บทที่ ๑๒
"มันจริงหรือไม่ที่ออเจ้าพาแม่เรือนมาไว้ที่เรือนเล็ก?" เสียงราบเรียบเอ่ยถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน แต่ภายในใจกับร้อนรุ่มดั่งถูกไฟสุม
"จริงขอรับ"
"พ่อขอถาม ออเจ้าคิดอะไรอยู่? ทำการอันใดเหตุใดจึงมิไว้หน้าพ่อและแม่" ไร้คำแก้ตัวและคำปฏิเสธ ไตรทศนั่งนิ่งมิตอบคำถามของผู้เป็นบิดา "มันเลยเถิดไปถึงไหนแล้วบอกพ่อมาซิ"
"คือ..." จะพูดก็กระดากอายแต่จะอมพะนำเอาไว้ก็มิมีประโยชน์ "ได้เสียกันแล้วขอรับ"
ท่านพระยากุมขมับ ลมแทบจับเมื่อได้ฟังคำที่ลูกชายพูดออกมา ตนพยายามจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกชายแต่แล้วลูกผู้อยู่ในกฎและระเบียบของบ้านมาโดยตลอดกลับแอบทำลายกฎโดยที่ตนมิรู้
"แค่ครั้งเดียวพ่อจักถือว่าออเจ้าทำพลาด"
"สองครั้งขอรับ" กุมขมับหนักยิ่งกว่าเก่า หากไอ้หนุ่มคนนั้นเกิดท้องชาวบ้านคงพากันนินทามิหยุดหย่อน แค่นี้ก็โดนคนนินทามากพอแล้ว
"ออเจ้าอยากทำอะไรพ่อมิเคยขัด อยากกินหรืออยากได้อะไรพ่อก็หามาให้ อยากเป็นหมอยาพ่อก็ยอม เหตุใดเล่าไตรทศพ่อแค่ห้ามมิให้ยุ่งกับพวกแม่เรือนเหตุใดออเจ้าถึงทำให้พ่อกับแม่มิได้”
ท่านพระยาพูดไปกุมขมับไป
“แค่ออเจ้ามิรับราชการพ่อก็โดนพวกคนในที่ทำงานถามวันมิเว้นวันว่าทำไมลูกชายสุดที่รักจึงแตกแยกมิรับราชการเช่นพ่อและพี่"
ไตรทศนั่งฟังบิดาพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตนรู้ว่าตนมิใช่ลูกชายที่ทำให้บิดาและมารดาภูมิใจมากนัก มิรับราชการแต่กลับมาเป็นหมอยาที่ด้อยศักดิ์ทั้งยังพาแม่มาไว้ที่เรือน แต่ตนหาได้สนคำพูดของคนอื่นไม่ที่ไตรทศสนใจคือความสุขของตนและคนที่ตนรัก ถึงจะโดนคนนินทาว่าเป็นลูกอกตัญญูก็ช่าง
"กระผมรักจัน รักอย่างที่มิเคยรักผู้ใดมาก่อนและกระผมมิคิดที่จะเลิกรักจันขอรับ"
"ออเจ้ามันดื้อด้านสิ้นดี พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่ควรให้เหตุใดจึงมิชอบ! "
"เจ้าคุณพ่อบอกลูกมาสิขอรับว่าสิ่งได้คือสิ่งที่ดีที่ควร"
"สิ่งที่พ่อและแม่เลือกให้อย่างไรเล่า"
"นั่นเจ้าคุณพ่อคิดไปเอง กระผมมิได้ยินยอมและเห็นดีเห็นงามด้วย เช่นนี้แล้วจะเป็นสิ่งที่ดีที่ควรได้อย่างไร"
ไตรทศยังยืนยันคำเดิมและมิคิดจะเปลี่ยนความคิด ท่านพระยากำไม้ตะพดในมือแน่นมิเคยคิดว่าลูกชายที่เชื่อฟังตนมาตลอดจะแข็งข้อเพียงเพราะไพร่ที่เป็นแม่เรือน
"ไตรทศ ออเจ้าจงฟังพ่อให้ดี ออเจ้าเพียงถูกกลิ่นเสน่หายั่วยวนเท่านั้นสิ่งที่ออเจ้ารู้สึกมิใช่ความรัก"
"กระผมรู้ว่ามันใช่ขอรับ แลมันก็เป็นรักแท้" ความดื้อด้านของลูกชายทำเอาท่านพระยาถึงกับถอนหายใจ
"ออเจ้าจะไปรู้อะไร รักแท้มันมิเคยมีจริง"
"มีสิขอรับ"
"มิเคยมีผู้ใดพบเจอ แล้วออเจ้าจะมาบอกว่ามันมีจริงได้อย่างไร! "
"กระผมมิเคยพบเจอรักแท้" สายตาคมวูบไหวยามจ้องมองไปที่เปลวของแสงเทียน
"...แต่กระผมเคยให้มันกับคนผู้หนึ่ง เพราะเป็นเช่นนั้นกระผมจึงรู้ว่ามันมีจริง"
"เพียงเพราะมันออเจ้าจึงกล้าดื้อด้านกับพ่อถึงเพียงนี้เชียวรึ"
ความกรุ่นโกรธปะทุแรงขึ้นมากกว่าเดิม ไม้ตะพดหัวสิงห์ถูกกระทุ้งลงบนพื้นเรือนเสียงดัง พวกทาสที่หมอบอยู่มิไกลพากันอกสั่นขวัญแขวน มิมีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองแม้สักเพียงผู้เดียว
"ลูกขออภัยท่านพ่อที่ลูกเป็นลูกที่มิดีพอ คิดจะลงโทษเช่นไรก็เอาเถิดขอรับ"
"หึ ดี! ให้มันได้แบบนี้สิวะ! ต่อแต่นี้พ่อจะกักบริเวณออเจ้าไว้ที่เรือนเล็ก วันที่ออเจ้าจะได้ออกไปคือวันหมั้นหมาย! "
เสียงพูดกัมปนาทดังสายฟ้าฟาด ไตรทศคิดว่าหากตนคุยกับบิดาให้รู้เรื่องบิดาตนคงจะยกเลิกเรื่องหมั้นหมาย แต่กลับกันพระยาเกษมกลับเลื่อนวันให้เร็วขึ้น
เสียงเดินของท่านพระยาเริ่มดังออกไปไกล ทุกฝีเท้าที่ย่ำลงบนเรือนช่างรุนแรงราวกับว่าตามฝ่าเท้านั้นมีไฟที่พร้อมจะจุดทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุล...รวมถึงความรู้สึกของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นไตรทศด้วย
สองวันล่วงเลยไป ท่านหมอยาคนสุขุมยังคงมิได้ออกมาจากห้องทำงานนับตั้งแต่วันนั้น พวกทาสจะได้เห็นใบหน้าคมเข้มก็เพียงแค่ยามที่ยกสำรับเข้าไปให้หรือไม่ก็ยามที่เจ้านายของพวกมันเดินลงไปอาบน้ำอาบท่าเท่านั้น มิใช่เรื่องดีเท่าใดนักที่ชายชาตรีอายุ๓๐ปีจะโดนกักบริเวณเช่นนี้
"คุณท่านขอรับ..." ไอ้มิ่งนั่งหน้าซึมอยู่ข้างผู้เป็นนาย
"ว่าอย่างไร"
"กินขนมกับชาสักนิดนะขอรับ"
ขนมผิงและชาจีนที่ชอบถูกส่งมาให้ สายตาคมหันไปมองขนมในถาดพลันคิดถึงยามที่จันมาฝนหมึกให้ ยามที่ได้พูดคุยหรือยามที่โดนอีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่มันช่างสุขใจนัก สุขใจราวกับว่ามีเคยมีความทุกข์ มือหนาเอื้อมไปหยิบขนมผิงเข้าปาก ช่างแปลกที่รสชาติมิดีเท่ากับอันที่จันเคยซื้อมาง้อตนเสียได้
รอยยิ้มบางถูกจุดที่มุมปากของคนยิ้มยาก ไอ้มิ่งลอบมองนายของมันอยู่มิไกล
"ดอกจันทร์กระพ้อหรือขอรับ"
มันมองไปที่ภาพวาดจากน้ำหมึกสีดำทมิฬของผู้เป็นนาย สองวันมานี้ไตรทศเอาแต่หมกมุ่นและวาดรูปดอกไม้และแน่นอนว่าวาดอยู่เพียงชนิดเดียว
"มิมีงานการอันใดต้องไปทำรึ"
"คือกระผมจะไปวัด...คุณท่านอยากจะฝากอะไรไปให้ไอ้จันรึไม่ขอรับ?"
แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายไตรทศก็คิดถึงขึ้นมาทันที ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วกระมังที่มีจันคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกาย ...ความเคยชินมันช่างน่ากลัวเสียจริง
"มี"
มือหนาหยิบเอาปากกาขนนกขึ้นมาเขียนจดหมายให้ชายหนุ่ม เนื้อหาเป็นความลับเพราะไอ้มิ่งมิได้เรียนหนังสือจึงอ่านหนังสือหนังหามิออก แต่สำหรับจันที่ได้ร่ำเรียนหนังสือจากหลวงตานั้นอ่านออกได้มิยาก ใช้เวลาสักพักจึงเขียนเสร็จ
"เอ็งรับไปแล้วส่งให้ถึงมือจัน ห้ามหล่น ห้ามขาด และห้ามให้ผู้ใดอ่านนอกจากจัน"
"ขอรับ" ไอ้มิ่งรับมาและตกปากรับคำกับผู้เป็นนายมัน
เสียงไอดังมาจากห้องพระ จันคลานเข่าเข้าไปดูอาการของผู้เป็นตาที่กำลังนั่งไอจนน่าเป็นห่วง หลายวันมานี้พอกลับจากเมืองละโว้ตาคงมีอาการไอติดต่อกัน อาการไอหนักขึ้นทุกวันจนจันนึกเป็นห่วง
"นี่น้ำอุ่นจ้ะตา" ชายหนุ่มส่งแก้วน้ำอุ่นให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้แล้วยกขึ้นจิบ "ตาไปหาหมอเสียหน่อยไหมจ้ะ?"
"อย่าเลย ข้าก็ไอออดๆแอดๆตามประสาคนแก่นั่นแล"
"แต่ว่าตาไอหนักมากขึ้นทุกวันเลยนะจ้ะ"
"เอาน่า เอ็งอย่าคิดอะไรมากเลย ไปช่วยงานหลวงตาที่วัดได้แล้ว"
"จ้ะตา" หันหลังคลานเข่าออกมาก่อนจะหันกลับไปมองที่แผ่นหลังของชายชราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
"เหตุใดจึงทำหน้าเศร้านักวะไอ้จัน" มั่นเอ่ยถามเพื่อนรักในขณะที่กำลังพากันกวาดลานวัด
"ก็ตาข้าน่ะสิ ไอมาหลายวันแล้วแต่มิยอมไปหาหมอ"
"ก็ธรรมดาชองคนแก่กระมัง เอ็งอย่าคิดมากเลย"
"เออ ข้าจะพยายาม"
"ไอ้จันโว้ย! " เสียงเรียกดังที่หน้าวัดดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง ไอ้มิ่งยืนโบกมือและเดินเข้ามาใกล้ในมือมันถือห่อผ้าสีฟ้าอ่อนเอาไว้
"มาทำไมไอ้ทาส?"
"มาหาเพื่อนข้าสิวะ เอ็งถอยไปเลยไอ้มั่น" มิทันไรพวกมันก็เริ่มกัดกันอีกครา พักนี้ไอ้มิ่งมาที่วัดทุกวันบางวันก็อ้างว่ามาทำบุญแต่ต่อให้อมพระมาพูดก็คงมิมีผู้ใดเชื่อว่าคนอย่างมันจะเข้าวัด
"ขยันจริงนะเอ็ง"
"เอ้า ข้ามีขนมมาฝาก"
"พอดีเลยข้ากำลังหิว"
"มิใช่ของเอ็งไอ้มั่น นี่ของไอ้จันมัน"
ไอ้มิ่งยื่นห่อผ้ามาให้ จันจึงรับไว้ก่อนจะแกะห่อผ้าออกดูของภายใน ขนมช่อม่วงถูกจัดเรียงไว้ในกระทงใบตอง สายตาของชายหนุ่มวูบไหวพลันเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมา เหตุการณ์ตอนที่ตนนั่งกินข้าวกับไตรทศเป็นคราแรก
"ข้ามิเอา" ชายหนุ่มส่งคืนเจ้าของ
"ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์เอามาให้"
"เอาให้ไอ้มั่นก็ได้ ข้ามิหิว" ใจอยากจะลืมเขาแทบแย่แต่แค่เห็นขนมกลับนึกถึงเสียได้ จะคิดถึงเขาทำไมในเมื่อที่ผ่านมา...ไตรทศมิเคยมาตามหรือมาดูแผลตนเลยสักนิด
"จัน...รับไว้" สายตาและน้ำเสียงที่จริงจังของไอ้มิ่งทำให้จันรู้แน่ว่ามีอะไรมิชอบมาพากล
"ก็ได้ ข้าจะรับไว้" ไอ้มิ่งจากสีหน้าเคร่งเครียดพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมของมัน
"เช่นนั้นข้าไปก่อนละ"
"อือ" จันพยักพเยิดหน้าให้มัน พร้อมกับมองแผ่นหลังที่เดินลับไป "นี่ขนม"
จันแบ่งขนมในห่อผ้าให้ไอ้มั่นเอาไปกินด้วย เมื่อยกห่อใบตองที่ห่อขนมไว้อีกชั้นออกจึงเห็นว่าใต้ใบตองมีกระดาศซ่อนไว้อย่างดี มันเป็นกระดาษสีน้ำตาอ่อนดูแล้วคล้ายกระดาษสาแบบหนาเป็นแบบเดียวกับที่ไตรทศชอบใช้วาดรูป
มือที่มีรอยจากการทำงานหนักค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษนั้นออกอย่างเบามือราวกับว่ากลัวมันจะขาด เนื้อความในกระดาษความว่า
ถึงเจ้าจันของพี่
'ยามพระอาทิตย์ตกดินพระจันทร์ลอยเด่น พี่คิดถึงแต่เพียงออเจ้า
ยามพระอาทิตย์ขึ้นย้อมแสงสีทองในวันใหม่พระจันทร์เลือนหาย พี่คิดถึงเพียงออเจ้า'
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน พี่อยากเจออยากอธิบายใจจะขาดแต่ก็ทำมิได้
พี่อยากให้น้องได้รู้ไว้ว่าพี่มิรู้เรื่องการหมั้นหมายและพี่เองก็มิได้เต็มใจแต่อย่างใด
ทรมานเหลือเกินที่ต้องเห็นน้องเจ็บด้วยแผลจากไม้หวาย หากเอาตัวไปรับแทนได้พี่ก็จักทำ
พี่จะรักจนกว่ากลิ่นกายของน้องจะสิ้นกลิ่น...
หากความคิดถึงฆ่าคนได้พี่คงตายเป็นหมื่นๆครั้ง "
ความตื้นตันมาจุกรวมกันอยู่ที่คอ 'รักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น' อย่างนั้นหรือ
ท่านหมอยาผู้นี้มิรู้หรือว่ากลิ่นกายเสน่หาของแม่เรือนจะมิมีวันเลือนหายและจะติดตัวไปจนตาย หากมิโง่เง่าเกินมนุษย์มนาวรรคนี้ก็คงจะสื่อว่า 'พี่จะรักออเจ้าไปตลอดชีวิต' กระมัง
รอยยิ้มบางถูกจุดบนใบหน้าที่เคยหมองเศร้า ไอ้มั่นที่นั่งกินขนมช่อม่วงอยู่มิไกลมองเพื่อนของมันด้วยความงุนงง เมื่อครู่ยังทำหน้ายับยู่ยี่เป็นผ้าขี้ริ้วแต่ยามนี้กลับยิ้มจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน
"ยิ้มอะไรวะไอ้จัน?"
"เปล่า มิมีอันใด"
"แปลกคน"
"เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะไอ้มั่น"
"เออๆ กลับดีๆล่ะเอ็ง"
เพลาชายแดดร้อนจนลมแทบจับ ชายหนุ่มรีบเดินกลับกระท่อมที่ป่าช้าท้ายวัดด้วยความร้อนใจเพราะกลัวว่าตาจะเป็นอะไรไปยิ่งกว่าเดิม แต่แล้วก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นตามิได้เป็นอันใดและกำลังนั่งอ่านตำราธรรมะที่เขียนไว้บนสมุดข่อย
"ตาทำอะไรอยู่หรือจ้ะ?" มันเข้าไปนั่งชิดจนตาคงต้องเขยิบหนี
"อ่านตำรา"
"ข้าขอนอนตักนะตา ข้าไปกวาดลานวัดมาเหนื่อยนัก" มิรอคำอนุญาต ชายหนุ่มนอนลงบนตักผู้เป็นตาทันที
"เอ็งนี่มันเป็นเด็กมิรู้จักโต"
"ข้ารู้จ้ะ" ตาคงถอนหายใจกับความดื้อความซนของหลานตน ถ้ามิบอกว่ามันอายุ๒๐ปีตนคงคิดว่ามันอายุแค่๑๒ปีเพียงเท่านั้น
"แล้วนี่ไปทำอะไรมิดีมาหรือไม่? เหตุใดจึงดูหน้าระรื่นผิดกับเมื่อเช้า"
"ไม่หรอกจ้ะตา ข้าก็ปกติดี"
"ก็แล้วไป อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ"
"จ้า"
"แค่กๆ "
เสียงไอจากผู้เป็นตาดึงความสนใจของชายหนุ่ม จันรีบลุกขึ้นนั่งเพื่อประคองตาที่กำลังโก่งตัวไอจนน่าเป็นห่วง อาการไอเริ่มรุนแรงขึ้นจนจันใจเสีย
"นี่น้ำจ้ะตา" จันรีบตักน้ำในโอ่งดินเผาเล็กๆใกล้ตัวส่งให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้และจิบน้ำแต่อาการไอกลับมิหายไป
"ตา ตา! "
ชายชราล้มพับลงไปกับพื้น จันรีบพยุงตาคงขึ้นและพาไปนอนลงบนที่นอน ความร้อนจากกายของชายชราแผ่ซ่านจนรับรู้ได้ผ่านฝ่ามือ มิรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดี ทั้งหมอยาแถวนี้ก็มิมีแม้เพียงผู้เดียว เมื่อคิดถึงหมอยาใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในเสี้ยวความคิด...ไตรทศ
ร่างสูงยาวของชายหนุ่มวัยขบเผาะรีบวิ่งแจ้นออกจากกระท่อมมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของไตรทศ วิ่งอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อใกล้ถึงบันไดกลับต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากับพวกทาสหนุ่มที่พระยาเกษมสั่งให้คอยคุมตัวและเฝ้ามองไตรทศไว้
"เอ็งจะไปไหน?" ทาสหนุ่มกายกำยำเอ่ยถามเสียงเข้ม
"ข้า...แฮ่ก ข้าจะไปหาท่านไตรทศ" พูดไปหอบไปจนคนฟังแทบฟังมิได้ความ
"ท่านพระยาสั่งห้ามให้ผู้ใดเข้าพบและห้ามมิให้ท่านไตรทศออกไปที่อื่น"
"ขอร้อง...ตาข้าเป็นอะไรมิรู้ ขอร้องล่ะพวกพี่ปล่อยข้าขึ้นไปเถอะ"
"มิได้! " ร่างกายที่อ่อนแรงถูกพลักจนเซล้มลงไปกับพื้น
"ขอร้อง ฮึก ตาข้า...ตาข้าจะตายมิได้ ข้ามิเหลือผู้ใดอีกแล้ว" เสียงสะอื้นไห้มิสามารถทำให้พวกทาสใจอ่อนได้เพราะพวกมันรู้ว่าถ้าหากปล่อยจันขึ้นไปผู้ที่จะโดนโทษหนักคือพวกมัน
เสียงเอะอะโวยวายจากด้านล่างดึงความสนใจของไอ้มิ่งที่เดินผ่านไปมาอยู่บนเรือน มันจึงชะเง้อมองดูผู้ที่มาเยือน จึงเห็นว่าผู้ที่ล้มลงไปกับพื้นคือจัน มันรีบกุลีกุจอวิ่งไปหาผู้เป็นนายที่กำลังนั่งวาดภาพอยู่ในห้องทำงาน
"คุณท่านขอรับ! ไอ้จันมาขอรับ! "
เจ้าเรือนที่มีท่าทีสงบนิ่งและสุขุมรีบวางพู่กันในมือลงพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่บันไดเรือน สายตาคมมองไปเห็นจันที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นจึงรีบเดินลงไปและกันพวกทาสหนุ่มออกห่าง
"จันเกิดเหตุอันใดขึ้น! " มือหนาประคองใบหน้าของคนที่ตนรักขึ้นมอง ใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาร่วงหล่นออกให้พ้นจากแก้มนวล
"ตา...ฮึก ตาข้าป่วย ช่วยด้วย ช่วยตาข้าด้วย"
"ไอ้มิ่งไปเตรียมกระเป๋ายาให้ข้า! "
"แต่คุณท่าน ท่านพระยาเกษมห้าม-"
"ไปเอามา! "
"ข-ขอรับ" กฎเกณฑ์ใดมิอาจห้ามไตรทศไว้ได้อีกแล้ว ตอนนี้ชีวิตของผู้ไข้สำคัญกว่า
"พวกกระผมคงให้ไปมิได้ขอรับ" พวกทาสหนุ่มรีบมากันตัวคนทั้งสองไว้
"เหตุใดจึงจะมิได้! "
"ท่านพระยาสั่งห้ามไว้ หากท่านไปพวกกระผมจะโดนโบย"
"เช่นนั้นบอกบิดาข้าด้วยว่าข้ารับผิดแทนเอง"
"ขอรับ" พวกมันยอมเปิดทางให้แต่โดยดี ไอ้มิ่งวิ่งหน้าตั้งกลับมาพร้อมกระเป๋าที่บรรจุตัวยาไว้มากมายหลายแขนง
"ไปกับพี่"
ทั้งสามรีบรุดพากันเดินทางไปที่ป่าช้าท้ายวัดทันที จันรีบเช็ดน้ำตาของออกด้วยมืออย่างลวกๆ มิได้เจอกันเสียนานดันมาร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเสียได้
ใช้เวลามินานทั้งสามจึงพากันมาถึงกระท่อม ไตรทศเดินเข้าไปในตัวกระท่อมและนั่งลงข้างตาคงที่กำลังหายใจรวยริน จับคลำหาชีพจรเพื่อตรวจดูอาการ
"ตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"บอกอาการมา"
"หลายวันมานี้ไอหนักนัก ทั้งตัวยังร้อนผิดปกติ"
"เกรงว่าจะเป็นไข้ป่าธรรมดา มิมีอะไรต้องห่วง"
"อย่างนั้นหรือ..."
"อืม ออเจ้าสบายใจได้ แค่ต้มยาให้ตาดื่มก็พอแล้ว" จันถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เห็นตาเป็นลมล้มพับไปจึงคิดว่าอาการจะหนัก "ออกไปข้างนอกกันเถิด ให้ตาของออเจ้าได้พักผ่อน"
จันพยักหน้ารับ ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องนอนแต่มิมีผู้ใดเริ่มบทสนทนาเพราะจากเหตุการณ์ที่เรือนของพระยาจำรูญทำให้ทั้งสองมิมีคำใดจะเอื้อนเอ่ย
สายตาคมหันไปมองจันที่นั่งตบยุงอยู่บนชานเรือนเป็นครั้งคราว ใบหน้าหล่อกำลังนิ่วหน้าและเกาแขนตัวเองไปด้วยเพราะโดนยุงกัด ไตรทศจึงยิ้มขำจนจันได้ยิน
"มิต้องมาหัวเราะข้า"
"ก็ออเจ้าตลก พี่จึงหัวเราะ"
"หึ" หันหน้าหนีเพราะมิอยากต่อความยาวสาวความยืด ร่างหนาทำตัวแนบเนียนขยับเข้าใกล้ก่อนจะสวมกอดจากด้านหลังจนจันสะดุ้งโหยง
"คิดถึง" มีเพียงคำพูดสั้นๆที่ถูกเอ่ยออกมา หากแต่คำพูดสั้นๆนั้นกลับทำให้ใจของจันเต้นระรัวนัก
"ปล่อยข้า" เจ้าตัวแสบดิ้นหมายจะออกจากอ้อมกอดคนพี่ให้จงได้แต่มีหรือที่แรงของจันจะสู้แรงไตรทศได้
"อ่านจดหมายแล้วหรือยัง?"
"..."
"แสดงว่าอ่านแล้วสิหนา"
ใบหน้าคมก้มลงฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอ สูดเอากลิ่นกายที่ตนคะนึงถึงเข้าปอดด้วยความเสน่หา ตระกองกอดเจ้าเนื้อเย็นด้วยความรักใคร่
"เหตุใดจึงเขียนว่าจะรักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น มิรู้หรือว่ากลิ่นกายของแม่เรือนจะอยู่ติดกายไปตลอดชีวิต"
"พี่ก็หมายความตามนั้น...จะรักน้องไปตลอดชีวิต"
ริมฝีปากพรมจูบลงบนขมับ จันโอนอ่อนต่อสัมผัสอย่างมิรู้ตัว ใช่ว่าจะมีแต่ไตรทศที่คิดถึงตน ตนเองก็คิดถึงอีกฝ่ายเช่นกัน
"เอ่อ คุณท่านขอรับ ตัวยาต้มเสร็จแล้วขอรับ" ไอ้มิ่งที่ถูกใช้ให้ไปต้มตัวยาเดินกลับมาหาผู้เป็นนายจึงเห็นว่าทั้งสองกำลังกอดกันอยู่ จันที่เห็นดังนั้นจึงรีบลุกพรวดขึ้นมาทันที
"ด-เดี๋ยวข้าเอาไปให้ตาดื่มเอง" ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปถือหม้อยาต่อจากนายทาสหนุ่มก่อนจะรีบรุดเข้าไปในห้องนอนของตาคง
"เอ็งนี่นะ! มาขัดจังหวะเสียได้" ไตรทศพูดด้วยความหัวเสีย อุตส่าห์เจ้าแมวน้อยโอนอ่อนตามตนเองแล้วเชียวกลับโดนขัดก่อนเสียได้
"ขออภัยขอรับ" มันค้อมหัวให้ผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกผิดปนฉงน
เวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ บริเวณรอบกระท่อมไม้มืดและเงียบสงัด เสียงนกเค้าแมวร้องเซ็งแซ่ดังมาจากทิศใดก็มิอาจรู้ได้ ท่านหมอยานั่งตบยุงอยู่บริเวณบันไดของกระท่อมไม้และมิมีที่ท่าว่าจะกลับเรือนโดยง่ายเพราะอยากเฝ้ารู้ดูอาการของตาคงเสียก่อน
ร่างของชายหนุ่มเดินฝ่าความมืดมาพร้อมตะเกียงไฟดวงน้อยเดินเข้ามานั่งลงข้างๆอย่างถือวิสาสะ ตอนนี้ไอ้มิ่งหลับไปแล้วเหลือไว้แค่เพียงบุรุษทั้งสอง
"พี่มาเช่นนี้ท่านพระยามิว่าเอาหรือ?"
"ชีวิตตาของออเจ้าสำคัญกว่า"
"ข้าพอได้ข่าวมาบ้างแล้วว่าท่านพระยารู้เรื่องที่เรือนของพระยาจำรูญและโกรธมาก"
"เป็นเช่นนั้น"
"ข้าขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนเช่นนี้ พี่ไตรอย่ามาเดือดร้อนเพราะข้าอีกเลย"
ใบหน้าของจันหมองเศร้าลง รู้สึกมิสบายใจเท่าใดนักที่ตนเองเป็นสาเหตุของความเดือดร้อนของผู้อื่น
"อย่าได้คิดมาก เจ้าคุณพ่อท่านก็เป็นเช่นนี้แล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดมิใช่หรือ" จันพยักหน้าตอบรับว่าเห็นด้วย "นี่ก็ดึกมาแล้ว ทางสัญจรไปมาก็มองมิเห็นหากเดินกลับคงจะเป็นอันตราย...พี่ขอนอนด้วยสักคืนได้หรือไม่?"
"ม-มิได้! หากจะนอนก็คงต้องนอนที่ห้องอื่น"
"จัน...นี่ผัวหนา"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว"
"ยอมรับเสียเถิด ออเจ้าได้ตัวแลหัวใจของพี่ไปแล้ว อย่าผลักไสพี่อีกเลย"
สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ใครจะคิดว่าคนอายุมากกว่าถึงสิบปีจะมาทำท่าทีออดอ้อนตนเหมือน...ผัวอ้อนเมีย
"ก็ได้ๆ " รอยยิ้มน้อยๆถูกจุดบนใบหน้าคนขรึม จันรู้สึกเหมือนคิดผิดที่ตนตกปากอนุญาตไป
"พี่นอนที่มุมนี้ส่วนข้าจะนอนอีกมุม" ห้องของจันมิได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็พอที่จะให้ผู้ชายตัวโตสองคนมานอนรวมกันได้ คนเจ้าเล่ห์มองไปรอบห้องเพื่อสำรวจ
"นอนห่างกันเช่นนี้จะดีหรือ?" อันที่จริงมันก็มิได้ห่างมากนักแต่ไตรทศอยากนอนกอดเมียรักเสียมากกว่า
"แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากเรื่องมากข้าจักให้ไปนอนนอกห้อง"
"ก็ได้จ้ะเมีย"
"นี่!" คนอายุน้อยกว่ารีบสงบปากสงบคำเพราะมิอยากต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก พูดมากไปก็ป่วยการเสียเปล่า
"ไปอาบน้ำกันเถิด พี่เหนียวตัวจะแย่"
"เดี๋ยว-"
"...อย่าดื้อ"
ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธก็โดนไตรทศจับข้อมือให้ลุกขึ้นยืน มิไกลจากวัดมากนักมีคลองเล็กตัดผ่านและมีท่าน้ำไว้สำหรับอาบน้ำ ไตรทศให้จันนำทางไปโดยตนเองเป็นผู้ถือตะเกียงและจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้มิห่างกาย ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงมาถึงคลองที่ว่า
รอบบริเวณเงียบสงัดไร้ผู้คนเพราะบริเวณนี้มิค่อยมีผู้ใดสัญจรผ่านมากนักในยามพลบค่ำ ไตรทศจัดการเปลื้องผ้าออกอย่างมิเขินอาย มือหนาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออกจนเผยให้เห็นอกแกร่ง ในส่วนของท่อนล่างนั้นหยิบผ้าโสร่งมาใส่ไว้ หันไปมองจันที่ยืนนิ่งและเสมองไปทางอื่น
"ออเจ้ามิอาบพร้อมพี่หรือ"
"ข้ารออาบที่หลังจะดีกว่า"
"จะอายไปใย มากกว่านี้ก็เคยเห็น"
"พี่ไตร! ชักจะลามกไปใหญ่แล้ว"
"เป็นเมียก็อย่าดุผัวมากนักสิจัน" คนตัวโตยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ "มาเถิด พี่สัญญาว่าจะมิทำอันใดออเจ้า"
"เชื่อได้รึ"
"พี่สัญญา"
มือหนากอบกุมเข้าที่มือของจันอย่างถือวิสาสะก่อนจะยกขึ้นพรมจูบลงบนหลังมือ ความหยาบกระด้างของฝ่ามือทำให้ไตรทศรู้ว่าจันทำงานหนักมิน้อย
"..."
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันขึ้นสี ดีที่แสงจากตะเกียงช่างน้อยนักไตรทศจึงมิสังเกตเห็น ความวาบไหวก่อเกิดภายในจิตใจ มันหวิวเหมือนดังมีผีเสื้อนับร้อยมาบินว่อนอยู่ภายในท้อง
เสื้อผ้าที่ราคามิได้แพงถูกถอดออกโดยฝีมือของเจ้าของ ปมโจงกระเบนถูกปลดออกผ้าที่เคยสวมใส่จึงหล่นลงไปกองที่ปลายเท้า ไตรทศมองนิ่งมิแสดงสีหน้าใดถึงแม้ภายในใจอยากจะจับอีกฝ่ายฟัดเสียให้จมเขี้ยว แต่เวลานี้คงมิเหมาะมิควรนัก หากตนจัดการเรื่องที่เรือนเสร็จเมื่อใด...เจ้าจันคงมิรอดเงื้อมมือไปได้เป็นแน่
"...อาบสิ"
เสียงเบาหวิวเรียกให้หลุดจากภวังค์ ไตรทศพยักหนาพร้อมกับจับมือของจันเดินลงบันไดท่าเรือสู่น้ำคลองเย็นยะเยือก ต่างฝ่ายต่างอาบและไตรทศเองก็มิได้ล่วงเกินจันดังเช่นที่สัญญาไว้
หลังอาบน้ำเสร็จจันบรรจงจัดเรียงที่นอน หมอนและผ้าห่มให้ไตรทศและตนเองก่อนจะค่อยๆนอนลงบนที่นอนของตนด้วยความระแวงเพราะกลัวว่าไตรทศจะทำอะไรแปลกๆ
ตาคงนอนอยู่ห้องติดกันหากทำการอุกอาจหรือพูดคุยเสียงดังอันใดขึ้นมาคงมิวายโดนจับได้ว่าเสียตัวให้อีกฝ่ายไปแล้วเป็นแน่ หันไปลอบมองไตรทศมิใส่เสื้อและนอนหงายโดยเอาแขนข้างหนึ่งขึ้นมานอนหนุนและหลับตาพริ้ม ด้วยความซนจันจึงคลานเข้าไปใกล้มองใบหน้าหล่อคมอย่างสนใจใคร่รู้
สายตามองสำรวจใบหน้าที่ชอบทำคิ้วขมวดและตีหน้านิ่งตลอดเวลาจนบางทีจันยังนึกสงสัยว่ามิเหนื่อยบ้างหรือ ผิวสีคล้ำแดดเล็กน้อยมิสามารถกลบความดูดีของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังช่วยขับให้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นลอนได้ชัดขึ้น
หน้าท้องแกร่งขยับขึ้นลงเมื่อคนที่กำลังหลับหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดูด้วยความสงสัยจันจึงลองใช้นิ้วจิ้มลงบนลอนกล้าม ขณะที่ละสายตาและคิดจะกลับไปที่นอนตนชายหนุ่มกลับโดนแขนแกร่งของอีกฝ่ายรัดเอวไว้เสียก่อน
"อ่ะ!"
"คิดจะลวนลามพี่รึ? " ไตรทศลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังกอดเอวของจันไว้
"ม-มิใช่! " คนโดนจับได้รีบปฏิเสธทันควัน
"แล้วเมื่อครู่คือ? "
"ข้า...ข้าแค่สงสัย"
"สงสัยว่าอย่างไร?" แขนแกร่งยังมิยอมออกไปจากเอวคอดทั้งยังเพิ่มแรงกอดมากกว่าเดิม
"ข้าสงสัยการมีกล้ามหน้าท้องมันรู้สึกอย่างไร...ข้ามิเคยมี" พูดพร้อมกับก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตน
"แต่พี่ชอบออเจ้าที่เป็นแบบนี้มากกว่า" มิพูดเปล่ามือหนายังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อพร้อมกับลูบคลำหน้าท้องของอีกฝ่าย
"อย่าซนสิ!"
"หึ กล้าดุพี่รึ? "
"กล้าสิ เหตุใดจึงจะมิกล้า" คนในอ้อมกอดช่างดื้อรั้นกว่าที่ไตรทศคิดไว้มากมายนัก
"จันหนอจัน" ร่างสูงวางคางลงลาดไหล่ที่แคบกว่าไหล่ตนมาก "พี่ชนะทุกอย่าง...แต่เห็นทีจะแพ้ก็แต่ออเจ้า"
"ข-ข้าจะนอนแล้ว" พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายก็มิเป็นผล แรงของพ่อเรือนกับแม่เรือนช่างต่างกันนัก
"นอนกับพี่มิได้รึ?"
"ก็นอนด้วยแล้วนี่อย่างไรเล่า"
"หมายถึงนอนอยู่ข้างพี่ นอนให้พี่ได้กอดออเจ้าให้หายคิดถึง...ได้รึไม่? " เอาอีกแล้วหนา น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนนี่อีกแล้ว แต่เห็นทีจะใจอ่อนมิได้แล้ว
"ไม่-"
"นะ...พี่ขอนอนกอดออเจ้าเถิดหนา"
"...อย่าซนก็แล้วกัน" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าจะมิได้มีแต่ไตรทศที่แพ้ให้จัน
เพราะจันเองก็แพ้ให้ไตรทศเช่นเดียวกัน
คืนนั้นภายในผ้าห่มผืนน้อยมีชายสองคนนอนกอดกัน อีกคนนอนหันหลังให้อีกฝ่ายตระกองกอดอย่างมิขัดขืน
ปลายคางของอีกไตรทศจรดลงบนกลุ่มผมดำขลับ วงแขนแกร่งโอบรอบลำตัวของเมียรักอย่างคิดคะนึงหา ยามห่างความคิดถึงยิ่งทวี ยามใกล้กลับรู้สึกเสพติดจนกลายเป็นขาดมิได้ พ่อเรือนแม่เรือนอาจจะฝืนระงับความใคร่จากกลิ่นเสน่หาของกันและกันได้...แต่จักฝืน 'คู่แห่งโชคชะตา' ที่ถูกกำหนดเอาไว้มิได้