็นห่วงม่อนเลยแวะมาดู โทรมาก็ไม่รับสาย ส่งข้อความมาก็ไม่ตอบ รู้ไหมว่าเพื่อน ๆ เป็นห่วงนะม่อน”


“ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ต้องยุ่งยาก”


หญิงสาวมุ่นคิ้ว “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ม่อน...ไม่เป็นไรใช่ไหม”


ชายหนุ่มส่ายหัวไม่ใช่เพราะไม่เป็นอะไร แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่ “ร...เราไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี”


“ม่อน” น้ำหวานกล่าวพร้อมกับจับมือเพื่อน


“ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน ก่อนหน้านี้เราคิดแต่ว่าที่เราเป็นห่วงพายมันคือความรู้สึกที่เพื่อนมีให้กัน ตอนที่เห็นพายจมน้ำถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ เรากลัวแทบแย่ กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก พอรู้ว่าพายเอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อกันเล่น เราก็เลยโกรธมาก ๆ ไม่เคยรู้สึกโกรธใครขนาดนี้มาก่อน”


นคินทรกล่าวพลางนึกถึงตอนที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายจวนจะแตะริมฝีปากของตน ลมหายใจร้อนที่คลอเคลียอยู่บนปลายจมูก และ...ผิวสัมผัสหยาบ ๆ ของกำไลเงินรูปปลาที่เสียดสีอยู่กับต้นคอ “แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ดันไปรู้สึกแบบกับพายนั้น ทั้งที่บอกตัวเองไว้ว่าเราจะจัดการมันได้...”


ใช่ เขาคิดมาตลอดว่าจะสามารถจัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ เหมือนที่เคยทำมาแล้วหนหนึ่ง ความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ที่เกิดขึ้นกับใครบางคน เวลานั้นเขาอายุน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำแต่ก็สามารถทำได้ ผิดกับครั้งนี้


“แต่กับพาย…”


“ทำไม่ได้ใช่ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะขยับเข้าสวมกอดร่างเล็ก ในขณะที่น้ำหวานเองก็ยกมือขึ้นลูบบนแผ่นหลังของเพื่อนเพื่อปลอบประโลม


“ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ เราจะไม่ให้โอกาส...”


 “อย่าคิดอย่างนั้นสิม่อน” หญิงสาวแทรกขึ้น “หวานว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่สองคนได้กลับมาพบกัน เกือบสิบปีเชียวนะที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปอยู่เสียที่ไหน ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าใจตรงกันทั้งคู่ แต่ทำไมกลับไม่มีใครมีความสุขเลย มันติดตรงไหนบอกหวานได้ไหมม่อน”


“เรา…”


พลตรี นพ.ธรณินมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อใช้มองลูกชาย ไม่ว่าเขาจะเป็นนายนคินทรหรือเป็นเพียงเด็กชายนคินทรที่ยังพูดจาไม่เป็นภาษา ดวงตาคู่นี้ก็ไม่มีวันแปรผัน แขนแกร่งยังไม่คลายจากไหล่กว้างซ้ำยังกระชับแน่นขึ้นอีก


“พ่อแม่อยู่กับลูกไม่ได้ตลอดไปหรอกนะม่อน คนที่ลูกรักต่างหากจะเป็นคนที่อยู่กับลูกไปจนถึงตอนที่ลูกอายุเท่า ๆ กับพวกเรา ลูกอย่าเอาความกตัญญูหรือหน้าที่การงานของพ่อมาเป็นสิ่งผูกมัดตัวเอง อย่าคิดว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันเพียงเพราะต้องการหนีความรู้สึกที่ตัวลูกนิยามมันว่าไม่เหมาะไม่ควร”


ธรณินสบตาลูกชาย ไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายได้หรือไม่ เลี้ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออก คนเป็นพ่ออย่างเขาย่อมรู้ดี แม้ภายนอกนคินทรจะดูเป็นเด็กหัวอ่อน ร่าเริง แท้จริงแล้วหัวจิตหัวใจนั้นกลับแข็งแกร่งนัก


“แต่ม่อนอยากทำให้พ่อกับแม่มีความสุขในเวลาที่พ่อกับแม่ยังอยู่กับม่อน” ลูกชายกล่าวเสียงแผ่ว


ผู้เป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ส่ายหัว ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงสมัยตนยังเป็นแพทย์ใช้ทุน ที่ขณะนั้นบิดาเป็นเพียงนายทหารชั้นประทวนไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง กว่าจะทำให้เจ้าของร้านขนมยอมรับจนยกลูกสาวให้ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย แต่วาสนาผู้เป็นภรรยาก็ทำให้เขาเห็นว่ายศฐาบรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกนั้นไม่สำคัญไปกว่าความมั่นคงที่คนสองคนมีต่อกัน แล้วนับประสาอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอกและคำที่บ่งบอกชาย-หญิง ในเมื่อความรักเป็นเรื่องของหัวใจไม่ใช่ความถูกต้องหรือเหมาะสม 


“ถ้าลูกไม่มีความสุข พ่อกับแม่จะมีความสุขได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่กล่าว


“พ่ออยากให้ลูกกลับมาอยู่ด้วยกันเพราะลูกอยากมาจริง ๆ แต่พ่อจะบอกไว้นะ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนพ่อกับแม่ไม่เคยนึกน้อยใจ เพราะเรารู้ว่าเมื่อลูกอยู่ที่นั่นลูกได้ทำในสิ่งที่ลูกอยากทำ แล้วมันก็เป็นประโยชน์กับคนอื่นเหมือนที่พ่อเคยสอนลูกตั้งแต่เด็ก ลูกลองกลับไปคิดทบทวนดู ลองใช้ชีวิตอย่างที่ลูกต้องการ ปล่อยความรู้สึกให้หลุดออกจากการถูกควบคุมด้วยคำว่าถูกต้องเหมาะสม แล้วพ่อจะถามลูกอีกครั้ง ว่าแบบนั้นกับแบบที่ลูกทำอยู่ตอนนี้ แบบไหนที่ลูกมีความสุขมากกว่ากัน”


พูดจบพลตรี นพ.ธรณินก็โยกหัวลูกชายเบา ๆ ลุกขึ้นเดินออกไปรับลมที่สวนหลังบ้าน ร่างสูงยืนเอามือไพล่หลัง ทอดตามองต้นวาสนาในกระถางที่ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนให้หวนนึกถึงเรื่องราวสมัยที่เขาและภรรยายังเป็นหนุ่มสาว วาสนายอมทิ้งชีวิตสุขสบายในเมืองกรุงและกิจการร้านขนมของครอบครัวหอบลูกชายตามเขาไปที่จังหวัดน่านและอีกหลาย ๆ ที่เมื่อมีคำสั่งโยกย้าย คนที่มีความสุขที่สุดก็คือเขาที่มีทั้งลูกและภรรยาคอยเป็นกำลังใจไม่ห่าง หากมีคนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็คงเป็นเขาอีกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกยอมเสียสละความสุขของตัวเอง หมอทหารยศพลตรีนิ่งนึกถึงคำพูดไร้เดียงสาในครานั้น


“ม่อนคิดแค่...อยากอยู่กับเพื่อน ๆ ที่นี่ไปจนเรียนจบน่ะพ่อ”


และเขาก็เป็นคนสะบั้นความสุขของลูกลงกับมือ เพียงเพราะความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ในท้องถิ่นห่างไกลขาดแคลนหมอ ดังนั้นธรณินจึงไม่ปฏิเสธคำร้องขอของผู้ใหญ่ให้ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนหน้าที่ของพ่อ...ทำได้ดีที่สุดเพียงขอยื้อเวลาให้ลูกได้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ จนหมดเทอมเท่านั้น


....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-08-2018 00:33:59
(ต่อค่ะ)


เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงสิ้นปีจนถึงหลังปีใหม่เรือนพักริมทุ่งนาก็อ้าแขนต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมามิได้ขาด ผู้คนที่เข้าพักส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนุ่มสาววัยทำงานที่ต้องการการพักผ่อนอย่างแท้จริง ด้วยหวังจะได้มีเวลาเก็บสะสมพลังสำหรับกลับไปต่อสู้กับงานและผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าเดือนข้างหน้า ต่างคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการได้มาพักที่นี่นอกจากจะใกล้ชิดธรรมชาติแล้วยังให้ความรู้สึกราวกับการอาศัยนอนบ้านญาติ นั่นเพราะความเป็นกันเองของพนักงาน รวมถึงคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ที่ใจดีและยังเป็นมิตรกับทุกคน ใครก็ตามที่มาพักจึงมักได้รับความประทับใจและรอยยิ้มกลับไปด้วยเสมอ กระทั่งปลายเดือนมกราคมโฮมสเตย์แห่งนี้จึงมีโอกาสได้รับรองสามีภรรยาวัยเกษียณคู่หนึ่ง


“อากาศดีจังเลยนะพ่อ” ผู้เป็นภรรยากล่าวเมื่อลงจากรถ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแต่อากาศก็ยังคงเย็น หากมาถึงเช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เสื้อกันหนาวตัวบางที่สวมอยู่คงไม่ได้ช่วยอะไรเป็นแน่ เธอกระชับผ้าพันคอที่ลูกชายซื้อให้ก่อนจะเดินไปหาสามีที่กำลังเปิดท้ายเพื่อยกกระเป๋าลง “ไหวไหม มา...แม่ช่วยยก”


“ไม่ต้องหรอกแม่ แค่นี้สบายมาก พ่อยังไม่แก่สักหน่อย”


“ดูพูดเข้า ทำเป็นหนุ่ม ๆ ไปได้” หญิงวัยกลางคนส่ายศีรษะน้อย ๆ “แล้วเมื่อไรจะบอกลูกสักทีว่าเรามา นี่ถ้าลูกรู้ว่านั่งเครื่องมาแถมยังมาเช่ารถขับมีหวังพ่อได้ถูกบ่นแน่ ๆ”


“ก็พ่ออยากมาเดทกับแม่แค่สองคนนี่นา” สามีทำยักคิ้วหลิ่วตา กำลังจะหันไปรั้งกระเป๋าจากท้ายรถก็ต้องหยุดเพราะเสียงของใครคนหนึ่ง   


“ให้ผมช่วยนะครับ” พายุพัดกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ผู้มาเยือน มองเพียงแวบเดียวก็อดคิดไม่ได้ว่าหากพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชายตรงหน้าเป็นแน่ หรือหากจะต่างก็ตรงที่อีกฝ่ายดูภูมิฐานและผิวพรรณดีกว่าชาวนาชาวไร่เช่นพ่อของเขา


“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม” พูดจบก็หลีกทางให้คนขันอาสา


เมื่อยกยกกระเป๋าลากใบย่อม ๆ สองใบออกจากท้ายรถเรียบร้อยลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์ก็หันมาถาม “คุณลุงกับคุณป้าจองห้องพักไว้แล้วใช่ไหมครับ” เห็นทั้งสองคนพยักหน้ารับพร้อมกันจึงกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญข้างในเลยครับ” พูดจบเขาก็เดินนำสองผู้อาวุโสเข้าไปในบ้าน


“พี่ฝนรับแขกด้วยครับ”


ได้ยินเสียงน้องชาย พี่สาวก็เงยหน้าขึ้นจากบัญชีรายรับรายจ่าย ดวงตาสดใสมองร่างสูงที่เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์ เขาวางกระเป๋าสองใบลงจากนั้นจึงกระซิบเบา ๆ


“พายไปช่วยป้านีเก็บของที่บ้านนะ”


“จ้ะ” เพียงพรรษรับคำ จากนั้นจึงยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายผู้ที่เพิ่งมาถึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“คุณลุงคุณป้าจองไว้ชื่ออะไรคะ”


“อืม...ผมให้ลูกน้องจองมาให้ ลืมถามเสียด้วยสิว่าเขาใช้ชื่อใครจอง”


“พ่อนี่...ไม่รอบคอบเลย ไหนบอกยังไม่แก่ไง” ภรรยามุ่นคิ้วล้อ ๆ


“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูเช็กก่อน น่าจะเหลืออีกหนึ่งห้องที่แขกยังไม่เข้ามาพัก” พูดจบเพียงพรรษก็เปิดสมุดดูตารางจองห้องพัก “อืม...ชื่อคนจองคือคุณธรณินค่ะ พลตรี นพ.ธรณิน ปฐวิพัฒน์”


พายุพัดเกือบจะได้ยินชื่อและนามสกุลนั้นหากเขาไม่เดินออกไปข้างนอกเสียก่อน


“อ้อ...ใช่ ๆ นั่นแหละผมเอง” เจ้าของชื่อกล่าวกลั้วหัวเราะ


“จองไว้หนึ่งห้อง สองคืนนะคะ เดี๋ยวหนูให้เด็กช่วยยกกระเป๋าไปให้ ส่วนนี่เป็นคูปองอาหารเช้าค่ะ” หญิงสาวส่งกระดาษแผ่นเล็กให้จากนั้นจึงอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ อีก 2-3 ประโยคจึงหันไปบอกพนักงานให้ยกกระเป๋าไปเก็บที่ห้อง


“ขอบใจนะหนู” ผู้อาวุโสกล่าวจากนั้นจึงพาภรรยาเดินตามพนักงานไปที่เรือนพัก


“เมื่อไรพ่อจะบอกลูกสักที” วาสนาเอ่ยขึ้นหลังจากนำเสื้อผ้าออกแขวนในตู้ จากนั้นก็หันไปยังสามีที่กำลังยืนกอดอกทอดอารมณ์อยู่ข้างหน้าต่าง


ดวงตาเฉียบคมมองแนวเขาที่ปกคลุมไปด้วยปุยเมฆตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้หวนกลับมาที่นี่อีกโดยไร้ซึ่งเหตุจำเป็นใด ๆ เป็นสิ่งบังคับ เหตุผลที่เขากลับมาที่นี่เพียงเพราะคำเชิญของเพื่อนเก่าที่นัดพบปะสังสรรค์กันในยามที่ต่างคนต่างใกล้ปลดระวาง     


“เอาไว้เราไปกินข้าวบ้านพี่น้อยแล้วก็ขับรถชมเมืองเสร็จพ่อค่อยโทรบอก ให้ลูกมาหาเราพรุ่งนี้เช้าดีไหม”


วาสนาโคลงศีรษะ “ไม่ไหวเลยพ่อนี่ ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะ”


“ก็พ่ออยากรำลึกความหลังสองคนกับแม่แบบที่ไม่มีลูกมาขัดจังหวะนี่” ธรณินยิ้มพลางเดินเข้ามาโอบกอดหญิงคนรัก “ได้ไหมล่ะ”


ผู้เป็นภรรยาจึงแสร้งมองค้อนแล้วกล่าว “แล้วแต่พ่อเถอะ”


....


กว่านคินทรจะรู้ว่าพ่อกับแม่เดินทางมายังจังหวัดที่เขาอยู่ก็เลยเที่ยงของวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบขับรถออกจากบ้านพักครูที่อำเภอสันติสุขทันที แต่แล้วความเร่งรีบก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอ้อยสร้อย เพราะชื่อที่พักที่พ่อบอกนั้นคือปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ ชายหนุ่มผ่อนคันเร่งเป็นระยะกระทั่งเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงเลี้ยวรถไปตามป้ายบอกทาง ไม่นานซีดานสีเทาดำก็มาจอดเทียบข้างซูบารุ ฟอเรสเตอร์


เมื่อนคินทรเปิดประตูลงจากรถก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถนั่งแบบครอบครัวคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด เขามองกระจกหน้าต่างที่เลื่อนลงช้า ๆ จนเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหญิงผู้หนึ่ง เธอหันไปคว้าถุงใส่ของที่อยู่ด้านหลังจากนั้นจึงชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน นคินทรใช้เวลาทบทวนอยู่เพียงนิดก็ยิ้มออกมา


“ป้านีใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ เห็นอีกฝ่ายทำหน้าฉงนจึงกล่าวต่อ “นี่ม่อนไงครับ ม่อนลูกแม่วาสนา”


“วาสนา...” อีกฝ่ายทวนชื่อก่อนจะยิ้มกว้าง “คุณวาดภรรยาคุณหมอธรณินใช่ไหมลูก”


ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ


“โตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ป้าแทบจำไม่ได้เลย แล้วม่อนมาทำอะไรที่นี่ล่ะลูก”


“พ่อกับแม่มาเที่ยวน่านก็เลยมาพักที่นี่ครับ แล้วป้านีล่ะครับมาทำอะไรแถวนี้”


“ป้าแวะเอาขนมกับลูกประคบมาให้ลูกชายบ้านนี้จ้ะ พอดีเมื่อวานเขาไปช่วยเก็บของที่บ้าน ลูกสาวป้าแวะมาเยี่ยมก็เลยให้พามาหน่อย”


นคินทรพยักหน้า


“ป้านีไม่ได้อยู่ที่ตึกแถวในตลาดแล้วเหรอครับ ม่อนเคยแวะไปหาแต่ตึกตรงนั้นกลายเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไปแล้ว”


“ป้าขายให้เขาไปหลายปีแล้วละจ้ะ เอาเงินที่ได้มาซื้อที่ปลูกบ้านแถวนี้ โน่นไงบ้านป้า” พูดจบเธอก็ชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ “ไว้ม่อนชวนพ่อกับแม่ไปเที่ยวสิ แต่อีกไม่นานป้าก็จะย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่กรุงเทพฯ แล้วละ” ป้านีกล่าวด้วยนำเสียงเศร้า ๆ แต่แล้วรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง     
 

“นั่นไง คนที่ป้าจะเอาของมาให้”


เมื่อนคินทรเหลียวกลับไปมองก็พบพายุพัดกำลังเดินเข้ามา ดังนั้นเขาจึงขยับเบี่ยงไปอีกทาง เพื่อให้อีกฝ่ายได้สนทนากับเพื่อนบ้านสะดวกขึ้น


ลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์สบตาคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนานแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้อาวุโส


“ป้าแวะเอาขนมกับลูกประคบมาให้ เห็นเมื่อวานพายบ่นปวดเนื้อปวดตัว ลูกประคบทำใหม่ ๆ ป้าซื้อมาจากคนรู้จักที่เขาทำงานอยู่อนามัย ลองใช้ดูนะลูก”


พายุพัดรับของพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เอ่ยปากชวนป้านีให้เข้าไปในบ้านแต่เพราะอีกฝ่ายเกรงใจลูกสาวที่ขับรถมาให้จึงปฏิเสธคำเชิญนั้นอย่างสุภาพ


“ป้าไปก่อนนะลูก”


ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มสองคนจึงพากันยกมือไหว้และกล่าวอำลาป้านี


แต่ก่อนจะที่กระจกหน้าต่างจะเลื่อนปิด จู่ ๆ อดีตเจ้าของร้านเครื่องเงินก็เอ่ยขึ้น “ม่อนจำได้ไหม ที่ม่อนเคยถามป้าว่าใครมาซื้อกำไลวงนั้นไป ตอนนั้นป้านึกไม่ออกเพราะไม่คุ้นหน้าคนซื้อ แต่ตอนนี้ป้านึกออกแล้ว” ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่อีกคน พลันปลายนิ้วค่อย ๆ เลื่อนลงในตำแหน่งข้อมือข้างขวาที่สวมกำไลเงินรูปปลาคู่ “พายนี่ไง”


นคินทรละสายตาจากคนพูดมองไปยังอีกคนที่ยืนข้าง ๆ รถนั่งแบบครอบครัวเคลื่อนลับตาไปแล้ว แต่ชายหนุ่มสองคนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม   


....


“วันนี้คุณลุงกับคุณป้าไปเที่ยวไหนกันมาบ้างคะ” เพียงพรรษกล่าวทักทายสามีภรรยาที่จูงมือกันเดินเข้ามาในบ้าน


“ลุงกับป้าแวะไปหาเพื่อน นั่งคุยกันตามประสาคนแก่อยู่พักใหญ่ ๆ แล้วก็พากันไปไหว้พระธาตุจ้ะ” ผู้เป็นภรรยาตอบ


“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณลุงกับคุณป้านั่งพักก่อนนะคะ วันนี้แม่ทำน้ำลำไยไว้ เดี๋ยวหนูไปยกมาให้ดื่มค่ะ”


เพียงพรรษบอก จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปในครัว ส่วนวาสนานั่งลงที่เก้าอี้หวาย เอื้อมมือเกาคางเจ้าเหมียวสีส้มหนึ่งในสามตัวที่นอนขดเบียดกันเป็นกระจุกอยู่บนโต๊ะ ด้านพลตรี นพ.ธรณิน ก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดยืนที่ผนังด้านหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกรอบรูป ภาพที่อยู่ใกล้ตาที่สุดเป็นภาพเด็กชายสวมห่วงยางมีชายหนุ่มผู้หนึ่งคอยจับ ฉากหลังเป็นน้ำตกที่ไหนสักแห่ง ที่เหลือคือภาพของเด็กหนุ่มสวมกางเกงและแว่นตาสำหรับว่ายน้ำในอิริยาบถต่าง ๆ มีภาพการขึ้นรับเหรียญรางวัลโดยมีนักกีฬาอีกสองคนยืนขนาบข้าง ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นธงไตรรงค์บนอกเสื้อซึ่งแสดงให้รู้ว่าเขาคือตัวแทนของประเทศไทย


“น้ำลำไยหวานเย็นชื่นใจมาแล้วค่ะ” เพียงพรรษกล่าวเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะไปหยุดข้าง ๆ คนที่กำลังยืนมองภาพถ่ายน้องชายของเธอ รอจนเขาหยิบแก้วจากถาดจึงเดินไปหาภรรยาของเขา “นี่ค่ะคุณป้า”


วาสนายิ้มให้ก่อนจะรับแก้วน้ำลำไยแล้วยกดื่ม


“หวานไปไหมคะคุณป้า”


“ไม่เลยจ้ะ หวานกำลังดี”


“ถ้าอย่างนั้นทานเยอะ ๆ นะคะ ถ้าจะรับเพิ่มก็บอกหนูได้เลย” เมื่อหญิงสาวหันหลังกลับเพื่อนำถาดเข้าไปเก็บในครัวก็พบแม่ของตนเดินออกมาพอดี


“แขกว่ายังไงบ้างลูก”


“คุณป้าบอกว่าหวานกำลังดีจ้ะแม่”


ดวงพรพยักหน้า จากนั้นจึงส่งยิ้มให้หญิงวัยเดียวกันที่กำลังเล่นกับเจ้าแมวแฝดสาม “ชอบแมวเหรอคะคุณแม่”


“ลูกชายชอบค่ะ พ่อกับแม่ก็เลยชอบตามไปด้วย”


“ลูกชายบ้านนี้ก็ชอบแมวเหมือนกันค่ะ” เจ้าของบ้านกล่าว


“ลูกชายเป็นนักกีฬาเหรอครับ” ธรณินหันมาถามพลางวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ


“เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติค่ะ” คนเป็นแม่ตอบเขิน ๆ


หมอทหารยศพลตรีพยักหน้าก่อนจะกล่าวถึงลูกชายตัวเอง “เจ้าลูกชายผมมันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ชอบดูแข่งขันว่ายน้ำมาก ช่วงที่มีกีฬาซีเกมส์ เอเชียนเกมส์พ่อแม่ดูรายการอื่นไม่ได้เลย เพราะลูกรอดูแข่งว่ายน้ำ เห็นบอกว่าเพื่อนเป็นนักกีฬาทีมชาติ จะรอเชียร์เพื่อน" ธรณินเล่าไปยิ้มไป


“บ้านนี้ก็เป็นค่ะคุณลุง เวลาน้องลงแข่งทีไร แม่กับฝนก็อยู่แต่หน้าทีวีไม่เป็นอันทำอะไรเลย” เพียงพรรษเสริม ยังไม่ทันพูดต่อเสียงกระแอมเบา ๆ ก็แทรกขัดจังหวะเสียก่อน “นั่นไงคะคุณลุง เจ้าของฉายาฉลามหิน” พี่สาวอดกระเซ้าชายหนุ่มที่เอาแต่วางหน้านิ่ง เธอพุ่งความสนใจไปที่น้องของตัวเองได้เพียงครู่เดียว เมื่อเหลือบไปเห็นอีกคนที่เดินตามเข้ามาก็กล่าวด้วยความดีใจ


“น้องม่อนนี่นา หายหน้าไปเลย พี่กับแม่คิดถึงจะแย่”


นคินทรยิ้ม ทำความเคารพเจ้าของบ้านและเพียงพรรษก่อนจะหันไปทำความเคารพพ่อและแม่ของตน


“นี่น้องม่อนเป็นลูกชายคุณลุงกับคุณป้าหรอกเหรอคะ”


“จ้ะ” วาสนาตอบแล้วหันไปส่งสายตาให้ลูกชายแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน


“นี่พ่อกับแม่ของผมครับ” ชายหนุ่มกล่าว จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปที่คนซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว หากแต่เกี่ยวข้องกับตนเองมากที่สุด “นี่พาย...เพื่อนม่อน พี่ฝนแล้วก็แม่ของพายครับ”


“คนกันเองทั้งนั้นเลย บังเอิญจังเลยค่ะ” วาสนายิ้มแล้วเบนสายตาไปยังสามีที่ตอนนี้เสมองไปทางอื่นเสียแล้ว



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ




หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 16-08-2018 01:41:09
ม่อนนน โห นึกว่าไม่รู้ว่าพายชอบ
ที่แท้ตีมึนนี่เอง
อย่างน้อยก็มั่นใจอย่างนึงว่าเค้าชอบกันแน่ๆ
อีกนิดนะพาย อดทนไว้
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-08-2018 02:01:59
โอ้ รู้ตัวนี้นา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-08-2018 07:49:13
ตอนเด็กกับตอนนี้ม่อนก็ยังชอบพายเหมือนเดิมใช่ไหม
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-08-2018 08:11:08
ไม่ใช่กับพายน้าาาา เราเติมให้แล้วจ้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-08-2018 08:50:27
แหม.. คนเขียนเก็บความลับของม่อนมาตลอดเลยนะ นึกว่าไม่รู้ใจตัวเอง
ที่ผ่านมาตีมึนนี่เอง แล้วเป็นไงละซึมไปเลยซินะ นี่กลายเป็นรวมญาติทั้ง
สองฝ่ายโดยไม่ได้นัดหมาย
ชอบที่สุด ก็ตรงที่ม่อนปล่อยให้น้ำตาไหล ตอนที่พ่อถามถึงเพื่อนที่รอหน้าบ้าน
เราก็แอบซึมไปด้วย เรียกว่าถึงจะเข้มแข็งปานใด เมื่อมาอยู่ในจุดที่อ่อนแอ
ความรู้สึกที่แท้จริง ไม่สามารถห้ามได้
 :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 16-08-2018 09:17:07
แผนคุณพ่อกับคุณแม่นี่น่ารักสุด ๆ 555
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 16-08-2018 16:00:00
ขอให้ม่อนกับพายเปิดตัวกันได้เร็วๆ คุณพ่อ คุณแม่น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 16-08-2018 17:06:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 16-08-2018 20:45:12
วาปไปตอนหน้าที :katai1: :katai1:อารณ์ค้างไม่ไหวแล้ววววว

อีกนิดนะพายทนรออีกนิด
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 16-08-2018 23:20:29
ไหนๆคุณพ่่อคุณแม่ไม่ว่าแล้ว ยอมรับความรุ้สึก และทำตามหัวใจตัวเองดีกว่านะม่อน :hao5:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 16-08-2018 23:32:58
อยากเมินพายเลยนะม่อนน :z3:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-08-2018 19:00:34
คุณพ่อของม่อนตลบหลังลูกอย่างนี้เลยหรอ 555
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-08-2018 22:48:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสดงว่า  ตอนเด็ก  ม่อนคิดกับฉายแบบเดียวกับที่พายเข้าใจใช่ไหม?

ป.ล. เรื่องราวของผู้แต่ง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ไม่ว่าจะเรื่องไหน ส่วนใหญ่จะเป็นเลือกใช้สถานที่ทางภาคเหนือเป็นหลักนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 13 ลูกชายนายพล (16-08-2561 หน้า 6)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 18-08-2018 23:51:22
พายอุตส่าพยามเข้ามาใกล้ชิดวงใน จนกลายเป็นนักบังเอิญในตำนาน แต่ม่อนตีมึน
แถมจะหนีพายอีกตะหาก ทั้งๆ ที่ก็มีใจ
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-08-2018 11:13:48
ช่วงนี้พายุเข้า น่าน อ.สันติสุข ไม่รู้ว่าโรงเรียนที่่ม่อนสอน และโฮมสเตย์ของพาย น้ำท่วมไหม
5555 เราอินถึงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย
 :hao7:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-08-2018 11:15:30
ค่อย ๆ อ่านนะคะ

ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้


“พ่อกับแม่จะมาทำไมไม่บอกม่อนครับ”


คำถามของลูกชายส่งผลให้พลตรี นพ.ธรณิน ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดทั้งหมดต้องหันกลับมาอธิบาย “พ่อนัดสังสรรค์กับเพื่อน ๆ แล้วก็เลยแวะไปเยี่ยมลุงน้อย ไม่อยากให้ลูกต้องมาฟังคนแก่คุยกันทั้งวันก็เลยไม่ได้บอกให้รู้”


“แล้วจะกลับวันไหนครับ”


“นอนที่นี่อีกคืน พรุ่งนี้ก็ว่าจะไปค้างกับลูกแล้วค่อยกลับ”


นคินทรพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ม่อนก็ค้างกับคุณพ่อคุณแม่เสียที่นี่สิลูก” ดวงพรว่า “แล้วก็เชิญคุณ ๆ ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ” 


“น้องม่อนนอนกับพายก็ได้เนอะ...” เพียงพรรษหันกล่าว ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับหรือปฏิเสธ พลันเสียงกระแอมก็ดังขึ้นถี่ ๆ 


“อย่าลำบากเลยหนู ให้ม่อนนอนด้วยกันกับลุงกับป้านี่แหละ” ผู้เป็นพ่อบอก


“อ...เอ้อ ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะสั่งให้เด็กเอาที่นอนไปเสริมให้นะคะ”


ระหว่างรับประทานอาหารเย็น...


นคินทรรู้สึกเหมือนตกกระไดพลอยโจนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวมองพวกผู้ใหญ่ที่คุยกันถูกคอ คงเพราะแม่ของพายุพัดเป็นคนท้องถิ่นส่วนทั้งพ่อและแม่ของเขาก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก่อน ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องไหนขึ้นมาพูดก็เห็นภาพตรงกันไปเสียหมด เพียงพรรษที่ปกติช่างพูดช่างคุยอยู่แล้วก็กลมกลืนไปกับวงสนทนาด้วย ที่ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ เห็นจะมีเพียงตัวเขากับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเท่านั้น


“น้องม่อนมาอยู่ไกล ๆ อย่างนี้คุณลุงกับคุณป้าคงคิดถึงแย่เลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่เธอเริ่มทำโฮมสเตย์ในขณะที่น้องชายได้ทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศจบ


“ก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดาจ้ะ ลุงกับป้ามีลูกชายกับเขาอยู่คนเดียวนี่นา” วาสนาตอบ


“รออยู่เหมือนกันว่าเมื่อไรเขาจะได้ย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ เพราะอีกไม่กี่เดือนลุงก็จะเกษียณแล้ว”


คำพูดของพลตรี นพ.ธรณิน ทำให้ลูกชายเจ้าของโฮมสเตย์ที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานต้องเงยหน้าขึ้น และเป็นอีกครั้งที่บังเอิญได้สบตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม


“แล้วมีโอกาสได้ย้ายกลับไหมจ๊ะน้องม่อน”


“ครับ” ชายหนุ่มรับคำสั้น ๆ “คิดว่าน่าจะมีครับ แต่อาจจะได้แค่ใกล้เข้ามาหน่อย”


“ถ้าน้องม่อนย้ายไปจริง ๆ ละก็ คนทางนี้ต้องคิดถึงมากแน่ ๆ เลย” เพียงพรรษบ่นงึมงำจนแม่ต้องสะกิด


“เพื่อน ๆ ทางนี้ต้องยินดีถึงจะถูกนะลูกที่น้องได้ย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ คุณพ่อคุณแม่”


“จ้ะแม่ แต่มันก็อดใจหายไม่ได้นี่นา เรื่องป้านีก็ทีหนึ่งแล้ว เป็นเพื่อนบ้านกันมาเกือบสิบปี จู่ ๆ ก็จะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เสียนี่”
เกรงว่าสองสามีภรรยาจะสงสัย ดวงพรจึงอธิบาย “พี่นีแกเคยเป็นเจ้าของร้านเครื่องเงินในเมืองค่ะ พอขายร้านแล้วแกก็มาซื้อที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันนี่เอง เมื่อปีก่อนลูกสาวสอบเป็นข้าราชการได้ที่กรุงเทพฯ ก็เลยจะมาพาแม่ไปอยู่ด้วยกัน”


“ไม่ถามแกสักคำว่าแกอยากไปอยู่กรุงเทพฯ ไหม บ้านเราอากาศดีจะตาย แล้วป้านีก็ไม่ได้อยู่คนเดียวด้วย มีหลาน ๆ แถมมีเพื่อนบ้านที่ชอบพอกันก็ตั้งเยอะแยะ” เพียงพรรษบ่นเป็นหมีกินผึ้ง นั่นเพราะเคยได้ฟังป้านีปรับทุกข์เรื่องนี้กับแม่ของตนมาก่อน


“เขาเป็นลูกเขาก็อยากให้แม่ไปอยู่ใกล้ ๆ จะได้ดูแลกันไงลูก”


หญิงสาวถอนใจจากนั้นจึงตักข้าวเข้าปาก


“ใช่พี่มณีที่เป็นเจ้าของร้านมณีจันทร์หรือเปล่าคะ” วาสนาเอ่ยขึ้น


“ใช่ค่ะ คุณแม่รู้จักพี่นีด้วยเหรอคะ”


“รู้จักกันค่ะ พี่นีแกชอบไปนั่งคุยที่บ้านบ่อย ๆ โชคดีจังที่ได้รู้ข่าว ตอนที่ม่อนมาบอกว่าป้านีย้ายร้านไปแล้วยังนึกเสียดายอยู่เลยค่ะที่ก่อนหน้านั้นไม่มีโอกาสได้ติดต่อกัน เลยไม่รู้ว่าแกไปอยู่ที่ไหน”


“บ้านพี่นีอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถ้าคุณ ๆ อยากไปเยี่ยม พรุ่งนี้ฉันจะให้พายพาไปนะคะ” เจ้าของบ้านเสนอ


หลังมื้อเย็น ดวงพรชวนวาสนาไปดูผ้าทอพื้นเมืองที่เธอเก็บสะสมไว้ข้างบนบ้าน ส่วนเพียงพรรษอาสาปอกผลไม้แล้วออกมาแจกจ่ายให้คนอื่น ๆ ที่นั่งเอกเขนกอยู่บริเวณพื้นที่สำหรับรับแขก นคินทรนั่งลงกับพื้นพิงกรอบประตูหันหลังให้ทุกคน บนตักคือเจ้าเหมียวขนสีส้มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มปล่อยให้เขาเกาคาง เห็นแล้วให้คิดถึงเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้ที่พาไปฝากไว้กับพิทักษ์นัก


“ในถุงนี่อะไรน่ะพาย” พี่สาวกล่าวพลางยกถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดู


“ขนมกับลูกประคบน่ะ ป้านีเอามาให้”


“ลูกประคบเหรอ” เมื่อเธอรั้งถุงกระดาษสีน้ำตาลที่อยู่ข้างในออกมา กลิ่นสมุนไพรก็คละคลุ้งจนต้องเบ้หน้า  “ป้านีเห็นพายปวดบ่าแน่ ๆ ถึงเอามาให้ ไม่เห็นมีวิธีใช้เลย ต้องทำยังไงบ้างก็ไม่รู้”


“ในครัวมีซึ้งไหมล่ะหนู” ธรณินกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์


“มีค่ะคุณลุง”


“ต้องเอาลูกประคบแช่น้ำก่อนแล้วค่อยนึ่ง”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปทำให้นะ” พี่สาวบอก ทว่ายังไม่ได้ไปไหนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทันทีที่รับสายเธอจึงได้ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้นที่เรือนพักหลังหนึ่ง 


“มีอะไรหรือเปล่าพี่ฝน” พายุพัดถามหลังจากพี่สาววางโทรศัพท์ลง


“แขกโทรมาบอกว่าไฟไม่ติดจ้ะ สงสัยหลอดจะขาด แถมเครื่องทำน้ำอุ่นยังใช้การไม่อีก แล้วนี่คนงานที่เป็นช่างก็กลับไปแล้วด้วยสิ”


เห็นท่าทีเป็นกังวลของพี่สาว น้องชายจึงเสนอตัวแก้ปัญหานี้ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพายไปดูให้ พี่ฝนมีหลอดไฟสำรองหรือเปล่า”


“เดี๋ยวพี่หาในห้องเก็บของก่อนนะ” ว่าแล้วเธอก็เดินไปเปิดห้องเล็กใต้บันไดรื้อค้นสิ่งของในนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับหลอดไฟที่ยังไม่ได้แกะกล่อง


“พี่ฝนไปรอที่เรือนพักของแขกก่อนนะ เดี๋ยวพายไปเอาบันไดกับเครื่องมือช่างที่โรงรถแล้วจะตามไป”


“เสร็จแล้วพี่จะนึ่งลูกประคบให้ก็แล้วกันนะ”


คนพูดน้อยทำเพียงพยักหน้า กำลังจะเดินไปที่ประตูก็ต้องชะงักเพราะประโยคหนึ่งที่ได้ยิน


“ม่อนไปทำให้เพื่อนสิ เดี๋ยวพ่อจะบอกให้ว่าต้องทำยังไง” ธรณินเอ่ยขึ้น


“อุ้ย! ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูกลับมาทำให้น้องเองค่ะ” เพียงพรรษกล่าวอย่างเกรงใจ


“ม่อนว่างอยู่ก็ให้ม่อนทำนั่นแหละ กว่าจะซ่อมไฟกับเครื่องทำน้ำอุ่นเสร็จลูกประคบคงใช้ได้พอดี”


ได้ยินดังนั้นนคินทรจึงค่อย ๆ ยกเจ้าเหมียวออกจากตักแล้ววางมันลงบนพื้น เมื่อเขาลุกขึ้นอีกคนก็เดินสวนมาพอดี ดวงตาสองคู่บังเอิญสบกันเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นต่างคนก็ต่างมองไปคนละทาง


“รบกวนแล้วนะจ๊ะน้องม่อน” หญิงสาวกล่าว แม้จะอยากจะทักท้วงแต่ก็ไม่กล้าขัดผู้อาวุโส


“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ พี่ฝนรีบไปปดูแขกเถอะ” พูดจบนคินทรก็หยิบถุงกระดาษใส่ลูกประคบเดินนำผู้เป็นพ่อเข้าไปในครัว


เมื่อดวงพรและวาสนาจูงมือกันลงมาจากชั้นบนของบ้านก็ได้กลิ่นไพลตลบอบอวล ทั้งคู่จึงพากันเดินตามกลิ่นเข้าไปในครัว ภรรยานายพลมองสองพ่อลูกที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่หน้าเตาไฟแล้วเอ่ยขึ้น


“มาแอบทำอะไรกันจ๊ะพ่อลูก”


“กำลังนึ่งลูกประคบน่ะแม่” ผู้เป็นสามีตอบแล้วเลื่อนสายตาไปยังเจ้าของบ้าน “ลูก ๆ คุณดวงไปเปลี่ยนหลอดไฟที่เรือนพักของแขก ผมกับเจ้าม่อนก็เลยรับอาสา”


“ตายจริง ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละค่ะคุณ เดี๋ยวฉันให้คนงานมาทำต่อ” ดวงพรบอก


“เสร็จแล้วละครับ” ว่าแล้วธรณินก็หันไปเตือนลูกชายให้ปิดวาล์วแก๊ส


“ลืมเลย มัวแต่ฟังพ่อเล่าตำนานลูกประคบเพลิน” นคินทรหัวเราะ จากนั้นทั้งหมดก็พากันเดินออกมายังห้องรับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่เพียงพรรษกลับเข้ามาพอดี


“เป็นยังไงบ้างหนู” ผู้อาวุโสถาม


“เปลี่ยนหลอดไฟก็ใช้ได้แล้วค่ะคุณลุง ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ได้เสีย คนทำความสะอาดน่าจะเผลอไปยกเบรกเกอร์ลง แขกก็เลยเปิดไม่ติด หาสาเหตุกันอยู่ตั้งนาน โชคดีที่พายตาไวไปเห็นเข้าพอดี ตอนนี้ใช้งานได้ปกติแล้วค่ะ”


“น้องชายหนูไปไหนเสียแล้วล่ะ”


“อืม...ไม่เห็นเดินตามมา สงสัยกลับไปที่เรือนแล้วละค่ะ เห็นบ่นปวดเมื่อยมาตั้งแต่เมื่อวาน ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป”


“ลูกคนนี้ดื้อเงียบค่ะ” ผู้เป็นแม่เสริม กระนั้นในดวงตาของเธอยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเอ็นดู


“เป็นมานานหรือยัง บังคับให้ไปตรวจบ้างก็ดีนะครับ ปล่อยไว้เดี๋ยวจะไปกันใหญ่” พูดจบหมอทหารยศพลตรีก็หันไปหาลูกชาย “ม่อนเอาลูกประคบไปให้เพื่อนสิ”


ลูกชายเลิกคิ้ว ชี้ที่ตัวเอง “ม่อนเหรอ”


“ลูกนั่นแหละ ไปสิ เอาไปให้เพื่อน” ธรณินย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะชวนภรรยากลับไปพักผ่อน 


เมื่อพ่อบอกเช่นนั้นลูกชายจึงจำต้องรับคำ ตรงเข้าครัว เปิดซึ้งแล้วคีบลูกประคบร้อน ๆ ใส่อ่างแก้ว ใช้ความคุ้นเคยเดินไปยังเรือนพักหลังสุดท้าย


“พ่อคิดจะทำอะไรของพ่อกันแน่” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยเมื่อกลับมาถึงห้อง


“พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรนี่” สามีกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้


คนฟังถอนใจ “แล้วที่มาที่นี่น่ะ ตั้งใจจะมาหาเพื่อน มาหาลูกหรือมาทำอะไรกันแน่”


ธรณินมองภรรยาที่กำลังยืนกอดออกรอคำตอบ เห็นไม่มีทางเลี่ยงจึงกล่าวอ้อมแอ้ม “ตอนแรกก็ตั้งใจมาหาเพื่อนกับลูกนั่นแหละแม่ แต่ตอนนี้อยากทำความรู้จักเพื่อนลูกด้วย ได้ไหมล่ะ”


ได้ยินเช่นนั้นคนเป็นภรรยาก็โคลงหัวเบา ๆ


...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-08-2018 11:19:41
(ต่อค่ะ)

พายุพัดเดินออกจากห้องน้ำในสภาพที่ท่อนล่างพันด้วยผ้าขนหนู เขารั้งกางเกงขาสั้นที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มาสวมแล้วโยนผ้าเช็ดตัวลงในตะกร้า ความรู้สึกปวดหน่วงบริเวณช่วงไหล่ บ่า ร้าวไปไปถึงต้นคอทำให้เผลอยกมือขึ้นบีบหนวดด้วยความเคยชิน ร่างสูงนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักหยิบหลอดยาทาบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบออกมาวาง ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิด


“เราเอาลูกประคบมาให้” คนที่ยืนอยู่ด้านนอกกล่าว


เจ้าของห้องไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่หลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามา ตาคมมองตามร่างสูงที่เดินไปหยุดหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ได้ยินเขาถามเบา ๆ


“ยังไม่หายอีกเหรอ”


“เมื่อวานไปช่วยป้านียกของก็เลยปวดขึ้นมาอีก”


“นั่งสิ เดี๋ยวเราประคบให้”


“เราทำเองก็ได้” พายุพัดกล่าวเสียงเรียบ เห็นท่าทีเฉยชาแล้วคาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงมาที่นี่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


“ไม่เป็นไร นายมานั่งเถอะ”


หนุ่มนักกีฬาสบตาคนพูดอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ ลอบมองทุกอากัปกิริยาของอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนบนกระจก


นคินทรคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่ม้วนอยู่บนโต๊ะมาคลี่ออกแล้วคลุมลงบนบ่ากว้างที่ยังพราวไปด้วยหยดน้ำ หยิบลูกประคบขึ้นได้หน่อยก็ต้องปล่อยเพราะมันร้อนเกินไป พลันมือขาวก็ยกมือขึ้นแนบใบหูโดยอัตโนมัติ


“เป็นอะไรหรือเปล่า” พายุพัดว่าพลางคว้ามือของอีกฝ่าย เมื่อหงายขึ้นก็พบว่าผิวนิ่มนั้นขึ้นสีแดงซ้ำยังร้อนจนรู้สึกได้


“ไม่เป็นไร”


“แต่มือนายแดงไปหมดแล้ว” พูดจบก็โน้มหน้าลงเพื่อเป่าให้


นคินทรทอดตามองคนตรงหน้า ในที่สุดก็ค่อย ๆ ดึงมือให้พ้นจากการสัมผัส กำลังจะหันไปหยิบลูกประคบก็ต้องชะงัก


“นายเอาวางไว้เถอะ เดี๋ยวเราจัดการเอง”


เมื่อเจ้าของห้องยืนยันเช่นนั้น ลูกชายหมอทหารก็ไม่คิดเซ้าซี้ เดินจากมาเงียบ ๆ


นคินทรอาศัยแสงจากโคมไฟติดหัวเสาก้าวไปตามทางเดินไม้ระแนงท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบ อากาศข้างนอกนั้นเย็นเฉียบแต่ก็ไม่อาจสู้น้ำเสียงของใครบางคนได้ ชายหนุ่มหยุดยืนใกล้ต้นเสี้ยวขาวต้นใหญ่ที่เห็นทีไรก็พาให้นึกถึงหน้าต่างห้องนอนที่บ้านพักในค่ายทหาร ป่านนี้คงออกดอกเช่นกัน ครู่หนึ่งก็พรูลมหายใจแล้วละสายตาจากภาพตรงหน้า ขณะที่เท้ากำลังจะก้าวต่อที่ข้อมือก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นจากอีกมือที่สัมผัสลงมา เมื่อหันกลับไปนคินทรก็พบว่าเจ้าของมือนั้นคือคนเดียวกับเมื่อครู่ที่เพิ่งใช้คำพูดไล่ตนเองทางอ้อม แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟพอจะทำให้เห็นแววตาเศร้าสร้อยของเขาอยู่บ้าง


“เราขอโทษ จะโกรธเราก็ได้ แต่อย่าเกลียดเราเลยนะ” พายุพัดกล่าว


“ปล่อยเถอะ” คนฟังพยายามขยับให้หลุดแต่มือของอีกฝ่ายยิ่งกระชับแน่น


“ขอร้องละม่อน ช่วยฟังเราหน่อยนะ”


ได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น นคินทรจึงยอมหยุด ดวงตาหลุบต่ำลงมองวัตถุวับวาวที่ข้อมือใหญ่ ไม่คิดเงยหน้าขึ้นสบตากัน 


“คราวที่แล้วเราอยากจะพูดคำนี้กับนายแต่ไม่มีโอกาส เราแค่อยากบอกนายว่า...อย่าไปเลยนะ” คนพูดกัดฟันคุมเสียงไม่ให้สั่น “อย่าไป...เพราะว่านายเกลียดเรา”


น้ำเสียงตัดพ้อ ทำให้นคินทรไม่อาจเฉยเมย เลื่อนตามองดวงหน้าเศร้าหมอง แต่ก็มิได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ


“ถ้านายต้องไปเพราะความจำเป็น...ก็ไปเถอะ” พายุพัดค่อย ๆ คลายมือออก “เราสัญญาว่าจะไม่รั้งนายไว้อีก”


“แค่นี้ใช่ไหมที่นายอยากจะพูดกับเรา” นคินทรถามกลับเสียงนิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีกจึงหันหลังให้แล้วเดินจากมา     


...


วันต่อมาลูกชายหมอทหารมุ่งหน้าเข้าเมืองตั้งแต่เช้าเพื่อจัดการคืนรถที่พ่อของเขาเช่ามา ดังนั้นหน้าที่พาพลตรี นพ.ธรณินและคุณวาสนาไปเยี่ยมเพื่อนเก่าจึงตกเป็นของพายุพัดโดยสมบูรณ์ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์พาสองสามีภรรยาลัดเลาะชายทุ่งจนกระทั่งถึงบ้านไม้ชั้นเดียวที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม หลังจากนั่งคุยกับเจ้าของบ้านอยู่พักใหญ่ ๆ ธรณินก็ขอตัวออกมาเดินชมรอบ ๆ รู้สึกเสียดายที่อีกไม่นานบ้านหลังนี้จะถูกรื้อถอนเพราะเจ้าของมีความประสงค์จะขายที่ดินเปล่าให้กับผู้ที่สนใจ
หมอทหารยศพลตรีเดินเอามือไพล่หลัง หลุดมองชายหนุ่มที่กำลังยืนชมทิวทัศน์เบื้องหน้า ซึ่งเป็นทิวเขาปกคลุมด้วยเมฆขาว ลอบพิจารณาลักษณะภายนอกของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้าวขึ้นไปยืนข้างกัน   


“ที่สวย ๆ แบบนี้แถมยังติดกับโฮมสเตย์ คุณไม่คิดจะซื้อไว้เองเหรอ”


พายุพัดหันไปยังคนพูด อดคิดไม่ได้ว่าสรรพนามแทนตัวที่หมอทหารท่านนี้เลือกใช้นั้นฟังแล้วช่างห่างเหินนัก เมื่อเทียบที่เขาเป็นเพื่อนกับลูกชายของอีกฝ่าย 


“เป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ เงินซื้อที่เท่าหยิบมือคงไม่ลำบากอะไรใช่ไหม”


เจ้าของร่างสูงยิ้มจาง ๆ “พอจะมีอยู่บ้างครับ แต่ผมอยากเก็บไว้ให้ทุกคนในครอบครัวอุ่นใจว่าเราจะมีใช้เมื่อจำเป็นมากกว่า อีกอย่าง...เราตกลงกันแต่แรกว่าจะทำโฮมสเตย์เล็ก ๆ บนที่ดินของพ่อ ไม่ได้คิดจะขยับขยายให้ใหญ่โต เพราะรายได้จากที่นากับเรือนพักไม่กี่หลังที่มีอยู่ตอนนี้ก็พอจะจุนเจือให้ไม่ขัดสน”


“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณประกาศอำลาวงการ ผมยังคิดว่าเวลาที่นักกีฬาเขาเลิกทำอาชีพนักกีฬา เขาคงมีทรัพย์สินมากพอสำหรับการอยู่อย่างสบายไปตลอดชีวิต หรือไม่อย่างนั้นก็คงมีธุรกิจใหญ่โต ไม่คิดว่าคุณจะเป็นแค่เจ้าของโฮมสเตย์เล็ก ๆ” ธรณินกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่พูดนี่ไม่ได้จะดูถูกหรอกนะ ผมแค่รู้สึกเสียดายที่คุณทิ้งอาชีพที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำไปน่ะ”


“ถึงผมจะไม่ทิ้ง วันหนึ่งอาชีพนี้ก็ต้องทิ้งผมไปอยู่ดีครับ ถ้าไม่เพราะอายุที่มากขึ้นก็เพราะมีคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมและแข็งแรงกว่าเข้ามาแทนที่เรา”


พลตรี นพ.ธรณิน พยักหน้า เห็นเป็นจริงดังว่า “คุณนี่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้นะ ผมเคยคิดว่าคนหนุ่มแถมยังมีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างคุณน่าจะอยากใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองแบบที่คนวัยเดียวกันโหยหาเสียอีก”


“ผมเคยคิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ อยากเรียนสูง ๆ อยากมีเงินเยอะ ๆ อยากสุขสบาย แต่ที่ว่ามาทั้งหมดก็ต้องแลกมาด้วยการอยู่ห่างไกลครอบครัว ผมเคยคิดจะซื้อบ้านสักหลังในกรุงเทพฯ แล้วพาแม่กับพี่ฝนไปอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิด”


“อะไรล่ะที่ทำให้คุณเปลี่ยนใจ”


“ส่วนหนึ่งมาจากแม่ครับ แม่ของผมท่านรักที่นี่มากเพราะที่นี่เป็นเหมือนสิ่งแทนตัวพ่อ อีกส่วนหนึ่ง...” คนพูดกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจกล่าวต่อ “เป็นเพราะม่อน”


“ลูกชายผมน่ะเหรอ” ธรณินถาม ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงว่าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไร


“ครับ ม่อนทำให้ผมรู้ว่า ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าที่นั่นมีเขา”


คนฟังเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะลั่น “เอ้อดี ตรงดี พูดกันตรง ๆ แบบนี้ก็คุยกันง่ายหน่อย เคยอ่านเรื่องของคุณจากคอลัมน์ซุบซิบวงการกีฬาในหนังสือพิมพ์ คิดว่าคุณจะเป็นพวกไม่สนใจโลกเหมือนฉายาที่นักข่าวตั้งให้เสียอีก”


พายุพัดยิ้มอย่างคนยอมรับชะตากรรม กดตาลงต่ำมองผืนดินที่กำลังเหยียบ “บางครั้งสิ่งที่เราเป็นก็มาจากสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้นะครับ”


หมอทหารยศพลตรีเบนสายตาไปยังทิวเขาเบื้องหน้าแล้วกล่าวเสียงขรึม “ในเมื่อคุณพูดตรง ๆ ผมก็จะพูดตรง ๆ เหมือนกัน ผมรู้เรื่องของคุณกับม่อนแล้ว เสียใจด้วยนะที่ลูกชายผมไม่ได้คิดแบบเดียวกับคุณ หรือถ้าคิด...ก็จะไม่มีวันปริปากบอก ไม่แม้แต่จะแสดงออกให้ใครรู้ ม่อนน่ะเป็นคนร่างเริง ใครว่ายังไงก็ว่าตามนั้น โกรธใครไม่เป็น แต่จริงแล้ว ๆ ใจแข็งชนิดที่คนเป็นพ่ออย่างผมยังไม่อยากจะเชื่อ  ยอมได้แม้กระทั่งหักดิบความรู้สึกตัวเองเพื่อรักษาความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม” เมื่อกล่าวจบก็หันมาสบตาชายหนุ่ม


“ผมเข้าใจครับ” พายุพัดตอบเสียงแผ่วราวกับคนหมดแรง พลันดวงตาที่เคยฉายแววเข้มแข็งแน่วแน่ก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด “ผมรับรองว่าผมจะไม่ทำให้ม่อนต้องลำบากใจครับ”


...


ถึงกำหนดที่พ่อและแม่ต้องเดินทางกลับ นคินทรก็ขับรถมาส่งทั้งสองที่สนามบินตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่ตนเองจะได้กลับไปทันสอนในช่วงสาย ตกเย็นครูหนุ่มก็นั่งตรวจการบ้านของเด็ก ๆ ต่อจึงไม่ได้ไปช่วยสุพักตร์ซ่อมหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนเหมือนอย่างเคย เมื่อถึงบ้านนคินทรก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำจอดอยู่ที่ใต้ร่มไม้ มองหาเจ้าของรถก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งริมลำธาร 


“นายมาทำอะไรที่นี่” เจ้าของบ้านถามทันทีที่เดินมาหยุด


พายุพัดลุกขึ้นแล้วหันกลับมาพร้อมกับยื่นสิ่งหนึ่งให้ “เราเอาของมาคืนนาย”


ดวงตาเจือแววสงสัยจับจ้องไปยังสมุดในมือของอีกฝ่าย เมื่อเห็นชื่อที่เขียนกำกับอยู่บนปกจึงรู้ว่ามันเคยเป็นของตนมาก่อน


มือขาวกำลังจะเอื้อมไปหยิบ แต่พายุพัดก็ดึงกลับไปเสียก่อน


“มีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังไม่ได้บอกนาย” ตาคมมองคนตรงหน้าได้เพียงนิดก็หลุบลงแล้วกล่าวเบา ๆ “เราพูดไม่เก่ง เราก็เลยต้องเขียนไว้ในสมุดเล่มนี้ เราพยายามค้นหาว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนประเภทไหน วันนี้เราเลือกแล้ว เราไม่กลัวว่าสุดท้ายผลมันจะออกมาเป็นยังไง ขอแค่นายช่วยรับฟังก็พอ” เจ้าของร่างสูงเม้มปากแน่น เสียงของเขาเงียบลงแล้ว แต่ที่ยังดังอยู่ตอนนี้ก็คือเสียงหัวใจเต้นระส่ำยามเมื่อได้สบตาคู่นั้น ในที่สุดพายุพัดก็ตัดสินใจเผยความรู้สึกที่เก็บมาแสนนาน


“เรา...ชอบนาย ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน” ลอบถอนใจด้วยความโล่งอกเพราะอย่างน้อยประโยคเมื่อครู่ก็น่าจะช่วยให้กล่าวถ้อยคำที่เหลือง่ายขึ้น “ที่เราจับคู่เล่นบาสกับคนอื่นเพราะว่าเราเขิน กลัวว่าจะทำอะไรเปิ่น ๆ ต่อหน้านาย เราคิดจะสมัครเข้าชมรมห้องสมุดก็เพราะนาย แต่สุดท้ายที่เราไม่เข้าชมรมนั้นก็เพราะนายเหมือนกัน”


นคินทรโคลงหัว ดวงตายังไม่ละจากชายหนุ่มที่อยู่ในอาการตกประหม่า นึกถึงคำของผู้เป็นพ่อที่บอกให้เขาลองสลัดคำว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ พลันมุมปากก็ยกขึ้นบางเบาจนคนที่กำลังยกมือขึ้นลูบต้นคอไม่ทันได้สังเกต


“นึกว่าจะไม่ได้ฟังเสียแล้ว”


“หมะ...หมายความว่ายังไง” พายุพัดมุ่นคิ้วอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้าง “ไหนบอกว่าไม่ได้เปิดสมุดดูไง”


“เราไม่ได้เปิดจริง ๆ” เจ้าของสมุดตัวจริงตอบตามตรง “แต่หวานถ่ายรูปไว้”


หนุ่มนักกีฬาเลื่อนมือที่กำสมุดไปไว้ด้านหลัง ทันทีที่ได้รู้ความจริงอาการประหม่าก็ยิ่งปรากฏชัด อัตราการเต้นของหัวใจขณะนี้น่าจะเท่ากับเมื่อครั้งที่ก้าวขึ้นรับเหรียญรางวัลเหรียญแรกในชีวิต


“เอามา” นคินทรกล่าวพร้อมกับแบมือรอ และเมื่อเขากล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สอง พายุพัดจึงยอมคืนให้...


สองคนนั่งลงที่ม้านั่ง ทอดตามองสายน้ำที่เริ่มตื้นเขิน มือขาวถือสมุดไว้ไม่คิดจะเปิดดู นั่นเพราะเขาได้อ่านมันแล้วทุกตัวอักษร เพียงแค่รอว่าเมื่อไรจะได้ฟังจากปากคนเขียนเท่านั้น


“ทำไมถึงยอมบอกล่ะ”


“เพระว่าเรา...เป็นนักกีฬาไง” มุมปากของคนพูดหยักเข้าเป็นรอยยิ้ม และค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นยามได้นึกถึงคำของใครคนหนึ่ง


“ยังไม่ทันได้ลงแข่งก็ยอมแพ้เสียแล้ว ที่ผมตั้งใจมาพบคุณครั้งนี้ ไม่ได้จะมาพูดเพื่อให้คุณยอมแพ้นะ เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า...การแพ้เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง น่าเสียดาย น่าเสียดาย”


พายุพัดมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ น้ำเสียงขึ้นลงของเขาในช่วงท้ายของประโยคฟังแล้วคุ้น ๆ


“ถ้าคนสองคนไม่ใจตรงกันผมคงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง ผมเป็นพ่อ ผมก็อยากให้ลูกมีความสุข ผมพยายามทำในส่วนของผมแล้ว แต่เจ้าม่อนมันใจแข็ง ที่เหลือคงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคุณ ที่ผมพอจะช่วยได้ก็แค่จะบอกว่าการจะเอาชนะใจคนใจแข็งแบบนี้มันต้องใช้สุภาษิตของคนรุ่นผม...”


...ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก...




“เราจะเอาชนะคนใจแข็งอย่างม่อนให้ได้ มาแข่งกันไหม”


“คนชนะได้อะไร”


“ถ้าเราชนะ ม่อนก็เป็นแฟนเรา”


“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”


“ก็เอาคนอกหักอย่างเราไปดูแลด้วย”


“ยุติธรรมมาก” นคินทรลุกขึ้นในขณะที่อีกคนก็ลุกตาม


“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้ตอบเลยว่าจะแข่งไหม”


คนถูกถามนิ่งคิด ในที่สุดก็พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้น...เราจีบนะ”


นคินทรเสมองไปทางอื่น ครางอือแบบไม่เต็มเสียงนักแล้วเดินหนี ทิ้งให้หนุ่มนักกีฬายืนยิ้มอยู่อย่างนั้น


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-08-2018 11:24:49
(ต่อค่ะ)


aMOXi: ไปเสมอดาวกัน

Sunny: โอ้โห! ไอ้หมอกชวนไปเที่ยว สงสัยหมาออกลูกเป็นตัว

aMOXi: หมามันก็ออกลูกเป็นตัวอยู่แล้วไหม

Sunny: เออว่ะ โทษ ๆ

Sweety: มัวแต่ไร้สาระกันอยู่ได้

Sunny: นั่นไง หัวหน้าห้องมาแล้ว

Sweety: พ่อให้หมอกพูดก่อนสิ

Sunny: ได้จ้ะแม่

Sunny: ต่อ ๆ คุณหมอ

aMOXi: ไม่มีอะไร ก็เห็นไอ้ม่อนมันอยากไปเสมอดาว ช่วงนี้ที่คลินิกมีรุ่นน้องเรามาช่วย พอจะมีเวลาก็เลยชวนไปเสียก่อน ถ้าเกิดม่อนต้องย้ายไปที่อื่นจริง ๆ กลัวว่าตอนนั้นจะไม่ว่างน่ะ

Sichon: ใจหายเนอะ เหมือนตอนที่พายจะย้ายโรงเรียนเลย

Sunny: นั่นน่ะพายมันต้องย้ายเพราะสอบได้ในโรงเรียนที่กรุงเทพฯ แต่นี่ม่อนยังไม่ทันได้ขอย้ายเลย พวกเราก็มาช่วยกันบนให้ม่อนไม่ได้ย้ายสิ

MON: ไอ้ฉายยย

Sweety: เอาละ ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตกลงเราจะไปวันไหนดีจ๊ะหมอก

aMOXi: เสาร์หน้าไหม

Sweety: พ่อว่างไหม

Sunny: ไม่ว่างก็ต้องว่างจ้ะแม่ เราปิดร้านพาลูกไปเที่ยวกัน

Sweety: OK. ใครไปอีกบ้าง ม่อนไปเนอะ

MON: ไป ๆ

Sichon: สิกับหมอกจ้ะ

Sweety: พายล่ะไปด้วยกันไหม

5 นาทีต่อมา...

Prapai: ถ้าม่อนไปเราก็ไป

Sichon: แหม...

aMOXi: แหมมม

Sweety: แหม ๆ ๆ

Sunny: ตัวติดกันหรือไง

aMOXi: เงียบ มันต้องแอบไปคุยกันสองตัวแน่ ๆ



เมื่อตกลงกันได้ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บ้านของพายุพัดในตอนบ่ายวันเสาร์ปลายเดือนมกราคม ภาณุเปิดท้ายรถเพื่อตรวจดูเต็นท์ที่ไปขอยืมมาจากเพื่อนเมื่อตอนก่อนจะมาถึง ส่วนสิชลกับหมอกตามพายุพัดเข้าไปช่วยกันขนเสบียงที่แม่ของอีกฝ่ายเตรียมเอาไว้ให้


“ไอ้ม่อนเอาของขึ้นรถสักทีสิ” ภาณุกล่าวเมื่อเห็นเพื่อนรักยังคงยืนสะพายเป้เก้ ๆ กัง ๆ


“เราไปกับนายไม่ได้เหรอ เราอยากเล่นกับฟีฟ่า”


“ไม่ได้ นายต้องไปรถพายสิ ไม่อย่างนั้นใครจะนั่งเป็นเพื่อนมัน เกิดมันง่วงแล้วหลับในจะทำยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นให้ฟีฟ่าไปกับเรานะ รับรองเราดูแลให้อย่างดี” นคินทรยื่นข้อเสนอพลางหันไปหยอกล้อกับเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่


“ไม่ได้โว้ย ไม่เข้าใจคำว่าพ่อแม่ลูกเหรอวะ”


คนฟังทำคอตก ในขณะที่น้ำหวานได้แต่มองยิ้ม ๆ เมื่อนคินทรเห็นอวัศย์กับสิชลกำลังเดินมาทางนี้จึงพูดขึ้น “แล้วหมอกจะเอารถไปอีกคันให้เปลืองน้ำมันทำไม ทำไมไม่ไปรถพาย”


“เข้าใจคำว่าฮันนีมูนไหมม่อน” พูดจบสัตวแพทย์หนุ่มก็โอบเอวแล้วส่งยิ้มให้ภรรยา


“ไอ้พายมานี่ ๆ” ภาณุกวักมือเรียกคนที่เพิ่งเอาของเก็บที่ท้ายรถเสร็จ “มาเอาไอ้ม่อนไปหน่อย”


พายุพัดพยักหน้า เจ้าของร่างสูงเดินเข้ามาหยุดแล้วกล่าว “เอาเป้มา เดี๋ยวเราเอาไปเก็บให้”


“ไม่เป็นไร เราเอาไปเก็บเองได้” ว่าแล้วนคินทรก็เดินไปที่รถโดยมีอีกคนเดินตามไม่ห่าง


“คนใจตรงกันมันก็จะเขิน ๆ หน่อยอะเนอะ น้ำหวานกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้สิชล


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ขับนำขบวนมุ่งหน้าสู่อำเภอนาน้อย ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมายนั่นคือดอยเสมอดาว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน พวกผู้ชายพากันมองหาทำเลเหมาะ ๆ จากนั้นจึงช่วยกันกางเต็นท์ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินสำรวจรอบ ๆ บนจุดชมวิวดอยเสมอดาวสามารถเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา เบื้องล่างมองเห็นแม่น้ำน่านทอดตัวคดเคี้ยวท่ามกลางทิวเขาเขียวขจี


“จากตรงนี้จะเห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน พอถึงพรุ่งนี้เช้ารอบ ๆ นี้ก็จะกลายเป็นทะเลหมอก” พายุพัดกล่าวเมื่อเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ คนที่กำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติตรงหน้า


“นายชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก” นคินทรถาม


“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้น มันทำให้รู้สึกถึงการเริ่มต้น เราไม่ชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกเพราะอีกเดี๋ยวมันก็มืด” หนุ่มนักกีฬาตอบ นอกจากจะมืดแล้วช่วงเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินยังทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ต้องสูญเสียพ่อไป “นายล่ะ”


“เราชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลับไปด้านหลังภูเขาแล้วแต่บนฟ้ายังมีริ้วสี เราว่าช่วงเวลานั้นท้องฟ้าสวยดี เป็นภาพสวยงามภาพสุดท้ายของวันให้ได้จดจำก่อนจะหลับไป แต่พอตื่นมาตอนเช้าก็ไม่มีเวลาได้คิดถึงแล้ว เพราะมีเรื่องเยอะแยะที่รอให้เราทำ”


พายุพัดเหลียวมองเสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งปะทะเข้ากับขาของตนเอง เมื่อก้มลงดูก็พบว่าเป็นเจ้าหนูแก้มยุ้ยลูกชายของเพื่อนนั่นเอง


“ขี่มะ ขี่มะ”


“ไง...ฟีฟ่าอยากขี่ม้าเหรอ” นคินทรกล่าวก่อนจะยกตัวหนูน้อยลอยขึ้นกลางอากาศ


เด็กชายฟีฟ่าหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยังคงพูด “มะมะ อาพาย” ไม่ขาดปาก


“อาพายว่ายังไง”


พายุพัดยิ้ม ย่อตัวให้อีกฝ่ายวางเจ้าหนูจ้ำม่ำลงหลังของตน


“ฟีฟ่าพร้อมหรือยัง เดี๋ยวอาพายจะพาเหาะ” ชายหนุ่มหันปถามเจ้าของแขนเล็กที่กอดคอของเขาแน่น จากนั้นจึงพากันวิ่งลงเนินไป


และเพราะ “มะมะ อาพาย” จึงทำให้เด็กชายฟีฟ่าสิ้นฤทธิ์หลับเป็นตายไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ


กองไฟเล็ก ๆ ถูกก่อขึ้นเพื่อคลายความหนาว ชายหนุ่มหญิงสาวหกคนนั่งล้อมวงรำลึกความหลังเมื่อครั้งเป็นนักเรียนมัธยมและมีโอกาสได้มาที่นี่ด้วยกันเป็นครั้งแรก วันนั้นเหมือนวันนี้ตรงที่บนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับประดาด้วยดวงดาวมากมายเกินกว่าที่สายตาจะประมาณจำนวนได้ อวัศย์หยิบกีตาร์โปร่งจากท้ายรถแล้วส่งให้พายุพัดก่อนจะกลับมานั่งลงข้างสิชล ไม่นานทำนองเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้นตามด้วยคำร้องเรียบง่ายซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่ม มันคือบทเพลงที่สองที่ชายหนุ่มฝึกเล่นอย่างจริงจังหลังจากไม่ได้จับกีตาร์เสียนาน กระทั่งประสบอุบัติเหตุจนต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านจึงได้มีเวลาค้นหาคอร์ดกีตาร์ หวังว่าสักวันจะได้มีโอกาสร้องเล่นต่อหน้าใครคนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงนี้


นคินทรมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เพียงชั่วครู่ก็จำต้องมองไปทางอื่น อากาศบนดอยเสมอดาวนั้นหนาวเย็น แต่คำร้องของบทเพลงที่แฝงความหมายกลับทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ความยาวเกือบสี่นาทียาวนานราวกับสี่ปีที่โดนจับจ้องด้วยสายตาของใครบางคน


ในที่สุดท่วงทำนองหวานหูแผ่วหายไปกับสายลม...


“เพลงนี้เพลงอะไรนะพาย” สิชลเอ่ยขึ้น


“เขียนคำว่ารัก” พายุพัดตอบพร้อมกับส่งกีตาร์คืนให้อวัศย์ นายสัตวแพทย์รับมาก่อนจะเริ่มเกาเพลงเบา ๆ ให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป


“จำได้ว่าตอนที่พวกเรามาเสมอดาวด้วยกันคราวก่อนพายเล่นเพลงดาว มันหวาน ๆ ปนเศร้ายังไงไม่รู้ แต่พอเป็นเพลงนี้เลยทำให้สินึกถึงหนังสือชื่อ ‘โปรดอ่านใต้แสงเทียนเพราะผมเขียนใต้แสงดาว’ ขึ้นมาเลย”


“ฟังดูโรแมนติกจัง” น้ำหวานกล่าว “ว่าแต่ฝึกเพลงนี้ไว้เล่นให้ใครฟังหรือเปล่าจ๊ะพาย” พูดจบหญิงสาวก็แกล้งเขยิบเบียดชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ


“อืม...คราวก่อนม่อนไม่ได้มาด้วยกันนี่เนอะ แสดงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ม่อนได้ฟังพายร้องเพลงสินะ”


“ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ก่อนเข้านอนคืนนี้จะมีคนฝันดีกี่คนน้า...” น้ำหวานกระเซ้า


“แม่...วันนี้เราปิดร้านนะ เลิกชงสักวันได้ไหม” ภาณุกล่าวก่อนจะหยิบโหลพลาสติกใบหนึ่งออกมาวาง “เล่นเกมกันดีกว่า”


“เกมอะไรวะ” อวัศย์ถาม


“อันนี้เขาเรียกว่ามาร์ชเมลโลพูดความจริง เราจะแกะแล้วก็โยนเข้าปากคนที่เราเรียกชื่อ ถ้าคนนั้นรับได้จะได้สิทธิ์ในการถามคำถามคนที่เหลือ แล้วคนที่ถูกถามก็ต้องตอบตามความจริง”


“ไปนอนก่อนนะ” อวัศย์เอ่ยขึ้น


“นั่งเลยไอ้หมอก” ภาณุชี้นิ้ว “ไอ้พวกมีความลับเยอะมันจะนั่งไม่ติดที่แบบนี้แหละสิ ถ้าอย่างนั้นเริ่มที่ไอ้หมอกก่อนเลย” ว่าแล้วก็จัดการแกะขนมออกจากห่อแล้วโยนส่ง ๆ กระนั้นหมอหมาก็ใช้ความคล่องแคล่วแบบเยอรมันเชเพิร์ดกระโดดงับได้ทัน


“ถามนายนั่นแหละ” สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ ชี้มือไปยังคนคิดเกม “ตอนม.ต้น นายไม่ได้แกล้งปล่อยลมยางรถอาจารย์นนูญจริงเหรอ”


ภาณุมองซ้ายมองขวา พบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ตนจึงอ้อมแอ้มตอบ “ก็...ไม่จริงไง”


“คนเลว” อวัศย์กล่าว จากนั้นจึงเดินไปคว้ามาร์ชเมลโลมาแกะกินอีกชิ้น “ต่อ ๆ”


“เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ”


“เออ กติกายืดหยุ่น” เมื่อกลืนขนมลงคอแล้วจึงถาม “เมื่อไรจะแต่งงาน”


คำถามนั้นทำเอาเพื่อน ๆ หูผึ่ง ต่างคนต่างช่วยย้ำประโยคเมื่อครู่เพื่อกดดันให้เจ้าตัวตอบ


“เออ...พอแล้ว ๆ รู้แล้วว่ากรรมกำลังตามสนอง” ภาณุบ่นก่อนจะสบตาภรรยาที่ดูเหมือนว่าจะรอคอยคำตอบนี้อยู่เช่นกัน “กลางปีนี้นะจ๊ะแม่”


ได้ฟังสามีพูดเช่นนั้นน้ำหวานก็ยิ้มเขิน นับเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างก็รอคอย


“ตาเราบ้าง” ภาณุทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือก็แกะห่อขนมไปด้วย “สิ” พูดจบก็โยนขนมย้อยข้ามฝั่งไปตรงที่หญิงสาวนั่ง แล้วเธอก็สามารถรับได้


สิชลแตะมือสามีด้วยความยินดี จากนั้นจึงหันขวับไปทางน้ำหวาน ทุกคนต่างคิดว่าเธอจะถามคำถามเพื่อให้น้ำหวานตอบ แต่แท้จริงแล้วสองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันต่างหาก “สิไม่ถามหวานหรอก ถามพายดีกว่า”


พายุพัดเลิกคิ้ว มองตาปริบ ๆ


“สมัยเรียนพายเคยแอบชอบใครบ้างไหม”


“ร...เรา...” จู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ให้ว่องเลยไอ้พาย” ภาณุเร่งรัด


“ม่อน” คนจนมุมตอบเสียงแผ่ว


“อะไรนะจ๊ะ”


“คนที่เราแอบชอบตั้งแต่สมัยเรียนก็...ม่อนไง” พายุพัดยกมือขึ้นลูบต้นคอ ลอบสบตาคนที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ในขณะที่เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันส่งเสียงโห่แซวไม่ขาดปาก


“อะพอ ๆ อย่าชงมากครับทุกคน เดี๋ยวร้านเราเจ๊ง” ภาณุว่าก่อนจะโยนมาร์ชเมลโลชิ้นหนึ่งให้พายุพัด


ชายหนุ่มรับมันมาแกะออกแล้วเรียกชื่ออีกคน


“ม่อน”


เพราะตั้งใจโยนให้รับได้ นคินทรจึงได้เป็นผู้ถามคำถามถัดไป


“เราถามหวานก็แล้วกัน เราอยากรู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องสมุดเล่มนั้น”


“ตายแล้ว...” ภาณุหลบหลังภรรยาแล้วพึมพำกับตัวเอง


“อ...เอ่อ...โห ถามกันตรง ๆ แบบนี้เลยเหรอ” น้ำหวานหัวเราะเก้อ ๆ มองกวาดรอบวงแล้วหยุดที่คนถาม แววตาของนคินทรยังคงความใจดีขี้เล่น แต่เธอก็เห็นความเอาจริงเอาจังอยู่ในนั้น ในที่สุดริมฝีปากก็ค่อย ๆ คายความลับ


“ก็...พี่ฝนน่ะไปค้นเจอสมุดเล่มนั้นตอนที่รีโนเวทบ้าน เลยเอามาถามเราว่ารู้จักเจ้าของสมุดไหม เราก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แฮ่...” หญิงสาวทำตลกกลบเกลื่อน


“พี่ฝนด้วยเหรอ” พายุพัดถอนหายใจ


“แล้วมันก็บังเอิญตรงที่สิไปเจอม่อนที่หอศิลป์ ทีนี้ก็เลย...”


“ย้าว!” ภาณุแทรกขึ้น


“ทั้งเรื่องในงานแต่งงาน แล้วก็เรื่องแมว”


พายุพัดพยักหน้าหงึก ๆ พลางนึกถึงเรื่องบังเอิญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในงานแต่งงานของสิชล ที่แท้มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่คิด


“นี่นายก็เอากับเขาด้วยเหรอ” นคินทรหันไปทางอวัศย์


“จังหวะมันได้ เราก็เลยตามน้ำ” สัตวแพทย์หนุ่มตอบหน้าตาย


“ง่วงวุ้ย!” ภาณุหาวหวอด ๆ คนอื่น ๆ ก็เลยพากันหาวตาม “แยกย้ายกันไปนอนดีกว่า”


“อ้าวอะไรวะ ยังคุยไม่ทันจบเลย” นคินทรเลิกคิ้วเมื่อเห็นทุกคนกำลังจะลุกขึ้น


“อะนี่ เหลืออีกสามชิ้น ถ้านายสองคนยังไม่ง่วงก็เอาไปเล่นกันต่อก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็โยนโหลใส่มาร์ชเมลโลให้พายุพัด


เห็นว่าเพื่อน ๆ แยกย้ายกันเข้านอน นคินทรที่ยังคงตื่นเต้นกับสถานที่และทิวทัศน์แปลกตาจึงย้ายไปนั่งที่ขอนไม้ปลายเนิน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงพร่างพราวไปด้วยดวงดาว ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าถึงอย่างที่พายุพัดเคยบอกไว้จริง ๆ


“เล่นต่อไหม” คนพูดน้อยกล่าวเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ


“ยังจะเล่นอีกเหรอ”


“เรามีอีก 2-3 เรื่องที่อยากถามม่อน”


“ถามมาเลยก็ได้”


“ไม่ได้สิ ต้องใช้มาร์ชเมลโลพูดความจริง”


“กลัวเราโกหกหรือไง”


พายุพัดไม่ตอบ เพียงแต่ส่งขนมชิ้นหนึ่งให้ ดังนั้นนคินทรจึงรับมา เดินไปที่กลางเนินหญ้าแล้วหันไปกล่าวกับคนที่กำลังเดินตามมา


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”


“ไกลขนาดนี้เราจะรับได้ไหมเนี่ย”


“ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องถาม” พูดจบก็โยนขนมขึ้นกลางอากาศ มองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาแล้วหัวเราะชอบใจ คิดว่าพายุพัดจะรับไม่ได้ แต่สุดท้ายก้อนกลม ๆ ก็ตกลงไปอยู่ในปากของอีกฝ่ายจนได้


ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า รีบเคี้ยวขนมแล้วกลืนก่อนจะถาม “นาย...เคยชอบฉายหรือเปล่า”


คนถูกถามไม่ได้ตอบ แต่สำหรับพายุพัด นั่นถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว


“ตานายแล้ว” นคินทรกล่าว


หนุ่มนักกีฬาพยักหน้าแล้วแกะขนม ไม่ได้โยนแต่กลับยื่นให้ที่ปากของอีกฝ่าย นคินทรใช้ปากงับขนม เคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วถาม 


“ทำไมถึงรู้”


“ถ้าในสายตาของนายมีใครสักคนอยู่ตลอดเวลา นายจะรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร กำลังรู้สึกแบบไหน”


คำพูดสื่อความในใจทำให้นคินทรที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้จำต้องหลุบตาลงมองขนมอีกหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ ริมฝีปากสีเรื่อพึมพำเบา ๆ แต่ก็พอจับใจความได้   


“ยังเหลือมาร์ชเมลโลอีกชิ้น นายจะถามหรือจะให้เราถาม”


“เราอยากถามม่อน”


เจ้าของชื่อพยักหน้าจากนั้นจึงแกะขนมออกจากซอง เตรียมจะเดินห่างออกไปแต่ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้


“อย่าไปไกลเลยนะ เรากลัวว่าถ้าเรารับไม่ได้ เราจะไม่ได้ถามคำถามนี้กับม่อน”


ดังนั้นนคินทรจึงยื่นขนมจ่อที่ปากของคนที่ได้สิทธิ์ในการถามทั้งที่ข้อมือของตนเองยังคงอุ่นเพราะสัมผัสจากมือใหญ่


เมื่อพายุพัดกินขนมจนหมดก็เงยหน้าขึ้นสบตา รั้งมือขาวแนบที่อกแล้วถามคำถามสุดท้าย


“คบกับเราได้ไหม”


นคินทรเลื่อนตาลงมองกำไลเงินรูปปลาคู่ที่ข้อมือของอีกฝ่าย จากนั้นจึงค่อย ๆ แกะมือนั้นแล้วถอยห่างออกมา ในขณะที่พายุพัดเองก็ได้แต่มองตามตาละห้อย รู้สึกใจจะขาดเอาเสียให้ได้เมื่อช่องว่างที่คั่นกลางระหว่างกันขยายกว้างขึ้นไปทุกที แต่ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา เขาก็เห็นรอยยิ้มฉายชัดอยู่ใบหน้าของอีกฝ่าย


“ม...ม่อน”


ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เพียงเสี้ยววินาทีหัวใจก็พาร่างสูงก้าวเข้าประชิดแล้วสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แนบแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปไหนอีก


“เราแพ้แล้ว” นคินทรกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหลับตาลงในอ้อมแขนแกร่ง



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 19-08-2018 11:55:18
อ่านไปลุ้นไป กลัวม่อนไม่ตอบตกลง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-08-2018 12:07:13
เขินเป็นบ้าเป็นบอ
มาเรียบ ๆ แต่ได้ใจมาก
ฮือออออ เขินจนต้องหยุดอ่านไปกรี๊ด 555
แถมตอนสุดท้ายเค้าคบกันแล้วอีก  จะไม่ทนนนนน :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-08-2018 12:09:35
ขอบคุณค่ะ
รั้ง  ใช้คำว่าหยิบดีกว่าไหมคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 19-08-2018 12:16:05
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-08-2018 12:25:35
โอ๊ย......ย เป็นวันหยุดที่ทำให้ยิ้มได้ทั้งวันเลยนะ
ทั้งบรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่บรรยยายได้เหมือนกับไปอยู่สถานที่นั้นจริงๆ
ทั้งความเขินของแต่ละคน อ่านไปยิ้มไป
ทั้งการรวมหัวของเพื่อนๆ ที่เปิดเผยออกมา รวมทั้งพี่ฝนด้วยมิน่าละถึงได้ชงจังเลย
ทั้งบทสรุปที่สมบูรณ์สุดๆ ตรงใจเรามากเลย และค่อยๆ อ่านตามคนเขียนแล้วนะ
ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ อ้อ ตรงตกกระไดพลอยโจร ผิดนะ ต้องโจน อิอิอิ
ขอบคุณอีกครั้ง
 :กอด1:  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-08-2018 12:27:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ สุดท้ายพายก็ชนะ รางวัลของผุ้ชนะคือ ได้คบม่อนเป็นแฟน

สำหรับพาย รักนี้ยืนยงมาก สิบปีที่รอคอย

สำหรับม่อน ม่อนเริ่มรักพายเมื่อไร?  เพราะตอนที่จากกันม่อนยังรักฉายอยู่เลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 19-08-2018 12:40:55
ดีใจกับสองหนุ่ม ได้คบกันซะที สงสารพายรอมานานแล้ว
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-08-2018 13:06:42
กราบขอบพระคุณท่านนายพลค่ะ มีลูกชายใจแข็งพ่อก็เลยต้องออกแรงช่วย
ดีใจกับพาย รอมานานเหลือเกิน แต่ก็อย่างว่านะ สองคนนี้พอ ๆ กัน
ถ้าไม่มีตัวช่วยเกรงว่าจะแอบรักในใจจนแก่เฒ่า ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้แน่
อันที่จริงเราก็รู้แหละว่าตอนเด็กม่อนชอบฉาย แต่ฉายไม่น่ารักไงเลยอยากให้ชอบพายมากกว่า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 19-08-2018 13:07:53
เขินมาก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2018 17:52:15
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 19-08-2018 18:59:30
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ksoleef ที่ 19-08-2018 19:45:08
กลัวม่อนไม่ตกลงมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-08-2018 00:50:38
พายเป็นคนที่มั่นคง มีความเป็นสุภาพบุรุษมาก แต่แสดงออกไม่เป็น พูดไม่เก่ง คนอื่นจะรู้ก็ต่อเมื่อโป๊ะแตกออกมาเอง เช่น ในกรณีสมุดนี่แหละ โดยรวมเราว่าพายน่ารัก และ nice ยิ่งกว่าม่อนซะอีกแฮะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 22-08-2018 13:00:29

เรื่อง ของ ถธปทฟ   ยิ่งอ่าน ยิ่งซึ้ง  อ่าน 3-4 รอบแล้วเนี่ย

ลุ้นมากกกกกกกกกกกกก 

:sad4:


พายก้อเก็บรักไว้ในใจ ..ไม่พูด ไม่บอกสักที  :เฮ้อ:

ม่อน ก้อใจแข็ง ทำซึน ....แกล้งเนียนไปตามน้ำ 

ดีนะ ได้คุณพ่อ นายพล   :กอด1:  มาช่วยเหลือ กับเพื่อนๆๆ ทุกคน


//ชอบความนักสืบ ใน นิยายรักมากกกก  เข้ากันเจงๆ 

  :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 22-08-2018 16:38:59
พายุจะร้องไห้ตามมมมแล้วนะ :mew4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 23-08-2018 18:01:55
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 25-08-2018 20:04:22
ลุ้นมาก ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ARMTORY ที่ 09-09-2018 02:36:36
เขามารอ...
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 12-09-2018 05:25:35
ในที่สุด  :hao5:

แต่ม่อนเก็บเนียนมากจริงๆ ตอนชอบฉายก็ดูไม่ออกเลยจนพายทัก ตอนชอบพายก็ดูไม่ออกเลยจนไปคุยกับน้ำหวาน ใจแข็งสุดๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 14 ไม่แข่งยิ่งแพ้ (19-08-2561 หน้า 7)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 12-09-2018 17:58:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-09-2018 06:12:27
ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก)


ภายในเต็นท์โดมแบบนอนได้สองคน นคินทรดิ้นขลุกขลักก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อความหนาของผ้านวมที่เตรียมมาไม่อาจป้องกันความหนาวเย็นได้อีกต่อไป เขาพบว่าพายุพัดยังคงอยู่ในท่าเดิมคือนอนตะแคงหนุนแขนตัวเองหันหน้ามาทางนี้ และเมื่อคืนต่างคนก็ต่างอยู่ในท่านี้ก่อนที่ผล็อยหลับไปในดวงตาของกันและกัน ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้า นึกทบทวนว่าเขาเข้ามาอยู่ในสายตาของตนตั้งแต่เมื่อไร เพราะกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ไม่สามารถลบภาพของอีกฝ่ายได้เสียแล้ว คงเป็นจริงอย่างที่พายุพัดว่า


“ถ้าในสายตาของนายมีใครสักคนอยู่ตลอดเวลา นายจะรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร กำลังรู้สึกแบบไหน”



เพราะในหัวของนคินทรตอนนี้ก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับพายุพัดอยู่เต็มไปหมด ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายชอบโกโก้ปั่นหวานน้อย ชอบให้เจ้าซ่าหริ่มหรือเจ้าตะโก้ขึ้นมานอนบนตัว ชอบทุ่มเทกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งอาจเป็นเพราะเคยอยู่ในจุดที่ต้องแบกรับความคาดหวังของผู้คนจำนวนมากมาก่อน และที่สำคัญ...ชอบแสดงความประหม่าเวลาที่อยู่ต่อหน้ากัน นึกย้อนไปถึงตอนที่หนุ่มนักกีฬาผู้นี้รวบรวมความกล้ามาสารภาพความในใจทีไรก็อดยิ้มไม่ได้สักที เพราะนับตั้งแต่พายุพัดบอกว่าจะจีบ นคินทรก็มักได้เห็นบางแง่บางมุมภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยที่อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกกับใคร...


ครูหนุ่มปิดสมุดการบ้านของนักเรียน วางปากกาแล้วเก็บตราประทับรูปสัตว์ลงในกล่องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมากดรับสาย เมื่อแนบหูฟังยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงกีตาร์โปร่งบรรเลงเพลงที่ไม่ได้ยินนานแล้ว นคินทรลุกขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินผ่านกรอบประตูไปหยุดยังระเบียงอย่างที่เคยทำทุกคืน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเสียงน้ำในลำธาร เสียงลมพัดต้นไม้ไหวเอนเสียดสีกัน และเสียงแมลงกลางคืนคือเพลงเพราะที่ธรรมชาติขับกล่อมให้นอนฝันดี แต่วันนี้กลับไพเราะสู้สุ้มเสียงของใครบางคนไม่ได้เลยสักนิด เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้าง ที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกปรากฏดาวหนึ่งดวงส่องแสงทอประกาย ไม่รู้ว่าจะใช่ดาวดวงเดียวกันกับที่คนปลายสายใช้อธิษฐานตามเนื้อหาตามของบทเพลงที่เขากำลังขับร้องอยู่หรือไม่
เจ้าซ่าหริ่มที่เดินตามมาพันแข้งพันขาทำให้นคินทรต้องนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น เอนหลังพิงกับลูกกรงระเบียง พลันแม่แมวตัวอ้วนก็กระโดดขึ้นมาย่ำอยู่บนตัก เมื่อเขาเกาคางให้ มันก็นอนกวัดแกว่งหางอย่างสบายอารมณ์


“ม่อน ฟังอยู่หรือเปล่า” พายุพัดเอ่ยขึ้นเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายลอยละล่องไปกับสายลมหนาว ได้ยินอีกฝั่งตอบ “อือ” ในลำคอ


“ถ้าตอนนั้นเราไม่ย้ายโรงเรียน วันที่นายกับเพื่อน ๆ ไปดอยเสมอดาวกัน เราก็คงได้ฟังเพลงนี้สินะ” นคินทรถามพลางใช้ปลายนิ้วเกี่ยวหางเจ้าซ่าหริ่มไปพลาง


“ถ้าม่อนไม่ย้ายโรงเรียน บางทีพวกเราอาจจะไม่ได้ไปดอยเสมอดาว และเราก็อาจจะไม่ได้เล่นเพลงนี้ก็ได้ เพราะถ้าม่อนยังอยู่ เราอาจจะไม่ได้ไปเรียนในกรุงเทพฯ”


“ทำไมล่ะ”


“บางทีความเป็นเด็กก็ทำให้ตัดสินใจทำอะไรง่ายไปหมด ไม่ทันได้นึกถึงผลในระยะยาว ไม่กลัวในสิ่งที่ผู้ใหญ่กลัว”


“นี่เราเกือบเป็นสาเหตุให้ทีมชาติไทยไม่มีนักว่ายน้ำชื่อพายุพัดเหรอเนี่ย” นคินทรหัวเราะ


“ม่อน...เราจริงจัง” นักกีฬาหนุ่มกล่าวเสียงขรึม 


“ล้อเล่นหรอกน่า”


“แต่เราจริงจัง...เราจริงจังกับม่อนนะ”


คำพูดของพายุพัดทำคนฟังชะงัก จู่ ๆ ความรู้สึกเห่อร้อนก็แผ่ซ่านจากลำคอลามไปทั้งสองแก้ม ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นเกาต้นคอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พอจะนึกสีหน้าคนพูดออก   


“ฟังเราอยู่หรือเปล่า”


“ฟ...ฟังอยู่” นคินทรกลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจถาม “นายคิดแบบนั้น...ทั้งที่เราไม่...”


“ไม่ได้มีเราอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม”


ไร้คำตอบจากริมฝีปากบาง ถึงประโยคนั้นจะฟังรุนแรงไปสักหน่อย แต่ความหมายก็ไม่ต่างจากที่นคินทรคิด


“เราตั้งใจว่าจะบอกให้ม่อนรู้ว่าเราคิดยังไงหลังกลับจากแข่งว่ายน้ำคราวนั้น ส่วนต่อจากนั้นจะเป็นยังไงไม่ได้เตรียมใจไว้เลย แล้วมันก็ดันมามีเรื่องสมุดเสียก่อน พอเวลาผ่านไป...ได้มาเจอกันอีกครั้งก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา”


“กลัวอะไร”


“กลัวว่าถ้าบอกไปม่อนจะเกลียดเรากว่าเดิม”


นคินทรถอนหายใจเบา ๆ ด้วยรู้สึกว่าการพบกันในคราวนี้นับเป็นความโชคดี ไม่เช่นนั้นความรู้สึกผิดคงจะติดค้างอยู่ในใจของพวกเขาทั้งคู่ตลอดไป...


...


เจ้าของร้านกาแฟในสวนชะเง้อมองเมื่อซูบารุ ฟอเรสเตอร์เข้าจอดเทียบที่ริมรั้ว หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเปิดประตูลงจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เขาไม่ได้หยุดรออีกคน เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้านก็ตรงเข้าไปหาลูกชายของเธอซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ที่โซฟา อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นบนตักแล้วทักทายด้วยวิธีแตะมือซึ่งเป็นวิธีเฉพาะที่รู้กันสองคน   


“ทำไมบังเอิญมาด้วยกันได้จ๊ะ” น้ำหวานกล่าวเสียงใส เดินออกจากเคาน์เตอร์มานั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม


“ไม่ได้บังเอิญ” นคินทรตอบอ้อมแอ้ม


“คุยกันเข้าใจแล้วเหรอ” เธอกระซิบ เห็นเพื่อนพยักหน้าก็ยิ้มแก้มแทบปริ มองเลยไปยังเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เพิ่งเปิดประตูตามเข้ามา


เขานั่งลงที่หน้าเคาน์เตอร์กวาดตาไปรอบ ๆ แล้วถาม “ฉายไม่อยู่เหรอหวาน”


“คิดถึงหรือไง” เจ้าของชื่อลงบันไดมาพอดี


“ไม่เห็นก็ถาม” พายุพัดว่า มองตามร่างสูงที่เดินมาหยุดหลังเคาน์เตอร์


“เบียร์สักกระป๋องไหม” ภาณุปรายตามองอีกคนแล้วจึงกล่าวต่อ “แต่มาด้วยกันแบบนี้คงไม่ต้องซดเบียร์ประชดชีวิตแล้วมั้ง”


“เอาโกโก้ปั่น” หนุ่มนักกีฬาตอบกระชับเช่นเคย


“เดี๋ยวหวานทำให้นะ”


“แม่นั่งพักเถอะจ้ะ เดี๋ยวพ่อทำเอง จะได้ลองวิชาด้วย ให้ไอ้สองตัวนี่แหละเป็นหนูทดลอง”


“โกโก้ปั่นของพาย สูตรเดียวกับม่อนนะจ๊ะพ่อ” น้ำหวานร้องบอกสามี


ภาณุแสร้งมองอย่างหมั่นไส้ในขณะที่ปากพึมพำเบา ๆ “อะไรวะ มีส่งมีสูตร” จากนั้นจึงหันไปหยิบส่วนผสมต่าง ๆ ออกจากตู้เย็น


“ทำ ๆ ไปเถอะน่า ดีกว่าขอเบียร์กระป๋องที่ซ่อนไว้นะ”


“อ...ไอ้พาย!” ร่างสูงหันขวับ ยิ่งเห็นหน้านิ่ง ๆ แต้มด้วยรอยยิ้มแล้วนึกอยากเอาช้อนเคาะกบาลนัก


“ซ่อนอะไรเหรอจ๊ะพ่อ” 


“เปล่าจ้ะแม่ ไอ้พายมันบอกว่าเอาน้มข้นกระป๋อง...กี่ช้อนนะพาย” คนพูดทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“พ่อใช้แก้วตวงสิ จะใช้ช้อนตักทำไม”


“จ้ะแม่...” หันไปขานรับเสียงหวานแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่สูตรม่อนนี่มันยังไง”


“ปกติมาด้วยกันทีไร พายก็สั่งเหมือนม่อน แม่สังเกตว่าพายทานเหลือบ่อย ๆ เลยคิดว่ามันน่าจะหวานไป พอหลัง ๆ ม่อนก็เลยบอกให้ลองลดความหวานลง จากที่แม่ใช้แก้วตวงนมข้นสามสิบมิลลิตรก็ลดลงมาเหลือแค่ยี่สิบห้าแทน แล้วพายก็ทานหมดทุกครั้ง แม่ก็เลยเรียกสูตรนี้ว่าหวานยี่สิบห้าจ้ะ”


“มีสตอรี” ภาณุกล่าวกับคนตรงหน้าก่อนจะเริ่มตวงส่วนผสมใส่แก้ว คนจนเข้ากันแล้วเทลงปั่นรวมกับน้ำแข็ง ครู่หนึ่งจึงได้ออกมาเป็นโกโก้ปั่นสองแก้ว


นคินทรเดินมานั่งข้าง ๆ พายุพัด รับแก้วทรงสูงที่อีกฝ่ายเลื่อนให้ก่อนจะก้มลงดูดเกล็ดน้ำแข็งเย็นเฉียบ


“เป็นไง” ภาณุยืนลุ้น


“อือ อร่อยดี”


“ไม่ได้ตอบเพราะเกรงใจนะม่อน” น้ำหวานถามเมื่อเดินมาหยุดข้างผู้เป็นสามี


“อร่อยจริง ๆ เหมือนที่หวานทำเป๊ะ”


“ไม่หวานไปใช่ไหมพาย” น้ำหวานหันไปถามอีกคน


พายุพัดส่ายหัวขณะดูดโกโก้ปั่น 


“สงสัยต้องลองเปลี่ยนสูตรตามใจคนสั่งดูบ้างแล้วละ เพื่อสุขภาพของลูกค้า เนอะพ่อ”


“จะลดความหวานของเครื่องดื่มก็ลดไป แต่อย่าลดความหวานที่แม่มีให้พ่อก็แล้วกัน” ภาณุกระเซ้า ทำเอาภรรยาอายม้วน


“พ่อน่ะ มาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าพายกับม่อนได้ยังไง” ว่าแล้วมือเล็กก็ทุบลงเบา ๆ กลางหน้าอกก่อนจะเดินหนี


ภาณุมองตามร่างบางพลางยิ้มมุมปาก ยื่นหน้ากระซิบกับพายุพัด “จะยืมไปใช้ก็ได้นะ ไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์” ว่าแล้วก็จรลีตามไปแหย่คนเขินต่อ


เมื่ออยู่กันลำพัง จู่ ๆ คนพูดน้อยก็เอ่ยขึ้น


“ไม่เห็นรู้เลย”


“เรื่องอะไร”


“เรื่องโกโก้ปั่น”


นคินทรวางแก้วลงแล้วตอบ “เห็นกินเหลือบ่อย ๆ หวานก็เป็นกังวล คิดว่าตัวเองทำไม่อร่อย เราเลยเสนอวิธีนี้”
พายุพัดฟังแล้วยิ้ม


“ยิ้มอะไร”


“ดีใจที่ม่อนก็สังเกตเราด้วย”


“มันคุณสมบัติที่ดีของนักวิทยาศาสตร์ต่างหาก” นคินทรกล่าวพลางเบนหน้าไปทางอื่น


ตาคมมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายแล้วตัดสินใจกล่าวแม้จะค่อนข้างกระอักกระอ่วน “แล้วนักวิทยาศาสตร์...อยากเข้ามาสำรวจในใจเราด้วยไหม”


นคินทรก้มลงยิ้มกับแก้วโกโก้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เพียงแต่กล่าวสั้น ๆ “ไม่เห็นต้องฝืนเลย”


...


สายลมหนาวพัดพลิ้วพากระดิ่งลมที่ใต้ชายคาแกว่งไกวกระทบกันจนเกิดเสียงดังกังวานทำลายความเงียบเชียบภายในอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยหนังสือ พายุพัดเดินไปตามช่องว่างระหว่างชั้นวางหนังสือที่สูงท่วมหัว จนเมื่อพบคนที่กำลังตามหาจึงหยุด ดวงตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นกวาดมองไปบนชั้นเพื่อหาหนังสือที่ถูกใจ


มือขาวเลื่อนขึ้น ตั้งใจจะหยิบเล่มหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไป แต่ใครบางคนที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็สืบเท้าเข้าประชิดแล้วดึงมันออกมาเสียก่อน


นคินทรหมุนตัวกลับโดยอัตโนมัติ มองใบหน้าเขรึมที่พักนี้มักเจือด้วยรอยยิ้มก่อนจะรับหนังสือที่เขาส่งให้


“ขอบใจนะ” พูดจบก็เปิดหลังสือออกอ่าน


“มาที่นี่เกือบทุกวันไม่เบื่อเหรอ” หนุ่มนักกีฬาถาม


คนถูกถามยังคงไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษที่เก่าจนเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลือง ในที่สุดริมฝีปากก็ขยับอีกครั้ง “แล้วนายล่ะ มาหาเราแทบทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”


“ก็...เราชอบม่อน อยากมาเจอ จะเบื่อได้ยังไง”


“ตรงไปไหม”


“ก็ม่อนอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”


คนฟังรีบพลิกหน้าถัดไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอใช้ปลายนิ้วม้วนมุมกระดาษเสียจนเป็นรอย “ถ้าอย่างนั้นเราก็เหมือนกัน”


“เหมือนกัน...หมายถึงชอบที่นี่ หรือชอบเราเหมือนกัน”


นคินทรชะงัก แกล้งปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยคิดว่าพายุพัดคงมองไปทางอื่นดังเช่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายต้องรวบรวมความกล้าเพื่อพูดในสิ่งที่ไม่เคยพูด แต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คาด เมื่อดวงตาคู่นั้นยังคงมองมาราวกำลังรอคอยคำตอบ


“เราชอบที่นี่”


พายุพัดพยักหน้า เขยิบใกล้เข้าไปแล้วเงยหน้ามองหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งอยู่เหนือศีรษะของอีกฝ่าย เมื่อใกล้กันขนาดนั้น นคินทรจึงยกหนังสือขึ้นคั่นกลางระหว่างปลายจมูกของตนกับดวงหน้าเรียบนิ่งที่ห่างไปไม่ถึงคืบ พลันหัวใจก็เต้นรัวเมื่อมือใหญ่เลื่อนผ่านช่วงบ่าของตนเพื่อหยิบหนังสือ กระนั้นยังได้ยินเขาเอ่ยประโยคสั้น ๆ “ถ้าตอบว่าชอบเราก็ไม่มีใครปรับแพ้หรอกนะ”


“ได้หนังสือแล้วก็ถอยออกไปสักที” ครูหนุ่มบ่นงึมงำจากนั้นจึงใช้มือที่ถือหนังสือดันอกกว้างให้ออกห่าง ได้ยินเอีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ


“ขำอะไร” นคินทรถาม ยิ่งเห็นไม่มีหนังสือสักเล่มในมือของพายุพัดยิ่งขมวดคิ้วหนัก


“เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มบอกพลางถอยไปยืนกอดอกพิงชั้นวางหนังสือ “ตอนที่เรียนที่เชียงใหม่มีใครมาจีบบ้างหรือเปล่า”


นคินทรยังคงยกหนังสือค้างไว้เผยให้เห็นเพียงดวงตา ชายหนุ่มตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย


“ใครเหรอ” เห็นนคินทรไม่ตอบสักที พายุพัดจึงเอื้อมมือดึงหนังสือออกแล้วสอดเก็บที่เดิม


“เขาเป็นเพื่อนที่โรงเรียนเก่า สอบติดที่เชียงใหม่ด้วยกัน แต่เขาเรียนคณะสัตวแพทย์น่ะ”


“แล้วม่อน...คบกับเขาหรือเปล่า” ปากถาม แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นกลัวในคำตอบ


นคินทรมองคนตรงหน้า เห็นความเป็นกังวลที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้วนึกอยากแกล้ง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง ได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ


พลันใบหน้าเคร่งขรึมของพายุพัดก็ปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง ดึงมือมาอีกฝ่ายกุมไว้แล้วกล่าว “ขอบคุณนะที่ให้โอกาสเรา”


คนฟังมิได้ตอบ เพียงแต่หลุบลงมองข้อมือใหญ่คล้องกำไลเงินรูปปลาคู่



นคินทรมองคนหลับไม่วางตา ยกมือขึ้นเสยผมสีดำขลับที่ตกลงมาปรกหน้าผาก ดวงตาไล่มองตั้งแต่คิ้วหนาเหนือเปลือกตาปิดสนิท ต่อด้วยสันจมูกกระทั่งถึงริมฝีปากได้รูป ทุกองค์ประกอบอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัวรวมกันเป็นใบหน้าแบบที่พิทักษ์และเพื่อนครูคนอื่น ๆ ชมนักชมหนาว่าหล่อเหลา แต่ในสายตาของเขากลับเป็นใบหน้าเรียบนิ่งค่อนไปทางดุที่สมัยเรียนไม่เคยนึกชอบเลยสักนิด อีกทั้งบุคลิกภายนอกยังยากจะคาดเดา ต่างกับภาณุที่ไม่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไรก็มักแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตาเสมอ ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามแนวคิ้วเรื่อยลงมาถึงผิวแก้มแล้วหยุดที่กลีบปากอุ่น อดคิดไม่ได้ว่าพายุพัดจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเวลาที่เขายิ้มนั้นน่ามองกว่าตอนที่วางหน้าขรึมเป็นไหน ๆ


คนมองถอนใจเบา ๆ เห็นอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวนคินทรจึงรีบดึงมือกลับแล้วหลับตาลงทันที


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-09-2018 06:32:40
(ต่อค่ะ)

พายุพัดมุ่นคิ้วเมื่อถูกรบกวน เมื่อเขาปรือตาขึ้นก็พบอีกคนนอนหลับตาพริ้ม นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องดวงหน้าหมดจด แม้จะบอกว่านคินทรคือคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเขา แต่ก็ไม่กล้ามองอย่างเต็มตาเลยสักครั้ง หากไม่เพราะเขาเองที่เขินอาย ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นอยู่ไกลเหลือเกิน แต่นับจากนี้จะเฝ้ามองใบหน้านี้ให้สมกับที่คิดถึงมาแสนนาน


ชายหนุ่มเผลอกดมุมมากเป็นรอยยิ้มบางเบา เพิ่งรู้ว่านคินทรมีไฝเล็ก ๆ ที่ข้างสันจมูก มันจางเสียจนหากไม่อยู่ใกล้กันขนาดนี้และไม่สังเกตดี ๆ ก็คงไม่เห็น หน้าคมเลื่อนเข้าไปใกล้ แต่ก็ต้องหยุดเพราะโหลใส่มาร์ชเมลโลที่อีกฝ่ายใช้วางคั่นตรงกลางระหว่างกัน ดวงตาจับจ้องริมฝีปากที่เคยเกือบจะได้สัมผัสกันมาแล้วหนหนึ่งเพราะความเผลอไผล พลันคนหลับก็ขยับตัวคว้าโหลใส่ขนมไปกอดไว้ราวกับเป็นหมอนข้าง พายุพัดยิ้มน้อย ๆ ขยับใกล้เข้าไปอีก แต่แทนที่จะจุมพิตบนกลีบปากสีเรื่อดั่งใจหมาย กลับเลื่อนขึ้นแตะจูบบนจุดเล็ก ๆ ข้างสันจมูก เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะยอมถอนริมฝีปากแล้วถอยห่างออกมามองสำรวจใบหน้านั้นอีกครั้ง ลมหายใจและสัมผัสชวนจั๊กจี้ของเขาคงสร้างความรำคาญ นคินทรจึงได้พลิกตัวหันหลังให้เสียแล้ว


ชายหนุ่มหลับตาปี๋กอดโหลมาร์ชเมลโลเอาไว้แน่น เมื่อจู่ ๆ ความหนาวเย็นก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณสันจมูกและกำลังซ่านซึมกระจายไปทั่วใบหน้า


....


เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ด้านนอกปลุกให้คนที่ยังคงนอนซุกตัวอยู่ในเต็นท์ทยอยตื่นขึ้นทำธุระส่วนตัวก่อนจะไปยืนรอชมแสงแรกของวันที่จุดชมวิวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ อวัศย์ฉายไฟเดินนำเพื่อน ๆ ขึ้นไปบนเนินพลางมองหาที่เหมาะ ๆ ในที่สุดก็หยุดที่บริเวณซึ่งยังไม่มีคนจับจอง


“เมื่อคืนไปไหนกันมาวะ ดึกแล้วยังไม่เห็นกลับมาที่เต็นท์” ภาณุเอ่ยทั้งที่อ้าปากหาว


“ยังไม่ง่วงก็เลยเดินมานั่งดูดาวแถวนี้” พายุพัดตอบสั้น ๆ


“แล้วยังไงต่อ” อวัศย์กล่าวพร้อมกับกอดคอคนพูดน้อย แล้วรั้งเข้ามาใกล้ ๆ หมายจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้


“ก็ไม่ยังไง”


“นั่งคุยกันเฉย ๆ” นคินทรบอกพลางใช้สองมือถูกันไปมาเพื่อคลายความหนาว


“คุยเรื่องอะไรนักวะตั้งครึ่งค่อนคืน” นายสัตวแพทย์หนุ่มยังไม่ละความพยายาม


“เรื่องทั่ว ๆ ไป” พูดจบพายุพัดก็รั้งแขนอีกฝ่ายออก


อวัศย์ยักคิ้วให้ภาณุอย่างรู้กัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง “เหรอ!!!”


สองคนที่โดนสอบสวนพร้อมใจตอบ “อือ” แล้วแยกย้ายไปคนละทิศละทาง แต่เมื่อเดินไปได้หน่อยพายุพัดก็วกกลับมาเดินตามนคินทรอยู่ดี


ร่างสูงเดินมาหยุดข้างคนที่กำลังกอดอกทอดตามองลำแสงเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นตรงทิวเขาด้านทิศตะวันออก   


“เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกชอบเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน” เห็นนคินทรเหลียวมองด้วยแววตาสงสัยจึงกล่าวต่อ “ถึงฟ้าจะมืดแต่ก็รู้ว่ามีนายอยู่ข้าง ๆ กัน”


คนฟังยิ้มให้แล้วเบนสายตาไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นแนวเขาที่ถูกโอบด้วยทะเลหมอกจนมองไม่เห็นแม่น้ำน่านซึ่งอยู่เบื้องล่าง “ถ้าอย่างนั้น...วันนี้ก็คงเป็นวันแรกที่เรารู้สึกชอบเวลาพระอาทิตย์ขึ้น”


“ทำไมล่ะ”


“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”


“ต้องมีสิ เพราะมันเป็นคุณสมบัติที่ดีอีกข้อของนักวิทยาศาสตร์นี่นา”


นคินทรหัวเราะแต่ไม่ยอมตอบ ใครไปจะบอกว่าที่เขาเริ่มชอบช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเป็นเพราะมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ และนั่นไม่ได้เป็นเพียงภาพฝัน ซ้ำจากนี้ไปจนตลอดทั้งวันก็จะมีเรื่องของพายุพัดคอยมาวนเวียนให้คิดถึง


....


ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปยังฝั่งทิศตรงข้ามกับเมื่อช่วงเช้าก็ได้เวลาที่ทุกคนต้องช่วยกันเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางกลับ พวกผู้หญิงช่วยกันจัดอุปกรณ์ทำครัวใส่ลงในกล่อง ส่วนอวัศย์ ภาณุ นคินทรช่วยกันเก็บเต็นท์และขนขึ้นรถ ด้านพายุพัดรับหน้าที่ดูแลเจ้าหนูฟีฟ่าที่ติดเขาแจ ดังนั้นวันนี้ฉลามหนุ่มจึงต้องแปลงร่างเป็นม้าให้หลานขี่อีกหนึ่งวัน   


“ดูสิ คลาดสายตาเดี๋ยวเดียวก็พากันเล่นเสียแล้ว สองคนนี้ทำตัวเหมือนเด็กจริง ๆ” สิชลกล่าวพลางชี้ให้น้ำหวานดูสามีของเธอที่กำลังวิ่งไล่หลังเพื่อนรักขึ้นไปบนเนินเขา


“นั่นสิ ไม่รู้ว่าคบกันมายาวนานขนาดนี้ได้ยังไง ทั้งที่นิสัยไม่น่าจะไปด้วยกันได้เลย คนหนึ่งเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแถมเอาแต่ใจตัวเอง ส่วนอีกคนก็ยอมเขาเสียหมดทุกเรื่อง” น้ำหวานว่า “ฉายน่ะทำเรื่องน่าให้โกรธตั้งหลายครั้ง แต่ม่อนก็ไม่เคยโกรธเลย อยู่ด้วยกันทีไรก็มีแต่เสียงหัวเราะ”


“ในชีวิตหนึ่งมีเพื่อนแบบม่อนสักคนสิว่าคุ้มแล้วละ สิเพิ่งรู้ว่าที่ม่อนยอมถอนตัวจากการรำเปิดกีฬาสี แล้วก็ที่เสนอให้ฉายเป็นคนรับผิดชอบป้ายผ้าเพราะตอนนั้นม่อนรู้ว่าจะต้องย้ายโรงเรียน เลยพยายามทำให้ฉายมีความรับผิดชอบ อีกหน่อยเวลาที่ไม่มีม่อน ฉายจะได้ดูแลตัวเองได้”


พายุพัดที่บังเอิญได้ยินเข้าจึงหยุดยืนแล้วมองขึ้นไปบนเนิน เห็นสองคนเล่นสนุกเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเรียนมัธยมก็อดคิดไม่ได้ว่าหากวันนี้ข้างกายของนคินทรคือภาณุ ตัวเขานั้นจะเป็นเช่นไร...


เมื่อเก็บของขึ้นรถเรียบร้อย ทุกคนก็กล่าวคำอำลาแล้วแยกย้ายกันบนดอยเสมอดาว นคินทรรู้สึกถึงความผิดปกติตั้งแต่ซูบารุ ฟอเรสเตอร์เคลื่อนออกจากพื้นที่อุทยาน เพราะเจ้าของรถดูจะนิ่งเงียบจนผิดสังเกต ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น


“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบ”


พายุพัดถอนใจเบา ๆ พลางส่ายหัว แล้วหันมาถาม “ม่อนยากให้เราพูดเยอะ ๆ เหรอ หรือว่าอยากให้เราเล่าเรื่องตลกให้ฟัง”


คนฟังมุ่นคิ้ว “ทำไมเราต้องอยากให้นายทำอะไรแบบนั้นด้วย”


“จะได้เหมือนฉายไง ใครอยู่ด้วยก็มีแต่รอยยิ้ม ถ้าม่อนชอบแบบนั้นเราจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง”


นคินทรโคลงหัวแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ในที่สุดก็พูดประโยคที่เคยพูดไปแล้วหนหนึ่ง “ไม่เห็นต้องฝืนเลย”


พายุพัดหันมองคนข้าง ๆ รู้สึกผิดที่พยายามยัดเยียดความรู้สึกให้อีกฝ่าย “เราขอโทษ เราแค่อยากให้ม่อนยิ้มเวลาที่อยู่กับเรา เหมือน...เวลาที่ม่อนอยู่กับฉาย”


คนฟังพรูลมหายใจแล้วหันมากล่าว “ตกลงเราเป็นแฟนกับฉายหรือเป็นแฟนกับพายกันแน่ นายไม่เห็นต้องทำอะไรแบบฉายเลย ถ้าอยากให้เรายิ้ม นายก็ยิ้มก่อน...เท่านั้นเอง” เห็นอีกฝ่ายยิ้มออกนคินทรจึงเสมองไปทางอื่น ปล่อยให้พายุพัดแทรกนิ้วทั้งห้าเกี่ยวรัดเรียวนิ้วของตนแล้วรั้งไปวางบนตัก


“บอกให้เรายิ้มแต่ตัวเองมองไปทางอื่นแล้วจะเห็นได้ยังไง”


นคินทรหันมาสบตาแล้วต่างคนก็ต่างยิ้มให้กัน...


....


“ยังไม่กลับได้ไหม”


เพราะคำถามสั้น ๆ กับสายตาเว้าวอนของพายุพัด ทำให้คนใจอ่อนยอมค้างที่ปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์อีกคืน ระหว่างรอเจ้าของห้องอาบน้ำ นคินทรถือวิสาสะหยิบกล่องกระดาษที่พายุพัดเคยตามไปเอาคืนถึงบ้านพักครูซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงที่พื้นไม้ยกสูงวางทับด้วยฟูกที่นอนอีกชั้นหนึ่ง วางกล่องกระดาษลงบนตักแล้วเปิดฝาออก พบว่าข้างในมีปลอกคอห้อยกระพรวนเก่า ๆ อยู่สองเส้นกับกระดาษโน้ตเล็ก ๆ เขียนด้วยลายมือ ซึ่งทำให้รู้ว่ามันคือกระพรวนห้อยคอแมวที่เคยซื้อให้อีกฝ่าย อีกทั้งยังมีภาพถ่ายของเขาและเพื่อน ๆ ที่ถ่ายไว้เมื่อครั้งพิธีเปิดกีฬาสีสมัยม.สี่ ใต้ภาพถ่ายเหล่านั้นมีเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาว่ายน้ำรายการหนึ่ง


“ยังเก็บไว้อีกเหรอ” นคินทรถามทันทีที่เห็นหนุ่มนักกีฬาเดินออกมาจากห้องน้ำ


พายุพัดหย่อนผ้าเช็ดตัวลงในตะกร้าก่อนจะหันมา เมื่อเห็นปลอกคอแมวในมือของอีกฝ่ายจึงกล่าว “จะให้เราทิ้งของที่ม่อนให้ได้ยังไง” ว่าแล้วก็เดินมานั่งลงกับพื้นเท้าคางเงยหน้ามองอีกฝ่าย


นคินทรวางปลอกคอคืนกล่องแล้วหยิบเหรียญรางวัลคล้องริบบิ้นสีธงชาติไทยขึ้นมาพิจารณา คงเพราะเป็นเหรียญจากรายการแข่งเล็ก ๆ พายุพัดจึงเก็บมันไว้ในกล่องแทนที่จะวางรวมกับเหรียญอื่น ๆ ที่ได้รับจากรายการแข่งขันรายการว่ายน้ำระดับประเทศภายในตู้


“เหรียญนี้เราตั้งใจแข่งเพื่อจะเอามาให้ม่อน”


“เอามาให้เรา?”


หนุ่มนักกีฬาพยักหน้า “แลกกับปลอกคอแมวนั่นไง”


นคินทรเลื่อนตาจากเหรียญทองในมือมองผู้เป็นเจ้าของ อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดพายุพัดจึงทำอะไรให้เขามากมายเหลือเกิน


“ชนะจริง ๆ ด้วยสินะ” นคินทรอมยิ้ม


“ทำไมตอนนั้นถึงเชื่อว่าเราจะชนะ”


“อืม...ไม่รู้สิ ก็แค่คิดว่าคนอย่างนายถ้าตั้งใจแล้วก็น่าจะทำสำเร็จ หรือถ้าไม่ชนะ เราก็แค่เลี้ยงข้าวปลอบใจก็เท่านั้นเอง”


คนฟังยักหน้า ยืดตัวขึ้นแล้วดึงกล่องที่ตักของอีกฝ่ายวางบนเตียง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน “ไปดูดาวกัน”


ได้ยินดังนั้นนคินทรจึงไม่รีรอ เดินตามเจ้าของบ้านขึ้นบรรไดวนซึ่งมีประตูเปิดสู่ดาดฟ้า ทันทีที่ประตูเปิดออก นคินทรแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อพบว่าบนท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยดวงดาว ให้ความรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่ปลายเนินบนดอยเสมอดาวไม่มีผิด... 


พายุพัดอาศัยแสงเพียงน้อยนิดในยามที่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ มีการแจ้งเตือนอะไรบางอย่างมองคนที่นอนหันปลายเท้าไปในทิศตรงข้ามกันแต่ศีรษะนั้นยังอิงอยู่กับบ่าของตน ดวงตาทอประกายสดใสจับจ้องปลายนิ้วที่กำลังลากผ่านจุดเล็ก ๆ บนผืนฟ้า ในขณะที่ดวงตาของเขาเองก็ไม่อาจละจากเสี้ยวหน้าที่แต้มด้วยรอยยิ้มนั้นไปไหนได้


“อยู่ไหนน้า…” นคินทรพึมพำ


“หาอะไรเหรอ”


“กลุ่มดาวปลาน่ะ”


“อยู่ตรงไหนเหรอ” คนถามถามทั้งที่ยังเหลียวมองดวงหน้าอาบแสงดาว


“มองบนฟ้าสิ มองหน้าเราแล้วจะเห็นไหม”


เมื่อได้ฟังดังนั้นพายุพัดจึงแก้เก้อด้วยการคว้าปลายนิ้วอีกฝ่ายย้ายไปวางอีกตำแหน่งหนึ่ง “เราเห็นแต่กลุ่มดาวสิงโต”


“ไหน” นคินทรถาม เผลอขยับเข้าหา หวังจะเห็นในจุดเดียวกับที่อีกคนเห็น


“ตรงนั้นไง” ว่าแล้วพายุพัดก็เริ่มลากปลายนิ้วของนคินทรไปยังตำแหน่งต่าง ๆ กระทั่งหยุดที่ดาวดวงที่สว่างที่สุด “ตรงนี้คือหัวใจสิงโต”


คนฟังพยักหน้าแล้วเลื่อนตามองกำไลที่ข้อมือของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตอนแรก...เราคิดว่ากำไลวงนี้เป็นของมีนเสียอีก เห็นสวมติดตัวตลอดเลย”


พายุพัดชะงัก เหลียวสบตากันพลางยิ้มน้อย ๆ คลายมือออกแล้วโน้มหน้าเข้าไปจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวแก้มของอีกฝ่ายที่ห่างกันแค่ลมหายใจกั้น


“ไม่ใช่กำไลของมีน แต่เป็นของคนเกิดราศีมีนต่างหาก”


“นึกยังไงถึงไปซื้อ”


“ก็เห็นม่อนอยากได้ เราก็เลยซื้อเก็บไว้ให้”


“ทำไมชอบทำอะไรให้เรานักนะ” นคินทรบ่นพึมพำ


คนฟังไม่ได้บอกเหตุผล เพียงแต่ถามกลับ “ตอนนี้อยากเอาคืนแล้วหรือยัง”


“นายสวมไว้นั่นแหละดีแล้ว”


“ม่อนคิดว่าเรากับมีน...”


พายุพัดยังพูดไม่ทันจบ นคินทรก็เอ่ยขึ้น “นั่นไง”


“อะไร” ปากถาม หากแต่ดวงตาไม่อาจละจากคนตรงหน้า


“กลุ่มดาวปลา”


“ไม่เห็นเลย”


“เพราะไม่ใช่กลุ่มดาวเด่นไง ไม่สังเกตดี ๆ ก็ไม่เห็นหรอก” นคินทรเริ่มอธิบายโดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่


“แต่ถ้าให้เราเลือกเป็นดาวบนฟ้า เราก็อยากเป็นกลุ่มดาวปลานี่แหละ”


“มีใครเขาทำกัน มีแต่เขาจะอยากเป็นดาวสำคัญลอยเด่นอยู่บนฟ้า ใครมองใครก็เห็น”


“สำหรับเรา...แค่ม่อนเห็นก็พอแล้ว”


“ไปนอนดีกว่า เราง่วงแล้ว” พูดจบนคินทรก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยวสิ” เจ้าของร่างสูงลุกตามมาคว้าข้อมือของอีกฝ่าย “ม่อนไม่อยากได้กำไลวงนี้คืนจริง ๆ เหรอ” พายุพัดถามย้ำ นึกน้อยใจอยู่นิด ๆ ที่นคินทรไม่คิดจะรับของที่เคยอยากได้คืน


“เราบอกแล้วไงว่านายสวมไว้แบบนี้น่ะดีแล้ว” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “เวลาเราเห็นมัน เรา...จะได้นึกถึงว่านายทำอะไรให้เราบ้าง อีกอย่าง...ถ้าขืนเราสวมไปโรงเรียน เด็ก ๆ เห็นเข้า มีหวังได้ทำตามแน่ ๆ”


พายุพัดยิ้ม “อย่างนั้นถ้าเป็นวงที่เล็กลงมาหน่อย ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”


เพราะความมืดที่โอบล้อมรอบตัวทำให้นคินทรไม่อาจมองเห็นบางสิ่งในมืออีกฝ่ายได้ถนัดนัก แต่คำพูดของพายุพัดเมื่อครู่ ทำให้เขาต้องชักมือกลับแล้วเอ่ยขึ้น “นายรู้ใช่ไหมว่าวันหนึ่งเราอาจต้องไปจากที่นี่”


“เรารู้”


“แล้วทำไมถึงยัง...”


“เราไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ไม่รู้เลยว่าจะอดทนเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันได้มากแค่ไหน แต่ถ้ามีม่อนเป็นกำลังใจ เราสัญญาว่าเราจะไม่ยอมแพ้” พูดจบก็ดึงมือคนฟังขึ้น “ม่อนจะคอยเป็นกำลังใจให้เราเรื่อย ๆ ไปได้ไหม”


นคินทรไม่ได้ตอบเพียงแต่บีบมือใหญ่ที่เกาะกุมมือของตนเองไว้แทนคำมั่นสัญญา ชั่วอึดใจแหวนวงหนึ่งก็เคลื่อนมาหยุดที่โคนนิ้วซึ่งไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าหลวมหรือแน่นจนเกินไป


“ไม่ว่าม่อนจะอยู่ที่ไหน แหวนวงนี้จะแทนใจเรา เหมือนกำไลรูปปลาที่เราใช้แทนตัวม่อน”


และนั่นคือเหตุผลที่พายุพัดเลือกสวมแหวนวงนั้นที่นิ้วนางข้างขวาของอีกฝ่าย


(จบครึ่งแรก)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-09-2018 07:24:01
พายไม่กินหวานแต่พายแสดงออกได้หวานซึ้งมาก อบอุ่นจริง ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-09-2018 07:58:24
โอ๊ยยย เกลียดบรรยากาศ เหม็นฟามรัก แต่ก็นะ อะไรจะละมุนขนาดนี้นะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2018 08:47:36
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-09-2018 08:51:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

ม่อนจะย้ายจริงเหรอ?

ถ้าม่อนย้ายพายก็แค่ย้ายตามไปเนอะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-09-2018 10:34:16
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-09-2018 10:51:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-09-2018 13:52:27
ไม่หวานที่คำพูดแต่การกระทำหวานมาก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-09-2018 20:57:22
 :man1:


 :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1:


 o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-09-2018 21:18:36
 ชอบมากเลยค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งแรก) (20-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 21-09-2018 17:10:39
เป็นคู่ที่น่ารักจัง อ่านแล้วอมยิ้ม
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 21-09-2018 17:41:29
ครึ่งหลัง


มือขาวจรดปลายกรรไกรขลิบกระดาษเป็นรูปดอกไม้เพื่อเตรียมไว้สำหรับเป็นสื่อการสอน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับแหวนทองคำขาวที่นิ้วของตัวเอง ผิวมันวาวนั้นสลักลายแทนตำแหน่งของกลุ่มดาวประจำตัวของคนให้ซึ่งก็คือกลุ่มดาวสิงโต และคริสตัลเม็ดจิ๋วก็แทนหัวใจของเจ้าป่านั่นเอง นคินทรเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอด มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นว่าค่ำแล้วจึงนึกสงสัยว่าใครกันที่มาเยือนในเวลานี้ ชายหนุ่มวางกรรไกร ยกเจ้าตะโก้ออกจากตักวางบนพื้นแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู พบพายุพัดยืนรออยู่ที่ปลายบันได


“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมาเอาป่านนี้” เจ้าของบ้านถามเมื่อเดินลงมาหยุด


“เราจะมาบอกม่อนว่ากลางเดือนนี้คุณปัณณ์จะส่งเจ้าหน้าที่มาติดตั้งสระว่ายน้ำให้ที่โรงเรียน” พายุพัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม คนฟังจึงพลอยยิ้มตามไปด้วย


“เรื่องแค่นี้เอง ส่งข้อความหรือโทรมาก็ได้”


“อยากมาบอกด้วยตัวเองน่ะ”


“มาเสียค่ำเชียว”


“ที่มาตอนนี้ก็เผื่อว่า...” คนพูดกล่าวพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเลื่อนมือขึ้นเกาต้นคอ


“เผื่อว่าอะไร”


“เผื่อว่าม่อนจะชวนเราค้างด้วย"


นคินทรมองเจ้าของร่างสูงแล้วได้แต่อมยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งอีกฝ่ายเลื่อนตาขึ้นสบ


“จะไล่เรากลับอีกหรือเปล่า”


“ไล่ก็ไม่กลับแล้วมั้ง” พูดพร้อมกับชะเง้อมองเป้ที่อีกฝ่ายสะพายมาด้วย


พายุพัดยิ้มเขินเมื่อถูกรู้ทัน จากนั้นทั้งสองคนก็เดินตามกันขึ้นไปบนบ้าน


เมื่อนคินทรกลับมานั่งลงที่เดิม เจ้าตะโก้ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนอนตีหางเหนือกองกระดาษสีบนโต๊ะญี่ปุ่นก็ย้ายลงมานอนบนตักของเจ้านายเหมือนเมื่อครู่ พายุพัดดึงเป้ออกจากหลังแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง ตาคมกวาดมองทั่ว ๆ แล้วหยุดที่ตุ๊กตาผ้ารูปปลาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ


“นี่อะไรน่ะม่อน”


“ของเล่นของตะโก้กับซ่าหริ่มน่ะ แม่เย็บให้”
   

พายุพัดพยักหน้า หยิบปลายเชือกด้านหนึ่งขึ้นพลางมองเจ้าปลาน้อยห้อยต่องแต่ง มุมปากยกนิด ๆ เดินไปนั่งลงใกล้เจ้าของบ้าน แอบหยิบไหมพรมจากกล่องที่อีกฝ่ายวางไว้มาผูกกับปลายเชือก...


นคินทรยังคงจดจ่ออยู่กับการตัดกระดาษ แม้จะได้ยินเสียงลากเก้าอี้แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ครู่หนึ่งก็ต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ดี ๆ เจ้าตะโก้ก็ผงกหัวขึ้นทำตาวาว ส่วนเจ้าซ่าหริ่มที่นอนอยู่บนแหย่งไม้สักก็กระโดดข้ามไหล่ของเขาไปยืนจังก้า และเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก็พบตุ๊กตารูปปลาของแม่กำลังลอยไปมาเรี่ยพื้นเพราะปลายเชือกถูกต่อยาวขึ้นไปผูกกับตะปูบนเพดาน พลันเจ้าแมวแม่ลูกก็พากันกระโดดเข้าตะครุบให้วุ่น พวกมันสารวนกับการทำให้เจ้าปลาสีซึ่งทำจากผ้าชมพูลายจุดยัดใยสังเคราะห์อยู่นิ่ง ๆ และในที่สุดซ่าหริ่มก็ตะปบได้ มันฝังคมเขี้ยวลงไปไม่กีทีก็เบื่อ พยายามสลัดเท้า แต่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดเพราะปลายเล็บเกี่ยวเข้ากับเนื้อผ้า ในขณะที่เจ้าตะโก้ก็ยังไม่เลิกตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ ใช้ปากงับหางปลาแล้วสะบัด สุดท้ายตุ๊กตาผ้ารูปปลาก็กระเด้งขึ้นกลางอากาศพาให้เจ้าสองแมวเหมียวตาลุกวาวเปิดศึกช่วงชิงของเล่นเสียงดังโครมคราม ส่วนคนต้นคิดกลับนั่งหัวเราะชอบใจซ้ำยังทำเนียนนอนหนุนตักของเขาอย่างสบายอารมณ์จนนคินทรต้องส่ายหัวน้อย ๆ อดคิดไม่ได้ว่าแมวหรือคนที่ซนกว่ากัน


...


หลังจากได้รับแจ้งข่าวจากพายุพัด นคินทรและพิทักษ์ก็เริ่มรับสมัครเด็ก ๆ ที่สนใจเรียนว่ายน้ำ เมื่อได้จำนวนที่แน่นอนก็พากันจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งแว่นตากันน้ำและกางเกงว่ายน้ำเอาไว้รอ ถึงวันเสาร์กลางเดือน รถบรรทุกหกล้อจากพี เอส สปอร์ตก็แล่นเข้ามาจอดที่หลังโรงเรียน เมื่อผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทเข้าพบครูใหญ่เพื่อพูดคุยรายละเอียดเป็นที่เรียบร้อย การดำเนินการติดตั้งสระว่ายน้ำแบบถอดประกอบก็เริ่มขึ้นท่ามกลางสายตาของบรรดาคุณครูและผู้ปกครองที่ยืนเอาใจช่วย ส่วนเด็ก ๆ เองก็เฝ้ามองการทำงานของพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน


ทันทีที่สระว่ายน้ำถูกประกอบเสร็จ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของอำเภอก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบ จัดการเปิดน้ำที่สูบมาจากลำธารใส่ลงในสระ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพิทักษ์จึงทำความเข้าใจกับแก่เด็ก ๆ  โดยการอธิบายวัตถุประสงค์ของการใช้งานสระว่ายน้ำถอดประกอบ รวมถึงให้เด็ก ๆ ช่วยกันรักษาความสะอาด จากนั้นจึงเริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดจากการจมน้ำ แล้วจึงมอบหน้าที่สอนว่ายน้ำให้กับพายุพัด


นักกีฬาหนุ่มเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนยืดกล้ามเนื้อเพื่ออบอุ่นนร่างกายก่อนลงสระ จากนั้นจึงให้เด็ก ๆ ได้ลงน้ำเพื่อฝึกการหายใจ นคินทรมองเจ้าของร่างสูงสวมกางเกงขาสั้นที่กำลังก้าวลงในสระทรงสี่เหลี่ยม พลันหูก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากกลุ่มของสาว ๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ


“คนนี้ใช่ไหมแกที่เขาบอกว่าเป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติน่ะ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“ใช่ คนนี้แหละ” ว่าแล้วก็ทำปากขมุบขมิบ


“นับอะไรของแก”


“หือ...แกนี่ เงียบ ๆ หน่อยสิ ฉันกำลังนับแพคพี่ฉลามพาย หนึ่ง...สอง สาม สี่ ห้า หก ฮือ...ซิกซ์แพคจริงด้วย”


คนบังเอิญได้ยินโคลงหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางวงโดยมีเด็ก ๆ ล้อมรอบ เมื่ออธิบายขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อย พายุพัดก็เริ่มฝึกการหายใจและสอนให้แต่ละคนลอยตัวในน้ำด้วยท่าปลาดาวและท่าแมงกระพรุน โดยมีพิทักษ์คอยช่วยอีกแรง


เมื่อเด็ก ๆ เริ่มคุ้นเคย ในสัปดาห์ต่อ ๆ มานักกีฬาหนุ่มจึงเริ่มสอนการเหยียดตัวตรงและตีเท้าในน้ำ การลอยตัวด้วยโฟม และฝึกว่ายท่าฟรีสไตล์


นคินทรเดินออกจากห้องพักครูหลังจากเข้ามานั่งทำคะแนนของนักเรียนอยู่ครึ่งค่อนวัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปที่สระว่ายน้ำด้านหลังโรงเรียนซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้โครงเหล็กมุงกระเบื้องที่มีผู้ใหญ่ใจดีบริจาคให้ เป็นเวลาเดียวกับที่เด็ก ๆ กำลังแยกย้ายกันกลับบ้านพอดี จะเหลือก็เพียงเด็กชายผู้หนึ่งที่ยังแหวกว่ายอยู่ในสระโดยมีพายุพัดดูแลอยู่ใกล้ ๆ


ทันทีที่เห็นนคินทร เด็กชายสุชาติก็ว่ายมาเกาะขอบสระพร้อมกับส่งยิ้มให้คุณครูใจดีที่อุตส่าห์ไปช่วยพูดจนพ่อกับแม่อนุญาตให้เขามาเรียนว่ายน้ำกับเพื่อน ๆ


“ยังไม่กลับอีกเหรอสุชาติ”


“ยังครับครู” ว่าแล้วก็หันไปกล่าวกับพายุพัด “ครูพายช่วยสอนผมให้เป็นนักกีฬาทีมชาติแบบครูพายได้ไหมครับ”


เจ้าของชื่อเลิกคิ้วก่อนจะกล่าว “เอาสิ แต่การจะเป็นนักกีฬาต้องมีระเบียบวินัยแล้วก็ขยันฝึกซ้อมนะ สุชาติทำได้หรือเปล่า”


“ทำได้ครับครูพาย”


ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าอย่างนั้นก่อนที่เราจะฝึกกัน สุชาติต้องเลิกเรียกพี่พายว่าครูพายก่อน”


“ทำไมล่ะครับ ก็ครูพายสอนผมว่ายน้ำก็ต้องเป็นครูสิครับ”


พายุพัดไร้คำโต้แย้ง เลื่อนสายตาไปยังอีกคนเพื่อนขอความเห็น แต่นคินทรก็ทำเพียงอมยิ้ม


“เรียกครูพายถูกแล้วใช่ไหมครับครูม่อน”


คนถูกถามพยักหน้า


“เย้! ผมเรียกถูกแล้วนะครับครูพาย” เด็กชายสุชาติกระโดดโลดเต้น


“นักกีฬาที่มีระเบียบวินัยจะต้องกลับบ้านให้ตรงเวลาด้วยรู้ไหมสุชาติ พ่อกับแม่จะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าการมาว่ายน้ำทำให้เราเป็นคนเหลวไหล เข้าใจที่ครูพูดไหม” นคินทรถาม


“เข้าใจครับครู ผมจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ครับ จะไม่เถลไถลที่ไหน แล้วอาทิตย์หน้าผมจะมาเรียนกับครูพายอีกนะครับ” พูดจบเด็กชายก็รีบขึ้นจากน้ำ ยกมือไหว้สองหนุ่ม ก่อนจะคว้าเสื้อผ้าและรองเท้าใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยาน
   

“ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” นคินทรมองตามเด็กชายที่กำลังปั่นจักรยานออกไปโดยสวมกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียว ครูหนุ่มเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่บนม้าหินอ่อนแล้วเดินมาที่ขอบสระ พาดผ้าในมือลงบนบ่าของคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


“แล้วเราล่ะ ต้องรีบกลับบ้านด้วยไหม” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“อือ กลับได้แล้ว”


“ให้เรากลับบ้านไหน”


“มีหลายบ้านหรือไง ถ้าตัดสินใจไม่ได้ก็แช่อยู่ในน้ำนี่แหละ เราไปละ” พูดจบนคินทรก็หันหลังให้แล้วเดินจากมา โดยไม่ได้สนใจคนที่รีบขึ้นจากน้ำหอบเสื้อผ้าเดินตาม


“รอเราด้วย” เจ้าของร่างสูงร้องบอก เห็นอีกฝ่ายชะลอฝีเท้าจึงก้าวยาว ๆ กระทั่งทันกัน “ม่อนช่วยพูดกับสุชาติแล้วก็เด็ก ๆ คนอื่น ๆ ให้เราหน่อยได้ไหม”


“อยากให้เราพูดอะไร”


“ช่วยบอกให้ทุกคนเลิกเรียกเราว่าครูพาย”


“ทำไมล่ะ”


“ก็เราไม่ใช่ครู”


“แต่นายก็สอนให้พวกเขาว่ายน้ำเป็นเหมือนที่สุชาติบอกไม่ใช่เหรอ”


“มันก็ใช่”


นคินทรมองคนหมดข้อโต้แย้งแล้วยิ้ม “สมัยเราฝึกสอนน่ะ ตอนเย็น ๆ จะมีพ่อค้าคนหนึ่งเข็นรถเข็นมาขายขนมที่ข้างรั้วโรงเรียน เขาบอกเราว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่น่าภูมิใจ ใครเจอใครก็ไหว้ แต่เราว่าสิ่งที่น่าภูมิใจกว่าคือการที่ใครสักคนเรียกเราว่าครูจากหัวใจของเขา”


“มีเหตุผลตลอดเลย” เจ้าของร่างสูงบ่นพึมพำ


“เราก็แค่จะบอกว่าการที่เด็ก ๆ เรียกนายแบบนี้ แสดงว่าเขารู้สึกว่านายเป็นครูของพวกเขาจริง ๆ น่าภูมิใจออก”


“ก็ได้ ๆ เรายอมแพ้แล้ว” หนุ่มนักกีฬากล่าวยิ้ม ๆ


เมื่อกลับมาถึงบ้าน พายุพัดก็ถูกไล่ให้ไปอาบน้ำอาบท่า ผ่านไปพักใหญ่เขาก็เปิดประตูออกมาในชุดคล้าย ๆ เมื่อตอนก่อนหน้า คือสวมเพียงกางเกงขาสั้น เปลือยท่อนบนโดยมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่า ชายหนุ่มเดินมานั่งลงกับพื้นเอนหลังพิงแหย่งไม้สัก รอให้อีกคนเช็ดผมให้เหมือนเคย


นคินทรคว้าผ้าขนหนูขยี้บนศีรษะที่ยังคงชุ่มไปด้วยน้ำ เห็นพายุพัดมือขึ้นบีบนวดนวดบริเวณบ่าจึงเอ่ยขึ้น “ปวดอีกแล้วเหรอ”


“อืม สงสัยวันนี้ว่ายหนักไปหน่อยน่ะ”


“เราว่าไปหาหมอได้แล้วมั้ง อย่าปล่อยไว้นานเลย เอาไว้ไปกรุงเทพฯ เมื่อไร เราจะให้พ่อช่วยแนะนำหมอให้”


“เป็นห่วงเหรอ” เห็นนคินทรไม่พูดอะไร พายุพัดจึงแหงนหน้าขึ้นจนศีรษะเกือบจะวางบนตักของคนที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่า มองจุดสีน้ำตาลจาง ๆ ที่ข้างสันจมูกแล้วให้อยากจะสัมผัสริมฝีปากลงไปตรงนั้นอีกสักครั้ง แต่ก็ได้แค่คิด เมื่อจู่ ๆ มือขาวก็ดันหัวของเขาขึ้น


“เดี๋ยวเรานวดให้”


คนฟังอมยิ้ม แม้นคินทรจะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ผ่านทางคำพูด แต่เขาก็รับรู้ทุกสิ่งผ่านการกระทำเสมอ ชายหนุ่มเหลียวมองมือที่กดลงมาบนบ่า นับตั้งแต่ที่กลับจากดอยเสมอดาวคราวนั้น เรียวนิ้วนี้ก็ไม่เคยห่างจากแหวนที่เขาให้เลยสักครั้ง


พายุพัดจับมือของอีกฝ่ายก่อนจะดึงมาแนบอก ส่งผลให้คนข้างหลังจำต้องโน้มตัวตามลงมาจนผิวแก้มแนบกัน


“ถ้าม่อนรู้สึกว่ารักเราเมื่อไร บอกให้เรารู้บ้างนะ”


ทันทีที่จบประโยคนั้น ความเงียบก็โรยตัวโอบร่างทั้งสองเอาไว้ สิ่งที่ทำให้รู้ว่ายังมีอีกคนอยู่คือไออุ่นจากร่างกายที่สัมผัสกันกับเสียงลมหายใจ นคินทรไม่ได้ตอบเพียงแต่วาดแขนข้างที่เหลือกอดคอคนตรงหน้าแล้วกระซิบชิดใบหู


“สัญญา”


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2018 17:54:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-09-2018 19:37:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

ว้าไม่จุใจเลย  เพราะหวานแค่ 25 ไม่เต็มร้อย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 21-09-2018 19:48:45
น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-09-2018 20:06:59
ป่านนี้แล้วยังคิดว่าม่อนไม่รักอีกเหรอพาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 21-09-2018 20:20:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 21-09-2018 20:40:42

แหมๆๆๆๆ พายุ หวานขนาดนี้ ยังบอกว่า  เพิ่งจะหวาน ได้ 25  :o8:

กว่าจะครบ 100   คนอ่าน คงลุ้นนนนนนนนนนนน จน  น้ำตาลขึ้น บอร์ดละมั้ง :กอด1:


 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-09-2018 21:24:41
อยากได้แบบพายยย ถ้าม่อนยังไม่รีบบอกรักเราจะแย่ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-09-2018 21:52:31
 :man1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 22-09-2018 09:22:14
เรามาช้ามากไปนุ่มนวลละมุนเหลือเกินค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 24-09-2018 01:48:32
ตามอ่านจนถึงตอนปัจจุบัน เขินมากกกก ภาษาสวยอ่านแล้วเหมือนนั่งอ่านกลางสายหมอกจริงๆ555555 คิดถึงตอนมัธยมเลย ชอบความเรียบง่ายของเรื่อง ชอบที่ตัวละครไม่พุดคำหยาบด้วย บรรยากาศในเรื่องก็อบอุ่น ถ้ามีโอกาสได้ไปดอยเสมอดาวก็คงจะคิดถึงนิยายเรื่องนี้แน่ๆ ชอบมาก เอาใจช่วยพายกับม่อนนะ บอกรักเจ้าฉลามพายให้เป็นแมวพายได้เร็วๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ ;)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-09-2018 10:23:03
แหม แอบหนุงหนิงไม่เกรงจคนอ่านเลยนะ อะไรจะน่ารักอย่างนี้
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 27-09-2018 20:12:51
น่ารักมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-09-2018 21:53:09
หวานมากกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 27-09-2018 22:39:01
ต้องหวาน 250% แล้วครับ รอบหน้า
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: eium ที่ 28-09-2018 09:40:10
รีบบอกนะม่อนเราอยากเห็นพายเขิน55555555555555555
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 15 หวาน 25 (ครึ่งหลัง) (21-09-2561 หน้า 8)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 29-09-2018 16:54:33
บอกไปได้เแล้วพาย เราอยากเห็นฉลามหินเขิน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 29-09-2018 22:21:45
ตอนที่ 16 กำลังใจ


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์จอดนิ่งอยู่ใต้ต้นหางนกยูงตั้งแต่เมื่อช่วงสายกระทั่งตกบ่ายก็ยังไม่ไปไหน แม้ว่าเด็ก ๆ ที่มาเรียนว่ายน้ำจะแยกย้ายกันกลับบ้านจนหมดแล้วก็ตาม กว่าสองเดือนที่พายุพัดมักใช้เวลาหลังจากนี้ฝึกว่ายน้ำให้เด็กชายสุชาติตามที่อีกฝ่ายขอร้อง นั่นเป็นเพราะมันทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งเคยได้รับโอกาสที่อาจารย์สินธูหยิบยื่นให้ ในเวลานี้เขาจึงอยากให้ผู้อื่นได้มีโอกาสที่ดีเช่นเดียวกับตนเองบ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ประสบการที่มีเริ่มสอนจากเรื่องพื้นฐานที่นักกีฬาว่ายน้ำควรรู้ กฎ กติกา มารยาท ไปจนถึงท่าว่ายต่าง ๆ โดยเริ่มที่ท่าฟรีสไตล์ซึ่งเขาถนัดที่สุด


สุชาติได้เรียนรู้ทฤษฎี วิธีการว่าย ฝึกทำท่าต่าง ๆ โดยไม่ได้ลงสระตามที่ครูพายสั่ง ฝึกอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานพอที่จะแสดงให้คนสอนเห็นว่าตนเองมีความตั้งใจจริง และวันนี้ก็เป็นวันที่หนุ่มน้อยตื่นเต้นที่สุดเมื่อครูพายบอกว่าจะให้เขาได้ลงสระเพื่อฝึกว่ายฟรีสไตล์เต็มท่า แต่ก่อนที่จะเริ่มว่ายยังต้องฝึกปั๊มอากาศโดยการดำลงไปในน้ำแล้วพ่นอากาศออกทางจมูก เมื่อขึ้นมาบนน้ำจึงหายใจเข้าทางปาก ซึ่งวิธีการนี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำก่อนการว่ายน้ำทุกครั้งเพื่อปรับการหายใจ


“ต่อไปเราจะมาฝึกท่าปลาเข็มกัน เป็นท่าพุ่งออกจากขอบสระ เราจะต้องลอยตัวขนานกับผิวน้ำเพื่อลดอาการเกร็งตัว เหยียดแขนจนสุด แขนชิดหลังหูแล้วก็ประสานมืออย่าให้หลุดจากกันนะ ” หนุ่มนักกีฬากล่าวพลางทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นจึงช่วยจับสองแขนเล็กให้เยียดตรง เมื่อเห็นว่าเด็กชายจัดระเบียบร่างกายได้ถูกต้องแล้วจึงขยับห่างออกมาทำท่าเดียวกัน “พุ่งตัวไปข้างหน้า ขาไม่ต้องตีน้ำ”


พูดจบเขาก็โน้มตัวลงแล้วพุ่งไปข้างหน้า ลอยตัวขนานพื้นได้ระยะหนึ่งก็ลดปลายเท้าลงแตะพื้นแล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงเดินกลับไปหาเด็กชาย “ลองทำดู”


สุชาติพยักหน้าแล้วทำตาม ในช่วงแรกการทำท่าปลาเข็มของเขานั้นกระท่อนกระแท่นตามประสา ไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายเมื่ออยู่ในน้ำได้ แต่เด็กชายก็ไม่ละความพยายาม ยังคงทำท่าเดิมซ้ำ ๆ เมื่อคล่องแล้วพายุพัดจึงให้เขาฝึกการเตะเท้าต่อด้วยการใช้แขนและการบิดหน้าหายใจไปจนกระทั่งนำทุกท่ามาประกอบกันเป็น Crawl Stroke หรือที่มักคุ้นหูกันในชื่อท่าฟรีสไตล์


“เหนื่อยหรือยังสุชาติ” พายุพัดถามเมื่อร่างเล็กทะลึ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ


“ยังครับ” อีกฝ่ายกล่าวทั้งที่หอบแฮก ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา


เจ้าของร่างสูงยิ้มแล้วโอบไหล่เล็กเอาไว้ “แต่ครูว่าพักก่อนดีกว่า”


“ครับครู” ว่าแล้วเด็กชายสุชาติก็ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสระ พักหายใจครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “สระว่ายน้ำที่ครูพายใช้แข่งมันกว้างกว่านี้เยอะไหมครับ”


“กว้างมากเลยละ”


“มากกว่าสระนี้อีกเหรอครับ”


พายุพัดพยักหน้า “กว้างกว่านี้หลายเท่า”


“แล้วตอนที่ลงไปอยู่ในนั้นล่ะครับรู้สึกยังไงบ้าง”


“ครั้งแรกรู้สึกกลัวมาก เพราะมันทั้งลึกทั้งกว้าง ตอนที่โค้ชสั่งให้ว่ายจากขอบสระฝั่งนี้ไปแตะขอบสระอีกฝั่ง ตอนนั้นครูคิดตลอดเลยว่าเราจะทำได้ไหม เพราะระยะทางมันไกลจริง ๆ”


สุชาติตาวาว นึกถึงสระว่ายน้ำกว้าง ๆ ที่แบ่งช่องว่ายด้วยทุ่นลู่ น้ำในนั้นใสเสียจนมองเห็นไปถึงก้นสระ “ผมเคยเห็นแต่ในทีวี ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง”


“เอาไว้วันหลังครูจะพาไปว่ายสระจริง จะได้ฝึกท่ากระโดดว่ายแล้วขึ้นท่าฟรีสไตล์ด้วย”


“จริง ๆ นะครับครูพาย”


“อื้อ จริงสิ”


“ครูพายว่ายท่าฟรีสไตล์ให้ผมดูด้วยนะครับ จ้วง ๆๆ ให้เหมือนตอนแข่งเลย” ว่าแล้วหนุ่มน้อยก็ทำท่าประกอบ


“ได้” พายุพัดพูดกลั้วหัวเราะ มองคนตัวเล็กที่จู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นกอดอก คงเพราะกระแสลมที่พัดมาทำเอาหนาวสะท้านจนขนลุกเกรียว “วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า อากาศเริ่มเย็นแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”


สุชาติปฏิบัติตามโดยไม่อิดออด เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เด็กชายก็รีบปั่นจักรยานคันเก่งมุ่งหน้ากลับบ้านทันที การไปของเด็กน้อยช่างเจรจรส่งผลให้รอบ ๆ บริเวณกลับเงียบเชียบลงอีกครั้ง พายุพัดเลื่อนมือขึ้นบีบนวดช่วงบ่าและไหล่เบา ๆ จากนั้นจึงพุ่งตัวไปข้างหน้าและเริ่มว่ายท่าถนัดของตน


....


เมื่อโครงการสอนว่ายน้ำให้กับเด็ก ๆ ดำเนินการมาได้สามเดือนเต็ม พายุพัดจึงส่งมอบหน้าที่ให้ผู้รับผิดชอบตัวจริงนั่นคือพิทักษ์ ซึ่งอีกฝ่ายยินดีเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเป็นทุนเดิม ไม่นานโครงการสระว่ายน้ำมีขาซึ่งเกิดจากความคิดของอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยก็ได้รับความสนใจมากขึ้น มีเด็ก ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงที่อยากว่ายน้ำเป็นสมัครเข้าร่วมโครงการ มีผู้ที่เห็นความสำคัญของกีฬาให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ ส่วนพิทักษ์ได้เพื่อนครูต่างโรงเรียนแวะเวียนมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจที่จะเป็นครูต่อไป


ความตื่นตัวด้านกีฬาทำให้พายุพัดถูกเชิญไปให้ความรู้แก่น้อง ๆ ศิษย์ปัจจุบันที่โรงเรียนเก่า ทำให้เขาได้พบกับอาจารย์เมธีอีกครั้ง และเมื่ออาจารย์บอกว่ากำลังจะเปิดสปอร์ตคลับ ชายหนุ่มจึงไม่ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเชิญให้ไปร่วมพิธีเปิดด้วย


เมื่อถึงวันเปิดสปอร์ตคลับ นอกจากพายุพัดจะได้พบอาจารย์สินธูที่ให้เกียรติมาเป็นประธานแล้วยังมีโอกาสได้พบปะเพื่อนเก่าสมัยเรียนโรงเรียนกีฬาอีกด้วย การพบกันในครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง แม้บางคนจะหันหลังให้วงการกีฬา บางคนยึดอาชีพครู แต่ความผูกพันก็ทำให้ทุกคนไม่ลืมมิตรภาพระหว่างเพื่อนและกลับมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นนอกจากวันนี้จะเป็นวันมงคลแล้วยังคล้ายเป็นวันชุมนุมศิษย์เก่าโรงเรียนกีฬาอยู่กลาย ๆ


หลังจากส่งเพื่อน ๆ กลับแล้ว พายุพัดก็เดินขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ ทอดตามองแผ่นน้ำเบื้องล่างพลางคิดทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังที่เพื่อน ๆ ต่างหยิบยกขึ้นมาพูด เป็นภาพอดีตที่ถูกร้อยเรียงต่อเนื่องราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉาย   


“ขอบใจมากนะพายที่มาช่วยครู” เมธีเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างกัน


“ไม่เป็นไรครับ”


“ถ้าเบื่อ ๆ ก็มาช่วยครูสอนเด็ก ๆ ที่นี่ได้นะ แต่ค่าสอนอาจจะไม่สมฐานะนักกีฬาทีมชาติเท่าไร”


“เลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็ได้ครับ อาจารย์พิมพ์ทำกับข้าวอร่อย” พายุพัดยิ้ม


คนฟังหัวเราะร่วนเมื่อถึงนึกถึงฝีมือทำอาหารของภรรยาสุดที่รักที่ใครได้ชิมก็พากันชมเปาะ


“อาจารย์คิดว่าจะสอนไปจนถึงเมื่อไรครับ ผมหมายถึง...มีสปอร์ตคลับนี้แล้วอาจารย์จะลาออกจากโรงเรียนหรือเปล่า”


“เคยคิดเหมือนกัน สมัยที่บรรจุได้สัก 5-6 ปี รู้สึกว่าในสายตานักเรียนหรือแม้กระทั่งเพื่อนครูด้วยกัน วิชาที่เราสอนมันเป็นวิชาไม่สำคัญ แต่ที่ทำสปอร์ตคลับนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพราะจะหนีหรอกนะ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะช่วยสานฝันของหลาย ๆ คน รวมถึงพิมพ์ด้วย” เมธีกล่าว


“ครูพิมพ์ทำไมเหรอครับ” พายุพัดหันมามองคนข้าง ๆ นึกถึงภรรยาของอีกฝ่ายที่อดีตเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยพลศึกษาแห่งหนึ่ง


“หลังจากมีลูกคนที่สองแล้วพิมพ์เขาไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ ที่บ้านครูก็เลยลงความเห็นกันว่าควรให้พิมพ์ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่รายนั้นเขารักในวิชาชีพของเขา พอลูกเริ่มไปโรงเรียนเขามีเวลาว่างก็เลยคิดถึงการสอน เราปรึกษากัน แล้วก็ตัดสินใจขายที่ทางรวบรวมเงินทั้งหมดสร้างสปอร์ตคลับนี้ให้พิมพ์ดูแล ส่วนครู...ก็คงสอนที่โรงเรียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกษียณ อย่างน้อยวิชาพลศึกษาก็เป็นวิชาที่ทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งได้รู้จักตัวเอง เหมือนเธอกับเพื่อน ๆ ที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วมุ่งเอาดีทางนั้น”


พายุพัดพยักหน้า “สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย มีอาจารย์คนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า วัตถุประสงค์ของการให้เรียนวิชาเลือกเสรีไม่ใช่เพื่อให้นักศึกษาเก่งวิชาการ เพราะวิชาเลือกเสรีบางทีก็เป็นแค่วิชาง่าย ๆ  แต่ที่ต้องให้เรียนก็เพื่อที่นักศึกษาจะได้รู้จักการใช้ชีวิต ได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่น จุดประสงค์ของการเรียนพลศึกษาก็คงไม่ต่างกัน เพื่อทำให้เราร่างกายแข็งแรง รู้จักการมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ ไม่ใช่มุ่งแต่จะเรียนอย่างเดียว”


เมธียิ้ม


“อาจารย์ยิ้มอะไรครับ”


“เดี๋ยวนี้พูดเยอะขึ้นนะ ไปหัดมาจากไหน”


“แซวอีกแล้ว” พายุพัดเกาต้นคอ “ผมก็แค่ไม่อยากให้อาจารย์ท้อไง ผมเชื่อว่ามีน้อง ๆ อีกมากที่ต้องการคนที่เข้าใจแบบอาจารย์”


“เออ ขอบใจมากนะ” ผู้เป็นครูตอบพลางตบบ่าของลูกศิษย์เบา ๆ


การตัดสินใจมาช่วยงานที่สปอร์ตคลับของพายุพัดทำให้สุชาติพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เด็กชายได้มีโอกาสว่ายน้ำในสระมาตรฐานทุกวันเสาร์ หากพ่อของเขาไม่ว่างมาส่ง ครูม่อนก็จะรับอาสามาส่งให้ ถึงจะต้องเริ่มเรียนพื้นฐานกันใหม่อีกรอบไปพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ แต่เด็กชายก็ไม่เคยบ่น เขายังคงตั้งใจฝึกซ้อมและปฏิบัติตามกฎกติกาต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ในทุก ๆ ครั้งหลังจากยืดกล้ามเนื้อเรียบร้อยแล้ว เขาจะคอยลุ้นว่าวันนี้อาจารย์เมธีและครูพายจะมีเทคนิคอะไรมาสอน แต่ครั้งนี้กลับต่างจากทุกครั้ง


“วันนี้ครูจะให้พวกเธอได้แข่งว่ายฟรีสไตล์” เสียงดังกังวานรวมกับเนื้อความที่แจ้ง ทำให้เหล่านกกระจิบกระจอกพากันเงียบกริบ มองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าแถวเป็นตาเดียว “ใครอยากลงแข่งยืนขึ้น”


เมื่อสิ้นเสียงอาจารย์เมธี บรรดาเด็กผู้ชายหญิงม.ต้นก็ทยอยยืนขึ้น ทุกคนต่างรอคอยวันนี้หลังจากคะยั้นคะยอให้อาจารย์จัดให้มีการแข่งขันมานานเพราะพวกเขาเบื่อเรียนทฤษฎีและการฝึกว่ายวนอยู่ในสระเต็มที           


“คนที่จะแข่งไปยืนรวมกันทางโน้น ส่วนคนอื่น ๆ จะนั่งอยู่ขอบสระหรือจะขึ้นไปเชียร์เพื่อนบนอัฒจันทร์ก็ได้” เมธีบอก เห็นใครคนหนึ่งไม่ลุกไปไหนจึงเอ่ยขึ้น “สุชาติ ไม่ลงแข่งกับพี่ ๆ เขาเหรอ”
เจ้าของชื่อที่ตั้งใจจะปักหลักนั่งเชียร์ที่ขอบสระเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างขอความเห็น


“ลองไหมสุชาติ” พายุพัดว่า


“แต่ว่า...” พูดไม่ทันจบ เสียงหนึ่งก็ดังแทรก


“มันไม่ใช่เด็กโรงเรียนเรานะครับอาจารย์ คนที่จะแข่งมีแต่โรงเรียนเราทั้งนั้น”


เมธีละสายตาจากเด็กชายตัวเล็กแล้วหันไปกล่าว “ไม่ว่าพวกเธอจะมาจากโรงเรียนไหน แต่มาเรียนที่สปอร์ตคลับนี้ทุกคนก็คือลูกศิษย์ของครู แล้วที่เรียนว่ายน้ำด้วยกันมาเกือบ 2 เดือนนี่ยังไม่ใช่เพื่อนกันอีกเหรอ”


สีหน้าและแววตาเคร่งขรึมของผู้เป็นครูทำให้เด็กชายวัยสิบสามปีรู้ว่าตนเองควรจะสงบปากสงบคำ เขาเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ กระนั้นปากก็ยังพึมพำเบา ๆ พาให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เด็กชายจากโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอซึ่งอย่ไกลออกไป


“ไม่ต้องกลัว” พายุพัดกล่าวพร้อมกับนั่งลงโอบไหล่เล็กอย่างให้กำลังใจ “สูดหายใจลึก ๆ แล้วก็ทำทุกอย่างตามที่ครูสอน”


วงแขนที่กระชับแน่นทำให้เด็กชายนึกถึงวันแรกที่ครูพายพาเขามาที่นี่ นอกจากจะทำตามสัญญาโดยการว่ายท่าฟรีสไตล์ให้ดูแล้ว ยังสอนให้เขารู้จักการจัดระเบียบร่างกายเมื่ออยู่บนแท่น สอนการกระโดดว่ายแล้วต่อท่าฟรีสไตล์ ตอนนั้นครูพายก็ให้กำลังใจแบบนี้เช่นกัน เมื่อได้รับพลังใจจนเต็มเปี่ยมสุชาติจึงค่อยยิ้มออก หันไปกล่าวกับอีกคน “ผมจะแข่งครับครู”


การแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร หลังจากเมธีอธิบายกติกาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็เดินไปยืนรออยู่ที่ขอบสระฝั่งตรงข้าม ส่วนพายุพัดรับอาสาเป็นผู้ปล่อยตัวนักกีฬา ทันทีที่เขาขานคำ “Take your marks” บรรดาหนุ่มน้อยทั้ง 8 คนก็ก้าวขึ้นไปยืนบนแท่น ก้มลงจัดระเบียบร่างกายอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้นเหล่านักกีฬาก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ลงสู่ผืนน้ำได้ก็แทบจะลืมการสตรีมไลน์หรือที่ครูพายเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าท่าปลาเข็มไปเสียสนิท ต่างคนต่างจ้วงไม่คิดชีวิต หวังจะแตะขอบสระฝั่งตรงข้ามเป็นคนแรกให้ได้   


“เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เหมือนนายตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” เมธีกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


พายุพัดฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ดวงตาจับจ้องไปยังนักกีฬาในลู่สุดท้ายที่สามารถรักษาความเร็วจนอยู่ในกลุ่มที่นำได้ แม้สุชาติจะไม่ได้แตะขอบสระเป็นคนแรก กระนั้นยังถือว่าเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่มซึ่งเข้าแตะขอบสระเป็นลำดับที่สี่


“น่าจะพาไปลองรายการเล็ก ๆ สักรายการนะพาย จะได้ไม่ตื่นสระ”


“คงต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาละครับอาจารย์”


“ยังไงถ้าจะลองละก็ มาซ้อมที่นี่ได้นะ”


พายุพัดรับคำจากนั้นจึงเดินไปหาเด็กชายที่กำลังดึงตัวขึ้นจากสระ


“เป็นยังไง สนุกไหม”


“สนุกครับครู”


สองคนพากันมานั่งที่อัฒจันทร์เพื่อรอชมการแข่งขันของกลุ่มถัดไป และเมื่อได้ยินสัญญาณปล่อยตัว เด็กชายก็ลุกขึ้นส่งเสียงเชียร์สองเด็กหญิงที่มักชวนคุยและให้ขนมเขากินอยู่บ่อย ๆ


“พี่มะยมสู้ ๆ พี่แยมสู้ ๆ” สองมือเล็กป้องปากตะโกนลั่น แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นบ่นพึมพำ “ทำไมพี่มะยมเริ่มหมุนแขนช้าจัง คนอื่นเขาเริ่มหมุนแขนกันแล้ว” 


“แล้วเมื่อกี้น่ะ คิดว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง” พายุพัดเอ่ยขึ้น


เด็กชายนิ่งนึกก่อนจะนั่งลง “ผมลืมทำท่าปลาเข็มครับครู”


พายุพัดพยักหน้า “ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่แข่งกันอยู่นี่แหละ พอพุ่งตัวลงน้ำ เห็นคนอื่นเริ่มหมุนแขนก็กลัวว่าตัวเองจะแพ้ ก็เลยรีบหมุนแขนบ้าง” เห็นเด็กชายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “การทำท่าปลาเข็มหรือการทำสตรีมไลน์มีความสำคัญมากนะ บางทีที่ชนะกันอาจจะชนะจากตรงนี้ก็ได้ เพราะการทำสตรีมไลน์จะต้องทำตัวลู่ไปกับน้ำ เหมือนลูกธนูที่แหวกไปในน้ำ พอแรงต้านน้อยก็จะทำให้ไปได้ไกลหลายเมตรโดยที่ยังไม่ได้ออกแรงว่ายเลย”


“คราวหน้าผมจะไม่ลืมครับครู”


“เวลาอยู่ในสระน่ะ อย่าคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวจนลืมเทคนิคต่าง ๆ เข้าใจไหมสุชาติ”


“เข้าใจครับครูพาย”


คนสอนยิ้มน้อย ๆ “เอาไว้เก่งกว่านี้ครูจะพาไปแข่งรายการใหญ่ ๆ”


“แล้วผมจะสู้เขาได้เหรอครับครู” สุชาติทำหน้าจ๋อย


“ดูทำหน้าเข้า ลืมแล้วหรือไงว่าใครเป็นคนสอนนาย”


“ผมรู้ว่าเป็นครูพาย แต่ผม...”


พายุพัดวาดแขนขึ้นโอบไหล่เล็ก “อยากแข่งก็ต้องขยันซ้อม ถ้านายไม่ยอมแพ้เสียก่อน ครูก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ยกมือข้างเหลือขึ้นราวกับนักมวยกำลังจะออกหมัด รอจนกำปั้นเล็ก ๆ สัมผัสลงมาเป็นเสมือนการให้สัญญาต่อกัน 


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 29-09-2018 22:26:26
(ต่อค่ะ)


เท้าเปลือยก้าวตามกันไปบนแนวคันดินที่ขนาบด้วยต้นข้าวเขียวขจี เมื่อถึงทางน้ำเล็ก ๆ ที่สร้างเชื่อมกับลำธารเพื่อหล่อเลี้ยงผืนนาในแถบนี้ พายุพัดก็หันมายื่นมือให้คนเดินตามจับแล้วพากันก้าวข้ามไป ไม่นานก็ถึงเพิงพักหลังน้อยมุงด้วยหญ้าคา เบื้องหน้าคือทุ่งดอกคอสมอสสีเหลืองสดที่เจ้าของโฮมสเตย์ปลูกไว้แสดงอาณาเขต ไกลออกไปเป็นแนวเขาทอดตัวยาวราวกับอ้อมแขนของใครบางคนที่เป็นดังปราการป้องกันภยันตรายมิให้กล้ำกลาย นคินทรคลายมือออกนั่งลงบนเสื่อไม้ไผ่ที่สานขัดกันเป็นลวดลายแปลกตา ทอดมองมวลเมฆที่คลื่นต่ำเรี่ยไปกับแนวสันเขาจนบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า พลันอีกคนก็ถือโอกาสใช้ตักของเขาแทนหมอนหนุน หลับตาลงโดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น นั่นเป็นเพราะบริเวณนี้ถูกพี่สาวกันไว้สำหรับเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับน้องชายที่รักมากที่สุด             


“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”


“สนุกดี”


“ปวดไหล่อีกหรือเปล่า” นคินทรถามพลางใช้มือแตะลงที่ต้นแขนแกร่ง


พายุพัดเผลอขบกรามแน่น รั้งมือนั้นมาแนบอกแทนหมอนข้าง “หายแล้ว”


“แน่ใจแล้วใช่ไหมเรื่องสุชาติน่ะ”


“อืม เราอยากลองดู อยากลองเป็นคนที่หยิบยื่นโอกาสให้คนอื่นบ้าง”


คนฟังคลี่ยิ้มบางเบาพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงบนเส้นผมของชายหนุ่ม “เหนื่อยหรือเปล่า”


“เหนื่อย แต่พอเจอหน้าบางคนก็หายเหนื่อยแล้ว อยากรู้ไหมว่าใคร” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ พายุพัดก็ลืมตา ลุกขึ้นนั่งในขณะที่อีกมือยังจับมือของอีกฝ่ายแนบกับอก “ไม่ถามเหรอว่าใคร”


“ไม่อยากรู้”


“อยากรู้หน่อยนะ” พูดจบหนุ่มนักกีฬาก็ยกมือขึ้นประคองแก้มเนียน ตาที่เคยสบประสานกับดวงตาอีกคู่เลื่อนลงมองจุดเล็ก ๆ ที่สันจมูกกระทั่งหยุดที่ริมฝีปากบาง เห็นอีกฝ่ายไม่ถอยหนีหรือแสดงอาการรังเกียจจึงค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าหา หวังจะจุมพิตให้ชื่นใจ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องถอนใจเฮือกซบหน้าลงกับซอกคอขาว ได้ยินนคินทรหัวเราะเบา ๆ แล้วอดไถหน้าไปมาอย่างเด็กโดนขัดใจไม่ได้


มือขาวดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับ ยังไม่ทันพูดอะไรคนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้น


“อาม่อน...หม่ำ ๆ อาม่อน...”


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ฟีฟ่าเหรอ”


“เมื่อกี้น่ะฟีฟ่า แต่นี่น่ะพ่อฟีฟ่า” จู่ ๆ ก็กลายเป็นอีกเสียง “ถึงไหนแล้ววะม่อน รอกินข้าวอยู่เนี่ย ไอ้พายอีกตัวบอกว่าออกจากสปอร์ตคลับแล้วจะรีบมา นี่โทรไปก็ไม่รับ ไอ้หมอกกับสิแล้วเนี่ย”


“อย่าบ่นน่า ไปเดี๋ยวนี้แหละ”   


“เออ ๆ ถ้าติดต่อไอ้พายได้ก็ลากคอมันมาด้วย แค่นี้นะ”


ภาณุไม่ได้กดวางสายในทันที นคินทรจึงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอีกฝั่ง ถกเถียงกันเรื่องสูตรอาหาร ชายหนุ่มยิ้มพลางกดตามองคนที่ยังคงเอาแต่ซุกอยู่บนบ่าของตน ใช้มือตบเบา ๆ บนแผ่นหลังกว้างแล้วกล่าว   


“ไปเถอะ ฉายโทรตามแล้ว”


“ให้มันรอไป”


ได้ยินเสียงอู้อี้ตอบกลับเป็นถ้อยคำเอาใจแล้วถึงกับโคลงหัว นคินทรค่อย ๆ ขยับออกแล้วใช้สองมือประคองแก้มสาก เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วอดหัวเราะไม่ได้


“ยิ้มเร็ว”


พายุพัดส่ายหัว


“ยิ้มก่อน”


คนฟังพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่เมื่อถูกซ้ำซี้หนักเข้า สุดท้ายก็ยิ้มออกมาจนได้


....


วันนี้นอกจากจะชวนเพื่อน ๆ มารับประทานอาหารที่บ้านแล้ว ภาณุกับน้ำหวานยังถือโอกาสนี้บอกข่าวดีให้ทุกคนได้รู้ นั่นคือพิธีมงคลสมรสของทั้งคู่ซึ่งจะมีขึ้นในปลายเดือนตามที่ได้เกริ่นไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้ หลังรับประทานอาหารแล้วทั้งหมดจึงมานั่งล้อมวงกันที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ฟังว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเล่าถึงกำหนดการคร่าว ๆ


“เราสองคนกะจะให้เป็นงานเล็ก ๆ น่ะ มีพิธีสงฆ์ตอนเช้า เย็นก็กินข้าวกัน งานนี้ตั้งใจจะบอกเฉพาะญาติ ๆ ฝั่งฉายก็คงมีแค่แม่กับลุง ๆ ป้า ๆ ส่วนหวานเองไม่มีใครที่ไหนแล้ว คงจะบอกแค่เพื่อนสนิท” น้ำหวานอธิบาย


“แล้วหวานคิดไว้หรือยังว่าจะจัดที่ไหน” สิชลถาม


“ที่นี่แหละจ้ะ คงจัดสถานที่แล้วก็ตกแต่งกันเอง”


“โรแมนติกจังเลย สิก็เคยคิดจะจัดงานแต่งงานที่บ้านสวนเหมือนกัน แต่คิดว่าเพื่อน ๆ น่าจะเดินทางลำบาก”


“ไปจัดที่คลินิกไอ้หมอกก็คงมีแต่กลิ่นหมา” ภาณุแทรกขึ้น


“อ้าวไอ้นี่” อวัศย์มุ่นคิ้ว


“หรือไม่จริง”


“คลินิกรักษาสัตว์นะโว้ย ไม่ใช่คลินิกเสริมความงาม จะได้หอมตั้งแต่พนักงานต้อนรับยันหมอสิว”


“นั่นไง สิดูเอาเองแล้วกัน คนเราน่ะถ้าในหัวมันมีแต่เรื่องพวกนี้มันก็จะหลุดพูดออกมาเอง”


“เรื่องสร้างความร้าวฉานเป็นงานถนัดจริง ๆ” นคินทรส่ายหัว


“ใช่...คนเลว” อวัศย์เสริม


“แหม...ไอ้คนดี” ภาณุกล่าวอย่างหมั่นไส้ 


“เอาละ ๆ พวกนี้นี่ คอยจะหาเรื่องทะเลาะกันตลอดเลย” สิชลรีบห้ามทัพก่อนจะหันไปหาน้ำหวาน “ถ้ามีอะไรให้สิช่วยละก็ บอกได้เลยนะ ตกแต่งสถานที่หรือจัดดอกไม้ สิยินดีช่วยเต็มที่จ้ะ”


“ขอบใจจ้ะสิ” น้ำหวานว่า


“แต่ตอนนี้หวานสอนสิทำน้ำลูกหม่อนปั่นก่อนนะ เมื่อวันก่อนที่สิซื้อไปฝากแม่ แม่ทานแล้วชอบมากเลย สิก็เลยว่าจะลองทำเองดูบ้าง ให้พวกนี้แหละเป็นหนูลองยา”


“ได้จ้ะ” ว่าแล้วสองสาวก็หันไปช่วยกันเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับทำมัลเบอรีปั่น


พายุพัดและนคินทรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนภาณุและอวัศย์ย้ายไปนั่งที่โซฟาเมื่อได้เวลาการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญในขณะที่เจ้าหนูฟีฟ่านอนหลับคาตักผู้เป็นพ่อไปตั้งแต่นักฟุตบอลยังไม่ลงสนาม


“มีนส่งรูปมาให้ดู บอกว่าพานักศึกษาไปออกค่าย” พายุพัดกล่าว


“ไหน ๆ เราดูบ้าง” พูดจบนคินทรก็ขยับเข้าไปใกล้ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ในมือของอีกฝ่าย “นี่ไปเตะบอลหรือไปคลุกโคลน”


สองคนพากันหัวเราะ มัวแต่สนใจรูปในโทรศัพท์จนไม่ทันสังเกตว่าแก้วทรงสูงที่เต็มไปด้วยมัลเบอรีปั่นถูกยกมาวางตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ


“ลูกหม่อนหมดพอดีเลย ได้แก้วนี้เป็นแก้วสุดท้าย เดี๋ยวหวานเอาแก้วมาแบ่งให้ม่อนกับพายนะ”


“ไม่เป็นไรหวาน ให้ม่อนเถอะ” พายุพัดกล่าว


“เฮ้ย! อร่อยนะเว้ยไอ้พาย ลองแล้วจะติดใจ” ภาณุร้องบอกพลางดูดน้ำปั่นหมดไปครึ่งแก้วแล้วหันไปวิเคราะห์บอลกับอวัศย์ต่อ


“กินด้วยกันก็ได้” นคินทรว่า จากนั้นจึงดูดเกล็ดน้ำแข็งสีแดงอมม่วงแล้วเลื่อนแก้วให้คนนั่งข้าง ๆ


พายุพัดยกแก้วทรงสูงขึ้นก่อนจะสัมผัสริมฝีปากกับปลายหลอดแล้วลิ้มลองรสชาติของสิ่งที่อยู่ในแก้วบ้าง   


“หวานไหมพาย” สิชลเอ่ยขึ้น


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นสบตาเป็นประกายของคนถามแล้วตอบ “หวะ...หวาน หวานกำลังดี”


“ฝีมือสิทั้งหมดเลยนะ” น้ำหวานเสริม


“เปิดร้านแข่งกับหวานได้เลย” นคินทรหัวเราะ


“ม่อนก็ว่าไป” หญิงสาวกล่าวเขิน ๆ


“แหวนน่ารักจังเลยม่อน เป็นรูปอะไรเหรอ” จู่ ๆ น้ำหวานก็เอ่ยขึ้น คำถามของเธอไม่เพียงทำให้นคินทรต้องก้มลงมองแหวนทองคำขาวฝังคริสตัลเม็ดเล็กที่สวมติดนิ้ว ยังทำให้คนข้างกันต้องรีบวางแก้วในมือลงด้วย


“กลุ่มดาวสิงโตน่ะ”


“กลุ่มดาวสิงโต...ราศีสิงห์น่ะเหรอ”


“อื้อ” นคินทรรับคำสั้น ๆ


“ซื้อจากไหนเหรอ เผื่อหวานจะให้ฉายไปซื้อบ้าง”


“ซื้อจาก...ที่ไหนน่ะเหรอ"


เห็นคนข้าง ๆ อึกอัก พายุพัดจึงเอ่ยขึ้น “หวานชอบแหวนแบบนี้เหรอ เรามีเพื่อนเปิดร้านออกแบบจิวเวลรีอยู่ที่อเมริกา ถ้าหวานสนใจเราจะให้เขาส่งรายละเอียดมาให้”


“โอ้โห...แบบนี้ก็แสดงว่าหวานจะมีแหวนที่มีวงเดียวในโลกใช่ไหมพาย”


พายุพัดพยักหน้า


“ดีจังเลยน้า...” น้ำหวานยิ้มให้สิชลก่อนจะหันมาสบตาสองหนุ่ม “คนหนึ่งเกิดราศีมีนแต่สวมแหวานของคนเกิดราศีสิงห์ ส่วนอีกคน...เกิดราศีสิงห์แต่สวมกำไรรูปปลา สัญลักษณ์ของคนเกิดราศีมีน”


พายุพัดหลุบตาลงพร้อมกับยกมือขึ้นเกาต้นคอ จู่ ๆ ก็ร้อนวูบไปทั้งหน้า


“พาย ดอกคอสมอส” นคินทรเอ่ยขึ้น เห็นคนข้าง ๆ ยังนั่งเฉยจึงกล่าวต่อ “ที่พี่ฝนฝากมาไง”


“เออใช่ ลืมไปเลย พอพี่ฝนรู้ว่าหวานจะแต่งงานเลยฝากคอสมอสมาให้สองกระถาง อยู่ท้ายรถน่ะ เราไปเอาลงให้นะ” ว่าแล้วพายุพัดก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยวเราไปช่วย” นคินทรกล่าวก่อนจะลุกตาม แล้วสองคนก็พากันเดินออกไป... 


พายุพัดผลักประตูเข้ามาอีกครั้งก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาทางนี้ และการหยุดกะทันหันก็ส่งผลให้คนที่เดินตามมาชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างจัง


“หยุดทำไมเนี่ย” นคินทรบ่นแล้วก้าวมายืนข้างกันจึงได้เห็นในแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายเห็น ทั้งภาณุและอวัศย์ย้ายกลับมานั่งที่เก้าอี้บาร์เหมือนเดิม ทีวีถูกปิด บนโซฟาว่างเปล่า เจ้าหนูฟีฟ่าคงถูกผู้เป็นแม่พาเข้านอนตั้งแต่ที่เขาและพายุพัดไปช่วยกันยกกระถางต้นไม้ลงจากหลังรถแล้ว


“มองอะไรวะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟา


“ไอ้พายมานี่” ภาณุว่าพลางกวักมือเรียกแล้วตบลงบนเก้าอี้บาร์ตัวที่ยังว่าง “มานั่งนี่เลย”


“มีอะไรเหรอ” เจ้าของชื่อถามเรียบ ๆ เดินไปนั่งลงตรงกลางระหว่างอวัศย์และภาณุ


“มีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อย” นายสัตวแพทย์หนุ่มกล่าว สองสาวที่กำลังช่วยกันเก็บล้างอุปกรณ์ทำน้ำปั่นจึงต้องหยุดมือแล้วหันมาฟังอย่างสนใจ


“เรื่องอะไร” คนพูดน้อยถาม 


“ไอ้หมอกเล่าซิ”


“ก็เมื่อวันที่เราพาพ่อสิไปเป็นประธานเปิดสปอร์ตคลับของอาจารย์เมธีน่ะ มีผู้หญิงมาขอถ่ายรูปกับไอ้พาย” อวัศย์ตั้งใจเน้นประโยคหลังให้คนที่นั่งห่างออกไปได้ยิน “จำได้ว่าเป็นน้องสาวของครูพละโรงเรียนเดียวกับสิ พอถ่ายเสร็จเขาก็ขอเบอร์ไอ้พาย แล้วมันก็ไม่ให้ไง แถมยังบอกเขาอีกว่ามีแฟนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นหน้าเจื่อนไปเลย”


“ฟังแล้วหัวใจจะสลาย” ภาณุทำท่าประกอบโดยการยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้าอก


“แล้วยังไง” พายุพัดว่า


“ก็ไม่ยังไง แค่อยากรู้ว่าใคร” อวัศย์กล่าวพลางวาดแขนล็อกคอเพื่อน


“ใครอะไรวะ”


“ก็ที่บอกว่ามีแฟนแล้วไง ใครกัน พวกเรารู้จักหรือเปล่า”


“ม...มันก็แค่วิธีเลี่ยงการที่ต้องให้เบอร์โทรเขาไหม”


“ไอ้พาย โกหกตกนรกนะเว้ย” อวัศย์ว่า


“ถามตรง ๆ เลยดีกว่า ตกลงว่านายกับม่อนน่ะ มันยังไงกันแน่” ภาณุไม่อ้อมค้อม


“อยากรู้ไปทำไม”


“ก็จะได้สบายใจ นอนตายตาหลับ” สิ้นเสียงภาณุ เพื่อน ๆ ทุกคนก็พากันพยักหน้า


“เร็ว! บอกมา” อวัศย์คาดคั้น


เห็นเพื่อนไม่ยอมพูด ภาณุจึงแกล้งตีหน้าเศร้า “น่าน้อยใจว่ะ มีอะไรไม่ยอมบอกกัน เรารึอุตส่าห์เห็นเขาเป็นเพื่อน ทุกข์มาก็ปลอบ...”


พายุพัดมองเลยไปยังคนที่นั่งห่างออกไปพลางถอนใจ “ไปถามม่อนโน่น”
เจ้าของชื่อหันขวับ


“ไอ้ม่อน! จะบอกหรือไม่บอก” สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน


“คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมีคนอยากรู้” นคินทรหัวเราะ ผุดลุกขึ้นแล้วใช้โซฟาเป็นที่กำบังเมื่อภาณุและอวัศย์เปลี่ยนเป้าหมายมาทางนี้


“มานี่เลยไอ้ตัวดี ไอ้หมอกไปดักทางโน้น” ภาณุออกคำสั่งแล้วเดินอ้อมไปอีกทาง


สามคนวิ่งวนไปรอบบ้าน จนในที่สุดนคินทรก็ถูกจับได้ แม้ความสูงจะพอ ๆ กัน แต่คนผอมก็ถูกจับกดให้นอนคว่ำลงบนโซฟา อวัศย์ขึ้นนั่งทับจับสองแขนไพล่หลังโดยมีภาณุรับหน้าที่เป็นผู้สอบสวนหาความจริง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนคินทรก็ไม่ยอมปริปาก


“กระดูกหักกันพอดี” สิชลกล่าว “พายไปช่วยม่อนเร็ว”


พายุพัดได้แต่นั่งมองยิ้ม ๆ เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้ เพราะนคินทรเป็นก่อมันขึ้นเอง


“ตกลงคบกันแล้วใช่ไหม” น้ำหวานกระซิบถาม


เมื่อยากจะเลี่ยงได้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้า “แต่ม่อนไม่ให้บอก ม่อนบอกว่าปล่อยให้สองคนนั้นอยากรู้จนจุกอกตายไปเลย”


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 29-09-2018 22:33:59
(ต่อค่ะ)


ชลชาติหยุดยืนที่หน้าตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ มองม้วนกระดาษขนาดเอสี่ในมือแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน ร่างสูงเดินไปได้หน่อยก็ต้องชะงักเพราะใครบางคนเพิ่งออกจากลิฟต์และกำลังเดินมาทางนี้


“ซวยแท้ ๆ” อาจารย์หนุ่มบ่นกับตัวเอง กำลังจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่อีกฝ่ายคงเห็นเขาเสียแล้ว


“ป.ปลาตากลม”


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก หลับตานับ 1-10 ก่อนจะหันกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “เราชื่อมีน”


“เราก็ไม่ได้เรียกนาย เราเรียกน้องผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” แสนยาว่าพลางโบกมือให้สาวน้อยตาโตที่กำลังเดินผ่านไป


ชลชาติถอนหายใจเฮือกที่สาม “ถ้าอย่างนั้นก็ถอยไป เรากำลังรีบ” พูดจบก็เดินไปต่อคิว เพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนหน้าลิฟต์จึงเต็มไปด้วยนักศึกษา ชายหนุ่มมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ นับถอยหลัง ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินขึ้นบันได   


“มาหาใคร” คนเดินตามถามแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ “ถามก็ไม่ตอบ ปากเป็นเหน็บชาหรือไง”


สองคนเดินตามกันขึ้นไปจนถึงชั้นเจ็ดซึ่งเป็นที่ตั้งของภาควิชาบริหารงานศิลปวัฒนธรรม ชลชาติเดินตรงไปยังห้องพักอาจารย์ซึ่งอยู่สุดทางเดิน ไล่สายตาไปตามรายชื่อที่ติดหน้าห้องก่อนจะชะเง้อมองผ่านช่องกระจกแต่กลับไม่พบคนที่ต้องการมาหา


“อาจารย์ศรัญญามีสอนที่อาคารเรียนรวมตั้งแต่เช้า ถ้าบ่ายแล้วยังไม่กลับมาก็ไม่น่าจะไม่เข้าแล้วละ อาจารย์ ดร.รติพรสอนอยู่ห้องทางฝั่งโน้น ส่วนอาจารย์ ดร.ธันวา วันนี้กับพรุ่งนี้มีไปบรรยายที่ต่างจังหวัด” แสนยาบอก


“แล้วทำไมไม่รีบบอกวะ” ชลชาติกล่าวอย่างหัวเสีย


น้ำเสียงของอีกฝ่ายพาให้อารมณ์เริ่มขุ่น แสนยาจึงยกมือขึ้นรั้งคอเสื้อของคนที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้


“อ...ไอ้แสน ปล่อย!”


“ถ้าถามว่ามาหาใครแล้วตอบเสียตั้งแต่หน้าลิฟต์ก็ไม่ต้องเดินขึ้นมาถึงนี่หรอก แถมมาแล้วไม่เจอยังจะหงุดหงิดใส่เราอีก”


“เออ ๆ ๆ ขอโทษ” ชลชาติเสียงอ่อนลงทันทีที่คิดได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการหนุ่มศิลปินจึงยอมปล่อยมือ มองเจ้าของร่างสูงที่กำลังจัดคอเสื้อแล้วถาม “ตกลงว่ามาหาใครกันแน่”


“เรามาหาอาจารย์ธันวา”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


เห็นว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังชลชาติจึงตอบตามจริง “มีเรื่องให้อาจารย์ธันวาช่วยน่ะ” ว่าแล้วก็ยื่นม้วนกระดาษในมือให้อีกฝ่าย


แสนยารับกระดาษกางดูทีละแผ่น “โรลอัพเหรอ”


“อือ วันมะรืนมหาวิทยาลัยจะมีงานเปิดบ้านน่ะ ก็เลยจะมารบกวนให้อาจารย์ธันออกแบบป้ายให้หน่อย”


“ใช้วันมะรืน มาหาคนทำเสียเกือบเย็น ไม่กลัวว่าเขาจะนิ้วล็อกจนทำให้ไม่ได้หรือร้านทำป้ายหมึกหมดบ้างหรือไง”


“เราเพิ่งได้ข้อมูลทั้งหมดวันนี้ เลิกประชุมก็ตรงมานี่เลย คิดว่าร้านทำป้ายรอบ ๆ นี้คงรับงานของแต่ละคณะไปหมดแล้ว ก็เลยต้องรบกวนอาจารย์ธันวา แต่ถ้าอาจารย์ไม่สะดวกก็จะให้ช่วยแนะนำร้านทำป้ายราคาไม่แพงให้หน่อย เราเองก็โดนคณะตัดงบมาเหมือนกัน” พูดจบก็เอื้อมมือไปคว้ากระดาษ แต่อีกฝ่ายกลับชักมือหนี “เอาคืนมาได้แล้ว เราต้องไปแล้ว”


“ทำหน้าเป็นปลาเหนื่อยเลย” แสนยาหัวเราะ


“แสน...เอามา เราไม่มีเวลาเล่นด้วยนะ”


“เราก็ไม่ได้จะเล่นด้วย แต่จะทำให้” คนพูดยักคิ้ว “รับรองว่าเสร็จทันแน่นอน”


ชลชาติกอดอกมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจ


“อย่ามองเราแบบนั้น สายตาที่นายมองเรามันทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนขาดความน่าเชื่อถือ”


คนฟังถอนใจ “นี่งานคณะเรานะ ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ”


“เฮ้ย! นี่แสดงว่าไม่เชื่อว่าเราจะทำได้จริง ๆ อย่างนั้นใช่ไหม”


“เออ” ชลชาติตอบแบบไม่ต้องคิด


“ถ้าอย่างนั้นตามมาเลย” พูดจบก็รั้งข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตามไปที่ห้องสำหรับนักศึกษาปริญญาโท “นั่งก่อน”


“ทำได้แน่นะ”


“นี่ใคร” แสนยาชี้ที่ตัวเอง


“เออ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วใครจะรู้ด้วยวะ”


“มีน ไม่ตลก!” คนพูดนิ่วหน้า ปลดเป้สะพายหลังแล้วนั่งลงดึงเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาวาง


เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย ชลชาติจึงนั่งลงข้าง ๆ ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็คงต้องยอมให้เขาช่วยสักครั้ง ไม่รู้จะเชื่อได้แค่ไหน คิดแล้วก็ได้แต่โคลงหัว สุดท้ายก็จำต้องหยิบทรัมพ์ ไดรฟ์จากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งให้


“เดี๋ยวเราจะทำให้เห็นว่างานเทพเป็นยังไง” พูดจบแสนยาก็จัดการเสียบทรัมพ์ ไดรฟ์เข้ากับพอร์ท ยูเอสบีของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ก่อนจะคลิกเปิดดูข้อมูลต่าง ๆ จากนั้นจึงใช้ปากกาขีด ๆ เขียน ๆ ที่ด้านหลังของกระดาษซึ่งด้านหน้านั้นเป็นแผนผังการจัดวางป้าย มีขนาดและหมายเลขกำกับว่าแต่ละแผ่นแสดงข้อมูลเกี่ยวกับอะไร รวมถึงงบประมาณที่อาจารย์หนุ่มบอกว่ามีจำกัด


ชลชาตินั่งอยู่ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เห็นชื่อเจ้าของเบอร์แล้วอดแปลกใจไม่ได้ “อาจารย์ธนิตโทรมาทำไมวะ” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะเดินออกไปข้างนอกด้วยเกรงว่าการสนทนาจะรบกวนสมาธิคนที่กำลังทำงาน ไม่กี่นาทีเขาก็เดินกลับเข้ามา


“เรามีสอนแทนอาจารย์อีกคนถึงช่วงค่ำ ๆ น่ะ”


“ไปเถอะ” แสนยาบอกทั้งที่ดวงตายังจดจ่ออยู่กับวัตถุบนหน้าจอ


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเรามานะ” พูดจบชลชาติก็รีบเดินออกไป


....


กว่าจะเลิกสอนก็เกือบสองทุ่ม เมื่อออกจากห้องชลชาติก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู ในบรรดาคนที่โทรเข้ามามีชื่อของพายุพัดปรากฏอยู่ เขาจึงเลือกที่จะโทรกลับไปหาอีกฝ่ายเป็นคนแรก


“โทรหาเรามีอะไรหรือเปล่า”


“นายรู้เรื่องที่อาจารย์นทีไม่สบายไหม”


“รู้จากอาจารย์ทวีแล้วละ”


อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางไขกุญแจเพื่อเข้าไปหยิบกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในห้องพักอาจารย์ ตวรจสอบความเรียบร้อยภายในจากนั้นจึงเดินออกจากห้อง ล็อกกุญแจแล้วลงจากตึก


“เราอยากไปเยี่ยมอาจารย์นที”


“เอาสิ เราไปด้วย”


“นายว่างเมื่อไร”


“อืม...3-4 วันนี้ที่คณะมีงาน น่าจะยุ่งมาก ๆ เอาเป็นสัปดาห์หน้าไหม หรือจะเป็นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ นายจะได้มีเวลาเตรียมตัว”


ตกลงกันเรียบร้อยชลชาติก็เดินมาถึงคณะศิลปกรรมศาสตร์พอดี ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ในตอนแรกเขาเป็นกังวลเกรงว่าจะคลาดกับแสนยาเพราะไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่ารถโฟล์คเต่าสีชมพูหวานแหววจอดที่ช่องจอดข้างคณะก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ที่นี่  ร่างสูงเดินไปหยุดที่หน้าลิฟต์เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงสัญญาณเตือนปิดตึกดังขึ้น ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างรู้ดีว่าหลังสัญญาณเตือนปิดตึกทั้งนักศึกษา อาจารย์และเจ้าหน้าที่จะมีเวลาอีก 30 นาทีในการเก็บข้าวของออกจากอาคาร ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอื้อมมือกดลิฟต์


“ป.ปลาตากลม”


เสียงเรียกที่ได้ยินพาให้ริมฝีปากซึ่งเหยียดตรงมาตั้งแต่เช้ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อชลชาติหันกลับไปก็พบแสนยากำลังเดินลงบันไดมา ในมือของเขาถือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่หน้าจอยังเปิดโปรแกรมค้างไว้


“เป็นยังไงบ้าง”


“เหลืออีกไม่เยอะแล้วละ พอดีตึกจะปิดเราเลยลงมา”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่หอสมุดไหม”


แสนยาพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินข้ามฝั่งไปนั่งที่มุมอ่านหนังสือซึ่งอยู่ชั้นล่างของสำนักหอสมุด


“นายกินข้าวหรือยัง” ชลชาติถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลงแล้วจับเมาส์ทำงานต่อทันที


“คนป็อปปูลาร์อย่างเรามีคนส่งส่วยให้ตลอดอยู่แล้ว” น้ำเสียงเนือย ๆ กับใบหน้าเรียบนิ่งทำให้คนฟังไม่รู้สึกหมั่นไส้เหมือนที่ผ่านมา “ถ้านายหิวก็ไปกินเถอะ ที่โรงอาหารน่าจะยังพอมีอะไรขาย”


ได้ฟังดังนั้นชลชาติจึงเดินอ้อมอาคารกองกิจการนิสิตไปยังโรงอาหารเพื่อหาอะไรรองท้อง พักใหญ่ ๆ เขาก็เดินกลับมาพร้อมถุงพะรุงพะรัง มีทั้งข้าวกล่องและกาแฟเย็นที่ซื้อจากร้านกาแฟเจ้าประจำในซอยข้างมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มวางของทั้งหมดแล้วนั่งลงที่เดิม มองหน้าจอคอมพิวเตอร์พลางพึมพำเบา ๆ


“ดูไม่ยากเลยเนอะ”


“เทพไง”


“ให้คนอื่นชมตัวเองก็ได้มั้ง” ชลชาติบอกพร้อมกับเลื่อนข้าวกล่องและกาแฟเย็นให้ “อะนี่ เราซื้อมาฝาก”


“ขอบใจ” ปากพูด แต่ตากลับไม่ได้ละจากหน้าจอเลยสักนิด ซ้ำอีกมือยังพยายามจะเปิดข้าวกล่องออกกิน จนคนซื้อมาฝากจำต้องเอ่ยขึ้น


“พักกินข้าวก่อนก็ได้ เกิดมาตายอยู่ตรงนี้ นักศึกษาไม่กล้าเข้าหอสมุดพอดี”


“คนอย่างแสนยาฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว” เจ้าของชื่อบอก ปล่อยมือจากเมาส์แล้วหันมาจัดการกับข้าวกล่องอย่างจริงจัง


“พ่อนายชื่ออะไรวะ”


คำถามนั้นทำเอาแทบสำลัก “นายจะมาหลอกถามแล้วเอาไปล้อใช่ไหม”


ชลชาติถอนหายใจ “อายุปูนนี้ยังกลัวถูกล้อชื่อพ่อชื่อแม่อีกเหรอ”


“แล้วถามทำไม”


“นายชื่อแสนยา ลุงนายชื่ออานุภาพ เราก็เลยอยากรู้ว่าพ่อนายชื่ออะไร”


“อำนาจ” แสนยากล่าวทั้งที่ข้าวเต็มปาก


“เออ ยิ่งใหญ่กันทั้งบ้าน”


“ห้ามเอาไปล้อเด็ดขาด” ว่าแล้วก็เลื่อนแก้วกาแฟคืนให้คนซื้อ “อันนี้เราคืน เราไม่กินกาแฟ”


“อะไรวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว “อย่างนี้ตอนทำงานดึก ๆ แล้วง่วงทำยังไง”


คนถูกถามวางช้อนแล้วถอนใจ “ง่วงก็นอนสิ ไม่น่าถามเลย”


“เออจริง”


แสนยารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้งเมื่อมีอะไรหนัก ๆ ตกถึงท้อง นั่นเพราะส่วยที่เขาบอกว่ามีคนเอามาส่งให้ก็เป็นเพียงขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บรรดารุ่นพี่รุ่นน้องที่บังเอิญผ่านไปผ่านมาแวะเอามาให้ชิมคล้าย ๆ การให้อาหารยีราฟในสวนสัตว์เท่านั้น เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากข้าวกะเพราไข่ดาวที่แหว่งไปค่อนกล่องก็ไม่รู้ว่าชลชาติหายไปไหนเสียแล้ว ดูเวลาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เห็นว่าสามทุ่มกว่าจึงรีบกินให้เสร็จเพื่อจะได้ลงมือทำงานต่อ


ทันทีที่ปิดฝากล่องข้าว น้ำเปล่าขวดหนึ่งก็ถูกวางลงมาตรงหน้า แสนยาคว้าขวดมาเปิดดื่มพร้อมกับมองคนที่เดินอ้อมโต๊ะมานั่งลงข้าง ๆ


“ไอ้นี่คงกินได้ละมั้ง” พูดจบชลชาติก็เลื่อนแก้วสตรอเบอรีชีสเค้กปั่นให้ “เห็นลูกอาจารย์ที่ภาคชอบไปซื้อกินน่ะ”


แสนยายิ้มกว้าง รีบวางขวดน้ำเปล่าลงแล้วยกแก้วพลาสติกใสที่มีเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กก้อนกลม ๆ ขึ้นดูด “ฮ่า! ซัลวาดอร์ ดาลี* ฟื้นคืนชีพแล้ว!!!”


“ทำท่าอย่างกับหมาได้กระดูก” คนมองส่ายหัว


สองคนนั่งอยู่ที่สำนักหอสมุดจนเกือบสี่ทุ่ม ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากให้ชลชาติตรวจทานข้อมูลต่าง ๆ แล้วแสนยาจึงเอ่ยขึ้น


“เราส่งไฟล์ให้พี่เจ้าของร้านทำป้ายที่รู้จักกันแล้วนะ รับรองราคาย่อมเยา เขาบอกว่าพรุ่งนี้บ่าย ๆ ให้ไปรับ ร้านเขาอยู่แถวบ้านเราพอดี เดี๋ยวเราไปเอาให้”


“แต่ว่า...”


“พรุ่งนี้นายน่าจะยุ่งกว่านี้เยอะ เราไปรับมาให้ก็แล้วกัน ยังไงเราก็ต้องเข้ามาที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วง เราออกให้ก่อน จะให้เขาออกใบเสร็จมาให้เรียบร้อย”


อาจารย์หนุ่มนิ่งคิด ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับความช่วยเหลือ


“เสร็จสักที” แสนยากล่าวก่อนจะเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่เป้ เห็นชลชาติกำลังค้นหาบางสิ่งจึงเอ่ยขึ้น “หาอะไรเหรอ”


“โทรศัพท์น่ะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหน”


“ลองเอาเครื่องเราโทรก็ได้” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พอจะกดเปิดก็เปิดไม่ติดเสียแล้ว “แบตหมดตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย ถึงว่าทำไมวันนี้แม่ไม่โทรตามเลย สงสัยกลับบ้านโดนบ่นหูชาแน่ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร อาจจะตกอยู่ในรถหรือลืมไว้ในห้องพักอาจารย์น่ะ เดี๋ยวเราลองหาดูอีกที นายรีบกลับเถอะ” ชลชาติกล่าวก่อนจะหิ้วถุงขยะไปทิ้ง เมื่อเดินกลับมาเห็นอีกฝ่ายดึงเป้ขึ้นสะพายหลังจึงเอ่ยขึ้น


“เรา...ขอเบอร์ติดต่อนายหน่อยได้ไหม”


แสนยาพยักหน้า หยิบปากกาจากประเป๋าเสื้อได้ก็หันซ้ายหันขวา “กระดาษเปียกน้ำหมดเลย นายยังต้องใช้อีกหรือเปล่า”


“เอากลับไปตากเดี๋ยวก็แห้ง ที่จริงเราถ่ายรูปเอาไว้แล้วละ จะมีก็แต่ตรงที่นายร่างแบบไว้” ชลชาติบอกพร้อมกับควานหาเศษกระดาษในกระเป๋า ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอีกคนหาวหวอด ๆ


“ไม่ต้องหาแล้ว เขียนใส่มือก็แล้วกัน” พูดจบแสนยาก็จับมืออีกฝ่ายขึ้นมา ถอดปลอกปากกาหมึกซึมออกแล้วเขียนตัวเลขสิบตัวลงไป


เมื่อแยกกับแสนยาแล้ว ชลชาติก็เดินกลับไปที่รถ เปิดประตูแล้ววางกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้บนที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นจึงนั่งประจำที่หลังพวงมาลัย เอื้อมมือเปิดไฟที่เหนือศีรษะก่อนจะดึงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของอีกคน



บ่ายวันต่อมาแสนยาไปรับป้ายทั้งหมดจากร้านมาส่งให้ชลชาติถึงที่คณะตามสัญญา อีกทั้งยังอยู่ช่วยติดตั้งและจัดสถานที่จนค่ำมืด


“คณะนี้เขามีอาจารย์กับนักศึกษาอยู่แค่นี้หรือไงวะ” ทำไปก็บ่นไป


“อย่าบ่นเลยน่า คนอื่น ๆ เขาก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน” ชลชาติบอก


“เออ ไม่บ่นเรื่องนี้ก็ได้ ขอบ่นเรื่องที่โทรไปปลุกตั้งแต่เช้าก็แล้วกัน” คนพูดมุ่นคิ้ว มือดึงป้ายแบบม้วนเก็บได้ให้ยืดออกตรึงกับโครงอะลูมิเนียม “ก็บอกอยู่ว่าร้านเขานัดให้ไปเอาตอนบ่าย นายดันโทรไปทวงเราตั้งแต่ยังไม่แปดโมง”


“ก็กลัวจะลืม” ชลชาติหัวเราะ รู้สึกสะใจที่ได้เอาคืนเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน


แสนยาถอนใจ เมื่อโรลอัพอันสุดท้ายถูกติดตั้งเสร็จ ชายหนุ่มก็ถอยออกมาดูผลงานของตนเอง สั่งให้นักศึกษาช่วยขยับตำแหน่งอีกเล็กน้อย ซุ้มของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาก็เสร็จสมบูรณ์


“ยังเหลืออะไรอีกหรือเปล่า”


“เหลือพวกเอกสารกับแผ่นพับที่ต้องจัดใส่กระเป๋าผ้าน่ะ อาจารย์ที่เขารับผิดชอบกำลังเอามา”


“ให้เราช่วยไหม”


“ไม่เป็นไร มีเด็ก ๆ มาช่วยแล้วไม่นานก็เสร็จ นายกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


แสนยาพยักหน้า กำลังจะเดินออกจากตึกก็ต้องหยุด เมื่อเห็นป้ายประชาสัมพันธ์แผ่นใหญ่


“เดือนหน้าคณะนายจะจัดงานวิ่งนี่”


“ทำไม สนใจเหรอ”


หนุ่มศิลปินคราง “อือ” ในลำคอก่อนจะเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังทำหน้าไม่เชื่อ “ทำไมวะ”


“ไม่คิดว่าวิ่งกับเขาด้วย”


“มีขานะ” พูดจบก็ยกขาให้ดู


“เออ เห็นแล้ว” ชลชาติถอนใจ


“ว่าแต่มันเต็มหรือยัง นายรู้ไหม”


“คงใกล้แล้วมั้ง นายลองโทรไปถามสิ งานนี้งานใหญ่ งบเยอะ รองคณบดีเป็นประธาน ใคร ๆ ก็อยากสมัคร”


“ขี้อิจฉา” จู่ ๆ แสนยาก็เอ่ยขึ้น


“นายว่าใคร”


“ว่านายนั่นแหละ พูดยังกับเด็กขี้อิจฉา โดนตัดงบนิดหน่อยทำเป็นน้อยใจ” คนพูดหัวเราะ “กลับดีกว่า เดี๋ยวโดนหงุดหงิดใส่อีก” ว่าแล้วก็เดินต่อ


ชลชาติเดินตามหนุ่มศิลปินไปจนถึงโฟล์คเต่าสีชมพู เห็นอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูจึงเอ่ยขึ้น “แสน ขอบคุณนะที่มาช่วย ไว้เสร็จงานเมื่อไรเราจะพาเลี้ยงข้าว”


“ไม่ต้องลำบากหรอก แค่ต่อไปนายอย่าเรียกเราว่าแสนก็พอ”


“แล้วจะให้เรียกอะไร เรียกอำนาจเหรอ”


“ไอ้มีน! ไหนบอกจะไม่ล้อชื่อพ่อไง”


“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” ชลชาติกล่าวหน้าตาย “แล้วสรุปจะให้เรียกอะไร”


แสนยากดยิ้มมุมปาก “เรียกเราว่าผู้มีพระคุณก็แล้วกัน”


“ไอ้บ้า” ชลชาติกล่าว มองคนที่กำลังโบกมือให้พลางโคลงหัว อดคิดไม่ได้ว่าไอ้หนุ่มศิลปินคนนี้มันสติดีหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วคนที่สติไม่ดีคือตัวเขาเองที่มายืนยิ้มอยู่ตรงนี้ทั้งที่ยังมีเรื่องชวนปวดหัวรออยู่อีกตั้งมาก   
   



* ซัลวาดอร์ ดาลี เป็นศิลปินกลุ่มเซอเรียลลิสต์ (วาดภาพเหนือจริง)


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-09-2018 23:15:13
คู่นั้นกำลังหวาน คู่นี้กำลังจะเกิดหรือเปล่านะ อ่านเพลิน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-09-2018 23:16:06
 o13



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2018 23:30:38
 o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-09-2018 01:02:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสนยากับชลชาติ นี่รุ่น ๆ เดียวกันเหรอ?

เห็นคนนึงเรียนโท อีกคนเป็นอาจารย์
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 30-09-2018 02:37:52
แสนเป็นเพื่อนพายกับสิ ก็เลยรุ่นเดียวกับม่อนและมีนค่ะ มาเริ่มเรียนป.โท เพราะพ่อสั่ง ส่วนมีน เรียนป.โทจบแล้วมาเป็นอาจารย์
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 30-09-2018 05:42:57
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-09-2018 10:32:09
เป็นอะไรที่อ่านได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ ๆ ๆ ๆ สะกดคนอ่านจนวางไม่ลงเลยนะ
เป็นเรื่องในฝันของทุกคน มีแฟนที่ดี มีเพื่อนที่น่ารัก บรรยากาศอบอุ่นมากๆ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-09-2018 15:14:19
จะขอเบอร์เขาก็เขินหรือยังไงนะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 30-09-2018 18:25:14
แสน-มีนคู่นี้เค้าน่ารักเนาะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 30-09-2018 18:59:06
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-09-2018 19:32:17
เรารักคุณพายุพัด  :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 16 กำลังใจ (29-09-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 30-09-2018 19:38:57
เราชอบทุกเรื่องที่ตัวเองเขียนเลยย ติดตามนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-10-2018 01:23:15
ตอนที่ 17 กอด


นคินทรเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ปิดโคมไฟบนโต๊ะแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยใช้หมอนสอดไว้ด้านหลังในขณะที่ปลายนิ้วก็สัมผัสลงบนหน้าจอโทรศัพท์ได้ด้วย หัวคิ้วขมวดมุ่นจนคนมองอดแปลกใจไม่ได้ กระนั้นนคินทรก็ไม่คิดก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายด้วยการถามหาสาเหตุ   


“ทำไมถึงมาวันนี้ล่ะ”


“เราจะไม่อยู่หลายวัน” พายุพัดตอบ หากแต่ดวงตายังจดจ่ออยู่ที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์


“ไปกรุงเทพฯ เหรอ”


อีกฝ่ายพยักหน้า “ได้ข่าวว่าโค้ชป่วยน่ะ ก็เลยจะชวนมีนไปเยี่ยม แล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับมาให้ทันวันเสาร์” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง ลูบหลังเจ้าซ่าหริ่มที่ขึ้นมานอนขดอยู่บนตัก พลันสีหน้าเคร่งขรึมก็แต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง


“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”


“ไม่อยากให้สุชาติขาดซ้อมน่ะ อีกอย่าง...กลัวคิดถึงม่อนด้วย เนอะซ่าหริ่มเนอะ”


“เกี่ยวอะไรกับเรา” นคินทรกล่าวก่อนจะลุกขึ้นปิดหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน ๆ


“แล้วม่อนล่ะ ถ้าเราไม่อยู่นาน ๆ ม่อนจะคิดถึงเราไหม”


คนถูกถามหยักยิ้มบางเบากับสายลมที่พัดกระทบผิวหน้า มือดึงบานหน้าต่างเข้าหาตัว ลงกลอนจนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา “เราไปคุยกับพ่อแม่ของสุชาติมาแล้วนะ เรื่องที่นายจะพาสุชาติไปแข่งน่ะ”


พายุพัดสบตาอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเนื้อความที่นคินทรพูดไปคนละทิศละทางกับสีหน้าและแววตาที่บอกความนัยอยู่เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าเจ้าเหมียวพลางคิดว่าการเลี่ยงไม่ตอบคำถามยังทำให้ลุ้นเสียจนหัวใจเต้นรัวขนาดนี้ หากวันใดนคินทรตอบให้ได้ยินสักครั้ง คนรอฟังคงจะตัวเบาหวิวเป็นแน่ 


“แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“เราบอกว่าเป็นช่วงปิดเทอม ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นกว่านักกีฬาเสียอีก”


“ดีจัง ขอบคุณมากนะ”


นคินทรพยักหน้า แต่แล้วเสียงกุกกักที่ด้านนอกก็ทำให้ต้องชะเง้อมอง เช่นเดียวกับเจ้าซ่าหริ่มที่หันขวับ ทำหูตั้งตาโต จู่ ๆ มันก็ผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดแผล็ววิ่งออกไปทางช่องประตูที่เปิดแง้มไว้


“จะนอนเลยไหม เราจะได้ออกไปเก็บตุ๊กตา ไม่อย่างนั้นเจ้าสองตัวคงไล่ตะปบกันโครมครามทั้งคืน”


“ปล่อยมันเถอะ” พายุพัดบอก


ดังนั้นนคินทรจึงเดินมานั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง ฝนที่เริ่มตกลงมาส่งผลให้อากาศหนาวเย็นกว่าทุกคืน ชายหนุ่มสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม กำลังจะล้มตัวลงนอน พลันแขนแกร่งก็สอดเข้าข้างลำตัวก่อนจะออกแรงดึงจนร่างของเขาขึ้นไปทาบอยู่บนตัวของอีกฝ่าย


“ไม่หนักหรือไง” นคินทรกล่าวเสียงอู้อื้อเมื่อแก้มแนบลงกับแผงอกกว้าง หูได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ


“หนักก็จะกอด อยากกอดให้แน่น ๆ” ว่าแล้วพายุพัดก็กระชับวงแขน จังหวะนั้นให้รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณช่วงหัวไหล่ด้านขวาแล่นเลยไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มกัดฟันรอกระทั่งอาการเริ่มทุเลาจึงเลื่อนมือลงดึงสมุดที่สอดอยู่ใต้หมอนใบข้าง ๆ มากางออก


เสียงพลิกกระดาษและมือที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังเรียกทำให้นคินทรต้องเงยหน้าขึ้นจนปลายจมูกเกือบจะแตะแนวสันกรามของคนตรงหน้า “อ่านให้ฟังหน่อย”


พายุพัดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “พูดให้ฟังก็ได้ เราจำได้ทุกคำ”


ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของสมุดจึงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ซบหน้าลงกับซอกคอรอฟังข้อความในสมุดที่เขามักเปิดอ่านทุกคืน ดวงตาทอดตามองไปยังแหวนทองคำขาวบนมือซึ่งวางทาบอยู่บนตำแหน่งหัวใจของคนเขียน


“เรา...พูดไม่เก่ง กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้ไม่ครบ เราก็เลยต้องใช้วิธีเขียน หวังว่าม่อนจะอ่านมันจนจบ” พูดไปมือใหญ่ก็ลูบหลังคนที่อยู่เหนือร่างไป เห็นนคินทรค่อย ๆ หลับตาลงจึงกล่าวต่อ


“เคยได้ยินว่าถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน...หัวใจจะเต้นแรง ถึงแม้จะเห็นเขาตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นแบบนั้นกับใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันที่เราขึ้นรับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นตัวสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุจากอก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการได้พบใครคนหนึ่ง คนซื่อบื้ออย่างเราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขา สุดท้ายได้แต่บอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวใครคนนั้นก็จะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา เราก็เลยไม่คิดดิ้นรนไขว่คว้าอะไรอีก แต่อยู่ ๆ เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง และวันนั้นหัวใจของเราก็เต้นแรงกว่าที่เคย เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง เป็นคนรักสัตว์ แล้วชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด” ถึงตรงนี้คนพูดก็ยิ้มออกมา


“เราชอบนั่งมองเขาจากที่ไกล ๆ เวลาเห็นเขายิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาที่เห็นเขาทุกข์ใจเราเองอยากนั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่าเราจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เราไม่มั่นใจว่าถ้าเราบอกความรู้สึกให้เขารู้แล้วเขาจะว่ายังไง จะโกรธหรือเกลียดกันไหม จนวันหนึ่ง...เราคิดได้ว่าการบอกให้เขารู้น่าจะดีกว่าการเก็บเอาไว้ เราเลยไม่กลัวอีกต่อไป...ที่จะบอกให้ม่อนรู้...ว่าม่อนคือคนที่ทำให้เราใจเต้นแรงทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ม่อนทำให้คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเรามั่นใจว่า...เราชอบม่อน”


จบประโยคนั้นพายุพัดก็จมูกลงที่หางคิ้วของคนหลับ จากนั้นจึงทอดตามองข้อความที่อยู่สุดหน้ากระดาษ


                                                                         ขอบคุณนะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
                                                                                 
                                                                                         พาย
                                                                                 23 มีนาคม 2550
...


พายุพัดดึงประตูปิด ดวงตาละจากภาพของชายวัยสี่สิบปีเศษที่นอนอยู่บนเตียง มองป้ายที่ติดใต้ช่องกระจกระบุชื่อผู้ป่วย “นที ทองทำนุ” แล้วถอนใจเบา ๆ หากเป็นเมื่อ 20 กว่าปีก่อนคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะเขาคือผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการกีฬาว่ายน้ำด้วยการคว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้ประเทศไทยในการแข่งการกีฬาเอเชียนเกมส์ เมื่อวันเวลาผ่านไปนทีก็ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ แต่เมื่อต้นปีก่อนเขาเกิดล้มป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากการตรวจอย่างละเอียดพบว่ามีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS โรคเดียวกับที่เคยคร่าชีวิตนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญรางวัลจากกีฬาโอลิมปิกมาแล้วหนหนึ่ง และเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดลื่นล้มในห้องน้ำจนศีรษะกระแทกพื้น อดีตนักกีฬาและผู้ฝึกสอนว่ายน้ำทีมชาติจึงได้ถูกส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้     
 

“น่าสงสารโค้ชว่ะ ลูกเต้าก็ไม่มี อยู่กับภรรยาแค่สองคน เกิดเจ็บป่วยพร้อม ๆ กันใครจะดูแล” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ที่สมาคมรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”


“ก็น่าจะรู้นะ ก่อนหน้านี้ที่เรามาเยี่ยมไปรอบหนึ่งเห็นมีดอกไม้เยี่ยมไข้จากสมาคมด้วย”


“แล้วพวกเราพอจะช่วยอะไรโค้ชได้บ้างไหม”


“ก็อย่างที่นายเห็นในกลุ่มที่คุยกัน เพื่อน ๆ จะรวบรวมเงินมามอบเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่โค้ชต้องอยู่โรงพยาบาล แต่ในระยะยาวยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นลองไปปรึกษาอาจารย์ทวีกันไหม”


ชลชาติพยักหน้า จากนั้นสองร่างสูงก็เดินเคียงคู่กันไปตามทางภายในหอพักผู้ป่วย เมื่อผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล บรรดาหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดต่างสะกิดแขนแล้วพากันซุบซิบ ทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนเอกสารต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่กำลังเดินผ่านคืออดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ก็วางมือแล้วบิดตัวไปมาด้วยความขวยเขิน


...


“รถติดเป็นบ้าเลย เราขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบชลชาติก็ผลุบหายเข้าไปในสุขาชายที่อยู่ใต้ตึกคณะ


เมื่อพายุพัดเดินตามเข้าไป ประตูห้องน้ำก็ปิดลงพอดี ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังอ่างล้างมือ มองตัวเองบนกระจกก่อนจะเลื่อนมือซ้ายขึ้นบีบไหล่ข้างขวา จากนั้นจึงหมุนก๊อกเปิดน้ำล้างมือ พลันหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา


“ธรรม์ณธรแม่ง! เอาแต่สั่งงาน สอนก็ไม่สอน” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่เดินเข้ามาส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครอยู่ข้างในหรือไม่


“เออ นี่เราจ่ายค่าเทอมเพื่อมาทำรายงานหรือไงวะ” อีกคนเสริม


“นายว่าไหม ธรรม์ณธรแม่งเอาแต่รับใช้รองคณบดี ทำโครงการให้คณะบ้างละ ไม่เคยจะได้สอนหรอก เอะอะก็สั่งงานแล้วก็ไป”


“ทำแล้วได้ตังค์นี่หว่า ลูกศิษย์โง่ก็ช่างมัน”


เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยยังคงจ้องมองสายน้ำที่ไหลผ่านมือซึ่งถูกันไปมา เมื่อเขาหมุนก๊อกปิดน้ำประตูห้องสุขาก็เปิดออก


ชลชาติก้าวออกมาแล้วกวาดตามองกลุ่มเด็กหนุ่มผ่านเงาสะท้อนในกระจกไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่หน้าโถฉี่ เขาเดินไปหยุดข้างพายุพัด เปิดน้ำล้างมือแล้ว ดึงกระดาษชำระแล้วบรรจงเช็ดอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาทุกคู่ที่กำลังมองมาอีกครั้ง


“ข...ขอโทษครับอาจารย์” คนเปิดประเด็นเอ่ยขึ้น


“ขอโทษผมเรื่องอะไร” อาจารย์หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาคนข้างกันต้องแอบกดยิ้มมุมปาก นั่นเพราะนานมากแล้วที่พายุพัดไม่ได้เห็นชลชาติในมุมนี้


“ข...ขอโทษที่เสียงดัง เสียมารยาท แล้วก็...ร...เรื่องอาจารย์ธรรม์ณธรครับ”


เห็นเป็นลูกศิษย์ที่ตนเป็นที่ปรึกษา ชลชาติจึงถือโอกาสอบรมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ซ้ำอีก “คนที่พวกคุณควรจะขอโทษน่าจะเป็นอาจารย์ธรรม์ณธรมากกว่า” พูดจบก็หันมาสบตาตรง ๆ


บรรดาเด็กหนุ่มได้ฟังก็หลุบตาลง ประสานมือไว้ด้านหน้า


“อาจารย์แต่ละคนก็มีวิธีการสอนของตัวเอง ถามว่าคุณทำรายงานแล้วคุณได้ความรู้ไหม ถ้าไม่คัดลอกแล้ววาง ผมก็คิดว่าน่าจะได้นะ ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์ของพวกคุณ จะพูดอะไรก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง ส่วนพวกคุณเองก็เป็นเด็ก เที่ยวไปพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นจะมองอาจารย์ธรรม์ณธรในแง่ลบ เขาจะพลอยมองพวกคุณไม่ดีไปด้วย”


“ครับอาจารย์ ขอโทษครับ” ทั้งหมดเอ่ยขึ้นพร้อมกันพลางยกมือไหว้ จากนั้นจึงหลีกทางให้อาจารย์ที่ปรึกษาเดินออกไป


“วิญญาณประธานชมรมว่ายน้ำเข้าสิงหรือไง” พายุพัดกล่าวขณะก้าวมาขึ้นมาเดินข้างกัน 


คำพูดหยอกล้อของเพื่อนรักมิได้ช่วยลดความเคร่งเครียดของชลชาติเลยสักนิด ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะร้อนใจอยู่หน่อย ๆ “พวกนี้ต้องถูกอบรมเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะเอาไปพูดกันสนุกปาก ต่อเติมกันไปเรื่อย เดี๋ยวไอ้ธรรม์จะเสียหาย”


พายุพัดยกมุมปากขึ้นพอให้รู้ตัวว่าตนเองกำลังยิ้มพลางคิดถึงเหตุผลที่ทำให้เขาคบหาชลชาติอย่างสนิทใจจนถึงทุกวันนี้ นั่นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยและความจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งธรรม์ณธร


“ที่จริงมันก็ไม่ได้ไปไหน ทำงานอยู่ในคณะนี่แหละ ติดตรงที่...เลือกทำงานให้บางคนเท่านั้นเอง” ชลชาติกล่าว ตามองเจ้าของร่างสูงที่ในมือถือเอกสารซึ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์ บังเอิญสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเข้าปะปนไปกับกลุ่มนักศึกษาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก 


เห็นว่ายังมีนักศึกษายืนรอเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนอีกพอสมควร สองคนจึงพากันเดินขึ้นบันไดก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องพักของอาจารย์ทวีตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบอีกฝ่ายกำลังรออยู่พอดี ชลชาติแจ้งความคืบหน้าอาการป่วยของโค้ชนทีให้ทราบ จากนั้นจึงเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขามากันในวันนี้


“ผมกับเพื่อน ๆ ปรึกษากัน อยากจะเสนอให้สมาคมตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติครับ” จากนั้นชลชาติก็อธิบายถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของกองทุน


ฟังแล้วอาจารย์นทีก็ถอนใจเบา ๆ “แต่ไหนแต่ไรมาสมาคมก็ไม่ได้มีมาตรการรองรับอดีตผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาทีมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากเสนอให้มีการตั้งกองทุนที่ว่า ผมก็จะช่วยร่างหนังสือถึงสมาคมให้ แต่ผมไม่รับประกันนะว่ามันจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการของสมาคมหรือเปล่า พวกคุณก็รู้ว่าเงินสนับสนุนต่าง ๆ ยังไงก็ต้องเอาไปลงกับนักกีฬาและผู้ฝึกสอนปัจจุบันที่ยังทำประโยชน์ให้กับสมาคมเป็นอันดับหนึ่ง”


“ผมเข้าใจครับอาจารย์” พายุพัดว่า “แต่วิธีนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือโค้ชนทีกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ได้ในระยะยาว”


อาจารย์ทวีพยักหน้า แม้จะหนักใจอยู่บ้าง แต่ตัวเขาเองก็อยากจะช่วยเพื่อนเก่าเช่นกันดังนั้นจึงตัดสินใจรับปาก “ถ้าอย่างนั้นลองดูก็แล้วกัน”


“แล้วก็อีกอย่างครับ” ชลชาติเอ่ยขึ้น “พวกผมคิดกันว่าจะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลที่รวมอดีตนักกีฬาทีมชาติ มีการเก็บค่าเข้าชมเพื่อเอามาสมทบทุนช่วยเหลืออดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาที่ตอนนี้มีปัญหาสุขภาพ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ผมจะส่งไอ้พายลงแข่ง” ทำพูดติดตลกแล้วโอบไหล่เพื่อนรัก


“อืม อันนี้พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะมันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพวกคุณกันเอง ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ก็บอกแล้วกันนะ”


หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ทวีก็ขอตัวไปสอนนักศึกษา ดังนั้นชลชาติจึงเดินออกมาส่งพายุพัดที่หน้าตึกคณะเพราะเขาเองยังเหลือชั่วโมงที่ต้องสอนอีกเช่นกัน


“เดี๋ยวเย็นนี้เราซื้อของกินเข้าไปนะ ว่าแต่นายจะกลับคอนโดเลยหรือเปล่า”


“ยังหรอก” พายุพัดกล่าว “ว่าจะแวะไปหาพี่เดชน่ะ”


ชลชาติพยักหน้าด้วยคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี “เดช” หรือ “เดชา อนุชิตอนันต์” คือนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์ อดีตแพทย์ประจำทีมทีมนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ปัจจุบันประจำอยู่ที่สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกายของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง


“ไปเยี่ยมเฉย ๆ หรือว่านายเป็นอะไรหรือเปล่า”


“แค่อยากเจอ ไม่ได้เจอนานแล้ว” พายุพัดตอบเรียบ ๆ จากนั้นสองคนก็แยกกันที่หน้าคณะ


...


 ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก พายุพัดก็ก้าวเข้าไปด้านในอาคาร ตาคมกวาดมองตัวอักษรบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์พยาบาลซึ่งประกอบกันเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้ “สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย” เป็นที่ที่บรรดานักกีฬาต่างคุ้นเคยกันดีเพราะเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ขายาวก้าวช้า ๆ ราวกับกลัวว่าจะได้พบคนที่มาหาเร็วเกินไป เมื่อแจ้งวัตถุประสงค์ของการมาเรียบร้อยแล้ว พยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ก็เดินนำเขาไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นเธอก็เปิดประตูเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านใน ครู่หนึ่งจึงกลับออกมา


“รอสักครู่นะคะ พอดีคุณหมอกำลังคุยกับคนไข้ค่ะ”


“ฝากเรียนคุณหมอว่าพรุ่งนี้ผมมาใหม่ก็ได้ครับ”


“ไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้วนะคะ คนไข้คนสุดท้ายแล้วค่ะ”


เมื่อได้รับการบอกกล่าวเช่นนั้น พายุพัดจึงตัดสินใจยืนรอที่หน้าห้อง ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความโต้ตอบกับนคินทรได้เพียงไม่กี่ประโยค ประตูก็ถูกเลื่อนเปิดพร้อมกับเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่ง


“เดินคล่องขึ้นแล้วนี่นะ”


“เอ้อ...ตั้งแต่มาให้เจ้าเดชดูดน้ำออกจากเข่าก็หายบวม ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจนายมากนะที่มาเป็นเพื่อน เดี๋ยวเดือนหน้ามาตรวจอีกรอบ อาจะวิ่งให้ดูนะเดช”


“ครับคุณอา จากนี้ก็หมั่นบริหารหัวเข่าตามที่ผมแนะนำไปนะครับ”


พายุพัดเก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็ใจหายวาบ เมื่อพบว่านอกจากตนเองจะรู้จักชายหนุ่มสวมสูทกาวน์แขนยาวนั่นแล้ว ยังรู้จักอีกสองคนที่สวมเครื่องแบบทหารด้วย นั่นก็คือพลตรี นายแพทย์อานุภาพ และพลตรี นายแพทย์ธรณิน พ่อของนคินทรนั่นเอง ภาพที่ตาเห็นเป็นผลให้เท้าทำงานโดยอัตโนมัติ กำลังจะหันหลังกลับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“อ้าวพาย มาทำอะไรที่นี่” นายแพทย์เดชากล่าว


ดังนั้นพายุพัดจึงจำต้องหยุดแล้วยกมือไหว้ทุกคน


“เธอนั่นเอง” อานุภาพเอ่ยขึ้น


“พ่อก็รู้จักพายด้วยเหรอครับ” เดชาเลิกคิ้ว


เจ้าของร่างสูงใหญ่พยักหน้าก่อนจะหันไปทางเพื่อน “คนนี้ไงที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่ามาด้วยกันกับลูกชายนาย ตอนที่ไปนำเสนอโครงการที่มูลนิธิก่อฝันปันสุข”


“โลกมันกลมดีแท้” ธรณินว่ายิ้ม ๆ


“ผมกับพายเราเคยเจอกันตอนที่ผมยังเป็นหมอประจำทีมทีมว่ายน้ำน่ะครับ” นายแพทย์หนุ่มกล่าว “ไงเรา วันนี้มาแค่แวะมาเยี่ยมพี่ หรือจะมาคุยกันเรื่องนั้น”


“อย่างหลังครับ” พายุพัดตอบเสียงแผ่ว


และเพราะคำว่า “อย่างหลัง” ทำให้เขาต้องเข้าไปนั่งอยู่ภายในห้องตรวจท่ามกลางวงล้อมของทั้งศัลยแพทย์ทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู และคุณหมอกระดูกและข้อ ในที่สุดก็จำต้องเล่าอาการทั้งหมดให้ฟัง


“เป็นมานานหรือยัง” ธรณินเอ่ยขึ้นหลังจากได้ฟังอาการของเพื่อนลูกชาย


“น่าจะตั้งแต่ก่อนไปเรียนเมืองนอกใช่ไหม” เดชากล่าวพลางหันไปหาอีกคนเพื่อหาข้อสรุป


“ตั้งแต่ก่อนเรียนจบก็เริ่มเจ็บมาเรื่อย ๆ ครับ แต่ตอนนั้นคิดว่ากล้ามเนื้ออักเสบธรรมดา ทายาแล้วก็หาย ก่อนไปเมืองนอกเริ่มเจ็บมากขึ้น ผมก็เลยมาปรึกษาพี่เดช” 


“เป็นเพราะหักโหมซ้อมใช่ไหม” ธรณินว่า


พายุพัดพยักหน้า


“แล้วหมอที่อเมริกาที่พี่เคยแนะนำให้ล่ะ เขาว่ายังไงบ้าง”


“ทำทุกวิธีแล้วครับ ทั้งกายภาพบำบัด ทั้งฉีดยาเข้าไปแต่ก็ไม่หาย พอต้องเก็บตัวแข่งโอลิมปิกผมก็ไม่ได้ไปพบหมออีกเลย จนประสบอุบัติเหตุแล้วกลับมาที่นี่ก็ยังไม่ได้รักษาต่อ”


“ทางนั้นเขาบอกไหมว่าจะรักษาต่อยังไง” เดชาถามทั้งที่จริงก็รู้คำตอบอยู่แล้ว


เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบ พลตรี นายแพทย์อานุภาพซึ่งมีประสบการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ป่วยในกรณีเช่นเดียวกันนี้จึงเอ่ยขึ้น “คงกลัวว่าผ่าตัดแล้วจะกลับมาว่ายน้ำไม่ได้เหมือนเดิมด้วยสินะ”


“ครับ” พายุพัดยอมรับตามตรง


“แต่ถ้ามันถึงขั้นที่ปวดมาก ๆ จนกระทบกับชีวิตประจำวันก็ต้องยอมนะพาย” เดชาว่า


“ผมทราบครับ ถ้าถึงขั้นนั้นก็คงต้องยอม แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมเลยจะมาปรึกษาพี่เดชว่าพอจะมีทางยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยไหม”


“พี่ยังตอบอะไรไม่ได้เหมือนกัน คงต้องให้ทำ MRI ดูให้แน่ว่านอกจากหินปูนเกาะแล้ว ตอนนี้เอ็นหัวไหล่นายเป็นยังไงบ้าง”


จากนั้นเดชาก็เริ่มอธิบายแนวทางการรักษา ไปจนถึงวิธีการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น ระยะเวลาการพักฟื้น รวมทั้งผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อทั้งหมอและคนไข้เห็นภาพตรงกันจึงได้จัดการเรื่องการรักษาให้เป็นไปตามระบบและนัดให้พายุพัดมาพบอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป


พายุพัดเดินตามมาส่งธรณินที่หน้าอาคาร และเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมาเมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก หมอทหารยศพลตรีหยุดรอทหารคนสนิทที่กำลังขับรถลงจากลานจอด ในระหว่างนั้นพายุพัดจึงเอ่ยขึ้น


“คุณลุงครับ คือ...ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณลุงครับ”


ธรณินหันมาสบตาคนพูด “มีอะไรรึ”


“คุณลุงอย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ม่อนฟังนะครับ”


“แล้วเธอจะบอกเจ้าม่อนมันเมื่อไร”


“ผมอยากทำเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นผมจะบอกให้ม่อนรู้ครับ”


“เรื่องสอนว่ายน้ำใช่ไหม” ธรณินถาม เขาเองพอจะรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากคำบอกเล่าของลูกชายและเพื่อนสนิทอย่างอานุภาพมาบ้าง


“ครับ ผมอยากทำมันให้ถึงที่สุด เท่าที่ยังพอทำได้”


“ตามใจเธอก็แล้วกัน แต่อย่าหักโหมให้มากนักล่ะ”


“ครับ คุณลุง”


“พ่อ”


พายุพัดเลิกคิ้ว


“เรียกพ่อก็ได้ คนกันเอง” พูดได้แค่นั้นก็รีบดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง “เจ้าม่อนโทรมา สงสัยจะถามข่าว อ้อ...รถก็มาพอดี พ่อไปก่อนนะ”


“ถ้าอย่างนั้น ผมลาตรงนี้เลยนะครับ...คุณพ่อ” พูดจบก็ยกมือไหว้


“โชคดี” ธรณินกล่าว จากนั้นจึงเดินไปที่รถพร้อมกับกดรับสาย เมื่อยกโทรศัพท์แนบหูก็พูดขึ้น “ไงลูกชาย... อืม... อ้อ... ใช่ ๆ  สบายมาก เจอกันคราวหน้าพ่อจะเตะปี๊บให้ดู...”


พายุพัดยิ้มพลางมองตามเจ้าของรูปร่างภูมิฐานในชุดทหารที่กำลังเข้าไปนั่งในรถ นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เรียก “พ่อ” นับตั้งแต่พ่อแท้ ๆ เสียชีวิต นึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ทำให้ความรู้สึกเมื่อครั้งยังเยาว์วัยหวนคืนมาอีกครั้ง


....    

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-10-2018 01:25:52
(ต่อค่ะ)

ซีดานสีเทาดำแล่นมาจอดที่หน้าสปอร์ตคลับในเช้าวันเสาร์ ก่อนลงจากรถนคินทรหันไปร่ำลาเจ้าแมวสองแม่ลูกในกรงและกำชับพิทักษ์ให้มารับตนเองที่บ้านของพายุพัดในวันถัดไป เมื่อชายหนุ่มสะพายเป้เดินเข้าไปด้านในก็ต้องประหลาดใจที่วันนี้ทั้งอาจารย์เมธีและอาจารย์สิริพิมพ์ผู้เป็นภรรยาต่างอยุ่ในชุดลำลองแทนที่จะเป็นชุดสำหรับลงว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาเหมือนเช่นเคย


“ช่วงนี้ฝนตกบ่อยจ้ะ อากาศเย็น เด็ก ๆ ไม่สบายกันเยอะ ครูก็เลยปิดสระ จะมีก็แต่พวกผู้ใหญ่ที่มาเล่นฟิตเนส นี่ก็เลยชวนกันออกไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อย” พูดจบก็ส่งกุญแจรถให้สามี


“วันนี้สุชาติก็ไม่สบายเหมือนกันครับ” นคินทรบอกพลางมองหาอีกคน


“เจ้าพายว่ายน้ำอยู่ในสระข้างในน่ะ” เมธีบอก “ครูเอากุญแจแขวนไว้หน้าประตู ยังไงฝากม่อนบอกเจ้าพายด้วยว่าถ้าจะกลับแล้วให้ใส่กุญแจได้เลย เดี๋ยวเกิดมีใครเข้าไปแล้วเผลอตกน้ำตกท่าจะไม่เห็นกัน”


นคินทรรับคำ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังสระว่ายน้ำในร่มซึ่งอยู่ถัดเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มแทรกตัวผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ จากนั้นจึงวางเป้ลงที่เก้าอี้ มองร่างสูงที่กำลังก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัวช่องว่ายกลางสระ เขาสวมกางเกงว่ายน้ำขาสั้นแนบไปกับเนื้อ เปลือยท่อนบนซึ่งแน่นไปด้วยมัดกล้าม เอวสอบเข้านิด ๆ แต่ช่วงไหล่กลับขยายกว้างกระนั้นยังดูสมส่วน พายุพัดถอยเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลังก่อนจะโน้มตัวแล้วใช้สองมือจับกับขอบแท่น จากนั้นจึงย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งลงน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟิน คิก ในระยะ 4-5 เมตร ท่วงท่าพลิ้วไหวนั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังดูโลมาแหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำไม่มีผิด และเมื่อนักกีฬาหนุ่มเริ่มหมุนแขนก็ทำเอานคินทรที่เดินอยู่ริมสระตามแทบไม่ทัน เพียงชั่วพริบตาร่างขาวโพลนก็กลับตัวถีบทะยานออกจากขอบสระอีกฝั่ง แล้วว่ายกลับด้วยท่าเดิม


นคินทรนั่งลงใกล้กับบันได รอกระทั่งอีกฝ่ายว่ายแตะขอบสระ ดวงตาทอดมองฉลามหนุ่มที่ดำผุดดำว่ายลอดทุ่นลู่ใกล้เข้ามา 


“ทำไมวันนี้มาเอง แล้วสุชาติล่ะ” พายุพัดถามพลางดึงแว่นตากันน้ำออกวางไว้บนขอบสระ ลูบหน้าลูบตาแล้วเสยผมไปด้านหลัง


“เราจะแวะมาบอกว่าสุชาติไม่สบายน่ะ”


“เรื่องแค่นี้เอง วันหลังโทรมาหรือส่งข้อความมาก็ได้” คนพูดน้อยกล่าวหน้าตาย หากแต่นคินทรรู้ดีว่าตนเองกำลังโดนล้อ


“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นเราจะโทรไปบอกให้พิงย้อนกลับมารับ จะได้ไปเที่ยวบ้านพิงด้วย” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์จากออกกระเป๋ากางเกงเตรียมจะกดแต่ก็ถูกมือใหญ่แย่งไปเสียก่อน


พายุพัดวางโทรศัพท์ให้ห่างตัวของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้น “เรายังพูดไม่ทันจบเลย”


นคินทรยกมือขึ้นกอดอก แสดงท่าทีให้รู้ว่ากำลังรอฟัง


“เราจะบอกว่า แต่ถ้ามาเป็นข้อความหรือเสียงก็ไม่หายคิดถึงหรอก เอาตัวมาน่ะดีแล้ว”


คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความเจ้าคารี้สีคารมที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้น สุดท้ายเขาเองก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง “ขึ้นเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”


“ช่วยดึงหน่อย” ว่าแล้วพายุพัดก็ยื่นมือให้


“ตอนลงไปทำไม่เห็นต้องให้ใครช่วยเลย บันไดก็มี” นคินทรบ่น กระนั้นยังเขยิบถอยหลังแล้วใช้สองมือดึงแขนอีกฝ่ายขึ้น แต่กลับสู้แรงไม่ไหว ถูกดึงลงไปในน้ำเสียเอง ชายหนุ่มตะเกียกตะกายทะลึ่งตัวขึ้น เหยียดขาจนสุดจึงรู้ว่าเท้าพอจะแตะถึงพื้นอยู่บ้าง ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ แล้วอดบ่นไม่ได้ “แกล้งเราแล้วยังจะมาขำอีก ขึ้นบันไดก็จบ เปียกหมดแล้วเห็นไหม”


“ม่อนไม่มีแรงดึงเราเองต่างหาก”


นคินทรมองคนที่ลอยตัวอยู่ใกล้ ๆ อย่างคาดโทษในขณะที่มือข้างหนึ่งเกาะทุ่นลู่แน่น ส่วนอีกมือถอดรองเท้าผ้าใบโยนขึ้นไปบนขอบสระ


พายุพัดขยับเข้ามาใกล้ จับมืออีกฝ่ายแล้วดึงออกจากทุ่น


“ด...เดี๋ยวพาย จะพาเราไปไหน”


“เราจะพาม่อนไปตรงจุดที่เราชอบที่สุด กลั้นหายใจนะ”


นคินทรพยักหน้า คลายมือข้างที่เหลือออกจากทุ่น กลั้นหายใจแล้วมุดลงใต้น้ำ ตายังคงมองมือของอีกฝ่ายที่จับมือของตนไว้ไม่ปล่อย เขาเหมือนกับคนนำทางที่ไม่มีวันยอมให้ผู้ร่วมทางคลาดสายตาไปไหน สองคนดำผ่านทุ่นลู่อันแล้วอันเล่ากระทั่งทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ต่างคนต่างเกาะทุ่นลู่เพื่อพักเหนื่อย นคินทรพบว่าขณะนี้ตนเองกำลังอยู่ที่จุดกึ่งกลางของสระ ตอนที่มองจากข้างบนยังคิดว่าไม่กว้างเท่าไร แต่พอได้ลงมาจริง ๆ กลับรู้สึกว่ามันกว้างมากและนักกีฬาคนหนึ่งคงต้องใช้กำลังอย่างมากกว่าจะว่ายไปแตะขอบสระเพื่อให้มีชื่อของตนปรากฏอยู่ในหน้าจอแสดงผลเป็นลำดับต้น ๆ


“เราคิดว่านายจะชอบเส้นชัยเสียอีก”   


“เราชอบตรงนี้มากกว่า ตรงนี้ทำให้เราเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นตะโกนเชียร์เรา” พายุพัดกล่าว มองคนตรงหน้าที่กำลังพาดคางบนทุ่นลู่เป่าปากกับน้ำจนเกิดเป็นเสียงประหลาด เหมือนเด็ก ๆ ที่เพิ่งลงสระเป็นครั้งแรก “ม่อน ฟังเราอยู่หรือเปล่า”


“เขินอยู่” นคินทรตอบเสียงอู้อี้ ไม่ทันระวังตัว จู่ ๆ พายุพัดก็ผลุบหายลงไปในน้ำ แล้วมุดข้ามมาโผล่ตรงหน้าเสียแล้ว จากที่เคยเกาะทุ่นลู่ สองมือจึงต้องเปลี่ยนมาเกาะบ่ากว้างเอาไว้แทน


เพียงฉลามหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยก็สามารถดันร่างของคนว่ายน้ำไม่เป็นไปจนแผ่นหลังชิดทุ่นลู่อีกฝั่งได้ พายุพัดใช้มือข้างหนึ่งเกาะทุ่นในขณะที่อีกมือสอดเข้าข้างลำตัวกอดเอวคนตรงหน้าเอาไว้แน่น และเมื่อมือขาวยกขึ้นเสยผมลู่น้ำที่ตกลงมาปรกหน้าให้ ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันอีกครั้ง เนิ่นนานจนพายุพัดเผลอเลื่อนหน้าคมเข้าหาใช้ปลายจมูกเขี่ยปลายจมูกของอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วผละออก ในที่สุดเขาก็ถามคำถามหนึ่งที่ทำให้ทั้งตนเองและคนฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


“เรา...ขอจูบม่อนได้ไหม”


นคินทรสบตานิ่ง ในที่สุดจึงปิดเปลือกตาลงเป็นคำตอบ พลันสันจมูกก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเนื้อปากนุ่มที่แตะย้ำซ้ำ ๆ ชั่วอึดใจริมฝีปากของพายุพัดก็เลื่อนลงประกบปากของตนจนแทบไม่มีช่องว่าง แม้จะดูเงอะงะในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ถือว่านุ่มนวลอ่อนหวานจนทำให้เป็นจูบแรกที่น่าจดจำ   


...


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์แล่นไปช้า ๆ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของบ่ายวันอาทิตย์  พายุพัดมองทางข้างหน้าสลับกับคนนั่งข้าง ๆ ที่ตอนนี้เอาแต่ทอดสายตาออกไปนอกกระจกหน้าต่างตั้งแต่ที่สองข้างทางเริ่มแวดล้อมไปด้วยป่าเขา   


“ทำไมมาทางนี้ล่ะ” นคินทรถามขึ้น   


“ทางนี้ก็ไปได้เหมือนกัน”


“เรารู้ว่าไปได้เหมือนกัน แต่มันอ้อมกว่ากันตั้งเยอะ ถ้าไปทางเดิม ไม่เกินสี่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”


“ไปทางนี้จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ ไง ขากลับเราขับมาคนเดียวก็ค่อยกลับทางเก่า”


นคินทรฟังแล้วได้แต่ส่ายหัวเมื่อไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาโต้แย้ง เขาทำเช่นนี้มาแล้วหนหนึ่งตั้งแต่เมื่อตอนเช้าที่พายุพัดบอกให้โทรไปบอกพิทักษ์ว่าไม่ต้องแวะรับ ไม่เข้าใจว่าพายุพัดจะต้องเสียเวลาไปส่งทำไม ในเมื่อพิทักษ์เองก็ต้องกลับไปที่บ้านพักครูที่อำเภอสันติสุขเหมือนกัน ซ้ำรถที่อีกฝ่ายขับก็เป็นรถของเขาด้วย


กว่า 2 ชั่วโมงที่ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางที่นคินทรไม่คุ้นเคย ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ และนาข้าวสีเขียวขจีในอำเภอปัว จนกระทั่งแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1256 มาได้สักพักจึงค่อย ๆ ไต่ระดับความชันเมื่อเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางที่นาน ๆ ถึงจะมีรถสวนมาสักคัน   


“เหมือนอยู่บนเมฆเลย” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อทิวทัศน์สองฟากถนนแปลเปลี่ยนเป็นภูเขาทอดตัวสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยปุยเมฆสีขาว


“เขาถึงเรียกว่าถนนลอยฟ้าไง ถ้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมก็จะได้เห็นดอกชมพูภูคาด้วยนะ” พูดจบเจ้าของรถก็ปิดแอร์แล้วลดกระจกลง


คนฟังมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้สายลมกระทบผิวหน้าพลางยิ้มกับตัวเอง จริงตามอย่างพายุพัดว่าที่เส้นทางนี้ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะขับรถแบบไม่รีบไม่ร้อน แวะชื่นชมธรรมชาติสองทางข้างทางราวกับพยายามจะถ่วงเวลาเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ แล้ว ยังสรรหาเรื่องราวมากมายมาเล่าให้ฟัง ทั้งหมดทที่เขาพูดในวันนี้คงเท่ากับทั้งสัปดาห์รวมกัน


“ยิ้มอยู่คนเดียวเลย ไม่เห็นบอกเราบ้างว่ายิ้มอะไร” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“เปล่า ไม่มีอะไร” นคินทรบอกพลางก้มลงมองมือของอีกฝ่ายที่เลื่อนมากุมมือตนไว้


“เป็นครูห้ามพูดปด คนพูดปดต้องถูกทำโทษ”


“จะทำอะไรเรา”


“อืม...ทำแบบเมื่อวานดีไหม”


“พอเลย” นคินทรปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วเสมองไปทางอื่น เมื่อนึกถึงสัมผัสหวานละมุนกลางสระว่ายน้ำเมื่อวันก่อนก็ให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า


ฝนที่โปรยลงมาบวกกับเส้นทางที่เริ่มคดเคี้ยวขึ้นทำให้รถเคลื่อนได้ช้าลง บางช่วงถนนโค้งเป็นรูปตัวเอสซ้ำยังลาดชันจำเป็นต้องอาศัยความระมัดระวังในการขับขี่ บางช่วงก็คล้ายกับเส้นทางนั้นถูกยกขึ้นเหนือมวลเมฆ มองเห็นไร่ข้าวโพด พื้นที่ทำการเกษตร และทิวเขาซ้อนกันเป็นลูกคลื่น สวยงามราวภาพวาดจนบางครั้งทั้งคนนั่งและคนขับก็อาจเผลอปล่อยใจให้ลอยไป จึงต้องชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระ กระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ รถก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานกว้างข้างทาง


เห็นตัวเลขที่หล่อจากปูนซีเมนต์ นคินทรก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือจุดชมวิว 1715 เมื่อเปิดประตูลงจากรถได้ ชายหนุ่มก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหยุดยังระเบียงที่ยื่นออกจากหน้าผา ทอดตามองทิวทัศน์เบื้องหน้าซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาเขียวที่ทอดตัวซ้อนกันสลับสีเข้มอ่อน มีท้องฟ้ายามเย็นเป็นฉากหลัง เมฆสีขาวลอยต่ำเรี่ยไปกับยอดไม้ อากาศโดยรอบหนาวเย็นเพราะฝนเพิ่งขาดเม็ด หากแต่ร่างกายกับรู้สึกอบอุ่นด้วยอ้อมแขนของคนที่เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง


“กอดอีกแล้ว”


“ไม่ได้เหรอ” พายุพัดถาม           


นคินทรไม่ตอบ เพียงแต่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังค่อย ๆ ทำให้เขาขาดจากอ้อมกอดนี้ไม่ได้ก็เท่านั้น


“อยากกอดชดเชยตอนที่เราไม่อยู่”


“ต้องไปกรุงเทพฯ อีกแล้วเหรอ”


“อืม เพื่อน ๆ คุยกันว่าจะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลหาเงินช่วยเหลือโค้ชแล้วก็อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติน่ะ”


“แล้วไหล่ล่ะ ยังปวดอยู่หรือเปล่า ไปหาหมอมาหรือยัง”


“ไปหามาแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” พูดจบพายุพัดก็พาดคางลงบนบ่าของคนตรงหน้า กระชับวงแขนแน่นเข้า “ถ้าเรากลับมาว่ายน้ำอีกครั้ง ม่อนจะเชียร์เราไหม”


นคินทรเหลียวมองอีกฝ่ายพลางยิ้มน้อย ๆ “มันแน่อยู่แล้ว ถ้าไม่เชียร์นายแล้วจะให้เราไปเชียร์ใคร”


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-10-2018 01:28:21
(ต่อค่ะ)


ธรรม์ณธรหยุดหอบที่หน้าห้องซึ่งติดป้าย “รองคณบดี” ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ ได้ยินเสียงคนข้างในอนุญาตแล้วจึงเปิดเข้าไป ชายหนุ่มยกมือไหว้เจ้าของห้องจากนั้นจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำเชิญ


“ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยครับที่มาช้า พอดีวันนี้ผมให้นักศึกษานำเสนอหน้าชั้นก็เลยเลิกเกินเวลาไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร อันที่จริงเรื่องของผมที่จะขอให้คุณช่วยก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร แค่จะขอให้ช่วยเซ็นเบิกเงินโครงการน่ะ พอดีกรรมการคนอื่น ๆ เขาเซ็นกันมาหลายรอบแล้ว” พูดจบอาจารย์ธนิตก็เปิดลิ้นชัก หยิบเอกสารขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ยังไม่ได้ใส่จำนวน คุณคงไม่ขัดข้องใช่ไหม”


“ไม่มีปัญหาครับอาจารย์” ธรรม์ณธรบอก จากนั้นจึงดึงปากกาจากกระเป๋าเสื้อลงชื่อในช่องผู้เบิกเงินแล้วส่งเอกสารคืนให้ “เรื่องทีมแพทย์พยาบาลที่จะมาดูแลผู้เข้าแข่งขันในงานวิ่ง ผมรบกวนให้พี่เดชาที่เคยเป็นหมอประจำทีมทีมชาติช่วยดำเนินการให้แล้วนะครับ คิดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้าก็น่าจะรวบรวมอาสาสมัครได้”


“บอกหมอเดชานะว่าไม่ต้องจัดมาเยอะนัก งบประมาณที่เรามีไม่ได้มากขนาดที่จะจัดทีมแพทย์ยี่สิบสามสิบคนเหมือนงานอื่น ๆ ยังต้องเอาไปจัดสรรอีกหลายเรื่อง”


“ครับอาจารย์


“เอาละ ยังไงก็ขอบใจมาก คุณนี่ทำงานคล่องดี เอาไว้อีกหน่อยผมจะสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าภาควิชา”


“ขอบคุณมากครับอาจารย์” ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริเมื่อการตั้งใจทำงานของเขาทำให้อีกฝ่ายเป็นความสำคัญ


“แต่ระวังพวกที่มันชอบทำตัวเด่นเกินหน้าก็แล้วกัน”


“อาจารย์หมายถึงใครครับ”


“นี่คุณไม่รู้เรื่องที่ชลชาติกับอาจารย์ทวียื่นหนังสือถึงสมาคมขอให้พิจารณาก่อตั้งกองทุนช่วยเหลืออดีตผู้ฝึกสอนและนักว่ายน้ำทีมชาติหรอกเหรอ”


“ผมเห็นเพื่อน ๆ คุยกันอยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไร”


“ไม่สำคัญได้ยังไง ยิ่งชลชาติน่ะเพิ่งได้รับคำชมจากท่านคณบดีเมื่อตอนที่ทำงานเปิดบ้าน แถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องจัดตั้งกองทุนนี่อีก คุณระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน ถ้าชลชาติทำสำเร็จขึ้นมาละก็ เขาจะกลายเป็นที่ยอมรับและชื่นชมของคนอื่น ทีนี้เส้นทางการเป็นหัวหน้าภาควิชาของคุณก็จะไม่ง่ายอีกต่อไป”


ธรรม์ณธรสบตาคนตรงหน้า เขาเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ธนิตบอก รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยเตือนสติ ส่วนตนเองก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ซ้ำรอยเดิม นั่นเพราะไม่ต้องการเป็นคนที่ถูกมองข้ามอีกแล้ว


....


โครงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติถูกนำเข้าเป็นวาระเพื่อพิจารณาในการประชุมของสมาคมว่ายน้ำในอีกหนึ่งเดือนถัดมา แต่แล้วเหล่ากรรมการก็มีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองเสียง เสียงหนึ่งเห็นควรให้สมาคมผลักดันกองทุนนี้ให้เกิดขึ้น ส่วนเสียงที่ไม่เห็นด้วยนั้นได้ชี้ให้เหตุผลว่าผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาที่ได้สิ้นสุดการเป็นทีมชาติแล้ว ควรยกความรับผิดชอบในการรักษาพยาบาลให้เป็นหน้าที่ของครอบครัว เงินทุนต่าง ๆ ที่สมาคมได้รับมาควรนำไปใช้เพื่อการดูแลผู้ฝึกสอนและนักกีฬาปัจจุบันที่ยังคงสร้างผลงานและทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นสำคัญ ดังนั้นโครงการนี้จึงถูกพักเอาไว้แล้วนำมาพิจารณาในครั้งต่อไป


“คนที่คัดค้านก็คือคุณธีระ” อาจารย์ทวีเอ่ยขึ้นหลังจากได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในที่ประชุมของสมาคมให้ลูกศิษย์ฟัง “เหตุผลของเขาก็พอฟังขึ้น”


“ธีระ ทวีศักดิ์ อดีตนักกีฬาดีเด่นสามปีซ้อน” พายุพัดเอ่ยขึ้น


เห็นอาจารย์ทวีพยักหน้า ชลชาติถึงกับมุ่นคิ้ว “ใครวะไอ้พาย ทำไมนามสกุลคุ้น ๆ”


“ลุงของธรรม์” คำตอบของเพื่อนรักทำอาจารย์หนุ่มถึงบางอ้อ


“เขาสนิทกับรองนายกสมาคม พูดอะไรใคร ๆ ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยหมด” อาจารย์ทวีเสริม


“ผมว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับไอ้ธรรม์แน่ ๆ”


“แล้วก็อาจจะเกี่ยวกับเราสองคนด้วย” พายุพัดกล่าวเสียงเรียบ


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไอ้ธรรม์ก็ไม่มีเหตุผลเลย เอาเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมมาปนเปกัน ผ่านมาตั้งนานแล้ว จะเจ็บแค้นอะไรนักหนาวะ”


อาจารย์ทวีที่พอจะทราบเรื่องราวในเชิงลึกถอนใจเบา ๆ ด้วยรู้ดีว่าทุกวันนี้ที่ธรรม์ณธรยังคงเดินไปไหนมาไหนได้อย่างไม่กลัวใครได้ก็เพราะบารมีของลุงซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาที่เคยทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติ “ผมคงช่วยพวกคุณได้เท่านี้ละนะ”


“เท่านี้ก็ดีมากแล้วละครับอาจารย์ ผมกับเพื่อน ๆ ทุกคนต้องขอบคุณอาจารย์มาก ๆ” ชลชาติว่า


“แล้วต่อจากนี้พวกคุณจะทำยังไง”


“เดี๋ยวพวกผมจะลองปรึกษากันก่อนครับ คงทำเท่าที่กำลังของพวกเราจะทำได้”     


เมื่อคุยกับอาจารย์ทวีเรียบร้อย สองคนก็พากันเดินลงจากตึก


“คิดอะไรอยู่วะ” ชลชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนเดินข้าง ๆ ดูเงียบขรึมผิดปกติ


“เราจะไปพูดกับธรรม์” พายุพัดตอบสั้น ๆ


ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะเมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นล่าง ธรรม์ณธรก็เดินสวนเข้ามาพอดี อีกฝ่ายยังคงทักทายด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทดังเช่นทุกครั้ง ส่วนพายุพัดและชลชาติก็ตอบกลับด้วยการนิ่งเฉยเหมือนเคย


“เรามีเรื่องอยากขอร้องนาย” จู่ ๆ คนพูดน้อยก็เอ่ยขึ้น


ธรรม์ณธรแสร้งเลิกคิ้วประหลาดใจ “คนไร้ความสามารถอย่างเราจะช่วยอะไรนักกีฬาใหญ่อย่างนายได้”


“ได้สิ” ชลชาติแทรกขึ้น “ก็เรื่องโครงการกองทุนสวัสดิการไง นายช่วยพูดให้ลุงนายสนับสนุนโครงการนี้หน่อยได้ไหม เพราะถ้ามันเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวนาย”


“แต่เราเห็นด้วยกับลุงว่ะ ว่าโค้ชหรือนักกีฬาที่โดนเขี่ยออกจากทีมชาติยังไงก็คือพวกหมดประโยชน์ เหมือนกับเรา นาย แล้วก็นายนั่นแหละ” ธรรม์ณธรกล่าวพลางชี้หน้าทีละคนแล้วหัวเราะพรืด “เอ๊า ๆ อย่าเพิ่งทำหน้าหงอย ถ้าจะให้ไปช่วยพูดให้ก็ได้นะ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย”


“อะไรวะ” ชลชาติชักเริ่มโมโห


“ได้ข่าวว่าพวกนายกับคนอื่น ๆ จะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลนี่ มาแข่งกันหน่อยไหมล่ะ” ว่าแล้วก็หันไปทางพายุพัดซึ่งถือว่าเป็นคู่ปรับเก่าตลอดการ “ถ้าไอ้พายชนะเราได้ เราจะไปพูดกับลุงเราให้”


"ได้” เจ้าของชื่อตอบรับอย่างไม่ลังเล “นายเองก็รักษาสัญญาด้วยแล้วกัน




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2018 01:51:17
พูดกันคนพาลอย่างไรก็ไม่ได้ผลหรอก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-10-2018 03:18:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

เดาว่า อีกไม่ช้า  ธรรม์จะต้องถูกคดีอะไรแน่ ๆ ก็ดันไปเซนต์เบิกเงินแบบไม่ระบุตัวเลขให้กับรองคณบดี

ดูก็รู้ว่า รองคณบดีธนิตเนี่ย  เลวของแท้ เลวสุด ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 03-10-2018 08:39:19
เค้าจูบกันแล้วววแง้
อ่านแล้วเขินจะเป็นจะตาย
พายหลงม่อนหนักมกากกกกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-10-2018 10:31:56
โอ๊ยยย มาเต็ม.. ทั้งความละมุน ทั้งมีเรื่องให้คิด และที่สำคัญบรรยกาศของเมืองน่านเหมือนเดินไปกับม่อนและพายเลย
ขอบคุณคนเขียนมาก
 :L2: :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-10-2018 16:46:15
อารมณ์แบบหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2018 16:48:00
 :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 03-10-2018 17:11:31
จริงๆ พายไม่เคยทำอะไรธรรม์เลย ทุกอย่างตั้งแต่สารกระตุ้น ทำตัวเองทั้งนั้น
แค่พายอยู่ในสถานะที่เป็น rival กับตัวเอง เลยถูกเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยๆ
เพื่อที่จะอยู่เหนือกว่าพาย เลยเลือกทางง่ายทางลัด ตัวเองเลือกทางผิดเองแท้ๆ
คนแบบนี้ต่อให้อยู่ที่สูงก็อยู่ได้ไม่นาน ซักวันก็ต้องลงมาต่ำตามเดิม ตามที่ควรจะเป็น
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-10-2018 18:00:59
บาดเจ็บจากการฝึกซ้อม เพื่อแข่งรับใช้ชาติ พอหมดประโยชน์ก็ไม่เหลียวแลกัน ใจร้ายอะ
เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ แทบทุกประเภทกีฬา สมควรมีกองทุนดูแลคนเหล่านี้ แบ่งเบาภาระบางส่วนก็ยังดี
ส่วนธรรม์นั้นชีวิตมีด้านเดียวเหรอ ยืนอยู่ฝั่งดาร์กตั้งกะเด็กจนโต
พอเข้าตาจนอยากรู้ว่าคนที่ตัวเองทำงานถวายหัวเขาจะยังเห็นค่าอยู่ไหม
ขนาดชลชาติเจอความร้ายกาจของธรรม์บ่อย ๆ ยังออกตัวแทนเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-10-2018 21:50:46
ธรรม์นี่ไม่รู้จักโตเลยจริงๆนะ คิดว่าพอมาเป็นอาจารย์สอนคนแล้วจะคิดอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-10-2018 22:47:41
ธรรม์ต้องรอวันที่ตัวเองเจ็บป่วยแล้วไม่มีคนช่วยดู จะได้รู้ แล้วไปเซ็นต์อะไรนั่น อนาคตเห็นงานเข้ามาแต่ไกล เป็นกำลังใจให้สู้ๆ เราไม่อยู่ข้างนาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 06:18:48
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 04-10-2018 19:30:26
ดีใจ ที่ได้อ่าน ความในใจ ของพาย   ซึ้งมากกกกกกกกกกกก  :กอด1:


อ้างถึง
“เรา...พูดไม่เก่ง กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้ไม่ครบ เราก็เลยต้องใช้วิธีเขียน หวังว่าม่อนจะอ่านมันจนจบ” พูดไปมือใหญ่ก็ลูบหลังคนที่อยู่เหนือร่างไป เห็นนคินทรค่อย ๆ หลับตาลงจึงกล่าวต่อ


“เคยได้ยินว่าถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน...หัวใจจะเต้นแรง ถึงแม้จะเห็นเขาตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นแบบนั้นกับใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันที่เราขึ้นรับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นตัวสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุจากอก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการได้พบใครคนหนึ่ง คนซื่อบื้ออย่างเราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขา สุดท้ายได้แต่บอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวใครคนนั้นก็จะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา เราก็เลยไม่คิดดิ้นรนไขว่คว้าอะไรอีก แต่อยู่ ๆ เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง และวันนั้นหัวใจของเราก็เต้นแรงกว่าที่เคย เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง เป็นคนรักสัตว์ แล้วชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด” ถึงตรงนี้คนพูดก็ยิ้มออกมา


“เราชอบนั่งมองเขาจากที่ไกล ๆ เวลาเห็นเขายิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาที่เห็นเขาทุกข์ใจเราเองอยากนั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่าเราจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เราไม่มั่นใจว่าถ้าเราบอกความรู้สึกให้เขารู้แล้วเขาจะว่ายังไง จะโกรธหรือเกลียดกันไหม จนวันหนึ่ง...เราคิดได้ว่าการบอกให้เขารู้น่าจะดีกว่าการเก็บเอาไว้ เราเลยไม่กลัวอีกต่อไป...ที่จะบอกให้ม่อนรู้...ว่าม่อนคือคนที่ทำให้เราใจเต้นแรงทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ม่อนทำให้คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเรามั่นใจว่า...เราชอบม่อน”




 ..ลุ้น ฉลามพาย ลงแข่งอีกครั้ง............... รอ ถธปทฟ มาลงตอนต่อไป ใจะจขาดแล้ว.......

คงไม่มีบาดเจ็บ กล้ามเนื้อฉีก อะไร แบบ นั้นนะ   ฮืออออออออออ :mew3:




 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 04-10-2018 20:48:34
ละมุนมาก :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 06-10-2018 02:10:09
ไม่อยาให้พายปิดม่อนเลยแงงง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: dyomonrain ที่ 10-10-2018 05:26:45
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ สนุกทีเดียว
เราอ่านถึงแค่หน้า 7

พอเจอทัศนคติความรักของม่อน เราเลยงงๆ นิดหน่อย
เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ อันนี้แค่ความคิดเรานะคะ (อีกด้านหนึ่ง)
ม่อนเหมือนจะเป็นคนมีหลักการเรื่องความรักที่ดี รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร
แต่สุดท้ายก็เห็นแก่ตัวอ่ะค่ะ

บอกว่าหวังว่าพายจะหักห้ามใจตัวเองได้ ควบคุมตัวเองได้
แต่ม่อนก็เป็นคนที่ปล่อยให้พายรู้สึกมามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าพายชอบ
แต่ม่อนปักธงไว้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ทำอะไรทั้งๆ ที่ทำได้ เพื่ออะไร?
คือจะบอกว่าเพื่อนกัน ไม่ต้องสนิทมากก็เป็นเพื่อนได้
แบบนี้มันยิ่งทำให้พายถลำลึกไปอีก สุดท้ายพอถึงขีดสุดที่เขาจะสารภาพ ตัวเองกลับบอกว่ารักกันไม่ได้ เฮลโหลลล

ซึ่งมันต่างจากเคสตอนม่อนกับฉายนะ เพราะฉายไม่ได้รู้สึกอะไรกับม่อน

ในความคิดเราม่อนไม่สู้อ่ะค่ะ รู้ดีทุกอย่าง ทำเพื่อคนอื่นมาเยอะ
รู้ว่าต้องทำยังไงฉายถึงจะมีความรับผิดชอบ รู้ว่าพูดยังไงพายถึงจะไปแข่ง
แต่พอถึงคราวตัวเองไม่พยายามทำอะไรซักอย่างเลย
อันนี้ง่ายมากแค่พายถอดใจก็จบได้

เราอินนะคะ เรื่องนี้สนุกมาก
แต่เราอินความรู้สึกของพาย ไม่ใช่ของม่อน มันเลยมีความติดค้างในใจ
เลยมาคอมเม้นท์ ถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีก็ขอโทษด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 17 กอด (03-10-2561 หน้า 9)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 10-10-2018 10:01:04
พาย สู้ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-10-2018 05:10:27
ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน


ชลชาติเงยหน้าขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมองคนฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่มาถึง  กระทั่งตอนนี้เกือบ 10 นาทีแล้วที่เขาต้องฟังอีกฝ่ายบ่นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการวิ่งเพื่อสุขภาพซึ่งคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาจัดขึ้นเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา


“มีปัญหาตั้งแต่ตอนเปิดให้ลงทะเบียนยันวันจริง น้ำดื่มไม่พอแจก คุณภาพเสื้อนี่ไม่ต้องพูดถึง เก็บเงินตั้งแพงทั้งที่ไม่ได้จ้างออแกไนซ์สักหน่อย เราเห็นทีมงานก็มีแต่นักศึกษา” แสนยากล่าวพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ทีมแพทย์กับหน่วยพยาบาลประจำจุดต่าง ๆ ก็น้อยมาก มีคนเป็นลมตั้งหลายคน หนักที่สุดคือมีคนหมดสติ โชคดีน้องพยาบาลกลุ่มหนึ่งเขาลงวิ่งด้วย ก็เลยช่วยทำ CPR ได้ทัน เป็นงานใหญ่แท้ ๆ แต่ดูไม่มีความพร้อมเลยสักนิด”


อาจารย์หนุ่มฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ได้ยินศิษย์เก่าที่เข้าร่วมโครงการบ่นในแบบเดียวกันนี้ แต่ไม่มีใครกล้าโวยวายเพราะเห็นว่ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้แก่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย เพื่อจัดซื้อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อไป


“มาบอกเราแล้วเราจะช่วยอะไรได้ นายต้องไปบอกคนจัดงานโน่น”


“บอกแล้ว คนอื่น ๆ ก็บอก แต่สุดท้ายก็หาคนรับผิดชอบไม่ได้ โยนกันไปโยนกันมา”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกบ่นได้แล้ว เพราะบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์” ชลชาติว่า ปลายนิ้วยังคงรัวไปบนแป้นพิมพ์ ดวงตาจ้องเขม็งที่หน้าจอ


หนุ่มศิลปินถอนหายใจแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนคางแทบจะพาดหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพา “นายเข้าใจคำว่าผู้ฟังที่ดีไหม เราแค่ต้องการให้มีคนฟังความอัดอั้นตันใจของเราบ้าง ไม่ได้ให้นายช่วยแก้ปัญหาสักหน่อย”


“แล้วถามเราสักคำหรือยังว่าเราอยากฟังหรือเปล่า เสียเวลาทำงานจริง ๆ” อาจารย์หนุ่มส่ายหัว พยายามสะกดอารมณ์ทั้งที่อยากดันหน้าผากคนที่กำลังใช้สองมือเกาะหน้าจอใจจะขาด


“หิวข้าวแล้ว”


คนฟังเงยหน้าขึ้นพลางมุ่นคิ้ว “ก็ไปกินสิ” พูดจบก็ก้มลงมองใต้โต๊ะ


“หาอะไรวะ”


“ก็จะดูว่าเราเหยียบหางนายไว้หรือเปล่า ถึงลุกไปไหนไม่ได้”


แสนยายืดตัวขึ้นพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกดหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้พับลงแล้วดึงมาไว้กับตัว


“เอาคืนมา เราจะทำงาน”


“พรุ่งนี้วันเสาร์ เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ นี่จะสองทุ่มครึ่งแล้วนะ”


ชลชาติชะงัก ยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นเป็นจริงตามที่อีกฝ่ายว่า เขานั่งพิมพ์เอกสารคำสอนเสียเพลินแถมยังต้องมาฟังแสนยาบ่นจนลืมเสียงสัญญาณเตือนผิดตึกเมื่อเกือบสามสิบนาทีก่อนไปเลย “จะสองทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย”


“ใช่ ไม่หิวข้าวหรือไง”


“นายหิวนายก็ไปกินสิ เดี๋ยวเราจะไปนั่งทำต่อที่หอสมุด”


“แต่เราหิว แล้วนายก็เคยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเรา”


“สัปดาห์หน้าก็แล้วกัน วันนี้เรายุ่งจริง ๆ เอาโน้ตบุ๊กเราคืนมาได้แล้ว”


แสนยามุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะถอนใจเบา ๆ แล้วส่งของคืนให้ “พวกไม่รักษาคำพูด เรารึอุตส่าห์ออกแบบป้ายให้ ส่งเมลให้ร้าน ต่อรองราคา ไปเอาให้ แถมยังมาช่วยติดตั้งอีก คนเรานะคนเรา...”


“พอ ๆ รำคาญ” พูดจบชลชาติก็สอดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาใส่ลงในกระเป๋า “ไปก็ได้ เลี้ยงคราวนี้แล้วไม่มีบุญคุณต่อกันแล้วนะ”


คนฟังก็รีบพยักหน้ารัว ทำตาวาวราวกับหมาเห็นกระดูกแบบที่อีกฝ่ายเคยพูด


เมื่อชลชาติลุกขึ้นถอดปลั๊กเครื่องใช้สำนักงานภายในห้องพัก เสียงสัญญาณประกาศเตือนครั้งสุดท้ายก็ดังขึ้นพอดี ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าก่อนจะเดินไปปิดไฟ ส่วนแสนยานั้นออกไปรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว


หนุ่มศิลปินเกาะขอบหน้าต่างทอดตามองแสงไฟระยิบระยับบนทางยกระดับ กำลังจะหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับไฟรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถแบบมีหลังคาคลุมของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาซึ่งใคร ๆ ต่างรู้กันว่าเป็นที่จอดรถสำหรับผู้บริหารระดับสูงของคณะ


“มัวมองอะไรอยู่ ไหนบอกว่าหิวไง”


แสนยาเหลียวไปตามเสียง เห็นชลชาติเดินไปไกลแล้วจึงรีบเดินตาม


เพราะใกล้เวลาตึกปิดอาจารย์หนุ่มจึงเลือกลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ซึ่งมีเวลาเปิด-ปิดเช่นกัน กระทั่งถึงชั้นลอยซึ่งคั่นระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง จู่ ๆ เท้าก็หยุดเมื่อมองลงไปด้านล่างเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา แม้จะค่ำมืดแต่เครื่องแต่งกายของเขายังคงเนี้ยบราวกับเพิ่งก้าวเข้ามาทำงานในชั่วโมงแรกของวัน ร่างสมส่วนเดินลิ่วโดยไม่สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ และนั่นคือสิ่งที่ฝ่ายนั้นปฏิบัติมาแต่ไหนแต่ไรนับแต่ยังไม่สวมหัวโขน


“คนนั้นใคร ตึกจะปิดอยู่แล้วยังจะเข้ามาทำอะไรอีก” แสนยาเอ่ยขึ้น


“อาจารย์ธนิต เป็นรองคณบดี”


“คนนี้นี่เองที่เป็นประธานจัดงานวิ่ง” นึกอะไรขึ้นมาได้หนุ่มศิลปินจึงรีบเดินลงบันได


“อ...อ้าว...ไอ้แสน จะไปไหน” ชลชาติเร่งฝีเท้าตาม


“ก็จะไปถามเขาไงว่ามีใครรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นให้รู้บ้างหรือเปล่า”


“เขาไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ อย่างนายหรอกน่า” ว่าแล้วชลชาติก็เอื้อมมือรั้งคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้


“ไอ้มีนปล่อย” แสนยาสะบัดจนหลุด ขายาวก้าวพรวดเดียวผ่านบันไดสามขั้น แต่กว่าจะถึงพื้น ชายในชุดสูทก็ขึ้นลิฟต์ไปเสียแล้ว “โว้ย! จะดึงทำไมเนี่ย”


“ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่สนใจนายหรอก ส่วนเรื่องรายงานน่ะ ก็มีคนรายงานแล้ว แต่เขาก็มองว่ามันเป็นเสียงจากคนแค่ไม่กี่คน สุดท้ายก็แค่ตัดบทด้วยการบอกว่าถ้ามีคราวหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”


“แล้วชาติไหนถึงจะจัดอีก จะเอาทั้งงานเลยไหมล่ะ เราจะไปล่ารายชื่อมาให้” หนุ่มศิลปินกล่าวในขณะที่คนฟังได้แต่ส่ายหน้า


“เราว่าไปหาข้าวกินยังมีประโยชน์มากกว่าไปพูดเรื่องนี้กับอาจารย์ธนิต” สิ้นสุดประโยคนั้นชลชาติก็เดินนำออกจากตึก


สองคนพากันเดินผ่านช่องประตูที่เชื่อมกับซอยซึ่งเต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ และสิทธิ์ในการเลือกร้านก็ตกเป็นของผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้มีพระคุณ


“เอาร้านนี้แหละ” แสนยาชี้ จากนั้นจึงผลักประตูกระจกเข้าไปภายในร้านชาบู


“กินชาบูก่อนนอนเนี่ยนะ”


“เออ จะให้กินตอนนอนแล้วหรือไง เวลากินยา หมอยังให้กินก่อนนอน ไม่เห็นหมอคนไหนบอกให้กินยาหลังจากนอนแล้วเลยสักที”


“แสน ๆ พอแล้ว ๆ” ชลชาติกล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ พลางถอนใจ รู้สึกเหนื่อยที่ต้องต่อล้อต่อเถียง พูดจบชายหนุ่มเดินไปนั่งลงเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสั่งอาหารจนเรียบร้อย เมื่อพนักงานยกจานใส่ผักและเนื้อสัตว์มาวาง สองคนก็ช่วยกันเททุกอย่างใส่ลงในหม้อ 


“มีน!”


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก “พี่ต่อ สวัสดีครับ มากินข้าวเหรอพี่”


“เออ พาลูกน้องมาเลี้ยงน่ะ นี่อิ่มแล้ว กำลังจะกลับ” ร่างท้วมในชุดยูนิฟอร์มปักสัญญลักษณ์หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่อกเสื้อกล่าว “ได้ข่าวว่าจะจัดว่ายน้ำการกุศลเอาเงินไปช่วยโค้ชนทีเหรอ”


“ใช่พี่ พี่ไปดูให้ได้นะ รับรองว่างานนี้คุ้ม นอกจากพี่จะได้เจอตัวท็อปของประเทศ ยังจะได้เห็นฉลามหินคืนสระอีกครั้ง” ชลชาติทำพูดติดตลก


“บ๊ะ! ไอ้พายก็จะลงว่ายด้วยเหรอ อย่างนี้พลาดไม่ได้แล้วละ ยังเสียดายไม่หายตอนมันประสบอุบัติเหตุแล้วประกาศอำลาสระ จัดเมื่อไรก็ส่งข่าวด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะชวนเพื่อน ๆ มาดู”


“ครับ ไว้ได้กำหนดการเมื่อไรผมจะติดต่อไปนะพี่”


“เอ้อ...ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ”


ชลชาติยกมือไหว้ เหลียวมองตามชายหนุ่มแก้มยุ้ยรุ่นพี่คณะเดียวกันและอดีตนักรักบี้ตัวแทนมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงหันกลับมายังหม้อชาบู


“ไม่เห็นบอกเลย” จู่ ๆ คนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น


“บอกอะไรวะ” อาจารย์หนุ่มถามพลาง ใช้กระบวยตักผักกับลูกชิ้นในหม้อ


“ก็เรื่องว่ายน้ำการกุศลนั่นไง”


“แล้วทำไมเราต้องบอกนายด้วย” ชลชาติพูดพลางก้มลงมองข้อความที่ปรากฏจอโทรศัพท์มือถือ


KhaoOat:  มีน เราได้วันกับสถานที่มาแล้วนะ หาคนออกแบบโปสเตอร์ให้ด้วย


“นะ ๆ บอกหน่อย ทำยังไงถึงจะได้ดู”


KhaoOat:  มีเวลาประชาสมัพันธ์แค่เดือนเดียว ด่วนนะมีน!!! เอาพรุ่งนี้เช้า ส่งข้อมูลให้ในเมลแล้วนะจ๊ะ จุ๊บๆ


อาจารย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝั่ง พลันมุมปากก็ค่อย ๆ ยกขึ้น “มันเป็นงานการกุลศน่ะ หารายได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ นายอยากดูไหม เราหาบัตรให้นายได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”


“ว่ามา” หนุ่มศิลปินวางตะเกียบ จ้องหน้าคนพูดด้วยความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย


“นายต้องออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานให้เรา”


“ได้ สบายมาก แต่ถึงนายไม่ให้บัตร เราก็ทำให้อยู่แล้วเพราะเราเป็นคนดี คนดีย่อมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก” แสนยายิ้มร่าก่อนจะคีบเนื้อหมูใส่ปาก


“ถ้าอย่างนั้นดีเลย เพื่อนเราส่งข้อมูลมาให้แล้ว เดี๋ยวเราส่งให้นาย”


“แล้วต้องเสร็จเมื่อไร” ว่าแล้วก็ยกตะเกียบคีบลูกชิ้นใส่ปาก


“พรุ่งนี้เช้า”


คำตอบสั้น ๆ ทำคนฟังสำลัก “ทำไมชอบสั่งงานกันแบบนี้วะ”


“เทพไม่ใช่เหรอ”


“มันก็ใช่”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบ่น รีบกิน จะได้รีบกลับไปทำงาน” ชลชาติหัวเราะ คีบลูกชิ้นใส่ลงในชามของคนตรงหน้า “อะ กินเยอะ ๆ คืนนี้ยังอีกยาวไกล”


แสนยาหน้านิ่ว ใช้ตะเกียบจิ้มลูกชิ้นใส่ปาก เคี้ยวกร้วม ๆ “แล้วนายไม่ลงว่ายกับเขาบ้างเหรอ เราไม่อยากไปเชียร์ไอ้พาย คนอะไรวะชอบทำหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา”


“นายก็เชียร์คนอื่นไปสิ งานนี้มีอดีตทีมชาติลงว่ายตั้งเยอะ”


“อายพุงละสิ”


“พุงพ่อง...”


“หือ? พุงอะไรนะ นี่ผู้มีพระคุณนะ” หนุ่มศิลปินแสร้งเลิกคิ้ว


“พุงเพิงอะไรเล่า รีบกินเถอะ จะได้รีบกลับ” ชลชาติบ่นขมุบขมิบด้วยรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก


...


พายุพัดสะดุ้งตื่นเพราะอาการปวดที่หัวไหล่และเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังขึ้นถี่ ๆ มือใหญ่ควานหาข้างลำตัว เปลือกตาเปิดขึ้นสู้แสงจากหน้าจอ เห็นข้อความนับร้อยที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อใช้ปลายนิ้วลากผ่านพลางกวาดมองคร่าว ๆ จึงรู้ว่าเพื่อน ๆ กำลังคุยกันเกี่ยวกับกำหนดการจัดงานว่ายน้ำการกุศล ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูพอจะทำให้เห็นว่าอีกฝั่งของเตียงนอนไร้ซึ่งเงาของนคินทร จำได้แต่เพียงว่าเมื่อตอนหัวค่ำตนเองกำลังนอนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ได้ยินเสียงเปิดฝักบัวสักพักก็ได้กลิ่นหอมของสบู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำตอนไหน และตัวเขานั้นผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พายุพัดขบกรามแน่นขณะค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้น จากนั้นจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก เห็นเจ้าซ่าหริ่มนอนขดอยู่ใกล้กับกองผ้าดิบบนแหย่งไม้สัก ที่พื้นมีทั้งสะดึงและอุปกรณ์สำหรับเย็บปักวางอยู่ ส่วนนคินทรกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง คงจะคุยโทรศัพท์กับพ่อและแม่เหมือนเช่นเคย 


ร่างสูงเอนกายหนุนหมอนนอนลงบนแหย่งไม้ มือไล่คว้าหางเจ้าแม่แมวที่กำลังกวัดแกว่งไปมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงเจ้าของบ้าน


“ทำไมออกมานอนตรงนี้ล่ะ”


“โทรศัพท์สั่นก็เลยสะดุ้งตื่นน่ะ เห็นไฟข้างนอกเปิดก็เลยออกมาดู”


นคินทรไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่นั่งลงกับพื้น วางโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะญี่ปุ่น หยุดเกาพุงเจ้าตะโก้เล่นจากนั้นจึงหยิบสะดึงปักผ้าขึ้นมาลงมือปักลายที่ทำค้างไว้


พายุพัดขยับตัวนอนตะแคงสูดกลิ่นกายของคนตรงหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “หอมจัง” พูดจบก็ลงมานั่งข้าง ๆ กัน ใช้สองแขนโอบเอวรั้งคนตัวหอมให้เอนหลังพิงกับอกของตน “ทำอะไรเหรอ”


“ปักผ้า วันนี้คุณครูภาณีเขาสอนเด็ก ๆ ปักชื่อตัวเองบนเสื้อนักเรียน เราเห็นน่าสนุกดีเลยขอเข้าไปเรียนด้วย คุณครูเขาก็เลยให้ยืมอุปกรณ์มา”


“แล้วม่อนปักรูปอะไร”


“ดอกเสี้ยวไง สวยไหม” พูดจบก็ยกสะดึงในมือขึ้นแล้วเหลียวมองคนที่ยื่นหน้ามาจนคางเกือบจะเกยไหล่ของตน


พายุพัดทอดตามองลายดอกไม้สีชมพูอ่อนบนผ้าดิบก่อนจะตอบซื่อ ๆ “ต้องปักอีกสักร้อยดอก”


“ใจร้ายว่ะ” นคินทรบ่นยิ้ม ๆ


หนุ่มนักกีฬาหัวเราะเบา ๆ ละสายตาจากปลายเข็มที่แทงทะลุเนื้อผ้ามองแพขนตาของคนพูดเรื่อยลงมาจนถึงจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ที่ข้างสันจมูก ในที่สุดก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อมองเลยไปยังริมฝีปากได้รูป


 “ยิ้มอะไร”


“เปล่านี่” เจ้าของวงแขนแกร่งบอก จากนั้นจึงซุกหน้าแล้วถูปลายจมูกไปมากับบ่าของอีกฝ่าย


“พอน่า จั๊กจี้ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้านะ” นคินทรว่า ที่ต้องเร่งให้อีกฝ่ายรีบเข้านอนก็เพราะวันรุ่งขึ้นพายุพัดจะต้องพาสุชาติไปเข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ภาคเหนือที่สระว่ายน้ำสนามกีฬาจังหวัดแพร่ รายการแข่งขันนี้เป็นรายการแข่งขันที่ใหญ่ขึ้นมากอีกสำหรับเด็กชายวัยสิบย่าสิบเอ็ดปี แต่เพราะตัวเขาติดธุระสำคัญจึงจำต้องปล่อยให้ผู้ฝึกสอนและนักกีฬาไปกันเองตามลำพัง


“นอนไม่หลับ”


“ตื่นเต้นเหรอ”


พายุพัดพาดคางลงบนบ่าของอีกฝ่าย เอียงคอมองริมฝีปากที่กำลังขยับพลางนึกถึงสาเหตุที่ตนเองนอนไม่หลับไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะหากเข้าไปนอนตอนนี้ก็จะไม่มีคนตัวหอม ๆ ให้กอดต่างหาก


“สุชาติก็คงตื่นเต้นเหมือนกัน คืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้” นคินทรกล่าวเนิบ ๆ พลางสอดเข็มมัดปม แล้วใช้กรรไกรตัดด้ายที่เหลือออก “เหมือนตอนที่พ่ออนุญาตให้เราไปทัศนศึกษาที่ลำปาง เป็นครั้งแรกี่ยอมให้ไปเที่ยวไกล ๆ คืนนั้นเรานอนไม่หลับเลย”


“คืนก่อนหน้านั้นเราก็นอนไม่หลับเหมือนกัน พอถึงวันแข่งกลับเจอคนที่ทำให้นอนไม่หลับไปอีกหลายคืน” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของอีกฝ่าย


นคินทรเลื่อนตาลงมองคนบนตักพลางลูบศีรษะของเขาเบา ๆ “พาย”


“หืม?”


“กดดันหรือเปล่า” 


“ไม่เลย เราไม่ได้หวังว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง แต่เราเชื่อว่าสุชาติต้องทำออกมาดีที่สุดเหมือนที่ม่อนเชื่อในตัวเรา” พายุพัดบอกก่อนจะดึงมือนิ่มมาแนบแก้ม


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-10-2018 05:15:54
(ต่อค่ะ)

หลังจากพาสุชาติตระเวนแข่งขันรายการเล็ก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์ได้ระยะหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่ต้องพาฉลามตัวน้อยไปเผชิญกับโลกกว้าง เห็นว่าเป็นช่วงปิดเทอมพายุพัดจึงให้เด็กชายเริ่มต้นโดยการเข้าร่วมแข่งขันว่ายน้ำชิงแชมป์ภาคเหนือ และสุชาติก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลจากรายการแข่งขันนั้นมาครองได้สำเร็จ ในที่สุดพายุพัดในฐานะผู้ฝึกสอนก็ตัดสินใจส่งชื่อสุชาติเข้าร่วมแข่งขันรายการสำคัญรายการหนึ่ง นั่นคือการแข่งขันว่ายน้ำระดับเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยที่จัดโดยสมาคมว่ายน้ำร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์เมธีซึ่งอนุญาตให้ทั้งโค้ชและนักกีฬามาเก็บตัวฝึกซ้อมที่สปอร์ตคลับ และอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมาการเดินทางตามหาความฝันของฉลามตัวน้อยก็เริ่มขึ้น


นคินทรมองร่างเล็กที่กำลังเอาหน้าแนบกับกระจกหน้าต่างเครื่องบินแล้วอดยิ้มไม่ได้ สองแขนกอดเป้สะพายหลังแน่นตั้งแต่กัปตันนำเครื่องขึ้นจนมีเสียงประกาศว่าเครื่องจะลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองในอีกไม่กี่นาที แม้เขาจะเสนอให้วางสัมภาระที่นำติดตัวมาไว้บนช่องเหนือศีรษะแต่เด็กชายก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวของจะหาย เพราะข้างในนอกจากจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ที่พ่อกับแม่ซื้อให้ ยังมีแว่นตากันน้ำที่พี่แยมและพี่มะนาวหุ้นกันซื้อและขนมที่เพื่อน ๆ ในห้องฝากมาให้กินระหว่างเดินทางด้วย


มือเล็กเลื่อนขึ้นทาบบนระนาบกระจกในขณะที่ดวงตาวับวาวจับจ้องไปยังเมฆก้อนใหญ่ เด็กชายไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้สิ่งที่ปกติได้แต่มองจากพื้นดินเช่นนี้ ภาพของทุ่งนาป่าเขาค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพของถนนหนทางเชื่อมโยงต่อเนื่อง มองเห็นหลังคาบ้านเรียงรายเป็นแถวทิว เล็กเกือบเท่าหัวไม้ขีด เคยฟังยายเล่าว่ากรุงเทพฯ นั้นอยู่ไกลแสนไกล ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวัน ๆ เมื่อตอนที่รู้ว่าครูพายต้องเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ ยังเคยฝากขนมมาให้กินระหว่างทางเพราะกลัวว่าครูจะหิว แต่วันนี้รู้แล้วว่าเจ้านกเหล็กตัวนี้นอกจากจะทำให้กรุงเทพฯ อยู่ไม่ไกลแล้วยังทำให้ท้องฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม


เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินดอนเมือง สุชาติก็สะพายเป้อย่างกระตือรือร้น ชะเง้อรอว่าเมื่อไรจะเป็นงคิวของตนที่ได้เดินออกจากเครื่องบินสักที ทันทีที่ผู้โดยสารเริ่มขยับตามกันร่างเล็กเดินนำสองหนุ่มไปตามสะพานเทียบเครื่องบนที่เชื่อมระหว่างเครื่องบินกับอาคาร พลันหัวใจก็เต้นรัวยามเมื่อได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยครั้งแรก ดวงตาทอประกายกวาดมองไปรอบ ๆ ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยผู้คนที่รอเดินทาง ภายในอาคารมีร้านค้าและร้านอาหาร นอกผนังกระจกมีทั้งเครื่องบินที่จอดนิ่งและลำที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งหมดล้วนเป็นภาพตื่นตาที่เด็กชายตั้งใจว่าจะต้องกลับไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง


“โอ้โห! กว้างกว่าสนามบินบ้านเราตั้งเยอะครับครู” คนตัวเล็กกล่าวขณะเดินไปตามทางเลื่อน


“จะสุดทางแล้ว ระวังด้วยนะ อย่ามัวแต่ตื่นเต้น” นคินทรกำชับก่อนจะหันไปยิ้มกับเจ้าของร่างสูงที่สาวเท้าตามอยู่ด้านนอก
เมื่อใกล้สุดทางเลื่อน เด็กชายก็กระโดดแผล็วจากนั้นจึงรีบวิ่งไปหาพายุพัดที่หยุดรออยู่


นคินทรมองคู่หูต่างวัยที่พากันวิ่งไปบนทางเดิน ต่างฝ่ายต่างหลบหลีกผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางบันไดเลื่อนเพื่อรับกระเป๋าสัมภาระราวกับทุกคนเป็นสิ่งกีดขวางในเกมของพวกเขา ครูหนุ่มได้แต่โคลงหัวยิ้ม ๆ ก่อนดึงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย 


ถึงบริเวณที่พักผู้โดยสาร พายุพัดก็ชะลอฝีเท้าเมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มที่เมื่อครู่เห็นว่ากำลังเงยหน้าขึ้นมองจอแสดงเวลาขึ้นลงของเครื่องบินก็หันมาทางนี้และส่งยิ้มให้ เขายกมือขึ้นโบกก่อนจะเดินตรงเข้ามา ยิ่งใกล้เท่าไรพายุพัดก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่เคยพบหน้าอีกฝ่ายมาก่อน หนุ่มนักกีฬาได้แต่ยืนนิ่ง แต่แล้วร่างสูงของชายผู้นั้นก็ผ่านไป ทันทีที่เหลียวกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายกำลังทักทายนคินทรที่กำลังเดินตามมา


“ครูพายเร็ว ๆ ครับ” สุชาติเรียกก่อนจะวิ่งย้อนกลับมาดึงแขนแกร่ง


“ด...เดี๋ยวสุชาติ” คนไม่ทันตั้งตัวร้องห้ามแต่ก็ช้าไป แม้แรงที่ฉุดรั้งนั้นจะไม่มาก แต่ก็ทำให้รู้สึกปวดร้าวไปทั้งแขน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นเผลอขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นกุมหัวไหล่ แต่เมื่อเห็นเด็กชายทำหน้าซีดเป็นไก่ต้มจึงได้ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ 


“ค...ครูพายเจ็บแขนเหรอครับ ผมขอโทษนะครับ”


“ไม่เป็นไร” เจ้าของร่างสูงตอบยิ้ม ๆ พลางโยกหัวเจ้าหนู


“เป็นอะไรหรือเปล่า” นคินทรเอ่ยขึ้นทันทีที่เดินมาถึง


พายุพัดตอบโดยการส่ายหัว เลื่อนมือมากระชับสายเป้สะพายหลังแล้วมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไปยังชายหนุ่มที่กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน


“ไม่เป็นเป็นไรแน่นะ”


คนถูกถามดึงสายตากลับก่อนจะตอบ “เราไม่เป็นไร”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ อาทหารจอดรถรออยู่ข้างนอกแล้ว ไปกันสุชาติ ประตูสิบ” พูดยังไม่ทันขาดคำเด็กชายก็วิ่งนำไปเสียแล้ว
นคินทรกำลังจะเดินถามก็ต้องชะงักเพราะคำพูดหนึ่ง “เดี๋ยวม่อน คนเมื่อกี้...ใครเหรอ”


“เพื่อนเก่าน่ะ” เห็นอีกฝ่ายวางหน้าขรึม เกรงว่าหากปล่อยไปจะเข้าใจผิดเหมือนที่เขาเคยเข้าใจผิดเรื่องมีนจึงกล่าวต่อ “ไม่ใช่แฟนเก่าหรอก เพราะเราเพิ่งมีแฟนคนแรกตอนอายุยี่สิบแปดนี่เอง”


“ม่อน” คนฟังมุ่นคิ้ว ในที่สุดก็ไม่อาจกลั้นยิ้มได้อีกต่อไป


...


เด็กชายจากจังหวัดน่านเกาะขอบประตูเมอร์เซเดรส-เบ็นซ์ ตามองออกไปนอกกระจกตั้งแต่รถเลี้ยวออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองตึกสูง บางครั้งก็จ้องมองผู้คนบนประจำทางสีครีม-แดงที่จอดติดอยู่ข้างกันนานนับสิบนาทีพลางถอนหายใจจนนคินทรที่นั่งอยู่ข้างกันต้องชวนคุยเป็นระยะ และเมื่อเมอร์เซเดรส-เบ็นซ์เคลื่อนเข้าภายในรั้วรอบขอบชิดเต็มที่ไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กก็ปรากฏขึ้นในแววตาของสุชาติอีกครั้ง
รถจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังใหญ่ เมื่อพายุพัดที่นั่งอยู่ข้างคนขับเปิดประตูลงมายืน เจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของคุณลุงบ้านข้าง ๆ ก็ส่งเสียงเห่าทักทาย


“ตัวใหญ่จัง” สุชาติพึมพำพร้อมกับหลบหลังผู้เป็นครูเมื่อเห็นเจ้าหูตูบโผล่หัวออกมาทางซี่ลูกกรงที่ทำเป็นช่องสลับกับแนวกำแพง


“เจ้ากะหล่ำมันใจดี” นคินทรกล่าว


เด็กชายยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พายุพัดที่เดินมาหยุดข้างกันก็เอ่ยขึ้น “สุชาติสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของครูม่อนก่อน”
เจ้าของชื่อมองตามสายตาคนพูดเห็นสองสามีภรรยาจูงมือกันออกมาจึงยกมือไหว้


“นี่นะเรอะหนุ่มน้อยนักกีฬา” พลตรีนายแพทย์ธรณินกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางรับไหว้ทุกคน
สุชาติจ้องมองร่างสูงในชุดเครื่องแบบทหารด้วยความตื่นตะลึงแล้วกล่าว “คุณพ่อครูม่อนเท่จัง”


“เรียกคุณตาก็ได้” นคินทรบอก


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าก่อนจะหันไปหาหนุ่มน้อย “ตาเท่มากไหมสุชาติ”


“มาก ๆ เลยครับคุณตา”


พลตรีนายแพทย์ธรณินยิ้มพอใจก่อนหันไปยักคิ้วให้ภรรยา “เขาว่าเด็กไม่โกหกเนอะแม่”


“พ่อก็...” วาสนาส่ายหัว “มาเหนื่อย ๆ เข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก นี่แม่จัดห้องไว้แล้ว เดี๋ยวให้พายกับสุชาตินอนห้องม่อน ส่วนม่อนไปนอนห้องคุณปู่ก็แล้วกันนะลูก แม่ให้น้าอุ่นย้ายเครื่องนอนของลูกไปให้แล้ว”


“ครับแม่” ลูกชายว่าพลางโอบเอวผู้เป็นแม่ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน


“วันนี้พ่อให้อาทหารไปรับม่อนที่สนามบินแล้วพ่อกลับมายังไงครับ”


“เมื่อบ่ายมีนัดตรวจที่โรงพยาบาล พอดีเพื่อนพ่อเขาก็จะไปด้วยเหมือนกันก็เลยมาชวนไปด้วยกัน ขากลับเขาบอกจะมาส่ง พ่อก็เลยให้อาทหารไปรับลูก”


“แล้วนี่หัวเข่าเป็นยังไงบ้างครับ”


“ไม่ต้องห่วง ๆ เดี๋ยวนี้เช้า ๆ พอเดินออกกำลังกายได้เหมือนเดิมแล้ว หาน้ำหาท่าให้เพื่อนกินนะ เดี๋ยวพ่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” พูดจบธรณินก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน


“บ้านหอมจัง” พายุพัดเอ่ยขึ้น


สุชาติทำจมูกฟุดฟิด “จริงด้วยครับ ห้อมหอม”


“หอมเหมือน...” หนุ่มนักกีฬาพึมพำกับตัวเอง


“เหมือนอะไรเหรอจ๊ะพาย” วาสนาถาม


“เหมือน...” สบตาลูกชายเจ้าของบ้านแวบหนึ่งจึงกล่าว “ม...เหมือนดอกไม้ครับ”


“แต่ผมว่าหอมเหมือนครูม่อนมากกว่า” หนุ่มน้อยโพล่งขึ้น “หอมแบบนี้เลยครับ เพื่อน ๆ ในห้องยังบอกเลยว่าครูม่อนตัวห้อมหอม”


สองคนสบตากันอีกครั้งก่อนจะหันหน้าไปคนละทิศละทาง


“อ...เอ้อ สุชาติโทรไปบอกที่บ้านไหมว่าถึงแล้ว เดี๋ยวครูให้ยืมโทรศัพท์ พ่อกับแม่จะได้ไม่เป็นห่วง” พูดจบนคินทรก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ก่อนจะพาเด็กชายเดินออกไปที่สวนหลังบ้านทิ้งให้พายุพัดได้แต่ยืนเกาแก้มตัวเองพร้อมกับยิ้มเก้อ ๆ


“กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจ้ะ” วาสนากล่าว มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู


“ค...ครับ”


“ป้ามีเพื่อนทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ให้ความผ่อนคลายด้วยน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกวาสนา เขาก็เลยให้มาลองใช้ มีทั้งสบู่ น้ำหอม เทียนหอม เพราะรู้ว่าพ่อม่อนชอบกลิ่นดอกวาสนา ถ้าพายกลิ่นนี้ชอบเดี๋ยววันกลับป้าจะฝากไปให้ใช้นะจ๊ะ”


“ข...ขอบคุณครับ”


“ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะพาย เดี๋ยวป้าเข้าไปเตรียมอาหารในครัวก่อน” พูดจบนายหญิงของบ้านก็เดินหายเข้าไปในครัว 


พายุพัดปลดเป้ลงวางพิงกับโซฟา กวาดตามองไปรอบ ๆ บ้านสองชั้นที่ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา เฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดทำจากไม้ ใต้บันไดถูกทำเป็นชั้นวางหนังสือ ถัดไปเป็นตู้เก็บโล่และภาพการเข้ารับรางวัลต่าง ๆ ของพลตรีนายแพทย์ธรณินผู้เป็นเจ้าบ้าน ร่างสูงเดินไปหยุดที่โต๊ะวางจักรไฟฟ้า หยิบกรอบรูปที่ข้างในมีภาพถ่ายเด็กชายชั้นประถมสวมชุดแสดงโขนขึ้นมาดู พลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ครู่หนึ่งก็วางลงก่อนจะหยิบอีกอันซึ่งเป็นภาพชายหนุ่มสวมชุดครุยยืนเคียงข้างพ่อและแม่ในวันสำเร็จการศึกษา ทั้งสามคนในภาพต่างยิ้ม พาให้คนมองพลอยยิ้มไปด้วย


เสียงผิวปากเป็นทำนองเพลงคุ้นหูทำให้พายุพัดต้องวางกรอบรูปในมือลง หันกลับไปเห็นชายวัยใกล้เกษียณในชุดลำลองกำลังเดินลงบันไดมา เขายิ้มแต้ให้ลูกชายที่เดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี


“หิวหรือยังสุชาติ”


“หิวแล้วครับคุณตา”


“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวกัน” ธรณินว่ายิ้ม ๆ


เมื่อสมาชิกมากันพร้อม เจ้าบ้านซึ่งนั่งหัวโต๊ะก็เชิญให้ทุกคนลงมือรับประทานอาหาร นคินทรนั่งข้าง ๆ แม่ของตน ฝั่งตรงข้ามคือพายุพัดและสุชาติที่นั่งติดพลตรีนายแพทย์ธรณิน


“พรุ่งนี้พ่อจะไปดูสุชาติแข่งด้วยกันกับม่อนไหมครับ” ลูกชายเอ่ยขึ้นหลังจากรับประทานอาหารได้ครู่หนึ่ง 


“ไปสิ พรุ่งนี้เริ่มแข่งกี่โมงล่ะ” ธรณินมองเลยไปที่พายุพัด


“รายการแข่งของสุชาติเริ่มตอนสิบโมง แต่ต้องไปรายงานตัวตั้งแต่แปดโมงครึ่งครับคุณลุง”


หมอทหารยศพลตรีกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวอ้อมแอ้มในลำคอ “บอกแล้วไงให้เรียกพ่อ”


“ค...ครับคุณพ่อ”


คำพูดของผู้เป็นสามีทำเอาวาสนานึกขัน อดไม่ได้จนต้องกระเซ้าคนนั่งเยื้องกัน “อย่างนี้ก็ต้องเลิกเรียกป้าว่าป้าแล้วนะพาย”
หนุ่มนักกีฬาพยายามวางหน้านิ่ง แต่เพราะหัวใจที่พองฟูจึงไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป เขายิ้มน้อย ๆ พลางยกมือขึ้นเกาต้นคอ ไม่วายแอบสบตาคนตรงหน้าซึ่งอยู่ในอาการไม่ต่างกันนัก


วาสนาเหลือบมองลูกชายที่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ ก่อนจะหันไปถามเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ไม่พูดไม่จาเช่นกัน “ตื่นเต้นไหมจ๊ะสุชาติ”


“ตอนแรกตื่นเต้นมากครับคุณยาย แต่ครูพายให้คิดว่าการแข่งก็เหมือนกับการฝึกซ้อมที่เราต้องแข่งกับตัวเอง ตอนนี้เลยก็เลยเหลือแค่นิดหน่อยครับ”


คนฟังยิ้มด้วยความเอ็นดู นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเล่นของอีกฝ่ายจึงถามต่อ “สุชาติมีชื่อเล่นหรือเปล่าจ๊ะ”


“มีครับ ผมชื่อกำบี้ แต่เพื่อน ๆ เรียกว่าบู้บี้ครับ”


ทั้งนคินทรและพายุพัดต่างเงยหน้าขึ้นสบตากันเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ที่เคยได้ยินเด็กคนอื่น ๆ เรียกก็มักจะเรียกกันสั้น ๆ แค่บี้เท่านั้น แม้แต่ที่บ้านของสุชาติเองก็ยังเรียกเช่นนี้ สองคนจึงไม่เคยรู้ที่มาที่ไป และปกติก็พากันเรียกชื่อจริงของเด็กชายตามที่คุณครูคนอื่นเรียก


“โกรธไหมจ๊ะที่เพื่อนเรียกแบบนั้น”


เด็กชายส่ายหัว “ไม่ครับ”


“กำบี้...ที่แปลว่าแมลงปอน่ะรึ” ธรณินว่า


“ใช่ครับคุณตา”


“น่ารักจัง ใครตั้งให้จ๊ะ”


“ยายของผมเป็นคนตั้งให้ครับ”


“แล้วกำบี้มีพี่น้องหรือเปล่าจ๊ะ”


สุชาติพพยักหน้า “มีน้องชายชื่อกำเบ้อ ส่วนน้องน้อยที่เป็นผู้หญิงชื่อกำปุ้ง กำเบ้อแปลว่าผีเสื้อ ส่วนกำปุ้งแปลว่าแมงมุมครับ”


“เอ้อ! กำบี้ กำเบ้อ กำปุ้ง” หมอทหารยศพลตรีกล่าวกลั้วหัวเราะ “มีพี่น้องเยอะ ๆ ท่าทางจะสนุก ตอนนั้นเราน่าจะมีลูกหลาย ๆ คนบ้างนะแม่ เจ้าม่อนจะได้มีเพื่อนเล่น”


นคินทรเลิกคิ้วหันไปสบตาผู้เป็นแม่


“แม่เคยชวนให้มีลูกอีกสักคนพ่อก็ไม่ยอม” ว่าแล้ววาสนาก็หันไปทางพายุพัด “พ่อเขาบอกว่าเขาไม่อยากเอาความรักไปแบ่งให้ใครอีกแล้ว ลูกคนนี้เขารักของเขาคนเดียว ตอนที่ม่อนเข้าโรงเรียนใหม่ ๆ แล้วเพื่อนม่อนมาเรียกพ่อเขาว่าคุณพ่อแทนที่จะเป็นคุณลุงหรือคุณอายังแอบขัดใจ มาบ่นให้แม่ฟังอยู่บ่อย ๆ”


“ม่อนเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉายฟัง ฉายก็เลยเรียกพ่อว่าคุณลุงผู้พันตลอดเลย” นคินทรกล่าว


“ก็พ่อไม่ชิน ลูกเรามีอยู่คนเดียว อยู่ ๆ ใครไม่รู้มาเรียกเราว่าพ่อ ก็ต้องรู้สึกแปลก ๆ เป็นธรรมดา”


“ตอนนี้ชินแล้วเหรอจ๊ะ ถึงยอมให้พายเรียกว่าพ่อ”


“ก็...” ธรณินกระแอมเบา ๆ “พูดเยอะ เจ็บคอ”สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ตอบโดยการยกน้ำขึ้นดื่ม เสร็จแล้วก็หันไปคุยกับเด็กชายที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ปล่อยให้สามคนที่เหลือได้แต่สบตากันยิ้ม ๆ


...


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว วาสนาก็สั่งให้แม่บ้านพาสุชาติขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อจะได้รีบพักผ่อน ธรณินชวนนคินทรและพายุพัดไปที่ห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยลังกระดาษวางระเกะระกะ


“หนังสือพวกนี้มาจากไหนเหรอครับพ่อ” ลูกชายกล่าวก่อนจะนั่งลงกับพื้น หยิบหนังสือจากลังกระดาษาออกมาเปิดอ่าน ในขณะที่พายุพัดเองก็นั่งถัดจากเขาไปไม่ไกลนัก


“พ่อทยอยขนมาจากที่ทำงานน่ะ”


“เอาเข้าชั้นไหมครับ ม่อนช่วย”


“ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพ่อค่อยหาที่เก็บทีเดียว” พูดจบธรณินก็ถอนหายใจเบา ๆ “พูดแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทุกครั้งตอนที่ต้องเก็บของใส่กล่อง ยังคิดว่าเดี๋ยวเราก็จะได้ไปเริ่มต้นทำงานที่ใหม่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ มันคงจะแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน ทุกเช้าเคยตื่นขึ้นมาแล้วไปทำงาน แต่วันหนึ่งกลับต้องอยู่บ้านเฉย ๆ ลูกน้องที่เคยเห็นหน้าทุกวันก็จะไม่ได้เจอกันอีก นี่ก็เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์แล้ว”


พายุพัดกดตาลงมองกรอบรูปในลังกระดาษใกล้ ๆ ซึ่งเป็นภาพของพลตรีนายแพทย์ธรณินเมื่อครั้งยังหนุ่ม พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ในยามที่บ้านของป้านีถูกรื้อถอนออกไปจากตำแหน่งที่เคยอยู่ และนั่นเป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่ได้พบกับเพื่อนบ้านใจดีผู้นี้อีก...อาจจะตลอดไป


“ไม่เศร้านะพ่อ คิดเสียว่าทำงานมานานแล้วก็พักผ่อนบ้าง” นคินทรว่าก่อนเบนสายตาไปยังสิ่งที่พายุพัดเพิ่งหยิบออกมาจากลังกระดาษ ใต้กรอบรูปนั้นมีซีดี 2-3 แผ่น ซึ่งเป็นของศิลปินคนเดียวกัน “นี่พ่อเอาซีดีพี่เบิร์ดไปฟังที่ทำงานด้วยเหรอครับ”


ธรณินครางอือในลำคอ “พ่อซ้อมเอาไว้ร้องในงานเลี้ยงเกษียณน่ะ นี่ก็ไปยืมกีตาร์หลานชายคุณประชาที่อยู่ข้างบ้านเรามา อยากจะทำอะไรให้มันพิเศษ ๆ หน่อย” พูดจบก็เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางพิงไว้ข้างชั้นวางหนังสือแล้วกลับมานั่งลงที่โซฟา “คราวก่อนพ่อโทรไปหาม่อน ได้ยินเสียงกีตาร์ ถามม่อนม่อนบอกว่าพายเล่น ถ้าจะให้ช่วยทวบทวนความจำให้นักเรียนใกล้เกษียณหน่อยจะได้ไหม แต่ตอนนี้มือไม้มันแข็งไปหมดแล้วละ ถ้าไปไม่รอด เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับจากดูเจ้ากำบี้แข่งพ่อคงต้องเอาไปคืน”


พายุพัดมองคนที่กำลังตั้งท่าเกากีตาร์แล้วยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงใกล้ ๆ “ผมไปเล่นให้ได้นะครับ ยังไงช่วงนี้ผมก็ต้องเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ อยู่แล้ว”


พลตรีนายแพทย์ธรณินนิ่งนึกก่อนจะกล่าว “ไม่รบกวนแน่นะ”


“ไม่เลยครับ” คนพูดน้อยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงต้องรบกวนเธอแล้วละ” พูดจบก็ส่งกีตาร์ให้เพื่อนลูกชาย


“ผมยินดีครับ” พายุพัดรับกีตาร์มาจัดการตั้งสาย


นคินทรมองสองคนที่กำลังปรึกษาหารือการเรื่องเพลงที่จะเล่นในงานเกษียณได้เพียงครู่หนึ่งก็ต้องเดินออก เมื่อน้าอุ่นซึ่งเป็นแม่บ้านมาตามเขาไปพบกับผู้เป็นแม่ที่ห้องพระ กว่าจะคุยกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งพ่อและพายุพัดก็แยกย้ายกันไปเสียแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนของคุณปู่ อาบน้ำอาบท่าแล้วจึงเปิดประตูออกไปยืนรับลมที่ระเบียง นึกทบทวนเรื่องที่ได้ฟังจากผู้เป็นแม่ พลันเสียงลูกบิดประตูก็ทำให้ต้องหันกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่ข้างกัน เห็นพายุพัดเดินออกมาจึงเอ่ยขึ้น


“ยังไม่นอนอีกเหรอ”


“นอนไม่หลับน่ะ แล้วม่อนไปไหนมา”


“ไปคุยกับแม่น่ะ”


ใบหน้าไร้รอยยิ้มผิดกับเมื่อตอนหัวค่ำชวนให้พายุพัดนึกเป็นห่วงจึงถามต่อ “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”


นคินทรส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมกับกล่าว “เปล่า นายไปนอนเถอะ เราจะนอนแล้ว”


“ด...เดี๋ยวม่อน” พายุพัดรีบห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินกลับเข้าห้อง


“มีอะไรเหรอ”


“วันนี้ยังไม่ได้กอดเลย เราข้ามไปนะ” หนุ่มนักกีฬาเตรียมจะทำอย่างที่พูด แต่เสียงเห่าของเจ้ากะหล่ำกับคำห้ามปรามของลูกชายเจ้าของบ้านก็ทำให้ต้องหยุด     


“ไม่ต้องข้ามมา รออยู่นี่แหละ” นคินทรมุ่นคิ้วก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งเขาก็ออกมาพร้อมกับหมอนใบหนึ่ง ยื่นข้ามระเบียงไปให้อีกฝ่าย “นี่หมอนเรา เอาไปกอดไป”


พายุพัดรับหมอนสีขาวใบโตมากอดแต้ ก่อนจะค่อย ๆ ยกขึ้นสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทั้งที่ดวงตาสองคู่ยังสบกัน เล่นเอาเจ้าของหมอนต้องรีบเดินกลับเข้าไปในห้อง


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-10-2018 05:21:02
(ต่อค่ะ)

ผู้คนมากมายต่างจับจองที่นั่งเพื่อคอยให้กำลังใจนักกีฬาเยาวชนที่จะลงแข่งขันในรายการถัดไป นั่นคือการว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร (ชาย) รุ่นอายุ 10-11 ปี พลตรีนายแพทย์ธรณินนั่งคู่กับคุณวาสนาผู้เป็นภรรยาที่ตรงกลางอัฒจันทร์ ถัดลงไปคือนคินทรซึ่งกำลังชะเง้อหาเจ้าของที่นั่งข้าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่เสียที่ไหน กระทั่งก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่นาทีพายุพัดก็เดินมานั่งลงข้างกัน


“เป็นยังไงบ้าง สุชาติตื่นเต้นหรือเปล่า”


“นิดหน่อยน่ะ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


ทั่วบริเวณเงียบกริบทันทีที่เสียงโฆษกดังขึ้น และเมื่อเหล่าฉลามหนุ่มตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นกองเชียร์รอบ ๆ สระก็พากันปรบมือ เมื่อพายุพัดมองไปรอบ ๆ ก็ก็พบว่าหลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างเป็นคนที่เขารู้จัก บ้างเป็นผู้ฝึกสอน บ้างเป็นตัวแทนจากสมาคมว่ายน้ำที่มาทำหน้าที่แมวมอง สรรหานักกีฬาเข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรอรับการคัดเลือกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติต่อไป


และเมื่อโฆษกเริ่มแนะนำนักกีฬาในแต่ละช่องว่าย เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องอีกครั้ง แต่ละคนล้วนมาจากสโมสรหรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง กระทั่งถึงช่องว่ายที่หกซึ่งเป็นช่องว่ายของผู้เข้าแข่งขันหนึ่งเดียวจากต่างจังหวัด เสียงปรบมือกลับแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดและกลับดังขึ้นใหม่เมื่อถึงนักกีฬาช่องว่ายถัดไป กระนั้นเด็กชายร่างเล็กก็ก้าวออกมายืนด้วยความมั่นใจ สุชาติโบกมือให้โค้ชพายและครูม่อนที่นั่งให้กำลังใจอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของอัฒจันทร์ เมื่อได้ยินสัญญาณนกหวีด นักกีฬาทั้งแปดคนก็ก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัว ได้ยินกรรมการขาน “Take your mark” จึงก้มลงอยู่ในท่าเทียมพร้อม ทันทีที่สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ทุกคนก็พุ่งลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมกับดอลฟินคิกใต้น้ำไปได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มหมุนแขน


พายุพัดลอบมองคนข้าง ๆ ที่กำลังส่งเสียงเชียร์นักเรียนของตนไม่ขาดปาก พลางนึกถึงวันที่ตัวเขาเองเคยอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับสุชาติ ทั้งที่รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวตั้งแต่ตอนที่โฆษกแนะนำนักกีฬา แต่เมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องให้กำลังใจจากใครบางคน จู่ ๆ ก็มีกำลังฮึดสู้


“จะตามทันแล้ว กำบี้จะตามทันแล้ว”


พายุพัดต้องละสายตาจากเสี้ยวหน้าของครูหนุ่มแล้วหันกลับไปมองเจ้าของเสียง พลตรีนายแพทย์ธรณินเองก็ไม่ต่างกับผู้เป็นลูกชาย ป้องปากตะโกนเชียร์คนตกเป็นรองจนออกนอกหน้า ซ้ำยังลุกขึ้นยืนลุ้นจนลืมอาการปวดข้อเข่าของตนเองไปเลย


“พาย สุชาตินำแล้ว” นคินทรละล่ำละลักพลางเขย่าแขนแกร่ง


และเมื่อเด็กชายในช่องว่ายที่หกแตะขอบสระเป็นที่หนึ่ง ต่างคนต่างชูสองแขนขึ้นสุดก่อนจะกอดกันกลมด้วยความดีใจเช่นเดียวกับสองตายายที่นั่งถัดขึ้นไป


“ทำได้แล้วนะ” นคินทรว่าพลางตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ จากนั้นจึงคลายวงแขนออกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ ของผู้เป็นพ่อ


พายุพัดพยักหน้ายิ้ม ๆ “ขอบคุณนะ เราเพิ่งรู้ว่าความสุขที่ได้นั่งอยู่ริมสระมันเป็นแบบนี้นี่เอง”


...


“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา”


นั่นคือคำกล่าวสุดท้ายในงานเลี้ยงเกษียณของหมอทหารยศพลตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งแพทย์และนักพัฒนาที่ดีที่สุดคนหนึ่งของกองทัพบก พลตรีนายแพทย์ธรณินส่งไมโครโฟนคืนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบกับขาตั้ง รออีกฝ่ายปรับระดับจนเรียบร้อยจึงนั่งลงที่เก้าอี้


“ก่อนจะแยกย้ายกัน ผมมีบทเพลงหนึ่งตั้งใจมอบให้ทุกคน ผมชวนลูกชายมาเล่นดนตรีให้” พูดจบก็ผายมือไปยังอีกฝั่งของเวที “วันนี้เป็นวันพิเศษ ก็เลยอยากทำอะไรพิเศษ ๆ สักหน่อย เราจะได้ไม่ลืมกันตามชื่อเพลง”


เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้าวขึ้นบนเวทีพร้อมกับกีตาร์โปร่ง เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่เยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย ตั้งใจปล่อยเวทีนี้ให้เป็นของเจ้าของงาน และเมื่อเสียงปรบมือเงียบลง ปลายนิ้วก็เริ่มเกี่ยวสายโลหะจนเกิดเป็นท่วงทำนองสอดผสานกับเสียงทุ้มนุ่มของพลตรีนายแพทย์ธรณินยิ่งทำคนฟังน้ำตาคลอ


“มาได้ไงวะ” แสนยาพึมพำเมื่อมองขึ้นไปบนเวที


“เรามากกว่าที่ต้องถามว่านายมาได้ยังไง” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“เราก็มากับพ่อกับพี่เรา” พูดจบก็บุ้ยปากไปยังพันเอกอำนาจผู้เป็นพ่อและนายแพทย์เดชาลูกชายของพลตรีนายแพทย์อานุภาพที่เกษียณอายุราชการในปีนี้เช่นกัน


“ม่อนเป็นลูกชายคุณลุงธรณิน แล้วที่เมื่อกี้คุณลุงธรณินแนะนำไอ้พายว่าเป็นลูกชายมันยังไงกัน” คนขี้สงสัยมุ่นคิ้ว


“ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม” ชลชาติว่า กำลังจะเดินกลับไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่กับคุณป้าวาสนาที่โต๊ะแต่ก็ถูกขวางเอาไว้จนได้


“เดี๋ยววว อย่าเพิ่งไป”


“อะไรอีก” อาจารย์หนุ่มถอนใจ


“บอกมาก่อนว่าไอ้พายกับม่อนมันยังไงกันแน่”


“คุณลุงธรณินก็แนะนำอยู่ว่าพายเป็นลูกชาย ยังจะต้องสงสัยอะไรอีก”


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...ม่อน...ก...กับไอ้พาย...”


ชลชาติยักคิ้วก่อนจะกดยิ้มมุมปาก “ทำไม เสียดายหรือไง”


“เออ...เสียดายสิ เสียดายแทนม่อน ไม่น่าไปคบกับไอ้ฉลามหินอะไรนั่นเลย ชาตินี้คงไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากมันหรอก”


“นายรู้ได้ยังไง บางทีเวลาที่พายอยู่กับม่อน พายอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นายเห็นก็ได้”


คนฟังเบ้ปาก “เข้าข้างกันจริงจริ๊ง! ไปดีกว่า รำคาญ” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่กลายเป็นว่าถูกอีกคนรั้งแขนเอาไว้ 


“เดี๋ยว”


“อะไรอีก”


“ต้นเดือนหน้าอย่าลืมไปเชียร์ไอ้พายล่ะ ม่อนก็น่าจะมาด้วยนะ ก็สองคนนั้นน่ะ...”


“เออ! รู้แล้ว!” แสนยาแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “จะขยี้อะไรนักหนาวะ”


หลังกลับจากงานเลี้ยง คุณวาสนาก็โทรศัพท์หาลูกชายที่วันนี้ไม่สามารถมาร่วมงานเกษียณของพ่อได้


“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับแม่”


“ร้องไห้ไปตาม ๆ กันจ้ะ ทั้งคนเกษียณและคนไม่เกษียณ”


“แล้วพ่อละครับ ลืมเนื้อเพลงบ้างหรือเปล่า”


“ไม่ลืมหรอกจ้ะ พายแวะมาซ้อมด้วยเกือบทุกเย็น” ผู้เป็นแม่กลั้นหัวเราะ “ตอนพ่อเขาแนะนำว่าพายเป็นลูกชายน่ะแม่ยังขำไม่หาย”


“ทำไมเหรอครับ”


“คนที่ไม่รู้เขาก็คิดว่าพายเป็นลูกพ่อจริง ๆ จ้ะ มีคนทักเหมือนกันว่าพายน่ะหน้าเหมือนพ่อ แถมยังเหมือนนักกีฬาดัง พายเองก็เงียบ ๆ ไม่พูดอะไร พ่อเขาก็เลยเออออ บอกว่าลูกชายหล่อเหมือนพ่อ แล้วก็มีคนทักว่าเหมือนคนดังอยู่บ่อย ๆ”


“พ่อนี่ชอบอำตลอดเลย” นคินทรหัวเราะ 


“ส่วนเรื่องที่เราเคยคุยกัน...แม่กับพ่อจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สัปดาห์หน้าเราจะไปน่าน  ม่อนช่วยจองที่พักให้หน่อยนะลูก” การเปลี่ยนเรื่องของผู้เป็นแม่ส่งผลให้ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง และเมื่อวาสนาถาม “ม่อน ฟังแม่อยู่หรือเปล่าลูก” จึงได้ยินลูกชายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ 


“ได้ครับแม่”


“พ่อกับแม่ไม่ได้ทำให้ลูกลำบากใจใช่ไหม”


“ทำไมแม่ถามอย่างนั้นล่ะครับ”


“เราก็แค่ไม่อยากให้การได้กลับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวทำให้ลูกต้องเป็นทุกข์ ม่อนเข้าใจที่แม่พูดใช่ไหมลูก”


“เข้าใจครับแม่ ม่อนทราบครับว่าพ่อกับแม่รักม่อน”


“แล้วนี่ลูกบอกพายหรือยัง”


“ยังครับแม่ ช่วงนี้เห็นว่าเตรียมตัวซ้อมว่ายงานการกุศล ม่อนก็เลยยังไม่ได้คุย”


“จ้ะ ยังไงก็หาโอกาสบอกกันนะลูก”


“ครับแม่”


...


พายุพัดต้องประหลาดใจเมื่อจู่ ๆ ปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ก็มีโอกาสได้ต้อนรับคู่สามีภรรยาจากเมืองกรุงอีกครั้ง เมื่อจัดการยกกระเป๋าไปเก็บที่ห้องเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินกลับมายังบริเวณที่เป็นส่วนต้อนรับ นั่งลงพิงกรอบประตูปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนขนสีเหลืองขึ้นมานอนแกว่งหางอยู่บนตัก ฟังผู้ใหญ่สนทนากันเรื่องสัพเพเหระ


“เห็นพายบอกว่าคุณพ่อเกษียณแล้วเหรอคะ” ดวงพรเอ่ยขึ้น


“ใช่ครับ ไม่ได้ไปทำงานมาสองสัปดาห์แล้ว”


“เหงาไหมคะคุณลุง” เพียงพรรษถาม


“แรก ๆ ไม่ชินเลย มันเหมือนอยู่ ๆ ก็ต้องมาหยุดทำอะไรที่ทำอยู่เป็นประจำ ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกับคนที่เคยทำงานด้วยกันทุกวัน”


“น่าใจหายเหมือนกันนะคะคุณลุง”


“พอมีเวลาเยอะแล้วฟุ้งซ่านจ้ะ บ่นคิดถึงม่อนทุกวัน ก็เลยต้องพากันมาที่นี่” วาสนาเสริม


ในที่สุดพลตรีนายแพทย์ธรณินก็แจ้งถึงวัตถุประสงค์ในการมาเยือนน่านนครในครั้งนี้


“มาคราวนี้ลุงมีเรื่องจะรบกวนหนูฝนหน่อย”


“คุณลุงมีอะไรให้ฝนช่วยเหรอคะ”


“พอดีลุงจะสร้างบ้านใหม่ เห็นเจ้าม่อนชอบที่นี่ ลุงก็จะขอให้หนูฝนช่วยติดต่อสถาปนิกที่ออกแบบที่นี่ให้หน่อย จะให้เขาออกแบบบ้านหลังใหม่ให้ เวลาที่มาเจ้าม่อนมาอยู่ด้วยกันจะได้มีความสุข”


“ได้เลยค่ะคุณลุง” เพียงพรรษรับคำอย่างกระตือรือร้น


คำพูดของผู้อาวุโสทำคนที่นั่งฟังอยู่ห่าง ๆ ใจหายไม่น้อย พายุพัดยกเจ้าแมวอ้วนออกจากตักแล้ววางลงกับพื้น จากนั้นจึงเดินไปตามทางไม้ระแนงที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปขนาบข้างผืนนากว้างใหญ่ หันหลังให้ซีดานสีดำที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด เมื่อถึงต้นเสี้ยวปลายนาพายุพัดจึงหยุดทอดตามองแสงแดดยามเย็นที่สาดกระทบต้นข้าวที่เริ่มออกรวง อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อพลตรีนายแพทย์ธรณินเกษียณอายุราชการแล้วเช่นนี้ ก็คงถึงเวลาที่นคินทรจะต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวสักที การได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อและแม่ของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้ว่าหากวันเวลาสร้างเงื่อนไขให้นคินทรต้องเลือก เจ้าตัวก็คงจะตัดสินใจเลือกทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มนึกตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเข้าแทรกซึมอยู่ในความคิด ทั้งที่เคยลั่นวาจาว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่รั้งให้อีกฝ่ายต้องทนอยู่อย่างลำบากใจ


“มาอยู่นี่เอง” คนเพิ่งมาถึงเอ่ยขึ้น


เมื่อพายุพัดหันกลับมาก็พบกับรอยยิ้มที่ตนเองปรารถนาจะได้เห็นทุกเช้าค่ำ เขายิ้มตอบ อยากหยุดมองภาพนี้ไปอีกนานแสนนาน แต่ก็จำต้องสืบเท้าเข้าใกล้และสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อรอยยิ้มนั้นกำลังจะถูกแทนที่ด้วยน้ำตา


“พ...พาย เป็นอะไรหรือเปล่า” นคินทรกล่าวพลางลูบผ่านหลังกว้างอย่างเบามือ รู้สึกตกใจที่จู่ ๆ ร่างสูงก็เริ่มสั่นเทิ้ม พยายามจะดันออก แต่ยิ่งดันเท่าไรวงแขนแกร่งก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเท่านั้น


“ข...ขอโทษ... ขอโทษนะ” ปากพูดไปแต่ในใจกลับตะโกนก้องว่า “ไม่ไปได้ไหม อยู่ด้วยกันตลอดไปได้ไหม” พายุพัดกัดฟันกลั้นความรู้สึก ไม่ยอมผละจากคนในอ้อมแขน รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาด้วยเกรงว่ามันจะสร้างปัญหาให้แก่อีกฝ่าย


“ขอโทษเราเรื่องอะไร”


“ขอโทษที่เราอ่อนแอ เราเห็นแก่ตัว...”


“พาย...” นคินทรกล่าวเสียงแผ่ว ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจึงได้เห็นคราบน้ำตา “ร้องไห้เหรอ ร้องไห้ทำไม ไม่สบายใจเรื่องอะไรบอกเราได้ไหม” ว่าพลางยกมือประคองสองแก้มของคนตรงหน้าแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำใส ๆ ที่ใต้ดวงตาคู่นั้น


“ไม่ร้องนะ”


บอกคนอื่นนั้นง่ายดายกว่าบอกตนเองนัก...


ในที่สุดก็เป็นนคินทรที่ไม่อาจฝืนน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดที่เก็บงำเอาไว้ได้อีกต่อไป “เราต่างหากที่ต้องขอโทษ เราต่างหากที่เห็นแก่ตัว อ่อนแอจนไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง เราต่างหากที่พยายามจะหนี เราเองที่ทำให้นายต้องเสียใจ”


“ม่อน...” พายุพัดตกใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อตอนที่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นน้ำตาของนคินทรนั่นก็ว่าปวดใจแล้ว แต่ครั้งนี้กลับปวดใจเสียยิ่งกว่า ไม่คาดคิดว่าคนที่ปกติร่าเริงสดใสและมักยิ้มให้เขาเสมอจะมีบางสิ่งเก็บซ่อนอยู่ภายในใจเช่นกัน ฟังความในใจที่พรั่งพรูแล้วให้รู้สึกใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก แต่คนพูดไม่เก่ง ปลอบใครไม่เป็นเช่นเขาก็ทำได้เพียงดึงร่างของอีกฝ่ายกลับมาไว้ในอ้อมกอดดังเดิมเท่านั้น


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเมนต์ค่ะ
มีบางท่านเราตอบเป็นข้อความส่วนตัว
ยังไงลองตรวจสอบดูอีกทีนะคะ


สำหรับนิยายเรื่องนี้เราตั้งใจว่าจะรวมเล่มเอง ผู้อ่านสามารถให้ข้อเสนอแนะได้ที่แบบสอบถามที่ปักมุดในเพจนะคะ

 

 

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-10-2018 06:09:02
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 11-10-2018 08:34:31
แง้ ม่อนต้องไปอยู่กับที่บ้านหรอ หรือยังไงงง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-10-2018 08:57:02
ขอบคุณนะ ไม่มีอะไรที่จะเม้นไปดีกว่าคำๆนี้อีกแล้ว
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-10-2018 09:43:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

ราวกับว่าพายจะฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดนะเนี่ย

ความเข้าใจเราคือ พ่อกับแม่มาสร้างบ้านให้ม่อนที่น่าน

เผลอ ๆ ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่น่านเลยหล่ะ  ทีนี้ม่อนก็ไม่ต้องย้ายเข้ากรุงเทพแล้ว

แหม...ก็คุณพ่อตารักลูกชายคนใหม่ซะเต็มประดาอ่ะ

ก็ไม่เคยให้ใครคนไหนเรียกพ่อเลยนิ นอกจากฉลามพาย นาจา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-10-2018 09:58:48
ดีใจกับน้องกำบี้ ความพยายามและความมุ่งมั่นของน้องจะพาน้องไปไกลกว่านั้นแน่นอน
ม่อนย้ายกลับบ้าน พายก็ไปทำงานที่กรุงเทพด้วยสิ จะได้อยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-10-2018 10:37:54
 :เฮ้อ:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-10-2018 11:44:26
พ่อของม่อนจะยอมย้ายมาอยู่น่านแน่ๆเพื่อความสุขจองลูกชาย ที่จะให้สร้างบ้านก็ต้องเป็นที่ดินที่อยู่ติดกันด้วย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 11-10-2018 23:42:12
ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วอบอุ่นใจจริงๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-10-2018 00:08:11
เกิดอะไรขึ้นนนน  :katai1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 18 จะได้ไม่ลืมกัน (11-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-10-2018 18:16:05
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 13-10-2018 08:16:04
ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ


นคินทรซบหน้าลงบนบ่ากว้างเมื่อจู่ ๆ ความรู้สึกผิดต่อทุกสิ่งที่ติดค้างในใจก็ประดังเข้ามา ทั้งที่ตั้งใจมองข้าม พยายามจะจับมือกันก้าวข้ามไป แต่วันนี้คนตรงหน้ากลับทำให้เขาต้องหยุดคิด นคินทรไม่รู้ว่าเหตุใดพายุพัดจึงได้เอาแต่กล่าวคำขอโทษตน แต่เมื่อโดนสะกิดเพียงนิด ความรู้สึกที่ไม่เคยได้ปริปากบอกใครก็ถึงคราวที่ไม่อาจเก็บงำเอาไว้ได้อีก ส่วนหนึ่งคือความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่าย และอีกส่วนคือความรู้สึกผิดต่อบุพการี


พายุพัดที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันเลื่อนมือขึ้นจับท้ายทอยของร่างที่สั่นเทิ้มแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาจนแทบเท่าเสียงกระซิบ “เราต้องจากกันจริง ๆ แล้วใช่ไหม ถ้ามันถึงเวลาแล้วม่อนก็ไปเถอะนะ”


“อย่าเพิ่งไล่เราเลย อย่าเพิ่งจับเราไปวางตรงนั้นตรงนี้ เท่านี้เราก็รู้สึกว่าเราเห็นแก่ตัวมากแล้ว”


พายุพัดขยับห่างออกมานิด ประคองสองแก้มที่กรังไปด้วยคราบน้ำตา “ม่อน มันเกิดอะไรขึ้น”


นคินทรกัดฟันแน่นกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ในที่สุดก็ตัดสินใจเล่า...


“ม่อนจะว่ายังไง ถ้าพ่อกับแม่จะขายบ้านหลังนี้” วาสนากล่าวเมื่อลูกชายเปิดประตูเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบลงใกล้ ๆ


“ข...ขาย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่เชื่อหู “ถ้าขายแล้วพ่อกับแม่จะไปอยู่ที่ไหนครับ”


“พ่อกับแม่...เราคุยกันว่าจะซื้อที่ของป้านี ปลูกบ้านหลังใหม่ แล้วก็ไปย้ายไปอยู่กับลูกที่น่าน ลูกจะได้ไม่ต้องย้ายกลับมาที่นี่”


“แม่...” พลันน้ำตาก็ค่อย ๆ เอ่อล้นจนอาบสองแก้ม ชายหนุ่มสั่นศีรษะก่อนจะขยับเข้าโอบเอวผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่บนพรมหน้าโต๊ะหมู่บูชา “แม่อย่าทำให้ม่อนรู้สึกผิดเลยนะครับ ม่อนจะกลับ ม่อนสัญญาว่าม่อนจะกลับ จะกลับมาอยู่บ้านเรา พ่อกับแม่อย่าขายบ้านหลังนี้เลยนะครับ ม่อนรู้ว่าพ่อรักบ้านหลังนี้มาก ม่อนก็รักบ้านหลังนี้เหมือนกัน”


วาสนาวางมือลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วลูบเบา ๆ “ม่อนฟังแม่นะลูก ถึงพ่อจะรักบ้านหลังนี้ แต่เหนื่อสิ่งอื่นใดก็คือลูก”


คนฟังยิ่งสั่นหัว “แม่อย่าขายเลยนะครับ” นคินทรละล่ำละลักดึงมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมาแนบแก้ม “ม่อนจะกลับมา ม่อนสัญญา”


“พ่อกับแม่จะมีความสุขได้ยังไงถ้าลูกต้องเป็นทุกข์ เราจะพรากลูกจากคนที่ลูกอยากอยู่ใกล้ ๆ ได้ยังไง”


“ม...ม่อน ม่อนไม่เป็นไรแม่ ให้ม่อนโอกาสม่อนได้พยายามอีกหน่อยเถอะนะครับแม่ ม่อนสัญญาว่าม่อนจะกลับมาอยู่ที่บ้านของเรา”


ผู้เป็นแม่เลื่อนมืออีกข้างขึ้นประคองดวงหน้าหมดจดพลางสบตาคนที่รักสุดหัวใจ “แล้วพายล่ะลูก ตัวม่อนอีก อย่าให้ความตั้งใจของพ่อกับแม่เสียเปล่าเลยนะลูก”


พายุพัดฟังแล้วไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด นั่นเพราะเขารู้ว่านคินทรรักครอบครัวมากแค่ไหน และตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน แม้ลึก ๆ จะไม่อยากให้นคินทรจากไปไหน แต่เขาก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวเก็บอีกฝ่ายเอาไว้คนเดียวจนทำให้ผู้ใหญ่ต้องลำบากใจ   


“ถ้าเราเข้มแข็งกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกของทั้งเราและนายถลำลึกไปมากกว่าที่ควร ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้ เรากำลังจะทำให้ทุกคนต้องเสียใจ”


คนฟังแทบใจสลาย “ไม่ม่อน ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาด” พูดพลางดึงร่างของอีกฝ่ายกลับคืนสู่อ้อมกอดอีกครั้ง “อ่อนแอเถอะนะ จะร้องไห้ก็ได้ แต่ขอให้เราได้อยู่ข้าง ๆ ม่อนในช่วงเวลาแบบนี้ เราจะไปคุยกับคุณพ่อของม่อน ให้ท่านทบทวนอีกครั้ง”


และพายุพัดก็ทำตามที่พูด...


หลังจากรับประทานอาหารค่ำฝีมือเจ้าของโฮมสเตย์เรียบร้อยแล้ว พลตรีนายแพทย์ธรณินก็ออกไปยืนรับลมที่หน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเพียงพรรษที่เชิญให้ทุกคนรับประทานผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จจึงเดินกลับเข้ามา หยุดที่กรอบประตูวางมือโยกหัวลูกชายซึ่งนั่งเล่นอยู่กับเจ้าแมวแฝดสามแล้วจึงไปนั่งลงข้างภรรยา รับแก้วน้ำขิงอุ่น ๆ ที่หญิงสาวส่งให้มาจิบแล้ววางลง จากนั้นจึงเริ่มสนทนาเรื่องที่ค้างไว้ในระหว่างมื้ออาหาร


พายุพัดลุกจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ให้พี่สาวมาแทนที่ ส่วนตนเองเดินไปนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ มองสองผู้อาวุโสที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างตัดสินใจ ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น


“คุณพ่อแน่ใจแล้วเหรอครับ”


คำพูดของชายหนุ่มทำธรณินกระตุกยิ้มพร้อมกับโคลงหัวเบา ๆ พายุพัดไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามนี้แต่เป็นลูกชายของเขา นคินทรเฝ้าถามเช่นนี้ซ้ำ ๆ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาจะขายบ้านที่กรุงเทพฯ แล้วมาซื้อที่ดินข้าง ๆ โฮมสเตย์แห่งนี้เพื่อปลูกบ้านหลังใหม่ แต่เขาก็มิได้ให้คำตอบที่ให้ชัดเจนเพราะคิดว่าการให้คนเป็นแม่พูดกับลูกน่าจะดีกว่า   


“ผมอยากให้คุณพ่อลองทบทวนอีกสักครั้ง”


ธรณินสบตาภรรยาก่อนจะหันไปยิ้มให้ดวงพรด้วยรู้สึกชื่นชมหัวจิตหัวใจลูกชายของเธอ “เจ้าเด็กสองคนนี้นี่ คิดมากอะไรกันนักหนา” หมอทหารยศพลตรีว่าพลางมองเลยไปยังลูกชายของตนที่เอาแต่นั่งเงียบ พิงกรอบประตู ปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนสามตัวขึ้นมานอนบนตัก


“ผมยอมรับว่าลึก ๆ แล้วผมก็ไม่อยากให้ม่อนไปไหน แต่ถ้าม่อนอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความสุข ผมก็อยากให้เขากลับไปอยู่ที่บ้านที่มีทั้งพ่อและแม่ครับ”


“แล้วตัวเธอล่ะ”


“ผมไม่เป็นไร” พายุพัดตอบเสียงแผ่วหากแต่หนักแน่นยิ่งนัก


“แล้วเจ้าม่อนล่ะ”


คนถูกถามไม่รู้จะตอบเช่นไรทำได้แค่หันไปมองอีกคน


“ม่อนก็ไม่เป็นไรพ่อ”


วาสนามองทั้งสองคนพลางส่ายศีรษะ จากนั้นเอื้อมมือแตะหลังมือของสามีแล้วบีบเบา ๆ เธอบอกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาควรเป็นคนพูดเรื่องนี้กับลูกเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนคินทรถูกปลูกฝังมาในแบบที่ต้องเชื่อฟังผู้เป็นพ่อมากที่สุด แต่ธรณินก็ลีลาเยอะ จนเรื่องราวชักจะบานปลาย


“มานั่งใกล้ ๆ พ่อนี่ม่อน พ่อจะบอกอะไรให้”


เมื่อได้ฟังดังนั้น นคินทรจึงค่อย ๆ ยกเจ้าแมวอ้วนที่นอนขดอยู่บนตักวางลงที่พื้นทีละตัวก่อนจะย้ายไปนั่งลงตรงหน้าผู้เป็นพ่อ


“ลูกรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อลูกว่านคินทร” ธรณินยิ้ม “นั่นเพราะนคินทรแปลว่าภูเขา เพราะพ่อชอบภูเขา ดังนั้นพ่อถึงไม่ลังเลเลยตอนที่ถูกขอให้มารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์ พ่อตั้งใจจะมาคนเดียว แต่แม่ของลูกไม่ยอม เราก็เลยหอบหิ้วกันมาทั้งครอบครัว พ่อเคยคิดว่าวันหนึ่งจะลงหลักปักฐานที่นี่ แต่เพราะหน้าที่มันก็เลยออกมาเป็นแบบที่ลูกเห็น แม่กับลูกก็เลยต้องระหกระเหิน”


“ไม่...พ่อ ม่อนกับแม่เต็มใจ” นคินทรกล่าวเสียงเครือ


“พ่อรู้ ก็เพราะลูกกับแม่ที่เข้าใจ มันก็เลยทำให้ช่วงเวลาแห่งการทำงานของพ่อเป็นช่วงที่พ่อมีความสุขมาก ๆ” พูดจบผู้เป็นพ่อก็โน้มตัวลง ใช้มือทั้งสองจับที่ต้นแขนของลูกชายแล้วรั้งตัวของเขาขึ้น “แต่ตอนนี้พ่อพักแล้วม่อน ต่อไปนี้มันคือช่วงเวลาของลูก พ่ออยากให้ลูกมีความสุข เพราะความสุขของลูกก็คือความสุขของพ่อกับแม่ด้วย”


“พ่อ...” นคินทรโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อ


“พ่อจะถามลูกอีกครั้ง ลูกอยู่ที่นี่ ลูกมีความสุขใช่ไหม”


นคินทรพยักหน้าทั้งที่ยังซุกอยู่กับพุงอุ่น ๆ


พลตรีนายแพทย์ธรณินยิ้ม ตบหลังลูกชายเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่กำลังมองมาด้วยสายตาขอบคุณ “พอ ๆ อย่ากอดเยอะ พ่อเขิน”


คนฟังเช็ดน้ำตาไปกลั้นหัวเราะไป นั่งขัดสมาธิลงแล้วเอียงศีรษะอิงกับต้นขาของผู้เป็นพ่อ


“ดีจังเลยค่ะ มีคุณลุงกับคุณป้าย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านกัน แม่กับฝนก็จะได้ไม่เหงา น้องม่อนก็จะได้เจอคุณพ่อคุณแม่บ่อยขึ้น” เพียงพรรษว่า


“อย่าคิดว่ามาเป็นเพื่อนบ้านเลยจ้ะ คิดเสียว่ามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะจ๊ะคุณแม่ เราคนกันเอง” ดวงพรยิ้มให้หญิงวัยเดียวกันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทางนั้นก็ยิ้มตอบเช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้นผมฝากเจ้าม่อนไว้เป็นลูกชายคุณดวงพรอีกคนด้วยก็แล้วกันนะครับ” ธรณินว่า


“ถึงคุณพ่อไม่เอ่ยปาก แม่ก็ว่าจะขออยู่เหมือนกันจ้ะ” เจ้าของบ้านกล่าวพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดู


เสียงรัวกดเครื่องคิดเลขทำพายุพัดต้องหันไปมองพี่สาวแล้วกระซิบ “พี่ฝน ทำอะไร”


“เขินน่ะ รู้สึกเหมือนมีหนุ่มพาพ่อมาสู่ขอ”


น้องชายยกมือขึ้นเกาต้นคอ เสมองไปทางอื่นแต่ก็กลายเป็นเผลอไปสบตากับอีกคนเข้า สุดท้ายดวงตาสองคู่ก็จำต้องละจากกันโดยอัตโนมัติ


“เฮ้อ! เดี๋ยวหนูไปบอกให้คนงานจัดที่นอนให้น้องม่อนดีกว่าค่ะ จะได้พักผ่อนกัน”


หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อใครคนหนึ่งกระแอมขึ้นเบา ๆ


“เจ้าม่อนเคยนอนที่ไหนก็ให้นอนที่นั่นแหละ จะได้ไม่ต้องลำบากหนูฝน”


....


พายุพัดที่นอนฟุบอยู่กับหมอนเงยหน้าขึ้น เห็นคนข้าง ๆ กึ่งนั่งกึงนอนเอนหลังพิงหมอนใบโต มือขาวยกตัวเจ้าแมวอ้วนสีส้มลอยกลางอากศก่อนจะใช้ปลายจมูกถูกับปลายจมูกของเจ้าเหมียวเบา ๆ คนมองเม้มปากแน่นแสร้งถอนหายใจแรงแล้วขยับตัวนอนตะแคงหันหลังให้ สุดท้ายเมื่อไม่ได้รับความสนใจก็พลิกตัวกลับขึ้นมาทาบทับอยู่บนร่างของอีกฝ่าย เล่นเอาเจ้าทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองแตกกระเจิง มีแค่เจ้าทองหยอดที่กระโดดกลับขึ้นมาบนเตียงเลือกหาที่นอนตามใจชอบเช่นเดิม


นคินทรอุ้มเจ้าแมวขี้อ้อนขึ้นมาวางบนตัวคนที่ซุกหน้าลงกับซอกคอของตน มองเจ้าเหมียวใช้เท้าหน้าย่ำลงบนหลังแผ่นหลังกว้างแล้วหัวเราะ สองเท้าย่ำอยู่เช่นนั้นไม่กี่ทีก็ล้มแผละนอนแผ่หลับตาพริ้ม     


“ทองหยอดลงไปเลย” พายุพัดบ่นเสียงอู้อี้


“นายนั่นแหละลงไป” นคินทรว่า


“ไม่ นี่ที่ของเรา” ว่าแล้วก็ถูจมูกกับผิวเนื้อกรุ่นกลิ่นหอมอย่างมันเขี้ยว


“พาย...ลงไปนอนดี ๆ”


“ไม่ลง” พายุพัดยืนยันคำเดิมแกล้งขยับตัวจนเจ้าเหมียวหล่นจากตัว ปลายจมูกซุกไซ้ไต่ขึ้นไปตามลำคอระหงเรื่อยไปตามแนวสันกรามแล้วหยุดกระซิบชิดใบหู “อย่าไล่เราเลยนะ” พูดจบชายหนุ่มก็แนบหูลงกับแผงอกของคนใต้ร่าง ๆ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ


“อย่าหนีเราไปไหนอีกนะม่อน”


นคินทรสอดแขนเข้าข้างลำตัวอีกฝ่าย กอดเขาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เลื่อนมือข้างที่เหลือขึ้นแล้วแทรกเรียวนิ้วทั้งห้าลงกับกลุ่มผมสีดำสนิท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบเบา ๆ “เราไม่ไปไหนแล้ว ถึงจะไล่ก็ไม่ไป”


พายุพัดไม่เพียงแต่เงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ยังใช้ปากรับถ้อยคำจากปากของอีกฝ่ายมาเก็บไว้กับตัว กลีบปากที่ยังคงเผยอค้างเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวชวนให้เผลอใจแตะจูบลงอีกครั้ง...ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนแทบจะกลืนกิน มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อใส่นอนลูบไล้ไปตามลำตัวของคนใต้ร่างโดยไม่สนใจแรงต้านจากฝ่ามือที่ดันแผงอกของตน พายุพัดถอนริมฝีปากออกปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสกอบโกยอากาศ ตาคมเลื่อนต่ำมองปลายนิ้วของตัวเองที่กำลังปลดกระดุมเม็ดบนเผยให้เห็นผิวขาวขึ้นสี ชายหนุ่มพรมจูบไปตามแนวกระดูกไหปลาร้าเรื่อยลงมาถึงกลางอกอย่างหลงไหลจนกระทั่ง...


“พาย” นคินทรใช้มือตีเบา ๆ ที่แก้มสากเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างเลื่อนลอย


“ว...ว่าไงนะ” พายุพัดตื่นจากภวังค์


“มัวคิดอะไรอยู่ เราบอกว่าไปดูดาวกัน”


คนถูกถามไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ได้แต่ซุกหน้าลงกับซอกคอขาวแล้วโคลงหัวเบา ๆ


“พอแล้ว จั๊กจี้ ไปดูดาวกัน”


“ดาวก็อยู่นี่แล้วไง” พูดจบก็ดึงมือของนคินทรข้างที่สวมแหวนขึ้นมาแตะจูบบนข้อนิ้ว


“นะ ไปดูดาวกัน” คนชวนพยักหน้ารัว


แล้วจะไม่ให้ใจอ่อนได้อย่างไร พายุพัดสั่นศีรษะก่อนจะพลิกตัวกลับนอนแผ่อย่างอ่อนใจ


“ลุกเร็ว” คนที่ตอนนี้ลุกขึ้นเดินอ้อมเตียงมาอีกฝั่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งมือให้จับ แต่พายุพัดกลับหลับตาแล้ววางมือซ้ายลงมา


“ลืมตาสิ” นคินทรว่า


“อยากพาเราไปไหนก็ไปสิ” ชายหนุ่มกล่าว รอจนอีกฝ่ายออกแรงดึงให้ลุกขึ้น


“เดี๋ยวก็เดินชนข้าวของกันพอดี”


“เรารู้ว่าม่อนไม่ปล่อยให้เราเป็นแบบนั้นหรอก จริงไหม” พายุพัดยิ้มทั้งที่ยังหลับตา “ต่อไป...ม่อนจะเป็นเหมือนเข็มทิศของชีวิตเรานะ”


“เราคงเป็นเข็มทิศให้นายไม่ได้หรอก มีแต่จะพาหลง”


“ถึงว่า...”


“ถึงว่าอะไร”


“ถึงว่าว่าตอนนี้เราหลงม่อนจะแย่แล้ว”


“ไปจำมาจากไหน” นคินทรไม่ได้พูดอะไรมากหากแต่กุมมืออีกฝ่ายแน่น สองร่างเดินเคียงกันไม่ห่างไปตามเดินไม้ระแนง จนกระทั่งถึงต้นเสี้ยวต้นใหญ่


“ลืมตาเร็ว ถึงแล้ว”


พายุพัดเปิดเปลือกตาขึ้นมองคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


“ดาวเต็มไปหมดเลย ถ้าตอนนี้อยู่บนดอยเสมอดาวก็คงเห็นแบบนี้แน่ ๆ”


“ม่อนชอบดูดาวเหรอ”


นคินทรพยักหน้า


“เอาไว้เราจะพาไปอีกที่ ไปดูดาวบนดินบ้าง”


“ดาวบนดิน...ที่ไหนเหรอ”


พายุพัดไม่ได้บอกว่าที่ไหน เพียงแต่ถามกลับ “จะไปด้วยกันหรือเปล่าล่ะ”


นคินทรสบตาคนถามพลางยิ้มน้อย ๆ ยกมือที่ยังคงเกี่ยวกันแน่นให้ดูแทนคำตอบ


สายลมหนาวพัดต้นข้าวในนาเสียดสีกันดังสวบสาบ เบื้องหน้าคือความมืดดำหากแต่ยังปรากฏแสงดาวระยิบระยับช่วยล้างจินตนาการอันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและเภทภัยนานา ส่งผลให้ภาพที่เห็นกลายเป็นภาพตราตรึงใจไปจนกระทั่งยามหลับฝัน พายุพัดนั่งตัวตรงเพื่อเป็นที่พักพิงให้แก่คนที่ยึดเอาไหล่ของตนเป็นหมอนอิง แขนแกร่งเลื่อนขึ้นโอบไหล่หวังจะไล่ความเหน็บหนาวไม่ให้กล้ำกราย ในขณะที่ดวงตาก็มิได้ห่างหายจากเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย
   

“ทำไมนายถึงปฏิเสธทุนการฝึกอบรมผู้ฝึกสอนว่ายน้ำล่ะ” จู่ ๆ นคินทรก็เอ่ยขึ้น


“รู้ได้ยังไง อาจารย์เมธีบอกเหรอ” พายุพัดถอนใจพลางนึกถึงอีเมลที่ได้รับจากสมาคมว่ายน้ำแห่งประเทศออสเตรเลีย เชิญให้เขาเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนว่ายน้ำเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน


คนนั่งข้าง ๆ ตอบอือในลำคอแล้วกล่าว “อาจารย์เมธีให้เรามาช่วยพูดกับนาย ถ้ากำบี้รู้ก็คงอยากให้นายรับทุนนี้”


“เราไม่อยากไป เราอยากอยู่กับม่อนที่นี่” หนุ่มนักกีฬาตอกย้ำคำพูดของตนเองด้วยการกระชับวงแขนแน่น “ม่อนอยากให้เราไปเหรอ”


“มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราอยากให้นายไปหรือไม่อยากให้ไป เพราะทุกอย่างอยู่ที่นายตัดสินใจ เราแค่อยากให้นายคิดดูดี ๆ”


“แต่เราไม่ได้อยากเป็นโค้ชที่มีชื่อเสียง เราแค่อยากสอนเด็ก ๆ ให้ว่ายน้ำก็แค่นั้น”


“แต่นายคือฉลามพาย เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น นายอาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ใคร ๆ คิดอยากว่ายน้ำ แต่นายคือคนที่ทำให้อดีตนักว่ายน้ำเห็นว่าพวกเขายังสามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ถึงแม้จะไม่มีธงไตรรงค์ติดที่หน้าอกแล้ว”


พายุพัดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้กับความอ้อมค้อมที่มักนำพาให้เขาค้นพบหนทางที่จะเดินต่อเสมอ   


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 13-10-2018 08:21:28
(ต่อค่ะ)


ชลชาติมองลอดหน้าต่างบานเกล็ดเข้าไปภายในห้องศึกษาค้นคว้าสำหรับนักศึกษาปริญญาโทของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายในมีเพียงชายหนุ่มในชุดกางเกงยีน สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีดำ แขนเสื้อถูกถกลวก ๆ ขึ้นมาจนถึงศอก ผมสีเข้มรองทรงรวบตึงตั้งแต่ช่วงกลางศีรษะแล้วปัดไปทางด้านหลังเพื่อไม่ให้ปอยผมตกลงมาระลูกตา แว่นสายตากรอบโลหะที่สวมส่งผลให้วันนี้ใบหน้าของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย


“โทรศัพท์ก็ไม่รับ คิดแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางวางแก้วทรงสูงที่ข้างในมีเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กเม็ดเล็กลงบนโต๊ะ


แสนยาเงยหน้าขึ้นมองพอให้รู้ว่าเป็นใครก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้ปากกาขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญที่อ่านผ่าน “มีอะไรหรือเปล่า”   


“เราแวะเอาบัตรเข้าชมการแข่งขันว่ายน้ำมาให้ ส่วนนี่ก็ตอบแทนที่นายช่วยออกแบบโปสเตอร์” ว่าแล้วก็ดึงบัตรจากกระเป๋าเสื้อวางไว้บนฝาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก


“ขอบใจนะ”


ชลชาติมุ่นคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับอาการนิ่งขรึมของอีกฝ่ายสักเท่าไร             


“กินข้าวกลางวันหรือยัง ไปกินข้าวไหม”


“นายไปกินเถอะ” พูดจบก็มองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือ “เรามีนัดคุยกับอาจารย์ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง”


คนถูกปฏิเสธเพียงแต่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราไม่รบกวนก็แล้วกัน ตอนบ่ายเรามีประชุม ต้องรีบกลับไปเตรียมเอกสาร” พูดจบชลชาติจึงถอยห่างออกมา กำลังจะเดินพ้นประตูก็ต้องหยุด


“เป็นข้าวเย็นได้ไหม” แสนยาถาม


“ได้” อาจารย์หนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล


“ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นเราแวะไปหานายที่คณะก็แล้วกัน”


“อือ” ชลชาติตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินจากมา


เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้วอาจารย์หนุ่มก็เดินกลับมายังคณะ จัดเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมประจำเดือนของภาควิชาจนเรียบร้อย เห็นว่าจวนได้เวลาจึงเดินไปที่ห้องประชุม ทันทีที่เปิดเข้าไปก็พบว่าอาจารย์ส่วนใหญ่มาพร้อมกันหมดแล้วจะเหลือก็แต่คนที่เคยนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับตน ชลชาติวางเอกสารแล้วนั่งลงข้างอาจารย์ทวี ต่างคนต่างพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระจนกระทั่งเลยเวลาประชุมมาเกือบสิบนาที หัวหน้าภาควิชาซึ่งเป็นประธานการประชุมจึงเอ่ยขึ้น 


“อาจารย์ธรรม์ณธรไปไหมีใครทราบไหม”


เมื่อไม่ได้รับคำตอบ จึงสั่งให้เริ่มดำเนินการประชุม การพิจารณาวาระต่าง ๆ เสร็จสิ้นภายในเวลาสองชั่วโมง ทันทีที่ออกจากห้องประชุมชลชาติก็ตรงไปยังห้องเรียนทันที กว่าจะสอนก็เกือบสิบแปดนาฬิกา ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ห้องพักอาจารย์จึงเห็นแสนยามายืนรออยู่แล้ว


“รอนานไหม”


“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้” พูดจบก็ชี้ไปที่ห้องพักอาจารย์ที่อยู่ถัดไป “คนนั้นใครน่ะ”


“ธรรม์ณธร...เพื่อนเราเอง ทำไมเหรอ”


“ไม่รู้รีบอะไรนักหนา แซงคิวคนอื่นขึ้นลิฟต์ แถมเดินชนนักศึกษาก็ไม่ขอโทษ”


ชลชาติมองชายหนุ่มที่กำลังยืนรื้อตู้เอกสาร ในที่สุดก็เปิดประตูเดินเข้าไป


“นายไม่รู้เหรอว่าวันนี้มีประชุม”


ธรรม์ณธรที่หันหลังให้ชงัก ผลักลิ้นชักตู้คืนที่จนเกิดเสียงดังแล้วตอบห้วน ๆ “รู้ แต่เรามีธุระต้องทำ”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ชลชาติถามพลางกวาดตามองรอบ ๆ เห็นว่าบนโต๊ะที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยบัดนี้เต็มไปด้วยเอกสาร


“ไม่มีอะไร แค่หาเอกสารสำคัญไม่เจอเฉย ๆ” พูดจบมือหนาก็ดึงลิ้นชักชั้นล่างออกมา


“อืม ถ้านายมีเวลาก็เข้าไปชี้แจงกับหัวหน้าภาคฯ หน่อยก็แล้วกัน คราวหลังก็อย่าขาดประชุมอีก”


คนฟังถอนหายใจเฮือก ผลักลิ้นชักเก็บเสียงดังสนั่น จนแสนยาที่ยืนอยู่ข้างนอกต้องชะเง้อมองว่าเกิดอะไรขึ้น


“เอาเวลาไปห่วงเพื่อนรักเถอะ” เจ้าของร่างสูงหันมากล่าวอย่างฉุนเฉียว


“นายหมายถึงใคร”


ธรรม์ณธรหัวเราะหึแล้วกล่าว “ก็ไอ้พายไง”


“พายทำไม”   


“ก็ระวังมันจะแพ้เราไง อีกไม่กี่วันก็จะแข่งแล้ว” คนพูดทำยิ้มเยาะ “เดี๋ยวจะไม่ได้ทั้งตั้งกองทุนไม่ได้สอนว่ายน้ำต่อ ได้ข่าวว่าไปเป็นโค้ชสอนว่ายน้ำที่บ้านนอกนี่”


“นายหมายความว่ายังไง นายรู้อะไรมา” ชลชาติมุ่นคิ้ว


“เปล่า” ธรรม์ณธรทำไม่นี่หระ “เราก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า คนไร้ประโยชน์แล้วสมาคมไม่มาสนใจหรอก”


ป่วยการจะต่อความยาวสาวความยืด ชลชาติจึงได้แต่กล่าวทิ้งท้าย “เรื่องประชุม...เราก็แค่เตือนด้วยความหวังดี ถ้านายคิดว่าเราก้าวก่ายก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” พูดจบก็เดินออกจากห้อง


แสนยาและชลชาติพากันเดินลงบันได ในขณะที่ผ่านชั้นสามซึ่งเป็นที่ตั้งของฝ่ายการเงินของคณะก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังแว่วมา


“แก...ที่เขาว่าเงินจากงานวิ่งหายไปหลายแสนน่ะจริงหรือเปล่า”


“แกไปได้ยินมาจากไหน”


“ฉันได้ยินพี่ติ๋วคุยกับอาจารย์ธรรม์ณธรน่ะ แต่ฟังไม่ถนัด เขาคุยกันเบามาก”


“ใบเสร็จมันไม่ตรงกับยอดเบิกน่ะ ฉันช่วยพี่ติ๋วทำเอกสารอยู่ คนร่วมงานก็บ่นว่าจัดไม่ดี ฝั่งการเงินก็บอกว่าโครงการนี้งบเยอะ แต่แกอย่าไปเล่าต่อนะ เหยียบเอาไว้เลย”


“ฉันรู้น่าแก”


แสนยาหัวเราะในลำคอแล้วหันไปกล่าวกับคนที่กำลังยืนอึ้ง “สูญเสียกันมานักต่อนักกับคำว่ารู้แล้วเหยียบ”


ในหัวของชลชาติไม่เพียงแต่คิดเรื่องที่กำลังได้ฟังอยู่ในขณะนี้ แต่ยังคิดถึงเรื่องพายุพัดที่ธรรม์ณธรพูดถึงเมื่อสักครู่ด้วย


“ไปเถอะ หิวแล้ว” แสนยาบอกพลางรั้งแขนอีกคน


“เดี๋ยวแสน” อาจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น


“มีอะไรเหรอ”


“นายมีเบอร์ติดต่อของพี่เดชไหม”


แสนยาพยักหน้า แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเบอร์โทรศัพท์ของลูกพี่ลูกน้องไปทำไม แต่เขาก็กุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาให้


...


และแล้ววันที่แฟนกีฬาว่ายน้ำต่างรอคอยก็มาถึง บนอัฒจันทร์แน่นขนัดไปด้วยผู้คน นอกจากที่ขอบสระจะครึกครื้นแล้ว ภายในห้องพักนักกีฬาก็คึกคักไม่ต่างกัน ทั้งเพื่อนเก่า รุ่นพี่ รุ่นน้อง ได้กลับมาพบปะกันอีกครั้ง บรรยากาศโดยรวมจึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น จะมีก็แต่ชลชาติที่เอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่มาถึง


“เลิกทำหน้าเครียดได้แล้วน่า” พายุพัดบอกขณะถอดเสื้อออกเผยให้เห็นแผ่นหลังที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อ


“ไม่ให้เครียดได้ยังไงวะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ” ชลชาติบอกพลางนึกถึงอาการป่วยของอีกฝ่ายที่ไปเลียบเคียงถามจากนายแพทย์เดชา


“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วย” หนุ่มนักกีฬาทำพูดติดตลกแต่เพื่อนกลับไม่ตลกด้วย


“ทำเป็นพูดดีไปไอ้พาย เจ็บยิ่งกว่าเดิมจะทำยังไง”


“เราปรึกษาพี่เดชเรื่องผ่าตัดแล้ว แต่ให้ผ่านงานนี้ไปก่อน” เห็นสีหน้ายังไม่คลายกังวลของเพื่อนจึงเอื้อมมือขึ้นบีบไหล่หนาเบา ๆ “เราไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” พายุพัดกล่าว มองเลยไปยังนคินทรที่เดินคู่กับอีกคน


แสนยาแสร้งยกแขนลอยขึ้นในอากาศทำท่าจะโอบไหล่คนที่เดินข้างกันโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ซ้ำยังยักคิ้วให้เจ้าของหน้าขรึมที่กำลังมองมาทางนี้ พอนคินทรหันมองก็รีบทำเป็นบิดขี้เกียจทันที


“มาด้วยกันได้ยังไง” พายุพัดพึมพำ
   

“ไอ้แสนมันช่วยออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานให้ เราก็เลยชวนมันมาดูนายแข่ง”


“แต่ไม่เชียร์บางคนหรอกนะ” คนที่กำลังถูกพูดถึงเอ่ยขึ้น
   

“เขาก็ไม่ได้ขอร้องให้เชียร์ไหม” ชลชาติว่าก่อนจะหันไปทักทายเพื่อนเก่า “คราวก่อนนึกว่าจะได้เจอม่อนในงานเกษียณคุณลุงหมอเสียอีก”


“มีงานที่โรงเรียนน่ะ ก็เลยมาไม่ได้”


“เลยไม่ได้เห็นนักร้องคู่หูดูโอ้คู่ใหม่เลย สาว ๆ ในงานกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ โดยเฉพาะมือกีตาร์” ว่าแล้วก็ใช้ศอกสะกิดคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง “พูดอะไรบ้างสิวะ”


“จะให้พูดอะไร” พายุพัดมุ่นคิ้ว


นคินทรมองคนพูดน้อยแล้วยิ้ม


“แหม...กลายเป็นเนื้องอกเลยเรา” แสนยาหัวเราะกับลมกับฟ้า


ชลชาติยกนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่าใกล้ได้เวลาแข่งจึงเอ่ยขึน “จวนได้เวลาไอ้พายแข่งแล้ว พวกเราออกไปนั่งที่อัฒจันทร์กันเถอะ” ว่าแล้วก็โอบหลังรั้งตัวหนุ่มศิลปิน ตั้งใจจะปล่อยให้สองคนได้มีเวลาพูดคุยกัน


“เดี๋ยว ๆๆ จะรีบไปไหน เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ”
   

“ไปเถอะน่ะ”


“เราจะไปพร้อมม่อน” แสนยายืนกราน


“ตัวติดกับม่อนหรือไง”


นคินทรเบนสายตาจากสองคนที่ยื้อยุดกันอยู่ด้านหลัง หันมากล่าวกับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เรานั่งดูอยู่ที่เดิมนะ”


พายุพัดพยักหน้า เห็นอีกฝ่ายกำลังจะหันหลังให้จึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวม่อน เราฝากของหน่อย”


“เอามาสิ” ว่าแล้วคนพูดก็แบมือรอ


ฉลามหนุ่มถอดกำไลเงินรูปปลาที่มักสวมติดตัวออก แต่แทนที่จะวางบนฝ่ามือของคนรับกลับจับมือนั้นไว้แล้วค่อย ๆ สวมกำไลลงไปในตำแหน่งเดียวกัน


ชลชาติละสายตาจากภาพตรงหน้า มองคนข้าง ๆ ที่ยืนอ้าปากหวอ ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นนิด ๆ ก่อนจะตบลงบนหลังของอีกฝ่าย แต่คงแรงไปหน่อยเพราะแสนยาถึงกับเซไปข้างหน้า


เมื่อตั้งตัวได้หนุ่มศิลปินจึงกระแอมเบา ๆ “ไปกันได้แล้วมั้ง”


...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 13-10-2018 08:24:57
(ต่อค่ะ)

พายุพัดออกจากห้องพักนักกีฬาเมื่อจนได้เวลาแข่ง เขาเดินตามคนอื่น ๆ ไปประตูทางออกสู่สระว่ายน้ำ จากตรงนี้ได้ยินเสียงปรบมือดังกึงก้องเมื่อโฆษกประกาศชื่อนักว่ายน้ำหญิงที่สามารถแตะขอบสระได้เป็นอันดับหนึ่งจากการแข่งขันรายการที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นบีบไหล่ที่จู่ ๆ ก็เกิดปวดแปลบขึ้นมา พลันหูก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินมาหยุด


“น่าภูมิใจแทนโค้ชนทีจริง ๆ ที่มีลูกศิษย์ดี ๆ แบบนี้” ธรรม์ณธรยิ้มเย้ย “รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยังลงแข่ง ทุ่มเทจริงจริ๊ง”


พายุพัดไม่ได้ชายตาแลคนพูด เพียงแต่ลดมือลงแล้วมองตรงไปข้างหน้า  “เราทำหน้าที่ของเรา”


คนฟังหัวเราะหึ “ถ้าอย่างนั้นเราก็จะทำหน้าที่ของเราก็คือการเอาชนะนายให้ได้”


พายุพัดหันมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนจะกล่าวเพียงสั้น ๆ “อย่าลืมที่พูดเอาไว้ก็แล้วกัน”


เมื่อโฆษกประกาศแจ้งรายการแข่งขันรายการว่ายฟรีสไตล์ 100 เมตร (ชาย) ซึ่งเป็นรายการแข่งรายการสุดท้าย บรรดานักกีฬาก็พากันเดินชักแถวออกมา แต่ละคนล้วนเป็นนักกีฬาว่ายน้ำดาวรุ่งในสมัยของตนเอง จึงถือได้ว่ารายการว่ายน้ำรายการนี้เป็นรายการแข่งที่รวมดาราเอาไว้มากที่สุดก็ว่าได้ ต่างคนต่างอยู่ในอากัปกิริยาผ่อนคลายโบกมือทักทายกองเชียร์ ผิดกับเมื่อครั้งยังรับใช้ชาติที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศเอาไว้บนบ่า แต่ในบรรดานักกีฬาทั้งแปด เห็นจะมีเพียงพายุพัดที่ยังคงความนิ่งสุขุมไว้ในทุกก้าวย่าง เขามองขึ้นไปยังอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง เห็นชลชาติ แสนยา และครอบครัวของนคินทรต่างโบกไม้โบกมือให้จึงพอยิ้มได้บ้าง


ชายหนุ่มร่างกายกำยำต่างเดินไปหยุดยังตำแหน่งของตนซึ่งอยู่หลังแท่นปล่อยตัว รอโฆษกแนะนำนักกีฬา และเมื่อสิ้นเสียงประกาศชื่อ “พายุพัด นาวาภักดิ์” เสียงปรบมือต้อนรับการคืนสระของฉลามหนุ่มก็ดังกึกก้อง พายุพัดก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโบกมือทักทายแฟนกีฬาทั่วทั้งสระ และไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือให้คนที่บอกว่าจะนั่งเชียร์เขาอยู่ ‘ที่เดิม’

พายุพัดเหลือบมองชายหนุ่มในตำแหน่งช่องว่ายข้าง ๆ หากไม่ใช่เพราะคำท้าของธรรม์ณธร ในการแข่งขันที่คาดว่าจะเป็นการแข่งครั้งสุดท้ายก่อนปิดฉากการเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติไทยโดยถาวรนี้คงได้ชวนพี่สาวและแม่มานั่งให้กำลังใจที่ขอบสระ ฉลามหนุ่มหันหน้าหนีรอยยิ้มเยาะหยัน ดึงแว่นตากันน้ำลงครอบดวงตาทั้งสองพร้อมกับทำสมาธิ


ทันทีที่กรรมการขาน “Take your mark” ทั้งแปดคนก็ก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัว ถอยเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วก้มตัวลงรอฟังสัญญาณ เมื่อสิ้นเสียงนกหวีด ฉลามหนุ่มทั้งแปดก็พุ่งตัวลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกเป็นภาพที่งดงามดูคล้ายฝูงโลมาแสนปราดเปรียวที่มักเห็นได้จากสารคดี


นคินทรจับจ้องร่างขาวโพลนลู่ไปกับน้ำราวลูกธนูที่เพิ่งถูกปล่อย ถึงระยะหนึ่งเขาก็เริ่มหมุนแขนจ้วงน้ำ  มือขาวเลื่อนมือจับกำไลเอาไว้แน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าวันนี้พายุพัดได้สลัดคราบของโลมาหนุ่มออกจนหมดเหลือไว้เพียงคราบของฉลามที่มุ่งพิฆาตเหยื่อ


พายุพัดจ้วงแขนหนักหน่วงเมื่อเห็นธรรม์ณธรตีคู่ขึ้นมา ความรู้สึกปวดแปลบตั้งแต่เริ่มออกตัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น กระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของฉลามหนุ่มได้ เมื่อพ้นช่วงกลับตัวที่ขอบสระฝั่งตรงข้าม ทั้งแปดคนต่างรักษาระยะห่างที่สูสีกันสมกับตำแหน่งดาวรุ่งและเจ้าของเหรียญรางวัลมากมาย กระทั่งในระยะยี่สิบเมตรสุดท้าย จู่ ๆ ธรรม์ณธรก็แผ่วลงราวกับเส้นชัยข้างหน้าไม่มีความหมายกับเขาอีกต่อไป พายุพัดไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นก่อนจะแซงกันขาดนั้นคือรอยยิ้มปริศนาของอีกฝ่ายหรือไม่ ฉลามหนุ่มมิได้ใส่ใจยังคงออกแรงอย่างหนักจนทิ้งห่างคนอื่น ๆ และในที่สุดเขาก็สามารถแตะขอบสระเป็นคนแรกได้สำเร็จอย่างไม่ค้านสายตาและไม่ต้องใช้ภาพจากล้องตัวใด ๆ มายืนยัน


เจ้าของฉายาฉลามหินยืนสงบนิ่งพิงกับขอบสระ เมื่อเห็นชื่อตนชื่อปรากฏขึ้นบนจอขนาดยักษ์เป็นลำดับแรกจึงค่อยยิ้มออก ส่วนสองอันดับที่เหลือคือชื่อของอดีตนักกีฬาทีมชาติเจ้าของเหรียญเงินกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เชียงใหม่ และอีกคนคือเจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ครั้งล่าสุด เสียงปรบมือเปาะแปะที่ดังอยู่ไม่ห่างทำให้ต้องดึงแว่นตากันน้ำออกแล้วหันกลับไปมอง เห็นธรรม์ณธรใช้แขนข้างหนึ่งหนีบทุ่นลู่พลางปรบมือให้


"เก่งไม่มีใครเกินเลย ชื่นชม ๆ"

คนฟังวางหน้านิ่งหากแต่ในใจกลับนึกสงสัยว่าเหตุใดผู้แพ้จึงมิได้สะทกสะท้าน แต่สำหรับพายุพัดแล้วธรรม์ณธรก็เป็นเพียงแค่อากาศที่ไม่มีตัวตนอยู่ในสายตา ซ้ยังเป็นมลพิษที่ต้องเดินหนีให้ไกล คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงดำน้ำลอดทุ่นลู่มุ่งหน้าสู่ขอบสระ


ชลชาติผุดลุกขึ้นมือเห็นสิ่งผิดปกติ นั่นคือการที่พายุพัดพาตัวเองกลับขึ้นสระด้วยแขนข้างที่ไม่ถนัดเพียงข้างเดียว ชายหนุ่มเดินลงอัฒจันทร์โดยไม่ได้ฟังคำทัดทานของแสนยาที่มาด้วยกัน แต่กว่าจะลงไปถึงด้านล่างพายุพัดก็หายเข้าไปทางประตูที่อยู่ใต้อัฒจันทร์เสียแล้ว


“ไง รีบมาดูอาการเพื่อนเหรอ” ธรรม์ณธรที่ท่อนล่างยังคงสวมกางเกงว่ายน้ำส่วนท่อนบนคลุมทับด้วยเสื้อวอร์มเผยให้เห็นอกแกร่งที่กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงเอ่ยขึ้น


“ไอ้ธรรม์” ชลชาติกำหมัดแน่น “นายรู้ตั้งแต่แรกใช่ไหมว่าพายเจ็บ แต่ก็ยังมาท้าแข่ง”


“ช่วยไม่ได้อยากโง่เอง” คนพูดเหยียดยิ้ม “แต่ก็อย่างว่าละนะ ท้าทายไอ้พวกที่ทุ่มเทมาก ๆ นี่มันท้าขึ้นจริง ๆ”


“รักษาคำพูดด้วยก็แล้วกัน” อดีตฉลามหนุ่มกัดฟันกรอด


“เราไม่ได้ตั้งใจจะเอาชนะตั้งแต่แรก ทำไมเราต้องรักษาคำพูดด้วย” พูดจบก็หัวเราะเยาะก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้อีกคนได้แต่ยืนตัวสั่นกำหมัดแน่น


ชลชาติสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออก พยายามสะกดอารมณ์ เขารีบเดินไปที่ห้องพักนักกีฬาที่ณะนี้เหล่านักว่ายน้ำต่างทยอยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปพบปะแฟน ๆ ที่ริมสระ ชายหนุ่มเคาะประตูห้องน้ำแต่ละห้องพร้อมกับส่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนรัก ในที่สุดประตูห้องสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ด้านหลังก็เปิดออก เมื่อชลชาติหันกลับไปก็เห็นพายุพัดเดินออกมาในชุดที่เดียวกับที่สวมมาเมื่อช่วงเช้า ที่คอพาดผ้าเช็ดตัว ผมเฝ้ายังคงเปียกชุ่ม


“เราอยู่นี่” เจ้าของร่างสูงกล่าวเสียงแผ่ว


“เป็นอะไรหรือเปล่า เราเห็นท่าทางนายไม่ค่อยดีเลย”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยยังคงตอบเพียงสั้น ๆ เช่นเคย


ชลชาติพยักหน้า ตั้งใจจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวยาวกลางห้องก็ต้องชะงักเมื่อมือของเพื่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของตนเอง ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง แม้จะเป็นมือข้างที่พายุพัดไม่ถนัด หากแต่แรงบีบของเขาก็พอจะบอกถึงอาการเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ให้อีกคนรับรู้ได้ไม่ยาก


ฉลามหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะแข็งใจพูด “มีน...ตามพี่เดชให้เราหน่อย”   
   

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

อย่าปล่อยมือ (https://www.youtube.com/watch?v=FAanGYZjO6U)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-10-2018 09:06:59
หมดภารกิจนี้พายก็รีบรักษาตัวอย่างจริงจังได้แล้ว อาการหนักขนาดนี้ ธรรม์ณธรทำปากดีไป ชีวิตนายจบไม่สวยแน่ ทำเรื่องแย่ ๆ มาเยอะแยะ คงไม่รอดได้ทุกครั้งหรอกน่า
ส่วนเรื่องพ่อแม่ม่อนจะย้ายไปอยู่น่านนี่ต้องกราบคารวะจริง ๆ พ่อหาทางออกให้ม่อนได้เสมอ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 13-10-2018 09:22:37
พายอย่าเป็นอะไรนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 13-10-2018 09:46:07
อ่าาาาาา ลุ้น มารอตามนะครับ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-10-2018 10:16:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนหน้าขอให้คดียักยอกเงินจัดวิ่งถูกเปิดโปงพร้อมหาคนทำผิดได้ ซึ่งก็คือ แพะเช่นธรรม์ กับคนทำผิดตัวจริงคือรองคณบดีด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 13-10-2018 11:09:32
ธรรมนี่เกินเยียวยารึเปล่า
น้ำใจนักกีฬาไม่มีสักแอะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-10-2018 12:03:35
 :ling3:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 13-10-2018 15:33:58
ธรรม์นี่เกินเยียวยาจริงๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-10-2018 19:44:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-10-2018 20:16:24
สงสารพาย บางทีการจะทำอะไรให้ดีที่สุด ก็ต้องแลกกับบางสิ่ง
เป็นกำลังใจให้นะ
 :L2 :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-10-2018 20:29:30
"อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม
จับมือฉันไว้ตลอดเวลา"
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 13-10-2018 21:27:34


รักษาตัวได้แล้วนะพาย อย่ายื้ออีก

คนอย่างธรรม์ณธรไม่ควรนับเป็นเพื่อนละนะ.

แสนยาก้อหันมามองคนข้างตัวได้แล้ว คนที่มองน่ะเขามีเจ้าของแล้วจ้า


  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4: :katai4:


……
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-10-2018 00:54:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-10-2018 02:02:32
 :3125:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-10-2018 02:08:26
พายรีบบอกม่อนนะ​ แล้วรีบรักษาตัวให้หายไวๆ
จะได้มาสอนเด็กๆว่ายน้ำ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 14-10-2018 02:15:25
เกลียดธรรมอะเมื่อไหร่จะได้ผลกรรม :z6:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 14-10-2018 23:27:16
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-10-2018 09:18:28
รีบรักษาตัวให้หายได้แล้วนะพาย ก่อนที่อาการมันจะรุนแรงไปมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-10-2018 14:54:12
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 19 อย่าปล่อยมือ (13-10-2561 หน้า 10)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 17-10-2018 15:01:17
พายต้องห่วงตัวเองบ้างนะ

ไปรักษาตัวเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-10-2018 07:13:18
ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย


เดชาที่วันนี้รับอาสาเป็นแพทย์สนามรุดมายังห้องพักนักกีฬาหลังจากได้รับแจ้งว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ตลอดทางได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด แต่เมื่อมาถึงเห็นพายุพัดทรุดลงนั่งกับพื้น หลังพิงอยู่กับล็อกเกอร์ก็ได้แต่ถอนใจ แม้ใบหน้านั้นจะสงบนิ่ง แต่หัวคิ้วที่ขวมวดมุ่น มือกำเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนกลับบ่งบอกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ร่างสูงย่อตัวลงนั่งวางกระเป๋ายาไว้ข้าง ๆ ก่อนจะตรวจดูอาการในเบื้องต้น เพียงใช้มือสัมผัสแขนแกร่งเล็กน้อยก็ทำคนเจ็บสะดุ้งเฮือก เดชาหันไปสั่งชลชาติให้ช่วยปลดกระดุมเสื้อของเพื่อน จากนั้นจึงเปิดกระเป๋าหยิบสเปรย์เย็นผสมยาชาขึ้นเขย่าก่อนจะเปิดขวดแล้วพ่นลงบนหัวไหล่ไล่มาตามต้นแขนเพื่อคลายความเจ็บปวดให้แก่ฉลามหนุ่ม


“อยู่นิ่ง ๆ นะ อย่าเพิ่งขยับ” ว่าแล้วก็หันไปบอกอีกคน “มีน แจ้งกองอำนวยการให้เตรียมรถพยาบาลที”


คำพูดของอดีตแพทย์ประจำทีมทีมชาติไทยทำให้ชลชาติรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่พายุพัดว่าไว้อีกต่อไป ชายหนุ่มลุกขึ้นดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงจากนั้นจึงโทรหาเพื่อนที่ประจำจุดกองอำนวยการ ไม่นานเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลก็มาถึง พายุพัดถูกจับใส่อุปกรณ์พยุงแขนก่อนที่หนุ่มฉกรรจ์ 2-3 คนจะช่วยพาร่างของเขาขึ้นแปล ยกวางบนรถเข็นผู้ป่วยแล้วเข็นไปยังรถพยาบาลซึ่งจอดรออยู่แล้ว ชลชาตินั่งไปกับเพื่อนในรถพยาบาลด้วย ระหว่างทางเขาติดต่อแสนยาให้แจ้งข่าวนี้แก่นคินทร แต่กว่าทั้งหมดจะตามไปถึงโรงพยาบาล พายุพัดก็เปลี่ยนชุดและเข้าพักในห้องพักผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว


ครูหนุ่มยืนนิ่ง ฟังแพทย์เจ้าของไข้พูดคุยกับพ่อของตนถึงอาการล่าสุดของคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คือฝันไปหรือเรื่องจริงกันแน่ นั่นเพราะพายุพัดไม่เคยปริปากเล่าถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว


“ผลจากการทำ MRI นอกจากจะพบหินปูนเกาะแล้ว ยังพบเส้นเอ็นบางส่วนเสียหาย แต่เท่าที่เห็นสภาพวันนี้คิดว่าน่าจะรุนแรงขึ้นครับ”


อดีตหมอทหารพยักหน้าก่อนจะเบนสายตาไปยังลูกชายที่เอาแต่ทอดมองคนบนเตียง


“แล้วอย่างนี้ต้องทำยังไงไอ้พายมันถึงจะหายล่ะพี่” แสนยาเอ่ยขึ้น


“เรื่องนี้เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าครับ ปล่อยให้พายหลับสักพัก” เดชากล่าวแล้วเดินนำทุกคนออกไป


วาสนาสืบเท้าเข้ายืนเคียงร่างสูง เธอแตะฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของลูกชาย เมื่อเห็นนคินทรเหลียวมองจึงได้พยักหน้าเตือนให้เขาไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่ด้านนอก


“จากที่ผมเคยคุยกับพายเกี่ยวกับการรักษาที่ผ่านมา ประกอบกับผลการทำ MRI ล่าสุด คิดว่าตอนนี้คงทำได้วิธีเดียวก็คือการผ่าตัด ที่จริงพายก็มาคุยเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ขอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน” คุณหมอหนุ่มผ่อนลมหายใจ “ผมเองก็รับรองไม่ได้ว่าเมื่อผ่าตัดแล้วพายจะกลับมาว่ายน้ำได้เหมือนเดิม ก็คงต้องลองเสี่ยงดู”


“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอพี่”


เห็นทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเดชาจึงกล่าว “มีสองทางให้เลือกคือจะผ่าวันคู่หรือวันคี่”


“โธ่พี่เดช เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”


“ก็ไม่อยากให้เครียดกัน ผ่าตัดไม่น่ากลัวหรอก ดูจากประวัติการรักษาก็เหลือวิธีนี้วิธีเดียวแล้วละ หลังจากนั้นก็คงต้องพักฟื้นยาวเลย”


“ไอ้ธรรม์ก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ” ชลชาติถามเสียงเย็นเยือก


เดชาพยักหน้า “พี่เจอธรรม์วันเดียวกับที่พายมาพบพี่ที่โรงพยาบาล”


“มันตั้งใจให้เป็นแบบนี้จริง ๆ ด้วย มันรู้ว่าพายเจ็บแต่ก็ยังมาท้าแข่ง” อาจารย์หนุ่มกำหมัดแน่น


“นี่พายไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เลยเหรอ”


“พายมันไม่บอกใครครับ ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อวันที่ขอเบอร์จากแสนแล้วโทรไปถามพี่”


คำพูดของชลชาติทำนคินทรรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกที่ในลำคอ เรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้แต่เขากลับมารู้เอาเป็นคนสุดท้าย


“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าธรรม์มาเนียนถามพี่สินะ” เดชาว่า “มันถามเรื่องที่พายประสบอุบัติเหตุว่ายังมีปัญหาอยู่ใช่ไหม พายถึงเลิกว่ายน้ำ แล้วก็อ้างเรื่องที่เพื่อน ๆ จะจัดแข่งว่ายน้ำการกุศล ถ้ามีปัญหาจริงแล้วพายยังฝืนคราวนี้ต้องเจ็บอีกแน่ ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะได้มาบอกมีนให้ช่วยห้ามพาย พี่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันคงเตือนกันได้ เลยฝากไอ้ธรรม์ให้มันมาเตือนไอ้พายว่าอย่าหักโหมนัก ไม่คิดเลยว่ามันจะมาท้าแข่ง”


“ครับ เพราะเรื่องกองทุนพายก็เลยรับคำท้า ไอ้ธรรม์มันสัญญาว่าถ้าพายชนะ มันจะช่วยไปพูดกับลุง ไม่ให้ขัดขวางโครงการนี้  พายก็เลยทุ่มเทให้การแข่งครั้งนี้มาก ๆ”


หลังจากนายแพทย์เดชาได้อธิบายถึงวิธีการรักษาเรียบร้อยแล้ว แสนยาและชลชาติก็รับอาสาไปส่ง พลตรี นายแพทย์ธรณินและคุณวาสนาที่บ้าน นคินทรเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเลื่อนมือขึ้นกุมมือคนที่กำลังหลับเอาไว้พลางถอนหายใจเบา ๆ เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเพราะเหตุใดพายุพัดจึงได้ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่เป็นรายการแข่งขันเพื่อการกุศล...


ฉลามหนุ่มปรือตาขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า มองผ่านประตูกระจกบานเลื่อนเห็นนคินทรยืนอยู่ที่ระเบียงจึงใช้มือข้างที่เหลือจับที่กั้นเตียงเพื่อดึงตัวเองลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพราะการเกร็งกล้ามเนื้อทำให้รู้สึกปวดขึ้นอีก กระนั้นอาการในขณะนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อตอนแข่งเสร็จอยู่มาก พายุพัดจึงได้ลองพยายามอีกครั้ง


เสียงโครมครามที่ดังมาจากด้านในทำให้นคินทรต้องรีบเปิดประตูเข้ามา เขากดปุ่มปรับเตียงก่อนจะเดินอ้อมไปประคองพายุพัด จัดให้ชายหนุ่มอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยใช้หมอนหนุนหลังจะได้สบายขึ้น


“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” นคินทรกล่าวขณะหันไปรินน้ำใส่แก้ว


“ดีขึ้นแล้วละ” พายุพัดตอบพลางรับน้ำมาดื่ม จากนั้นจึงส่งแก้วคืนให้ มองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่ไม่แม้แต่จะสบตากัน 


ได้ฟังดังนั้นนคินทรจึงนั่งลงที่เก้าอี้ ดวงตาจับจ้องที่กำไลเงินบนข้อมือ ในที่สุดจึงเงยหน้าขึ้นสบตา “ไม่เห็นบอกกันเลย”


“ม่อน...” คนรู้ตัวว่าผิดกล่าวเสียงแผ่ว


“นายบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ เวลาที่เราทุกข์ใจ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของนายบ้าง นายกลับไม่เคยบอกให้เรารู้”


“ร...เราขอโทษ เราแค่ไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง”


นคินทรได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ


“อย่าโกรธเราเลยนะ”


ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของนายแพทย์เดชาและใครอีกคนหนึ่ง


....      


อาจารย์ทวีมาเยี่ยมพายุพัดในอีกสองวันถัดมา เขาเดินตามเดชาเข้ามาภายในห้อง รับไหว้ชายหนุ่มแปลกหน้าและกล่าวทักทายคนที่แขนข้างขวายังถูกยึดด้วยอุปกรณ์ช่วยพยุง


“ชลชาติโทรไปบอกตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง แต่ตอนนั้นผมยังอยู่ต่างจังหวัดก็เลยเพิ่งได้มาเยี่ยม คงช้ากว่าคนของสมาคมสินะ” ปากว่าในขณะที่ตามองแจกันทรงสูงประดับด้วยดอกไม้ที่เริ่มจะเหี่ยวเฉา ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นนามบัตรที่มีสัญลักษณ์สมาคมว่ายน้ำ “เขามาเยี่ยมอย่างเดียวหรือพ่วงเรื่องอื่นมาด้วยล่ะ”


พายุพัดสบตาหมอเจ้าของไข้ซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตอนที่คนของสมาคมว่ายน้ำนำแจกันดอกไม้มาให้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพรูลมหายใจจากนั้นจึงเบนสายตากลับมายังคนที่หยุดยืนข้าง ๆ “ผมคิดว่าอาจารย์คงทราบแล้ว”


นคินทรมองสามคนที่ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นว่าตนเองเป็นคนนอกจึงได้เลี่ยงไปอีกทางจากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ


ทวีพยักหน้า “ก่อนมานี่ผมก็ถูกนายกสมาคมเรียกเข้าไปคุย เขาขอให้ผมช่วยมาพูดให้คุณรับข้อเสนอนั่น”


ฉลามหนุ่มหวนนึกถึงข้อเสนอที่สมาคมว่ายน้ำยืนให้ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการผ่าตัด รวมถึงดูแลระหว่างที่เขาพักฟื้น แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องเดินทางไปผ่าตัดที่ประเทศออสเตรเลียก่อนที่จะเข้ารับการอบรมเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำในกลางปีหน้า ซึ่งหากเขารับเสนอก็จะส่งผลให้กำหนดคาดเคลื่อน จากเดิมที่ต้องไปเพียงหนึ่งเดือนจะกลายป็นยาวนานออกไปอีก ด้วยเหตุนี้พายุพัดจึงมิได้ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว


“แล้วอาจารย์ว่ายังไงครับ”


“ผมคิดว่าลองคุณปฏิเสธแล้ว โอกาสที่จะเปลี่ยนใจก็เป็นศูนย์ ผมเลยไม่ได้รับปากเขา บอกแค่ว่าจะลองดู”


ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “อาจารย์อย่าทำให้ผมต้องลำบากใจเลยครับ”


“ผมไม่ได้มาขอร้อง ไม่ได้มาใช้ความเป็นครูกดดันคุณ แต่อยากให้คิดทบทวนมากหน่อย ผมรู้ว่าสมาคมเองก็มีข้อบกพร่อง เขาไม่คิดจะเอาโครงการของพวกคุณมาพิจารณาใหม่อยู่แล้ว แต่การที่หลังเกิดเรื่องชลชาติก็ไปดึงเอกสารโครงการจัดตั้งกองทุนกลับ แล้วรวมตัวกับเพื่อน ๆ ประกาศตั้งกองทุนช่วยเหลืออดีตโค้ชและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยกันเอง นั่นก็เป็นการหักหน้าเขาอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็คือเรื่องที่สมาคมว่ายน้ำออสเตรเลียเชิญคุณเข้าร่วมการอบรมเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำโดยไม่ผ่านสมาคมว่ายน้ำของไทย แล้วคุณก็ตอบรับ”


“แต่ผมไม่ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติแล้วนะครับอาจารย์ อีกอย่างผมผ่าตัดที่นี่ก็ได้ ผมไม่เห็นความจำเป็นที่สมาคมต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งไปไกลค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก”


“มันคือวิธีการกู้หน้าและสร้างความน่าเชื่อถืออย่างหนึ่ง”


และทุกข้อสงสัยก็กระจ่างด้วยประโยคสั้น ๆ ของอาจารย์ทวี


....


เมื่ออาการบาดเจ็บทุเลาลง เดชาจึงอนุญาตให้คนไข้ในการดูแลกลับบ้านได้ เพื่อให้ชายหนุ่มได้มีเวลาตัดสินใจและจัดการธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนการผ่าตัด พายุพัดเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเดินไปนั่งลงที่โซฟา มองอีกคนที่หอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรังตามมา


นคินทรวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้วหันมากล่าว “เรากลับก่อนนะ”


“เดี๋ยวก่อนสิม่อน” เจ้าของห้องบอกพลางยึดข้อมือคนที่ยังไม่หายโกรธเอาไว้ ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล นั่งเครื่องบินมาด้วยกันจนกระทั่งถึงบ้าน นคินทรพูดกับเขาแทบนับคำได้ “อย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่กับเราก่อน” ว่าแล้วพายุพัดก็ขยับถอยหลังพิงพนักโซฟา แยกขาออกแล้วดึงอีกอีกฝ่ายให้นั่งลงตรงกลาง สองแขนโอบรอบเอวสอบเข้านิด ๆ ไว้หลวม ๆ พลางพาดคางลงบนบ่าแล้วแตะจูบลงที่หลังคอไล่มาจนถึงหัวไหล่ กระนั้นคนในอ้อมแขนก็ยังคงนั่งนิ่ง


“ยังไม่หายโกรธเราอีกเหรอ”


“...”


“หายโกรธเถอะนะ”


“...”


“สงสารเราเถอะ”


ประโยคสุดท้ายทำเอาใจอ่อนยวบ “คราวหลังมีอะไรต้องบอกนะ” พูดจบนคินทรก็ถอดกำไลที่ข้อมือของตนสวมคืนให้เจ้าของ


พายุพัดซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างจากนั้นจึงพยักหน้า ถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากตัวของคนที่ไม่ได้กอดเสียหลายวัน


“พาย พอน่า จั๊กจี้”


“หอมนี่นา”


นคินทรส่ายหัวเบา ๆ “ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวก็เจ็บไหล่อีกหรอก”


“ได้กอดม่อนแบบนี้ ถึงเจ็บเราก็ยอม” ว่าแล้วก็จับนคินทรนอนลาบลงกับโซฟา จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นก่อนจะค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าใกล้ หวังจะจุมพิตลงบนกลีบปากชวนหลงใหลนั้นเป็นหนที่สอง   


“แล้วเรื่องผ่าตัดล่ะว่ายังไง” ครูหนุ่มพูดพร้อมกับยกมือขึ้นประคองแก้มของคนที่กำลังทาบทับอยู่บนร่างของตน


พายุพัดจึงจำต้องอดใจ จับมือนั้นไว้แล้วดึงลงมากดจูบซ้ำ ๆ ก่อนจะกล่าวถึงเหตุผลสำคัญที่ให้เขาไม่คิดยอมรับข้อเสนอจากสมาคม “ถ้าเราตอบตกลง เราก็จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ม่อนแบบนี้”


“แต่ถ้านายไม่ตอบตกลง ทางนั้นยิ่งเสียหน้า ยังไงนายก็เคยเป็นนักกีฬาของเขามาก่อน”


“เรื่องนั้นเราไม่เคยลืมและจะไม่มีวันลืมด้วย” หนุ่มนักกีฬาบอก แนบหูลงกับอกของคนใต้ร่าง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มือหนึ่งยังคงเกาะเกี่ยวเรียวนิ้วของอีกฝ่ายเอาไว้ “ตอนที่รู้ว่าจะมีธงไตรรงค์ติดหน้าอก รู้ว่าจะได้รับใช้ชาติ ตอนนั้นใคร ๆ ก็ภูมิใจจนลืมคิดไปว่าชีวิตหลังจากนั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง พวกเราฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ทุ่มเทให้กับทุก ๆ การแข่งขัน ต้องไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลคนที่รัก แต่เมื่อถึงวันที่ไม่สามารถทำประโยชน์ได้แล้วกลับไม่ได้รับการเหลียวแล”
นคินทรฟังแล้วให้สะท้อนใจ เลื่อนมือขึ้นลูบหลังของคนพูดเพื่อปลอบประโลม “บางทีนายอาจจะเป็นคนสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับทุกคนก็ได้นะ”


“เราไม่รู้เหมือนกัน” พายุพัดกล่าวอย่างไม่มั่นใจ แต่ที่มั่นใจที่สุดนั่นคือถ้อยคำต่อจากนี้ “รู้แค่ว่าอยู่กับม่อนแล้วเรามีความสุข ขอเราอยู่แบบนี้ก่อนแล้วค่อยคิดนะ”


....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-10-2018 07:19:15
(ต่อค่ะ)

ชลชาติผลักประตูเข้าไปในห้องพักอาจารย์ เดินดิ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อของคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก่อนจะลากตัวอีกฝ่ายไปยังอีกห้องประชุมย่อยซึ่งอยู่ข้าง ๆ ที่ขณะนี้ไร้ซึ่งผู้คน ชายหนุ่มออกแรงเหวี่ยงจนร่างสูงพอ ๆ กันชนเข้ากับผนัง เมื่อตั้งตัวได้ธรรม์ณธรจึงหันกลับมาทำตาขวางแล้วกล่าวอย่างหัวเสีย 


“อะไรของนายวะ”


“นายทำแบบนี้ทำไม”


“เราทำอะไร”


“นายรู้ว่าพายเจ็บแต่ก็ยังมาท้าแข่ง นายไม่รักษาสัญญา นายทำแบบนี้ได้ยังไง”


ธรรม์ณธรเหยียดยิ้ม “พวกนายน่าจะขอบคุณเรานะ ที่ทำให้รู้ว่าเวลาที่ไม่ได้รับการเหลียวแลความรู้สึกมันเป็นยังไง ต่อไปจะได้แข็งแกร่งขึ้น” ว่าแล้วก็ตบบ่าคนตรงหน้า


ชลชาติขยับหนีสัมผัสไร้ความจริงใจ กัดฟันกรอดพร้อมกับกำหมัดแน่น “เรากับพายทำอะไรให้นาย มีแต่นายที่ทำตัวเองทั้งนั้น นายรู้ไหมว่าที่พายมันไม่แจ้งความเรื่องคราวนั้นเพราะมันอยากให้นายคิดได้เอง เพราะมันเห็นว่านายเป็นเพื่อน”


“เพื่อนเหรอ” คนพูดหัวเราะเยาะเสียงต่ำ “คนอย่างเราไม่อาจเอื้อมไปเป็นเพื่อนกับคนเก่ง ๆ อย่างพวกนายหรอก สำหรับเรา นาย...และโดยเฉพาะไอ้พายคือคู่แข่งที่เราอยากจะกำจัดให้พ้นทาง”


น้ำเสียงและท่าทางยียวนกวนประสาททำคนฟังเริ่มฉุน “ไอ้ธรรม์!” ชลชาติตะโกนลั่น มือหนึ่งคว้าคอเสื้อก่อนง้างหมัด


“เอาสิ! ต่อยเราเลย! ทำไม? ไม่กล้าเหรอ” ธรรม์ณธรยักคิ้วท้าทายอย่างไม่กลัวเกรง หวังจะยั่วให้ชลชาติโกรธจนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายทำร้ายตนเองก่อน หากทำให้อีกฝ่ายดูแย่ในสายตาของคนอื่น ๆ ในคณะได้ ถึงเจ็บตัวก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลคุ้มค่า   


คนโมโหขบกรามแน่น มือที่ง้างค้างไว้เกร็งจนสั่น เมื่อถูกท้าทายหนักเข้าชลชาติก็ปล่อยหมัดเต็มแรงแต่กลับมิได้ถูกเป้าหมาย สันหมัดอัดใส่กำแพงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนธรรม์ณธรเองก็อยู่ในอารมตกใจเมื่อกำปั้นแหวกอากาศเฉียดใบหน้าของตนไปนิดเดียว


เจ้าของหน้าแดงก่ำจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง แต่แล้วเสียงเปิดประตูก็ทำให้สองคนต้องรีบผละออกจากกัน


“มีอะไรหรือเปล่า เสียงดังไปจนถึงข้างนอก” อาจารย์ทวีที่โผล่หน้าเข้ามาเอ่ยขึ้นพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ


“ม...ไม่มีอะไรครับ” ชลชาติบอก


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปประชุมได้แล้ว จวนได้เวลาแล้ว”


ร่างสูงไม่แม้แต่จะหันไปสบตาเพื่อน เขาเดินเงียบ ๆ ตามอาจารย์ทวีออกไปด้านนอก ขึ้นบันไดตรงยังห้องประชุมขนาดใหญ่ของคณะ


ภายในห้องมีโต๊ะรูปตัวยู ซ้อนด้วยโต๊ะประชุมยาวตลอดแนวผนังทั้งสองฝั่ง ชลชาตินั่งใกล้กับอาจารย์ทวีและอาจารย์ท่านอื่น ๆ ในภาควิชา ส่วนธรรม์ณธรเดินไปนั่งลงข้าง ๆ อาจารย์ธนิตที่อีกฝั่ง และเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว คณบดีซึ่งเป็นประธานก็กล่าวเปิดการประชุม วาระต่าง ๆ ถูกนำขึ้นพิจารณาจนกระทั่งถึงวาระอื่น ๆ ที่อยู่ในตอนท้าย


“วันนี้นอกจากเป็นการประชุมทั่วไปของคณะแล้ว ผมยังมีเรื่องที่ต้องขอคำอธิบายจากพวกคุณด้วย” คนนั่งหัวโต๊ะกล่าว  “ผมตามท่านอธิการบดีไปประชุมวิชาการที่ต่างประเทศ พอกลับมาก็โดนสภามหาวิทยาลัยถามเกี่ยวกับข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นในโครงการวิ่ง ถึงได้รู้ว่างานนี้มีปัญหาเยอะ งานก็ผ่านมาตั้งนานแล้วทำไมไม่มีใครรายงานให้ผมรู้บ้างเลย” พูดจบก็พุ่งสายตาไปยังรองคณบดี “ใครจะอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังได้บ้าง”


ชายในชุดสูทนั่งหลังตรง สีหน้าของเขาดูวิตกกังวลเล็กน้อย “สาม-สี่คนพูดไปปากต่อปากเรื่องก็ยิ่งใหญ่โตครับ นี่เป็นงานแรกของเราย่อมมีข้อผิดพลาด เอาไว้ถ้ามีงานหน้าผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกครับ”


เมื่ออาจารย์ธนิตกล่าวจบ บรรดาผู้ร่วมประชุมต่างพากันซุบซิบจนเกิดเป็นเสียงอื้ออึงไปทั่วห้อง ชลชาติสบตาอาจารย์ทวีก่อนจะมองไปยังคณบดีซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นพวกเดียวกัน แต่เมื่อมีเหตุที่จะนำความเสียหายมาสู่ตนเอง ชายผู้นี้ก็เลือกที่จะเก็บคำว่าพวกพ้องลงลิ้นชักแล้วใส่กุญแจแน่นหนา


คณบดีถอนใจเฮือกดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาวาง “แล้วนี่อะไร ยอดเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่จะบริจาคให้ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูทำไมมันถึงได้น้อยกว่าที่ประมาณการไว้ในตอนแรกแบบนี้ น้ำดื่มก็ไม่พอ เสื้อคุณภาพต่ำ แถมไม่ได้จ้างคนข้างนอกมาช่วยจัดงาน รวม ๆ แล้วเราเงินสูญไปเป็นล้าน จะว่าเอาไปใช้จ่ายระหว่างจัดงานก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไร เพราะผมจำได้ว่าตอนที่ผมเซ็นอนุมัติโครงการ งบประมาณที่พวกคุณได้รับก็มากพอที่จะบริหารจัดการได้สบาย ๆ แต่ทำไมพอเอาเข้าจริงถึงได้มีคนร้องเรียนมากขนาดนี้ ได้ข่าวว่าเงินค่าลงทะเบียนก็เก็บแพง งานเปิดบ้านของคณะที่ว่างบน้อย ๆ ยังทำได้ดีแทบไม่มีที่ติ”


“ถึงเราจะไม่ได้จ้างคนข้างนอกแต่เราก็ต้องจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงให้นักศึกษากับค่าล่วงเวลาของเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยงานนะครับ ไหนจะทีมแพทย์ ค่าอาหาร น้ำดื่ม ค่าตัวศิลปินที่เชิญมาร่วมพิธีเปิด ไหนจะค่านักดนตรีที่มาเล่นหลังงานจบอีก แล้วก็ค่าจิปาถะอื่น ๆ รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วก็ได้เท่าที่ท่านเห็นนั่นละครับ”


“มันไม่ใช่แค่นี้นะอาจารย์ธนิต ผมยังได้รับรายงานจากฝ่ายการเงินด้วยว่าจำนวนเงินที่คุณเซ็นเบิกไม่ตรงกับยอดในใบเสร็จรวมกัน คุณจะอธิบายว่ายังไง”


ธนิตมองเขม่นคนนั่งข้าง ๆ ก่อนจะกล่าว “ผมว่ามันต้องมีใบเสร็จไปตกหล่นอยู่ตรงไหนแน่ ๆ ครับ เอาไว้ผมจะให้อาจารย์ธรรม์ณธรตรวจสอบอีกที”


แม้จะพอได้ข้อสรุป แต่คนนั่งหัวโต๊ะก็คงสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่เพียงไม่กล่าวปิดประชุมยังลุกขึ้นเดินออกไปดื้อ ๆ
ธรรมณ์ธรเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอาจารย์ธนิตแล้วรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ หลังออกจากห้องประชุมเขาจึงเอ่ยขึ้น


“อาจารย์จะกลับบ้านเลยไหมครับ ผมจะไปส่ง”


“ยังหรอก ผมยังมีธุระต้องทำ” ธนิตตอบห้วน ๆ


“อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เดี๋ยวผมจะลองค้นใบเสร็จดูอีกที เผื่อว่าจะตกหล่นอยู่ไหน แล้วก็จะลองสอบถามเจ้าของร้านต่าง ๆ ที่เราติดต่องานด้วย เผื่อเขาจะลงรายละเอียดในใบเสร็จรับเงินไม่ครบ”


“คุณอยู่เฉย ๆ เถอะ เรื่องนี้ผมรับผิดชอบเอง” พูดจบธนิตก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง


เจ้าของรูปร่างสมส่วนเดินไปหยุดที่ห้องหนึ่งซึ่งติดป้าย “คณบดี” เคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป ธนิตยืนสงบนิ่งมองชายร่างท้วมที่กำลังเดินงุ่นง่านอยู่หลังโต๊ะทำงาน มือคว้าเอกสารบนโต๊ะได้ก็ปาทิ้งจนกระดาษปลิวว่อน


“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เดือดร้อนมาถึงผม” พูดจบคณบดีก็นั่งลง


“ขอโทษจริง ๆ ครับท่าน ผมมัวแต่รับรองแขกวีไอพีของท่านจนลืมกำชับเด็กเรื่องใบเสร็จ”


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปจัดการมา ทำยังไงก็ได้ให้เรื่องเรียบร้อย แล้วเขียนรายงานสรุปส่งให้ผม ถ้าภายในสัปดาห์นี้คุณไม่สามารถทำทุกอย่างให้กระจ่างได้ คุณคงรู้นะว่าตามกระบวนการผมจะต้องตั้งกรรมการสอบสวนพวกคุณทั้งหมด”


“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย ไม่ให้กระทบมาถึงท่านแน่นอน”


คนนั่งฝั่งตรงข้ามพยักหน้า “ระหว่างนี้ผมก็จะเล่นไปตามบท”


ธนิตยิ้มกริ่ม เห็นสีหน้าอีกฝ่ายคลายความฉุนเฉียวจึงนั่งลง


“แล้วแขกต่างชาติของผมเป็นยังไงบ้าง เขาพอใจกับการรับรองของเราหรือเปล่า”


“พอใจมากครับท่าน ผมจัดการเรื่องตัวเครื่องบินทั้งไปและกลับ จองที่พักระดับห้าดาว อาหารแต่ละมือก็เป็นอาหารจากภัตตาคารดัง ๆ ทั้งนั้น รับรองว่าเขาต้องประทับใจแน่นอน”


“ดี อีกหน่อยเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือจะได้มีผู้สนับสนุน พวกนั้นน่ะเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ทั้งนั้น” คนพูดเอนหลังพิงพนัก ท่าทางของเขาดูสบาย ๆ ราวกับเรื่องที่พูดคุยกันเมื่อ 2-3 นาทีก่อนเป็นเพียงเรื่องลมฟ้าอากาศ “สมัยนี้เรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญนะอาจารย์ธนิต ที่ผมขึ้นเป็นคณบดีได้ไม่ใช่แค่เพราะผมเก่งด้านบริหาร แต่เพราะผมมีคอนแทคกับคนที่สามารถสนับสนุนเรื่องเงินทุนกับเราได้ คุณเห็นตอนที่ผมนำเสนอวิสัยทัศน์ไหมล่ะ พอผมเอ่ยปากว่าผมมีคอนแทคกับพวกเงินหนาเจ้าไหนบ้าง คนก็ฮือฮากันทั้งห้องประชุม”


“ครับท่าน” คนฟังรับคำอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว


“แล้วนี่คุณคิดหรือยังว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงต่อ”


“ผมมีวิธีครับ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”


“จัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดี หรือหาตัวคนผิดไม่ได้ละก็ สภามหาวิทยาลัยกัดผมไม่ปล่อยแน่ คุณคงรู้นะว่าถ้าผมเดือดร้อน คุณเองก็ไม่รอด”


“ครับท่าน แต่งานนี้อาจจะต้องยอมเสียเงินที่เราได้มา ท่านคงไม่ว่านะครับ” ธนิตยิ้มอย่างมีเลสนัย


...


“อาจารย์ให้ผมมาพบ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ธรรม์ณธรเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลง มองมือกร้านที่เลื่อนซองกระดาษสีน้ำตาลมาตรงหน้า “นี่อะไรครับ”


“ลองเปิดดูสิ” ธนิตว่าก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้


ชายหนุ่มหยิบซองกระดาษนั้นมาเปิดดูจึงพบว่าข้างในเป็นธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทที่มัดรวมกันอยู่หลายมัด ประมาณด้วยสายตาคาดว่าในซองนี้น่าจะมีมูลค่าเฉียดล้านหรืออาจจะเกินกว่านั้น “เงินนี่ครับ”


“ใช่ เป็นเงินที่ผมจะให้คุณเอาไปคืนให้คณะ”


“คืนคณะ” ธรรมม์ณธรทวนคำ “อาจารย์หมายถึงเงินโครงการที่เบิกเกินไปน่ะเหรอครับ ถ้าเป็นเงินส่วนนั้นละก็ ผมมีเงินส่วนตัวที่ตั้งใจจะเอามาคืนให้คณะอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนดูแลเรื่องการเบิกจ่ายของโครงการนี้ ไม่ต้องรบกวนอาจารย์หรอกครับ อีกอย่าง...ในซองนี่ก็น่าจะเกินจำนวนที่ต้องหามาคืนด้วย”


“ใครว่าแค่เงินที่เบิกเกินล่ะ นี่น่ะรวมเงินบริจาคด้วย”


“หมะ...หมายความว่ายังไง” ธรรม์ณธรมุ่นคิ้ว “แล้วเงินนี่มาจากไหนครับ”


“คุณไม่ต้องรู้ที่มาของเงินหรอก แค่เอาไปคืนก็พอ”


“แต่เราไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลยนะครับอาจารย์ เงินที่ได้มาหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วอาจารย์เองก็ยืนยันว่ามันเหลือเท่านั้นจริง ๆ ทุกอย่างเราก็รายงานด้วยความโปร่งใส”


ธนิตส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่...ธรรม์ณธร วงการนี้ไม่มีคำว่าโปร่งใส”


“อาจารย์หมายความว่ายังไงครับ”


“คุณยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” คนพูดยกมุมปากขึ้น “ผมยังเสียดายไม่หายที่ปล่อยให้คุณจัดการเรื่องเบิกจ่ายเงินโครงการ ไม่คิดว่าคุณจะหวังดี ดำเนินการทุกอย่างจนเรียบร้อย แต่เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วพูดไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้”


“น...นี่อาจารย์หมายความว่า...”


“สังคมนี้มันขับเคลื่อนด้วยเงินนะธรรม์ณธร”


“แต่ถ้าผมทำอย่างนั้น แปลว่าผมยอมรับว่าผมโกงเงินบริจาคนะครับ”


“อย่าเรื่องมากน่า!” ธนิตตบโต๊ะตะหวาดลั่น “ถ้ายังเห็นว่าผมเป็นครูของคุณ ก็เอาเงินนี้ไปคืนคณะ ทุกอย่างจะได้จบ ผมรับรองว่าจะทำให้เรื่องเงียบที่สุด แล้วผมจะช่วยหาตำแหน่งดี ๆ ในบริษัทของเพื่อนให้”


คนฟังส่ายหัวดิก “ไม่ครับ ยังไงผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้”


“เกิดจะมาคิดเป็นคนดีอะไรเอาตอนนี้ ทีตอนใช้สารกระตุ้นไม่เห็นคิด”


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ไม่นึกว่าเรื่องในอดีตที่ออกจากปากของคนที่เคารพมากที่สุดจะหวนกลับมาทำร้ายความรู้สึกตนเองอีกครั้ง


“ก็อาจารย์ไม่ใช่เหรอครับ ที่เป็นคนให้มันกับผม ที่ผมไม่บอกใครก็เพราะเห็นว่าอาจารย์หวังดีกับผมมาตลอด อาจารย์ไม่ใช่เหรอครับที่บอกผมว่าถ้าผมเป็นคนเก่ง เพื่อน ๆ และใคร ๆ ในสมาคมก็จะยอมรับในตัวผม อาจารย์เองก็ไม่ต่างจากผม พยายามทำทุกอย่างให้คนอื่นยอมรับ ที่อุตส่าห์แนะนำโค้ชต่างชาติให้ผม คงคิดใช่ไหมครับว่าถ้าผมแข่งชนะคราวนั้น อาจารย์ก็จะพลอยมีชื่อเสียงไปด้วย” ธรรม์ณธรจ้องเขม็ง “แล้วก็อาจารย์ไม่ใช่เหรอครับ ที่เป็นคนชวนผมเข้ามาทำงานที่นี่ แต่ตอนนี้กลับจะโยนบาปให้แถมยังจะไล่ผมไปที่อื่น ผมตั้งใจว่าจะลบล้างความผิดพลาดในอดีต โดยเริ่มจากการตั้งใจทำงานให้อาจารย์ชนิดถวายหัว จนเมื่อตอนที่อาจารย์ชวนผมเข้ามาทำงานที่คณะ ผมดีใจมาก คิดว่าตัวเองจะเติบโตจากอาชีพนี้ให้ได้”


“จะพยายามทำตัวเป็นคนดีว่างั้น” ธนิตยิ้มเยาะ “ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่าถ้าคุณพยายามทำตัวเป็นคนดี คุณก็จะดักดานเหมือนไอ้ทวีนั่นแหละ ธรรม์ณธร...คุณมันโง่!”


เจ้าของชื่อสั่นหัวไม่ยอมรับ “ผมไม่ได้โง่! แต่ผมคิดว่าอาจารย์คือคนที่หวังดีกับผมมากที่สุดต่างหาก ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดจะทำกับผมแบบนี้” พูดจบชายหนุ่มก็ผลักซองกระดาษคืน


ธนิตเหยียดยิ้ม ดึงซองกระดาษเข้าหาตัวแล้วหย่อนลงลิ้นชักอย่างไม่แยแส “งานนี้ยังไงก็ต้องมีคนผิด เอาไว้ผมจะเป็นคนจบเกมนี้เอง”


หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ธรรม์ณธรก็ถูกสั่งพักงาน คณบดีมีคำสั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องที่เขาทุจริตเงินโครงการ เพราะมีมือดีส่งหลักฐานที่แสดงว่าเขาปลอมแปลงเอกสารเพื่อยักยอกเงินบริจาค ซึ่งชายหนุ่มผู้ทะนงตนเช่นธรรม์ณธรก็ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เมื่อไม่ได้ไปสอนที่มหาวิทยาลัย ชายหนุ่มก็เอาแต่สำมะเลเทเมาไปวัน ๆ


...


โฟล์คเต่าสีนมเย็นแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณลานจอดรถของผับกึ่งร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในซอยบนถนนรัชดาภิเษก ชลชาติเปิดประตูก้าวลงจากรถก่อนจะเดินนำแสนยาเข้าไปด้านอาคารชั้นเดียวติดกระจกโดยรอบ ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำซ้ำยังเปิดไฟสลัว บนเวทียกพื้นสูงไม่มากมีสาวสวยนั่งน้อยห่มน้อยกำลังร้องเพลงขับกล่อมผู้ที่มานั่งดื่มกิน เจ้าของที่นี่นอกจากจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายของเขา ยังเป็นถึงอดีตนักว่ายน้ำทีมชาติไทย แต่เพราะมีเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างการแข่งขัน เส้นทางการรับใช้ชาติจึงต้องจบลง


ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งพบคนที่กำลังตามหา ร่างสูงจึงเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้บาร์หน้าเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม โดยมีแสนยาตามไปนั่งข้าง ๆ


“ดื่มอะไรหน่อยไหม” คนมาด้วยกันเอ่ยขึ้น


ชลชาติสั่นหัวก่อนจะหันไปมองอีกคนที่กำลังฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์


“ดื่มได้นะ ถ้าเมาเดี๋ยวเราพากลับ ปกติเราก็เป็นคนพาเพื่อนกลับบ้านอยู่แล้ว” แสนยากระซิบ


“เราไม่ดื่ม”


“ปกติไอ้มีนมันกินแต่น้ำอัดลม” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กล่าว “ว่าแต่คุณเถอะจะดื่มอะไร”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอน้ำอัดลมก็แล้วกันครับ”


เจ้าของร้านพยักหน้า หันไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดที่ข้างในมีน้ำสีดำออกมาวาง จัดการเปิดฝาแล้วรินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งอยู่เกือบเต็มแล้ววางให้ตรงหน้า จากนั้นจึงกล่าวกับอีกคน


“มันมาตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย นั่งยาวมาจนถึงตอนนี้ ถ้านับรวมวันนี้ก็สี่วันติดแล้วที่มันมาเมาที่นี่ วันก่อนอยู่จนถึงร้านปิด แถมอ้วกเรี่ยราด เราก็เลยโทรไปบอกนาย”


ชลชาติไม่ได้ตอบกล่าวอะไร เพียงแต่เอื้อมมือคว้าแก้ววิสกี้ให้พ้นมือคนเมา


“อยู่ไหนวะ” ธรรม์ณธรโวยวายในขณะที่มือก็ควานหาไปด้วย ในที่สุดเขาก็ยืดตัวขึ้น พยายามถ่างตาให้สุด กระทั่งเห็นสิ่งที่ต้องการอยู่ในมือของคนข้าง ๆ มือใหญ่เอื้อมคว้า แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงเหลือเกิน สุดท้ายจึงกำได้แต่อากาศ “เอาคืนมา”


“พอได้แล้วมั้ง” ชลชาติกล่าว


“อย่ามายุ่งน่า เอาคืนมา” คนเมากล่าวแทบไม่เป็นภาษา “ไอ้มีน เอาคืนมา”


“เราว่านายกลับบ้านดีเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”


“ไม่ต้องมายุ่ง” พูดจบเตรียมจะลุกขึ้น แต่ขาก็พันกันจนต้องนั่งลงที่เดิม


“มานั่งกินเหล้าอย่างนี้มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรหรอกนะ”


“นายก็พูดได้สิ นายไม่มาเป็นเรา นายไม่รู้หรอกว่า...” พูดได้เท่านั้นก็ชะงัก


“ว่าการโดนคนที่ไว้ใจหักหลังมันเป็นยังไง อย่างนั้นใช่ไหม” ชลชาติกล่าวพร้อมกับงย้ายแก้ววิสกี้ไปไว้อีกฝั่ง “ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลัง มันไม่ได้ทำให้นายพ้นผิดหรอกนะ”


“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับเรา” ธรรม์ณธรกล่าวพลางชี้หน้าอีกฝ่าย มือนั้นส่ายไปมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้ ร่างสูงโงนเงน สุดท้ายก็หลับกลางอากาศ หัวปักลงกับเคาน์เตอร์


“เมาเหมือนหมาเป็นอย่างนี้นี่เอง” แสนยาพึมพำ


“นายคิดเงินมาเลย เดี๋ยวเราพาไอ้ธรรม์กลับบ้านเอง” ชลชาติกล่าวกับคนที่กำลังกอดอกส่ายหัว


“นายไม่ต้องจ่ายให้มันหรอก แล้วก็ปล่อยมันไว้นี่แหละ ให้มันรับผิดชอบตัวเองบ้าง” เห็นอีกฝ่ายมองด้วยสายตาแปลกใจจึงกล่าวต่อ “ก็แค่รู้สึกว่าเราเองก็มีส่วนทำให้มันเสียนิสัยน่ะ ยกให้มันเป็นหัวหน้า ส่งเสริมมันทุกอย่างจนมันเคยตัว”


ชลชาติพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเราฝากด้วยก็แล้วกัน”


“เออ ไม่ต้องห่วง ไอ้ธรรม์ก็เพื่อนเราเหมือนกัน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาจารย์หนุ่มจึงหันไปกล่าวกับคนที่ขอตามมาด้วย “กลับเถอะ”


สองคนเดินกลับมาที่รถ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งชลชาติก็กล่าวกับคนขับ “ขอบใจนะที่ช่วยพามา” ว่าแล้วก็เอื้อมมือตึงตุ๊กตาหมีบนตักของอีกฝ่ายเพื่อเอามากอดไว้เหมือนเมื่อตอนขามา แต่เมื่อมือสัมผัสลงบนขนนุ่มก็ถูกเจ้าของตุ๊กตาคว้าข้อมือเอาไว้


“แผลจะหายแล้วนี่นา” แสนยากล่าว ตายังคงจ้องมองที่สันหมัดซึ่งขณะนี้รอยฟกช้ำจางลงไปมากแล้ว “แสดงว่าต้องโกรธมากเลยนะเนี่ย ถึงได้ต่อยกำแพงจนมือเป็นแบบนี้ อืม...ถ้าเขาไม่พูดให้เจ็บใจ ก็คงต้องให้ร้ายใครสักคนที่สำคัญกับนายมากแน่ ๆ นี่ถ้าโดนเข้าที่หน้าละก็มีหวังสลบ”


“อยากลองไหมล่ะ” ชลชาติก่อนจะดึงตุ๊กตาหมีมากอด


“พูดอย่างนี้ต่อหน้าน้องแสนดีได้ยังไง น้องแสนดียังเด็กนะ”


“ออกรถได้แล้ว ไม่อย่างนั้น...” ชลชาติบอกพร้อมทำท่าจะหักคอเจ้าหมี


“จริงอย่างที่อาจารย์เราว่าไม่มีผิด คณะนี้มีแต่พวกชอบใช้กำลัง” เจ้าของรถว่าพลางหมุนกุญแจติดเครื่อง


“อย่าพูดมาก ไปได้แล้ว” อาจารย์หนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง


....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-10-2018 07:24:36
(ต่อค่ะ)


สมาคมว่ายน้ำยังคงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฉลามหนุ่มตอบตกลง แต่พายุพัดก็ยืนกรานที่จะไม่รับข้อเสนอดังกล่าว จนในที่สุดใครสักคนก็ใช้วิธีการปล่อยข่าวเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขา รวมถึงการตอบรับทุนอบรมการเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำของสมาคมว่ายน้ำออสเตรเลียโดยพลการ อีกทั้งยังทวงบุญคุณอยู่กลาย ๆ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง



“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้”


และนั่นคือประโยคที่หลุดจากปากของหนุ่มนักกีฬาเมื่อถึงจุดที่เขาไม่อาจทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไป


ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอต่อสมาคมขอเลื่อนวันเดินทางไปเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บที่ประเทศออสเตรเลียออกไป เพื่อจะได้อยู่ร่วมงานแต่งงานของน้ำหวานและฉายที่ล่าช้าว่ากำหนดการเดิมมาหลายเดือน โดยงานแต่งงานนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่ร้านกาแฟในสวนซึ่งสร้างจากน้ำพักน้ำแรงของทั้งสองคน สิชลมาช่วยจัดดอกไม้ตั้งแต่ช่วงกลางคืนและนอนค้างเป็นเพื่อนว่าที่เจ้าสาว ส่วนหนุ่ม ๆ ก็อยู่คุยรำลึกความหลังกันจนดึกดื่น และแล้วพิธีการต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้นในตอนเช้าตรู่ของวันถัดมา ส่วนช่วงหัวค่ำก็เป็นเพียงการรับประทานอาหารกันในหมู่เพื่อนสนิทเท่านั้น หลังจากช่วยกันเก็บล้างถ้วยชามจนเสร็จ ทุกคนก็มานั่งล้อมวงคุยกันที่โต๊ะอาหารเหมือนเช่นเคย


น้ำหวานยกถาดผลไม้และจานใส่ขนมมาวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างผู้เป็นสามี จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ขอบใจมากนะพายที่อุตส่าห์อยู่จนถึงงานแต่งงานเรา”


“ไม่เป็นไร หวานกับฉายแต่งงานกันทั้งที ยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมแสดงความยินดี” พายุพัดว่าก่อนจะเลื่อนแขนข้างซ้ายขึ้นโอบไหล่เจ้าตัวเล็กที่วันนี้ยอมอยู่นิ่ง ๆ ได้นานกว่าปกติ อาจเป็นเพราะพ่อกับแม่กำชับนักหนาว่าอาพายแขนเจ็บ เจ้าหนูฟีฟ่าจึงไม่ชวนอาพายเล่นอะไรผาดโผนเหมือนอย่างเคย


“ช่วงนี้เจ็บมากเหรอวะ ถึงต้องกลับมาใส่อุปกรณ์พยุงไหล่อีกแล้ว” อวัศย์เอ่ยขึ้น


“อือ มันเริ่มเจ็บถี่ขึ้นอีกแล้วน่ะ หมอก็เลยสั่งให้ใส่ไว้”


“แบบนี้ทำอะไรลำบากแย่เลยเนอะพาย จะกินข้าวกินปลาทำยังไงเนี่ย” สิชลว่า


“เขาก็มีคนช่วยป้อนไหมสิ” ภาณุเอ่ยขึ้นก่อนจะเหล่มองนคินทรที่วันนี้แทบจะไม่ห่างจากพายุพัดเลย


“ป้อนบ้าอะไร ไม่ได้มือขาด” คนที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น


“แหม ๆๆ ป้อนบ้าอะไรไม่ได้มือขาด แล้วไอ้ที่จิ้มขนมใส่ปากกันอยู่เมื่อตอนกลางวันมันอะไรวะ เห็นนะโว้ย” คนขี้เล่นทำลอยหน้าลอยตาล้อเลียน


“พ่อ...แซวเพื่อนอีกแล้ว” น้ำหวานส่ายหัวก่อนจะกล่าวกับชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม “แล้วนี่เดินทางวันไหนน่ะพาย”


“วันมะรืนน่ะ”


“ม่อนไปส่งหรือเปล่า”


นคินทรสบตาคนข้าง ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะ


“บอกให้ไปก็ไม่ยอมไป” พายุพัดบ่น


“บอกแล้วไงว่าเราต้องไปโรงเรียน”


“จริงสินะ วันมะรืนเป็นวันจันทร์นี่นา” สิชลว่า “แล้วพายต้องไปกรุงเทพฯ เมื่อไรจ๊ะ”


“พรุ่งนี้น่ะ พรุ่งนี้เพื่อนเรามารับ” พายุพัดตอบ


และในวันต่อมา ชลชาติที่รับอาสาเดินทางไปประเทศออสเตรเลียพร้อมกับพายุพัดก็มาถึงท่าอากาศยานน่านนครในช่วงสาย เมื่อเดินออกมายังอาคารที่พักผู้โดยสารจึงพบว่านคินทรมารออยู่ก่อนแล้ว สองคนทักทายกันเพียง 2-3 ประโยคจึงพากันขึ้นรถ


“ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้มาที่นี่ นั่นวัดภูมินทร์ใช่ไหม” หนุ่มเมืองนนท์กล่าวขณะรถจอดติดไฟแดงที่แยกหนึ่ง


“ใช่ นั่นแหละวัดภูมินทร์” นคินทรกล่าวพลางมองไปยังอาคารที่เป็นทั้งพระอุโบสถ วิหารและเจดีย์ในหลังเดียวกัน สร้างเป็นทรงจตุรมุขที่ดูคล้ายเทินอยู่บนหลังพญานาคขนาดใหญ่สองตัว ด้านหน้าที่ติดกับลานกว้างมีซุ้มประตูด้านหน้าเป็นรูปสิงห์คู่ และข้างกำแพงสีขาวนั่นก็คือที่ที่พายุพัดเคยมาจอดรถจักรยานยนต์รอวันที่เขามาซื้อสร้อยที่ร้านป้านี


“พิพิธภัณฑสถานแหช่งชาติน่าน” ปากพึมพำในขณะที่ตาไล่ไปตามตัวอักษรบนป้ายที่หัวมุม “อ๋อ แล้วนี่ก็ซุ้มลีลาวดี” ชายหนุ่มกล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อรถเคลื่อนผ่านต้นลีลาวดีที่ปลูกเรียงรายเป็นแถวทิว


“เป็นเมืองที่เงียบสงบดีจัง เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้แสนถึงบอกว่าระวังจะหลงเสน่ห์เมืองนี้”


“ถ้าชอบก็มาบ่อย ๆ สิ” นคินทรบอก


“เราต้องมาอีกแน่ ๆ ถ้าไม่ติดว่าจะต้องกลับไฟลท์บ่าย จะเที่ยวให้คุ้มเลย”


นคินทรยิ้ม


ทันทีที่เพื่อนมาถึงบ้าน พายุพัดก็แนะนำให้ชลชาติได้รู้จักกับแม่และพี่สาวของตนก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินชมรอบ ๆ ดวงพรดูตื่นเต้นกว่าใคร เพราะนอกจากจะได้พบเพื่อนของลูกแล้วยังเป็นการได้พบอดีตเจ้าของเหรียญทองว่ายผีเสื้อในกีฬาเอเชียนเกมส์ด้วย เธอถามพายุพัดตั้งแต่รู้ข่าวที่ชลชาติจะมาที่นี่ว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เพื่อจะได้จัดเตรียมไว้ต้อนรับ


“แม่เชียร์อยู่นะ ตอนที่ลูก ๆ ว่ายผลัดผสมด้วยกันในกีฬาเอเชียนเกมส์ปีก่อนที่พายจะเรียนจบ ใช่ไหมลูก” ดวงพรหันไปถามลูกชาย เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในความเป็นแฟนพันธุ์แท้ของตน


“นอกจากพายแล้วแม่ก็เชียร์มีนนี่แหละจ้ะ” เพียงพรรษเอ่ยขึ้นขณะที่ทุกคนลงมือรับประทานอาหารกลางวัน


“เคยเห็นแต่ในทีวี ตัวจริงนี่ลูกหล่อกว่าในทีวีเสียอีกเน้อ”


“สู้ลูกชายแม่ไม่ได้หรอกครับ” ชลชาติกล่าวเขิน ๆ แก้เก้อด้วยการตักอาหารมาใส่จาน


“กับข้าวพอทานได้ไหมลูก”


“อร่อยมากเลยครับแม่”


“ถ้าอย่างนั้นก็ทานเยอะ ๆ เน้อ เดี๋ยวต้องเดินทางอีกไกล” ว่าแล้วดวงพรก็ตักกับข้าวใส่จานให้ชายหนุ่มต่างถิ่น


“ยิ้มอะไรกันวะ” ชลชาติพึมพำเมื่อเห็นสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งซุบซิบกันแล้วยิ้ม


“เปล่า เราก็แค่บอกม่อนว่าสงสัยเราสองคนจะตกกระป๋องเสียแล้ว” พายุพัดว่า


“ตกกระป๋องอะไรล่ะลูก แม่ก็รักทุกคนนั่นแหละ” ผู้เป็นแม่บอกยิ้ม ๆ


“แล้วน้องมีนไม่คิดจะกลับมาว่ายน้ำบ้างเหรอจ๊ะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถาม


“ตอนแรกก็ไม่คิดครับ แต่พอได้คุยกับแม่กับพี่ฝนแล้วรู้สึกอยากกลับมาว่ายอีกสักครั้ง” ชายหนุ่มตอบตามตรง


“ปีหน้าก็ลงแข่งว่ายการกุศลสิ” พายุพัดกล่าว


“ถ้านายลงเราถึงจะลง” ชลชาติว่า “เพราะฉะนั้นนายตั้งรักษาตัวให้หาย แล้วงานการกุศลคราวหน้าเรามาเจอกันดีไหม”


“จะกลับมาว่ายเหมือนเดิมหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” พายุพัดกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ นั่นเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อเข้ารับการผ่าตัดแล้วจะกลับมาว่ายน้ำได้เป็นปกติ ขอเพียงแค่สามารถกอดคนข้าง ๆ ได้อย่างเดิมก็พอ


เมื่อจวนได้เวลาเดินทาง อาจารย์หนุ่มก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาใส่ท้ายรถ เมื่อเดินย้อนกลับไปที่เรือนหลังสุดท้าย มองผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ เห็นพายุพัดกำลังบอกลานคินทรจึงไม่เข้าไปขัด รู้สึกเห็นใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คำว่า “กตัญญู หน้าที่และความรับผิดชอบ” ได้สร้างแรงกดดันให้แก่พายุพัดและทำให้เขาต้องไกลจากคนอันเป็นที่รัก เจ้าของร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นจึงกอดอกยืนพิงข้างกรอบประตู


ภายในห้อง พายุพัดมองถุงผ้าใบเล็ก ๆ ที่คนตรงหน้ายื่นให้ ที่มุมปักรูปดอกไม้เล็ก ๆ ด้วยด้ายสีขาวสลับชมพู


“ดอกที่ร้อยพอดี” นคินทรบอก


“เวอร์” หนุ่มนักกีฬาใช้มือข้างที่ไม่ถนัดรับมาถือเอาไว้ พลันจมูกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นแก้มของคนให้


“ข้างในเป็นสบู่ คิดว่ามันน่าจะอยู่ได้นานจนถึงวันที่นายกลับ”


“ขอบคุณนะ”


นคินทรพยักหน้าแล้วกล่าว “ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปส่ง”


“ไม่เป็นไร” พูดจบพายุพัดก็ใช้แขนข้างที่ปราศจากเครื่องพันธนาการโอบเอวแล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด “เรารู้ว่าที่ม่อนไม่ไปส่งเรา เพราะกลัวว่าจะร้องไห้ไม่อยากให้เราไปใช่ไหม”


“เวอร์” ว่าแล้วคนพูดก็ซุกหน้าลงกับบ่ากว้างกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “กลับมาเร็ว ๆ นะ”


“เราจะรีบหายแล้วก็รีบกลับมา จะกลับมากอดม่อนให้แน่น ๆ เหมือนเดิม”


“ไปเถอะ ป่านนี้มีนรอแล้ว” พูดจบนคินทรก็ขยับห่างออกมาเล็กน้อย พอให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัดขึ้น


“สัญญานะว่าจะรอเรา”


“เราสัญ...” นคินทรพูดยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็โน้มหน้าลงมาใช้ปากรับคำสัญญานั้นจากปากเขาไปเสียแล้ว


พายุพัดประกบจูบบนกลีบปากบางเนิ่นนานจนกระทั่งมือนุ่มสัมผัสลงบนแผงอกจึงได้ผละออก ใช้โอกาสสุดท้ายหอมฟอดใหญ่ที่แก้มขึ้นสีเป็นการทิ้งทวน


สองคนเดินตามกันออกจากเรือนพัก เห็นชลชาติยืนรออยู่ใต้ต้นเสี้ยวดอกขาว ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะกล่าว


“ไม่ต้องห่วงนะม่อน รับรองว่าเราจะอยู่กับไอ้พายถึงวันที่ผ่าตัดเลย”


“ขอบใจนะ” นคินทรกล่าวก่อนจะพยักหน้าให้คนข้าง ๆ เป็นสัญญาณให้เขารีบออกเดินทาง


ครูหนุ่มยืนมองกระทั่งสองคนเดินลับตา จากนั้นจึงนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่ ทอดตามองทิวเขาเบื้องหน้าที่ขณะนี้ปกคลุมด้วยเมฆ อดคิดไม่ได้ว่านับจากวันนี้ไปจนถึงเมื่อไรที่ตนจะต้องมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกที่ต่างไป




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 20-10-2018 07:42:51
ขอบคุณครับ อ่านแล้วอมยิ้มเหมือนเคย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-10-2018 07:54:27
คนดีนี่ก็ดีจนสุดทาง ส่วนคนไม่ดีนี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
เหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นข่าวก็มีให้เห็นอีกจนได้ โยนบาปกันไปมาจนน่าขำ
ถ้าจะรักหน้า รักศักดิ์ศรีกันจริง ก็ไม่ควรคิดชั่ว ทำชั่วกันแต่แรกเน้อ
ตอนนี้ชลชาติเอาไปร้อยคะแนนเต็ม ส่วนธรรม์ณธร โง่แล้วยังดื้ออีก น่าตีเจ็บ ๆ
โกรธสมาคมฯ แทนพาย อยากให้พายหายกลับมาหาม่อนไวไว
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-10-2018 07:55:59
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-10-2018 08:26:20
ขอบคุณนะ ตัวละครทุกตัว มีบทบาทต่างกันไป ผสมกับสภาพแวดล้อมเมืองน่าน อ่านแล้วเหมือนเรื่องนี้เขียนจากชีวิตจริง
ทำให้เราเศร้าตามเมื่อตอนมีทุกข์ และยิ้มกับตอนที่พวกเขามีความสุข เศร้าเอง ยิ้มเอง ยิ่งอ่านเรายิ่งบ้าาาา
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-10-2018 09:40:08
 o13


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2018 09:43:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2018 09:45:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

พวกสมาคมนี่ก็เลวเนอะ

โลกของผู้ใหญ่นี่มีแต่เรื่องแย่ ๆ เรื่องเลว ๆ อ่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-10-2018 09:55:35
เดี๋ยวมาอ่านนนนน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-10-2018 10:25:09
แหม เพิ่งมีประเด็นงานวิ่งมาสดๆร้อนๆ เขียนอย่างกับรู้ล่วงหน้าแหนะ
ไปๆมาๆ คนใหญ่คนโต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หาช่องโกงกินกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 20-10-2018 11:14:10
ชอบความรักของคู่นี้เหลือเกิน
มันสวยงามและพร้อมจะเข้าใจกันมาก ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 20-10-2018 13:36:28
หวานอุ่นๆในแบบของพายม่อน
ปล.เรื่องกินนอก-ใน​ ส่วนตัวเราว่ามีทุกวงการแหละ
มากน้อยแค่ไหน​ จนเกิดเรื่องรึป่าว​แค่นั้น​
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2018 14:03:18
เงินมันไม่เข้าใครออกใครหรอก หลงระเริงกันเข้าไปท่านผู้มีอำนาจทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-10-2018 18:49:39
พายสู้ๆ

ม่อนสู้ๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-10-2018 18:55:13
"with great power comes great responsibility" Ben Parker
จริงๆ การมีอำนาจมันมาพร้อมกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องสูงขึ้นตาม สังคมที่เจริญแล้วควรเป็นแบบนี้
แต่ความเป็นสังคมอำนาจนิยม และอะไรอีกหลายๆ อย่างของสังคมไทย
หล่อหลอมบรรดาผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเราออกมาจนเป็นงี้แหละครับ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 21-10-2018 07:07:01
เดี่ยวพายก็กลับมาละเนาะ ชอบในความรักของทั้งคู่มาก  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-10-2018 09:27:16
ทำให้อ่านแล้วอยากไปเมืองน่านอีกแล้วค่ะเผื่อจะเจอคุณฉลามพายกับเขาบ้าง  :hao5:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 20 ครั้งสุดท้าย (20-10-2561 หน้า 11)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2018 21:06:19
ขอให้พายหายจากอาการบาดเจ็บนะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-10-2018 14:57:26
ตอนที่ 21 กระซิบรัก (ตอนจบ)


เมื่อซูบารุฟอเรสเตอร์เข้ามาจอดเทียบบาทวิถีท่าอากาศยานน่านนคร ชลชาติที่อาสาเป็นคนขับก็ลงจากรถ เดินไปเปิดท้ายดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาก่อนจะส่งกุญแจคืนให้เพียงพรรษที่มาส่งน้องชายด้วย พายุพัดกล่าวขอบคุณพร้อมกับกอดลาพี่สาว จากนั้นจึงเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำกระเป๋าเก็บใต้ท้องเครื่องเรียบร้อยแล้ว สองคนก็พากันเดินผ่านจุดตรวจเข้าไปนั่งยังที่พักผู้โดยสาร


“กลิ่นอะไรวะ” ชลชาติทำจมูกฟุดฟิด หยิบเป้ของอีกฝ่ายที่ตนวางไว้บนตักขึ้นดม จากนั้นจึงดึงถุงผ้าเล็ก ๆ ที่เก็บอยู่ในช่องตาข่ายด้านหน้าออกมา เห็นว่าข้างในบรรจุวัตถุทรงกลมแบนขนาดแทบจะพอดีกับสิ่งห่อหุ้มจึงถาม “นี่อะไรวะพาย หอมจัง”


“ของสำคัญ เอามานี่” พายุพัดบอกก่อนจะดึงถุงผ้านั้นจากมือเพื่อน


“แหม...จับไม่ได้เลย สงสัยคนสำคัญจะให้มา” อาจารย์หนุ่มเหล่มองคนข้าง ๆ นึกสนุกจึงได้กล่าวต่อ “ข้างในมีอะไรวะ ขอดูหน่อยสิ”


“ไม่ได้” คนพูดหย่อนถุงผ้าลงในกระเป๋าเสื้อ ขยับห่างจากมือที่ยังคงยุ่มย่าม


“ขอดูหน่อย”


“ไม่ได้โว้ย”


“ขี้หวง” ชลชาติพึมพำ “อืม...แต่จะว่าไปก็หอมเหมือน…”


“เหมือนอะไร


“เหมือนม่อนไง”


พายุพัดหันขวับ “ไปแอบดมมาตอนไหน”


“ไม่ต้องแอบก็ได้มั้ง ตัวหอมขนาดนั้น” ว่าแล้วก็แกล้งใช้ศอกสะกิด “จริงไหม”


“อะไรจริงวะ”


“ก็ม่อนตัวหอมไง”


“ไอ้มีน” คนเขินย่นคิ้ว ยกมือขึ้นเกาต้นคอ


“เขิน...เขิน…หูแดงแล้ว” ชลชาติยิ้มกริ่ม มือหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมาเปิดอ่านข้อความ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ข้าวโอ๊ตส่งรูปมาว่ะ วันนี้เพื่อน ๆ เอาเงินไปมอบให้โค้ชนทีกัน”


พายุพัดฟังแล้วจึงยื่นหน้าดูบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือเพื่อน ภาพที่เห็นคือโค้ชนที หนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดของสมาคมว่ายน้ำ แม้จะนอนอยู่บนเตียงแต่ก็มีใบหน้าแจ่มใส ซ้ำยังชูสองนิ้วท่ามกลางเหล่าลูกศิษย์ลูกหาภายใต้ความดูแลที่ล้วนเคยก้าวขึ้นรับเหรียญรางวัลในการแข่งขันระดับนานาชาติมาแล้วทุกคน ใครที่ได้เห็นภาพนี้ก็คงอดยิ้มไม่ได้เช่นเดียวกัน


“ข้าวโอ๊ตบอกว่าโค้ชถามถึงนายด้วย พอรู้ว่าพรุ่งนี้นายต้องเดินทางไปออสเตรเลียก็ฝากอวยพรมา ขอให้การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี เข้าอบรมการเป็นผู้ฝึกสอนก็ขอให้เอาความรู้กลับมาทำประโยชน์ให้กับวงการว่ายน้ำบ้านเรา”


พายุพัดยิ้มก่อนยืดตัวขึ้น มองคนข้าง ๆ ที่ยังคงใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปแถมยังวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนแต่ละคนเสียอีก


“พี่ฟ่างนี่ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งหล่อว่ะ สมัยมัธยมนายจำได้ไหม โคตรลูกเป็ดขี้เหร่เลย ผอมก็ผอม แล้วดูข้าวโอ๊ตสิ ไปดัดฟันมาตั้งแต่เมื่อวะ อ้าปากทีโคตรน่ากลัว เหมือนฉลาม”


“ไอ้มีน...ข้าวโอ๊ตได้ยินเข้าเสียใจแย่”


“ข้าวโอ๊ตมันชินแล้วละ ถูกเพื่อน ๆ จิกกัดมาตั้งแต่ติดทีมชาติใหม่ ๆ จะทำอะไรต้องขอสวยไว้ก่อน”


“แล้วใบตองล่ะ รู้ข่าวใบตองบ้างหรือเปล่า”


ชลชาติชะงัก ตายังคงจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ ปลายนิ้วเลื่อนหาชื่อที่อีกฝ่ายถามถึงโดยอัตโนมัติ ภาพบนหน้าจอเลื่อนไปอย่างรวดเร็วตามการสัมผัส กระทั่งถึงรายชื่อท้าย ๆ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่ได้ติดต่อกันสักเท่าไร เจ้าของโทรศัพท์จึงกดเปิดดูข้อความ ข้อความสุดท้ายนั้นคือข้อความที่เขาตอบกลับไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน


“ยินดีด้วยนะ”


พายุพัดยื่นหน้ามองหน้าจอ ถัดขึ้นไปคือภาพของการ์ดแต่งงานมีรูปบ่าวสาวในชุดลำลองเดินจับมือกันบนพื้นหญ้า ส่วนฉากหลังคือหอไอเฟล มันถูกส่งมาพร้อมกับข้อความแสดงรายละเอียดที่คาดว่าคัดลอกแล้วส่งให้ทุกคนที่มีรายชื่อผ่านทางโปรแกรมสนทนา


“เฮ่ย ๆ ไปห่าง ๆ เลย” ชลชาติบอกพลางดันศีรษะอีกฝ่ายออก


“ใบตองแต่งงานแล้วเหรอ เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย”


“อือ ตั้งแต่ตอนที่นายประสบอุบัติเหตุน่ะ”


“แล้วมีใครได้ไปร่วมงานหรือเปล่า”


“ข้าวโอ๊ตไป สองคนนั้นสนิทกัน เขาแต่งที่บ้านที่เชียงใหม่ แต่งเสร็จก็ย้ายตามสามีไปอยู่ฝรั่งเศส”


“นายไม่ได้ไปเหรอ เขาอุตส่าห์เชิญ”


“คงไม่ได้ตั้งใจเชิญหรอก เพราะตั้งแต่คราวที่ส่งข้อความมาบอกเลิก เขาก็ไม่คุยกับเราอีกเลย ที่ส่งมาก็คงเพราะกดส่งทีเดียว”


ชลชาติกล่าวพลางนึกถึงนักว่ายน้ำสาวผู้ ที่สมัยหนึ่งนักข่าวให้ฉายาว่าเธอคือราชินีเจ้าสระ เขาคบกับเธอตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ยาวนานชนิดที่ใคร ๆ ต่างพากันพูดว่าคู่รักนักกีฬาคู่นี้จะเป็นอีกคู่ที่จูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามรอยรุ่นพี่ ต่างคนต่างเป็นกำลังใจให้กันในทุก ๆ การแข่งขัน แต่แล้วทั้งหมดก็เป็นเพียงความฝัน เมื่อเธอตัดสินใจอำลาวงการไปเรียนต่อด้านแฟชันที่เมืองน้ำหอม ส่วนชลชาติเองก็ทุ่มเทอย่างหนักให้การแข่งรายการสำคัญ ทั้งคู่จึงไม่มีเวลาให้กัน สุดท้ายฝ่ายหญิงส่งข้อความมาบอกเลิกในวันที่เขาต้องลงแข่ง นอกจากจะมีอาการบาดเจ็บทางร่างกายแล้วจิตใจก็บอบช้ำไม่ต่างกัน เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง ชลชาติไม่ได้เหรียญรางวัลใด ๆ ไม่แม้แต่ติดอันดับหนึ่งในห้าตามที่หลายคนคาดไว้ เขาคิดว่าการปล่อยให้เรื่องส่วนตัวรบกวนสมาธิจนทำให้ทุกคนต้องผิดหวังเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรให้อภัย ดังนั้นชายหนุ่มจึงรับผิดชอบด้วยการประกาศเลิกว่ายน้ำเป็นการถาวร


“แล้วถ้าได้กลับมาเจอกันอีก ยังคุยกันได้อยู่ไหม”


“ได้สิ สำหรับเราถึงจะเลิกเป็นแฟนแต่ก็ยังเป็นเพื่อนอยู่นะ แต่ฝั่งเขา...เราไม่รู้เหมือนกัน”


เห็นเพื่อนเงียบไป พายุพัดจึงแกล้งกระเซ้า “อะไร พูดถึงแฟนเก่าแค่นี้ถึงกับทำหน้าเศร้า”


“เศร้าที่ไหน ระดับนี้ไม่มีคำว่าเศร้าแล้ว”


“มันเลยจุดนั้นมาจนหัวใจด้านชาแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ


“เออ” ชลชาติว่าพลางเก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า เงยหน้ามองเครื่องบินที่กำลังลงจอด “ขอบใจนายมากนะที่ตอนอยู่ด้วยกันตลอด”


“ก็นายเป็นเพื่อนเรานี่” พายุพัดบอก ยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนรัก “เราเองก็ต้องขอบคุณนายที่อยู่ข้างเราในทุก ๆ เหตุการณ์สำคัญของชีวิต” มือใหญ่กระชับแน่น นึกถึงตอนที่ตนเองประสบอุบัติเหตุก็ได้ชลชาติที่ประสานงานให้จนโค้ชและคนของสมาคมไปรับตัวเขากลับมาพักฟื้นที่ประเทศไทย


“ขอบใจนะที่อุตส่าห์มารับ แถมยังไปส่งถึงที่โน่นอีก เลยทำให้นายต้องลางานแถมไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่กับที่บ้านอีก”


“ไม่เป็น เราเต็มใจ อีกอย่างช่วงนี้ก็เป็นช่วงสอบ นักศึกษาได้มีเวลาหยุดพักยาวไปถึงปีใหม่ คิดเสียว่าไปเคาน์ดาวน์ที่ออสเตรเลียก็ได้” ชลชาติว่ายิ้ม ๆ


ในวันต่อมา สองอดีตนักว่ายน้ำทีมชาติไทยก็เดินทางสู่ประเทศออสเตรเลียพร้อมกับแพทย์และตัวแทนของสมาคมว่ายน้ำ ทั้งหมดได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ของสถานทูตไทยประจำประเทศออสเตรเลีย เมื่อไปถึงพายุพัดก็ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาอาการบาดเจ็บของนักกีฬาทันที โดยขั้นตอนการรักษานั้นก็เป็นไปตามหลักสากล กระทั่งหลังปีใหม่การผ่าตัดหัวไหล่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี พายุพัดต้องพักฟื้นต่ออีก 3-4 เดือนตามคำสั่งแพทย์ และหากไม่มีปัญหาอะไรเขาก็จะได้เข้ารับการอบรมเป็นผู้ฝึกสอนว่ายน้ำตามกำหนดการเดิม


เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยชลชาติจึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อเครื่องบินถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นสะพายเป้เดินตามผู้โดยสารคนอื่น ๆ ออกมาจนถึงจุดรับกระเป๋า ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองกระทั่งถึงบริเวณที่พักผู้โดยสาร ชลชาติลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พลางมองหาที่เหมาะ ๆ ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์โทรหาคนที่อาสามารับ แต่แล้วมือของใครคนหนึ่งที่แตะลงมาบนบ่าก็ทำให้เปลี่ยนใจ ทันทีร่างสูงหมุนตัวกลับก็พบว่าเป็นแสนยานั่นเอง


“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะปอปลาตากลม”


ชลชาติถอนใจ เก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า


“รอตั้งนาน กัปตันพาไปแวะคุยกับเทวดาอยู่หรือไง”


“ถ้าเป็นอย่างนั้นนายคงไม่ได้มายืนคุยกับเราอย่างนี้หรอก คงต้องคุยผ่านควันธูปแทน” พูดจบหันไปคว้ากระเป๋า แต่แสนยาก็ไวกว่า


“เราช่วยถือให้”


“เราบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับ เราเรียกแท็กซีกลับเองได้”


“ไม่ได้สิ เราต้องมาเอาของฝาก”


“ที่แท้ก็หว่านพืชหวังผลนี่เอง” ชลชาติเตรียมจะออกเดิน แต่กลับถูกรั้งแขนเอาไว้


“เอาของฝากมาก่อน” แสนยากล่าวพลางแบมือ


คนฟังถอนใจอีกเฮือกใหญ่ ๆ ปัดมืออีกฝ่ายออก “ไปเอาที่รถได้ไหม”


“ไม่ได้ ๆ เราอยากรู้เดี๋ยวนี้ว่านายซื้ออะไรมาฝากเรา”


“นี่ไม่คิดว่าเราจะไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากบ้างเลยหรือไง”


“ไม่คิด นี่ผู้มีพระคุณนะมีน” ว่าแล้วก็ยิ้มแฉ่ง กระดิกมือรอ “เร็ว ๆ เอาของฝากมา”


อาจารย์หนุ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ สุดท้ายก็จำต้องปลดเป้จากหลัง รูดซิปแล้วดึงตุ๊กตาจิ้งโจ้ตัวใหญ่สวมนวมสีแดงออกมา แค่เห็นแวบแรก คนรอก็ขำเสียยกใหญ่ กระนั้นก็ยังรับเจ้าจิงโจ้ชกมวยไปกอด


“ตอนแรกว่าจะซื้อหมี่โคราช”


แสนยาหันขวับ “หมีโคอาลาไหม”


“เออ แต่เห็นว่านายมีน้องแสนดีอะไรนั่นอยู่แล้วก็เลยเอาไอ้ตัวนี้มา”


“ดึกป่านนี้ยังจะมาเล่นมุก แต่ก็ขอบใจนะ” แสนยาว่า “ดูเป็นนายดี”


“ยังไงวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว


“ก็พวกชอบใช้กำลังไง เนอะขนมต้มเนอะ” ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ


“ไอ้แสน” จะเอื้อมมือคว้าคอเสื้อ อีกคนก็หนีไปเสียแล้ว


ชลชาติยิ้มกริ่มเมื่อจู่ ๆ คนเดินนำก็หยุด มือใหญยกขึ้นเตรียมจะรั้งคอเสื้อแต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นจับที่บ่าแล้วดึงให้หลบไปอีกทางแทน เมื่อสายตาของตนเองเห็นเช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่ายเห็น


“คนนั้นน่ะคณบดีคณะนายนี่นา แล้วนั่นมากับใครน่ะ” หนุ่มศิลปินเอ่ยขึ้น มองชายรูปร่างสมส่วนในชุดสูทที่กำลังเดินพูดคุยกับชายอีกสองคน หากพิจารณาจากหน้าตาผิวพรรณหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นชาวต่างชาติ ไม่เกาหลีก็ญี่ปุ่น ด้านหลังมีชายหญิง 2-3 คนลากกระเป๋าตาม


“แหม...ยังกับบุคลสำคัญเลย มีผู้ติดตามด้วย” แสนยากล่าวเมื่อเห็นอาการพินอบพิเทาของอาจารย์ธนิตจึงคิดเอาว่า อีกสองคนที่เขากำลังพูดคุยด้วยนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับเหนือกว่าเป็นแน่


“คนท้วมนั่นคณบดีคณะเรา ส่วนอีกคน...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเจ้าของแบรนด์ชุดกีฬาของเกาหลี” ชลชาติแจง ดวงตายังจับจ้องที่คนกลุ่มนั้น “จะไปไหนกันวะ คณะก็เพิ่งส่งอีเมลแจ้งเลื่อนประชุมเพราะพรุ่งนี้คณบดีไปราชการที่ต่างจังหวัดนี่หว่า”


“ตามไปดูไหม” แสนยาไม่ว่าเปล่า ยังจะเดินตามเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะคลาดสายตา


“ช่างเถอะ” ชลชาติกล่าว


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-10-2018 14:59:41
(ต่อค่ะ)


กลับถึงประเทศไทยได้เพียงไม่กี่วัน ชลชาติก็ได้รับข่าวร้ายข่าวหนึ่ง นั่นคือธรรม์ณธรประสบอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าจนบาดเจ็บสาหัสเพราะการเมาสุราในขณะขับรถ ชายหนุ่มถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่เขาถูกให้ออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยโทษฐานที่ทำผิดวินัยร้ายแรง


หลังจากนอนไม่ได้สติอยู่หลายวันภายในห้องพักผู้ป่วยวิกฤต ร่างบอบช้ำก็ค่อย ๆ ปรือตาขึ้น หูได้ยินเสียงบางอย่าง แขนขาเหยียดเกร็งแต่ก็ขยับไม่ได้เพราะถูกมัดไว้กับเตียง แรงดูดจากสายยางที่ผ่านเข้ามาทางท่อในลำคอทำเอารู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง ในหัวหนักอึ้งนึกอะไรไม่ออก ที่ปลายเตียงเห็นเพียงเงาลาง ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง และเมื่อเธอเอื้อมมือมาจับที่ปลายเท้าเขากลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ซ้ายขวามีแต่สายระโยงระยาง อยากจะเปล่งเสียงเรียกขอน้ำดื่มแต่ในคอแห้งผากและเจ็บระบม ปากยังคาท่อสำหรับช่วยหายใจ ความทรมานแสนสาหัสทำให้อยากหลับใหลไม่ต้องรับรู้อะไรไปตลอดกาล แต่ในความครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นปรากฏร่างสูงของใครอีกคนหนึ่ง เมื่อเสียงเครื่องดูดเสมหะสงบลงจึงได้ยินคำพูดปลอบประโลมที่ดังแว่วอยู่ในโสตประสาท เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำจากวันเป็นเดือน กระทั่งเครื่องช่วยชีวิตต่าง ๆ ถูกถอดออกไปทีละชิ้น ๆ และในที่สุดธรรม์ณธรก็ถูกย้ายออกจากห้องพักผู้ป่วยวิกฤต


ชายหนุ่มทอดตามองขาข้างหนึ่งที่ขณะนี้ถูกหุ้มด้วยเฝือกและดามด้วยเหล็ก ยาวตั้งแต่ใต้หัวเข่าไปจนเกือบถึงปลายเท้า มองเลยไปที่ข้างทีวีมีแจกันทรงสูงเสียบดอกลิลลีสีขาวที่เริ่มเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาเพราะคนที่เคยนำดอกไม้มาเปลี่ยนให้หายหน้าไปหลายวัน


“ธรรม์ ทานข้าวเสียหน่อยนะลูก จะได้ทานยา” ผู้เป็นแม่กล่าวพลางปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น จากหน้าจึงหันไปหยิบชามข้าวต้มมาตักป้อนให้ลูกชาย


คนป่วยกินไปได้ 2-3 คำก็เบือนหน้าหนี


“ฝืนใจทานหน่อยนะลูก จะได้หายไว ๆ”


เห็นสีหน้าอมทุกข์ของแม่แล้วลูกชายจึงยอมอ้าปากรับอาหารอ่อนที่แม่ป้อน


ธรรม์ณธรรับประทานต่อไปได้อีกไม่กี่คำก็บอกกระท่อนกระแท่น “อิ่มแล้วแม่” เสียงนั้นแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นจับที่คอ พบว่าบริเวณที่เจาะเพื่อใส่ท่อสำหรับดูดเสมหะบัดนี้ถูกปิดไว้ด้วยผ้าก็อซ


“ทานยานะลูก” แม่กล่าวก่อนจะป้อนยา 3-4 เม็ดใส่ปาก ยกน้ำให้ลูกชายดื่มตาม ดึงกระดาษชำระเช็ดปากจนเรียบร้อย แล้วจึงยกถาดอาหารออกไปวางไว้หน้าห้อง


เธอเดินกลับมาหยุดข้างเตียง ยกมือขึ้นเสยผมยุ่งเหยิงให้ลูก จากนั้นจึงนั่งลงที่โซฟาเพื่อปล่อยให้เขาได้เปลี่ยนอิริยาบถสักพัก พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของสองหนุ่มที่มักแวะมาเสมอตั้งแต่ลูกชายของเธอเข้ารักษาตัวที่นี่


“แม่ทานข้าวหรือยังครับ” ชลชาติเอ่ยขึ้นในขณะที่แสนยารับดอกเบญจมาศสีเหลืองสดจากมือเขาไปเปลี่ยนแทนกำที่เสียบอยู่ในแจกัน


“แม่ว่าจะรอพ่อเขามาเปลี่ยนจ้ะ เมื่อสักพักโทรมาบอกว่าออกจากโรงงานแล้ว เดี๋ยวก็คงมาถึง”


ชลชาติพยักหน้า นึกถึงเจ้าของโรงงานผลิตผลิตน้ำปลาย่านสมุทรสาครที่มักจะตามไปเชียร์ลูกในทุกการแข่งขันแม้จะเป็นเพียงการแข่งขันเล็ก ๆ ก็ตาม เขาเองยังเคยรู้สึกอิจฉาธรรม์ณธร ที่มีทั้งพ่อและแม่จูงมือกันไปให้กำลังถึงขอบสระ ในขณะที่พ่อกับแม่ของเขา นาน ๆ ทีจึงจะปลีกตัวมาได้


“ให้มีนอยู่นี่แล้วคุณป้าทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้างหลังโรงพยาบาลมีตลาดนัดด้วยนะครับ ผมจะพาคุณป้าไปชิมให้ครบทุกร้านเลย” ได้ยินเสียงคนมาด้วยกันกระแอมปราม แสนยาจึงหัวเราะแหะ ๆ แล้วกล่าวต่อ “ร้านเดียวก็ได้ครับ”
ธรรม์ณธรมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า การมาของสองคนนี้มักทำให้แม่ของตนมีรอยยิ้มเสมอ


“แม่ไปทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนธรรม์เอง” ชลชาติกล่าว


“จ้ะ ดีเหมือนกัน แม่จะได้ไปซื้ออะไรไว้ให้พ่อเขาทานด้วย เดี๋ยวมาถึงก็คงจะบ่นหิวแน่ ๆ แม่ฝากด้วยนะมีน” พูดจบเธอจึงเดินตามแสนยาไปที่ประตู


ชลชาติรับคำก่อนจะหันมาหาคนบนเตียง “วันนี้เป็นยังไงบ้าง กินข้าวได้เยอะหรือเปล่า” และคำตอบที่ได้ก็เหมือนทุกครั้ง นั่นคือไม่มีคำตอบ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องที่เพื่อน ๆ ฝากให้กำลังใจคนป่วย ทั้งเรื่องเงินที่ทุกคนรวบรวมกันมาช่วยเหลือ และเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ


“ทำไมหายไปหลายวัน”


คำถามของธรรม์ณธรทำคนฟังอมยิ้มนิด ๆ คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจในการมาการไปของเขาเสียแล้ว “มีเรื่องยุ่ง ๆ ที่คณะนิดหน่อยน่ะ” เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เพื่อนควรรู้จึงกล่าวต่อ “อาจารย์ธนิตกับคณบดีเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาตอธิการบดี ไปเล่นการพนันจนเงินหมดก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา พอถูกส่งตัวกลับก็อ้างกับมหาวิทยาลัยว่าไปรับรองแขกต่างชาติที่จะเข้ามาสนับสนุนเงินทุนที่จะพัฒนานักกีฬาของมหาวิทยาลัย แต่อธิการท่านเป็นคนตรง ว่ากันไปตามระเบียบ ทั้งสองคนก็เลยถูกตั้งกรรมการสอบสวน”


ธรรม์ณธรพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง รู้สึกเอียนกับเรื่องผลประโยชน์พวกนี้เต็มทน


“สอบไปสอบมา ก็ไปเจอหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการโยกย้ายเงินในบัญชีของคณะ ทางฝั่งพี่ติ๋วที่เป็นหัวหน้าการเงินก็จับได้ว่าลูกน้องของตัวเองมีส่วนรู้เห็นกับการเบิกจ่ายเงินโดยใช้เอกสารที่มีการปลอมแปลงลายเซ็นของนาย สุดท้ายก็สาวไปถึงคนบงการได้”


ธรรม์ณธรลืมตาขึ้น “หมะ...หมายความว่า...”


“อาจารย์ธนิตกับคณบดีร่วมกันยักยอกเงินบริจาคงานวิ่ง เอาเงินไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง น่าจะโดนหนักอยู่ ส่วนนาย...อาจารย์ทวีฝากให้เรามาถามว่ายังอยากกลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยอยู่ไหม อาจารย์จะช่วยพูดกับผู้ใหญ่ให้”


คนฟังนิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดจึงสั่นหัว “ฝากขอบคุณอาจารย์ทวีด้วยนะ แล้วก็ขอโทษเรื่องที่ผ่านมา”


ชลชาติพยักหน้ายิ้ม “แล้วเราจะบอกให้ อ้อ...วันเสาร์นี้เพื่อน ๆ จะมาเยี่ยมนายด้วยนะ แต่งตัวหล่อ ๆ ไว้รอล่ะ”


ยิ่งอีกฝ่ายดีกับตนเองมากแค่ไหน ธรรม์ณธรกลับยิ่งรู้สึกผิดเป็นทวีคูณ “นายมาทำดีกับเราทำไม ทั้งที่เราทำไม่ดีกับนายไว้ตั้งเยอะ เราขัดขวางเรื่องก่อตั้งกองทุน แต่นายกับเพื่อน ๆ ก็เอาเงินจากกองทุนที่พวกนายตั้งขึ้นมาช่วยเรา” ชายหนุ่มพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่ในใจร้องไห้ไปแล้ว


“ตั้งแต่สมัยม.ปลายจนถึงติดทีมชาติ อาจารย์ธนิตบอกเราเสมอว่าถ้าเราเก่ง เพื่อนก็จะวิ่งเข้าหาเราเอง แต่ไม่ใช่เลย...ใคร ๆ ก็ชอบพาย ใคร ๆ ก็รุมล้อมพายรวมถึงนายด้วย”


ชลชาติถอนหายใจเบา ๆ “นายเข้าใจผิดแล้ว เราไม่ได้คบพายเพราะพายเป็นคนเก่ง แต่เราคบพายเพราะพายเป็นคนดี รักเพื่อน แล้วก็ไม่เคยนึกถึงประโยชน์ส่วนตัวต่างหาก”


“เราสู้พายไม่ได้เลยสักเรื่อง” ธรรม์ณธรกล่าวเสียงเครือ ตั้งใจจะไม่เสียน้ำตาแต่แล้วแขนที่อ้าออกแล้วโอบกอดตนไว้ก็ทำให้กลั้นไม่อยู่


“ไม่ต้องสู้” ชลชาติกล่าวพร้อมกับลูบหลังเพื่อนอย่างให้กำลังใจ “แค่นายเป็นนายคนใหม่เท่านั้นก็พอ เพื่อน ๆ ทุกคนเอาใจช่วยนายอยู่นะ”


หนุ่มศิลปินที่หยุดอยู่หน้าประตูมาพักหนึ่งละสายตาจากมือของตนที่กำลูกบิด หันกลับไปเห็นหญิงวัยเกษียณที่ตอนนี้กำลังยืนพิงผนังพลางยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น จึงสืบเท้าเข้าไปใกล้แล้วโอบร่างเล็กเอาไว้พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจก่อนจะประคองเธอออกจากห้อง


ชลชาติและแสนยาอยู่เป็นเพื่อนแม่ของธรรม์ณธรจนกระทั่งสามีของเธอเดินทางมาถึงจึงได้ขอตัวกลับ เมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งในรถโฟล์คเต่าสีนมชมพู ชลชาติก็ดึงตุ๊กตาหมีมาวางบนตัก ก้มหน้าสบตาแป๋วจนกระทั่งเจ้าของรถเอ่ยขึ้น


“เราก็สงสัยเหมือนที่เพื่อนนายสงสัย”


“สงสัยอะไร”


“สงสัยว่าเขาทำไม่ดีกับนายแล้วก็ไอ้พายไว้ตั้งเยอะ แต่ทำไมนายไม่โกรธ แถมยังทำดีกับเขาอีก”


“โกรธสิ เราโกรธธรรม์ทุกครั้งที่มันทำไม่ดีกับเรา กับอาจารย์และกับเพื่อนคนอื่น ๆ โมโหทุกครั้งเวลาได้ยินมันพูดแบบไม่สนใจความรู้สึกของใคร”


“นั่นน่ะสิ แล้วทำไมนายถึงยังไปขอร้องคุณติ๋วให้ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้เขา แล้วยังมาดูแลตอนเจ็บป่วยอีก”


“ก็เพราะมันเป็นเพื่อนไง เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ถึงจะเกลียดกันแค่ไหน ถึงจะบอกว่าเลิกคบแล้ว สุดท้ายจิตใต้สำนึกก็ยังบอกว่าคนนี้คือเพื่อนของเราอยู่ดี ไม่มีใครอยากเกลียดคนที่ตัวเองพยายามเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกับเขาหรอก นายว่าไหม”


คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย “อาจารย์ชลชาตินี่นอกจากหน้าตาจะดีแล้วหัวใจยังหล่อมากด้วยนะ”


“ของมันแน่อยู่แล้วโว้ย” เจ้าของชื่อบอกพร้อมกับจับแขนทั้งสองของเจ้าหมีขยับไปมาอย่างมันเขี้ยว


“ไม่มีปฏิเสธเลยนะ” ว่าแล้วแสนยาก็ดึงน้องแสนดีออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย


“อ้าว แล้วนั่นจะเอาไปไหน”


“ให้น้องแสนดีไปนั่งข้าง ๆ ขนมต้ม เดี๋ยวขนมต้มเหงา” พูดจบก็ส่งเจ้าตุ๊กตาหมีให้ไปนั่งคู่จิงโจ้ชกมวยที่เบาะหลัง


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-10-2018 15:06:19
(ต่อค่ะ)


สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างพาม่านซึ่งทำจากผ้ามัดย้อมปลิวไสว สมุดการบ้านที่ตรวจเรียบร้อยแล้วถูกวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ แยกไว้เป็นกอง ๆ ร่างสูงในชุดสีกากีลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินผ่านกรอบประตูไปยังระเบียงหน้าอาคาร เห็นเด็กชาย 3-4 คนกำลังวิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลอยู่ที่กลางสนาม ส่วนเด็กผู้หญิงจับกลุ่มเล่นกระโดดยางอยู่ใต้ต้นหูกวาง นคินทรถอนหายใจเบา ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความ ปลายนิ้วแตะที่ชื่อของใครบางคนก่อนจะดึงหน้าจอลงเพื่อเลื่อนอ่านทีละบรรทัด


   “คิดถึงจัง”



   “คิดถึงจะแย่แล้ว”



   “คิดถึงเราบ้างหรือเปล่า”



และนั่นก็คือข้อความที่ถูกส่งมาซ้ำ ๆ ในแต่ละวันตลอดหลายเดือนที่ต้องอยู่ไกลกัน ส่วนข้อความที่เขาตอบกลับก็เป็นข้อความในแบบเดียวกัน


ชายหนุ่มอมยิ้ม เก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า คิดจะย้อนกลับเข้าไปปิดหน้าต่างและประตูห้องพักครู แต่ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงบันไดก็ทำให้ต้องล้มเลิกความตั้งใจ ในที่สุดร่างสูงก็เดินไปหยุดก่อนจะนั่งลงข้างกัน


“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอกำบี้”


คำเรียกที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างกันทำเจ้าของชื่อหันมายิ้มแฉ่ง “ยังครับครู”


“แล้วซ้อมเป็นยังไงบ้าง” คนเป็นครูถือโอกาสถาม เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายได้รับคัดเลือกให้เข้าแข่งขันว่ายน้ำในกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่กำลังจะจัดขึ้นที่จังหวัดน่านในอีกไม่นาน


“ครูเมธีสอนเทคนิคเยอะแยะเลยครับ”


“แล้วครูเมธีกับครูพายใครโหดกว่ากัน”


สุชาติตอบแบบไม่ต้องคิด “ใจดีทั้งคู่ครับ” เด็กชายยิ้มกว้างอยู่ได้ครู่เดียวก็มุ่นคิ้วราวกับกำลังใช้ความคิด “ครูม่อนครับ ครูม่อนว่าครูพายจะคิดถึงบ้านไหมครับ”


“ต้องคิดถึงสิ”


“แล้วครูพายจะคิดถึงครูม่อน ผม ครูพิง แล้วก็ครูเมธีไหมครับ”


“คิดถึงอยู่แล้ว ครูพายถามด้วยนะว่ากำบี้ตั้งใจซ้อมหรือเปล่า แล้วก็บอกว่าจะกลับมาให้ทันวันแข่งด้วย”


“จริงเหรอครับครู” เด็กชายกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผมจะตั้งใจซ้อม จะเอาเหรียญมาฝากครูพายให้ได้เลยครับ”


นคินทรยิ้มพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็ก 


...


บนที่ดินซึ่งมีอาณาเขตติดกับพื้นที่ของปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ขณะนี้เริ่มปรากฏสิ่งปลูกสร้างขึ้นท่ามกลางแมกไม้ ชายหนุ่มยืนมองภาพนั้นจากเพิงพักปลายนาก่อนจะหันหลังกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง


“มาอยู่ที่นี่เอง” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น


“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” นคินทรถาม


“แม่จะเห็นลูกหายไปก็เลยเดินมาดู” พูดจบวาสนาก็นั่งลงใต้ชายคามองร่างสูงที่เดินมานั่งข้างกัน


นคินทรล้มตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นแม่ ดึงมือเหี่ยวย่นมาแนบแก้ม


“ถึงตอนนี้ลูกเสียใจบ้างไหมที่ไม่เอ่ยปากห้ามพายไม่ให้ไปออสเตรเลีย”


ลูกชายยิ้มพลางส่ายหัว “ม่อนรู้สึกแบบเดียวกับที่แม่รู้สึก ตอนที่แม่ต้องย้ายตามพ่อมาที่นี่”


วาสนาเลื่อนมืออีกข้างลูบศีรษะลูกชายแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ “มันเป็นความรู้สึกยินดีที่เห็นคนที่เรารักทำได้หน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถ ส่วนหน้าที่ของเราก็คือคอยสนับสนุนและให้กำลังใจ จำความรู้สึกนี้เอาไว้นะลูก”


นคินทรพยักหน้าก่อนจะหลับตาลง ชายหนุ่มมาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ใกล้ ๆ หู ลืมตาขึ้นจึงพบว่าแม่ไม่อยู่แล้ว กระนั้นแม่ก็ยังอุตส่าห์เอาหมอนใบนุ่มสอดให้ใต้ศีรษะของเขา ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดมาเปิดดูข้อความ


aMoxi: มีข่าวดีมาบอก

Sunny: ข่าวอะไรวะ

aMoxi: เราจะเป็นพ่อคนแล้ว

Sweety: ยินดีด้วยจ้าหมอก

MON: ไม่ค่อยเห่อเลย

aMoxi: นี่ลูกคนแรกนะไอ้ม่อน

Sunny: ขนาดมีเมียคนที่สองยังไม่เห่อขนาดนี้

Sichon: ว่าไงนะ

aMoxi: @Sunnyไอ้ฉาย! เดี๋ยวโดนเตะ!

MON: สร้างความร้าวฉานอีกแล้ว

aMoxi: @Sichon สิอย่าไปฟังมัน

Sunny: @Sweety ถ้าไอ้หมอกได้ลูกสาว เราหมั้นหมายไว้ให้เจ้าฟีฟ่าดีไหมแม่

aMoxi: ไม่ให้โว้ยยย! พ่อหวง!!

PraPai: ยินดีด้วยนะ

Sunny: ไอ้พายมาช้าตลอด ว่าแต่ยินดีที่ไอ้หมอกมันได้ลูกคนแรกหรือเมียคนที่สองวะ

PraPai: ทั้งสองอย่าง

aMoxi: ไอ้พายยย

Sichon: เป็นยังไงบ้างพาย

PraPai: สบายดี คิดถึงบ้านจะแย่แล้ว

Sweety: คิดถึงม่อน พิมพ์แบบนี้จ้ะพาย

Sichon: เดี๋ยวส่งรูปที่ม่อนไปซ้อมรำพิธีเปิดกีฬาเยาวชนให้ดูดีกว่า



พายุพัดมองภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วได้แต่ยิ้ม แม้สบู่กลิ่นดอกวาสนาในถุงผ้าจะทำให้รู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ แต่การได้พบหน้า พูดคุยและได้สัมผัสก็เป็นสิ่งที่เขาเร่งวันเร่งคืนให้เป็นจริงโดยไว ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงปิดโปรแกรมสนทนาแล้วโทรหาคนที่คิดถึง ทันทีที่ปลายสายกดรับหัวใจก็เต้นราวกับนี่เป็นการคุยครั้งแรก ทั้งที่จริงก็โทรหากันแทบทุกวัน


“สิส่งรูปมาให้ดู ไปซ้อมรำต้องหล่อขนาดนั้นเลยเหรอ”


“สาว ๆ เยอะนี่นา” นคินทรหัวเราะ


“แฟนไม่อยู่ไม่กี่เดือน เอาใหญ่แล้วนะ” พายุพัดยิ้มกับตัวเอง


“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”


“สนุกดี เขาเชิญนักว่ายน้ำออสเตรเลียที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกสามสมัยซ้อนมาสอนน่ะ”


“แล้วเหนื่อยหรือเปล่า”


คนฟังยิ่งยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำถามที่อีกฝ่ายมักถามทุกครั้งที่ได้คุยกัน


“ไม่เหนื่อย คิดถึงม่อนมากกว่า” เห็นปลายสายเงียบจึงกล่าวต่อ “แล้วม่อนล่ะ คิดถึงเราบ้างไหม”


“คิดถึง” นคินทรตอบก่อนจะตามด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจคนฟังอ่อนยวบจนอยากจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมันเสียเดี๋ยวนั้นทุกที


“กลับมาเร็ว ๆ นะ”


....


เมื่อแดดร่มลมตก ภายในสนามกีฬาขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างจับจองเก้าจนบนอัฒจันทร์แทบไม่มีที่ว่าง ในขณะที่พิธีกรเริ่มแนะนำการแสดงชุดแรก ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างเครื่องดนตรีสากลและเครื่องดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง ซึ่งเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจกันของเหล่านักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ หญิงสาวในชุดผ้าทอพื้นเมืองก็ก้าวออกมายืนข้างหน้าวงดนตรี ทันทีที่เพลง “ลมหนาวเวียงน่าน” ซึ่งประพันธ์คำร้อง ทำนองและเรียบเรียงโดยครูสอนดนตรีท่านหนึ่งในจังหวัดน่านดังขึ้น เสียงปรบมือก็ดังก้องทั่วทั้งสนาม ร่างสูงที่กำลังเดินอยู่บนบันไดคั่นระหว่างอัฒจันทร์หยุดนิ่งราวกับถูกตรึงไว้ภายใต้อ้อมกอดของบ้านเกิด ชายหนุ่มหันมองไปยังเวทีการแสดงซึ่งอยู่เบื้องล่าง คนที่กำลังสอดส่ายสายตาหาที่นั่งพากันหยุด ทั้งสนามเงียบกริบ ยิ่งส่งให้บทเพลงนั้นยิ่งมีมนต์ขลัง


เมื่อการแสดงชุดแรกจบลง เท้าจึงก้าวขึ้นไปตามบันไดทางเดินระหว่างอัฒจันทร์อีกครั้ง กระทั่งหาเก้าอี้ว่างได้จึงนั่งลง พิธีกรกล่าวถึงลำดับพิธีการต่าง ๆ จากนั้นการแสดงในชุดต่อ ๆ มาก็เริ่มขึ้นจนในที่สุดก็ถึงการแสดงชุดสำคัญ ซึ่งก็คือการแสดงโขน รามเกียรติ์ ชุดพระรามข้ามสมุทร ซึ่งเป็นตอนที่แสดงแสนยานุภาพของพระรามก่อนที่จะมีการถมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เพื่อยกทัพไปทำศึกกับทศกัณฐ์ที่กรุงลงกา วงปี่พาทย์ไม้แข็งบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ พลันผู้แสดงเป็นตัวลิงก็ร่ายรำนำทัพออกมาก่อน ตามด้วยขบวนราชราชคันเล็กตกแต่งลวดลายวิจิตรตระการตา และที่เด่นเป็นสง่าอยู่บนราชรถนั้นก็คือพระลักษณ์และพระราม


ตาคมจับจ้องไปยังร่างสูงสง่าไม่วางตา ผู้แสดงเป็นพระรามสวมชุดยืนเครื่องสีเขียวซึ่งจำลองการแต่งกายแบบกษัตริย์ มีอินทรธนูที่ไหล่ ศีรษะสวมชฎาประดับด้วยดอกไม้เพชรที่ด้านซ้าย ด้านขวามีดอกไม้ทัดห้อยอุบะ ตามตัวสวมเครื่องประดับต่าง ๆ ตามรูปแบบการแต่งกายของตัวพระ ในมือถือคันธนู ส่วนมืออีกข้างร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม


ชุดการแสดงเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าปะรำพิธี กระทั่งถึงอีกฝั่งของสนามขบวนทัพนักกีฬาเยาวชนตัวแทนจากจังหวัดต่าง ๆ ก็พากันเดินแถวตามเข้ามา ผู้คนที่รอชมต่างปรบมือให้การต้อนรับอย่างต่อเนื่อง เมื่อเหล่านักกีฬาพร้อมกันที่กลางสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิธีกรจึงกล่าวเริ่มพิธีอัญเชิญธงกีฬาเยาวชนแห่งชาติและธงประจำจังหวัดน่านขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นจึงเชิญประธานขึ้นกล่าวเปิดการแข่งขัน ตามด้วยพิธีการให้สัตย์ปฏิญาณของนักกีฬา และการอัญเชิญไฟพระฤกษ์เพื่อจุดในกระถางคบเพลิง
หลังเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว นคินทรจึงเดินหลบหลีกผู้คนเพื่อมาถ่ายรูปกับพ่อและแม่รวมถึงเพื่อน ๆ ที่รออยู่ริมสนาม ระหว่างทางเขาแวะถ่ายภาพกับทุกคนที่ปรารถนาจะมีภาพคู่กับผู้แสดงเป็นพระราม ไม่ว่าจะเป็นบรรดานักกีฬา ผู้ปกครอง ผู้ชม หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่จัดงาน กว่าจะเดินมาถึงจุดที่นัดกันไว้เล่นเอาเหงื่อตก


“มา ๆ ม่อน มาให้แม่เขาซับเหงื่อหน่อย เดี๋ยวถ่ายรูปแล้วไม่หล่อ” พลตรี นายแพทย์ธรณินเอ่ยขึ้น


นคินทรยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปหยุด โน้มหน้าลงให้ผู้เป็นแม่ช่วยซับเหงื่อ


“สูงจนแม่จะเอื้อมไม่ถึงแล้วนะเนี่ย” คุณวาสนายิ้ม นึกถึงหนุ่มน้อยที่เธอเคยต้องย่อตัวลงนั่งซับเหงื่อให้ ตั้งแต่ครั้งที่ลูกชายแสดงโขนเป็นครั้งแรก


“เดี๋ยวถ่ายม่อนกับคุณลุงคุณป้าก่อนนะ เพื่อน ๆ ไว้ทีหลัง” ย้งที่วันนี้แวะมาเก็บภาพบรรยากาศภายในงานเอ่ยขึ้น “ถ้าพร้อมแล้วยืนชิด ๆ กันเลยนะครับ”


เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งธรณินและวาสนาก็พากันจัดเสื้อผ้าหน้าผม แล้วยืนประกบลูกชาย ให้ตากล้องได้เก็บภาพ หลังจากถ่ายภาพครอบครัวเรียบร้อย เพื่อน ๆ จึงกรูกันเข้าไปขอมีส่วนร่วมด้วย


“ผมขอยืนข้าง ๆ เทียบรัศมีความหล่อของคุณลุงผู้พันหน่อยครับ” ภาณุเอ่ยขึ้น


“พ่อ...ไปลดยศคุณลุงเขาเสียเยอะเลยนะ” น้ำหวานว่าพลางอุ้มลูกชายเข้าเอว


“ก็มันเรียกจนติดปากแล้วนี่นาแม่”


“เอ้อ...ไม่เป็นไร ๆ” อดีตหมอทหารหัวเราะร่วน ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนลูกชาย


อวัศย์ประคองสิชลที่ขณะนี้ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นมายืนข้างคุณวาสนา รอจนช่างภาพเริ่มนับทุกคนจึงหันไปยิ้มให้กล้อง


หลังจากถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเรียบร้อย นายสัตวแพทย์หนุ่มก็ขอตัวพาภรรยาไปตามหาพ่อตาที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มัวไปคุยติดลมอยู่ตรงไหน ส่วนภาณุและน้ำหวานพาฟีฟ่าแยกไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปกับมาสค็อตของงาน


“ม่อนพาพ่อกับแม่ไปหาที่นั่งก่อนดีกว่า เดี๋ยวม่อนกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวแล้วจะมาหานะครับ” นคินทรกล่าวในขณะที่ตายังมองไปรอบ ๆ ไม่ทันสังเกตว่าพ่อกับแม่ของตนกำลังรับไหว้ใคร พลันร่างสูงที่ก้าวมาหยุดตรงหน้าก็ทำให้ต้องชะงัก


“คิดว่าจะไม่รอกันเสียแล้ว” คนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานเอ่ยขึ้น


“บอกแล้วไงว่าจะรอ” นคินทรกล่าว


พายุพัดยิ้มเขินก่อนจะพูดประโยคหนึ่งที่รอคอยมาสิบกว่าปี “ถ้าอย่างนั้น...เราขอถ่ายรูปกับม่อนได้ไหม”


คนฟังโคลงหัวยิ้ม ๆ เดินไปยืนข้าง ๆ รออีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง


“มา เดี๋ยวพ่อถ่ายให้” ธรณินบอกพร้อมกับดึงโทรศัพท์จากมือชายหนุ่ม จัดการเปิดกล้องแล้วหยีตาเล็ง


คุณวาสนาเห็นท่าไม่ดีจึงเดินมากำชับ “ถ่ายให้ลูกชัด ๆ นะพ่อ”


“รับรองชัดแน่นอนจ้ะแม่ แต่ถ้าเบลอ ก็เบลอว่ารักแถบนะ” ผู้เป็นสามีกระเซ้าพลางใช้ศอกสะกิดภรรยา


“พ่อนี่...พูดอะไรไม่อายลูกเลย”


ธรณินหัวเราะชอบใจก่อนจะกล่าว “พาย! มองกล้อง ๆ อย่ามัวมองแต่ม่อน” จากนั้นจึงนับ “หนึ่ง...สอง...สาม”


....      


“ทำไมต้องเขินด้วย” นคินทรถามขณะใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอสัมผัสเพื่อเลื่อนดูรูปก่อนจะเงยหน้าขึ้นรอคำตอบจากคนที่นั่งประจำที่คนขับ


“ก็...มันรู้สึกเหมือน...ตอนที่เจอกันครั้งแรกน่ะ”


“ไม่เหมือนสักหน่อย ตอนนั้นน่ะนายทำหน้าอย่างกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบเพราะว่าโดนเพื่อนว่าว่าเป็นเด็กหลังเขา” พูดจบชายหนุ่มก็วางโทรสัพท์ลง “แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”


“ธรรม์น่ะเหรอ เมื่อวานมีนพาเราไปเจอมันมา ตอนนี้ก็เดินคล่องขึ้นแล้วละ”


“แล้วเขาทำอะไรอยู่ กลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิมหรือเปล่า”


พายุพัดส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงนะ ก่อนหน้านี้ธรรม์ไปกายภาพบำบัดที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็เลยอาสาไปช่วยงานด้านธาราบำบัดน่ะ”


“ดีจัง ในที่สุดก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกสักทีนะ”


“ใช่ เหมือนเราไง”


นคินทรเลิกคิ้ว


“ก็ตอนนี้เราได้ทำในสิ่งที่เราเลือก เราได้กลับมาอยู่กับม่อนแล้วไง”


คนฟังหลบสายตาโดยการมองไปทางอื่น เห็นว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านจึงเอ่ยขึ้น “จะพาเราไปไหน”


“เราเคยบอกม่อนว่าจะพาไปดูดาวบนดินไง จำได้หรือเปล่า”


นคินทรพยักหน้า มองออกไปนอนหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ไม่นานรถก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความชันกระทั่งมาหยุดยังยอดดอยซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดแห่งหนึ่ง


เมื่อสองคนลงจากรถดวงอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี นคินทรหยุดมอง ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเจดีย์สีขาวศิลปะพม่าผสมล้านนา ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ แต่ที่ตรึงสายตาที่สุดเห็นจะเป็นพระพุทธรูปปางประทานพรซึ่งประดิษฐานอยู่บนฐานบัวสูงกลางลานกว้าง บรรยากาศเงียบสงบ ท้องฟ้าโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีม่วงไล่ระดับจากเข้มไปอ่อนแต้มด้วยริ้วสีส้ม เบื้องล่างคือทิวทัศน์ของน่านนครที่เตรียมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของรัตติกาล


“วัดพระธาตุเขาน้อยใช่ไหม” นคินทรถามด้วยรู้สึกคุ้นตากับภาพที่เห็นตรงหน้า


คนพามาไม่ได้ตอบเพียงแต่ถามกลับ “ฉายเคยพามาหรือเปล่า” เห็นอีกฝ่ายสั่นศีรษะน้อย ๆ จึงจูงมือกันเดินไปยังลานชมทิวทัศน์เพื่อไหว้สักการะพระพุทธรูปองค์สูงใหญ่


“จะมีสักกี่คนที่ถ่ายรูปจากมุมนี้ ที่เห็นในโปสการ์ดหรือทีวีก็เห็นแต่ด้านหลังของท่าน” นคินทรกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นวงพักตร์อิ่มเอมซึ่งดูคล้ายกำลังทอดตามองเมืองน่านทั้งเมือง พูดจบชายหนุ่มก็เดินไปหยุดที่ริมระเบียงแล้วหันไปกล่าวกับคนข้าง ๆ “ยิ้มอะไรนัก”


“ดีใจที่คนที่พาม่อนมาที่นี่เป็นครั้งแรกคือเรา” พายุพัดบอก ประกายในดวงตาและรอยยิ้มของเขายิ่งตอกย้ำคำตอบที่เพิ่งพูดจบลงไป


“เวอร์แล้ว” นคินทรกล่าวก่อนจะหันไปมองแสงไฟระยิบระยับที่ประดับประดาแต่งแต้มให้พื้นที่ข้างล่างกลับน่ามอง “เหมือนดาวบนดินจริง ๆ ด้วย”


“ม่อนชอบหรือเปล่า”


“ชอบ”


“ที่นี่กับเสมอดาว ชอบที่ไหนมากกว่ากัน”


ชายหนุ่มหันมาสบตาคนถามแล้วกล่าว “เราชอบทุกที่ ถ้าที่นั่นมีนายไปด้วยกัน”


เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ทำพายุพัดยิ้มทั้งน้ำตา


“ร้องไห้ทำไม” ว่าแล้วนคินทรก็ยกขึ้นซับน้ำที่ใต้ตาให้


หนุ่มนักกีฬาจับมือนั้นบีบเบา ๆ แล้วเลื่อนมาวางตรงกลางอก “เราคิดถึงม่อนจะแย่อยู่แล้ว เข็ดแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ไปไหนไกล ๆ อีกแล้ว”


นคินทรยิ้ม ค่อย ๆ ดึงมือออกหันไปเกาะระเบียง ทอดตามองแสงดาวพร่างพรายบนผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล ได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู...


“เรารักม่อนนะ”


เมื่อมือใหญ่ทาบทับบนหลังมือ พลันความอุ่นซ่านก็แผ่ซึมไปถึงหัวใจ
... 


ส่งท้าย


หลังการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติสิ้นสุดลง นอกจากอาจารย์เมธีจะปิดสปอร์ตคลับเพื่อฉลองให้กับเจ้าของเหรียญทองว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร (ชาย) แล้วยังถือโอกาสต้อนรับการมาเยือนของฉลามหนุ่ม อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติเจ้าของเหรียญทองกีฬาเอเชียนเกมส์ในท่าผีเสื้อไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นการแทงฉมวกครั้งเดียวได้ปลาสองตัวตามที่อาจารย์เมธีว่าไว้


“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เด็ก ๆ อยากดูอดีตนักกีฬาทีมชาติไทยว่ายน้ำแข่งกันไหม”


สิ้นเสียงเจ้าของสปอร์ตคลับ บรรดาเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นน้ำก็ส่งเสียงเฮ รีบปีนขึ้นจากสระทันที


“ผมเชียร์ครูพาย” สุชาติเอ่ยขึ้น จากนั้นเด็ก ๆ ก็พากันเลือกข้าง จนกระทั่งเหลือคนสุดท้าย


“แล้วครูม่อนเชียร์ใครคะ” เด็กหญิงมะนาวถาม


เจ้าของชื่อสบตาชายหนุ่มที่ยืนห่างไปไม่ไกล กำลังจะตอบ อีกคนก็ขัดเสียก่อน


“ม่อนต้องเชียร์เราสิ” ชลชาติบอก หันไปยักคิ้วให้เพื่อน “ม่อนเคยสัญญาไว้นี่นาว่าถ้าเราลงแข่งม่อนจะเชียร์เรา”
นคินทรอ้าปากค้าง ในที่สุดจึงกล่าว “ค...ครูเชียร์พี่มีน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเด็กชายหญิงที่เป็นกองเชียร์ฝั่งชลชาติจึงพากันปรบมือชอบใจ โห่ร้องข่มคู่ต่อสู้


อาจารย์หนุ่มเดินยิ้มกริ่มเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกล่าว “เชียร์เราด้วยนะ”


“อื้อ” นคินทรรับคำก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคนที่เดินตามมา


พายุพัดรอจนเพื่อนรักเดินผ่านไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น “คิดเอาไว้เลยนะว่าถ้าเราชนะมีน ม่อนจะให้อะไรเรา”


“เกี่ยวอะไรกัน” คนเสียเปรียบมุ่นคิ้ว กำลังจะอ้าปากเถียง เจ้าของร่างสูงก็เดินไปหยุดหลังแท่นปล่อยตัวเสียแล้ว


เมื่อสองหนุ่มสลัดเสื้อผ้าทิ้งจนเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำ บรรดาเด็ก ๆ ก็ส่งเสียงอู้หูจนอาจารย์เมธีต้องหันไปบ่น “ทีครูถอดเสื้อไม่เห็นมีใครร้องอู้หูบ้างเลย”


“ก็ครูมีแต่พุงนี่คะ”


“ไม่ไว้หน้ากันเลยนะเด็กพวกนี้” คนพูดส่ายหน้ารีบแขม่วพุงทันที บรรดาเด็ก ๆ จึงพากันหัวเราะ


ชลชาติรับแว่นตากันน้ำที่เพื่อนส่งให้มาสวม ก้าวอย่างมั่นคงขึ้นไปยืนบนแท่นแล้วส่งยิ้มให้คนที่ก้าวขึ้นบนแท่นปล่อยตัวข้างกัน “ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วนะ”


พายุพัดพยักหน้าพร้อมกับดึงแว่นตากันน้ำลง “ห้าสิบเมตรแรกท่ากบ ส่วนห้าสิบเมตรหลังตามถนัด”


“ได้”


อาจารย์เมธีเห็นนักกีฬาขึ้นประจำที่แล้วจึงขาน “Take your mark” สองคนก้มลงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เมื่อสัญญาณนกหวีดดัง ฉลามหนุ่มก็พุ่งลงสู่ผิวน้ำพร้อมกัน ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกจากนั้นจึงเริ่มว่ายท่ากบซึ่งต่างคนต่างไม่ถนัด เด็ก ๆ พากันไปยืนข้างขอบสระส่งเสียงให้กำลังใจ ในขณะที่บางคนไปยืนลุ้นว่าใครจะกลับตัวก่อนกันที่ขอบสระอีกฝั่ง


“กลับตัวแล้ว ๆ” สุชาติร้องขึ้น


“กลับตัวพร้อมกันเลย พอพี่มีนเปลี่ยนมาว่าท่าผีเสื้อแล้วว่ายเร็วขึ้นตั้งเยอะ” เด็กหญิงแยมเอ่ยขึ้นพลางชี้ให้มะนาวดู


“นั่นน่ะสิ แต่ครูพายก็จ้วงเอา ๆ แรงไม่ตกเลย”


อาจารย์เมธีเห็นว่าสองคนว่ายสูสีกันมากจึงเดินไปหยุดข้างเด็กชายที่รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินที่จุดปล่อยตัว และเมื่อนักกีฬาว่าใกล้เข้ามา ต่างคนก็ต่างก้มลงมองเพื่อไม่ให้พลาดนาทีสำคัญ


“ดูทันไหม” เมธีเอ่ยขึ้นเมื่อสองคนแตะขอบสระ


“ไม่ทันเลยครับครู” เด็กเกาหัวแกรก ๆ


พายุพัดทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ ลูบหน้าลูบตาแล้วว่ายไปเกาะทุ่นลู่ คว้ามข้อมือของอีกคนแล้วชูขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ใคร ๆ ได้รู้ว่าชลชาติคือผู้ชนะ พลันเสียงปรบมือยินดีก็ดังไปทั่วทั้งสระ


....


“พาย นายยอมอ่อนให้เราใช่ไหม”


คนเดินนำถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถามนี้เป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ เพราะเขาเลิกนับไปนานแล้ว ตั้งแต่กลับจากสปอร์ตคลับจนจะเข้านอนชลชาติก็เอาแต่ถามคำถามนี้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย “ยอมอ่อนบ้าอะไร”


“เฮ้ย...แต่ห้าเมตรสุดท้ายน่ะ นายนำเราอยู่นะ”


“นำที่ไหน ใคร ๆ ก็เห็นว่าตีคู่กันมาแล้วนายก็แตะขอบสระก่อน ไปนอนได้แล้วไป” พายุพัดบอกก่อนจะหันไปมองนคินทรที่เอาแต่นั่งหัวเราะอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


“ม่อนดูสิ ไอ้พายมันแกล้งยอมเรา”


“เราไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนั้นเลย ตอนที่เรายืนเชียร์อยู่ที่ขอบสระก็เห็นมีนว่ายเอา ๆ ยิ่งท่าผีเสื้อยิ่งดูเร็วจนน่ากลัว”


ชลชาติมุ่นคิ้ว มองสองคนสลับกันอย่างแคลงใจ


“มั่นใจในตัวเองหน่อย” พายุพัดกล่าวพลางโอบไหล่เพื่อนแล้วพาเดินไปที่ประตู “หรือถ้าอยากให้แน่ใจก็มาเจอกันตอนว่ายการกุศลก็แล้วกัน แต่ตอนนี้น่ะไปนอนได้แล้ว” พูดจบก็ส่งอีกฝ่ายออกนอกประตู


“เดี๋ยววว ยังไม่ง่วงเลย” มือเกาะขอบประตูแน่นราวกับเป็นตุ๊กแก


“เราง่วงแล้ว” เจ้าของเรือนพักบอก พยายามแกะมือเพื่อนออกจนในที่สุดก็สามารถปิดประตูลงได้
คนถูกไล่โวยวายเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อคนข้างในไม่ยอมเปิด เขาก็ด่าปิดท้ายจนสาแก่ใจ ก่อนจะเดินกลับเรือนพักของตัวเอง
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ พายุพัดก็เดินกลับมานั่งลงบนเตียงพร้อมกับบ่นพึมพำ “ถามอยู่ได้” เห็นนคินทรยังคงนั่งหัวเราะจึงกล่าวต่อ “ขำอะไรเนี่ย”


“ก็นายแกล้งยอมแพ้เองไม่ใช่หรือไง”


“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย” คนโกหกไม่เก่งทำมองไปทางอื่น แต่แล้วจู่ ๆ สองมืออุ่นก็ประกบลงมาบนแก้ม ส่งผลให้ดวงตาสองคู่ได้สบกัน


“ทำไมเวลาพูดไม่สบตาครู”


 พายุพัดอมยิ้ม เลื่อนสองมือขึ้นยึดเอวก่อนจะแกล้งทิ้งตัวลงนอนจนร่างของอีกฝ่ายทาบตามลงมา


“เลยอดได้รางวัลเลย”


“ช่วยไม่ได้” นคินทรบอก ใช้นิ้วเขี่ยปลายจมูกของคนใต้ร่างอย่างรวดเร็ว


“ไม่มีรางวัลปลอบใจให้คนแพ้บ้างเหรอ”


นคินทรยิ้มก่อนจะโน้มลงหอมแก้มอีกฝ่ายจนครบทั้งสองข้าง จากนั้นจึงซุกหน้าลงกับซอกคอแกร่ง


“แล้วถ้าเราชนะล่ะ ม่อนจะให้อะไรเรา” พายุพัดถามพลางดึงมือที่ยังคงเกาะอยู่บนบ่าขึ้นมาแตะจูบซ้ำ ๆ


“ไม่ได้ชนะสักหน่อย จะมาถามทำไม”


“ก็อยากรู้ บอกเราหน่อยนะ”


“...”


“นะ”


คนถูกรบเร้าเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับตัวกระซิบชิดใบหู “เราก็จะบอกว่า...เรารักพาย”


ชายหนุ่มยิ่งยิ้มกว้างพลิกตัวขึ้นเหนืออีกฝ่ายแล้วถามให้แน่ใจ “เมื่อกี้ม่อนพูดว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ถนัดเลย”


กลีบปากได้รูปเม้มแน่น ในที่สุดก็กล่าวคำนั้นซ้ำ “เรารักพาย...”


พูดไม่ทันจบพายุพัดก็กลืนกินถ้อยคำเหล่านั้นโดยการประกบริมฝีปากลงมอบจุมพิตซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนอันแสนหวานและตราตรึงอยู่ในหัวใจของนคินทรไปอีกนานแสนนาน


จบบริบูรณ์


สวัสดีค่ะ

ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำนี้สักที ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 5 เดือนเต็มนะคะ หลังจากหยุดเขียนเรื่องยาวไปนานก็ได้เป็นเรื่องนี้ออกมา หวังว่าใครที่ได้อ่านจะมีความสุขไปกับทุก ๆ ตัวละครในเรื่องค่ะ เราเขียนไว้ในเรื่องหน้ากากดอกไม้ว่า หาก “ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า” เขียนขึ้นจากแนวความคิดและรูปแบบการใช้ชีวิต “คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก” ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวภายในครอบครัว เพื่อน และผู้คนมากมายที่มีโอกาสได้รู้จัก “หน้ากากดอกไม้” มาจากความชอบในเรื่องราวสืบสวนสอบสวนของเรา ดังนั้น “สายลมกระซิบรัก” จึงเป็นนิยายที่สะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกของเรา ในช่วงหนึ่งที่ชีวิตต้องการกำลังใจมาก ๆ ค่ะ เชื่อว่าทุกคนเคยรู้สึกท้อ ผิดหวัง เสียใจ แต่ถ้าหากไม่จมอยู่กับสิ่งนั้นมากจนเกินไป เราจะมองเห็นคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรา ถ้าหากตอนนี้ผู้อ่านกำลังเผชิญกับความรู้สึกนั้นอยู่ละก็ เราขอมอบนิยายเรื่องนี้เอาไว้เป็นกำลังใจให้กลับมาเข้มแข็งไว ๆ ค่ะ

จนกว่าจะพบกันใหม่

ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
23 ตุลาคม 2561


หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 23-10-2018 15:38:10
กลับมาบอกรักกันแล้ว :-[ :-[
ถึงไม่บอกมันก็อุ่นๆอยู่ในใจตลอดใช่ไหมพายม่อน
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นหัวใจ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 23-10-2018 15:52:11
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-10-2018 16:01:30
จบได้ อบอุ่น และ เย็นใจจัง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-10-2018 16:03:00
 



 :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:



หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 23-10-2018 16:23:00
จบด้วยความอิ่มเอมใจ หลงรักบรรยากาศของเรื่องนี้มากครับ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-10-2018 16:29:36
ขอบคุณกับเรื่องราวแสนนุ่มนวล
ตอนนี้ได้แต่รอกรี๊ด มีนกับแสนยา :impress2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2018 16:49:28
 :L1: o13 o13 o13 :L1:



 :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 23-10-2018 17:16:00
อบอุ่นน่ารักจริงๆคู่นี้
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-10-2018 18:10:52
ปลื้ม
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-10-2018 18:39:58
อบอุ่นและสวยงามมาก
ดีใจที่เห็นทุกคนมีความสุข
คนไม่ดีก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น ๆ
ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ อีกเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-10-2018 20:02:08
อบอุ่นจังเลยค่ะ ความรักของเขาหนักแน่นและมั่นคงมาก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆอีกเรื่องนะคะ รักบรรยากาศเมืองหนาวในนิยายของคุณถธปทฟทุกเรื่องเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-10-2018 20:02:40
 :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-10-2018 20:20:21
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่สร้างผลงานดีๆมาให้ได้อ่านกัน :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-10-2018 20:54:24
 :L2:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 23-10-2018 21:21:05
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 23-10-2018 21:34:16
สุดยอดนิยายเลยค่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจ อบอุ่นหัวใจ ความรักมันดีจริงๆเนาะ  :กอด1: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 23-10-2018 21:40:17
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เป็น กลจ ให้คนแต่งค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-10-2018 21:54:13
อบอวลในหัวใจจริงๆค่ะละมุนละไมในความรู้สึกมากๆขอบคุณนะคะอ่านเรื่องของคุณแล้วมีความสุขแล้วก็ทุกครั้งที่ต้องอ่านซ้ำๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนที่ 21 กระซิบรัก (23-10-2561 หน้า 11) ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-10-2018 23:25:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

ผลกรรมที่ คณบดีกับรองฯ ธนิต ได้รับเนี่ย  ถึงขั้นไหนอ่ะ?

ยินดีกับธรรม์ที่คิดได้และกลับตัวกลับใจ

 
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-10-2018 07:31:45
ตอนพิเศษ


คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากสภามหาวิทยาลัยได้มีมติให้ตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงกรณียักยอกเงิน เมื่อหลักฐานชี้้ชัดว่าคณบดีและรองคณบดีร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อยักย้ายถ่ายเทเงินของคณะโดยมีเจ้าหน้าที่การเงินคนหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ทั้งหมดก็ถูกให้พ้นสภาพการเป็นข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัยทันที รวมถึงต้องชดใช้เงินคืนเต็มจำนวนซึ่งเป็นมูลค่าหลายล้านบาท มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันวุ่นวาย แต่ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบให้แก่ชลชาติมากนัก เขายังคงตั้งใจทำงานตามปกติ สำหรับอาจารย์หนุ่มที่วุ่นวายว่าเรื่องราวในคณะเห็นจะเป็นคนที่มานั่งทำตาละห้อยอยู่ในขณะนี้


“เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ว่าง ยังตรวจงานยังไม่เสร็จเลย พรุ่งนี้ต้องคืนให้นักศึกษาแล้ว” ชลชาติกล่าวทั้งที่ตายังกวาดมองกระดาษตรงหน้าก่อนจะใช้ปากกาหมึกแดงวงข้อความที่นักศึกษาตอบผิดแล้วแก้ให้ถูก


“ยังมีเวลาตรวจอีกตั้งนาน แต่เราไม่มีเวลาแล้วนะ” แสนยาบอก คำพูดของเขาทำอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น “เดี๋ยวรถบัสมหาวิทยาลัยก็จะออกแล้ว ยังไม่ได้กินสตรอเบอรีชีสเค้กปั่นเลย อีกตั้งหลายวันกว่าจะกลับ นะ ๆ ไปเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวเราเลี้ยงกาแฟนายก็ได้ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”


“ไม่ต้อง” ชลชาติตอบห้วน ๆ “ถ้าเปลี่ยนจากเอาเวลามาเซ้าซี้เราเป็นเดินไปซื้อ ป่านนี้ก็ได้กินไปแล้วไหม” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงตรวจงานต่อ   


ตาคมกวาดมองข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า บางแผ่นใช้เวลาอ่านเพียงไม่นานเพราะเจ้าของเขียนอย่างบรรจง ในขณะที่บางแผ่นก็ต้องแกะอยู่พักใหญ่เพราะเขียนมาด้วยลายมือหวัดราวกับไม่อยากได้คะแนน ในที่สุดชายหนุ่มก็วางปากกาลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พบว่าเป็นเพื่อนอาจารย์เดินเข้ามาหยิบเอกสารจากนั้นจึงเดินออกไป ห้องทั้งห้องเงียบเฉียบ ได้ยินเพียงเสียงตัดไฟของกระติกน้ำร้อน ไม่รู้ว่าคนที่มาวอแวเมื่อพักใหญ่จากไปตั้งแต่ตอนไหน กำลังจะตรวจงานต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น


คนที่เดินเข้ามาคือหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ชุดกระโปรงของเธอเน้นช่วงเอวคอด เผยผิวเนียนช่วงไหล่กว้าง ชลชาติจ้องเขม็ง ยอมรับว่าเธอสวยขึ้นผิดหูผิดตา ใบหน้าสวยเคลือบทับบาง ๆ ด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาลืม “ตรีฉัตร สิริฉัตร” อดีตราชินีเจ้าสระได้


“ไม่เจอนานเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินมาหยุด


เจ้าของชื่อลุกพรวดขึ้น มือรวบกระดาษบนโต๊ะขึ้นกระทุ้ง แล้ววางไว้ที่เดิม “ต...ตองมาที่นี่ได้ยังไง”


“ตองตั้งใจจะกลับมาเยี่ยมบ้านที่เชียงใหม่น่ะ แตะวัน-สองวันนี้มีธุระที่สถานทูต ผ่านมาแถวนี้เลยแวะหาอาจารย์ทวี อาจารย์บอกว่ามีนเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ เราก็เลยลองขึ้นมาดู พอดีเมื่อกี้สวนกับอาจารย์อีกท่าน เขาบอกให้เข้ามาได้เลย มีนอยู่”


ชลชาติพยักหน้า ยกกระดาษแบบฝึกหัดปึกนั้นขึ้นกระทุ้งอีกครั้งเพื่อลดอาการประหม่า


“มีน...ว่างหรือเปล่า ไปดื่มอะไรกันหน่อยไหม”


ร่างสูงก้มลงมองกระดาษแบบฝึกหัดตรงหน้า


“ไม่ว่างเหรอ”


“ว...ว่าง เราว่าง” ชลชาติตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็ร้านเดิมเนอะ ที่เคยไปนั่งกันบ่อย ๆ สมัยเรียน” หญิงสาวว่า จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากคณะ มุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟในซอยข้างมหาวิทยาลัย


ชลชาติที่เป็นฝ่ายเดินนำผลักประตูให้เปิดออก รอจนคนตัวเล็กผ่านเข้าไปจึงก้าวตาม ทันทีที่สองคนนั่งลง เสียงพนักงานก็ดังขึ้น


“สตรอเบอรีชีสเค้กปั่นกับมอคคาเย็นได้แล้วนะคะ”


และเมื่อเจ้าของรายการเครื่องดื่มลุกขึ้น ดวงตาสองคู่ก็บังเอิญได้สบกัน ชลชาติมัวแต่มองตามร่างสูงที่เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จนไม่ทันฟังว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดว่าอะไร กระทั่งเธอยืนมือมาแตะที่หลังมือ


“มีน...ฟังเราอยู่หรือเปล่า”


“ว...ว่าไงนะ” ชลชาติดึงสายตากลับมายังหน้าสวย


“เราถามว่าเอานมร้อนเหมือนเดิม หรือว่าจะดื่มอย่างอื่น”


“เราขอเป็นมอคคาเย็นก็แล้วกัน”


หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะหันไปบอกรายการเครื่องดื่มกับสาวน้อยในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนที่กำลังตั้งท่ารอจด


“นมร้อนกับมอคคาเย็น รอสักสักครู่นะคะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์


“ปอปลาตากลม ที่แท้ก็มีนัดนี่เอง ถึงว่าเราชวนเท่าไรก็ไม่ยอมมา” แสนยาที่เดินเข้ามาหยุดเอ่ยขึ้น มือหนึ่งถือแก้วใส่เกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กก้อนจิ๋ว ส่วนอีกมือหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟเย็นโปะวิปครีม เขายิ้มกับสาวสวยที่หันมาส่งยิ้มให้


“ไม่ได้นัดกันไว้หรอกค่ะ ต้องไปลากตัวกันมา” ตรีฉัตรพูดกลั้วหัวเราะ


“ตอนแรกว่าจะซื้อกาแฟไปฝาก แต่นายคงสั่งไปแล้วใช่ไหม เราก็ไม่กินกาแฟ ถ้าอย่างนั้นเราเอาให้น้องพนักงานไปนะ” พูดจบแสนยาก็เตรียมจะย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ถูกอีกฝ่ายยึดข้อมือเอาไว้


“เดี๋ยวแสน เราสั่งมอคคาเย็นเหมือนกัน เรากินอันนี้ก็ได้” ชลชาติบอก คลายมือออกแล้วเรียกพนักงานเพื่อจะขอยกเลิกรายการเมื่อครู่ โชคดีที่พนักงานยังชงเครื่องดื่มให้โต๊ะอื่นไม่เสร็จ เขาจึงไม่ต้องดื่มมอคคาเย็นสองแก้วจนตาแข็ง
หนุ่มศิลปินจึงยื่นถุงใส่แก้วกาแฟให้แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นราไปก่อนนะ”


“จะไปไหนก็ไป ยุ่งวุ่นวายน่ารำคาญ”


แสนยาพยักหน้า ดูมิได้สะทกสะท้านกลับถ้อยคำที่เพิ่งจบลง “ไปละ เดี๋ยวตกรถ...เจ็บแย่” พูดจบก็เดินดูดน้ำหวานอย่างสบายใจออกจากร้าน ไม่ได้ใส่ใจคนมองตามเลยสักนิด


“เพื่อนมีนตลกจัง”


“มันบ้า” ชายหนุ่มพึมพำ ใช้หลอดคนกาแฟในแก้ว


หญิงสาวยิ้ม “มีนสบายดีหรือเปล่า”


ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะยกกาแฟขึ้นดูด เมื่อวางแก้วลงจึงถาม “ตองล่ะ สบายดีไหม”


“สบายดีจ้ะ”


“มีตัวเล็กแล้วหรือยัง”


“ไม่มีหรอกกจ้ะ แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสมีด้วย”


“ทำไมล่ะ”


หญิงสาวรอจนพนักงานวางถ้วยนมร้อนลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วตอบคำถาม “เราหย่ากับสามีแล้วน่ะ” พูดพลางแตะฝ่ามือลงข้างถ้วย รู้สึกว่านมยังร้อนอยู่จึงเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เห็นสีหน้าตกใจของเขาจึงยิ้มน้อย ๆ “ไม่คิดใช่ไหมว่าผู้หญิงที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างตองจะหย่ากับสามีได้ ตองก็ไม่คิด ไม่เคยคิดเลย คิดแต่ว่าชีวิตแต่งงานจะต้องมีความสุข มีลูกด้วยกัน อยู่กันจนแก่จนเฒ่า ตอนที่ตองชวนมีนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสด้วยกันแต่มีนปฏิเสธ หรือแม้แต่ตอนที่มีนซ้อมหนักจนไม่มีเวลาให้ตอง ตองยังคิดว่านั่นคือการถูกทิ้ง แต่จริง ๆ แล้วมันคือตอนนี้ต่างหาก”


“ตอง...” ชลชาติรู้สึกราวกับน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรให้อดีตคนเคยรักรู้สึกดีขึ้น


“พอรู้ข่าวว่ามีนประกาศเลิกว่ายน้ำ ตองตกใจมาก เป็นเพราะตองใช่ไหม”


คนถูกถามเลือกที่จะไม่ตอบ เพียงแต่ยกกาแฟขึ้นดื่ม


“ตอง...ขอโทษนะมีน” มือเรียวประดับด้วยเล็บสีแดงเลื่อนมาทาบบนมือใหญ่ “ขอโทษที่ตองเห็นแก่ตัว มีนยกโทษให้ตองด้วยนะ ตอนนี้ตองถูกลงโทษแล้ว”


“เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย” ชลชาติกล่าว วางมือที่เหลือบนหลังมือของหญิงสาวบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงออกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “กลับมาคราวนี้ตองจะอยู่ถึงเมื่อไร”


“ตองตั้งใจจะกลับเชียงใหม่ แล้วก็มากรุงเทพฯ ตอนที่มีแข่งว่ายน้ำการกุศลน่ะ อยากเจอเพื่อน ๆ หลังจากนั้นก็คงบินกลับไปเคลียร์อะไรนิดหน่อยแล้วก็ว่าจะมาอยู่กับครอบครัวที่เชียงใหม่เป็นการถาวร” เธอกล่าวก่อนจะประคองถ้วยนมร้อนขึ้นจิบ “มีนลงแข่งด้วยหรือเปล่า”


“ยังรู้เลย ถ้ามีคนเชียร์ก็อาจจะลง” ชลชาติตอบ เผลอยกมุมปากขึ้นยิ้มกับตัวเอง


“อะไรกัน จะไม่มีคนเชียร์ฉลามมีนได้ยังไง อย่างน้อยก็...แฟนไง”


คนฟังหัวเราะหึในลำคอ พลันเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือขึ้นมากดรับสาย ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองออกไปนอกผนังกระจก แม้จะไม่คุ้นหูกับภาษาที่เธอใช้สนทนากับคนปลายสาย แต่การได้มีโอกาสไปแข่งขันในระดับนานาชาติก็ทำให้ชลชาติสามารถฟังออกเป็นบางคำและรู้ว่านั่นคือภาษาฝรั่งเศส


“อีกเดี๋ยวตองต้องไปแล้วนะมีน ตองนัดเพื่อนไว้ที่สถานีรถไฟฟ้า” ตรีฉัตรกล่าวเมื่อเก็บดทรศัพทคืนกระเป๋า


ชายหนุ่มพยักหน้า ยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้คิดเงิน จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินออกจากร้าน ชลชาติส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซีเรียบร้อยจึงเดินย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัย เมื่อถึงทางลัดที่สามารถเดินไปยังคณะของตนได้ อาจารย์หนุ่มกลับอ้อมไปอีกทาง ในที่สุดร่างสุดก็มาหยุดที่ลานจอดรถหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นเวลาเดียวกับที่รถบัสสำหรับพานักศึกษาปริญญาตรีของคณะไปทัศนศึกษาที่จังหวัดสุโขทัยเคลื่อนออกไปพอดี


...


ทั้งที่ตามกำหนดการนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะศิลปกรรมศาสตร์จะต้องเดินทางกลับจากการทัศนศึกษาและถึงมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อน แต่ระยะนี้ชลชาติกลับไม่เห็นรถโฟล์คเต่าสีหวานจอดอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยเลยสักวัน ชายหนุ่มผละจากหน้าต่างกระจากบานเกล็ด ลงจากคณะแล้วตรงไปยังรถที่จอดอยู่ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับโปสเตอร์ใบเล็กซึ่งเสียบอยู่กับที่ปัดน้ำฝน เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์นิทรรศการของนักศึกษาปริญญาโทของคณะศิลปกรรมสาสตร์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่แกลเลอรีแห่งหนึ่งแถวถนนเจริญกรุงในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจากที่ตั้งใจว่าจะกลับคอนโดเพื่อพักผ่อน ชลชาติจึงเปลี่ยนเป้าหมายทันที


รถแล่นฝ่าการจราจรติดขัดกระทั่งเลี้ยวเข้าซอยแล้วจอดที่ริมบาทวิถีต่อท้ายรถโฟล์คสีนมชมพูในเวลาใกล้ค่ำ อาจารย์หนุ่มหันไปคว้าถุงที่เบาะหลัง เปิดประตูลงจากรถ จากนั้นจึงเดินข้ามถนน เขาหยุดอ่านชื่อสถานที่ซึ่งเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ หล่อด้วยโลหะยึดกับกำแพงปูนเปลือยเป็นข้อความ “Light and Shade” ถัดลงมาด้านล่างคือป้ายอะคริลิกใสที่ภายในติดโปสเตอร์แบบเดียวกับที่ถือติดมือมา เมื่อร่างสูงเดินผ่านช่องประตูเข้าสู่ภายในจึงพบกับอาคารไม้สองชั้น หลังคาจั่ว ทาทับด้วยสีขาวทั้งหลัง ชั้นบนของปีกซ้ายเป็นสตูดิโอส่วนโถง ส่วนด้านล่างซึ่งล้อมรอบด้วยกระจกกรอบลูกฟักถูกถูกซอยย่อยเพื่อใช้สำหรับสอนศิลปะแขนงต่าง ๆ


เท้าก้าวไปตามทางเดินซึ่งหล่อด้วยปูนซีเมนต์เป็นรูปใบไม้เรียงไปตามผืนหญ้าผ่านแนวต้นโมกที่ส่งกลิ่นหอมเย็นกระทั่งหยุดที่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันของชายหนุ่ม 3-4 คน        


“หิวข้าวแล้ว ไปกินชาบูกัน” แสนยาเอ่ยขึ้น แต่เพื่อน ๆ ทุกคนกลับพากันสั่นหัว นั่นเพราะแต่ละคนต่างมีนัดกันหมดแล้ว “นะ ๆ สั่งพิซซามากินก็ได้ กินแล้วค่อยไป” ชายหนุ่มรบเร้า


“เอานี่ไปกินไป” คนที่เพิ่งติดตั้งภาพเขียนสีน้ำมันเสร็จกล่าวก่อนจะโน้มตัวลงหยิบถ้วยกระดาษบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งวางอยู่กับพื้นแล้วโยนให้ “หิวทีไรทำง้องแง้งเป็นเด็กทุกที”


แสนยาคว้าหมับ ปากบ่นขมุบขมิบ “คนมันหิวนี่หว่า ตั้งแต่กลางวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อุตส่าห์มาช่วยนะเนี่ย”


“ก็บอกแล้วไงว่ารอให้จบงานนี้ก่อนจะพาไปเลี้ยง แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ ว่ะ นัดแฟนไว้”


“เราก็นัดที่บ้านไว้เหมือนกัน วันนี้วันเกิดน้อง ไอ้สองคนข้างในก็ไม่ว่างเหมือนกัน เห็นว่าต้องไปทำงานที่อื่นต่อ” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากโถงด้านในกล่าว จากนั้นจึงยกกรอบรูปที่พิงอยู่กับผนังขึ้นติดยังตำแหน่งที่ได้กำหนดเอาไว้


“ถ้าอยากกินก็คนเดียวก่อนก็แล้วกันนะ”


“มันก็ไม่ไปอีก ไม่มีเพื่อกิน” เจ้าของร่างสูงที่ถอยห่างออกมาดูตำแหน่งการจัดวางกล่าวก่อนจะเอื้อมมือขยับภาพให้ตรง


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วว่ะ”


“เออ ๆ ก็ได้ ๆ ไว้เสร็จงานก็ได้วะ” แสนยาตัดบท ก้มลงหยิบสูจิบัตรออกจากกล่องแล้วเรียงไว้บนโต๊ะ


ทั้งหมดช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องจัดแสดงผลงานภาพเขียนอีกครั้ง เมื่อไม่พบจุดบกพร่องใด ๆ จึงก็พากันแยกย้าย เหลือก็แต่แสนยาที่เดินคอตกกลับเข้าไปยังโถงด้านใน ชายหนุ่มนั่งลงที่พื้นตรงกลางห้อง ดึงโต๊ะญี่ปุ่นเข้าหาตัว จ้องมองภาพหม้อชาบูในหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอย่าเสียดาย ในที่สุดจึงจับเมาส์คลิกปิดเว็บต์ที่เปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่เริ่มจัดสถานที่ จากนั้นจึงเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่เป้ พลันเสียงฝีเท้าของคนที่ก้าวมาหยุดก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้น


“ปอปลาตากลม มาได้ยังไงเนี่ย” หนุ่มศิลปินกล่าวอย่างแปลกใจ


“ก็มาตามโปสเตอร์นี่ไง” ชลชาติบอกพลางชูทั้งโปสเตอร์ใบเล็ก ถุงพลาสติกที่ข้างในมีกล่องพิซซาและน้ำอัดลมขึ้น ร่างสูงนั่งลงโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นคั่นตรงกลาง วางของกินลง


“ซื้อมาฝากเราเหรอ” แสนยาจ้องกล่องใส่พิซซาตาเป็นมัน


“คิดว่านายต้องอยู่เตรียมงานถึงดึก ก็เลยซื้อมาฝาก” ว่าแล้วอาจารย์หนุ่มก็ดึงกล่องกระดาษจากถุงแล้วจัดการเปิดออก มองอีกฝ่ายที่ยื่นหน้ามาสูดกลิ่นหอม ซ้ำยังแทบจะลอยตามไม่ว่าเขาจะเลื่อนกล่องไปทางซ้ายหรือขวา “หิวมากหรือไง”


“มาก” พูดจบแสนยาก็คว้าพิซซามากัด


“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะแสดงงาน” ชลชาติถามเสียงเนือบ ๆ พลางเลื่อนแก้วน้ำอัดลมให้


“นี่ไม่ใช่งานเรา มีงานเราติดอยู่ชิ้นเดียว นอกนั้นงานของเพื่อน ๆ แค่เอาชื่อไปใส่ให้ดูเท่ ๆ น่ะ คนสำคัญก็แบบนี้แหละ” หนุ่มศิลปินกล่าวทั้งที่ของกินยังเต็มปาก


ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ หยิบกระดาษใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เอาตั๋วงานแข่งว่ายน้ำการกุศลมาให้นาย”


แสนยากวาดตาอ่านรายละเอียดแล้วกล่าว “อืม...เสาร์กลางเดือนเหรอ” ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด ยกน้ำอัดลมขึ้นดูด


“ไม่ว่างเหรอ”


“เราต้องไปเก็บข้อมูลที่ต่างจังหวัดอีกรอบน่ะ”


คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เลื่อนไม่ได้เหรอ”


“ได้” แสนยาตอบทันควัน นัยน์ตาเป็นประกาย “เราจะไปก่อนแล้วรีบกลับมาเชียร์ไอ้พาย”


เมื่อได้ยิน ชลชาติก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ไหนเคยบอกว่าไม่เชียร์พายไง”


“ก็คราวก่อน คนที่ลงแข่งที่เรารู้จักก็มีแค่พายนี่ คราวนี้ก็คงมีแค่พายอีก”


“แล้วถ้าคราวนี้เราลงแข่งล่ะ นายจะเชียร์เราไหม”


“ของมันแน่อยู่แล้ว”


อาจารย์หนุ่มพยักหน้า


“ว่าแต่...ไม่กินเหรอ” แสนยากล่าวทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ มือหนึ่งหยิบพิซซาส่งให้


ชลชาติมองพิซซาชิ้นนั้นก่อนจะเลื่อนตาขึ้นสบ “ไม่อยากมือเลอะ” ว่าแล้วก็จับข้อมืออีกฝ่ายแล้วงับชิ้นพิซซาทั้งที่ดวงตายังไม่ย้ายไปไหน


“จะกินยังกลัวมือเลอะ” หนุ่มศิลปินกล่าวพร้อมกับชักมือกลับ วางชิ้นที่เป็นของคนนั่งฝั่งตรงข้ามลงแล้วจัดการกับส่วนของตนเองที่ยังเหลืออยู่


“หายไปไหนมา ไม่เห็นรถจอดที่คณะเลย” อาจารย์หหนุ่มกล่าว จริง ๆ อยากถามว่า “ทำไมไม่เห็นแวะไปหาที่คณะเลย” มากกว่า


“อยู่ที่คณะนั่นแหละ แต่รถเสียน่ะ เพิ่งซ่อมเสร็จวันนี้เอง” พูดจบก็หยิบพิซซาชิ้นของคู่สนทนาขึ้น “เอาอีกไหม”


ชลชาติพยักหน้า ก่อนจะกัดพิซซาที่อีกฝ่ายยื่นให้


“ขอบใจนะ ขนาดว่าเราว่ายุ่งวุ่นวายแต่ยังซื้อของมาให้กินอีก”


คนฟังสบตานิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก็บคำพูดในคราวนั้นมาคิด รู้สึกราวกับมีบางสิ่งจุกอยู่กลางอก จะอ้าปากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แสนยาก็กล่าวต่อเสียก่อน


“คราวก่อนเราเลี้ยงกาแฟนาย ครั้งนี้นายเลี้ยงพิซซาเรา ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ” ว่าแล้วก็หยิบพิซซาขึ้นมากินอีกชิ้น


“มี” ชลชาติเอ่ยขึ้น “นายยังมีเรื่องที่ติดค้างเรา”


“เรื่องอะไร” แสนยาเลิกคิ้ว แต่ก็ยังกินเอา ๆ


อาจารย์หนุ่มจ้องหน้าคนนั่งอีกฝั่งตาไม่กะพริบ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น  “นายคิดยังไงกับเรากันแน่”


เล่นเอาสำลัก แสนยาเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นตบลงบนอก จะคว้าน้ำมาดื่ม อีกฝ่ายก็เลื่อนแก้วหนี


“ตอบมาก่อน”


“อะ...ไอ้มีน เอาน้ำมาก่อน ร...เร็วข...เข้า จะติดคอตายอยู่แล้ว”


ชลชาติเห็นคนพูดหน้าดำหน้าแดงจึงยอมส่งแก้วน้ำให้ ส่วนแสนยาเมื่อรับมาก็ดูดพรวด ๆ ในที่สุดจึงวางลง มุ่นคิ้วพลางใช้หลังมือเช็ดปากไปพลาง   


“อยู่ ๆ ก็พูดบ้าอะไรเนี่ย”


“เออ ช่างเถอะ เรากลับก่อนนะ” อาจารย์หนุ่มกล่าวเรียบ ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากมา 


กว่าจะเดินถึงรถ ชลชาติก็ถอนหายใจไปหลายเฮือก เขาไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าเพราะเหตุใดจึงได้กล่าวถ้อยคำนั้นออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้นึกต่อว่าอีกฝ่ายที่ชอบมายุ่งวุ่นวายกับชีวิต แต่พอไม่พบหน้ากันกันไม่กี่วัน กลับเป็นตัวเขาเองที่ทนอยู่เฉยไม่ได้


....


“พาย คนนั้นใครน่ะ” นคินทรกระซิบถามเมื่อเห็นเพื่อน ๆ ของพายุพัดส่งเสียงฮือฮาทันทีที่หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในห้องพักนักกีฬา


“เพื่อนสนิทของข้าวโอ๊ต ชื่อใบตอง”


“ใบตอง ตรีฉัตร สิริฉัตรน่ะเหรอ”


“ใช่ คนนี้แหละที่ได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ปีเดียวกับมีน”


นคินทรพยักหน้า มองตามเจ้าของเรียวขางามที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนสาวที่พายุพัดแนะนำให้รู้จักตั้งแต่การแข่งขันว่ายน้ำการกุศลเมื่อปีก่อน


“ห้ามมอง มองอะไรนักหนา” พายุพัดกล่าวเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นบังสายตาของอีกฝ่าย


“ก็เขาสวยนี่”


ฉลามหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเป่าปากหวีดหวิวก็ดังขึ้นเมื่อชลชาติซึ่งอยู่ในชุดวอร์มเปิดประตูออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เท่านั้นความสงสัยของคนที่ยืนข้าง ๆ กันก็ผุดขึ้นมาอีก แม้นคินทรจะไม่ได้เอ่ย แต่คำถามมากมายกลับฉายชัดอยู่บนใบหน้าชวนมอง


“เป็นแฟนเก่ามีน” พายุพัดบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม จากนั้นจึงคว้าข้อมือคนรักแล้วพากันหันหลังให้ความวุ่นวาย


ฉลามหนุ่มอาศัยความคุ้นเคยกับสถานที่ เดินไปตามทางแคบ ๆ เพื่อหลบเลี่ยงกองทัพนักข่าว มุ่งหน้าสู่สระว่ายน้ำ กระนั้นนคินทรก็ยังไม่หยุดพูดถึงบุคคลที่สาม 


“ตรีฉัตร สิริฉัตร... สมัยนั้นน่ะดังพอ ๆ กับพายุพัด นาวาภักดิ์เลยนะ” ครุหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ไม่ทันระวังตัวจึงถูกเจ้าของชื่อดันร่างชิดกับกำแพง 


พายุพัดใช้มือหนึ่งยึดเอวคนพูด ส่วนอีกมือยกขึ้นบีบจมูกของเขาเบา ๆ “แซวอะไร”


“ไม่ได้แซว พูดความจริง” นคินทรกล่าวพลางจับมือมือใหญ่ ถอดกำไลรูปปลาที่ข้อมือของอีกฝ่ายแล้วสวมเข้าที่ข้อมือของตน

“ทำไมมือเย็นจัง”


“ตื่นเต้นน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ฝนกับแม่มานั่งดูด้วย”


คนฟังยิ้มน้อย ๆ เลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้า แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงบนสองแก้มอย่างแผ่วเบา “หายตื่นเต้นนะ”


“ใจเต้นยิ่งกว่าเดิมอีก” หนุ่มนักกีฬาตอบตามจริง มือหนายึดต้นคอระหงก่อนจะประกบจูบหนักหน่วงลงบนกลีบปากที่มักส่งยิ้มมาให้เสมอ


“พ...พาย พอแล้ว” นคินทรบอกเมื่อมีจังหวะหายใจ “ทำอย่างนี้แล้วหายตื่นเต้นหรือไง” บ่นอุบเมื่อริมฝีปากอุ่นเริ่มรุกรานลงมาถึงซอกคอของตน


คนฟังหัวเราะในลำคอก่อนจะเลื่อนปากขึ้นกระซิบ “หายตื่นเต้นเรื่องอื่นมาตื่นเต้นเรื่องม่อนแทนไง”


“มันใช่เวลาไหมเนี่ย” พูดจบก็ดันร่างอีกฝ่ายให้ห่างตัว


“แล้วมันต้องเวลาไหนล่ะ”


“พาย!”


“ก็เราไม่รู้จริง ๆ ม่อนบอกมาสิ เราจะได้ตั้งเวลาไว้ ถึงว่าทำไมตอนเด็ก ๆ โค้ชสอนเสมอเลยว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องเป็นคนตรงต่อเวลา”


นคินทรมุ่นคิ้ว กระนั้นใบหูและสองแก้มที่กลายเป็นสีแดงระเรื่อก็ฟ้องต่อสายตาคนมองว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าพวกนักข่าวหรือแฟนกีฬาว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอกจะรู้ไหมว่าขณะนี้ฉลามหินของพวกเขาได้กลายร่างเป็นโลมาตัวลื่น ๆ ไปเสียแล้ว


...


เห็นว่าอีกนานกว่าจะเริ่มการแข่งขัน แสนยาจึงเดินลงจากอัฒจันทร์ ตั้งใจจะกลับไปหยิบของสำคัญที่ลืมไว้ในรถ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าสู่ลานจอดรถสำหรับผู้ถือบัตร V.I.P. ซึ่งอยู่ด้านหลังสระว่ายน้ำ ภายใต้แสงไฟสลัวในช่องทางเดิ นที่เชื่อมต่อไปยังห้องพักนักกีฬาปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่ง เขากำลังใช้มือประคองปรางแก้มของหญิงสาว ใบหน้านั้นโน้มลงใกล้จนอยู่ในมุมที่หมิ่นเหม่เหลือเกิน หากมีนักข่าวอยู่แถวนี้ ภาพนี้คงได้อยู่ในคอลัมน์ซุบซิบวงการกีฬาเป็นแน่


“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ตอง” ชลชาติกล่าวพลางมองหาเศษผงในตาของอีกฝ่าย “ยังแสบอยู่หรือเปล่า”


“นิดหน่อยจ้ะ สงสัยออกไปแล้วมั้ง”


คนตัวสูงพยักหน้า คลายมือออก บังเอิญสบตากับคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาในจังหวะที่เงยหน้าขึ้น


“ค...คือ...จะไปเอาของที่รถน่ะ” แสนยากล่าวตะกุกตะกักยกมือปฏิเสธ “ม...ไม่ได้จะรบกวนนะ” พูดจบก็รีบสาวเท้าผ่านไปทันที


หนุ่มศิลปินเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูแล้วหยิบซองกระดาษเล็ก ๆ ที่ทำหล่นไว้บนเบาะนั่ง เมื่อปิดประตูและกำลังหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุงโหยง เมื่อจู่ ๆ คนที่พบกันเมื่อสักครู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้า


“เรากับตองไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ล...แล้วมาบอกเราทำไมวะ” แสนยากล่าว จะเดินเลี่ยงอีกฝ่ายก็ขวางไว้ด้วยท่อนแขนข้างหนึ่ง จะหนีไปอีกทางก็ถูกแขนอีกข้างกันไว้ จะถอยให้ห่างกว่านี้แผ่นหลังก็ถูกดักไว้ด้วยรถของตนเอง


“เราอยากบอก นายจะได้ไม่เข้าใจผิด” อาจารย์หนุ่มกล่าวขณะที่สองมือยันกับหลังคารถ “เรื่องที่เคยว่านายยุ่งวุ่นวายก็เหมือนกัน เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


“ตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า” แสนยาฝืนหัวเราะ แอบกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยไม่เคยเห็นใบหน้าจริงของอีกฝ่ายมาก่อน


“แสน...เลิกทำเป็นเล่นสักทีได้ไหม โดยเฉพาะกับหัวใจเรา”


“อะไรวะ เมื่อกี้ยังจูบกับอีกคน แล้วตอนนี้มาพูดอย่างนี้กับเรา” หนุ่มศิลปินก้มหน้าลงมองของที่ถืออยู่ในมือพลางบ่นงึมงำ


“เมื่อกี้ไม่ได้จูบ แต่ที่จะจูบน่ะคือจากนี้ต่างหาก เราจะจูบจนกว่านายจะยอมบอกว่านายคิดยังไงกับเรากันแน่” พูดจบชลชาติก็เชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าขึ้น กำลังจะโน้มลงจุมพิต ก็ถูกมือของอีกฝ่ายผลักจนหน้าหงาย


“พอเลยไอ้มีน” แสนยารั้งมือชลชาติขึ้น “มัวชักช้า เดี๋ยวก็ไม่ได้ให้ของกันพอดี” ว่าแล้วก็เปิดซองดึงกลุ่มด้ายสีขาวพันรวมกันเป็นเส้นใหญ่ออกมาแล้วผูกให้ที่ข้อมือ


“ด้ายอะไร”


“สายสิญจน์โว้ย”


“มีแต่เขาให้แหวนกำไลสร้อยกัน แต่นายกลับให้สายสิญจน์เราเนี่ยนะ”


“ปลุกเสกโดยหลวงพ่อแสนเชียวนะ” แสนยาหัวเราะ เห็นอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์ร่วมจึงจำต้องหยุด “ขอโทษ ๆ พูดเรื่องจริงก็ได้ เราได้มาจากวัดพระธาตุแช่แห้งน่ะ นายเอาติดตัวไว้จะได้แข่งชนะไง”   


“ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เราคิดได้ยังไง” ชลชาติบอกยิ้ม ๆ พลางมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาผูกสายสิญจน์ให้


“ไม่แปลกหรอกถ้านายจะคิด เพราะเราก็ไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคน” คนพูดยิ้มกับตัวเองเมื่อผูกเสร็จ “เสร็จแล้ว ไป ๆ ไปได้แล้ว จะแข่งแล้ว”


“เดี๋ยววว” ชลชาติกล่าวพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”


แสนยาแยกเขี้ยวยิ้ม ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงแล้วมุดลอดกรงแขนของอีกฝ่าย “ไม่พูดแล้ว” พูดจบหนุ่มศิลปินก็เดินจ้ำไปทันที


ชลชาติโคลงหัวเบา ๆ สาวเท้าตามจนทัน ปากถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ แต่แสนยาก็ไม่ยอมบอก



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
   
    
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-10-2018 07:57:41
ว้ายยยย พี่ป.ปลาก็มีโมเม้นนี้กับเขาด้วย เขินอ่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-10-2018 10:08:00
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-10-2018 10:36:17
อร้ายยยยย...... มีนนายก็มีมุมนี้กะเขาด้วยเหรอ
5555 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-10-2018 11:03:19
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-10-2018 12:22:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 26-10-2018 15:10:10
เอ๊า ตัดไปเฉยเลย

คนเขียน กลับมาก๊อนนนนน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 26-10-2018 17:59:30
งือ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: sackyjung ที่ 26-10-2018 23:38:07
 :katai5: :katai2-1:ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 27-10-2018 10:32:24
 :L2:

ชอบจังเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-10-2018 22:49:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 28-10-2018 10:29:19
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-10-2018 15:57:39
เพิ่งเข้ามาอ่าน ขอเม้นตอนก่อนด้วยนะ ตอนม่อนกับพาย ขึ้นไปวัดพระธาตุเขาน้อย
ชอบรายละเอียดที่คนเขียนใส่ใจกับสถานที่ ตอนที่ม่อนพูดถึง พระประธานว่า

“จะมีสักกี่คนที่ถ่ายรูปจากมุมนี้ ที่เห็นในโปสการ์ดหรือทีวีก็เห็นแต่ด้านหลังของท่าน”

เราถึงกับไปค้นในอากู๋เลย เป็นจริงตามนั้น

https://bit.ly/2z9Yd36

 :L2: :L2:

-------------------------------------
สำหรับแสนยากับชลชาติ ตอนที่ติดตามแรกๆ เห็นแสนยา เข้ามากวนๆ มาดห้าว พยายามเข้ามาใกล้ชิด
คอยช่วยเหลือชลชาติทุกอย่าง ดูเหมือนคนคอยปกป้องในขณะที่ชลชาติ นั้นเงียบๆ นิ่งๆ คล้ายม่อน
แต่ๆ ๆ ๆ ๆ ตอนนี้ทำไม แสนยาถึงได้เหมือนสาวน้อย ขี้งอน ขี้น้อยใจ กลับกลายที่ดูแมนๆ เป็นชลชาติไป
แต่จะยังไงก็รักทั้งคู่นะ ที่รักเพื่อนมากๆ รักคนเขียนด้วยน้าา
 :mew1: :mew1:



หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 28-10-2018 18:27:21
ปอปลาตากลมน่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-10-2018 02:10:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนพิเศษ  ที่ออกมาแล้ว  มันค้างคาอ่ะ

ยังมีตอนพิเศษกว่า ต่ออีกใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 29-10-2018 07:04:12
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: jaibang ที่ 29-10-2018 08:59:35
กรีดร้อง เขินมาก ชอบมากผู้ชายนิ่งๆแต่รักแมว fc ฉลามหินค่า :sad4: :hao5:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ (26-10-2561 หน้า 12)
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 30-10-2018 11:08:10
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-11-2018 00:41:51
ตอนพิเศษ 2


แสนยาเดินมานั่งลงข้าง ๆ นคินทร ถัดไปคือพลตรีนายแพทย์ธรณินและภรรยา ส่วนที่นั่งถัดเข้าไปด้านในก็คือแม่และพี่สาวของพายุพัดที่วันนี้มาให้กำลังใจฉลามหนุ่มถึงขอบสระ ชายหนุ่มกวาดมองบรรยากาศรอบ ๆ พลันสายตาก็หยุดที่หน้าสวยของหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอส่งยิ้มให้เขาจึงยิ้มตอบ ขาเรียวงามย่างกรายขึ้นมาตามทางเดินคั่นระหว่างอัฒจันทร์ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่จับจ้อง ในที่สุดเธอก็นั่งลงยังที่นั่งซึ่งอยู่ถัดจากแถวของแสนยาไปไม่ไกล หลังจากนั้นไม่นานการแข่งขันรายการต่าง ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ปีนี้การแข่งขันว่ายน้ำการกุศลดูคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการจัดงานครั้งที่สอง ซึ่งแฟนกีฬาที่พลาดการเข้าชมในคราวก่อนต่างตั้งหน้าตั้งตารอ ส่งผลให้บัตรเข้าชมจำหน่ายหมดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มีการประชาสัมพันธ์


การแข่งขันดำเนินไปจนกระทั่งถึงรายการสุดท้าย ทันทีที่โฆษกประจำสระประกาศชื่อ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงปรบมือ หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้ในการแข่งขันรายการใด ๆ อีกนับแต่ฉลามหนุ่มผู้นี้ประกาศอำลาสระ หนุ่มศิลปินมองตามร่างสูงที่กำลังก้าวออกมาโบกไม้โบกมือทักทายผู้ชม ทันทีที่เขาถอดเสื้อวอร์มออก เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ก็ดังขึ้น กล้ามแขนเป็นมัดที่ปกติมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว วันนี้กลับเปิดเผยต่อสายตาแฟน ๆ อีกครั้ง เอวสอบเข้านิด ๆ รับกับลำตัวช่วงบนที่กว้างและหนาเป็นลักษณะเด่นของนักกีฬาที่ว่ายท่าผีเสื้อเป็นท่าถนัด เนื่องจากเป็นท่าว่ายที่ต้องอาศัยแรงอย่างมาก ดังนั้นนักกีฬาว่ายท่านี้ได้ดีจะต้องมีทั้งกล้ามเนื้อหัวไหล่ อก ลำตัว หลังและขาที่แข็งแรง และในการสอนว่ายน้ำผู้ฝึกสอนจึงมักสอนท่าดังกล่าวเป็นท่าสุดท้าย


แม้โฆษกจะประกาศชื่อนักกีฬาคนถัดไป แต่ดวงตาของแสนยาก็มิได้ละจากดวงหน้าสงบสุขุมสักวินาที ซ้ำในหัวยังปรากฏภาพการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นระหว่างทางเดินที่จะมาสระว่ายน้ำแห่งนี้


“ถ้าเราชนะการแข่งครั้งนี้ นายต้องตอบคำถามเรา แต่ถ้าเราแพ้เราไม่พูดเรื่องนี้กับนายอีก และเราสองคนก็ไม่ต้องเจอกันอีก เพราะเราไม่อยากคิดไปไกลจากการกระทำของนาย”


เมื่อกรรมการให้สัญญาณ นักกีฬาทั้งหมดก็ก้าวขึ้นบนแท่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม หลังสัญญาณนกหวีด ฉลามหนุ่มทั้งหมดต่างพุ่งลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกแล้วจึงขึ้นท่าผีเสื้อ สองแขนแข็งแกร่งที่วาดขึ้นแล้วตวัดลงผลักไปด้านข้างดูราวกับผีเสื้อสยายปีกส่งผลให้การเคลื่อนไปข้างหน้านั้นรวดเร็วจนน่ากลัว ท่าว่ายนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นท่าว่ายที่ให้ความเร็วรองจากท่าฟรีสไตล์


แสนยานั่งตัวตรง สองมือที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังร่างกำยำกำลังถีบตัวออกจากขอบสระฝั่งตรงข้าม ชลชาติว่ายตีคู่มากับใครคนหนึ่งตั้งแต่เริ่มออกตัว จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทิ้งห่างอีกฝ่ายได้ บรรดากองเชียร์ต่างนั่งกันไม่ติด ลุกขึ้นยืนส่งเสียงให้กำลังใจนักกีฬาขวัญใจ กระทั่งห้าเมตรสุดท้ายก็ยังดูไม่ออกว่าใครขึ้นนำ จนแล้วจนรอดเมื่อถึงเส้นชัยก็ไม่มีใครบอกได้ว่านักกีฬาในช่องว่ายใดที่แตะขอบสระเป็นที่หนึ่ง เสียงพูดคุยวิเคราะห์ผลดังอื้ออึงเป็นระลอก ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังแอลซีดีจอยักษ์ และไม่นานชื่อ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” ก็ปรากฏขึ้นในลำดับแรก พลันเสียงปรบมือไชโยโห่ร้องก็ดังกึกก้องจนกลบเสียงประกาศของโฆษก


แสนยาถอนหายใจโล่งอก ดึงสายตากลับมายังร่างงดงามที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์ ทันทีที่กองทัพนักข่าวเห็น “ตรีฉัตร สิริฉัตร” เข้า จากที่รุมล้อมสัมภาษณ์นักกีฬาที่เพิ่งขึ้นจากน้ำก็เบนความสนใจมาที่อดีตราชินีเจ้าสระผู้นี้แทน หนุ่มศิลปินละสายตาจากภาพตรงหน้า ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สั่นเตือนว่ามีข้อความซึ่งถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง เจ้าของร่างสูงจึงลุกขึ้น เดินลงจากอัฒจันทร์ย้อนกลับทางเดิมจนในที่สุดก็มาหยุดยังหน้าห้องพักนักกีฬา แต่เมื่อก้าวเข้าไปภายในกลับไม่พบคนที่เรียกเขามาที่นี่


“ปอปลาตากลม” หนุ่มศิลปินกล่าวพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พลันเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างหู


“เราอยู่นี่”


แสนยาสะดุ้งโหยง ทันทีที่หมุนตัวกลับก็พบว่าคนพูดยืนห่างกันไม่ถึงคืบ “ไอ้มีน ตกใจหมด”


ร่างสูงที่ยังคงพราวไปด้วยหยดน้ำหยักยิ้มขัน ๆ ตวัดผ้าขนหนูพาดบ่า คว้าแขนอีกฝ่ายแล้วพาเดินไปด้านใน มือดึงประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปิดออกจากนั้นจึงจัดการดันร่างคนที่กำลังโวยวายเข้าไปจนแผ่นหลังชิดผนัง


“ทำอะไรวะ”


“จะตอบเราได้หรือยัง”


แสนยาสบตานิ่ง ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาจากด้านนอก


“มีน อยู่ในนี้หรือเปล่า”


เมื่อเสียงเดิมยังคงเรียกซ้ำ เจ้าของชื่อจึงจำต้องละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วหันไปถาม “ตองมีอะไรหรือเปล่า”


“ตองจะมาแสดงความยินดีกับมีนน่ะ”


“ขอบคุณนะตอง”


“อื้อ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งกลางห้อง ทอดตามองนิ้วนางข้างซ้ายที่ปราศจากแหวนแต่งงานแต่ยังคงปรากฏรอยจาง ๆ “นึกถึงตอนนั้นเนอะ เวลามีนแข่งเราก็ไปนั่งเชียร์มีน เวลาที่เราแข่งบ้างมีนก็ลุ้นอยู่ขอบสระไม่ไปไหนเลย”


ชลชาติเบนสายตามายังคนตรงหน้าเมื่อคำว่า “ตอนนั้น” กำลังจะลากเอาความทรงจำในอดีตของเขากลับคืนมาบดบังความรู้สึกในปัจจุบัน หูได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามา


“จริง ๆ ตอนนั้นก็ดีเนอะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อแตะมือลงบนประตู “ถ้าตอนนี้...มีนยังไม่มีใครเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”
แสนยาเลื่อนตาขึ้นสบคนตรงหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้เพื่อปล่อยให้สองคนได้คุยกัน


ฉลามหนุ่มวางหน้านิ่ง เลื่อนแขนขึ้นพาดข้ามไหล่ของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน มือยันกับผนังเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะขยับหนี “ตอนนี้เรารู้สึกดีกับคนอื่นไปแล้ว แล้วเราก็กำลังรอคำตอบว่าเขารู้สึกแบบเดียวกันกับเราหรือเปล่า เราขอโทษนะตอง”


สิ้นเสียงชลชาติ ทั้งห้องเงียบสนิท แต่หากเงี่ยหูฟังดี ๆ อาจได้ยินเสียงหัวใจของใครคนหนึ่งเต้นแรงกว่าที่เคย


“ตองเข้าใจแล้ว” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว มือเล็กกำแน่น สิ่งที่เขาพูดมิได้ซับซ้อน ซ้ำยังตรงไปตรงมาเสียจนทำให้ตรีฉัตรรู้สึกละอายจนไม่อาจกล่าวถ้อยคำร้องขอใด ๆ ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของชลชาติในวันที่ถูกบอกเลิกโดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันนั้นเป็นเช่นไร


เสียงฝีเท้าเงียบลงไปแล้ว หากแต่ดวงตาสองคู่ยังประสานกันนิ่ง ในที่สุดก็เป็นแสนยาที่เสมองไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจ
“เราพูดความในใจของเราไปหมดแล้ว นายล่ะ...จะตอบได้หรือยังว่าที่ผ่านมานายคิดยังไงกับเรากันแน่”


“เอ่อ...เหอะ ๆ เหอะ ๆๆ” หนุ่มศิลปินหัวเราะเฝื่อน ๆ พลางส่ายหัวเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต่างจากที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้มาก “มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิวะ” แสนยาบ่นกับตัวเอง ยอมรับว่าเคยตั้งใจจะจับฉลามหน้างอคอหักให้อยู่หมัด แต่ฉลามตัวนี้กลับเป็นฝ่ายจ้องจะงับหัวเขาแทน แบบนี้เสียชื่อหนุ่มฮ็อตแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์หมด ปกติเคยแต่เป็นฝ่ายบอกความรู้สึกก่อน เวลาได้เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงอายม้วนหรือเสียอาการแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจจนบอกไม่ถูก ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาตั้งใจเลิกคิดก้าวล้ำความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไปตั้งแต่วันที่พบชลชาติกับผู้หญิงคนนั้นที่ร้านกาแฟซ้ำยังถูกอีกฝ่ายไล่เพราะทำตัวน่ารำคาญ แต่ตอนที่เจอกันอีกครั้งที่แกลเลอรีชลชาติก็ดันมาพูดจาแปลก ๆ ทำเอาหัวใจไขว้เขวไปหมด


“ไอ้แสน...ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”


เจ้าของชื่อตื่นจะภวังค์เมื่อมือเย็นเฉียบตบเบา ๆ ที่แก้ม


“มาชิงพูดก่อนทำไมวะ” แสนยามุ่นคิ้ว


ชลชาติเลิกคิ้ว “พูดอะไรก่อน”


“ก็ที่อยู่ ๆ มาบอกว่ารู้สึกดีนี่ไง มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ คนอย่างแสนยาไม่เคยปล่อยให้คนที่เราตั้งใจจะจีบมาพูดความในใจก่อนเด็ดขาด”


อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”


“นายไม่เข้าใจหรอก เรื่องนี้เราจริงจังนะโว้ย ทำเสียเรื่องหมด”


“ถ้าเราไม่พูดก่อน แล้วนายจะพูดกับเราตอนไหน”


“ก็...คงไม่ได้พูด” แสนยาตอบตามที่คิด “คิดว่านายคงมีคนคุยแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะไม่ไปวุ่นวายให้รำคาญอีก”


“นายมันบ้า คิดแต่ละเรื่องไม่เห็นจะเข้าท่าสักเรื่อง ถ้านายเองก็รู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึก ใครจะพูดก่อนพูดหลังมันจะต่างกันยังไง” เห็นหัวคิ้วยิ่งมุ่นหนักจึงลดมือลงแล้วจับต้นคอของอีกฝ่าย “จะขอเราเป็นแฟนก่อนตอนนี้ เราก็ไม่ว่า เราไม่กลัวเสียฟอร์มที่ต้องตอบตกลงหรอก”


“ฝันเหอะมีน” หนุ่มศิลปินกล่าวพร้อมกับปัดมือที่แนบอยู่กับลำคอของตนพลางส่ายหัวยิ้ม ๆ


สุดท้ายสองคนก็ไม่ได้ตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันในขณะนี้คืออะไร แค่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


...


โฟล์คเต่าสีหวานแล่นมาจอดที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจังหวัดน่านซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานข่วงเมืองในตอนเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์ ชลชาติเปิดประตูลงจากรถ มองไปรอบ ๆ แล้วอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่ย่านนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์และวัดวาอารามสำคัญ ๆ แต่ผู้คนกลับไม่พลุกพล่าน รถราก็บางตา จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมืองนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมา


“เงียบดีจัง คราวก่อนที่เรามาตรงกับงานกีฬาเยาวชนแห่งชาติ คนเยอะมากก็เลยได้แค่เข้าไปไหว้พระที่วัดนั้น” พูดพลางมองเลยขึ้นไปยังวัดที่อยู่ทางขวาของสี่แยก


“วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร” คนที่เดินมาหยุดเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ได้มีเทศกาลอะไร น่านก็จะเงียบสงบแบบนี้แหละ ว่าแต่คราวนี้นายอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”


“เราบอกแล้วไงว่าขอตามมาดูนายทำงานเฉย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นเราพานายไปพิพิธภัณฑ์ก่อน” แสนยาบอกก่อนจะกระชับสายเป้สะพายหลัง “ว่ากันว่าถ้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ หรือศิลปวัฒนธรรมของชุมชนนั้น ๆ ให้ไปพิพิธภัณฑ์”


“จริงจังก็เป็นเนอะ”


“เราก็จริงจังกับทุกเรื่อง”


“ทุกเรื่องที่ไม่ควรจริงจัง”


“เออ... ถุย! ไปได้แล้ว”


ชลชาติหัวเราะก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปยังลานกว้างแล้วข้ามถนนมุ่งหน้าสู่อาณาบริเวณของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
แต่แทนที่จะตรงไปยังจุดหมายตามที่ได้บอกไว้ แสนยากลับพาชลชาติเดินลัดเลาะสนามกระทั่งมาหยุดที่โคนต้นโพธิ์ต้นใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์แทน


“ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น


“เราจะพานายมาดูวัด”


“ในพิพิธภัณฑ์เนี่ยนะ ไหน ไม่เห็นมีเลย” ชลชาติกล่าวพลางมองไปรอบ ๆ


“นี่ไง” หนุ่มศิลปินบอกพร้อมกับชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า ซึ่งเป็นวิหารย่อส่วน ก่ออิฐถือปูน


“ดูเหมือนศาลพระภูมิมากกว่า”


“เขาเรียกว่าวัดน้อย เล่ากันว่าเจ้าผู้ครองนครน่านกราบบังคมทูลต่อในหลวงรัชกาลที่ห้าถึงจำนวนวัดในเมืองน่านผิดไปหนึ่งวัด ท่านก็เลยสั่งให้สร้างวัดน้อยนี้ขึ้นที่หน้าหอคำซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นี่แหละ เพื่อให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไป ที่นายเห็นเป็นวิหารศิลปะล้านนา ก่ออิฐถือปูนโดยย่อขนาดให้เล็กลง ข้างในมีประดิษฐานพระพุทธรูปด้วยนะ แล้วก็เชื่อกันว่าวัดน้อยเป็นวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยด้วย”


“อืม...ก็น่าจะจริง ถ้านายไม่บอก เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านี่คือวัด” ชลชาติยิ้ม “มาเที่ยวกับเจ้าถิ่นมันดีอย่างนี้นี่เอง เราเริ่มสนุกแล้ว ไปต่อเถอะ” ว่าแล้วก็โอบไหล่อีกฝ่ายก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังอาคารสองชั้นซึ่งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และชนพื้นเมืองภาคเหนือ ภาพถ่าย รวมถึงโบราณวัตถุที่สะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีต


ชลชาติก้าวไปหยุดหน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่ที่ชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ เงยหน้าขึ้นอ่านป้ายเหนือกรอบประตูเหล็กบานหนาซึ่งระบุชื่อ “ห้องมั่นคง” ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวนั้นยังแบ่งออกเป็นห้องย่อยกั้นด้วยลูกกรง เห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดห้องนี้จึงได้ชื่อว่าห้องมั่นคงทั้งที่ดูเหมือนห้องขังมากกว่า


“เหมือนคุกเลย”


“ไม่ใช่คุก แต่เป็นห้องเก็บของที่สำคัญมาก ๆ แล้วก็พวกของมีค่าต่างหาก”


“ตู้เซฟน่ะเหรอ”


“ใช่ ถึงได้เรียกว่าห้องมั่นคงไง”


ชลชาติพยักหน้าเมื่อในที่สุดความสงสัยก็ถูกทำให้กระจ่าง


“นายว่าเราสร้างห้องมั่นคงที่บ้านสักห้องดีไหม เราจะเอาไว้เก็บภาพเขียน น้องแสนดีแล้วก็ขนมต้ม”


“ทำอย่างกับใครจะมาขโมย”


“ก็ไม่แน่นะ เกิดเราตายไป ภาพเขียน ข้าวของเครื่องใช้ของเราอาจจะกลายเป็นของมีค่าที่คนยอมจ่ายเพื่อมีไว้ในครอบครองก็ได้ ถึงตอนนั้นคงแย่งกันแย่ ชื่อของเราจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับฟานก๊อกฮ์ไง”


“เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอ ถึงมายืนละเมออยู่ตรงนี้” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไปข้างบนกัน”


“เดี๋ยววว ปอปลาตากลม” แสนยาเอ่ยขึ้น “แล้วถ้าเป็นนาย นายจะเก็บอะไรไว้ในห้องมั่นคงบ้าง”


“ไม่ใช่นายก็แล้วกัน” ชลชาติตอบชนิดไม่ต้องคิด หากแต่ใบหน้ายังเย็นชาไม่เท่าน้ำเสียง


หนุ่มศิลปินหัวเราะหึก่อนจะบ่นขมุบขมิบ เดินนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นบน


เมื่อก้าวสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ ชลชาติที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็เดินดิ่งไปยังระเบียงทันที จากตรงนี้มองเห็นอนุสาวรีย์ที่แสนยาบอกว่าเป็นอนุสาวรีย์เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่านซึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้ากว้างใหญ่ ถัดไปคือซุ้มลีลาวดียืนต้นเรียงรายขนานไปกับแนวรั้ว สีเขียวขจีตัดกับสีส้มของหลังคาวิหารและสีทองอร่ามของเจดีย์วัดพระธาตุช้างค้ำที่เป็นฉากหลัง อาจารย์หนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึก นึกถึงคำพูดของแสนยาที่บอกว่ามาน่านแล้วระวังจะหลงรักจนต้องกลับมาอีกหลาย ๆ หนนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย ชลชาติเผลอยิ้มกับตัวเอง หันซ้ายหันขวาไม่พบคนที่มาด้วยกันจึงย้อนกลับเข้าไปด้านใน เห็นอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้ากรอบกระจกขนาดใหญ่ที่ล้อมผนังด้านหนึ่งเอาไว้จึงสืบเท้าไปหยุดข้างกัน


“นี่อะไรเหรอ” ชลชาติถามในขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังประติมากรรมรูปครุฑแบกรับงาช้างตรงหน้า


“งาช้างดำ เป็นของมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่าน” หนุ่มศิลปินอธิบาย “เป็นงาปลี ก็คืองาที่มีความยาวไม่มากแต่วงรอบใหญ่”


“อันนี้นี่เองที่ไอ้พายบอกว่าถ้ามาน่านเมื่อไรต้องแวะมาดูให้ได้” พูดจบก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อบันทึกภาพ หูก็ฟังแสนยาเล่าเรื่องต่าง ๆ ไปด้วย ยอมรับว่าปกติเขาไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์สักเท่าไร เข้าไปทีไรก็เดินผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจว่าของแต่ละชิ้นมีประวัติความมาเช่นไร แต่วันนี้มีคนคอยเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟัง ทำให้รู้สึกว่าการเข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป


สองคนใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่วัดภูมินทร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน วันนี้แสนยาตั้งใจจะมาเก็บตัวอย่างสีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถทรงจตุรมุข ชลชาติจึงได้ขอติดตามมาด้วย เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู จึงพบว่าภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ หันหน้าออกประตูทั้งสี่ทิศ รอบ ๆ พระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นอกจากจะแสดงเรื่องราวตามชาดก ยังบอกเล่าถึงวิถีชีวิตและการแต่งกายของผู้คนในสมัยโบราณอีกด้วย   


“นี่ใช่ไหม ภาพจิตรกรรมกระซิบรัก” ชลชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุดข้างประตูด้านหนึ่ง ตรงหน้าคือภาพวาดชายหญิงชาวไทลื้อในอิริยาบถกระซิบสนทนากัน


“ใช่ นี่แหละ” แสนยากล่าวก่อนจะนั่งลง หยิบสมุดสเก็ตช์ ดินสอ พู่กัน และจานสีออกจากเป้ “คนที่วาดเป็นจิตรกรท้องถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ชื่อหนานบัวผัน” หนุ่มศิลปินว่าพลางกางสมุดสเก็ตช์วางบนตัก แล้วจรดปลายดินสอดำลงบนกระดาษที่มีความหนาพอสมควร


“คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…”


ชลชาติยืนฟังจนเพลินกระทั่งเสียงนั้นเงียบลงจึงได้หันกลับไปมอง เห็นอีกฝ่ายกำลังลากดินสอจนเกิดเป็นโครงร่างตามภาพที่ปรากฏอยู่บนผนัง


“แปลว่าอะไร” อาจารย์หนุ่มถามเมื่อนั่งขัดสมาธิลงข้างกัน


“โทรศัพท์เอาไว้เล่นแต่เกมงูหรือไง หาเอาบ้างสิ” แสนยาพึมพำ ดวงตาไล่ตามที่ปลายดินสอที่ลากตัดกันไปมาเกิดเป็นเส้นพลิ้วไหว เขาสเก็ตช์ภาพปู่ม่านย่าม่านเก็บเป็นที่ระลึก ลงชื่อและวันที่กำกับที่ด้านล่าง จากนั้นจึงเริ่มลงมือเก็บตัวอย่างสี ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกใสที่แบ่งเป็นช่อง ๆ ออกจากเป้ ในแต่ละช่องเขาได้เทสีโปสเตอร์ใส่เตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม้บางสีจะเริ่มแห้งจนจับเป็นก้อน แต่เมื่อผสมน้ำลงไปนิดหน่อยก็ใช้การได้ตามปกติ


หนุ่มศิลปินพลิกสมุดสเก็ตช์ไปยังหน้าว่าง ใช้พู่กันแตะสีผสมในถาดสี่เหลี่ยมซึ่งแบ่งเป็นหลุมให้ได้ตามที่ตาเห็น จากนั้นจึงเดินไปเทียบกับสีจริงบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแถบสีมากมายบนกระดาษ เมื่อได้ค่าสีที่ใกล้เคียงที่สุดเขาก็ใช้ดินสอทำเครื่องหมายเอาไว้ ส่วนชลชาติก็อาสาช่วยบันทึกภาพด้วยกล้องมิเรอร์เลสอีกแรงหนึ่ง


“นายเก็บตัวอย่างสีพวกนี้ไปทำไมกัน” อาจารย์หนุ่มถามพลางกดชัตเตอร์


“เราตั้งใจว่าจะสร้างผลงานศิลปะโดยใช้กลุ่มสีของภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดสำคัญ ๆ ในจังหวัดน่าน วัดภูมินทร์เป็นที่สุดท้ายแล้วละ”


“ทำไมไม่ถ่ายรูปเอา จะได้ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง เร็วกว่าด้วย”


“สีมันเพี้ยน กล้องบางตัวก็เก็บความสวยงามตามที่ตาเห็นไม่ได้หรอกนะ” แสนยาบอกก่อนจะเดินกลับมานั่งวาดภาพคร่าว ๆ และเขียนกำกับว่าแต่ละค่าสีที่ได้นั้นมาส่วนใดของภาพจิตรกรรมฝาผนังบ้าง “นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่บอกเล่าวิถีชีวิตและความเชื่อของคนในอดีตด้วย”


“ปกติเวลาเข้าวัดก็แค่ไหว้พระ ไม่เคยได้ใส่ใจภาพพวกนี้เลย”


“ถ้านายสังเกตดี ๆ บางทีอาจจะได้เห็นอารมณ์ขันของศิลปินที่สอดแทรกไว้ในมุมใดมุมหนึ่งด้วยนะ อย่างที่วัดพระแก้วนั่นก็ิต็มไปหมดเลย ทั้งลิงจูงกระต่าย ยักษ์คาบบุหรี่ กระต่ายกับเต่า หรือพวกกิจกรรมแปลก ๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์”


“เอาไว้กลับกรุงเทพฯ แล้วไปดูกัน”


“ไม่เบื่อเหรอ” หนุ่มศิลปินถาม แต่เพราะมัวทำงานจนเพลินจึงไม่ทันได้ฟังว่าอีกฝ่ายตอบคำถามนั้นว่าอย่างไร หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์เงียบไปตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีว่าชลชาติมานั่งลงข้างกันก็ตอนที่ได้ยินเสียง...


“ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะแย่งความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น ที่นายพูดเมื่อกี้แปลแบบนี้ใช่ไหม” ชลชาติกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเลื่อนหน้าจอสัมผัสพร้อมกับไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ค้นได้จากโปรแกรมช่วยสืบค้นข้อมูล เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย หัวคิ้วก็ยู่เข้าหากันเล็กน้อย อาจารย์หนุ่มละสายตาจากโทรศัพท์แล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้ “ตอบหรือยัง ทำไมไม่ได้ยินเลย”


“มีน...เอาหน้าไปห่าง ๆ หน่อย” แสนยาไม่พูดเปล่า ใช้ปลายนิ้วดันที่แก้มของอีกฝ่าย กระนั้นชลชาติก็ยังไม่ทิ้งความพยายาม ขยับใกล้เข้าไปอีก


ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน “แบบนี้ไง เราถึงไม่เอาของสำคัญไปฝากไว้ที่ไหน...ถึงที่นั่นจะเป็นห้องมั่นคงก็เถอะ”


คนฟังโคลงหัวแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา เห็นแก้มที่กรังไปด้วยสีแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เลอะเทอะไปหมดแล้วปอปลาตากลมเอ๊ย” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบนั้นออกให้


“หน้าเราเลอะสี แล้วหน้านายเลอะอะไร ทำไมแดงไปหมดเลย”


แสนยายิ้มหวานก่อนจะดึงมือกลับ แล้วเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยว “ถ้าเหงาปากมากก็ออกไปคุยกับหมาหน้าวัดไป”



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


สวัสดีค่ะ
คงต้องขอทิ้งท้ายตอนพิเศษของนิยายเรื่องสายลมกระซิบรักไว้เพียงเท่านี้นะคะ
แล้วพบกันใหม่ค่ะ



หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 01-11-2018 02:15:09
น่ารักนะคู่นี้​  ค่อยๆซึมซับกันไป
นึกถึงเพลงที่เอาร้องแรป​ มาจากที่นี่เอง
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-11-2018 02:25:22
หวานแซงคู่หลักไปแล้ว  :-[
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-11-2018 06:51:41
แอร๊ยยยยย มาทีหลังแต่หวานไม่น้อยหน้านะคะ คนมีความรักก็จะประมาณนี้เนาะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 01-11-2018 07:57:19
แงงงงงทำไมหวานแซงหน้าคู่หลักไปไกลแล้วอิจฉา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-11-2018 16:47:35
แหมมีเขินนะแสนยา เจอคำที่มีนบอกว่าไม่เก็บไว้ในห้องมั่นคง คิดแล้วฟินฝุดๆ
ตอนนี้อ่านแล้วเหมือนเดินไปชมเมืองน่านด้วยตัวเองเลย ขอบคุณนะที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่าน
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-11-2018 18:52:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

คู่ปอปลาตากลม  คนแต่งเขาให้ออกโรงแค่นี้เองเนอะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 03-11-2018 16:47:44
ปอปลาตากลม น่ารักเนาะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-11-2018 23:03:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-11-2018 10:18:07
พลิกบทกันทีเดียว โดนมีนรุก แสนไปไม่เป็นเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-11-2018 15:22:33
อ่านแล้วจะไปตามรอยให้ได้เลยค่ะ เหมือนเป็นนิยายที่การท่องเที่ยวไทยเป็ยสปอนเซอร์ กรีดร้องกับบรรยากาศและความโรแมนติก  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-11-2018 23:01:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 10-11-2018 14:37:02
ละมุน ละมัย งานดีทั้งภาษา ทั้งเดินเรื่อง
บรรยากาศในเรื่องมันให้ความรู้สึกอุ่นๆทั้งเรื่องเลยค่ะ

ฉลามหินเวลาอยู่กับม่อนก็ไม่นิ่งหน้าไม่เข้ม 55 5 ชอบเวลาเขาอยู่ด้วยกัน

ความทุ่มเทในหน้าที่ทั้งนักกีฬา อดีตนักกีฬา ผันตัวมาเป็นโค๊ชให้กำบี้

ความน่ารักของเพื่อนๆ คนรอบข้าง ทุกคนในเรื่องมีความสำคัญหมดเลย

คู่รองก็น่ารัก ชอบความขี้เล่นของแสงยา ตลกเวลาโดนปอปลาตากลมเต๊าะแล้วไปไม่เป็น 55 5

เราเข้าใจความเป็นครอบครัวของม่อนนะ ให้ความเป็นส่วนตัวในเรื่องของลูก เคารพการตัดสินใจ ความสุขของม่อนสำคัญที่สุด และการอยู่ใกล้ๆกัน อยู่ด้วยกันก็เป็นความสุข

รักนิยายเรื่องนี้ อ่านแล้วมันอุ่นๆ อยากไปสัมผัสความเป็นเมืองน่าน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 15-01-2019 19:42:01
ชอบภาษา การบรรยายของเรื่องมากกกก ประทับใจจจจจ
อยากจะไปเที่ยวน่านเลยเพราะแค่อ่านก็ตกหลุมรักแล้ว
 :impress2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 07-07-2019 23:59:29
สนุกมากจริงๆค่ะเรื่องนี้ รู้สึกละมุนฟูฟ่องในมากๆ เราน้ำตาซึมไปหลายตอนมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-07-2019 23:01:39
ดีใจที่ทุกคนชอบค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คอมเมนท์นะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 11-07-2019 00:10:25
อ่านแล้วอยากลองไปเที่ยวน่านดูเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 11-07-2019 09:41:44
ไปน่านรอบหน้า ต้องไปพิพิธภัณฑ์บ้างแล้ว

เขินๆ เนื่อเรื่องอบอุ่นน่ารักมาก ขอบคุณคนเขียนมากๆน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 12-07-2019 22:02:02
ละมุนรักมาก ๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 16-07-2019 12:43:15
        :pig4: :pig4: สวัสดีค่ะคุณ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า  :pig4: :pig4:
เราพึ่งมีโอกาศได้อ่านนิยายเรื่องแรกของคุณ ในเรื่อง สายลมกระซิบรัก
ตั้งแต่อ่านตอนเเรกจนจบตอนพิเศษ เราบอกได้คำเดียวว่ามันละมุนกินใจมากๆเลยๆค่ะ
เราชอบอ่านนิยายแบบนี้มากค่ะ ทุกๆตัวละครมีความสำคัญทุกๆตัวละคร
ทุกๆตัวละครมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันลึกซึ่งมากเลยค่ะ
 ยิ่งเมื่ออ่านตอนพาสตอนเด็กจบเเล้ว9ปีต่อมาทุกๆอย่างก็มาที่พาสของความเป็นผู้ใหญ่
ได้อย่างไม่ตขิดตขวนใจเลยค่ะ
     ในความสัมพัธนธ์ของเพื่อนๆทุกตัวละครล้วนลึกซึ้งมากค่ะคุณบรรยายได้ละมุนมากอ่านไป
ในบางตอนมีน้ำตาซึมได้เลยค่ะ
ทำให้เราคิดถึงเพื่อนๆตอนมัธยมเช่นกัน
เราชอบที่ตัวละครในวัยเด็กยังรักยังผูกพันธ์ต่อเนื่องมาจนถึงวัยผู้ใหญ่
      ในส่วนของความรักของตัวละครที่เป็นพระเอกนายเอก เราว่าถึงความสัมพันธ์
บรรยายได้กินใจมากค่ะทุกความสัมพันธ์ค่อยๆเปิดเผยออกมา
ทั้งที่รักกันตั้งแต่ตอนเด็กแต่พึ่งจะมาตกลงทุกอย่างให้ใจตรงกันได้เมื่อโตๆกันแล้ว
บอกลยตอนที่เค้าใจตรงกันนี้เราดีใจสุดๆค่ะ
ส่วนคู่รองก็ไม่แพ้คู้หลังเลยค่ะเรียกได้ว่ามาน้อยๆแต่น่ารักไปอีกแบบค่ะ
ทำให้คู่พายกับม่อนที่ว่าน่ารักๆมากเเล้วนะค่ะคุ็แสนยากับปอปลาตากลมก็เป็นอีกคู่ที่น่ารักมากเช่านกันค่ะ
       สุดท้ายขอบคุณอีกครั้งนค่ะสำหรับนิยายที่ละมุนในทุกความสัมพันธ์แบบนี้.....จะติดตามผลงานชิ้นอื่นๆต่อไปค่ะ     
                                                           :mew1: :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: ืNtop ที่ 17-07-2019 08:11:01
 ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-07-2019 20:47:43
ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-08-2019 23:00:51
น่ารักทั้งสองคู่เลย
ขอบคุณนิยายน่ารักๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 2 (01-11-2561 หน้า 13)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 22-08-2019 16:02:49
น่ารักทั่ง 2 คู่เลย เป็นความรักที่อบอุ่น ละมุมละไมมากก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2019 15:35:05
ตอนพิเศษ ตอนที่ 3 ขอบคุณนะ


ว่ากันว่าความทรงจำในวัยเด็กนั้นหอมหวาน แม้จะสุขบ้าง เศร้าบ้าง แต่ทุกครั้งที่หวนนึกถึงกลับประทับใจจนยากจะลืม...
 

รถนั่งแบบครอบครัวของอาจารย์เมธีออกจากจังหวัดพิษณุโลกมาตั้งแต่บ่าย ตลอดทางไม่มีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันเหมือนขามา ได้ยินก็แต่เสียงสะอื้นเบา ๆ ของเด็กชายที่นั่งอยู่ด้านหลัง กระทั่งรถเข้าเขตจังหวัดน่านตอนแดดร่มลมตก อดีตนักกีฬาทีมชาติไทยทอดมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างเมื่อทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มคุ้นตา ทุ่งนาสีเขียวคั่นด้วยแปลงปลูกปอเทืองที่กำลังออกดอกสีเหลืองสะพรั่งสลับกับป่าไม้เป็นบางช่วง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำจนเกือบถึงแนวสันเขา ชายหนุ่มก้มมองโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในมือ เพียงเห็นชื่อคนที่โทรมาก็กดรับสายโดยไม่ต้องใช้เวลาชั่งใจใด ๆ


“เป็นยังไงบ้าง”


พายุพัดเงี่ยหูฟังเสียงของคนปลายสายแล้วนิ่งไปชั่วขณะ หลับตาพลางถอนหายใจ ตอบกลับด้วยถ้อยคำสั้นกระชับหากแต่แผ่วเบาราวกับกลัวใครจะได้ยิน “ตั้งแต่แข่งเสร็จก็ซึมไปเลย”


สิ้นเสียงชายหนุ่ม พลันความเงียบก็แทรกกลางระหว่างกัน ได้ยินเพียงเสียงร้องของเจ้าแมวเหมียวแว่วอยู่ไกล ๆ ในที่สุดอีกฝั่งจึงเอ่ยขึ้น 

 
“ไม่เป็นไรนะ” ประโยคนั้นของนคินทรยังสดใสเช่นเคย


คนฟังพยักหน้ากับตัวเองก่อนเหลียวมองเด็กชายที่เพิ่งผล็อยหลับเพราะความอ่อนเพลีย แม้ดวงตาแดงก่ำจะถูกบดบังด้วยเปลือกตา แต่สองแก้มที่กรังไปด้วยคราบน้ำตานั้นยังตอกย้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


“ฝากบอกกำบี้ด้วยว่ายังไงครูม่อนก็ซื้อพิซซ่าให้กินตามสัญญา แล้วก็ฝากบอกโค้ชด้วยว่าเลิกทำหน้าเครียดได้แล้ว”
พายุพัดส่ายหัวน้อย ๆ เมื่อถ้อยคำในตอนท้ายพอจะทำให้ยิ้มได้ขึ้นมาหน่อย ฟังนคินทรพูดต่ออีก 2-3 ประโยคก็วางสาย เบนสายตาออกไปที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงอาจารย์เมธีบ่นพึมพำ


“ซึมกันไปทั้งโค้ชทั้งนักกีฬา”


ชายหนุ่มยอมรับโดยดุษณีว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับสุชาติ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายทุ่มเทกับการแข่งในครั้งนี้มากเพียงใด แต่เพราะกำหนดการแข่งขันคือช่วงสัปดาห์หลังสอบ ในฐานะผู้ฝึกสอนเขาจึงได้กำชับเด็กชายให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับหนึ่ง กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังแบ่งเวลามาซ้อมจนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ปริปากบอกว่ายังไม่หาย จนกระทั่งพายุพัดมารู้เอาเมื่อตอนก่อนแข่งเพียงไม่กี่นาที เมื่อร่างกายของนักกีฬาไม่พร้อมจึงทำให้พลาดเหรียญรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย


สุชาติถูกปลุกให้ตื่นเมื่อรถแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณของสปอร์ตคลับ เมื่อลงจากรถเห็นคนเป็นครูก็โผเข้ากอดทันที พลันน้ำตาแห่งความผิดหวังกลับพรั่งพรูอีกครั้ง   


“ซึมไปตาม ๆ กัน” อาจารย์เมธีอดบ่นไม่ได้เมื่อพบหน้านคินทร


ชายหนุ่มมองข้ามบ่าเจ้าของสปอร์ตคลับ สบตาร่างสูงที่เดินตามมา จากนั้นจึงย่อตัวลงนั่งแล้วกล่าวกับหนูน้อย “อะนี่...ตามสัญญา” พูดจบก็ยื่นถุงใส่พิซซ่ากล่องใหญ่ให้


“แต่ผมแพ้นะครับครู” สุชาติมองถุงใส่ของที่อยากกินพลางกลั้นสะอื้น


“แพ้แล้วยังไง ถามครูพายซิว่าแพ้แล้วกินพิซซ่าไม่ได้เหรอ” กล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาพายุพัด แม้ฝ่ายนั้นจะวางหน้านิ่ง หากแต่นัยน์ตากลับฉายแววเศร้าหมองไม่ต่างกัน


“ต...แต่ว่าผม...”


“ไม่ต้องแต่แล้ว เล่าให้ครูฟังดีกว่าว่าวันนี้ครูพายสอนบ้าง”


เด็กชายยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วตอบ “ครูพายถามว่าความรู้สึกวันนี้กับวันที่ได้ว่ายน้ำครั้ง ร..แรก ยังเหมือนกันอยู่ไหม ค...ครับ” ถ้อยคำนั้นขาดหายเป็นบางช่วงตามจังหวะสะอื้น


“แล้วกำบี้ตอบครูพายว่ายังไง ครั้งไหนสนุกกว่ากัน”


“ครั้งแรกครับ” สุชาติกล่าว ภาพในหัวคือเหตุการณ์ในห้องพักนักกีฬาเมื่อช่วงสายและคำพูดของพายุพัดที่ทำน้ำตาไหลไม่รู้ตัว...


“ที่ตอนนั้นสนุกกว่าเพราะว่าไม่ต้องแข่งกับใครถูกไหม”

นักกีฬาตัวน้อยสะอื้นฮักก่อนจะตอบ “ครับ”

“พอไม่ต้องแข่งก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครต้องเสียใจใช่หรือเปล่า”

เห็นเด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ เจ้าของร่างสูงจึงนั่งลงแล้วโอวไหล่เล็กหลวม ๆ

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปทุกครั้งที่ซ้อมหรือลงแข่งลองนึกถึงความรู้สึกในวันแรกที่ได้ว่ายน้ำว่ามันสนุกแค่ไหน แล้วอย่ากดดันตัวเอง ถ้าร่างกายไม่ไหวต้องบอกกัน อย่าฝืนเด็ดขาด...”



นคินทรอมยิ้มพยักหน้า “จริงอย่างที่ครูพายบอก กำบี้ต้องไม่กดดันตัวเอง ในโลกนี้ไม่ได้มีเราเก่งอยู่แค่คนเดียวนะ ชนะครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งที่สุด ชนะแล้วใช่ว่าจะแพ้ไม่เป็น คนแพ้ก็ไม่ได้จะต้องแพ้ไปตลอดกาลเสียเมื่อไร กว่ากำบี้จะตัวโตเท่าครูพายยังต้องเจอคนเก่งอีกเยอะ แพ้คราวนี้คราวหน้าอาจจะชนะก็ได้ คราวหน้าชนะ คราวต่อไปอาจจะแพ้ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ดีเสียอีก จะได้ทำให้เราขยันฝึกซ้อม แต่ก็ต้องไม่หักโหมจนบาดเจ็บเหมือนคราวนี้ ที่บาดเจ็บคราวนี้มันอาจจะหายได้ด้วยการพักฟื้นแค่ไม่กี่วัน แต่โชคดีมันไม่ได้มีกันบ่อย ๆ ใครจะรู้...ถ้าบาดเจ็บอีก อาจจะกลับมาว่ายน้ำไม่ได้อีกแล้วก็ได้” นคินทรผ่อนลมหายใจยาว “ที่สำคัญคือต้องไม่กดดันตัวเอง ยิ่งเรากดดันตัวเองมากเท่าไร คนที่รู้สึกแย่ไม่ได้มีแค่เรา ครูพายเองหรือแม้กระทั่งพ่อกับแม่ของกำบี้ก็จะรู้สึกแย่ตามไปด้วย เข้าใจที่ครูพูดไหม”


“เข้าใจครับครู”


ครูหนุ่มเลื่อนมือขึ้นโยกหัวของเด็กชายเบา ๆ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นแล้วหันไปพูดกับคนเป็นโค้ช “ให้รางวัลศิษย์รักหน่อยสิ อืม...รางวัลสำหรับอะไรดีน้า...”


พายุพัดย่อตัวลงนั่งแทนที่แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำที่สั้นกระชับเช่นเคย “รางวัลสำหรับคนแพ้...ที่ไม่ยอมแพ้”


นคินทรใช้นิ้วถูปลายจมูกเพื่อกลั้นขำพร้อมกับพึมพำ “เก็ทสึโนวาสุด ๆ”


สุชาติยิ้มกว้าง ยกมือไหว้ทั้งสองคนแล้วรับถุงใส่กล่องพิซซ่ามากอดแต้ “ขอบคุณครับครูพาย ขอบคุณครับครูม่อน”


“นั่น พ่อมาพอดีเลย” นคินทรกล่าวเมื่อรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างซูบารุฟอเรสเตอร์ “รีบกลับบ้านเถอะจะได้เอาพิซซ่าไปแบ่งน้อง ๆ” ว่าแล้วก็โอบไหล่หนูน้อยแล้วพาไปส่งให้ถึงมือผู้เป็นพ่อ


ฉลามหนุ่มลุกขึ้นยืน หากแต่สายตายังไม่ละจากแผ่นหลังของอีกคน ถ้อยคำของนคินทรไม่เพียงช่วยปลอบประโลมหัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็กชาย ยังช่วยเตือนสติผู้ใหญ่อย่างเขาด้วยเช่นกัน


....


ซูบารุฟอเรสเตอร์ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงจนจอดสนิทบริเวณสี่เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดง นคินทรที่อาสาเป็นคนขับลอบมองชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งเงียบ ทอดตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง บนถนนข้างวัดภูมินทร์เต็มไปด้วยร้านรวง ส่วนลานข่วงเมืองก็มากด้วยผู้คนที่นั่งชมการแสดงของวงดนตรีพื้นเมือง และเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถที่จอดนิ่งก็พร้อมใจกันเคลื่อนตัวอีกครั้ง ซูบารุฟอเรสเตอร์ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย แล่นช้า ๆ ไปบนสะพานข้ามแม่น้ำน่าน มุ่งหน้าตามเส้นทางตัวเมืองน่าน-วัดพระธาตุแช่แห้ง จากสปอร์ตคลับถึงปลายฝนต้นหนาวโฮมสเตย์ไร้เสียงพูดคุย จนกระทั่งรถจอดในโรงรถ สองคนเดินเคียงกันไปตามทางเดินไม้ระแนงโดยอาศัยแสงจากโคมไฟที่เพิ่งถูกเปิดขึ้น เมื่อพายุพัดเปิดประตูเข้าไปภายในเรือนพักหลังสุดท้าย นคินทรก็เดินไปนั่งลงที่ปลายเตียงมองเจ้าของห้องที่กำลังปลดเป้สะพายหลังวางบนเก้าอี้ ในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น


“พาย เป็นอะไร เสียใจเหรอ”


เจ้าของชื่อไม่ได้พูดอะไร กระนั้นสีหน้าและแววตาก็ทำให้นคินทรรู้ว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องไม่สบายใจ ดวงตาอ่อนโยนมองตามร่างสูงที่เดินมานั่งลงข้างกันที่ปลายเตียง ห้องทั้งห้องคงเงียบเชียบหากพายุพัดที่กำลังค้อมตัวจ้องมองมือซึ่งประสานกันตรงหน้าไม่เอ่ยขึ้น


“ไม่คิดว่ากำบี้จะจริงจังขนาดนั้น ยังไม่หายเจ็บก็ไม่ยอมบอกให้รู้”


“ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเหมือนใครก็ไม่รู้เนอะ”


พายุพัดยืดตัวขึ้นจนหลังตรงพลางถอนใจแรงเลื่อนตามองแก้มเนียน “เราเข้าใจแล้ว ไม่ทำอีกแล้ว” ว่าแล้วก็เอนศีรษะอิงไหล่คนข้าง ๆ “ทำอะไรไม่ถูกเลยตอนที่เห็นน้ำตาเด็กคนนั้น”


“ฟังที่กำบี้เล่าก็ทำได้ดีนี่ สำหรับฉลามหินผู้เงียบขรึม”


“อย่าแซวสิ”


นคินทรยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะถามขึ้น “เคยร้องไห้บ้างหรือเปล่า”


“ร้องไห้?”


“อือ ตอนแข่งแล้วแพ้น่ะ เคยร้องไห้บ้างไหม อืม...แต่ถ้าให้เราเดาต้องไม่เคยแน่ ๆ คนเป็นนักกีฬาต้องถูกฝึกมาไม่ให้แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น จริงไหม”


พายุพัดไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาทอดมองปลายนิ้วที่กำลังหมุนกำไลข้อมือไปเรื่อย ๆ “พวกเราถูกสอนมาให้เป็นแบบนั้น”


“แล้วเวลาเสียใจทำยังไง คุยกับมีนเหรอ หรือว่าเล่าให้พี่ฝนกับแม่ฟัง”


ความเงียบทำให้นคินทรเข้าใจได้ทันทีว่านักกีฬาที่แบกรับเอาความหวังของผู้คนมากมายไว้บนบ่าอย่างพายุพัด นาวาภักดิ์ หากรู้สึกเสียใจที่พ่ายแพ้ต่อการแข่งขันคงไม่ได้ระบายความอัดอั้นต่าง ๆ ให้ใครรู้เป็นแน่ อย่างดีก็คงแค่ปลีกตัวออกจากทุกคน และเพราะเขาไม่เคยบอกใคร ก็เลยไม่เคยได้รับคำปลอบใจจากใคร ฉลามหินผู้นี้จึงปลอบใจใครไม่เป็น


“ต่อไปนี้...ถ้าเสียใจหรือมีเรื่องไม่สบายใจ เล่าให้เราฟังได้นะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” นคินทรขยับห่างออกมา


“อะไร” พายุพัดถามเมื่อจู่ ๆ อีกคนก็กางแขนออก


“ให้กอดไง”


ฉลามหนุ่มมุ่นคิ้วเขิน


“นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่กอดจะไปแล้วนะ” คนพูดลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปอย่างที่บอก แต่ทว่าช้ากว่าสองมือที่รั้งเอวดึงตัวเขาให้นั่งลงบนตัก


“ยังไม่ทันนับเลย” หนุ่มนักกีฬาบอกพร้อมแนบแก้มกับแผ่นหลังกว้างแล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้น “ขอบคุณนะม่อน”


“ขอบคุณเรา...เรื่องอะไร” เจ้าของชื่อถามพลางเอี้ยวตัวมองอีกฝ่ายก่อนจะเลื่อนสองแขนขึ้นคล้องคอหนา “ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย”


“ทำสิ” พูดจบพายุพัดก็พลิกร่างของคนไม่ทันระวังตัวนอนราบลง มือข้างหนึ่งยันกับที่นอนนุ่มเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด  อีกมือเลื่อนขึ้นเกลี่ยผิวแก้มที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะเฉลยความในใจ “ทำให้เรากล้าพูดว่าเรา...”


กว่านคินทรจะเรียบเรียงประโยคนั้นให้สมบูรณ์ได้ กลีบปากของพายุพัดก็ส่งผ่านความอุ่นซ่านไปทุกอณูกายเสียแล้ว


ฉลามหนุ่มค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก สบตาคนใต้ร่างที่กำลังหายใจหอบเพียงเพราะเขาใช้เวลาเนิ่นนานเกินไปสำหรับการตักตวงความสุขให้สมกับที่คิดถึง พายุพัดส่งยิ้มบางเบาแล้วแนบหูลงกับแผงอกที่ยังคงขยับขึ้นลงเร็วกว่าปกติ


“พรุ่งนี้ไม่อยากไปเลย อยากอยู่กับม่อนที่นี่”


ได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ครูหนุ่มจึงนึกถึงธุระของตนเองขึ้นมาได้ “จะอยู่ได้ยังไง พรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องไปงานแต่งงานเพื่อนเหมือนกัน ส่วนนายก็มีนัดสัมภาษณ์ที่โรงเรียน”


หนุ่มนักกีฬาถอนใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อนึกถึง “ภารกิจระดับชาติ” ที่ใครคนหนึ่งได้นิยามเอาไว้ อันที่จริงมันก็แค่การสัมภาษณ์เพื่อตีพิมพ์ในวารสารเนื่องในโอกาสครบรอบเก้าสิบห้าปีของโรงเรียน และที่เขาได้รับเกียรตินี้ก็เพราะเป็นศิษย์เก่าที่สร้างชื่อเสียง แม้จะโต้แย้งว่าเขาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพียงไม่นาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อนเพียงเพราะคำขอร้องของเพื่อนเก่า


“เรียกว่ามัดมือชกถึงจะถูก” พายุพัดบ่นก่อนจะดึงมือของอีกฝ่ายพาดลงบนบ่า เพียงเท่านั้นนคินทรก็รู้ว่าพายุพัดอยากให้ตนเองกอดเขาเอาไว้


“นี่ยังไม่หายโกรธย้งอีกเหรอ” คนพูดกลั้นหัวเราะ นึกถึงการพูดคุยกึ่งถกเถียงกึ่งหว่านล้อมกันของกลุ่มเพื่อนในโปรแกรมสนทนาบนโทรศัพท์มือถือ พายุพัดที่ใจแข็ง ไม่เคยยอมให้สัมภาษณ์กับนิตยสารใด ๆ นับแต่วันที่ประกาศเลิกรับใช้ชาติ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เพราะทนคำรบเร้าของเพื่อน ๆ ไม่ไหว 


“ก็มันเล่นเอาเพื่อน ๆ มากดดันเรา ฉายกับหมอกก็ตัวดี ไม่เข้าข้างกันเลย”


นคินทรฟังแล้วได้แต่หัวเราะในลำคอ นั่นเพราะคำพูดของพายุพัดมิได้ผิดแผกไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ใช้มือที่เหลือตบลงเบา ๆ บนแผ่นหลังที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแล้วกล่าว “เอาน่า รับปากย้งไว้แล้วนี่นา พรุ่งนี้ถ้าเราออกจากโรงแรมแล้วเราไปหาพายที่โรงเรียนดีไหม จะไปรอจนกว่าจะสัมภาษณ์เสร็จแล้วกลับบ้านพร้อมกัน”


“ไม่เอา...”


“ไม่งอแงสิ หรือว่าพอเราออกจากโรงแรมแล้วจะให้เรากลับพร้อมพิง”


“ไม่...” พายุพัดลากเสียงพลางกอดคนพูดแน่น


เมื่อเป็นเช่นนั้นนคินทรจึงแกล้งถอนหายใจ “เฮ้อ...ทำไมเด็กคนนี้เอาใจยากจัง แบบไหนก็ไม่ถูกใจ” พูดพร้อมกับแทรกเรียวนิ้วกับเส้นผมดำขลับของคนที่ทาบทับลงบนร่างของตน


ในที่สุดหนุ่มนักกีฬาก็กล่าวอย่างจนใจ “แบบแรกก็ได้”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2019 15:48:57
(ต่อค่ะ)


เช้าวันต่อมาหลังจากร่วมงานมงคลสมรสของเพื่อนครูต่างโรงเรียนซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองน่านแล้วนคินทรก็เรียกรถสองแถวให้ไปส่งที่หน้าโรงเรียนซึ่งเขาเคยเรียนสมัยมัธยม ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่เขตรั้วสีขาวราวกับก้าวเข้าสู่ประตูเวลานำพาความคิดให้หวนคืนสู่อดีต ใต้ร่มไม้ข้างศาลาฝ่ายปกครองยังคงมีม้าหินอ่อนเรียงรายแต่ก็ผุกร่อนไปตามกาล ร่างสูงหยุดยืนเมื่อภาพของตนเองในวัยเด็กที่กำลังนั่งรอผู้เป็นพ่อถูกฉายซ้อนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงอาคารห้องสมุด พลันภาพของหนุ่มน้อยเคร่งขรึมที่กำลังยืนเก้กังในมือถือใบสมัครชมรมก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น นคินทรเผลอยิ้มกับตัวเองแล้วมองเลยไปยังโรงอาหารที่ตอนนี้ปรับปรุงใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่คงเดิมในความทรงจำก็คือเหตุการณ์วันที่ภาณุและพายุพัดเกือบจะมีเรื่องกัน ชายหนุ่มส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความหุนหันพลันแล่นในวัยเยาว์ นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่ได้เกิดรุนแรงและในวันนี้สองคนก็ยังกลับมาเป็นเพื่อนกันได้


ขายาวก้าวช้า ๆ ไปตามทางเดินคอนกรีตราวกับกำลังชมนิทรรศการณ์ภาพถ่ายที่มีภาพนับพันให้หยุดมองแล้วนึกทบทวนเหตุการณ์แต่หนหลัง ฝั่งซ้ายคืออาคารเรียน ส่วนฝั่งขวาคือสนามฟุตบอล อัฒจันทร์ริมสนามที่เมื่อก่อนประกอบจากไม้และมักจะส่งเสียงเอี๊ยด ๆ ยามเมื่อมีคนขึ้นไปนั่งอยู่เป็นจำนวนมากบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นโครงเหล็กอย่างดีซ้ำยังมีหลังคาไม่ต้องเป็นภาระให้นักเรียนชมรมจิตอาสาของอาจารย์เมธีต้องมาติดตั้งที่กำบังแดดอีกต่อไป


“ม่อนโว้ย!!!” เสียงของใครคนหนึ่งที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้นคินทรต้องเหลียวมอง ที่แท้เขาก็คือ “ย้ง” อดีตสมาชิกชมรมโสตทัศนศึกษาที่ปัจจุบันเป็นช่างภาพอาชีพ ที่วันนี้รับอาสาถ่ายภาพให้กับวารสารของโรงเรียนนั่นเอง แม้มือสองข้างจะถือถุงใส่น้ำดื่มพะรุงพะรังแต่ก็ยังพยายามยกขึ้นโบกทักทายพัลวัน


“มาตั้งแต่เมื่อไร”


“เมื่อคืนน่ะ พอดีเมื่อวานตอนกลางวันมีถ่ายงานให้ลูกค้า เสร็จงานก็เลยขับรถมาเอง รอนั่งเครื่องกว่าจะมาถึงคงสาย ไหนจะเซ็ตอุปกรณ์อีก กลัวจะทำคนอื่นเสียเวลาโดยเฉพาะไอ้นักกีฬาใหญ่ นี่ขนาดเรามาช้าไปห้านาทียังถูกด่า เลยต้องออกไปซื้อน้ำให้มันกินจะได้ใจเย็น ๆ”


นคินทรหัวเราะ “พายเนี่ยนะ ด่าใครเป็นด้วยเหรอ” ว่าแล้วก็ดึงถุงจากมือของอีกฝ่ายมาช่วยถือ


“อือ มันไม่ได้ด่าด้วยเสียงแต่มันด่าทางสายตา ไม่รู้เราทำอะไรให้นักหนา”


คนฟังยิ่งหัวเราะหนัก “ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอ”


ย้งหัวเราะแห้ง ๆ “ก็...รู้แหละ”


นคินทรพยักหน้า “ก่อเรื่องไว้เอง”


“แหม หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารไหน ๆ เขาก็อยากได้ตัวมันไปสัมภาษณ์ทั้งนั้นแหละ นี่แค่วารสารโรงเรียน ทำลีลา ดังแล้วหยิ่งหรือไง”


“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ก็แค่โลกส่วนตัวสูงไปหน่อย ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง แล้วก็ไม่ชอบยุ่งกับใครเท่านั้นเอง” ครูหนุ่มอธิบายเนิบ ๆ


“เรารู้ เราพูดเล่นน่ะ” ย้งยิ้มกริ่ม


“ยิ้มอะไรวะ”


“เข้าอกเข้าใจกันดีเหลือเกินนะ”


ยิ้มมีเลสนัยของเพื่อนทำนคินทรเสมองไปทางอื่น


“เราคิดไม่ผิดแน่ ๆ ที่จะให้ม่อนช่วย”


“ช่วยอะไร” คนฟังหันขวับ


“ก็ช่วยพูดกับพาย ให้มันรับคำเชิญสัมภาษณ์ของบก.เราไง นะ ๆ ม่อน เรารับปากบก.ไปแล้วว่าจะเอาตัวไอ้พายไปให้ได้”


นคินทรทำหน้าเบ้โคลงหัวหนัก “นายนี่ก่อเรื่องไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ”


“นะ ๆ” ย้งมองตาปริบ ๆ


“ตัวใครตัวมันเถอะงานนี้” พูดจบครูหนุ่มก็เดินหนี แต่ช่างภาพอาชีพก็ยังตามไปวอแวไม่เลิก


เมื่อขึ้นมาบนอาคารเรียน สองคนพากันเดินไปยังห้องจัดรายการเสียงตามสายของโรงเรียน เห็นที่นอกห้องมีทั้งผู้ปกครองและเด็กหนุ่มสาวในชุดลำลองจำนวนมาก นคินทรจึงถามขึ้น


“ทำไมคนเยอะจัง”


“เขามารอดูอดีตนักกีฬาทีมชาติไง”


คนฟังพยักหน้า อดเป็นห่วงอีกคนไม่ได้ “แล้วพายอยู่ไหน”


“ก็คงนั่งเป็นหินอยู่ข้างในโน่นแหละ ป่านนี้คงเริ่มสัมภาษณ์แล้วละ เล่นมาเสียคนแรกเลย มาก่อนอาจารย์ที่จะสัมภาษณ์อีกนะ ถามว่าทำไมรีบมาก็บอกว่ามีธุระต้องรีบกลับ ธุระอะไรของมันม่อนรู้ไหม”


นคินทรรีบส่ายหัวดิก “ไม่รู้”


“เออ ช่างเถอะ” ย้งบอกก่อนจะออกปากขอทางคนที่ยืนอออยู่หน้าห้อง


เมื่อผ่านประตูเข้ามา นคินทรพบว่าภายในยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ทั้งคนที่มารอให้สัมภาษณ์และบรรดาน้อง ๆ นักเรียนที่มาช่วยงานอาจารย์ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ ทั้งที่เรียนที่นี่หลายปีแต่กลับมีโอกาสได้เข้ามาในห้องนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนถ่ายรูปทำบัตรนักเรียน ภายในห้องขนาดใหญ่ฝั่งหนึ่งถูกกั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ผนังบุด้วยแผ่นซับเสียงสำหรับจัดรายการเสียงตามสาย ซึ่งพายุพัดนั่งอยู่ข้างในนั้นกับอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งนคินทรจำได้ว่าเธอเป็นผู้ดูแลห้องนี้ตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่


“บันทึกเสียงด้วยเหรอ”


“เห็นอาจารย์บอกว่าจะเอาไว้เปิดในรายการเสียงตามสายน่ะ ก็เลยขออนุญาตทุก ๆ คนบันทึกเสียง”


ครูหนุ่มพยักหน้าวางถุงใส่น้ำดื่มที่โต๊ะหลังห้อง ไม่นานพายุพัดก็เดินตามรุ่นน้องซึ่งเป็นสมาชิกชมรมโสตทัศนศึกษาออกมา  ตรงไปยังเวทียกสูงจากพื้นประมาณฟุตกว่า ๆ นั่งลงบนเก้าอี้บาร์ที่ด้านหลังเป็นฉากสีขาว มีชุดไฟสตูดิโอและกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในตำแหน่งพร้อมใช้งาน


“เราไปถ่ายรูปไอ้พายก่อนนะ” พูดจบย้งก็เดินแหวกผู้คนเข้าไปด้านใน จัดตำแหน่งการนั่งให้หนุ่มนักกีฬาผู้เคร่งขรึม จากนั้นจึงเริ่มลั่นชัตเตอร์


และเมื่อพายุพัดเดินลงจากเวที บรรดานักเรียน ผู้ปกครอง ศิษย์เก่าภายในห้องนั้นต่างเข้ารุมล้อมขอลายเซ็นและถ่ายภาพร่วมกับอดีตนักกีฬาทีมชาติไทยเป็นที่ระลึก นคินทรหยุดยืนสังเกตการณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง ในใจนึกเสียดาย หากเจ้าของฉายาฉลามหินยิ้มเพียงนิด ภาพที่ถ่ายได้จะต้องเป็นภาพประทับใจที่สุดของคนเหล่านั้นไปอีกนานแสนนานเป็นแน่


เมื่อคนที่อยู่ในห้องบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองแล้ว จึงผลัดเปลี่ยนให้คนที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาแทน ดังนั้นจึงเป็นเวลานานทีเดียวกว่าทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติ เห็นว่าพายุพัดถูกปล่อยให้อยู่โดยลำพัง นคินทรจึงเดินมาหยุด


“ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม” ว่าแล้วก็กวาดตามองหาบางอย่าง “อืม...ไม่ได้พกกระดาษเลยแฮะ”


“ไม่เป็นไร” ว่าแล้วฉลามหนุ่มก็ดึงมืออีกฝ่ายมาตรงหน้าจดปลายปากกาเคมีเขียนข้อความบางอย่าง


นคินทรมองไม่ถนัดจึงย่อตัวลงนั่งเท้าคางกับโต๊ะ จ้องตัวอักษรที่ปรากฏบนฝ่ามือของตนเอง รอจนเขียนเสร็จก็รีบชักมือกลับทันที ส่วนพายุพัดนั้นก็เอาแต่มองคนที่กำลังบ่นขมุบขมิบพลางเผยรอยยิ้มแรกของวัน


“นี่มันลายเซ็นที่ไหนกันเล่า” พูดจบครูหนุ่มก็ลุกขึ้นสอดมือข้างนั้นลงในกระเป๋ากางเกงแล้วกล่าว “เสร็จแล้วใช่ไหม”


คนถูกถามพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านกันเลยไหม หรือนายอยากไปที่ไหนต่อ”


พายุพัดไม่ได้ตอบ เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำอีกฝ่ายออกไปข้างนอกห้อง


“เราอยากชวนม่อนไปที่หนึ่งด้วยกันก่อน”


“ที่ไหนเหรอ”


สองคนเดินคุยกัน ระหว่างเดินลงบันไดก็หลบหลีกคนที่เดินสวนทางมาไปด้วย


“เดี๋ยวก็รู้”


คำตอบสั้น ๆ ทำนคินทรเผลอยกมือข้างที่ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นเกาหัว เมื่อนึกได้จึงรีบเปลี่ยนเป็นกอดอกทันที


“กลัวมีคนเห็นเหรอ” ไม่รอฟังคำตอบ หนุ่มนักกีฬาก็ดึงมือข้างนั้นมาแล้วแทรกนิ้วของตนเกี่ยวเรียวนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายเอาไว้ “แบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้ว”


สองคนเดินเคียงไปตามทางคอนกรีตในขณะที่สองมือไม่คลายจากกัน กระทั่งถึงอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องโฮมรูมของพวกเขา


“นึกยังไงถึงชวนเรามาที่นี่” นคินทรถามเมื่อมาหยุดที่หน้าห้อง


“อยากมาเยี่ยมเพื่อนเก่าน่ะ” พายุพัดตอบ มองคนที่เพิ่งปล่อยมือจากกันและกำลังก้าวเข้าไปในห้อง


นคินทรเดินสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ยังคงเป็นชุดเดิม และวันนี้หากพวกเขาโชคดีก็คงได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันเสียนาน


“ยังอยู่เหมือนเดิมเลย” เจ้าของร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อถึงหลังห้อง


"อยากรู้จังว่าตอนนั่งตรงนี้นคินทรมองเห็นอะไรบ้าง" พายุพัดที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง


ส่วนเจ้าของชื่อยิ้มแล้วนั่งลงที่โต๊ะด้านหลังซึ่งเคยเป็นที่นั่งของอีกฝ่าย "แล้วตรงนี้ล่ะพายุพัดเห็นอะไร"


"เราเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนี้คอยมองดูเพื่อน ๆ ในห้อง รอช่วยเหลือทุกคนที่มาขอให้ช่วย เห็นเขายิ้ม เห็นเขาหัวเราะ แล้วก็...เห็นเขาร้องไห้” ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาแต่กลับหนักอึ้งเกินกว่าจะพูดออกมาได้ชัดถ้อยชัดคำ นั่นเพราะคนที่ทำให้นคินทรต้องเสียใจก็คือเขาเอง


“ยังไม่ลืมอีก” ครูหนุ่มกล่าวขณะก้มลงมองระนาบไม้เนื้อแข็งพลันรอยยิ้มสดใสก็ฉาบทับขึ้นบนใบหน้า 


“ยิ้มอะไร”


“นึกถึงตอนนั้นน่ะ”


“ตอนไหน”


“ก็วันวาเลนไทน์ปีนั้นไง มีมือดีที่ไหนก็ไม่รู้เอาน้ำยาลบคำผิดมาเขียนสารภาพรักบนโต๊ะนายเต็มไปหมด จนอาจารย์นภาต้องสั่งให้ทำความสะอาดอย่าให้เหลือร่องรอย หลังเลิกเรียนเราเห็นนายกับหมอกช่วยกันขัดออก หลายวันกว่าจะหมด”


พายุพัดยิ้ม “มีอีกไหม เรื่องเกี่ยวกับเราที่ม่อนจำได้”


“อืม...วันนั้นมีขนมกับช็อคโกแล็ตวางเต็มโต๊ะนายไปหมด ฉายยังอิจฉา แอบบ่นว่าเรียนมาตั้งหลายปีของขวัญที่สาว ๆ ให้ยังเยอะไม่เท่ากับที่นายได้รับในวันนั้น”


พายุพัดเท้าคางมองอีกฝ่ายจนเพลิน


“ฟังเราอยู่หรือเปล่าเนี่ย”


“ฟังอยู่ เล่าต่อสิ”


“พอตอนเย็นเราเห็นนายเอาขนมพวกนั้นไปแขวนอยู่ที่ประตูป้อมยามหลังโรงเรียน” นคินทรสบตาคนที่กำลังมองมา ใช้ปลายนิ้วปัดปอยผมของอีกฝ่ายเสยไปด้านหลัง “ถ้าเราเป็นเจ้าของขนมพวกนั้นแล้วรู้ว่านายเอาไปให้คนอื่นมีหวังเสียใจแย่”


“เราไม่ชอบกินขนมหวาน ก็เลยเอาไปฝากให้ลูก ๆ ของลุงรปภ.น่ะ ตอนนั้นคิดว่าดีกว่าทิ้ง”


คนฟังมุ่นคิ้ว “ไม่ชอบกินขนมหวาน แล้วทำไมโดนทำโทษเพราะแอบกินขนมในห้องเรียนล่ะ”


พายุพัดยกมือขึ้นเกาคอ ไม่คิดว่านคินทรจะยังจดจำเรื่องนี้ได้


“ว่ายังไง วันนั้นเราเข้าห้องช้า เพราะฉายมัวแต่เอาขนมให้สิที่ห้องชมรมนาฏศิลป์ พอมาถึงก็เลยโดนอาจารย์ทำโทษให้ออกไปยืนหน้าห้อง จำได้ว่าตอนนั้นมีนายยืนอยู่ก่อนแล้ว ถามว่าโดนทำโทษเพราะอะไร นายก็ตอบแค่ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน ขนมอะไรเหรอ”


“คุกกี้ธัญพืช”


“คุกกี้ธัญพืช?” ครูหนุ่มทวนคำ


“ใช่ ที่ม่อนทำมาแจกเพื่อน ๆ ทั้งห้องไง”


ในที่สุดนคินทรก็นึกออก ที่แท้มันคือคุกกี้ขนาดเกือบเท่าฝ่ามือที่ทำมาให้เพื่อน ๆ เนื่องในวันแห่งความรักนั่นเอง “จำได้แล้ว ตอนที่เอาไปให้นายยังคิดอยู่ว่านายจะกินหรือเปล่า”


“ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะเก็บไว้”


“เสียของหมด” นคินทรทำหน้ามุ่ย ใช้ปลายนิ้วบีบจมูกของอีกฝ่ายเบา ๆ


“ก็เพราะคิดได้แบบนี้ไงถึงแอบกินในห้องเรียน เก็บอยู่ในกระเป๋านักเรียนหลายวันแล้วเรากลัวว่าจะเสีย”


“แล้วอร่อยไหม”


พายุพัดพยักหน้า


“เราทำให้กินอีกดีไหม”


พายุพัดยังคงยิ้มและพยักหน้า


“หวานน้อยดีไหม”


เวลานี้ไม่ว่านคินทรจะพูดอะไรพายุพัดก็ยิ้มและพยักหน้า...


....


เสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้เป็นภรรยาเรียกให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการประกอบร่างหุ่นยนต์ต้องเงยหน้าขึ้น “หัวเราะอะไรน่ะแม่”


“พ่อเห็นรูปนี่หรือยัง ที่ย้งส่งเข้ามาในกลุ่มน่ะ”

ภาณุส่ายหัว วางหุ่นยนต์ที่ยังประกอบไม่เสร็จลงบนโต๊ะเอื้อมมือจับแก้มลูกชาย “เล่นคนเดียวไปก่อนนะลูก” พูดจบก็เดินมาที่เคาน์เตอร์บาร์หยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ สิ่งที่ถูกส่งมานั้นคือภาพของชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนอีกคนย่อตัวลงนั่งเท้าคางโดยมีโต๊ะคั่นกลาง มองมือของตนเองที่กำลังถูกคนตรงข้ามเขียนอะไรบางอย่าง อีกภาพเป็นภาพของทั้งสองคนในอิริยาบถเดิม แต่ต่างฝ่ายต่างสบตากันแล้วยิ้ม 


GongYoo_GooYong: คนบ้าๆ บ้าๆๆ


GongYoo_GooYong: เย็นชากับคนทั้งอำเภอ แต่ยิ้มให้เธอคนเดียว


aMOXi: อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร


Sweety: อย่าเพิ่งแหม มาช่วยกันซูมก่อนว่าเขียนอะไร


LookKaew: นั่นสิพายเขียนว่าอะไร


Bankham: อยากรู้ด้วยคน


Sweety: ย้ง แกเห็นไหม


GongYoo_GooYong: เออ อยากรู้เหมือนกัน หันมาอีกทีมันก็พากันหายไปไหนแล้วไม่รู้


Sweety: อยากรู้ ๆๆ


Sunny: ไม่ต้องห่วงนะทุกคนนน เดี๋ยวพ่อจัดให้


ภาณุวางโทรศัพท์ลงสบตาภรรยาแล้วหัวเราะหึ ทันทีที่ซูบารุฟอเรสเตอร์แล่นมาจอดเทียบที่นอกรั้ว...


จบ


สวัสดีค่ะ ไม่พบกันเกือบ 1 ปีแล้วนะ สบายดีกันหรือเปล่าคะ
เกือบ 1 ปีที่ไม่ได้พบกัน มีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด
จนถึงวันสุดท้ายที่ทุกอย่างเรียบร้อย เราขอบคุณคนมากมายที่คอยช่วยเหลือ
และเราก็อยากขอบคุณนิยายเรื่องนี้ พยายามเขียนมาเป็นเดือนแล้ว ในที่สุดก็เสร็จสักที
สำหรับตอนพิเศษที่ชื่อว่า ขอบคุณนะ นี้ เราตั้งใจเขียนขอบคุณสายลมกระซิบรัก
ที่อยู่กับเรามาตลอดระยะเวลา 1 ปี เป็น 1 ปีต้องอาศัยกำลังใจมาก ๆ ในการผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ
ถ้านิยายทั้งหมดคือเพื่อน สายลมกระซิบรักคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่รู้ความเป็นไปของเรา
รู้ว่าตอนไหนเรารู้สึกยังไง คอยนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน
ขอบคุณนะ


และขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามค่ะ

หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 23-08-2019 16:32:02
           ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษ

ขอบคุณที่มีสายลมกระซิบรักเรื่องนี้

ขอบคุณมากๆค่ะ ตัวละครทุกตัวเป็นเหมือนตัวแทน

ในวัยเด็กที่ค่อยๆเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน

อ่านเรื่องนี้ทีไรได้บรรยากาศความรัก ความสุข

ความสนุก จากเพื่อนในอดีตหวนกลับมาทุกที

ค่ะ...ขอบคุณสำหรับนิยายคุณภาพ เป็นกำลังใจให้

กับทุกผลงานนะค่ะ♥️♥️
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-08-2019 16:48:32
ขอบคุณเช่นกันนะคะ
 ที่เขียนเรื่องราวอบอุ่นเรื่องนี้มาให้อ่าน
เราหลงรักภาษาอันงดงามของคุณเหลือเกินอ่านแล้วมันมีความสุขลอยอยู่รอบตัวไปหมด
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-08-2019 17:20:28
สะกิดต่อมอยากรู้​อยาก​เห็น​อีกแล้ว​ นานๆจะเจอฉากสวีทกัน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 26-08-2019 17:36:35
อยากรู้เหมือนกันว่าเขียนว่าอะไรอ่าาาา
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 26-08-2019 17:59:59
อยากทราบว่าเขียนอะไร ดูเฉลยได้ในเพจค่ะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 26-08-2019 22:28:50
ไม่ได้หายคิดถึง แต่คิดถึงกว่าเดิมอีกกกกกกกก

อยากจะแหมมมมมมมไปถึงน่านเลย
เย็นชากับคนทั้งโลกจริงพ่อฉลามหิน
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 27-08-2019 08:59:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
 :mew1:
 :mew1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 27-08-2019 13:32:15
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากค่ะ ชอบความค่อยๆพัฒนาของตัวละครและความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-08-2019 08:25:30
 :เฮ้อ: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-08-2019 22:01:28
คิดถึง ยังอบอุ่นน่ารักกันเหมือนเดิมเลย
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-08-2019 21:29:33
วันนี้หยุดอยู่บ้าน ฝนตก ทำให้นึกถึงเรื่องนี้ อยากมาอ่านซ้ำอีกรอบ
มาเจอตอนพิเศษ ขอบคุณมากนะ อ่านแล้วมีความอบอุ่นในหัวใจ
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 01-09-2019 13:50:47
ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายดีๆ
เป็นกำลังใจให้ ถธปทฟ เสมอนะค้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 03-09-2019 19:38:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Tonson777 ที่ 05-12-2019 17:51:48
 :กอด1: พายพัดช่างเป็นลมที่อบอุ่น เป็นความละมุนละไมชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 12-01-2020 20:01:34

  อ่านทีไร ก้อประทับใจกะ ครูม่อน คุณพายมาดขรึม และ แก๊งค์เพื่อนๆๆ เสมอ

  อยากไปพักผ่อนที่ รีสอร์ท ของพาย ด้วยจัง

  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:  



 รอ ตอนพิเศษ แสนยา กับอาจารย์มีน ด้วย

 รับวัน Velentine พอดีๆๆ  :กอด1:




https://www.facebook.com/AmInTheSky/photos/a.211498082369920/1069613823225004/?type=3&eid=ARBKRw72FOKhvZHov_tjtX59WNiOpWMAcTY_U2JTAuVMaRTPiUTGw2GaRoFSmVup_S2Rz6hFkHKkCYNP&__xts__%5B0%5D=68.ARDwfD6cL2NUN7gYdTJOeP6PEUMURLI6GgCzygqE07Ar6awk4n9MKDoV3Rv6832FtDQ9G_7eJWTHDK5gd2pfFhNJentgKzXdQfi9eDDe0LPFGmd1wnr9EU4kGpGyn3GViPUcfA1pZMD_TEOnOOOUgVT4Tvbcf3FGdM4UcvRXiZjiX_FrR1NG-mziWA-FtdZIeiLEYWcC9a-oFaCbCrp4afoiOG00ebbgH6PiIETsWwDct0veEP-rsb4IRVgj8sItbt0hAYSF28_iBdqz0b-yAmCeLsmSRDJjdraG_77d7BmEur2O3Q1rPwNPgEFUFO26JSIW2IJ9RMolpymiHCgn3GxZdg&__tn__=EHH-R
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:41:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 22-09-2020 08:54:49
อบอุ่นละมุนใจดีมาก เรื่องสไตล์นี้คือลายเซ้นของคุณถ้าเธอเป็นทองฟ้าจริง ๆ มีความสุขที่ได้อ่านเรื่องนี้ มันดีงามมาก

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 28-09-2020 02:45:56
ชอบอะ เนื้อเรื่องสนุก วางไม่ลง อดนอนตี 4 ตี 5 อ่านจนจบ งื้อออ ละมุน ฟิน
เราอ่านทุกเรื่องของนักเขียนเลย แล้วก็ชอบทุกเรื่อง เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 29-09-2020 00:37:56
 :-[
หัวข้อ: Re: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 05-10-2020 12:29:32
 :L1: