[จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)  (อ่าน 36492 ครั้ง)

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จันก็นะ เห็นพี่เป็นดอกไม้ ริมทาง ^^

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๙

"คุณหญิงป้าสบายดีหรือไม่ขอรับ?"
"สบายดีจ้ะพ่อไตร แล้วพ่อไตรเล่า? เห็นแม่นิ่มบอกว่าออเจ้ามิได้ไปเรือนใหญ่หลายวันแล้วมิใช่หรือ"
"ขอรับ"
เหตุผลที่มิค่อยได้ไปคงเพราะต้องอยู่ดูแลคนป่วยนั่นแล เรือนใหญ่ก็มิได้ไกลมากอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม มีคลองเล็กกั้นไว้และมีสะพานไม้ในการข้ามไปมาหาสู่กัน
"เหตุใดจึงดูเศร้าสร้อยเล่าพ่อไตร?" เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าสีหน้าของเจ้าของเรือนมิสู้ดีนักจึงถามขึ้น
"กระผมมีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อยขอรับ"
"เรื่องใดมิสำคัญปล่อยวางได้ก็ปล่อยเสียบ้างหนา เก็บเอามาคิดมากไปเสียหมดมันจะมิดี" แต่เรื่องของจันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญ
"ขอรับ" เขาตอบเพียงเท่านั้น คุณหญิงลำดวนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
"วันนี้น้องมีขนมมาฝากด้วยเจ้าค่ะคุณพี่" แม่พิกุลพูดขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะคนพี่นั้นมิยิ้มแย้มแม้แต่น้อย มีแต่นั่งทำหน้าตาเศร้าจนน่าเป็นห่วง
"ขนมอะไรหรือแม่พิกุล?"
"ทองหยอดเจ้าค่ะ น้องพึ่งหัดทำมิรู้ว่าจะถูกปากหรือไม่" แม่หญิงคนงามยื่นกระเช้าใบเล็กส่งให้คนพี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันมาก
"ขอบน้ำใจออเจ้ามากหนา" ไตรทศยิ้มให้อีกฝ่าย
"เจ้าค่ะ" แม่พิกุลใจชื้นขึ้นมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
"แม่นิ่มบ่นคิดถึงออเจ้าจะแย่แล้วพ่อไตร"
"กระผมก็คิดถึงคุณหญิงแม่ขอรับ แต่ช่วงนี้ต้องหาสมุนไพรมาเพิ่ม ทั้งยังต้องรักษาผู้ไข้"
"ป้าเข้าใจดี งานหมอยาก็เช่นนี้แล หากอยากรับราชการก็บอกป้าได้หนา ป้าจะคุยกับท่านลุงจำรูญให้"
ท่านพระยาจำรูญคือบิดาของแม่พิกุล เป็นผู้มีอำนาจและมียศถาบรรดาศักดิ์มาก ผู้คนต่างพากันยกย่องเพราะเป็นคนดี ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยามยากและทุกข์ร้อน
"ขอรับ"
ไตรทศมิได้กล่าวปฏิเสธผู้ใหญ่เพราะมิอยากเสียมารยาท เขามิคิดจะรับงานราชการแม้แต่น้อยเพราะชื่นชอบอาชีพหมอยา ได้ช่วยเหลือผู้คนเช่นนี้ก็มีความสุขดีแล้ว
"วันพรุ่งท่านลุงจำรูญจะกลับจากราชการที่เมืองละโว้ ป้าจึงคิดจะจัดงานต้อนรับ ป้าจึงอยากมาชวนออเจ้าด้วยตนเอง"
"กระผมมิพลาดแน่นอนขอรับ"
เมื่อชักชวนเสร็จคุณหญิงลำดวนจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาผู้ใหญ่ มีแม่พิกุลนั่งอยู่มิห่างกายคอยนั่งฟังและร่วมสนทนาในบางครา บทสนทนาล่วงเลยมาได้สักพักคุณหญิงผู้สูงศักดิ์จึงขอตัวกลับ
"งั้นป้ากับแม่พิกุลขอตัวกลับก่อนหนา"
"ขอรับคุณหญิงป้า"
เมื่อทั้งสามร่ำลากันจนเสร็จสรรพไตรทศจึงเดินกลับเข้าห้องนอนเพื่อดูแลจันที่กำลังนอนนิ่ง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท เขาใช้มือปัดผมที่ปรกใบหน้าดูดีออกอย่างเบามือเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น

จ้องมองใบหน้าของคนใจร้ายอย่างรักใคร่เอ็นดู คำพูดที่จันพูดเอาไว้ช่างเสียดแทงและบาดลึกเข้าไปในจิตใจ ใครว่าเขามิเต็มใจเล่า...ทุกการกระทำไตรทศล้วนเต็มใจและยินดีรับผิดชอบทั้งหมด
สายตาคมมองไล่ที่ลำคอระหงลงมาเรื่อยๆ รอยรักสีกุหลาบยังคงมิจางหายไปทั้งรอยข่วนที่แผ่นหลังของไตรทศที่จันได้ฝากไว้ก็ยังมีอาการแสบอยู่เนืองๆ
จันค่อยๆ ลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่แก้มนวล เห็นไตรทศนั่งอยู่บนเตียงเดียวกับตนจึงค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก
"กลับมาแล้วหรือ" เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
"อืม" คำตอบช่างสั้นเกินความคาดหมาย
"แล้ว...คุณหญิงว่าอย่างไรบ้าง?"
"แค่ถามไถ่"
"แล้วแม่พิกุลถามถึงข้าหรือไม่?"
"ไม่" จันหน้าหมองลง ใจคนมองกระตุกเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย
"ยังชอบแม่พิกุลอยู่หรือ?"
"ชอบ" คำตอบเพียงหนึ่งคำแต่เหมือนมีมีดนับพันเล่มทิ่มแทงที่กลางอกคนฟัง
"พี่ก็ชอบ"
"ชอบแม่พิกุลรึ!? " จันถลึงตาโตเมื่อลืมคิดไปว่าไตรทศเองก็เป็นหนึ่งในศัตรูหัวใจของตน
"ชอบออเจ้า"
"..."
"หน้าแดงหมดแล้วหนา"
เจ้าตัวแสบรีบนอนเอาผ้าห่มคลุมโปงด้วยใจหวั่น นี่มันอะไรกันเหตุใดจึงหวั่นไหวถึงเพียงนี้ หรือเพราะมันเป็นฤดูหาคู่เขาจึงรู้สึกดีกับคำพูดของอีกฝ่ายไปเสียหมด
"เพ้อเจ้อ"
"พี่ก็เพ้อถึงออเจ้าเพียงผู้เดียว มิรู้หรือ? "
เหมือนหัวใจทำงานหนักอีกครา หัวใจเต้นระรัวจนจันกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจเพราะอย่างน้อยๆจันก็เริ่มมีใจให้ตนบ้างแล้ว
"ข-ข้ามิอยากฟังคำพูดโป้ปดใดๆทั้งนั้น"
"หรือพี่ต้องพิสูจน์ก่อนออเจ้าจึงจะเชื่อ?"
" ไม่ต้อง-!!! " ยังมิทันได้ปฏิเสธก็โดนอีกฝ่ายโอบกอดไปทั้งผ้าห่ม จันรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่อีกฝ่ายมอบให้ มันอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด
"หอม...กลิ่นกายออเจ้าหอม" ไตรทศดึงผ้าห่มออกก่อนจะก้มหน้าฝังจมูกโด่งคมสันลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ
"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! " คนในอ้อมกอดแกร่งดิ้นไปมาแต่ก็มิเป็นผลเมื่อไตรทศนั้นแข็งแรงกว่ามาก
"เหตุใดพี่จึงต้องปล่อยเล่า"
"ออเจ้ามิมีสิทธิ์มาแตะต้องตัวข้า! "
"แม้แต่สิทธิ์ของผัวงั้นรึ? "
กึก
เจ้าตัวแสบนิ่งอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย ตนเป็นบุรุษเพศจะมามีผัวได้อย่างไรกัน
"ข้ามิอยากมีผัว! "
"แล้วเมื่อคืนวาน...จะเรียกว่าอย่างไรดีเล่า คนรู้ใจ คนเคียงกาย...หรือคู่นอน? "
คนพี่พูดที่ละคำอย่างเนิบนาบที่ข้างหูคนฟัง ก่อนจะขบเม้มลงบนใบหูอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม จันที่ตอนแรกพยายามจะดิ้นหนีกลับเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอันอ่อนโยน
เรียวลิ้นไล้เลียใบหูบางอย่างละเมียดละไมราวกลับว่ามันเป็นกลีบดอกไม้ที่หากรุนแรงเพียงนิดก็จักบอบช้ำ จันไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอ่อนระทวยดังขี้ผึ้งลนไฟ
"อ๊ะ! " เสียงน่าเอ็นดูเล็ดลอดออกมาจากคนในอ้อมกอดแกร่ง ไตรทศยิ้มกระหยิ่มเมื่อตนกำราบพยศของแมวดื้อได้สำเร็จ
"ชอบรึ? "
"ไม่ใช่ ข้าไม่ชอบ! " ปากมิตรงกับใจ คำว่าไม่ชอบดูมิน่าเชื่อถือเมื่อแก้มนวลขึ้นสีระเรื่อจนคนพี่เห็นได้ชัด
"พี่นี้รักปักใจในออเจ้า อยากหยอกเย้าคลอเคลียมิห่างหาย
อยากได้เจ้ามาอิงแอบแนบชิดกาย อย่าใจร้ายกับพี่เลยเจ้าจัน
กลิ่นกายเจ้าหอมดังบุปผชาติ กายสะอาดมองแล้วพาใจหวั่น
พี่ช่างอยากดอมดมเจ้าทุกวัน โอ้เจ้าจันพี่รักเจ้าเฝ้าคะนึง"
บทกลอนเกี้ยวพาราสีถูกเอ่ยออกมาจากปากไตรทศคนขรึม คนฟังถึงกลับไปมิเป็นเมื่อรู้ว่าตนกำลังโดนชายผู้นี้กำลังพูดหยอดคำหวาน ทั้งชีวิตเคยเกี้ยวพาแต่ผู้อื่น ครั้นเมื่อตนกลายเป็นผู้ถูกเกี้ยวพาเองแล้วก็รู้สึกคันยุบยิบตรงหัวใจพิกล
"ข้า..."
"พี่มิรู้ว่าหากบอกว่ารักไปออเจ้าจะตอบกลับมาเช่นไร พี่แค่อยากบอกให้ออเจ้าได้รับรู้ แต่มิจำเป็นต้องคิดมากดอกหนา พี่มิอยากให้ออเจ้าไม่สบายใจ จะรักใครชอบใครมันก็สิทธิ์ของออเจ้า"
"แต่ข้าเป็นชาย"
"แล้วมันจำเป็นด้วยหรือที่พี่ต้องรักใครสักคนที่เพศสภาพ"
"แต่..."
"ออเจ้าจะเป็นเพศไหน สถานะอะไรมันมิสำคัญดอกหนา สุดท้ายแล้วพี่ก็แค่ทำตามหัวใจตนเอง" ไตรทศหยุดพูดไปช่วงนึง "แลหัวใจพี่มันก็บอกว่า...พี่รักจัน"
จันมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตนหรือไม่ เหตุไฉนใจดวงน้อยถึงหวั่นไหวกับคนผู้นี้ได้เล่า และเหตุใดมันจึงมิฟังคำสั่งของเขาว่าห้ามไปรู้สึกอะไรกับคำพูดที่เชื่อมิได้ของคนผู้นี้
หากวันใดวันหนึ่งจันรู้สึกเช่นเดียวกันขึ้นมาสถานการณ์ก็คงจะยิ่งแย่เพราะแม่เรือนมิเคยได้รับการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว จันรู้ดีว่าหากตนชอบอีกฝ่ายขึ้นมาเรื่องแย่ๆจักตามมาอีกมากมาย
"แต่ข้ามิได้รักพี่..."
"ข้อนั้นพี่รู้ดี" ...รู้ดีมาตลอด "แต่ก็มิได้แปลว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรักมิได้"
ความเงียบเข้าครอบงำห้องสี่เหลี่ยม ร่างหนาที่สวมกอดอีกฝ่ายไว้เอามือออกเพื่อปลดพันธนาการ เขามิอยากบังคับให้จันมารู้สึกดีด้วย หากจันพอใจในสถานะไหนตนก็ยินยอมและมิคิดจะขัดหรือขืนใจอีกฝ่าย แค่จันพูดว่ามิชอบการกระทำใดเขาก็พร้อมจะหยุด
"วันพรุ่งก็ครบเจ็ดวันแล้ว ตาของข้าคงจะกลับมาถึงพอดี" ไตรทศใช้เวลาอยู่กับจันจนลืมไปว่าพรุ่งนี้คือวันที่จันจะต้องกลับไปอยู่ที่ท้ายวัด นี่สิหนาที่เขาบอกว่าความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
"เดี๋ยวพี่จะไปส่งออเจ้าเอง ให้กลับเองทีไรเป็นอันต้องเจ็บตัวเสียทุกที"
"จ้ะ" คำตอบแสนน่ารักทำเอาไตรทศอยากโดดลงบนเตียงแล้วฟัดอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
"พักผ่อนเสียเถิดหนา เมื่อคืนออเจ้าคง...ใช้แรงเยอะเกินไป" ใบหน้าคนฟังเห่อร้อน แก้มใสขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
"ข-ข้ารู้แล้ว! " ไตรทศยิ้มขำกับท่าทีลุกลนของคนบนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ส่งมือใหญ่มาลูบหัวอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินออกไป ทิ้งจันไว้กับความเงียบ
เมื่ออีกฝ่ายออกไปจันจึงกลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืนวาน ความกระดากอายที่ควรจะหายไปกลับตีตื้นขึ้นมาอีกครา เสียงที่แหบแห้งและความรู้สึกเจ็บยามกลืนน้ำลายคงเป็นเพราะตนนั้น...ส่งเสียงครางมากเกินไป
"พี่จัน.."
เสียงเด็กดังข้างเตียงแต่จันกลับมิสนใจเพราะมัวแต่คิดไปไกล เขาเอาแต่คิดว่าเหตุใดที่ช่องทางถึงได้เจ็บนัก สงสัยมันจะระบมเพราะกิจกรรมที่ทำร่วมกับคนพี่ เมื่อนึกถึงขนาดที่ตนเห็นแล้วก็บอกได้เลยว่าชายผู้นี้มีขนาดกลางกายที่มิธรรมดา หากให้เปรียบเทียบก็คง...
"พี่จันจ๋า" อืม...พอๆ กับแขนไอ้ทิดเลยนี่หว่า
"พี่จัน! "
"อ่ะ" จันหลุดจากภวังค์ หันไปมองที่ข้างเตียงก็เห็นว่าทิดยืนอยู่ตรงนั้น "ไอ้ทิดหรือ?"
"ใช่จ้ะพี่ เหตุใดพี่จึงหน้าแดงขนาดนี้มิสบายหรือเปล่าจ้ะ"
ความไร้เดียงสาของเด็กทำเอาจันไปไม่เป็น จะบอกมันได้อย่างไรเล่าว่าตนหน้าแดงเพราะคำพูดของไตรทศและเพราะคำนึงถึงขนาดที่ใหญ่ใกล้เคียงกับแขนของมัน
"คงจะอย่างนั้น แล้วนี่เอ็งมาได้อย่างไร?"
"ข้าหายตัวมาสิพี่ ข้าเป็นผีนะจ้ะ" คำพูดกวนบาทาทำเอาจันอยากจะตบกระบาลไอ้ทิดสักที
"ข้ารู้ๆ ข้าหมายถึงเหตุใดเอ็งจึงมาได้ ต้องอยู่เฝ้ากระท่อมมิใช่หรือ? "
"ข้าเหงานี่จ้ะ มาแค่ประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวข้าก็ไป"
จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไอ้ทิดมันเป็นแค่เด็กก็คงเหงาเป็นธรรมดาเพราะนอกจากจันแล้วทิดมันก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก
"เอ็งรู้แล้วใช่รึไม่ว่าตาจะกลับมาวันพรุ่ง"
"จ้ะพี่"
"เดี๋ยวข้าก็จะกลับด้วย อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว"
"มิดีรึพี่ ข้าวปลาอาหารก็มีคนเตรียมให้ งานบ้านงานเรือนก็ไม่ต้องทำเอง ข้าว่าสบายดีจะตายไป"
"หวังแต่สบายมิได้ดอกหนา คนเราเกิดมาต้องรู้จักความลำบากเสียบ้าง"
"จ้ะพี่จัน" ทิดยิ้มให้คนพี่อย่างใสซื่อ นอกจากตาคงแล้วก็มีจันที่คอยสอนทิดเรื่องต่างๆอีกมากมาย
"ทิด"
"จ๋า? "
"เอ็ง...หายตัวเข้าไปในห้องของพี่ไตรหน่อยสิวะ ไปดูให้หน่อยว่าเขาทำการอันใดอยู่"
"ได้สิจ้ะพี่"
ทันใดนั้นร่างป้อมก็หายลับไปทันที ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็หายตัวกลับเข้ามาที่ห้องของจันตามเดิม
"เป็นเช่นไร เขาทำอันใดอยู่รึ?"
"อ่านหนังสือจ้ะพี่ แต่เป็นภาษาแปลกๆ ข้าอ่านมิออก ในหนังสือน่าขันนัก มีชายสองคนนอนทับกัน สงสัยจะเป็นหนังสือกระบวนท่าต่อสู้กระมั้ง"
หนังสือกระบวนท่าต่อสู้? คนอย่างไตรทศน่ะหรือจะอ่านหนังสือเช่นนั้น
"แล้วมีอะไรอีกรึไม่?"
"อีกหน้ายิ่งตลกเลยพี่ ชายอีกคนเอาสากยัดใส่ปากชายอีกคน ข้าขำจนท้องกิ่ว คิกคิก" สาก? นี่มันการต่อสู้แบบใดกันแน่วะเนี่ย
"อะไรอีก"
"ท่าต่อมาช่างแปลกนัก คนหนึ่งอยู่บนอีกคนอยู่ล่าง แต่หันหัวและท้ายสลับกัน" แปลกจริงๆ นั่นแหละ
"เอาล่ะช่างมันเถิด ข้ามิอยากรู้แล้ว สงสัยจะเป็นหนังสือกระบวนท่าต่อสู้ทั่วไปกระมัง เก่งมากทิด"
"จ้ะพี่" เด็กชายตัวป้อมยิ้มแฉ่งเมื่อได้รับคำชม
"กลับได้แล้ว เดี๋ยวกระท่อมมิมีเอ็งเฝ้าจะยุ่งเอา"
"จ้า ข้าไปก่อนนะพี่จัน"
จันพยักพเยิดหน้าให้ก่อนทิดจะหายลับไปอีกครา ความเงียบอยู่เป็นเพื่อนอีกครา จันจึงนอนลงเพื่อพักเอาแรงเสียหน่อย ถึงจะแข็งแรงเช่นไรแต่กายของแม่เรือนย่อมด้อยกว่าบุรุษเพศผู้อื่นจึงเหนื่อยได้ง่ายและอ่อนแรงยามใช้แรงมาก
ไตรทศเปิดประตูห้องของจันออก มองไปบนเตียงนุ่มจึงเห็นว่าจันนั้นหลับไปแล้ว คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนวานเป็นแน่จันถึงได้หลับลึกถึงเพียงนี้ มือหนายื่นไปปัดผมที่บังหน้าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ปากสีแดงระเรื่อมีรอยปริแตกเพราะเกิดจากการที่ตนขบกัดอย่างมันเขี้ยว
ตามซอกคอระหงมีรอยรักสีกุหลาบที่ยังมิจาง เขาใช้นิ้วเกลี่ยที่ข้างแก้มนวลอย่างนึกเอ็นดู ยามมันขึ้นสียิ่งน่าถนอม เจ้าของเรือนเชยชมจันเพียงเท่านั้นก่อนจะปล่อยให้จันได้นอนหลับอย่างสบายและปลีกตัวออกมาจากห้องเพื่ออ่านตำรากามสูตรที่ตนอ่านค้างไว้...ริจะมีเมียก็ต้องศึกษาเสียหน่อย


"อืม.." ร่างของคนบนเตียงค่อยๆ ลืมตาอย่างเชื่องช้า เสียงแดดหายไปแทนที่ด้วยแสงจันทร์พรายส่องมาที่หน้าต่างที่เปิดออก
จันขยับกายอย่างเบาแรงเพราะยังรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่ก็มิได้มากเท่าเมื่อกลางวัน คงเป็นเพราะช่วงเพลาชายไอ้มิ่งเข้ามาเอายาให้กินจึงรู้สึกดีขึ้น
"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มดังอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มหันไปมองและพบกับเจ้าของเรือนในชุดผ้าแพรสีขาวที่ใส่แล้วดูโล่งสบาย
"ข้าอยากอาบน้ำ" จันเอ่ยเพียงเท่านั้น ไตรทศจึงลุกขึ้นเข้ามาประคองให้นั่งดีๆ
"เดี๋ยวพี่พาไป"
เนื่องจากอาการขัดที่ช่องทางเริ่มหายไปจันจึงสามารถเดินเองได้แล้ว จันนั้นแข็งแรงกว่าที่ไตรทศคิดไว้มากทั้งที่โดน...ขนาดนั้นกลับยังเดินเหินได้ปกติ
หากเป็นผู้อื่นอาจนอนพักไปสองวันสามวัน (ตำราบอกมา) ระหว่างทางเดินไปท่าน้ำมีตะเกียงเล็กประดับไว้ทั้งสองทาง ติดตามเสาไม้เล็กๆเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้สัญจร
ไตรทศวางตะเกียงในมือลง ท่าน้ำที่พามาอยู่ไกลจากตัวเรือนและเป็นส่วนตัวเพราะที่นี่เป็นที่ที่ไตรทศมาอาบน้ำประจำและห้ามผู้ใดเข้ามาย่างกรายยกเว้นอยู่ผู้เดียวคือ 'จัน' คนพี่หันไปมองอีกคนที่กอดเสื้อผ้าไว้กับอก
"ออเจ้าอาบที่นี่เถิด พี่จะยืนเฝ้า"
"จะดีหรือ? ข้าโตแล้วมิต้องให้ผู้ใดมาเฝ้าดอก"
"ตอนนี้มันก็มืดมากแล้ว อีกทั้งออเจ้ายังมิหายเจ็บดี ให้พี่ได้อยู่ดูแลเถิดหนา" จะปฏิเสธก็ปฏิเสธมิได้ จันจึงต้องจำใจพยักหน้าแทน
จันปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเหลือไว้แค่ผ้าสีแดงที่ยาวถึงแค่ขาอ่อนและมีสายพันที่ตรงเอวคอดเพื่อปกปิดส่วนสงวน ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไตรทศทั้งสิ้น
จันย่างกรายลงบนบันไดของท่าน้ำอย่างเชื่องช้า เท้าอุ่นสัมผัสน้ำเย็นของคลองทำเอาจันแอบสะดุ้ง น้ำมิได้ลึกมากสูงถึงแค่เอวจันจึงสามารถยืนเองได้
ยามมือวักน้ำขึ้นอาบหยดน้ำพร่างพราวเกาะตามผิวนวลส่องแสงประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงจันทร์ในยามคืนวันพระใหญ่ ชายหนุ่มใช้มือวักน้ำขึ้นเพื่อล้างหน้า
ผมที่สัมผัสโดนน้ำลู่ลงอย่างน่าเอ็นดู ไตรทศจับจ้องไปที่กายของชายหนุ่ม รอยรักสีกุหลาบยังมิจางหาย ทั้งตามคอ ตามอก และเอวคอด
สายตาคมโลมเลียกายอีกฝ่ายโดยมิรู้ตัว รอยปานสีแดงปรากฎเด่นเมื่อต้องแสงจันทร์ มันสวยจนไตรทศมิอาจละสายตาได้ ทันใดนั้นจึงมีความคิดดีๆเกิดขึ้น ร่างหนาจัดการปลดเปลืองชุดของตนเองออกก่อนจะค่อยๆย่องเดินลงน้ำเสียงน้ำกระเซ็นเหมือนมีคนลงมาในน้ำ จันจึงหันกลับไปมองและเห็นว่าอีกคนคือไตรทศทีมิมีสิ่งใดปกปิดกายเอาไว้
"พี่ไตรลงมาทำไมหรือ!? " ถามด้วยความตระหนก กายกำยำล่ำสันและเต็มไปด้วยมัดกล้ามทำเอาจันนึกอิจฉา
"อาบน้ำอย่างไรเล่า พี่มัวแต่ดูแลออเจ้าทั้งวันจึงยังมิได้อาบ"
"..."
จันมิตอบหากแต่ขยับหนีอีกฝ่าย สายตามิน่าไว้ใจนั้นช่างคาดเดายาก มันเหมือนสายตาของสัตว์เจ้าป่ายามออกล่าเหยื่อมิมีผิด
ไตรทศมองการกระทำของจันแล้วแอบลอบยิ้ม เพราะมิคิดว่าจันจะกลัวตนทำมิดีมิร้ายถึงเพียงนี้ หน้ารึก็แดงเป็นลูกตำลึง
ทั้งสองอาบน้ำอยู่มิไกลกันมาก จันแอบลอบมองคนพี่จึงเห็นว่าตามแผ่นหลังกว้างและแผ่นอกมีรอยเล็บเป็นทางยาว ทั้งยังขึ้นสีแดงจนน่ากลัว มิต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
"แอบมองพี่รึ?" เพราะมองนานเกินไปจึงถูกอีกคนจับได้เสียแล้ว
"ข้าเปล่า! " ปฏิเสธเสียงดังฟังชัดเสียจนคนพี่ขำในความใสซื่อ
"พี่เชื่อออเจ้าก็ได้" รอยยิ้มอ่อนโยนจากคนที่ชอบทำหน้าตายทำเอาจันในสั่น
"ข-ข้าจะขึ้นแล้ว"
ทันใดนั้นเมื่อคิดที่จะขึ้นฝั่งร่างกายกลับร้อนรุ่มทั้งๆที่อยู่ในน้ำ อากาศรอบๆ กลับร้อนระอุอย่างน่าประหลาด
"จัน นี่ออเจ้า.."
กลิ่นที่ปะทะเข้ากับจมูกทำเอาไตรทศรู้ได้ทันทีว่าจันอยู่ในอาการใด ร่างกายเริ่มอ่อนแรงจนแทบจะยืนมิอยู่ ไตรทศจึงปรี่เข้าไปพยุง ความเย็นของน้ำมิอาจปกปิดไอร้อนจากกายของจันได้
"พี่ไตร...ข้าต้องการอีกแล้ว..."
เสียงกระท่อนกระแท่นพูดอย่างยากลำบาก ส่วนกลางกายของจันแข็งขืนจนไปสัมผัสโดนกับขาของไตรทศ
"อื้อ" เสียงครางเบาแต่อนุภาพช่างร้ายแรง
"จัน อย่ายั่วพี่"
"ข้ามิไหวแล้ว...ทำเถิดพี่ไตร..."
"แต่ออเจ้าพึ่งหายเจ็บได้มินาน-" คำพูดของไตรทศชะงักเมื่อจันเอานิ้วชี้จรดลงบนริมฝีปากของเขา
"ชู่วว...อย่าขัดใจจันสิจ้ะ" จันชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างคือผู้ใดไตรทศมิรู้จัก ผู้เดียวที่ไตรทศมองเห็น ณ เพลานี้คือจัน แมวน้อยจอมยั่วยวนเพียงเท่านั้น
"อึก..." กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ "ออเจ้าเลือกมาเลยว่าจะทำในน้ำ..หรือบนฝั่ง"


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:22:24 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ปิดตาไอ้ทิด 555555555

น้องยั่วขนาดนี้ พี่ไตรต้องจัดทั้งในน้ำ ทั้งบนบก! แว๊งงงง


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อะไรคือการให้ทิดไปแอบดู 555555555555

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ m_ilk_y

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ruready
นุ้งจันไม่น่าโดนจัดหนักแค่ที่เดียว
กำเดาพุ่งงงงงงงงง

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๐
“มิเลือกได้รึไม่...ข้า ข้าได้ทุกที่” จันพูดด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ
“หึ เด็กลามก”
ไตรทศใช้มือทั้งสองข้างช้อนแก้มก้นนวลเนียนทั้งสองขึ้นเพื่อฉุดรั้งให้ตัวชายหนุ่มลอยขึ้นจากน้ำเล็กน้อย
จันใช้ขาเกี่ยวรัดกับเอวอีกฝ่ายไว้อย่างรู้งานก่อนจะก้มลงเพื่อประกบจูบอย่างโหยหา ลิ้นเล็กตวัดเกี่ยวภายในปากคนพี่อย่างมิประสีประสาจนไตรทศนึกเอ็นดู
“จูบ...เขาทำกันเช่นนี้”
ไตรทศผละออกก่อนจะประกบจูบอีกคราแต่คราวนี้เขาคือผู้คุม ลิ้นเล็กตามสัมผัสจาบจ้วงมิทัน กายอ่อนแรงจนตัวอ่อนระทวยไตรทศจึงต้องจับให้แน่นขึ้นจนก้อนเนื้อนุ่มทั้งสองก้อนเห็นเป็นมือแดง
“อือ..”
คนพี่ร่างครางต่ำอย่างสุขสม จันลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย ไตรทศกำลังหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสอันอ่อนนุ่ม ชายหนุ่มมองไปยังคิ้วเข้มและใบหน้าหล่อที่รับกับจมูกโด่งทำเอาชายหนุ่มวัยยี่สิบใจสั่นระรัว เหตุใดคนผู้นี้จึงมีอนุภาพต่อตนเช่นนี้จันเองก็มิสามารถอธิบายได้
ทั้งสองผละออกจากกันอีกครา ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบบ่วมเจ่ออย่างเห็นได้ชัด ไตรทศยิ้มรับกับผลงานที่ตนเป็นผู้สรรค์สร้าง รอยรักตามคอระหงที่ยังมิจางคาดว่าจะมีรอยใหม่มาเพิ่มเสียแล้ว
พอคิดดังนั้นจมูกโด่งจึงฝังลงไปที่คอของชายหนุ่มที่ตนใช้มือประคองไว้ โลมเลียไปตามซอกคอขาวและฝากรอยรักอันใหม่ไว้ให้
“อ-อื้อ”
ลมหายใจติดขัดเมื่อโดนอีกฝ่ายโลมเล้า ไตรทศมิรอช้าส่งนิ้วเรียวเข้าไปในช่องทางสีหวานเพื่อตระเตรียมความพร้อม
จันสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้ามาในช่องทางของตน แรงกอดรัดที่เอวแกร่งเพิ่มมากขึ้นเพื่อระบายความกำหนัด
เสียงเฉอะแฉะของน้ำและแรงที่มือยามขยับเข้าออกดังระงม แต่ถึงกระนั้นคงจะมิมีผู้ใดมาได้ยินในยามนี้ หรือต่อให้มีก็คงมิมีผู้ใดมาหยุดบทรักที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ได้
“พ-พอแล้ว...พี่ไตรใส่เข้ามาเลยมิได้หรือ” สายตาออดอ้อนถูกส่งมาจากอีกฝ่าย
“พี่ตามใจจัน” พูดจบจึงยกสะโพกมนขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะจ่อส่วนปลายที่ช่องทางสีหวาน กดสะโพกกลมกลึงลงอย่างเบามือเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ
“อ๊ะ! ” มือที่วางบนไหล่จับแน่นขึ้นเพื่อระบายอารมณ์ ขาที่เอวรัดแน่นขึ้นมือส่วนปลายเริ่มแทรกผ่านรอยจีบสีสวยเข้ามาภายใน
“อืม..”
ไตรทศครางต่ำเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังรัดส่วนปลายกลางกายของตนอย่างถี่รัว ก้มลงจูบที่คอระหงก่อนจะเลื่อนมาที่ยอดอกสีสวยเพื่อทำให้จันผ่อนคลายก่อนจะฉวยโอกาสที่จันเคลิบเคลิ้มกระแทกเข้าไปจนสุดทาง
ปึก
“อ๊ะ..อ๊า พี่ไตร...อื้อ..”
เสียงครางอย่างสุขสมถูกส่งออกมาจากคนบนกายแกร่ง ไตรทศเริ่มขยับสะโพกเมื่อจันเริ่มปรับตัวได้ กายหนาขยับสอบสะโพกแรงขึ้นทำให้เกิดเสียงน้ำกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ความเสียวซ่านทำเอาจันต้องเชิดหน้าขึ้นเพื่อระบายความสุขสมที่ถาโถมเข้าใส่
สวบ สวบ
“อ๊ะ...ข้า...ข้ารู้สึกดี...อื้อ” ไตรทศมองหน้าจันที่เชิดขึ้นรับแสงจันทร์อย่างหลงไหล ใบหน้าที่ดูสุขสมไปกับจังหวะการขยับเข้าออกของตนทำเอาไตรทศพอใจมิน้อย
“อ่ะ...อื้อ พี่ไตรหยุดอย่าหยุดสิจ้ะ…” คนพี่นึกอยากแกล้งจึงหยุดขยับสะโพกเพื่อหยอกล้ออีกฝ่าย
“พูดเพราะๆกับพี่สิจัน…”
“พ-พี่ไตรจ๋า อย่าแกล้งข้าเลย ข้าจะไม่ไหวอยู่แล้ว…” เสียงหอบหายใจประสานเสียงพูดฟังแล้วช่างเร้าอารมณ์
“แล้วอย่างไรอีก ออเจ้าต้องการให้พี่ทำอย่างไรก็พูดมา”
ไตรทศพูดอย่างได้ใจ นานๆทีให้จันได้อยู่ใต้อาณัติก็ดีมิน้อย เพราะปกติทั้งดื้อรั้นทั้งเถียงเก่ง เห็นทีจะมีก็แต่ยามนี้ที่ไตรทศปราบพยศได้
“ข้า...ข้าอยากให้พี่ขยับ อยากให้พี่ทำให้ข้าพอใจ...ฮึก ม-ไม่ไหวแล้ว”
พูดไปตัวก็สั่นเทิ้มไป ความกำหนัดจากฤดูหาคู่ช่างยากต่อการระงับ หากมิได้ระบายออกไปแม่เรือนอย่างจันจะอยู่ได้ยากหรืออาจจะหมดสติไปในที่สุด
“เด็กดี”
ร่างหนายิ้มมุมปากอย่างได้ใจก่อนจะขยับเดินเข้าหาตลิ่งทั้งๆที่ส่วนกลางกายยังเชื่อมกันอยู่ ยามขยับจึงเกิดการเสียดสีชายหนุ่มในอ้อมแขนแกร่งจึงร้องครางเบาๆ
ไตรทศบรรจงวางร่างจันลงที่ริมตลิ่งให้หลังอีกฝ่ายได้พิงตรงขอบของตลิ่งที่มีหญ้าขึ้นเพื่อลดการเสียดสีของแผ่นหลังก่อนจะเริ่มสอบสะโพกอีกครั้ง
ปึก ปึก
“อ๊ะ...อ่าห์ ล-ลึก...มันลึก” คนใต้ร่างขยับตามแรงกระแทกกระทั้น เสียงครางดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์และความรู้สึกเสียวซ่าน
“อืม...อย่ารัดพี่แรงขนาดนี้สิจัน” ร่างหนาสอบสะโพกเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์ กลิ่นเสหน่หายังคงเย้ายวนอบอวลไปทั่วบริเวณ
“อึก อื้อ” กัดริมฝีปากเพื่อระบายความกำหนัดภายในกาย ถึงแม้ว่าน้ำจะเย็นเพียงใดก็มิอาจดับความร้อนระอุของบทรักในครานี้ได้
“อย่ากัดปากสิเด็กดี พี่อยากฟังเสียงหวานๆของออเจ้า”
ก้มลงเม้มปากลงบนติ่งหูของอีกฝ่าย ลากลิ้นผ่านเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ไตรทศรู้ได้ทันทีว่าจุดอ่อนของจันคือที่ใบหู เพราะคราใดที่ตนใช้ลิ้นเลียตรงใบหูที่ช่องทางสีหวานจะรัดแรงและถี่รัวขึ้นทุกครา
“อ๊ะ พี่ไตร...พี่ไตรข้าไม่ไหวแล้ว”
“อ่าห์..”
สิ้นเสียงคำรามในลำคอร่างหนาถอนส่วนกลางกายออกและปลดปล่อยภายนอกได้ทันท่วงที กลิ่นเสน่หาเริ่มจางไปเหลือไว้เพียงเสียงหอบหายใจของคนทั้งสอง
จันเงยหน้าขึ้นสบตาคนบนร่าง ไตรทศมีเหงื่อออกตามแผ่นอกและตนสังเกตเห็นว่าตามแผ่นอกของไตรทศนั้นมีรอยเล็บอยู่หลายรอย ยามเหงื่อไหลลงมาโดนคงจะแสบอยู่มิใช่น้อย
ไตรทศชะงักเมื่อจันทำสิ่งที่ตนมิคาดคิด ชายหนุ่มขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้แผ่นอกแกร่งพร้อมกับใช้ลิ้นอุ่นลากไล้เลียตามรอยบาดแผลที่เจ้าตัวได้ฝากไว้ จันทำโดยมิขัดเขินจนไตรทศแปลกใจมิน้อยที่จันยอมทำถึงขนาดนี้ 
“จัน…”
“ข้า...ข้าขอโทษ” ชายหนุ่มก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดเพราะตนได้เผลอกระทำการล่วงละเมิดอีกฝ่ายโดยมิทันคิด
“หึ พี่หาได้โกรธออเจ้าไม่ พี่ยินดีเสียอีก”
“อ-อือ” จันเริ่มหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอีกครา ยามแสนจันทร์ต้องผิวนวลดูแล้วช่างน่าหลงไหล
“เราขึ้นเรือนกันเถิด อยู่นานประเดี๋ยวจะเป็นป่วย” จันมิตอบด้วยคำพูดแต่พยักหน้าแทน
ในคราแรกไตรทศเสนอจะอุ้มจันกลับขึ้นเรือนแต่เจ้าตัวมิยินยอม ไตรทศจึงทำได้แค่เดินตามและคอยประคองเป็นบางครา ภายในเรือนเงียบเชียบเพราะเป็นเวลาดึกเหล่าทาสบริวารจึงพากันกลับไปนอนหลับหมดแล้วเหลือไว้ก็แค่คนทั้งสองที่มิยอมหลับมิยอมนอน
“ข้าขอตัว” จันพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของตนที่เคยเป็นห้องของไตรทศมาก่อน
“เดี๋ยว” ไตรทศเอ่ยรั้งไว้จันจึงหันกลับมามอง
“พี่ขอนอนด้วยได้หรือไม่?” คำถามทำเอาจันชะงัก “เผื่อออเจ้าป่วยกลางดึกอย่างไรเล่า ให้พี่นอนด้วยเถิดหนา”
“เอ่อ...ก็ได้” จันก็มิรู้ว่าเหตุใดตนจึงมิปฏิเสธไปเสีย คงเพราะกลัวว่าตนจะป่วยกระมังจึงยอมให้อีกฝ่ายมานอนด้วย
ทันทีที่นอนลงบนเตียงไตรทศก็ขยับเข้าประชิดตัวพร้อมกับสวมกอดจากด้านหลังทันที จันดิ้นในคราแรกแต่ก็มิเป็นผล สุดท้ายจึงต้องยอมนอนนิ่งๆเป็นหมอนข้างให้ไตรทศไป
“อุ่นจัง” ไตรทศนอนเอาหน้าซุกตรงหลังคออีกฝ่าย ยามโดนลมหายใจอุ่นรินรดจันจึงสะดุ้งในบางครา
“อย่าซนก็พอ”
ไตรทศนึกขำที่โดนคนอายุน้อยกว่าถึงสิบปีมาบอกกำชับว่าอย่าซน แต่เขาก็มิถือทั้งยังชอบเสียด้วยซ้ำที่มีจันให้นอนกอด
“หลับฝันดีนะ...เจ้าจันของพี่”
คำบอกรักที่มิมีคำว่ารักทำเอาใจชายหนุ่มไหวสั่น นี่เขาหวั่นไหวกับชายผู้นี้หรือ? จันได้แต่เฝ้าถามตนเอง ยามที่ไตรทศหลับไปแล้วแต่จันยังคิดไม่ตกกับความรู้สึกแปลกใหม่ภายในใจของตนเอง
ยามเช้ามาถึง เสียงไก่ขันดังปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากนิทรา มองซ้ายแลขวาก็มิเห็นผู้ที่นอนกอดตนเมื่อวานที่นอนข้างๆ ยังคงมีความอุ่นหลงเหลืออยู่สงสัยว่าจะพึ่งลุกออกไปได้มินาน
เมื่อคิดได้ดังนั้นจันจึงพยุงตัวขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อขบตามร่างกาย ช่องทางมิได้เจ็บมากเหมือนคราแรกจึงทำให้สามารถเดินเหินได้ตามปกติ
“ป้าอิ่มทำอะไรอยู่หรือ?” จันเอ่ยถามนางทาสที่กำลังง่วนกับการเตรียมอาหาร
“ทำสำรับอย่างไรเล่าพ่อจัน แล้วนี่ออเจ้าพึ่งตื่นรึ?”
“ใช่จ้ะป้า”
“กินน้ำขิงเสียหน่อยไหมเอ็ง เสียงฟังดูแหบๆ ”
“ก็ดีจ้ะป้า”
นางอิ่มหันไปตักน้ำขิงอุ่นๆส่งให้ชายหนุ่ม จันรับไว้ก่อนจะยกขึ้นจิบ ความอุ่นแทรกผ่านลำคอจึงรู้สึกโล่งและสบายขึ้น
จะว่าเสียงแหบเพราะป่วยก็มิใช่หรือว่าแหบเพราะ...ครางมากไป จันแทบสำลักน้ำขิงเมื่อตนคิดเรื่องลามก หน้าพลันขึ้นสีระเรื่อเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวาน
“แล้วนี่ท่านไตรทศไปไหนหรือป้า?” จันเอ่ยถาม
“ไปเรือนใหญ่กระมัง เห็นบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านท่านพระยาจำรูญบิดาของคุณพิกุลเขา”
จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะเดินออกมาจากครัวเพราะตนมิมีหน้าที่อันใดที่ตรงนั้นอยู่ไปก็รังแต่จะกีดขวางการทำงานของเหล่านางทาสเปล่าๆ
“อ้าว เอ็งมาพอดีเลย ท่านไตรทศให้ข้ามาตาม”
“ตาม? ตามไปที่ใดรึ?”
“เรือนใหญ่อย่างไรเล่า มาๆตามข้ามา”
ไอ้มิ่งมิเปิดโอกาสให้เอ่ยถามจันจึงต้องเดินตามมันไปด้วยความสงสัย เดินข้ามสะพานไม้มายังอีกฝั่งของคลองเล็กก็ถึงเขตของเรือนใหญ่
ชายหนุ่มมองไปรอบบริเวณเรือนใหญ่ด้วยความสงสัยปนอึ้งเพราะเรือนใหญ่นั้นใหญ่จริงสมชื่อ ใหญ่กว่าเรือนของไตรทศหลายเท่า รอบบริเวณเป็นพื้นหญ้าโล่งเตียนไว้ให้พวกลูกทาสและบ่าวไพร่มานั่งเล่นและพูดคุยกัน ทั้งยังมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ปึก
“ขออภัยขอรับ” จันรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยเมื่อชนคนผู้หนึ่งเข้า ด้วยความที่เดินไปและมองไปรอบๆจึงมิทันสังเกตว่ามีผู้ยืนอยู่
“มิเป็นอันใดดอก”
เสียงทุ้มต่ำที่มิคุ้นเคยดังขึ้น จันเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลันสายตาก็สบกันเข้า อีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าจันนัก ไว้หนวดเล็กน้อย สวมเสื้อคอกลมสีขาวผ่าอก แขนเสื้อยาวจนถึงข้อมือและใส่โจงกระเบน ใบหน้าคมเข้มทำเอาจันละสายตาไปไหนมิได้
“ขออภัยแทนจันมันด้วยนะขอรับท่านขุน” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ  พูดน้อยเหมือนไตรทศมิมีผิด
“ออเจ้าคือนายจันผู้ที่ไตรทศชอบพูดถึงบ่อยๆดอกหรือ?” ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักตน
“ขอรับ…” อีกฝ่ายดูใจเย็นและสุขุม หากเป็นเจ้านายผู้อื่นคงโวยวายที่โดนชนและตัวมันเองคงโดนเฆี่ยนจนหลังลายเป็นแน่
“ไตรทศอยู่ตรงลานฝึกดาบ สงสัยจะรอออเจ้าอยู่”
“ขอบพระคุณขอรับ” จันค้อมหัวให้อีกฝ่ายก่อนที่จะรีบเดินเลี่ยงออกมาพร้อมไอ้มิ่ง
“โล่งอกไปทีนะเอ็ง ดีนะที่ท่านมิเอาเรื่อง” ไอ้มิ่งถอนหายใจไปปาดเหงื่อไป
“ท่านคือผู้ใดวะ”
“พี่ชายของท่านไตรทศอย่างไรเล่า”
“หา พี่ชาย!? ”
จันเองก็พึ่งจะรู้ว่าไตรทศมีพี่ชายกับเขาเสียด้วย เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายมิเคยพุดเกี่ยวกับครอบครัวให้ตนฟัง สงสัยว่าจะยังมีอีกหลายเรื่องที่จันมิรู้เกี่ยวกับอีกฝ่าย
“เออสิวะ ท่านชื่อเดชดำรงค์ เป็นพี่ชายแท้ๆของท่านไตรทศ มีตำแหน่งเป็นขุนเหมือนกับท่านขุนไกร”
ทั้งสองเดินไปคุยกันไป จันได้ฟังเรื่องราวของทั้งสองคนหลายอย่างจากไอ้มิ่งเพราะมันเป็นพวกช่างพูดช่างจ้อจึงมิหยุดปากเสียที ใช้เวลามินานทั้งสองจึงเดินมาถึงลานฝึกดาบ
เสียงดาบฟาดฟันกันดังขึ้น มีเสียงพวกทาสหนุ่มทาสแก่ร้องโห่ร้องเชียร์คนที่ยืนอยู่ตรงลานกว้าง จันมองผ่านร่างบึกบึนของพวกทาสเข้าไปจึงเห็นแผ่นหลังของไตรทศ เหตุที่รู้ว่าคือแผ่นหลังของอีกฝ่ายคงเป็นเพราะรอยเล็บที่ข่วนเป็นรอยยาว และเจ้าของรอยเล็บนั้นก็ยืนอยู่ตรงนี้…
“เอ้า! ฟาดให้มันแรงๆสิวะ แรงเท่าลูกหมาจะไปสู้ใครเขาได้!”
เสียงพูดตวาดจากไตรทศทำเอาจันสะดุ้ง ชายหนุ่มมิเคยเห็นอีกฝ่ายในด้านนี้มาก่อน ปกติจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและนิ่งเฉยแต่ครานี้กลับดูดุดันสมชายชาตรี
ผิวคล้ำแดดมันเลี่ยมไปด้วยน้ำมันมวยที่อีกฝ่ายทาลงบนผิว ยามกายหนาต้องกับแสงแดดจึงเห็นมัดกล้ามตามหน้าท้องและแขนแกร่งได้ชัดเจน 
ทาสหนุ่มผู้ที่เป็นคู่ซ้อมเกือบโดนดาบฟาดลงบนหัวแต่ดีที่มันไวจึงหลบได้ทัน สถานการณ์ดูก็รู้ว่ามันเป็นรองอยู่มาก จันเคยเห็นไตรทศถือดาบไปไหนมาไหนด้วยก็จริงแต่ยังมิเคยเห็นฝีไม้ลายมือมาก่อน พอได้มาเห็นเองกับตาก็ถึงกับพูดมิออกทำได้แค่เพียงนิ่งอึ้งและจ้องมองอย่างมิวางตา
“เป็นอย่างไรนายข้าเก่งล่ะสิ” ไอ้มิ่งยืนกอดอกพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ
“เก่งจริง” และจันก็มิคิดเถียง
“แผลตามหลังยามโดนเม็ดเหงื่อคงจะแสบน่าดู” ไอ้มิ่งซี๊ดปากแสดงท่าทีเจ็บแทนนายของมัน เมื่อได้ยินจันถึงกับไปมิเป็น
“แล้ว...นายเอ็งบอกรึไม่ว่าได้แผลมาได้อย่างไร”
“บอก”
ใจคนฟังแอบกลัวว่าไตรทศจะบอกมันว่าผู้ที่สร้างแผลยาวนั้นคือตน และหากไอ้มิ่งรู้คนทั้งพระนครก็คงจะรู้ไปด้วยเพราะมันปากมากอย่างที่มิมีผู้ใดเทียบได้
“บอกว่าอย่างไรวะ?”
“ท่านบอกว่าโดนแมวข่วน”
“แมว!? ”
“เออสิวะ ข้ายังนึกสงสัยว่าแมวที่ไหนจะมาข่วนท่าน ทั้งยังเป็นรอยทั้งด้านหน้าทั้งด้านหลัง”
“ฮะๆ นั่นสิ…” จันได้แต่ยิ้มแห้ง
“เห็นท่านว่ามันน่ารักมากเลยอดใจเข้าไปหยอกล้อมิได้ พอหยอกไปหยอกมาแมวมันก็ร้องเอาๆแล้วก็โดนข่วนจนได้แผลมานั่นแล”
“...ง-งั้นดอกรึ”
“แล้วนี่เอ็งเป็นอะไร มิสบายรึ หน้านี่แดงเป็นลูกตำลึง” เมื่อโดนทักจันจึงหันหน้าหลบทันที หน้าแดงงั้นรึ!?
“เฮ!”
เสียงเชียร์ดังขึ้นจันจึงหลุดจากห้วงภวังค์ของความเขินอาย มองไปยังลานก็เห็นว่านายทาสคนนั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้นโดยมีปลายดาบของไตรทศชี้ไปที่ใบหน้า
ไตรทศยื่นมือให้นายทาสจับและดึงขึ้นยืนทำเอาจันแปลกใจมิน้อยเพราะปกติพวกเจ้าขุนมูลนายจะมิอยากแตะต้องตัวทาสและรังเกียจเหมือนหมูเหมือนหมา
“ทำดีมากไอ้ยอด”
“ขอรับคุณท่าน” มันยิ้มให้ผู้เป็นนายอย่างนึกดีใจเพราะครั้งนี้เป็นคราแรกที่มันได้รับคำชม
จันมองไปยังร่างชื้นเหงื่อ ไตรทศเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นเพื่อตัดรำคาญ เหงื่อตามขมับไหลย้อยลงมาตามคอและลงไปที่แผ่นอกเปลือยเปล่า
พวกทาสพากันสักตามหลังตามตัวแต่มิมีผู้ใดทำให้จันรู้สึกว่าดุดันได้เท่ากับชายที่มันแอบมอง ชายที่ตามตัวมิมีรอยสักแต่กลับดูดุดันราวสัตว์ป่า เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมองมาไตรทศจึงหันไปมองพลันสายตาสอดประสานกับคนที่ยืนดูอยู่นาน
“จัน..”
“นี่ผ้าขอรับคุณท่าน” ยังมิทันจะได้พูดคุยไอ้มิ่งก็เดินมาตัดหน้าแล้วส่งผ้าเช็ดเหงื่อให้เสียก่อน
“พวกเอ็งไปพักได้” หันไปบอกพวกทาสหนุ่มที่ยืนมองอยู่
“ขอรับ” พวกมันรับคำก่อนจะพากันแยกย้ายไปพักดื่มน้ำดื่มท่า
“ไปๆรีบไป” ไอ้มิ่งส่งเสียงไล่พวกที่ยังคงยืนมองด้วยความสงสัย
“เอ็งด้วยไอ้มิ่ง”
“อ-อ้าว” มันยิ้มแห้งๆ “ขอรับ” ก่อนจะปลีกตัวออกไป
“ส่วนออเจ้ามานั่งกับพี่” ไตรทศเรียกให้อีกคนมานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใกล้ๆ ลานฝึกดาบ ไตรทศนั่งลงก่อนตามด้วยจัน
“พี่ไตรมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือ เหตุใดจึงให้ไอ้มิ่งไปตามข้ามา”
“เรื่องไอ้เข้ม”
กึก
“พวกทาสในเรือนพากันตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็มิเจอแม้เงา ราวกับว่ามันรู้ทุกการเคลื่อนไหว”
“พอเถอะพี่ไตรข้ามิอยากผูกใจเจ็บกับมันอีกแล้ว” จันพูดด้วยสายตาละห้อย เพราะความรู้สึกแย่ๆ มันกลับโถมเข้าใส่เมื่อได้ยินชื่อไอ้เข้ม
“แต่พี่อยาก” จันนิ่งอึ้งมองไปที่อีกฝ่าย “มันทำร้ายออเจ้าก็เท่ากับทำร้ายพี่”
“...แต่”
“อย่าห้ามพี่เลยจัน”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าครานี้ตนคงทำอะไรมิได้ แต่ใจหนึ่งก็อยากห้ามให้ถึงที่สุดเพราะไตรทศมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อยแต่กลับเอาตัวเองมาพัวพันเข้าเสียได้
ไอ้เข้มมันเป็นพวกมิยอมใคร ใครทำมันเจ็บมันย่อมเอาคืนและทำให้เจ็บกว่า และจันเองก็กลัวว่าวันหนึ่งมันจะมาทำร้ายไตรทศที่เข้ามาปกป้องตน
“ระวังตัวด้วย” หากห้ามมิได้คงบอกได้เพียงเท่านี้
“ห่วงพี่รึ? ” ไตรทศยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจ
“ม-มิใช่เช่นนั้น พี่นี่ช่างหลงตัวเองมิมีเปลี่ยน”
“ออเจ้าเองก็ปากแข็งมิได้เปลี่ยนไปเลยหนา” พูดพร้อมกับใช้มือลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับอย่างถนอม
“เอ่อ...เมื่อครู่พี่ไตรฟันดาบเก่งดี” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะมิอยากเขินอายไปมากกว่านี้
“พี่ฝึกมาตั้งแต่เด็กกระมังเลยพอมีวิชาดาบติดตัว”
“ข้ามิเคยเห็นพี่ในมุมนี้มาก่อน ปกติเห็นแต่ทำตัวนิ่งๆ พูดก็พูดน้อยจนข้าคิดเสียแล้วว่าเป็นใบ้” ปากเล็กพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยจนเผลอลืมตัวพูดหยอกแรงเกินไป “อ่ะ...ขอโทษจ้ะ”
เมื่อนึกได้ว่าตัวพูดมากเกินจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“หึ มิเป็นอันใดดอกพี่ชอบเสียอีกยามออเจ้าพูดไปยิ้มไป” มือหนายังคงวางแหมะอยู่บนกลุ่มผมและมิถูกเอาออกไปไหน
“ที่พี่พูดน้อยและวางมาดขรึมคงเป็นเพราะพี่คือเจ้าของเรือนเล็กจึงจำต้องแสดงท่าทีให้สงบนิ่งเข้าไว้ แต่ยามที่พี่อยู่เรือนใหญ่พี่คือลูกคนเล็กและเป็นแค่ผู้อยู่อาศัยมิใช่เจ้าของเรือน”
“งั้นก็หมายความว่าที่ข้าเห็นอยู่นี่คือตัวตนที่แท้จริงของพี่งั้นรึ?”คิ้วของจันแทบจะขมวดเป็นปมเมื่อคิดตาม
“คงจะอย่างนั้นกระมัง”
“ข้าเห็นพี่ตวาดใส่พวกทาส ดูดุน่าดู”
“แต่พี่จะมิมีวันตวาดใส่ออเจ้าดอกหนา” จันนิ่วหน้าเมื่อมือหนาขยี้ลงบนกลุ่มผมจนยุ่งเหยิง
“ผมข้ายุ่งหมดแล้ว เดี๋ยวข้าก็หมดหล่อพอดี”
“ดีเสียอีกจะได้มิมีพวกนางทาสผู้ใดมาตกหลุมรักเจ้าหนุ่มพราวเสน่ห์เช่นออเจ้า”
“เหอะ ทำได้ที่ไหนกัน ความหล่อมันติดหน้าข้ามาตั้งแต่เกิด” จันยืดอกพูดอย่างภูมิใจ
“สำหรับออเจ้าแค่มีพี่ตกหลุมรักเพียงผู้เดียวก็คงเกินพอแล้วกระมัง”
“เพราะพี่ตัวใหญ่ล่ะสิไม่ว่าหลุมมันจึงเต็ม”
“อยากอื่นของพี่ก็ใหญ่ ออเจ้าก็น่าจะรู้”
“พี่ไตร!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:23:33 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณพี่ไม่ธรรมดาเลยค่าาา  :hao7: :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
แซ่บมาก!

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
หืมมม ใหญ่เท่าแขนไอ้ทิดสินะ  กรี๊ดดดด!!
พี่ไตรคนลามก~  :katai5:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รอจ้า ^^

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๑

“นั่นออเจ้าจะไปที่ใดรึ?” ขุนเดชเอ่ยถามแม่หญิงคนงามที่ก้มหัวให้ตนแล้วเดินผ่านไป
“ไปหาคุณพี่ไตรเจ้าค่ะ น้องได้ยินมาว่าคุยพี่อยู่ที่ลานซ้อมดาบจึงอยากไปดูเสียหน่อย”
“พี่เกรงว่าไตรทศจะกำลังคุยธุระกับแขกอยู่กระมัง”
“แขกรึเจ้าคะ?”
“ใช่ เห็นว่าชื่อจัน” แม่พิกุลหน้าหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดจนขุนเดชสังเกตได้ 
“ถ้าเช่นนั้นน้องมิไปรบกวนคงจะเป็นการดีเสียกว่า”
พูดอย่างตัดพ้อน้อยใจ พิกุลรู้ดีว่าไตรทศแอบมีใจให้จันตั้งแต่ครั้งที่เจอกันคราแรกที่วัดเพราะตนนั้นเห็นสิ่งที่สายตาของคนพี่สะท้อนออกมาว่าสนอกสนใจในตัวจันมากเพียงใด เหตุใดนางจะมิรู้ในเมื่อตัวนางเฝ้ามองคนพี่มาตั้งแต่จำความได้
“ออเจ้าสนใจมานั่งที่ท่าเรือเป็นเพื่อนพี่รึไม่ บรรยากาศกำลังดี” แม่หญิงหันไปมองตาทาสสาวผู้เป็นพี่เลี้ยงข้างกายและนางทาสก็ดูมิได้ขัดข้องอันใด
“เจ้าค่ะ”
บรรยากาศที่ท่าน้ำช่างร่มรื่นมีลมพัดโกรกตลอดเวลา มีต้นไม้น้อยใหญ่รายล้อมบ้างก็เป็นไม้ดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ฝั่งตรงข้ามมีบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ไม่ไกล มีผู้คนพายเรือสัญจรไปมามิขาดสายเพราะแม่น้ำสายนี้เป็นสายการค้าที่สามารถพายเรือไปยังตลาดใหญ่ได้จึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้คนมากหน้าหลายตาพายเรือผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอด
ขุนเดชลอบมองแม่หญิงที่กำลังนั่งทำหน้าเศร้าตั้งแต่เมื่อครู่ ตัวเขาที่คุ้นชินกับการที่คนน้องยิ้มให้เริ่มทำตัวมิถูกเพราะตนก็มิรู้ว่าจะต้องปลอบใจคนที่กำลังชอกช้ำจากชายที่แอบรักอย่างไร
“ขนมจ้า ขนมถั่วกวน ทองหยิบ ทองหยอด มีมากมายหลายอย่าง เชิญเลือกได้เลยจ้า” เสียงแม่ค้าที่พายเรือผ่านเรียกลูกค้าเสียงดังไปทั่วคุ้งน้ำ 
“ช่วยหยุดสักประเดี๋ยว” ท่านขุนเอ่ยบอกแม่ค้าจึงจอดเรือเทียบท่า
“จะเอาขนมอะไรรึพ่อรูปหล่อ”
“เอ่อ..” ตัวเขาถึงกับไปมิเป็น ขุนเดชมิใช่คนที่เข้าสังคมเก่งนักจึงทำตัวมิถูกเมื่อถูกชม “ข้าเอาทุกอย่าง อย่างละสามชิ้น”
แม่ค้าหันไปตักขนมใส่ห่อใบตองให้อย่างบรรจง ค่อยๆวางค่อยๆเรียงจนสวยงาม
“นี่จ้ะ” ขุนเดชยื่นมือไปรับก่อนจะส่งถุงอัฐไปให้
“หูย เยอะเกินแล้วพ่อหนุ่ม ขนมข้าแค่ไม่กี่เฟื้อง”
“ข้าให้หมด รับไว้เถิด” แม่ค้ารับแล้วยกมือไว้ท่วมหัว เพราะนับดูอัฐจากในถุงแล้วนางมิจำเป็นต้องขายขนมไปทั้งเดือนก็ยังสามารถมีกินมีเก็บได้ 
“คุณพี่ใจดีจังเจ้าค่ะ” พิกุลพูดขึ้นเมื่อแม่ค้าพายเรือออกไปแล้ว
“งั้นรึ? เหตุใดออเจ้าถึงว่าพี่ใจดี”
“ก็คุณพี่ให้อัฐแม่ค้าไปเสียเยอะ” 
“อัฐนั้นเป็นของนอกกาย หามาเพิ่มเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่น้ำใจที่จะมีให้กันสิหายาก แม่ค้าเมื่อครู่พี่เห็นนางทุกวันยามที่พี่มานั่งอ่านตำราที่ท่าน้ำ นางพายเรือตั้งแต่เช้าไปขายที่ตลาดกว่าพี่จะเห็นกลับก็ค่ำมืด บางคราพี่ก็เห็นว่ามีลูกตามติดไปด้วย พี่เข้าใจดีว่าคนเป็นแม่มันเหนื่อยเพียงใด”
ขุนเดชพูดไปยิ้มไปด้วยใจเปี่ยมสุข พลันนึกถึงผู้เป็นมารดาของตนที่ล่วงลับไปแล้ว พระยาเกษมนั้นมีภริยาอยู่สองคนด้วยกันคือแม่นุ่มและแม่นิ่มทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
เมื่อแม่นุ่มตั้งครรภ์ก็เกิดป่วยออดๆแอดๆพอคลอดขุนเดชออกมาได้แค่ไม่กี่ปีก็จากไปทิ้งให้ขุนเดชกำพร้าแม่แต่เด็กแต่ดีที่ยังมีแม่นิ่มคอยดูแลอยู่ตลอด
สามปีต่อมาแม่นิ่มก็ตั้งครรภ์ไตรทศ ขุนเดชกลายเป็นพี่ชายเต็มตัว จะงอแงก็มิได้เพราะทั้งพ่อและแม่ต้องคอยดูแลน้อง ขุนเดชจึงเริ่มหัดดูแลตัวเองจะได้มิเป็นภาระของผู้ใด
ชีวิตวัยเด็กมีความสุขดี น้องชายก็เชื่อฟังและตามติดเขาแจ เรียกได้ว่าทุกคนล้วนรักใคร่กลมเกลียวกันจนขุนเดชมิเคยรู้สึกขาดความรัก
“ออเจ้าลองกินขนมนี่เสียหน่อยจะได้อารมณ์ดี”
“น้องดูอารมณ์มิดีมากเลยหรือเจ้าคะ?” แม่หญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย หรือเพราะตนแสดงออกทางสีหน้ามากไป
“ก็พอตัว” ขุนเดชยิ้มขำก่อนจะส่งขนมให้แม่หญิง พิกุลรับไว้พร้อมกับหยิบเข้าปาก
“อร่อยเจ้าค่ะ” ทั้งสองนั่งยิ้มให้กัน ขุนเดชคิดถูกแล้วที่ซื้อขนมให้แม่หญิงกิน เพราะแม่หญิงกับของหวานมักเป็นของคู่กันเสมอ

“นั่นออเจ้าจะรีบไปที่ใด?”
“กลับเรือนอย่างไรเล่า” จันเดินหนีทันทีที่สบโอกาส ก็ผู้ใดใช้ให้ไตรทศพูดจาลามกเช่นนั้นกันเล่า 
“เรือนที่ว่าหมายถึงเรือนพี่หรือหมายถึงเรือนของออเจ้า?”
จันหยุดชะงักเมื่อพึ่งนึกขึ้นได้ เรือนที่ว่านั้นจันหมายถึงเรือนของไตรทศ สิ่งที่ทำให้ชะงักคือความคิดที่ว่าเรือนคนพี่ก็คือเรือนของตน…
จันหันกลับไปเผชิญหน้ากับไตรทศอีกครั้ง คนพี่เดินเข้ามาใกล้ในสภาพเปลือยท่อนบนและมีผ้าขาวม้าพาดบ่า
“ว่าอย่างไร?”
“ร-เรือนข้า”
“ออเจ้ามิอยากไปร่วมงานที่บ้านท่านพระยาจำรูญกับพี่หรือ”
“มิมีเหตุอันใดที่ข้าต้องไปมิใช่รึ ข้ามิใช่ทาสเสียหน่อย”
“ไปในฐานะคนของพี่ก็ได้” คนของพี่...งั้นรึ
“แต่…”
“มิอยากไปเรือนแม่พิกุลรึ” จันช่างใจเพียงชั่วครู่ ไอ้อยากน่ะอยากอยู่แล้วแต่ตนมิรู้ไปแล้วจะทำการอันใดต่อ
“ข้าอยากไปแต่ว่าข้าไปก็เท่านั้นมิเกิดประโยชน์ต่อผู้ใด”
“อย่าพูดเช่นนั้น แค่ห่างออเจ้าเพียงชั่วครู่พี่ก็คิดถึงออเจ้าจะแย่แล้ว เพราะฉะนั้นไปกับพี่เถิด”
ชายหนุ่มถึงกับไปไม่เป็นเมื่อโดนพูดเกี้ยวพาอีกครา ไตรทศลอบยิ้มกับสีหน้าตกใจของจัน จันชั่งใจอยู่นานจนไตรทศต้องหาอย่างอื่นมาอ้าง
“หากออเจ้ามิไปไอ้มิ่งคงเหงาแย่”
“ไป ข้าไปก็ได้…” เพราะกลัวไอ้มิ่งเหงาดอกหนาถึงไป มิได้กลัวผู้ใดคิดถึงตนสักนิด…
เรือนของพระยาจำรูญใหญ่โตโอ่อ่ากว่าที่คิด ข้าทาสบริวารมากมายออกมายืนตอนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาถึงเรือน บ้างก็เอาน้ำมาล้างเท้าให้ บ้างก็คอยยื่นแขนให้พวกเจ้าขุนมูลนายที่อายุมากจับไว้เพื่อพยุงยามเดินเหิน 
“โห เรือนท่านพระยาจำรูญกว้างขวางมากเลยนะขอรับ” ไอ้มิ่งหันไปพูดคุยกับนายของตน ไตรทศฟังแต่มิตอบ “เอ้า ไอ้จันเอ็งอย่าเงียบสิวะคุยกับข้าหน่อย”
ไอ้มิ่งที่ปากมิเคยหยุดพูดยังคงคุยจ้อไม่หยุด มันพูดมาตั้งแต่ท่าน้ำที่เรือนใหญ่จนมาถึงท่าน้ำของเรือนพระยาจำรูญ มิมีผู้ใดรู้ว่ามันไปสรรหาคำพูดมาจากที่ใด
“ประเดี๋ยวข้าจะอยู่ข้างล่างเรือนเป็นเพื่อนไอ้มิ่ง” จันเอ่ยเมื่อเดินลงจากเรือ
“ดีเลย ข้าจะพาเอ็งไปส่องสาว ข้าเคยมาหนหนึ่งพวกทาสในเรือนมีแต่ผู้งามๆทั้งนั้น”
พูดพร้อมกับกอดคอ ผู้เป็นนายกระแอมไอเมื่อได้ยินจุดประสงค์ของไอ้มิ่งแต่มันกลับมิสนเพราะคิดว่านายตนแค่ไอตามปกติ 
“ก็ดี ข้าอยากเกี้ยวพาแม่หญิงมาทำให้กระชุ่มกระชวยใจเสียหน่อย”
เมื่อเห็นสีหน้าคนพี่จันจึงอยากแกล้ง และการแกล้งก็ดูเหมือนจะได้ผลดีเพราะไตรทศกำลังทำหน้าตาน่ากลัวส่งมาให้ แต่ผู้ใดจะสนเล่ามาเปิดหูเปิดตาเช่นนี้เสียบ้างก็ดี
“ทำการอันใดก็ไว้หน้าข้าบ้างล่ะ”
คนขรึมเอ่ยดุไอ้มิ่งและจัน สายตาแข็งกร้าวถูกส่งมาให้ชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นทองมิรู้ร้อน กลับไปจะลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ
“ขอรับคุณท่าน” ไอ้มิ่งค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย
ไตรทศเดินขึ้นเรือนไปเพื่อคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่บนเรือน พระยาเกษมผู้เป็นบิดาติดว่าราชการตั้งแต่เช้ามืดจึงมาร่วมงานมิได้ ข้อนั้นพระยาจำรูญเข้าใจเพื่อนรักของตนดีจึงมิได้มีปัญหาติดขัดอันใด 
“ว่าไงจ้ะสาวๆ” ไอ้มิ่งเดินเข้าไปทักทาสพวกนางทาสอย่างสนิทสนม
“ไอ้มิ่ง เอ็งมาอีกแล้วรึ อยู่ให้ห่างๆพวกข้าเลย” พวกนางทาสทำท่าไล่จนจันนึกขำ ที่มันคุยโวว่ามีแต่คนมาชอบมันนั้นมิเป็นจริงเพียงสักนิด มีแต่ไล่ตะเพิดล่ะสิไม่ว่า 
“แล้วนั่นผู้ใดกัน?” 
“นี่ไอ้จัน เพื่อนข้า”
“คนนี้สิถึงจะถูกใจข้า กินน้ำหน่อยไหมจ้ะพ่อหนุ่ม” นางทาสเดินถือขันเงินใส่น้ำมาให้อย่างเป็นมิตร จันจึงรับไว้และยกขึ้นดื่มเพราะรู้สึกกระหายน้ำอยู่แล้ว
“ขอบใจจ้ะ”
จันยิ้มให้ พวกสาวน้อยสาวใหญ่พากันใจอ่อนยวบ มิเคยพบเจอหนุ่มทางใดหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังนิสัยดีเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วอายุยังน้อยน่าจะแรงดี พวกนางทาสพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ให้มันน้อยๆหน่อยนะเอ็ง” ไอ้มิ่งเดินเข้ามากระทบไหล่แต่จันหาได้สนใจไม่
“ออเจ้าเป็นทาสใหม่ในเรือนท่านพระยาเกษมรึ?
“เปล่าจ้ะ ข้าแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวและข้าก็มิใช่ทาส”
“ดีจริง”
“นางอ่อน! แขกเหรื่อมากันเยอะเช่นนี้เอ็งมัวทำการอันใดอยู่รีบๆ หาน้ำหาท่ามาบริการแขกสิวะ!”
เสียงผู้มีอำนาจใหญ่ภายในบ้านแหวดังเมื่อเห็นว่าพวกทาสเริ่มขี้เกียจสันหลังยาว
“เจ้าค่ะคุณหญิง” จันหันไปมองหญิงสูงศักดิ์ที่หัวกระได นางห่มสไบและผ้าแพรสีชมพูอ่อนที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง ทำผมทรงผมปีกถือพัดด้วยความร้อนใจ 
“ผู้ใดรึ” ชายหนุ่มกระซิบถามไอ้มิ่ง
“ท่านคือภริยาคนที่สองของพระยาจำรูญ”
จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ชายหนุ่มมองไปที่อีกฝ่ายแต่กลับโดนมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามเหมือนว่าตนเป็นเม็ดดินเม็ดทรายกลับมา
“หึ พวกขี้ข้า” คำพูดเหยียดหยามที่ผู้ใดฟังคงมิลื่นหูนัก กริยาท่าทางช่างต่างจากคุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลราวกับฟ้าและเหวลึก
“โอ๊ย!”
ด้วยความรีบนางทาสผู้หนึ่งจึงสะดุดล้มจนน้ำในขันกระฉอกไปโดนจันที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก เสื้อไหมที่ใส่อยู่เปียกไปมากกว่าครึ่ง 
“ข้าขอโทษจ้ะ”
“อีนี่หนิ! ซุ่มซ่ามมิดูเวล่ำเวลา เร็วๆสิวะ! หรือต้องให้กูโบยก่อนถึงจะเข็ดหลาบ!”
จันพึ่งเข้าใจคำว่าคนไร้มารยาทก็ครานี้ ถึงจะเป็นเจ้านายแต่ก็ควรมีเมตตาแก่พวกข้าทาสเสียบ้างมิใช่มีแต่โบย
“มิเป็นอันใดจ้ะ ค่อยๆลุกนะ”
ชายหนุ่มประคองทาสสาวขึ้นก่อนจะดึงเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อบิดน้ำออกจากเสื้อ คุณหญิงโบกพัดในมืออย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว
ทันใดนั้นสายตาคมดังเหยี่ยวจึงจับจ้องไปที่รอยปานสีแดงรูปดอกไม้ที่เอวของชายหนุ่มพลันใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีแดงชาดก็ซีดเผือด พัดในมือสั่นด้วยความตระหนก 
“อ-เอ็ง!” จันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง “เอ็งเป็นแม่เรือนรึ!”
เสียงซุบซิบดังขึ้นในหมู่ทาสเมื่อคุณหญิงพูดจบ ทุกสายตาจับจ้องมาที่จันที่กำลังยืนบิดเสื้อ
“เอาตัวมันออกไปจากเรือนข้า!”
เสียงกรีดร้องของคุณหญิงบอกพวกทาสหนุ่มจับตัวจันออกไป เสียงนั้นดังจนดึงความสนใจของไตรทศที่กำลังพูดคุยกับพระยาจำรูญบนเรือนใหญ่
“มีเหตุอันใดกัน?”
“เดี๋ยวกระผมไปดูเองขอรับ”
ไตรทศขอปลีกตัวออกมาก่อนจะเดินไปที่โรงครัวของพวกทาส เห็นทาสมากมายพากันรุมล้อมใครบางคน มีนายทาสกายกำยำกำลังง้างมือฟาดหวายลงบนหลังใครบางคนที่กำลังหมอบลงกับพื้น เสียงฟาดดังไปทั่วบริเวณแต่มิมีเสียงร้องจากผู้ที่ถูกฟาด แม้เพียงสักนิดก็มิมี
“เกิดอะไรขึ้น?” ไตรทศเอ่ยถามไอ้มิ่งที่ยืนตัวสั่น
“อ-ไอ้จัน” เสียงมันสั่นเครือ ไตรทศรับรู้ได้ทันทีเพียงแค่ได้ยินชื่ออีกฝ่ายจากปากของทาสคนสนิท
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงพูดดังก่อนที่ร่างของไตรทศจะแหวกวงล้อมของพวกทาสออก แววตาคมวูบไหวเมื่อเห็นว่าผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือผู้ใด ใจคนพี่แทบแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อเห็นว่าตามแผ่นหลังของจันมีแต่รอยหวาย ตามรอยมีเลือดซึมออกมาจนดูน่ากลัว ไตรทศกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เดินเข้าไปนั่งลงและประคองจันให้ลุกนั่ง 
“จัน..” ประคองใบหน้าขึ้นด้วยมือหนา เห็นน้ำตาที่เล็ดลอดออกมาเพียงนิดก่อนจะเหือดหายไป 
“มันเป็นคนของออเจ้ารึพ่อไตร?” เสียงบนหัวกระไดเรียกความสนใจของไตรทศ
“คุณหญิงป้า...เหตุใดถึงต้องโบยคนของหลานขอรับ”
“มันเป็นแม่เรือน! เป็นตัวกาลกิณี พวกโสโครก!” ท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ของคุณหญิงทำเอาเขามิมีคำจะเอื้อนเอ่ย 
“บิดาของออเจ้าสร้างเรือนไว้ให้เพื่อให้ออเจ้าหลีกหนีจากพวกน่ารังเกียจนี่มิใช่รึ! เหตุใดออเจ้าจึงซุกซ่อนมันไว้ใกล้ตัว!”
คำพูดของคุณหญิงทำให้จันกระจ่างแจ้งแก่ใจทันที เหตุที่ไตรทศต้องมาอยู่เรือนเล็กมิใช่เพราะว่าชอบความสันโดษแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการหลีกหนีจากแม่เรือนเช่นตน
“กระผม…” มิมีคำปฏิเสธใดออกจากปากของไตรทศ
“ออเจ้าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุลลืมไปแล้วรึ? ออเจ้าจะมาทิ้งนางไปหาแม่เรือนได้อย่างไร” 
กึก
ดวงตาของชายหนุ่มวาบไหว หมั้นหมายรึ? เหตุใดตนถึงมิเคยรู้มาก่อน จันเงยหน้าขึ้นมองไตรทศด้วยสายตาที่อ่อนแรงเต็มที ไตรทศมิได้พูดคำใดออกมา มิมีคำปฏิเสธ มิมีท่าทีใดเลย
...นี่หมายความว่าที่ผ่านมา...ตนเองคือของตายเช่นนั้นหรือ
จันประคองร่างตนเองขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ไตรทศยื่นมือจะเข้าประคองแต่กลับโดนสะบัดออกอย่างมิใยดี ใจคนพี่แทบแตกสลายยามโดนปฏิเสธ
ตัวเขาอยากอธิบายทุกอย่างให้จันฟังแต่จะให้พูดหักหน้าคุณหญิงป้าที่เรือนนี้ก็คงจะมิได้ อยากอธิบายแทบขาดใจว่าตนมิได้ยินยอมการหมั้นหมายและตัวเขาเองก็พึ่งรู้เมื่อครู่ว่าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุล
“...จัน”
“ข้าขอตัว” ชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซออกจากวงล้อม พวกทาสพากันสงสารจับใจแต่ก็มิมีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย
“หึ สมควรโดนแล้ว เป็นแค่แม่เรือนคิดตีตนเสมอพวกทาส คนอย่างพวกมันนับเป็นคนก็ดีเท่าใดแล้ว” 
ทุกคำพูดจันล้วนได้ยิน ทุกเสียงนินทาจากพวกเจ้าขุนมูลนายที่มามุงดูก็ได้ยิน ใจของชายหนุ่มเปราะบางราวกับใบไม้แห้ง แค่โดนลมพัดเพียงนิดก็พร้อมล่วงหล่นลงจากต้นสู่พื้นดินและถูกย่อยสลายหายไป
“มิ่ง...ไปส่งจัน”
ไตรทศกระซิบบอกนายทาสคนสนิท ใจอยากจะตามไปเสียเองแต่ครานี้คงมิเหมาะสมเท่าใดนัก ตนมาในฐานะตัวแทนของผู้เป็นบิดา หากทำการอันใดฉุกละหุกคงมิวายที่บิดาตนจักโดนว่าร้ายนินทา
“คุณหญิงป้ามีเหตุอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?” แม่พิกุลที่พึ่งเดินทางมาถึงเรือนเอ่ยถาม
“ก็พ่อไตรน่ะสิ เลี้ยงพวกแม่เรือนไว้ในเรือนตน ช่างเสียชื่อนัก”
“แม่เรือน...แย่มากเลยหรือเจ้าคะ” พิกุลถามด้วยความไร้เดียงสา เพราะทั้งชีวิตนางยังมิเคยเจอแม่เรือนมาก่อน ด้วยความที่แม่เรือนนั้นมีจำนวนน้อยมา
“แย่เสียยิ่งกว่าแย่ เดิมทีป้าเกลียดพวกมันอยู่แล้ว ใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนชายให้หลงไหลแล้วคิดตีตนขึ้นเป็นใหญ่ แล้วไอ้คนเมื่อกี้มันยังเป็นลูกของนัง-”
คุณหญิงเกือบหลุดปากบอกความลับของจันแต่ฉุกคิดและชะงักไว้ทัน
“ช่างมันเถอะ ออเจ้าเข้าไปหาเจ้าคุณพ่อกับป้า” 
“เจ้าค่ะ” พิกุลมองลงไปด้านล่างจึงเห็นไตรทศที่ยืนอยู่ แปลกที่สายตาคนพี่นั้นโศกเศร้าราวกับว่าภายใจ...กำลังร่ำไห้ 
“เดินดีๆนะไอ้จัน”
ไอ้มิ่งประคองร่างเพื่อนของตนอย่างทุลักทุเล ในใจนึกสงสารเพราะตามแผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยหวายและรอยเลือดที่เริ่มแห้งกรังติดตามบาดแผล
“เอ็งกลับไปเลยก็ได้” เสียงกระท่อนกระแท่นถูกส่งออกมาจากร่างบอบช้ำ
“เอ็งจะบ้ารึ ข้ามิใจร้ายพอที่จะทิ้งเอ็งไปดอก” 
“แต่ข้าเป็นแม่เรือน”
“ข้ารู้”
“รู้... ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ที่เอ็งโดนพวกไอ้เข้มรุมทำร้ายคราก่อน ข้าเห็นอาการก็รู้ได้ทันทีว่าเอ็งเป็นแม่เรือน”
“แล้วเอ็งมิรังเกียจข้ารึ”
“แม่เรือนก็คน แม่ข้าเองก็เป็นแม่เรือน นางถูกผู้คนรังเกียจจนโดนทำร้าย...จนตาย” เสียงไอ้มิ่งผู้ที่เคยสดใสดูหมองเศร้าลง
“แต่ดีที่ท่านไตรทศไปเจอข้าเป็นขอทานที่ตลาดใหญ่ ท่านจึงรับข้ามาเลี้ยง”
ทั้งสองเดินจากท่าเรือมินานก็มาถึงวัด ไอ้มั่นที่กวาดลานวัดอยู่เมื่อเห็นว่าเพื่อนตนมีสภาพราวกับไปฟัดกับหมาบ้ามาจึงรีบทิ้งไม้กวาดและรีบวิ่งเข้ามาประคองจันช่วยไอ้มิ่งทันที 
“เกิดเหตุอันใดขึ้นวะไอ้มิ่ง!” น้ำเสียงร้อนใจเอ่ยถาม
“มันโดนโบย”
“ผู้ใดโบย”
“คุณหญิงจำปาเมียรองท่านพระยาจำรูญสั่งโบย”
“คิดว่าเป็นผู้ดีตีนแดงแล้วจะข่มเหงใครก็ได้หรือวะ!” ความโกรธปะทุเดือดจนจันต้องรีบห้าม
“ใจเย็นมั่น ข้ายังมิตาย แต่หากพวกเอ็งมัวแต่ยืนคุยกันเช่นนี้ก็มิแน่”
“ไปกระท่อมท้ายวัด ตาเอ็งน่าจะกลับมาแล้ว”
จันพยักหน้า ทั้งสองพากันพยุงร่างของจันเดินไปที่ป่าช้าท้ายวัด มินานก็ถึงกระท่อมที่ว่า ประตูบนกระท่อมถูกเปิดอยู่จันจึงรู้ว่าตาของตนมาถึงแล้ว 
“ตาคง! มาดูหลานตาสิเนี่ย ไปโดนพวกผู้ดีโบยมาเพราะเหตุใดก็มิรู้!” ไอ้มั่นตะโกนเรียก มินานร่างของชายชราจึงเดินออกมาจากห้องพระ
“รีบพามันขึ้นมา”
สายตาดุถูกส่งมาที่ชายหนุ่ม จันมิมีหน้าไปสบตาผู้เป็นตาเพราะสัญญากันไว้เสียดิบดีว่าจะมิก่อเรื่องแต่แล้วก็ดันรักษาสัญญามิได้
เมื่อมาส่งที่เรือนเสร็จไอ้มิ่งจึงขอตัวกลับเพราะมันต้องเอาเรือกลับไปที่เรือนพระยาจำรูญเพื่อรับผู้เป็นนายส่วนไอ้มั่นก็กลับไปแล้วเช่นกันเพราะมันต้องไปคอยรับใช้หลวงตาต่อ 
“อ-โอ๊ย!” ใบหญ้าสาบเสือบดถูกโปะลงบนแผลเพื่อห้ามเลือดและฆ่าเชื้อ ความแสบทำเอาจันต้องร้องระงม
“อย่ามาทำเป็นสำออยไปหน่อยเลยเอ็ง ไปทำอีท่าไหนเหตุใดถึงโดนโบย?”
“ข้ามิได้ก่อเรื่องนะตา ข้าแค่เลิกเสื้อเพื่อบิดน้ำที่เปียกออกแล้วคุณหญิงบ้านนั้นก็เลยเห็น…” ชายชราหยุดมือชะงักก่อนจะถอนหายใจยาวๆ
“รอยปานงั้นรึ”
“จ้ะ”
“เอ็งนี่มันวาสนาน้อยนักนะไอ้จัน แม่ก็ตายจากตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเกิดมาเป็นแม่เรือนอีก” จันประคองตัวลุกขึ้นนั่งและหันไปทางผู้เป็นตา
“เป็นแม่เรือนมันแย่มากหรือตา”
“แล้วเอ็งคิดว่ามันแย่หรือ”
“...ข้าคิดว่ามันแย่”
“เอ็งเป็นหลานข้า ข้ามิเคยดูแคลนเอ็งที่เกิดมาแบบนี้ เอ็งได้ใบหน้าของแม่เอ็งมานะรู้ไหม แม่เอ็งน่ะสวยมากข้าจะบอกให้ ตอนมันท้องเอ็งข้าเคยถามว่าหากเอ็งเกิดมาแล้วเป็นแม่เรือนมันจะเก็บเอ็งไว้หรือไม่ รู้ไหมว่ามันตอบข้าว่าอย่างไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“จะเป็นอย่างไรก็ลูกข้า เป็นแม่เรือนก็ลูกข้า พิการก็ลูกข้า ตาบอดก็ลูกข้า ไม่ว่าเอ็งจะเกิดว่าเอ็งจะเกิดมาเป็นเช่นไรเอ็งก็คือลูกของมันนะไอ้จันและแม่เอ็งเต็มใจที่จะตายขอแค่ได้อยู่เห็นหน้าเอ็งสักปีสองปีก็ยังดี” 
น้ำตาไหลหล่นลงมาอย่างมิรู้ตัว ดวงตาวูบไหวราวกับเปลวเทียนน้ำตาเอ่อคลอหากแต่หัวใจกลับเปี่ยมสุข
หญิงใดที่ให้กำเนิดลูกเป็นแม่เรือนมักจะอายุสั้น
เพราะตนเกิดมามารดาจึงต้องตายข้อนั้นจันรู้ดี ปมในใจมิเคยหายไปได้เลย จันจำหน้าผู้เป็นมารดามิได้เพราะพอมันอายุได้สามขวบครึ่งมารดาก็ตายจากไป จำได้แต่เสียงหวานที่ร้องเพลงกล่อมเพียงเท่านั้น 
“ขี้แยไปได้นะเอ็ง ดูสิไอ้ทิดมันร้องตามแล้ว”
ชายหนุ่มหันไปมองข้างตนเองจึงเห็นไอ้ทิดที่นั่งอยู่นานเท่าใดแล้วก็มิรู้ มันกำลังทำหน้าเหยเกราวกับว่าจะร้องไห้
“ฮึก พี่จัน...พี่จันอย่าร้อง ฮืออ” ห้ามเขาแต่มันกลับร้องหนักกว่าเสียเอง 
“เฮ้อ พี่น้องปัญญานิ่ม” ตาคงพูดก่อนจะลุกเดินเข้าห้องพระ “เลิกร้องไห้แล้วก็มากินข้าวกินปลาด้วย ข้าทำแกงที่เอ็งชอบไว้ให้”
จันยิ้มทั้งน้ำตาด้วยใจเปี่ยมสุข ถึงวันนี้จะเจอเรื่องมามากมายแต่พอได้กลับบ้านและได้กินอาหารฝีมือตาความทุกข์โศกจึงหายไปในชั่วพริบตา น้ำตาอุ่นๆเหือดหายไปกับลมหนาวของยามค่ำคืน 

เสียงเดินขึ้นบันไดเรือนเล็กทำให้พวกนางทาสที่กำลังนั่งตัวสั่นเงยหน้าขึ้นมอง ได้เวลาที่ไตรทศจะกลับถึงเรือนแล้วแต่พวกมันมิได้กลัวไตรทศแต่กลับกลัวผู้ที่ยืนทำหน้าถมึงทึงบนเรือนในยามนี้
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เสียงแข็งกร้าวของผู้เป็นบิดาดังขึ้นบนหัวบันไดเรือน
“...ขอรับ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:25:19 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
สงสารจันพีไตร ต้องผ่านอุปสรรคไห้ได้นะ :pig4:  :กอด1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แม่จันเป็นใคร
แล้วน้องผิดอะไรอ่ะ คนพี่ยังไม่จัดการตัวเองเลยด้วยซ้ำ
 :fire: :fire: :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สงสารจัน

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ๋ๆ รวบกอดจัน จะร้องไห้ ไอ้ทิดก็นำไปเสียแล้ว  :sad4:

คุณพี่ไตร เรื่องเมียยังไม่ได้เคลีย์ เรื่องพ่อก็เข้ามาแทรก  :z3:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๑๒

"มันจริงหรือไม่ที่ออเจ้าพาแม่เรือนมาไว้ที่เรือนเล็ก?" เสียงราบเรียบเอ่ยถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน แต่ภายในใจกับร้อนรุ่มดั่งถูกไฟสุม
"จริงขอรับ"
"พ่อขอถาม ออเจ้าคิดอะไรอยู่? ทำการอันใดเหตุใดจึงมิไว้หน้าพ่อและแม่" ไร้คำแก้ตัวและคำปฏิเสธ ไตรทศนั่งนิ่งมิตอบคำถามของผู้เป็นบิดา "มันเลยเถิดไปถึงไหนแล้วบอกพ่อมาซิ"
"คือ..." จะพูดก็กระดากอายแต่จะอมพะนำเอาไว้ก็มิมีประโยชน์ "ได้เสียกันแล้วขอรับ" 
ท่านพระยากุมขมับ ลมแทบจับเมื่อได้ฟังคำที่ลูกชายพูดออกมา ตนพยายามจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกชายแต่แล้วลูกผู้อยู่ในกฎและระเบียบของบ้านมาโดยตลอดกลับแอบทำลายกฎโดยที่ตนมิรู้
"แค่ครั้งเดียวพ่อจักถือว่าออเจ้าทำพลาด"
"สองครั้งขอรับ" กุมขมับหนักยิ่งกว่าเก่า หากไอ้หนุ่มคนนั้นเกิดท้องชาวบ้านคงพากันนินทามิหยุดหย่อน แค่นี้ก็โดนคนนินทามากพอแล้ว
"ออเจ้าอยากทำอะไรพ่อมิเคยขัด อยากกินหรืออยากได้อะไรพ่อก็หามาให้ อยากเป็นหมอยาพ่อก็ยอม เหตุใดเล่าไตรทศพ่อแค่ห้ามมิให้ยุ่งกับพวกแม่เรือนเหตุใดออเจ้าถึงทำให้พ่อกับแม่มิได้”
ท่านพระยาพูดไปกุมขมับไป
 “แค่ออเจ้ามิรับราชการพ่อก็โดนพวกคนในที่ทำงานถามวันมิเว้นวันว่าทำไมลูกชายสุดที่รักจึงแตกแยกมิรับราชการเช่นพ่อและพี่"
ไตรทศนั่งฟังบิดาพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตนรู้ว่าตนมิใช่ลูกชายที่ทำให้บิดาและมารดาภูมิใจมากนัก มิรับราชการแต่กลับมาเป็นหมอยาที่ด้อยศักดิ์ทั้งยังพาแม่มาไว้ที่เรือน แต่ตนหาได้สนคำพูดของคนอื่นไม่ที่ไตรทศสนใจคือความสุขของตนและคนที่ตนรัก ถึงจะโดนคนนินทาว่าเป็นลูกอกตัญญูก็ช่าง   
"กระผมรักจัน รักอย่างที่มิเคยรักผู้ใดมาก่อนและกระผมมิคิดที่จะเลิกรักจันขอรับ"
"ออเจ้ามันดื้อด้านสิ้นดี พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่ควรให้เหตุใดจึงมิชอบ! "
"เจ้าคุณพ่อบอกลูกมาสิขอรับว่าสิ่งได้คือสิ่งที่ดีที่ควร"
"สิ่งที่พ่อและแม่เลือกให้อย่างไรเล่า"
"นั่นเจ้าคุณพ่อคิดไปเอง กระผมมิได้ยินยอมและเห็นดีเห็นงามด้วย เช่นนี้แล้วจะเป็นสิ่งที่ดีที่ควรได้อย่างไร"
ไตรทศยังยืนยันคำเดิมและมิคิดจะเปลี่ยนความคิด ท่านพระยากำไม้ตะพดในมือแน่นมิเคยคิดว่าลูกชายที่เชื่อฟังตนมาตลอดจะแข็งข้อเพียงเพราะไพร่ที่เป็นแม่เรือน
"ไตรทศ ออเจ้าจงฟังพ่อให้ดี ออเจ้าเพียงถูกกลิ่นเสน่หายั่วยวนเท่านั้นสิ่งที่ออเจ้ารู้สึกมิใช่ความรัก" 
"กระผมรู้ว่ามันใช่ขอรับ แลมันก็เป็นรักแท้" ความดื้อด้านของลูกชายทำเอาท่านพระยาถึงกับถอนหายใจ
"ออเจ้าจะไปรู้อะไร รักแท้มันมิเคยมีจริง"
"มีสิขอรับ"
"มิเคยมีผู้ใดพบเจอ แล้วออเจ้าจะมาบอกว่ามันมีจริงได้อย่างไร! "
"กระผมมิเคยพบเจอรักแท้" สายตาคมวูบไหวยามจ้องมองไปที่เปลวของแสงเทียน
"...แต่กระผมเคยให้มันกับคนผู้หนึ่ง เพราะเป็นเช่นนั้นกระผมจึงรู้ว่ามันมีจริง"
"เพียงเพราะมันออเจ้าจึงกล้าดื้อด้านกับพ่อถึงเพียงนี้เชียวรึ"
ความกรุ่นโกรธปะทุแรงขึ้นมากกว่าเดิม ไม้ตะพดหัวสิงห์ถูกกระทุ้งลงบนพื้นเรือนเสียงดัง พวกทาสที่หมอบอยู่มิไกลพากันอกสั่นขวัญแขวน มิมีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองแม้สักเพียงผู้เดียว
"ลูกขออภัยท่านพ่อที่ลูกเป็นลูกที่มิดีพอ คิดจะลงโทษเช่นไรก็เอาเถิดขอรับ"
"หึ ดี! ให้มันได้แบบนี้สิวะ! ต่อแต่นี้พ่อจะกักบริเวณออเจ้าไว้ที่เรือนเล็ก วันที่ออเจ้าจะได้ออกไปคือวันหมั้นหมาย! "
เสียงพูดกัมปนาทดังสายฟ้าฟาด ไตรทศคิดว่าหากตนคุยกับบิดาให้รู้เรื่องบิดาตนคงจะยกเลิกเรื่องหมั้นหมาย แต่กลับกันพระยาเกษมกลับเลื่อนวันให้เร็วขึ้น
เสียงเดินของท่านพระยาเริ่มดังออกไปไกล  ทุกฝีเท้าที่ย่ำลงบนเรือนช่างรุนแรงราวกับว่าตามฝ่าเท้านั้นมีไฟที่พร้อมจะจุดทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุล...รวมถึงความรู้สึกของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นไตรทศด้วย
สองวันล่วงเลยไป ท่านหมอยาคนสุขุมยังคงมิได้ออกมาจากห้องทำงานนับตั้งแต่วันนั้น พวกทาสจะได้เห็นใบหน้าคมเข้มก็เพียงแค่ยามที่ยกสำรับเข้าไปให้หรือไม่ก็ยามที่เจ้านายของพวกมันเดินลงไปอาบน้ำอาบท่าเท่านั้น มิใช่เรื่องดีเท่าใดนักที่ชายชาตรีอายุ๓๐ปีจะโดนกักบริเวณเช่นนี้
 
"คุณท่านขอรับ..." ไอ้มิ่งนั่งหน้าซึมอยู่ข้างผู้เป็นนาย
"ว่าอย่างไร"
"กินขนมกับชาสักนิดนะขอรับ"
ขนมผิงและชาจีนที่ชอบถูกส่งมาให้ สายตาคมหันไปมองขนมในถาดพลันคิดถึงยามที่จันมาฝนหมึกให้ ยามที่ได้พูดคุยหรือยามที่โดนอีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่มันช่างสุขใจนัก สุขใจราวกับว่ามีเคยมีความทุกข์ มือหนาเอื้อมไปหยิบขนมผิงเข้าปาก ช่างแปลกที่รสชาติมิดีเท่ากับอันที่จันเคยซื้อมาง้อตนเสียได้
รอยยิ้มบางถูกจุดที่มุมปากของคนยิ้มยาก ไอ้มิ่งลอบมองนายของมันอยู่มิไกล
"ดอกจันทร์กระพ้อหรือขอรับ"
มันมองไปที่ภาพวาดจากน้ำหมึกสีดำทมิฬของผู้เป็นนาย สองวันมานี้ไตรทศเอาแต่หมกมุ่นและวาดรูปดอกไม้และแน่นอนว่าวาดอยู่เพียงชนิดเดียว
"มิมีงานการอันใดต้องไปทำรึ"
"คือกระผมจะไปวัด...คุณท่านอยากจะฝากอะไรไปให้ไอ้จันรึไม่ขอรับ?"
แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายไตรทศก็คิดถึงขึ้นมาทันที ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วกระมังที่มีจันคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกาย ...ความเคยชินมันช่างน่ากลัวเสียจริง
"มี"
มือหนาหยิบเอาปากกาขนนกขึ้นมาเขียนจดหมายให้ชายหนุ่ม เนื้อหาเป็นความลับเพราะไอ้มิ่งมิได้เรียนหนังสือจึงอ่านหนังสือหนังหามิออก แต่สำหรับจันที่ได้ร่ำเรียนหนังสือจากหลวงตานั้นอ่านออกได้มิยาก ใช้เวลาสักพักจึงเขียนเสร็จ 
"เอ็งรับไปแล้วส่งให้ถึงมือจัน ห้ามหล่น ห้ามขาด และห้ามให้ผู้ใดอ่านนอกจากจัน"
"ขอรับ" ไอ้มิ่งรับมาและตกปากรับคำกับผู้เป็นนายมัน

เสียงไอดังมาจากห้องพระ จันคลานเข่าเข้าไปดูอาการของผู้เป็นตาที่กำลังนั่งไอจนน่าเป็นห่วง หลายวันมานี้พอกลับจากเมืองละโว้ตาคงมีอาการไอติดต่อกัน อาการไอหนักขึ้นทุกวันจนจันนึกเป็นห่วง
"นี่น้ำอุ่นจ้ะตา" ชายหนุ่มส่งแก้วน้ำอุ่นให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้แล้วยกขึ้นจิบ "ตาไปหาหมอเสียหน่อยไหมจ้ะ?" 
"อย่าเลย ข้าก็ไอออดๆแอดๆตามประสาคนแก่นั่นแล"
"แต่ว่าตาไอหนักมากขึ้นทุกวันเลยนะจ้ะ"
"เอาน่า เอ็งอย่าคิดอะไรมากเลย ไปช่วยงานหลวงตาที่วัดได้แล้ว"
"จ้ะตา" หันหลังคลานเข่าออกมาก่อนจะหันกลับไปมองที่แผ่นหลังของชายชราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ 
"เหตุใดจึงทำหน้าเศร้านักวะไอ้จัน" มั่นเอ่ยถามเพื่อนรักในขณะที่กำลังพากันกวาดลานวัด
"ก็ตาข้าน่ะสิ ไอมาหลายวันแล้วแต่มิยอมไปหาหมอ"
"ก็ธรรมดาชองคนแก่กระมัง เอ็งอย่าคิดมากเลย"
"เออ ข้าจะพยายาม"
"ไอ้จันโว้ย! " เสียงเรียกดังที่หน้าวัดดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง ไอ้มิ่งยืนโบกมือและเดินเข้ามาใกล้ในมือมันถือห่อผ้าสีฟ้าอ่อนเอาไว้
"มาทำไมไอ้ทาส?"
"มาหาเพื่อนข้าสิวะ เอ็งถอยไปเลยไอ้มั่น" มิทันไรพวกมันก็เริ่มกัดกันอีกครา พักนี้ไอ้มิ่งมาที่วัดทุกวันบางวันก็อ้างว่ามาทำบุญแต่ต่อให้อมพระมาพูดก็คงมิมีผู้ใดเชื่อว่าคนอย่างมันจะเข้าวัด
"ขยันจริงนะเอ็ง"
"เอ้า ข้ามีขนมมาฝาก"
"พอดีเลยข้ากำลังหิว"
"มิใช่ของเอ็งไอ้มั่น นี่ของไอ้จันมัน"
ไอ้มิ่งยื่นห่อผ้ามาให้ จันจึงรับไว้ก่อนจะแกะห่อผ้าออกดูของภายใน ขนมช่อม่วงถูกจัดเรียงไว้ในกระทงใบตอง สายตาของชายหนุ่มวูบไหวพลันเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมา เหตุการณ์ตอนที่ตนนั่งกินข้าวกับไตรทศเป็นคราแรก 
"ข้ามิเอา" ชายหนุ่มส่งคืนเจ้าของ
"ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์เอามาให้"
"เอาให้ไอ้มั่นก็ได้ ข้ามิหิว" ใจอยากจะลืมเขาแทบแย่แต่แค่เห็นขนมกลับนึกถึงเสียได้ จะคิดถึงเขาทำไมในเมื่อที่ผ่านมา...ไตรทศมิเคยมาตามหรือมาดูแผลตนเลยสักนิด
"จัน...รับไว้" สายตาและน้ำเสียงที่จริงจังของไอ้มิ่งทำให้จันรู้แน่ว่ามีอะไรมิชอบมาพากล
"ก็ได้ ข้าจะรับไว้" ไอ้มิ่งจากสีหน้าเคร่งเครียดพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมของมัน
"เช่นนั้นข้าไปก่อนละ"
"อือ" จันพยักพเยิดหน้าให้มัน พร้อมกับมองแผ่นหลังที่เดินลับไป "นี่ขนม"
จันแบ่งขนมในห่อผ้าให้ไอ้มั่นเอาไปกินด้วย เมื่อยกห่อใบตองที่ห่อขนมไว้อีกชั้นออกจึงเห็นว่าใต้ใบตองมีกระดาศซ่อนไว้อย่างดี มันเป็นกระดาษสีน้ำตาอ่อนดูแล้วคล้ายกระดาษสาแบบหนาเป็นแบบเดียวกับที่ไตรทศชอบใช้วาดรูป
มือที่มีรอยจากการทำงานหนักค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษนั้นออกอย่างเบามือราวกับว่ากลัวมันจะขาด เนื้อความในกระดาษความว่า 
ถึงเจ้าจันของพี่
'ยามพระอาทิตย์ตกดินพระจันทร์ลอยเด่น พี่คิดถึงแต่เพียงออเจ้า
ยามพระอาทิตย์ขึ้นย้อมแสงสีทองในวันใหม่พระจันทร์เลือนหาย พี่คิดถึงเพียงออเจ้า'
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน พี่อยากเจออยากอธิบายใจจะขาดแต่ก็ทำมิได้
พี่อยากให้น้องได้รู้ไว้ว่าพี่มิรู้เรื่องการหมั้นหมายและพี่เองก็มิได้เต็มใจแต่อย่างใด
ทรมานเหลือเกินที่ต้องเห็นน้องเจ็บด้วยแผลจากไม้หวาย หากเอาตัวไปรับแทนได้พี่ก็จักทำ
พี่จะรักจนกว่ากลิ่นกายของน้องจะสิ้นกลิ่น...
หากความคิดถึงฆ่าคนได้พี่คงตายเป็นหมื่นๆครั้ง "
ความตื้นตันมาจุกรวมกันอยู่ที่คอ 'รักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น' อย่างนั้นหรือ
ท่านหมอยาผู้นี้มิรู้หรือว่ากลิ่นกายเสน่หาของแม่เรือนจะมิมีวันเลือนหายและจะติดตัวไปจนตาย หากมิโง่เง่าเกินมนุษย์มนาวรรคนี้ก็คงจะสื่อว่า 'พี่จะรักออเจ้าไปตลอดชีวิต' กระมัง 
รอยยิ้มบางถูกจุดบนใบหน้าที่เคยหมองเศร้า ไอ้มั่นที่นั่งกินขนมช่อม่วงอยู่มิไกลมองเพื่อนของมันด้วยความงุนงง เมื่อครู่ยังทำหน้ายับยู่ยี่เป็นผ้าขี้ริ้วแต่ยามนี้กลับยิ้มจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน 
"ยิ้มอะไรวะไอ้จัน?"
"เปล่า มิมีอันใด"
"แปลกคน"
"เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะไอ้มั่น"
"เออๆ กลับดีๆล่ะเอ็ง"
เพลาชายแดดร้อนจนลมแทบจับ ชายหนุ่มรีบเดินกลับกระท่อมที่ป่าช้าท้ายวัดด้วยความร้อนใจเพราะกลัวว่าตาจะเป็นอะไรไปยิ่งกว่าเดิม แต่แล้วก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นตามิได้เป็นอันใดและกำลังนั่งอ่านตำราธรรมะที่เขียนไว้บนสมุดข่อย 
"ตาทำอะไรอยู่หรือจ้ะ?" มันเข้าไปนั่งชิดจนตาคงต้องเขยิบหนี
"อ่านตำรา"
"ข้าขอนอนตักนะตา ข้าไปกวาดลานวัดมาเหนื่อยนัก" มิรอคำอนุญาต ชายหนุ่มนอนลงบนตักผู้เป็นตาทันที 
"เอ็งนี่มันเป็นเด็กมิรู้จักโต"
"ข้ารู้จ้ะ" ตาคงถอนหายใจกับความดื้อความซนของหลานตน ถ้ามิบอกว่ามันอายุ๒๐ปีตนคงคิดว่ามันอายุแค่๑๒ปีเพียงเท่านั้น 
"แล้วนี่ไปทำอะไรมิดีมาหรือไม่? เหตุใดจึงดูหน้าระรื่นผิดกับเมื่อเช้า"
"ไม่หรอกจ้ะตา ข้าก็ปกติดี"
"ก็แล้วไป อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ"
"จ้า"
"แค่กๆ "
เสียงไอจากผู้เป็นตาดึงความสนใจของชายหนุ่ม จันรีบลุกขึ้นนั่งเพื่อประคองตาที่กำลังโก่งตัวไอจนน่าเป็นห่วง อาการไอเริ่มรุนแรงขึ้นจนจันใจเสีย 
"นี่น้ำจ้ะตา" จันรีบตักน้ำในโอ่งดินเผาเล็กๆใกล้ตัวส่งให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้และจิบน้ำแต่อาการไอกลับมิหายไป
"ตา ตา! " 
ชายชราล้มพับลงไปกับพื้น จันรีบพยุงตาคงขึ้นและพาไปนอนลงบนที่นอน ความร้อนจากกายของชายชราแผ่ซ่านจนรับรู้ได้ผ่านฝ่ามือ มิรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดี ทั้งหมอยาแถวนี้ก็มิมีแม้เพียงผู้เดียว เมื่อคิดถึงหมอยาใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในเสี้ยวความคิด...ไตรทศ 
ร่างสูงยาวของชายหนุ่มวัยขบเผาะรีบวิ่งแจ้นออกจากกระท่อมมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของไตรทศ วิ่งอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อใกล้ถึงบันไดกลับต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากับพวกทาสหนุ่มที่พระยาเกษมสั่งให้คอยคุมตัวและเฝ้ามองไตรทศไว้ 
"เอ็งจะไปไหน?" ทาสหนุ่มกายกำยำเอ่ยถามเสียงเข้ม
"ข้า...แฮ่ก ข้าจะไปหาท่านไตรทศ" พูดไปหอบไปจนคนฟังแทบฟังมิได้ความ
"ท่านพระยาสั่งห้ามให้ผู้ใดเข้าพบและห้ามมิให้ท่านไตรทศออกไปที่อื่น"
"ขอร้อง...ตาข้าเป็นอะไรมิรู้ ขอร้องล่ะพวกพี่ปล่อยข้าขึ้นไปเถอะ"
"มิได้! " ร่างกายที่อ่อนแรงถูกพลักจนเซล้มลงไปกับพื้น
"ขอร้อง ฮึก ตาข้า...ตาข้าจะตายมิได้ ข้ามิเหลือผู้ใดอีกแล้ว" เสียงสะอื้นไห้มิสามารถทำให้พวกทาสใจอ่อนได้เพราะพวกมันรู้ว่าถ้าหากปล่อยจันขึ้นไปผู้ที่จะโดนโทษหนักคือพวกมัน 
เสียงเอะอะโวยวายจากด้านล่างดึงความสนใจของไอ้มิ่งที่เดินผ่านไปมาอยู่บนเรือน มันจึงชะเง้อมองดูผู้ที่มาเยือน จึงเห็นว่าผู้ที่ล้มลงไปกับพื้นคือจัน มันรีบกุลีกุจอวิ่งไปหาผู้เป็นนายที่กำลังนั่งวาดภาพอยู่ในห้องทำงาน 
"คุณท่านขอรับ! ไอ้จันมาขอรับ! "
เจ้าเรือนที่มีท่าทีสงบนิ่งและสุขุมรีบวางพู่กันในมือลงพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่บันไดเรือน สายตาคมมองไปเห็นจันที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นจึงรีบเดินลงไปและกันพวกทาสหนุ่มออกห่าง
"จันเกิดเหตุอันใดขึ้น! " มือหนาประคองใบหน้าของคนที่ตนรักขึ้นมอง ใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาร่วงหล่นออกให้พ้นจากแก้มนวล
"ตา...ฮึก ตาข้าป่วย ช่วยด้วย ช่วยตาข้าด้วย"
"ไอ้มิ่งไปเตรียมกระเป๋ายาให้ข้า! "
"แต่คุณท่าน ท่านพระยาเกษมห้าม-"
"ไปเอามา! "
"ข-ขอรับ" กฎเกณฑ์ใดมิอาจห้ามไตรทศไว้ได้อีกแล้ว ตอนนี้ชีวิตของผู้ไข้สำคัญกว่า
"พวกกระผมคงให้ไปมิได้ขอรับ" พวกทาสหนุ่มรีบมากันตัวคนทั้งสองไว้
"เหตุใดจึงจะมิได้! "
"ท่านพระยาสั่งห้ามไว้ หากท่านไปพวกกระผมจะโดนโบย"
"เช่นนั้นบอกบิดาข้าด้วยว่าข้ารับผิดแทนเอง"
"ขอรับ" พวกมันยอมเปิดทางให้แต่โดยดี ไอ้มิ่งวิ่งหน้าตั้งกลับมาพร้อมกระเป๋าที่บรรจุตัวยาไว้มากมายหลายแขนง 
"ไปกับพี่"
ทั้งสามรีบรุดพากันเดินทางไปที่ป่าช้าท้ายวัดทันที จันรีบเช็ดน้ำตาของออกด้วยมืออย่างลวกๆ มิได้เจอกันเสียนานดันมาร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเสียได้
ใช้เวลามินานทั้งสามจึงพากันมาถึงกระท่อม ไตรทศเดินเข้าไปในตัวกระท่อมและนั่งลงข้างตาคงที่กำลังหายใจรวยริน จับคลำหาชีพจรเพื่อตรวจดูอาการ 
"ตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"บอกอาการมา"
"หลายวันมานี้ไอหนักนัก ทั้งตัวยังร้อนผิดปกติ"
"เกรงว่าจะเป็นไข้ป่าธรรมดา มิมีอะไรต้องห่วง"
"อย่างนั้นหรือ..."
"อืม ออเจ้าสบายใจได้ แค่ต้มยาให้ตาดื่มก็พอแล้ว" จันถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เห็นตาเป็นลมล้มพับไปจึงคิดว่าอาการจะหนัก "ออกไปข้างนอกกันเถิด ให้ตาของออเจ้าได้พักผ่อน"
จันพยักหน้ารับ ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องนอนแต่มิมีผู้ใดเริ่มบทสนทนาเพราะจากเหตุการณ์ที่เรือนของพระยาจำรูญทำให้ทั้งสองมิมีคำใดจะเอื้อนเอ่ย
สายตาคมหันไปมองจันที่นั่งตบยุงอยู่บนชานเรือนเป็นครั้งคราว ใบหน้าหล่อกำลังนิ่วหน้าและเกาแขนตัวเองไปด้วยเพราะโดนยุงกัด ไตรทศจึงยิ้มขำจนจันได้ยิน
"มิต้องมาหัวเราะข้า"
"ก็ออเจ้าตลก พี่จึงหัวเราะ"
"หึ" หันหน้าหนีเพราะมิอยากต่อความยาวสาวความยืด ร่างหนาทำตัวแนบเนียนขยับเข้าใกล้ก่อนจะสวมกอดจากด้านหลังจนจันสะดุ้งโหยง
"คิดถึง" มีเพียงคำพูดสั้นๆที่ถูกเอ่ยออกมา หากแต่คำพูดสั้นๆนั้นกลับทำให้ใจของจันเต้นระรัวนัก
"ปล่อยข้า" เจ้าตัวแสบดิ้นหมายจะออกจากอ้อมกอดคนพี่ให้จงได้แต่มีหรือที่แรงของจันจะสู้แรงไตรทศได้   
"อ่านจดหมายแล้วหรือยัง?"
"..."
"แสดงว่าอ่านแล้วสิหนา"
ใบหน้าคมก้มลงฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอ สูดเอากลิ่นกายที่ตนคะนึงถึงเข้าปอดด้วยความเสน่หา ตระกองกอดเจ้าเนื้อเย็นด้วยความรักใคร่
"เหตุใดจึงเขียนว่าจะรักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น มิรู้หรือว่ากลิ่นกายของแม่เรือนจะอยู่ติดกายไปตลอดชีวิต"
"พี่ก็หมายความตามนั้น...จะรักน้องไปตลอดชีวิต"
ริมฝีปากพรมจูบลงบนขมับ จันโอนอ่อนต่อสัมผัสอย่างมิรู้ตัว ใช่ว่าจะมีแต่ไตรทศที่คิดถึงตน ตนเองก็คิดถึงอีกฝ่ายเช่นกัน
"เอ่อ คุณท่านขอรับ ตัวยาต้มเสร็จแล้วขอรับ" ไอ้มิ่งที่ถูกใช้ให้ไปต้มตัวยาเดินกลับมาหาผู้เป็นนายจึงเห็นว่าทั้งสองกำลังกอดกันอยู่ จันที่เห็นดังนั้นจึงรีบลุกพรวดขึ้นมาทันที 
"ด-เดี๋ยวข้าเอาไปให้ตาดื่มเอง" ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปถือหม้อยาต่อจากนายทาสหนุ่มก่อนจะรีบรุดเข้าไปในห้องนอนของตาคง
"เอ็งนี่นะ! มาขัดจังหวะเสียได้" ไตรทศพูดด้วยความหัวเสีย อุตส่าห์เจ้าแมวน้อยโอนอ่อนตามตนเองแล้วเชียวกลับโดนขัดก่อนเสียได้
"ขออภัยขอรับ" มันค้อมหัวให้ผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกผิดปนฉงน
เวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ บริเวณรอบกระท่อมไม้มืดและเงียบสงัด เสียงนกเค้าแมวร้องเซ็งแซ่ดังมาจากทิศใดก็มิอาจรู้ได้ ท่านหมอยานั่งตบยุงอยู่บริเวณบันไดของกระท่อมไม้และมิมีที่ท่าว่าจะกลับเรือนโดยง่ายเพราะอยากเฝ้ารู้ดูอาการของตาคงเสียก่อน
ร่างของชายหนุ่มเดินฝ่าความมืดมาพร้อมตะเกียงไฟดวงน้อยเดินเข้ามานั่งลงข้างๆอย่างถือวิสาสะ ตอนนี้ไอ้มิ่งหลับไปแล้วเหลือไว้แค่เพียงบุรุษทั้งสอง
 
"พี่มาเช่นนี้ท่านพระยามิว่าเอาหรือ?"
"ชีวิตตาของออเจ้าสำคัญกว่า"
"ข้าพอได้ข่าวมาบ้างแล้วว่าท่านพระยารู้เรื่องที่เรือนของพระยาจำรูญและโกรธมาก"
"เป็นเช่นนั้น"
"ข้าขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนเช่นนี้ พี่ไตรอย่ามาเดือดร้อนเพราะข้าอีกเลย"
ใบหน้าของจันหมองเศร้าลง รู้สึกมิสบายใจเท่าใดนักที่ตนเองเป็นสาเหตุของความเดือดร้อนของผู้อื่น   
"อย่าได้คิดมาก เจ้าคุณพ่อท่านก็เป็นเช่นนี้แล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดมิใช่หรือ" จันพยักหน้าตอบรับว่าเห็นด้วย "นี่ก็ดึกมาแล้ว ทางสัญจรไปมาก็มองมิเห็นหากเดินกลับคงจะเป็นอันตราย...พี่ขอนอนด้วยสักคืนได้หรือไม่?"
"ม-มิได้! หากจะนอนก็คงต้องนอนที่ห้องอื่น"
"จัน...นี่ผัวหนา"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว"
"ยอมรับเสียเถิด ออเจ้าได้ตัวแลหัวใจของพี่ไปแล้ว อย่าผลักไสพี่อีกเลย"
สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ใครจะคิดว่าคนอายุมากกว่าถึงสิบปีจะมาทำท่าทีออดอ้อนตนเหมือน...ผัวอ้อนเมีย 
"ก็ได้ๆ " รอยยิ้มน้อยๆถูกจุดบนใบหน้าคนขรึม จันรู้สึกเหมือนคิดผิดที่ตนตกปากอนุญาตไป
"พี่นอนที่มุมนี้ส่วนข้าจะนอนอีกมุม" ห้องของจันมิได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็พอที่จะให้ผู้ชายตัวโตสองคนมานอนรวมกันได้ คนเจ้าเล่ห์มองไปรอบห้องเพื่อสำรวจ 
"นอนห่างกันเช่นนี้จะดีหรือ?" อันที่จริงมันก็มิได้ห่างมากนักแต่ไตรทศอยากนอนกอดเมียรักเสียมากกว่า
"แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากเรื่องมากข้าจักให้ไปนอนนอกห้อง"
"ก็ได้จ้ะเมีย"
"นี่!" คนอายุน้อยกว่ารีบสงบปากสงบคำเพราะมิอยากต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก พูดมากไปก็ป่วยการเสียเปล่า
"ไปอาบน้ำกันเถิด พี่เหนียวตัวจะแย่"
"เดี๋ยว-"
"...อย่าดื้อ"
 
ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธก็โดนไตรทศจับข้อมือให้ลุกขึ้นยืน มิไกลจากวัดมากนักมีคลองเล็กตัดผ่านและมีท่าน้ำไว้สำหรับอาบน้ำ ไตรทศให้จันนำทางไปโดยตนเองเป็นผู้ถือตะเกียงและจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้มิห่างกาย ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงมาถึงคลองที่ว่า 
รอบบริเวณเงียบสงัดไร้ผู้คนเพราะบริเวณนี้มิค่อยมีผู้ใดสัญจรผ่านมากนักในยามพลบค่ำ ไตรทศจัดการเปลื้องผ้าออกอย่างมิเขินอาย มือหนาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออกจนเผยให้เห็นอกแกร่ง ในส่วนของท่อนล่างนั้นหยิบผ้าโสร่งมาใส่ไว้ หันไปมองจันที่ยืนนิ่งและเสมองไปทางอื่น 
"ออเจ้ามิอาบพร้อมพี่หรือ"
"ข้ารออาบที่หลังจะดีกว่า"
"จะอายไปใย มากกว่านี้ก็เคยเห็น"
"พี่ไตร! ชักจะลามกไปใหญ่แล้ว"
"เป็นเมียก็อย่าดุผัวมากนักสิจัน" คนตัวโตยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ "มาเถิด พี่สัญญาว่าจะมิทำอันใดออเจ้า" 
"เชื่อได้รึ"
"พี่สัญญา"
มือหนากอบกุมเข้าที่มือของจันอย่างถือวิสาสะก่อนจะยกขึ้นพรมจูบลงบนหลังมือ ความหยาบกระด้างของฝ่ามือทำให้ไตรทศรู้ว่าจันทำงานหนักมิน้อย
"..."
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันขึ้นสี ดีที่แสงจากตะเกียงช่างน้อยนักไตรทศจึงมิสังเกตเห็น ความวาบไหวก่อเกิดภายในจิตใจ มันหวิวเหมือนดังมีผีเสื้อนับร้อยมาบินว่อนอยู่ภายในท้อง
เสื้อผ้าที่ราคามิได้แพงถูกถอดออกโดยฝีมือของเจ้าของ ปมโจงกระเบนถูกปลดออกผ้าที่เคยสวมใส่จึงหล่นลงไปกองที่ปลายเท้า ไตรทศมองนิ่งมิแสดงสีหน้าใดถึงแม้ภายในใจอยากจะจับอีกฝ่ายฟัดเสียให้จมเขี้ยว แต่เวลานี้คงมิเหมาะมิควรนัก หากตนจัดการเรื่องที่เรือนเสร็จเมื่อใด...เจ้าจันคงมิรอดเงื้อมมือไปได้เป็นแน่ 
 
"...อาบสิ"
เสียงเบาหวิวเรียกให้หลุดจากภวังค์ ไตรทศพยักหนาพร้อมกับจับมือของจันเดินลงบันไดท่าเรือสู่น้ำคลองเย็นยะเยือก ต่างฝ่ายต่างอาบและไตรทศเองก็มิได้ล่วงเกินจันดังเช่นที่สัญญาไว้

หลังอาบน้ำเสร็จจันบรรจงจัดเรียงที่นอน หมอนและผ้าห่มให้ไตรทศและตนเองก่อนจะค่อยๆนอนลงบนที่นอนของตนด้วยความระแวงเพราะกลัวว่าไตรทศจะทำอะไรแปลกๆ
ตาคงนอนอยู่ห้องติดกันหากทำการอุกอาจหรือพูดคุยเสียงดังอันใดขึ้นมาคงมิวายโดนจับได้ว่าเสียตัวให้อีกฝ่ายไปแล้วเป็นแน่ หันไปลอบมองไตรทศมิใส่เสื้อและนอนหงายโดยเอาแขนข้างหนึ่งขึ้นมานอนหนุนและหลับตาพริ้ม ด้วยความซนจันจึงคลานเข้าไปใกล้มองใบหน้าหล่อคมอย่างสนใจใคร่รู้   
สายตามองสำรวจใบหน้าที่ชอบทำคิ้วขมวดและตีหน้านิ่งตลอดเวลาจนบางทีจันยังนึกสงสัยว่ามิเหนื่อยบ้างหรือ ผิวสีคล้ำแดดเล็กน้อยมิสามารถกลบความดูดีของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังช่วยขับให้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นลอนได้ชัดขึ้น
หน้าท้องแกร่งขยับขึ้นลงเมื่อคนที่กำลังหลับหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดูด้วยความสงสัยจันจึงลองใช้นิ้วจิ้มลงบนลอนกล้าม ขณะที่ละสายตาและคิดจะกลับไปที่นอนตนชายหนุ่มกลับโดนแขนแกร่งของอีกฝ่ายรัดเอวไว้เสียก่อน
"อ่ะ!"
"คิดจะลวนลามพี่รึ? " ไตรทศลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังกอดเอวของจันไว้
"ม-มิใช่! " คนโดนจับได้รีบปฏิเสธทันควัน
"แล้วเมื่อครู่คือ? "
"ข้า...ข้าแค่สงสัย"
"สงสัยว่าอย่างไร?" แขนแกร่งยังมิยอมออกไปจากเอวคอดทั้งยังเพิ่มแรงกอดมากกว่าเดิม
"ข้าสงสัยการมีกล้ามหน้าท้องมันรู้สึกอย่างไร...ข้ามิเคยมี" พูดพร้อมกับก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตน
"แต่พี่ชอบออเจ้าที่เป็นแบบนี้มากกว่า" มิพูดเปล่ามือหนายังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อพร้อมกับลูบคลำหน้าท้องของอีกฝ่าย
"อย่าซนสิ!"
"หึ กล้าดุพี่รึ? "
"กล้าสิ เหตุใดจึงจะมิกล้า" คนในอ้อมกอดช่างดื้อรั้นกว่าที่ไตรทศคิดไว้มากมายนัก 
"จันหนอจัน" ร่างสูงวางคางลงลาดไหล่ที่แคบกว่าไหล่ตนมาก "พี่ชนะทุกอย่าง...แต่เห็นทีจะแพ้ก็แต่ออเจ้า" 
"ข-ข้าจะนอนแล้ว" พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายก็มิเป็นผล แรงของพ่อเรือนกับแม่เรือนช่างต่างกันนัก
"นอนกับพี่มิได้รึ?"
"ก็นอนด้วยแล้วนี่อย่างไรเล่า"
"หมายถึงนอนอยู่ข้างพี่ นอนให้พี่ได้กอดออเจ้าให้หายคิดถึง...ได้รึไม่? " เอาอีกแล้วหนา น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนนี่อีกแล้ว แต่เห็นทีจะใจอ่อนมิได้แล้ว
"ไม่-" 
"นะ...พี่ขอนอนกอดออเจ้าเถิดหนา"
"...อย่าซนก็แล้วกัน" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าจะมิได้มีแต่ไตรทศที่แพ้ให้จัน
เพราะจันเองก็แพ้ให้ไตรทศเช่นเดียวกัน
คืนนั้นภายในผ้าห่มผืนน้อยมีชายสองคนนอนกอดกัน อีกคนนอนหันหลังให้อีกฝ่ายตระกองกอดอย่างมิขัดขืน
ปลายคางของอีกไตรทศจรดลงบนกลุ่มผมดำขลับ วงแขนแกร่งโอบรอบลำตัวของเมียรักอย่างคิดคะนึงหา ยามห่างความคิดถึงยิ่งทวี ยามใกล้กลับรู้สึกเสพติดจนกลายเป็นขาดมิได้ พ่อเรือนแม่เรือนอาจจะฝืนระงับความใคร่จากกลิ่นเสน่หาของกันและกันได้...แต่จักฝืน 'คู่แห่งโชคชะตา' ที่ถูกกำหนดเอาไว้มิได้   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:26:24 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:ชอบบทกลอนของพี่ไตร

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะขัดพ่อได้ยังไงน่ะ  :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อย่าดราม่าหนักมากนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด