สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมกระซิบรัก ตอนพิเศษ 3 ขอบคุณนะ (23-08-2562 หน้า 14)  (อ่าน 78869 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 16 กำลังใจ


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์จอดนิ่งอยู่ใต้ต้นหางนกยูงตั้งแต่เมื่อช่วงสายกระทั่งตกบ่ายก็ยังไม่ไปไหน แม้ว่าเด็ก ๆ ที่มาเรียนว่ายน้ำจะแยกย้ายกันกลับบ้านจนหมดแล้วก็ตาม กว่าสองเดือนที่พายุพัดมักใช้เวลาหลังจากนี้ฝึกว่ายน้ำให้เด็กชายสุชาติตามที่อีกฝ่ายขอร้อง นั่นเป็นเพราะมันทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งเคยได้รับโอกาสที่อาจารย์สินธูหยิบยื่นให้ ในเวลานี้เขาจึงอยากให้ผู้อื่นได้มีโอกาสที่ดีเช่นเดียวกับตนเองบ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ประสบการที่มีเริ่มสอนจากเรื่องพื้นฐานที่นักกีฬาว่ายน้ำควรรู้ กฎ กติกา มารยาท ไปจนถึงท่าว่ายต่าง ๆ โดยเริ่มที่ท่าฟรีสไตล์ซึ่งเขาถนัดที่สุด


สุชาติได้เรียนรู้ทฤษฎี วิธีการว่าย ฝึกทำท่าต่าง ๆ โดยไม่ได้ลงสระตามที่ครูพายสั่ง ฝึกอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานพอที่จะแสดงให้คนสอนเห็นว่าตนเองมีความตั้งใจจริง และวันนี้ก็เป็นวันที่หนุ่มน้อยตื่นเต้นที่สุดเมื่อครูพายบอกว่าจะให้เขาได้ลงสระเพื่อฝึกว่ายฟรีสไตล์เต็มท่า แต่ก่อนที่จะเริ่มว่ายยังต้องฝึกปั๊มอากาศโดยการดำลงไปในน้ำแล้วพ่นอากาศออกทางจมูก เมื่อขึ้นมาบนน้ำจึงหายใจเข้าทางปาก ซึ่งวิธีการนี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำก่อนการว่ายน้ำทุกครั้งเพื่อปรับการหายใจ


“ต่อไปเราจะมาฝึกท่าปลาเข็มกัน เป็นท่าพุ่งออกจากขอบสระ เราจะต้องลอยตัวขนานกับผิวน้ำเพื่อลดอาการเกร็งตัว เหยียดแขนจนสุด แขนชิดหลังหูแล้วก็ประสานมืออย่าให้หลุดจากกันนะ ” หนุ่มนักกีฬากล่าวพลางทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นจึงช่วยจับสองแขนเล็กให้เยียดตรง เมื่อเห็นว่าเด็กชายจัดระเบียบร่างกายได้ถูกต้องแล้วจึงขยับห่างออกมาทำท่าเดียวกัน “พุ่งตัวไปข้างหน้า ขาไม่ต้องตีน้ำ”


พูดจบเขาก็โน้มตัวลงแล้วพุ่งไปข้างหน้า ลอยตัวขนานพื้นได้ระยะหนึ่งก็ลดปลายเท้าลงแตะพื้นแล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงเดินกลับไปหาเด็กชาย “ลองทำดู”


สุชาติพยักหน้าแล้วทำตาม ในช่วงแรกการทำท่าปลาเข็มของเขานั้นกระท่อนกระแท่นตามประสา ไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายเมื่ออยู่ในน้ำได้ แต่เด็กชายก็ไม่ละความพยายาม ยังคงทำท่าเดิมซ้ำ ๆ เมื่อคล่องแล้วพายุพัดจึงให้เขาฝึกการเตะเท้าต่อด้วยการใช้แขนและการบิดหน้าหายใจไปจนกระทั่งนำทุกท่ามาประกอบกันเป็น Crawl Stroke หรือที่มักคุ้นหูกันในชื่อท่าฟรีสไตล์


“เหนื่อยหรือยังสุชาติ” พายุพัดถามเมื่อร่างเล็กทะลึ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ


“ยังครับ” อีกฝ่ายกล่าวทั้งที่หอบแฮก ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา


เจ้าของร่างสูงยิ้มแล้วโอบไหล่เล็กเอาไว้ “แต่ครูว่าพักก่อนดีกว่า”


“ครับครู” ว่าแล้วเด็กชายสุชาติก็ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสระ พักหายใจครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “สระว่ายน้ำที่ครูพายใช้แข่งมันกว้างกว่านี้เยอะไหมครับ”


“กว้างมากเลยละ”


“มากกว่าสระนี้อีกเหรอครับ”


พายุพัดพยักหน้า “กว้างกว่านี้หลายเท่า”


“แล้วตอนที่ลงไปอยู่ในนั้นล่ะครับรู้สึกยังไงบ้าง”


“ครั้งแรกรู้สึกกลัวมาก เพราะมันทั้งลึกทั้งกว้าง ตอนที่โค้ชสั่งให้ว่ายจากขอบสระฝั่งนี้ไปแตะขอบสระอีกฝั่ง ตอนนั้นครูคิดตลอดเลยว่าเราจะทำได้ไหม เพราะระยะทางมันไกลจริง ๆ”


สุชาติตาวาว นึกถึงสระว่ายน้ำกว้าง ๆ ที่แบ่งช่องว่ายด้วยทุ่นลู่ น้ำในนั้นใสเสียจนมองเห็นไปถึงก้นสระ “ผมเคยเห็นแต่ในทีวี ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง”


“เอาไว้วันหลังครูจะพาไปว่ายสระจริง จะได้ฝึกท่ากระโดดว่ายแล้วขึ้นท่าฟรีสไตล์ด้วย”


“จริง ๆ นะครับครูพาย”


“อื้อ จริงสิ”


“ครูพายว่ายท่าฟรีสไตล์ให้ผมดูด้วยนะครับ จ้วง ๆๆ ให้เหมือนตอนแข่งเลย” ว่าแล้วหนุ่มน้อยก็ทำท่าประกอบ


“ได้” พายุพัดพูดกลั้วหัวเราะ มองคนตัวเล็กที่จู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นกอดอก คงเพราะกระแสลมที่พัดมาทำเอาหนาวสะท้านจนขนลุกเกรียว “วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า อากาศเริ่มเย็นแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”


สุชาติปฏิบัติตามโดยไม่อิดออด เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เด็กชายก็รีบปั่นจักรยานคันเก่งมุ่งหน้ากลับบ้านทันที การไปของเด็กน้อยช่างเจรจรส่งผลให้รอบ ๆ บริเวณกลับเงียบเชียบลงอีกครั้ง พายุพัดเลื่อนมือขึ้นบีบนวดช่วงบ่าและไหล่เบา ๆ จากนั้นจึงพุ่งตัวไปข้างหน้าและเริ่มว่ายท่าถนัดของตน


....


เมื่อโครงการสอนว่ายน้ำให้กับเด็ก ๆ ดำเนินการมาได้สามเดือนเต็ม พายุพัดจึงส่งมอบหน้าที่ให้ผู้รับผิดชอบตัวจริงนั่นคือพิทักษ์ ซึ่งอีกฝ่ายยินดีเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเป็นทุนเดิม ไม่นานโครงการสระว่ายน้ำมีขาซึ่งเกิดจากความคิดของอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทยก็ได้รับความสนใจมากขึ้น มีเด็ก ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงที่อยากว่ายน้ำเป็นสมัครเข้าร่วมโครงการ มีผู้ที่เห็นความสำคัญของกีฬาให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์ ส่วนพิทักษ์ได้เพื่อนครูต่างโรงเรียนแวะเวียนมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจที่จะเป็นครูต่อไป


ความตื่นตัวด้านกีฬาทำให้พายุพัดถูกเชิญไปให้ความรู้แก่น้อง ๆ ศิษย์ปัจจุบันที่โรงเรียนเก่า ทำให้เขาได้พบกับอาจารย์เมธีอีกครั้ง และเมื่ออาจารย์บอกว่ากำลังจะเปิดสปอร์ตคลับ ชายหนุ่มจึงไม่ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเชิญให้ไปร่วมพิธีเปิดด้วย


เมื่อถึงวันเปิดสปอร์ตคลับ นอกจากพายุพัดจะได้พบอาจารย์สินธูที่ให้เกียรติมาเป็นประธานแล้วยังมีโอกาสได้พบปะเพื่อนเก่าสมัยเรียนโรงเรียนกีฬาอีกด้วย การพบกันในครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง แม้บางคนจะหันหลังให้วงการกีฬา บางคนยึดอาชีพครู แต่ความผูกพันก็ทำให้ทุกคนไม่ลืมมิตรภาพระหว่างเพื่อนและกลับมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นนอกจากวันนี้จะเป็นวันมงคลแล้วยังคล้ายเป็นวันชุมนุมศิษย์เก่าโรงเรียนกีฬาอยู่กลาย ๆ


หลังจากส่งเพื่อน ๆ กลับแล้ว พายุพัดก็เดินขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ ทอดตามองแผ่นน้ำเบื้องล่างพลางคิดทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังที่เพื่อน ๆ ต่างหยิบยกขึ้นมาพูด เป็นภาพอดีตที่ถูกร้อยเรียงต่อเนื่องราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉาย   


“ขอบใจมากนะพายที่มาช่วยครู” เมธีเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างกัน


“ไม่เป็นไรครับ”


“ถ้าเบื่อ ๆ ก็มาช่วยครูสอนเด็ก ๆ ที่นี่ได้นะ แต่ค่าสอนอาจจะไม่สมฐานะนักกีฬาทีมชาติเท่าไร”


“เลี้ยงข้าวผมสักมื้อก็ได้ครับ อาจารย์พิมพ์ทำกับข้าวอร่อย” พายุพัดยิ้ม


คนฟังหัวเราะร่วนเมื่อถึงนึกถึงฝีมือทำอาหารของภรรยาสุดที่รักที่ใครได้ชิมก็พากันชมเปาะ


“อาจารย์คิดว่าจะสอนไปจนถึงเมื่อไรครับ ผมหมายถึง...มีสปอร์ตคลับนี้แล้วอาจารย์จะลาออกจากโรงเรียนหรือเปล่า”


“เคยคิดเหมือนกัน สมัยที่บรรจุได้สัก 5-6 ปี รู้สึกว่าในสายตานักเรียนหรือแม้กระทั่งเพื่อนครูด้วยกัน วิชาที่เราสอนมันเป็นวิชาไม่สำคัญ แต่ที่ทำสปอร์ตคลับนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพราะจะหนีหรอกนะ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะช่วยสานฝันของหลาย ๆ คน รวมถึงพิมพ์ด้วย” เมธีกล่าว


“ครูพิมพ์ทำไมเหรอครับ” พายุพัดหันมามองคนข้าง ๆ นึกถึงภรรยาของอีกฝ่ายที่อดีตเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยพลศึกษาแห่งหนึ่ง


“หลังจากมีลูกคนที่สองแล้วพิมพ์เขาไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ ที่บ้านครูก็เลยลงความเห็นกันว่าควรให้พิมพ์ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่รายนั้นเขารักในวิชาชีพของเขา พอลูกเริ่มไปโรงเรียนเขามีเวลาว่างก็เลยคิดถึงการสอน เราปรึกษากัน แล้วก็ตัดสินใจขายที่ทางรวบรวมเงินทั้งหมดสร้างสปอร์ตคลับนี้ให้พิมพ์ดูแล ส่วนครู...ก็คงสอนที่โรงเรียนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกษียณ อย่างน้อยวิชาพลศึกษาก็เป็นวิชาที่ทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งได้รู้จักตัวเอง เหมือนเธอกับเพื่อน ๆ ที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วมุ่งเอาดีทางนั้น”


พายุพัดพยักหน้า “สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย มีอาจารย์คนหนึ่งเคยบอกกับผมว่า วัตถุประสงค์ของการให้เรียนวิชาเลือกเสรีไม่ใช่เพื่อให้นักศึกษาเก่งวิชาการ เพราะวิชาเลือกเสรีบางทีก็เป็นแค่วิชาง่าย ๆ  แต่ที่ต้องให้เรียนก็เพื่อที่นักศึกษาจะได้รู้จักการใช้ชีวิต ได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักการอยู่ร่วมกับคนอื่น จุดประสงค์ของการเรียนพลศึกษาก็คงไม่ต่างกัน เพื่อทำให้เราร่างกายแข็งแรง รู้จักการมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ ไม่ใช่มุ่งแต่จะเรียนอย่างเดียว”


เมธียิ้ม


“อาจารย์ยิ้มอะไรครับ”


“เดี๋ยวนี้พูดเยอะขึ้นนะ ไปหัดมาจากไหน”


“แซวอีกแล้ว” พายุพัดเกาต้นคอ “ผมก็แค่ไม่อยากให้อาจารย์ท้อไง ผมเชื่อว่ามีน้อง ๆ อีกมากที่ต้องการคนที่เข้าใจแบบอาจารย์”


“เออ ขอบใจมากนะ” ผู้เป็นครูตอบพลางตบบ่าของลูกศิษย์เบา ๆ


การตัดสินใจมาช่วยงานที่สปอร์ตคลับของพายุพัดทำให้สุชาติพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เด็กชายได้มีโอกาสว่ายน้ำในสระมาตรฐานทุกวันเสาร์ หากพ่อของเขาไม่ว่างมาส่ง ครูม่อนก็จะรับอาสามาส่งให้ ถึงจะต้องเริ่มเรียนพื้นฐานกันใหม่อีกรอบไปพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ แต่เด็กชายก็ไม่เคยบ่น เขายังคงตั้งใจฝึกซ้อมและปฏิบัติตามกฎกติกาต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ในทุก ๆ ครั้งหลังจากยืดกล้ามเนื้อเรียบร้อยแล้ว เขาจะคอยลุ้นว่าวันนี้อาจารย์เมธีและครูพายจะมีเทคนิคอะไรมาสอน แต่ครั้งนี้กลับต่างจากทุกครั้ง


“วันนี้ครูจะให้พวกเธอได้แข่งว่ายฟรีสไตล์” เสียงดังกังวานรวมกับเนื้อความที่แจ้ง ทำให้เหล่านกกระจิบกระจอกพากันเงียบกริบ มองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าแถวเป็นตาเดียว “ใครอยากลงแข่งยืนขึ้น”


เมื่อสิ้นเสียงอาจารย์เมธี บรรดาเด็กผู้ชายหญิงม.ต้นก็ทยอยยืนขึ้น ทุกคนต่างรอคอยวันนี้หลังจากคะยั้นคะยอให้อาจารย์จัดให้มีการแข่งขันมานานเพราะพวกเขาเบื่อเรียนทฤษฎีและการฝึกว่ายวนอยู่ในสระเต็มที           


“คนที่จะแข่งไปยืนรวมกันทางโน้น ส่วนคนอื่น ๆ จะนั่งอยู่ขอบสระหรือจะขึ้นไปเชียร์เพื่อนบนอัฒจันทร์ก็ได้” เมธีบอก เห็นใครคนหนึ่งไม่ลุกไปไหนจึงเอ่ยขึ้น “สุชาติ ไม่ลงแข่งกับพี่ ๆ เขาเหรอ”
เจ้าของชื่อที่ตั้งใจจะปักหลักนั่งเชียร์ที่ขอบสระเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างขอความเห็น


“ลองไหมสุชาติ” พายุพัดว่า


“แต่ว่า...” พูดไม่ทันจบ เสียงหนึ่งก็ดังแทรก


“มันไม่ใช่เด็กโรงเรียนเรานะครับอาจารย์ คนที่จะแข่งมีแต่โรงเรียนเราทั้งนั้น”


เมธีละสายตาจากเด็กชายตัวเล็กแล้วหันไปกล่าว “ไม่ว่าพวกเธอจะมาจากโรงเรียนไหน แต่มาเรียนที่สปอร์ตคลับนี้ทุกคนก็คือลูกศิษย์ของครู แล้วที่เรียนว่ายน้ำด้วยกันมาเกือบ 2 เดือนนี่ยังไม่ใช่เพื่อนกันอีกเหรอ”


สีหน้าและแววตาเคร่งขรึมของผู้เป็นครูทำให้เด็กชายวัยสิบสามปีรู้ว่าตนเองควรจะสงบปากสงบคำ เขาเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ กระนั้นปากก็ยังพึมพำเบา ๆ พาให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เด็กชายจากโรงเรียนเล็ก ๆ ในอำเภอซึ่งอย่ไกลออกไป


“ไม่ต้องกลัว” พายุพัดกล่าวพร้อมกับนั่งลงโอบไหล่เล็กอย่างให้กำลังใจ “สูดหายใจลึก ๆ แล้วก็ทำทุกอย่างตามที่ครูสอน”


วงแขนที่กระชับแน่นทำให้เด็กชายนึกถึงวันแรกที่ครูพายพาเขามาที่นี่ นอกจากจะทำตามสัญญาโดยการว่ายท่าฟรีสไตล์ให้ดูแล้ว ยังสอนให้เขารู้จักการจัดระเบียบร่างกายเมื่ออยู่บนแท่น สอนการกระโดดว่ายแล้วต่อท่าฟรีสไตล์ ตอนนั้นครูพายก็ให้กำลังใจแบบนี้เช่นกัน เมื่อได้รับพลังใจจนเต็มเปี่ยมสุชาติจึงค่อยยิ้มออก หันไปกล่าวกับอีกคน “ผมจะแข่งครับครู”


การแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งว่ายฟรีสไตล์ 50 เมตร หลังจากเมธีอธิบายกติกาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วก็เดินไปยืนรออยู่ที่ขอบสระฝั่งตรงข้าม ส่วนพายุพัดรับอาสาเป็นผู้ปล่อยตัวนักกีฬา ทันทีที่เขาขานคำ “Take your marks” บรรดาหนุ่มน้อยทั้ง 8 คนก็ก้าวขึ้นไปยืนบนแท่น ก้มลงจัดระเบียบร่างกายอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้นเหล่านักกีฬาก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ลงสู่ผืนน้ำได้ก็แทบจะลืมการสตรีมไลน์หรือที่ครูพายเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าท่าปลาเข็มไปเสียสนิท ต่างคนต่างจ้วงไม่คิดชีวิต หวังจะแตะขอบสระฝั่งตรงข้ามเป็นคนแรกให้ได้   


“เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เหมือนนายตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” เมธีกล่าวกับคนที่เพิ่งเดินมาหยุด


พายุพัดฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ดวงตาจับจ้องไปยังนักกีฬาในลู่สุดท้ายที่สามารถรักษาความเร็วจนอยู่ในกลุ่มที่นำได้ แม้สุชาติจะไม่ได้แตะขอบสระเป็นคนแรก กระนั้นยังถือว่าเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่มซึ่งเข้าแตะขอบสระเป็นลำดับที่สี่


“น่าจะพาไปลองรายการเล็ก ๆ สักรายการนะพาย จะได้ไม่ตื่นสระ”


“คงต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาละครับอาจารย์”


“ยังไงถ้าจะลองละก็ มาซ้อมที่นี่ได้นะ”


พายุพัดรับคำจากนั้นจึงเดินไปหาเด็กชายที่กำลังดึงตัวขึ้นจากสระ


“เป็นยังไง สนุกไหม”


“สนุกครับครู”


สองคนพากันมานั่งที่อัฒจันทร์เพื่อรอชมการแข่งขันของกลุ่มถัดไป และเมื่อได้ยินสัญญาณปล่อยตัว เด็กชายก็ลุกขึ้นส่งเสียงเชียร์สองเด็กหญิงที่มักชวนคุยและให้ขนมเขากินอยู่บ่อย ๆ


“พี่มะยมสู้ ๆ พี่แยมสู้ ๆ” สองมือเล็กป้องปากตะโกนลั่น แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นบ่นพึมพำ “ทำไมพี่มะยมเริ่มหมุนแขนช้าจัง คนอื่นเขาเริ่มหมุนแขนกันแล้ว” 


“แล้วเมื่อกี้น่ะ คิดว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง” พายุพัดเอ่ยขึ้น


เด็กชายนิ่งนึกก่อนจะนั่งลง “ผมลืมทำท่าปลาเข็มครับครู”


พายุพัดพยักหน้า “ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่แข่งกันอยู่นี่แหละ พอพุ่งตัวลงน้ำ เห็นคนอื่นเริ่มหมุนแขนก็กลัวว่าตัวเองจะแพ้ ก็เลยรีบหมุนแขนบ้าง” เห็นเด็กชายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “การทำท่าปลาเข็มหรือการทำสตรีมไลน์มีความสำคัญมากนะ บางทีที่ชนะกันอาจจะชนะจากตรงนี้ก็ได้ เพราะการทำสตรีมไลน์จะต้องทำตัวลู่ไปกับน้ำ เหมือนลูกธนูที่แหวกไปในน้ำ พอแรงต้านน้อยก็จะทำให้ไปได้ไกลหลายเมตรโดยที่ยังไม่ได้ออกแรงว่ายเลย”


“คราวหน้าผมจะไม่ลืมครับครู”


“เวลาอยู่ในสระน่ะ อย่าคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวจนลืมเทคนิคต่าง ๆ เข้าใจไหมสุชาติ”


“เข้าใจครับครูพาย”


คนสอนยิ้มน้อย ๆ “เอาไว้เก่งกว่านี้ครูจะพาไปแข่งรายการใหญ่ ๆ”


“แล้วผมจะสู้เขาได้เหรอครับครู” สุชาติทำหน้าจ๋อย


“ดูทำหน้าเข้า ลืมแล้วหรือไงว่าใครเป็นคนสอนนาย”


“ผมรู้ว่าเป็นครูพาย แต่ผม...”


พายุพัดวาดแขนขึ้นโอบไหล่เล็ก “อยากแข่งก็ต้องขยันซ้อม ถ้านายไม่ยอมแพ้เสียก่อน ครูก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ยกมือข้างเหลือขึ้นราวกับนักมวยกำลังจะออกหมัด รอจนกำปั้นเล็ก ๆ สัมผัสลงมาเป็นเสมือนการให้สัญญาต่อกัน 


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2018 22:52:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เท้าเปลือยก้าวตามกันไปบนแนวคันดินที่ขนาบด้วยต้นข้าวเขียวขจี เมื่อถึงทางน้ำเล็ก ๆ ที่สร้างเชื่อมกับลำธารเพื่อหล่อเลี้ยงผืนนาในแถบนี้ พายุพัดก็หันมายื่นมือให้คนเดินตามจับแล้วพากันก้าวข้ามไป ไม่นานก็ถึงเพิงพักหลังน้อยมุงด้วยหญ้าคา เบื้องหน้าคือทุ่งดอกคอสมอสสีเหลืองสดที่เจ้าของโฮมสเตย์ปลูกไว้แสดงอาณาเขต ไกลออกไปเป็นแนวเขาทอดตัวยาวราวกับอ้อมแขนของใครบางคนที่เป็นดังปราการป้องกันภยันตรายมิให้กล้ำกลาย นคินทรคลายมือออกนั่งลงบนเสื่อไม้ไผ่ที่สานขัดกันเป็นลวดลายแปลกตา ทอดมองมวลเมฆที่คลื่นต่ำเรี่ยไปกับแนวสันเขาจนบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า พลันอีกคนก็ถือโอกาสใช้ตักของเขาแทนหมอนหนุน หลับตาลงโดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น นั่นเป็นเพราะบริเวณนี้ถูกพี่สาวกันไว้สำหรับเป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับน้องชายที่รักมากที่สุด             


“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”


“สนุกดี”


“ปวดไหล่อีกหรือเปล่า” นคินทรถามพลางใช้มือแตะลงที่ต้นแขนแกร่ง


พายุพัดเผลอขบกรามแน่น รั้งมือนั้นมาแนบอกแทนหมอนข้าง “หายแล้ว”


“แน่ใจแล้วใช่ไหมเรื่องสุชาติน่ะ”


“อืม เราอยากลองดู อยากลองเป็นคนที่หยิบยื่นโอกาสให้คนอื่นบ้าง”


คนฟังคลี่ยิ้มบางเบาพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงบนเส้นผมของชายหนุ่ม “เหนื่อยหรือเปล่า”


“เหนื่อย แต่พอเจอหน้าบางคนก็หายเหนื่อยแล้ว อยากรู้ไหมว่าใคร” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ พายุพัดก็ลืมตา ลุกขึ้นนั่งในขณะที่อีกมือยังจับมือของอีกฝ่ายแนบกับอก “ไม่ถามเหรอว่าใคร”


“ไม่อยากรู้”


“อยากรู้หน่อยนะ” พูดจบหนุ่มนักกีฬาก็ยกมือขึ้นประคองแก้มเนียน ตาที่เคยสบประสานกับดวงตาอีกคู่เลื่อนลงมองจุดเล็ก ๆ ที่สันจมูกกระทั่งหยุดที่ริมฝีปากบาง เห็นอีกฝ่ายไม่ถอยหนีหรือแสดงอาการรังเกียจจึงค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าหา หวังจะจุมพิตให้ชื่นใจ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องถอนใจเฮือกซบหน้าลงกับซอกคอขาว ได้ยินนคินทรหัวเราะเบา ๆ แล้วอดไถหน้าไปมาอย่างเด็กโดนขัดใจไม่ได้


มือขาวดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับ ยังไม่ทันพูดอะไรคนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้น


“อาม่อน...หม่ำ ๆ อาม่อน...”


ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ฟีฟ่าเหรอ”


“เมื่อกี้น่ะฟีฟ่า แต่นี่น่ะพ่อฟีฟ่า” จู่ ๆ ก็กลายเป็นอีกเสียง “ถึงไหนแล้ววะม่อน รอกินข้าวอยู่เนี่ย ไอ้พายอีกตัวบอกว่าออกจากสปอร์ตคลับแล้วจะรีบมา นี่โทรไปก็ไม่รับ ไอ้หมอกกับสิแล้วเนี่ย”


“อย่าบ่นน่า ไปเดี๋ยวนี้แหละ”   


“เออ ๆ ถ้าติดต่อไอ้พายได้ก็ลากคอมันมาด้วย แค่นี้นะ”


ภาณุไม่ได้กดวางสายในทันที นคินทรจึงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอีกฝั่ง ถกเถียงกันเรื่องสูตรอาหาร ชายหนุ่มยิ้มพลางกดตามองคนที่ยังคงเอาแต่ซุกอยู่บนบ่าของตน ใช้มือตบเบา ๆ บนแผ่นหลังกว้างแล้วกล่าว   


“ไปเถอะ ฉายโทรตามแล้ว”


“ให้มันรอไป”


ได้ยินเสียงอู้อี้ตอบกลับเป็นถ้อยคำเอาใจแล้วถึงกับโคลงหัว นคินทรค่อย ๆ ขยับออกแล้วใช้สองมือประคองแก้มสาก เห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยแล้วอดหัวเราะไม่ได้


“ยิ้มเร็ว”


พายุพัดส่ายหัว


“ยิ้มก่อน”


คนฟังพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่เมื่อถูกซ้ำซี้หนักเข้า สุดท้ายก็ยิ้มออกมาจนได้


....


วันนี้นอกจากจะชวนเพื่อน ๆ มารับประทานอาหารที่บ้านแล้ว ภาณุกับน้ำหวานยังถือโอกาสนี้บอกข่าวดีให้ทุกคนได้รู้ นั่นคือพิธีมงคลสมรสของทั้งคู่ซึ่งจะมีขึ้นในปลายเดือนตามที่ได้เกริ่นไปบ้างแล้วเมื่อไม่นานมานี้ หลังรับประทานอาหารแล้วทั้งหมดจึงมานั่งล้อมวงกันที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ฟังว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเล่าถึงกำหนดการคร่าว ๆ


“เราสองคนกะจะให้เป็นงานเล็ก ๆ น่ะ มีพิธีสงฆ์ตอนเช้า เย็นก็กินข้าวกัน งานนี้ตั้งใจจะบอกเฉพาะญาติ ๆ ฝั่งฉายก็คงมีแค่แม่กับลุง ๆ ป้า ๆ ส่วนหวานเองไม่มีใครที่ไหนแล้ว คงจะบอกแค่เพื่อนสนิท” น้ำหวานอธิบาย


“แล้วหวานคิดไว้หรือยังว่าจะจัดที่ไหน” สิชลถาม


“ที่นี่แหละจ้ะ คงจัดสถานที่แล้วก็ตกแต่งกันเอง”


“โรแมนติกจังเลย สิก็เคยคิดจะจัดงานแต่งงานที่บ้านสวนเหมือนกัน แต่คิดว่าเพื่อน ๆ น่าจะเดินทางลำบาก”


“ไปจัดที่คลินิกไอ้หมอกก็คงมีแต่กลิ่นหมา” ภาณุแทรกขึ้น


“อ้าวไอ้นี่” อวัศย์มุ่นคิ้ว


“หรือไม่จริง”


“คลินิกรักษาสัตว์นะโว้ย ไม่ใช่คลินิกเสริมความงาม จะได้หอมตั้งแต่พนักงานต้อนรับยันหมอสิว”


“นั่นไง สิดูเอาเองแล้วกัน คนเราน่ะถ้าในหัวมันมีแต่เรื่องพวกนี้มันก็จะหลุดพูดออกมาเอง”


“เรื่องสร้างความร้าวฉานเป็นงานถนัดจริง ๆ” นคินทรส่ายหัว


“ใช่...คนเลว” อวัศย์เสริม


“แหม...ไอ้คนดี” ภาณุกล่าวอย่างหมั่นไส้ 


“เอาละ ๆ พวกนี้นี่ คอยจะหาเรื่องทะเลาะกันตลอดเลย” สิชลรีบห้ามทัพก่อนจะหันไปหาน้ำหวาน “ถ้ามีอะไรให้สิช่วยละก็ บอกได้เลยนะ ตกแต่งสถานที่หรือจัดดอกไม้ สิยินดีช่วยเต็มที่จ้ะ”


“ขอบใจจ้ะสิ” น้ำหวานว่า


“แต่ตอนนี้หวานสอนสิทำน้ำลูกหม่อนปั่นก่อนนะ เมื่อวันก่อนที่สิซื้อไปฝากแม่ แม่ทานแล้วชอบมากเลย สิก็เลยว่าจะลองทำเองดูบ้าง ให้พวกนี้แหละเป็นหนูลองยา”


“ได้จ้ะ” ว่าแล้วสองสาวก็หันไปช่วยกันเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับทำมัลเบอรีปั่น


พายุพัดและนคินทรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนภาณุและอวัศย์ย้ายไปนั่งที่โซฟาเมื่อได้เวลาการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญในขณะที่เจ้าหนูฟีฟ่านอนหลับคาตักผู้เป็นพ่อไปตั้งแต่นักฟุตบอลยังไม่ลงสนาม


“มีนส่งรูปมาให้ดู บอกว่าพานักศึกษาไปออกค่าย” พายุพัดกล่าว


“ไหน ๆ เราดูบ้าง” พูดจบนคินทรก็ขยับเข้าไปใกล้ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ในมือของอีกฝ่าย “นี่ไปเตะบอลหรือไปคลุกโคลน”


สองคนพากันหัวเราะ มัวแต่สนใจรูปในโทรศัพท์จนไม่ทันสังเกตว่าแก้วทรงสูงที่เต็มไปด้วยมัลเบอรีปั่นถูกยกมาวางตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ


“ลูกหม่อนหมดพอดีเลย ได้แก้วนี้เป็นแก้วสุดท้าย เดี๋ยวหวานเอาแก้วมาแบ่งให้ม่อนกับพายนะ”


“ไม่เป็นไรหวาน ให้ม่อนเถอะ” พายุพัดกล่าว


“เฮ้ย! อร่อยนะเว้ยไอ้พาย ลองแล้วจะติดใจ” ภาณุร้องบอกพลางดูดน้ำปั่นหมดไปครึ่งแก้วแล้วหันไปวิเคราะห์บอลกับอวัศย์ต่อ


“กินด้วยกันก็ได้” นคินทรว่า จากนั้นจึงดูดเกล็ดน้ำแข็งสีแดงอมม่วงแล้วเลื่อนแก้วให้คนนั่งข้าง ๆ


พายุพัดยกแก้วทรงสูงขึ้นก่อนจะสัมผัสริมฝีปากกับปลายหลอดแล้วลิ้มลองรสชาติของสิ่งที่อยู่ในแก้วบ้าง   


“หวานไหมพาย” สิชลเอ่ยขึ้น


เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นสบตาเป็นประกายของคนถามแล้วตอบ “หวะ...หวาน หวานกำลังดี”


“ฝีมือสิทั้งหมดเลยนะ” น้ำหวานเสริม


“เปิดร้านแข่งกับหวานได้เลย” นคินทรหัวเราะ


“ม่อนก็ว่าไป” หญิงสาวกล่าวเขิน ๆ


“แหวนน่ารักจังเลยม่อน เป็นรูปอะไรเหรอ” จู่ ๆ น้ำหวานก็เอ่ยขึ้น คำถามของเธอไม่เพียงทำให้นคินทรต้องก้มลงมองแหวนทองคำขาวฝังคริสตัลเม็ดเล็กที่สวมติดนิ้ว ยังทำให้คนข้างกันต้องรีบวางแก้วในมือลงด้วย


“กลุ่มดาวสิงโตน่ะ”


“กลุ่มดาวสิงโต...ราศีสิงห์น่ะเหรอ”


“อื้อ” นคินทรรับคำสั้น ๆ


“ซื้อจากไหนเหรอ เผื่อหวานจะให้ฉายไปซื้อบ้าง”


“ซื้อจาก...ที่ไหนน่ะเหรอ"


เห็นคนข้าง ๆ อึกอัก พายุพัดจึงเอ่ยขึ้น “หวานชอบแหวนแบบนี้เหรอ เรามีเพื่อนเปิดร้านออกแบบจิวเวลรีอยู่ที่อเมริกา ถ้าหวานสนใจเราจะให้เขาส่งรายละเอียดมาให้”


“โอ้โห...แบบนี้ก็แสดงว่าหวานจะมีแหวนที่มีวงเดียวในโลกใช่ไหมพาย”


พายุพัดพยักหน้า


“ดีจังเลยน้า...” น้ำหวานยิ้มให้สิชลก่อนจะหันมาสบตาสองหนุ่ม “คนหนึ่งเกิดราศีมีนแต่สวมแหวานของคนเกิดราศีสิงห์ ส่วนอีกคน...เกิดราศีสิงห์แต่สวมกำไรรูปปลา สัญลักษณ์ของคนเกิดราศีมีน”


พายุพัดหลุบตาลงพร้อมกับยกมือขึ้นเกาต้นคอ จู่ ๆ ก็ร้อนวูบไปทั้งหน้า


“พาย ดอกคอสมอส” นคินทรเอ่ยขึ้น เห็นคนข้าง ๆ ยังนั่งเฉยจึงกล่าวต่อ “ที่พี่ฝนฝากมาไง”


“เออใช่ ลืมไปเลย พอพี่ฝนรู้ว่าหวานจะแต่งงานเลยฝากคอสมอสมาให้สองกระถาง อยู่ท้ายรถน่ะ เราไปเอาลงให้นะ” ว่าแล้วพายุพัดก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยวเราไปช่วย” นคินทรกล่าวก่อนจะลุกตาม แล้วสองคนก็พากันเดินออกไป... 


พายุพัดผลักประตูเข้ามาอีกครั้งก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมาทางนี้ และการหยุดกะทันหันก็ส่งผลให้คนที่เดินตามมาชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างจัง


“หยุดทำไมเนี่ย” นคินทรบ่นแล้วก้าวมายืนข้างกันจึงได้เห็นในแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายเห็น ทั้งภาณุและอวัศย์ย้ายกลับมานั่งที่เก้าอี้บาร์เหมือนเดิม ทีวีถูกปิด บนโซฟาว่างเปล่า เจ้าหนูฟีฟ่าคงถูกผู้เป็นแม่พาเข้านอนตั้งแต่ที่เขาและพายุพัดไปช่วยกันยกกระถางต้นไม้ลงจากหลังรถแล้ว


“มองอะไรวะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งที่โซฟา


“ไอ้พายมานี่” ภาณุว่าพลางกวักมือเรียกแล้วตบลงบนเก้าอี้บาร์ตัวที่ยังว่าง “มานั่งนี่เลย”


“มีอะไรเหรอ” เจ้าของชื่อถามเรียบ ๆ เดินไปนั่งลงตรงกลางระหว่างอวัศย์และภาณุ


“มีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อย” นายสัตวแพทย์หนุ่มกล่าว สองสาวที่กำลังช่วยกันเก็บล้างอุปกรณ์ทำน้ำปั่นจึงต้องหยุดมือแล้วหันมาฟังอย่างสนใจ


“เรื่องอะไร” คนพูดน้อยถาม 


“ไอ้หมอกเล่าซิ”


“ก็เมื่อวันที่เราพาพ่อสิไปเป็นประธานเปิดสปอร์ตคลับของอาจารย์เมธีน่ะ มีผู้หญิงมาขอถ่ายรูปกับไอ้พาย” อวัศย์ตั้งใจเน้นประโยคหลังให้คนที่นั่งห่างออกไปได้ยิน “จำได้ว่าเป็นน้องสาวของครูพละโรงเรียนเดียวกับสิ พอถ่ายเสร็จเขาก็ขอเบอร์ไอ้พาย แล้วมันก็ไม่ให้ไง แถมยังบอกเขาอีกว่ามีแฟนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นหน้าเจื่อนไปเลย”


“ฟังแล้วหัวใจจะสลาย” ภาณุทำท่าประกอบโดยการยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้าอก


“แล้วยังไง” พายุพัดว่า


“ก็ไม่ยังไง แค่อยากรู้ว่าใคร” อวัศย์กล่าวพลางวาดแขนล็อกคอเพื่อน


“ใครอะไรวะ”


“ก็ที่บอกว่ามีแฟนแล้วไง ใครกัน พวกเรารู้จักหรือเปล่า”


“ม...มันก็แค่วิธีเลี่ยงการที่ต้องให้เบอร์โทรเขาไหม”


“ไอ้พาย โกหกตกนรกนะเว้ย” อวัศย์ว่า


“ถามตรง ๆ เลยดีกว่า ตกลงว่านายกับม่อนน่ะ มันยังไงกันแน่” ภาณุไม่อ้อมค้อม


“อยากรู้ไปทำไม”


“ก็จะได้สบายใจ นอนตายตาหลับ” สิ้นเสียงภาณุ เพื่อน ๆ ทุกคนก็พากันพยักหน้า


“เร็ว! บอกมา” อวัศย์คาดคั้น


เห็นเพื่อนไม่ยอมพูด ภาณุจึงแกล้งตีหน้าเศร้า “น่าน้อยใจว่ะ มีอะไรไม่ยอมบอกกัน เรารึอุตส่าห์เห็นเขาเป็นเพื่อน ทุกข์มาก็ปลอบ...”


พายุพัดมองเลยไปยังคนที่นั่งห่างออกไปพลางถอนใจ “ไปถามม่อนโน่น”
เจ้าของชื่อหันขวับ


“ไอ้ม่อน! จะบอกหรือไม่บอก” สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน


“คิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมีคนอยากรู้” นคินทรหัวเราะ ผุดลุกขึ้นแล้วใช้โซฟาเป็นที่กำบังเมื่อภาณุและอวัศย์เปลี่ยนเป้าหมายมาทางนี้


“มานี่เลยไอ้ตัวดี ไอ้หมอกไปดักทางโน้น” ภาณุออกคำสั่งแล้วเดินอ้อมไปอีกทาง


สามคนวิ่งวนไปรอบบ้าน จนในที่สุดนคินทรก็ถูกจับได้ แม้ความสูงจะพอ ๆ กัน แต่คนผอมก็ถูกจับกดให้นอนคว่ำลงบนโซฟา อวัศย์ขึ้นนั่งทับจับสองแขนไพล่หลังโดยมีภาณุรับหน้าที่เป็นผู้สอบสวนหาความจริง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนคินทรก็ไม่ยอมปริปาก


“กระดูกหักกันพอดี” สิชลกล่าว “พายไปช่วยม่อนเร็ว”


พายุพัดได้แต่นั่งมองยิ้ม ๆ เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้ เพราะนคินทรเป็นก่อมันขึ้นเอง


“ตกลงคบกันแล้วใช่ไหม” น้ำหวานกระซิบถาม


เมื่อยากจะเลี่ยงได้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้า “แต่ม่อนไม่ให้บอก ม่อนบอกว่าปล่อยให้สองคนนั้นอยากรู้จนจุกอกตายไปเลย”


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2018 15:49:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ชลชาติหยุดยืนที่หน้าตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ มองม้วนกระดาษขนาดเอสี่ในมือแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน ร่างสูงเดินไปได้หน่อยก็ต้องชะงักเพราะใครบางคนเพิ่งออกจากลิฟต์และกำลังเดินมาทางนี้


“ซวยแท้ ๆ” อาจารย์หนุ่มบ่นกับตัวเอง กำลังจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่อีกฝ่ายคงเห็นเขาเสียแล้ว


“ป.ปลาตากลม”


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก หลับตานับ 1-10 ก่อนจะหันกลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “เราชื่อมีน”


“เราก็ไม่ได้เรียกนาย เราเรียกน้องผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” แสนยาว่าพลางโบกมือให้สาวน้อยตาโตที่กำลังเดินผ่านไป


ชลชาติถอนหายใจเฮือกที่สาม “ถ้าอย่างนั้นก็ถอยไป เรากำลังรีบ” พูดจบก็เดินไปต่อคิว เพราะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนหน้าลิฟต์จึงเต็มไปด้วยนักศึกษา ชายหนุ่มมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ นับถอยหลัง ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินขึ้นบันได   


“มาหาใคร” คนเดินตามถามแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ “ถามก็ไม่ตอบ ปากเป็นเหน็บชาหรือไง”


สองคนเดินตามกันขึ้นไปจนถึงชั้นเจ็ดซึ่งเป็นที่ตั้งของภาควิชาบริหารงานศิลปวัฒนธรรม ชลชาติเดินตรงไปยังห้องพักอาจารย์ซึ่งอยู่สุดทางเดิน ไล่สายตาไปตามรายชื่อที่ติดหน้าห้องก่อนจะชะเง้อมองผ่านช่องกระจกแต่กลับไม่พบคนที่ต้องการมาหา


“อาจารย์ศรัญญามีสอนที่อาคารเรียนรวมตั้งแต่เช้า ถ้าบ่ายแล้วยังไม่กลับมาก็ไม่น่าจะไม่เข้าแล้วละ อาจารย์ ดร.รติพรสอนอยู่ห้องทางฝั่งโน้น ส่วนอาจารย์ ดร.ธันวา วันนี้กับพรุ่งนี้มีไปบรรยายที่ต่างจังหวัด” แสนยาบอก


“แล้วทำไมไม่รีบบอกวะ” ชลชาติกล่าวอย่างหัวเสีย


น้ำเสียงของอีกฝ่ายพาให้อารมณ์เริ่มขุ่น แสนยาจึงยกมือขึ้นรั้งคอเสื้อของคนที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้


“อ...ไอ้แสน ปล่อย!”


“ถ้าถามว่ามาหาใครแล้วตอบเสียตั้งแต่หน้าลิฟต์ก็ไม่ต้องเดินขึ้นมาถึงนี่หรอก แถมมาแล้วไม่เจอยังจะหงุดหงิดใส่เราอีก”


“เออ ๆ ๆ ขอโทษ” ชลชาติเสียงอ่อนลงทันทีที่คิดได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการหนุ่มศิลปินจึงยอมปล่อยมือ มองเจ้าของร่างสูงที่กำลังจัดคอเสื้อแล้วถาม “ตกลงว่ามาหาใครกันแน่”


“เรามาหาอาจารย์ธันวา”


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


เห็นว่าไม่มีอะไรต้องปิดบังชลชาติจึงตอบตามจริง “มีเรื่องให้อาจารย์ธันวาช่วยน่ะ” ว่าแล้วก็ยื่นม้วนกระดาษในมือให้อีกฝ่าย


แสนยารับกระดาษกางดูทีละแผ่น “โรลอัพเหรอ”


“อือ วันมะรืนมหาวิทยาลัยจะมีงานเปิดบ้านน่ะ ก็เลยจะมารบกวนให้อาจารย์ธันออกแบบป้ายให้หน่อย”


“ใช้วันมะรืน มาหาคนทำเสียเกือบเย็น ไม่กลัวว่าเขาจะนิ้วล็อกจนทำให้ไม่ได้หรือร้านทำป้ายหมึกหมดบ้างหรือไง”


“เราเพิ่งได้ข้อมูลทั้งหมดวันนี้ เลิกประชุมก็ตรงมานี่เลย คิดว่าร้านทำป้ายรอบ ๆ นี้คงรับงานของแต่ละคณะไปหมดแล้ว ก็เลยต้องรบกวนอาจารย์ธันวา แต่ถ้าอาจารย์ไม่สะดวกก็จะให้ช่วยแนะนำร้านทำป้ายราคาไม่แพงให้หน่อย เราเองก็โดนคณะตัดงบมาเหมือนกัน” พูดจบก็เอื้อมมือไปคว้ากระดาษ แต่อีกฝ่ายกลับชักมือหนี “เอาคืนมาได้แล้ว เราต้องไปแล้ว”


“ทำหน้าเป็นปลาเหนื่อยเลย” แสนยาหัวเราะ


“แสน...เอามา เราไม่มีเวลาเล่นด้วยนะ”


“เราก็ไม่ได้จะเล่นด้วย แต่จะทำให้” คนพูดยักคิ้ว “รับรองว่าเสร็จทันแน่นอน”


ชลชาติกอดอกมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจ


“อย่ามองเราแบบนั้น สายตาที่นายมองเรามันทำให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนขาดความน่าเชื่อถือ”


คนฟังถอนใจ “นี่งานคณะเรานะ ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ”


“เฮ้ย! นี่แสดงว่าไม่เชื่อว่าเราจะทำได้จริง ๆ อย่างนั้นใช่ไหม”


“เออ” ชลชาติตอบแบบไม่ต้องคิด


“ถ้าอย่างนั้นตามมาเลย” พูดจบก็รั้งข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตามไปที่ห้องสำหรับนักศึกษาปริญญาโท “นั่งก่อน”


“ทำได้แน่นะ”


“นี่ใคร” แสนยาชี้ที่ตัวเอง


“เออ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วใครจะรู้ด้วยวะ”


“มีน ไม่ตลก!” คนพูดนิ่วหน้า ปลดเป้สะพายหลังแล้วนั่งลงดึงเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาวาง


เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย ชลชาติจึงนั่งลงข้าง ๆ ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็คงต้องยอมให้เขาช่วยสักครั้ง ไม่รู้จะเชื่อได้แค่ไหน คิดแล้วก็ได้แต่โคลงหัว สุดท้ายก็จำต้องหยิบทรัมพ์ ไดรฟ์จากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งให้


“เดี๋ยวเราจะทำให้เห็นว่างานเทพเป็นยังไง” พูดจบแสนยาก็จัดการเสียบทรัมพ์ ไดรฟ์เข้ากับพอร์ท ยูเอสบีของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ก่อนจะคลิกเปิดดูข้อมูลต่าง ๆ จากนั้นจึงใช้ปากกาขีด ๆ เขียน ๆ ที่ด้านหลังของกระดาษซึ่งด้านหน้านั้นเป็นแผนผังการจัดวางป้าย มีขนาดและหมายเลขกำกับว่าแต่ละแผ่นแสดงข้อมูลเกี่ยวกับอะไร รวมถึงงบประมาณที่อาจารย์หนุ่มบอกว่ามีจำกัด


ชลชาตินั่งอยู่ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เห็นชื่อเจ้าของเบอร์แล้วอดแปลกใจไม่ได้ “อาจารย์ธนิตโทรมาทำไมวะ” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะเดินออกไปข้างนอกด้วยเกรงว่าการสนทนาจะรบกวนสมาธิคนที่กำลังทำงาน ไม่กี่นาทีเขาก็เดินกลับเข้ามา


“เรามีสอนแทนอาจารย์อีกคนถึงช่วงค่ำ ๆ น่ะ”


“ไปเถอะ” แสนยาบอกทั้งที่ดวงตายังจดจ่ออยู่กับวัตถุบนหน้าจอ


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเรามานะ” พูดจบชลชาติก็รีบเดินออกไป


....


กว่าจะเลิกสอนก็เกือบสองทุ่ม เมื่อออกจากห้องชลชาติก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู ในบรรดาคนที่โทรเข้ามามีชื่อของพายุพัดปรากฏอยู่ เขาจึงเลือกที่จะโทรกลับไปหาอีกฝ่ายเป็นคนแรก


“โทรหาเรามีอะไรหรือเปล่า”


“นายรู้เรื่องที่อาจารย์นทีไม่สบายไหม”


“รู้จากอาจารย์ทวีแล้วละ”


อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางไขกุญแจเพื่อเข้าไปหยิบกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในห้องพักอาจารย์ ตวรจสอบความเรียบร้อยภายในจากนั้นจึงเดินออกจากห้อง ล็อกกุญแจแล้วลงจากตึก


“เราอยากไปเยี่ยมอาจารย์นที”


“เอาสิ เราไปด้วย”


“นายว่างเมื่อไร”


“อืม...3-4 วันนี้ที่คณะมีงาน น่าจะยุ่งมาก ๆ เอาเป็นสัปดาห์หน้าไหม หรือจะเป็นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ นายจะได้มีเวลาเตรียมตัว”


ตกลงกันเรียบร้อยชลชาติก็เดินมาถึงคณะศิลปกรรมศาสตร์พอดี ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ในตอนแรกเขาเป็นกังวลเกรงว่าจะคลาดกับแสนยาเพราะไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ แต่เมื่อเห็นว่ารถโฟล์คเต่าสีชมพูหวานแหววจอดที่ช่องจอดข้างคณะก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ที่นี่  ร่างสูงเดินไปหยุดที่หน้าลิฟต์เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงสัญญาณเตือนปิดตึกดังขึ้น ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างรู้ดีว่าหลังสัญญาณเตือนปิดตึกทั้งนักศึกษา อาจารย์และเจ้าหน้าที่จะมีเวลาอีก 30 นาทีในการเก็บข้าวของออกจากอาคาร ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอื้อมมือกดลิฟต์


“ป.ปลาตากลม”


เสียงเรียกที่ได้ยินพาให้ริมฝีปากซึ่งเหยียดตรงมาตั้งแต่เช้ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ เมื่อชลชาติหันกลับไปก็พบแสนยากำลังเดินลงบันไดมา ในมือของเขาถือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่หน้าจอยังเปิดโปรแกรมค้างไว้


“เป็นยังไงบ้าง”


“เหลืออีกไม่เยอะแล้วละ พอดีตึกจะปิดเราเลยลงมา”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่หอสมุดไหม”


แสนยาพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินข้ามฝั่งไปนั่งที่มุมอ่านหนังสือซึ่งอยู่ชั้นล่างของสำนักหอสมุด


“นายกินข้าวหรือยัง” ชลชาติถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กลงแล้วจับเมาส์ทำงานต่อทันที


“คนป็อปปูลาร์อย่างเรามีคนส่งส่วยให้ตลอดอยู่แล้ว” น้ำเสียงเนือย ๆ กับใบหน้าเรียบนิ่งทำให้คนฟังไม่รู้สึกหมั่นไส้เหมือนที่ผ่านมา “ถ้านายหิวก็ไปกินเถอะ ที่โรงอาหารน่าจะยังพอมีอะไรขาย”


ได้ฟังดังนั้นชลชาติจึงเดินอ้อมอาคารกองกิจการนิสิตไปยังโรงอาหารเพื่อหาอะไรรองท้อง พักใหญ่ ๆ เขาก็เดินกลับมาพร้อมถุงพะรุงพะรัง มีทั้งข้าวกล่องและกาแฟเย็นที่ซื้อจากร้านกาแฟเจ้าประจำในซอยข้างมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มวางของทั้งหมดแล้วนั่งลงที่เดิม มองหน้าจอคอมพิวเตอร์พลางพึมพำเบา ๆ


“ดูไม่ยากเลยเนอะ”


“เทพไง”


“ให้คนอื่นชมตัวเองก็ได้มั้ง” ชลชาติบอกพร้อมกับเลื่อนข้าวกล่องและกาแฟเย็นให้ “อะนี่ เราซื้อมาฝาก”


“ขอบใจ” ปากพูด แต่ตากลับไม่ได้ละจากหน้าจอเลยสักนิด ซ้ำอีกมือยังพยายามจะเปิดข้าวกล่องออกกิน จนคนซื้อมาฝากจำต้องเอ่ยขึ้น


“พักกินข้าวก่อนก็ได้ เกิดมาตายอยู่ตรงนี้ นักศึกษาไม่กล้าเข้าหอสมุดพอดี”


“คนอย่างแสนยาฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว” เจ้าของชื่อบอก ปล่อยมือจากเมาส์แล้วหันมาจัดการกับข้าวกล่องอย่างจริงจัง


“พ่อนายชื่ออะไรวะ”


คำถามนั้นทำเอาแทบสำลัก “นายจะมาหลอกถามแล้วเอาไปล้อใช่ไหม”


ชลชาติถอนหายใจ “อายุปูนนี้ยังกลัวถูกล้อชื่อพ่อชื่อแม่อีกเหรอ”


“แล้วถามทำไม”


“นายชื่อแสนยา ลุงนายชื่ออานุภาพ เราก็เลยอยากรู้ว่าพ่อนายชื่ออะไร”


“อำนาจ” แสนยากล่าวทั้งที่ข้าวเต็มปาก


“เออ ยิ่งใหญ่กันทั้งบ้าน”


“ห้ามเอาไปล้อเด็ดขาด” ว่าแล้วก็เลื่อนแก้วกาแฟคืนให้คนซื้อ “อันนี้เราคืน เราไม่กินกาแฟ”


“อะไรวะ” ชลชาติมุ่นคิ้ว “อย่างนี้ตอนทำงานดึก ๆ แล้วง่วงทำยังไง”


คนถูกถามวางช้อนแล้วถอนใจ “ง่วงก็นอนสิ ไม่น่าถามเลย”


“เออจริง”


แสนยารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้งเมื่อมีอะไรหนัก ๆ ตกถึงท้อง นั่นเพราะส่วยที่เขาบอกว่ามีคนเอามาส่งให้ก็เป็นเพียงขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บรรดารุ่นพี่รุ่นน้องที่บังเอิญผ่านไปผ่านมาแวะเอามาให้ชิมคล้าย ๆ การให้อาหารยีราฟในสวนสัตว์เท่านั้น เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากข้าวกะเพราไข่ดาวที่แหว่งไปค่อนกล่องก็ไม่รู้ว่าชลชาติหายไปไหนเสียแล้ว ดูเวลาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เห็นว่าสามทุ่มกว่าจึงรีบกินให้เสร็จเพื่อจะได้ลงมือทำงานต่อ


ทันทีที่ปิดฝากล่องข้าว น้ำเปล่าขวดหนึ่งก็ถูกวางลงมาตรงหน้า แสนยาคว้าขวดมาเปิดดื่มพร้อมกับมองคนที่เดินอ้อมโต๊ะมานั่งลงข้าง ๆ


“ไอ้นี่คงกินได้ละมั้ง” พูดจบชลชาติก็เลื่อนแก้วสตรอเบอรีชีสเค้กปั่นให้ “เห็นลูกอาจารย์ที่ภาคชอบไปซื้อกินน่ะ”


แสนยายิ้มกว้าง รีบวางขวดน้ำเปล่าลงแล้วยกแก้วพลาสติกใสที่มีเกล็ดน้ำแข็งสีชมพูโรยด้วยชีสเค้กก้อนกลม ๆ ขึ้นดูด “ฮ่า! ซัลวาดอร์ ดาลี* ฟื้นคืนชีพแล้ว!!!”


“ทำท่าอย่างกับหมาได้กระดูก” คนมองส่ายหัว


สองคนนั่งอยู่ที่สำนักหอสมุดจนเกือบสี่ทุ่ม ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากให้ชลชาติตรวจทานข้อมูลต่าง ๆ แล้วแสนยาจึงเอ่ยขึ้น


“เราส่งไฟล์ให้พี่เจ้าของร้านทำป้ายที่รู้จักกันแล้วนะ รับรองราคาย่อมเยา เขาบอกว่าพรุ่งนี้บ่าย ๆ ให้ไปรับ ร้านเขาอยู่แถวบ้านเราพอดี เดี๋ยวเราไปเอาให้”


“แต่ว่า...”


“พรุ่งนี้นายน่าจะยุ่งกว่านี้เยอะ เราไปรับมาให้ก็แล้วกัน ยังไงเราก็ต้องเข้ามาที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วง เราออกให้ก่อน จะให้เขาออกใบเสร็จมาให้เรียบร้อย”


อาจารย์หนุ่มนิ่งคิด ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับความช่วยเหลือ


“เสร็จสักที” แสนยากล่าวก่อนจะเก็บคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใส่เป้ เห็นชลชาติกำลังค้นหาบางสิ่งจึงเอ่ยขึ้น “หาอะไรเหรอ”


“โทรศัพท์น่ะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหน”


“ลองเอาเครื่องเราโทรก็ได้” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พอจะกดเปิดก็เปิดไม่ติดเสียแล้ว “แบตหมดตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย ถึงว่าทำไมวันนี้แม่ไม่โทรตามเลย สงสัยกลับบ้านโดนบ่นหูชาแน่ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร อาจจะตกอยู่ในรถหรือลืมไว้ในห้องพักอาจารย์น่ะ เดี๋ยวเราลองหาดูอีกที นายรีบกลับเถอะ” ชลชาติกล่าวก่อนจะหิ้วถุงขยะไปทิ้ง เมื่อเดินกลับมาเห็นอีกฝ่ายดึงเป้ขึ้นสะพายหลังจึงเอ่ยขึ้น


“เรา...ขอเบอร์ติดต่อนายหน่อยได้ไหม”


แสนยาพยักหน้า หยิบปากกาจากประเป๋าเสื้อได้ก็หันซ้ายหันขวา “กระดาษเปียกน้ำหมดเลย นายยังต้องใช้อีกหรือเปล่า”


“เอากลับไปตากเดี๋ยวก็แห้ง ที่จริงเราถ่ายรูปเอาไว้แล้วละ จะมีก็แต่ตรงที่นายร่างแบบไว้” ชลชาติบอกพร้อมกับควานหาเศษกระดาษในกระเป๋า ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอีกคนหาวหวอด ๆ


“ไม่ต้องหาแล้ว เขียนใส่มือก็แล้วกัน” พูดจบแสนยาก็จับมืออีกฝ่ายขึ้นมา ถอดปลอกปากกาหมึกซึมออกแล้วเขียนตัวเลขสิบตัวลงไป


เมื่อแยกกับแสนยาแล้ว ชลชาติก็เดินกลับไปที่รถ เปิดประตูแล้ววางกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้บนที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นจึงนั่งประจำที่หลังพวงมาลัย เอื้อมมือเปิดไฟที่เหนือศีรษะก่อนจะดึงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของอีกคน



บ่ายวันต่อมาแสนยาไปรับป้ายทั้งหมดจากร้านมาส่งให้ชลชาติถึงที่คณะตามสัญญา อีกทั้งยังอยู่ช่วยติดตั้งและจัดสถานที่จนค่ำมืด


“คณะนี้เขามีอาจารย์กับนักศึกษาอยู่แค่นี้หรือไงวะ” ทำไปก็บ่นไป


“อย่าบ่นเลยน่า คนอื่น ๆ เขาก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน” ชลชาติบอก


“เออ ไม่บ่นเรื่องนี้ก็ได้ ขอบ่นเรื่องที่โทรไปปลุกตั้งแต่เช้าก็แล้วกัน” คนพูดมุ่นคิ้ว มือดึงป้ายแบบม้วนเก็บได้ให้ยืดออกตรึงกับโครงอะลูมิเนียม “ก็บอกอยู่ว่าร้านเขานัดให้ไปเอาตอนบ่าย นายดันโทรไปทวงเราตั้งแต่ยังไม่แปดโมง”


“ก็กลัวจะลืม” ชลชาติหัวเราะ รู้สึกสะใจที่ได้เอาคืนเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน


แสนยาถอนใจ เมื่อโรลอัพอันสุดท้ายถูกติดตั้งเสร็จ ชายหนุ่มก็ถอยออกมาดูผลงานของตนเอง สั่งให้นักศึกษาช่วยขยับตำแหน่งอีกเล็กน้อย ซุ้มของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาก็เสร็จสมบูรณ์


“ยังเหลืออะไรอีกหรือเปล่า”


“เหลือพวกเอกสารกับแผ่นพับที่ต้องจัดใส่กระเป๋าผ้าน่ะ อาจารย์ที่เขารับผิดชอบกำลังเอามา”


“ให้เราช่วยไหม”


“ไม่เป็นไร มีเด็ก ๆ มาช่วยแล้วไม่นานก็เสร็จ นายกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


แสนยาพยักหน้า กำลังจะเดินออกจากตึกก็ต้องหยุด เมื่อเห็นป้ายประชาสัมพันธ์แผ่นใหญ่


“เดือนหน้าคณะนายจะจัดงานวิ่งนี่”


“ทำไม สนใจเหรอ”


หนุ่มศิลปินคราง “อือ” ในลำคอก่อนจะเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังทำหน้าไม่เชื่อ “ทำไมวะ”


“ไม่คิดว่าวิ่งกับเขาด้วย”


“มีขานะ” พูดจบก็ยกขาให้ดู


“เออ เห็นแล้ว” ชลชาติถอนใจ


“ว่าแต่มันเต็มหรือยัง นายรู้ไหม”


“คงใกล้แล้วมั้ง นายลองโทรไปถามสิ งานนี้งานใหญ่ งบเยอะ รองคณบดีเป็นประธาน ใคร ๆ ก็อยากสมัคร”


“ขี้อิจฉา” จู่ ๆ แสนยาก็เอ่ยขึ้น


“นายว่าใคร”


“ว่านายนั่นแหละ พูดยังกับเด็กขี้อิจฉา โดนตัดงบนิดหน่อยทำเป็นน้อยใจ” คนพูดหัวเราะ “กลับดีกว่า เดี๋ยวโดนหงุดหงิดใส่อีก” ว่าแล้วก็เดินต่อ


ชลชาติเดินตามหนุ่มศิลปินไปจนถึงโฟล์คเต่าสีชมพู เห็นอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูจึงเอ่ยขึ้น “แสน ขอบคุณนะที่มาช่วย ไว้เสร็จงานเมื่อไรเราจะพาเลี้ยงข้าว”


“ไม่ต้องลำบากหรอก แค่ต่อไปนายอย่าเรียกเราว่าแสนก็พอ”


“แล้วจะให้เรียกอะไร เรียกอำนาจเหรอ”


“ไอ้มีน! ไหนบอกจะไม่ล้อชื่อพ่อไง”


“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” ชลชาติกล่าวหน้าตาย “แล้วสรุปจะให้เรียกอะไร”


แสนยากดยิ้มมุมปาก “เรียกเราว่าผู้มีพระคุณก็แล้วกัน”


“ไอ้บ้า” ชลชาติกล่าว มองคนที่กำลังโบกมือให้พลางโคลงหัว อดคิดไม่ได้ว่าไอ้หนุ่มศิลปินคนนี้มันสติดีหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วคนที่สติไม่ดีคือตัวเขาเองที่มายืนยิ้มอยู่ตรงนี้ทั้งที่ยังมีเรื่องชวนปวดหัวรออยู่อีกตั้งมาก   
   



* ซัลวาดอร์ ดาลี เป็นศิลปินกลุ่มเซอเรียลลิสต์ (วาดภาพเหนือจริง)


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2018 19:18:27 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คู่นั้นกำลังหวาน คู่นี้กำลังจะเกิดหรือเปล่านะ อ่านเพลิน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสนยากับชลชาติ นี่รุ่น ๆ เดียวกันเหรอ?

เห็นคนนึงเรียนโท อีกคนเป็นอาจารย์

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
แสนเป็นเพื่อนพายกับสิ ก็เลยรุ่นเดียวกับม่อนและมีนค่ะ มาเริ่มเรียนป.โท เพราะพ่อสั่ง ส่วนมีน เรียนป.โทจบแล้วมาเป็นอาจารย์

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เป็นอะไรที่อ่านได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ ๆ ๆ ๆ สะกดคนอ่านจนวางไม่ลงเลยนะ
เป็นเรื่องในฝันของทุกคน มีแฟนที่ดี มีเพื่อนที่น่ารัก บรรยากาศอบอุ่นมากๆ
 :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
จะขอเบอร์เขาก็เขินหรือยังไงนะ

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
แสน-มีนคู่นี้เค้าน่ารักเนาะ  :mew1:

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เรารักคุณพายุพัด  :L1:

ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
เราชอบทุกเรื่องที่ตัวเองเขียนเลยย ติดตามนะคะ ^^

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 17 กอด


นคินทรเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ปิดโคมไฟบนโต๊ะแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยใช้หมอนสอดไว้ด้านหลังในขณะที่ปลายนิ้วก็สัมผัสลงบนหน้าจอโทรศัพท์ได้ด้วย หัวคิ้วขมวดมุ่นจนคนมองอดแปลกใจไม่ได้ กระนั้นนคินทรก็ไม่คิดก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายด้วยการถามหาสาเหตุ   


“ทำไมถึงมาวันนี้ล่ะ”


“เราจะไม่อยู่หลายวัน” พายุพัดตอบ หากแต่ดวงตายังจดจ่ออยู่ที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์


“ไปกรุงเทพฯ เหรอ”


อีกฝ่ายพยักหน้า “ได้ข่าวว่าโค้ชป่วยน่ะ ก็เลยจะชวนมีนไปเยี่ยม แล้วก็ตั้งใจว่าจะกลับมาให้ทันวันเสาร์” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง ลูบหลังเจ้าซ่าหริ่มที่ขึ้นมานอนขดอยู่บนตัก พลันสีหน้าเคร่งขรึมก็แต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง


“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”


“ไม่อยากให้สุชาติขาดซ้อมน่ะ อีกอย่าง...กลัวคิดถึงม่อนด้วย เนอะซ่าหริ่มเนอะ”


“เกี่ยวอะไรกับเรา” นคินทรกล่าวก่อนจะลุกขึ้นปิดหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน ๆ


“แล้วม่อนล่ะ ถ้าเราไม่อยู่นาน ๆ ม่อนจะคิดถึงเราไหม”


คนถูกถามหยักยิ้มบางเบากับสายลมที่พัดกระทบผิวหน้า มือดึงบานหน้าต่างเข้าหาตัว ลงกลอนจนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา “เราไปคุยกับพ่อแม่ของสุชาติมาแล้วนะ เรื่องที่นายจะพาสุชาติไปแข่งน่ะ”


พายุพัดสบตาอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเนื้อความที่นคินทรพูดไปคนละทิศละทางกับสีหน้าและแววตาที่บอกความนัยอยู่เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มก้มลงมองหน้าเจ้าเหมียวพลางคิดว่าการเลี่ยงไม่ตอบคำถามยังทำให้ลุ้นเสียจนหัวใจเต้นรัวขนาดนี้ หากวันใดนคินทรตอบให้ได้ยินสักครั้ง คนรอฟังคงจะตัวเบาหวิวเป็นแน่ 


“แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“เราบอกว่าเป็นช่วงปิดเทอม ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นกว่านักกีฬาเสียอีก”


“ดีจัง ขอบคุณมากนะ”


นคินทรพยักหน้า แต่แล้วเสียงกุกกักที่ด้านนอกก็ทำให้ต้องชะเง้อมอง เช่นเดียวกับเจ้าซ่าหริ่มที่หันขวับ ทำหูตั้งตาโต จู่ ๆ มันก็ผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดแผล็ววิ่งออกไปทางช่องประตูที่เปิดแง้มไว้


“จะนอนเลยไหม เราจะได้ออกไปเก็บตุ๊กตา ไม่อย่างนั้นเจ้าสองตัวคงไล่ตะปบกันโครมครามทั้งคืน”


“ปล่อยมันเถอะ” พายุพัดบอก


ดังนั้นนคินทรจึงเดินมานั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง ฝนที่เริ่มตกลงมาส่งผลให้อากาศหนาวเย็นกว่าทุกคืน ชายหนุ่มสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม กำลังจะล้มตัวลงนอน พลันแขนแกร่งก็สอดเข้าข้างลำตัวก่อนจะออกแรงดึงจนร่างของเขาขึ้นไปทาบอยู่บนตัวของอีกฝ่าย


“ไม่หนักหรือไง” นคินทรกล่าวเสียงอู้อื้อเมื่อแก้มแนบลงกับแผงอกกว้าง หูได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ


“หนักก็จะกอด อยากกอดให้แน่น ๆ” ว่าแล้วพายุพัดก็กระชับวงแขน จังหวะนั้นให้รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณช่วงหัวไหล่ด้านขวาแล่นเลยไปถึงปลายมือ ชายหนุ่มกัดฟันรอกระทั่งอาการเริ่มทุเลาจึงเลื่อนมือลงดึงสมุดที่สอดอยู่ใต้หมอนใบข้าง ๆ มากางออก


เสียงพลิกกระดาษและมือที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นหลังเรียกทำให้นคินทรต้องเงยหน้าขึ้นจนปลายจมูกเกือบจะแตะแนวสันกรามของคนตรงหน้า “อ่านให้ฟังหน่อย”


พายุพัดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “พูดให้ฟังก็ได้ เราจำได้ทุกคำ”


ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของสมุดจึงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ซบหน้าลงกับซอกคอรอฟังข้อความในสมุดที่เขามักเปิดอ่านทุกคืน ดวงตาทอดตามองไปยังแหวนทองคำขาวบนมือซึ่งวางทาบอยู่บนตำแหน่งหัวใจของคนเขียน


“เรา...พูดไม่เก่ง กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้ไม่ครบ เราก็เลยต้องใช้วิธีเขียน หวังว่าม่อนจะอ่านมันจนจบ” พูดไปมือใหญ่ก็ลูบหลังคนที่อยู่เหนือร่างไป เห็นนคินทรค่อย ๆ หลับตาลงจึงกล่าวต่อ


“เคยได้ยินว่าถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน...หัวใจจะเต้นแรง ถึงแม้จะเห็นเขาตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นแบบนั้นกับใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันที่เราขึ้นรับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นตัวสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุจากอก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการได้พบใครคนหนึ่ง คนซื่อบื้ออย่างเราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขา สุดท้ายได้แต่บอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวใครคนนั้นก็จะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา เราก็เลยไม่คิดดิ้นรนไขว่คว้าอะไรอีก แต่อยู่ ๆ เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง และวันนั้นหัวใจของเราก็เต้นแรงกว่าที่เคย เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง เป็นคนรักสัตว์ แล้วชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด” ถึงตรงนี้คนพูดก็ยิ้มออกมา


“เราชอบนั่งมองเขาจากที่ไกล ๆ เวลาเห็นเขายิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาที่เห็นเขาทุกข์ใจเราเองอยากนั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่าเราจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เราไม่มั่นใจว่าถ้าเราบอกความรู้สึกให้เขารู้แล้วเขาจะว่ายังไง จะโกรธหรือเกลียดกันไหม จนวันหนึ่ง...เราคิดได้ว่าการบอกให้เขารู้น่าจะดีกว่าการเก็บเอาไว้ เราเลยไม่กลัวอีกต่อไป...ที่จะบอกให้ม่อนรู้...ว่าม่อนคือคนที่ทำให้เราใจเต้นแรงทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ม่อนทำให้คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเรามั่นใจว่า...เราชอบม่อน”


จบประโยคนั้นพายุพัดก็จมูกลงที่หางคิ้วของคนหลับ จากนั้นจึงทอดตามองข้อความที่อยู่สุดหน้ากระดาษ


                                                                         ขอบคุณนะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
                                                                                 
                                                                                         พาย
                                                                                 23 มีนาคม 2550
...


พายุพัดดึงประตูปิด ดวงตาละจากภาพของชายวัยสี่สิบปีเศษที่นอนอยู่บนเตียง มองป้ายที่ติดใต้ช่องกระจกระบุชื่อผู้ป่วย “นที ทองทำนุ” แล้วถอนใจเบา ๆ หากเป็นเมื่อ 20 กว่าปีก่อนคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะเขาคือผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการกีฬาว่ายน้ำด้วยการคว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้ประเทศไทยในการแข่งการกีฬาเอเชียนเกมส์ เมื่อวันเวลาผ่านไปนทีก็ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ แต่เมื่อต้นปีก่อนเขาเกิดล้มป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากการตรวจอย่างละเอียดพบว่ามีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS โรคเดียวกับที่เคยคร่าชีวิตนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญรางวัลจากกีฬาโอลิมปิกมาแล้วหนหนึ่ง และเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดลื่นล้มในห้องน้ำจนศีรษะกระแทกพื้น อดีตนักกีฬาและผู้ฝึกสอนว่ายน้ำทีมชาติจึงได้ถูกส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้     
 

“น่าสงสารโค้ชว่ะ ลูกเต้าก็ไม่มี อยู่กับภรรยาแค่สองคน เกิดเจ็บป่วยพร้อม ๆ กันใครจะดูแล” ชลชาติเอ่ยขึ้น


“ที่สมาคมรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”


“ก็น่าจะรู้นะ ก่อนหน้านี้ที่เรามาเยี่ยมไปรอบหนึ่งเห็นมีดอกไม้เยี่ยมไข้จากสมาคมด้วย”


“แล้วพวกเราพอจะช่วยอะไรโค้ชได้บ้างไหม”


“ก็อย่างที่นายเห็นในกลุ่มที่คุยกัน เพื่อน ๆ จะรวบรวมเงินมามอบเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่โค้ชต้องอยู่โรงพยาบาล แต่ในระยะยาวยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง”


“ถ้าอย่างนั้นลองไปปรึกษาอาจารย์ทวีกันไหม”


ชลชาติพยักหน้า จากนั้นสองร่างสูงก็เดินเคียงคู่กันไปตามทางภายในหอพักผู้ป่วย เมื่อผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล บรรดาหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดต่างสะกิดแขนแล้วพากันซุบซิบ ทำเอาคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนเอกสารต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เห็นว่าผู้ที่กำลังเดินผ่านคืออดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ก็วางมือแล้วบิดตัวไปมาด้วยความขวยเขิน


...


“รถติดเป็นบ้าเลย เราขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบชลชาติก็ผลุบหายเข้าไปในสุขาชายที่อยู่ใต้ตึกคณะ


เมื่อพายุพัดเดินตามเข้าไป ประตูห้องน้ำก็ปิดลงพอดี ชายหนุ่มเดินไปหยุดยังอ่างล้างมือ มองตัวเองบนกระจกก่อนจะเลื่อนมือซ้ายขึ้นบีบไหล่ข้างขวา จากนั้นจึงหมุนก๊อกเปิดน้ำล้างมือ พลันหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา


“ธรรม์ณธรแม่ง! เอาแต่สั่งงาน สอนก็ไม่สอน” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่เดินเข้ามาส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครอยู่ข้างในหรือไม่


“เออ นี่เราจ่ายค่าเทอมเพื่อมาทำรายงานหรือไงวะ” อีกคนเสริม


“นายว่าไหม ธรรม์ณธรแม่งเอาแต่รับใช้รองคณบดี ทำโครงการให้คณะบ้างละ ไม่เคยจะได้สอนหรอก เอะอะก็สั่งงานแล้วก็ไป”


“ทำแล้วได้ตังค์นี่หว่า ลูกศิษย์โง่ก็ช่างมัน”


เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยยังคงจ้องมองสายน้ำที่ไหลผ่านมือซึ่งถูกันไปมา เมื่อเขาหมุนก๊อกปิดน้ำประตูห้องสุขาก็เปิดออก


ชลชาติก้าวออกมาแล้วกวาดตามองกลุ่มเด็กหนุ่มผ่านเงาสะท้อนในกระจกไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่หน้าโถฉี่ เขาเดินไปหยุดข้างพายุพัด เปิดน้ำล้างมือแล้ว ดึงกระดาษชำระแล้วบรรจงเช็ดอย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตาทุกคู่ที่กำลังมองมาอีกครั้ง


“ข...ขอโทษครับอาจารย์” คนเปิดประเด็นเอ่ยขึ้น


“ขอโทษผมเรื่องอะไร” อาจารย์หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาคนข้างกันต้องแอบกดยิ้มมุมปาก นั่นเพราะนานมากแล้วที่พายุพัดไม่ได้เห็นชลชาติในมุมนี้


“ข...ขอโทษที่เสียงดัง เสียมารยาท แล้วก็...ร...เรื่องอาจารย์ธรรม์ณธรครับ”


เห็นเป็นลูกศิษย์ที่ตนเป็นที่ปรึกษา ชลชาติจึงถือโอกาสอบรมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ซ้ำอีก “คนที่พวกคุณควรจะขอโทษน่าจะเป็นอาจารย์ธรรม์ณธรมากกว่า” พูดจบก็หันมาสบตาตรง ๆ


บรรดาเด็กหนุ่มได้ฟังก็หลุบตาลง ประสานมือไว้ด้านหน้า


“อาจารย์แต่ละคนก็มีวิธีการสอนของตัวเอง ถามว่าคุณทำรายงานแล้วคุณได้ความรู้ไหม ถ้าไม่คัดลอกแล้ววาง ผมก็คิดว่าน่าจะได้นะ ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์ของพวกคุณ จะพูดอะไรก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง ส่วนพวกคุณเองก็เป็นเด็ก เที่ยวไปพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นจะมองอาจารย์ธรรม์ณธรในแง่ลบ เขาจะพลอยมองพวกคุณไม่ดีไปด้วย”


“ครับอาจารย์ ขอโทษครับ” ทั้งหมดเอ่ยขึ้นพร้อมกันพลางยกมือไหว้ จากนั้นจึงหลีกทางให้อาจารย์ที่ปรึกษาเดินออกไป


“วิญญาณประธานชมรมว่ายน้ำเข้าสิงหรือไง” พายุพัดกล่าวขณะก้าวมาขึ้นมาเดินข้างกัน 


คำพูดหยอกล้อของเพื่อนรักมิได้ช่วยลดความเคร่งเครียดของชลชาติเลยสักนิด ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะร้อนใจอยู่หน่อย ๆ “พวกนี้ต้องถูกอบรมเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะเอาไปพูดกันสนุกปาก ต่อเติมกันไปเรื่อย เดี๋ยวไอ้ธรรม์จะเสียหาย”


พายุพัดยกมุมปากขึ้นพอให้รู้ตัวว่าตนเองกำลังยิ้มพลางคิดถึงเหตุผลที่ทำให้เขาคบหาชลชาติอย่างสนิทใจจนถึงทุกวันนี้ นั่นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยและความจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งธรรม์ณธร


“ที่จริงมันก็ไม่ได้ไปไหน ทำงานอยู่ในคณะนี่แหละ ติดตรงที่...เลือกทำงานให้บางคนเท่านั้นเอง” ชลชาติกล่าว ตามองเจ้าของร่างสูงที่ในมือถือเอกสารซึ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์ บังเอิญสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเข้าปะปนไปกับกลุ่มนักศึกษาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก 


เห็นว่ายังมีนักศึกษายืนรอเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนอีกพอสมควร สองคนจึงพากันเดินขึ้นบันไดก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องพักของอาจารย์ทวีตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบอีกฝ่ายกำลังรออยู่พอดี ชลชาติแจ้งความคืบหน้าอาการป่วยของโค้ชนทีให้ทราบ จากนั้นจึงเล่าถึงสาเหตุที่พวกเขามากันในวันนี้


“ผมกับเพื่อน ๆ ปรึกษากัน อยากจะเสนอให้สมาคมตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติครับ” จากนั้นชลชาติก็อธิบายถึงวัตถุประสงค์และรายละเอียดของกองทุน


ฟังแล้วอาจารย์นทีก็ถอนใจเบา ๆ “แต่ไหนแต่ไรมาสมาคมก็ไม่ได้มีมาตรการรองรับอดีตผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาทีมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกคุณอยากเสนอให้มีการตั้งกองทุนที่ว่า ผมก็จะช่วยร่างหนังสือถึงสมาคมให้ แต่ผมไม่รับประกันนะว่ามันจะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการของสมาคมหรือเปล่า พวกคุณก็รู้ว่าเงินสนับสนุนต่าง ๆ ยังไงก็ต้องเอาไปลงกับนักกีฬาและผู้ฝึกสอนปัจจุบันที่ยังทำประโยชน์ให้กับสมาคมเป็นอันดับหนึ่ง”


“ผมเข้าใจครับอาจารย์” พายุพัดว่า “แต่วิธีนี้ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยเหลือโค้ชนทีกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ได้ในระยะยาว”


อาจารย์ทวีพยักหน้า แม้จะหนักใจอยู่บ้าง แต่ตัวเขาเองก็อยากจะช่วยเพื่อนเก่าเช่นกันดังนั้นจึงตัดสินใจรับปาก “ถ้าอย่างนั้นลองดูก็แล้วกัน”


“แล้วก็อีกอย่างครับ” ชลชาติเอ่ยขึ้น “พวกผมคิดกันว่าจะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลที่รวมอดีตนักกีฬาทีมชาติ มีการเก็บค่าเข้าชมเพื่อเอามาสมทบทุนช่วยเหลืออดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาที่ตอนนี้มีปัญหาสุขภาพ ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ผมจะส่งไอ้พายลงแข่ง” ทำพูดติดตลกแล้วโอบไหล่เพื่อนรัก


“อืม อันนี้พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะมันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพวกคุณกันเอง ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ก็บอกแล้วกันนะ”


หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ อาจารย์ทวีก็ขอตัวไปสอนนักศึกษา ดังนั้นชลชาติจึงเดินออกมาส่งพายุพัดที่หน้าตึกคณะเพราะเขาเองยังเหลือชั่วโมงที่ต้องสอนอีกเช่นกัน


“เดี๋ยวเย็นนี้เราซื้อของกินเข้าไปนะ ว่าแต่นายจะกลับคอนโดเลยหรือเปล่า”


“ยังหรอก” พายุพัดกล่าว “ว่าจะแวะไปหาพี่เดชน่ะ”


ชลชาติพยักหน้าด้วยคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี “เดช” หรือ “เดชา อนุชิตอนันต์” คือนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออโธปิดิกส์ อดีตแพทย์ประจำทีมทีมนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย ปัจจุบันประจำอยู่ที่สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกายของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง


“ไปเยี่ยมเฉย ๆ หรือว่านายเป็นอะไรหรือเปล่า”


“แค่อยากเจอ ไม่ได้เจอนานแล้ว” พายุพัดตอบเรียบ ๆ จากนั้นสองคนก็แยกกันที่หน้าคณะ


...


 ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก พายุพัดก็ก้าวเข้าไปด้านในอาคาร ตาคมกวาดมองตัวอักษรบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์พยาบาลซึ่งประกอบกันเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้ “สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย” เป็นที่ที่บรรดานักกีฬาต่างคุ้นเคยกันดีเพราะเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ขายาวก้าวช้า ๆ ราวกับกลัวว่าจะได้พบคนที่มาหาเร็วเกินไป เมื่อแจ้งวัตถุประสงค์ของการมาเรียบร้อยแล้ว พยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ก็เดินนำเขาไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นเธอก็เปิดประตูเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ด้านใน ครู่หนึ่งจึงกลับออกมา


“รอสักครู่นะคะ พอดีคุณหมอกำลังคุยกับคนไข้ค่ะ”


“ฝากเรียนคุณหมอว่าพรุ่งนี้ผมมาใหม่ก็ได้ครับ”


“ไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้วนะคะ คนไข้คนสุดท้ายแล้วค่ะ”


เมื่อได้รับการบอกกล่าวเช่นนั้น พายุพัดจึงตัดสินใจยืนรอที่หน้าห้อง ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความโต้ตอบกับนคินทรได้เพียงไม่กี่ประโยค ประตูก็ถูกเลื่อนเปิดพร้อมกับเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่ง


“เดินคล่องขึ้นแล้วนี่นะ”


“เอ้อ...ตั้งแต่มาให้เจ้าเดชดูดน้ำออกจากเข่าก็หายบวม ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย ขอบใจนายมากนะที่มาเป็นเพื่อน เดี๋ยวเดือนหน้ามาตรวจอีกรอบ อาจะวิ่งให้ดูนะเดช”


“ครับคุณอา จากนี้ก็หมั่นบริหารหัวเข่าตามที่ผมแนะนำไปนะครับ”


พายุพัดเก็บโทรศัพท์คืนกระเป๋า ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็ใจหายวาบ เมื่อพบว่านอกจากตนเองจะรู้จักชายหนุ่มสวมสูทกาวน์แขนยาวนั่นแล้ว ยังรู้จักอีกสองคนที่สวมเครื่องแบบทหารด้วย นั่นก็คือพลตรี นายแพทย์อานุภาพ และพลตรี นายแพทย์ธรณิน พ่อของนคินทรนั่นเอง ภาพที่ตาเห็นเป็นผลให้เท้าทำงานโดยอัตโนมัติ กำลังจะหันหลังกลับ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“อ้าวพาย มาทำอะไรที่นี่” นายแพทย์เดชากล่าว


ดังนั้นพายุพัดจึงจำต้องหยุดแล้วยกมือไหว้ทุกคน


“เธอนั่นเอง” อานุภาพเอ่ยขึ้น


“พ่อก็รู้จักพายด้วยเหรอครับ” เดชาเลิกคิ้ว


เจ้าของร่างสูงใหญ่พยักหน้าก่อนจะหันไปทางเพื่อน “คนนี้ไงที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่ามาด้วยกันกับลูกชายนาย ตอนที่ไปนำเสนอโครงการที่มูลนิธิก่อฝันปันสุข”


“โลกมันกลมดีแท้” ธรณินว่ายิ้ม ๆ


“ผมกับพายเราเคยเจอกันตอนที่ผมยังเป็นหมอประจำทีมทีมว่ายน้ำน่ะครับ” นายแพทย์หนุ่มกล่าว “ไงเรา วันนี้มาแค่แวะมาเยี่ยมพี่ หรือจะมาคุยกันเรื่องนั้น”


“อย่างหลังครับ” พายุพัดตอบเสียงแผ่ว


และเพราะคำว่า “อย่างหลัง” ทำให้เขาต้องเข้าไปนั่งอยู่ภายในห้องตรวจท่ามกลางวงล้อมของทั้งศัลยแพทย์ทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู และคุณหมอกระดูกและข้อ ในที่สุดก็จำต้องเล่าอาการทั้งหมดให้ฟัง


“เป็นมานานหรือยัง” ธรณินเอ่ยขึ้นหลังจากได้ฟังอาการของเพื่อนลูกชาย


“น่าจะตั้งแต่ก่อนไปเรียนเมืองนอกใช่ไหม” เดชากล่าวพลางหันไปหาอีกคนเพื่อหาข้อสรุป


“ตั้งแต่ก่อนเรียนจบก็เริ่มเจ็บมาเรื่อย ๆ ครับ แต่ตอนนั้นคิดว่ากล้ามเนื้ออักเสบธรรมดา ทายาแล้วก็หาย ก่อนไปเมืองนอกเริ่มเจ็บมากขึ้น ผมก็เลยมาปรึกษาพี่เดช” 


“เป็นเพราะหักโหมซ้อมใช่ไหม” ธรณินว่า


พายุพัดพยักหน้า


“แล้วหมอที่อเมริกาที่พี่เคยแนะนำให้ล่ะ เขาว่ายังไงบ้าง”


“ทำทุกวิธีแล้วครับ ทั้งกายภาพบำบัด ทั้งฉีดยาเข้าไปแต่ก็ไม่หาย พอต้องเก็บตัวแข่งโอลิมปิกผมก็ไม่ได้ไปพบหมออีกเลย จนประสบอุบัติเหตุแล้วกลับมาที่นี่ก็ยังไม่ได้รักษาต่อ”


“ทางนั้นเขาบอกไหมว่าจะรักษาต่อยังไง” เดชาถามทั้งที่จริงก็รู้คำตอบอยู่แล้ว


เห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบ พลตรี นายแพทย์อานุภาพซึ่งมีประสบการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ป่วยในกรณีเช่นเดียวกันนี้จึงเอ่ยขึ้น “คงกลัวว่าผ่าตัดแล้วจะกลับมาว่ายน้ำไม่ได้เหมือนเดิมด้วยสินะ”


“ครับ” พายุพัดยอมรับตามตรง


“แต่ถ้ามันถึงขั้นที่ปวดมาก ๆ จนกระทบกับชีวิตประจำวันก็ต้องยอมนะพาย” เดชาว่า


“ผมทราบครับ ถ้าถึงขั้นนั้นก็คงต้องยอม แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมเลยจะมาปรึกษาพี่เดชว่าพอจะมีทางยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยไหม”


“พี่ยังตอบอะไรไม่ได้เหมือนกัน คงต้องให้ทำ MRI ดูให้แน่ว่านอกจากหินปูนเกาะแล้ว ตอนนี้เอ็นหัวไหล่นายเป็นยังไงบ้าง”


จากนั้นเดชาก็เริ่มอธิบายแนวทางการรักษา ไปจนถึงวิธีการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น ระยะเวลาการพักฟื้น รวมทั้งผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อทั้งหมอและคนไข้เห็นภาพตรงกันจึงได้จัดการเรื่องการรักษาให้เป็นไปตามระบบและนัดให้พายุพัดมาพบอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป


พายุพัดเดินตามมาส่งธรณินที่หน้าอาคาร และเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมาเมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก หมอทหารยศพลตรีหยุดรอทหารคนสนิทที่กำลังขับรถลงจากลานจอด ในระหว่างนั้นพายุพัดจึงเอ่ยขึ้น


“คุณลุงครับ คือ...ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณลุงครับ”


ธรณินหันมาสบตาคนพูด “มีอะไรรึ”


“คุณลุงอย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ม่อนฟังนะครับ”


“แล้วเธอจะบอกเจ้าม่อนมันเมื่อไร”


“ผมอยากทำเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นผมจะบอกให้ม่อนรู้ครับ”


“เรื่องสอนว่ายน้ำใช่ไหม” ธรณินถาม เขาเองพอจะรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากคำบอกเล่าของลูกชายและเพื่อนสนิทอย่างอานุภาพมาบ้าง


“ครับ ผมอยากทำมันให้ถึงที่สุด เท่าที่ยังพอทำได้”


“ตามใจเธอก็แล้วกัน แต่อย่าหักโหมให้มากนักล่ะ”


“ครับ คุณลุง”


“พ่อ”


พายุพัดเลิกคิ้ว


“เรียกพ่อก็ได้ คนกันเอง” พูดได้แค่นั้นก็รีบดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง “เจ้าม่อนโทรมา สงสัยจะถามข่าว อ้อ...รถก็มาพอดี พ่อไปก่อนนะ”


“ถ้าอย่างนั้น ผมลาตรงนี้เลยนะครับ...คุณพ่อ” พูดจบก็ยกมือไหว้


“โชคดี” ธรณินกล่าว จากนั้นจึงเดินไปที่รถพร้อมกับกดรับสาย เมื่อยกโทรศัพท์แนบหูก็พูดขึ้น “ไงลูกชาย... อืม... อ้อ... ใช่ ๆ  สบายมาก เจอกันคราวหน้าพ่อจะเตะปี๊บให้ดู...”


พายุพัดยิ้มพลางมองตามเจ้าของรูปร่างภูมิฐานในชุดทหารที่กำลังเข้าไปนั่งในรถ นานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เรียก “พ่อ” นับตั้งแต่พ่อแท้ ๆ เสียชีวิต นึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ทำให้ความรู้สึกเมื่อครั้งยังเยาว์วัยหวนคืนมาอีกครั้ง


....    

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 02:21:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ซีดานสีเทาดำแล่นมาจอดที่หน้าสปอร์ตคลับในเช้าวันเสาร์ ก่อนลงจากรถนคินทรหันไปร่ำลาเจ้าแมวสองแม่ลูกในกรงและกำชับพิทักษ์ให้มารับตนเองที่บ้านของพายุพัดในวันถัดไป เมื่อชายหนุ่มสะพายเป้เดินเข้าไปด้านในก็ต้องประหลาดใจที่วันนี้ทั้งอาจารย์เมธีและอาจารย์สิริพิมพ์ผู้เป็นภรรยาต่างอยุ่ในชุดลำลองแทนที่จะเป็นชุดสำหรับลงว่ายน้ำหรือเล่นกีฬาเหมือนเช่นเคย


“ช่วงนี้ฝนตกบ่อยจ้ะ อากาศเย็น เด็ก ๆ ไม่สบายกันเยอะ ครูก็เลยปิดสระ จะมีก็แต่พวกผู้ใหญ่ที่มาเล่นฟิตเนส นี่ก็เลยชวนกันออกไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อย” พูดจบก็ส่งกุญแจรถให้สามี


“วันนี้สุชาติก็ไม่สบายเหมือนกันครับ” นคินทรบอกพลางมองหาอีกคน


“เจ้าพายว่ายน้ำอยู่ในสระข้างในน่ะ” เมธีบอก “ครูเอากุญแจแขวนไว้หน้าประตู ยังไงฝากม่อนบอกเจ้าพายด้วยว่าถ้าจะกลับแล้วให้ใส่กุญแจได้เลย เดี๋ยวเกิดมีใครเข้าไปแล้วเผลอตกน้ำตกท่าจะไม่เห็นกัน”


นคินทรรับคำ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังสระว่ายน้ำในร่มซึ่งอยู่ถัดเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มแทรกตัวผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ จากนั้นจึงวางเป้ลงที่เก้าอี้ มองร่างสูงที่กำลังก้าวขึ้นสู่แท่นปล่อยตัวช่องว่ายกลางสระ เขาสวมกางเกงว่ายน้ำขาสั้นแนบไปกับเนื้อ เปลือยท่อนบนซึ่งแน่นไปด้วยมัดกล้าม เอวสอบเข้านิด ๆ แต่ช่วงไหล่กลับขยายกว้างกระนั้นยังดูสมส่วน พายุพัดถอยเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลังก่อนจะโน้มตัวแล้วใช้สองมือจับกับขอบแท่น จากนั้นจึงย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งลงน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟิน คิก ในระยะ 4-5 เมตร ท่วงท่าพลิ้วไหวนั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังดูโลมาแหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำไม่มีผิด และเมื่อนักกีฬาหนุ่มเริ่มหมุนแขนก็ทำเอานคินทรที่เดินอยู่ริมสระตามแทบไม่ทัน เพียงชั่วพริบตาร่างขาวโพลนก็กลับตัวถีบทะยานออกจากขอบสระอีกฝั่ง แล้วว่ายกลับด้วยท่าเดิม


นคินทรนั่งลงใกล้กับบันได รอกระทั่งอีกฝ่ายว่ายแตะขอบสระ ดวงตาทอดมองฉลามหนุ่มที่ดำผุดดำว่ายลอดทุ่นลู่ใกล้เข้ามา 


“ทำไมวันนี้มาเอง แล้วสุชาติล่ะ” พายุพัดถามพลางดึงแว่นตากันน้ำออกวางไว้บนขอบสระ ลูบหน้าลูบตาแล้วเสยผมไปด้านหลัง


“เราจะแวะมาบอกว่าสุชาติไม่สบายน่ะ”


“เรื่องแค่นี้เอง วันหลังโทรมาหรือส่งข้อความมาก็ได้” คนพูดน้อยกล่าวหน้าตาย หากแต่นคินทรรู้ดีว่าตนเองกำลังโดนล้อ


“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นเราจะโทรไปบอกให้พิงย้อนกลับมารับ จะได้ไปเที่ยวบ้านพิงด้วย” พูดจบก็ดึงโทรศัพท์จากออกกระเป๋ากางเกงเตรียมจะกดแต่ก็ถูกมือใหญ่แย่งไปเสียก่อน


พายุพัดวางโทรศัพท์ให้ห่างตัวของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้น “เรายังพูดไม่ทันจบเลย”


นคินทรยกมือขึ้นกอดอก แสดงท่าทีให้รู้ว่ากำลังรอฟัง


“เราจะบอกว่า แต่ถ้ามาเป็นข้อความหรือเสียงก็ไม่หายคิดถึงหรอก เอาตัวมาน่ะดีแล้ว”


คนฟังส่ายหัวน้อย ๆ ให้กับความเจ้าคารี้สีคารมที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้น สุดท้ายเขาเองก็เป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง “ขึ้นเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”


“ช่วยดึงหน่อย” ว่าแล้วพายุพัดก็ยื่นมือให้


“ตอนลงไปทำไม่เห็นต้องให้ใครช่วยเลย บันไดก็มี” นคินทรบ่น กระนั้นยังเขยิบถอยหลังแล้วใช้สองมือดึงแขนอีกฝ่ายขึ้น แต่กลับสู้แรงไม่ไหว ถูกดึงลงไปในน้ำเสียเอง ชายหนุ่มตะเกียกตะกายทะลึ่งตัวขึ้น เหยียดขาจนสุดจึงรู้ว่าเท้าพอจะแตะถึงพื้นอยู่บ้าง ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ แล้วอดบ่นไม่ได้ “แกล้งเราแล้วยังจะมาขำอีก ขึ้นบันไดก็จบ เปียกหมดแล้วเห็นไหม”


“ม่อนไม่มีแรงดึงเราเองต่างหาก”


นคินทรมองคนที่ลอยตัวอยู่ใกล้ ๆ อย่างคาดโทษในขณะที่มือข้างหนึ่งเกาะทุ่นลู่แน่น ส่วนอีกมือถอดรองเท้าผ้าใบโยนขึ้นไปบนขอบสระ


พายุพัดขยับเข้ามาใกล้ จับมืออีกฝ่ายแล้วดึงออกจากทุ่น


“ด...เดี๋ยวพาย จะพาเราไปไหน”


“เราจะพาม่อนไปตรงจุดที่เราชอบที่สุด กลั้นหายใจนะ”


นคินทรพยักหน้า คลายมือข้างที่เหลือออกจากทุ่น กลั้นหายใจแล้วมุดลงใต้น้ำ ตายังคงมองมือของอีกฝ่ายที่จับมือของตนไว้ไม่ปล่อย เขาเหมือนกับคนนำทางที่ไม่มีวันยอมให้ผู้ร่วมทางคลาดสายตาไปไหน สองคนดำผ่านทุ่นลู่อันแล้วอันเล่ากระทั่งทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ต่างคนต่างเกาะทุ่นลู่เพื่อพักเหนื่อย นคินทรพบว่าขณะนี้ตนเองกำลังอยู่ที่จุดกึ่งกลางของสระ ตอนที่มองจากข้างบนยังคิดว่าไม่กว้างเท่าไร แต่พอได้ลงมาจริง ๆ กลับรู้สึกว่ามันกว้างมากและนักกีฬาคนหนึ่งคงต้องใช้กำลังอย่างมากกว่าจะว่ายไปแตะขอบสระเพื่อให้มีชื่อของตนปรากฏอยู่ในหน้าจอแสดงผลเป็นลำดับต้น ๆ


“เราคิดว่านายจะชอบเส้นชัยเสียอีก”   


“เราชอบตรงนี้มากกว่า ตรงนี้ทำให้เราเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นตะโกนเชียร์เรา” พายุพัดกล่าว มองคนตรงหน้าที่กำลังพาดคางบนทุ่นลู่เป่าปากกับน้ำจนเกิดเป็นเสียงประหลาด เหมือนเด็ก ๆ ที่เพิ่งลงสระเป็นครั้งแรก “ม่อน ฟังเราอยู่หรือเปล่า”


“เขินอยู่” นคินทรตอบเสียงอู้อี้ ไม่ทันระวังตัว จู่ ๆ พายุพัดก็ผลุบหายลงไปในน้ำ แล้วมุดข้ามมาโผล่ตรงหน้าเสียแล้ว จากที่เคยเกาะทุ่นลู่ สองมือจึงต้องเปลี่ยนมาเกาะบ่ากว้างเอาไว้แทน


เพียงฉลามหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยก็สามารถดันร่างของคนว่ายน้ำไม่เป็นไปจนแผ่นหลังชิดทุ่นลู่อีกฝั่งได้ พายุพัดใช้มือข้างหนึ่งเกาะทุ่นในขณะที่อีกมือสอดเข้าข้างลำตัวกอดเอวคนตรงหน้าเอาไว้แน่น และเมื่อมือขาวยกขึ้นเสยผมลู่น้ำที่ตกลงมาปรกหน้าให้ ดวงตาสองคู่จึงได้สบกันอีกครั้ง เนิ่นนานจนพายุพัดเผลอเลื่อนหน้าคมเข้าหาใช้ปลายจมูกเขี่ยปลายจมูกของอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วผละออก ในที่สุดเขาก็ถามคำถามหนึ่งที่ทำให้ทั้งตนเองและคนฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


“เรา...ขอจูบม่อนได้ไหม”


นคินทรสบตานิ่ง ในที่สุดจึงปิดเปลือกตาลงเป็นคำตอบ พลันสันจมูกก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเนื้อปากนุ่มที่แตะย้ำซ้ำ ๆ ชั่วอึดใจริมฝีปากของพายุพัดก็เลื่อนลงประกบปากของตนจนแทบไม่มีช่องว่าง แม้จะดูเงอะงะในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ถือว่านุ่มนวลอ่อนหวานจนทำให้เป็นจูบแรกที่น่าจดจำ   


...


ซูบารุ ฟอเรสเตอร์แล่นไปช้า ๆ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของบ่ายวันอาทิตย์  พายุพัดมองทางข้างหน้าสลับกับคนนั่งข้าง ๆ ที่ตอนนี้เอาแต่ทอดสายตาออกไปนอกกระจกหน้าต่างตั้งแต่ที่สองข้างทางเริ่มแวดล้อมไปด้วยป่าเขา   


“ทำไมมาทางนี้ล่ะ” นคินทรถามขึ้น   


“ทางนี้ก็ไปได้เหมือนกัน”


“เรารู้ว่าไปได้เหมือนกัน แต่มันอ้อมกว่ากันตั้งเยอะ ถ้าไปทางเดิม ไม่เกินสี่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”


“ไปทางนี้จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ ไง ขากลับเราขับมาคนเดียวก็ค่อยกลับทางเก่า”


นคินทรฟังแล้วได้แต่ส่ายหัวเมื่อไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาโต้แย้ง เขาทำเช่นนี้มาแล้วหนหนึ่งตั้งแต่เมื่อตอนเช้าที่พายุพัดบอกให้โทรไปบอกพิทักษ์ว่าไม่ต้องแวะรับ ไม่เข้าใจว่าพายุพัดจะต้องเสียเวลาไปส่งทำไม ในเมื่อพิทักษ์เองก็ต้องกลับไปที่บ้านพักครูที่อำเภอสันติสุขเหมือนกัน ซ้ำรถที่อีกฝ่ายขับก็เป็นรถของเขาด้วย


กว่า 2 ชั่วโมงที่ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางที่นคินทรไม่คุ้นเคย ผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ และนาข้าวสีเขียวขจีในอำเภอปัว จนกระทั่งแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1256 มาได้สักพักจึงค่อย ๆ ไต่ระดับความชันเมื่อเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางที่นาน ๆ ถึงจะมีรถสวนมาสักคัน   


“เหมือนอยู่บนเมฆเลย” นคินทรเอ่ยขึ้นเมื่อทิวทัศน์สองฟากถนนแปลเปลี่ยนเป็นภูเขาทอดตัวสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยปุยเมฆสีขาว


“เขาถึงเรียกว่าถนนลอยฟ้าไง ถ้ามาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมก็จะได้เห็นดอกชมพูภูคาด้วยนะ” พูดจบเจ้าของรถก็ปิดแอร์แล้วลดกระจกลง


คนฟังมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้สายลมกระทบผิวหน้าพลางยิ้มกับตัวเอง จริงตามอย่างพายุพัดว่าที่เส้นทางนี้ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะขับรถแบบไม่รีบไม่ร้อน แวะชื่นชมธรรมชาติสองทางข้างทางราวกับพยายามจะถ่วงเวลาเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ แล้ว ยังสรรหาเรื่องราวมากมายมาเล่าให้ฟัง ทั้งหมดทที่เขาพูดในวันนี้คงเท่ากับทั้งสัปดาห์รวมกัน


“ยิ้มอยู่คนเดียวเลย ไม่เห็นบอกเราบ้างว่ายิ้มอะไร” พายุพัดเอ่ยขึ้น


“เปล่า ไม่มีอะไร” นคินทรบอกพลางก้มลงมองมือของอีกฝ่ายที่เลื่อนมากุมมือตนไว้


“เป็นครูห้ามพูดปด คนพูดปดต้องถูกทำโทษ”


“จะทำอะไรเรา”


“อืม...ทำแบบเมื่อวานดีไหม”


“พอเลย” นคินทรปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วเสมองไปทางอื่น เมื่อนึกถึงสัมผัสหวานละมุนกลางสระว่ายน้ำเมื่อวันก่อนก็ให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า


ฝนที่โปรยลงมาบวกกับเส้นทางที่เริ่มคดเคี้ยวขึ้นทำให้รถเคลื่อนได้ช้าลง บางช่วงถนนโค้งเป็นรูปตัวเอสซ้ำยังลาดชันจำเป็นต้องอาศัยความระมัดระวังในการขับขี่ บางช่วงก็คล้ายกับเส้นทางนั้นถูกยกขึ้นเหนือมวลเมฆ มองเห็นไร่ข้าวโพด พื้นที่ทำการเกษตร และทิวเขาซ้อนกันเป็นลูกคลื่น สวยงามราวภาพวาดจนบางครั้งทั้งคนนั่งและคนขับก็อาจเผลอปล่อยใจให้ลอยไป จึงต้องชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระ กระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ รถก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานกว้างข้างทาง


เห็นตัวเลขที่หล่อจากปูนซีเมนต์ นคินทรก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือจุดชมวิว 1715 เมื่อเปิดประตูลงจากรถได้ ชายหนุ่มก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหยุดยังระเบียงที่ยื่นออกจากหน้าผา ทอดตามองทิวทัศน์เบื้องหน้าซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาเขียวที่ทอดตัวซ้อนกันสลับสีเข้มอ่อน มีท้องฟ้ายามเย็นเป็นฉากหลัง เมฆสีขาวลอยต่ำเรี่ยไปกับยอดไม้ อากาศโดยรอบหนาวเย็นเพราะฝนเพิ่งขาดเม็ด หากแต่ร่างกายกับรู้สึกอบอุ่นด้วยอ้อมแขนของคนที่เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง


“กอดอีกแล้ว”


“ไม่ได้เหรอ” พายุพัดถาม           


นคินทรไม่ตอบ เพียงแต่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังค่อย ๆ ทำให้เขาขาดจากอ้อมกอดนี้ไม่ได้ก็เท่านั้น


“อยากกอดชดเชยตอนที่เราไม่อยู่”


“ต้องไปกรุงเทพฯ อีกแล้วเหรอ”


“อืม เพื่อน ๆ คุยกันว่าจะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลหาเงินช่วยเหลือโค้ชแล้วก็อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติน่ะ”


“แล้วไหล่ล่ะ ยังปวดอยู่หรือเปล่า ไปหาหมอมาหรือยัง”


“ไปหามาแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” พูดจบพายุพัดก็พาดคางลงบนบ่าของคนตรงหน้า กระชับวงแขนแน่นเข้า “ถ้าเรากลับมาว่ายน้ำอีกครั้ง ม่อนจะเชียร์เราไหม”


นคินทรเหลียวมองอีกฝ่ายพลางยิ้มน้อย ๆ “มันแน่อยู่แล้ว ถ้าไม่เชียร์นายแล้วจะให้เราไปเชียร์ใคร”


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-10-2018 09:06:45 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ธรรม์ณธรหยุดหอบที่หน้าห้องซึ่งติดป้าย “รองคณบดี” ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ ได้ยินเสียงคนข้างในอนุญาตแล้วจึงเปิดเข้าไป ชายหนุ่มยกมือไหว้เจ้าของห้องจากนั้นจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำเชิญ


“ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วยครับที่มาช้า พอดีวันนี้ผมให้นักศึกษานำเสนอหน้าชั้นก็เลยเลิกเกินเวลาไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร อันที่จริงเรื่องของผมที่จะขอให้คุณช่วยก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไร แค่จะขอให้ช่วยเซ็นเบิกเงินโครงการน่ะ พอดีกรรมการคนอื่น ๆ เขาเซ็นกันมาหลายรอบแล้ว” พูดจบอาจารย์ธนิตก็เปิดลิ้นชัก หยิบเอกสารขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ยังไม่ได้ใส่จำนวน คุณคงไม่ขัดข้องใช่ไหม”


“ไม่มีปัญหาครับอาจารย์” ธรรม์ณธรบอก จากนั้นจึงดึงปากกาจากกระเป๋าเสื้อลงชื่อในช่องผู้เบิกเงินแล้วส่งเอกสารคืนให้ “เรื่องทีมแพทย์พยาบาลที่จะมาดูแลผู้เข้าแข่งขันในงานวิ่ง ผมรบกวนให้พี่เดชาที่เคยเป็นหมอประจำทีมทีมชาติช่วยดำเนินการให้แล้วนะครับ คิดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้าก็น่าจะรวบรวมอาสาสมัครได้”


“บอกหมอเดชานะว่าไม่ต้องจัดมาเยอะนัก งบประมาณที่เรามีไม่ได้มากขนาดที่จะจัดทีมแพทย์ยี่สิบสามสิบคนเหมือนงานอื่น ๆ ยังต้องเอาไปจัดสรรอีกหลายเรื่อง”


“ครับอาจารย์


“เอาละ ยังไงก็ขอบใจมาก คุณนี่ทำงานคล่องดี เอาไว้อีกหน่อยผมจะสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าภาควิชา”


“ขอบคุณมากครับอาจารย์” ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริเมื่อการตั้งใจทำงานของเขาทำให้อีกฝ่ายเป็นความสำคัญ


“แต่ระวังพวกที่มันชอบทำตัวเด่นเกินหน้าก็แล้วกัน”


“อาจารย์หมายถึงใครครับ”


“นี่คุณไม่รู้เรื่องที่ชลชาติกับอาจารย์ทวียื่นหนังสือถึงสมาคมขอให้พิจารณาก่อตั้งกองทุนช่วยเหลืออดีตผู้ฝึกสอนและนักว่ายน้ำทีมชาติหรอกเหรอ”


“ผมเห็นเพื่อน ๆ คุยกันอยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอะไร”


“ไม่สำคัญได้ยังไง ยิ่งชลชาติน่ะเพิ่งได้รับคำชมจากท่านคณบดีเมื่อตอนที่ทำงานเปิดบ้าน แถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องจัดตั้งกองทุนนี่อีก คุณระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน ถ้าชลชาติทำสำเร็จขึ้นมาละก็ เขาจะกลายเป็นที่ยอมรับและชื่นชมของคนอื่น ทีนี้เส้นทางการเป็นหัวหน้าภาควิชาของคุณก็จะไม่ง่ายอีกต่อไป”


ธรรม์ณธรสบตาคนตรงหน้า เขาเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ธนิตบอก รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยเตือนสติ ส่วนตนเองก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ซ้ำรอยเดิม นั่นเพราะไม่ต้องการเป็นคนที่ถูกมองข้ามอีกแล้ว


....


โครงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลอดีตผู้ฝึกสอนและนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติถูกนำเข้าเป็นวาระเพื่อพิจารณาในการประชุมของสมาคมว่ายน้ำในอีกหนึ่งเดือนถัดมา แต่แล้วเหล่ากรรมการก็มีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองเสียง เสียงหนึ่งเห็นควรให้สมาคมผลักดันกองทุนนี้ให้เกิดขึ้น ส่วนเสียงที่ไม่เห็นด้วยนั้นได้ชี้ให้เหตุผลว่าผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาที่ได้สิ้นสุดการเป็นทีมชาติแล้ว ควรยกความรับผิดชอบในการรักษาพยาบาลให้เป็นหน้าที่ของครอบครัว เงินทุนต่าง ๆ ที่สมาคมได้รับมาควรนำไปใช้เพื่อการดูแลผู้ฝึกสอนและนักกีฬาปัจจุบันที่ยังคงสร้างผลงานและทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นสำคัญ ดังนั้นโครงการนี้จึงถูกพักเอาไว้แล้วนำมาพิจารณาในครั้งต่อไป


“คนที่คัดค้านก็คือคุณธีระ” อาจารย์ทวีเอ่ยขึ้นหลังจากได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในที่ประชุมของสมาคมให้ลูกศิษย์ฟัง “เหตุผลของเขาก็พอฟังขึ้น”


“ธีระ ทวีศักดิ์ อดีตนักกีฬาดีเด่นสามปีซ้อน” พายุพัดเอ่ยขึ้น


เห็นอาจารย์ทวีพยักหน้า ชลชาติถึงกับมุ่นคิ้ว “ใครวะไอ้พาย ทำไมนามสกุลคุ้น ๆ”


“ลุงของธรรม์” คำตอบของเพื่อนรักทำอาจารย์หนุ่มถึงบางอ้อ


“เขาสนิทกับรองนายกสมาคม พูดอะไรใคร ๆ ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยหมด” อาจารย์ทวีเสริม


“ผมว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับไอ้ธรรม์แน่ ๆ”


“แล้วก็อาจจะเกี่ยวกับเราสองคนด้วย” พายุพัดกล่าวเสียงเรียบ


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไอ้ธรรม์ก็ไม่มีเหตุผลเลย เอาเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมมาปนเปกัน ผ่านมาตั้งนานแล้ว จะเจ็บแค้นอะไรนักหนาวะ”


อาจารย์ทวีที่พอจะทราบเรื่องราวในเชิงลึกถอนใจเบา ๆ ด้วยรู้ดีว่าทุกวันนี้ที่ธรรม์ณธรยังคงเดินไปไหนมาไหนได้อย่างไม่กลัวใครได้ก็เพราะบารมีของลุงซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาที่เคยทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติ “ผมคงช่วยพวกคุณได้เท่านี้ละนะ”


“เท่านี้ก็ดีมากแล้วละครับอาจารย์ ผมกับเพื่อน ๆ ทุกคนต้องขอบคุณอาจารย์มาก ๆ” ชลชาติว่า


“แล้วต่อจากนี้พวกคุณจะทำยังไง”


“เดี๋ยวพวกผมจะลองปรึกษากันก่อนครับ คงทำเท่าที่กำลังของพวกเราจะทำได้”     


เมื่อคุยกับอาจารย์ทวีเรียบร้อย สองคนก็พากันเดินลงจากตึก


“คิดอะไรอยู่วะ” ชลชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนเดินข้าง ๆ ดูเงียบขรึมผิดปกติ


“เราจะไปพูดกับธรรม์” พายุพัดตอบสั้น ๆ


ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะเมื่อพวกเขาลงมาถึงชั้นล่าง ธรรม์ณธรก็เดินสวนเข้ามาพอดี อีกฝ่ายยังคงทักทายด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทดังเช่นทุกครั้ง ส่วนพายุพัดและชลชาติก็ตอบกลับด้วยการนิ่งเฉยเหมือนเคย


“เรามีเรื่องอยากขอร้องนาย” จู่ ๆ คนพูดน้อยก็เอ่ยขึ้น


ธรรม์ณธรแสร้งเลิกคิ้วประหลาดใจ “คนไร้ความสามารถอย่างเราจะช่วยอะไรนักกีฬาใหญ่อย่างนายได้”


“ได้สิ” ชลชาติแทรกขึ้น “ก็เรื่องโครงการกองทุนสวัสดิการไง นายช่วยพูดให้ลุงนายสนับสนุนโครงการนี้หน่อยได้ไหม เพราะถ้ามันเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวนาย”


“แต่เราเห็นด้วยกับลุงว่ะ ว่าโค้ชหรือนักกีฬาที่โดนเขี่ยออกจากทีมชาติยังไงก็คือพวกหมดประโยชน์ เหมือนกับเรา นาย แล้วก็นายนั่นแหละ” ธรรม์ณธรกล่าวพลางชี้หน้าทีละคนแล้วหัวเราะพรืด “เอ๊า ๆ อย่าเพิ่งทำหน้าหงอย ถ้าจะให้ไปช่วยพูดให้ก็ได้นะ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย”


“อะไรวะ” ชลชาติชักเริ่มโมโห


“ได้ข่าวว่าพวกนายกับคนอื่น ๆ จะจัดแข่งขันว่ายน้ำการกุศลนี่ มาแข่งกันหน่อยไหมล่ะ” ว่าแล้วก็หันไปทางพายุพัดซึ่งถือว่าเป็นคู่ปรับเก่าตลอดการ “ถ้าไอ้พายชนะเราได้ เราจะไปพูดกับลุงเราให้”


"ได้” เจ้าของชื่อตอบรับอย่างไม่ลังเล “นายเองก็รักษาสัญญาด้วยแล้วกัน




ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 20:16:08 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
พูดกันคนพาลอย่างไรก็ไม่ได้ผลหรอก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เดาว่า อีกไม่ช้า  ธรรม์จะต้องถูกคดีอะไรแน่ ๆ ก็ดันไปเซนต์เบิกเงินแบบไม่ระบุตัวเลขให้กับรองคณบดี

ดูก็รู้ว่า รองคณบดีธนิตเนี่ย  เลวของแท้ เลวสุด ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เค้าจูบกันแล้วววแง้
อ่านแล้วเขินจะเป็นจะตาย
พายหลงม่อนหนักมกากกกกกก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โอ๊ยยย มาเต็ม.. ทั้งความละมุน ทั้งมีเรื่องให้คิด และที่สำคัญบรรยกาศของเมืองน่านเหมือนเดินไปกับม่อนและพายเลย
ขอบคุณคนเขียนมาก
 :L2: :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อารมณ์แบบหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จริงๆ พายไม่เคยทำอะไรธรรม์เลย ทุกอย่างตั้งแต่สารกระตุ้น ทำตัวเองทั้งนั้น
แค่พายอยู่ในสถานะที่เป็น rival กับตัวเอง เลยถูกเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยๆ
เพื่อที่จะอยู่เหนือกว่าพาย เลยเลือกทางง่ายทางลัด ตัวเองเลือกทางผิดเองแท้ๆ
คนแบบนี้ต่อให้อยู่ที่สูงก็อยู่ได้ไม่นาน ซักวันก็ต้องลงมาต่ำตามเดิม ตามที่ควรจะเป็น

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
บาดเจ็บจากการฝึกซ้อม เพื่อแข่งรับใช้ชาติ พอหมดประโยชน์ก็ไม่เหลียวแลกัน ใจร้ายอะ
เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ แทบทุกประเภทกีฬา สมควรมีกองทุนดูแลคนเหล่านี้ แบ่งเบาภาระบางส่วนก็ยังดี
ส่วนธรรม์นั้นชีวิตมีด้านเดียวเหรอ ยืนอยู่ฝั่งดาร์กตั้งกะเด็กจนโต
พอเข้าตาจนอยากรู้ว่าคนที่ตัวเองทำงานถวายหัวเขาจะยังเห็นค่าอยู่ไหม
ขนาดชลชาติเจอความร้ายกาจของธรรม์บ่อย ๆ ยังออกตัวแทนเลย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ธรรม์นี่ไม่รู้จักโตเลยจริงๆนะ คิดว่าพอมาเป็นอาจารย์สอนคนแล้วจะคิดอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่เลย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ธรรม์ต้องรอวันที่ตัวเองเจ็บป่วยแล้วไม่มีคนช่วยดู จะได้รู้ แล้วไปเซ็นต์อะไรนั่น อนาคตเห็นงานเข้ามาแต่ไกล เป็นกำลังใจให้สู้ๆ เราไม่อยู่ข้างนาย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ดีใจ ที่ได้อ่าน ความในใจ ของพาย   ซึ้งมากกกกกกกกกกกก  :กอด1:


อ้างถึง
“เรา...พูดไม่เก่ง กลัวว่าถ้าพูดออกไปจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดได้ไม่ครบ เราก็เลยต้องใช้วิธีเขียน หวังว่าม่อนจะอ่านมันจนจบ” พูดไปมือใหญ่ก็ลูบหลังคนที่อยู่เหนือร่างไป เห็นนคินทรค่อย ๆ หลับตาลงจึงกล่าวต่อ


“เคยได้ยินว่าถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครสักคน...หัวใจจะเต้นแรง ถึงแม้จะเห็นเขาตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด เชื่อไหมว่าตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเป็นแบบนั้นกับใครเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันที่เราขึ้นรับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นตัวสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุจากอก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการได้พบใครคนหนึ่ง คนซื่อบื้ออย่างเราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขา สุดท้ายได้แต่บอกตัวเองว่าอีกเดี๋ยวใครคนนั้นก็จะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับกาลเวลา เราก็เลยไม่คิดดิ้นรนไขว่คว้าอะไรอีก แต่อยู่ ๆ เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง และวันนั้นหัวใจของเราก็เต้นแรงกว่าที่เคย เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง เป็นคนรักสัตว์ แล้วชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิด” ถึงตรงนี้คนพูดก็ยิ้มออกมา


“เราชอบนั่งมองเขาจากที่ไกล ๆ เวลาเห็นเขายิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาที่เห็นเขาทุกข์ใจเราเองอยากนั่งลงข้าง ๆ แล้วบอกว่าเราจะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เราไม่มั่นใจว่าถ้าเราบอกความรู้สึกให้เขารู้แล้วเขาจะว่ายังไง จะโกรธหรือเกลียดกันไหม จนวันหนึ่ง...เราคิดได้ว่าการบอกให้เขารู้น่าจะดีกว่าการเก็บเอาไว้ เราเลยไม่กลัวอีกต่อไป...ที่จะบอกให้ม่อนรู้...ว่าม่อนคือคนที่ทำให้เราใจเต้นแรงทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ม่อนทำให้คนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเรามั่นใจว่า...เราชอบม่อน”




 ..ลุ้น ฉลามพาย ลงแข่งอีกครั้ง............... รอ ถธปทฟ มาลงตอนต่อไป ใจะจขาดแล้ว.......

คงไม่มีบาดเจ็บ กล้ามเนื้อฉีก อะไร แบบ นั้นนะ   ฮืออออออออออ :mew3:




 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด