บทที่ ๑๘
จันตื่นขึ้นมาอีกทีในยามสาย ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บที่ช่องทางด้านหลัง ในใจก็นึกบ่นไตรทศที่ได้คืบจะเอาศอกทำเอาตนมิได้หลับมิได้นอน กว่าจะพอใจก็ล่วงเลยจนใกล้ฟ้าสาง
“ตื่นแล้วรึ” เสียงดังที่หน้าประตูเรียกความสนใจให้หันไปมอง ไตรทศเดินเข้ามาหาจันโดยที่ในมือถือสำรับที่ป้าอิ่มทำไว้ให้ตนและเมีย
จันทำหน้ายุ่งใส่จนไตรทศอดขำมิได้ ท่าทางแยกเขี้ยวใส่ดั่งแมวกำลังขู่มิมีผิด
“กินข้าวเสียหน่อยหนาจะได้มีแรง”
“ข้ามิมีแรงกินเลย ป้อนข้าหน่อยสิจ้ะ” อันที่จริงแรงน่ะมีอยู่แล้ว แต่แค่อยากแกล้งไตรทศเพียงเท่านั้น
“หึ เจ้าเล่ห์นัก” มีหรือที่ไตรทศจะมิรู้ทันเมียของตนแต่ถึงอย่างไรตนก็ยอมทำตามความต้องการของเมียอยู่แล้ว “อ้าปากสิ”
จันอ้าปากตามที่ไตรทศบอกอย่างว่าง่าย คนอายุมากกว่าหันเข้าหาสำรับ นำผักลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิก่อนจะป้อนคนน้องที่นั่งมองอยู่
“หืออ...เผ็ด”
“ออเจ้ามิชอบกินเผ็ดรึ” ถามพร้อมกับยกขันน้ำฝนให้ดื่ม
“หึ” จันดื่มน้ำไปส่ายหน้าไป
“คราวหลังพี่จะบอกให้ป้าอิ่มทำอย่างอื่นให้”
เมื่อเห็นว่ามีน้ำเลอะตามขอบปากของจันไตรทศจึงยกมือเช็ดให้ จันจดจ้องสามีของตนที่เช็ดขอบปากให้ด้วยความเบามือ ในใจรู้สึกโชคดีที่ได้ไตรทศมาเป็นคู่ชีวิต
“กินปลากะพงทอดไปก่อนหนา” จันพยักหน้าหงึกหงัก ไตรทศยิ้มก่อนจะลงมือป้อนภรรยาของตนอีกครั้ง
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเรียบง่ายโดยที่มีไตรทศคอยป้อนให้ทุกคำจันจึงมิต้องลำบาก
“ออเจ้าอยากไปอาบน้ำหรือไม่” พอไตรทศถามจันเองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวขึ้นมาทันที
“ข้าอยากอาบแล้ว”
“พี่ให้พวกทาสทำห้องอาบน้ำไว้ให้แล้ว มาเถิด”
“อ่ะ!” พอจะลุกจันกลับลุกมิได้ ไตรทศเข้าใจในทันทีก่อนจะยิ้มออกมา
“มิต้องมายิ้มเลย! เพราะพี่นั่นแหละ”
“ขอโทษจ้ะเมีย มาเถิดเดี๋ยวพี่จะอุ้มออเจ้าไปเอง” ยังมิทันได้ห้ามไตรทศก็ฉวยอุ้มจันขึ้นจากเตียงเสียก่อน คนพี่เอาผ้าคลุมตัวเมียจนเสร็จสรรพ
เมื่อเหล่าทาสเห็นไตรทศอุ้มจันออกมาจากห้องพวกมันต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดนายของพวกมันจึงต้องอุ้มเมียของตนออกมา
คนในอ้อมแขนหน้าแดงก่ำ ซุกใบหน้าเข้ากับอกของไตรทศด้วยความเขินอาย เจ้าของเรือนส่งสายตาเขม่นใส่พวกทาสแต่ปากกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ที่อาบน้ำที่ไตรทศให้พวกทาสทำไว้บนเรือนถูกกั้นด้วยผ้ากั้นสีขาวรอบทิศเพื่อปกปิดมิให้ผู้ใดสามารถมองเข้ามาได้ ตรงกลางมีอ่างไม้ขนาดใหญ่เป็นแบบเดียวกันกับที่พวกฟะรังคีชอบใช้อาบน้ำ น้ำที่อยู่ในอ่างคือน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อเป็นอย่างดีหาใช่น้ำคลองที่พวกชาวบ้านชอบลงอาบ
คนตัวโตค่อยๆวางเมียของตนลงในอ่างด้วยความเบามือ เมื่อปลายเท้าสัมผัสน้ำจันจึงรับรู้ได้ถึงความอุ่นของน้ำที่อยู่ในอ่าง อุณหภูมิกำลังอุ่นสบายมิร้อนจนเกินไป
“สบายตัวดีรึไม่?”
“สบายจ้ะ” จันยิ้มให้คนพี่ที่กำลังยืนมอง
“ออเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพี่ปลดปล่อยเข้าไปข้างในนี้...” นิ้วเรียวยาวจิ้มลงบนท้องน้อยของจัน “ออเจ้าต้องเอาออก”
“อ-เอาออก!?” จันทำหน้าตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม
“ใช่”
“แต่ว่า...ข้าจะเอาออกอย่างไรเล่า”
“อยากให้พี่ช่วยหรือไม่?” ใจจริงก็อยากปฏิเสธแต่หากต้องทำเองก็ทำมิเป็น จันจึงต้องจำใจพยักหน้ารับ “ถ้าเช่นนั้นออเจ้าจงหันหลังมาหาพี่”
จันหน้าขึ้นสี ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เปลี่ยนจากท่านอนแช่ธรรมดาเป็นท่าคลานเข่า มือทั้งสองจับขอบอ่างเอาไว้
ท่าทางน่ารักน่าชังทำให้คนขรึมอดอมยิ้มเอ็นดูมิได้ มือหนาตะปบลงบนสะโพกมนจนจันสะดุ้งเฮือก
“อย่าเกร็งนะคนดี...” อีกแล้ว ทำให้ใจไอ้จันเต้นแรงอีกแล้วหนา
นิ้วเรียวค่อยๆชำแรกก้อนขาวนุ่มนิ่มออกจากกันจนเห็นรอบจีบสีหวานที่ตนเคยแทรกกลางกายผ่านเข้าไป มันบวมแดงเล็กน้อยจากการร่วมรักที่แสนจะยาวนาน
จันสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงความยาวของนิ้วที่แทรกผ่านเข้ามาภายใน นิ้วยาวแทรกผ่านได้ง่ายเพราะเมื่อคืนมีสิ่งที่ใหญ่กว่ามากแทรกผ่านตลอดทั้งคืน เมื่อคิดดังนั้นใบหน้าของชายหนุ่มพลันแดงก่ำและรู้สึกร้อนรุ่ม
กัดริมฝีปากจนซีดเพื่อกลั้นเสียง สะโพกสั่นระริกตอบรับสัมผัสที่รู้สึกว่าโดนนิ้วยาวควงคว้านอยู่ภายใน
“เจ็บหรือไม่?” จันส่ายหน้า
“อึก...อื้อ” เสียงหวานเล็ดลอดออกมาตามไรฟัน ถึงแม้จะพยายามสกัดกั้นเพียงใดแต่จันก็มิอาจห้ามความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นได้
“อีกนิดนะคนเก่ง” คำพูดปลอบประโลมที่ดังใกล้หูทำเอาใจกระตุกวูบด้วยความวาบหวาม
“อ๊ะ...ลึก...ลึกเกินไปแล้ว” คนตัวโตยิ้มร้าย ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงการตอดรัดถี่ภายในช่องทางสีหวาน ในใจคิดอยากจะรังแกเมียของตนอีกคราแต่อีกใจก็อยากให้เมียได้พักผ่อน
“เสร็จแล้ว” จันถอนหายในเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนอนหอบในอ่าง สายตาหวานฉ่ำจ้องมองไปที่คนพี่ “มองพี่เช่นนี้...เดี๋ยวก็ได้โดนอีกทีดอกหนา”
“หึ่ยย” จันแยกเขี้ยวขู่ รีบล้างเนื้อล้างตัวทันที
“หึๆ” เมียใครหนอ เหตุใดถึงน่ารักน่าชังนัก
นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วที่ไตรทศและจันได้แต่งงานกัน หลังจากคืนเข้าหอทั้งสองก็มิได้ร่วมรักกันอีกเพราะไตรทศติดงานราชการ ในยามกลางคืนก็ต้องทำแต่เอกสารทำให้มิได้มีเวลามาคลอเคลียเมียมากนัก
“หนูจันเป็นอย่างไรบ้างลูก” คุณหญิงนิ่มเอ่ยถามลูกสะใภ้ของตนที่มาเยี่ยมเยือนที่เรือนใหญ่ จับไม้จับมือพลิกดูตามเนื้อตัวเพราะกลัวว่าลูกชายจะรุนแรง
“สบายดีขอรับคุณหญิงนิ่ม”
“ตายๆ เรียกแม่เช่นนี้ได้อย่างไร ออเจ้าต้องเรียกแม่ว่าคุณหญิงแม่สิจ้ะ”
“เอ่อ...” จันหันไปมองไตรทศที่ยืนอยู่ด้านหลัง เจ้าตัวกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างน่าหมั่นไส้ “คุณหญิงแม่”
“น่ารักที่สุดเลยลูกสะใภ้คนนี้” คุณหญิงนิ่มลูบหัวจันด้วยความรักใคร่ “แล้วนี่ถูกพี่เขารังแกหรือไม่? หากไตรทศทำอะไรขัดใจบอกแม่ได้เลยหนา”
“ขอรับ” จันยิ้มให้แม่สามีจนตาปิด ในใจก็รู้สึกดีที่ผู้ใหญ่รักและเอ็นดู
“แล้วนี่ท้องรึยังลูก?”
“ห-หา!?” ชายหนุ่มตกใจกับคำถามอยู่มิน้อย
“หากตกใจเช่นนี้คงแปลว่ายัง” คนหญิงส่ายหน้าเอือมระอา “ไร้น้ำยาจริงๆเลยลูกชาย” มิวายหันไปบ่นลูกชายของตน
“นั่น เจ้าคุณพ่อมาแล้ว” ทั้งสองหันไปมองที่บันไดเรือนเห็นว่าท่านพระยาเกษมกำลังเดินขึ้นมาพร้อมกับใครบางคน
“ว่าอย่างไรลูกชาย ลูกสะใภ้” ทั้งสองก้มลงไหว้ท่านพระยา “นี่หลวงทองดีและลูกสาว ท่านจะมาว่าราชการกับพ่อและพักอยู่ที่เรือนใหญ่สักสองสามวัน”
หญิงสาวรูปร่างอรชรก้มลงไหว้ทั้งสองด้วยความนอบน้อม หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักจนอดเอ็นดูมิได้
“นี่ไตรทศลูกชายข้า ส่วนนี่จันเป็นลูกสะใภ้” ทั้งสองพ่อลูกเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้วว่าพระยาเกษมมีลูกสะใภ้เป็นแม่เรือน คราแรกก็มิอยากเชื่อแต่พอได้มาเห็นกับตาถึงเข้าใจ
“อิฉันชื่อกานพลูเจ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปไหว้คุณหญิงนิ่ม
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” คุณหญิงรับไว้ด้วยความเอ็นดู
“วันพรุ่งเป็นวันลอยกระทงพอดี ออเจ้าทั้งสองก็อยู่ทำบุญด้วยกันเลยหนา” พระยาเกษมเอ่ยชวน
“เป็นเกียรติมากขอรับ มิอยากจะโอ้อวดแต่กระผมขอบอกเลยว่าแม่กานพลูมีฝีมือทำกระทงได้งามนัก”
“เจ้าคุณพ่อล่ะก็” รอยยิ้มเหนียมอายปรากฏบนใบหน้า แม่หญิงก้มหน้าก้มตาอย่างเคอะเขินเมื่อถูกชม หากเป็นไอ้จันล่ะก็คงชูหน้าชูตารับคำชมเป็นแน่
“กระผมกับจันขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ไตรทศและจันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะปลีกตัวออกมา ไตรทศยังมีงานต้องทำอีกมากจึงมิมีเวลาอยู่สนทนาด้วยนัก
คนทั้งสองและไอ้มิ่งพากันเดินกลับเรือนเล็ก เมื่อไตรทศเดินเข้ามาในห้องทำงานและมีจันตามเข้ามาร่างหนาก็โผกอดเมียรักก่อนจะกดจูบลงบนแก้มนุ่ม
“พี่ไตร...ฉวยโอกาสอีกแล้วหนา”
“ก็เมียพี่น่ารัก พี่ก็ต้องแสดงความรักเป็นธรรมดา” จันยิ้มขำเพื่อแก้เขิน ไตรทศคลายกอดออกเพื่อให้จันได้เป็นอิสระ
“แล้วพี่คิดว่าแม่กานพลูน่ารักหรือไม่?” ถามไปโดยมิคิดอะไรแต่คนฟังกลับคิ้วกระตุก
“เหตุใดจึงถามเช่นนั้น?”
“ข้าแค่อยากรู้” คนตัวโตเริ่มขยับเข้ามาใกล้ สายตาแปรเปลี่ยนเป็นดุราวกับสัตว์ป่า “เอ่อ...”
“อย่าบอกหนาว่าออเจ้าชอบ”
“ม-มิใช่แบบนั้น โธ่...” ร่างถูกดันติดกับผนังห้อง ครั้นจะหนีก็หนีมิได้เพราะคนตัวโตกว่าเอาแขนกันไว้มิให้ออก
“อยู่กับพี่...ห้ามพูดถึงผู้อื่น” ใบหน้าคมเข้มเลื่อนเข้ามาใกล้จนต้องหลับตาปี๋ แต่ความรู้สึกนุ่มหยุ่นบนริมฝีปากกลับทำเอาจันต้องเบิกตาโพลง
ไตรทศเพียงกดจูบแช่ไว้มิได้รุกล้ำแต่อย่างได้เพราะรู้ตัวดีว่าหากรุกล้ำเข้าไปแล้วล่ะก็...ตนจักมิหยุดแค่จูบเป็นแน่
แช่ค้างไว้เพียงครู่จะผละออก ใบหน้าคมเลื่อนลงต่ำมาที่คอระหงไล้เลียจากลำคอลงมาที่ไหปลาร้า
“อะ...อื้อ” กดจูบลงบนไหปลาร้า ไล่มาที่ลาดไหล่ก่อนจะฝากรอยรักสีกุหลาบไว้เป็นการตีตราจอง ใบหน้าหล่อผละออกมองคนรักที่กำลังทำตาหวานเชื่อม
“หากทำให้พี่หึงอีก...” วางมือลงบนสะโพกก่อนจะบีบด้วยความมันเขี้ยว “ออเจ้าจักเดินมิได้ไปหลายวันแน่”
คำขู่ทำเอาจันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ดูจากสายตาจริงจังก็รู้แล้วว่าไตรทศมิได้พูดเล่นและมิได้ขู่แต่กลับคิดที่จะทำจริง
“ข-เข้าใจแล้วจ้ะ...”
“หึ เด็กดี” มือหนาลูบลงบนกลุ่มผม ริมฝีปากกดลงบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่
จันคิดว่าตนมองไตรทศผิดไปเสียแล้ว...ชายผู้นี้ร้ายกว่าที่ตนคิดไว้มากโขนัก
จันปล่อยให้ไตรทศนั่งทำงานส่วนตนเองก็มาที่โรงครัวเพื่อฝึกทำกับข้าวไว้เพราะในภายภาคหน้าจักได้ทำให้ไตรทศกินได้
“ป้าอิ่มทำอะไรอยู่หรือจ้ะ” เอ่ยถามเสียงหวาน ป้าอิ่มจึงยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“ทำแกงเผ็ดฟักทองเจ้าค่ะคุณจัน มาดูสิเจ้าคะป้าจะสอนให้”
“จ้ะป้า”
จันนั่งมองป้าอิ่มเตรียมวัตถุดิบ คร่าวๆที่จันพอรู้ก็คือฟักทอง เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้น ใบมะกรูด พริกแกงเผ็ดที่ป้าอิ่มโขลงไว้แล้วก็หัวกะทิ
“ขั้นแรกผัดพริกแกงก่อนนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยวจันทำเองจ้ะป้า” จันขันอาสาเป็นผู้ลงมือทำด้วยความตื่นเต้น
“ระวังนะเจ้าคะ น้ำมันร้อนๆเมื่อโดนพริกแกงมันจะกระเด็นได้เจ้าค่ะ” จันพยักหน้าเชื่อฟัง ตั้งกระทะพร้อมกับหยอดน้ำมันลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำมันร้อนจึงใส่พริกแกงลงไปผัด
เป็นอย่างที่ป้าอิ่มว่า น้ำมันกระเด็นกระดอนไปมาทุกทิศทางจนจันแทบหลบมิทัน ป้าอิ่มและพวกทาสต่างพากันหัวเราะท่าทางโก๊ะกังของเมียผู้เป็นนาย
กลิ่นพริกแกงหอมๆโชยไปทั่วโรงครัว พวกทาสต่างพากันมามุงดูด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็อยากรู้ว่าฝีมือของจันจะอร่อยสู้ป้าอิ่มหรือไม่
“พอเริ่มหอมแล้วให้ใส่กะทิลงไปเจ้าค่ะ” จันหยิบเอากะละมังใบเล็กที่ใส่หัวกะทิขึ้นมาก่อนจะค่อยๆเทลงไปช้าช้า
“ยังไงต่อจ้ะป้า”
“ผัดจนแตกมันแล้วค่อยใส่หมูเจ้าค่ะ” จันพยักหน้ารับ ผัดพริกแกงให้รวมเข้ากับกะทิ ในใจก็นึกว่าแตกมันนี่เป็นยังไงหนอ เกิดมามิเคยได้ยิน
“เอ่อ...” ชายหนุ่มเกาแก้มด้วยความอาย “แตกมันนี่เป็นยังไงหรือป้าอิ่ม”
พวกทาสพากันยิ้มหัวเราะด้วยความเอ็นดู
“ลองมองในกระทะตอนนี้นะเจ้าคะ นี่แหละเจ้าค่ะที่เขาเรียกว่าแตกมัน” จันก้มลงมองในกระทะจึงเห็นว่ากะทิมีความข้นขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงใส่เนื้อหมูลงไปผัด
“หากหมูสุกแล้วนำฟักทองลงไปผัดได้เลยเจ้าค่ะ”
“จ้ะป้า” จันผัดเนื้อหมูไปมา สังเกตดูไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเนื้อหมูเริ่มเปลี่ยนสีแล้วจึงรู้ได้ว่ามันสุก
“ปรุงรสเลยเจ้าค่ะ ใส่น้ำตาลปึกแล้วก็น้ำปลา” นางหวานที่อยู่ใกล้เครื่องปรุงคอยหยิบจับของให้มิขาดสาย
“ขอบใจจ้ะ” จันยิ้มให้ทาสสาว พวกทาสต่างพากันรักใคร่จันเพราะมิมีนายที่ใดเขาพูดขอบใจหรือขอโทษพวกทาสดอก ยกเว้นจัน
ชายหนุ่มค่อยๆหักน้ำตาลปึกลงไปก่อนจะหยิบเอาโถน้ำปลาขึ้นมาใช้ช้อนตักเพราะมิกล้าเทลงไปตรงๆ
“ฉีกใบมะกรูดลงไปเลยเจ้าค่ะ” จันพยักหนา กำใบมะกรูดจำนวนมากมาก่อนจะฉีกลงไปในกระทะ ดูไปดูมาก็คล้ายผัดใบมะกรูดใส่หมูเสียมากกว่า
“เสร็จแล้ว!” จันแหวด้วยความดีใจ ยกกระทะออกมาตั้งนอกเตาก่อนจะตักให้พวกทาสช่วยชิม
จะปฏิเสธก็มิได้พวกมันจึงต้องยอมกินตามคำขอ เมื่อแกงเผ็ดฟักทองเข้าปากพวกทาสต่างก็พากันมองหน้ากันไปมา
“อร่อยหรือไม่จ้ะ?” พวกทาสพร้อมใจกันพยักหน้า
เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มร่า รีบตักใส่ถ้วยเพื่อนำขึ้นไปให้ไตรทศที่นั่งอยู่ในห้องทำงานกิน
“พี่ไตรต้องชอบแน่เลย” ปากบ่นพึมพำไปตักไป ป้าอิ่มมองก่อนจะยิ้มด้วยความเอ็นดู นึกดีใจที่คุณท่านคนเล็กมีเมียที่รักและใส่ใจถึงเพียงนี้
“ขอบใจป้าอิ่มมากนะจ้ะ ข้าลองเอาไปให้พี่ไตรกินดูก่อนหนา”
“เจ้าค่ะ” ป้าอิ่มพยักหน้า
จันถือถาดไม้ใส่สำรับกับข้าวที่ประกอบไปข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จและแกงเผ็ดที่ตนทำขึ้นไปหาคนพี่ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเล็ดลอดออกมาจากประตูห้องทำงานที่เปิดอยู่
“เจ้าคุณพ่อให้นำสำรับมาให้ท่านไตรทศเจ้าค่ะ” เสียงแม่หญิงกานพลู จันจำได้
“ฝากขอบน้ำใจท่านด้วยหนา”
“สำรับนี้อิฉันทำเอง หากมิถูกปากก็ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”
“แค่ออเจ้าทำมาให้ข้าก็เกรงใจมากแล้ว”
“เจ้าค่ะ” จันแอบลอบมองจึงเห็นว่าทั้งสองกำลังยืนคุยกันอยู่ “อิฉันขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ไตรทศพยักหน้าให้ก่อนจะรับไหว้แม่หญิงตามมารยาท เมื่อเห็นว่าสาวเจ้าจะเดินมาทางประตูจันจึงเลี่ยงหลบไปอีกด้านของประตู ทำให้ผู้ที่เดินออกมามิสังเกตเห็น
จันถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงจากห้องทำงานเพราะดูเหมือนว่าไตรทศจะมิได้กินสำรับฝีมือตนเสียแล้ว
“ออเจ้ากำลังจะไปไหนรึ” คิดจะย่องหนีแต่กลับโดนเจอเข้าเสียได้ “พี่เห็นว่าออเจ้าออกไปเสียนานจึงกำลังจะออกไปตาม”
เสียงไตรทศดังจากด้านหลัง แต่จันมิยอมหันไปเพราะกลัวว่าคนพี่จะเห็นถาดไม้ที่ตนถืออยู่
“เอ่อ...” มิมีคำใดจะเอื้อนเอ่ย
“แล้วนั่นถืออะไรอยู่”
“...” จะรอคำตอบก็รอนาน ไตรทศจึงเดินไปดักข้างหน้า สายตาคมทอดมองแกงเผ็ดฟักทองและข้าวสวยในถาดไม้ “สำรับรึ?”
เห็นอยู่ยังจะถามอีก จันบ่นในใจ
“แล้วจะยกไปที่ใด?”
“ข้าก็กะว่าจะเอาไปให้ไอ้มิ่งกิน เพราะดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะมีสำรับให้กินอยู่แล้ว” พูดพร้อมกับเสมองไปทางอื่น ดูก็รู้ว่าเมียกำลังน้อยใจ
“ออเจ้าทำเองรึ?” ถามพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“อือ”
“ออเจ้าน้อยใจพี่หรือ?” เสียงคนถามดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
คนปากแข็งมิยอมพูดให้มากความ คิดจะเดินเลี่ยงอีกคราแต่ก็โดนดักไว้
“ข้าจะไปหาไอ้มิ่ง”
“โธ่...ออเจ้าทำมาให้พี่มิใช่หรือ?”
“แต่พี่มีสำรับอยู่แล้ว”
“แต่พี่อยากกินฝีมือเมียของพี่มากกว่าของหญิงอื่น” จันแทบจะเผลอยิ้มกับคำพูดหว่านล้อมแต่ก็ต้องทำสีหน้าให้ตึงเข้าไว้
“ของข้ามิอร่อยเช่นของแม่กานพลูดอก ข้ามิใช่กุลสตรีที่ทำอาหารเป็น หากกินไปพี่คงจะท้องเสียเปล่าๆ”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง...” ไตรทศเดินอ้อมมาข้างหลัง วางมือลงบนลาดไหล่ก่อนจะกระซิบข้างหู “พี่ขอยอมท้องเสีย”
ใบหน้าของจันพลันเห่อร้อนและขึ้นสีแดงระเรื่อ ไตรทศยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อทำให้จันเสียอาการได้
“ถ-ถ้าพี่ท้องเสียอย่ามาว่าข้าก็แล้วกัน”
ไตรทศและจันพากันเดินกลับเข้ามาในห้อง สำรับของแม่หญิงกานพลูถูกส่งให้ไอ้มิ่งไป ส่วนไตรทศเลือกที่จะกินแกงเผ็ดที่เมียตนทำแทน
เมื่อคำแรกเข้าปากไปจันจึงใจจดใจจ่อกับการมองคนพี่เคี้ยวก่อนจะกลืนลงท้อง
“อร่อยหรือไม่?”
“อร่อย” คำตอบที่ได้ยินส่งผลให้จันก้มหน้ายิ้มออกมาเพราะมิอยากให้ไตรทศสังเกตเห็น แต่หารู้ไม่ว่าคันฉ่องภายในห้องกำลังสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าที่กำลังยิ้มด้วยใจเปี่ยมสุขของตนเอง
ไตรทศมองเมียของตนที่กำลังยิ้มด้วยความเขินอาย ทั้งรักทั้งเอ็นดูแถมยังทำตัวเป็นเมียที่ดีเช่นนี้...หัวใจไตรทศผู้นี้จะไปไหนเสีย นอกจากไปอยู่กับเมียรักเช่นจัน