สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78801 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พาย...เก็บอาการหน่อย ออกนอกหน้ามาก

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อ่านแล้งเขินเป็นบ้าเป็นบอ

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ ชอบบ
มารอดูความรักของพ่อฉลามหินกัน

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sembia

  • Me as me.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รออยู่นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พายน่ารักพอกะแมวเลย ให้สมุดและความลับแก่ม่อนไวไวน้า

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อบอุ่นจังค่ะ 

ม่อนรู้ตัวเปล่าว่าทำให้คนยิัมยากมายิ้มได้ง่ายดายไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ :o8:

พายก็แอบรักม่อนมานานจริงๆ  ส่วนม่อนเราคิดว่าม่อนไม่ได้แอบรักฉายเกินเพื่อนเลย  คิดว่าม่อนรักเพื่อนทุกคน  แต่ตอนนั้นฉายจะเป็นเพื่อนที่ม่อนให้ความสำคัญมากที่สุดแค่นั้นเองค่ะ  ใช่ไหมม่อน(ม่อนบอกจำไม่ได้ซะงั้น555) :katai1:

แสนยามีบทมานิดหน่อยแต่แย่งซีนใครหลายคนเลยค่ะ   บุคลิกน่าค้นหามาก555 o13

ขอบคุณมากค่ะ :L2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 10 ตัวป่วน


พายุพัดยิ้มกับเจ้าแมวแม่ลูกที่อยู่ในกรง อดนึกไม่ได้ว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องไกลกันคงจะทำให้พวกมันคิดถึงเจ้าของ เพราะเขาเองก็...


แต่เมื่อซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำแล่นเข้าจอดเทียบข้างรถเต่าสีนมชมพู ซึ่งเจ้าของเพิ่งเปิดประตูลงมา พลันรอยยิ้มที่เรี่ยราดมาตลอดทางก็หุบหายราวกับดอกไม้ที่ไม่ได้รับแสงแดด ชายหนุ่มลงจากรถโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังโบกไม้โบกมือทักทาย เดินอ้อมไปอีกฝั่งแล้วรั้งเอากรงใส่เจ้าเหมียวออกมา


“คนอะไรวะหน้าตาโคตรไร้อารมณ์” แสนยาบ่นพึมพำ


นคินทรฟังแล้วได้แต่ส่ายหัวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปรับกรงแมวจากคนที่อุตส่าห์ขับรถมาให้ “ขอโทษด้วยนะที่ต้องทำให้ลำบาก อาทิตย์นี้เราไม่ว่างจริง ๆ”


“ไม่เป็นไร” คนอาสาตอบสั้น ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังเปิดกรงปล่อยให้เจ้าซ่าหริ่มกับลูกของมันกลับขึ้นบ้าน “หมอกบอกว่าแผลไม่ได้อักเสบ นัดไปดูอีกทีสัปดาห์หน้า”


“ขอบใจนะ”


เสียงกระแอมของอีกคนที่ยังไม่ได้แจ้งวัตถุประสงค์ของการมาดังขึ้น “จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเรามาทำไม”


“ถามสิ” นคินทรตอบซื่อ ๆ แต่พายุพัดกลับชิงพูดแทนด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ


“มาทำไม”


“ให้เจ้าของบ้านถามดีกว่าไหม” แสนยามุ่นคิ้ว


เห็นสองคนจ้องหน้ากันไม่ลดละนคินทรจึงชิงตัดบท “นายมาถูกได้ยังไง”


“ถามชื่อโรงเรียนมาจากสิน่ะ” แสนยาตอบพลางดึงสายตามายังคู่สนทนา “ตอนที่ไปงานแต่งงานสิ เห็นเพื่อน ๆ ห้องนายคุยกันเรื่องบริจาคหนังสือ เรามีเพื่อนที่เขาเคยเปิดร้านหนังสือแล้วเลิกกิจการก็เลยไปคัดหนังสือที่เด็ก ๆ น่าจะชอบมาให้ อยู่ในรถนี่” ว่าแล้วก็บุ้ยปากไปยังที่นั่งด้านหลังคนขับซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือ


“วันนี้เราจะไปเก็บข้อมูลแถว ๆ บ่อเกลือ เห็นว่าผ่านพอดีเลยแวะเอามาให้”


นคินทรพยักหน้า แต่แล้วเสียงกริ่งก็เรียกสายตาทุกคู่ไปหยุดที่ชายหนุ่มในชุดบอลซึ่งกำลังถีบจักรยานใกล้เข้ามา


พิทักษ์ยิ้มร่าเมื่อได้พบนักกีฬาในดวงใจอีกครั้ง เขาใช้เท้ายันพื้นแล้วยกมือไหว้กราดก่อนจะกล่าวทักทายทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มแปลกหน้า


“พี่ม่อน จะไปเลยไหมพี่”


“พี่ขอคุยกับเพื่อนสักเดี๋ยวนะ” เจ้าของบ้านบอก จากนั้นจึงหันกลับมายังคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจแวะเอาหนังสือมาให้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราขนลงจากรถให้ นายจะได้ไปทำธุระต่อ”


“อ้าว ไม่ว่างหรอกเหรอ กะว่าจะชวนไปด้วยกันสักหน่อย” แสนยากล่าวอย่างเสียดาย 


“เรานัดกับเด็ก ๆ ไว้ว่าจะไปช่วยกันทำความสะอาดห้องสมุดน่ะ”


“หนังสือพวกนี้ก็ต้องเอาไปไว้ที่นั่นด้วยใช่ไหม”


“อืม”


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”


“เอาอย่างนั้นเหรอ”


“เอาอย่างนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลายกขึ้นยกลง” ว่าแล้วก็ย้ายสายตาไปที่หนุ่มนักกีฬา “จะไปด้วยกันก็ได้นะ ไหน ๆ มาแล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย”


“พี่พายไปด้วยกันไหมครับ ซ้อนจักรยานผมไปก็ได้” พิทักษ์เสริม


แต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่ง จนกระทั่ง...


“ถ้านายมีธุระ จะกลับ...”


“เราก็ไม่ได้รีบไปไหนนี่” พายุพัดตอบก่อนจะเดินไปซ้อนท้ายจักรยานของครูพละหุ่นล่ำ


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันที่โรงเรียนนะครับพี่ม่อน”


“ขี่ดี ๆ ล่ะ” นคินทรกำชับเพื่อนรุ่นน้อง


จักรยานคันใหญ่ขี่นำโฟล์กเต่ามาหยุดที่หน้าอาคารไม้ชั้นเดียวซึ่งทอดตัวยาวขนานไปกับสนามหญ้า สีชมพูหวานแหววทำเอาเด็ก ๆ ซึ่งจับกลุ่มเล่นกันอยู่ใต้ร่มไม้ต่างพากันให้ความสนใจ และทันทีที่นคินทรก้าวลงจากรถทุกคนก็กรูกันเข้ามารุมล้อม ต่างคนต่างช่วยคุณครูของตนลำเลียงหนังสือขึ้นไปเก็บในห้องสมุดแม้จะช่วยถือได้คนละไม่กี่เล่มก็ตาม


หลังจากขนหนังสือลงจากรถจนหมดแล้ว เด็ก ๆ ก็ช่วยกันทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูภายในห้อง ส่วนพวกผู้ใหญ่ช่วยกันซ่อมแซมและทาสีชั้นวางหนังสือใหม่


“พี่พายพี่ม่อนแล้วก็พี่แสนนี่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลายเลยเหรอครับ” จู่ ๆ พิทักษ์ก็เอ่ยขึ้น


“ไม่เชิงหรอก เรียนคนละห้องกัน พี่เรียนห้องเดียวกับม่อนตอนม.สี่เทอมต้น พอม่อนย้ายโรงเรียน แสนก็ย้ายมาเรียนอีกห้อง” คนถูกถามตอบเนิบ ๆ


“อย่างกับสนิทกันมานานนะครับ”


พายุพัดเงยหน้าขึ้นมองสองคนที่กำลังช่วยกันทาสีชั้นวางหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้ จริงอย่างที่พิทักษ์พูด หากไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างเคยพบกันเพียงสองหน ใครที่เห็นเข้าคงคิดว่าสนิทสนมกันมานาน คนมาดนิ่งละสายตาจากภาพตรงหน้า คว้าตะปูจากกระบะวางลงบนตำแหน่งที่เล็งเอาไว้จากนั้นจึงใช้ค้อนตอกไม่กี่ทีก็จมหายไปในเนื้อไม้


“แต่ดู ๆ ไปพี่แสนก็ท่าทางจะเข้ากับคนง่ายนะครับ ส่วนพี่ม่อนก็ใจดีกับทุกคนเป็นปกติ สองคนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครเห็นคงเข้าใจว่าสนิทกัน”


ไม่รู้เพราะได้ฟังประโยคหลังหรือเพราะวันนี้แดดแรงกว่าทุกวัน พายุพัดจึงได้รู้สึกร้อนจนแทบอยากกระโดดลงน้ำ แผ่นหลังเปียกชุม เหงื่อเม็ดโตผุดตามไรผมจนต้องยกหลังมือขึ้นปาดที่หน้าผาก จากนั้นจึงหยิบตะปูขึ้นมาอีกตัว


“วันนี้พี่พายดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะครับ” พิทักษ์กล่าวพลางมองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาตอกตะปู โดยมีตัวเขาเป็นลูกมือคอยช่วยจับแผ่นไม้ไม่ให้เคลื่อน


เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบ หากแต่ใบหน้าเรียบนิ่งก็เผยให้รู้ว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ในที่สุดคนช่างพูดก็ทำให้เขาต้องชะงัก


“พี่พายชอบพี่ม่อนเหรอครับ”


เป็นครั้งแรกที่การถูกคนอื่นยัดเยียดความรู้สึกนึกคิด ทำให้เขายากจะปฏิเสธ มือใหญ่ปล่อยด้ามค้อนทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกรั้งแขนไว้


“เดี๋ยวสิพี่ ผมทีมพี่นะ”


“หมายความว่ายังไง”


“ก็ถ้าผมต้องเลือกเชียร์ใครสักคนระหว่างพี่กับพี่แสน ผมเชียร์พี่พายอยู่แล้ว รับรองว่าจะทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์พี่ม่อนอย่างเต็มที่”


"เพ้อเจ้อ”


“จริง ๆ นะพี่ เอาเบอร์พี่มา รับรองผมจะรายงานความเคลื่อนไหวของพี่ม่อนทุกฝีก้าวเลย จะไม่ปล่อยให้ใครเข้าใกล้ง่าย ๆ”


พายุพัดถอนใจเฮือกพลางมองสองคนที่เห็นอยู่ไกล ๆ...


“เสร็จสักที” นคินทรเอ่ยขึ้น


“หน้าเลอะสีหมดแล้วม่อน มา...เดี๋ยวเราเอาออกให้” แสนยากล่าวก่อนจะวางพู่กันลง เตรียมจะเอื้อมมือเช็ดสีที่ติดอยู่กับแก้มของคนข้าง ๆ แต่ก็ถูกปัดออก


“ไม่ต้องเลย มือนายก็เลอะ”


“ไม่หลงกลเลย” แสนยาหัวเราะ


“ไปล้างมือเถอะ จะได้เตรียมเดินทางต่อ”


“นายไปก่อนเลย เราขอเก็บรายละเอียดตรงนี้อีกหน่อย” พูดจบก็ใช้พู่กันปาดขอบวงกลมสีส้มสดใสแล้วจึงเริ่มเขียนอีกวงใกล้ ๆ กัน


นคินทรลุกขึ้น เดินไปที่อ่างล้างมือซึ่งอยู่ข้างอาคารเรียน เปิดน้ำล้างไม้ล้างมือก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนผิวแก้ม เห็นว่ามีสีหลุดติดมาจึงเริ่มถูซ้ำ ๆ ในขณะที่ตาเหลือบมองอีกคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


“ออกหมดหรือยัง ดูให้หน่อย”


พายุพัดสำรวจใบหน้าคนข้าง ๆ สังเกตว่าที่ผิวแก้มนอกจากจะขึ้นรอยแดงเพราะอีกฝ่ายออกแรงถูยังมีสีเปื้อนอยู่เล็กน้อย


“ยังไม่หมด”


เมื่อได้ฟังนคินทรก็ยิ่งถูหนักกว่าเก่า


พายุพัดหันไปล้างมือจนเสร็จ เมื่อหันกลับมาอีกทีก็พบว่าสีทาภายในยังคงติดกรังอยู่ที่แก้มขาว


“เราเช็ดให้” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นประคองปรางแก้มแล้วใช้หัวแม่มือเปียกน้ำเกลี่ยออกให้ ตาคมจับจ้องที่ปลายนิ้วของตนเอง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนตรงหน้า พยายามทำให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ และเมื่อเห็นว่าผิวเนื้อนุ่มมือนั้นปราศจากคราบสกปรก ริมฝีปากได้รูปก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่แทบจะสังเกตไม่เห็น “ออกหมดแล้ว”     


“เดี๋ยวก่อน” นคินทรกล่าวพร้อมกับจับมือใหญ่เอาไว้ เห็นร่องรอยของบาดแผลเต็มตาจึงเอ่ยขึ้น “ทำไมเป็นแผลขนาดนี้”


“สงสัยโดนตะปูเกี่ยวตอนที่ช่วยพิงยกชั้นหนังสือออกมาซ่อมน่ะ เราซุ่มซ่ามเอง ไม่เป็นไรหรอก” พายุพัดดึงมือกลับ ซ่อนรอยแผลเลือดซิบที่ข้อมือขวาลงกระเป๋ากางเกง


“แผลขนาดนี้ยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีก” คนพูดมุ่นคิ้ว “ไปห้องพยาบาลกัน เดี๋ยวเราทำแผลให้”


“ไม่เป็นไร” หนุ่มนักกีฬายังยืนยันคำเดิม


“ถ้าไม่เป็นไรก็เดินตามมา อย่าให้ต้องลากกันไป” นคินทรกล่าวเสียงเข้ม ไม่คิดว่าจะต้องสวมวิญญาณคุณครูกับเพื่อน


พายุพัดมองสีหน้าเคร่งขรึมพลางกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็จำต้องเดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงห้องพยาบาลซึ่งอยู่ที่อาคารด้านหลัง ภายในมีเตียงเล็ก ๆ เรียงกัน 3 เตียง อ่างล้างมือ กับตู้ยาสามัญประจำบ้าน ชายหนุ่มนั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ มองอีกคนที่กำลังเดินไปรื้อค้นอุปกรณ์ทำแผลมาวาง


นคินทรลากเก้าอี้มานั่ง ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้น ดวงตาจับจ้องที่กำไลเงินซึ่งเสียดสีอยู่กับปากแผลแล้วกล่าว “กำไลนี่ถอดออกก่อนได้ไหม”


คนถูกถามพยักหน้า จากนั้นจึงถอดกำไลเงินที่มักสวมติดตัวออกแล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ พลันความเจ็บแสบเมื่อสำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์เกลี่ยลงรอบแผลก็ทำให้เผลอดึงมือกลับ


“แสบเหรอ” นคินทรถามพลางเป่าลมออกจากปากในขณะที่มือก็เช็ดทำความสะอาดรอบบาดแผลไปด้วย “ที่มือก็มีแต่รอยถลอก”


“ไม่เป็นไรหรอกน่า”


“ใส่ยาแล้วปิดแผลไว้ก่อนก็แล้วกัน เวลาเข้าเมืองก็อย่าลืมแวะไปให้หมอดูด้วยล่ะ ตะปูเป็นสนิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะเป็นบาดทะยัก” ว่าแล้วลูกชายหมอทหารก็จัดการตัดผ้าก็อซวางบนแผลแล้วติดพลาสเตอร์อย่างคล่องแคล่ว


พายุพัดลอบมองดวงตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตาใต้แนวคิ้วเข้ม จากนั้นจึงไล่เรื่อยมาตามสันจมูกกระทั่งถึงริมฝีปาก จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงจนแทบอยากจะถอยหนี ในที่สุดจึงรีบเสมองไปทางอื่น


“คงต้องเปลี่ยนข้างใส่แล้วมั้ง”


“ว...ว่าไงนะ”


“เราบอกว่าคงต้องเปลี่ยนข้างใส่แล้ว” เห็นคู่สนทนาทำหน้าฉงนจึงกล่าวต่อ “ก็กำไลนั่นไง ใส่ติดข้อมือตลอดเลยไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนเราก็เห็นในทีวีบ่อย ๆ” นคินทรพูดพลางคลายมือออก จากนั้นจึงเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ คืนที่แล้วเดินไปล้างมือ


“ได้ดูด้วยเหรอ”


“อือ ไม่อยากดูก็ต้องดู ไม่ว่ารายการแข่งขันไหนก็มีแต่ชื่อฉลามพาย ทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งทีวีก็พากันเสนอข่าว”


“ดีจังเลยนะ”


“ดียังไง” เจ้าของริมฝีปากบางถามพลางมองมือตัวเองที่ยังคงถูกันไปมาท่ามกลางสายน้ำ


“หลังจากลาออกจากโรงเรียน เราก็ไม่รู้ข่าว... ไม่รู้ข่าวใครเลย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”


“เพื่อน ๆ ก็อยู่ที่โรงเรียนเดิมไง มีแต่เราที่ย้ายตามพ่อไปเพชรบูรณ์”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“สอบได้ที่เชียงใหม่ ส่วนพ่อกับแม่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันตอนเราขึ้นปีสาม พอเรียนจบเราก็มาสอบบรรจุที่นี่”


“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ”


“อืม...” นคินทรนิ่งนึกพลางหมุนปิดก๊อกน้ำ “ไม่ชินกับกรุงเทพฯ แล้วละ อีกอย่างรู้สึกว่าคุ้นเคยกับที่นี่ด้วยมั้ง มองไปทางไหนเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ก็เลยไม่กลัวเวลาที่ต้องมาอยู่คนเดียว”


พายุพัดฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจ ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองไม่เคยคิดเลยว่าที่นี่คือบ้าน ซ้ำยังจะหนีไปให้ไกลเพียงเพราะมันทำให้คนอื่นมองว่าตนเป็นเด็กหลังเขาไม่ควรได้รับโอกาสดี ๆ ดังเช่นเด็กในเมือง


“ถ้าอย่างนั้นก็...อยู่ไปนาน ๆ นะ”


“ม่อน! อยู่นี่หรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาหรือเสียงของอีกคนดังกว่า นคินทรจึงไม่ทันได้ยิน เมื่อเดินพ้นประตูก็เห็นแสนยายืนชะเง้ออยู่ด้านนอก


“จะไปแล้วเหรอ”


“ใช่”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


พายุพัดเดินตามสองคนไปจนกระทั่งถึงอาคารเรียนหลังที่อยู่ติดกับสนามฟุตบอล หยุดมองแสนยาที่แม้จะเข้าไปนั่งในรถแล้วก็ยังอุตส่าห์เปิดกระจกยื่นหน้าออกมาหาเรื่องคุยต่อได้อีก เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งค่อนไปทางบูดบึ้งถอนใจเบา ๆ กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นร่างกำยำล่ำสันของพิทักษ์ ไม่รู้ว่ามายืนข้างกันตั้งแต่เมื่อไร


“แบบนี้พี่แสนทำคะแนนนำแน่ ๆ” คนพูดเน้นทีละคำ


ได้ฟังดังนั้นพายุพัดจึงมุ่นคิ้วแล้วแบมือออก “เอามาสิ”


“อ...อะไรพี่”


“โทรศัพท์ไง จะเอาเบอร์ไม่ใช่เหรอ”


พิทักษ์ยิ้มกว้างก่อนจะรีบดึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้ ยืดคอมองตามปลายนิ้วที่รัวลงบนหน้าจอสัมผัส “ผมถือว่าพี่ตอบคำถามเมื่อกี้ของผมแล้วนะ”


“พูดมากน่า” ว่าแล้วหนุ่มนักกีฬาก็ส่งโทรศัพท์คืนแล้วหันหลังให้ มุมปากยกน้อย ๆ ก่อนจะเดินจากไป


...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:31:36 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ชั้นวางหนังสือสีสวยถูกพิทักษ์และนคินทรช่วยกันยกกลับเข้ามาในห้องสมุดเมื่อตอนบ่ายคล้อย หลังจากวางตากแดดให้สีแห้งอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน จากนั้นครูพละกับเด็ก ๆ ที่โตหน่อยก็ช่วยกันนำหนังสือซึ่งจัดไว้เป็นกอง ๆ วางเรียงบนชั้น ส่วนน้อง ๆ อนุบาลและประถมต้นก็พานั่งล้อมวงที่มุมห้อง ฟังครูม่อนเล่าเรื่องราวของสัตว์หน้าตาแปลก ๆ ที่อยู่ในหนังสือภาษาอังกฤษอย่างตั้งอกตั้งใจ


“ครูครับ ถ้าวาฬไม่ใช่ปลาแล้วตัวที่อยู่ในทีวี ที่ปากแหลม ๆ ชอบกระโดดรอดห่วงนั่นเป็นปลาหรือเปล่าครับ”


พิทักษมุ่นคิ้ว “อ๋อ...โลมา ไปถามครูม่อนโน่น ครูม่อนเก่งวิชาวิทยาศาสตร์”


“โลมาไม่ใช่ปลา” นคินทรเอ่ยขึ้น “เราจัดให้โลมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีรูปร่างคล้ายปลาน่ะ”


เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีได้ฟังก็เม้นปากพร้อมกับขมวดคิ้ว


“สงสัยอะไรอีกสุชาติ”


“แล้วมันจะกินนมยังไงครับครู”


“ก็กินใต้น้ำนั่นแหละ แม่โลมามีเต้านม มานี่สิครูจะให้ดูอะไร” นคินทรบอกพลางพลิกกระดาษไปที่หน้าหนึ่ง


เสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของเด็ก ๆ ที่ดังเป็นระลอกยามเมื่อเห็นภาพของสัตว์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้พายุพัดที่กำลังนั่งพิงวงกบประตูปล่อยอารมณ์ท่ามกลางสายลมพัดเอื่อยต้องเหลียวกลับไปมอง เข้าใจแล้วว่าทำไมนคินทรจึงเลือกขอของบริจาคเป็นหนังสือแทนที่เป็นอย่างอื่น ชายหนุ่มเผลอยิ้มกับตัวเองก่อนจะดึงกำไลเงินซึ่งหัวกำไลสลักเป็นรูปปลาตัวเล็ก ๆ สองตัวหันหน้าเข้าหากันออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วสวมลงบนข้อมือข้างซ้าย จากนั้นจึงเลื่อนตามองคนที่นั่งอยู่ทามกลางเด็ก ๆ     


“มา ๆ เดี๋ยวครูเปิดเพลงให้ฟัง” พิทักษ์กล่าวหลังจากนั่งพักเหนื่อยได้ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วแตะหน้าจอ ไม่นานบทเพลงซึ่งกำลังเป็นที่นิยมก็ดังขึ้น


นคินทรส่งหนังสือให้เด็ก ๆ นำไปวางคืนที่ชั้นพลางเงี่ยหูฟัง เมื่อผ่านไปเกือบครึ่งเพลงจึงเอ่ยขึ้น “เพลงอะไร ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย” กระนั้นก็ยังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินสียงฮัมเพลงดังแว่วมาจากกลุ่มของเด็ก ๆ ที่ย้ายไปนั่งรวมกลุ่มกันข้างชั้นหนังสือ 


“อะไรกัน เพลงเขาออกจะดังนะพี่ พี่ไปอยู่ไหนมาถึงไม่เคยได้ยินเพลงนี้ ดูสิ นักเรียนยังร้องตามได้เลย”


“ก็ไม่เคยได้ยินจริง ๆ นี่หว่า”


“สงสัยชีวิตพี่ม่อนนี่ต้องหยุดอยู่ที่ยุค 90s แน่ ๆ ทุกวันนี้ยังฟังเพลงรบกวนมารักกันอะไรพวกนี้อยู่หรือเปล่าพี่”


“นั่นก็เก่าเกิน” ชายหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่จะว่าไป เพลงบางเพลงมันก็ทำให้เรานึกถึงบางเรื่องที่แทบจะลืมไปแล้วเหมือนกันนะ เรื่องที่ปกติไม่ได้อยู่ในหัว แต่พอฟังเพลงนี้ทีไร นึกถึงช่วงนั้นทุกที”


“ก็จริงนะพี่ ผมฟังเพลงหนึ่งทีไร นึกถึงตอนที่เพื่อนจะเลิกกับแฟนทุกที แล้วแฟนมันก็โทรมาถามผมว่าเพื่อนผมมีคนอื่นหรือเปล่า พอตกกลางคืนคลื่นวิทยุปล่อยเพลงนี้พอดีเลย ฟังแล้วปวดใจ โชคดีที่ผมตอบกลาง ๆ เพราะสุดท้ายพวกมันก็กลับมาคืนดีกัน ผมนี่เกือบเป็นหมาแล้ว”


นคินทรยิ้มพลางมองคนที่เอาแต่ส่ายหัว


“พี่ล่ะ ฟังเพลงไหนแล้วทำให้นึกถึงเรื่องที่ปกติไม่เคยนึกถึงบ้าง”


“อืม...รออยู่ตรงนี้ ตอนม.สามฉายมันแกะคอร์ดเองแล้วก็นั่งเกากีตาร์เพลงนี้ทั้งวัน พอโตมาได้ยินเพลงนี้ทีไรก็นึกถึงตอนนั้นทุกที”


“โอ้โห...แสดงว่าพี่ฉายนี่มีเป็นแววศิลปินมาตั้งแต่วัยรุ่นเลยนะเนี่ย”


“อือ” นคินทรยิ้ม


“แล้วพี่พายล่ะครับ มีเพลงแบบที่พี่ม่อนว่าบ้างหรือเปล่า”


พายุพัดเลื่อนตาจากใบหน้าเจือรอยยิ้มไปหยุดที่คนถาม ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ “ดาว”


“ดาว... ที่ร้องว่าหากคืนนี้มีดาวอยู่ร้อยดวง...”


“ล้านไหม ลดของเขาลงเสียเยอะเชียวนะ” นคินทรกล่าว


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า


“เก่ากว่ารบกวนมารักกันของพี่ม่อนอีก อืม...ถ้าว่ากันตามเนื้อเพลง ต้องทำให้นึกถึงตอนที่พี่พายไปบอกรักใครสักคนแน่ ๆ” คนพูดยิ้มกรุ้มกริ่ม


“เปล่าหรอก แค่มันทำให้นึกถึงที่หนึ่งที่เคยไปน่ะ”


“ที่ไหนครับ”


“เสมอดาว”


“ดอยเสมอดาวน่ะเหรอ” นคินทรกล่าวอย่างตื่นเต้น


“ใช่ ไปมาตอนช่วงปิดเทอมม.สี่จะขึ้นม.ห้าน่ะ พอเพื่อน ๆ รู้ว่าเราสอบเข้าโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ได้ก็เลยชวนกันไปกางเต็นท์ที่นั่น”


“ตอนเราย้ายโรงเรียนไม่เห็นมีอย่างนี้บ้างเลย” นคินทรตัดพ้อ


พายุพัดนึกอยากต่อว่าเรื่องที่อีกฝ่ายย้ายโรงเรียนกะทันหันเช่นกัน กว่าเพื่อน ๆ ในห้องจะรู้ก็เมื่อวันสุดท้ายของการสอบ ส่วนคนที่น่าจะต้องตัดพ้อก็คือตัวเขาที่รู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย ซ้ำเวลายังล่วงเลยไปนานแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรพิทักษ์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“เย็นแล้วนะนักเรียน กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นบรรดานักเรียนตัวน้อยก็พากันเก็บหนังสือคืนชั้นแล้วแยกย้ายกันกลับ บ้างก็เดิน บ้างก็ขึ้นซ้อนท้ายจักรยานของเพื่อน เสียงนกกระจอกแตกรังค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที ไม่นานรอบ ๆ บริเวณก็กลับเงียบเชียบ จะได้ยินก็เพียงเสียงไก่โก่งคอขันกับเสียงกริ่งจักรยานของพิทักษ์เท่านั้น


“ให้ผมถีบจักรยานไปส่งไหมพี่”


“ไม่เป็นไร ไปเถอะ เดี๋ยวพวกพี่เดินกลับกันเอง” นคินทรร้องบอกขณะมือกำลังคล้องแม่กุญแจ


“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับพี่พาย” พูดจบคนอายุน้อยที่สุดก็ยกมือไหว้เจ้าของร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่บันไดทางลง จากนั้นจึงตะโกนบอกอีกคน “ผมไปนะพี่ม่อน”


กว่านคินทรจะหันมาหนุ่มรุ่นน้องก็ไปไกลเสียแล้ว สองคนพากันเดินอ้อมอาคารเรียนไปตามทางที่โรยด้วยกรวด ผ่านสวนหย่อม แปลงเกษตรและเล้าไก่ของพวกเด็ก ๆ


“สวยไหมที่ดอยเสมอดาวน่ะ” จู่ ๆ นคินทรก็ถามขึ้น


“สวย ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด รู้สึกเหมือนใกล้แค่เอื้อมเลยละ”


“เพราะอย่างนี้เขาถึงได้เรียกว่าดอยเสมอดาวสินะ”


“อยากไปเหรอ”


“อื้อ ยังไม่เคยไปเลย”


“ไว้ว่าง ๆ เราจะพาไป” พายุพัดมองคนที่กำลังพยักหน้าแววตาเป็นประกายราวกับเด็กถูกล่อด้วยขนมแล้วอดยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อเห็นมือขาวยกขึ้นคว้าอากาศก็นึกสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม “ทำอะไรน่ะ”


“ซ้อมไง” นคินทรกล่าวในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่โคลงหัว


“เราชวนฉาย หวาน สิแล้วก็หมอกไปด้วยกันนะ”


“แล้วแต่นายสิ”


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:34:18 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

หากไม่ใช่เพราะคำเชิญของอาจารย์ทวีที่ฝากมากับชลชาติ ฉลามหนุ่มก็ไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสได้หวนคืนสู่สถาบันอันเป็นที่บ่มเพาะให้เขากลายมาเป็นทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมจนถึงทุกวันนี้อีกเมื่อไร นอกจากอาจารย์สินธูแล้ว ก็มีอาจารย์ทวีที่เป็นทั้งครูและโค้ชสอนว่ายน้ำของเขา เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งชายหนุ่มยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายจนกระทั่งเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พายุพัดต้องเดินทางมาที่กรุงเทพฯ


นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองเอกสารที่เว้นช่องให้กรอกซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้อาวุโส ในหัวนึกอยากจะจับปากกาเติมข้อความในใบสมัครเข้าเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬานั่นเสียให้เรียบร้อยจะได้หมดเรื่อง แต่เมื่อนึกถึงผลในระยะยาว ความลังเลใจก็เกิดขึ้น


“ปกติเธอเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ดูลังเลนักล่ะ” อาจารย์ทวีกล่าว


“ผมไม่คิดว่าผมเก่งพอจะสอนใครได้ครับ”


ชายวัยห้าสิบต้น ๆ หัวเราะ “ทีคนที่ผมไม่คิดว่ามันจะไปสอนใครได้มันยังกล้ามาสมัครเลย”


“อาจารย์หมายถึงใครครับ”


คนถูกถามถอนใจเบา ๆ เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงเลื่อนกระดาษให้ใกล้ลูกศิษย์เข้าไปอีก “ยังพอมีเวลา ลองเอากลับไปคิดดูก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่น้อง ๆ ของคุณเถอะ”


พายุพัดมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ด้วยนิสัยเงียบขรึมทำให้ชายหนุ่มไม่คิดซักถามต่อ เขามิได้แตะต้องกระดาษแผ่นนั้นเพียงแต่กล่าวสั้น ๆ “ผมไม่รับปากนะครับอาจารย์”


อาจารย์ทวีพยักหน้าก่อนจะโบกมือไล่ เมื่อเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงกล่าวคำอำลา ทันทีที่เปิดประตูออกมาจากห้องก็พบชลชาตินั่งรออยู่แล้ว พายุพัดรับเป้ที่เพื่อนส่งให้ก่อนจะพากันเดินลงจากอาคารเรียน หวังจะหาที่เงียบ ๆ คุยกัน แต่แล้วคนที่เดินสวนมาก็ทำเสียบรรกาศ


“ไม่คิดเลยว่าจะเจอนักกีฬาใหญ่ที่นี่” ธรรม์ณธรทักทาย


“สบายดีเหรอ” พายุพัดกล่าว


“ก็คงสบายสู้นายไม่ได้หรอกมั้ง เป็นทั้งนักกีฬาชื่อดัง เอ๊ะ...หรือว่าอีกหน่อยอาจจะได้เป็นอาจารย์ด้วย”


“ไปกินข้าวกันเถอะว่ะพาย เราหิวแล้ว” ชลชาติแทรกขึ้น


“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน ยังคุยไม่จบเลย” ธรรม์ณธรหันไปจ้องหน้าคนขัดจังหวะ “แต่ถ้ามาเป็นอาจารย์ที่นี่ก็คงลำบากหน่อยนะ การเมืองมันเปลี่ยนขั้วแล้วนี่ ทำอะไรก็คงลำบาก หรือว่าไงมีน” ริมฝีปากคล้ำที่เกิดจากการสูบบุหรี่จัดยิ้มเยาะ


“ไม่ว่ายังไง เราเป็นแค่อาจารย์ เรามีหน้าที่สอนนักศึกษา เรื่องบริหารก็แล้วแต่ข้างบนจะตัดสินใจ”


“คิดแบบนี้ไม่มีวันโตหรอก เหมือนอาจารย์ทวีนั่นแหละ” พูดจบก็ยกมือขึ้นตบบ่าคู่สนทนาแล้วเดินจากไป


“อย่าไปสนใจมันเลย ไปกันดีกว่า” ชลชาติกล่าว จากนั้นทั้งสองคนก็เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ


พายุพัดมองสำรวจไปรอบ ๆ ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มากเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขายังเป็นนักศึกษา ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังคนข้าง ๆ เห็นท่าทางไม่รีบไม่ร้อนผิดจากเมื่อครู่แล้วอดถามไม่ได้


“ไม่หิวข้าวแล้วเหรอ”


“พูดไปอย่างนั้นแหละ รำคาญไอ้ธรรม์ ไปส่งนายที่สนามบินดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอนใจเฮือกเป็นรอบที่สามนับตั้งแต่เดินออกจากตึกคณะ


“มีอะไรหรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องที่ธรรม์พูดเหรอ”


“อือ มันนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้อาจารย์ทวีสั่งให้เราไปคะยั้นคะยอนาย”


“เกิดอะไรขึ้น”


“คณะมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารน่ะ นายก็น่าจะพอรู้มาบ้างตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นนักศึกษาว่าที่นี่มีสองพวก”


“อือ...คณบดีคนก่อนกับอาจารย์ธนิต”


“ใช่ ตอนนี้อาจารย์ธนิตได้เป็นรองคณบดีไปแล้วละ แล้วไอ้ธรรม์ก็ศิษย์รัก ก่อนหน้านี้อาจารย์ธนิตให้มันมาช่วยงานบ่อย ๆ สมัยเรียนนายก็เห็น มีชื่อเป็นคนสอน แต่วัน ๆ นักศึกษาแทบไม่เคยเห็นอาจารย์อยู่ในคณะเลย มัวไปรับเป็นกรรมการตัดสินข้างนอก ตอนนี้พอตัวเองขึ้นเป็นรองคณบดีก็เลยจะหาตำแหน่งให้ไอ้ธรรม์ อาจารย์ทวีเลยพยายามทาบทามลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงให้มาสมัครเป็นอาจารย์ เผื่อว่าผู้ใหญ่จะเปลี่ยนใจบ้าง”


“อย่างนี้เองอาจารย์ทวีถึงได้ดูเครียดนัก”


“เออ ก็น่าเห็นใจแก พยายามจะเป็นคนกลาง ไม่ยุ่งกับใคร สุดท้ายดันถูกแต่ละฝ่ายหาว่าอยู่ข้างอีกฝ่ายหนึ่ง แกเลยต้องปลีกวิเวกมาอยู่ตึกนี้ไง แต่พอมีข่าวว่าไอ้ธรรม์จะได้มาเป็นอาจารย์ก็เลยต้องออกมาเคลื่อนไหวบ้าง”


“แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง ยังไหวอยู่ไหม”


“ถามแบบนี้คงไม่ได้คิดจะเอาเราเข้าไปเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจหรอกนะ” ชลชาติหัวเราะ


“แต่ถ้าการมาของเรามาจะช่วยทำให้อะไรดีขึ้น...”


“ไม่มีอะไรดีขึ้นหรือแย่ลงหรอกพาย ถ้าทุกคนรู้ว่าตัวเองมีหน้าอะไรแล้วทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เราเคยบอกอาจารย์ทวีแล้ว ไม่ว่าไอ้ธรรม์มันจะเป็นคนแบบไหน มีประวัติยังไง แต่เมื่อมันต้องเข้ามารับหน้าที่สอน มันก็ต้องทำให้ดี ถ้ามันทำไม่ดี สุดท้ายนักศึกษานั่นแหละจะเป็นคนสะท้อนกลับการกระทำของมันเอง นายกลับไปว่ายน้ำเหมือนเดิมดีกว่า เป็นครูมันจะโตได้สักแค่ไหนกันเชียวถ้าไม่เข้าสู่เส้นทางบริหาร ปกติก็ทำหน้าที่ส่งลูกศิษย์ให้ถึงฝั่ง คอยมองดูเขาเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศเหมือนที่อาจารย์ทวีทำ”


“แล้วนายล่ะ ไม่คิดจะเป็นผู้บริหารบ้างเหรอ”


“เราอยากโตในใจลูกศิษย์มากกว่า อยู่ให้เขานึกถึง เราว่ามันเป็นการเติบโตในอาชีพที่ยั่งยืนดี”


พายุพัดยิ้ม


“ยิ้มอะไรวะ”


“นายกำลังทำให้เรานึกใครคนหนึ่งน่ะ”


“ยิ้มแบบนี้ไม่แค่นึกถึงแล้วมั้ง น่าจะเป็นคิดถึงมากกว่า” ว่าแล้วก็โอบไหล่เพื่อนก่อนจะกระซิบ “ใครวะ”


“รีบไปเถอะ เดี๋ยวเราไม่ทันเครื่องบิน”


“ไอ้พาย...ได้ข่าวว่ากลับไฟลท์สุดท้าย แล้วนี่ยังไม่ได้ด่าเลย มาทำไมวะมานอนแค่คืนเดียว ที่บ้านมีอะไรถึงต้องรีบกลับ เมื่อก่อนบอกให้กลับละทำอิดออด”


“เออน่า” พายุพัดตัดบทก่อนจะขยับออกห่าง


ชลชาติส่ายหัวยิ้ม ๆ เดินตามอีกฝ่ายไปยังรถที่จอดอยู่ เมื่อสองคนขึ้นนั่งประจำที่ เจ้าของรถก็ติดเครื่อง ฟังจากเสียงของเครื่องยนต์ก็ให้รู้สึกว่าการเดินทางไปสนามบินคงจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว ชลชาติเปิดประตูลงจากรถ ยกฝากระโปรงขึ้นเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติ สุดท้ายเขาก็พบว่าปัญหาอยู่ที่แบตเตอรี


“สงสัยแบตจะหมดว่ะ ไม่มีสายพ่วงด้วย” กล่าวกับคนที่เปิดกระจกโผล่หน้าออกมา


“แล้วจะทำยังไง”


“อืม...เดี๋ยวลองโทรหาพี่ที่คณะ แกน่าจะมีสายพ่วงแบต แต่ไม่รู้ว่ายังอยู่ในม.หรือเปล่า”


“ถ้าอย่างนั้นเราไปสนามบินเองก็ได้นะ”


“เดี๋ยวลองโทรก่อนนะ อยากไปส่งนายว่ะ”


พายุพัดพยักหน้า มองนาฬิกาเห็นว่ายังมีเวลาอีกนานจึงเปิดประตูลงจากรถ รอกระทั่งชลชาติโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย


“พี่เขาพานักศึกษาไปภาคสนามว่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร เรานั่งแท็กซีไปก็ได้ นายจัดการเรื่องรถเถอะ”


“แต่ว่า...” ชลชาติยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงแตรรถก็ดังขึ้นขัดจังหวะ


เมื่อสองคนเหลียวกลับไปมองก็พบรถเต่าสีชมพูหวานแหววกำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบ เจ้าของรถลดกระจกลงแล้วถาม


“โซ่หลวมเหรอ”


พายุพัดกลอกตาพลางถอนหายใจก่อนจะหันไปหาคนข้าง ๆ   


“ใครวะ รู้จักเหรอ”


“เพื่อนโรงเรียนเก่าน่ะ”


ชลชาติพยักหน้าแล้วเบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูลงมายืน พิจารณาการแต่งตัวแล้วคิดว่าต้องเป็นคนทางสายศิลปะแน่ ๆ


“ถามไม่ตอบ”


“จะให้ตอบว่ายังไง ไม่ใช่จักรยาน” พายุพัดถอนใจอีกเฮือก


“แบตหมดน่ะ” เจ้าของรถบอก “นายมีสายพ่วงแบตหรือเปล่า”


“เดี๋ยวก่อน ๆ ก่อนจะขอความช่วยเหลือ ไม่คิดจะแนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยเหรอ”


“นี่มีน เพื่อนเราเอง มีน...นี่แสน” หนุ่มนักกีฬากล่าวอย่างเสียไม่ได้ “แล้วนายมาอยู่นี่ได้ไง”


“ก็เราเรียนที่นี่”


“ตกลงมีไหม สายพ่วงแบตน่ะ” ชลชาติแทรกขึ้น ชักเริ่มรำคาญในความยืดเยื้อนี้


“ไปซื้อก่อน” แสนยากล่าวพลางเตรียมจะหมุนตัวกลับ แต่ถูกมือของพายุพัดรั้งคอเสื้อเอาไว้


“ไอ้แสน อย่ากวนตีน ไม่มีก็บอกไม่มี”


“ปล่อย ๆ หายใจไม่ออก” คนถูกดึงพยายามสะบัดออกจนอีกฝ่ายยอมคลายมือ หันกลับมาได้ก็รีบจัดคอเสื้อแล้วกล่าว “สายพ่วงน่ะไม่มีหรอก”


“เออ ตอบแค่นี้ตั้งแต่แรกก็จบ” ชลชาติว่า “เดี๋ยวเราจอดไว้อย่างนี้แหละ ไปส่งนายก่อน”


“เดี๋ยววว” หนุ่มศิลปินกระโดดขวางหน้าพร้อมกับกางแขนออก “ไม่มีสายพ่วงแต่ไปส่งได้นะ จะไปไหนกัน”


“สนามบิน” พายุพัดตอบห้วน ๆ


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเลย เดี๋ยวเราไปส่ง”


“ว่างมากหรือไง”


“โธ่...เราอุตส่าห์มีน้ำใจนะ เห็นว่าเป็นคนกันเอง” แสนยาตัดพ้อ


“สนองมันหน่อยไหม” ชลชาติกระซิบ


“เออ ก็ได้” พายุพัดพูดตัดรำคาญ


“ถ้าอย่างนั้นขึ้นรถเลย รับรองว่าจะส่งให้ถึงสุวรรณภูมิ”


“ดอนเมืองก็พอ ไอ้พายมันขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง” ชลชาติบอกก่อนจะเดินตามพายุพัดไปที่รถ แต่แทนที่อีกฝ่ายจะให้เขานั่งข้างหลังกลับชิงเข้าไปนั่งเสียเอง
   

“อยากสนองก็นั่งข้างหน้าไปเลยนะ” หนุ่มนักกีฬาหันมากล่าวก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งยังเบาะหลัง


ชลชาติถอนใจเบา ๆ จากนั้นจึงนั่งลงคู่กับคนขับ


“อะนี่ ฝากกอดน้องแสนดีด้วย”


จู่ ๆ ตุ๊กตาหมีตัวโตก็ถูกวางแหมะลงกับตัก
   

“อะไรวะเนี่ย”


“ก็น้องแสนดีไง นายมาแย่งที่น้องแสนดีก็ต้องดูแลด้วย”


ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากด้านหลังชลชาติก็ปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมาทันที สองแขนโอบกอดตุ๊กตาตัวโตเอาไว้ เตรียมจะเอียงหัวพิงหน้าต่างหลับเสียให้รู้แล้วรู้รอดก็ถูกมือของอีกคนจับเข้าที่บ่าแล้วรั้งให้นั่งตัวตรง


“นั่งตรงนี้ห้ามหลับ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะหลับตาม”


“เออ!” ชลชาติคำรามเสียงดังแล้วเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะกล่าว “กวนตีน”


“ไปละนะ เกาะกันแน่น ๆ ล่ะ รถมันแรง” พูดจบแสนยาก็ออกรถ


เจ้าเต่าน้อยสีชมพูเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปบนถนนที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น เล่นเอาคนนั่งข้างหลังคอพับคออ่อน หลับไปตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยได้สักพัก เหลือก็แต่ชลชาติที่พยายามถ่างตาต่อสู้กับอาการง่วงเหงาหาวนอน แถมยังต้องคอยตอบคำถามของคนข้าง ๆ ที่ไม่มีท่าว่าจะหยุดปากสักที ตั้งแต่เรื่องสภาพการจราจร กีฬาว่ายน้ำ ยันเรื่องรถที่แบตหมดจนถึง...


“มีแฟนหรือยัง”


อาจารย์หนุ่มเหลียวมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ


“เกี่ยวอะไรกับเรื่องรถเสีย”


“เอ๊า! ถ้ายังไม่มีเราจะได้ขับกลับไปส่งที่มหาวิทยาลัย แล้วก็จะได้ช่วยคิดว่าจะทำยังไงต่อดี แต่ถ้ามีแฟนแล้วนายก็ให้แฟนขับมารับที่สนามบินก็แล้วกัน”


“ถึงไม่มีเราก็กลับเองได้ ไม่รบกวนให้นายไปส่งหรอก” ว่าพลางมือเผลอบีบคอเจ้าตุ๊กตาหมีบนตัก กระนั้นยังพยายามอดทนกับมนุษย์เจ้าปัญหา เพราะอีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว


“แสดงว่าไม่มี ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปส่ง” พูดจบแสนยาก็เปิดไฟขอทางเบี่ยงรถออกแล้วมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ


หลังจากหาที่จอดได้แล้ว ทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” พายุพัดกล่าวพลางกระชับสายเป้สะพายหลัง


“ไม่เป็นไร ไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก” แสนยาบอก


“ตอบว่าไม่เป็นไรเฉย ๆ ก็ดูเป็นคนมีมารยาทอยู่แล้วนะเราว่า” ชลชาติเอ่ยขึ้น ไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้อย่างไรก็หันไปหาเพื่อนรัก “เดินทางปลอดภัยนะ”


“ไว้แวะไปเที่ยวบ้างล่ะ”


“แน่นอนอยู่แล้ว” อาจารย์หนุ่มยิ้มมีเลศนัย


“ไม่กอดลากันหน่อยเหรอ จะได้ถ่ายเก็บไว้เป็นภาพประทับใจ” แสนยาเสนอ


“ดูละครเยอะไปหรือไง”


เห็นสองคนตั้งท่าจะเถียงกันอีก คนรักสงบจึงเอ่ยขึ้น “พวกนายรีบไปเถอะ เดี๋ยวรถติด ต้องเอารถไปซ่อมอีกไม่ใช่เหรอ”


“เออ จริงด้วย ไป ๆ กลับกันได้แล้ว” ว่าแล้วแสนยาก็รุนหลังคนข้าง ๆ


“เฮ้ยอะไรวะ เราไม่รีบ นายกลับไปก่อนเลย” ชลชาติรีบบอก


“กลับเถอะ” พายุพัดกล่าวพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนแล้วกระซิบ “จะได้เอามันกลับไปด้วย”


“อ้าวไอ้พาย”


“ไป ๆ ส่งกันพอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว มัวพูดมากเดี๋ยวพายพานไม่อยากกลับ”


“ใครกันแน่วะที่พูดมาก” ชลชาติกล่าวอย่างรำคาญ แล้วหันไปโบกมือลาเพื่อนสนิท “ไปก่อนนะ”


พายุพัดมองสองคนที่คนหนึ่งพยายามหนี ส่วนอีกคนก็ไม่ละความพยายามที่จะตามขึ้นไปเดินข้างกัน ชายหนุ่มพรูลมหายใจพร้อมกับโคลงหัวน้อย ๆ ในที่สุดความสงบก็กลับคืนสู่ชีวิตของตนเองสักที 




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:38:55 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ สนุกเช่นเคย

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
อืม คู่นี้ก็ดูเคมีเข้ากันดีนะ 555555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พอมีคู่แข่งพายก็ชักจะทนไม่ได้
อยากรู้ว่าม่อนคิดยังไง เป็นคนที่นิ่งได้ใจมาก
ส่วนคู่หลังนี่ น่าลุ้นมาก สรุปแสนยานี่หว่านไปทั่วหรือไง

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :pig4:
พายยยยยยย~

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ยังไงอะ....

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
:เหมือนจะมีอีกคู่นึงเลยยย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กรี๊ดดดดดด ไม่ได้เข้าเล้ามานานมากกกกกกก เพราะยุ่งมากกกกกก

กลับมาเจอนิยายคุณ ถธปทฟ ดีใจมากค่ะ

ไล่อ่านมา10ตอนรวด
ติดตามน้องพาย น้องม่อน ต่อไปแน่นอน

ฉลามพายกับครูม่อนเนาะ ชอบความนิ่งนอกนุ่มในของพระเอกเรา 5555

ปล. เรากำลังจะไปน่าน อินมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ฮื้อออออ ตัวป่วนเพียบเลย ไม่อยากให้พายต้องเข้าไปในวังวนการเมืองในคณะเลย
เป็นฉลามหินของม่อนดีกว่า

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
555 แสนยาตัวป่วนกับทุกคน  แถมยังน่ารักกับทุกคนด้วยค่ะ 
มีตุ๊กตาหมีด้วย  ตกลงแสนยาชอบใครกันแน่?555

ทุกสังคมก็จะมีคนที่แตกต่างกันไป  มีการแข่งขันกัน  ขอเป็นกำลังใจให้ทุกตัวละครเลยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ  ตอนล่าสุดตัวป่วนทั้งแสนยาและพิทักษ์ทำให้ได้ยิ้มได้หัวเราะตลอดเลยค่ะ :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 11 บังเอิญ-ตั้งใจ


น่าน, กันยายน 2560


เมื่อถึงกำหนดเวลาที่เจ้าซ่าหริ่มต้องทำหมัน นคินทรก็ขับรถออกจากบ้านพักครูในอำเภอสันติสุขเพื่อเข้าเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ จอดรถที่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ขนาด 2 คูหาซึ่งตั้งอยู่หลังตลาด ผลักประตูเข้าไปก็พบสิชลนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เธอกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเช่นทุกครั้ง เห็นว่ามีผู้คนพาสัตว์เลี้ยงมารอรับการรักษามากพอสมควรนคินทรจึงเปิดกรงอุ้มแม่แมวสามสีออกวางบนเครื่องชั่งน้ำหนักแบบที่อวัศย์เคยทำให้ดู ทันทีที่เจ้าซ่าหริ่มหันไปเห็นไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตมันก็ทำพองขนขู่ฟู่ ๆ ฝั่งเจ้าตาสีฟ้าก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความสงสัย กระโดดซ้ายทีขวาทีราวกับคิดว่านั่นคือวิธีการทักทายเพื่อนใหม่ของเจ้าแมว


“ซ่าหริ่ม ไม่เอาน่า” นคินทรปรามพร้อมกับดึงตัวเจ้าขนฟูขึ้นมากอดหลังจากผู้ช่วยสัตวแพทย์บันทึกตัวเลขลงกระดาษเรียบร้อย กระนั้นซ่าหริ่มยังส่งเสียงหง่าว ๆ คล้ายจะบ่นเจ้านายที่จู่ ๆ ก็พามันกลับมายังสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งอากาศหนาวเย็นแถมยังต้องเจอกับเจ้าหมาขี้สงสัยนี่อีก


“บ่นใหญ่เลยซ่าหริ่ม” สิชลว่าพลางเกาคางแม่แมวที่ดูไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย มันขืนตัวซ้ำยังทำตาโตจ้องเขม็งไปยังเจ้าหมาตัวใหญ่ที่ไม่เลิกทำท่าทางตลกสักที “เหมือนมันรู้เนอะว่าม่อนจะพามาเจ็บตัว”


“ไม่ต้องบ่นเลยซ่าหริ่ม ม่อนสิต้องบ่น หายออกจากบ้านไป 2-3 วัน กลับอีกทีเอาลูกใครก็ไม่รู้ใส่ท้องมาด้วย หมอกเตือนแล้วเชียว แต่เราดันชะล่าใจ เห็นยังเด็ก ๆ ไม่คิดว่าจะท้องได้ นี่พอเจ้าตะโก้เลิกกินนมก็อุตส่าห์ให้เวลาทำใจตั้งนานแล้วนะ ยังจะบ่นอะไรอีก หืม...ซ่าหริ่ม”


“เจ้าของบ่นเยอะกว่าแมวอีก ไปตรวจเลือดรอขึ้นเขียงกันดีกว่าเนอะซ่าหริ่มเนอะ หนีไปเที่ยวไหนพ่อจะได้ไม่บ่นอีก” พูดจบเธอก็หลีกทางให้ผู้ช่วยสัตวแพทย์อุ้มแมวเข้าไปข้างใน “ม่อนไปทำธุระก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวสิส่งข่าว”


นคินทรยังไม่ทันได้พูดอะไร อวัศย์ก็เดินออกมา “วันนี้คิวเยอะหน่อยนะม่อน ถ้าไม่มีธุระที่ไหนก็ไปเล่นกับฟีฟ่าก่อนก็ได้” พูดจบเขาก็หันไปทักทายไซบีเรียนฮัสกี้ ฝั่งเจ้าหมาก็เห่าตอบราวกับคุ้นเคยกันดี “ไปฉีดวัคซีนกันนะข้าวซอย”


แม้จะดูคุ้นเคยกัน แต่การพาเจ้าตัวโตแสนรู้เข้าไปในห้องตรวจเพื่อฉีดวัคซีนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเจ้าข้าวซอยคิดว่านายสัตวแพทย์หนุ่มกำลังเล่นกับมัน มันก็กระโดดไปมาจนคนที่มาซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไม่อาจควบคุมได้


“มันเคยถูกสัตว์มีพิษต่อยจนขาบวมไปหมด หมอกก็เลยให้มาอยู่ดูอาการที่นี่น่ะ อยู่ด้วยกันหลายสัปดาห์ก็เลยสนิทกัน” สิชลยิ้มไปพูดไป มองสามีที่กำลังรั้งสายจูงเพื่อพาเจ้าหมาตัวใหญ่เข้าไปในห้องตรวจ


“ดีใจได้เจอเพื่อนว่างั้น” นคินทรกล่าวเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป


“เดี๋ยวเถอะไอ้ม่อน เดี๋ยวเราจะเอาลูกยัดใส่ท้องซ่าหริ่มไปอีกแปดตัว”


“แค่ลูกโทนก็ปวดหัวจะแย่แล้ว” นคินทรหัวเราะ


“อ้าวพาย” สิชลเอ่ยขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา “วันนี้มาทำอะไรจ๊ะ”


เจ้าของชื่อยกมือทักทายอวัศย์ก่อนจะเบนสายตาไปยังอีกคน มุมปากหยักเข้าเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางเบาที่สุดแต่ก็ยังพอสังเกตได้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยวนาที ในที่สุดจึงตอบคำถาม 


“มาซื้ออาหารแมวน่ะ”


หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “หมดแล้วเหรอ เมื่อวัน-สองวันก็เพิ่งมาซื้อไปเองนี่นา”


“เรา...บังเอิญผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะซื้อตุนเอาไว้เฉย ๆ น่ะ”


“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ”


“อ...เอายากำจัดเห็บหมัดด้วยนะสิ” พายุพัดกำชับ


“จ้ะ เดี๋ยวสิหยิบให้” พูดจบสิชลก็เดินไปหยิบอาหารแมวจากชั้นวางแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงหันไปเอื้อมหยิบน้ำยากำจัดเห็บหมัด


“นายมาทำอะไรที่นี่” พายุพัดกล่าว


“พาซ่าหริ่มมาทำหมันน่ะ”


“เดี๋ยวไปไหนต่อ” ยกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกเมื่อรู้สึกว่าตนเองถามคำถามเหล่านี้ได้คล่องเหลือเกิน


“ว่าจะไปนั่งเล่นบ้านฉายน่ะ นายล่ะ”


“เราก็ว่าจะไปที่นั่นอยู่พอดี”


นคินทรพยักหน้าแล้วหันกล่าวกับสิชล “เราไปก่อนนะสิ ฝากด้วยนะ”


“ไม่ต้องห่วงจ้ะม่อน” หญิงสาวกล่าว มองชายหนุ่มที่กำลังผลักประตูออกไปจากนั้นจึงเลื่อนสายตามายังเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะใส่ของทั้งหมดลงในถุงหูหิ้ว


“บังเอิญจังเลยน้า...มาเจอกันที่คลินิกทีไรก็บังเอิญจะไปบ้านฉายเหมือนกันทุกที” สิชลว่าพลางก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลข


....


ซีดานสีเทาดำจอดอยู่ริมรั้วไม้สน ถัดขึ้นไปคือซูบารุ ฟอเรสเตอร์สีดำที่เพิ่งเคลื่อนเข้ามาหยุด ครู่หนึ่งเจ้าของก็เปิดประตูลงมาก่อนจะเดินเข้าไปภายในอาณาบริเวณร่มรื่นแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า มือใหญ่ผลักประตูไม้ติดกระจกแต่งด้วยเหล็กดัดเป็นลวดลายเครือเถาเข้าไปก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตาคู่สวยล้อมด้วยแพขนตายาวกำลังจับจ้องมาที่ตน


“วันนี้บังเอิญอีกแล้วสินะ” พูดจบน้ำหวานก็มองไปยังอีกคนที่กำลังนั่งปั้นแป้งอยู่กับลูกชายของเธอ


“อือ บังเอิญเจอกันที่คลินิกหมอกน่ะ” นคินทรตอบ


“แล้วก็บังเอิญว่าจะมาที่นี่อยู่เหมือนกัน” หญิงสาวกล่าว แต่กลับหันมาเอาคำตอบจากคนที่เพิ่งมาถึง


พายุพัดทำเพียงพยักหน้า เดินมาหยุดหน้าเคาน์เตอร์แล้วนั่งลง


“บังเอิญเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อ บังเอิญเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า บังเอิญเจอกันที่สนามบิน บังเอิญเจอกันที่ตลาด” พูดพลางก้มหน้าก้มตาเช็ดแก้วทรงสูงแล้วคว่ำลงบนถาดไปพลาง “แถมยังบังเอิญกำลังจะมาที่นี่เหมือนกัน แหม...บังเอิญจังเลยเนอะ” ว่าแล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานให้หนุ่มนักกีฬา


“บ่นอะไรน่ะแม่” ภาณุที่เดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านรับออกแบบป้ายเอ่ยขึ้น เห็นว่ามีอีกคนจึงกล่าวต่อ “อ้าวไอ้พาย บังเอิญมาเจอไอ้ม่อนอีกแล้วสิท่า”


พายุพัดไม่ได้ตอบคำถามแต่หันไปสั่งเครื่องดื่ม “โกโก้ปั่น”


“สองแก้ว...บังเอิญชอบกินเหมือนม่อนเลย ดีจังจะได้ทำทีเดียว รอเดี๋ยวนะ รับรองว่าหวานจะชงให้เข้ม ๆ เลยจ้ะ” น้ำหวานบอกก่อนจะกลับหลังหันไปทำเมนูสุดโปรดของเพื่อนทั้งสอง


“วันนี้ไปเจอกันที่ไหนวะ นายถึงบังเอิญมาที่นี่ได้ เราบอกให้มานั่งเล่นเวลาเบื่อ ๆ ไม่รู้จะไปไหนก็ไม่ยอมมา มาทีไรต้องบังเอิญมาพร้อมไอ้ม่อนทุกที มาเดี่ยว ๆ บ้างไม่ได้หรือไง” ภาณุกล่าว


“คลินิก” คนพูดน้อยตอบ


“พ่อใครพูดมาก ฟีฟ่ายกมือขึ้น!” สิ้นเสียงนคินทร เจ้าตัวเล็กก็คลายมือจากแป้งโดสีฉูดฉาดแล้วชูขึ้นสุดแขน


“อ้าวไอ้นี่ สอนหลานแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น”


เมื่อเสียงเครื่องปั่นอาหารดังกลบทุกสิ่ง การสนทนาจึงจำต้องหยุดลง ครู่หนึ่งโกโก้ปั่นสองแก้วก็ถูกยกมาวางที่หน้าเคาน์เตอร์ “นี่จ้ะพาย ได้แล้วนะจ๊ะม่อน”


ภาณุเห็นดังนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนให้นคินทรได้มาลิ้มลองเครื่องดื่มโปรด เขาแบมือรับแป้งโดที่อีกฝ่ายวางแหมะ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับลูกชาย มองก้อนบุบบี้อย่างพิจารณา “นี่มันตัวอะไรวะ”


“แมวไง ดูไม่ออกเหรอ”


“แอบสแตรคโคตร ๆ” คนพูดถึงกับส่ายหัว “โรแดง* ยังต้องกราบขอชีวิต”


“แสดงว่าเจ๋งใช่ปะ นี่ปั้นสุดฝีมือแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดขณะเดินอ้อมไปล้างไม้ล้างมือด้านหลังเคาน์เตอร์ แล้วกลับมานั่งลงข้าง ๆ พายุพัด


“ถ้าไม่โดนรถทับก็ต้องพิการแต่กำเนิด”


“โธ่...อุตส่าห์ดีใจ” ว่าแล้วก็ยกแก้วโกโก้ขึ้นดูด ไม่รู้ตัวเลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองทุกอากัปกิริยาของตน


“ที่โรงเรียนเขาไม่ได้ให้นายสอนศิลปะใช่ไหม”


“อยากสอนอยู่เหมือนกัน แต่เขามีครูศิลปะครบแล้ว”


“เออ สอนวิทยาศาสตร์หรือภาษาไทยไปนั่นแหละดีแล้ว เนอะลูกเนอะ” ว่าแล้วก็หันไปสัพยอกลูกชาย ส่วนเจ้าตัวเล็กก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามผู้เป็นพ่อ


“ไม่กินเหรอพาย เดี๋ยวละลายหมดนะ” น้ำหวานบอก


“ก...กินสิ” พายุพัดกล่าวก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับหลอดคนเกล็ดน้ำแข็งในแก้วแล้วดูด


“ไม่เป็นรอยแล้วนี่ นึกว่าจะเป็นแผลเป็นเสียอีก” นคินทรเอ่ยขึ้นขณะมองข้อมือของอีกฝ่ายที่กลับมาสวมกำไลได้เช่นเดิม “ตอนที่เจอกันบนเครื่องยังเห็นเป็นรอยอยู่เลย” ว่าพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนก่อนที่อีกฝ่ายช่วยยกกระเป๋าลงจากที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะให้


“หายแล้วละ”


“แล้วไปให้หมอฉีดยาบาดทะยักหรือเปล่า”


คนถูกถามพยักหน้ากับแก้วโกโก้ปั่น


“ทำไมไม่สบตาเวลาคุยล่ะพาย” จู่ ๆ น้ำหวานก็เอ่ยขึ้น “หรือว่าเขินม่อน”


“มาเขินอะไรเรา” นคินทรเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ พร้อมกับใช้สองมือประคองแก้วแล้วก้มลงดูดโกโก้ต่อ เงยหน้าขึ้นชำเลือง เห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอ้ำอึ้งจึงยิ้มกริ่ม เช็ดไม้เช็ดมือกับกางเกงแล้วอาศัยจังหวะเผลอประกบมือเย็นเฉียบลงบนสองแก้มบิดหน้าของพายุพัดให้หันมาสบตากัน “ไหน มา”


เป็นครั้งแรกที่ดวงตาสองคู่ประสานกันตรง ๆ พายุพัดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในขณะนี้ “เล่นอะไรเนี่ย” หนุ่มนักกีฬาบ่นพร้อมกับรีบคว้าข้อมือขาวแล้วดึงออก


“แก้เขินไง เราใช้วิธีนี้กับนักเรียนบ่อย ๆ พวกที่พูดน้อย ถามคำตอบคำอย่างนายนี่แหละ เดี๋ยวก็เลิกเขินไปเอง”


“สองคนนี้นี่ตลกจัง เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ” น้ำหวานส่ายหัว


เพราะความบังเอิญไม่รุ้จะไปไหน ทำให้ทั้งนคินทรและพายุพัดขลุกอยู่ที่บ้านของภาณุตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้อยู่เปล่า ๆ ยังช่วยแบ่งเบาสองสามีภรรยาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายจอมซนของทั้งคู่อีกด้วย กว่าเจ้าตัวเล็กจะหมดฤทธิ์ยอมกินนมนอนกลางวันก็เล่นเอาพายุพัดที่แปลงร่างจากฉลามมาเป็นม้าต้องวิ่งไปรอบบ้านอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็หมดแรงข้าวต้มสลบเหมือดไปทั้งอาทั้งหลาน


“หลับคาขวดนมเลยลูก สงสัยจะหมดแรง” หญิงสาวกล่าวพลางทอดตามองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน ค่อย ๆ ดึงขวดนมออกจากปากแล้ววางลูกลงบนที่นอน 


“พอกันเลย” นคินทรบอก หันมองชายหนุ่มที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล


“เราขอบใจม่อนกับพายมากนะ มาทีไรก็มาช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กทุกที”


“ไม่เป็นไร” นคินทรว่ายิ้ม ๆ ...


พายุพัดสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงครืด ๆ ดังอยู่ใกล้ ๆ เมื่อแรกลืมตาเห็นพัดลมทรงโบราณซึ่งติดอยู่บนเพดานกำลังหมุนเอื่อย ๆ ตาคมเลื่อนลงจนกระทั่งพบต้นตอ นั่นก็คือโทรศัพท์ในมือของอีกคนที่วางพาดลงมาบนหน้าอกของตน มองไล่ลงไปคือใบหน้าของคนที่กำลังหลับโดยการนั่งพับเพียบหันเข้าหาโซฟาแล้วเอียงหัวลงหนุนแขนตัวเอง เห็นแล้วให้รู้สึกเมื่อยแทน


นคินทรปรือตาขึ้น เลื่อนมือที่กำโทรศัพท์เข้าใกล้ตัว เห็นว่าเป็นชื่อสิชลจึงรีบกดรับ คุยกันอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางสาย ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ มองคนที่ยังคงนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับเรียกเบา ๆ


“พาย”


เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจึงตัดสินใจยื่นมือโบกไปมาเหนือใบหน้าของอีกฝ่าย 


“ท่าทางจะ หลับ ยา...ว” เตรียมจะชักมือกลับ เจ้าของร่างสูงก็พลิกตัวนอนตะแคงซ้ำยังรวบมือของเขาไปแนบไว้กับแก้มเสียอีก


นคินทรเรียกซ้ำอีกครั้ง เมื่อไม่เป็นผลจึงดึงมือออกอย่างแผ่วเบาที่สุดด้วยกลัวว่าคนที่กำลังนอนหลับสบายจะตกใจตื่น ทันทีที่มือหลุดจากสัมผัสอุ่น ๆ ก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก มัวแต่สนใจรูปเจ้าเหมียวที่เพิ่งทำหมันเสร็จซึ่งปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์จนไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่ที่ใบหน้าของอีกคน


ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ปลายนิ้วยังคงลากผ่านหน้าจอสัมผัสเพื่อเปลี่ยนภาพไปเรื่อย ๆ กำลังจะหมุนตัวหันหลังให้ก็ต้องหยุดเพราะคำถามหนึ่งรั้งไว้


“จะไปแล้วเหรอ”


“อือ” นคินทรตอบรับในลำคอก่อนจะกล่าวต่อเบา ๆ เพราะเกรงว่าจะรบกวนเจ้าตัวเล็ก “สิโทรมาบอกว่าซ่าหริ่มฟื้นตัวแล้วน่ะ” มองคนที่กำลังยันกายลุกขึ้นยืน


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับด้วย”


สองคนร่ำลาน้ำหวานที่ขณะนี้อยู่เฝ้าร้านโดยลำพัง เนื่องจากภาณุต้องออกไปติดตั้งป้ายนอกสถานที่ เมื่อเสริฟน้ำให้ลูกค้าชุดสุดท้ายเรียบร้อยจึงได้มีเวลากลับมาดูลูกชาย ไม่ได้เดินออกไปส่งเพื่อนที่หน้าบ้าน


พายุพัดมองตามแผ่นหลังของคนข้างหน้าขณะเดินผ่านรั้วไม้เตี้ย ๆ เมื่อถึงรถก็เอื้อมมือจับที่เปิดประตู ในที่สุดจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น “แม่บ่นคิดถึงน่ะ”


นคินทรหยุดแล้วหันมามองอย่างแปลกใจ


“ก็...คราวก่อนนายบอกแม่ว่าจะต้องมากินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่ให้ได้”


“ถ้าอย่างนั้นฝากบอกแม่ว่าคราวหน้าถ้าเราเข้ามาในเมือง เราจะแวะไปให้แม่ทำให้กินแน่ ๆ”


พายุพัดพยักหน้าแล้วชวนคุยต่อ “เจ้าสามตัวนั่นตอนนี้ก็ตัวใหญ่ขึ้นตั้งเยอะ”


“แล้วแยกออกหรือเปล่าว่าตัวไหนเป็นตัวไหน”


เจ้าของร่างสูงส่ายหัวก่อนจะอธิบาย “ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้หรอก เหมือนกันทุกตัว พี่ฝนต้องใส่ปลอกคอให้ตัวละสี จะได้เรียกถูก”


“แล้วแม่ตั้งชื่อมันว่าอะไรบ้าง”


“ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง”


คนฟังอมยิ้ม “ฟังแล้วหิวเลย”


“ถ...ถ้าอย่างนั้น” พายุพัดเลื่อนมือขึ้นลูบต้นคอ “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านเราก่อนไหม”


“อืม...ไว้วันหลังดีกว่า ไม่รู้ป่านนี้ซ่าหริ่มเป็นยังไงบ้างน่ะ เราไปก่อนนะ” พูดจบนคินทรก็เดินไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วขับออกไป


โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้พายุพัดไม่มีโอกาสได้กล่าวคำอำลา เมื่อเขาดึงอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อคววามหนึ่งถูกส่งมาจากคนที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “องครักษ์พิทักษ์ม่อน” ชายหนุ่มส่ายหัว ยิ้มให้กับเรื่องบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้...
   

...และวันก่อน ๆ...


เมื่อความ “ความบังเอิญ” ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปร่าง...


.


.


“บังเอิญผ่านมาก็เลยแวะเอาน้ำพริกปลาทูมาให้น่ะ”


.


.


“บังเอิญคิดถึงเจ้าซ่าหริ่มกับเจ้าตะโก้...ก็เลย...แวะมาหา”


.


.


“บังเอิญอยากกินน้ำพริกปลาทูฝีมือแม่น่ะ”


รู้ตัวอีกที...ความคุ้นเคยก็พาให้ต่างคนต่างไปนอนเอกเขนกอยู่ที่บ้านของกันและกันเสียแล้ว   


....
 

*โรแดง เป็นประติมากรที่ปั้น The Thinker


จบครึ่งแรก


สวัสดีค่ะ มาอัพแล้ว ชื่อตอนว่า บังเอิญ-ตั้งใจ
ในครึ่งแรกนี้เอาส่วนที่เป็นความบังเอิญไปอ่านกันก่อนเนอะ
แล้วว่าง ๆ จะรีบมาต่ออีกครึ่งที่เหลือด้วยความตั้งใจค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 23:07:55 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
บังเอิ้้น​​  บังเอิญ​  เจอม่อนตลอดเลยนะพาย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คนอื่นๆเลยได้รู้จักบังเอิญดีเลย ยกเว้นก็แต่คุณครูม่อนนี้แหละ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อยากจะแหมยาว ๆ ไม่เนียนเลยพาย คนเขารู้กันทั่ว
ส่วนม่อนนั้น เก็บอาการดีกว่า แต่น่าจะใจตรงกันแหละ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ความบังเอิญหรือตั้งใจนาาาา
ยากจังเลยแบบนี้
บังเอิญะเมอเอามือม่อนมาแนบแก้มด้วยป่าววว  :hao5: :hao5:
คนอ่านเขินจนหงิกงอไปหมดแร้วค่าา
ทำใจไม่ไหวแล้ว  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เหมือนม่อนเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนะ ทุกครั้งที่เจอกันก็ธรรมดา
พายเองกระวนกระวาย ตื่นเต้น ทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน
อยากรู้ความรู้สึกของม่อนแล้วสิ ว่าเป็นยังไงน้าาา หรือว่าเก็บไว้เก่ง
  :hao4: :hao4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด