บทที่ ๑๓
"มีเรื่องอันใดรึพระยาเกษม เหตุใดออเจ้าจึงส่งคนไปเชิญข้าถึงเรือน"
"ข้าอยากพูดคุยกับออเจ้าเรื่องหมั้นหมายของแม่พิกุลและไตรทศ"
"อย่างไรก็ว่ามา"
"ช่วงนี้ลูกข้านั้นไปติดพันแม่เรือนเข้าทำให้ออกนอกลู่นอกทางนัก ข้าจึงอยากเร่งงานหมั้นหมาย ออเจ้าคิดเห็นอย่างไร"
"แล้วไตรทศมีความเห็นว่าอย่างไร?"
"ค้านหัวชนฝาท่าเดียว มิรู้ว่าโดนไอ้แม่เรือนนั่นปั่นหัวอย่างไร"
"ออเจ้าต้องใจเย็นเสียก่อน แม่เรือนก็อาจจะมิได้เลวรายเสมอไปดอกหนา"
"หึ ข้าคงเปลี่ยนความคิดได้ยาก"
ความหัวรั้นเชื่อแต่เพียงสิ่งที่ตนต้องการจะเชื่อนั้นคือข้อเสียข้อใหญ่ของพระยาเกษม มิมีมูลเหตุใดให้ชังเพียงแค่ฟังต่อๆเขามาจึงปักใจเชื่อ
"ข้าเองก็มิอยากให้ลูกสาวต้องหมั้นหมายกับชายที่มิได้รักตนดอกหนา อย่างไรออเจ้าก็ควรเรียกไตรทศมาร่วมสนทนาด้วย"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้ามิขัด" ทั้งสองพยักหน้าให้กัน "ไอ้ทอง เอ็งไปตามไตรทศมาหาข้าซิ" เจ้าของเรือนหันไปบอกทาสหนุ่มคนสนิทที่นั่งอยู่มิไกลตนนัก
"ขอรับ" มันรับคำสั่งก่อนจะเดินลงจากเรือนใหญ่
ทั้งสองพระยาพูดคุยกันต่อในเรื่องการว่าราชการที่ตัวพระนคร ช่วงนี้มีฟะรังคีมาทำการค้ากับชาวบ้านมากมายขุนหลวงจึงคิดจะตั้งพ่อค้าคนกลางขึ้นเพราะชาวบ้านเองมิสามารถสื่อสารกับฟะรังคีได้เหตุเพราะความต่างด้านภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกัน
พูดคุยได้มินานไอ้ทองจึงกลับมาด้วยท่าทีร้อนใจ
"เอ่อ...คุณท่านขอรับ"
"แล้วไหนล่ะลูกข้า?"
"ท่านไตรทศมิอยู่ที่เรือนเล็กขอรับและไอ้มิ่งทาสคนสนิทเองก็มิอยู่ขอรับ"
เพล้ง!
ถ้วยน้ำชาในมือของพระยาเกษมถูกโยนลงบนพื้นเรือนจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปคนละทิศคนละทาง มือเหี่ยวย่นกำไม้หัวตะพดแน่นเพื่อระบายความกรุ่นโกรธ
พระยาจำรูญที่นั่งอยู่มิไกลได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเพราะตนนั้นรู้มาตั้งนานแล้วว่าเพื่อนวัยเด็กผู้นี้มีนิสัยหุนหันและใจร้อน
"ไอ้ลูกไม่รักดี! " พูดเสียงดังกัมปนาท คุณหญิงนิ่มผู้เป็นภริยาที่นั่งร้อยมาลัยอยู่อีกฝั่งของเรือนรีบรุดเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของตกแตก
"คุณพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?"
"ก็ลูกของออเจ้าน่ะสิ! มันหนีตามไอ้ไพร่ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็มิรู้! "
"เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น นั่นก็ลูกของคุณพี่นะเจ้าคะ"
"หึ หากมันมิกลับเรือนข้ากับมันคงได้ตัดขาดกันเป็นแน่"
ใจคนเป็นแม่แทบสลายเมื่อท่านพระยาผู้เป็นสามีพูดดังนั้น ผู้ใดก็รู้ว่าพระยาเกษมเป็นผู้พูดจริงทำจริงมิเคยพูดเพื่อขู่
"ไอ้ทองพาคนไปตามหาเดี๋ยวนี้! "
"ขอรับ"
"มิต้องดอกขอรับ"
เสียงสุขุมดังขึ้นที่บันไดเรือน คนบนเรือนพากันหันไปมองดูจึงเห็นว่าผู้ที่เดินขึ้นมาคือไตรทศกับไอ้มิ่ง
พระยาเกษมใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกตนมิได้ไปไหนแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นว่าผู้เดินรั้งท้ายสุดคือแม่เรือนที่ลูกตนติดพัน
"ออเจ้าพามันมาทำไม?"
สรรพนามมิเข้าหูทำให้จันแอบหน้าเสีย คราแรกก็มิอยากตามมาแต่ไตรทศกลับคะยั้นคะยอจนตนต้องยอมจำนน
"พามาคุยกันให้รู้เรื่องขอรับ"
"พ่อไตร.." นางนิ่มเรียกลูกเสียงเบาและส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามและปรามว่ามิควรทำเช่นนี้
"พ่อคุยกับพระยาจำรูญจนเสร็จสิ้นแล้ว ออเจ้าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุล"
จันเบนสายตาจากพระยาเกษมไปที่คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนตั่งไม้สักมิไกลจากที่นั่งของพระยาเกษมมากนัก คนอีกผู้ดูใจเย็นและมีภูมิฐานมากกว่าพระยาเกษมอยู่มาก
"เช่นนั้นกระผมขอยกเลิก"
"มิได้! "
"ท่านลุงขอรับ หลานขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ หลานมิได้รักแม่พิกุลแลมองแม่พิกุลในฐานะน้องสาวเพียงเท่านั้น" พระยาจำรูญพยักหน้าเข้าใจเพราะเดิมทีตนก็มิคิดที่จะขายลูกสาวกินอยู่แล้ว
"เจ้าคิดการอันใดอยู่ไตรทศ! นี่พ่อขอเจ้าหนา เหตุใดจึงมิยอมเชื่อฟังพ่อบ้าง"
"กระผมพยายามเป็นลูกที่ดีมาตลอดอาจขัดใจไปบ้างเรื่องรับงานราชการ แต่ขอเถอะขอรับ...ลูกขอในเรื่องนี้"
มือใหญ่ที่กุมมือของจันกำลังสั่น ชายหนุ่มลอบมองหน้าไตรทศที่มิแสดงสีหน้าใดๆ มีเพียงสายตามุ่งมั่นที่มองไปยังผู้เป็นบิดา ถึงไตรทศจะแสดงออกว่าตนหัวรั้นเพียงใดแต่ข้างในแล้วเขาเป็นเพียงแค่ลูกชายของพ่อและแม่เพียงเท่านั้น
"คุณพี่ฟังลูกหน่อยนะเจ้าคะ" แม่นิ่มเดินเข้ามาจับแขนของสามีและลูบเพื่อให้คลายความโกรธลง
"ได้! ...ครานี้พ่อจะยอมให้ออเจ้ารับมันมาเป็นเมีย" คำพูดจากผู้เป็นบิดาทำเอาไตรทศใจชื้นขึ้นมา "แต่ในฐานะเมียรองเพียงเท่านั้น! "
ความเงียบกลืนกินไปทั่วบริเวณ ท่านพระยาเดินออกไปอย่างถือวิสาสะแม่นิ่มจึงขอโทษขอโพยต่อพระยาจำรูญที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอด มือของไตรทศที่กอบกุมมือของจันไว้ชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากการกอบกุมกันเป็นเวลานาน
"กลับเรือนเล็กกันเถิด" จันมิตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้ารับแทน
"ประเดี๋ยวก่อนพ่อไตร" ในขณะที่กำลังจะลาผู้ใหญ่ พระยาจำรูญจึงเอ่ยทักขึ้นเสียก่อน
"ขอรับท่านลุง"
"ลุงเอาใจช่วย" ไตรทศแทบจะมิเชื่อหูของตน
"ลุงเองก็เคยคิดจะอยู่กินกับแม่เรือนและโดนบิดามารดาขัดขวางเช่นออเจ้า ลุงเข้าใจความรู้สึกของออเจ้าดี"
พระยาจำรูญพูดพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของไตรทศและออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจ เสมองมาที่จันที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ออเจ้าได้เมียที่ดีหนา" พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินกลับหลังออกไป จันเองก็มิเข้าใจว่าตนเป็นเมียที่ดีได้อย่างไรทั้งที่ยังมิได้ปริปากพูดสักคำ
เรือนเล็กบรรยากาศเงียบสงบ มีกลิ่นดอกจันทร์กระพ้อโชยไปทั่วเรือนทุกเพลา จันมองชานเรือนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ภายในใจกลับนึกย้อนไปถึงวันที่ตนถูกไตรทศจับกดลงบนชานเรือนและทำแผลให้
"ใจลอยไปหาชายใดกัน" เสียงดังที่ข้างหูดึงสติมให้ฟื้นคืน
"จะบ้ารึ! " ใบหน้าหล่อแต่จิ้มลิ้มยู่ลงเมื่อได้ยินประโยคเอ่ยหยอกล้อ
"เป็นเมียพี่แล้วก็ต้องคิดถึงแต่พี่เข้าใจรึไม่?"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว! ทุกคนต่างพูดกันไปเองว่าข้าเป็นเมียทั้งๆที่ข้ายังมิได้เต็มใจแม้แต่น้อย"
"ชินเสียเถิด อย่างไรก็ต้องได้เป็นอยู่วันยังค่ำ" ทั้งสองเดินมาที่ห้องทำงานของไตรทศ
"เมียรองน่ะรึ" พูดโดยมิคิดอันใดแต่ไตรทศกลับคิดว่าเมียรักของตนน้อยใจ
"มานี่มา"
"เดี๋ยว-" ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธได้ก็โดนคนมือไวดึงรั้งเอวคอดเข้าหาตัวและดึงให้นั่งลงบนตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหาไตรทศ "ปะ ปล่อยข้า! "
"อย่าดิ้น...ก้นของออเจ้ามันถูกับของพี่" เมื่อได้ยินดังนั้นคนบนตักหยุดดิ้นในทันที ทำเอาไตรทศกลั้นยิ้มกับความว่าง่ายเอาไว้มิอยู่
"..." คนบนตักนั่งนิ่งมิไหวติงทั้งยังมิเอ่ยวาจาอันใดออกมา
"ออเจ้าคิดมากเรื่องที่พ่อของพี่บอกว่าจะให้ออเจ้าเป็นเมียรองรึ? "
"...เปล่า"
"โธ่จัน.." คนขรึมลอบยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู "ในใจของพี่ออเจ้าเป็นที่หนึ่งเสมอมาและหากจะเป็นเมีย...ออเจ้าจักเป็นเมียเพียงหนึ่งของพี่"
"บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากเป็นมะ- อื้อ! "
ในขณะที่กำลังจะเถียงว่าตนมิอยากเป็นเมียนั้น จันกลับโดนคนเจ้าเล่ห์ใช้มือจับท้ายทอยและโน้มให้ก้มลงประกบจูบอย่างมิทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองที่ปัดป่ายไปมาก็ถูกจับไว้ด้วยมือของไตรทศ
ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามายังโพรงปากที่กำลังพูดจ้ออย่างง่ายดาย กระหวัดลิ้มชิมรสหวานที่ตนคะนึงหาทุกเมื่อเชื่อวัน สัมผัสจุมพิตจากจันยังคงหวานมิเปลี่ยน หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าแลคงเป็นน้ำผึ้งที่ทำให้ผู้ที่ได้ลิ้มรสเสพติดเป็นแน่
"อื้อ!"
จันส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ สัมผัสอ่อนโยนจากจูบของไตรทศทำเอากายของชายหนุ่มแทบอ่อนระทวยไปกับสัมผัสที่นุ่มและเบาปานขนนก
"อึก..แฮ่ก..."
หอบหายใจแรงเมื่อไตรทศถอนจูบดูดวิญญาณนั้นออกไป จันหน้าขึ้นสีเมื่อเห็นว่ามีเส้นสีใสของน้ำลายในจังหวะที่ไตรทศผละออก
"...หวาน" คนพี่เลียริมฝีปากอย่างได้ใจ ส่วนจันนั้นแทบมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
"คนฉวยโอกาส" ตีใบที่อกแกร่งแต่ไตรทศหาได้สะทกสะท้นไม่ กลับยิ้มชอบใจเสียอีก
"ปากก่นด่าแต่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียวหนา" มือหนาบีบลงบนแก้มของคนบนตักที่กำลังขึ้นสีระเรื่อด้วยความมันเขี้ยว
"อื้อ อ่อยแอ้มอ้า! (ปล่อยแก้มข้า!) "
"หากพี่มิปล่อยแล้วออเจ้าจะทำอย่างไร? "
"อี้แอ่ะ! (นี่แหนะ)" มือทั้งสองข้างของจันจับลงบนแก้มที่มิค่อยจะมิของไตรทศและออกแรงดึง
"โอ๊ยๆ"
"ฮ่าๆๆ แบร่" คนบนตักหัวเราะชอบใจ แต่แล้วก็หยุดเมื่อโดนคนใต้ร่างส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมาให้
มือทั้งสองยังมิยอมผละออกจากใบหน้าของกันและกัน สองสายตาสอดประสานอย่างโหยหา มิได้มีเพียงแต่ไตรทศที่โหยหาจัน...จันเองก็โหยหาไตรทศโดยที่มิรู้ตัวเช่นเดียวกัน
"พี่รักออเจ้า"
"ข้า..." คำบอกรักถูกกลืนหายไป จันยังมิแน่ใจในสถานะของตนเท่าใดนักทั้งยังลังเลว่าที่รู้สึกเขาเรียกว่ารักหรือไม่
"มิเป็นไร" หน้าไตรทศหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จันแอบใจเสียแต่ก็มิพูดอะไรต่อ
ทุกการกระทำของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง มันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นการกระทำของทั้งสองเข้า ใจมันคิดอยากมาปลอบให้เจ้านายลืมๆแม่เรือนโสโครกไปเสียแต่นี่ท่านพระยากลับยอมให้มันมาอยู่ในฐานะเมียรอง มีหรือที่มันจะยอมสละตำแหน่งเมียรองง่ายๆ!
จันลอบมองไตรทศที่กำลังตวัดพู่กันเขียนหมึกในมืออย่างใจเย็น ตัวอักษรยึกยือที่จันมิคุ้นนักถูกบรรจงเขียนลงไปบนกระดาษหนา
"สนใจรึ? " คนพี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้า
"เขียนอะไรหรือ?"
"ตัวอักษรภาษาจีน"
"อย่างนั้นรึ" จันมองอย่างสนอกสนใจ "ข้าจักฝนหมึกให้"
เมื่อเห็นว่าหมึกที่ไตรทศใช้ใกล้หมดจึงอาสา ไตรทศยิ้มกับภาพตรงหน้า ชายหนุ่มค่อยๆฝนหมึกให้อย่างระมัดระวังมิให้เปื้อนมือตน
"ออเจ้าจำที่พี่บอกได้หรือไม่?"
"อะไรหรือ? "
"ก็...หน้าที่ฝนหมึกคือหน้าที่ของเมียอย่างไรเล่า" เมื่อนึกขึ้นได้จันถึงกับหน้าขึ้นสีอีกรอบ เพราะคราแรกที่ตนอาสาฝนหมึกให้อีกฝ่ายไตรทศพูดเช่นนี้จริงและมันเองก็จำได้ขึ้นใจ
"...ข้าจำได้"
"ยามนี้คำพูดนั้นเป็นจริงแล้วหนา" ไตรทศยกยิ้มที่มุมปาก "ตอนนี้ออเจ้าเป็นเมียของพี่แล้ว"
จันเสมองไปทางอื่นและทำเป็นมิสนคำพูดของไตรทศ แต่หารู้ไม่ว่าใบหน้าและใบหูนั้นแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
"พี่จัน! " เสียงเล็กเรียกก่อนจะปรากฏเป็นกายของเด็กตัวป้อม จันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้ทิดว่ามีเหตุอันใด
"ไฟไหม้กระท่อม! "
"ห่ะ!? " เสียงอุทานทำเอาไตรทศละความสนใจจากแผ่นกระดาษมาที่จัน
"เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ?"
"ข้าขอตัว! " มิทันจะได้รู้ความจันก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไปจนไตรทศเรียกตามมิทัน
จันรีบรุดวิ่งอย่างมิคิดชีวิตมาที่กระท่อม ชาวบ้านพากันยืมล้อมตีเป็นวงกว้าง จันรีบแหวกผู้คนเข้าไป ภาพกระท่อมที่โดนไฟไหม้ปรากฏสู่สายตา เศษไหม้จากหลังคาที่ทำจากใบหญ้าคาปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ที่พักเพียงหนึ่งเดียวถูกเพลิงมอดไหม้จนกลายเป็นจุล
"ตา! ตาข้าอยู่ที่ใด! " หันไปถามชาวบ้านที่ยืนมุงแต่มิมีผู้ใดรู้ น้ำตาอุ่นๆ เริ่มคลอที่ขอบของดวงตา
"ไอ้จัน!" เสียงไอ้มั่นเรียกดังขึ้น จันจึงหันไปตามเสียงเรียก
"ตา...ตาข้าล่ะไอ้มั่น!"
"ตาเอ็งไปหาหลวงตาที่โบสถ์จึงปลอดภัยดี" จันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดีที่ตามิเป็นอันใดไป
"ใครคือผู้ทำเอ็งรู้รึไม่"
"ข้ามิรู้ แต่ว่ามันมีสิ่งนี้" ไอ้มั่นหยิบสิ่งที่มันเหน็บไว้ตรงโจงกะเบนออกมา จันจึงรับมาและเปิดดูข้อความด้านใน
ดูเหมือนว่านายจ้างข้าจะมิชอบใจนักที่มึงมายุ่มย่ามกับท่านไตรทศ
หากยังรักชีวิตอยู่ล่ะก็ ภายในวันพรุ่งเอ็งจงไปตัดขาดกับท่านไตรทศเสีย
มิเช่นนั้นครั้งถัดไปสิ่งที่ถูกเผาเป็นรายต่อไปคือมึงและตาของมึงจำเอาไว้
นายข้าพูดจริงทำจริงมิใช่พูดเพื่อขู่
จันไล่สายตาอ่านและเนื้อความภายในกระดาษเขียนไว้เพียงเท่านี้ ลายมือเรียบร้อยเกินคาดคงเป็นผู้ที่ต้องเขียนหนังสือหนังหาบ่อยเป็นแน่
"มันเขียนว่าอย่างไรบ้างวะ?" ไอ้มั่นที่เรียนมิเท่าจันนั้นอ่านมิค่อยออกและจับใจความมิค่อยได้
"ขู่ว่าจะฆ่าข้าและตา"
"เกินไปแล้ว! "
"ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง"
"แล้วเอ็งจะทำอย่างไรวะ?"
"...ทำอย่างที่มันต้องการ" จันถอนหายใจ "ไอ้ทิด" ก่อนจะเอ่ยเรียกผีเด็กตัวป้อมอีกครา
"จ๋าพี่"
"เอ็งเห็นคนทำรึไม่?" ไอ้มั่นทำสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่ออยู่ดีๆเพื่อนของมันก็คุยกับความว่างเปล่า
"พวกมันปิดหน้าปิดตาจ้ะ แต่ละคนมีแต่คนตัวโตๆทั้งนั้น"
"มีคนใดคนนึงสักยันต์ห้าแถวรึไม่?"
"มีคนหนึ่งจ้ะพี่"
"ข้ารู้แล้วว่ามันคือผู้ใด" จันหันมาพูดกับไอ้มั่นที่ทำหน้าเหมือนคนกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง
"ค-ใครวะ?"
"ไอ้เข้ม แต่มีผู้บงการมันและคนผู้นั้นก็เป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้"
"เอ่อ...เอ็งรู้ได้อย่างไร กุมารทองเอ็งบอกรึ?"
"เปล่า ไอ้เข้มมันมิรู้หนังสือ มันเขียนเองมิได้ดอก" ไอ้มั่นพยักหน้าและมองซ้ายมองขวาด้วยสายตาหวาดระแวง
"คิกๆ เพื่อนพี่ตลกจัง"
"น้องข้าชอบเอ็ง"
"บรึ๋ย เอ็งอย่าพูดสิวะ!" มันแหวเสียงดังพร้อมกับมองไปรอบตัว
หลังเพลิงสงบ ข้าวของเครื่องใช้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงมิเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว จันและตาจึงต้องไปอาศัยนอนในวัดกับไอ้มั่นและพวกเด็กวัดคนอื่นๆไปก่อน
พระอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าเป็นสีทองในยามเช้าวันใหม่จันตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างที่มันต้องการ หากมิทำตาของตนต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
จันเชื่อว่ายังไงตนก็คงจะมิได้รักไตรทศแบบที่ไตรทศรักตนเพราะตนนั้นชอบพอแม่พิกุลมาตั้งแต่แรก ดีเสียอีกจะได้ตัดความสัมพันธ์นี้ไปด้วยเสียเลย เมื่อคิดได้ดังนั้นจันจึงรวบรวมความกล้าและเดินขึ้นไปบนเรือนเล็ก
"เอ่อ...พี่นวลเห็นท่านไตรทศหรือไม่?" นางนวลที่กำลังจะเดินถือน้ำชาไปให้ไตรทศถึงกับชะงักเมื่อโดนเรียกไว้
"อยู่ที่ห้องทำงานจ้ะ ตามข้ามาสิ"
"ขอบใจจ้ะ"
จันเดินตามทาสสาวไป นางนวลเดินนำไปก่อน วางถ้วยชาและขนมลงบนโต๊ะของผู้เป็นนาย มันชำเลืองมองหากแต่ไตรทศมิได้สนใจแม้แต่น้อย
"พี่ไตร" เสียงเรียกของจันทำให้ไตรทศหันหน้าออกจากตำรายามามอง
"ออเจ้ามาแล้วหรือ" พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกห่างจากโต๊ะหนังสือมายังผู้มาเยือน "นางนวลเอ็งออกไปก่อน"
"เจ้าค่ะ" มันก้มหัวให้พร้อมกับเดินออกไป
"พี่ขอโทษด้วยที่มิได้ตามไป เพราะตอนที่ออเจ้าออกไปนั้นขุนไกรดันมาถึงท่าเรือพอดีพี่จึงต้องอยู่สนทนา"
"มิเป็นอันใด" จันหายใจเอาลมเอาปอดเพื่อเรียกความกล้า "คือ...ข้าอยากให้พี่เลิกยุ่งกับข้า"
บริเวณรอบข้างเงียบสงัดไปชั่วขณะ ไตรทศมิมีคำใดจะเอื้อยเอ่ย ภาวนาให้สิ่งที่ตนได้ยินเป็นเพียงแค่ลมที่พัดผ่าน
"...ออเจ้าว่าอย่างไรนะ?" ถามอีกคราเพื่อความแน่ใจ
"ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าข้ามิอยากมีผัว ข้าชอบพอแม่พิกุลและมิคิดที่จะเลิกชอบ"
"แต่จัน...เจ้ามิรักพี่เลยหรือ" สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกัดริมฝีปากแน่นจนขึ้นเป็นรอยแดง
"ไม่..ข้ามิเคยรักและมิคิดจะรัก" ใจคนพี่แทบสลายเมื่อได้ฟังคำตัดขาดแบบมิมีชิ้นดี
"แต่พี่รักออเจ้า...รักตั้งแต่คราแรกที่เห็น" มือหนาเอื้อมไปหมายจะกอบกุมมือของจันมาจับแต่กลับโดนจันเบี่ยงหนีและถอยออกห่าง
"ข้าใช้ให้ออเจ้ามารักข้ารึ?"
สรรพนามที่ใช้ว่าเหินห่างแล้ว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของคนน้องนั้นช่างเหินห่างยิ่งกว่า
"มิเคย...ออเจ้ามิเคยใช้ให้พี่ไปรักออเจ้า"
สายตาคมเสมองไปทางอื่น ทั้งเสียใจและไม่เข้าใจ เมื่อวานเหมือนจะผ่านไปได้ดีแต่เหตุไฉนวันนี้อีกฝ่ายจึงมาเปลี่ยนผันไป
"รู้ไว้เสียด้วยว่าข้ารังเกียจยามถูกสัมผัส ที่ข้ายินยอมเป็นเพราะข้าอยู่ในฤดูหาคู่เพียงเท่านั้น มิได้เสน่หาออเจ้าแม้แต่น้อย"
"เข้าใจแล้ว..."
สายตาของคนอายุมากกว่าดูหมองเศร้าลง จันกำมือแน่น มันมิง่ายเลยที่จะพูดในสิ่งที่ขัดกับใจตนเอง
"เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้เจอะเจอกันอีก! "
เมื่อพูดจบจันจึงเดินออกไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกวูบโหวงภายในใจของคนพี่ ไตรทศกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน
คิดเสียว่าตนมิเคยพบเจอชายหนุ่มที่ชื่อจัน
คิดเสียว่าตนมิเคยหลงรักผู้ใดเป็นคราแรก
คิดเสียว่าครั้งหนึ่งตนมิเคยหลงไหลในกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อเลย...
แปะ
หยดน้ำตาร่วงรินลงบนแผ่นกระดาษที่ไตรทศกำลังเปิดอ่าน ชายผู้มิเคยเสียน้ำตากลับหลั่งน้ำตาเพราะคนเพียงผู้เดียว 'รักเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ' ไตรทศถามตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลทุกคราคำตอบที่ได้กลับมาคือ...รักมาก
ชายหนุ่มเดินออกมาจากเรือนโดยที่มิคิดจะทักไอ้มิ่งที่ยืนมองด้วยความงุนงงแม้แต่น้อย สาวเท้าไวๆเพราะอยากถึงวัดให้เร็วที่สุดแต่อยู่ๆ ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนต้องหยุดเดิน
จันก้มหน้ามองเท้าตนเองอย่างมิมีจุดหมาย มิรู้ว่ามองไปทำไมกัน ตอนนี้ควรจะรู้สึกสบายใจมิใช่หรือที่ตัดคนน่ารำคาญอย่างไตรทศออกไปได้
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบ่นหรือคอยด่ายามดื้อรั้น
มิมีอีกแล้วฝ่ามืออุ่นที่คอยลูบหัวจนผมยุ่ง
มิมีอีกแล้วอ้อมแขนแกร่งที่คอยกอดในวันที่อ่อนแอ
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบอกรักได้ทุกเวลา...มิมีอีกแล้ว
"ฮึก จะร้องไห้ไปใย เอ็งชอบแม่พิกุลมิใช่รึ เอ็งควรดีใจสิวะไอ้จันที่เอ็งกำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้..."
ใจเจ้ากรรมกลับมิฟัง หยดน้ำตาหยดลงพื้นอย่างห้ามมิได้
"เอ็งมิได้รักเขา...ฮึก เอ็งมิได้รักเขาไอ้จัน" เช็ดน้ำตาด้วยมือลวกๆหากแต่มันก็มิยอมหยุดไหล
เกลียดเขามิใช่หรือ? ชังเขามิใช่หรือ?
แล้วเหตุใดจึงต้องร้องไห้เล่า...
ความคิดมากมายสับสนตีกันในหัวจนวุ่นวายไปหมด หรือแท้จริงแล้วน้ำตานั้นมาจากความดีใจงั้นหรือ ดีใจที่มิมีคนมาบ่นแล้ว ดีใจที่มิมีคนมาตอแยอีกแล้ว...แบบนั้นใช่รึไม่?...