บทที่ ๑
"ไอ้มิ่ง"
"ขอรับคุณท่าน"
'ไอ้มิ่ง' ทาสหนุ่มคนสนิทของไตรทศเอ่ยตอบรับเจ้านายตนหลังจากที่ผู้เป็นนายนั้นนั่งเงียบอยู่เสียนานตั้งแต่ตอนเช้าหลังจากที่กลับมาจากวัดกับคุณพิกุล ทั้งยังทำสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลาเหมือนกำลังคิดหนักหรือคิดไม่ตก มิรู้ว่าไปเจอเหตุการณ์อันใดมา ครั้นผู้เป็นทาสจะเอ่ยถามก็มิกล้า เพราะเป็นแค่ทาสจึงมิอาจละลาบละล้วงผู้เป็นนาย
"เอ็งรู้จักเด็กวัดที่ชื่อจันหรือไม่?" ทาสหนุ่มทำท่าคิด
"ไอ้จันเพื่อนไอ้มั่นหรือขอรับ? " ไตรทศมิตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้าเป็นคำตอบแทน
"รู้จักสิขอรับ มันเป็นหลานตาคงหมอผีที่ชาวบ้านนับถือกัน ทั้งมันยังมีหน้าตาหล่อเหลาคมสันเสียจนสาวน้อยสาวใหญ่ติดมันตรึม จนกระผมเองยังแอบอิจฉามันเลยขอรับ"
ไตรทศนั่งฟังสิ่งที่ทาสหนุ่มเล่าอย่างตั้งใจ ที่พูดมาก็เป็นความจริง นายจันผู้นี้หน้าตาถือว่าดีมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด ติดที่แค่นิสัยหุนหันไปเสียหน่อย หากสอนสั่งดีๆเสียหน่อยก็คงพอไปวัดไปวากับเขาได้
"อีกอย่างกระผมได้ยินมาด้วยว่ามันแอบชอบพอคุณพิกุลด้วยขอรับ"
ก็ใช่ว่าตัวเขาจะดูมิออกว่าชายหนุ่มผู้นี้ชอบแม่พิกุลอยู่มากโขแลมิชอบที่เห็นตนอยู่กับแม่พิกุล ป่านนี้คงคิดว่าตนเป็นศัตรูหัวใจไปเสียแล้วกระมัง
"แต่คุณท่านอย่ากังวลไปเลยขอรับ คุณท่านของไอ้มิ่งหล่อเหลากว่าตั้งเยอะ คุณพิกุลคงมิชายตาแลมันหรอกขอรับ"
เขาคิดหนักเรื่องนี้เสียเมื่อไหร่ ไตรทศแค่รู้สึกสนใจในตัวนายจันผู้นี้เท่านั้น เรื่องชอบพอแม่พิกุลมันก็สิทธิของเขา ตนมิได้สนใจเสียด้วยซ้ำ
ชอบได้ก็เลิกชอบได้
"เอ็งนี่หัดเลียแข้งเลียขานะไอ้มิ่ง" หันไปดุทาสหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่มิไกล
"หามิได้ขอรับ กระผมแค่พูดความจริงเพียงเท่านั้น"
ไตรทศนั้นชินกับคำเยินยอเรื่องหน้าตาไปเสียแล้วเพราะได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต มิรู้ดอกว่าผู้คนที่ชอบมาชมนั้นจริงใจจริงหรือไม่ เพราะบางคนแค่รู้ว่าตนเป็นถึงลูกของท่านพระยาเกษมก็เข้ามาทำดีด้วยเสียแล้ว เข้าหาด้วยฐานะ มิได้เข้าหาเพราะอยากรู้จักจริงๆสักราย
"ไปดูแม่พิกุลร้อยมาลัยเสียหน่อยดีกว่า" พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเกาอี้ไม้สักทองตัวที่นั่งอยู่ เดินไปทางชานเรือนที่มีคุณหญิงแม่และคุณหญิงป้ามารดาของแม่พิกุลกำลังนั่งดูแม่พิกุลร้อยมาลัยดอกแก้วอยู่มิไกล
"มาแล้วหรือไตรทศ" คุณหญิงนิ่มหรือแม่นิ่ม ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้น
"ขอรับ"
"สบายดีหรือพ่อไตร?" คุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลเอ่ยถาม
"สบายดีขอรับคุณหญิงป้า" ไตรทศไหว้ผู้มีอายุทั้งสองก่อนจะเดินไปนั่งบนตั่งไม้สักที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก
"งามหรือไม่เจ้าคะคุณพี่ไตร?"
หญิงสาวที่นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่หันมาถามไตรทศ ชูมาลัยดอกแก้วที่ถูกร้อยอย่างบรรจงให้ดู พอมองดูก็เห็นถึงความใส่ใจ และรายละเอียดที่สวยงาม ดอกแก้วมิช้ำแม้สักดอกเดียว ชี้ให้เห็นว่าผู้ร้อยนั้นตั้งใจบรรจงร้อยเพียงใด
"งามแล้วแม่พิกุล"
"เจ้าค่ะ"
สาวน้อยก้มหน้าร้อยต่ออย่างขวยเขิน รู้ดีว่าคนพี่ชมมาลัยมิได้ชมตน แต่คำชมนั้นก็ทำเอาหัวใจเต้นมิเป็นจังหวะทีเดียวเชียว
"เจ้าร้อยให้พี่สักพวงได้หรือไม่? พี่อยากจะเอาไปถวายพระท่านพรุ่งนี้เสียหน่อย "
"เหตุใดจะมิได้ล่ะเจ้าคะ น้องเต็มใจหากพี่ไตรต้องการ"
"ขอบใจออเจ้ามากหนา" พิกุลยิ้มรับอย่างยินดี พรางหันไปตั้งใจร้อยมาลัยในมือตนต่อ
ทุกคำพูด ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งคู่ ผู้เป็นมารดาทั้งสองมองภาพชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองด้วยความเอ็นดู
เหตุที่คุณหญิงลำดวน มารดาของพิกุลมาด้วยวันนี้ก็เพราะว่าอยากจะมาคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างแม่พิกุลและไตรทศนั่นเอง หากแต่การคุยนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เรื่องหมั้นหมายจึงมิมีผู้ได้ล่วงรู้
"เร็วๆสิไอ้มิ่ง ประเดี๋ยวพระท่านก็ไปก่อนเสียหรอก" ไตรทศพูดเร่งทาสหนุ่มที่ตื่นสายกว่าทุกวันจนทำให้การเดินลงไปใส่บาตรที่ท่าน้ำเกือบล่มกลางคัน
"มาแล้วขอรับ"
ไอ้มิ่งรีบเร่งฝีเท้าวิ่งลงมาที่ท่าน้ำด้วยความเหนื่อย พร้อมกับยื่นของใส่บาตรให้ผู้เป็นนาย ไตรทศรับไว้และจัดเรียงเพื่อรอหลวงตาที่กำลังนั่งเรือมาทางนี้
"วันนี้โยมไตรทศมาใส่บาตรแทนโยมนิ่มรึ? "
"ขอรับหลวงตา" ปากเอ่ยตอบหลวงตาแต่สายตาของชายหนุ่มกลับหันไปมองเด็กวัดผู้ที่เป็นคนพายเรือเสียมากกว่า
"มองข้าทำไม ความหล่อมันติดหน้าข้ารึ? " จันเอ่ยคำพูดหาเรื่องไตรทศทันทีเมื่อมีโอกาส
"หลงตัวเองเสียจริงนะเอ็ง" เป็นไอ้มิ่งที่ตอบกลับ
"เสือกจริงเอ็งหนิ" แล้วคนทั้งคู่ก็ด่ากันไปมาเสียจนหลวงตาต้องกระแอมเพื่อเป็นการห้ามศึก
"พวงมาลัยทั้งสวยทั้งประณีตเลยหนาโยมไตรทศ" เมื่อหลวงตามองเห็นพวงมาลัยที่แม่พิกุลเป็นคนร้อยก็ถึงกับเอ่ยปากชม
"แม่พิกุลร้อยให้ขอรับ"
"งั้นดอกรึ ข้าฝากชมโยมพิกุลด้วยหนา"
"ขอรับ"
ไตรทศยกมือไหว้หลวงตาพลันสายตาก็หันไปเห็นจันที่นั่งทำท่ามิพอใจที่ตนเอ่ยถึงแม่พิกุล ท่าทางขู่เหมือนกันกับเสือ ไม่สิเป็นแมวที่กำลังขู่เสียมากกว่า
"ไปได้แล้วไอ้จัน" ชายหนุ่มไม่พายต่อสักทีจนหลวงตาหันมาเอ็ด
"ขอรับหลวงตา"
เรือถูกพายออกไปแต่สายตากลับมิมองไปด้านหน้ากลับมองมาที่ไตรทศทั้งยังจ้องเขม็งเสียนี่ สงสัยจะทำให้อีกคนไม่พอใจเสียแล้วสิ...ไตรทศคิดในใจ
"อารมณ์เสียโว้ย! "
จันเดินกลับมาที่กระท่อมท้ายวัดด้วยความหัวเสียเพราะไอ้คนที่ชื่อไตรทศมันดันให้แม่พิกุลร้อยมาลัยให้ ทั้งตอนที่กำลังจะพายเรือออกมายังเห็นมันยิ้มเยาะเย้ยอีกเสียด้วย คนอย่างไอ้จันฆ่าได้หยามมิได้!
"เป็นอะไรวะไอ้จัน? " มั่นที่นั่งอยู่ในบนแคร่ไม้ไผ่เอ่ยถามเพื่อนรัก
"ก็ไอ้ไตรทศอย่างไรเล่า มันยิ้มเยาะเย้ยข้าเรื่องแม่พิกุล"
"งั้นดอกรึ ข้าว่าเขาก็ดูเป็นคนดีหนา"
"นี่เอ็งยังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหมวะไอ้มั่น! " ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่เมื่อชายผู้ที่เป็นศัตรูหัวใจถูกเอ่ยชม
"เอ็งมาอารมณ์เสียแบบนี้ก็มิช่วยอะไรดอก สู้เอ็งเร่งทำคะแนนมิดีกว่ารึ" คำพูดของมั่นดึงสติของจันคืนมา นั่นสิหนา ไปสนใจมันก็มิได้มีอะไรดีขึ้น สู้ไปสนใจแม่พิกุลจะดีกว่า
"ขอบใจเอ็งมากนะมั่น" จันเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อนของตนสองสามทีจนมั่นเปลี่ยนอารมณ์ตามมิทัน
"พี่จันจ๋า! "
มีเสียงหญิงสาวตะโกนเรียกมาแต่ไกลถึงมิต้องหันไปมองก็พอจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือผู้ใด เพราะคนที่มาหาจันได้ทุกวันและไม่เหน็ดเหนื่อยก็คงมีเพียงผู้เดียว 'บุหงา' สาวชาวบ้านที่ชอบจันตั้งแต่ยังเด็กจนโตเป็นสาวก็ยังมิเลิกชอบ
"มีเรื่องอันใดหรือบุหงา?"
"ข้าจะมาชวนพี่จันไปเดินเล่นที่ตลาดใหญ่จ้ะ"
"พอดีเลยข้ากำลังหิว ว่าจะไปหาซื้ออะไรกินเสียหน่อย" เป็นมั่นที่ตอบรับแทน
"ข้าชวนพี่จันหาใช่พี่มั่นไม่"
"ข้าก็พูดกับไอ้จันหาได้พูดกับเจ้าไม่"
"พี่มั่น! "
แล้วทั้งสองคนก็ไล่ตีกันเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็ก หากแต่ว่าตอนนี้บุหงานั้นอายุ๑๙ปี ส่วนมั่นก็อายุ๒๑ปี มิใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว หากมีใครว่าเห็นคงด่าว่าโตเป็นควายแล้วยังจะตีกันอีก
"พอได้แล้วพวกเอ็ง ข้าหิวแล้วไปหาอะไรกินกันเถิด" ยามยังเด็กเวลาที่ทั้งสองทะเลาะกันผู้ที่ห้ามก็มักจะเป็นจันอยู่ร่ำไป
ตลาดใหญ่ คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดในพระนครตามคำเรียกของชาวบ้าน มีสินค้ามากมายทั้งของกิน ของใช้และเครื่องนุ่งห่ม
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็มีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาจนถึงพ่อค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณนั้น เพราะเป็นของที่ชาวบ้านหามาและทำขึ้นเองราคาจึงมิได้แพงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีของแพงเลย อย่างพวกผ้าแพรผ้าไหมที่คุณหญิงคุณนายนุ่งห่มกันชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีโอกาสได้ซื้อ ผู้ที่เป็นผู้คุมตลาดและเก็บค่าภาษีในการขายก็คือพระยาเกษมบิดาของผู้ที่จันไม่ชอบน้ำหน้าที่สุด
"โอ๊ย! เอ็งหาเรื่องข้าทำไมวะ! "
"เอ็งมาชนข้าก่อนมิใช่รึ? "
"ข้าก็กล่าวขอโทษเอ็งแล้วอย่างไรเล่า"
"แค่นั้นมันจะไปพออะไรวะ! "
เสียงของคนทะเลาะกันดึงความสนใจของทั้งสามคน จันเดินเข้าไปใกล้วงล้อมของชาวบ้าน มองเข้าไปที่ใจกลางวงล้อมจึงเห็นว่าคนที่ล้มลงไปกับพื้นคือมิ่ง ทาสคนสนิทของไอ้คนที่ชื่อไตรทศ
"เอ็งนี่มันอันธพาลเสียจริงนะไอ้หมื่นเดชา! "
ชื่อของผู้มีอำนาจถูกเรียกออกมาด้วยถ้อยคำที่มิให้เกียรติ ทำให้เส้นของความอดทนขาดผึง หมื่นเดชาปรี่เข้าไปดึงคอเสื้อของไอ้มิ่งขึ้นหมายจะชกเข้าไปที่หน้ามันให้สาแก่ใจที่มันบังอาจมาเรียกตนว่าไอ้
มิ่งหลับตากัดฟันแน่นเมื่อรู้ว่าจะถูกต่อยเป็นแน่ หากแต่มิได้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลืมตามองจึงเห็นว่าหมัดหนักๆ ของหมื่นเดชาถูกใครอีกคนสกัดไว้ด้วยมือข้างเดียวและคอเสื้อของตนก็ถูกปล่อยออก
"ไอ้จัน! " ทาสหนุ่มแหวออกมาด้วยความดีใจที่มีคนมาช่วย
"เอ็งนี่มันขยันหาเรื่องจริงๆเลยนะไอ้มิ่ง" จันหันไปต่อว่ามิ่งอย่างหัวเสีย "ส่วนเอ็ง มาคุยกับข้านี่"
"หึ ข้ามิมีเรื่องจะคุยกับพวกไพร่ชั้นต่ำ!" คำพูดดูถูกถูกพ่นออกมาจากผู้ที่มีฐานะเป็นถึงหมื่น
หากจำมิผิดหมื่นเดชาผู้นี้เป็นอันพาลดีๆนี่เอง ชาวบ้านต่างเลื่องลือกันว่าเป็นคนเถื่อน โฉดชั่ว ชอบข่มเหงพวกทาสในเรือน และมีนิสัยชอบรังแกผู้อื่นจนเป็นที่เอือมระอาของพระยาผู้เป็นพ่อ
"แต่ข้ามี" เสียงสุขุมที่จันเกลียดนักเกลียดหนาดังขึ้น
"ไตรทศ.." เสียงขบกรามดังจนจันได้ยิน ถ้าให้เดาหมื่นเดชาผู้นี้คงชังน้ำหน้าไตรทศเป็นแน่
"คุณท่านขอรับ! " ไอ้มิ่งรีบลุกและวิ่งไปหลบอยู่หลังผู้เป็นนาย
"หึ จะมาออกหน้าแทนทาสของเอ็งรึ? " หมื่นเดชายิ้มกระหยิ่มเป็นการเยาะเย้ยเมื่อเห็นว่าไตรทศยอมลดตัวลงต่ำเพื่อช่วยเหลือทาสผู้ต่ำต้อย
"แล้วมันทำไมวะ? " ไตรทศมิได้เป็นผู้ตอบหากแต่ผู้ตอบคือจันที่ยืนกำหมัดด้วยความโกรธา
"เอ็งเป็นแค่ไพร่อย่ามาเสือ-"
ผัวะ!
เสียงต่อยดังสนั่น ผู้ที่มีตำแหน่งมากกว่าล้มลงไปนอนบนพื้น จันประทับรอบหมัดบนใบหน้านั้นด้วยความฉุนเฉียว โดนดูถูกว่าเป็นไพร่มีหรือที่ไอ้จันจะยอม บอกแล้วไงว่าฆ่าได้แต่หยามมิได้!
"มึง! " เหล่าบริวารของหมื่นเดชากรูเข้าหาจันทันที ทั้งจับตัวและต่อยเข้าที่หน้าท้อง
"พวกเอ็งหยุดบัดเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านพระยาเกษมมาลากตัวพวกเอ็งไปขังให้หมด! "
เป็นมั่นที่เข้ามาห้ามการทะเลาะ จันถูกต่อยไปแค่มิกี่ที่ส่วนพวกบริวารของหมื่นเดชา...เจ็บปางตาย ชายหนุ่มได้ร่ำเรียนวิชาหมัดมวยกับหลวงตามามีหรือจะมาแพ้พวกทาสที่มิได้รับการฝึกมาเช่นตน
"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! " หมื่นเดชาพูดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินหายลับไปในฝูงชน
"พี่จันเป็นอย่างไรบ้างจ้ะพี่" บุหงารีบปรี่เข้ามาถามทันทีที่เหตุการณ์สงบลง
"แค่นี้เองข้ามิเป็นอันใดดอก" ตอบไปเช็ดเลือดที่มุมปากไป
"เหตุใดออเจ้าถึงใจร้อนนัก" ไตรทศเดินเข้ามาถามจันที่กำลังเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเอง
"ข้ามิชอบให้ผู้ใดมาดูถูกข้า"
"เจ็บมากหรือไม่? " ไตรทศเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองสังเกตแผลที่มุมปากที่กำลังปริแตก ทั้งยังมีเลือดซึมออกมา
"แค่นี้ไกลหัวใจมา- โอ๊ย! เอ็งจะจับหาพระแสงอะไรวะ! "
จันร้องโอดโอยทันที่ที่ไตรทศใช้มือกดเข้าที่ข้างเอวตน แค่สังเกตดูไตรทศก็รู้แล้วว่าจันมีอาการช้ำในเพราะโดนเตะต่อยที่ลำตัวไปหลายหมัด
"ออเจ้ามากับข้า" ไตรทศออกคำสั่งทันทีเมื่อเห็นว่าอาการของจันมิสู้ดีนัก
"ไม่! "
"จัน ข้าบอกให้มากับข้า มิเช่นนั้นข้าจะไปบอกหลวงตาให้ลงโทษออเจ้าเสียข้อหามีเรื่องชกต่อย"
"นี่เจ้า! ...ไปก็ได้วะ! "
จันต้องจำใจเดินตามไตรทศไปอย่างช่วยมิได้ ก่อนไปก็มิลืมที่จะกำชับบุหงาและมั่นว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับตาคงและหลวงตาเป็นอันขาด
ระหว่างทางก็ร้องโอดโอยอย่างอดกลั้นเพราะกลัวว่าไตรทศจะได้ยินและล้อเลียนตนเอง
ใช้เวลามินานก็มาถึงเรือนไม้หลังหนึ่ง เป็นเรือนเดี่ยวๆ พอมองออกไปก็เห็นว่ามีเรือนอื่นอยู่มิไกลนัก จันอดแปลกใจมิได้ว่าเหตุใดไตรทศจึงพาตนมาที่เรือนนี้และเป็นเรือนของผู้ใดก็มิรู้
"เรือนของท่านไตรทศเขา" เป็นไอ้มิ่งที่ไขข้อสงสัยของจัน
"เหตุใดจึงต้องมาปลูกเรือนไกลจากเรือนอื่นวะ? " ความสงสัยของจันเริ่มก่อตัว
"คุณท่านของข้ามิชอบความวุ่นวายกระมัง" จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"ไอ้มิ่ง" เสียงเรียกอันน่ากลัวดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำเอาทาสหนุ่มเสียวสันหลังวาบ
"ข้า..ข้าไปก่อนนะจัน" มิ่งรีบกุลีกุจอลงจากเรือนเพราะกลัวโดนทำโทษเรื่องที่แอบนินทาเจ้านาย
"ออเจ้าพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าอยู่รึ? " ไตรทศเดินเข้ามาหาจันที่นั่งกุมสีข้างอยู่ที่ชานเรือน ในมือถือถ้วยยาและสิ่งของคล้ายลูกประคบ
"เรื่องเรือนนี่อย่างไรเล่า ข้าเห็นว่าปลูกไกลเรือนอื่นจึงคิดว่าแปลกพิลึก" ชายหนุ่มขำเมื่อได้ยินคำพูดอันใสซื่อสมกับเป็นเด็กหนุ่มธรรมดากับเขาเสียที
"หัวเราะอะไรของเอ็ง? "
"มิมีอันใดดอก เปิดเสื้อขึ้นข้าจะประคบให้"
"ไม่มีทาง! ข้ามิเปิด! "
เมื่อเห็นท่าทีดื้อดึงของจันไตรทศจึงขยับเข้าไปใกล้และจับตัวไว้เพื่อที่จะเปิดเอง เพราะหากมัวแต่บอกให้จันเปิดคงมิได้ทำแผลกันเป็นแน่ ทั้งสองยื้อกันอยู่นานจนในที่สุดจันก็เริ่มหมดแรง
ไตรทศกดไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าลงกับชานเรือนด้วยความเบามือพร้อมกับใช้มือเลิกเสื้อขึ้น ทันใดนั้นสายตาก็ปะทะเข้ากับปานสีแดงที่ขอบโจงกระเบนที่จันใส่อยู่ มันเป็นปานแดงที่มีรูปร่างคล้ายดอกไม้ นี่คงเป็นสาเหตุที่จันมิยินยอมให้ตนเปิดดู
"มัน...มันน่าเกลียดใช่หรือไม่? " จันถามด้วยเสียงสั่นเครือ ปานนี้เป็นปานที่จันมิเคยให้ผู้ใดเห็น เป็นปานที่ตนเองมิชอบและชังนักชังหนา
"มิใช่ดอก ข้าว่ามันเหมือนดอกไม้แลดูสวยดี" ไตรทศเป็นคนแรกที่เอ่ยชมปานนี้ เพราะที่ผ่านมามีแต่ผู้บอกว่ามันน่าเกลียด
"ขอบใจ- โอ๊ย! เอ็งจะประคบก็บอกก่อนสิวะ! " จันโวยวายอีกครั้งเมื่อไตรทศเริ่มประคบไปตามรอยช้ำที่สีข้าง มันช้ำหนักจนเห็นเป็นสีเขียวเป็นปื้น
"หึ เด็กดื้อก็ต้องโดนแบบนี้แหละ"
ไตรทศยิ้มมุมปากพรางใช้มือจับลูกประคบประคบตามรอยช้ำบนเรือนร่างของจัน จันจัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างดีมิผอมกะหร่อง มีกล้ามหน้าท้องให้เห็นลางๆ สีผิวก็มิได้คล้ำแดดเช่นเดียวกับตน สงสัยเพราะวันๆ มิได้ไปไหนคอยรับใช้หลวงตาอยู่ในวัดอย่างเดียวกระมั้ง ผิวพรรณถึงได้เนียนลื่นดีถึงเพียงนี้
นานเท่าใดแล้วก็มิรู้ได้ที่ไตรทศมิได้ยิ้มด้วยความสุขถึงเพียงนี้ เหล่าทาสที่ทำงานอยู่บนเรือนต่างนั่งก้มหน้าก้มตาและยิ้มให้กันกับภาพตรงหน้า ภาพที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนดิ้นไปมาบนชานเรือนและมีนายของพวกมันก้มประคบยาให้ด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังดูมีความสุขเมื่อได้แกล้งคนใต้ร่าง
"นี่ ข้ามีเรื่องอยากถาม" จันเอ่ยถามเมื่อไตรทศประคบแผลให้จนเสร็จ
"ออเจ้าว่ามาสิ" และไตรทศก็มิเกี่ยงที่จะตอบ
"ทำไมเจ้าถึงได้มาปลูกเรือนไกลผู้อื่น หรือว่ามาปลูกเพื่ออยู่กับเมียงั้นรึ? " ไตรทศที่กำลังนั่งจิบชาแทบสำลักเมื่อโดนเอ่ยถาม
"ข้าชอบความสงบ และข้ายังมิมีเมีย"
"เจ้าเนี่ยนะ? " จันทำเสียงแปลกใจ เพราะดูอายุอานามไตรทศก็มิใช่น้อยๆ อายุเพียงนี้ควรออกเรือนได้แล้ว
"มันแปลกรึ? "
"แปลกสิ ข้าเองอายุพึ่งจะ๒๐ปี ยังคิดที่จะมีเมียเลย เจ้าดูอายุเยอะกว่าข้าเสียอีก เจ้าเองก็ควรจะมีเมียได้แล้ว"
"ข้ามิใคร่อยากจะออกเรือนเสียเท่าไหร่"
ไตรทศตอบอย่างมิยี่หระ เพราะถึงตนจะมิออกเรือนก็ยังพี่ชายตนอีกคนที่น่าจะมีหลานให้บิดากับมารดาของตนอุ้มได้ จึงมิได้คิดเรื่องออกเรือน
"เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? ให้ข้าเดาคงสัก๒๓กระมัง" จันนั่งมองหน้าอีกคนและเริ่มทายอายุ
"หึ อายุข้า...มากกว่าออเจ้าสักสิบปีได้"
_______
แด๊ดดี้ไตรทศ >///<
แท็กของเรื่อง #หอมเจ้าจัน