[จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)  (อ่าน 36514 ครั้ง)

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ดราม่าไว้ก่อน พี่ไตรขอออดอ้อน น้องให้ชุ่มฉ่ำหัวใจก่อนนน  :-[

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๓

"มีเรื่องอันใดรึพระยาเกษม เหตุใดออเจ้าจึงส่งคนไปเชิญข้าถึงเรือน"
"ข้าอยากพูดคุยกับออเจ้าเรื่องหมั้นหมายของแม่พิกุลและไตรทศ" 
"อย่างไรก็ว่ามา"
"ช่วงนี้ลูกข้านั้นไปติดพันแม่เรือนเข้าทำให้ออกนอกลู่นอกทางนัก ข้าจึงอยากเร่งงานหมั้นหมาย ออเจ้าคิดเห็นอย่างไร" 
"แล้วไตรทศมีความเห็นว่าอย่างไร?" 
"ค้านหัวชนฝาท่าเดียว มิรู้ว่าโดนไอ้แม่เรือนนั่นปั่นหัวอย่างไร"
"ออเจ้าต้องใจเย็นเสียก่อน แม่เรือนก็อาจจะมิได้เลวรายเสมอไปดอกหนา"
"หึ ข้าคงเปลี่ยนความคิดได้ยาก"
ความหัวรั้นเชื่อแต่เพียงสิ่งที่ตนต้องการจะเชื่อนั้นคือข้อเสียข้อใหญ่ของพระยาเกษม มิมีมูลเหตุใดให้ชังเพียงแค่ฟังต่อๆเขามาจึงปักใจเชื่อ   
"ข้าเองก็มิอยากให้ลูกสาวต้องหมั้นหมายกับชายที่มิได้รักตนดอกหนา อย่างไรออเจ้าก็ควรเรียกไตรทศมาร่วมสนทนาด้วย"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้ามิขัด" ทั้งสองพยักหน้าให้กัน "ไอ้ทอง เอ็งไปตามไตรทศมาหาข้าซิ" เจ้าของเรือนหันไปบอกทาสหนุ่มคนสนิทที่นั่งอยู่มิไกลตนนัก 
"ขอรับ" มันรับคำสั่งก่อนจะเดินลงจากเรือนใหญ่
ทั้งสองพระยาพูดคุยกันต่อในเรื่องการว่าราชการที่ตัวพระนคร ช่วงนี้มีฟะรังคีมาทำการค้ากับชาวบ้านมากมายขุนหลวงจึงคิดจะตั้งพ่อค้าคนกลางขึ้นเพราะชาวบ้านเองมิสามารถสื่อสารกับฟะรังคีได้เหตุเพราะความต่างด้านภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกัน
พูดคุยได้มินานไอ้ทองจึงกลับมาด้วยท่าทีร้อนใจ 
"เอ่อ...คุณท่านขอรับ"
"แล้วไหนล่ะลูกข้า?"
"ท่านไตรทศมิอยู่ที่เรือนเล็กขอรับและไอ้มิ่งทาสคนสนิทเองก็มิอยู่ขอรับ"
เพล้ง!
ถ้วยน้ำชาในมือของพระยาเกษมถูกโยนลงบนพื้นเรือนจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปคนละทิศคนละทาง มือเหี่ยวย่นกำไม้หัวตะพดแน่นเพื่อระบายความกรุ่นโกรธ
พระยาจำรูญที่นั่งอยู่มิไกลได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเพราะตนนั้นรู้มาตั้งนานแล้วว่าเพื่อนวัยเด็กผู้นี้มีนิสัยหุนหันและใจร้อน 
"ไอ้ลูกไม่รักดี! " พูดเสียงดังกัมปนาท คุณหญิงนิ่มผู้เป็นภริยาที่นั่งร้อยมาลัยอยู่อีกฝั่งของเรือนรีบรุดเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของตกแตก 
"คุณพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?"
"ก็ลูกของออเจ้าน่ะสิ! มันหนีตามไอ้ไพร่ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็มิรู้! "
"เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น นั่นก็ลูกของคุณพี่นะเจ้าคะ"
"หึ หากมันมิกลับเรือนข้ากับมันคงได้ตัดขาดกันเป็นแน่"
ใจคนเป็นแม่แทบสลายเมื่อท่านพระยาผู้เป็นสามีพูดดังนั้น ผู้ใดก็รู้ว่าพระยาเกษมเป็นผู้พูดจริงทำจริงมิเคยพูดเพื่อขู่ 
"ไอ้ทองพาคนไปตามหาเดี๋ยวนี้! "
"ขอรับ"
"มิต้องดอกขอรับ"
เสียงสุขุมดังขึ้นที่บันไดเรือน คนบนเรือนพากันหันไปมองดูจึงเห็นว่าผู้ที่เดินขึ้นมาคือไตรทศกับไอ้มิ่ง
พระยาเกษมใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกตนมิได้ไปไหนแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นว่าผู้เดินรั้งท้ายสุดคือแม่เรือนที่ลูกตนติดพัน 
"ออเจ้าพามันมาทำไม?"
สรรพนามมิเข้าหูทำให้จันแอบหน้าเสีย คราแรกก็มิอยากตามมาแต่ไตรทศกลับคะยั้นคะยอจนตนต้องยอมจำนน
"พามาคุยกันให้รู้เรื่องขอรับ"
"พ่อไตร.." นางนิ่มเรียกลูกเสียงเบาและส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามและปรามว่ามิควรทำเช่นนี้ 
"พ่อคุยกับพระยาจำรูญจนเสร็จสิ้นแล้ว ออเจ้าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุล"
จันเบนสายตาจากพระยาเกษมไปที่คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนตั่งไม้สักมิไกลจากที่นั่งของพระยาเกษมมากนัก คนอีกผู้ดูใจเย็นและมีภูมิฐานมากกว่าพระยาเกษมอยู่มาก
"เช่นนั้นกระผมขอยกเลิก"
"มิได้! "
"ท่านลุงขอรับ หลานขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ หลานมิได้รักแม่พิกุลแลมองแม่พิกุลในฐานะน้องสาวเพียงเท่านั้น" พระยาจำรูญพยักหน้าเข้าใจเพราะเดิมทีตนก็มิคิดที่จะขายลูกสาวกินอยู่แล้ว 
"เจ้าคิดการอันใดอยู่ไตรทศ! นี่พ่อขอเจ้าหนา เหตุใดจึงมิยอมเชื่อฟังพ่อบ้าง"
"กระผมพยายามเป็นลูกที่ดีมาตลอดอาจขัดใจไปบ้างเรื่องรับงานราชการ แต่ขอเถอะขอรับ...ลูกขอในเรื่องนี้" 
มือใหญ่ที่กุมมือของจันกำลังสั่น ชายหนุ่มลอบมองหน้าไตรทศที่มิแสดงสีหน้าใดๆ มีเพียงสายตามุ่งมั่นที่มองไปยังผู้เป็นบิดา ถึงไตรทศจะแสดงออกว่าตนหัวรั้นเพียงใดแต่ข้างในแล้วเขาเป็นเพียงแค่ลูกชายของพ่อและแม่เพียงเท่านั้น
"คุณพี่ฟังลูกหน่อยนะเจ้าคะ" แม่นิ่มเดินเข้ามาจับแขนของสามีและลูบเพื่อให้คลายความโกรธลง
"ได้! ...ครานี้พ่อจะยอมให้ออเจ้ารับมันมาเป็นเมีย" คำพูดจากผู้เป็นบิดาทำเอาไตรทศใจชื้นขึ้นมา "แต่ในฐานะเมียรองเพียงเท่านั้น! "
ความเงียบกลืนกินไปทั่วบริเวณ ท่านพระยาเดินออกไปอย่างถือวิสาสะแม่นิ่มจึงขอโทษขอโพยต่อพระยาจำรูญที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอด มือของไตรทศที่กอบกุมมือของจันไว้ชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากการกอบกุมกันเป็นเวลานาน 
"กลับเรือนเล็กกันเถิด" จันมิตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้ารับแทน 
"ประเดี๋ยวก่อนพ่อไตร" ในขณะที่กำลังจะลาผู้ใหญ่ พระยาจำรูญจึงเอ่ยทักขึ้นเสียก่อน
"ขอรับท่านลุง" 
"ลุงเอาใจช่วย" ไตรทศแทบจะมิเชื่อหูของตน
"ลุงเองก็เคยคิดจะอยู่กินกับแม่เรือนและโดนบิดามารดาขัดขวางเช่นออเจ้า ลุงเข้าใจความรู้สึกของออเจ้าดี"
 พระยาจำรูญพูดพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของไตรทศและออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจ เสมองมาที่จันที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ออเจ้าได้เมียที่ดีหนา" พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินกลับหลังออกไป จันเองก็มิเข้าใจว่าตนเป็นเมียที่ดีได้อย่างไรทั้งที่ยังมิได้ปริปากพูดสักคำ
เรือนเล็กบรรยากาศเงียบสงบ มีกลิ่นดอกจันทร์กระพ้อโชยไปทั่วเรือนทุกเพลา จันมองชานเรือนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ภายในใจกลับนึกย้อนไปถึงวันที่ตนถูกไตรทศจับกดลงบนชานเรือนและทำแผลให้ 
"ใจลอยไปหาชายใดกัน" เสียงดังที่ข้างหูดึงสติมให้ฟื้นคืน
"จะบ้ารึ! " ใบหน้าหล่อแต่จิ้มลิ้มยู่ลงเมื่อได้ยินประโยคเอ่ยหยอกล้อ
"เป็นเมียพี่แล้วก็ต้องคิดถึงแต่พี่เข้าใจรึไม่?"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว! ทุกคนต่างพูดกันไปเองว่าข้าเป็นเมียทั้งๆที่ข้ายังมิได้เต็มใจแม้แต่น้อย" 
"ชินเสียเถิด อย่างไรก็ต้องได้เป็นอยู่วันยังค่ำ" ทั้งสองเดินมาที่ห้องทำงานของไตรทศ
"เมียรองน่ะรึ" พูดโดยมิคิดอันใดแต่ไตรทศกลับคิดว่าเมียรักของตนน้อยใจ
"มานี่มา"
"เดี๋ยว-" ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธได้ก็โดนคนมือไวดึงรั้งเอวคอดเข้าหาตัวและดึงให้นั่งลงบนตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหาไตรทศ "ปะ ปล่อยข้า! "
"อย่าดิ้น...ก้นของออเจ้ามันถูกับของพี่" เมื่อได้ยินดังนั้นคนบนตักหยุดดิ้นในทันที ทำเอาไตรทศกลั้นยิ้มกับความว่าง่ายเอาไว้มิอยู่ 
"..." คนบนตักนั่งนิ่งมิไหวติงทั้งยังมิเอ่ยวาจาอันใดออกมา
"ออเจ้าคิดมากเรื่องที่พ่อของพี่บอกว่าจะให้ออเจ้าเป็นเมียรองรึ? "
"...เปล่า"
"โธ่จัน.." คนขรึมลอบยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู "ในใจของพี่ออเจ้าเป็นที่หนึ่งเสมอมาและหากจะเป็นเมีย...ออเจ้าจักเป็นเมียเพียงหนึ่งของพี่"
"บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากเป็นมะ- อื้อ! "
ในขณะที่กำลังจะเถียงว่าตนมิอยากเป็นเมียนั้น จันกลับโดนคนเจ้าเล่ห์ใช้มือจับท้ายทอยและโน้มให้ก้มลงประกบจูบอย่างมิทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองที่ปัดป่ายไปมาก็ถูกจับไว้ด้วยมือของไตรทศ
ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามายังโพรงปากที่กำลังพูดจ้ออย่างง่ายดาย กระหวัดลิ้มชิมรสหวานที่ตนคะนึงหาทุกเมื่อเชื่อวัน สัมผัสจุมพิตจากจันยังคงหวานมิเปลี่ยน หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าแลคงเป็นน้ำผึ้งที่ทำให้ผู้ที่ได้ลิ้มรสเสพติดเป็นแน่ 
"อื้อ!"
จันส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ สัมผัสอ่อนโยนจากจูบของไตรทศทำเอากายของชายหนุ่มแทบอ่อนระทวยไปกับสัมผัสที่นุ่มและเบาปานขนนก
"อึก..แฮ่ก..."
หอบหายใจแรงเมื่อไตรทศถอนจูบดูดวิญญาณนั้นออกไป จันหน้าขึ้นสีเมื่อเห็นว่ามีเส้นสีใสของน้ำลายในจังหวะที่ไตรทศผละออก
"...หวาน" คนพี่เลียริมฝีปากอย่างได้ใจ ส่วนจันนั้นแทบมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
"คนฉวยโอกาส" ตีใบที่อกแกร่งแต่ไตรทศหาได้สะทกสะท้นไม่ กลับยิ้มชอบใจเสียอีก 
"ปากก่นด่าแต่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียวหนา" มือหนาบีบลงบนแก้มของคนบนตักที่กำลังขึ้นสีระเรื่อด้วยความมันเขี้ยว
"อื้อ อ่อยแอ้มอ้า! (ปล่อยแก้มข้า!) " 
"หากพี่มิปล่อยแล้วออเจ้าจะทำอย่างไร? "
"อี้แอ่ะ! (นี่แหนะ)" มือทั้งสองข้างของจันจับลงบนแก้มที่มิค่อยจะมิของไตรทศและออกแรงดึง 
"โอ๊ยๆ"
"ฮ่าๆๆ แบร่" คนบนตักหัวเราะชอบใจ แต่แล้วก็หยุดเมื่อโดนคนใต้ร่างส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมาให้
มือทั้งสองยังมิยอมผละออกจากใบหน้าของกันและกัน สองสายตาสอดประสานอย่างโหยหา มิได้มีเพียงแต่ไตรทศที่โหยหาจัน...จันเองก็โหยหาไตรทศโดยที่มิรู้ตัวเช่นเดียวกัน
"พี่รักออเจ้า"
"ข้า..." คำบอกรักถูกกลืนหายไป จันยังมิแน่ใจในสถานะของตนเท่าใดนักทั้งยังลังเลว่าที่รู้สึกเขาเรียกว่ารักหรือไม่ 
"มิเป็นไร" หน้าไตรทศหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จันแอบใจเสียแต่ก็มิพูดอะไรต่อ
ทุกการกระทำของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง มันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นการกระทำของทั้งสองเข้า ใจมันคิดอยากมาปลอบให้เจ้านายลืมๆแม่เรือนโสโครกไปเสียแต่นี่ท่านพระยากลับยอมให้มันมาอยู่ในฐานะเมียรอง มีหรือที่มันจะยอมสละตำแหน่งเมียรองง่ายๆ! 
จันลอบมองไตรทศที่กำลังตวัดพู่กันเขียนหมึกในมืออย่างใจเย็น ตัวอักษรยึกยือที่จันมิคุ้นนักถูกบรรจงเขียนลงไปบนกระดาษหนา
"สนใจรึ? " คนพี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้า 
"เขียนอะไรหรือ?"
"ตัวอักษรภาษาจีน"
"อย่างนั้นรึ" จันมองอย่างสนอกสนใจ "ข้าจักฝนหมึกให้"
เมื่อเห็นว่าหมึกที่ไตรทศใช้ใกล้หมดจึงอาสา ไตรทศยิ้มกับภาพตรงหน้า ชายหนุ่มค่อยๆฝนหมึกให้อย่างระมัดระวังมิให้เปื้อนมือตน 
"ออเจ้าจำที่พี่บอกได้หรือไม่?"
"อะไรหรือ? "
"ก็...หน้าที่ฝนหมึกคือหน้าที่ของเมียอย่างไรเล่า" เมื่อนึกขึ้นได้จันถึงกับหน้าขึ้นสีอีกรอบ เพราะคราแรกที่ตนอาสาฝนหมึกให้อีกฝ่ายไตรทศพูดเช่นนี้จริงและมันเองก็จำได้ขึ้นใจ
"...ข้าจำได้"
"ยามนี้คำพูดนั้นเป็นจริงแล้วหนา" ไตรทศยกยิ้มที่มุมปาก "ตอนนี้ออเจ้าเป็นเมียของพี่แล้ว"
จันเสมองไปทางอื่นและทำเป็นมิสนคำพูดของไตรทศ แต่หารู้ไม่ว่าใบหน้าและใบหูนั้นแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
"พี่จัน! " เสียงเล็กเรียกก่อนจะปรากฏเป็นกายของเด็กตัวป้อม จันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้ทิดว่ามีเหตุอันใด 
"ไฟไหม้กระท่อม! "
"ห่ะ!? " เสียงอุทานทำเอาไตรทศละความสนใจจากแผ่นกระดาษมาที่จัน
"เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ?"
"ข้าขอตัว! " มิทันจะได้รู้ความจันก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไปจนไตรทศเรียกตามมิทัน
จันรีบรุดวิ่งอย่างมิคิดชีวิตมาที่กระท่อม ชาวบ้านพากันยืมล้อมตีเป็นวงกว้าง จันรีบแหวกผู้คนเข้าไป ภาพกระท่อมที่โดนไฟไหม้ปรากฏสู่สายตา เศษไหม้จากหลังคาที่ทำจากใบหญ้าคาปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ที่พักเพียงหนึ่งเดียวถูกเพลิงมอดไหม้จนกลายเป็นจุล 
"ตา! ตาข้าอยู่ที่ใด! " หันไปถามชาวบ้านที่ยืนมุงแต่มิมีผู้ใดรู้ น้ำตาอุ่นๆ เริ่มคลอที่ขอบของดวงตา 
"ไอ้จัน!" เสียงไอ้มั่นเรียกดังขึ้น จันจึงหันไปตามเสียงเรียก
"ตา...ตาข้าล่ะไอ้มั่น!"
"ตาเอ็งไปหาหลวงตาที่โบสถ์จึงปลอดภัยดี" จันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดีที่ตามิเป็นอันใดไป 
"ใครคือผู้ทำเอ็งรู้รึไม่"
"ข้ามิรู้ แต่ว่ามันมีสิ่งนี้" ไอ้มั่นหยิบสิ่งที่มันเหน็บไว้ตรงโจงกะเบนออกมา จันจึงรับมาและเปิดดูข้อความด้านใน 

ดูเหมือนว่านายจ้างข้าจะมิชอบใจนักที่มึงมายุ่มย่ามกับท่านไตรทศ
หากยังรักชีวิตอยู่ล่ะก็ ภายในวันพรุ่งเอ็งจงไปตัดขาดกับท่านไตรทศเสีย
มิเช่นนั้นครั้งถัดไปสิ่งที่ถูกเผาเป็นรายต่อไปคือมึงและตาของมึงจำเอาไว้
นายข้าพูดจริงทำจริงมิใช่พูดเพื่อขู่

จันไล่สายตาอ่านและเนื้อความภายในกระดาษเขียนไว้เพียงเท่านี้ ลายมือเรียบร้อยเกินคาดคงเป็นผู้ที่ต้องเขียนหนังสือหนังหาบ่อยเป็นแน่
"มันเขียนว่าอย่างไรบ้างวะ?" ไอ้มั่นที่เรียนมิเท่าจันนั้นอ่านมิค่อยออกและจับใจความมิค่อยได้
"ขู่ว่าจะฆ่าข้าและตา"
"เกินไปแล้ว! "
"ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง"
"แล้วเอ็งจะทำอย่างไรวะ?"
"...ทำอย่างที่มันต้องการ" จันถอนหายใจ "ไอ้ทิด" ก่อนจะเอ่ยเรียกผีเด็กตัวป้อมอีกครา
"จ๋าพี่"
"เอ็งเห็นคนทำรึไม่?" ไอ้มั่นทำสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่ออยู่ดีๆเพื่อนของมันก็คุยกับความว่างเปล่า
"พวกมันปิดหน้าปิดตาจ้ะ แต่ละคนมีแต่คนตัวโตๆทั้งนั้น"
"มีคนใดคนนึงสักยันต์ห้าแถวรึไม่?"
"มีคนหนึ่งจ้ะพี่"
"ข้ารู้แล้วว่ามันคือผู้ใด" จันหันมาพูดกับไอ้มั่นที่ทำหน้าเหมือนคนกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง
"ค-ใครวะ?" 
"ไอ้เข้ม แต่มีผู้บงการมันและคนผู้นั้นก็เป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้"
"เอ่อ...เอ็งรู้ได้อย่างไร กุมารทองเอ็งบอกรึ?"
"เปล่า ไอ้เข้มมันมิรู้หนังสือ มันเขียนเองมิได้ดอก" ไอ้มั่นพยักหน้าและมองซ้ายมองขวาด้วยสายตาหวาดระแวง
"คิกๆ เพื่อนพี่ตลกจัง"
"น้องข้าชอบเอ็ง"
"บรึ๋ย เอ็งอย่าพูดสิวะ!" มันแหวเสียงดังพร้อมกับมองไปรอบตัว
หลังเพลิงสงบ ข้าวของเครื่องใช้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงมิเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว จันและตาจึงต้องไปอาศัยนอนในวัดกับไอ้มั่นและพวกเด็กวัดคนอื่นๆไปก่อน

พระอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าเป็นสีทองในยามเช้าวันใหม่จันตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างที่มันต้องการ หากมิทำตาของตนต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
จันเชื่อว่ายังไงตนก็คงจะมิได้รักไตรทศแบบที่ไตรทศรักตนเพราะตนนั้นชอบพอแม่พิกุลมาตั้งแต่แรก ดีเสียอีกจะได้ตัดความสัมพันธ์นี้ไปด้วยเสียเลย เมื่อคิดได้ดังนั้นจันจึงรวบรวมความกล้าและเดินขึ้นไปบนเรือนเล็ก 
"เอ่อ...พี่นวลเห็นท่านไตรทศหรือไม่?" นางนวลที่กำลังจะเดินถือน้ำชาไปให้ไตรทศถึงกับชะงักเมื่อโดนเรียกไว้
"อยู่ที่ห้องทำงานจ้ะ ตามข้ามาสิ"
"ขอบใจจ้ะ"
จันเดินตามทาสสาวไป นางนวลเดินนำไปก่อน วางถ้วยชาและขนมลงบนโต๊ะของผู้เป็นนาย มันชำเลืองมองหากแต่ไตรทศมิได้สนใจแม้แต่น้อย
"พี่ไตร" เสียงเรียกของจันทำให้ไตรทศหันหน้าออกจากตำรายามามอง
"ออเจ้ามาแล้วหรือ" พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกห่างจากโต๊ะหนังสือมายังผู้มาเยือน "นางนวลเอ็งออกไปก่อน"
"เจ้าค่ะ" มันก้มหัวให้พร้อมกับเดินออกไป
"พี่ขอโทษด้วยที่มิได้ตามไป เพราะตอนที่ออเจ้าออกไปนั้นขุนไกรดันมาถึงท่าเรือพอดีพี่จึงต้องอยู่สนทนา"
"มิเป็นอันใด" จันหายใจเอาลมเอาปอดเพื่อเรียกความกล้า "คือ...ข้าอยากให้พี่เลิกยุ่งกับข้า"
บริเวณรอบข้างเงียบสงัดไปชั่วขณะ ไตรทศมิมีคำใดจะเอื้อยเอ่ย ภาวนาให้สิ่งที่ตนได้ยินเป็นเพียงแค่ลมที่พัดผ่าน
"...ออเจ้าว่าอย่างไรนะ?" ถามอีกคราเพื่อความแน่ใจ
"ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าข้ามิอยากมีผัว ข้าชอบพอแม่พิกุลและมิคิดที่จะเลิกชอบ" 
"แต่จัน...เจ้ามิรักพี่เลยหรือ" สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกัดริมฝีปากแน่นจนขึ้นเป็นรอยแดง
"ไม่..ข้ามิเคยรักและมิคิดจะรัก" ใจคนพี่แทบสลายเมื่อได้ฟังคำตัดขาดแบบมิมีชิ้นดี 
"แต่พี่รักออเจ้า...รักตั้งแต่คราแรกที่เห็น" มือหนาเอื้อมไปหมายจะกอบกุมมือของจันมาจับแต่กลับโดนจันเบี่ยงหนีและถอยออกห่าง 
"ข้าใช้ให้ออเจ้ามารักข้ารึ?"
สรรพนามที่ใช้ว่าเหินห่างแล้ว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของคนน้องนั้นช่างเหินห่างยิ่งกว่า 
"มิเคย...ออเจ้ามิเคยใช้ให้พี่ไปรักออเจ้า"
สายตาคมเสมองไปทางอื่น ทั้งเสียใจและไม่เข้าใจ เมื่อวานเหมือนจะผ่านไปได้ดีแต่เหตุไฉนวันนี้อีกฝ่ายจึงมาเปลี่ยนผันไป 
"รู้ไว้เสียด้วยว่าข้ารังเกียจยามถูกสัมผัส ที่ข้ายินยอมเป็นเพราะข้าอยู่ในฤดูหาคู่เพียงเท่านั้น มิได้เสน่หาออเจ้าแม้แต่น้อย" 
"เข้าใจแล้ว..."
สายตาของคนอายุมากกว่าดูหมองเศร้าลง จันกำมือแน่น มันมิง่ายเลยที่จะพูดในสิ่งที่ขัดกับใจตนเอง
"เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้เจอะเจอกันอีก! "
เมื่อพูดจบจันจึงเดินออกไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกวูบโหวงภายในใจของคนพี่ ไตรทศกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน
คิดเสียว่าตนมิเคยพบเจอชายหนุ่มที่ชื่อจัน
คิดเสียว่าตนมิเคยหลงรักผู้ใดเป็นคราแรก
คิดเสียว่าครั้งหนึ่งตนมิเคยหลงไหลในกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อเลย...
แปะ
หยดน้ำตาร่วงรินลงบนแผ่นกระดาษที่ไตรทศกำลังเปิดอ่าน ชายผู้มิเคยเสียน้ำตากลับหลั่งน้ำตาเพราะคนเพียงผู้เดียว 'รักเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ' ไตรทศถามตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลทุกคราคำตอบที่ได้กลับมาคือ...รักมาก

ชายหนุ่มเดินออกมาจากเรือนโดยที่มิคิดจะทักไอ้มิ่งที่ยืนมองด้วยความงุนงงแม้แต่น้อย สาวเท้าไวๆเพราะอยากถึงวัดให้เร็วที่สุดแต่อยู่ๆ ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนต้องหยุดเดิน
จันก้มหน้ามองเท้าตนเองอย่างมิมีจุดหมาย มิรู้ว่ามองไปทำไมกัน ตอนนี้ควรจะรู้สึกสบายใจมิใช่หรือที่ตัดคนน่ารำคาญอย่างไตรทศออกไปได้ 
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบ่นหรือคอยด่ายามดื้อรั้น
มิมีอีกแล้วฝ่ามืออุ่นที่คอยลูบหัวจนผมยุ่ง
มิมีอีกแล้วอ้อมแขนแกร่งที่คอยกอดในวันที่อ่อนแอ
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบอกรักได้ทุกเวลา...มิมีอีกแล้ว
"ฮึก จะร้องไห้ไปใย เอ็งชอบแม่พิกุลมิใช่รึ เอ็งควรดีใจสิวะไอ้จันที่เอ็งกำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้..."
ใจเจ้ากรรมกลับมิฟัง หยดน้ำตาหยดลงพื้นอย่างห้ามมิได้
"เอ็งมิได้รักเขา...ฮึก เอ็งมิได้รักเขาไอ้จัน" เช็ดน้ำตาด้วยมือลวกๆหากแต่มันก็มิยอมหยุดไหล
เกลียดเขามิใช่หรือ? ชังเขามิใช่หรือ?
แล้วเหตุใดจึงต้องร้องไห้เล่า...
ความคิดมากมายสับสนตีกันในหัวจนวุ่นวายไปหมด หรือแท้จริงแล้วน้ำตานั้นมาจากความดีใจงั้นหรือ ดีใจที่มิมีคนมาบ่นแล้ว ดีใจที่มิมีคนมาตอแยอีกแล้ว...แบบนั้นใช่รึไม่?...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:27:36 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:รอตอนหน้า

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อะอ่าว  :z3: :z3:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ดราม่าซะงั้น

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบ สงสารจันจิงๆ ต้องหาพ่อของจันให้เจอ

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๔

“จัน เอ็งมิเป็นอะไรแน่หรือวะ?”
มั่นเอ่ยถามเพื่อนตนที่ทำหน้าเศร้า ตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากเรือนของไตรทศจันก็มิพูดมิจาเอาแต่นั่งเงียบ เหม่อลอย เหมือนสติมิอยู่กับเนื้อกับตัว
“ข้ามิได้เป็นอันใด”
ส่งยิ้มบางให้เพื่อนตน ไอ้มั่นลอบมองลอบสังเกตอยู่หลายครา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝ่าหอยเหตุไฉนมันจะมิรู้ว่าจันกำลังคิดมากเรื่องใดอยู่
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว” มั่นถอนหายใจก่อนจะหันไปกวาดลานวัดต่อ
“พี่จันจ๋า~”
เสียงเรียกเจื้อยแจ้วจากเจ้าเก่าเจ้าเดิมเรียกความสนใจของทั้งสองให้หันไป นางบุหงาเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิดจากจันที่สีหน้าเรียบนิ่ง
“ว่าอย่างไรบุหงา”
“ข้าคิดถึงพี่จันจ้ะ” นางบุหงาเดินตรงเข้าไปกอดจันโดยที่มิมีท่าทีเคอะเขินแต่อย่างใดเพราะมันชอบทำแบบนี้เป็นประจำ
“ให้มันน้อยๆหน่อยนางบุหงา เป็นแม่หญิงแต่ดันมิรักนวลสงวนตัวเสียเลย” ไอ้มั่นดุนางบุหงาด้วยความระอาแต่บุหงาก็หาได้ฟังไม่
“อิจฉาก็ว่ามาเถอะพี่มั่น”
“โอ๊ย ข้ามิอิจฉามันดอกแต่สงสารมันเสียมากกว่า ที่มีเอ็งมาเกาะแกะอย่างกับปลิง”
“พี่มั่น!” ว่ากันเสร็จก็ไล่ตีกันดังเดิม จันมองทั้งสองก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมา ความหน่วงภายในใจเริ่มหายไปบ้างแล้ว
“ข้ากลับกระท่อมก่อนนะพวกเอ็ง ไปดูเสียหน่อยว่าตาคุมชาวบ้านถึงไหนแล้ว”
จันและตาคงมิคิดที่จะอาศัยวัดตลอดไปจึงหากันเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันสร้างกระท่อมหลังใหม่
“เดี๋ยวสิพี่จัน ข้ายังมิหายคิดถึงพี่เลย” บุหงาทำท่าจะโดดใส่จันอีกทีแต่โดนมั่นจับตัวเอาไว้ก่อน
“กลับดีๆนะไอ้จัน”
“ปล่อยข้าสิพี่มั่น!” หญิงสาวดิ้นไปดิ้นมา แต่แรงของผู้หญิงตัวเล็กๆหรือจะสู้แรงของผู้ชายร่างกายบึกบึนเช่นไอ้มั่นได้
“เออ ข้ากลับละ” จันโบกมือลาก่อนจะเดินออกมาท่ามกลางเสียงโวยวายของบุหงาที่ไล่หลังมา ชายหนุ่มยิ้มขำอย่างเอือมระอา

แดดในยามเพลาชายช่างร้อนนัก แค่เดินมาได้มิไกลเหงื่อก็ท่วมตัว ชายหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าหล่อ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีพวกไอ้เข้มยืนอยู่สองถึงสามคน
“ไอ้เข้ม..”
“ว่าอย่างไรไอ้จัน ไปบอกเลิกผัวมึงมาแล้วรึ?” จันกัดฟันกรอด
“ข้ามิมีผัว!”
“เป็นเช่นนั้นรึ หึ...ข้าคิดว่าเอ็งได้เสียกับมันไปหลายรอบแล้วเสียอีก” มันเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือหยาบจับปลายคางให้เชิดขึ้น
“มันมิใช่กงการอะไรของมึง”
“ถ้ามิมีอันใดเกี่ยวข้องกับมัน มึงคงจะมิขัดหากกูจะปล้นเรือนมันแล้วฆ่าล้างโคตรมันทั้งเรือน! ฮ่าๆ”
“เอ็งหมายความว่าอย่างไร!”
“ก็หมายความตามที่พูดสิวะ เพราะมึงกับมันกูจึงต้องมุดหัวหลบซ่อนดังหมาจนตรอก ถึงยามที่กูจะเอาคืนบ้าง!” แรงบีบที่คางเพิ่มขึ้นจนจันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ไอ้เลว!” หมัดหนักๆถูกปล่อยออกมาแต่ไอ้เข้มกลับใช้มือรับไว้ได้
“ปากดีเช่นมึง รอดูความพังพินาศก็พอ!”
ปึก!
แรงกระทบอย่างรุนแรงที่ต้นคอแรงจนทำให้ความปวดหนึบเข้าเล่นงาน จันเสียการทรงตัวและสติเริ่มเลือนหายไปในที่สุด
“เราจะปล้นเรือนไอ้ไตรทศจริงหรือพี่เข้ม” หนึ่งในลูกน้องของไอ้เข้มเอ่ยถาม
“หน้าที่ของพวกเราที่อีคุณหญิงนั่นสั่งมีแค่ทำให้ไอ้จันกับไอ้ไตรทศตัดขาดกันแค่นั้นมิใช่รึ? ต่อจากนี้ข้าจะทำตามใจข้าบ้าง!”


ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน
“ไอ้เข้ม เอ็งอยู่ที่ใดวะ?” เสียงทาสสาวเรียกหาไอ้เข้มที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมกลางป่าลึกที่มันใช้พักอาศัยเวลาเข้าป่ามาล่าสัตว์
“ข้าอยู่นี่ มีอันใดก็ว่ามา”
“คุณหญิงท่านสั่งมาแล้วว่าให้เอ็งจัดการทำให้ไอ้จันกับท่านไตรทศแยกออกจากกันให้จงได้”
“แผนคือ?”
“เผากระท่อมมันและขู่มันเสีย หากทั้งสองคนแยกจากกันเมื่อใดเอ็งค่อยมาสะสางบัญชีแค้นกับไอ้จัน จะย่ำยีเช่นไรก็ทำข้าจักให้อัฐเพิ่ม”
“อัฐมางานจึงเดิน”
“เออๆ! ข้ารู้แล้ว” นางทาสหยิบเอาถุงอัฐที่เหน็บไว้ขอบผ้าถุงให้ไอ้เข้ม มันรับไว้และเปิดดูข้างในเพื่อตรวจนับ “สำเร็จเมื่อไหร่เตรียมรับส่วนที่เหลือได้เลย”
“ข้ามีเรื่องสงสัย” มันใช้มือถูปลายคางมองนางทาสอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“ว่าอย่างไรเล่า! ข้ามีเวลามิมากดอกหนา พวกไอ้มิ่งมันพากันตามหาเอ็งให้ขวัก ถ้ามันรู้ว่าข้าหายไปจากโรงครัวคงมิวายสงสัยข้า”
“คุณหญิงสั่งว่าให้แยกไอ้สองคนนั้นออกจากกัน แล้วที่ย่ำยีไอ้จันเล่าผู้ใดคือผู้สั่ง?”
“หึ ก็ข้านี่แหละ!” นางทาสยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจ
“เอ็งนี่ร้ายนักนะ”
“ช่วยมิได้ มันคิดจะมาแย่งตำแหน่งเมียรองไปจากข้าก็ต้องโดนเช่นนี้ ข้าสังเกตมันมาหลายคราแล้ว มันคงจะใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนท่านไตรทศเป็นแน่”
“อย่าลืมล่ะว่าข้าต้องได้อัฐจากเอ็งเพิ่ม”
“เออ ข้ามิลืมแน่”

“...อึก”
ความเจ็บแปลบที่หลังศีรษะทำเอาจันนิ่วหน้า ตาพร่าเลือนค่อยๆ ชัดขึ้นทีละนิด สอดส่องมองไปรอบบริเวณ แขนโดนจับไขว้หลังและถูกผูกติดกับเสาของกระท่อมหลังหนึ่ง
“ตื่นแล้วรึ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น จันเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด
“พี่นวล…” เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
“มิต้องมาเรียกกูว่าพี่! ไอ้แม่เรือนสกปรก!” จันมึนงงไปหมด ร่วมด้วยกับแผลที่ศีรษะที่ยังมิหายเจ็บ
“ทำไม...ทำไมจึงทำเช่นนี้?”
“กูจักบอกมึงให้เอาบุญ กูนึกเกลียดมึงตั้งแต่วันที่มึงเข้ามาขัดกูตอนที่กูกำลังจะได้เสียกับท่านไตรทศแล้ว! ไหนจะเรื่องที่มึงล่อลวงท่านไตรทศแล้วคิดจะแย่งตำแหน่งเมียรองไปจากกูอีก!”
เงินและอำนาจทำให้คนเราเกลียดกันได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ
“ข้ามิเคยคิดจะตกเป็นเมียของผู้ใด”
“ตอแหล! ใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนจนได้เสียกันยังจะกล้าพูด”
“ข้ามิเคยทำ..”
“กูเตือนมึงหลายทีแล้วนะไอ้จัน กูจ้างไอ้เข้มไปลอบทำร้ายมึงก็หลายคราแต่ท่านไตรทศกลับตามไปทันทุกครั้งไป มันทำไมกันวะ!”
“นี่แสดงว่าที่ไอ้เข้มมันเข้ามาทำเป็นหาเรื่องข้าตลอดคือฝีมือเอ็งงั้นรึ?”
จันเริ่มเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น นึกสงสัยหลายทีแล้วว่าทำไมไอ้เข้มจึงรู้ว่าตนออกจากเรือนไตรทศตอนใดหรือกลับกระท่อมตอนใด เหตุใดมันจึงดักทางได้ตลอดตอนนี้จันกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว
“ใช่! รู้ไว้เสียด้วย”
“แล้วเหตุใดจึงต้องทำกันถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องเผากระท่อมของข้า”
“หึ ตอนแรกก็มีแค่ข้าที่คิดกำจัดเอ็ง แต่ดูเหมือนว่าเอ็งจะไปสร้างศัตรูไว้อีก”
“ศัตรูงั้นรึ…” คิดย้อนกลับไป แต่หาได้มีผู้ใดไม่ จันล้วนประพฤติตนให้ดีตามคำสั่งสอนของหลวงตามาตลอด
“ดูเหมือนว่าท่านจะมีเรื่องขัดใจกับแม่ของเอ็งนะไอ้จัน เสียทีที่แม่เอ็งดันตายเสียก่อน ผู้ที่ต้องมารับกรรมแทนก็คือเอ็ง!” 
จันมิสามารถคิดให้ออกได้ว่าผู้ใดกันที่จะมีเรื่องบาดหมางกับมารดาของตน เพราะมารดาของจันก็เป็นแค่แม่เรือนที่ระหกระเหินออกมาจากเรือนของบิดาของจันที่เจ้าตัวมิเคยได้รู้จักชื่อและหน้าตา เหตุที่โดนขับไสไล่ส่งเพราะให้กำเนิดตนที่เป็นแม่เรือน
“นั่งรอความตายอยู่ในนี้ไปเสียเถอะ” พูดจบนางนวลจึงเดินออกไป ทิ้งจันไว้กับความเคลือบแคลงภายในใจและคำถามมากมายในหัว
“ข้าเสร็จงานของข้าแล้ว พวกเอ็งเฝ้ามันไว้ให้ดี” สั่งพวกลูกน้องของไอ้เข้มไว้ก่อนจะเดินออกมาหาไอ้เข้มที่กำลังนั่งเช็ดดาบยาวภายในมือ
“พอใจแล้วรึเอ็ง”
“ยัง ต้องรอให้ข้าขึ้นเป็นเมียท่านไตรทศเสียก่อนข้าถึงจะพอใจ” มันยิ้มอย่างได้ใจ หารู้ไม่ว่าไอ้เข้มมีแผนซ้อนแผน
“เออ ข้าจะรอดูวันที่เอ็งขึ้นเป็นเมียมัน”
รอยยิ้มสมใจเปื้อนใบหน้าไอ้คนเถื่อน ดาบที่มันเช็ดจะเป็นดาบที่ใช้ฟันร่างของไตรทศและพระยาเกษมผู้พ่อให้สาแก่ใจ หากมิได้เอาเลือดของทั้งสองมาล้างตีนมันคงจะนอนตายตามิหลับ
นางนวลรีบเดินกุลีกุจอกลับเข้าเรือนเล็กเพื่อมิให้ผู้ใดเกิดความสงสัย แต่หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของไตรทศและไอ้มิ่งทาสหนุ่มคนสนิทที่คอยจับตามองมันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“เอ็งแน่ใจใช่หรือไม่ว่าเป็นมัน?”
“ขอรับคุณท่าน กระผมมั่นใจขอรับ ตามที่กระผมได้ส่งคนไปสืบมีคนเห็นมันยืนคุยกับไอ้เข้มที่กระท่อมในป่าขอรับ”
“อืม”
ตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มดั่งมีไฟโลกันต์กำลังแผดเผาไปทั่ว
ไตรทศร้อนใจอยากจะไปง้อจันใจจะขาดแต่เมื่อตรองดูแล้วจึงรู้ว่าการที่จันจะมาขอตัดขาดกับตนนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ การที่จันกระทำเช่นนั้นคงเพราะจำใจหรือมีผู้ใดบงการอยู่ และดูเหมือนว่าตนจะคิดถูกทุกประการ
“คุณท่านจะไปไหนหรือขอรับ” ไอ้มิ่งเอ่ยถามนายของมันที่อยู่ๆก็จะเดินลงเรือนไป
“ไปหาจัน” เมื่อความจริงกระจ่างก็มิมีเหตุใดที่จะต้องรีรออีกแล้ว คิดถึงเจ้าเนื้อเย็นใจจะขาด
“กระผมไปด้วยนะขอรับ” ไตรทศพยักหน้าแทนคำพูดตามประสาคนพูดน้อย
ครั้นจะให้เดินไปก็มิทันใจ ไตรทศและไอ้มิ่งจึงพากันมาที่คอกม้าเพื่อใช้เจ้าสีนิลม้าขนสีดำเมี่ยมคู่ใจของไตรทศเสียหน่อย
ม้าหนุ่มร่างกายสูงใหญ่และกำยำ เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นลูกม้าจนตอนนี้ตัวโตสูงใหญ่สมกับที่เป็นพระยาอาชาไนย
ไตรทศขี่ควบเจ้าสีนิลส่วนไอ้มิ่งขี่ควบเจ้าสีหมอกม้าคู่ใจของมันที่เกิดพร้อมกับเจ้าสีนิล ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงมาถึงบริเวณวัดที่มีไอ้มั่นกำลังกวาดลานวัดตามคำสั่งหลวงตาเป็นการทำโทษที่มันและนางบุหงาทะเลาะกัน
“ท่านมีธุระอันใดหรือ?” ไอ้มั่นเอ่ยถามเมื่อหันไปมองเห็นไตรทศบนหลังม้า
“ข้ามาหาจัน”
“มันกลับกระท่อมไปแล้วกระมัง” ไตรทศพยักหน้าก่อนจะควบม้าออกไป ไอ้มิ่งก็มิวายทำหน้าทำตาใส่ไอ้มั่นตามประสาหมากับแมว
ทางไปป่าช้าท้ายวัดมิไกลมากนัก ระหว่างทางไตรทศเห็นรอยเท้ามากมายบนพื้นดินแต่ก็มิได้สนใจเพราะตนกำลังรีบและอยากมารับเมียรักไปอยู่ด้วยใจจะขาด
เมื่อควบม้ามาถึงเรือนจึงเห็นตาคงที่กำลังยืนคุมคนงานที่กำลังพากันง่วนยกเสาไม้ลงหลุมที่ขุดไว้ ทั้งสองลงจากหลังม้าด้วยความฉงนใจ มองไปตามพื้นจึงเห็นรอยไหม้และเศษไม้ที่กลายเป็นเถ้าถ่าน
“เดี๋ยวกระผมไปคุยให้ขอรับ”
ไอ้มิ่งเดินเข้าไปหาตาคง พูดคุยไม่กี่คำตาคงจึงหันมามองไตรทศ ไตรทศมิรอช้ารีบเดินเข้าไปถามเองให้รู้ความ
“เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ?” เขาถามด้วยความสุภาพ
“กระท่อมของข้าถูกไฟไหม้น่ะสิขอรับ”
“แล้วรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
ตาคงส่ายหน้า แต่มิบอกไตรทศเองก็พอจะประติดประต่อเรื่องเองได้ เขามิใช่คนโง่ที่จะมิรู้เรื่องอันใดเลย
“จันไปไหนหรือ ข้ามาหาจัน” สายตาคมสอดส่องไปทั่วบริเวณแต่ก็เห็นเพียงชาวบ้าน
“มันบอกว่าจะเข้าวัดไปหาหลวงตาขอรับ”
“แต่นายมั่นบอกว่าจันกลับมาแล้ว”
“เอ สงสัยจะไปเที่ยวเล่นกระมัง ข้าก็ยังมิเห็นว่ามันกลับมาแล้ว” คำพูดของตาคงทำให้ไตรทศฉุกคิดถึงรอยเท้ามากมายบนพื้นในระหว่างทางมาที่นี่
“ไอ้มิ่ง! บอกทางไปกระท่อมมา!”
“ขอรับ”
ไตรทศรีบขึ้นขี่ม้าโดยมิรีรอ ควบม้าออกมาจากบริเวณนั้นจนตาคงนึกสงสัย ไตรทศรู้สึกแปลกตั้งแต่เห็นรอยเท้านั้น ถ้าให้เดาจันคงถูกจับตัวไปเป็นแน่ และผู้กระทำคงมิวายจะเป็นพวกไอ้เข้มเช่นเดิม หากตนไปช้าก็มิรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ม้าคู่ใจถูกผูกไว้ไกลจากตัวกระท่อมหลังเล็กพอสมควรเพราะมิอยากให้พวกนั้นรู้ถึงการมาถึงของตนและนายทาสคนสนิท
“เอ็งคอยดูต้นทาง หากข้าไปนานก็จงไปตามคนมาช่วย”
“ขอรับ”
ไอ้มิ่งรับคำผู้เป็นนาย มองตามแผ่นหลังไตรทศที่ค่อยๆเดินหายเข้าไปในพงหญ้าที่สูงแทบจะท่วมหัว มันหวั่นใจมิน้อย ถึงนายของมันนั้นจะเก่งกาจเพียงใดแต่ไอ้เข้มและพวกก็มิใช่ว่าจะจัดการลงได้ง่ายๆ
“พี่! พี่!” เรียกคนที่กำลังเฝ้าหน้าประตู
“เอ็งจะเรียกหาพระแสงอะไรนักหนาวะ!” มันเปิดประตูเข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ข้า...ข้าปวดฉี่ มิไหวแล้ว”
“ก็ฉี่ใส่โจงกระเบนไปสิวะ”
“พี่จะบ้ารึ ถึงข้าจักเป็นชายแต่ข้าก็อายเป็น นะพี่นะ...ปลดโซ่ให้ข้าทีนะ”
“เออๆ แล้วอย่าวุ่นวายนะเอ็ง มิเช่นนั้นโดนข้าฟันหัวแบะแน่” มันชูดาบในมือเป็นการขู่ จันพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ชายร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ วางดาบลงบนพื้นก่อนจะเอี้ยวตัวไปปลดโซ่ที่รัดมือของจันไว้ เมื่อหลุดจากพันธนาการจันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและทำทีท่าว่าง่ายให้อีกฝ่ายตายใจ ก่อนจะฉวยหยิบเอาดาบบนพื้นมาถือไว้
“เห้ย!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:28:55 โดย ponpon1a »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ปึก
ยังมิทันที่มันจะได้โวยวาย ชายหนุ่มใช้สันดาบฟาดลงที่หลังคออย่างแรงจนอีกฝ่ายสลบเหมือด ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร ถึงจะเป็นแม่เรือนก็หาใช่อ่อนแอไม่
ตึก ตึก
เสียงเดินที่หน้าประตูของกระท่อมดังขึ้น จันรีบหลบอยู่ข้างประตู สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมแรงและความกล้า
เสียงประตูถูกเปิดออก แขนทั้งสองง้างดาบขึ้นหวังจะฟัน หากแต่อีกฝ่ายกลับหลบได้ พร้อมกับรวบแขนทั้งสองของจันไว้ด้านหลัง ด้วยความรวดเร็วจึงมิทันเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด
“ปล่อยกู!” ดิ้นก็แล้วสะบัดก็แล้วแต่อีกฝ่ายก็มิได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ชู่ว...อย่าเสียงดัง เดี๋ยวพวกที่เหลือก็ตามเข้ามาดอก” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมอง
“พี่ไตร…”
“พี่มาช่วยแล้วคนดี”
แขนทั้งสองถูกปล่อยจากการจับกุมก่อนจะเปลี่ยนเป็นถูกจับไหล่ให้หันเข้าหาอีกฝ่าย โดนคนเอาแต่ใจกอดจนใบหน้าซบกับอกอุ่นอย่างถือวิสาสะ
เสียงหัวใจของคนพี่เต้นรัวจนจันได้ยินอย่างชัดเจน มันเต้นรัวพอๆ กับใจของจันในยามนี้
“ข้ามิได้อยากให้มาช่วยเสียหน่อย”
“หึ ปากแข็งเช่นนี้น่าโดนหลายๆทีเสียให้เข็ด”
“พี่ไตร!” เสียงหัวเราะหึในลำคอดังขึ้น ถึงปากจะเอ่ยไปเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธมิได้ว่าตนอุ่นใจที่ผู้ที่เข้ามาคือไตรทศมิใช่ไอ้เข้ม
“พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด พี่เตรียมม้าไว้แล้ว”
จันพยักหน้า ทั้งสองเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ คิดว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกคนเถื่อนหากแต่คิดผิดเพราะเมื่อเดินลงมาจากกระท่อมก็โดนไอ้เข้มและพวกที่เหลือเข้ามาล้อมรอบไว้
“ดีเสียจริงที่ข้ามิต้องไปถึงเรือนเอ็ง เอ็งก็มาให้ข้าเชือดถึงที่นะไอ้ไตรทศ ฮ่าๆ!”
มันหัวเราะอย่างสะใจเมื่อคิดว่าตนจักได้ชำระบัญชีหนี้แค้นเสียที
“เสียใจด้วยที่วันนี้ผู้ที่จะถูกเชือดคือเอ็ง” ดาบที่เหน็บอยู่ที่เอวของไตรทศถูกชักออกจากฝัก พวกมันมีกันแค่สามคนคงมิใช่เรื่องยากที่จะฝ่าวงล้อมออกไป
“วันนี้คือวันตายของมึง!”
ไอ้เข้มพุ่งเข้าใส่หมายจะใช้ดาบที่มันนั่งเช็ดฟันเสียให้จมดาบแต่ไตรทศกลับหลบทันและใช้เข่ากระทุ้งเข้าที่ลิ้นปี่ไอ้เข้มจนมันเซและนิ่วหน้าด้วยความจุก
“อึก! มึง! พวกเอ็งรุมมันสิวะ มัวรออะไร!”
มันสั่งลูกน้องที่เหลือ จันยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า แต่มีหรือที่ตนจะมิทำการอันใด ชายหนุ่มเข้าไปขัดขวางพวกลูกน้องของไอ้เข้ม หนึ่งในพวกมันคิดจะต่อยจันเสียให้ฟันร่วงหากแต่เป็นจันที่ไวกว่า สวนหมัดเสยคางจนมันล้มลงไปนอนนิ่งกับพื้น ไตรทศมองภาพตรงหน้าและคิดในใจว่าตนจักเชื่อฟังและมิดื้อกับเมียเป็นแน่
“พวกไร้ประโยชน์!” เหลือเพียงไอ้เข้มและลูกน้องอีกหนึ่งคนเพียงเท่านั้น จันคิดจะจัดการลูกน้องส่วนไอ้เข้มให้ไตรทศจัดการ
ปึก!
แรงกระทบที่ท้ายทอยทำเอาจันเสียการทรงตัว ไอ้คนที่นอนสลบอยู่ในกระท่อมตื่นขึ้นมาและเข้ามาเล่นงานจันที่มิได้ระวังหลัง จันพยายามจะลุกขึ้นหากแต่ถูกเตะเข้าที่หน้าท้องเสียก่อน
“อึก!” ชายหนุ่มนอนกุมหน้าท้องด้วยความจุกและเจ็บ
“จัน!” ไตรทศหมายจะเข้าไปช่วยหากแต่โดนไอ้เข้มกันไว้เสียก่อน
“เหอะ เสร็จกูล่ะมึง” มันง้างดาบในมือหวังจะฟันไตรทศให้เลือดอาบ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงไอ้มิ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกไอ้เข้ม ไอ้มิ่งวิ่งเข้าใส่พวกของไอ้เข้มทันทีแต่มันมิได้มาผู้เดียว นายทาสยังไปตามพวกทาสหนุ่มในเรือนมาอีกด้วย มิเพียงแค่นั้น พระยาเกษมที่ได้ยินไอ้มิ่งเรียกพวกทาสภายในเรือนเข้าก็ดันตามมาด้วย
พวกของไอ้เข้มและตัวมันเองถูกพวกทาสกายกำยำที่พระยาเกษมเลี้ยงไว้รวบตัวมิเหลือแม้แต่ผู้เดียว ไอ้เข้มมองด้วยความคับแค้นใจเพราะมันเกือบจะสังหารไตรทศได้แล้ว
“จัน!” ไตรทศรีบรุดเข้าไปดูจันที่นอนกุมท้องอยู่บนพื้น ประคองร่างชายหนุ่มขึ้นอย่างเบามือ “อย่าเป็นอันใดไปนะจัน”
“เห็นข้าอ่อนแอเพียงนั้นเชียวหรือ” จันยิ้มให้ไตรทศประคองใบหน้าคนพี่ด้วยมือที่กำลังสั่นเทิ้ม เพราะเมื่อครู่ตนคิดว่าไอ้เข้มมันจะฟันไตรทศได้สำเร็จ
“ออเจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง” เสียงพระยาเกษมผู้พ่อดังขึ้น ไตรทศจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาหมองเศร้าที่ทำให้ผู้เป็นบิดาผิดหวัง
“ขออภัยขอรับ”
“เอาเถอะ อย่างไรก็ปลอดภัยแล้ว รีบกลับไปรักษาตัว”
ถึงพระยาเกษมจะมิชอบใจนักที่ไตรทศเอาชีวิตมาเสี่ยงเพียงเพื่อแม่เรือนผู้เดียว แต่ตนก็ยังมีความเป็นพ่ออยู่บ้าง มิใจร้ายถึงขั้นที่จะปล่อยให้ลูกตนตายเป็นแน่
ระหว่างที่สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่นั้น ไอ้เข้มได้ทีรีบสะบัดตัวออกและชักเอาดาบของทาสผู้หนึ่งออกมาหวังจะฟันหลังไตรทศเสียให้ขาด หากแต่จันกลับเห็นสียก่อน จึงกดไหล่ไตรทศให้นอนลงและขึ้นคร่อมเอาไว้เพื่อเอาตัวบัง
“อึก!”
เสียงดาบปะทะกับแผ่นหลังบางทำเอาไตรทศแทบขาดใจ
เลือดแดงฉานติดไปกับคมดาบก่อนจะหยดลงสู่พื้นดิน ร่างที่เล็กกว่าสั่นเทิ้มก่อนจะทิ้งตัวลงบนตัวของไตรทศที่กำลังสติหลุดกับเหตุการณ์ตรงหน้า สองแขนกอดร่างคนอายุน้อยกว่าไว้ในอ้อมแขน มือหนาสั่นมือสัมผัสถึงเลือดอุ่นที่เปื้อนติดมือ
“จัน...จัน!”
เสียงร้องอย่างตกใจของไตรทศดังขึ้นระคนปนกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจของไอ้เข้มที่ถึงแม้มันจะลงมือฆ่าไตรทศมิสำเร็จแต่มันก็สามารถพรากดวงใจของอีกฝ่ายไปได้
“อย่าทิ้งพี่ไป...” ไตรทศตระกองกอดจันไว้อย่างเบามือ
“พวกเอ็งเอาตัวมันไปส่งทางการเดี๋ยวนี้ ข้าจะจัดการกับมันเอง!”
พระยาเกษมสั่งพวกทาสทันที ตนมิเคยเห็นลูกชายเป็นเช่นนี้มาก่อน แค่นี้คงพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างได้แล้ว
“ไตรทศ เมียออเจ้ายังมิตายดอก รีบพากลับเรือนใหญ่จักได้รักษาทัน”
“ขอรับ”
ไตรทศรีบอุ้มคนเจ็บขึ้นก่อนจะพาขึ้นหลังม้าเพื่อกลับสู่เรือนใหญ่ ระหว่างทางจันหายใจรวยริน คนพี่ได้แต่เพียงภาวนาว่าให้จันอย่าเป็นอันใดไปเสียก่อน
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ไตรทศจึงรีบอุ้มจันขึ้นเรือนทันที แต่พบเข้ากับแม่พิกุลและพระยาจำรูญที่มารอพบพระยาเกษม
“ตายแล้ว! เกิดเหตุอันใดขึ้นเจ้าคะคุณพี่ไตร!”
พิกุลอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเลือดของจันเปื้อนเต็มเสื้อผ้าของไตรทศเต็มไปหมด
“จันโดนฟัน แม่พิกุลไปเตรียมผ้ากับน้ำสะอาดให้พี่ได้รึไม่?”
“เจ้าค่ะ” แม่หญิงรีบรุดเดินไปที่โรงครัวเพื่อหาน้ำสะอาด ไตรทศวางจันลงบนเตียงในห้องรับรองแขกในท่านอนคว่ำเพื่อมิให้กดทับแผล
“เป็นอย่างไรบ้างไตรทศ?” พระยาจำรูญเดินเข้ามาช่วยดูแล
“แผลมิลึกมากขอรับท่านลุง แต่เลือดยังไหลมิหยุด” ไตรทศมือสั่นจนทำอันใดมิถูก
“ใจเย็นเสียก่อนออเจ้า อย่าลนลาน ตั้งสติ” มิคิดมิฝันว่าคนที่ใจเย็นและสุขุมเช่นไตรทศต้องมีผู้มาคอยบอกให้ใจเย็น
“ขอรับ…” ไตรทศหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อของจันออกด้วยความเบามือ
แผ่นหลังขาวเนียนที่ไตรทศชอบนักหนาครานี้กลับมีรอยดาบเป็นทางยาวทั้งยังมีเลือดซึมออกมา หากเจ็บแทนได้ตนก็อยากจะเจ็บแทน
“น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่พิกุลเดินเข้ามาพร้อมกะละมังน้ำสะอาดและผ้าขาวบาง ไตรทศรับมาก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆและเช็ดรอบบาดแผลที่เป็นรอยยาว
“ออเจ้าต้องการตัวยาทำแผลรึไม่ ลุงจักไปเอามาให้” พระยาจำรูญเสนอตัวช่วย หากจะให้ไตรทศทำผู้เดียวคงมิเสร็จง่าย ตนเองที่พอจะมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรจึงมิอยากอยู่เฉยๆ
“รบกวนท่านลุงแล้วขอรับ” พระยาจำรูญและแม่พิกุลเดินออกไปเพื่อเอาตัวยาให้ห้องเก็บยาที่ไตรทศทำไว้ที่เรือนใหญ่
มือหนาจับผ้าขาวที่เริ่มเปลี่ยนสีในมือเช็ดรอบแผลจนสะอาด จันครางอือในลำคอเมื่อรู้สึกเจ็บที่แผล
ไตรทศรู้สึกเสียใจมิน้อยที่ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้จันต้องเจ็บตัว มันควรเป็นตนเสียด้วยซ้ำที่ต้องเป็นฝ่ายรับคมดาบนั้น
พระยาจำรูญเดินเข้ามาพร้อมกับตัวยาที่บดจนละเอียดและผ้าขาวสำหรับพันแผล ไตรทศยื่นมือไปรับยาที่ผู้ใหญ่ส่งให้
“ขอบพระคุณท่านลุงขอรับ”
“อืม รีบทำแผลเถิดก่อนจะติดเชื้อ” ไตรทศพยักหน้า ค่อยๆ หยิบเอาตัวยาบดละเอียดภายในถ้วยวางลงบนแผล จันสะดุ้งด้วยความแสบ
“ทนหน่อยหนา” พูดไปทำแผลไป ในใจนึกสงสารจันจับใจทั้งยังพร่ำซ้ำเติมตนเองว่าตนคือต้นเหตุที่ทำให้จันต้องเป็นเช่นนี้
เมื่อโปะสมุนไพรบดละเอียดจนทั่วแล้วจึงคลี่ผ้าขาวออกเพื่อที่จะพันแผลไว้ ตัวยาจะได้ทำงานดีขึ้นและแผลจะได้หายเร็วขึ้น
“เดี๋ยวน้องช่วยเจ้าค่ะ”
การพันแผลหากทำคนเดียวคงยากที่จะพันได้ แม่พิกุลจึงเสนอตัวช่วย ไตรทศค่อยๆประคองจันให้นั่งเพื่อพันผ้า ในขณะเดียวกันพระยาจำรูญที่มองอยู่มิห่างจึงเห็นรอยปานที่เอวของจันเข้า
“รอยปาน…”
“ปานเป็นสัญลักษณ์ของแม่เรือนขอรับ”
พระยาจำรูญพยักหน้า ตนนั้นรู้อยู่แล้วว่าจันเป็นแม่เรือนเพราะได้ยินตอนที่พระยาเกษมทะเลาะกับไตรทศเมื่อครั้งก่อน แต่สิ่งที่ตนติดใจคือปานรูปดอกจันทร์กระพ้อสีแดงนั่นต่างหากเล่า
“หากนายผู้นี้ฟื้น ลุงขอคุยกับเขาได้หรือไม่
“ขอรับ”

พระยาจำรูญและแม่พิกุลออกไปจากห้องแล้ว เหลือไว้เพียงไตรทศและจันภายในห้อง จันต้องนอนคว่ำหน้าตามเดิมเพื่อมิให้แผลกระทบกระเทือน
มือหนาจับมือของจันเอาไว้แน่น กดจูบลงบนฝ่ามือนั้นเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ปากก็พร่ำบอกว่าให้น้องหายเร็วๆและรีบกลับมาอยู่ด้วยกัน ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคุณหญิงนิ่มและพระยาเกษม
“ลูกรักเขาถึงเพียงนี้แล้วยังจะใจแข็งอยู่หรือเจ้าคะคุณพี่ ดูฤานายผู้นี้ก็รักลูกของเรา มิเช่นนั้นคงมิเอาตัวเข้ามารับคมดาบแทนเป็นแน่”
พระยาเกษมมิได้ตอบอันใด หากแต่ใจคนเป็นพ่อก็เริ่มยอมรับจันขึ้นมาบ้างแล้ว แม่เรือนก็มิได้แย่เสมอไป
สามวันต่อมา
“อึก”
จันที่เพิ่งรู้สึกตัวหลังจากสลบไปหลายวันคิดจะขยับร่างกายแต่กลับทำมิได้เพราะรู้สึกเจ็บและตึงที่บาดแผล ความเจ็บทำเอาน้ำตาแทบเล็ด
เมื่อลืมตาจึงเห็นว่าข้างเตียงไม้ที่ตนนอนอยู่มีร่างของไตรทศนั่งกุมมือตน เอาหน้าแนบกับที่นอนและหลับด้วยความอ่อนแรง
“พี่...ไตร…” เสียงพูดแหบแห้งและมือที่กำลังขยับทำให้ไตรทศรู้สึกตัวและตื่นจากนิทรา
“จัน! ออเจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ” จันยิ้มให้อ่อนๆ
“ข้าอยากกินน้ำ”
ไตรทศรีบหยิบเอาขันเงินใบเล็กที่ใส่น้ำวางไว้อยู่มิไกลมาป้อนให้ทันที เมื่อน้ำไหลลงคอจันจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“นี่พี่มิได้ดูแลตัวเองเลยรึ”
ไตรทศซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีหนวดขึ้นประปราย ดูแล้วก็สมกับเป็นคนอายุสามสิบดีเหมือนกัน จันมองใบหน้าของไตรทศอย่างพิจารณา
“มองพี่แบบนี้คิดถึงพี่รึ”
“อืม...คิดถึง” ไตรทศแทบอยากจะเข้าไปกอดจันให้จมอก หากแต่ทำมิได้เพราะอีกฝ่ายนั้นกำลังรักษาตัวอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่รึไม่?”
เสียงผู้มาใหม่ดังขึ้นดึงความสนใจของทั้งสองคนให้หันไปมอง พระยาเกษมที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาใกล้เพื่อดูอาการ
“มิเจ็บเท่าใดแล้วขอรับ” จันตอบพร้อมกับค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีไตรทศคอยช่วยพยุงมิห่างกาย
“อืมดี” จันมองอีกฝ่ายด้วยความยำเกรง เพราะตนยังมิลืมว่าท่านพระยาเกลียดตนเสียยิ่งกว่าอะไรดี “ลูกชายข้าจะได้มิเป็นหม้ายก่อนแต่ง”
วาจาที่ท่านพระยาเอ่ยออกมาทำเอาจันชะงักเพราะคิดว่าตนฟังผิดไป
“ท่านหมายถึง…”
“เฮ้อ ข้ายอมกับความอาจหาญของออเจ้าจริงๆและขอบน้ำใจออเจ้ามากที่เอาตัวเข้าไปรับดาบแทนลูกชายข้า”
“กระผมเต็มใจขอรับ”
“ระหว่างที่ออเจ้าหลับข้าและไตรทศได้หารือกันเรื่องนี้แล้ว เป็นอันว่าข้ายอมรับออเจ้าและยินดีหากออเจ้าจะมาเป็นเมียไตรทศ”
จันหันไปมองไตรทสที่นั่งก้มหน้าอมยิ้ม เมียงั้นรึ? ตนยังมิได้เต็มใจเสียหน่อย เหตุไฉนทุกคนถึงด่วนสรุปกันเองนัก
“แต่ว่า-”
“เดี๋ยวข้าจะคุยกับหลวงตาเรื่องวันแต่ง คงต้องรอออเจ้าหายดีเสียก่อน” มิทันที่จะได้เอ่ยปากขัดท่านพระยาก็พูดถึงเสียก่อน “ออเจ้าพักผ่อนเถิดจะได้หายเร็วๆ ข้าอยากอุ้มหลานเต็มแก่”
ยังมิทันได้ตบแต่งท่านพระยาก็คิดไปไกลถึงขั้นอุ้มหลาน ทำเอาจันอ้ำอึ้งและไปต่อมิเป็น มิรอให้ต่อความ พระยาเกษมเดินออกไปทันทีที่พูดจบปล่อยให้จันเคว้งคว้างอยู่กับไตรทศที่เอาแต่นั่งยิ้ม
“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?” จันหันไปถามไตรทศที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“พี่คุยกับเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่แล้ว พวกท่านเข้าใจและยอมรับ”
“ข้ารู้ แต่เรื่องแต่งงานเล่า ข้ายังมิตกลงเลยหนา” จันมุ่ยหน้าด้วยความหงุดหงิดเพราะที่เป็นอยู่ก็มิต่างกับการโดนคลุมถุงชน
“ออเจ้าได้พี่แล้วจะมิรับผิดชอบรึ” ส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจเสียจนจันใจอ่อนยวบ
“มิใช่เช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็จงมาเป็นเมียพี่”
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มร้าย จันทำหน้ายุ่งจนไตรทศนึกเอ็นดู ยื่นมือหนาเข้าไปประคองแก้มอีกฝ่ายไว้ก่อนจะลูบด้วยความรักใคร่
“พี่คิดว่าพี่จะเสียออเจ้าไปเสียแล้ว” สองสายตาสอดประสานกัน หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นมิเป็นจังหวะอีกครา
“ข้าเองก็เหมือนกัน” เพียงเสี้ยววิที่เห็นไอ้เข้มง้างดาบใจของจันแทบตกไปอยู่ใต้ตาตุ่ม ร่างกายขยับโดยมิรู้ตัว คิดแต่เพียงว่าอยากปกป้องชายผู้นี้
“อย่าหนีพี่ไปไหนอีกหนา...” จันพยักหน้ารับ “อยู่กับพี่ อย่าผลักไสพี่...ได้หรือไม่ออเจ้า”
สายตาเว้าวอนพร้อมกับมือที่ลูบบนแก้มช่างทำให้หัวใจดวงน้อยที่เหี่ยวเฉารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากนัก ความอุ่นวาบในอกทำเอาน้ำตาเม็ดเล็กกลิ้งหลุนๆลงบนแก้มเนียน
คนพี่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาด้วยความเบามือ ถนอมแก้มเนียนดั่งถนอมกลีบดอกไม้มิให้ช้ำ
“ข้า…”
ไตรทศนิ่งเพื่อฟัง
“ข้ารักพี่”
ปลายคางมนถูกเชิดขึ้นเพื่อรับเอาจูบรสหอมหวานจากคนที่โตกว่า ทั้งสองหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสที่เฝ้าคะนึงหามาตลอดระยะเวลาที่จากกัน ถึงจะห่างกันเพียงมิกี่วันแต่กลับรู้สึกว่านานเป็นเดือน
ไตรทศจูบซับลงบนริมฝีปากสีกลีบกุหลาบด้วยความถนอมดั่งกลัวว่าคนน้องจักบอบช้ำ ลิ้นเรียวสอดเข้าไปภายในอย่างง่ายดายเมื่อจันเปิดทาง
ซึมซับเอาน้ำหวานอย่างมิรู้เบื่อ ยามถอดถอนจึงเห็นเจ้าน้ำหวานยืดเป็นสายเรียกรอยยิ้มจากคนพี่และเรียกใบหน้าแดงก่ำจากคนน้อง
“พี่ก็รักจัน”
จูบลงบนหน้าผากมนเพื่อตอกย้ำและสลักคำว่ารักให้ลึกมากกว่าเดิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:29:14 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
จันตอบรักพี่ไตรแล้ว   :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
55พี่เค้าทวงหาความรับผิดชอบนะน้องจัน
 :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ที่คุยจะเกี่ยวกับแม่เจ้าจันมั้ยนะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ไม่ดราม่าแล้วเนาะ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ยอมรับว่ารักพี่เขาสักทีนะจัน  :-[
คนพี่ ก็ตีเนียนทวงความรับผิดชอบ หน้าตาเฉย 55555 

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๕

   ภาพลูกชายคนเล็กของพระยาเกษมในวัยสามสิบปีที่กำลังนั่งจิบชาจีนอยู่ที่ชานเรือนพร้อมกับมีลมที่พัดโกรกให้ผมที่ถูกตัดสั้นสะบัดตามแรงลม หนวดที่ขึ้นเพราะเจ้าตัวมิได้ใส่ใจจะโกนมากนักยิ่งขับให้ใบหน้าที่คมเข้มดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีก
เป็นภาพที่ทำให้เหล่านางทาสพากันนั่งมองหน้ากันแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆกัน ในใจระริกระรี้อยากถวายตัวเป็นเมียใจจะขาดแต่พวกมันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเจ้านายผู้นี้รักเดียวใจเดียวเพียงใด
   นายจันผู้ที่ท่านไตรทศอุ้มขึ้นเรือนมาเมื่ออาทิตย์ก่อนคือคนที่สามารถกอบกุมหัวใจของท่านไตรทศผู้ด้านชาเอาไว้ได้ พวกมันจึงมิกล้าตีตนเสมอเทียบ เหตุเพราะในขณะที่นายจันนอนซมจากอาการบาดเจ็บมีนางทาสหลายคนพยายามเสนอหน้าไปออดอ้อนออเซาะหวังให้ไตรทศสนใจแต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาเย็นชาและใบหน้าที่นิ่งเฉย
   จันอาการดีขึ้นมาก รอยแผลยาวเริ่มสมานจนแทบจะปิดสนิท ไตรทศพยายามหาตัวยาที่จะทำให้บาดแผลหายโดยที่มิทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนแผ่นหลังเนียนสวย แต่ด้วยความฉกรรจ์ของบาดแผลจึงทำให้มิมีตัวยาตัวใดสามารถรักษาให้รอยแผลเป็นหายไปได้
   “คุณท่านขอรับ ท่านขุนไกรมาเข้าพบขอรับ”
ไอ้มิ่งเดินเข้ามาบอกนายของมันที่กำลังนั่งจิบชาเพื่อพักผ่อนร่างกายเพราะระหว่างที่จันรักษาตัวอยู่นั้นไตรทศมิเคยออกห่าง คอยเช็ดตัวและคอยป้อนข้าวป้อนน้ำจนจันบ่นอุบอิบว่าตนมิได้เจ็บที่แขน แต่ไตรทศหาได้สนใจไม่ 
   “ขุนไกรอยู่ที่ใด”
   “รออยู่ที่ศาลาใต้ต้นหว้าขอรับ” เมื่อได้ฟังดังนั้นไตรทศจึงลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าไปที่ศาลาใต้ต้นหว้าที่อยู่มิไกลจากตัวเรือนใหญ่ทันที เมื่อมาถึงจึงเห็นขุนไกรเพื่อนรักกำลังนั่งจิบชารอ
   “ว่าอย่างไรขุนไกร มาหาข้าในเวลาเช้าถึงเพียงนี้เอ็งคิดถึงข้ารึ?” ไตรทศเอ่ยถามด้วยท่าทีขี้เล่นตามประสาคนเป็นเพื่อนสนิทกัน
   “จะบ้ารึ! ข้าแค่มีข่าวดีจะมาแจ้งแก่เอ็ง”
   “ข่าวเรื่องใดเล่า”
   “งานแต่ง” คนตัวสูงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
   “งานแต่งของผู้ใดหรือ”
   “ของข้า”
   “ห่ะ ของเอ็ง!?”
   “เออ ของข้านี่แหละ เอ็งจะตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” ขุนไกรตีสีหน้ายุ่งก่อนจะยกชาขึ้นจิบ
   “ข้าก็ตกใจที่มีคนกำราบเสือร้ายอย่างเอ็งได้สิวะ ไหนว่าชีวิตนี้จะไม่มีเมียมิใช่รึ แล้วนี่ไปแพ้ทางให้แม่หญิงทางใดเล่า”
ไตรทศพูดไปยิ้มไปเมื่อรู้ว่ามีคนสามารถกำราบเสือผู้หญิงอย่างขุนไกรได้ ชื่อเสียงของขุนไกรล่ำลือทางด้านนี้นัก
   “มันน่าตกใจนักรึ”
   “ใช่ ใครๆต่างก็เห็นว่าเอ็งเข้าออกร้านบำเรอชายเป็นว่าเล่น”
   “เอ็งก็ว่าไป ที่ข้าเข้าออกบ่อยๆเพราะ...” ท่านขุนเว้นช่วงให้เพื่อนของตนเดา “เพราะข้าเจอคนที่ถูกใจในร้านนั้นต่างหากเล่า”
   “แล้วสรุปว่าแม่หญิงนางนั้นคือผู้ใด”
   “มิใช่แม่หญิง”
   “บุรุษเพศรึ?” ไตรทศแปลกใจมิน้อยที่เพื่อนของตนหันมาชมชอบบุรุษเพศ เพราะที่ผ่านมาขุนไกรเองก็ชอบเพียงสตรีเพศมาตลอด
   “ใช่ เอ็งจำอาหลินได้รึไม่” ไตรทศทำหน้านึก แต่ขุนไกรก็พอเดาว่าไตรทศคงจำมิได้เพราะวันนั้นไรทศเอาแต่ร่ำสุราและเมาเหมือนหมา “ผู้ที่รำอยู่บนเวทีอย่างไรเล่า”
   เมื่อขุนไกรใบ้ให้ไตรทศจึงคิดออกในทันที คราแรกที่เจอกันที่ร้านขุนไกรเองก็มีท่าทีว่าชมชอบคนผู้นั้นมิน้อย
   “ข้าจำได้แล้ว”
   “ข้าจะแต่งงานกับอาหลินผู้นั้นแหละ”
   “ไปทำอีท่าไหน เหตุใดจึงได้แต่งงาน”
   “...ก็หลายท่า เช่นท่า-“
   “พอๆ ข้ามิอยากฟัง” ไตรทศรีบพูดตัดบททันทีเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักกำลังจะสาธยายสิ่งใดให้ตนฟัง
   “ฮ่าๆ เออ...มิฟังก็มิฟัง”  ขุนไกรหัวเราะชอบใจเมื่อตนสามารถแกล้งไตรทศได้สำเร็จ “แล้วเอ็งมีเรื่องจะปรึกษากับข้ารึไม่”
   “ก็พอมี”
   “ว่ามา”
   “เอ็งจำตอนที่จันโดนลอบทำร้ายหลายๆคราได้หรือไม่”
   “ข้าจำได้”
   “ทุกครั้งมีนางนวลทาสในเรือนข้าบงการอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ข้ากำลังสอบสวนมันอยู่แต่มันก็มิยอมปริปากสักคำ”
   “ข้าว่ามันแปลกๆ”
   “ใช่ ยังมีผู้คอยสั่งการนางนวลอยู่อีกผู้หนึ่ง คนผู้นี้แหละคือคนที่ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันคือผู้ใด”
   “แล้วจันว่าอย่างไร”
   “จันบอกว่านางนวลมันเรียกคนผู้นี้ว่าคุณหญิงและคุณหญิงผู้นี้เคยมีปัญหากับแม่ของจันมาก่อนจึงมาลงที่ตน”
   “เช่นนั้นเราต้องรู้ให้ได้ว่าแม่ของจันมีที่ไปที่มาเช่นไร”
   “ข้อนี้ตอบยาก เพราะตัวจันนั้นกำพร้าแม่ตั้งแต่เจ้าความได้ จึงมิรู้ว่าผู้ใดคือพ่อของตน”
   “แล้วตาของจันมิรู้หรือ” ไตรทศส่ายหน้า
   “ที่ข้ารู้คือแม่ของจันทำงานเป็นทาสอยู่ที่เรือนของผู้ใดสักผู้ พอท้องและให้กำเนิดจันที่เป็นแม่เรือนจึงถูกขับไสไล่ส่งออกมาจากเรือนนั้น พอตาคงถามหาพ่อของเด็กก็มิยอมตอบ”
   “ข้าว่าเรื่องนี้มันชักจะซับซ้อนไปกันใหญ่”
   “ข้าอยากให้เอ็งช่วยสืบหาให้ข้าสักหน่อย เกี่ยวกับนางทาสที่ชื่อผ่อง”
   “ชื่อแม่ของจันรึ”
   “อืม”

   จันตื่นขึ้นมาในยามสาย แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบม่านตาในยามเช้าทำให้คนเจ็บตื่นจากนิทราและความฝันที่กำลังฝันดี ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆห้องแต่ก็มิเห็นไตรทศ
   “ฮึบ” ชายหนุ่มบิดขี้เกียจ โยกแขนไปมาซ้ายขวาอย่างเบาแรงเพื่อมิให้กระทบกระเทือนแผลที่แผ่นหลัง
   “พี่จันจ๋า..” เสียงเล็กเรียกขึ้นจันจึงเงยหน้าขึ้นมอง เด็กชายตัวป้อมนั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง
   “มิต้องอยู่เฝ้ากระท่อมเป็นเพื่อนตารึ” เมื่อสองสามวันมานี้ไอ้ทิดมาเยี่ยมจันแทบทุกวันโดยมันให้เหตุผลว่าคิดถึงเพราะจันมิกลับเรือนนานแล้ว
   “ข้าเบื่อนี่จ้ะ มิมีพี่จันแล้วข้าเหงามากเลย” เด็กชายยู่ปากอย่างน่าเอ็นดู
   “โธ่ ไอ้จุกเอ้ย” ฉายานี้จันชอบเรียกเมื่อทิดทำตัวดื้อหรือออดอ้อน
   “ข้าชื่อทิดนะพี่!”
 เจ้าผีเด็กโวยวายเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อที่ตนมิชอบใจนัก ทิดปรายตามองคนที่ตนเรียกว่าพี่ชายตั้งแต่จำความได้
คราแรกที่รับรู้ว่าจันโดนฟันเจ้าผีเด็กก็รีบหายตัวมาดูทันทีด้วยความเป็นห่วง ในคราแรกสภาพจันดูอ่อนแรกจนมันหวั่นใจเพราะกลัวว่าจันจะเป็นอันใดไป แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้ไตรทศเป็นผู้ดูแลจึงเบาใจขึ้นบ้าง
“พี่...เจ็บหรือไม่จ้ะ” ทิดนั่งทำหน้าเศร้า
“เจ็บสิ แต่ข้าเก่ง ข้าหายเจ็บแล้ว”
“ฮึก...” อยู่ๆเด็กชายก็เริ่มร้องไห้ จันตกใจมิน้อยเพราะตนมิเคยเห็นทิดร้องไห้มาก่อน
“ร้องทำไมไอ้ทิด?”
“ข้า...ฮึก ข้าเป็นห่วงพี่” มือป้อมยกขึ้นเช็ดน้ำตา
“โธ่...พี่หายแล้วอย่างไรเล่า”
“ทีแรก...ข้า ข้าคิดว่าพี่จะตาย ฮืออ..” ว่าแล้วก็ปล่อยโฮออกมาเสียยกใหญ่จนจันต้องหาทางปลอบ
“ข้าตายก็ดีมิใช่รึ เอ็งจะได้มีเพื่อนเล่นอย่างไรเล่า”
“ไม่เอา...ข้าอยากให้พี่จันใช้ชีวิตของพี่ มีความสุขกับคนที่พี่รัก แค่นี้ข้าก็สุขจนล้นแล้ว”
“ทิด...” ใจคนฟังอ่อนยวบ เจ้าผีเด็กตนนี้ถึงจะเป็นเด็กแต่ความคิดกลับเหมือนผู้ใหญ่ มิเอาแต่ใจและคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ
“ข้าอยู่กับพี่มาตั้งนาน ข้ารู้ดีว่าการที่พี่เป็นแม่เรือนมันเจ็บปวด...ฮึก ข้าเคยเห็นพี่แอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆตอนตามิอยู่ ข้า...ข้าสงสารพี่ ฮือ...”
เจ้าเด็กตัวป้อมยังร้องมิหยุด เมื่อจันได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับเข้าใจทันทีว่าเมื่อใดก็ตามที่จันแอบร้องไห้จนเสร็จไอ้ทิดก็จะออกมาเล่นมาคุยเจื้อยแจ้วด้วยตลอด คงเพราะอยากปลอบให้ตนหายจากความเศร้า
“เฮ้อ...เอ็งนี่หนอ เจ้าเด็กแสบ ข้ามิเป็นอันใดดอก ตอนนี้ข้าเองก็แข็งแรงดีแล้ว เอ็งอย่าห่วงไปเลยหนา”
“จ้ะ..” เด็กชายสุดน้ำมูกและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ “ทิดจะปกป้องพี่จันเอง จะมิให้ผู้ใดมาทำร้ายพี่จันแล้ว”
“ขอบใจเอ็งมากนะไอ้แสบ”
เด็กชายยิ้มยิงฟันให้จันเพื่อแสดงว่าตนเข้มแข็งและสามารถปกป้องจันได้ จันคิดในใจว่าเหตุใดเด็กน้อยที่นิสัยดีถึงเพียงนี้ถึงมิหมดห่วงและได้ไปเกิดเสียที
แอ๊ด..
เมื่อมีเสียงประตูไม้เปิดออกไอ้ทิดจึงโบกมือลาและส่งยิ้มให้จันก่อนจะหายตัวออกไปจากห้อง
“เป็นอย่างไรบ้างจ้ะพี่จัน” แม่พิกุลเปิดประตูเข้ามาเพื่อเอายาสำหรับกินหลังอาหารมาให้ “เดี๋ยวสำรับพวกป้าอิ่มจะยกตามมาทีหลังนะจ้ะ”
แม่หญิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่จันกลับมิมีปฏิกิริยาต่อรอยยิ้มหวานเชื่อมนั้น ปกติจันจะใจเต้นแรงและอ่อนระทวยทันที แต่ยามนี้กลับมิเป็นเช่นนั้นแล้ว
“ขอบใจจ้ะแม่พิกุล” ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวที่กำลังจัดเรียงยาลงบนโต๊ะข้างเตียง “ข้า...”
“ถ้าจะพูดเรื่องระหว่างพี่กับพี่ไตรล่ะก็ข้าอยากบอกว่าข้ารู้เรื่องนานแล้ว” แม่หญิงส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อให้จันคลายกังวล
“พี่ไตรทศคงจะชอบพอพี่จันเมื่อครั้งแรกเจอที่วัด ข้าเดาสายตาของพี่ไตรออก”
“เป็นเช่นนั้นรึ...” จันก้มหน้าเกาแก้มด้วยความเขินอาย
“พี่มิสงสัยหรือว่าเหตุใดท่านลุงเกษมถึงได้ยอมรับพี่”
“ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
“คิกๆ ตอนที่พี่ไตรทศคุยกับท่านลุง ข้าล่ะอยากให้พี่อยู่ด้วยเสียจริง” แม่หญิงยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างอารมณ์ดี ผิดแปลกไปจากที่จันคาดไว้
“พี่ไตร...พูดว่าอย่างไรหรือ?”
“ก็...”

“เจ้าคุณพ่อขอรับ”
หลังจากที่ทำแผลให้จันเสร็จและเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้วไตรทศจึงเดินออกมาตามหาพระยาเกษม ตนจึงเห็นว่าผู้เป็นบิดากำลังนั่งจิบชาอยู่บนตั่งตรงชานเรือน
“ว่าอย่างไร”
“ลูกอยากให้เจ้าคุณพ่อพิจารณาอีกครา”
“เรื่องอันใดอีก แค่นี้ยังมิเดือดร้อนพอรึ?” สีหน้าตึงเครียดถูกส่งมาให้แต่ไตรทศก็มิหวั่นเกรง
“ลูกต้องการยกเลิกงานหมั้นระหว่างลูกและแม่พิกุล และลูกต้องการให้จันขึ้นเป็นเมียเพียงหนึ่งเดียวของลูกมิใช่เป็นเมียรอง”
คำพูดพร้อมสายตาหนักแน่นถูกส่งผ่านออกมาจากตัวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน พระยาเกษมวางถ้วยชาในมือลงก่อนจะเอ่ย
“พ่อขอเหตุผลหน่อยซิ ว่าเหตุใดแม่เรือนผู้นั้นถึงเป็นเมียรองมิได้”
“ลูกรักจันเพียงผู้เดียวมิคิดจะรักใครอื่นอีกแล้ว และลูกเชื่อว่าจันก็รักลูกเช่นเดียวกัน”
“ชีวิตคู่แค่รักมันมิพอดอกหนาไตรทศ” ท่านพระยาถอนหายใจ “ออเจ้ามิกลัวว่าชาวบ้านจะนินทาเอาหรือว่าเป็นถึงลูกท่านพระยาแต่กลับใฝ่ต่ำไปเอาแม่เรือนมาทำเมีย”
“ไม่ขอรับ คำพูดของผู้อื่นมิสำคัญเท่าความรู้สึกของจัน”
ลูกชายวัยสามสิบแสดงให้พระยาเกษมเห็นแล้วว่าตนนั้นได้โตขึ้นมากแล้ว ในความคิดของผู้เป็นพ่อยังมองว่าลูกตนอายุแค่สิบสามเสมอมา แต่ในยามนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้วทั้งสิ้น สิ่งที่มีเปลี่ยนก็คงเป็นความคิดของตนเองที่เอาแต่ปิดกั้นและมิเคยฟังลูกชาย
“เอาเถิด ออเจ้าอยากทำอันใดก็ทำ พ่อได้เห็นแล้วว่าแม่เรือนผู้นั้นรักออเจ้าด้วยใจที่แท้จริงมิได้หวังสบายแต่อย่างใด” ผู้เป็นบิดาวางมือลงบนกลุ่มผมสีดำของลูกชายก่อนจะเอ่ย
“ขอให้ออเจ้ามีความสุขมากๆหนา ไอ้ลูกพ่อ”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ”

“เรื่องก็มีเท่านี้แหละจ้ะพี่จัน”
“ขอบใจออเจ้ามากหนา ที่อุตส่าห์เล่าให้พี่ฟัง”
“เจ้าค่ะ” แม่หญิงยิ้มก่อนเดินหันหลังออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้จันได้พักผ่อน
ชายหนุ่มนั่งทบทวนกับตนเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตนพึ่งได้ยินมาเมื่อครู่ ความสุขใจเอ่อล้นเมื่อรู้ว่าไตรทศรักตนถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าคราแรกจะมิถูกชะตาแต่ดูเหมือนว่าไอ้จันผู้นี้ตกหลุมรักท่านไตรทศเข้าเสียแล้ว...และหลุมเองก็ลึกเสียด้วย
เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นอาหารที่โชยเข้ามาก่อนคน จันชะเง้อเพื่อมอง สิ่งแรกที่เห็นคือถาดไม้ที่ใช้รองชามข้าวต้ม สิ่งต่อมาคือใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘ผัว’ ของตน
คนพี่ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะเดินเอาถาดมาวางไว้ข้างยาต้มที่แม่พิกุลพึ่งเอามาวางไว้ก่อนหน้า
“ออเจ้ายังเพลียอยู่หรือไม่?” คำถามธรรมดาแต่จันกลับคิดว่ามันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
“หายแล้วจ้ะ...” มือหนาวางทาบทับลงบนหน้าผากมนในขณะที่จันยังมิทันได้ตั้งตัว
“อืม...ยังอุ่นๆอยู่เลยหนา”
ใบหน้าไตรทศเข้ามาใกล้จนจังหวะการหายใจของจันผิดปกติ ดวงใจเต้นเร็วขึ้นจนจันเองเกรงว่าไตรทศจะได้ยินเสียงของสิ่งที่อยู่ภายในอกข้างซ้าย
“แล้วป้าอิ่มล่ะพี่ไตร แม่พิกุลบอกข้าว่าป้าอิ่มจะเป็นผู้ยกสำรับมามิใช่หรือ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนแก้มที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ ไตรทศเองก็คิดไปว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไข้จึงมิได้สงสัยอันใด
“พี่ก็แค่อยากดูแลเมียของพี่บ้าง...มิได้หรือ?”
มือทั้งสองข้างถูกรวบและจับเอาไว้ด้วยมือของอีกฝ่ายที่ใหญ่กว่ามาก สายตาออดอ้อนปรากฏบนนัยน์ตาของคนพี่อีกครา
“ข้าเพียงแค่ถาม”
“พี่อยากดูแลออเจ้าด้วยตัวพี่เอง” มือข้างขวาถูกยกขึ้นจูบอย่างอ่อนโยน
“พี่ดูแลข้ามาตลอดมิใช่หรือ ดูสิหนวดก็มิโกน”
จันใช้มือจับปลายคางของไตรทศและหันไปมาเพื่อมองดูอย่างลืมตัว แต่ไตรทศก็มิได้ถือสาอันใด ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่เมียเป็นฝ่ายแตะต้องตัวเองก่อนบ้าง
“พี่มีหนวดแล้วมิหล่อรึ?”
“..” จันนิ่งเงียบ
“จันจ๋า ตอบพี่สิ พี่มิหล่อหรือ..” เพราะทนรอคำตอบมิไหวคนที่เคยใจเย็นดั่งน้ำฝนเช่นไตรทศถึงกับรบเร้าจะเอาคำตอบให้จงได้
“...หล่อจ้ะ” เจ้าตัวแสบยิ้มขำเมื่อเห็นว่าคนพี่ทำตัวเหมือนเด็ก
“ชื่นใจ มิเสียแรงที่ไว้หนวด อ่ะ-” ไตรทศเผลอพลั้งปากออกไปจึงรีบหันหน้ามองไปทางอื่น ทำเหมือนว่าเมื่อครู่ตนมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“เอ๊ะ...เมื่อครู่พี่ว่าอย่างไรหนา?”
“เปล่าจ้ะเปล่า กินข้าวต้มนี้หน่อยเถิดหนาจักได้กินยา ออเจ้าจะได้หายเร็วๆ พี่อยากกอดเสียเต็มแก่”
คนพี่รีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปยกถาดข้าวต้มมาวางลงบนตักแกร่ง จะบอกจันได้อย่างไรว่าตนเผลอไปได้ยินที่นางทาสพูดกันว่าผู้เป็นเมียย่อมชอบที่ผัวไว้หนวดเพราะมันจักทำให้ผัวดูหล่อแลคมเข้มขึ้น
ไตรทศยกช้อนข้าวต้มขึ้น เป่าเบาๆเพื่อไล่ความร้อนก่อนจะส่งเข้าปากจันที่นั่งอยู่บนเตียง เฝ้ามองคนน้องเคี้ยวข้าวด้วยใจผาสุก ยามแก้มกลมขยับตามแรงเคี้ยวดูแล้วเพลินตาพิลึก
“เป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากหรือไม่?”
“อร่อยจ้ะ แต่วันนี้รสแปลกไป”
“อย่างไรรึ?”
“เหมือนมิใช่ฝีมือป้าอิ่มเลย”
“หึๆ จะใช่ได้อย่างไรในเมื่อพี่ทำเอง”
“หา!?” จันแทบมิอยากจะเชื่อหูตนเอง คนอย่างไตรทศน่ะหรือจักทำอาหารเป็น
“ตกใจอะไรถึงเพียงนั้น หน้าตาตื่นเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเสียได้” ไตรทศยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะตักเข้าที่สองส่งเข้าปากของจันที่กำลังอ้าหวอด้วยความแปลกใจ
“อ้ออ้าอิดอ้าอี้อำอิเอ็น (ก็ข้าคิดว่าพี่ทำมิเป็น)”
เคี้ยวไปพูดไปจนฟังมิรู้ความ แก้มกลมที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆและดวงตากลมโตมองมาที่ไตรทศด้วยความสงสัยดูแล้วน่าเอ็นดูจนไตรทศแทบอยากจะกระโจนเข้าไปฟัดให้รู้แล้วรู้รอด
“ออเจ้าอ้วนขึ้นรึไม่..” คำถามทำเอาจันชะงัก รีบกลืนข้าวลงคอ
“ข้ามิได้อ้วน!”
“ดูทีฤา แก้มก็เริ่มออก พุงก็เริ่มมี” มิพูดเปล่าไตรทศยังเอื้อมมือไปยืดแก้มของจันด้วยความมันเขี้ยว
“พี่ไตร!” เจ้าแสบทำหน้ายุ่งจนไตรทศอดขำมิได้
“โอ๋ๆ ถึงออเจ้าจักอ้วนขึ้นพี่ก็รักแต่เพียงออเจ้าหนา” ไตรทศรีบยกข้าวต้มออกจากตักเพื่อง้อเมีย
“...” จันยังคงทำหน้ายุ่งมิเลิก ใครจะรู้สึกชอบใจกันยามที่มีคนมาทักเช่นนี้ ช่วงที่รักษาตัวจันได้ทำเพียงกินและนอนเท่านั้นจะมิให้อ้วนขึ้นได้อย่างไร
“โธ่จัน...มานี่มา”
คนพี่อ้าแขนออกกว้าง จันปรายตามองเล็กน้อยจนไตรทศหวั่นใจว่าเมียรักจะมิยอมเข้ามากอด แต่ผิดคาดที่จันกลับขยับเข้ามาใกล้และซบใบหน้าลงบนอกอุ่นอย่างออดอ้อน
เจ้าแมวน้อยแสนดื้อกลับกลายเป็นแมวน้อยขี้อ้อน จันในแบบนี้ทำเอาใจคนแก่ไหวสั่นอย่างบอกมิถูก ทั้งรักทั้งเอ็นดู นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ‘คนหลงเมียเด็ก’
“ห้ามทักเช่นนี้อีกข้ามิชอบ”
“เหตุใดจึงมิชอบเล่า”
“ก็ข้า...ข้าอยากหล่อ”
“แล้วอย่างไรอีก”
“ถ้าข้าอ้วนฉุแล้วหน้าตาเปลี่ยนไป...” จันเว้นวรรคคำพูดจนไตรทศต้องถามซ้ำ
“ทำไมหรือ?”
“ข้ากลัวว่าพี่จะมิชอบข้าแล้ว...”
“โธ่...” คนพี่หัวเราะในลำคอ “พี่มิเคยชอบออเจ้าแม้เพียงสักนิด” ใจคนฟังกระตุกเมื่อได้ยินดังนั้น อยู่ดีๆก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเสียได้
“...แล้วพี่จะบอกรักข้าทำไม” เจ้าแสบดิ้นพยายามจะออกจากอ้อมกอดแกร่งแต่ก็มิสามารถต้านแรงของไตรทสได้
“ฟังพี่ก่อนหนา” น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับมือที่ลูบลงบนกลุ่มผมทำเอาจันใจอ่อนยวบ “พี่จะบอกว่าพี่มิเคยชอบออเจ้า...เพราะว่าพี่รักออเจ้าตั้งแต่แรกเห็น”
“...งั้นรึ” จันก้มหน้างุด แนบหูลงบนอกฝั่งซ้ายเพื่อฟังจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวของไตรทศ ฟังแล้วเหมือนดั่งกับว่าสองดวงใจเต้นไปในจังหวะเดียวกัน
“ที่ผ่านมาพี่รักออเจ้าเพียงสองวันเท่านั้น”
“สองวัน? วันไหนบ้าง?” จันผละออกเพื่อมองหน้าคนพี่ที่กำลังนั่งอมยิ้มเมื่อแกล้งจันได้สำเร็จ
“วันคู่กับวันคี่อย่างไรเล่า” พูดจบริมฝีปากอุ่นก็จรดลงกลางหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ ใบหน้าเจ้าแสบขึ้นสีระเรื่ออีกคราส่วนใจดวงน้อยหรือก็เต้นมิเป็นส่ำ
“คนบ้า...” ปากน้อยๆมิวายบ่นอุบอิบตามหลัง
“บ้าอย่างไรก็ผัวออเจ้า”
“เหอะ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:30:19 โดย ponpon1a »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หวังว่าจะได้รู้ตัวคนบงการไวๆ  :hao5:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
มดขึ้นเต็มเรือนหวานซะเราเขินเลย o18 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
เอ๊ะ!!  หรือทิดจะต้องเกิดเป็นลูกของจัน

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๖

   “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เจ้าของเรือนเล็กเอ่ยถามนายทาสคนสนิทที่กำลังยืนเฝ้าหน้าห้องในเรือนพักของพวกทาสในเรือน
   “นางนวลมันมิปริปากเลยขอรับคุณท่าน”
   “อืม” คนสุขุมเดินผ่านไอ้มิ่งเข้าไปภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมแคบๆ นางนวลนั่งอยู่กับพื้น ขาข้างซ้ายถูกล่ามด้วยโซ่ที่คล้องเข้ากับขาเตียง
   “ค-คุณท่านเจ้าขา ปล่อยนวลไปเถอะนะเจ้าคะ ฮึก...นวล นวลผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
นางทาสร้องห่มร้องไห้พร้อมกับรีบรุดเข้ามาใกล้ฝ่าเท้าของผู้เป็นนายหวังจะก้มกราบลงบนหลังเท้าแต่ไตรทศกลับขยับออกเสียก่อน ใบหน้าเรียบนิ่งมิได้แสดงความสงสารแม้แต่น้อย
“นวล...นวลจำใจทำเจ้าค่ะ นวลมิได้ตั้งใจ”
“แต่การที่เอ็งสั่งให้ไอ้เข้มเข้ามาทำร้ายเมียข้าถึงสองครั้งสองคราข้ารียกว่าตั้งใจ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากแต่แฝงไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นภายในอก หากนางนวลเป็นบุรุษเพศป่านนี้มันคงมิได้มีสภาพอยู่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้ดอก
“นวล...ฮึก นวลแค่อิจฉามันจ้าค่ะ นวลอิจฉาที่มันเป็นแค่แม่เรือนแต่กลับจะได้ขึ้นเป็นเมียรองของคุณท่าน” น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองของนางทาส เสียงสั่นเครือด้วยแรงสะอื้น
“เมื่อครู่...” นางนวลเงยหน้าขึ้นมองเพื่อเรียกความสงสารจากอีกฝ่าย “...มึงเรียกผู้ใดว่ามัน?”
หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสายตาที่แฝงไปด้วยความโกรธ ทั้งสรรพนามก็แปรเปลี่ยนไป ดั่งโดยสายตาของพญายามบาลจ้องมอง นางนวลสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย รีบรุดเข้าไปจับข้อเท้าของไตรทศ
“น-นวลขอโทษเจ้าค่ะ นวลแค่คิดว่าท่านไตรทศมิเหมาะกับแม่เรือนเช่นนายจัน ผู้ใดเขาก็รู้กันว่าแม่เรือนเป็นกาลกิณีโดยเฉพาะแม่เรือนที่เป็นบุรุษเพศ มิมีผู้ใดอย่างเลี้ยงไว้ดอกเจ้าค่ะ” ทั้งพูดทั้งสั่น นางนวลกอบกุมข้อเท้าของไตรทศไว้แน่นหวังให้ผู้เป็นนายคิดเหมือนดั่งที่ตนคิด
“แล้วคนแบบใดเล่าที่มึงคิดว่าเหมาะสมกับกู...คนอย่างมึงรึ?” นางนวลนั่งนิ่งมิกล้าปริปากตอบ “หากเป็นเช่นนั้นกูขอบวชตลอดชีวิตเสียยังจะดีกว่า”
คำพูดธรรมดาหากแต่เสียดแทงลึก นางนวลเก็บความเจ็บแค้นไว้ในอก น้ำตาไหลลงอาบสองแก้มด้วยความโกรธ
“หากมึงมิยอมให้คำตอบแก่ไอ้มิ่งมึงก็จงเตรียมตัวไปอยู่คุกของทางการได้เลย” ดั่งเสียงของผู้เป็นนายดังก้องบอกให้ไปลงนรก เพราะคุกของทางการนั้นมีแต่พวกโฉดชั่ว ทั้งยังมิมีผู้คุมตลอดเวลาทำให้พวกนักโทษสามารถทำการอันใดก็ได้ บ่อยครั้งที่มักมีการฆ่าแกงกันในคุกหรือนักโทษหญิงบางผู้ยังตั้งครรภ์ในคุกนั้นอีกด้วย
เมื่อไตรทศพูดจบจึงผละข้อเท้าออกจากการกอบกุมอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้หากแต่โดนนางนวลจับไว้อีกครา
“ค-คุณท่านเจ้าขา ฮือ...ปล่อยนวลไปเถิดเจ้าค่ะ แล้วนวลจะมิมายุ่งเกี่ยวอีกเลยเจ้าค่ะ นวลจะไปไกลๆไปอยู่ที่เมืองอื่นเลยเจ้าค่ะ”
“แล้วทีกับเมียข้าเหตุใดเอ็งจึงกล้าสั่งคนไปทำร้ายได้ลงคอ เอ็งมิสงสารจันบ้างรึ!”
ครานี้มิใช่การผละออกแบบแผ่วเบาอีกแล้ว ไตรทศสะบัดเท้าออกด้วยความโกรธ เขามิคิดจะใจร้ายกับสตรีเพศ พยายามพูดดีให้ได้มากที่สุด แต่การกระทำของนางนวลและคำพูดที่พูดถึงเมียรักอย่างเหยียดหยามทำให้คนที่ใจเย็นและสุขุมมาตลอดตบะแตกได้
ไตรทศเดินออกมาจากห้องด้วยความหัวเสีย ตนได้ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้นางนวลไปแล้ว หากมันมิปริปากก็คงมิวายส่งให้ผู้เป็นบิดาดำเนินการกับทางคุกและส่งตัวนางทาสไปเช่นเดียวกับที่ทำกับไอ้เข้มและพวก
ไอ้มิ่งมองตามผู้เป็นนายด้วยสายตาหวาดหวั่น มันมิเคยเห็นไตรทศมีอาการเช่นนี้มาก่อน ปกติไตรทศจะใจเย็นดั่งน้ำฝนหากแต่ครานี้อีกฝ่ายกลับดูเดือดพล่านดั่งน้ำร้อนในกระทะทองแดงมิมีผิด
“เฮ้อ...อากาศภายนอกมันสดชื่นถึงเพียงนี้เชียวรึ”
จันที่แผลสมานตัวและหายดีแล้วกำลังยืนเกาะระเบียงข้างต้นจันทร์กระพ้อของเรือนเล็กที่มิได้มาเหยียบเสียนานเพราะยามรักษาแผลต้องรักษาอยู่ที่เรือนใหญ่ที่มีห้องอบสมุนไพรทำให้สะดวกต่อการรักษามากกว่าเรือนเล็ก
สายตาซุกซนสอดส่องไปทั่วทั้งเรือน ข้าวของบนเรือนเช่นตั่งไม้ตัวใหญ่ที่ไตรทศชอบนั่งชมดอกจันทร์กระพ้อถูกยกไปไว้อีกตำแหน่ง แจกันใส่ดอกกล้วยไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปตั้งตรงมุมอื่น ทุกอย่างดูแปลกตาไปเสียหมด
ในขณะที่กำลังชมดอกไม้อย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น สายตาของจันจึงเหลือบไปเห็นไตรทศที่เดินขึ้นมาบนเรือนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จันนึกหวั่นใจเพราะไตรทศที่ยิ้มแย้มให้ตนอยู่เสมอกำลังทำหน้าบึ้งตึง ไตรทศนั่งลงบนตั่งไม้ตัวใหญ่โดยที่มิได้สังเกตเห็นจันที่ยืนอยู่อีกฝั่ง
ขาเรียวยาวสาวเท้าเดินเข้าไปหาพร้อมกับขันน้ำฝนลอยด้วยดอกมะลิที่ป้าอิ่มเตรียมไว้ให้ จันพึ่งสังเกตว่าไตรทศถือไม้ตะพดอยู่ในมือ ไม้ตะพดหัวกลมที่ตรงส่วนหัวทำจากเงินแท้เป็นไม้ตะพดที่นานๆทีจึงจะเห็นอีกฝ่ายถือ 
เมื่อสังเกตเห็นว่าเมียเดินเข้ามาหาไตรทศจึงยิ้มให้ ยิ่งสังเกตเห็นขันเงินในมือก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อคิดว่าจันกำลังทำหน้าที่เมีย
“ออเจ้าเอาน้ำมาให้พี่รึ?”
“ใช่ที่ไหนกัน ข้าจะดื่มเองต่างหาก”
“อ่าว...” ไตรทศหน้าเสียรีบหุบยิ้มทันที
“หึ ข้าพูดเล่น” จันส่งขันน้ำให้อีกฝ่าย ไตรทศจึงรับพร้อมกับยกขึ้นดื่ม “มีเรื่องอันใดให้คิดมากรึ เหตุใดพี่จึงทำหน้าเคร่งเครียดนัก” จันถามด้วยความเป็นห่วง
“มิมีอันใดดอก พี่เพียงแค่ไปว่าราชการกับเจ้าคุณพ่อมา”
จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ไตรทศเลือกที่จะโกหกไปเพราะมิอยากให้เมียรักของตนคิดมาก รู้อยู่ดอกว่ามันผิดศีลข้อมุสา แต่หากพูดปดแล้วจะทำให้จันสบายใจต่อให้บาปมากกว่านี้ตนก็ยอม “นั่งลงข้างพี่สิออเจ้า”
มือหนาตบปุลงบนที่ว่างของตั่งไม้ตัวใหญ่ จันนั่งลงอย่างมิอิดออด ไตรทศวางขันลงบนโต๊ะที่อยู่มิไกลก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักของจัน
“พี่ไตร!” เจ้าแสบเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆก็โดนคนตัวโตนอนตัก “ลุกออกไปเลยหนา อายพวกทาสเสียบ้าง!” 
พูดพร้อมกับมองไปรอบๆจึงเห็นว่าพวกทาสในเรือนกำลังพากันมองแล้วหันไปกระซิบกระซาบ
“อายพวกมันทำไมกัน ผู้ใดก็รู้ว่าออเจ้าเป็นเมียของพี่”
“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ข้ายังมิใช่เมียพี่เสียหน่อย!”
“ประเดี๋ยวก็ได้เป็นแล้ว”
ไตรทศยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ ยกมือของจันขึ้นมาก่อนจะกดจมูกลงไปสูดเอากลิ่นดอกมะลิที่ติดมือของจันเข้าปอดก่อนจะเอามือของจันวางลงบนอกตน หลับตานอนนิ่ง ลมที่พัดโกรกโชยเอากลิ่นดอกจันทร์กระพ้อเข้ามาในตัวเรือน
จันลอบมองใบหน้าของคนบนตัก ไตรทศหลับตานอนนิ่งมิไหวติง ถึงจะมิค่อยชอบที่ถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสแต่จันก็มิได้ลุกหนีเพราะรู้ว่าไตรทศคงเหนื่อยมามากแล้วในวันนี้
ลมที่พัดโชยเข้ามาในเรือนส่งผลให้ผมของไตรทศลู่ลงปรกหน้าผากจันจึงใช้นิ้วเรียวปัดผมสีดำขลับออกให้อย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะรบกวนการนอนของอีกฝ่าย
ใบหน้าของไตรทศเกลี้ยงเกลาดั่งเดิม หนวดที่เคยขึ้นถูกอีกฝ่ายโกนออกไปเสียหมดเพราะจันเคยพูดบ่นตอนที่ไตรทศเข้ามาหอมว่ามันคันและมิชอบ ถึงไตรทศจะพูดน้อยแต่การกระทำกลับชัดเจน สิ่งใดที่จันบอกว่ามิชอบก็ยอมเปลี่ยนและมิเคยขัด แล้วอย่างนี้จะมิให้ใจของจันไหวสั่นได้อย่างไร...

เพลาชาย
“ข้าได้ในสิ่งที่เอ็งต้องการแล้วหนา”
“ว่าอย่างไรบ้าง?”
“นางผ่อง...เคยเป็นทาสในเรือนของข้า”
“เอ็งว่ากระไรนะ!?”
“อย่าเอ็ดดังไปสิวะ” ขุนไกรรีบเอ่ยเตือนเพื่อนรักของตนที่กำลังเสียงดัง “ก็เป็นดั่งเช่นที่ข้าบอก นางผ่องเคยเป็นทาสในเรือนของข้า ข้าเองก็พอจำได้ลางๆเพราะตอนนั้นข้าแค่เก้าขวบ”
“แล้วเอ็งมีข้อมูลอื่นหรือไม่?”
“ก็พอมี” ขุนไกรเว้นช่วงไปก่อนพูดขึ้น “นางผ่องมิได้เป็นทาสแต่กำเนิดแต่ถูกพ่อของข้าช่วยเอาไว้ในตอนที่กำลังจะโดนพวกนักเลงในตลาดขืนใจ จึงขอมาอยู่รับใช้ นางผ่องเป็นแม่เรือนเอ็งก็คงจะรู้”
“อืม”
“ข้าคงต้องเข้าไปคุณกับเจ้าคุณพ่อก่อนจึงจะหาข้อสรุปเรื่องนี้ได้”
“แล้วเอ็งฟังเรื่องนี้มาจากที่ใด”
“แม่สายหยุด แม่นมของข้าเอง”
“ขอบใจเอ็งมากนะไอ้เกลอ
“แค่นี้มันมิเหนือบ่ากว่าแรงดอก”
หลังจากที่ขุนไกรกลับเรือนไปแล้ว ไตรทศจึงคิดทบทวนเรื่องนี้วนไปวนมาหลายครา พลันนึกขึ้นได้ว่าพระยาจำรูญผู้เป็นบิดาของแม่พิกุลเคยพูดเอาไว้ว่าหากจันหายดีแล้วมีเรื่องจะสนทนา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2019 21:35:22 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
วันต่อมา
จันที่กำลังนั่งอ่านตำรายาในห้องเก็บตำราอย่างเพลิดเพลินถูกเสียงเรียกจากหน้าประตูขัดจังหวะ เมื่อเปิดออกไปดูจึงเห็นว่าผู้ที่ยืนดูอยู่คือไอ้มิ่ง
“มีกระไรรึไอ้มิ่ง?”
“ท่านไตรทศให้ข้ามาตามเอ็งไปที่ท่าน้ำ เห็นท่านว่าจะพาเอ็งไปเรือนคุณพิกุลเขา” จันพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับคล้องกลอนประตูห้องตำราเอาไว้
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงเดินมาถึงท่าน้ำที่ไตรทศเคยมาใส่บาตรแทนผู้เป็นมารดา จันจ้องมองแผ่นหลังกว้างก่อนจะเอ่ยเรียก
“พี่ไตร...”
“มาแล้วหรือ” อีกฝ่ายที่ยืนใช้แขนไพล้หลังหันกลับมามอง เสี้ยวหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มบาง 
“พี่จะพาข้าไปเรือนแม่พิกุลรึ?”
“ใช่ พี่มีเรื่องจะคุยกับท่านลุงจำรูญเสียหน่อย” จันพยักหน้ารับเล็กน้อย “มาเถิด”
มือของจันถูกมือของไตรทศที่ใหญ่กว่าหลายเท่ากอบกุมเอาไว้ ไตรทศพาจันเดินลงเรือ ประคับประคองมิให้จันเสียหลักในขณะที่เรือเริ่มโคลง
ระหว่างทางไปเรือนพระยาจำรูญจันเห็นเด็กมากมายพากันโดดลงน้ำเล่นอย่างสบายใจ เด็กน้อยพากันหัวเราะชอบใจสาดน้ำใส่กันไปมา บางคราจันเองก็อยากกลับไปเป็นเด็กบ้างเพราะพอโตขึ้นแล้วความรับผิดชอบก็จะยิ่งมาก ไหนจะเรื่องออกเรือนที่ตนมิเคยคาดคิดอีก
“ออเจ้ามองเด็กเช่นนี้ ออเจ้าชอบเด็กรึ” ไตรทศที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเอ่ยถาม หากถามว่าชอบเด็กรึไม่ ก็คงชอบเฉพาะไอ้ทิดเพราะมันมิดื้อทั้งยังน่ารักน่าชัง
“...ชอบกระมัง” ร่างของชายหนุ่มถูกแขนแกร่งรวบเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ ขยับร่างจันให้ชิดใกล้ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหู
“หากออเจ้าชอบ...พี่ก็จะมีลูกกับออเจ้าหลายๆคน” ใบหน้าคนฟังขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งพวงแก้ม ดีที่ไตรทศมิได้เห็นหน้าของจันในยามนี้เพราะหากเป็นเช่นนั้นจันคงทำหน้าทำตามิถูกเป็นแน่ “ดีรึไม่?”
ไตรทศถามย้ำเพื่อความมั่นใจ จันส่ายหน้าไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนทำเอาไตรทศอดเอ็นดูมิได้ คนอายุมากกว่าจึงฉวยโอกาสก้มลงจูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับอย่างมันเขี้ยว ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของไอ้จงทาสที่ทำหน้าที่พายเรือ แต่พอจันเงยหน้าขึ้นมามองมันกลับทำเหมือนชมนกชมไม้
‘ดีมากไอ้จง’ ไตรทศเอ่ยชมทาสคนสนิทผ่านทางสายตา
มินานก็มาถึงท่าเรือของพระยาจำรูญ พวกทาสที่อยู่ใกล้ๆรีบรุดเข้ามาทำการต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี ทาสหลายคนพากันก้มหน้าก้มตาเพราะมิกล้ามองหน้าจันเนื่องจากเหตุการณ์แต่ครั้งก่อนที่จันโดนคุณหญิงจำปาเล่นงาน
ทั้งสองเดินขึ้นมาบนเรือนหลักโดยให้ไอ้จงรออยู่ข้างล่างเพราะเรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องส่วนตัว
“อ้าวพ่อไตร มีการอันใดรึออเจ้า?” พระยาจำรูญที่กำลังนั่งเขียนเอกสารอยู่ในห้องหนังสือเอ่ยถามในขณะที่เห็นไตรทศและจันกำลังเดินเข้ามาหา
“กระผมอยากมาคุยกับท่านลุงเรื่องจันขอรับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไตรทศด้วยความสงสัย ไตรทศมิปล่อยให้จันสงสัยนานนัก “เรื่องเกี่ยวกับจันที่ท่านลุงบอก”
“ลุงจำได้แล้ว” ท่านพระยาส่งยิ้มให้จันที่นั่งทำหน้างงงวยอยู่มิไกล “ก็ตำแหน่งของปานมันคล้ายกับคนผู้หนึ่ง ลุงจึงอยากเห็นให้ชัดทั้งปาน เพราะคราที่นายจันบาดเจ็บนั้นลุงเห็นเพียงเสี้ยวเดียว”
“ขอรับ” ไตรทศตอบรับ
“ทีแรกลุงอยากดูเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่ามันมิใช่เวลาอันควร”
“จัน” ชายหนุ่มหันไปหาไตรทศเมื่อถูกเรียกชื่อ “พี่มีเรื่องจะคุยกับท่านลุงเสียหน่อย ออเจ้าออกไปสักครู่ได้หรือไม่”
“ได้จ้ะ” จันตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะตนเองก็มิใส่พวกสู่รู้อยู่แล้วจึงมิมีอันใดให้ต้องแคลงใจ
เมื่อจันออกไปไตรทศจึงกลับมาสนใจพระยาจำรูญที่กำลังทำหน้าสงสัยต่อ
“ว่ากระไรพ่อไตร ลุงรู้ว่าคงเป็นเรื่องของนายจันเป็นแน่” ไตรทศพยักหน้าเป็นเชิงว่าพระยาจำรูญเข้าใจถูกแล้ว
“ท่านลุงคงจะยังมิรู้สาเหตุที่จันถูกลอบทำร้าย เช่นนั้นกระผมจะเล่าให้ฟังขอรับ”
พระยาจำรูญตั้งใจฟังที่ไตรทศเล่า มีหลายคราที่แอบเห็นใจลูกชายของเพื่อนรักเพราะต้องทนเห็นผู้ที่ตนรักเจ็บหนักหลายครา ทั้งยังมีคราที่ปางตายอีกด้วย
“ออเจ้าว่าแม่ของนายจันไปมีเรื่องกับคุณหญิงผู้หนึ่งเช่นนั้นรึ?”
“ขอรับ” ท่านพระยาเริ่มตงิดในใจ
“แล้ว...แม่ของนายจันมีชื่อว่าอย่างไร?”
“ชื่อผ่องขอรับ“
“ผ่อง...งั้นรึ?”
“ขอรั-“ 
“โอ๊ย! ปล่อยข้า!” ยังพูดมิทันจบเสียงดังจากนอกห้องก็ดึงความสนใจของคนทั้งสอง ไตรทศจำได้แม่นว่าเสียงนั้นคือเสียงของจัน
ไตรทศรีบลุกขึ้นและวิ่งออกมาดูด้วยความร้อนใจ ภาพจันถูกคุณหญิงจำปาผู้ซึ่งเป็นเมียรองของพระยาจำรูญดึงรั้งผมขึ้นจนต้องแหงนหน้าทำเอาไตรทศใจหล่นวูบ 
“คุณหญิงป้า! หยุดนะขอรับ!”
“พ่อไตร! ออเจ้ากล้าดียังไงเอามันมาขึ้นเรือนหลัก! มิรู้รึว่ากาลกิณีมันจะติด”
ยิ่งพูดแรงดึงยิ่งมาก จันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ใจอยากจะสะบัดออกให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวว่าไตรทศจะมีปัญหาตามมาทีหลังจึงยอมโดนดึงผมอยู่อย่างนั้น
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงพูดดังก้องเรือนของพระยาจำรูญทำให้ผู้คนบนเรือนชะงักรวมถึงคุณหญิงจำปาด้วย
“คุณพี่อนุญาตให้พ่อไตรพามันขึ้นเรือนได้อย่างไรเจ้าคะ!”
“แล้วออเจ้ามิสิทธิ์อันใดไปทำร้ายเขา เขาเป็นแขกของพี่ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” ท่านพระยามองด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่คุณหญิงจำปาหาได้สนใจไม่
“คุณพี่ปกป้องมันรึ”
“อ่ะ...โอ๊ย” แรงกระชากผมทำเอาจันน้ำตาเล็ด
“จำปา! ข้าบอกให้หยุด!”
“คุณพี่จะปกป้องมันทำไมเจ้าคะ!”
“เพราะจันเป็นลูกของข้า ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” คุณหญิงจำปานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พวกทาสในเรือนพากันเงียบ ทั้งไตรทศและจันแทบจะมิเชื่อหูตนเอง
“ล-ลูกงั้นรึ? อย่าบอกนะว่าคุณพี่...เห็นปานของมันแล้ว” มือที่อ่อนแรงลงส่งผลให้จันหลุดออกจากการดึงรั้งเส้นผม
“ใช่ คราแรกข้ามิแน่ใจ แต่การที่แม่ของจันชื่อผ่องมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว”
“คุณพี่จะไปรู้อะไร มันอาจจะเป็นลูกผู้อื่นก็ย่อมได้ พวกแม่เรือนมันก็มักมากในกามไปทั่ว!”
“แม่จำปา...” เสียงท่านพระยาถูกกดให้ทุ้มต่ำเป็นการขู่
“ทำไมเจ้าคะ! อิฉันจะพูดถึงมันมิได้เลยรึ รักมันมากหรือเจ้าคะ!”
“ใช่!” จันและไตรทศนิ่งอึ้งเพราะกำลังสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า
“คุณพี่โดนมันยั่วยวนด้วยกลิ่นเสน่หาใช่หรือไม่เจ้าคะ วันนั้นคุณพี่มิได้ตั้งใจจะมีอะไรกับมันจนมันท้อง คุณพี่เพียงแค่หลงมันเพราะกลิ่นเสน่หาใช่ไหมเจ้าคะ!?”
“มิใช่ ทุกอย่างข้าตั้งใจและแม่ผ่องเองก็มิได้อยู่ในฤดูหาคู่ จะมีกลิ่นเสน่หาได้อย่างไร”
“ไม่! ไม่จริง!” คุณหญิงจำปาแผดเสียงดังจนแสบแก้วหู “มันเป็นแค่ทาสจะมาเหนือกว่าอิฉันได้อย่างไร! มันมีดีกว่าอิฉันตรงไหนกันเจ้าคะ!”
“ทุกตรง” คุณหญิงสะอึกเมื่อโดนตอบกลับเช่นนั้น ความคับแค้นใจในอดีตพลันตีตื้นขึ้นมาเสียจนจุกอก
“หึ หากมันรักคุณพี่จริงเหตุใดมันจึงหอบลูกหนีไปล่ะเจ้าคะ”
“ข้อนั้นข้ามิรู้”
“ท่านอา...” เสียงเรียกจากด้านหลังที่ดังขึ้นทำให้คุณหญิงจำปาละความสนใจจากพระยาจำรูญ
ขุนไกรเดินขึ้นเรือนของพระยาจำรูญมาพร้อมกับไอ้มิ่งและนางนวลที่กำลังโดนคุมตัว
“นางนวลมันสารภาพแล้วขอรับคุณท่าน” ไอ้มิ่งเอ่ยบอกผู้เป็นนาย
“นี่มันอะไรกัน!”
“นวล...นวลขอโทษเจ้าค่ะคุณหญิง ฮือ..” นางนวลร้องห่มร้องไห้เมื่อจำใจต้องสารภาพเพราะมันเองก็รักตัวกลัวตาย
“อีนวล! กูอุตส่าห์ฝากฝังมึงไปเป็นทาสที่เรือนนั้นทำให้มึงได้มีชีวิตสุขสบาย แต่มึงกลับทรยศกูเช่นนี้รึ! อีเปรต!”
จันเข้าใจสถานะการณ์ในทันทีว่าทำไมคุณหญิงจำปาจึงด่านางนวลจนเสียผู้เสียคน คุณหญิงที่นางนวลว่าไว้คงหมายถึงคุณหญิงจำปาเป็นแน่
“ไปจับตัวมา” ขุนไกรออกคำสั่งพวกทหารของทางการที่อยู่ในสังกัดของผู้เป็นพ่อของตน
“ขุนไกร! บอกพวกมันปล่อยอาบัดเดี๋ยวนี้!”
“ขออภัยขอรับ...กระผมเพียงทำตามหน้าที่ หากเป็นไปได้กระผมเองก็มิอยากจับอาแท้ๆของตนดอกขอรับ” คุณหญิงจำปาพยายามสะบัดหนีแต่แรงของสตรีหรือจะสู้แรงของบุรุษ
คุณหญิงจำปาถูกคุมตัวไปพร้อมกับนางนวล ไตรทศรีบเข้ามาประคองจันขึ้น เช็ดน้ำตาที่ขอบตาให้ด้วยนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อปลอบใจ
“นี่มันอะไรกันพี่ไตร...ข้าสับสนไปหมดแล้ว”
“พี่ขอโทษที่มิได้บอกกล่าวออเจ้าก่อน...ความจริงแล้วพี่วางแผนทั้งหมดเอาไว้เพื่อให้สามารถจับคุมตัวคุณหญิงจำปาได้ หากแต่พี่มิรู้ว่าคุณหญิงจะมาเจอออเจ้าแล้วทำร้ายเช่นนี้” ไตรทศลูบลงบนกลุ่มผมของจันด้วยความถนอม

“เอ็งเรียกข้ามาทำไมรึ” ขุนไกรเอ่ยถามเพื่อนของตนที่เรียกตนให้มาพบอีกครา
“ข้ามาตรองดูแล้วเรื่องคุณหญิงที่นางนวลเคยอ้างถึง”
“ได้ความว่าอย่างไร?”
“นางนวลมันเป็นทาสในเรือนของท่านลุงจำรูญมาก่อน ที่มันมารับใช้ที่เรือนเล็กได้เพราะคุณหญิงจำปาเป็นผู้ฝากฝังมันผ่านทางแม่ของข้า”
“เอ็งจะบอกว่าคุณหญิงที่มันว่าคืออาของข้างั้นรึ?”
“ข้ายังมิแน่ใจ แต่ข้าพอมีแผนแล้ว”
“แล้วแผนนั้นเป็นอย่างไร?”
“วันนี้ข้าจักพาจันไปพบท่านลุงจำรูญเพราะข้าจำได้ว่าท่านมีเรื่องจะพูดคุยกับจัน ในระหว่างนั้นข้าฝากเอ็งสอบสวนนางนวลให้ข้าที และหากมันสารภาพแล้วเป็นอย่างที่ข้าคิด เอ็งก็พาตัวมันไปที่เรือนท่านลุงได้เลย จะได้มีพยานหลักฐาน”
“แล้วหากมิใช่เล่า?”
“ก็แค่ทำเป็นเหมือนไปคุยตามปกติเพียงเท่านั้น
“เจ้าเล่ห์เสียจริงนะพ่อคุณ”
“หึ” ไตรทศยิ้มมุมปากเมื่อโดนว่า “ไอ้มิ่ง ไปตามจันมา บอกว่าข้าจะพาไปเรือนของแม่พิกุล”
“ขอรับ”

“งั้นรึ...” จันเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“เรื่องเหนือความคาดหมายอีกอย่างคือเรื่องพ่อของออเจ้า”
“...พ่อ” ไตรทศปล่อยให้จันเป็นอิสระ จันหันมองไปทางพระยาจำรูญที่ยืนมองอยู่ “นี่มันเรื่องอันใดกัน...”
ชายหนุ่มยังคงสงสัยมิหาย แม่ของตนจะมาเป็นเมียพระยาจำรูญได้อย่างไรเพราะจันได้ยินตาเล่าให้ฟังว่าแม่ของจันนั้นเป็นทาสของพระยาผู้หนึ่งที่มีเรือนอยู่ติดริมน้ำ แต่เรือนของพระยาจำรูญนั้นมิใช่แบบนั้น
“ออเจ้าตามข้ามา” พระยาจำรูญเอ่ยเรียกจันให้เดินตาม จันสบตากับไตรทศเพื่อชั่งใจ มือหนาเอื้อมมากอบกุมมือของจันไว้ก่อนจะพากันเดินตามพระยาจำรูญไปด้วยกันทั้งสองคน
“เอ่อ...คือ...” เมื่อมาถึงห้องหนังสือห้องเดิมจันจึงอึกอักเพราะมิรู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
ท่านพระยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “เรื่องทั้งหมดมันผิดที่ข้าเอง”พระยาจำรูญเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตทุกอย่างให้จันและไตรทศฟัง
สมัยหนุ่มสาวพระยาจำรูญที่เป็นเพื่อนสนิทกับพระยาณรงค์บิดาของขุนไกรนั้นชอบไปเที่ยวเล่นที่เรือนของเพื่อนตนบ่อยครั้งทำให้คุณหญิงจำปาผู้เป็นน้องสาวและเป็นอาของขุนไกรมาตกหลุมรักตน แต่ตนนั้นกลับตกหลุมรักนางทาสที่คอยรับใช้คุณหญิงจำปาที่ชื่อว่า ‘นางผ่อง’
คืนหนึ่งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องให้ทั้งเรือนฉาบไปด้วยแสงจันทร์สว่างจ้า ท่านพระยาเห็นนางผ่องกำลังเดินกลับจากท่าน้ำจึงหยุดคุยด้วยและรู้ว่านางผ่องเองก็มีใจให้ตน ทั้งสองจึงตกลงปลงใจร่วมรักกันในวันนั้นเอง
นางผ่องมิขัดที่พระยาจำรูญมีเมียใหญ่อย่างคุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลอยู่แล้ว และคุณหญิงลำดวนเองก็มิขัดทั้งยังรักใคร่เอ็นดูนางผ่องอีกด้วย
ผู้เดียวที่มีปัญหาคือคุณหญิงจำปาที่ชอบพอพระยาจำรูญ นางอยากพลีกายเป็นเมียพระยาจำรูญจึงสร้างเหตุการณ์ให้คนในเรือนของพระยาณรงค์เข้าใจว่าตนนั้นได้เสียกันแล้วทำให้พระยาจำรูญต้องรับผิดชอบและตบแต่งนางเข้ามาเป็นเมีย
ตลอดระยะเวลาที่คุณหญิงจำปาเข้ามาอยู่ในเรือนของพระยาจำรูญนางนั้นมิเคยถูกแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว ผ่านไปหลายปีก็ยังมิมีวี่แววว่าจะท้อง บ่อยครั้งจึงถูกนินทาว่าเป็นหมัน
กลับกัน นางผ่องกลับกำลังตั้งครรภ์ พระยาจำรูญรึก็คอยดูแลเอาใจใส่ คุณหญิงลำดวนก็เห่อเด็กในท้องพอกันเพราะยังมิมีลูก ผู้ที่ต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าก็คือคุณหญิงจำปา
พอถึงยามที่จันคลอดพระยาจำรูญคอยดูแลคอยจับมืออยู่มิห่าง จนในที่สุดก็ได้เห็นหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแต่ผู้ใดจะคิดว่าลูกชายที่คลอดออกมาจักเป็นแม่เรือน...ข้างเอวลูกชายตัวน้อยมีรอยปานแดงรูปดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้จันมีสีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดไตรทศจึงส่งมือไปกอบกุมมือจันอีกคราเพื่อเป็นการปลอบใจและแสดงตัวว่าตนอยู่ข้างจันเสมอ
“พ่อพยายามตามหาพวกออเจ้าทั้งสามแล้ว...แต่ก็หามิเจอ”
“ท-ทั้งสามหรือ?” จันชะงักรีบเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เป็นพ่อของตน
“ใช่” พระยาจำรูญยิ้ม “ครานี้พ่อหาเจ้าจนพบแล้ว พ่อดีใจเหลือเกิน”
พระยาจำรูญโผกอดลูกชายที่นั่งอยู่มิไกลตน ลูบมือลงบนกลุ่มผมด้วยความคิดถึง น้ำตาของผู้เป็นพ่อไหลริน
“ท่าน-...พ่อหมายความว่าอย่างไรจ้ะ ทั้งสามคืออะไรรึ?”
“ออเจ้ามีพี่ชายฝาแฝด..” ท่านพระยาผละออก จับไหล่ทั้งสองของลูกชายพร้อมกับมองหน้า แต่จันกลับนิ่งอึ้งมิมีปฏิกิริยาตอบสนอง “อย่าบอกนะว่า...ออเจ้ามิเคยเจอหน้าพี่ชาย?”
“...จ้ะ” จันกำลังตกใจกับคำบอกเล่าของบิดาตน
“โธ่...” พระยาจำรูญไหล่ลู่ลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้า “พ่อรู้อยู่แล้ว...ในยามที่พี่ออเจ้าคลอดหมอตำแยบอกว่าเด็กมิแข็งแรงอาจอยู่ได้มินาน ในคราที่แม่ของออเจ้าหนีไปพ่อได้แต่ภาวนาให้ลูกทั้งสองรอดปลอดภัย...”
“พี่ของข้า...” จันนิ่งไป รวมถึงไตรทศเองที่มองภาพของสองพ่อลูกตรงหน้า
“พี่ของออเจ้าน่ารักมากในยามแรกเกิด ตัวแดงแถมยังร้องไห้ระงม พ่อยังจำได้ดี” พระยาจำรูญทั้งยิ้มและร้องไห้ในคราเดียวกัน
“ชื่อของพี่ออเจ้าพ่อเป็นผู้ตั้งให้ เพราะพ่ออยากให้พี่ของลูกเติบใหญ่มาเป็นคนแข็งแรงและปกป้องลูกได้ แต่ก็เป็นพี่ชายที่อ่อนโยนและอบอุ่น พ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า ‘อาทิตย์’ ” จันนิ่งฟัง
“ส่วนชื่อของออเจ้าพ่อมิทันได้ตั้งแม่ของออเจ้าก็พาออเจ้าหนีไปเสียก่อน แต่มันเป็นชื่อที่ดีหนา จัน คงมาจากพระจันทร์ เป็นชื่อที่สอดคล้องกับพี่ของออเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระจันทร์หรือดวงอาทิตย์พ่อกับแม่ก็จะสามารถมองเห็นได้ทุกวัน”
ผู้เป็นพ่อลูบหัวจันอย่างรักใคร่ ระยะเวลาที่ถูกพรากหายไปมิเคยทำให้พระยาจำรูญรักลูกของตนน้อยลงเลย ความผูกพันของผู้ลูกดั่งถูกเชื่อมกันไว้ด้วยเส้นสายใยบางอย่างที่ตาเปล่ามองมิเห็น
“อาทิตย์...” ทันใดนั้นจันก็นึกถึงใครบางคน “ทิตย์...ไอ้ทิด...”
ผีเด็กตัวน้อยที่จันจำได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นของตนตั้งแต่เด็กยันโต เด็กตัวป้อมหน้าตาน่ารักที่ทำผมทรงจุก ใส่โจงกระเบนสีทองตามตัวมีเส้นสังวาลพาด เป็นเพื่อนคุยในยามเหงาและเป็นผีเด็กจอมจุ้นที่ชอบพูดมาก เป็นเหมือนดั่งครอบครัวและเป็นผีเด็กที่จันเคยคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตน
“พ่อจ้ะ พี่ไตรจ้ะ ข้าอาจจะเสียมารยาท แต่ว่าข้าขอตัวกลับกระท่อมสักประเดี๋ยวนะจ้ะ”
“ออเจ้าจะไปบอกตารึ?” ไตรทศเอ่ยถาม
“จ้ะ”
“ประเดี๋ยวพี่ไปด้วย”
“มิเป็นไรจ้ะ พี่ไตรไปรอข้าที่เรือนก่อนหนา เดี๋ยวข้าจะกลับมาหา” ไตรทศเองก็อยากห้าม แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนของจันแล้วก็มิกล้าขัด
“เอาเถิด อย่างไรก็ให้ไอ้จงไปส่ง”
“จ้ะ” จันก้มลงกราบเท้าบิดาของตนก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง “ข้ารักพ่อ...ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอพ่อ”
พระยาจำรูญกอดตอบลูกชาย สักครู่จันจึงผละออกแล้วรีบลงจากเรือนมุ่งตรงไปที่เรือ
ใช้เวลาครู่ใหญ่จันจึงมาถึงกระท่อม เมื่อเข้าไปในห้องพระจึงเห็นตาคงที่กำลังนั่งสมาธิ
“ตา...ตาจ๋า” รู้อยู่ดอกว่าการรบกวนผู้ที่กำลังทำสมาธิมันมิควร แต่ครานี้จันร้อนใจจริงๆ
“อ้าวไอ้จัน เอ็งหายดีแล้วรึ เมื่อวันก่อนข้าไปเยี่ยมยังร้องโอดโอยอ้อนข้าอยู่เลย”
“โธ่ตาก็..”
“แล้วทำไมรีบร้อนเช่นนี้ ถูกท่านไตรทศเฉดหัวมารึ”
“มิใช่จ้ะ ข้า...ข้ามาหาไอ้ทิด”
“เหตุใดจึง-“
“ทิดมันเป็นพี่ชายข้าใช่รึไม่จ้ะ?” จันพูดขัดขึ้นในขณะที่ตาคงกำลังจะถาม
“เอ็ง...เอ็งรู้แล้วรึ?”
“ตารู้มาตลอดรึ?” จันมิตอบแต่ถามกลับแทน เพราะจันเองก็มิรู้ว่าผู้เป็นตารู้มาตลอด
“ใช่ ข้ารู้”
“แล้วเหตุใดตาจึงมิบอกข้าล่ะจ้ะ”
“ไอ้ทิดมันขอข้าไว้ มันมิอยากให้เอ็งรู้แล้วเสียใจที่มันตายจากเอ็งไป มันเสียใจที่มิได้อยู่ทำหน้าที่พี่ชาย” พอตาคงพูดจบไอ้ทิดก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าที่ชอบยิ้มให้กลับกำลังทำหน้าเศร้า
“เอ็งจับข้าได้แล้วรึ” ทิดเอ่ยถาม
“ไอ้ทิด...”
“ขอโทษที่ข้าเป็นพี่ให้มิได้ ฮึก...ข้าห่วงเอ็ง เพราะเราเป็นแฝดดวงจิตจึงผูกพันกันตั้งแต่เกิด ข้ามิอาจทิ้งเอ็งให้อยู่ใช้ชีวิตอันโหดร้ายนี้เพียงลำพังได้” จันพอจะรู้สาเหตุที่ไอ้ทิดมิไปเกิดเสียที เมื่อครั้งยังเด็กเคยถูกกลั่นแกล้งเพราะเป็นแม่เรือน ยามร้องไห้ก็มีไอ้ทิดคอยปลอบ
“เหตุใดจึงมิบอกความจริงข้า?” สองพี่น้องนั่งน้ำตาไหล มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นกันในเงาสะท้อนของดวงตา
“ข้ากลัวว่าเอ็งจะผิดหวัง อีกทั้งข้าชอบที่จะเป็นผีเด็กคอยก่อกวนทำให้เอ็งยิ้มในวันที่เอ็งอ่อนแอ”
“โธ่...” แล้วเหตุใดจึงมิไปเกิดแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เหตุใดจึงเห็นน้องสำคัญกว่าความสุขของตนเอง จันนึกบ่นพี่ชายในใจ
“เอ็งรู้ความจริงแล้ว...เอ็งเกลียดข้ารึไม่?”
“ไม่เลย ข้ามิเคยคิดเกลียดเอ็งเลย ข้ารักเอ็งดั่งคนในครอบครัวมาตลอดชีวิต”
“จัน...ฮึก...ฮือ...” ไอ้ทิดร้องไห้ระงม ถึงมันจะเป็นพี่ชายแต่ความคิดก็ยังคงติดอยู่ในความเป็นเด็ก “ข้า...ข้าก็รักเอ็ง”
“โธ่อาทิตย์...” น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้ม ใจหนึ่งก็นึกสงสารพี่ชายฝาแฝดอีกใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณที่พี่ชายมิเคยทิ้งตนไปไหน “ปล่อยวางเถิดหนา อย่าผูกมัดตนเองกับข้าอีกเลย ข้าอยากให้เอ็งมีความสุข”
“ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เอ็งมีผู้ที่รักเอ็งอยู่ด้วยแล้ว...ข้าเชื่อว่าท่านไตรทศจะดูแลเอ็งได้”
“ขอบใจนะ...พี่อาทิตย์”
“ฮึก...เออ ข้ารู้แล้ว ไอ้จัน” ทั้งสองต่างมิคุ้นชินที่ต้องใช้สรรพนามในการเรียกใหม่เพราะที่ผ่านมาก็เรียก พี่จันกับไอ้ทิดมาโดยตลอด
“พี่รักเอ็งหนา”
ร่างของเด็กตัวป้อมค่อยๆเรืองแสงสีทอง อาทิตย์รู้ว่าถึงเวลาของตนแล้วที่จะต้องไปเสียที
“ข้าก็รักพี่นะพี่ทิด ขอให้พี่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี” 
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะมาเกิดเป็นลูกของเอ็ง...” อาทิตย์ยิ้มให้ทั้งน้ำตาจนตาปิด เด็กชายตัวป้อมเริ่มสลายหายไปในอากาศ เหลือเป็นละอองสีทองเรืองรองที่ค่อยๆตกลงมาและหายไปเมื่อสัมผัสถูกพื้นไม้ของกระท่อม
“หึ...ลูกข้าคงดื้อจนข้าต้องปวดหัวเป็นแน่”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2019 21:35:37 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด