พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ponpon1a ที่ 21-09-2019 21:16:30

หัวข้อ: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 21-09-2019 21:16:30
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 21-09-2019 21:18:47

จันทร์กระพ้อ

"กลิ่นกายออเจ้าช่างหอมนัก"

"ออเจ้าวิกลจริตหรือไร มาชมกลิ่นกายชายว่าหอม! "

"หากการชมชอบกลิ่นกายของออเจ้าเรียกว่าวิกลจริต ข้าก็ยอม"

"นี่เจ้า! "

.

.

.

"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!"

"เหตุใดพี่จึงต้องปล่อยเล่า"

"ออเจ้าไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวข้า!"

"แม้แต่สิทธิ์ของผัวงั้นรึ?"






จันทร์กระพ้อ คือ ชื่อของดอกไม้ไทย คนโบราณนำมาทำน้ำอบน้ำปรุง กลิ่นหอมอบอวลชวนให้ลุ่มหลงหากแต่กลิ่นนั้นให้ความรู้สึกโศกเศร้าแลหดหู่ในบางครา



**นิยายเรื่องนี้เป็นแบบ omegaverse

**สมมุติว่าในสมัยนั้นการที่ชายจะรักชายไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับนัก





ผู้แต่งไม่ได้มีเจตนาพาดพิงใครและตัวละครไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง

สถานที่บางที่มีการสมมติขึ้นบางที่อาจอ้างอิงประวัติศาสตร์

นิยายเรื่องนี้ไม่ได้อิงตามประวัติศาตร์100%โปรใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา แต่ภาษา และวัฒนธรรม ไม่ได้อิงตามประวัติศาสตร์


ภาคต่อ > ศิลาโกสุม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71299.msg4017926#msg4017926)

_____________________________________________

สารบัญ

อารัมภบท(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4004191#msg4004191)
บทที่1(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4004335#msg4004335)
บทที่2(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4004600#msg4004600)
บทที่3(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005057#msg4005057)
บทที่4(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005142#msg4005142)
บทที่5(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005294#msg4005294)
บทที่6(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005495#msg4005495)
บทที่7(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005653#msg4005653)
บทที่8(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005879#msg4005879)
บทที่9(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4005998#msg4005998)
บทที่10(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4006143#msg4006143)
บทที่11(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4006857#msg4006857)
บทที่12(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4007596#msg4007596)
บทที่13(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4007753#msg4007753)
บทที่14(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4009995#msg4009995)
บทที่15(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4011328#msg4011328)
บทที่16(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4012145#msg4012145)
บทที่17(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4012295#msg4012295)
บทที่18(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4012491#msg4012491)
บทที่19(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4013194#msg4013194)
บทที่20(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4014162#msg4014162)
บทที่21(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4014580#msg4014580)
บทที่22(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4015624#msg4015624)
บทที่23(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4015789#msg4015789)
บทที่24(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4016041#msg4016041)
บทที่25 บทส่งท้าย(รีไรท์แล้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4016473#msg4016473)
ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70952.msg4018433#msg4018433)


นามปากกา:  สีนิล

twitter : zensayx

แท็กของเรื่อง #หอมเจ้าจัน  #จันทร์กะพ้อ

[/b]
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 21-09-2019 21:21:43
อารัมภบท
"ไอ้จัน! ไอ้จันโว้ย! "
เสียงตะโกนเรียกดังเซ็งแซ่ปลุกให้ชายหนุ่มวัยละอ่อนนามว่า 'จัน' ที่กำลังนอนหลับบนเปลใต้ต้นประดู่ตื่นจากนิทราและความฝันอันแสนหวาน เสียงเรียกนั้นดังจนสามารถปลุกผีทั้งป่าช้าได้กระมัง
จันตื่นอย่างหัวเสียเพราะโดนขัดจังหวะในขณะที่กำลังจะหอมแก้ม 'แม่พิกุล' สาวสวยลูกพระยาจำรูญที่ชายหนุ่มทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง
"มีเหตุอันใดวะไอ้มั่น หากไม่สำคัญจริงกูจะบอกให้ผีไปหลอกมึง"
'มั่น' คือชื่อของผู้ที่มาปลุกและมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจัน ทั้งสองคนเป็นเด็กวัดที่โตมาด้วยกันตั้งแต่จำความได้ จันนั้นอาศัยอยู่กับตาที่ป่าช้าท้ายวัดส่วนไอ้มั่นอาศัยอยู่ในวัดกับหลวงตา
"เอ็งจะพูดทำไมวะไอ้นี่หนิ! เอ็งก็รู้มิใช่รึว่าข้ากลัวผี! " มั่นด่าเพื่อนชายคนสนิทพร้อมกับมองไปทางซ้ายทีขวาทีเพราะกลัวว่าเพื่อนของตนจะพูดจริงทำจริง
"เพราะรู้ว่าเอ็งกลัวอย่างไรเล่าข้าถึงได้แกล้งเอ็ง ฮ่าๆ"
"ตอนแรกข้าก็กะว่าจะบอกเอ็ง แต่คิดไปคิดมาข้าไม่บอกเอ็งแล้วดีกว่า" จันมองเพื่อนตัวเองที่ทำท่างอนทั้งยังทำจริตจะก้านเสียจนเขานึกว่าเป็นสตรีเพศ
"เอ้า มีเหตุอันใดก็ว่ามาสิวะ หรือเอ็งจะให้ข้าบอกผีให้ไปหลอกเอ็งจริงๆ? "
"เออๆ บอกก็ได้วะ ข้าจะมาบอกว่าวันนี้วันพระใหญ่แม่พิกุลเขามาทำบุญ นู้นกำลังสนทนาธรรมกับหลางตาอยู่เผื่อเอ็ง-"
"เรื่องดีเช่นนี้เหตุใดจึงบอกช้านักวะไอ้มั่น! "
ยังมิทันที่มั่นจะพูดจบชายหนุ่มวัยละอ่อนก็รีบดีดตัวขึ้นจากเปลพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งไปทางอุโบสถทันทีเมื่อได้ยินชื่อของคนที่ตนแอบหมายปอง มีฤาที่ชายวัยกลัดมันเช่นจันจะหักหามใจมิให้อยากเจอได้ ทั้งนานๆทีแม่พิกุลจะมาที่วัด กว่าจะมาก็ต้องรอวันพระใหญ่เท่านั้น โอกาสดีเช่นนี้ชายหนุ่มจะพลาดได้อย่างไร
"มันรีบไปไหนของมันวะไอ้มั่น"
เสียงชายชราดังขึ้นมาจากด้านหลังของมั่น พอชายหนุ่มหันไปมองก็เห็นว่าชายชราผู้นั้นคือ 'ตาคง' ผู้ที่ชาวบ้านบอกว่าเป็นหมอผีที่เลื่องชื่อที่สุดในพระนครทั้งยังเป็นตาแท้ๆของไอ้จันเพื่อนสนิทของตน
"โอ๊ย มันก็รีบไปหาแม่พิกุลไงตาคง"
"มันยังมิเลิกฝันกลางวันอีกหรือวะ"
ตาคงถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมาให้กับความมักใหญ่ใฝ่สูงของหลานชายตน ตนนั้นก็เคยเห็นหน้าแม่พิกุลผู้นี้อยู่บ้างเพราะแม่หญิงผู้นี้ชอบมาทำบุญวันพระใหญ่ประจำ หน้าตาถือว่าสะสวยกว่าหญิงใดในพระนคร ทั้งยังเกิดในตระกูลข้าราชการชั้นสูงอีกด้วย มีฤาที่จะมาชายตาแลไอ้จันหลานชายของตนที่เป็นแค่เด็กวัดมิได้มีฐานะสูงศักดิ์อันใด
"เอาน่าตาคงปล่อยให้มันเพ้อฝันเสียหน่อยจะเป็นไรไป อีกทั้งปีนี้มันก็อายุ20แล้วมิใช่รึ? ก็ถือว่ามันโตพอที่จะออกเรือนแล้วหนา"
"อย่าว่าแต่มันเลยไอ้มั่น เอ็งก็เหมือนกันมิใช่รึ? อายุมากกว่าไอ้จันแค่ปีเดียวทำเป็นพูด"
"ข้ามิอยากจะพูด มีสาวเล็กสาวใหญ่ยืนเรียงรายให้ข้าเลือกจนถึงตลาดใหญ่โน้น"
ผัวะ!
"ขี้โม้จริงๆ เลยนะเอ็ง" ตาคงถวายฝ่ามือลงบนหัวไอ้มั่นเต็มๆ เพราะหมั่นไส้ในความขี้โม้แลโอ้อวดของมันเสียเต็มทน
"โอ๊ยย ตาคงมือหนักไปรึไม่จ้ะ อู้ยย หัวขาบวมแล้วกระมัง" มั่นพูดไปลูบหัวตัวเองไป
"เอ็งอย่ามัวแต่ยืนโม้ ตามไปดูไอ้จันมันหน่อยไป"
"จ้าา" มั่นเดินไปโอดโอยไปตามทางเพราะความรู้สึกเจ็บแปลบจากฝ่ามือของตาคงยังคงมิจางหายไปไหน
ทางด้านของจัน หลังจากที่วิ่งออกมาจากท้ายวัดและวิ่งมาถึงประตูอุโบสถก็เห็นว่าแม่พิกุลกำลังสนทานากับหลวงตาอยู่ มองจากด้านหลังแม่พิกุลก็ดูสวยสง่ามากมายถึงเพียงนี้มิอยากคิดเลยว่าหากได้เห็นหน้าจิตใจอันห่อเหี่ยวเพราะมิได้เจอแม่พิกุลมานานมันจะชุ่มชื้นสักเพียงใด
ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้าไปในอุโบสถก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลานเข่าเมื่อเข้าใกล้หลวงตา ยามเมื่อเงยหน้าสายตาก็สบเข้ากับแม่พิกุล  ตากลมโตแลขนตาที่เรียงเป็นแพยาวนั้นช่างน่าหลงไหลนัก
"แฮ่ม! "
เสียงกระแอมของหลวงตาดึงจันให้ออกจากภวังค์แห่งรัก จันทำหน้าเสียดายเมื่อแม่พิกุลหลบตาไปทางอื่นพอมองไปด้านข้างของตนก็เห็นว่าหลวงตามองดูอยู่
"หลวงตาเจ็บคอหรือจ้ะ เอาชาสักนิดดีหรือไหม? " จันเอ่ยถามหลวงตาที่เลี้ยงดูและสอนหนังสือตนมาอย่างเอาใจ
"มิต้อง ข้าดื่มชาไปเยอะแล้ววันนี้ แล้วนี่เอ็งทำการอันใดอยู่เหตุใดจึงพึ่งมา? " หลวงตาถามเสียงดุ
"เอ่อ...คือข้าช่วยตาเก็บของอยู่จ้ะ"
"งั้นรึ มุสามันบาปนะไอ้จัน ข้ารู้ว่าเอ็งนอนหลับจนเพลิน"
"แหะๆ จ้าหลวงตา"
"คิกๆ " เสียงหัวเราะใสๆ ทำให้จันต้องหันไปมอง แม่พิกุลผู้เรียบร้อยกำลังปิดปากขำอย่างน่ารักน่าชัง
"ขอโทษเจ้าค่ะหลวงตา" เมื่อเห็นว่าโดนมองจึงหยุดหัวเราะแลนั่งในท่าสงบตามเดิม
"มิเป็นอันใดดอกโยมพิกุล หากมิมีอะไรแล้วอาตมาขอตัวก่อนหนา"
"เจ้าค่ะ"
หญิงสาวก้มลงกราบอย่างอ่อนช้อย แม่พิกุลลุกขึ้นทำให้ชายหนุ่มคิดที่จะลุกตาม แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นเพราะหลวงตาดันพูดขัดเสียก่อน
"ไอ้จันเอ็งอยู่เก็บของเสียก่อนอย่าพึ่งลุก" เสียงของหลวงตาดังกำชับทำให้ต้องชะงักไปเล็กน้อย
"แต่..."
"เร็วสิ" มีฤาที่ชายหนุ่มจะขัดคำสั่งหลวงตาได้
"จ้ะหลวงตา" สิ่งที่ทำได้มีแค่รีบเก็บของให้เสร็จแล้วเดินตามไปส่งแม่พิกุลที่หน้าวัดเท่านั้น
ใช้เวลาแค่ชั่วครูของทุกอย่างที่แม่พิกุลนำมาถวายก็ถูกเก็บจนเรียบร้อย จันรีบวิ่งออกมาจากอุโบสถทันทีเพราะอยากจะช่วยแม่พิกุลถือของเพราะทุกคราที่แม่พิกุลจะคุยกับหลวงตามักจะให้พวกข้าทาสบริวารรออยู่หน้าวัดเสมอทำให้แม่หญิงผู้บอบบางต้องถือของเอง
ไอ้จันรึก็เป็นห่วงกลัวว่าแม่พิกุลจะหนักเลยชอบอาสาช่วย หากแต่เมื่อวิ่งมาถึงสายตาก็มองไปเห็นแม่พิกุลกำลังยืนคุยอยู่กับคนผู้หนึ่งจนมันต้องหลบเพื่อแอบฟัง
"มิเหนื่อยดอกเจ้าค่ะ พี่ไตรอย่าห่วงไปเลย น้องมิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น"
"คงมิได้ดอก หากออเจ้าเป็นอันใดไปท่านอาจำรูญคงเอ็ดพี่เป็นแน่"
"เพราะกลัวโดนเอ็ดหรอกหรือเจ้าคะพี่ไตรถึงมาช่วยน้องถือ? " สีหน้าของแม่พิกุลดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ไอ้นี่มันเป็นผู้ใดเหตุใดจึงได้กล้ามาทำร้ายความรู้สึกของแม่พิกุลถึงเพียงนี้!
จันไล่สายตามองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ คนผู้นี้ดูมีอายุมากกว่าแม่พิกุลและตัวมันเอง ใบหน้าคมเข้มคิ้วดกดำส่วนสีผิวก็คล้ำแดดนิดหน่อยแต่ถือว่ามิมาก เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเหมือนชุดพวกขุนนาง หรือมันจะเป็นอีกคนที่เข้ามาจีบแม่พิกุล? ทั้งแม่พิกุลยังดูมีใจให้มันเสียอีกด้วย
เรื่องนี้ไอ้จันยอมมิได้!
"มิใช่เช่นนั้นดอก" ทั้งน้ำเสียงก็ดูสุขุมนุ่มลึก หากไอ้จันเป็นสตรีเพศก็คงหลงมันไปอีกรายเป็นแน่
"อย่างนั้นหรือเจ้าคะ" แม่พิกุลกลับมายิ้มแป้นเหมือนดังเดิม ทำเอาใจของไอ้จันแทบจะละลายกลายเป็นโคลนตม
"ไอ้จันทำอะไรอยู่วะ?" เสียงเรียกของไอ้มั่นดึงความสนใจของคนทั้งคู่ที่จันกำลังแอบฟังบทสนทนานั้นอยู่
"เอ่อ" เมื่อถูกจับได้จึงยอมออกจากที่ซ่อนพร้อมมองไปที่คนทั้งคู่ รอมินานไอ้มั่นก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ
"สบายดีรึแม่พิกุล" ไอ้มั่นเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง
"สบายดีจ้ะพี่มั่น" แม่พิกุลยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
"แล้วนี่ผู้ใดรึรูปหล่อเชียว" ชายหนุ่มเอ่ยชมอย่างมิคิดอะไร ทำให้ตอนนี้จันกำลังมองเพื่อนของตนเขม็งเพราะมันดันบังอาจมาชมศัตรูหัวใจของตนเสียใด
"ขอบคุณออเจ้าที่ชม ข้าชื่อไตรทศ วันนี้มาเป็นเพื่อนแม่พิกุลเขา"
"ไตรทศ...เอ ข้าคุ้นๆ ออเจ้าเป็นลูกของพระยาเกษมใช่หรือไม่? " ชายที่ชื่อว่าไครทศพยักหน้า เป็นถึงลูกของพระยาดอกรึ คงเป็นพวกผู้ดีนั่นแหละหนา นิสัยก็คงเหมือนๆ กันหมด ชอบดูถูกคนและรังแกพวกบ่าวไพร่
"ข้าชื่อมั่น เป็นเด็กวัดอยู่ที่นี่" อีกสักพักมันคงจะดูถูกไอ้มั่นว่าเป็นแค่เด็กวัดแต่ตีตนเสมอลูกพระยาเป็นแน่
"ยินดีที่ได้รู้จักนะพ่อมั่น" แต่มันก็มิได้เป็นไปอย่างที่จันคิดเพราะชายผู้นี้กลับพูดด้วยความยินดีมิได้ดูถูกดูแคลนเพื่อนของตนแต่อย่างใด
"แล้วออเจ้าเล่า มีชื่อว่าอะไรรึ?" ไตรทศหันมาถามจันที่ยืนมองอยู่ด้วยท่าทางมิชอบใจนัก
"อยากรู้ไปทำไมเล่า รู้แล้วมันจะทำให้ออเจ้ารวยขึ้นรึ? " เพราะเป็นคู่เเข่งเลยมิมีเหตุอันใดทำให้ต้องมาญาติดีด้วย
"ก็ไม่ดอก หากแต่ข้าอยากรู้ชื่อของออเจ้าเท่านั้น"
"มันชื่อไอ้จันจ้ะ" เป็นมั่นที่ตอบแทน จันหันไปมองเพื่อนรักของตนด้วยสายตามิพอใจจนมั่นแอบเสียวสันหลังวาบ
"งั้นดอกรึ เป็นชื่อที่ไพเราะดีหนา" ต้องรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนชมว่าชื่อไพเราะ? ทั้งผู้ที่ชมยังเป็นบุรุษเพศเสียด้วย
"กลับกันเถิดเจ้าค่ะคุณพี่ไตร นี่ก็สายมากแล้ว น้องมีนัดไปร้อยพวงมาลัยกับคุณหญิงแม่ต่อเจ้าค่ะ ไปก่อนนะพี่จันพี่มั่น"
หญิงสาวไหว้เพื่อเป็นการลาทั้งสองคน เด็กวัดทั้งสองรับไหว้ด้วยความเอ็นดู ก่อนจันจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อหันไปเจอไตรทศที่กำลังมองมาที่ตน
"เดินทางปลอดภัยนะแม่พิกุล" จันหันไปลาหญิงสาวที่กำลังยืนยิ้มให้
"ออเจ้ามิลาข้าบ้างรึ? " แล้วก็ต้องอารมณ์เสียอีกคราเมื่อไอ้คนที่ชื่อไตรทศถามหาคำลา
"ไปที่ชอบที่ชอบนะจ้ะ" ชายหนุ่มจึงเอ่ยลาด้วยคำพูดความหมายกำกวม
"หึ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องมาที่นี่ทุกวันเสียแล้วกระมัง" แลไตรทศก็ลาด้วยคำพูดกำกวมเช่นกัน
TBC.
ปรับแก้คำนิดหน่อยค่ะเนื่องจากมีคุณนักอ่านติงว่าคำว่า "ชายหนุ่ม" เยอะเกินไป ซึ่งพอเรามาอ่านซ้ำก็รู้สึกว่าเยอะจริงๆ แหะๆ
ขอบคุณสำหรับคำติเพื่อก่อนะคะ <3 ถ้าพบตรงไหนผิดพลาด/ควรแก้ สามารถแจ้งได้ค่ะ ยินดีรับฟังเสมอ :D
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-09-2019 22:34:52
 :pig2:สนุก น้องจันท่าจะแสบมาก พี่ไตรจะปราบพยศน้องแบบไหนถึงจะเอาอยู่น้า. รอจ้า :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-09-2019 23:27:59
แหน๊ ออกตัวแรงเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 21-09-2019 23:28:34
 :pig2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-09-2019 04:14:35
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 22-09-2019 05:13:56
น่ารักกกกก บุกจีบเลยรึ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าแก่ ที่ 22-09-2019 11:06:57
เริ่มเรื่อง ก็สนุกแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-09-2019 11:51:00
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-09-2019 16:14:40
น่าติดตามมากๆ คุณพี่ไตร ออกตัวแรงนะเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 22-09-2019 16:31:54

บทที่ ๑
"ไอ้มิ่ง"
"ขอรับคุณท่าน"
'ไอ้มิ่ง' ทาสหนุ่มคนสนิทของไตรทศเอ่ยตอบรับเจ้านายตนหลังจากที่ผู้เป็นนายนั้นนั่งเงียบอยู่เสียนานตั้งแต่ตอนเช้าหลังจากที่กลับมาจากวัดกับคุณพิกุล ทั้งยังทำสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลาเหมือนกำลังคิดหนักหรือคิดไม่ตก มิรู้ว่าไปเจอเหตุการณ์อันใดมา ครั้นผู้เป็นทาสจะเอ่ยถามก็มิกล้า เพราะเป็นแค่ทาสจึงมิอาจละลาบละล้วงผู้เป็นนาย
"เอ็งรู้จักเด็กวัดที่ชื่อจันหรือไม่?" ทาสหนุ่มทำท่าคิด
"ไอ้จันเพื่อนไอ้มั่นหรือขอรับ? " ไตรทศมิตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้าเป็นคำตอบแทน
"รู้จักสิขอรับ มันเป็นหลานตาคงหมอผีที่ชาวบ้านนับถือกัน ทั้งมันยังมีหน้าตาหล่อเหลาคมสันเสียจนสาวน้อยสาวใหญ่ติดมันตรึม จนกระผมเองยังแอบอิจฉามันเลยขอรับ"
ไตรทศนั่งฟังสิ่งที่ทาสหนุ่มเล่าอย่างตั้งใจ ที่พูดมาก็เป็นความจริง นายจันผู้นี้หน้าตาถือว่าดีมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด ติดที่แค่นิสัยหุนหันไปเสียหน่อย หากสอนสั่งดีๆเสียหน่อยก็คงพอไปวัดไปวากับเขาได้
"อีกอย่างกระผมได้ยินมาด้วยว่ามันแอบชอบพอคุณพิกุลด้วยขอรับ"
ก็ใช่ว่าตัวเขาจะดูมิออกว่าชายหนุ่มผู้นี้ชอบแม่พิกุลอยู่มากโขแลมิชอบที่เห็นตนอยู่กับแม่พิกุล ป่านนี้คงคิดว่าตนเป็นศัตรูหัวใจไปเสียแล้วกระมัง
"แต่คุณท่านอย่ากังวลไปเลยขอรับ คุณท่านของไอ้มิ่งหล่อเหลากว่าตั้งเยอะ คุณพิกุลคงมิชายตาแลมันหรอกขอรับ"
เขาคิดหนักเรื่องนี้เสียเมื่อไหร่ ไตรทศแค่รู้สึกสนใจในตัวนายจันผู้นี้เท่านั้น เรื่องชอบพอแม่พิกุลมันก็สิทธิของเขา ตนมิได้สนใจเสียด้วยซ้ำ
ชอบได้ก็เลิกชอบได้
"เอ็งนี่หัดเลียแข้งเลียขานะไอ้มิ่ง" หันไปดุทาสหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่มิไกล
"หามิได้ขอรับ กระผมแค่พูดความจริงเพียงเท่านั้น"
ไตรทศนั้นชินกับคำเยินยอเรื่องหน้าตาไปเสียแล้วเพราะได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต มิรู้ดอกว่าผู้คนที่ชอบมาชมนั้นจริงใจจริงหรือไม่ เพราะบางคนแค่รู้ว่าตนเป็นถึงลูกของท่านพระยาเกษมก็เข้ามาทำดีด้วยเสียแล้ว เข้าหาด้วยฐานะ มิได้เข้าหาเพราะอยากรู้จักจริงๆสักราย

"ไปดูแม่พิกุลร้อยมาลัยเสียหน่อยดีกว่า" พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเกาอี้ไม้สักทองตัวที่นั่งอยู่ เดินไปทางชานเรือนที่มีคุณหญิงแม่และคุณหญิงป้ามารดาของแม่พิกุลกำลังนั่งดูแม่พิกุลร้อยมาลัยดอกแก้วอยู่มิไกล
"มาแล้วหรือไตรทศ" คุณหญิงนิ่มหรือแม่นิ่ม ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้น
"ขอรับ"
"สบายดีหรือพ่อไตร?" คุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลเอ่ยถาม
"สบายดีขอรับคุณหญิงป้า" ไตรทศไหว้ผู้มีอายุทั้งสองก่อนจะเดินไปนั่งบนตั่งไม้สักที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก
"งามหรือไม่เจ้าคะคุณพี่ไตร?"
หญิงสาวที่นั่งร้อยพวงมาลัยอยู่หันมาถามไตรทศ ชูมาลัยดอกแก้วที่ถูกร้อยอย่างบรรจงให้ดู พอมองดูก็เห็นถึงความใส่ใจ และรายละเอียดที่สวยงาม ดอกแก้วมิช้ำแม้สักดอกเดียว ชี้ให้เห็นว่าผู้ร้อยนั้นตั้งใจบรรจงร้อยเพียงใด
"งามแล้วแม่พิกุล"
"เจ้าค่ะ"
สาวน้อยก้มหน้าร้อยต่ออย่างขวยเขิน รู้ดีว่าคนพี่ชมมาลัยมิได้ชมตน แต่คำชมนั้นก็ทำเอาหัวใจเต้นมิเป็นจังหวะทีเดียวเชียว
"เจ้าร้อยให้พี่สักพวงได้หรือไม่? พี่อยากจะเอาไปถวายพระท่านพรุ่งนี้เสียหน่อย "
"เหตุใดจะมิได้ล่ะเจ้าคะ น้องเต็มใจหากพี่ไตรต้องการ"
"ขอบใจออเจ้ามากหนา" พิกุลยิ้มรับอย่างยินดี พรางหันไปตั้งใจร้อยมาลัยในมือตนต่อ
ทุกคำพูด ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งคู่ ผู้เป็นมารดาทั้งสองมองภาพชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองด้วยความเอ็นดู
เหตุที่คุณหญิงลำดวน มารดาของพิกุลมาด้วยวันนี้ก็เพราะว่าอยากจะมาคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างแม่พิกุลและไตรทศนั่นเอง หากแต่การคุยนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เรื่องหมั้นหมายจึงมิมีผู้ได้ล่วงรู้
"เร็วๆสิไอ้มิ่ง ประเดี๋ยวพระท่านก็ไปก่อนเสียหรอก" ไตรทศพูดเร่งทาสหนุ่มที่ตื่นสายกว่าทุกวันจนทำให้การเดินลงไปใส่บาตรที่ท่าน้ำเกือบล่มกลางคัน
"มาแล้วขอรับ"
ไอ้มิ่งรีบเร่งฝีเท้าวิ่งลงมาที่ท่าน้ำด้วยความเหนื่อย พร้อมกับยื่นของใส่บาตรให้ผู้เป็นนาย ไตรทศรับไว้และจัดเรียงเพื่อรอหลวงตาที่กำลังนั่งเรือมาทางนี้
"วันนี้โยมไตรทศมาใส่บาตรแทนโยมนิ่มรึ? "
"ขอรับหลวงตา" ปากเอ่ยตอบหลวงตาแต่สายตาของชายหนุ่มกลับหันไปมองเด็กวัดผู้ที่เป็นคนพายเรือเสียมากกว่า
"มองข้าทำไม ความหล่อมันติดหน้าข้ารึ? " จันเอ่ยคำพูดหาเรื่องไตรทศทันทีเมื่อมีโอกาส
"หลงตัวเองเสียจริงนะเอ็ง" เป็นไอ้มิ่งที่ตอบกลับ
"เสือกจริงเอ็งหนิ" แล้วคนทั้งคู่ก็ด่ากันไปมาเสียจนหลวงตาต้องกระแอมเพื่อเป็นการห้ามศึก
"พวงมาลัยทั้งสวยทั้งประณีตเลยหนาโยมไตรทศ" เมื่อหลวงตามองเห็นพวงมาลัยที่แม่พิกุลเป็นคนร้อยก็ถึงกับเอ่ยปากชม
"แม่พิกุลร้อยให้ขอรับ"
"งั้นดอกรึ ข้าฝากชมโยมพิกุลด้วยหนา"
"ขอรับ"
ไตรทศยกมือไหว้หลวงตาพลันสายตาก็หันไปเห็นจันที่นั่งทำท่ามิพอใจที่ตนเอ่ยถึงแม่พิกุล ท่าทางขู่เหมือนกันกับเสือ ไม่สิเป็นแมวที่กำลังขู่เสียมากกว่า
"ไปได้แล้วไอ้จัน" ชายหนุ่มไม่พายต่อสักทีจนหลวงตาหันมาเอ็ด
"ขอรับหลวงตา"
เรือถูกพายออกไปแต่สายตากลับมิมองไปด้านหน้ากลับมองมาที่ไตรทศทั้งยังจ้องเขม็งเสียนี่ สงสัยจะทำให้อีกคนไม่พอใจเสียแล้วสิ...ไตรทศคิดในใจ

"อารมณ์เสียโว้ย! "
จันเดินกลับมาที่กระท่อมท้ายวัดด้วยความหัวเสียเพราะไอ้คนที่ชื่อไตรทศมันดันให้แม่พิกุลร้อยมาลัยให้ ทั้งตอนที่กำลังจะพายเรือออกมายังเห็นมันยิ้มเยาะเย้ยอีกเสียด้วย คนอย่างไอ้จันฆ่าได้หยามมิได้!
"เป็นอะไรวะไอ้จัน? " มั่นที่นั่งอยู่ในบนแคร่ไม้ไผ่เอ่ยถามเพื่อนรัก
"ก็ไอ้ไตรทศอย่างไรเล่า มันยิ้มเยาะเย้ยข้าเรื่องแม่พิกุล"
"งั้นดอกรึ ข้าว่าเขาก็ดูเป็นคนดีหนา"
"นี่เอ็งยังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหมวะไอ้มั่น! " ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่เมื่อชายผู้ที่เป็นศัตรูหัวใจถูกเอ่ยชม
"เอ็งมาอารมณ์เสียแบบนี้ก็มิช่วยอะไรดอก สู้เอ็งเร่งทำคะแนนมิดีกว่ารึ"  คำพูดของมั่นดึงสติของจันคืนมา นั่นสิหนา  ไปสนใจมันก็มิได้มีอะไรดีขึ้น สู้ไปสนใจแม่พิกุลจะดีกว่า
"ขอบใจเอ็งมากนะมั่น" จันเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อนของตนสองสามทีจนมั่นเปลี่ยนอารมณ์ตามมิทัน
"พี่จันจ๋า! "
มีเสียงหญิงสาวตะโกนเรียกมาแต่ไกลถึงมิต้องหันไปมองก็พอจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือผู้ใด เพราะคนที่มาหาจันได้ทุกวันและไม่เหน็ดเหนื่อยก็คงมีเพียงผู้เดียว 'บุหงา' สาวชาวบ้านที่ชอบจันตั้งแต่ยังเด็กจนโตเป็นสาวก็ยังมิเลิกชอบ
"มีเรื่องอันใดหรือบุหงา?"
"ข้าจะมาชวนพี่จันไปเดินเล่นที่ตลาดใหญ่จ้ะ"
"พอดีเลยข้ากำลังหิว ว่าจะไปหาซื้ออะไรกินเสียหน่อย" เป็นมั่นที่ตอบรับแทน
"ข้าชวนพี่จันหาใช่พี่มั่นไม่"
"ข้าก็พูดกับไอ้จันหาได้พูดกับเจ้าไม่"
"พี่มั่น! "
แล้วทั้งสองคนก็ไล่ตีกันเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็ก หากแต่ว่าตอนนี้บุหงานั้นอายุ๑๙ปี ส่วนมั่นก็อายุ๒๑ปี มิใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว หากมีใครว่าเห็นคงด่าว่าโตเป็นควายแล้วยังจะตีกันอีก
"พอได้แล้วพวกเอ็ง ข้าหิวแล้วไปหาอะไรกินกันเถิด" ยามยังเด็กเวลาที่ทั้งสองทะเลาะกันผู้ที่ห้ามก็มักจะเป็นจันอยู่ร่ำไป
ตลาดใหญ่ คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดในพระนครตามคำเรียกของชาวบ้าน มีสินค้ามากมายทั้งของกิน ของใช้และเครื่องนุ่งห่ม
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็มีตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาจนถึงพ่อค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณนั้น เพราะเป็นของที่ชาวบ้านหามาและทำขึ้นเองราคาจึงมิได้แพงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีของแพงเลย อย่างพวกผ้าแพรผ้าไหมที่คุณหญิงคุณนายนุ่งห่มกันชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีโอกาสได้ซื้อ ผู้ที่เป็นผู้คุมตลาดและเก็บค่าภาษีในการขายก็คือพระยาเกษมบิดาของผู้ที่จันไม่ชอบน้ำหน้าที่สุด

"โอ๊ย! เอ็งหาเรื่องข้าทำไมวะ! "
"เอ็งมาชนข้าก่อนมิใช่รึ? "
"ข้าก็กล่าวขอโทษเอ็งแล้วอย่างไรเล่า"
"แค่นั้นมันจะไปพออะไรวะ! "
เสียงของคนทะเลาะกันดึงความสนใจของทั้งสามคน จันเดินเข้าไปใกล้วงล้อมของชาวบ้าน มองเข้าไปที่ใจกลางวงล้อมจึงเห็นว่าคนที่ล้มลงไปกับพื้นคือมิ่ง ทาสคนสนิทของไอ้คนที่ชื่อไตรทศ
"เอ็งนี่มันอันธพาลเสียจริงนะไอ้หมื่นเดชา! "
ชื่อของผู้มีอำนาจถูกเรียกออกมาด้วยถ้อยคำที่มิให้เกียรติ ทำให้เส้นของความอดทนขาดผึง หมื่นเดชาปรี่เข้าไปดึงคอเสื้อของไอ้มิ่งขึ้นหมายจะชกเข้าไปที่หน้ามันให้สาแก่ใจที่มันบังอาจมาเรียกตนว่าไอ้
มิ่งหลับตากัดฟันแน่นเมื่อรู้ว่าจะถูกต่อยเป็นแน่ หากแต่มิได้มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลืมตามองจึงเห็นว่าหมัดหนักๆ ของหมื่นเดชาถูกใครอีกคนสกัดไว้ด้วยมือข้างเดียวและคอเสื้อของตนก็ถูกปล่อยออก
"ไอ้จัน! " ทาสหนุ่มแหวออกมาด้วยความดีใจที่มีคนมาช่วย
"เอ็งนี่มันขยันหาเรื่องจริงๆเลยนะไอ้มิ่ง" จันหันไปต่อว่ามิ่งอย่างหัวเสีย "ส่วนเอ็ง มาคุยกับข้านี่"
"หึ ข้ามิมีเรื่องจะคุยกับพวกไพร่ชั้นต่ำ!" คำพูดดูถูกถูกพ่นออกมาจากผู้ที่มีฐานะเป็นถึงหมื่น
หากจำมิผิดหมื่นเดชาผู้นี้เป็นอันพาลดีๆนี่เอง ชาวบ้านต่างเลื่องลือกันว่าเป็นคนเถื่อน โฉดชั่ว ชอบข่มเหงพวกทาสในเรือน และมีนิสัยชอบรังแกผู้อื่นจนเป็นที่เอือมระอาของพระยาผู้เป็นพ่อ
"แต่ข้ามี" เสียงสุขุมที่จันเกลียดนักเกลียดหนาดังขึ้น
"ไตรทศ.." เสียงขบกรามดังจนจันได้ยิน ถ้าให้เดาหมื่นเดชาผู้นี้คงชังน้ำหน้าไตรทศเป็นแน่
"คุณท่านขอรับ! " ไอ้มิ่งรีบลุกและวิ่งไปหลบอยู่หลังผู้เป็นนาย
"หึ จะมาออกหน้าแทนทาสของเอ็งรึ? " หมื่นเดชายิ้มกระหยิ่มเป็นการเยาะเย้ยเมื่อเห็นว่าไตรทศยอมลดตัวลงต่ำเพื่อช่วยเหลือทาสผู้ต่ำต้อย
"แล้วมันทำไมวะ? " ไตรทศมิได้เป็นผู้ตอบหากแต่ผู้ตอบคือจันที่ยืนกำหมัดด้วยความโกรธา
"เอ็งเป็นแค่ไพร่อย่ามาเสือ-"

ผัวะ!
เสียงต่อยดังสนั่น ผู้ที่มีตำแหน่งมากกว่าล้มลงไปนอนบนพื้น จันประทับรอบหมัดบนใบหน้านั้นด้วยความฉุนเฉียว โดนดูถูกว่าเป็นไพร่มีหรือที่ไอ้จันจะยอม บอกแล้วไงว่าฆ่าได้แต่หยามมิได้!
"มึง! " เหล่าบริวารของหมื่นเดชากรูเข้าหาจันทันที ทั้งจับตัวและต่อยเข้าที่หน้าท้อง
"พวกเอ็งหยุดบัดเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านพระยาเกษมมาลากตัวพวกเอ็งไปขังให้หมด! "
เป็นมั่นที่เข้ามาห้ามการทะเลาะ จันถูกต่อยไปแค่มิกี่ที่ส่วนพวกบริวารของหมื่นเดชา...เจ็บปางตาย ชายหนุ่มได้ร่ำเรียนวิชาหมัดมวยกับหลวงตามามีหรือจะมาแพ้พวกทาสที่มิได้รับการฝึกมาเช่นตน
"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! " หมื่นเดชาพูดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินหายลับไปในฝูงชน
"พี่จันเป็นอย่างไรบ้างจ้ะพี่" บุหงารีบปรี่เข้ามาถามทันทีที่เหตุการณ์สงบลง
"แค่นี้เองข้ามิเป็นอันใดดอก" ตอบไปเช็ดเลือดที่มุมปากไป
"เหตุใดออเจ้าถึงใจร้อนนัก" ไตรทศเดินเข้ามาถามจันที่กำลังเช็ดเลือดที่มุมปากของตนเอง
"ข้ามิชอบให้ผู้ใดมาดูถูกข้า"
"เจ็บมากหรือไม่? " ไตรทศเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองสังเกตแผลที่มุมปากที่กำลังปริแตก ทั้งยังมีเลือดซึมออกมา
"แค่นี้ไกลหัวใจมา- โอ๊ย! เอ็งจะจับหาพระแสงอะไรวะ! "
จันร้องโอดโอยทันที่ที่ไตรทศใช้มือกดเข้าที่ข้างเอวตน แค่สังเกตดูไตรทศก็รู้แล้วว่าจันมีอาการช้ำในเพราะโดนเตะต่อยที่ลำตัวไปหลายหมัด
"ออเจ้ามากับข้า" ไตรทศออกคำสั่งทันทีเมื่อเห็นว่าอาการของจันมิสู้ดีนัก
"ไม่! "
"จัน ข้าบอกให้มากับข้า มิเช่นนั้นข้าจะไปบอกหลวงตาให้ลงโทษออเจ้าเสียข้อหามีเรื่องชกต่อย"
"นี่เจ้า! ...ไปก็ได้วะ! "
จันต้องจำใจเดินตามไตรทศไปอย่างช่วยมิได้ ก่อนไปก็มิลืมที่จะกำชับบุหงาและมั่นว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับตาคงและหลวงตาเป็นอันขาด
ระหว่างทางก็ร้องโอดโอยอย่างอดกลั้นเพราะกลัวว่าไตรทศจะได้ยินและล้อเลียนตนเอง
ใช้เวลามินานก็มาถึงเรือนไม้หลังหนึ่ง เป็นเรือนเดี่ยวๆ พอมองออกไปก็เห็นว่ามีเรือนอื่นอยู่มิไกลนัก จันอดแปลกใจมิได้ว่าเหตุใดไตรทศจึงพาตนมาที่เรือนนี้และเป็นเรือนของผู้ใดก็มิรู้
"เรือนของท่านไตรทศเขา" เป็นไอ้มิ่งที่ไขข้อสงสัยของจัน
"เหตุใดจึงต้องมาปลูกเรือนไกลจากเรือนอื่นวะ? " ความสงสัยของจันเริ่มก่อตัว
"คุณท่านของข้ามิชอบความวุ่นวายกระมัง" จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"ไอ้มิ่ง" เสียงเรียกอันน่ากลัวดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำเอาทาสหนุ่มเสียวสันหลังวาบ
"ข้า..ข้าไปก่อนนะจัน" มิ่งรีบกุลีกุจอลงจากเรือนเพราะกลัวโดนทำโทษเรื่องที่แอบนินทาเจ้านาย
"ออเจ้าพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าอยู่รึ? " ไตรทศเดินเข้ามาหาจันที่นั่งกุมสีข้างอยู่ที่ชานเรือน ในมือถือถ้วยยาและสิ่งของคล้ายลูกประคบ
"เรื่องเรือนนี่อย่างไรเล่า ข้าเห็นว่าปลูกไกลเรือนอื่นจึงคิดว่าแปลกพิลึก" ชายหนุ่มขำเมื่อได้ยินคำพูดอันใสซื่อสมกับเป็นเด็กหนุ่มธรรมดากับเขาเสียที
"หัวเราะอะไรของเอ็ง? "
"มิมีอันใดดอก เปิดเสื้อขึ้นข้าจะประคบให้"
"ไม่มีทาง! ข้ามิเปิด! "
เมื่อเห็นท่าทีดื้อดึงของจันไตรทศจึงขยับเข้าไปใกล้และจับตัวไว้เพื่อที่จะเปิดเอง เพราะหากมัวแต่บอกให้จันเปิดคงมิได้ทำแผลกันเป็นแน่ ทั้งสองยื้อกันอยู่นานจนในที่สุดจันก็เริ่มหมดแรง
ไตรทศกดไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าลงกับชานเรือนด้วยความเบามือพร้อมกับใช้มือเลิกเสื้อขึ้น ทันใดนั้นสายตาก็ปะทะเข้ากับปานสีแดงที่ขอบโจงกระเบนที่จันใส่อยู่ มันเป็นปานแดงที่มีรูปร่างคล้ายดอกไม้ นี่คงเป็นสาเหตุที่จันมิยินยอมให้ตนเปิดดู
"มัน...มันน่าเกลียดใช่หรือไม่? " จันถามด้วยเสียงสั่นเครือ ปานนี้เป็นปานที่จันมิเคยให้ผู้ใดเห็น เป็นปานที่ตนเองมิชอบและชังนักชังหนา
"มิใช่ดอก ข้าว่ามันเหมือนดอกไม้แลดูสวยดี" ไตรทศเป็นคนแรกที่เอ่ยชมปานนี้ เพราะที่ผ่านมามีแต่ผู้บอกว่ามันน่าเกลียด
"ขอบใจ- โอ๊ย! เอ็งจะประคบก็บอกก่อนสิวะ! " จันโวยวายอีกครั้งเมื่อไตรทศเริ่มประคบไปตามรอยช้ำที่สีข้าง มันช้ำหนักจนเห็นเป็นสีเขียวเป็นปื้น
"หึ เด็กดื้อก็ต้องโดนแบบนี้แหละ"
ไตรทศยิ้มมุมปากพรางใช้มือจับลูกประคบประคบตามรอยช้ำบนเรือนร่างของจัน จันจัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างดีมิผอมกะหร่อง มีกล้ามหน้าท้องให้เห็นลางๆ สีผิวก็มิได้คล้ำแดดเช่นเดียวกับตน สงสัยเพราะวันๆ มิได้ไปไหนคอยรับใช้หลวงตาอยู่ในวัดอย่างเดียวกระมั้ง ผิวพรรณถึงได้เนียนลื่นดีถึงเพียงนี้
นานเท่าใดแล้วก็มิรู้ได้ที่ไตรทศมิได้ยิ้มด้วยความสุขถึงเพียงนี้ เหล่าทาสที่ทำงานอยู่บนเรือนต่างนั่งก้มหน้าก้มตาและยิ้มให้กันกับภาพตรงหน้า ภาพที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนดิ้นไปมาบนชานเรือนและมีนายของพวกมันก้มประคบยาให้ด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังดูมีความสุขเมื่อได้แกล้งคนใต้ร่าง
"นี่ ข้ามีเรื่องอยากถาม" จันเอ่ยถามเมื่อไตรทศประคบแผลให้จนเสร็จ
"ออเจ้าว่ามาสิ" และไตรทศก็มิเกี่ยงที่จะตอบ
"ทำไมเจ้าถึงได้มาปลูกเรือนไกลผู้อื่น หรือว่ามาปลูกเพื่ออยู่กับเมียงั้นรึ? " ไตรทศที่กำลังนั่งจิบชาแทบสำลักเมื่อโดนเอ่ยถาม
"ข้าชอบความสงบ และข้ายังมิมีเมีย"
"เจ้าเนี่ยนะ? " จันทำเสียงแปลกใจ เพราะดูอายุอานามไตรทศก็มิใช่น้อยๆ อายุเพียงนี้ควรออกเรือนได้แล้ว
"มันแปลกรึ? "
"แปลกสิ ข้าเองอายุพึ่งจะ๒๐ปี ยังคิดที่จะมีเมียเลย เจ้าดูอายุเยอะกว่าข้าเสียอีก เจ้าเองก็ควรจะมีเมียได้แล้ว"
"ข้ามิใคร่อยากจะออกเรือนเสียเท่าไหร่"
ไตรทศตอบอย่างมิยี่หระ เพราะถึงตนจะมิออกเรือนก็ยังพี่ชายตนอีกคนที่น่าจะมีหลานให้บิดากับมารดาของตนอุ้มได้ จึงมิได้คิดเรื่องออกเรือน
"เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? ให้ข้าเดาคงสัก๒๓กระมัง" จันนั่งมองหน้าอีกคนและเริ่มทายอายุ
"หึ อายุข้า...มากกว่าออเจ้าสักสิบปีได้"

_______

แด๊ดดี้ไตรทศ >///<

แท็กของเรื่อง #หอมเจ้าจัน

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-09-2019 18:44:09
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 23-09-2019 04:15:30
จันนี่ดูท่าจะแสบน่าดู ตกลงเรื่องนี้เป็น omegaverse มั้ยคะ เห็นเขียนอยู่บนหัวเรื่อง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-09-2019 11:46:14
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 23-09-2019 22:02:31
บทที่ ๒
"เจ้าอายุ30ปีรึ!? " ไตรทศมิได้ตอบเป็นคำพูดหากแต่พยักหน้าแทนตามประสาคนพูดน้อย
"เหตุใดถึงยังมิมีเมียเล่า อายุก็มิใช่น้อย"
"ออเจ้าจะด่าข้าว่าแก่รึ? " ว่าแล้วก็วางถ้วยน้ำชาในมือลงและส่งสายตาเป็นเชิงดุคนดื้อรั้น
"ก็คงจะอย่างนั้นกระมัง"
มีหรือที่จันจะเกรงกลัว มิปฏิเสธทั้งยังยอมรับอย่างมิคิดจะแก้ตัว เพราะจันเป็นคนโผงผางมิเสแสร้งแกล้งทำ  ทำให้ผิดใจกับคนอื่นบ่อยครั้ง แต่สำหรับไตรทศแล้วเขาคิดว่าข้อดีเป็นข้อดีของชายหนุ่มเสียมากกว่า
"ยังเจ็บแผลอยู่รึไม่? " ไตรทศเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่จันจะถามไปไกลกว่านี้
"ก็ยังเจ็บอยู่บ้างแต่ข้าแข็งแรงสักพักก็คงหาย"
"งั้นรึ" ไตรทศเลิกคิ้ว "แต่ตามตัวออเจ้ายังมีแผลฟกช้ำที่ยังมิจางหายไปอยู่ คงจะเป็นแผลเก่าใช่หรือไม่? "
"ใช่หรือไม่มันก็เรื่องของข้า" ชายหนุ่มมิชอบใจนักเวลาที่มีคนมาทำตัวเป็นผู้ปกครองของตน
"ออเจ้าคงเป็นพวกมุทะลุชอบมีเรื่องเตะต่อยบ่อยสิท่า ข้าว่าเพลาๆ ลงบ้างก็ได้ประเดี๋ยวร่างกายจะบอบช้ำไปมากกว่านี้" ไตรทศรู้สึกเสียดายหากผิวที่ดูดีนั้นมีแต่รอยเขียวและรอยฟกช้ำไปเสียหมด
"ร่างกายข้า ข้าดูแลเองได้" แต่จันก็ยังคงเป็นจัน รั้นอย่างไรก็ยังคงรั้นอย่างนั้น
"มิกลัวพ่อกับแม่เป็นห่วงรึ? "
"ข้ามีพ่อแม่เสียเมื่อไหร่" คำพูดของชายหนุ่มทำเอาใจคนฟังกระตุก ตัวเขารู้เพียงว่าจันอาศัยอยู่กับตาแต่หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มกำพร้าพ่อและแม่
"งั้นถือว่าข้าเป็นห่วงก็แล้วกัน"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ? " ถึงจะได้ยินเต็มสองรูหูแต่จันก็มิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน
"ข้าเป็นห่วง หากออเจ้าเป็นอะไรไปผู้ใดจะมาตอบแทนคุณที่ข้าช่วยทำแผลให้เล่า"
ชายหนุ่มรู้ว่าไตรทศคงมิได้หมายความว่าห่วงอย่างที่พูด เพียงแค่กลัวว่าจะช่วยแล้วเสียแรงเปล่าเพียงเท่านั้น นี่สิหนาพวกคนรวย ทำดีหวังผลอยู่ร่ำไป
"ข้ามิตายง่ายๆ ดอก หรือหากข้าตายข้าคงจะมาตามหลอกหลอนเจ้า"
"งั้นรึ เช่นนั้นข้าคงจะเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดกระมัง ที่มีผีน่ารักน่าชังเช่นออเจ้ามาตามหลอกหลอน"
จันมิอยากจะเชื่อหูตนเองว่าได้ยินสิ่งใด แลไตรทศเองก็มิอยากเชื่อว่าตนพึ่งชมผู้ชายตัวเท่าลูกควายว่าน่ารักน่าชัง สงสัยเขาจะแก่จริงเสียแล้วกระมัง
ต่างคนต่างพูดมิออก ไตรทศหัดไปรินน้ำชาส่วนจันเองก็หันไปชมนกชมไม้ทั้งๆ ที่มิมีอะไรให้ดูสักอย่าง
"ป้าอิ่มเตรียมสำรับอาหารเสร็จแล้วขอรับคุณท่าน" ไอ้มิ่งคลานเข่าเข้ามาใกล้คนทั้งสองที่หันไปคนละทิศคนละทางด้วยความฉงน
"บอกให้ยกขึ้นมาได้เลย" ไตรทศหันไปพูดกับทาสหนุ่มที่กำลังรอคำสั่ง
"ขอรับ" มันค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย คลานเข่าออกไปก่อนจะลุกขึ้นเดินเมื่อห่างออกไปได้สักระยะ
"เช่นนั้นข้าขอตัว ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้ทั้งยังทำแผลให้"
ถึงแม้ว่าจันจะมิชอบหน้าไตรทศนักแต่ก็ถือว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณแล้ว หากมิกล่าวขอบคุณก่อนไปคงจะดูมิดีทั้งยังดูเหมือนว่ามิได้รับการสอนสั่ง
"ออเจ้ามิอยู่กินสำรับอาหารกับข้าก่อนรึ? " หากแต่ยามจะลุกกลับโดนไตรทศจับข้อมือไว้
"ข้ามิได้มีฐานะสูงศักดิ์จะมากินสำรับร่วมกับเจ้าได้อย่างไร"
ตนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหากมากินอาหารร่วมกับผู้มีฐานะสูงศักดิ์ก็คงจะมิวายโดนคนนินทาไปสามบ้านแปดบ้านเป็นแน่
"เหตุใดจะมิได้ ออเจ้ามาที่นี่ในฐานะแขกแลข้าเองก็หาได้มีฐานะสูงศักดิ์อย่างที่ออเจ้ากล่าวมาไม่" ไตรทศพูดพร้อมกับปล่อยมือจากข้อมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มแปลกใจกับคำบอกเล่าจากชายตรงหน้า
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร? "
"ก็หมายความตามนั้น"
จันยังคงสงสัยแต่ว่าได้แต่เก็บความงุนงงไว้ในใจเพราะมิอยากเอ่ยถามและกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนสนใจใคร่รู้เรื่องของผู้อื่น
"แต่-"
"ข้าเป็นผู้มีพระคุณมิใช่รึ ออเจ้ามิควรปฏิเสธข้าดอกหนา"
เมื่อโดนเอาคำนี้ขึ้นมาพูดบังหน้าก็ทำให้จันมิอาจปฏิเสธไตรทศได้อีกเพราะคำว่า 'ผู้มีพระคุณ' มันค้ำคอ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ยอมกลับไปกับไอ้มั่นแล้วให้ตาบ่นจนหูชาเสียก็ดี
"เชิญคุณท่านขอรับ" ไอ้มิ่งเดินเข้ามาบอกคนทั้งสองให้เดินไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร
ไตรทศลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งสายตาบอกจันที่นั่งมองให้ยืนขึ้นด้วย ยามลุกชายหนุ่มเจ็บตามตัวไปหมดเพราะรอยแผลและรอยช้ำ ความเจ็บปวดทำเอาคนเจ็บนิ่วหน้าจนทำให้ไตรทศที่มองอยู่ต้องเข้ามาช่วยพยุง
"ปล่อยข้า ข้ามิได้เจ็บมากถึงขั้นที่เจ้าต้องมาช่วยพยุง"
"งั้นรึ? " ไตรทศเลิกคิ้วถามคนที่ยืนกุมท้องตัวเอง
"ใช่"
ดื้อรั้นเสียจนมิมีผู้ใดเทียบเทียม
ไตรทศปล่อยให้จันเดินเองตามความต้องการ ยามเดินชายหนุ่มนิ่วหน้าไปเดินไปจนคนเดินตามหลังเป็นห่วง แต่หากจะเข้าไปช่วยคงโดนผลักไสอีกเป็นแน่ เดินตามดูแลแบบนี้คงจะดีเสียกว่า
ทั้งสองนั่งลงตรงโต๊ะรับประทานอาหาร เป็นครั้งแรกที่จันได้นั่งเช่นนี้เพราะปกติตนจะนั่งกินตรงพื้นกระท่อมกับตามิได้มีโต๊ะยกสูงขึ้นมาจากพื้นเช่นนี้
อาหารมากมายหลายประเภทละลานตาทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน อาหารคาวที่จันพอจะรู้จักคงมีแค่แกงยอดมะพร้าวใส่ปลาแห้ง หมกปลาช่อน และแกงเขียวหวาน เพราะเห็นคุณหญิงคุณนายใส่บาตรกับหลวงตาเป็นประจำ
ส่วนอาหารหวานก็มีบัวลอย ขนมดอกบัว กล้วยบวชชี แต่มีขนมอีกอย่างที่ตัวชายหนุ่มมิรู้จัก เป็นขนมที่หน้าตาคล้ายดอกไม้ มีสีน้ำเงินแกมม่วงจัดอยู่บนจานลายครามดูแล้วสวยแปลกตา
"นั่นเขาเรียกว่าขนมช่อม่วง" ไตรทศพูดขึ้นเพราะเห็นแววตาขี้สงสัยในตาของชายหนุ่ม
"ข้ามิได้ถามเสียหน่อย" จันพูดอย่างมิใส่ใจแต่ความสนใจกลับไปอยู่ที่ขนมที่ชื่อว่า ‘ช่อม่วง’
"หึ กินเถิด ออเจ้าคงหิวมากแล้ว"
ทั้งสองลงมือกินอาหาร เพราะไตรทศอยู่ที่เรือนนี้คนเดียวจึงต้องกินอาหารคนเดียวเป็นประจำ มีเหงาบ้างแต่ก็ชินไปเสียแล้ว พอวันนี้มีจันมากินด้วยจึงรู้สึกแปลกไปบ้างแต่ก็มิได้แปลกในทางที่ไม่ดีหากแต่รู้สึกว่าอาหารรสเดิมๆ อร่อยขึ้นมาทันตาเห็น
"น้ำฝนลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" ทาสสาวประจำเรือนคลานเข่าเข้ามาวางน้ำให้ชายทั้งสอง
"ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ส่งสายตาหวานๆ ให้เสียหน่อยเป็นการหยอกล้อ
"ออเจ้าชอบอาหารมื้อนี้หรือไม่? " ไตรทศเอ่ยถามขึ้นมาจนจันต้องละสายตาจากอีกคน
"ชอบ อาหารอร่อยทุกอย่าง"
"ออเจ้าจะรังเกียจรึไม่ หากข้าอยากให้ออเจ้ามากินอาหารเย็นเป็นเพื่อนข้าทุกวัน? " คำถามที่มิคาดคิดทำเอาจันชะงักไป
"คงมิได้ดอก ข้าเองก็มีตาต้องดูแล"
"งั้นดอกรึ ข้าว่าจะชวนแม่พิกุลมาแสดงฝีมือเสียหน่อย" ไตรทศยกเหยื่อล่อขึ้นมา
"แต่นานๆ ทีก็มิเสียหาย" และจันเองก็ฮุบเหยื่อเข้าไปเต็มๆ เมื่อครู่ยังส่งสายตาให้ทาสในเรือนเขาอยู่เลย คราวนี้พอพูดถึงแม่พิกุลก็ยังเปลี่ยนใจอีก
เจ้าชู้ประตูดินเสียจริงเจ้าเด็กคนนี้ ไตรทศคิดในใจ
"เป็นอย่างไรบ้าง? " ไตรทสเอ่ยถามจันที่กำลังเคี้ยวขนมช่อม่วงอยู่ในปากจนแก้มบวมอย่างเห็นได้ชัด
"อร่อย ข้าชอบ" คำบอกเล่าอันใสซื่อทำเอาไตรทศแทบหุบยิ้มมิอยู่ แต่ก็ต้องวางมาดในฐานะเจ้าเรือนไว้เสียบ้าง
"อร่อยก็กินเยอะๆ นางบัวคงดีใจที่ออเจ้าชอบ"
"บัว? "
"คนที่เอาน้ำฝนลอยดอกมะลิมาให้อย่างไรเล่า นั่นไงพูดถึงก็เดินมาพอดี" จังหวะที่กำลังพูดถึง ทาสสาวก็เดินผ่านในเวลาเหมาะเจาะเสียอย่างดิบดี
"นางบัวเอ็งมานี่ซิ" เมื่อโดนเรียก 'นางบัว' จึงรีบเดินก้มหน้าเข้ามาหาผู้เป็นนายเพราะคิดว่าจะถูกตำหนิเรื่องรสชาติอาหาร
"ม-มีอะไรหรือเจ้าคะ" มันก้มหน้าพูดด้วยตัวสั่นเทา
"ขนมช่อม่วงนี่เอ็งเป็นคนทำใช่รึไม่? "
"จ-เจ้าค่ะ" น้ำตาทาสสาวแทบไหลริน ปกติท่านไตรทศพูดเยอะแบบนี้เสียที่ไหน ส่วนมากมีแค่กินและทำหน้านิ่งเฉยเพียงเท่านั้น สงสัยจะโดนด่ายับเป็นแน่นางบัวเอ้ย
"จันเขาชอบ เขาว่าเอ็งทำอร่อย" เมื่อสิ่งที่คิดกลับกลายเป็นคำชมทำเอานางบัวใจชื้นเหมือนดินโดนฝน
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" นางบัวยังคงยืนก้มหน้ารับคำชม
"ออเจ้า...ยังมีอีกรึไม่? " คำถามทำเอานางบัวฉงน สงสัยจะอร่อยจนอยากจะกินอีกกระมัง
"มีเจ้าค่ะ"
"ข้าอยากเอาไปฝากตา ได้หรือไม่? "
จันหันไปถามไตรทศที่กำลังนั่งฟัง ไตรทศรู้สึกเอ็นดูชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาอย่างหาสาเหตุมิได้ ตอนแรกก็คิดว่าจะเอามากินเสียเองเพราะเห็นว่าชอบนักหนา แต่ที่ไหนได้กลับมีใจกตัญญูอยากเอาไปฝากผู้เป็นตา
"เหตุใดจะมิได้เล่า ออเจ้าต้องการเท่าไหร่ก็เอาไปเถิด"

คำพูดพร้อมรอยยิ้มนั้นทำเอาเหล่าทาสบนเรือนต่างเมียงมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ปกติไตรทศแทบจะมิยิ้มเสียด้วยซ้ำแต่วันนี้ผู้เป็นนายกลับยิ้มอย่างพร่ำเพรื่อเสียจนเหล่าทาสแอบคิดไปว่าผู้เป็นนายโดนผีเข้า
"ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้" จันเอ่ยขอบคุณไตรทศอีกครั้งถึงแม้ในใจจะยังขัดเคืองที่ไตรทศมาติดพันกับแม่พิกุลอยู่ก็ตาม
"เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้รึไม่? "
"อะไรรึ? " คงจะเป็นเงินทองกระมัง พวกคนรวยก็มีแต่เงินเท่านั้นที่สำคัญ
"เปลี่ยนคำเรียกที่ออเจ้าใช้เรียกข้าได้รึไม่ คำว่า 'เจ้า' มันดูห่างเหินแลดูกระชับเกินไป เรียกแทนข้าว่า 'ออเจ้า' ได้หรือไม่? " สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นมิตรงกันอีกครา ไตรทศผู้นี้ทำเอาจันแปลกใจมิน้อย
"ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอบใจออเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้า"
"มิเป็นอะไรดอก" เพียงแค่ข้าเอาชนะใจออเจ้าได้สักนิดแค่นี้ก็ถือว่าเล็กน้อย ไตรทศกลืนคำที่เหลือลงคอไป หากตนพูดออกไปคงจะดูแปลกพิลึก
จันค้อมหัวให้ไตรทศก่อนจะเดินลงจากเรือนเพื่อมุ่งหน้ากลับกระท่อมท้ายวัดของตนและผู้เป็นตา
ไตรทศมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังโตสมวัย สายตาเลื่อนไปมองห่อผ้าที่บรรจุขนมช่อม่วงที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือก่อนจะลอบยิ้มกับภาพที่เห็น ห่อผ้าสีฟ้าอ่อนนั้นหากผู้อื่นมาเห็นคงคิดว่ามันดูมิเหมาะกับเจ้าตัว
หากแต่ไตรทศคิดว่า..มันดูเข้ากับเจ้าจันเสียจริง

เนื่องจากฟ้ายังมิมืดมากชายหนุ่มจึงยังพอมองเห็นทางตอนที่เดินกลับกระท่อมของตนได้ บรรยากาศในป่าช้าเงียบสงัด หากแต่จันนั้นชินเสียแล้ว
ไม่นานร่างสูงของชายหนุ่มก็เดินมาถึงตัวกระท่อม วางห่อผ้าสีฟ้าอ่อนในมือลงอย่างเบามือก่อนจะเดินไปทางห้องพระของผู้เป็นตา เมื่อเปิดเข้าไปจึงเห็นว่าผู้เป็นตากำลังนั่งสมาธิอยู่ พอจะเดินออกมาก็โดนเสียงดุๆ เรียกไว้เสียก่อน
"เอ็งไปซนจนได้แผลมาอีกแล้วรึ? "
"ตารู้หรือจ้ะ? " จันถามด้วยความแปลกใจ เพราะตนกำชับมั่นและบุหงาไว้แล้ว
"เอ็งห้ามไอ้มั่นกับนางบุหงาบอกข้าใช่รึไม่? แล้วเอ็งแน่ใจได้อย่างไรว่าจะมิมีผู้อื่นมาบอกข้า"
เหมือนตาคงอ่านใจหลานชายตนได้ คำพูดกำกวมทำเอาชายหนุ่มคิดออกทันทีว่ายังมีอีก 'ตน' ที่ตนเองลืมกำชับไป
"ไอ้ทิดงั้นรึ? " ตาคงเงียบและมิตอบผู้เป็นหลาน หากแต่ปล่อยให้คิดเอง
ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องพระและมีคำตอบที่แน่นอนใจในว่าผู้ใดบอกผู้เป็นตาของตนว่าตนไปมีเรื่องชกต่อยมา หากมิใช่ไอ้มั่นกับบุหงาก็คงจะมีอยู่แค่ตนเดียว
"ไอ้ทิด! " จันเดินออกมานอกกระท่อม ส่งเสียงเรียกอะไรบางอย่างในความมืดมิด สิ่งที่ได้ตอบรับกลับมามีแค่เสียงลมและเสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน
"ข้าจะเรียกอีกรอบหากเอ็งมิออกมาข้าจะมิมาเล่นด้วยอีก"
"..."
"ไอ้ทิด! "
"จ-จ้าพี่จัน"
'ไอ้ทิด' เด็กชายตัวป้อมหน้าตาจิ้มลิ้มปรากฏกายยืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มที่กำลังยืนมองด้วยความหัวเสีย มันก้มหน้าก้มตาอย่างสำนึกผิด
จันไล่สายตามองเด็กชายที่ใส่โจงกระเบนสีแดง มีเส้นสังวาลย์พาดตามตัว บนหัวทำผมทรงจุก
"ตามข้ามา" จันเรียกเด็กชายตัวเล็กขึ้นกระท่อม
"เอ่อ พี่จันคือข้า.."
"เอ็งใช่ไหมที่บอกตาข้า" พอนั่งลงบนชานกระท่อมจันก็เอ่ยถามทันที
"ข้าขอโทษจ้ะ แต่ตาถามข้าข้ามิบอกก็คงจะมิได้" ข้อนี้จันรู้ดี ว่าไอ้ทิดมิสามารถโกหกผู้เป็นตาของตนได้
"เอาล่ะช่างมันเถอะ ข้าแค่สงสัยเลยเรียกเอ็งออกมาถามเท่านั้น"
ชายหนุ่มหันไปหยิบห่อผ้าสีฟ้าเปิดออก แบ่งขนมช่อม่วงไว้ให้ตาและหยิบกินอีกหนึ่งชิ้นเพราะทนต่อกลิ่นของขนมช่อม่วงมิไหว
อึก
เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังมาจากเด็กน้อยที่นั่งมองอยู่ข้างๆ
"เอ็งอยากกินรึ? "
"จ้ะพี่จัน" ทิดนั่งมองสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าด้วยท่าทีเรียบร้อย
"พรุ่งนี้ข้าจักใส่บาตรไปให้"
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มให้เจ้าตัวเล็กที่นั่งมองมาด้วยตาละห้อย ทิดเป็นเด็กพิเศษ มันมิสามารถเล่นกับเด็กคนอื่นได้ มิสามารถจับต้องของเล่นได้ มิสามารถกินขนมของพวกมนุษย์ได้
เพราะทิดมิใช่คน
..หากแต่เป็นวิญญาณเด็กที่กำพร้าพ่อและแม่เหมือนจัน
"ขอบใจนะจ้ะพี่จัน" เจ้าตัวเล็กยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน มันอยากโผกอดคนเป็นพี่เสียเต็มประดา หากแต่มิสามารถทำได้เพราะตนเป็นวิญญาณจึงมิมีกายเนื้อ
ทิดเป็นเพียงแค่ผีตนเดียวที่จันสามารถมองเห็นได้ ตาเคยบอกกับจันไว้ว่าคนที่มองเห็นผีได้ จะมองเห็นผีได้เพราะเหตุผลสามประการเท่านั้น
หนึ่ง ผีตนนั้นอยากให้เห็น
สอง ผีตนนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวร
สาม ผีตนนั้นเป็นญาติหรือพี่น้อง
สำหรับจันแล้วไอ้ทิดคงเป็นผีประเภทที่สองกระมัง เพราะวันทั้งวันมันเอาแต่ตามติดไปไหนมาไหนด้วยเพียงแค่มิได้ปรากฏกายให้จันเห็นเพียงเท่านั้น ตามติดเป็นเงา แบบนี้จะเรียกว่าอะไรได้อีกถ้ามิใช่เจ้ากรรมนายเวร



_______

เอ๊ะ นิมัยนิยายhorrorรึเปล่านะ? 555
เรื่องนี้ค่อนข้างมีหลายมิติหวังว่าทุกคนจะไม่เบื่อกันน้า <3

#หอมเจ้าจัน

     
     
     
   

     
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-09-2019 23:04:07
มีน้องผีหัวจุกด้วย เอ็นดูววว

พี่ไตร ช่างหลอกล่อเด็กดื้อ โอ้ยยย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พากันงง ไปทั้งเรือน 55555
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-09-2019 02:08:20
ไม่น่าใช่เจ้ากรรมนายเวรมั้ง 555555555
แต่คุณทศอายุ30แล้วอ่า  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-09-2019 07:32:45
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-09-2019 10:22:30
สนุกดีค่ะ แต่น่าจะใส่ตอนกับวันที่ที่หัวเรื่องนะ จะได้รู้ว่าลงตอนใหม่แล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 25-09-2019 22:57:59
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 26-09-2019 11:38:22
บทที่ ๓

"ขุนไกรมาถึงแล้วขอรับ"
นายทาสคนสนิทเอ่ยบอกผู้เป็นนายที่กำลังนั่งวาดรูปด้วยพู่กันแบบชาวจีนที่อาศัยอยู่ที่ท่าน้ำแถวตลาดใหญ่ เมื่อไตรทศรู้ว่า 'ขุนไกร' เพื่อนชายคนสนิทของตนมาถึงจึงหยุดมือที่กำลังตวัดพู่กันและวางลงไว้บนผ้าที่คอยเอาไว้ซับน้ำหมึกไม่ให้เปรอะเปื้อน
"สักประเดี๋ยวข้าจะตามไป เอ็งไปบอกให้เขารอก่อน"
"ขอรับ"
ไอ้มิ่งค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย ครั้นเมื่อจะหันหลังกลับเพื่อเดินไปบอกผู้มาเยือนกลับต้องหยุดชะงักเมื่อบุคคลที่นายตนกล่าวถึงนั้นกำลังยืนถือไม้ตะพดอยู่ข้างหลังตนนี่เอง
"เหตุไฉนเอ็งถึงปล่อยให้ข้ารอ เป็นเจ้าเรือนที่มิดีเลยหนาไตรทศ" เมื่อได้ยินเสียงพูดเหน็บแนมไตรทศจึงเงยหน้ามองเพื่อนตนและเอ่ยขึ้นบ้าง
"ใครใช้ให้เอ็งเป็นคนใจร้อนเล่าขุนไกร อายุก็มิใช่น้อยๆ " ทั้งสองจ้องตากันจนจะถลนออกจากเบ้า ไอ้มิ่งที่เห็นท่าไม่ดีจึงทำตัวมิถูก
"เอ็งนี่พูดน้อยเหมือนเดิม แต่คำพูดแต่ละคำยังคงเฉือดเฉือนผู้ฟังมิมีเปลี่ยนเลยนะไอ้เกลอ ฮ่าๆ "
ชายหนุ่มร่างกายกำยำมิแพ้ไตรทศเดินเข้าใกล้ไปเพื่อมองว่าเพื่อนของตนนั้นกำลังทำอะไร เหตุไฉนจึงปล่อยให้ตนรอ เมื่อไอ้มิ่งเห็นว่าสถานการณ์มิได้แย่อย่างที่คิดมันจึงค่อยๆเดินปลีกตัวออกมา
"เอ็งวาดรูปรึ? " ไตรทศมิตอบด้วยคำพูดแต่พยักหน้าแทน
"แล้วนี่เอ็งวาดรูปดอกอะไร? " ขุนไกรพิจารณาภาพวาดดอกไม้ที่สหายรักของตนกำลังวาด แต่ก็ยังคงมองมิออกเพราะเป็นดอกไม้ที่ตนมิเคยพบเห็น
"ดอกจันทร์กระพ้อ"
คนสุขุมบรรจงวาดอย่างเบามือ ทุกยามที่วาดต้นจันทร์กระพ้อที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งที่ริมหน้าต่างห้องนอนก็ยังคงส่งกลิ่นหอมมาตามสายลม
 แม้ว่าเขาจะนั่งไกลแค่ไหนแต่ขอแค่อยู่ในเรือนนี้ก็ยังคงได้กลิ่นอบอวลไปทุกที่ ทั้งกลิ่นนี้ยังทำให้หวนนึกถึงชายหนุ่มผู้แสนดื้อรั้นอย่างจันอีกด้วย เพราะกลิ่นกายของจันนั้นช่างคล้ายกับกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อเหลือเกิน
"เหตุไฉนเอ็งถึงวาดรูปดอกไม้ดอกนี้เล่า? "
"ข้า...แค่คิดถึงคนผู้หนึ่งเท่านั้น"
นี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ไตรทศมิได้เจอหน้าจัน นับจากวันที่ทำแผลและชวนอยู่กินข้าวด้วยกันก็มิได้เจออีกเลย มิรู้ว่าชายหนุ่มจะเป็นอย่างไรบ้าง
"ใครกันหนอที่ทำให้ไตรทศผู้ตายด้านคิดถึงได้ถึงเพียงนี้"
"ตายด้านอย่างไรกันเอ็งอย่าพูดเป็นเล่น"
"งั้นดอกรึ ถ้าเช่นนั้นเอ็งบอกข้าสิว่าเอ็งเคยมีอะไรกับแม่หญิงมาบ้างแล้ว"
"..."
"นั่นประไร! อายุอานามก็สามสิบปีแล้วแต่ยังมิเคยชื่นชมแม่หญิงนางใดเลย รู้ถึงไหนอายไปถึงนั้น" ขุนไกรกระแทกไม้ตะพดกับพื้นเรือนเมื่อรู้ว่าตนเองเดาถูก
"มัน...มันแปลกรึ? " คนที่ชอบทำหน้านิ่งบัดนี้กลับทำสีหน้าตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เพราะครั้งหนึ่งก็เคยถูกจันทักว่าอายุเยอะแต่ยังมิมีเมีย
"แปลกสิวะ ข้าว่าเอ็งควรหาความสุขใส่ตัวเสียบ้าง ยามมีเมียจะได้รู้งาน" ขุนไกรยักคิ้วให้เพื่อนของตน
"หาความสุขอย่างไรวะ? " ความใสซื่อของไตรทศทำเอาขุนไกรเอือมระอา
"ใช้ไม่ได้ๆ เอ็งนี่มันอยู่แต่กับหนังสือและหยูกยามิเคยออกไปเที่ยวหาความสำราญเลยล่ะสิ"
"คงเป็นเช่นนั้นกระมัง" เมื่อได้ฟังดังนั้นขุนไกรก็ถึงกับส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
"ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าจะพาเอ็งไปเปิดโลกเองไตรทศ"
ตลาดใหญ่นอกจากจะเป็นตลาดที่มีไว้แลกเปลี่ยนสินค้าและขายของแล้วยังมีโรงละครและโรงงิ้วของชาวจีนที่มาปักหลักอยู่ที่นี่ด้วย
นอกจากนั้นยังมีร้านที่ชาวบ้านเรียกกันว่าร้านบำเรอชาย มีทั้งยาดองขายและมีนารีหน้าตาสะสวยที่แต่งตัววับๆแวมๆเดินไปมาทั่วร้าน จะพบเจอร้านแบบนี้ได้มากแถวท้ายตลาด

"เอ็งเลือกร้านได้เลย"
ขุนไกรโยนสิทธิ์ในการเลือกให้เพื่อนผู้ใสซื่อของตน ไตรทศมองไปทางร้านนั้นทีร้านนี้ทีแต่ก็ยังมิเจอร้านที่ถูกใจ ตัวเขาและหญิงงามมิใช่สิ่งที่เข้ากันได้ดีเท่าใดนัก เพราะคนสุขุมอย่างไตรทศวันๆเอาแต่นั่งอ่านตำรายาอยู่ในเรือนเพียงเท่านั้น
เมื่อเดินมาได้สักพักสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านบำเรอชายร้านหนึ่ง หากแต่ร้านนั้นมิได้มีหญิงงามคอยเรียกลูกค้าแต่กลับเป็นชายเอวบางร่างเล็กที่แต่งตัวเหมือนสตรีเพศมิมีผิดเพี้ยนยืนเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปมา ผู้คนที่เข้าไปในร้านบ้างก็มีชาวสยาม บ้างก็เป็นฟะรังคี
"ข้าสนใจร้านนั้น" ขุนไกรมองตามที่นิ้วของไตรทศชี้จึงเห็นว่าเป็นร้านใด ตัวเขามิได้ขัดข้องอันใด หากเพื่อนของตนจะชมชอบบุรุษเพศตนก็มิได้ขัด
"ถ้าเช่นนั้นเข้าไปดูกันเถิด"
ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าอย่างสวยงาม ชายหนุ่มในร้านบ้างก็ใส่โจงกระเบนธรรมดา บ้างก็แต่งเป็นสตรีเพศปะปนกันไป ไตรทศตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ตนเห็น ถือว่าเป็นการเปิดโลกจริงอย่างที่ขุนไกรว่าไว้
"มากันสองท่านนะขอรับ"
ชายหนุ่มหน้าตาสะสวยเดินเข้ามาต้อนรับและเชิญทั้งสองเข้าไปนั่งในที่ว่างและลับตาคน สำหรับไตรทศนั้นมิมีปัญหาอะไร แต่หากมีคนมาพบเห็นขุนไกรที่เข้ามาในร้านบำเรอชายที่มีเพียงบุรุษเพศให้บริการอาจจะทำให้ผู้คนนินทาเอาได้
ทั้งสองมองไปรอบๆร้าน ตรงกลางร้านจะมีเวทีสูงขึ้นมาเหนือพื้นเล็กน้อย บนเวทีมีชายหนุ่มหน้าตาสวยคล้ายสตรีเพศร่ายรำด้วยท่าทางอ่อนช้อย เสื้อผ้าน้อยชิ้นทำเอาขุนไกรแอบหวั่นว่าตนจะหันมาชอบบุรุษเพศแทน ยามโดนสายตายั่วยวนนั้นมองมาก็ทำเอาใจเต้นมิเป็นจังหวะจนต้องละสายตาและยกยาดองขึ้นดื่ม
"ยาดองนี้รสชาติดีนัก เอ็งลองเสียหน่อยสิ"
ขุนไกรหันไปชักชวนเพื่อนของตนดื่มบ้าง เมื่อโดนชักชวนไตรทศจึงหยิบจอกยาดองขึ้นมาดื่มบ้าง รสขมปนหวานแล่นไปทั่วปาก ไตรทศมิค่อยได้ดื่มบ่อยนักจึงเมาได้ง่ายกว่าเพื่อนรักของตน
"คนบนเวทีคือผู้ใดรึ" ขุนไกรเอ่ยถามชายหนุ่มหน้าสวยที่เดินผ่าน
"นั่นอาหลินขอรับ เป็นลูกครึ่งไทย-จีน แต่เขามิได้มาบริการแขกดอกนะขอรับ หากสนใจ...ข้ายังพอว่าง"
ชายหนุ่มดังกล่าวส่งสายตาชะม้อยชะม้ายให้ขุนไกรบ้างหากแต่เจ้าตัวกลับมิหวั่นไหวเหมือนผู้ที่อยู่บนเวที
"ข้าแค่ถามไปเช่นนั้นแล มิมีอันใดดอก" ท่านขุนผู้มีศักดิ์ปฏิเสธอย่างประนีประนอม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้สนใจตนชายหนุ่มจึงเดินออกไปเพื่อไปหาแขกผู้อื่นแทน
"อาหลินอย่างนั้นรึ" ขุนไกรพึมพำอยู่กับตัวเอง คำว่าหลินในภาษาจีนแปลว่าหยก เป็นของล้ำค่า ผู้ที่อยู่บนเวทีก็คงจะล้ำค่าเช่นเดียวกัน
มองคนบนเวทีอยู่นานสองนาน เมื่อหันไปมองเพื่อนรักของตนอีกทีก็เห็นว่าไตรทศนั้นเมายาดองจนคอพับไปเสียแล้ว
 ไตรทศนั้นมิสันทัดกับพวกยาดองเท่าใดนักเพราะวันๆ มิได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนดังเช่นขุนไกรจึงทำให้เป็นคนคออ่อนและเมาได้ง่ายกว่าคนอื่น เมื่อเห็นท่าไม่ดีขุนไกรจึงประคองเพื่อนของตนออกจากร้าน
"เอ็งนี่น้า" ขุนไกรถอนหายใจอย่างเอือมระอาเป็นรอบที่สิบของวัน
ใช้เวลานานกว่าจะมาถึงเรือนของไตรทศเพราะระหว่างทางชายหนุ่มมิหยุดนิ่ง บางทีก็หลับจนคอพับอยู่บนเรือ บางทียามตื่นก็จะกระโจนลงน้ำ กว่าจะถึงเรือนทำเอาขุนไกรแอบเหนื่อยใจอยู่มิน้อย เมื่อไอ้มิ่งเห็นนายตนหมดสภาพจึงรีบวิ่งลงจากเรือนเพื่อมารับผู้เป็นนาย
"คุณท่ายเป็นอะไรหรือขอรับ?"
"ก็เมาเหมือนหมาน่ะสิถามได้ ไปๆ ดูแลนายเอ็งด้วย" ขุนไกรกำชับนายทาสประจำเรือน

"นอนดีๆ นะขอรับ"
ไอ้มิ่งจัดแจงท่านอนของนายตนเสียใหม่ มันพึ่งเคยเห็นไตรทศสภาพนี้จึงไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี คนเป็นนายนอนกระสับกระส่ายทั้งเหงื่อยังไหลกาฬตามขมับจนเสื้อผ้าเนื้อดีที่ใส่อยู่ชื้นขึ้นเป็นจุด
"จัน..." เสียงละเมอเบาดังเล็ดลอดออกมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
"ไอ้จันรึขอรับ? " ไตรทศพยักหน้ารับทั้งที่ยังหลับตาอยู่
"เดี๋ยวกระผมไปเรียกมันให้ขอรับ"
ไอ้มิ่งรีบเดินออกจากห้องนอนของเจ้านายตนเพื่อไปตามคนที่ไตรทศต้องการพบ คิดว่านายตนเรียกหาเพราะมีเรื่องจะคุยด้วยแต่หารู้ไม่ว่าเจ้านายมันแค่ละเมอไปเรื่อย
ก่อนไปมันกำชับทาสในเรือนไว้ว่าให้ดูแลไตรทศด้วยและห้ามให้ผู้ใดไปรบกวน นางนวลทาสสาวประจำเรือนจึงอาสาดูแลแทน
"ไอ้จัน ไอ้จันโว้ย! "
ชายหนุ่มที่กำลังกวาดลานวัดอยู่เป็นอันต้องเงยหน้าขึ้นมาดูว่าอ้ายอีหน้าไหนมาเรียกตนจนเสียงดังลั่นวัดเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้มิ่งจึงเอ่ยถามมันเสียงเขียว
"มึงมีเหตุอันใดวะไอ้มิ่ง? " จันถามอย่างหัวเสีย
"ท่านไตรทศให้กูมาตามมึง"
"นายมึงเนี่ยนะ? "
"เออสิวะ รีบไปได้แล้วอย่าให้นายกูรอนาน ท่านเมายาดองมาเสียด้วยมิรู้ว่าจะได้สติหรือยัง"
ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าจะมิยอมไปให้เสียเวลาแต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเมายาดองจึงอยากจะไปดูหน้าคนไก่อ่อนเสียหน่อย
"ก็ได้ ข้าไปก็ได้"
ทางด้านไตรทศก็กำลังเมามิรู้เรื่อง นางนวลจึงคิดจะใช้จังหวะนี้ตกเป็นของนายตนเองเสียเพื่อที่ตนจะได้เลื่อนขั้นจากนางทาสมาเป็นเมียให้นางทาสคนอื่นๆอิจฉาเล่นเสียหน่อย
มันแอบลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นแผงอกกว้างสมชายชาตรีของไตรทศ มือที่ถือผ้าขาวบางสั่นระริก มันแทบจะอดใจไม่ไหวเมื่อเลื่อนสายตาไปเห็นหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนจะปรากฎร่างของชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นคือไอ้มิ่งและอีกคนคือนายจันคนที่นายมันเคยชวนมากินข้าวด้วย มันวางผ้าในมือลงอย่างหัวเสียเมื่อโดนขัดจังหวะ
"เอ็งจะทำอะไรวะนางนวล" ไอ้มิ่งเอ่ยถามเสียงเขียวเมื่อเห็นว่านางทาสตัวดีกำลังปลดกระดุมเสื้อนายตน
"ข้าแค่เช็ดตัวให้ท่านไตรทศเท่านั้นเองพี่มิ่ง หากพี่มาแล้วข้าขอตัว"
ทาสสาวรีบเดินออกมาจากห้องด้วยความเสียดายปนอาย มีหรือที่ไอ้มิ่งมันจะดูมิออกว่านางทาสผู้นี้กำลังจะทำการอันใด
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าไตรทศตอนเมาเสียหน่อย หน้าของหนุ่มโตเต็มวัยที่คอยบ่นเขาบัดนี้กำลังขึ้นสีระเรื่อเพราะฤทธิ์ของยาดองทำเอาจันแทบกลั้นขำไว้มิอยู่ ตามกรอบหน้าคมมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย กระดุมเสื้อที่ถูกปลดยังมิถูกติดกลับเข้าที่เดิมทำให้สายตาจันปะทะเข้ากับแผ่นท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นพอดี รูปร่างกำยำสมชายโตเต็มวัยทำเอาจันแอบอิจฉา
"ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เอ็งอย่าแอบทำเหมือนนางนวลล่ะไอ้จัน"
"หมาในปากมึงนี่นะไอ้มิ่ง"
คำพูดกำกวมทำเอาจันต้องหันไปมองทาสหนุ่มตาเขม็ง แต่มันกลับผิวปากอย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว ไอ้มิ่งนั้นรู้ว่าผู้เป็นนายถูกตาต้องใจไอ้เด็กวัดผู้นี้ตั้งแต่วันที่ถามถึง เพราะไตรทศมิเคยสนใจผู้ใดและมิเคยถามถึงผู้ใดเลย ตัวมันที่อยู่กับไตรทศมาตั้งแต่เด็กเหตุไฉนจักดูมิออกเล่า
เมื่อไอ้มิ่งเดินออกจากห้องไปและประตูถูกปิดลงชายหนุ่มจึงหันกลับมามองคนที่นอนหน้าแดงอยู่บนเตียงต่อ
เหงื่อที่ไหลออกมาตามตัวทำให้จันรู้ว่าอีกคนนั้นร้อนอยู่มิน้อยจันจึงลุกขึ้นยืนเพื่อไปเปิดหน้าต่างรับลมเพื่อให้ลมพัดโกรกเข้ามาจะได้บรรเทาความร้อนของไตรทศลงบ้าง
ยามที่เปิดหน้าต่างออกลมปะทะเข้ากับหน้าชายหนุ่มเต็มๆ หากแต่มิได้มีเพียงลมเท่านั้นยังมีกลิ่นหอมโชยเข้ามาด้วย กลิ่นนั้นหอมอบอวลเสียจนจันต้องหาสาเหตุและที่มาของกลิ่น
สายตาคมหันไปเจอกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่กำลังออกดอกสะพรั่ง ดอกไม้นั้นมีสีเหลืองนวลคล้ายดอกจำปี แต่ดูจากลีกษณะต้นที่สูงมากแล้วคงจะมิใช่
"อืม..."
เสียงอื้ออึงดึงความสนใจของจันจากต้นไม้ต้นนั้น เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปมองจึงเห็นว่าไตรทศกำลังละเมอ จันเดินกลับมาที่ข้างเตียงและหยิบผ้าขึ้นบิดหมาดๆ เพื่อเช็ดตัวและซับเหงื่อให้อีกคนเพื่อระบายความร้อน
"เอ็งนี่นะ เพื่อนข้าก็มิใช่เหตุใดข้าจึงต้องมาคอยดูแลเอ็งด้วยวะ" จันบ่นพึมพำ ทันใดนั้นมือที่กำลังเช็ดก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโดนคนที่นอนอยู่จับเอาไว้
"พูดมิเพราะเอาเสียเลย"
เสียงพูดกระท่อนกระแท่นจากคนเมาที่กำลังนอนหลับตาอยู่ทำเอาจันอดขำมิได้ ชอบวางมาดใหญ่โตดีนัก พอมาเห็นในสภาพนี้จึงทำเอาจันพอใจอยู่มาก ตอนแรกแทบจะมิได้สติพอตนพูดมิเพราะเสียหน่อยถึงกลับต้องหยุดเมาเพื่อมาดุเชียวรึ
"คนเมาอย่างออเจ้านอนพักไปเสียเถอะ" จันจับมือของอีกฝ่ายออกเพื่อเช็ดต่อและพูดเพราะขึ้นตามที่อีกฝ่ายบอก
"ออเจ้ามาได้อย่างไร? " ไตรทศยังคงเอ่ยถามทั้งที่หลับตาอยู่
"ไอ้มิ่งมันไปเรียกข้ามา คิดว่าข้าอยากมาเองหรืออย่างไร? "
"หึ ก็มิแน่กระมัง"
ไตรทศนอนหลับตานิ่งเพราะอาการเมายังคงมิหายไปไหน ถึงลมหายใจจะมีแต่กลิ่นยาดองแต่จมูกก็ยังคงได้กลิ่นของดอกจันทร์กระพ้ออยู่บ้าง
"ออเจ้าได้กลิ่นหอมรึไม่? "
"ได้กลิ่นสิ มันคือดอกอันใดรึข้ามิเคยเห็น" จันไล่เช็ดตามหน้าท้องที่มีมัดกล้ามแน่น มันขยับขึ้นลงเป็นจังหวะเมื่อไตรทศหายใจ
"ดอกจันทร์กระพ้อ"
"ชื่อเพราะดี ข้าชอบ"
"เหมือนกับชื่อของออเจ้า"
"ทำไมรึ? " จันถามคนโตกว่าด้วยความแปลกใจ
"เพราะดี...ข้าชอบ"
"แปลกคน" จันส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพลางคิดย้อนไปวันแรกที่เจอกัน วันที่ไตรทศเอ่ยชมชื่อของตนว่าเพราะดี ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกแปลก แต่วันนี้กลับรู้สึกดีพิลึก
"กลิ่นมันหอม...เหมือนกลิ่นกายออเจ้า"
"ห่ะ? " ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังเช็ดด้วยความประหลาดใจ
ไตรทศลืมตาขึ้นและขยับขึ้นลุกนั่งพิงขอบเตียง ส่งสายตาหยาดเยิ้มมองไปที่คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของตน อีกฝ่ายกำลังทำหน้าประหลาดใจเพราะคำพูดของเขาทำเอาไตรทศแอบขำกับสีหน้าเหมือนกระต่ายตื่นตูมนั้นมิน้อย
"กลิ่นกายออเจ้าช่างหอมนัก" ครานี้จันได้ยิมเต็มสองรูหู
"ออเจ้าวิกลจริตหรือไร มาชมกลิ่นกายชายว่าหอม! "
"หากการชมชอบกลิ่นกายของออเจ้าเรียกว่าวิกลจริต ข้าก็ยอม"
"นี่เจ้า! -"
ทันใดนั้นคำพูดที่กำลังจะพูดก็เป็นอันถูกกลืนลงท้องไปเพราะอยู่ดีๆ ไตรทศก็ดึงมือของจันเข้าหาตัวและก้มลงจุมพิตบนมือนั้นเบาๆอย่างทะนุถนอม
ผ้าที่ถูกถือไว้ถูกปล่อยลงบนพื้นเพราะชายหนุ่มเกิดมืออ่อนชั่วขณะเกิดมายังมิเคยถูกผู้ใดทำเช่นนี้มาก่อน การกระทำนั้นทำเอาจันแทบทำตัวมิถูก รู้อยู่ดอกว่าไตรทศเมาแต่มิคิดว่าจะหนักถึงเพียงนี้
"หอมเสียจริงเจ้าจันของพี่"
"อะ...ไอ้คนวิกลจริต! "

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 26-09-2019 13:03:38
 :o8: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 26-09-2019 14:04:57
..หอมเสียจริงเจ้าจันของพี่..

กรี๊ดดดดด คุณพี่ไตรคนซิง เมารักกก :o8:

ชอบบบบมากกกกก สำนวนภาษาดี อ่านเพลินไหลลื่น ดีใจที่มาลงเล้านะคะ เราสิงอยู่ในเล้า จะรอติดตามค่ะ   
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 26-09-2019 14:15:38
ตอนหน้าโล้สำเภา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-09-2019 15:50:03
ตามจ้า  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-09-2019 22:41:26
โถ่ เจ้ามิ่ง 55555555555555
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 3 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-09-2019 22:47:54
โอ้ พ่อคนซิง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 4 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 26-09-2019 23:09:55
บทที่ ๔

"เกิดอะไรขึ้นวะ!? "
ขุนไกรที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ที่ห้องรับรองแขกรีบเดินเข้ามาดูเพื่อนรักของตนเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากในห้อง
เมื่อเข้ามาจึงเห็นว่าเพื่อนของตนนั้นกำลังนั่งจับมือถือแขนชายหนุ่มหน้าตาดีผู้หนึ่งอยู่ สีหน้าของอีกคนดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากให้เดาคงเป็นเพื่อนของตนที่ละลาบละล้วงชายหนุ่มผู้นี้
"ขุนไกรรึ? " ความเมาเข้าเล่นงานทำให้ตาของไตรทศพร่ามัวจนมองมิเห็นผู้ที่ยืนมองอยู่ที่ประตู
"ก็เออสิวะ เอ็งนี่ท่าจะเมาหนักแล้วหนา นอนลงไปเสีย" ขุนไกรเดินเข้าไปจับไหล่เพื่อนรักของตนและกดให้นอนลง ไตรทศทำหน้าซึมเล็กน้อยเมื่อต้องปล่อยมือออกจากคนตัวหอม
"ออเจ้าเป็นอันใดรึไม่?" เมื่อจัดท่านอนให้ไตรทศเสร็จขุนไกรจึงหันไปกระซิบถามชายหนุ่มที่กำลังนั่งนิ่งเพราะทำตัวมิถูก
"อะ เอ่อ มิเป็นอันใดขอรับ"
"ข้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน" จันแอบใจเสีย คงโดนเรียกไปต่อว่าเรื่องที่ด่าไตรทศว่าวิกลจริตเป็นแน่
ยามที่ชายหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินตามขุนไกรออกมานอกห้องก็โดนคนมือปลาหมึกจับไว้เสียก่อน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าไตรทศเป็นผู้จับและกำลังส่งสายตาออดอ้อนมาหาตน จนจันแอบแปลกใจมิน้อย
"ออเจ้า อยู่กับพี่ก่อนมิได้หรือ? " สรรพนามแทนตนว่า 'พี่' ทำเอาคนฟังใจสั่น
"ออเจ้านอนพักเสียเถอะ อย่าพูดจาแปลกๆอีก ข้าขนลุก"
จันจับมือของไตรทศออกและวางไว้บนอกของอีกคน แน่นอนว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของขุนไกรทั้งหมด ท่านขุนแอบยิ้มกระหยิ่มในใจ คนผู้นี้ดอกรึที่ทำให้เพื่อนรักของเขาละเมอเพ้อพบ
"ออเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร? " ท่านขุนผู้มีศักดิ์เริ่มซักถามชายหนุ่มเมื่อเดินมาถึงห้องรับรองแขก
"จันขอรับ" จันตอบอย่างสุภาพ เพราะตนมิได้รู้จักกับชายผู้นี้
"ข้าขอบน้ำใจออเจ้ามากที่ดูแลเพื่อนข้า" ชายหนุ่มที่นั่งต่ำกว่าเงยหน้ามองอีกคน
"มิเป็นอันใดดอกขอรับ" จันถอนหายใจอย่างโล่งใจเมื่อรู้ว่าตนมิได้โดนเรียกมาด่า
"นานๆ ทีไตรทศจะเมาเช่นนี้ หากทำให้ออเจ้าลำบากข้าก็ขอโทษแทนมันด้วยหนา"
"ขอรับ" จันพยักหน้า
"คุณพิกุลอย่าวิ่งเจ้าค่ะ! "
เสียงดังจากชานเรือนดึงความสนใจของคนทั้งสองให้หันไปมอง ร่างบางอรชรวิ่งขึ้นมาบนเรือนอย่างเหนื่อยหอบเมื่อได้ข่าวจากไอ้มิ่งว่าไตรทศเมายาดองกลับมานอนคอพับที่เรือน พิกุลที่กำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่ที่เรือนใหญ่จึงรีบรุดมาดูคนพี่ทันที
"อ้าวแม่พิกุล ไปอย่างไรมาอย่างไรล่ะออเจ้า" ขุนไกรเอ่ยถามคนที่มีศักดิ์น้อยกว่า
"ข้ามาดูคุณพี่ไตรเจ้าค่ะ พี่ขุนไกรเห็นหรือไม่เจ้าคะ? " ท่าทางร้อนรนทำเอาไอ้จันแอบใจเสีย เห็นคนที่ตนแอบชอบมาเป็นห่วงผู้อื่นเช่นนี้ผู้ใดจะชอบกัน
"นู้น...ตรงห้องนอนนู้น"
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
เมื่อได้รับคำตอบ แม่หญิงที่เคยเรียบร้อยทุกกริยาท่าทางบัดนี้กลับกำลังวิ่งหน้าตั้งไปทางห้องนอนของไตรทศ จันแอบลอบมองตามแม่หญิงที่ตนหมายปองหายลับเข้าไปในห้องชายผู้เป็นศัตรูหัวใจ ความเจ็บแปลบเเล่นเข้าทำร้ายจนรู้สึกเจ็บกับภาพตรงหน้า
"ออเจ้าเป็นอันใดรึ? " เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ สีหน้ามิดี ขุนไกรจึงเอ่ยถาม
"มิเป็นอันใดขอรับ" ปากบอกมิเป็นอันใดแต่น้ำตาไหลถึงตีนแล้วกระมัง..
"คุณพี่ไตรเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ!? " เมื่อเห็นสภาพที่ไม่สู้ดีของไตรทศนักแม่พิกุลจึงรีบกุลีกุจอเข้ามาดูคนพี่
ไตรทศนอนอย่างอ่อนเพลีย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าคนพี่นั้นกำลังหลับอยู่
"โธ่คุณพี่ รู้ว่าคออ่อนแต่ก็ยังดื่มเสียเยอะเลยนะเจ้าคะ" พิกุลขำกับภาพตรงหน้า ตอนนี้ไตรทศมิเหลือเค้าโครงของคนสุขุมแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มที่กำลังเมาได้ที่
"จัน..." เสียงละเมอบางเบาแต่ก็พอทำให้พิกุลได้ยินได้ ร่างบางชะงักมือที่กำลังบิดผ้าเมื่อได้ยินชื่อที่ไตรทศเอ่ยออกมาขณะที่กำลังหลับ
"คุณพี่"
เสียงเรียกเบามิอาจทำให้ไตรทศตื่นจากนิทราได้ ไตรทศขยับหนีเมื่อรับรู้ถึงความเย็นจากผ้าขาวที่ซับลงตามขมับ พิกุลวางผ้าในมือลงอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวรบกวนการนอนของอีกคน
ส่งสายตาตัดพ้อและน้อยใจให้คนที่นอนมิรู้เรื่อง ต้องรอนานอีกสักกี่ปีคนพี่ถึงจะหันมาสนใจตนแลมองตนในฐานะของหญิงสาวมิใช่ในฐานะน้องสาว
พิกุลปลีกตัวออกมาจากห้องเมื่อจัดแจงท่านอนให้ไตรทศเสร็จ เดินผ่านจันและขุนไกรที่กำลังนั่งคุยกันไปยังห้องครัวเพื่อเตรียมสำรับอาหารเย็นให้คนเมา เวลาตื่นขึ้นมาจะได้กินของร้อนเพื่อดับฤทธิ์ของสุราเสียหน่อย
"ออเจ้านี่ช่างตลกยิ่งนัก ข้าชอบ ฮ่าๆ " เสียงคุยของขุนไกรและจันดังไปทั่วเรือน ดูท่าท่านขุนจะถูกใจจันมิใช่น้อย
"ข้าเป็นคนแบบนี้แหละ หาได้เป็นคนตลกไม่ ฮ่าๆ "
"เออดีๆ ต่อไปนี้ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไกรเข้าใจรึไม่? "
ขุนไกรรู้สึกชอบใจชายหนุ่มผู้นี้ จันเล่าเรื่องวีรกรรมที่ตนไปก่อไว้มากมายมีแต่เรื่องน่าขันทั้งนั้น โดนเฉพาะเรื่องที่จันต่อยหน้าไอ้หมื่นเดชาคู่ปรับตลอดกาลของไตรทศ
"จ้ะ พี่ไกร" จันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขุนไกรผู้นี้นิสัยดีนักทั้งยังเป็นมิตร ยามเล่าวีรกรรมให้ฟังก็มิได้ดุเหมือนไตรทศเลยทำให้จันสนิทกับขุนไกรได้ง่ายกว่า
เวลาผ่านไปสักพักสำรับอาหารมากมายถูกยกขึ้นมาเรียงบนโต๊ะอาหาร เครื่องเทศในอาหารส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งชานเรือน
ไตรทศที่หลับเป็นตายบัดนี้ตื่นเต็มตาเมื่อได้ล้างหน้าด้วยน้ำฝนเย็นๆ ฤทธิ์ของยาดองยังคงมีเล็กน้อย หากได้รับประทานน้ำแกงร้อนๆเสียหน่อยคงจะเป็นการดี
ไตรทศนั่งลงตรงโต๊ะอาหาร ที่มีทั้งจัน ขุนไกร และแม่พิกุลที่แสดงเสน่ห์ปลายจวักในวันนี้ ไตรทศลอบมองจันเป็นระยะเพราะตัวเขานั้นจำได้ว่าระหว่างที่เมาตนทำอันใดไว้บ้าง จึงมิกล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆเพราะรู้สึกกระดากอาย
"กินน้ำแกงนี่สักหน่อยนะเจ้าคะคุณพี่ จะได้รู้สึกสดชื่น" พิกุลตักน้ำแกงที่เคี่ยวกับกระดูกหมูให้คนพี่ การกระทำนั้นอยู่ในสายตาจัน ทำเอาชายหนุ่มแอบเสียใจมิน้อย
"ขอบน้ำใจออเจ้ามากที่อุตส่าห์อยู่ดูแลพี่ทั้งยังทำกับข้าวให้อีก"

คำพูดนั้นทำเอาจันชะงัก ตนต่างหากที่เป็นคนดูแล แต่เอ๊ะ...จันต้องชะงักเพราะแม่พิกุลเข้าไปในห้องของไตรทศมิใช่หรือ? เหตุไฉนจึงต้องชะงักเพราะไตรทศเข้าใจผิดเล่า?
"มิเป็นอันใดเจ้าคะ" พิกุลยิ้มรับด้วยความเขินอาย
"ออเจ้ากินหมูทอดนี่สิจัน เป็นสูตรจากชาวจีนอร่อยนักแล" ขุนไกรหยิบหมูทอดกระเทียมวางลงบนจานของจัน เมื่อมองเห็นสายตาละห้อยนั้น ขุนไกรเข้าใจได้ทันทีว่าจันแอบชอบไตรทศเป็นแน่
"ขอบใจจ้ะพี่ไกร"
"แค่กๆ! " ไตรทศถึงกับสำลักข้าวเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกคนใช้เรียกเพื่อนรักของตน
"ออเจ้าเรียกขุนไกรว่าอย่างไรนะ? " ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"พี่ไกรอย่างไรเล่า"
ไตรทศแอบน้อยใจที่ทั้งสองคนสนิทกันเร็วมาก สนิทถึงขั้นที่ขุนไกรยอมให้เรียกแทนตัวเองด้วยคำว่า 'พี่' ทีกับเขาเหตุไฉนจันถึงมิเรียกบ้าง
"งั้นดอกรึ" ไตรทศหันมาสนใจกับอาหารต่อ ซ่อนสายตาตัดพ้อเอาไว้ภายใน แต่หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาแม่พิกุลและขุนไกร
ทั้งสี่คนนั่งกินอาหารอย่างเงียบเชียบ รสมือแม่พิกุลอร่อยถูกปากอย่างที่จันคิด อร่อยมิมีที่ติ หากได้มาเป็นแม่เรือนคงจะเป็นบุญนักแล นอกจากของคาวยังมีของหวานเอาไว้ล้างปากและมีน้ำฝนลอยดอกมะลิเย็นๆ ให้ดื่มอีกด้วย
"ขอบใจออเจ้ามากหนาที่มาทำอาหารให้พวกพี่กินในครานี้" ขุนไกรพูดกับแม่หญิงที่กำลังจะกลับเรือนตน
"มิเป็นอันใดเจ้าค่ะ หากพวกคุณพี่ชอบข้าก็ยินดี" พิกุลยกมือไหว้เพื่อเป็นการลาคนทั้งสองและหันไปพยักหน้าให้จันที่ยืนมองอยู่ ชายหนุ่มยิ้มรับด้วยความเอ็นดู
"ให้มันน้อยๆหน่อย" เสียงดุดังขึ้นเมื่อแม่พิกุลเดินลงจากเรือนไป
"มิใช่เรื่องของออเจ้าเสียหน่อย" จันหันไปตอบอย่างมิใส่ใจ
"ข้ามีศักดิ์และอายุมากกว่าออเจ้าหนา ระวังท่าทีเสียหน่อย" ไตรทศเอ่ยดุคนดื้อรั้น
"ข้าสนเสียที่ไหนเล่า"
"เหตุใดออเจ้าถึงดื้อดึงเช่นนี้?"
น้ำเสียงดุของไตรทศมิสามารถทำให้จันสะทกสะท้านได้ กับคนอื่นจันอาจมิกล้าแต่มิรู้ว่าเหตุใดกับชายผู้นี้ตนถึงกล้าต่อปากต่อคำด้วย
"แล้วเหตุใดออเจ้าถึงชอบดุนักเล่า! "
"ข้าก็ดุออเจ้าเพียงผู้เดียว"
"ข้าก็ดื้อกับออเจ้าเพียงผู้เดียว.."
เหตุไฉนการทะเลาะกันถึงคล้ายกับการบอกรักกันกลายๆ ได้หนอ ขุนไกรที่ยืนฟังคิดในใจ ดูเหมือนคนทั้งสองจะลืมไปเสียแล้วว่าตนเองก็ยืนอยู่ตรงนี้...น่าเศร้าใจเสียจริง ชีวิตตัวประกอบ
"ข้ากลับก่อนหนาไตรทศ"
เมื่อเห็นว่าตนมิมีความจำเป็นกับที่ตรงนี้แล้วขุนไกรจึงบอกลาเพื่อนตนเพราะตัวเขาเองก็มีงานราชการมากมายที่รอสะสาง ไตรทศมิเอ่ยตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้าเหมือนที่ชอบทำ ขุนไกรเองก็ชินไปเสียแล้ว
"กลับดีๆนะจ๊ะพี่ไกร" จันยิ้มให้ขุนไกรอย่างเป็นมิตร
"ออเจ้าเองก็เช่นกัน เพลาๆ การวิวาทลงเสียบางหนา มันจะทำให้แม่หญิงเมินออเจ้าเพราะคิดว่าเป็นอันธพาลได้"
ขุนไกรลูบหัวจันอย่างนึกเอ็นดู สายตาเลื่อนไปมองไตรทศก็เห็นว่าเพื่อนรักของตนกำลังจ้องเขม็งจนต้องรีบชักมือกลับ
"จ้ะพี่ไกร" รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นทำเอาขุนไกรนึกเอ็นดูชายหนุ่ม
เมื่อร่ำลากันเสร็จและขุนไกรเดินลงจากเรือนไปจนลับตาแล้วจันจึงหันมามองไตรทศที่ยืนอยู่ข้างหลังตนต่อ
หากแต่บัดนี้สีหน้าของไตรทศมิได้เป็นสีหน้าของคนที่ต้องการดุด่าตนอีกแล้ว หากแต่เป็นสีหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด อีกคนยืนนิ่งจนจันทำตัวมิถูก
"ทีกับข้าเล่า..." ไตรทศเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าห้องนอนไปทิ้งความฉงนไว้ให้จัน
ไตรทศเดินผ่านไอ้มิ่งทาสหนุ่มประจำเรือนเข้าไปในห้องอย่างมิสนใจ จนไอ้มิ่งคิดสงสัยมิได้ว่าทำไมนายตนที่วันๆเอาแต่วางมาดนิ่งทั้งวันจึงทำสีหน้าเศร้าถึงเพียงนั้น
"เกิดเหตุอันใดขึ้นวะไอ้จัน?" ไอ้มิ่งรีบเดินมาถามจันที่กำลังยืนงง
"กูจะรู้รึ นายมึงเป็นอันใดใครจะรู้ มิพูดมิจาสักคำ" จันได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ หรือจะเป็นเพราะตนดื้อดึงเกินไปจนอีกคนเหนื่อยใจกันหนอ?
"นายมึงชอบกินขนมอะไรวะ? " คำถามนั้นทำเอาไอ้มิ่งแปลกใจ
"ขนมผิงกระมัง เห็นท่านชอบกินคู่กับชาจีน" จันจำได้ว่าขนมผิงนี้มีขายที่ตลาดเล็กและมิไกลจากที่นี่มาก
ด้านไตรทศที่เดินเข้าห้องตนไปก็มิรู้ว่าจะทำอันใดจึงหยิบพู่กันจีนขึ้นมาวาดรูปที่ยังค้างคาและวาดมิเสร็จต่อ รูปดอกจันทร์กระพ้อในแจกันใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วหากแต่มันยังขาดอะไรบางอย่างไป บางอย่างที่ไตรทสเองก็มิอาจรู้ว่ามันคืออะไร
คนสุขุมที่ปกติจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำหากแต่บัดนี้กลับกระวนกระวายเพราะจันมิตามตนเข้ามาในห้องเสียที ก่อนจะคิดได้ว่าจันคงกลับวัดไปแล้ว ไตรทศแอบตำหนิตนเองในใจที่เดินหนีมาเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูดังขึ้น เพราะนั่งหันหลังให้ประตูจึงทำให้ไตรทศ,bเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือผู้ใด
"ข้าบอกเอ็งแล้วมิใช่รึว่าให้เคาะประตูก่อนและห้ามรบกวน" เพราะคิดว่าเป็นไอ้มิ่งทาสคนสนิทไตรทศจึงตำหนิไป
"แต่ออเจ้ามิเคยบอกข้า"
เสียงนุ่มละมุนของใครอีกคนที่ไตรทศจำได้แม่นดังขึ้น ทำเอาเขาต้องหยุดมือที่กำลังตวัดพู่กันอยู่และเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
"ออเจ้ายังมิกลับรึ?" ไตรทศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าดีใจแต่พูดด้วยหน้านิ่งตามปกติ
"ยัง" ชายหนุ่มวางขนมและชาจีนที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ไตรทศเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ
"ไอ้มิ่งบอกว่าออเจ้าชอบ ข้าเลย...เอามาให้" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเสมองไปทางอื่นเพราะ,bชินเวลาโดนใครอีกคนจ้อง
"ขอบใจออเจ้ามาก" ไตรทศหยิบขนมผิงเข้าปากและยิ้มออกมาเล็กน้อย ผู้ใดจะคิดว่าคนที่แข็งกระด้างเช่นจันจะทำการง้อตนได้น่ารักน่าชังเช่นนี้
"แฮ่ม!" ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยเพื่อกลบเกลือนความเขินอาย เกิดมาจันมิเคยซื้อขนมให้ผู้ใดมาก่อนจึงทำให้ทำตัวมิถูก
"ข้าว่าง เดี๋ยวข้าฝนหมึกให้" มิต้องรอให้ไตรทศตอบ ชายหนุ่มนั่งลงบนพื้นและฝนหมึกให้อีกคนทันที
ไตรทศก้มลงมองคนผู้มีศักดิ์น้อยกว่าอย่างนึกเอ็นดู ยิ่งมองการกระทำยิ่งเพลิดเพลิน สิ่งที่เขารู้สึกอยู่ในใจมันคืออะไรไตรทศหารู้ไม่ ในโลกมีความสัมพันธ์หลายรูปแบบแต่ไตรทศยังมิเคยเจอรูปแบบของบุรุษเพศที่ชื่นชอบบุรุษเพศด้วยกันเอง เคยเข้าไปในร้านบำเรอชายที่บริการด้วยบุรุษเพศเหมือนกันก็จริงแต่หาได้รู้ไม่ว่าเวลาอยู่บนเตียงนั้นต้องทำอย่างไร
"ออเจ้ารู้หรือไม่ ปกติแล้วหน้าที่ฝนหมึกจะเป็นของคนรับใช้คนสนิทหรือไม่ก็ภรรยาเท่านั้น" ไตรทศเอ่ยบอกจันอย่างมีเลศนัย
"ออเจ้าจะบอกว่าข้าเหมือนคนรับใช้รึ!? " จันถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
"เฮ้อ..." ไตรทศถอนหายใจอย่างเอือมระอา "ข้าหมายถึงออเจ้าทำหน้าที่ของภรรยาต่างหากเล่า...เด็กโง่"
"!!! "






หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 4 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-09-2019 01:17:26
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 4 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-09-2019 06:49:13
 :mew4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 4 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-09-2019 09:21:23
มีความง้อ~
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 4 [26/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 27-09-2019 12:23:21
พี่งอน น้องก็ง้ออออออออ

ชอบอิมเมจ จัน หนุ่มกุบกิบกำลังดี ไม่สาว เป็นแมวซนของพี่ไตร แงงงง :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 27-09-2019 20:12:48
บทที่ ๕

"ข้ามิได้โง่และข้าก็โตแล้ว! "
จันเลือกที่จะทำเป็นมิสนใจในสิ่งที่ไตรทศพูดออกมาและทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน ทำหน้าเหมือนมิคิดอะไรแต่จริงๆแล้วแอบใจสั่นกับวาจาที่มีเลศนัยนั้นไม่น้อย
"กระนั้นดอกรึ"
ไตรทศส่งยิ้มบางให้คนอายุน้อยกว่า ถึงจันจะตีสีหน้านิ่งเฉยเพียงใดหากแต่ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั้นก็มิอาจปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงได้ เด็กหนอเด็ก
"ออเจ้าวาดสิ่งใดกัน? " จันรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อโดนอีกคนจ้องมากไป
"ดอกจันทร์กระพ้อ"
จันแอบมองภาพที่ไตรทศบรรจงตวัดพู่กันลงไปที่ละนิดอย่างประณีต ถึงมันจะเป็นเพียงภาพหมึกสีดำธรรมดาแต่ภาพนั้นกลับสวยงามอย่างมิน่าเชื่อ ไตรทศนั่งมองจันที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาภาพวาดของตนด้วยความเอ็นดู สายตาเหมือนลูกหมานั้นช่างขัดกันกับกริยาอันมุทะลุ
"ชอบขนาดนั้นเลยรึ? " จันช้อนสายตาขึ้นมองพร้อมกับเอ่ยถาม
"ชอบ" ยามพูดไตรทศหาได้มองไปที่ภาพวาดไม่ หากแต่สายตาอันหวานหยาดเยิ้มนั้นกลับมองมาที่จันซึ่งนั่งอยู่ต่ำกว่าตน
"แต่ข้าว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป" ชายหนุ่มพูดกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย "อ่ะ! ข้ามิได้หมายความว่าออเจ้าวาดไม่งามดอกหนา"
พลันรีบแก้ตัวเมื่อเห็นไตรทศมองมาด้วยสีหน้าที่อ่านมิออกว่าโกรธหรือไม่ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายทำเอาใจคนอายุเยอะกว่านึกเอ็นดูเป็นรอบที่สิบของวันได้แล้วกระมัง
"ข้าเองก็คิดเช่นออเจ้า ออเจ้าลองคิดช่วยข้าได้รึไม่ว่าภาพนี้ยังขาดสิ่งใดไป" ชายหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่ออีกคนเอ่ยถามความคิดเห็น
"ดอกไม้งามก็ต้องคู่กับผีเสื้อกระมัง ดอกไม้เปรียบเสมือนหญิงงาม ผีเสื้อก็เปรียบเสมือนชายหนุ่มที่คอยมาดอมดมดอกไม้" จันพูดไปยิ้มไปอย่างชื่นชมความคิดอันเฉียบแหลมของตน
"ดอกไม้งาม...เปรียบเป็นชายมิได้หรือ? " คนมีศักดิ์มากกว่าเผลอพลั้งปากพูดออกไปอย่างมิได้ตั้งใจ
"ได้กระมัง ข้าเคยเห็นชายหนุ่มตามแถวตลาดใหญ่ บางคนก็มีหน้าตางดงามราวกับแม่หญิง"
คำตอบของจันทำเอาคนฟังใจชื้น หากจันพูดเช่นนี้ก็คงจะหมายความได้ว่าจันมิคิดว่าการที่บุรุษเพศจะชมชอบบุรุษเพศด้วยกันมิใช่เรื่องแปลกอันใด และยอมรับในทุกมุมมองของความรัก
"ออเจ้าเคยเห็นด้วยรึ?” ว่าแล้วไตรทศก็อดสงสัยมิได้ว่าจันไปเจอได้อย่างไร
"ข้าชอบไปร่ำสุรากับไอ้มั่นแถวนั้นบางครา แต่มิได้เข้าไปในร้านดอกหนา ข้ามิได้ชมชอบบุรุษเพศด้วยกันเอง" ไตรทศพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"หรือว่าวันนี้ที่ออเจ้าเมามาคงไปร่ำสุรากับพี่ขุนไกรที่ร้านบำเรอชายใช่รึไม่? "
ไตรทศถึงกับพูด,bออกเมื่อโดนจันจับได้คาหนังคาเขา ราวกับสามีที่ถูกภรรยาจับได้ว่าแอบย่องออกจากเรือนไปร่ำสุรากับเพื่อนขี้เมาอย่างใดอย่างนั้น
"ข้า..." ด้วยเป็นคนที่มิชอบพูดปดกับผู้ใดจึงทำให้ไตรทศโกหกหรือปฏิเสธคนได้ยาก
"เอาเถอะ ถึงออเจ้าจะไปมันก็มิเกี่ยวกับข้า ชายผู้มิมีเมียเช่นออเจ้าก็คงจะชอบไปหาความสุขบ้างบางเวลา ข้าเข้าใจ" ชายหนุ่มพูดอย่างมิยี่หระ เพราะไตรทศจะทำการอันใดมันก็มิเกี่ยวกับตนอยู่แล้ว
"แล้วออเจ้าเคยเข้าร้านบำเรอชายที่เป็นสตรีหรือไม่? "
"ก็...เคยอยู่" จันตอบไปยิ้มไปด้วยความเขินอายที่ต้องมาสารภาพว่าตนเองก็แอบเจ้าชู้ประตูดินมิน้อย 
"แล้วออเจ้าชอบรึไม่? " คนถามถามด้วยใจหวั่น
"มีแต่หญิงงาม เหตุใดข้าจะมิชอบเล่า"
จิตใจคนฟังไหวสั่น หากจันชอบพอเพียงแม่พิกุลอาจจะยังพอเปลี่ยนใจได้ แต่นี่กลับชอบไปเสียหมดแล้วไตรทศจะสู้ได้อย่างไร
หากจันมิได้มีใจรักบุรุษเพศด้วยกันแล้วไซร้ ทำอย่างไรก็คงมิอาจชนะใจคนเจ้าชู้อย่างจันได้เป็นแน่
ไตรทศพยักหน้าให้อีกคนเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนจะหันไปวาดรูปผีเสื้อที่เกาะอยู่บนกลีบดอกไม้งามในแจกัน หากตีความหมายของภาพแล้วดอกจันทร์กระพ้อคงจะหมายถึงจัน หากแต่จันตอนนี้นั้นหาใช่ดอกจันทร์กะพ้อในแจกันไม่แต่กลับเป็นดอกจันทร์กระพ้อที่ออกดอกบานสะพรั่งอยู่บนต้น ผู้ใดจะเชยชมก็ย่อมได้
"มันคงจะงามกว่านี้หากมันอยู่บนต้น" ชายหนุ่มพูดขณะที่ไตรทศกำลังลงมือบรรจงวาดผีเสื้อ
"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหรือ? " คนอายุมากกว่าหันไปถามอีกฝ่าย
"ดอกไม้ เมื่อเด็ดจากต้นย่อมมีวันเหี่ยวเฉาเป็นธรรมดามิใช่หรือ? ปล่อยให้อยู่บนต้นออกดอกสวยงามข้าว่าก็ดีอยู่แล้ว"
มันก็เป็นจริงดังที่อีกคนว่า หากแต่ไตรทศจะทนได้ไหมหนอหากมีผู้อื่นมาเชยชมดอกจันทร์กระพ้อดอกนี้
"ลึกซึ้งนัก" นานๆทีจะโดนไตรทศชมเสียบ้าง ทำเอาคนฟังไปมิเป็น
"นี่ก็เริ่มจะค่ำเสียแล้ว ข้ากลับก่อนดีกว่า"
"ให้ข้าไปส่งหรือไม่? " ปากไปไวกว่าความคิดเสมอ เผลอแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกไปเสียแล้ว ไตรทศคิดในใจ
"ข้าโตแล้วข้ากลับเองได้ แลข้าเองก็หาได้อ่อนแอไม่" จันยังคงรั้นว่าจะกลับเอง
"เช่นนั้นดูแลตนเองด้วย"
"เอ่อ...ข-ขอรับ"
เมื่อพูดจบจึงรีบลุกและหันหลังเดินออกจากประตูไป จันเพิ่งเคยพูดเพราะกับไตรทศเป็นหนแรก คำว่า 'ขอรับ' เป็นคำที่ไตรทศได้ยินจากทาสในเรือนบ่อยครั้ง เป็นเพียงคำธรรมดา หากแต่เมื่อคนพูดคือชายหนุ่มที่ตนให้ความสนใจอย่างจันแล้วนั้น มันกลับพิเศษไปเสียทุกอย่าง

"อะไรกันวะ เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลยเหตุใดจึงมืดเร็วเช่นนี้" ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังเดินกลับเรือนที่พักของตน ท้องฟ้าเริ่มมืดหนักเหมือนจะมีพายุเข้าอย่างใดอย่างนั้น
จันชะงักเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าตนมีชายฉกรรจ์ยืนดักอยู่ประมาณสาม-สี่คน ยามจะเดินเลี่ยงกลับโดนกันทางเอาไว้จนไม่สามารถเดินต่อไปได้
"มึงต้องการมีเรื่องหรือวะไอ้เข้ม? " ชายหนุ่มเอ่ยถามชายคนที่ตนเคยมีเรื่องด้วยในกลุ่มนั้น
"หากกูอยากมีเรื่องแล้วมันจะทำไมวะ? " มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นสุราที่ออกมาตามลมหายใจ จันเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ
ไอ้เข้มเป็นนักเลงหัวไม้ที่จันเคยมีเรื่องด้วยและเป็นเจ้าของรอยฟกช้ำที่ไตรทศเคยถามหาสาเหตุเมื่อตอนที่มีเรื่องกับหมื่นเดชา
มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าจันมาก ตามลำตัวมีแต่มัดกล้ามเพราะมันทำงานที่โรงสีและคอยแบกกระสอบข้าวเป็นประจำ ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องกันเพราะมันมาลวนลามบุหงาจนจันทนมิได้เลยทำให้ได้แผลทั้งสองฝ่าย
"มึงยังมิหลาบจำจากครั้งก่อนอีกรึ? " ชายหนุ่มยิ้มเยาะเมื่อนึกถึงความพ่ายแพ้ของอีกฝ่าย
"หึ ครั้งที่แล้วมันจะทำไม? ในเมื่อครั้งนี้มึงมิรอดแน่!"
พูดจบร่างใหญ่โตก็ปรี่เข้าหวังจะต่อยคนปากมากให้หน้าหงาย หากแต่จันหลบหลีกได้และสวนเข้าไปทำให้หมัดนั้นโดนหน้าอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
เมื่อโดนต่อยจนเลือดกลบปากทำเอาไอ้เข้มความโกรธขึ้นหน้า มันพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วจนจันตั้งหลักมิทัน หมัดหนักๆจากคนตัวโตกว่าพุ่งเข้าใส่กลางท้องน้อยเสียจนจุก
"อึก! "
ความจุกเข้าเล่นงาน เพราะร่างเล็กกว่าจึงทำให้จันทั้งเจ็บทั้งจุก เจ็บจนต้องงอตัวและกุมหน้าท้องเอาไว้ สองขาอ่อนแรงจนลงไปคุกเข่ากับพื้น
"หึ คนปากดีเยี่ยงมึงควรโดนแบบนี้แหละไอ้จัญไร! "
คำด่าทอทำเอาจันชะงัก ชื่อ 'จัน' ที่ผู้เป็นมารดาอันเป็นที่รักตั้งให้โดนย่ำยีอย่างมิมีชิ้นดี ซ้ำร้ายฝนฟ้ายังมิเป็นใจตกลงมากระทบแผ่นหลังที่กำลังงองุ้มเพื่อปกป้องตนเองจนเปียกไปหมด
"พวกมึงรู้หรือไม่วะว่าแม่ของมันเป็นเมียน้อย แล้วที่โดนไล่ตะเพิดออกมาจากเรือนใหญ่เพราะให้กำเนิดมันที่เป็น 'แม่เรือน' ฮ่าๆ”
ไอ้เข้มพูดไปหัวเราะไปด้วยความสะใจ
“กูว่าแม่มึงมิได้ตั้งชื่อให้มึงว่าจันดอก คงตั้งใจตั้งว่า ‘จัญไร’ เสียมากกว่า เพราะมึงทำให้แม่มึงเจอแต่ความฉิบหายไงไอ้จัน! "
แผลทางการหายได้แต่แผลทางใจช่างหายได้ยากนัก ความเจ็บที่ท้องเทียบมิได้กับความเจ็บที่ใจเลย น้ำฝนเย็นมิอาจชะล้างความโกรธในใจของจันได้
ความจริงเรื่องแม่ที่พึ่งได้ฟังจากปากของไอ้เข้มทำเอาจันจุกจนพูดมิออก จันมิเคยรู้เลยว่าที่แม่ต้องตกระกำลำบากก็เพราะตน ชายหนุ่มได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าให้ฝนชโลมไปตามร่างกายจนเปียกไปทั่วทั้งตัว
"มึงมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่รึไม่? " เสียงสั่นเครือเอ่ยถามอีกคนที่ยืนค้ำหัวตน
"แล้วมึงจะทำไม? "
"กูจะได้เอาหมาออกจากมึง! "
จันใช้แรงฮึดสุดท้ายลุกขึ้นหมายจะต่อยเอาเลือดปากไอ้เข้มออกอีกครั้ง หากแต่มิง่ายดังความคิด ความเจ็บเข้าเล่นงานจนจันชะงักทำให้พวกเพื่อนของไอ้เข้มมาถึงตัวของจันเสียก่อน พวกมันใช้ท่อนแขนที่แบกกระสอบทุกวันจับตัวของจันไว้จนดิ้นไม่หลุด
"ขอโทษทีว่ะ แต่วันนี้มันเป็นวันของกู! "
ผั๊วะ!
หมัดหนักๆ ลอยเข้ามาหากรอบหน้าคมอย่างแรงจนหน้าหันไปตามแรงต่อย จันรู้สึกถึงความเค็มปร่าและรสสนิมของเลือดจากปากที่ปริแตกเพราะแรงต่อย
เพราะโดนจับเเขนไว้เเน่นจึงมิสามารถขยับไปไหนได้ โดนหมัดหนักๆต่อยเข้าที่หน้าและท้องจนร่างกายบอบช้ำ ไอ้เข้มต่อยไปที่ข้างเอวหลายทีและมันเป็นจุดที่มีรอยปานสีแดงที่ไตรทศเคยชมว่าสวย..
"หึ" จันแอบลอบยิ้มมุมปากทำให้ไอ้เข้มชะงัก
"มึงยังมีหน้ามาหัวเราะอีกหรือวะ!?”
"กูแค่สมเพชมึงเท่านั้น ตอนเคยมีเรื่องกันมึงคนเดียวมิอาจจะเอาชนะกูได้ มาตอนนี้มึงกลับเรียกพรรคพวกมาช่วยเสียแล้ว" เสียงพูดกระท่อนกระแท่นพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
"ปากดีนักนะมึง! "
มันง้างมือจะต่อยอีกรอบ หากแต่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
"หยุดบัดเดี๋ยวนี้! "
เสียงฝนที่ตกลงมามิอาจจะกลบเสียงของผู้พูดได้ จันเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมอง สายตาพร่ามัวทำให้มองเห็นได้ยาก แต่จากเสียงแล้วคงเป็นคนที่จันมิเคยจะชอบขี้หน้า คนที่จันแอบด่าในใจบ่อยครั้ง..ไตรทศ
เมื่อเห็นสภาพของจันที่เพิ่งยิ้มให้ก่อนกลับในตอนนี้ทำเอาไตรทศแทบอยากจะบั่นคอพวกคนทำเสียให้หลุดออกจากบ่า มือหนากำดาบแน่นจนไอ้มิ่งที่ถือร่มให้ผู้เป็นนายแอบหวั่นว่าฝักดาบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มันมิเคยเห็นนายตนโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน ชะตาขาดแล้วพวกเอ็ง..
"มึงอย่าเข้ามาแส่จะดีกว่า ไปซะหากมิอยากมีสภาพเป็นแบบมัน"
ไอ้เข้มพูดอย่างเหนือกว่า มันหารู้ว่าไม่ว่าคนที่มันกำลังปากดีด้วยคือ ไตรทศ บุตรชายของพระยาเกษมผู้ที่เป็นเจ้าของโรงสีที่มันทำงานอยู่และเป็นผู้ที่ทำให้มันมีที่ซุกหัวนอน คนฟังมิสนใจคำขู่เดินเข้าไปใกล้จนพวกนักเลงหัวไม้ชะงัก ในใจตอนนี้มีเพียงแค่ห่วงจันเท่านั้น
"มึงคงจะรู้จักกับมันสิท่า กูจะบอกให้ว่ามันเป็นแม่เรือนหาใช่ชายปกติไม่ คราวนี้มึงคงจะนึกรังเกียจมันแล้ว เช่นนั้นออกไปให้ไกลเสีย! "
ยิ่งฟังยิ่งทวีความโกรธ ไตรทศกำดาบในมือจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จันได้ยินทุกคำพูดทุกคำครหาจากไอ้เข้ม ความลับที่ตนปิดบังมาทั้งชีวิตถูกเปิดเผยเสียแล้ว ในใจหวังให้ไตรทศรังเกียจตนและเดินจากไป อย่าได้ทำเป็นรู้จัก อย่าได้เข้ามาช่วย หันหลังกลับไปและไปใช้ชีวิตของตนเสีย
"จะเป็นอันใดข้าก็หาได้รังเกียจไม่ ข้ามิได้ตัดสินใครจากสิ่งที่เขาเป็น ข้าตัดสินเขาจากข้างใน แลนายจันผู้นี้เป็นผู้มีจิตใจดีมิใช่พวกอันธพาลเช่นพวกเอ็ง หากยังมิหยุดข้าจะชักดาบออกมาและหนึ่งในพวกเอ็งต้องหัวหลุดออกจากบ่า! "
สิ่งที่ไตรทศพูดมิใช่คำขู่หากแต่จะทำจริง จันรู้สึกใจชื้นเมื่อมีคนที่รู้ความจริงและมินึกรังเกียจตนเข้าให้แล้ว ใครจะคิดว่าคนที่ตนมิชอบหน้าจะมาปกป้องเสียขนาดนี้
"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! "
พวกไอ้เข้มรีบปล่อยมือจากแขนของจันจนร่างกายอันบอบช้ำแทบจะล้มทั้งยืน แต่เป็นเพราะไตรทศรีบเข้ามารับไว้จึงทำให้ยังสามารถยืนได้บ้าง ร่างหนาสำรวจตามหน้าและร่างกายของอีกคน ปากแตกจนมีเลือดไหลออกมา ตามหน้าก็มีแต่รอยฟกช้ำ ยามเสื้อขาวบางโดนฝนจึงทำให้เสื้อแนบกับเนื้อจนเห็นเป็นรอยช้ำสีเขียวเข้มได้ชัด
"ข้า.."
"อย่าพึ่งพูด กลับเรือนกับข้า" คราแรกคิดว่าจะประคองแต่ร่างกายของจันนั้นแทบจะยืนยังไม่ไหว
"เดี๋ยว! "
จะร้องห้ามก็มิทัน ไตรทศอุ้มจันขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ร่างกายที่บอบช้ำปะทะกับอกแกร่งจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากใครอีกคน
ความเจ็บมีมากมายหากแต่ความกระดากอายก็มากมิแพ้กัน ไอ้มิ่งมองเจ้านายมันอย่างอึ้งๆจนลืมกางร่มให้ทำให้ไตรทศตัวเปียกเหมือนกับจัน แต่เขาหาได้สนใจไม่เพราะตอนนี้สิ่งที่สนใจคือคนในอ้อมกอด
"มิ่ง ไปบอกข่าวตาคงว่าข้าจะดูแลและรักษาจันให้ อย่าได้ห่วง"
"ขอรับ" ไอ้มิ่งรับคำก่อนจะโค้งหัวให้ผู้เป็นนายแล้วรีบรุดไปที่วัดเพื่อแจ้งข่าว
หากมีคนมาเห็นภาพตอนนี้คงจะพากันขำ เพราะมันคือภาพที่หนุ่มตัวโตกำลังอุ้มชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขน พาเดินตากฝนกลับเรือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จันแอบลอบมองหน้าไตรทศเป็นระยะ ใบหน้าคมมีฝนตกกระทบและไหลหยดลงมาที่ปลายคาง เป็นภาพที่หากแม่หญิงนางใดเห็นเข้าคงพากันอ่อนระทวยไปทั้งตัวแลหัวใจเป็นแน่ เพราะขนาดเป็นชายเช่นตน...ยังหวั่นไหวเลย
"มองข้าด้วยเหตุอันใดรึ?" ไตรทศจับได้เมื่อโดนอีกคนลอบมองบ่อยเข้า จันมิได้ตอบเพราะเจ็บตามปากไปหมดจนมิอยากเอ่ยวาจาอันใด
"พักเสียเถิด ซบอกข้าก็ได้ข้ามิถือ"
ไตรทศเดินไปพูดไป ฝนเริ่มซาแล้วหากแต่อากาศในยามเย็นนั้นช่างหนาวเย็นนัก คนในอ้อมแขนขยับหน้าเข้าหาอกแกร่ง เอาหน้าซบอกเพื่อหาไออุ่นจากร่างหนา
ไตรทศชะงักเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายทำตามที่ตนพูด เจ้าเสือดุตอนนั้นกลับกลายเป็นแมวน้อยในอ้อมกอดไปเสียแล้ว
ใช้เวลามินานทั้งสองก็มาถึงเรือนของไตรทศ เหล่าทาสร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายตัวเปียกไปหมดทั้งตัว ทั้งในอ้อมแขนยังอุ้มเอาจันที่มีสภาพดูไม่ได้เอาไว้อีกด้วย ไตรทศอุ้มจันเข้าไปในห้องนอนของตน วางลงบนเตียงนอนอย่างมินึกรังเกียจ ทั้งที่ไตรทศนั้นหวงพื้นที่ส่วนตัวของตนเสียยิ่งกว่าอะไรดี
"อือ..." เสียงครางอื้ออึงจากคนที่กำลังนอนหลับตาดึงความสนใจของไตรทศที่กำลังยืนเปลี่ยนชุด
"มีใครอยู่ข้างนอกรึไม่?"
"เจ้าค่ะ" นางบัวรีบรุดเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินนายเรียกหาทาสในเรือน
"ไปต้มน้ำอุ่นมา เอาผ้าขาวบางมาด้วย"
"เจ้าค่ะ" นางบัวก้มหน้ารับค่ำสั่งจากผู้เป็นนาย
ไตรทศเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง มือหนาจัดการปลดกระดุมเสื้อของอีกคนออกจนเผยให้เห็นรอยฟกช้ำที่หน้าท้องสวย
เขาตำหนิตนในใจ หากตามไปเร็วกว่านี้จันคงมิต้องเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ไตรทศเปิดเสื้อออกอย่างใจเย็น รอยแผลฟกช้ำมิอาจซ่อนรูปร่างที่ดูดีของจันเอาไว้ได้จนเขาลอบกลืนน้ำลายไปหลายที
"น้ำเจ้าค่ะ" เสียงนางบัวดึงสติของไตรทศกลับมา
"วางไว้ตรงหัวเตียง" ไตรทศพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด หากนางทาสเห็นว่าตนหน้าแดงคงยุ่งยากเป็นแน่
"ตายแล้ว! " นางบัวอุทานเมื่อเห็นรอยตามหน้าท้องแกร่ง "น่าเสียดายนะเจ้าค่ะ หน้าท้องสวยๆมีแต่รอยฟกช้ำไปหมด"
"อืม"
"โธ่พ่อรูปหล่อ แต่มิเป็นอันใดดอก อิฉันว่าอย่างไรพวกนางทาสคงมิมีปัญหา" นางบัวพูดอย่างเผลอตัว
"ทำไมหรือ? " ผู้เป็นนายถามด้วยความสงสัยในคำพูดของนางบัว
"ก็พวกมันชอบพ่อจันน่ะสิเจ้าคะ อิฉันก็ชอบเจ้าค่ะ..." นางบัวพูดด้วยท่าทีเหนียมอาย
"ออกไปได้แล้ว"
สายตาเย็นชาจากผู้เป็นนายทำเอานางบัวชะงักและรับรู้ถึงชะตากรรมของตน เห็นทีว่าตนกับนางทาสคนอื่นในเรือนคงต้องกินแห้ว เพราะนายจันผู้นี้โดนท่านไตรทศจองตัวไปเสียแล้ว
เมื่อทาสสาวออกไปไตรทศจึงหันกลับมาสนใจคนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง จันหายใจถี่เมื่อไตรทศเอามาวางลงบนหน้าผากจึงรู้ว่าจันมีไข้ มือหนาเอาผ้าชุบน้ำอุ่นและบิดให้หมาดๆ เช็ดตามซอกคอและหน้าท้องที่มีแต่รอยฟกช้ำ จันแอบสะดุ้งเมื่อผ้าที่ชุบน้ำอุ่นมาโดนแผล
"เสน่ห์แรงเสียจริง" ไตรทศพูดไปเช็ดไป เมื่อเช็ดท่อนบนเสร็จก็ถึงคราวต้องเช็ดท่อนล่าง
"ข้าจะหัวใจวายไหมหนอ" พึมพำกับตนเองไปเรื่อย
ไอ้มิ่งที่กลับมานานแล้วและยืนอยู่หน้าประตูได้ยินเข้าเต็มสองหูจนไปมิเป็น รีบเดินหันหลังกลับไปที่เรือนทาสเพราะมิอยากอยู่เป็นก้างขวางคอ
มือหนาค่อยๆ ดึงปมของโจงกระเบนของอีกคนออก ดึงลงต่ำนิดหน่อยจนเห็นร่องกล้ามเป็นขีดสองขีดแถวท้องน้อย ดูแล้วช่างเร้าอารมณ์คนอายุมากกว่านัก
"อึก"
ไตรทศลอบกลืนน้ำลาย เลิกโจงกระเบนขึ้นจากด้านล่างจนขาอ่อนขาวเนียนปรากฏต่อสายตา ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดลงบนขาอ่อน จันมิได้มีขนตามตัวเยอะเหมือนชายปกติ หากแต่ตามตัวนั้นนวลเนียนไปเสียหมด
"อะ อื้อ" เสียงครางกระเส่าจากคนที่กำลังนอนหลับตาทำเอาไตรทศใจเต้นมิเป็นจังหวะ
"จะฆ่าข้าทางอ้อมหรืออย่างไร..." ทุกคราที่เช็ดตามขาอ่อนจะมีเสียงครางดังขึ้นมาตลอดทุกการสัมผัส ไตรทศมือสั่นไปหมดเมื่อเสียงครางดังขึ้นยามที่เช็ดสูงขึ้นจนใกล้กับตรงส่วนนั้น..
"อ๊ะ..อ่า.."
ความอดทนขาดสะบั้นเมื่อผ้าบางส่วนเผลอไปโดน 'ส่วนนั้น' ใต้โจงกระเบนจนจันครางออกมาด้วยเสียงอันเย้ายวน
ไตรทศรีบหยุดมือและวางผ้าลงบนกะละมังน้ำอุ่น ใส่เสื้อผ้าที่แห้งแล้วให้จันก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอน สูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเพื่อระบายความเห่อร้อนตามใบหน้า
"เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือไม่เจ้าค่ะ?" นางบัวที่นั่งทำความสะอาดเรือนอยู่มิไกลรีบเดินเข้ามาถามผู้เป็นนายเมื่อเห็นว่าไตรทศสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"มิมีอันใด" ไตรทศเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนหน้าที่กำลังขึ้นสี
"ตาเถร! อะ..อิฉันขอตัวเจ้าค่ะ"
นางบัวอุทานด้วยความตกใจก่อนจะเดินหนีไปจนไตรทศนึกสงสัยว่ามันตกใจอะไร ก้มลงสำรวจร่างกายของตนก่อนจะพบสิ่งที่ทำให้นางทาสตกใจ
บางสิ่งบางอย่างใต้โจงกระเบนที่ไตรทศใส่อยู่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่จนเห็นเป็นรอยนูนเด่นชัดตามเนื้อผ้า
"เฮ้อ...จันหนอจัน เจ้าเด็กแสบ" ไตรทศกุมขมับทั้งยังอายเพราะโดนเห็นในสภาพนี้ไปเสียแล้ว
เขามิได้ตายด้านดังเช่นขุนไกรว่าไว้ หากแต่เพียงแค่รอใครสักคนมาปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดในตัวเพียงเท่านั้น และดูเหมือนว่าจันจะเป็นคนผู้นั้นที่ทำให้เขาสามารถเป็นได้ถึงเพียงนี้ จันที่เป็นบุรุษเพศและเป็นคนที่ไตรทศรู้สึกพิเศษตั้งแต่แรกเห็น


















หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-09-2019 02:23:01
ทำกับจันได้!!  :fire:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-09-2019 02:43:48
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-09-2019 08:53:05
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 28-09-2019 09:32:58
ไอ้คนเลวววว บังอาจมาทำร้ายจันของคุณพี่ :fire:

ว่าแต่..คุณพี่ไตรเจ้าค่ะ.... /วิ่งปิดหน้าหนี  อร๊ายยย  :o8:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 28-09-2019 19:55:31
บทที่ ๖

ไตรทศใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าสิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนจะสงบลง เขาทั้งนั่งทำวัตรเย็น ทั้งนั่งสมาธิแต่กว่าสมองจะนำภาพของจันที่กำลังนอนเปลือยท่อนบนและเกือบเปลือยท่อนล่างออกไปจากความคิดได้ก็กินเวลาไปเสียนาน จนไอ้มิ่งนึกสงสัยว่าครึ้มฟ้าครึ้มฝนอันใดเหตุใดนายของมันจึงเข้าไปในห้องพระเสียตั้งนานสองนาน
"แฮ่ม...ไปเตรียมน้ำต้มฟ้าทะลายโจรไว้เสียไอ้มิ่ง" ไตรทศกระแอมไอบอกนายทาสที่กำลังยืนมองตนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องพระ
"ขอรับ" มันค้อมหัวให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพรเพื่อนำใบของต้นฟ้าทะลายโจรมาต้ม
เจ้าของเรือนเดินกลับห้องของตนอย่างเชื่องช้าเพราะใจกลัวว่าจันจะนอนในท่าทีแปลกๆจนตนมิสามารถทานทนได้อีก แต่เมื่อกวาดสายตามองเข้าไปในห้องก็เห็นว่าจันนั้นนอนในท่าปกติดีมิได้นอนในท่าวาบหวิวอย่างที่ตนคิดแต่อย่างใด
ไตรทศถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินย่างกรายไปนั่งลงข้างเตียงไม้สักอีกครา เพ่งพินิศมองใบหน้าที่ทั้งหล่อและสวยในคราวเดียวกัน รอยฟกช้ำมิอาจปิดบังใบหน้าที่ดูดีนี้ได้
เขาใช้นิ้วเรียวปัดเส้นผมที่บดบังใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างถนอมเพราะมิอยากรบกวนให้อีกคนตื่นจากนิทรา ใบหน้ายามหลับของจันมีสีหน้าบูดเบี้ยวชั่วขณะเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังรบกวนการนอนของตน คิ้วที่ย่นเข้าหากันทำเอาไตรทศนึกเอ็นดูมิน้อย
ยามตื่นกลายเป็นแมวซน ยามหลับกลับกลายเป็นแมวน้อยที่แสนจะน่ารัก
"อื้อ"
ชายหนุ่มที่กำลังหลับตาพริ้มครางอื้ออึงเมื่อไตรทศใช้มือลูบไปที่แก้มนวลอย่างเผลอตัว เมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงประท้วงจึงรีบชักมือกลับ จันลืมตาตื่นเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่แก้มตน
"ตื่นแล้วรึ" ไตรทศพยายามทำสีหน้าให้เรียบนิ่งมากที่สุดเพราะมิอยาดถูกจับได้ว่าตนได้เผลอละลาบละล้วงจันไปเล็กน้อย
"อื้อ" คนบาดเจ็บพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
"ข้าวต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
นางบัวเดินถือถาดไม้ที่ใช้รองถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้องนอน ไตรทศเอ่ยสั่งเอาไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องพระ สีหน้านางบัวเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่ไตรทศก็ได้หาสนใจไม่
"วางไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง"
"เจ้าค่ะ"
มันเดินกรีดกรายเข้ามาด้วยท่าทีเหนียมอายทั้งยังส่งสายตาให้จันที่นั่งมองอยู่ด้วยท่าทีเชื้อเชิญ
ไตรทศนึกแปลกใจจึงหันไปมองจันบ้าง หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อประปรายปรากฎต่อสายตาเจ้าของห้องทันที
คงเพราะจันอาจจะนอนดิ้นบางครา จึงทำให้กระดุมหลุดออกจากรังดุม เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีเพียงกล้ามเนื้อ
"แฮ่ม" ผู้เป็นนายกระแอมเมื่อเห็นว่านางทาสตัวดีลวนลามแขกของตนด้วยสายตา
นางบัวรีบกุลีกุจอวางถาดไม้ลงอย่างเบามือก่อนจะรีบหันหลังกลับเดินหนีออกไปจากห้องเมื่อมันหันไปมองเห็นว่านายของตนนั้นส่งสายตาว่ามิพอใจในกริยาของมันเพียงใด
"กินข้าวต้มปลานี่เสียหน่อย"
"ข้ามิมีแรง.." จันเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน เพราะเรี่ยวแรงที่มีหายเข้ากลีบเมฆไปหมดสิ้นแล้วเนื่องจากมีแผลและรอยฟกช้ำไปทั่วตัว ทำให้ยากต่อการขยับ
"เดี๋ยวข้าป้อน"
"แต่-"
"อย่าดื้อสิจัน"
คนอายุมากกว่ามิฟังคำทัดทานแม้แต่น้อย เอื้อมมือไปหยิบช้อนหยกที่วางอยู่ข้างถ้วยข้าวต้ม ตักให้พอดีคำอย่างบรรจง ลงมือเป่าให้เพื่อบรรเทาความร้อนก่อนจะยื่นไปจ่อที่ปากสีระเรื่อของคนที่นั่งมองอยู่
จันรับเข้าปากอย่างมิอิดออดเพราะรู้ดีว่าเถียงไตรทศไปก็เท่านั้นทั้งตนยังรู้สึกหิวอยู่มากโข
ไตรทศตักอีกคำ เป่าให้หายร้อนก่อนจะยื่นไปใกล้ปากของจันอีกครา ครั้นยามจันจะอ้าปากรับเขากลับชักช้อนกลับและกินเข้าไปเสียเอง
"อ่ะ-" จันมองตามช้อนข้าวต้มที่อยู่ดีๆก็โดนชักกลับ
"หึ" ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจเมื่อแกล้งอีกคนได้สำเร็จ
"แกล้งข้า! " ชายหนุ่มทำหน้าหงุดหงิดเมื่อตนโดนเจ้าของห้องแกล้งเข้าให้
"อย่างอนข้าเลยหนา" ไตรทศมองคนบาดเจ็บทำใบหน้าง้องอนด้วยความนึกเอ็นดู สีหน้าแมวขู่ปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง
จันชะงักเมื่ออยู่ๆไตรทศก็ยื่นมือมาเช็ดที่ริมฝีปากตนอย่างกะทันหันจนตั้งตัวมิทัน เมื่อนิ้วของอีกฝ่ายมาโดนจึงทำให้แสบแผลที่มุมปากเล็กน้อยจนนิ่วหน้า เมื่อไตรทศรู้ว่าจันเจ็บจึงรีบชักมือออก
"ข้าวต้มมันติดตรงมุมปากออเจ้า ข้าทำออเจ้าเจ็บรึ? "
"แค่นี้เองข้ามิเป็นอันใดดอก ไกลหัวใจนัก" คนเจ็บพูดอวดตนเพราะมิอยากให้ไตรทศมองว่าเขาอ่อนแอจนมิมีความเป็นชายชาตรี
"รู้หรือไม่ ออเจ้ามิจำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้หากอยากจะอ่อนแอบ้างมันคงมิเสียหายอะไร"
"ข้ามิได้ทำตัวเข้มแข็ง! " คนเจ็บทำหน้าบึ้งตึงเมื่อโดนจี้เข้าที่จุดความรู้สึก
"กระนั้นดอกรึ" ไตรทศอ่อนใจกับคนดื้อรั้น จันนั้นหัวแข็งหากจะโน้มน้าวก็คงเป็นไปได้ยาก สงสัยเจ้าตัวจะชินกับการปกปิดความรู้สึกเพราะโตมาด้วยการถูกสอนให้เข้มแข็ง
"ออเจ้าอย่าบอกใครได้รึไม่? " สีหน้าของจันหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"เรื่องอะไรหรือ? "
"เรื่องที่ข้า...เป็นแม่เรือน" ชายหนุ่มนั่งก้มหน้ามิกล้ามองสีหน้าของไตรทศ มือจับผ้าห่มไว้มั่นเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นในอก
"จันเอ๋ย ข้ามิมีเหตุผลที่จะต้องไปบอกใครอื่นดอกหนา"
ไตรทศถือวิสาสะยื่นมือไปลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับของคนตรงหน้า นอกจากจันจะมิปฏิเสธสัมผัสจากไตรทศแล้วเจ้าตัวยังขยับศีรษะเพื่อถูผมเข้ากับมือหนาอีกด้วย หากมองดูก็คงเหมือนแมวตอนออดอ้อนมิมีผิด
"ข้ากลัวว่าหากมีคนรู้แล้วเขาจะรังเกียจข้า เพราะจากที่ที่ข้าจากมา...ทุกคนล้วนมองข้าเป็นตัวประหลาด"
ยิ่งฟังไตรทศยิ่งสงสารจันจับจิต แม่เรือนนั้นหากเกิดกับสตรีเพศก็คงมิผิดแปลก แต่หากเกิดกับบุรุษเพศแล้วไซร้คงมิพ้นคนรังเกียจและนินทา
บุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนจะมีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในพันคนเพียงเท่านั้นทั้งบุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนยังโดนกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีมิควรมีไว้ในเรือนจึงมิแปลกที่จันจะอยากปิดบังเรื่องนี้ไว้
"ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ข้าหาได้มองว่าแม่เรือนผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ "
"ข้ารู้แต่ข้า.."
"ออเจ้าคิดมากเรื่องคำพูดของไอ้เข้มงั้นรึ? " คนฟังใจกระตุกเมื่อไตรทศรับรู้ถึงสิ่งที่ตนคิดได้ราวกับว่าอ่านใจตนเองออก
"..."
"มิมีมารดาผู้ใดมิรักลูกของตนดอกหนา"
จันเงยหน้าขึ้นมองไตรทศ คนอายุมากกว่าหาได้มองเขาด้วยสายตาเวทนาแต่กลับมองด้วยสายตาเข้าใจและเอ็นดู
"ทั้งชื่อที่ตั้งก็ยังไพเราะหาได้หมายถึง จัญ-" ไตรทศหยุดคำพูดเพราะคำที่จะพูดนั้นช่างแสลงหูเขาเหลือเกิน
"...จัญไร" จันเป็นคนพูดเองเสีย สีหน้าของชายหนุ่มหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"มิใช่"
ไตรทศใช้มือแกร่งประคองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเศร้าหมองก่อนจะพูดเพื่อยืนยันว่าวาจาที่ตนเอ่ยนั้นออกมาจากใจจริง
"จัน มีได้หลายความหมาย ทั้งลูกจันที่มีสีเหลืองนวลและกลิ่นชวนให้ลิ้มลอง หรืออาจจะหมายถึงพระจันทร์ที่ผู้คนทั่วพระนครไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ต้องเหลียวขึ้นมองทั้งยังสว่างไสวไปทั้งคืน"
แลคงจะหมายถึงจันทร์กระพ้อในความหมายของพี่ ไตรทศคิดในใจแต่มิอาจเอ่ยออกไป
"กระนั้นรึ" สีหน้าของคนเจ็บดูดีขึ้นมาบ้าง
"จันหนอจัน ชื่อของเจ้าไพเราะถึงเพียงนี้อย่าได้เอาความคิดมิดีมาคิดมากเลยหนา มารดาของออเจ้าคงรักออเจ้ามากกว่าสิ่งใด การที่ออเจ้าเกิดมาลืมตามองโลกใบนี้คือเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามารดาของออเจ้ารักออเจ้าเพียงใด มิใช่หรือ? "
เหมือนกำแพงความเข้มแข็งพังทลาย ข้อสงสัยหายไปจากใจของชายหนุ่มผู้กล้าแกร่ง ภายในใจไหวสั่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความอัดอั้น
"มันมิเป็นอันใดดอกหนาหากออเจ้าจะทำตัวอ่อนแอเวลาอยู่กับข้า"
เมื่อพูดจบร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบโถมเข้าหาคนที่อายุมากกว่าถึงสิบปี ทิ้งทิฐิ ทิ้งความละอายและเย่อหยิ่ง เหลือไว้เพียง ‘จัน’ ชายหนุ่มที่ยังเป็นหนุ่มน้อยในสายตาของไตรทศ
ไหล่เล็กกว่าไหวสั่นจากแรงสะอื้นไห้ ไตรทศถือโอกาสนี้โอบกอดรอบคนที่มีกายเล็กกว่าตนพร้อมทั้งลูบหลังเพื่อปลอบประโลมคนเจ็บและใช้มืออีกข้างลูบลงบนกลุ่มผมสีดำอย่างทะนุถนอม รู้ตัวอีกทีจันก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของตนเสียแล้ว
ไตรทศค่อยๆ ประคองร่างของจันให้นอนลงอย่างเบามือก่อนที่ตนจะนอนลงข้างๆเพื่อคอยดูอาการเพราะตัวของจันร้อนมากกว่าเดิมจากพิษไข้เขาจึงคอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามขมับและข้อพับให้มิห่างเพื่อระบายไอร้อนจากร่างกายของอีกคน
เฝ้ามองใบหน้าที่ตนหลงไหลอยู่อย่างนั้นครั้นเมื่อจะลุกเพื่อไปนอนในห้องรับรองแขกกลับทำมิได้เพราะโดนจันนอนทับแขนเอาไว้
"เห็นทีพี่คงต้องนอนกับออเจ้าเสียแล้วกระมัง" พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแต่ปากกลับยิ้มกระหยิ่มจนหากใครมาเห็นคงพากันหมั่นไส้
กลางดึก
"อึก" จันนอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้กำเริบ เหงื่อกาฬชื้นไปทั้งสรรพางค์กายจนเสื้อที่ใส่แนบชิดไปกับผิว
"จัน"
ร่างสูงลุกขึ้นนั่งใช้มือทาบลงบนหน้าผากมน ความร้อนดั่งไฟสุมทำเอาไตรทศตื่นตระหนกรีบเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากเพื่อระบายความร้อนจากกาย
"จัน เจ้าตื่นเถิด มากินยาเสียหน่อย"
คนที่นอนอยู่ไร้ปฏิกิริยา ยาที่ต้มจากใบฟ้าทลายโจรที่ไอ้มิ่งนำเข้ามาให้ยังวางอยู่ใกล้เตียงเพราะไตรทศเผื่อเอาไว้ในสถานะการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
"แฮ่ก..." คนป่วยหอบหายใจถี่แรงกว่าเดิม
"จัน.." ไตรทศพยายามปลุกแต่จันก็มิตอบสนอง
"นะ..หนาว" เหงื่อกาฬผุดตามขมับ อุณภูมิร่างกายขึ้นสูงแต่จันกลับบ่นว่าหนาว
"ออเจ้าอย่าว่าข้าฉวยโอกาสเลยหนา"
ไตรทศยกแก้วยาต้มขึ้นดื่มแต่มิกลืน ประกบปากลงไปประทับจูบกับคนที่นอนเหงื่อท่วม ใช้มือข้างที่ว่างจับคางไว้เพื่อเปิดปากของจันให้น้ำต้มยาแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย
รสของฟ้าทะลายโจรผู้ใดก็รู้ดีว่ามีรสขมแต่แปลกที่รสที่ไตรทศสัมผัสได้กลับมีรสหวานละมุนเข้าแทรกรสขมของตัวยาจนเขานึกแปลกใจ ริมฝีปากนุ่มทำเอาไตรทศอดใจที่จะกัดลงไปเบาๆ มิได้ คนใต้ร่างสั่นไหวเหมือนลูกแมวที่ไร้ทางสู้
"แฮ่ก.." จันหอบหายใจเมื่อคนบนร่างถอนปากออกจากกัน
"หวาน.."
ไตรทศเลียริมฝีปาก มองไปที่คนใต้ร่างที่ตอนนี้ริมฝีปากนั้นบวมเจ่อ ใบหน้าหล่อขึ้นสีและสายตาหยาดเยิ้มเพราะพิษไข้ทำเอาคนอายุมากกว่าแทบจะคุมความกำหนัดของตนมิได้
"พักเสียเถิดหนา ก่อนที่ข้า...จะอดใจมิได้"
ไตรทศนอนลงข้างๆ จัน กอดร่างคนป่วยเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว ดึงผ้ามาห่มให้และจัดแจงท่านอนให้ก่อนที่จะหลับไปพร้อมกัน
เช้าวันต่อมา
คนบาดเจ็บขยับกายอย่างยากลำบาก สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาในห้องนอนจนต้องกับผิวกายจนเย็นเฉียบ ขยับหาไออุ่นจากคนบนเตียงเดียวกัน ซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งจนคนที่ตื่นอยู่ก่อนใจไหวสั่น ไตรทศนอนให้นิ่งที่สุดเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนเยอะๆจักได้หายดี
"อืม.."
จันค่อยๆ ลืมตาให้สายตาได้ปรับรับกับแสงจ้าจากหน้าต่าง รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ตนกำลังนอนเอาแก้มแนบมาทั้งคืน มันมิใช่ที่นอนหากแต่เป็นอกแกร่งของเจ้าของห้อง
"อ่ะ! " ชายหนุ่มพยายามลุกหนีแต่โดนอีกฝ่ายจับเอาไว้เสียก่อน
"ร่างกายยังมิหายดีอย่าพึ่งซนจะได้รึไม่? "
"ข-ข้ามานอนกับออเจ้าได้อย่างไร!? "
จันถามด้วยสีหน้าตกใจ เป็นชายแต่กลับมานอนกกแผ่นอกของชายด้วยกันมันน่าดูเสียที่ไหน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น มิหนำซ้ำคงมิมีหญิงใดอย่างได้เป็นผัว
"ออเจ้าป่วยข้าเลยต้องอยู่ดูแลอย่างไรเล่า"
สมองของจันค่อยๆนึกย้อนกลับไปช้าๆสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือตน 'ร้องไห้' กับไหล่ของไตรทศ
ทันทีที่เหตุการณ์เมื่อวานตีตื้นย้อนคืนมาใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำกลับขึ้นสีแดงระเรื่อจนไตรทศสังเกตเห็นได้
"เอ่อ...คือข้า"
"ออกไปกินสำรับเถิด นางบัวเตรียมไว้แล้ว" ไตรทศเอ่ยขึ้นก่อนที่จันจะพูดอะไร
"ข้ามิหิว"
"ข้าได้ยินไอ้มั่นบอกว่าตาของออเจ้าก็มาด้วยหนา" ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนกำลังคิดถึงมาเยี่ยมถึงที่
"ข้าหิวแล้วก็ได้! " จันลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างลืมเจ็บแผล ไตรทศได้แต่มองตาม
"หึ เด็กหนอเด็ก" ยิ้มพลางส่ายหัวอย่างระอา
"ตาจ๋าา" ร่างที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำถลาเข้ากอดผู้เป็นตาที่นั่งอยู่บนชานเรือน ไตรทศที่เดินตามมาจึงเห็นภาพนั้นเข้าจนนึกเอ็นดูชายหนุ่ม
"ดูสิเนี่ย แผลเต็มตัวไปหมด หากมิได้ท่านไตรทศไปช่วยเอ็งคงนอนตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว" ผู้เป็นตาออกปากบ่นหลานทันทีที่เจอหน้า
"โธ่ตาก็ ข้ามิตายง่ายๆดอกจ้ะ หากข้าตายตาคงเหงาแย่" จันกอดตาคงด้วยท่าทีออดอ้อนอย่างมิสนใจสายตาของเจ้าของเรือนอย่างไตรทศ
"ดูรึแผลก็เต็มหน้า ความหล่อที่ได้จากข้าไปหายไปจนหมดสิ้น"
"ตา~" ไตรทศลอบยิ้มกับการหยอกล้อของตาหลาน พลันต้องหุบยิ้มลงเมื่อจันหันมามอง
"ปากก็แตกเสียหมด"
"ก็มันต่อยข้าตรงมุมปากนี่จ้ะ" จันพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
"แล้วตรงกลางปากนี่เล่าไปได้แต่ใดมา" ตาคงจับปลายคางของหลานชายหันไปมาและเพ่งมองอย่างพินิจ คำพูดของตาคงทำเอาใจไตรทศตกไปที่ตาตุ่ม
"แผลที่ไหนกันจ้ะ" จันหันไปมองคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆอย่างพินิจ
"อ้าว ท่านไตรทศก็มีแผลที่เดียวกับเอ็งด้วยมิใช่ เฮ้อ...ขออภัยท่านด้วยหนาที่หลานข้ามันก่อเรื่อง"
คำทักท้วงของตาคงทำเอาไอ้มิ่งที่นั่งอยู่มิห่างหันขึ้นมองนายของมัน เป็นอย่างที่ตาคงว่า ริมฝีปากของทั้งสองมีแผลที่เดียวกัน มันจำได้ว่าไอ้จันมิมีแผลที่ตรงนี้ หากให้เดาแล้วนายของมันกับไอ้จันคง...
"ตายโหงแล้ว! " มันอุทานออกมาอย่างลืมตัว "อ-เอ่อ มิมีอันใดขอรับ" ไอ้มิ่งรีบก้มหน้านั่งนิ่งตามเดิม
"วันนี้ที่ข้ามาคือข้าจะมาเยี่ยมหลานชายแลอยากฝากฝังมันไว้กับท่านไตรทศสักเจ็ดวันเพราะข้าจะไปละโว้เลยมิได้อยู่ดูแลมัน จะได้หรือไม่? "
"ได้สิ ข้ายินดี" เหล่าทาสในเรือนพากันตกใจ ร้อยวันพันปีไตรทศมิเคยให้ผู้ใดมาพักที่เรือนตนแม้กระทั้งเพื่อนรักอย่างขุนไกรก็ยังมิเคย
"ตา! "
"เออข้าอยู่นี่ จะเรียกทำไมวะ? " จันทำสีหน้าตกใจ จะให้มาอยู่ชายคาเดียวกันกับคนที่ตนมิชอบขี้หน้ารึ เป็นไปมิได้!
"จะให้ข้าอยู่กับไอ้- อยู่กับท่านไตรทศได้อย่างไรจ้ะ ข้าขอไปด้วยนะจ้ะ" ชายหนุ่มใช้ลูกไม้ออดอ้อนผู้เป็นตา
"มิได้ เอ็งยังมิหายดี อยู่ที่นี่ก็ห้ามดื้อห้ามซนเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเขาเข้าใจรึไม่? "
ดูเหมือนลูกไม้ที่ชอบใช้ประจำจะมิได้ผลกับครานี้เสียแล้ว จันหันไปมองไตรทศที่กำลังทำหน้าระรื่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพราะหมั่นไส้เสียเต็มประดา ไตรทศหาได้เกรงกลัวไม่ กลับชอบใจเวลาจันแยกเขี้ยวใส่เพราะดูแล้วก็คล้ายแมวขู่
"จ้ะ" ชายหนุ่มก้มหน้างุด
"ข้าลาแล้วหนาท่านไตรทศ ขอบน้ำใจท่านมากที่ดูแลมันแทนข้า"
"ขอรับ" ไตรทศตอบอย่างนอบน้อม ถึงจนจะมีศักดิ์สูงกว่าตาคงแต่ก็หาได้ละทิ้งมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่
หลังตาคงออกจากเรือนไปจันก็มานั่งเล่นที่ท่าน้ำเพราะเบื่อบรรยากาศบนเรือนและอยากใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไหนจะเรื่องที่ตนไปร้องห่มร้องไห้ให้ศัตรูหัวใจอย่างไตรทศเห็น มีหวังไตรทศคงเอาไปพูดกับแม่พิกุลจนตนเสียคะแนนเป็นแน่
"ออเจ้ามานั่งทำการอันใดที่ตรงนี้?" เสียงนุ่มสุขุมที่จันมิเคยชอบพูดขึ้น
"ทำไม ข้านั่งที่ตรงนี้มิได้หรือ? "
 ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหาเรื่อง หากไตรทศมิชอบตนขึ้นมาตนอาจจะได้กลับกระท่อมไปอยู่คนเดียวเสียจะได้มิต้องอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน
"ได้สิ...เหตุใดจะมิได้"
ไตรทศยืนเอามือไพล่หลังก้มมองอีกคนที่กำลังนั่งเอาเท้าแช่น้ำเหมือนเด็กน้อย กับผู้อื่นจันนั้นช่างทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแต่กับเขาจันกลับทำตัวกระด้างจนเขาอ่อนใจ
"แล้วออเจ้ามาทำอันใดรึ? " จันเอี้ยวตัวหันกลับไปมองไตรทศที่ยืนค้ำหัวตนอยู่
"ที่นี่เป็นที่ประจำของข้ายามอยากพักจากเรื่องราวปวดหัวทั้งหลาย" จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
"เอ่อ ออเจ้าอย่าบอกผู้อื่นได้รึไม่เรื่องที่้ข้า...ร-ร้องไห้" พูดไปก้มหน้าไปเพราะกลัวว่าไตรทศจะเห็นสีหน้าที่กระดากอายของตน
"ได้ แต่มีข้อแม้" นั่นประไรเป็นอย่างที่จันคิดไว้ไม่มีผิด
"ข้อแม้อันใด? "
"ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไตรทศ" คนฟังทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะชนกัน ให้เรียกศัตรูหัวใจพี่งั้นหรือ?
ขอตายดีกว่า
"มิมีทาง" จันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตนนั้นตัวเตี้ยกว่าไตรทศ
"แล้วเรื่องที่ออเจ้าร้องไห้เล่า มิกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้หรอกหรือ? " ไตรทศทำหน้าตายียวนคนฟัง จันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตนนั้นตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว
"ก็ได้ๆ! ข้าจะเรียกออเจ้าว่า พะ..." คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น จันกระดากอายที่จะพูดออกมา
"ว่า? "
"พี่ไตรทศ..."
ใบหน้าหล่อของจันเห่อร้อนจนขึ้นสี มือจับโจงกระเบนไว้มั่นเพื่อระบายความเขินอาย จันเอาแต่ก้มหน้าเพราะมิกล้าสู้สายตาของอีกฝ่าย มีหวังคงกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจเป็นแน่
"น่ารัก..." คำพูดเบาหวิวเหมือนลมดังขึ้น
"ออเจ้าว่ากระไร อ-อื้อ! "
ดวงตาของจันเบิกโพลงเมื่อโดนอีกคนใช้มือจับปลายคางและประกบปากจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส ด้วยความตกใจจึงเผลอเปิดปากพลางรับรู้ได้ถึงลิ้นร้อนที่ฉกฉวยเข้ามาภายใน
โดนมืออีกข้างของไตรทศกอดเอาไว้จนขยับมิได้ พยายามดิ้นก็มิหลุดจนเริ่มหมดแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของจันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย คนตัวสูงถอนจูบก่อนจะขบกัดลงเบาๆ บนริมฝีปากนุ่ม
"อื้อ! "
จันส่งเสียงอื้ออึงเพื่อประท้วง รับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดที่เกิดจากรอยปริแตกจากการโดนกัดมีหรือที่จันจะยอมชายหนุ่มจึงกัดตอบบ้างเพื่อให้ไตรทศถอยห่าง หากแต่ว่ากลับคิดผิดเพราะอีกคนกลับได้ใจและเริ่มจูบตนหนักกว่าเดิม
ภายนอกไตรทศช่างดูสุขุมนุ่มลึก มิมีท่าที่อันตราย แต่ภายในชายผู้นี้กลับร้อนรุ่มดังไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มลายสิ้นจันคิดผิดเสียแล้วที่กล้าท้าทายและลองดีกับชายผู้นี้
ไตรทศเริ่มผ่อนแรงจันจึงฉวยโอกาสผละออก ร่างหนาเรียกสติตนเองกลับคืนก่อนจะนึกตกใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาจำได้เพียงว่าตนได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของจัน ทันใดนั้นร่างกายก็มิฟังคำทัดทานอันใดอีกเลย มันทำตามแต่ที่หัวใจเรียกร้องว่าให้ฉวยโอกาสกับชายตรงหน้าเสีย
"แฮ่ก.." จันหอบตัวโยนเพราะขาดอากาศหายใจจากจูบอันเร่าร้อนเมื่อครู่
"จันคือ-"
"ข้าเกลียดออเจ้า! "
ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือน้อยนิดผลักไตรทศให้ออกห่างอย่างนึกรังเกียจก่อนจะวิ่งหนีออกมา ทั้งอาย ทั้งเจ็บใจที่ตนโดนกระทำจากบุรุษเพศด้วยกันเอง
 ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มและหลงไหลไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนในคราเดียวกันจนใจดวงน้อยไหวสั่น
ไตรทศมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตนได้เผลอล่วงเกินไปแล้วมีหวังชาตินี้จันอาจจะมิมีทางหันกลับมามองตนในทางที่ดีได้เป็นแน่ ไตรทศรู้ดีว่ากลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นคือ 'กลิ่นเสน่หา' ที่จะออกมาจากกายของแม่เรือนเมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูหาคู่
สำหรับคนปกติคงจะมิมีผลแต่กลับผู้ที่เป็น 'พ่อเรือน' ที่ถูกสร้างให้ลุ่มหลงในตัวแม่เรือนอย่างไตรทศนั้นช่างยากที่จะทัดทาน 
เพราะบิดาและมารดาของไตรทศรู้เรื่องที่เขาเป็นพ่อเรือนเพราะสืบเชื้อสายจากผู้เป็นบิดา จึงสั่งให้เขามาอยู่ที่เรือนนี้เพียงผู้เดียวจะได้มิหลงกลิ่นของพวกทาสที่เป็นแม่เรือนในเรือนใหญ่จนเกิดปัญหาตามมา แต่หารู้ไม่ว่าเขานั้นได้รับดูแลแม่เรือนอย่างจันเอาไว้ใกล้ตัวถึงเพียงนี้
ระหว่างสำรับเย็นทั้งสองมิได้พูดคุยกัน ไอ้มิ่งมองนายของมันและจันสลับกันไปมาด้วยความฉงน ปกติจันคงพูดจ้อเป็นต่อยหอยไปแล้วแต่นี่กลับนั่งนิ่งจนมันนึกสงสัย
"น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" นางบัวทำหน้าที่ปรนนิบัติทั้งสองอย่างดีมิให้บกพร่อง มันลอบมองใบหน้าหล่อของจันอย่างชอบใจ คนอะไรยิ่งมองยิ่งดูดี
"ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยอย่างอ่อนน้อมก่อนจะรับขันเงินมาถือไว้ในมือก่อนที่มือจะสัมผัสกับมือของนางบัวเข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นางบัว
เคร้ง!
ไตรทศวางช้อนสีเขียวมรกตลงในถ้วยอาหารอย่างแรงจนนางบัวสะดุ้งโหยง มันรีบปล่อยมือออกจากขันและออกจากการกอบกุมของจัน
"นี่เรือนข้า ทำการอันใดก็สำรวมเสียบ้าง" ไตรทศเอ่ยดุอีกฝ่ายแต่จันหาได้สนใจไม่ กลับยกน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าอิ่มแล้ว ขอตัว"
ตึง
จันวางขันเงินลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกมาจากที่รับประทานอาหาร ไตรทศมองตามอีกฝ่ายตาละห้อยใจก็อยากจะง้ออีกฝ่ายหากแต่ตนนั้นมิเคยง้อใครมาก่อนในชีวิต
เผลอพูดกระด้างไปเสียจนอีกฝ่ายมิอยากจะเสวนาด้วย ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไอ้มิ่งตลอดมันจึงรับรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังมีปัญหากับไอ้จันเป็นแน่
ภายในห้องทำงาน ไตรทศย้ายมานั่งทำงานอีกห้องเพื่อที่จันจะไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีตนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำ มีไอ้มิ่งคอยฝนหมึกให้อยู่มิไกล
"เอ่อ ท่านไตรทศขอรับ อย่าว่าไอ้มิ่งสู่รู้เลยนะขอรับ"
"มีอันใดก็ว่ามา" ไตรทศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"คือ...ท่านมีปัญหากับไอ้จันหรือขอรับ?" มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"อืม"
"ข้ามีวิธีนะขอรับ"
"วิธีการอันใด? "
"แบบนี้ขอรับ..."
ไตรทศนั่งฟังทาสหนุ่มสาธยายมันยกตัวอย่างเวลาที่แม่หญิงที่มันเกี้ยวพากำลังงอนให้เขาฟังมากมาย ผู้เป็นนายตั้งใจฟังทาสหนุ่มพูดจ้อมิหยุด มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้สาระ
"ตอนนี้มันอยู่ที่ท่าน้ำขอรับ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะจะพูดคุยที่สุด"
"อืม" ไตรทศลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักก่อนจะเดินออกจากห้อง
ทางเดินระหว่างเรือนและท่าน้ำค่อนข้างที่จะมืดสนิทหากแต่คืนนี้พระจันทร์สุกสกาวเต็มดวงทำให้ไตรทศสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้มิยาก เขาเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อมิให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหนีไปเสียก่อน หากแต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของจัน
สายตาเฉียบคมหันไปเห็นกองผ้าที่ริมน้ำ ทันใดนั้นเสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จันเสยผมที่ปรกหน้าตนเองขึ้น ตามอกและหน้าท้องมีหยดน้ำเกาะ ยามต้องแสงจันหยดน้ำเหล่านั้นเป็นประกายระยิบระยับทำให้จันแลดูเหมือนพรายน้ำหนุ่มมิมีผิดเพี้ยน
รอยปานรูปดอกไม้สีแดงเห็นชัดที่้ขางเอวคอดราวสตรีเพศ แม้นไตรทศจะเคยเช็ดตัวให้จันตอนเป็นไข้ แต่มันเทียบกับครานี้มิได้แม้แต่น้อย
"อึก" ไตรทศกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะรีบเดินกลับมารอจันที่บันไดขึ้นเรือนแทน เพราะหากอยู่ตรงนั้นนานคงมิพ้นหัวใจวายตายเป็นแน่
จันชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนยืนถือตะเกียงอยู่ที่ใต้บันไดขึ้นเรือน คิดจะหันหลังกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ก่อน
"ประเดี๋ยวก่อนจัน" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่จรดเส้นผมตนตอนที่อีกฝ่ายหายใจเข้าออก
"มีอันใดก็รีบพูด" จันพูดด้วยน้ำเสียงห้วนเพื่อตัดรำคาญ
"พี่ขอโทษ"
กึก
ใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยคำขอโทษออกมา เสียงนุ่มและทุ้มเปล่งออกมาในขณะที่ไตรทศก้มลงมาพูดกระซิบข้างหูของจัน จันกอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอาไว้กับอกแน่นพร้อมทั้งกัดปากเพื่ออัดอั้นความรู้สึกในอก
"พี่ขอโทษที่ล่วงเกินออเจ้าไปแบบนั้น พี่ผิดไปแล้วจริงๆ" ไอ้มิ่งบอกว่าหากอยากจะขอโทษผู้ใดก็ต้องรู้สึกผิดจากใจจริงเสียก่อน และไตรทศเองก็ทำเช่นนั้น
"..." จันยังคงยืนนิ่ง
"พี่ผิดไปแล้ว ออเจ้ายกโทษให้พี่ได้หรือไม่? " ไตรทศพูดด้วยใจที่ไหวสั่น ใจนึงก็กลัวจันจะเกลียดตนและวิ่งหนีไปอีกใจก็อยากรั้งไว้มิอยากให้ไกลห่าง
"ย่อมได้ ข้ามิถือโทษออเจ้าก็ได้"
"จริงรึ" ไตรทศยิ้มออกเมื่อได้รับการให้อภัย
"แต่ออเจ้าต้องไปนอนที่ห้องอื่น"
"แต่-"
"มิมีข้อแม้ทั้งสิ้น" ไตรทศรีบสงบปากสงบคำทันที
"โธ่จัน..."
"ข้าขอตัว"
จันหันหลังกลับก่อนจะเดินผ่านไตรทศขึ้นเรือน เดินขึ้นบันไดไปได้มิกี่ขั้นจึงหันกลับมามองไตรทศที่กำลังยืนมองตนอยู่ตรงใต้บันไดเช่นกัน สองสายตาสอดประสานกันได้สักครู่จันจึงหันหลังกลับ
"ฝันดี...พี่ไตรทศ" เอ่ยเบาดังลมพัดก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป แต่ไตรทศได้ยินเต็มสองรูหู
"ฝันดีนะจัน" ไตรทศเอ่ยตอบอีกฝ่ายที่หายลับตาไปเสียแล้ว



หัวข้อ: Re: [Omegaverse] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 28-09-2019 19:56:00
กลางดึก

     "อึก" จันนอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้กำเริบ เหงื่อกาฬชื้นไปทั้งสรรพางค์กายจนเสื้อที่ใส่แนบชิดไปกับผิว
     "จัน"

     ร่างสูงลุกขึ้นนั่งใช้มือทาบลงบนหน้าผากมน ความร้อนดั่งไฟสุมทำเอาไตรทศตื่นตระหนกรีบเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากเพื่อระบายความร้อนจากกาย
     
     "จัน เจ้าตื่นเถิด มากินยาเสียหน่อย" คนที่นอนอยู่ไร้ปฏิกิริยา ยาที่ต้มจากใบฟ้าทลายโจรที่ไอ้มิ่งนำเข้ามาให้ยังวางอยู่ใกล้ๆเตียงเพราะไตรทศคิดเผื่อเอาไว้ในสถานะการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
     "แฮ่กก..." คนป่วยหอบหายใจถี่แรงกว่าเดิม
     "จัน.." ไตรทศพยายามปลุกแต่จันก็มิตอบสนอง
     "นะ..หนาว" เหงื่อกาฬผุดตามขมับ อุณภูมิร่างกายขึ้สูงแต่จันกลับบ่นว่าหนาว
     "ออเจ้าอย่าว่าข้าฉวยโอกาสเลยหนา"

     ไตรทศยกแก้วยาต้มขึ้นดื่มแต่ไม่กลืน ประกบปากลงไปประทับจูบกับคนที่นอนเหงื่อท่วม ใช้มือข้างที่ว่างจับคางไว้เพื่อเปิดปากของจันให้น้ำต้มยาแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย รสของฟ้าทะลายโจรใครๆก็รู้ดีว่ามีรสขมแต่แปลกที่รสที่ไตรทศสัมผัสได้กลับมีรสหวานละมุนเข้าแทรกรสขมของตัวยาจนเขานึกแปลกใจไม่น้อย ริมฝีปากนุ่มทำเอาไตรทศอดใจที่จะกัดลงไปเบาๆมิได้ คนใต้ร่างสั่นไหวเหมือนลูกแมวที่ไร้ทางสู้

     "อื้อ.." จันหอบหายใจเมื่อคนบนร่างถอนปากออกจากกัน
     "หวาน.."

     ไตรทศเลียริมฝีปาก มองไปที่คนใต้ร่างที่ตอนนี้ริมฝีปากนั้นบวมเจ่อไม่น้อย ใบหน้าหล่อขึ้นสีและสายตาหยาดเยิ้มเพราะพิษไข้ทำเอาคนอายุมากกว่าแทบจะคุมความกำหนัดของตนไม่ได้

     "พักเสียเถิดหนา ก่อนที่ข้า...จะอดใจมิได้" ไตรทศนอนลงข้างๆจัน กอดร่างคนป่วยเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว ดึงผ้ามาห่มให้และจัดแจงท่านอนให้ดีๆก่อนที่จะหลับไปพร้อมกัน
     
 
เช้าวันต่อมา

     คนบาดเจ็บขยับกายอย่างยากลำบาก สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาในห้องนอนจนต้องกับผิวกายจนเย็นเฉียบ ขยับหาไออุ่นจากคนบนเตียงเดียวกัน ซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งจนคนที่ตื่นอยู่ก่อนใจไหวสั่น ไตรทศนอนให้นิ่งที่สุดเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนเยอะๆจะได้หายดี

     "อืม.." จันค่อยๆลืมตาให้สายตาได้ปรับรับกับแสงจ้าจากหน้าต่าง รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ตนกำลังนอนเอาแก้มแนบมาทั้งคืน มันมิใช่ที่นอนหากแต่เป็นอกแกร่งของเจ้าของห้อง
     "อ่ะ!" ชายหนุ่มพยายามลุกหนีแต่โดนอีกฝ่ายจับเอาไว้เสียก่อน
     "ร่างกายยังมิหายดีอย่าพึ่งซนจะได้รึไม่?"
     "ขะ ข้ามานอนกับออเจ้าได้อย่างไร!?"

     จันถามด้วยสีหน้าตกใจ เป็นชายแต่กลับมานอนกกแผ่นอกของชายด้วยกันมันน่าดูเสียที่ไหน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น มิหนำซ้ำคงมิมีหญิงใดอย่างได้เป็นผัว

     "ออเจ้าป่วยข้าเลยต้องอยู่ดูแลอย่างไรเล่า"

     สมองของจันค่อยๆนึกย้อนกลับไปช้าๆ สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือตน 'ร้องไห้' กับไหล่ของไตรทศ ทันทีที่เหตุการณ์เมื่อวานตีตื้นย้อนคืนมาใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำกลับขึ้นสีแดงระเรื่อจนไตรทศสังเกตเห็นได้

     "เอ่อ...คือข้า"
     "ออกไปกินสำรับเถิด นางบัวเตรียมไว้แล้ว" ไตรทศเอ่ยขึ้นก่อนที่จันจะพูดอะไร
     "ข้าไม่หิว"
     "ข้าได้ยินไอ้มั่นบอกว่าตาของออเจ้าก็มาด้วยหนา" ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนกำลังคิดถึงมาเยี่ยมถึงที่
     "ข้าหิวแล้วก็ได้!" จันลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างลืมเจ็บแผล ไตรทศได้แต่มองตาม
     "หึ เด็กหนอเด็ก" ยิ้มพลางส่ายหัวอย่างระอา

     "ตาจ๋าา" ร่างที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำถลาเข้ากอดผู้เป็นตาที่นั่งอยู่บนชานเรือน ไตรทศที่เดินตามมาจึงเห็นภาพนั้นเข้าจนนึกเอ็นดุชายหนุ่มไม่น้อย
     "ดูสิเนี่ย แผลเต็มตัวไปหมด หากมิได้ท่านไตรทสไปช่วยเอ็งคงนอนตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว" ผู้เป็นตาออกปากบ่นหลานทันทีที่เจอหน้า
     "โธ่ตาก็ ข้ามิตายง่ายๆดอกจ้ะ หากข้าตายตาคงเหงาแย่" จันกอดตาคงด้วยท่าทีออดอ้อนอย่างมิสนใจสายตาของเจ้าของเรือนอย่างไตรทศ
     "ดูรึแผลก็เต็มหน้า ความหล่อที่ได้จากข้าไปหายไปจนหมดสิ้น"
     "ตาา" ไตรทศลอบยิ้มกับการหยอกล้อของตาหลาน พลันต้องหุบยิ้มลงเมื่อจันหันมามอง
     "ปากก็แตกเสียหมด"
     "ก็มันต่อยข้าตรงมุมปากนี่จ้ะ" จันพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
     "แล้วตรงกลางปากนี่เล่าไปได้แต่ใดมา" ตาคงจับปลายคางของหลานชายหันไปมาและเพ่งมองอย่างพินิจ คำพูดของตาคงทำเอาใจไตรทศตกไปที่ตาตุ่ม
     "แผลที่ไหนกันจ้ะ" จันหันไปมองคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆอย่างพินิจ
     "อ้าว ท่านไตรทศก็มีแผลที่เดียวกับเอ็งด้วยมิใช่ เห้อ ขออภัยท่านด้วยหนาที่หลานข้ามันก่อเรื่อง"

     คำทักท้วงของตาคงทำเอาไอ้มิ่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างหันขึ้นมองนายของมัน เป็นอย่างที่ตาคงว่า ริมฝีปากของทั้งสองมีแผลที่เดียวกัน มันจำได้ว่าไอ้จันมิมีแผลที่ตรงนี้ หากให้เดาแล้วนายของมันกับไอ้จันคง...

     "ตายโหงแล้ว!" มันอุทานออกมาอย่างลืมตัว "อะ เอ่อ มิมีอันใดขอรับ" ไอ้มิ่งรีบก้มหน้านั่งนิ่งตามเดิม
     "วันนี้ที่ข้ามาคือข้าจะมาเยี่ยมหลานชายแลอยากฝากฝังมันไว้กับท่านไตรทศสักเจ็ดวันเพราะข้าจะไปละโว้เลยมิได้อยู่ดูแลมัน จะได้หรือไม่?"
     "ได้สิ ข้ายินดี" เหล่าทาสในเรือนพากันตกใจ ร้อยวันพันปีไตรทสมิเคยให้ผู้ใดมาพักที่เรือนตนแม้กระทั้งเพื่อนรักอย่างขุนไกรก็ยังมิเคย
     "ตา!"
     "เออข้าอยู่นี่ จะเรียกทำไมวะ?" จันทำสีหน้าตกใจ จะให้มาอยู่ชายคาเดียวกันกับคนที่ตนมิชอบขี้หน้ารึ เป็นไปไม่ได้! 
     "จะให้ข้าอยู่กับไอ้- อยู่กับท่านไตรทศได้อย่างไรจ้ะ ข้าขอไปด้วยนะจ้ะ" ชายหนุ่มใช้ลูกไม้ออดอ้อนผู้เป็นตา
     "ไม่ได้ เอ็งยังมิหายดี อยู่ที่นี่ก็ห้ามดื้อห้ามซนเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเขาเข้าใจรึไม่?"

     ดูเหมือนลูกไม้ที่ชอบใช้ประจำจะมิได้ผลกับครานี้เสียแล้ว จันหันไปมองไตรทศที่กำลังทำหน้าระรื่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพราะหมั่นไส้เสียเต็มประดา ไตรทศหาได้เกรงกลัวไม่กลับชอบใจเวลาจันแยกเขี้ยวใส่ดูแล้วก็คล้ายแมวขู่

     "จ้ะ" ชายหนุ่มก้มหน้างุด
     "ข้าลาแล้วหนาท่านไตรทศ ขอบน้ำใจท่านมากที่ดูแลมันแทนข้า"
     "ขอรับ" ไตรทศตอบอย่างนอบน้อม ถึงจนจะมีศักดิ์สูงกว่าตาคงแต่ก็หาได้ละทิ้งมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่

     หลังตาคงออกจากเรือนไปจันก็มานั่งเล่นที่ท่าน้ำเพราะเบื่อบรรยากาศบนเรือนและอยากใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไหนจะเรื่องที่ตนไปร้องห่มร้องไห้ให้ศัตรูหัวใจอย่างไตรทศเห็น มีหวังไตรทศคงเอาไปพูดกับแม่พิกุลจนตนเสียคะแนนเป็นแน่

     "ออเจ้ามานั่งทำการอันใดที่ตรงนี้" เสียงนุ่มสุขุมที่จันมิเคยชอบพูดขึ้น
     "ทำไม ข้านั่งที่ตรงนี้มิได้หรือ?" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหาเรื่อง หากไตรทสมิชอบตนขึ้นมาตนอาจจะได้กลับกระท่อมไปอยู่คนเดียวเสียจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน
     "ได้สิเหตุใดจะมิได้" ไตรทศยืนเอามือไพล่หลังก้มมองอีกคนที่กำลังนั่งเอาเท้าแช่น้ำเหมือนเด็กน้อย กับผู้อื่นจันนั้นช่างทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแต่กับเขาจันกลับทำตัวกระด้างจนเขาอ่อนใจ
     "แล้วออเจ้ามาทำอันใดรึ?" จันเอี้ยวตัวหันกลับไปมองไตรทศที่ยืนค้ำหัวตนอยู่
     "ที่นี่เป็นที่ประจำของข้ายามอยากพักจากเรื่องราวปวดหัวทั้งหลาย" จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
     "เอ่อ ออเจ้าอย่าบอกผู้อื่นได้รึไม่เรื่องที่้ข้า...ระ ร้องไห้" พูดไปก้มหน้าไปเพราะกลัวว่าไตรทศจะเห็นสีหน้าที่กระดากอายของตน
     "ได้ แต่มีข้อแม้" นั่นประไรเป็นอย่างที่จันคิดไว้ไม่มีผิด
     "ข้อแม้อันใด?"
     "ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไตรทศ" คนฟังทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะชนกัน ให้เรียกศัตรูหัวใจพี่งั้นหรือขอตายดีกว่า
     "ไม่มีทาง" จันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตนนั้นตัวเตี้ยกว่าไตรทศ
     "แล้วเรื่องที่ออเจ้าร้องไห้เล่า มิกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้หรอกหรือ?" ไตรทศทำหน้าตายียวนคนฟัง จันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตนนั้นตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว
     "ก็ได้ๆ! ข้าจะเรียกออเจ้าว่า พะ..." คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น จันกระดากอายที่จะพูดออกมามิน้อย 
     "ว่า?"
     "พี่ไตรทศ..." ใบหน้าหล่อของจันเห่อร้อนจนขึ้นสี มือจับโจงกระเบนไว้มั่นเพื่อระบายความเขินอาย จันเอาแต่ก้มหน้าเพราะมิกล้าสู้สายตาของอีกฝ่าย มีหวังคงกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจเป็นแน่
     "น่ารัก..." คำพูดเบาหวิวเหมือนลมดังขึ้น
     "ออเจ้าว่ากระไร- อะ อื้อ!"

     ดวงตาของจันเบิกโพลงเมื่อโดนอีกคนใช้มือจับปลายคางและประกบปากจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส ด้วยความตกใจจึงเผลอเปิดปากพลางรับรู้ได้ถึงลิ้นร้อนที่ฉกฉวยเข้ามาภายใน โดนมืออีกข้างของไตรทศกอดเอาไว้จนขยับมิได้ พยายามดิ้นก็ไม่หลุดจนเริ่มหมดแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของจันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย คนตัวสูงถอนจูบก่อนจะขบกัดลงเบาๆบนริมฝีปากนุ่ม
     
     "อื้อ!"

     จันส่งเสียงอื้ออึงเพื่อประท้วง รับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดที่เกิดจากรอยปริแตกจากการโดนกัดมีหรือที่จันจะยอมชายหนุ่มจึงกัดตอบบ้างเพื่อให้ไตรทศถอยห่าง หากแต่ว่ากลับคิดผิดเพราะอีกคนกลับได้ใจและเริ่มจูบตนหนักกว่าเดิม ภายนอกไตรทศช่างดูสุขุมนุ่มลึก มิมีท่าที่อันตราย แต่ภายในชายผู้นี้กลับร้อมรุ่มดังไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มลายสิ้นจันคิดผิดเสียแล้วที่กล้าท้าทายและลองดีกับชายผู้นี้

     ไตรทศเริ่มผ่อนแรงจันจึงฉวยโอกาสผละออก ร่างหนาเรียกสติตนเองกลับคืนก่อนจะนึกตกใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาจำได้เพียงว่าตนได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของจัน ทันใดนั้นร่างกายก็มิฟังคำทัดทานอันใดอีกเลย มันทำตามแต่ที่หัวใจเรียกร้องว่าให้ฉวยโอกาสกับชายตรงหน้าเสีย

   จันหอบตัวโยนเพราะขาดอากาศหายใจจากจูบอันเร่าร้อนเมื่อครู่
     "จันคือ-"
     "ข้าเกลียดออเจ้า!"

     ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือน้อยนิดผลักไตรทศให้ออกห่างอย่างนึกรังเกียจก่อนจะวิ่งหนีออกมา ทั้งอาย ทั้งเจ็บใจที่ตนโดนกระทำจากบุรุษเพศด้วยกันเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มและหลงไหลไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนในคราเดียวกันจนใจดวงน้อยไหวสั่น

     ไตรทศมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตนได้เผลอล่วงเกินไปแล้วมีหวังชาตินี้จันอาจจะมิมีทางหันกลับมามองตนในทางที่ดีได้เป็นแน่ ไตรทศรู้ดีว่ากลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นคือ 'กลิ่นเสน่หา' ที่จะออกมาจากกายของแม่เรือนเมื่อใกล้ถึงช่วงหาคู่ สำหรับคนปกติคงจะมิมีผลแต่กลับผู้ที่เป็น 'พ่อเรือน' ที่ถูกสร้างให้ลุ่มหลงในตัวแม่เรือนอย่างไตรทศนั้นช่างยากที่จะทัดทาน

     เพราะบิดาและมารดาของไตรทศรู้เรื่องที่เขาเป็นพ่อเรือนเพราะสืบเชื้อสายจากผู้เป็นบิดา จึงสั่งให้เขามาอยู่ที่เรือนนี้เพียงผู้เดียวจะได้มิหลงกลิ่นของพวกทาสที่เป็นแม่เรือนในเรือนใหญ่จนเกิดปัญหาตามมา แต่หารู้หรือไม่ว่าเขานั้นได้รับดูแลเเม่เรือนอย่างจันเอาไว้ใกล้ตัวถึงเพียงนี้



     ระหว่างสำรับเย็นทั้งสองมิได้พูดคุยกัน ไอ้มิ่งมองนายของมันและจันสลับกันไปมาด้วยความฉงน ปกติจันคงพูดจ้อเป็นต่อยหอยไปแล้วแต่นี่กลับนั่งนิ่งจนมันนึกสงสัย

     "น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" นางบัวทำหน้าที่ปรนนิบัติทั้งสองอย่างดีมิให้บกพร่อง มันลอบมองใบหน้าหล่อของจันอย่างชอบใจ คนอะไรยิ่งมองยิ่งดูดี
     "ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยอย่างอ่อนน้อมก่อนจะรับขันเงินมาถือไว้ในมือก่อนที่มือจะสัมผัสกับมือของนางบัวเข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นางบัว

     เคร้ง!

     ไตรทศวางช้อนสีเขียวมรกตลงในถ้วยอาหารอย่างแรงจนนางบัวสะดุ้งโหยง มันรีบปล่อยมือออกจากขันและออกจากการกอบกุมของจัน

     "นี่เรือนข้า ทำการอันใดก็สำรวมเสียบ้าง" ไตรทศเอ่ยดุอีกฝ่ายแต่จันหาได้สนใจไม่ กลับยกน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
     "ข้าอิ่มแล้ว ขอตัว"

     ตึง

     จันวางขันเงินลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกมาจากที่รับประทานอาหาร ไตรทศมองตามอีกฝ่ายตาละห้อยใจก็อยากจะง้ออีกฝ่ายหากแต่ตนนั้นมิเคยง้อใครมาก่อนในชีวิต เผลอพูดกระด้างไปเสียจนอีกฝ่ายมิอยากจะเสวนาด้วย ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไอ้มิ่งตลอดมันจึงรับรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังมีปัญหากับไอ้จันเป็นแน่

     ภายในห้องทำงาน ไตรทศย้ายมานั่งทำงานอีกห้องเพื่อที่จันจะไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีตนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำ มีไอ้มิ่งคอยฝนหมึกให้อยู่ไม่ไกล

     "เอ่อ ท่านไตรทศขอรับ อย่าว่าไอ้มิ่งสู่รู้เลยนะขอรับ"
     "มีอันใดก็ว่ามา" ไตรทศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
     "คือ...ท่านมีปัญหากับไอ้จันหรือขอรับ" มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
     "อืม"
     "ข้ามีวิธีนะขอรับ"
     "วิธีการอันใด?"
     "แบบนี้ขอรับ..."

     ไตรทศนั่งฟังทาสหนุ่มสาธยายมันยกตัวอย่างเวลาที่แม่หญิงที่มันเกี้ยวพากำลังงอนให้เขาฟังมากมาย ผู้เป็นนายตั้งใจฟังทาสหนุ่มพูดจ้อมิหยุด มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้สาระ

     "ตอนนี้มันอยู่ที่ท่าน้ำขอรับ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะจะพูดคุยที่สุด"
     "อืม" ไตรทศลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักก่อนจะเดินออกจากห้อง

     ทางเดินระหว่างเรือนและท่าน้ำค่อนข้างที่จะมืดสนิทหากแต่คืนนี้พระจันทร์สุกสกาวเต็มดวงทำให้ไตรทศสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้มิยาก เขาเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อมิให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหนีไปเสียก่อน หากแต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของจัน

     สายตาเฉียบคมหันไปเห็นกองผ้าที่ริมน้ำ ทันใดนั้นเสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จันเสยผมที่ปรกหน้าตนเองขึ้น ตามอกและหน้าท้องมีหยดน้ำเกาะ ยามต้องแสงจันหยดน้ำเหล่านั้นเป็นประกายระยิบระยับทำให้จันแลดูเหมือนพรายน้ำหนุ่มมิมีผิดเพี้ยน รอยปานรูปดอกไม้สีแดงเห็นชัดที่้ขางเอวคอดราวสตรีเพศ แม้นไตรทศจะเคยเช็ดตัวให้จันตอนเป็นไข้ แต่มันเทียบกับครานี้มิได้แม้แต่น้อย

     "อึก" ไตรทศกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะรีบเดินกลับมารอจันที่บันไดขึ้นเรือนแทน เพราะหากอยู่ตรงนั้นนานคงมิพ้นหัวใจวายตายเป็นแน่

     จันชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนยืนถือตะเกียงอยู่ที่ใต้บันไดขึ้นเรือน คิดจะหันหลังกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ก่อน

     "เดี๋ยวก่อนจัน" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่จรดเส้นผมตนตอนที่อีกฝ่ายหายใจเข้าออก
     "มีอันใดก็รีบพูด" จันพูดด้วยน้ำเสียงห้วนเพื่อตัดรำคาญ
     "พี่ขอโทษ"

กึก

     ใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยคำขอโทษออกมา เสียงนุ่มและทุ้มเปร่งออกมาในขณะที่ไตรทศก้มลงมาพูดกระซิบข้างหูของจัน จันกอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอาไว้กับอกแน่นพร้อมทั้งกัดปากเพื่ออัดอั้นความรู้สึกในอก

     "พี่ขอโทษที่ล่วงเกินออเจ้าไปแบบนั้น พี่ผิดไปแล้วจริงๆ" ไอ้มิ่งบอกว่าหากอยากจะขอโทษใครก็ต้องรู้สึกผิดจากใจจริงเสียก่อน และไตรทสเองก็เป็นเช่นนั้น
     "..." จันยังคงยืนนิ่ง
     "พี่ผิดไปแล้ว ออเจ้ายกโทษให้พี่ได้หรือไม่?" ไตรทศพูดด้วยใจที่ไหวสั่น ใจนึงก็กลัวจันจะเกลียดตนและวิ่งหนีไปอีกใจก็อยากรั้งไว้มิอยากให้ไกลห่าง
     "ย่อมได้ ข้ามิถือโทษออเจ้าก็ได้"
     "จริงรึ" ไตรทศยิ้มออกเมื่อได้รับการให้อภัย
     "แต่ออเจ้าต้องไปนอนที่ห้องอื่น"
     "แต่-"
     "มิมีข้อแม้ทั้งสิ้น" ไตรทศรีบสงบปากสงบคำทันที
     "โธ่จัน"
     "ข้าขอตัว"

     จันหันหลังกลับก่อนจะเดินผ่านไตรทศขึ้นเรือน เดินขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นจึงหันกลับมามองไตรทศที่กำลังยืนมองตนอยู่ตรงใต้บันไดเช่นกัน สองสายตาสอดประสานกันได้สักครู่จันจึงหันหลังกลับ

     "ฝันดี...พี่ไตรทศ" เอ่ยเบาดังลมพัดก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป แต่ไตรทศได้ยินเต็มสองรูหู
     "ฝันดีนะจัน" ไตรทศเอ่ยตอบอีกฝ่ายที่หายลับตาไปเสียแล้ว


___________

#หอมเจ้าจัน

   
     

     
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-09-2019 00:53:52
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-09-2019 00:56:55
โถ่คุณพี่น้อตหลุด
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-09-2019 09:15:32
ใกล้ฤดูหาคู่แล้ว
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 29-09-2019 12:20:43
  ชอบ มาต่อไวๆ เน้อ เยิฟ ^^
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 6 (28/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 29-09-2019 13:09:47
เสน่หารุมเร้าจน คุณพี่อดใจไหว เผลอไปกินปากน้องเจ้า
ตะบะคงแตกในเร็ววันนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 29-09-2019 14:18:23
บทที่ ๗

"ขุนไกร"
"ว่าอย่างไรสหายรัก"
"ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเอ็ง"
"ว่ามา"
"บุรุษเพศกับบุรุษเพศ...เขาร่วมรักกันอย่างไรวะ?"
พรวด!
น้ำชาที่ขุนไกรพึ่งยกขึ้นดื่มไปถูกพ่นออกมาจนหมดสิ้นเมื่อได้รับคำถามที่มิคาดคิดจากไตรทศที่เป็นทั้งเพื่อนรักและเพื่อนตายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ เพราะมารดาของขุนไกรนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของไตรทศอีกทีทำให้พวกเขาเจอกันตั้งแต่ยังไม่ลืมตาออกมาดูโลก
"เอ็งถามไปทำไมรึ!? " ขุนไกรหยิบเอาผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดตามรอยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำชา มองเพื่อนตนด้วยสายตาฉงน
"ข้าชอบจัน" ข้อนี้ขุนไกรมองออกตั้งนานแล้วว่าไตรทศมีใจให้นายจันผู้นี้
"แล้ว? "
"ก็ไม่ทำไม ข้าแค่อยากศึกษาไว้ เผื่อในภายภาคหน้าข้าอาจจะได้...ได้ร่วมหอกับจัน"
ขุนไกรถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อล่วงรู้ถึงความคิดเพื่อนของตน เขาดูก็รู้ว่าจันชอบพอแม่พิกุลทั้งยังมิสนใจหันมาแลบุรุษเพศด้วยกันเป็นแน่
"เอ็งก็รู้ว่าจันมิได้ชื่นชอบไม้ป่าเดียวกัน"
"อืม"
"และคนที่จันชอบพอนั้นก็คือแม่พิกุล"
"อืม"
"เป็นเช่นนี้แล้วเอ็งจะยังคิดชอบจันอยู่รึ"
"ชอบ"
"..."
"จะยังไงข้าก็ชอบ" ชอบไปแล้ว จะทำอย่างไรได้นอกจากชอบต่อไป

"ป้าอิ่มทำกระไรอยู่หรือจ้ะ"
ชายหนุ่มที่พึ่งหายดีจากแผลหมาดๆ เดินเข้ามายังเรือนครัวที่อยู่มิไกลเรือนพักของไตรทศมากนัก ใช้เวลาแค่สามวันจันก็สนิทสนมกับเหล่าทาสในเรือนแทบจะทุกคนเพราะพวกทาสในเรือนต่างเห็นว่าจันน่ารักและอัธยาศัยดีน่าคบหา ทั้งยังเป็นเด็กน่ารักพูดจาเจื้อยแจ้วช่างเจรจา นอกจากจะหล่อเหลาเอาการแล้วยังพูดเพราะเสียด้วย
"วันนี้ข้าทำแกงกะทิใส่ยอดมะพร้าว"
"โห แค่ได้ยินชื่อข้าก็หิวแล้ว" จันทำท่าลูบท้องเพื่อสื่อว่าตนหิว ป้าอิ่มหัวหน้าแม่ครัวยิ้มอย่างเอ็นดู
"ข้ามีหลานสาวอยู่คนหนึ่งสวยมากเลยหนา มันเองก็ทำกับข้าวอร่อยเหมือนข้า หากเอ็งได้เป็นแม่ของลูกคงจะดีมิน้อย"
นางอิ่มเริ่มสาธยายความดีของหลานสาวตนเองอีกครั้ง สื่อเป็นนัยว่าอยากได้จันมาเป็นหลานเขยใจจะขาด
"ข้าก็มีหลานสาวนะโว้ยอีอิ่ม เอ็งมิได้มีหลานสาวอยู่เพียงผู้เดียว" นางเพียร ทาสที่อายุเยอะพอๆกับนางอิ่มพูดขึ้น
"เงียบไปเลยอีเพียร คนนี้กูจองให้หลานกู"
"คนนี้กูก็จอง" หลังจากนั้นทาสแก่ทั้งสองก็เถียงกันไปมาจนเสียงดังไปทั่ว
"โอ๊ยๆ พอเลยพวกป้า พี่จันเขาเป็นของข้าต่างหาก ใช่ไหมจ้ะพี่? "
นางบัวที่ถูกตาต้องใจจันมาตั้งแต่แรกเดินเข้ามากอดแขนออเซาะด้วยมารยาร้อยเล่มเกวียน จนทาสแก่ทั้งสองที่กำลังเถียงกันหันมาด่านางบัวแทน
"เหอะ มีกี่ผัวแล้วล่ะเอ็ง"
"ป้ารู้รึไม่ว่าแม่ข้าก็อายุมากพอๆ กับพวกป้า"
"แล้วอย่างไรวะ?"
"แม่ข้ามิเห็นจะพูดมากเหมือนพวกป้าเลย"
"เอ๊ะอีนี่! " ทั้งสองหันมาจวกนางบัวแทน หมายจะจับหมอฟาดปากเสียให้เข็ดแต่มันกลับวิ่งแจ้นหนีไปเสียก่อน
"ปากจัดพอๆ กับแม่มิมีผิดเพี้ยน" เหล่าทาสก็แบบนี้ ทั้งปากจัด ทั้งรุนแรง แต่สุดท้ายก็รักกันดี จันได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
"มาแล้วๆ " ทั้งสามหันไปมองตามเสียงที่ดังมาแต่ไกล เห็นว่าคนมาใหม่คือไอ้มิ่งทาสคนสนิทของไตรทศที่พึ่งกลับมาจากตลาดเล็ก
"ได้อะไรมาบ้างวะไอ้มิ่ง?"
"ได้ไก่กับปลามาจ้ะป้าอิ่ม" มันชูห่อใบตองขึ้น ข้างในคงเป็นเนื้อไก่และปลานิลที่นางอิ่มวานให้ไปหาซื้อมา
"เออดี วันนี้ข้าจะทำปลานึ่ง"
"จ้ะป้า" ไอ้มิ่งวางห่อใบตองลงบ่นแคร่ไม้ไผ่ หันมาสนใจจันที่ยืนมองอยู่
"เอ็งหายดีแล้วรึ? " มันสำรวจใบหน้าคม รอยฟกช้ำเลือนลางจนมองแทบจะมิเห็นแล้ว
"หายแล้ว"
"เออ แสดงว่ายาดีจริง"
"..."
"เอ็งต้องไปขอบน้ำใจท่านไตรทศเขาหนา ตัวยาหมดทีไรท่านก็อุตส่าห์ออกไปหาตัวยาเอง" จันคิดย้อนไปถึงเมื่อวานที่ไตรทศมิอยู่เรือนทั้งวัน
"ข้ามีเรื่องสงสัย"
"อะไรวะ? "
"ปกติเวลาเรียกคนมีศักดิ์ใหญ่โตมักจะเรียกยศนำหน้า เช่น ขุนไกร ที่มีตำแหน่งเป็น ขุน แต่ข้ามิเห็นว่าจะมีผู้ใดเรียกนายเอ็งด้วยยศเลยสักผู้เดียว"
"นี่เอ็งยังมิรู้อีกรึ"
"รู้กระไรวะ? "
"นายข้าหาได้มีศักดิ์อันใดไม่ ท่านมิได้รับราชการ"
ชายหนุ่มตกใจในคำตอบมิน้อย เป็นถึงลูกพระยาแต่มิรับราชการ? เห็นทีคงโดนชาวบ้านนินทาไปเจ็ดแปดคุ้งน้ำ ทั้งยังคงถูกเหยียดหยามเป็นแน่
"แล้ววันๆ นายเอ็งทำอะไรวะ"
"ท่านเป็นหมอยา"   
"หมอยา!? "
"ก็เออสิวะ ท่านเป็นหมอที่เก่งที่สุดในพระนครแล้วกระมัง" จันถึงกลับกระจ่างว่าเหตุใดไตรทศถึงรู้เรื่องตัวยาและสมุนไพรดีนัก
"หากเป็นเช่นนั้นนายเอ็งมิเคยโดนนินทารึ? "
"ห่วงข้ารึ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาจันแทบสะดุ้งตัวโยน เมื่อหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นไตรทศที่เดินเข้ามาดูเหล่าทาสในครัว
"ข-ข้าจะห่วงออเจ้าด้วยเหตุอันใดเล่า ฮ่าๆ" แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนไป แต่สายตานั้นกลับล่อกแล่กเสียจนอีกคนรู้ทัน
"ออเจ้าหายแล้วรึ" ชายอีกคนเดินเข้ามาเสริมทัพ จันยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่าคนที่มาใหม่คือขุนไกร คนที่ตนนับถือเป็นพี่ชายคนหนึ่ง
"พี่ไกร!"
จันเดินผ่านไตรทศไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ขุนไกรเอ็นดูน้องชายของตนจึงยื่นมือมาลูบหัวของจันอย่างถนอม แต่ก็ต้องรีบเอามือออกเมื่อเห็นสายตาเพชฌฆาตจากไตรทศเพื่อนรัก
"ไหนดูทีฤา" ขุนไกรใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าของจันขึ้นอย่างเบามือ
"ข้ากลับมาหล่อแล้วใช่หรือไม่จ้ะ?"
"ใช่ เอ็งกลับมาหล่อแล้ว รอยช้ำก็เริ่มหายแล้ว ดีจริง"
ฝ่ามือใหญ่ลูบไปตามพวงแก้มเนียนอย่างเพลิดเพลิน ผิวพรรณของจันมิได้ขาวผ่องแบบสตรีเพศแต่ผิวสีน้ำผึ่งอ่อนๆนั้นกลับนวลเนียนน่าสัมผัส
"พี่รู้รึไม่ว่าพวกป้าๆ แย่งข้าไปเป็นหลานเขยกันใหญ่" ชายหนุ่มรีบโอ้อวดความหล่อเหลาของตนที่เป็นสาเหตุของการแก่งแย่งตนไปเป็นหลานเขย
"เห็นทีในมิช้า...คงได้ออกเรือน" ประโยคหลังขุนไกรช้อนตามองที่ไตรทศที่กำลังมองมาทางตนและจัน
"หน้าตาก็พอดูได้ หลงตัวเองเสียจริง" จันหันขวับไปตามเสียงพูดก็เห็นว่าไตรทศกำลังยืนกอดอกมอง
เหอะ! หล่อกว่าเท่าขี้เล็บทำเป็นคุยโว
"ข้าอาจจะหล่อมิเท่าพี่ไตร แต่ก็มีแต่คนอยากได้ไปเป็นหลานเขยนะจ้ะ มิเหมือนใครบางคน...แก่จนอายุปูนนี้ก็ยังมิมีเมีย"
คำว่าแก่ปักกลางอกคนฟัง แต่มิได้มีเพียงหนึ่ง กลับมีถึงสอง ทั้งไตรทศและขุนไกรที่อายุไล่เลี่ยกัน
คำว่าแก่พูดเบาๆ ก็เจ็บ

"ไอ้มิ่งเตรียมย่าม ข้าจะไปซื้อตำรายา"
"ขอรับ"
วันนี้เป็นวันที่ร้านหนังสืออาแปะชาวจีนแถบริมน้ำในตลาดใหญ่เปิดขายตำรับยาจีนที่สุดแสนจะหายากและนานๆทีจะมีสักครั้งเพราะหนังสือจีนกว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมากับเรือสำเภาก็ต้องรออยู่หลายเดือน และเพลานี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดีเพราะหนังสือเล่มใหม่มาถึงร้านที่ว่าแล้ว
ในตลาดใหญ่บรรยากาศครึกครื้น ไตรทศเลือกที่จะมากับทาสหนุ่มคนสนิทสองคนเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนอยู่ที่เรือน ทุกวันที่๕เดือน๕คือวันที่เรือสำเภาสินค้าจากจีนมาถึงพระนครทำให้ตลาดใหญ่มีของจากเมืองจีนมาขายมากมาย
ทั้งผ้าไหมผ้าแพร เครื่องประดับ เครื่องเทศ และหนังสือ แต่น้อยคนนักที่จะซื้อเพราะมิมีผู้ใดอ่านภาษาจีนออก หากแต่ไตรทศนั้นเคยร่ำเรียนมาครั้งเยาว์วัยจึงสามารถอ่านออกและเขียนได้อยู่บ้าง
"มาแล้วรึท่านไตรทศ เชิญเลือกเลยขอรับ หนังสือใหม่ๆ มาเยอะเชียว" แปะหลิวเจ้าของร้านหนังสือที่ไตรทศคุ้นเคยดีเดินเข้ามาต้อนรับ
ตาคมสาดส่องไปทั่วชั้นหนังสือ เขาให้ไอ้มิ่งรอด้านนอกเพราะมิอยากขัดหูขัดตาเวลาเลือกและชอบเดินเลือกผู้เดียวเสียมากกว่ามีคนคอยเดินตาม
หนังสือตำรับยาจีนมากมายหลายแขนงปรากฏต่อสายตาหมอยาหนุ่ม เขาบรรจงหยิบมาเปิดอ่านภายในเพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเลือกหยิบเล่มที่สนใจติดมือ เดินไปได้สักพักสายตาจึงสะดุดเข้ากับหนังสือที่ปกทำจากกระดาษหนาสีน้ำตาลอ่อนที่ขนาดเล่มหนาพอสมควร หน้าปกเขียนเป็นภาษาจีนถอดความได้ว่า "ตำรากามสูตร "
"อั๊ยหยา! เล่มนั้นมันมิใช่ตำรายาหนาท่านไตรทศ" อาแปะหลิวที่เดินปัดฝุ่นตามหนังสือทักขึ้นเมื่อคิดว่าไตรทศสับสนกับภาษาจีน
"นี่คือสิ่งใดรึ?" คนมีศักดิ์ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เพราะเขามิเคยเห็นหนังสือเช่นนี้มาก่อน
"มันคือตำรากามสูตร ภายใจเล่มมี เอ่อ...กระบวนท่าร่วมรักและวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขยามร่วมรักขอรับ"
ไตรทศพยักหน้า เปิดหนังสือดังกล่าวเพื่อดูภายใน ภาพวาดรูปคนสองคนที่กำลังร่วมรักกันปรากฎต่อสายตาจนเขาต้องรีบปิดลง สิ่งที่ตราตรึงหาใช่ท่าทางในภาพ หากแต่เป็นเพศของคนในภาพ คือชายและชาย..
"นี่คือ.." เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น หน้าเริ่มขึ้นสีเมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่
"ในเล่มมีภาพประกอบเพื่อความเข้าใจขอรับ เล่มนี้เป็นแบบบุรุษเพศและบุรุษเพศด้วยกันเองท่านคงมิชอบ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเล่มฉบับปกติให้ขอรับ"
แปะหลิวทำท่าจะเดินออกไป
"รอเดี๋ยว"
"..."
"ข้าจักเอาเล่มนี้"

"เดี๋ยวกระผมถือให้ขอรับ" ไอ้มิ่งยื่นมือไปทำท่าจะรับย่ามจากผู้เป็นนาย หากแต่ไตรทศขยับหนี
"มิต้อง เดี๋ยวข้าถือเอง" หากให้มันถือคงมิวายเห็นตำรากามสูตรเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่
"เอ่อ ขอรับ" ไอ้มิ่งก้มหัวให้ผู้เป็นนาย มันเกาหัวด้วยความงุนงง
พอกลับมาถึงเรือนไตรทศจึงรีบเดินเข้าห้องรับแขกภายในเรือน เพราะตั้งแต่คืนที่จันบอกว่าจะนอนคนเดียวไตรทศก็มิได้กลับไปนอนห้องของตนอีกเลย
ไอ้มิ่งเห็นนายมันดูรีบเดินผิดปกติจึงคิดว่านายของมันตื่นเต้นที่มีหนังสือเรื่องยาเล่มใหม่มาอ่าน แต่มันหารู้ไม่ว่าที่เขารีบเป็นเพราะรออ่านตำรากามสูตรมิไหว
ประตูไม้สักถูกปิดลงจากคนที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว ไตรทศจัดการจัดเรียงหนังสือที่ซื้อมาอย่างถนอมและรอมาอ่านทีหลังเพราะตอนนี้มีอีกเล่มสำคัญกว่าตำรายาเสียแล้ว
มือหนาค่อยๆเปิดตำรากามสูตรออกทีละแผ่นอย่างแผ่วเบาราวกลับกลัวมันขาด เมื่อเปิดจึงเห็นชื่อผู้วาดและผู้เขียนอธิบาย
"บทที่ 1 การเตรียมพร้อม ภายในชายช่างคับแคบและยุ่งยากกว่าสตรีเพศ หากล่วงล้ำโดยมิได้ตระเตรียมอาจเกิดการบาดเจ็บและฉีกขาดจนเลือดตกยางออกได้ สิ่งที่คู่รักพึงกระทำคือการเล้าโลมและปลอบประโลมอย่างใจเย็น มิควรอุกอาจกระทำรุนแรงจนเกินไป"
สายตาคมเพ่งพินิจตั้งใจอ่านสิ่งที่อยู่ในตำรา
"เมื่ออีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วม ให้คนรักใช้นิ้วชโลมด้วยน้ำมันหรือสิ่งหล่อลื่นที่สามารถหาได้ เพื่อให้ง่ายต่อการสอดใส่เข้าไปภายใน ขั้นตอนแรกควรเริ่มด้วยนิ้วเพียงหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มเข้าไปทีละนิ้วอย่างช้าๆ ภายในช่องทางของบุรุษเพศจะมีจุดรับความรู้สึก หากท่านหาจุดนั้นพบ ท่านจะพบกับความหฤหรรษ์ของการร่วมรัก"
จุดรับความรู้สึก? ไตรทศนึกฉงน ภายในกายคนจะมีสิ่งที่ว่าจริงหรือ
เขาอ่านการเตรียมพร้อมอย่างถี่ถ้วนจนสามารถจำได้ขึ้นใจ
"ท่าที่ 1 มังกรกินน้ำ"
ไตรทศแทบจะอยากปิดหนังสือเพราะภาพประกอบช่างล่อแหลมเสียเหลือเกิน แต่เขาก็ต้องอ่านต่อไป ท่านี้คือภาพที่ชายผู้หนึ่งนอนคว่ำและยกสะโพกให้สูงขึ้นด้วยการนำหมอนมารองใต้ท้องน้อย ส่วนชายอีกคนก็ก้มเอาหน้าซุกลงไปที่แก้มก้นทั้งสองข้าง ข้างๆ มีภาพขยายจึงเห็นว่าชายดังกล่าวสอดลิ้นเข้าไปในช่องทางของอีกฝ่าย
ใบหน้าคมพลันเห่อร้อนเมื่อคิดไปว่าคนที่นอนโก่งโค้งคือจัน ส่วนอีกคนด้านบนนั้นคือตนเอง แค่ท่าแรกก็ทำเอาสติของคนสุขุมกระเจิดกระเจิง จิตใต้สำนักก็พาคิดเห็นเป็นภาพของจันไปเสียทุกท่วงท่า ที่อ่านมาจะเป็นท่าเตรียมทั้งสิ้น จนในที่สุดไตรทศก็เปิดมาถึงท่าที่พูดถึงการ 'สอดใส่' แต่กว่าจะมาถึงได้เขาก็แทบหัวใจวายไปหลายครา
"ท่าที่ 5 มังกรเข้าถ้ำ"
ชื่อท่าช่างน่าพิศวงจนคนอ่านคิดภาพไม่ออก มังกรกินน้ำคือการใช้ลิ้นสอดใส่ แล้วมังกรเข้าถ้ำเล่า คงมิหมายถึงการมุดหัวเข้าไปในช่องทางอีกฝ่ายดอกรึ!?
ไตรทศนึกตกใจเมื่อคิดภาพตาม มือหนาเปิดไปหน้าถัดไปจึงเห็นคำอธิบายอย่างละเอียด และเมื่อเปิดดูภาพก็ถึงกับโล่งใจเพราะมิใช่อย่างที่ตนคิด มังกรที่ว่าหมายถึงกลางกายมิได้หมายถึงศีรษะแต่อย่างใด
"การสอดใส่ต้องใช้เวลา หากอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บควรปลอบประโลมและมิควรรีบสอดใส่เพราะอาจเกิดการฉีกขาด ค่อยๆใส่เข้าไปทีละนิดจนสุดทางจึงเริ่มขยับได้ แต่ต้องถนอมเพราะช่องทางด้านหลังนั้นช่างบอบบาง"
เขาอ่านคำอธิบายอย่างตั้งใจ
"ออเจ้าทำการอันใดอยู่รึ?"
"!!! "







หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 29-09-2019 21:50:52
ป้าดดดดดดดด


จะต้องพูดอะไรอี๊กกกก
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 29-09-2019 22:31:17
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-09-2019 22:34:33
จะโป๊ะมั้ยคุณไตรทศ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-09-2019 23:40:34
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-09-2019 00:46:23
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-09-2019 09:49:39
จริงจังมากพ่อ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 7 (29/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: m_ilk_y ที่ 30-09-2019 15:51:01
เอ็นดูพ่อไตรแท้
โดนฟีโรโมนน้องโจมตีรุนแรง
ห้าๆๆ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 30-09-2019 22:44:36
บทที่ ๘

"ออเจ้าทำการอันใดอยู่รึ"
"!!! " คนที่กำลังตั้งใจอ่านรีบปิดตำรากามสูตรลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ที่ตนจำได้ดีว่าเสียงนี้คือเสียงของผู้ใด
"ตกใจขนาดนั้นเชียวรึ หรือว่าออเจ้า..."
ตึก ตัก
หัวใจคนอายุมากกว่าเต้นระรัวปานกลองศึกเพราะกลัวว่าจันจะจับได้ว่าตนอ่านสิ่งที่มิควรอ่าน ทั้งยังเป็นแบบที่บุรุษเพศและบุรุษเพศร่วมรักกันอีกเสียด้วย
"พี่กำลังอ่านตำรายา" ไตรทศพยายามคุมเสียงของตนให้สั่นน้อยที่สุด
"กระนั้นดอกหรือ"
สายตาคมสอดส่องไปยังด้านหลังของเจ้าของเรือนเพื่อดูว่าอ่านตำรายาจริงหรือไม่ เพราะท่าทางของอีกคนช่างน่าสงสัยจนจันนึกแปลกใจ แต่สิ่งที่เห็นตรงปกของหนังสือกับเป็นภาษาประหลาดที่จันอ่านมิออก
"ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แล้วนี่ออเจ้ามีการอันใดเหตุใดจึงมาหาพี่"
"ข้าจะมาบอกว่าข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย ช่วงที่ข้าบาดเจ็บก็อยู่แต่ในเรือนทั้งวันจึงอยากออกไปเปิดหูเปิดตา"
ไตรทศพยักหน้าเป็นการอนุญาต เพราะจันทำข้อตกลงกับผู้เป็นตาไว้แล้วว่าจะมิดื้อกับตนจึงง่ายต่อการรับมือ และจันเองก็ประพฤติตนดีตลอดเวลาที่อยู่กับตน
ร่างหนามองตามร่างชายหนุ่มที่เดินออกจากห้องไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกโล่งใจ คงเป็นเพราะไตรทศตื่นเต้นที่จะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่นี้เกินไปจึงลืมลงกลอนประตูให้ดีทำให้จันสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ว่าแต่เมื่อครู่...จันมิขัดที่เขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่รึ? ดูเหมือนว่าแมวดุจะเริ่มเชื่องขึ้นแล้วสิหนา

"ไอ้มั่น! " ชายหนุ่มที่พึ่งหายเจ็บตะโกนเสียงดังลั่นลานวัดพร้อมกับโบกมือให้เพื่อนรักของตนที่กำลังกวาดใบไม้ตามลานวัดตามคำสั่งหลวงตา
"ไอ้จัน! " ไอ้มั่นทิ้งไม้กวาดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูเพื่อนของตน
"เอ็งเป็นอย่างไรบ้างวะ ข้าได้ข่าวว่าเจ็บหนัก"
"ก็หนักอยู่ว่ะ" มันมองสำรวจร่างกายเพื่อนของตนอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาแผลที่อาจจะยังหลงเหลือตามร่างกาย
"ข้าจะไปเอาเลือดหัวมันออก! "
"อย่าเลย ข้าอยากให้มันจบเพียงเท่านี้ แต่นี้ไปก็ถือว่าหายกันแล้ว"
จันรีบห้ามเพื่อนที่แสนจะหุนหันพลันแล่นของตน มั่นเป็นคนมิยอมคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อก่อนตอนจันโดนแกล้งก็มีมั่นที่คอยปกป้อง
"เอ็งมันพ่อพระเกินไปแล้ว"
"เอาน่า ถือเสียว่าข้าฟาดเคราะห์"
ทั้งสองเดินกอดคอกันไปคุยกับไปได้สักพักจึงมีผู้มาใหม่เข้ามาสมทบ
"โธ่ พี่จันของบุหงา ดูสิตามกล้ามแน่นๆ ยังมีรอยอยู่เลย" นางบุหงากอดรวบตัวจันเอาไว้ก่อนจะเอาหน้าซบไปอีกแผงอกกว้าง
"ให้มันน้อยๆหน่อย" มั่นรีบปรามบุหงาเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของตนโดยล่วงเกิน
"หึ พี่อิจฉารึพี่มั่น" ทั้งสองกัดกันไปมาอย่างมิยอมกัน จันจึงต้องเป็นผู้ห้ามศึกกว่าจะหยุดวิ่งไล่ตีกันเหมือนเด็กก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน
"เดี๋ยวข้าขอกลับไปที่กระท่อมท้ายวัดก่อน พวกเอ็งอย่าตีกันตายเสียก่อนล่ะ"
"จ้ะพี่จัน ข้าจะพยายามเบามือมิให้พี่มั่นตายนะจ้ะพี่"
"บุหงา! " เสียงทั้งสองยังคงดังไล่หลังมาติดๆ จันส่ายหัวอย่างเอือมระอา
บรรยากาศรอบกระท่อมที่มุงหลังคาด้วยใบหญ้าคายังคงวังเวงและเงียบเหงาเพราะแถวนี้มิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามา
แถวนี้เป็นเขตของป่าช้าและยังลือว่ามีผีดุคอยหลอกชาวบ้านที่คิดจะเข้ามาลองดี และแน่นอนว่าผีตนนั้นคือไอ้ทิด
"พี่จัน! " เสียงมาก่อนตัว ร่างกายของเด็กชายปรากฏตรงหน้าของจันเมื่อย่างกรายเข้าเขตุอาคมของผู้เป็นตา
"เอ็งมิได้ไปกับตารึ?"
"ไม่จ้ะพี่ ตาบอกให้ข้าเฝ้ากระท่อมเผื่อมีขโมยขโจรมาบุก"
"ทำตัวเหมือนหมาเลยนะเอ็ง" จันพูดหยอกล้อกับทิดอย่างสนุกสนาน
"พี่จัน! ข้ามิใช่หมานะ"
" หึ หากมิใช่ก็คงใกล้เคียง"
นานหลายวันที่จันมิได้กลับมาที่กระท่อมนี้เพราะโดนไตรทศกำชับให้พักให้หายดีจากบาดแผลเสียก่อน ด้วยร่างกายที่มิได้อ่อนแอทำให้จันพักฟื้นให้หายด้วยเวลาแค่๓-๔วันเพียงเท่านั้น
สิ่งแรกที่คิดจะทำเมื่อหายดีคือกลับมาที่กระท่อมเพื่อมาดูไอ้ทิดผีเด็กที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรว่าได้ไปกับตาของตนรึไม่ จันรู้ดีว่าทิดคงเหงามิน้อยตอนที่ตนมิอยู่ เพราะปกติแล้วจะมีแค่จันเท่านั้นที่คอยมาเล่นหรือพูดคุยด้วย
"ช่วงนี้ตามิค่อยได้พักเลยนะพี่ ตาแก่มากแล้วแต่กลับต้องเดินทางไปเมืองละโว้คงเหนื่อยแย่"
"แล้วตาไปด้วยเหตุอันใดวะ"
"เห็นว่ามีชาวบ้านเดือดร้อนเพราะมีหมอผีทำของแล้วมาต้มตุ๋นเอาอัฐชาวบ้านไปจำนวนมาก ตาจึงอยากไปช่วยเหลือจ้ะ"
"แต่ตามิใช่หมอผี หากโดนของกลับมาจะทำเช่นไร"
จันพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด ตาคงนั้นมิใช่หมอผีอย่างที่ชาวบ้านชอบเรียก หากแต่เป็นแค่ตาแก่ๆที่เข้าถึงแก่นของธรรมะจนมีวิชาแก่กล้าอยู่บ้าง แต่ทุกวิชาล้วนเป็นสายขาวทั้งสิ้น มิเคยทำของหรือปลุกเสกของขลังให้ผู้ใด
"อย่าคิดมากเลยพี่ ถึงอย่างไรตาของเราก็เก่งอยู่แล้ว"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะดี" จันพยายามคิดในด้านที่ดีเพราะตนมิอยากให้เกิดเรื่องแย่ๆ กับผู้เป็นตาเพราะตาคงคือบุคคลในครอบครัวเพียงผู้เดียวที่จันยังหลงเหลืออยู่ในชีวิต
ยามเย็น
"เฝ้ากระท่อมดีๆนะทิด" จันบอกกล่าวกับผีเด็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับเรือนของไตรทศตามทางที่ตนเคยเดินในขามา
โลกนี้มีสิ่งน่าพิศวงมากมาย ใครจะคิดว่าจะมีเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีที่สามารถมองเห็นผีและพูดคุยด้วยได้ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนเล่น ยามทุกข์ก็ระบาย ยามสุขก็ยิ้มให้ ทิดกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของจันไปเสียแล้ว
อีกแล้วหรือ
จันคิดในใจเมื่อเดินมาได้สักพักก็เจอพวกชายฉกรรจ์มาดักซุ่มรออีกเช่นเดิม เหมือนเหตุการณ์กำลังจะซ้ำรอยเดิม แผลก็พึ่งหายดีหากจะให้มีเรื่องด้วยอีกคงจะยาก
"รีบไปไหนหรือน้องสาว" ไอ้เข้มส่งเสียงยียวน
"เรื่องของกู" จันตอบเสียงเขียวก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงแต่ก็มิเป็นผล
"รีบรึ?"
"มึงต้องการอะไรจากกูอีกวะ เอาคืนกูได้แล้วก็ควรจะจบแล้วไปทางใครทางมันเสีย"
"ใครบอกว่าเรื่องมันจบวะ เพราะมึงกูถึงมิมีที่ซุกหัวนอน กูโดนไล่ออกจากโรงสีก็เพราะมึง! "
ไอ้เข้มเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว มือใหญ่บีบเข้าที่คางของจันอย่างแรงจนชายหนุ่มต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ เพราะระยะที่มิไกลมากทำให้จันได้กลิ่นยาดองมาจากตัวอีกฝ่ายจันจึงรู้ได้ทันทีว่าไอ้เข้มกำลังเมาได้ที่
อีกฝ่ายเป็นไฟจันจึงต้องเป็นน้ำเพราะหากเป็นไฟเหมือนกันแล้วเรื่องก็คงจะบานปลายและเดือดร้อนผู้อื่น
"มึงทำตัวเองทั้งนั้น แล้วที่โดนไล่ออกมันเกี่ยวอะไรกับกู" ชายหนุ่มถามด้วยเหตุผล
"หึ ก็ไอ้หน้าจืดที่มันมาช่วยมึงมันดันเป็นลูกเจ้าพระยาเกษมเจ้าของโรงสีนั่นอย่างไรเล่ากูถึงโดนไล่ตะเพิดเหมือนหมูเหมือนหมา! " ยิ่งพูดแรงบีบก็ยิ่งแรง จันพยายามสะบัดหน้าหนีแต่ก็สะบัดไม่หลุด
"มึงทำตัวเองทั้งนั้น!"
"ที่มันเข้ามาช่วยคงเพราะมึงยอมพลีกายให้มันแล้วสิหนา แม่เรือนอย่างมึงถนัดเรื่องแบบนี้นักแล เอาตัวเข้าแลกไปเสียทุกอย่าง ช่างน่าสมเพช"
ผลั๊วะ!
กายหนุ่มสั่นเทิ้ม จะว่ามันมันมิเคยว่าแต่ไอ้เข้มดันลากผู้อื่นมาข้องเกี่ยวด้วยทำเอาจันอดใจเย็นไว้มิได้จึงสวนหมัดเข้าที่ปลายคางของไอ้เข้มเต็มๆ
"ไอ้จัน!"
 เลือดไหลซึมออกมาจากรอยปริแตก มันกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ย่างสามขุมเข้าใกล้ จันพยายามจะหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่แล้วก็ไม่เป็นผลเมื่อโดนพวกที่เหลือเข้ามาจับตัว กดให้คว่ำหน้าลงไปกับพื้นไว้จนดิ้นมิหลุด
"ปล่อยกู! " ดิ้นก็แล้ว สะบัดก็แล้วแต่มิเป็นผล ผลจากบาดแผลเมื่อคราก่อนทำให้จันมิสามารถขยับตัวได้อย่างใจนึก
"เก่งนักรึมึง! "
ไอ้เข้มใช้มือใหญ่ขยุ้มผมสีดำขลับอย่างแรงและดึงให้จันเงยหน้าขึ้น ในแววตาของชายหนุ่มมิมีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
หมัดหนักโดนง้างขึ้น จันหลับตาจนสนิทและกัดฟันแน่นเมื่อคิดว่าตนจะโดนต่อย แต่ทันได้นั้นในอกกลับรู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟสุม เหงื่อกาฬผุดตามขมับ
กายที่โดนกดทับให้ติดพื้นส่งกลิ่นหอมออกมาอย่างน่าประหลาดจนไอ้เข้มและคนอื่นๆอีกสองสามคนถึงกลับชะงัก
"อึก.." เรี่ยวแรงหายไปหมดสิ้น มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับตน ชายหนุ่มได้แต่กัดฟันอย่างอดทนเมื่ออยู่ดีๆก็มีอารมณ์กำหนัดจนจะทนมิได้
"กลิ่นห่าอะไรวะ! "
ไอ้เข้มและพวกพากันปิดจมูกและถอยห่างเมื่อได้กลิ่นหอมอันอบอวลจากกายของจัน พวกมันเป็นสามัญชนธรรมดาจึงมิรู้สึกอันใดต่อกลิ่นเสน่หาของแม่เรือนในยามฤดูหาคู่
"แฮ่ก...มิไหว...มิไหวแล้ว" ร่างกายบิดเร้าบนพื้นไปมาอย่างน่าสงสาร
"จัน! " ดังสวรรค์มาโปรด เสียงที่จันคุ้นเคยเรียกชื่อมันด้วยความตกใจ สายตาพร่าเลือนมองไปยังอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามา พวกไอ้เข้มพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น
"พี่ไตร..ทศ.."
เสียงเรียกกระท่อนกระแท่นทำเอาคนพี่ใจสั่น เกิดเหตุอันใดเหตุใดจันถึงมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ สายตาคมมองไปตามกาย เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยเป็นเพราะชายหนุ่มร้อนในกายจนต้องถอดออก
ทันใดนั้นกลิ่นหอมอันเย้ายวนก็ปะทะเข้ากับจมูกโด่งคมสันเข้าอย่างจัง กลิ่นมันหอมเหมือนน้ำปรุงที่ไตรทศเคยได้กลิ่น น้ำปรุงที่ทำมาจากดอกจันทร์กระพ้อ
"ไอ้มิ่ง! "
"ขอรับ"
"เอาพวกทาสในเรือนใหญ่ไปตามหาไอ้ที่มันทำให้จันมีสภาพเป็นเช่นนี้มาให้ได้ หาพวกมันให้พบ หากจับเป็นมิได้...ก็จับตายเสีย" ไอ้มิ่งหน้าซีดเมื่อผู้เป็นนายออกคำสั่งอย่างเลือดเย็นอย่างที่มันมิเคยได้ยินมาก่อน
"ข-ขอรับ.." มันรีบวิ่งกลับไปที่เรือนใหญ่ตามคำสั่งของนาย
"ส่วนออเจ้า กลับเรือนกับพี่"
อีกคราที่ไตรทศต้องอุ้มเรือนร่างของจันขึ้นไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง อีกคราที่จันต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารจับใจ อีกคราที่ไตรทศปกป้องจันเอาไว้มิได้ หากตนมิผิดสังเกตที่จันกลับเรือนช้าจันอาจจะโดนพวกนักเลงหัวไม้ปู้ยี่ปู้ยำไปแล้วก็เป็นได้ ผู้ใดจะรู้   
"อึก..อื้อ"
ฝ่ามือของคนในอ้อมแขนกำลงบนไหล่กว้างไว้แน่นเพื่อระบายอารมณ์ ใบหน้าซุกเข้าหาอกอุ่น ตัวสั่นไปทั้งสรรพางค์กายทั้งยังมีกลิ่นเชิญชวนออกมาตลอดเวลา สิ่งที่ไตรทศทำได้คืออดกลั้นและรอให้ถึงเรือนเพียงเท่านั้น

"ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เรือนฝั่งซ้าย"
ไตรทศออกคำสั่งประกาศกร้าว พวกทาสก้มหน้ารับคำสั่งด้วยใจหวาดหวั่นเพราะมิเคยเห็นผู้เป็นนายมีสายตาที่ดุดันและน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ แค่ถูกมองด้วยสายตาอันดุร้ายเหมือนสัตว์เจ้าป่าแล้วนั้นร่างกายก็แทบจะขยับมิได้
"เกิดเหตุอันใดขึ้นวะอีอิ่ม"
"กูจะรู้รึ แค่ท่านมองมากูก็มิกล้าสบตาแล้ว"
"กูขนลุกไปหมดแล้ว"
ไตรทศมิได้สนใจที่พูดของพวกทาส ตั้งหน้าตั้งตาเดินพาจันเข้ามาในห้องด้วยใจหวาดหวั่น และมิลืมที่จะเดินกลับไปลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา
"ข้า...ข้ามิไหวแล้ว" กายหนุ่มบิดเร้า ใช้มือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย เหงื่อชื้นตามกายเห็นผ่านเนื้อผ้าเป็นจุด
"จัน ตั้งสติก่อน"
ไตรทศเดินเข้ามาใกล้ใช้มือประคองใบหน้าที่หล่อและสวยในคราเดียวกันขึ้นสบสายตา ดวงตาหยาดเยิ้มเชื้อเชิญทำเอาไตรทศลอบกลืนน้ำลาย ไหนจะกลิ่นเสน่หานี่อีก หากเขาคลั่งแล้วเผลอรังแกจัน จะทำอย่างไร?
"พี่ไตร.. ข้ามิไหวแล้ว ข้า...ข้าอยากทำเหลือเกิน" สิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนของจันขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นเป็นรอยนูนได้ชัดเจน
"พี่เป็นพ่อเรือน กลิ่นเสน่หาของออเจ้ามีผลต่อพี่ อย่าบังคับให้พี่รังแกออเจ้าเลย"
"แต่ข้าอยาก...นะพี่ไตร ทำให้ข้าเป็นของพี่มิได้หรือ? "
ความกำหนัดเข้าเล่นงานจันจนมิมีสตินึกคิด ขึ้นคร่อมอีกฝ่ายตอนที่ไตรทศเผลอ กดไหล่แกร่งให้นอนลงไปบนเตียง
"จัน! "
"ปากบอกปฏิเสธ แต่เหตุใดตรงส่วนนี้ถึงได้แข็งขืนเช่นนี้เล่า"
ปากจะปฏิเสธก็กลัวกลืนน้ำลายตนเองเพราะมันเป็นแบบที่จันว่าจริง มีหรือที่พ่อเรือนจะต้านทานต่อกลิ่นเสน่หาของแม่เรือนได้
"อึก ออเจ้าอย่าขยับเช่นนั้น"
ส่วนกลางกายโดนก้นกลมกลึงขยับหยอกล้อ ไตรทศได้แต่กัดฟันแน่นเพื่อสยบความกำหนัดในกายเพราะมิอยากย่ำยีจัน เขามิอยากเป็นเหมือนพ่อเรือนผู้อื่นที่เห็นแม่เรือนเป็นที่ระบายความใคร่ คนบนร่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย ไตรทศหยัดกายนั่งเมื่อสบโอกาส
"จัน.."
ช้อนใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้น สายตาหยาดเยิ้มถูกส่งมาอีกคราจนคนอายุมากกว่าใจไหวสั่น กลิ่นหอมยังมิจางหายไป ไตรทศแทบคลั่งยามได้กลิ่นลอยมาจากกายของจัน
"พี่ไตรทศจ๋า~...ข้า...ข้ามิไหวแล้ว"
เส้นของความอดทนขาดผึง มือหนาดึงให้ใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามารับรสจูบ หากจันเป็นเทียนไขตอนนี้คงละลายไปหมดสิ้นเพราะรสจูบที่ไตรทศมอบให้นั้นร้อนรุ่มดังไฟที่พร้อมไหม้ผลาญทุกสิ่งให้มอดมลาย
ลิ้นสอดกระหวัดไปมาภายในโพรงปากหยอกเย้ากันไปมา ชายหนุ่มใช้มือจับไหล่แกร่งไว่แน่น รู้สึกได้ถึงความแข็งขืนจากสิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนของอีกฝ่าย รสจูบช่างนุ่มนวล คราใดที่คนพี่ถอนจูบเหมือนได้ถอนเอาวิญญาณของจันออกจากร่างไปด้วย
"แฮ่ก.."
จันหอบหายใจเพื่อเอากาศเข้าสู่ปอดก่อนที่ไตรทศจะฉกฉวยเอาอากาศนั้นไปอีกครา ขบกัดไปตามริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู รสเค็มปร่าของเลือดมิอาจหยุดอารมณ์กำหนัดที่คุกรุ่นภายในอกแกร่งได้ ความผิดชอบชั่วดีหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงความต้องการและความรักที่ตนอยากมอบให้อีกฝ่าย
มือหนากระตุกปมโจงกระเบนออกจากกายส่วนล่างของอีกฝ่าย ถอดออกให้ก่อนจะโยนไปที่มุมห้องอย่างมิแยแส สายตาคมจดจ้องไปที่แผ่นอกของจัน โน้มเข้าไปใกล้ก่อนจะจูบลงบนยอดอกสีกลีบกุหลาบอ่อนจนคนบนกายสะท้าน
"อ๊ะ"
เสียงที่ดังขึ้นกระตุ้นให้ไตรทศมีรอยยิ้มบนใบหน้า ได้แกล้งเจ้าแมวดื้อแบบนี้ก็มิใช่เรื่องที่แย่สักเท่าใด
"ถอดเสื้อออก" จันทำตามอย่างว่าง่าย ปลดประดุมที่เหลือแค่ไม่กี่เม็ดออกก่อนจะโยนเสื้อลงบนพื้นข้างเตียงไม้สัก
กายที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆปกปิดส่งผลให้รอยปานสีแดงสวยตรงเอวคอดปรากฎสู่สายตาผู้มีศักดิ์มากกว่า ยามผิวกายสีนวลต้องแสงจันทร์ที่สาดส่องมาจากหน้าต่างมันช่างดูงดงามจนสะกดสายตาของไตรทศเอาไว้ ผิวนวลที่เล่นกับแสงจันทร์ดูแล้วช่างน่าสัมผัสและน่าทิ้งรอยสีกลีบกุหลาบไปทั่วทุกส่วน
เมื่อคิดได้ดังนั้นไตรทศจึงพรมจูบไปทั่วลำคอระหงก่อนจะทิ้งรอยเอาไว้ในพื้นที่ใต้ร่มผ้า ไล่ลงมาตามแนวไหปลาร้าและแผ่นอกที่ล่อตา มือหนาจับเอวคอดไว้มั่นก่อนจะไล้ลงไปลูบบนบั้นท้ายอีกฝ่ายและออกแรงบีบจนขึ้นรอยมือ 
"อึก...อื้อ"
จันเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงอันน่าอาย เกิดมามิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เหมือนดั่งมีผีเสื้อนับร้อยมาบินวนอยู่ในห้องน้อย ทั้งยังรู้สึกดีจนมิอาจต้านทานไหว
"อย่ากลั้นเสียง ยามที่ทำ...พี่อยากได้ยินเสียงหวานๆของออเจ้า"
"เฮือก! "
ไตรทศใช้โอกาสตอนที่จันกำลังเคลิ้มสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางสีกุหลาบ น่าแปลกที่มิต้องใช้น้ำมันชโลมคงเพราะจันเป็นแม่เรือนร่างกายจึงผลิตน้ำหล่อลื่นได้เอง
"อ๊ะ"
เสียงครางเล็ดลอดออกมาอีกคราเมื่อไตรทศเริ่มขยับนิ้วเข้าออก คนบนตักลงน้ำหนักมือที่กำลังวางบนไหล่เพื่อระบายความกระสัน เรียวนิ้วสอดเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ มืออีกข้างที่ว่างกอบกุมกลางกายของจันและชักขึ้นลงจนเอวของจันอยู่ไม่นิ่ง
"อื้อ...อ่าห์"
เมื่อโดนกระทำทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน จันแทบจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไป เมื่อไตรทศเริ่มเพิ่มนิ้วจากหนึ่งเป็นสองและจากสองเป็นสามชายหนุ่มแทบจะตั้งกายให้ตรงมิได้
แรงตอดรัดที่นิ้วทำเอาไตรทศหน้าเห่อร้อนเมื่อนึกไปว่าถ้าหากแทนที่นิ้วด้วยกลางกายของตนมันจะรู้สึกเช่นไร ในระหว่างที่มีความคิดอกุศลนั้นจันก็ผละออกไปจนคนพี่ชะงัก กายที่มีแต่รอยแดงหันหลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงในท่าโก่งโค้งจนเห็นช่องทางสีกุหลาบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหล่อลื่นอย่างเด่นชัด
"พี่ไตร...ใส่เข้ามา ใส่เข้ามาเถิด"
"อึก.." ไตรทศกลืนน้ำลายเมื่อโดนท่าทางยั่วยวนเข้าเล่นงาน "แต่พี่ว่า-"
"หรือของพี่มันเล็กจนอายที่จะเอาออกมางั้นหรือ" เจ้าตัวแสบปลุกปั่นด้วยคำพูด
"หึ แมวน้อยเอ๋ย เจ้าช่างมิรู้อะไรเลยหนา"
กายหนาหยัดขึ้น ปลดปมโจงกระเบนที่ใส่อยู่ออกจนเห็นกลางกายที่พร้อมใช้งาน จันตาค้างเมื่อเห็นกลางกายของคนที่ตนสบประมาท ความใหญ่โตทำเอาใจหวั่น
"ใส่เข้ามา...ใส่เข้ามาได้แล้ว" แต่ใครจักสนเล่า เมื่อความกำหนัดมีมากกว่าความเกรงกลัว
"หากออเจ้าบอกว่าเจ็บคำเดียว พี่จะหยุด" เขามิอยากขืนใจจันเพราะฉะนั้นหากจันเจ็บและอยากเลิกทำเขาก็พร้อมที่จะฟัง
"อื้อ"
สิ้นคำอนุญาตไตรทศกดกางกายเข้าไปในช่องทางสีหวาน มันคับแน่นจนตอนแรกมิอาจสอดใส่ได้จึงต้องถอยและลองใหม่ เมื่อส่วนปลายเข้าไปได้จึงโดนช่องทางตอดรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ตามที่ตำราบอกไว้คือควรทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายหากรู้สึกเจ็บ
"อึก...อื้อ" จันเม้มริมฝีปากเน้น ใจอยากพูดว่าเจ็บแต่ก็มิอยากหยุดกลางคัน
"ผ่อนคลายนะเด็กดี" คำพูดหวานถูกพูดอยู่ข้างหูก่อนจะรู้สึกถึงจูบอันอ่อนโยนตรงขมับขวา
"อ๊า! "
คนใต้ร่างส่งเสียงครางลั่นเมื่อกลางกายเข้าไปจนสุดทาง ไตรทศเเช่ไว้สักครู่ก่อนจะขยับเข้าออกอย่างช้าๆ ร่างของจันสั่นสะท้านตามแรงกระแทกจากคนบนร่าง
"อึก..." มือหนาค้ำอยู่ข้างกายของอีกฝ่าย กัดฟันแน่นเมื่อช่องทางบีบรัดถี่ขึ้น ความรู้สึกดีตีตื้นทำเอาคนอายุมากกว่าแทบคลั่ง
"แรง..แรงอีก" 
กายหนาสอบสะโพกเร็วขึ้นตามความต้องการของอีกฝ่าย เสียงขาเตียงถูกับพื้นไม้ดังระงม เสียงเนื้อแนบเนื้อดังหยาบโลนแต่ทั้งสองก็หาได้เขินอายไม่ ต่างเสพสุขอย่างพอใจและมิสนใจสิ่งใดดั่งโลกนี้มีอยู่สองคน
"อ่ะ...อ่าห์"
ไตรทศถอนแก่นกายออกได้ทันท่วงทีก่อนที่จะปลดปล่อย น้ำรักสีขาวเลอะเต็มแผ่นหลังของชายหนุ่มใต้ร่าง ส่วนจันก็ปลอดปล่อยใส่ผ้าปูที่นอนจนเป็นรอยเปรอะเปื้อน
ทั้งสองนอนหอบหายใจโดยมีไตรทศนอนทับอยู่ด้านบนส่วนจันนอนคว่ำอยู่ใต้ร่าง ความร้อนระอุจากบทรักหายไป กลิ่นสเหน่หาก็เริ่มจางหายไป ไตรทศเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง หวังจะพูดกับอีกคนหากแต่จันนั้นเหนื่อยจนผลอยหลับไปเสียแล้ว
"พี่ขอโทษนะจัน...ทั้งเรื่องที่ล่วงเกิน และเรื่องที่ไม่เคยไปช่วยออเจ้าได้ทันเลย" ร่างหนาก้มลงจูบขมับอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ หากจันตื่นมาแล้วหนีไป เขาจะทำอย่างไรดี..

"อึก..โอ๊ย! "
ชายหนุ่มขยับกายอย่างทุลักทุเล เจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กายเหมือนโดยช้างทั้งตัวหล่นทับ ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อโดนแสงแดดแยงตาจนมิอาจนอนต่อได้
"ตื่นแล้วรึ" เมื่อมองดีๆจึงเห็นว่าไตรทศนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่ข้างเตียง ท่อนบนมิใส่เสื้อเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องแน่น ส่วนท่อนล่างใส่เพียงผ้าโสร่ง
"ออเจ้ามาทำการอันใดที่นี่?"
"เหตุใดจึงหมางเมินเรียกเหมือนคนอื่นคนไกล ทีเมื่อวานออเจ้ายังเรียกพี่ว่า 'พี่ไตรจ๋า' อยู่เลย"
"ข้าเนี่ยนะ ฮ่าๆมิมีทาง-" เมื่อจันก้มลงสำรวจตนเองก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นว่าตนมิใส่เสื้อผ้าทั้งตามอกยังมีรอยแดงเหมือนรอยยุงกัดเต็มไปหมด
"นี่ออเจ้าทำอะไรกับข้า! "
"อยากให้บอกรึ? บอกตั้งแต่ต้นเลยรึไม่"
พลันความทรงจำเมื่อวานก็ตีตื้นขึ้นมา ใบหน้าหล่อปนสวยเห่อร้อนจนขึ้นสี ทั้งออดอ้อนเขา ทั้งบอกให้เขากระทำตนเอง...หมดสิ้นแล้วศักดิ์ศรีของชายชาตรี
"นี่...นี่ข้าเป็นอะไร"
"แม่เรือนทุกผู้จะมีฤดูหาคู่ของตน ปกติจะมีตอนอายุ18แต่ออเจ้านั้นต่างออกไปคือมีตอนอายุ20ทำให้อาการรุนแรงกว่าผู้อื่น" ไตรทศบอกสิ่งที่ตนกำลังอ่านในตำราให้จันฟัง
"ข้า...ข้ามิยอมเด็ดขาด อ-โอ๊ย! " เมื่อจะหยัดกายลุกออกจากเตียงความเจ็บก็ประเดประดังเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า
"อย่าฝืน ออเจ้าพักก่อนเถิด พี่ให้ไอ้มิ่งต้มยามาแล้ว กินเสียหน่อย" ไตรทศลุกขึ้นยืนและถือถ้วยยาเดินเข้ามาใกล้
"ข้ามิกิน! "
"จะกินดีๆ หรือจะให้พี่ป้อนด้วยปาก? "
"..."
"หึ เด็กดี" ชายหนุ่มทำหน้าบึ้งตึง รับถ้วยยามาก่อนจะยกขึ้นดื่ม รสขมทำเอาต้องหลับตาสนิท
"แค่กๆ "
"เลอะหมดแล้ว"
มือหนาถูกส่งมาเช็ดที่มุมปากอย่างถนอม จันมองการกระทำนั้นด้วยใจที่ไหวสั่น เหตุใดจึงต้องอ่อนโยนขนาดนี้...ถ้วยยาถูกอีกฝ่ายเอาไปถือไว้เองก่อนจะวางลงบนโต๊ะใกล้หัวเตียง
"ขอโทษ.."
กึก
เจ้าแมวดื้อเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย นี่เขากำลังฝันไปหรือ?
ไตรทศเงยหน้าขึ้นมองจันที่ตอนนี้ใบหน้าดูดีกำลังขึ้นสีด้วยความเขินอายจากเหตุการณ์เมื่อวาน ยิ่งไตรทศใส่ใจและเข้ามาใกล้...เจ้าหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัว
"คนฉวยโอกาส" จันพูดอ้อมแอ้มอยู่คนเดียว
"ออเจ้าว่ากระไรหรือ? " แต่ไตรทศกลับได้ยินเสียได้
"ป-เปล่า.."
"หึ" ยิ้มมุมปาก ยื่นมือมาลูบหัวคนบนเตียงอีกครั้ง ริอ่านจะเป็นแมวดื้อก็ต้องโดนสยบด้วยเสือเช่นนี้แล
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดึงความสนใจของคนทั้งสอง
"คุณพิกุลและคุณหญิงลำดวนมาเยี่ยมขอรับ"
เสียงไอ้มิ่งพูดขึ้นที่หน้าประตู หน้าจันเริ่มถอดสีเมื่อได้ยินชื่อผู้มาเยือน หากแม่พิกุลล่วงรู้ว่าตน...ได้เสียกับไตรทศแล้ว แม่หญิงงามคงมิชายตาแลมองตนเป็นแน่
"เดี๋ยวข้าไป บอกให้พวกนางบัวเตรียมขนมและน้ำชาเอาไว้"
"ขอรับ" เสียงเดินห่างออกจากประตูไปเรื่อยๆผู้ที่อยู่ในห้องจึงรับรู้ว่ามิมีผู้ใดอยู่แถวนั้นแล้ว
"พี่จะไปต้อนรับคุณหญิงลำดวนเสียหน่อย" ไตรทศลุกขึ้นไปเปิดหีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะสวมใส่ชุดที่ดูดีเพื่อความสุภาพ
"เดี๋ยว" ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็โดนจันทักไว้เสียก่อน
"ว่าอย่างไร"
"อย่าบอกผู้ใด...เรื่องนี้ได้หรือไม่?"
"เหตุใดออเจ้าจึงมิอยากให้พี่บอกผู้ใด?"
"มันคือความผิดพลาด" กึก คนฟังถึงกับชะงัก
"ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเป็นแม่เรือนและเข้าฤดูหาคู่เท่านั้น ท่านมิได้เต็มใจและข้าเองก็มิได้เต็มใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่อารมณ์ชั่วขณะ...เราถือว่าเรื่องทั้งหมดมันมิเคยเกิดขึ้นได้หรือไม่? "
ใจคนพี่เหมือนโดนเหยียบย่ำ ฟังแล้วก็พูดมิออกเหมือนมีก้อนสะอึกมาอยู่ที่คอ สิ่งที่จะพูดหายไปจนหมดสิ้นมีเพียงสายตาที่สอดประสานกันก่อนจะเดินออกไปโดยมิมีคำพูดได้
"เหตุใดจึงต้องทำหน้าเจ็บปวดเช่นนั้น..." ชายหนุ่มพูดกับตัวเองภายในห้องที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน














 

หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-09-2019 23:28:11
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-10-2019 00:33:21
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-10-2019 00:59:44
โดนฟันแล้วทิ้งของจริงคุณไตร  :ling2:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 01-10-2019 12:09:40
มิเสียแรงที่เลิ่กลั่ก แอบศึกษาคำรา คุณพี่ไตรเป็นงาน  :jul1: :jul1:
แต่ดันโดนฟัดแล้วทิ้ง แงงง  :ling1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: m_ilk_y ที่ 01-10-2019 13:51:00
สงสารพี่ไตร อุตส่าได้รวบหัวรวบหาง
แต่น้องจันก็บอกให้พี่เค้าลืมมม
บทนี้อยู่ #ทีมพี่ไตร ก่อนละกันนน ห้าๆๆ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-10-2019 16:19:24
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 8 (30/9/62)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 01-10-2019 16:57:23
จันก็นะ เห็นพี่เป็นดอกไม้ ริมทาง ^^
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 01-10-2019 18:57:59
บทที่ ๙

"คุณหญิงป้าสบายดีหรือไม่ขอรับ?"
"สบายดีจ้ะพ่อไตร แล้วพ่อไตรเล่า? เห็นแม่นิ่มบอกว่าออเจ้ามิได้ไปเรือนใหญ่หลายวันแล้วมิใช่หรือ"
"ขอรับ"
เหตุผลที่มิค่อยได้ไปคงเพราะต้องอยู่ดูแลคนป่วยนั่นแล เรือนใหญ่ก็มิได้ไกลมากอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม มีคลองเล็กกั้นไว้และมีสะพานไม้ในการข้ามไปมาหาสู่กัน
"เหตุใดจึงดูเศร้าสร้อยเล่าพ่อไตร?" เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าสีหน้าของเจ้าของเรือนมิสู้ดีนักจึงถามขึ้น
"กระผมมีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อยขอรับ"
"เรื่องใดมิสำคัญปล่อยวางได้ก็ปล่อยเสียบ้างหนา เก็บเอามาคิดมากไปเสียหมดมันจะมิดี" แต่เรื่องของจันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญ
"ขอรับ" เขาตอบเพียงเท่านั้น คุณหญิงลำดวนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
"วันนี้น้องมีขนมมาฝากด้วยเจ้าค่ะคุณพี่" แม่พิกุลพูดขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะคนพี่นั้นมิยิ้มแย้มแม้แต่น้อย มีแต่นั่งทำหน้าตาเศร้าจนน่าเป็นห่วง
"ขนมอะไรหรือแม่พิกุล?"
"ทองหยอดเจ้าค่ะ น้องพึ่งหัดทำมิรู้ว่าจะถูกปากหรือไม่" แม่หญิงคนงามยื่นกระเช้าใบเล็กส่งให้คนพี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันมาก
"ขอบน้ำใจออเจ้ามากหนา" ไตรทศยิ้มให้อีกฝ่าย
"เจ้าค่ะ" แม่พิกุลใจชื้นขึ้นมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
"แม่นิ่มบ่นคิดถึงออเจ้าจะแย่แล้วพ่อไตร"
"กระผมก็คิดถึงคุณหญิงแม่ขอรับ แต่ช่วงนี้ต้องหาสมุนไพรมาเพิ่ม ทั้งยังต้องรักษาผู้ไข้"
"ป้าเข้าใจดี งานหมอยาก็เช่นนี้แล หากอยากรับราชการก็บอกป้าได้หนา ป้าจะคุยกับท่านลุงจำรูญให้"
ท่านพระยาจำรูญคือบิดาของแม่พิกุล เป็นผู้มีอำนาจและมียศถาบรรดาศักดิ์มาก ผู้คนต่างพากันยกย่องเพราะเป็นคนดี ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยามยากและทุกข์ร้อน
"ขอรับ"
ไตรทศมิได้กล่าวปฏิเสธผู้ใหญ่เพราะมิอยากเสียมารยาท เขามิคิดจะรับงานราชการแม้แต่น้อยเพราะชื่นชอบอาชีพหมอยา ได้ช่วยเหลือผู้คนเช่นนี้ก็มีความสุขดีแล้ว
"วันพรุ่งท่านลุงจำรูญจะกลับจากราชการที่เมืองละโว้ ป้าจึงคิดจะจัดงานต้อนรับ ป้าจึงอยากมาชวนออเจ้าด้วยตนเอง"
"กระผมมิพลาดแน่นอนขอรับ"
เมื่อชักชวนเสร็จคุณหญิงลำดวนจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาผู้ใหญ่ มีแม่พิกุลนั่งอยู่มิห่างกายคอยนั่งฟังและร่วมสนทนาในบางครา บทสนทนาล่วงเลยมาได้สักพักคุณหญิงผู้สูงศักดิ์จึงขอตัวกลับ
"งั้นป้ากับแม่พิกุลขอตัวกลับก่อนหนา"
"ขอรับคุณหญิงป้า"
เมื่อทั้งสามร่ำลากันจนเสร็จสรรพไตรทศจึงเดินกลับเข้าห้องนอนเพื่อดูแลจันที่กำลังนอนนิ่ง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท เขาใช้มือปัดผมที่ปรกใบหน้าดูดีออกอย่างเบามือเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น

จ้องมองใบหน้าของคนใจร้ายอย่างรักใคร่เอ็นดู คำพูดที่จันพูดเอาไว้ช่างเสียดแทงและบาดลึกเข้าไปในจิตใจ ใครว่าเขามิเต็มใจเล่า...ทุกการกระทำไตรทศล้วนเต็มใจและยินดีรับผิดชอบทั้งหมด
สายตาคมมองไล่ที่ลำคอระหงลงมาเรื่อยๆ รอยรักสีกุหลาบยังคงมิจางหายไปทั้งรอยข่วนที่แผ่นหลังของไตรทศที่จันได้ฝากไว้ก็ยังมีอาการแสบอยู่เนืองๆ
จันค่อยๆ ลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่แก้มนวล เห็นไตรทศนั่งอยู่บนเตียงเดียวกับตนจึงค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก
"กลับมาแล้วหรือ" เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
"อืม" คำตอบช่างสั้นเกินความคาดหมาย
"แล้ว...คุณหญิงว่าอย่างไรบ้าง?"
"แค่ถามไถ่"
"แล้วแม่พิกุลถามถึงข้าหรือไม่?"
"ไม่" จันหน้าหมองลง ใจคนมองกระตุกเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย
"ยังชอบแม่พิกุลอยู่หรือ?"
"ชอบ" คำตอบเพียงหนึ่งคำแต่เหมือนมีมีดนับพันเล่มทิ่มแทงที่กลางอกคนฟัง
"พี่ก็ชอบ"
"ชอบแม่พิกุลรึ!? " จันถลึงตาโตเมื่อลืมคิดไปว่าไตรทศเองก็เป็นหนึ่งในศัตรูหัวใจของตน
"ชอบออเจ้า"
"..."
"หน้าแดงหมดแล้วหนา"
เจ้าตัวแสบรีบนอนเอาผ้าห่มคลุมโปงด้วยใจหวั่น นี่มันอะไรกันเหตุใดจึงหวั่นไหวถึงเพียงนี้ หรือเพราะมันเป็นฤดูหาคู่เขาจึงรู้สึกดีกับคำพูดของอีกฝ่ายไปเสียหมด
"เพ้อเจ้อ"
"พี่ก็เพ้อถึงออเจ้าเพียงผู้เดียว มิรู้หรือ? "
เหมือนหัวใจทำงานหนักอีกครา หัวใจเต้นระรัวจนจันกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจเพราะอย่างน้อยๆจันก็เริ่มมีใจให้ตนบ้างแล้ว
"ข-ข้ามิอยากฟังคำพูดโป้ปดใดๆทั้งนั้น"
"หรือพี่ต้องพิสูจน์ก่อนออเจ้าจึงจะเชื่อ?"
" ไม่ต้อง-!!! " ยังมิทันได้ปฏิเสธก็โดนอีกฝ่ายโอบกอดไปทั้งผ้าห่ม จันรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่อีกฝ่ายมอบให้ มันอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด
"หอม...กลิ่นกายออเจ้าหอม" ไตรทศดึงผ้าห่มออกก่อนจะก้มหน้าฝังจมูกโด่งคมสันลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ
"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! " คนในอ้อมกอดแกร่งดิ้นไปมาแต่ก็มิเป็นผลเมื่อไตรทศนั้นแข็งแรงกว่ามาก
"เหตุใดพี่จึงต้องปล่อยเล่า"
"ออเจ้ามิมีสิทธิ์มาแตะต้องตัวข้า! "
"แม้แต่สิทธิ์ของผัวงั้นรึ? "
กึก
เจ้าตัวแสบนิ่งอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย ตนเป็นบุรุษเพศจะมามีผัวได้อย่างไรกัน
"ข้ามิอยากมีผัว! "
"แล้วเมื่อคืนวาน...จะเรียกว่าอย่างไรดีเล่า คนรู้ใจ คนเคียงกาย...หรือคู่นอน? "
คนพี่พูดที่ละคำอย่างเนิบนาบที่ข้างหูคนฟัง ก่อนจะขบเม้มลงบนใบหูอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม จันที่ตอนแรกพยายามจะดิ้นหนีกลับเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอันอ่อนโยน
เรียวลิ้นไล้เลียใบหูบางอย่างละเมียดละไมราวกลับว่ามันเป็นกลีบดอกไม้ที่หากรุนแรงเพียงนิดก็จักบอบช้ำ จันไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอ่อนระทวยดังขี้ผึ้งลนไฟ
"อ๊ะ! " เสียงน่าเอ็นดูเล็ดลอดออกมาจากคนในอ้อมกอดแกร่ง ไตรทศยิ้มกระหยิ่มเมื่อตนกำราบพยศของแมวดื้อได้สำเร็จ
"ชอบรึ? "
"ไม่ใช่ ข้าไม่ชอบ! " ปากมิตรงกับใจ คำว่าไม่ชอบดูมิน่าเชื่อถือเมื่อแก้มนวลขึ้นสีระเรื่อจนคนพี่เห็นได้ชัด
"พี่นี้รักปักใจในออเจ้า อยากหยอกเย้าคลอเคลียมิห่างหาย
อยากได้เจ้ามาอิงแอบแนบชิดกาย อย่าใจร้ายกับพี่เลยเจ้าจัน
กลิ่นกายเจ้าหอมดังบุปผชาติ กายสะอาดมองแล้วพาใจหวั่น
พี่ช่างอยากดอมดมเจ้าทุกวัน โอ้เจ้าจันพี่รักเจ้าเฝ้าคะนึง"
บทกลอนเกี้ยวพาราสีถูกเอ่ยออกมาจากปากไตรทศคนขรึม คนฟังถึงกลับไปมิเป็นเมื่อรู้ว่าตนกำลังโดนชายผู้นี้กำลังพูดหยอดคำหวาน ทั้งชีวิตเคยเกี้ยวพาแต่ผู้อื่น ครั้นเมื่อตนกลายเป็นผู้ถูกเกี้ยวพาเองแล้วก็รู้สึกคันยุบยิบตรงหัวใจพิกล
"ข้า..."
"พี่มิรู้ว่าหากบอกว่ารักไปออเจ้าจะตอบกลับมาเช่นไร พี่แค่อยากบอกให้ออเจ้าได้รับรู้ แต่มิจำเป็นต้องคิดมากดอกหนา พี่มิอยากให้ออเจ้าไม่สบายใจ จะรักใครชอบใครมันก็สิทธิ์ของออเจ้า"
"แต่ข้าเป็นชาย"
"แล้วมันจำเป็นด้วยหรือที่พี่ต้องรักใครสักคนที่เพศสภาพ"
"แต่..."
"ออเจ้าจะเป็นเพศไหน สถานะอะไรมันมิสำคัญดอกหนา สุดท้ายแล้วพี่ก็แค่ทำตามหัวใจตนเอง" ไตรทศหยุดพูดไปช่วงนึง "แลหัวใจพี่มันก็บอกว่า...พี่รักจัน"
จันมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตนหรือไม่ เหตุไฉนใจดวงน้อยถึงหวั่นไหวกับคนผู้นี้ได้เล่า และเหตุใดมันจึงมิฟังคำสั่งของเขาว่าห้ามไปรู้สึกอะไรกับคำพูดที่เชื่อมิได้ของคนผู้นี้
หากวันใดวันหนึ่งจันรู้สึกเช่นเดียวกันขึ้นมาสถานการณ์ก็คงจะยิ่งแย่เพราะแม่เรือนมิเคยได้รับการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว จันรู้ดีว่าหากตนชอบอีกฝ่ายขึ้นมาเรื่องแย่ๆจักตามมาอีกมากมาย
"แต่ข้ามิได้รักพี่..."
"ข้อนั้นพี่รู้ดี" ...รู้ดีมาตลอด "แต่ก็มิได้แปลว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรักมิได้"
ความเงียบเข้าครอบงำห้องสี่เหลี่ยม ร่างหนาที่สวมกอดอีกฝ่ายไว้เอามือออกเพื่อปลดพันธนาการ เขามิอยากบังคับให้จันมารู้สึกดีด้วย หากจันพอใจในสถานะไหนตนก็ยินยอมและมิคิดจะขัดหรือขืนใจอีกฝ่าย แค่จันพูดว่ามิชอบการกระทำใดเขาก็พร้อมจะหยุด
"วันพรุ่งก็ครบเจ็ดวันแล้ว ตาของข้าคงจะกลับมาถึงพอดี" ไตรทศใช้เวลาอยู่กับจันจนลืมไปว่าพรุ่งนี้คือวันที่จันจะต้องกลับไปอยู่ที่ท้ายวัด นี่สิหนาที่เขาบอกว่าความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
"เดี๋ยวพี่จะไปส่งออเจ้าเอง ให้กลับเองทีไรเป็นอันต้องเจ็บตัวเสียทุกที"
"จ้ะ" คำตอบแสนน่ารักทำเอาไตรทศอยากโดดลงบนเตียงแล้วฟัดอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
"พักผ่อนเสียเถิดหนา เมื่อคืนออเจ้าคง...ใช้แรงเยอะเกินไป" ใบหน้าคนฟังเห่อร้อน แก้มใสขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
"ข-ข้ารู้แล้ว! " ไตรทศยิ้มขำกับท่าทีลุกลนของคนบนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน ส่งมือใหญ่มาลูบหัวอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินออกไป ทิ้งจันไว้กับความเงียบ
เมื่ออีกฝ่ายออกไปจันจึงกลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืนวาน ความกระดากอายที่ควรจะหายไปกลับตีตื้นขึ้นมาอีกครา เสียงที่แหบแห้งและความรู้สึกเจ็บยามกลืนน้ำลายคงเป็นเพราะตนนั้น...ส่งเสียงครางมากเกินไป
"พี่จัน.."
เสียงเด็กดังข้างเตียงแต่จันกลับมิสนใจเพราะมัวแต่คิดไปไกล เขาเอาแต่คิดว่าเหตุใดที่ช่องทางถึงได้เจ็บนัก สงสัยมันจะระบมเพราะกิจกรรมที่ทำร่วมกับคนพี่ เมื่อนึกถึงขนาดที่ตนเห็นแล้วก็บอกได้เลยว่าชายผู้นี้มีขนาดกลางกายที่มิธรรมดา หากให้เปรียบเทียบก็คง...
"พี่จันจ๋า" อืม...พอๆ กับแขนไอ้ทิดเลยนี่หว่า
"พี่จัน! "
"อ่ะ" จันหลุดจากภวังค์ หันไปมองที่ข้างเตียงก็เห็นว่าทิดยืนอยู่ตรงนั้น "ไอ้ทิดหรือ?"
"ใช่จ้ะพี่ เหตุใดพี่จึงหน้าแดงขนาดนี้มิสบายหรือเปล่าจ้ะ"
ความไร้เดียงสาของเด็กทำเอาจันไปไม่เป็น จะบอกมันได้อย่างไรเล่าว่าตนหน้าแดงเพราะคำพูดของไตรทศและเพราะคำนึงถึงขนาดที่ใหญ่ใกล้เคียงกับแขนของมัน
"คงจะอย่างนั้น แล้วนี่เอ็งมาได้อย่างไร?"
"ข้าหายตัวมาสิพี่ ข้าเป็นผีนะจ้ะ" คำพูดกวนบาทาทำเอาจันอยากจะตบกระบาลไอ้ทิดสักที
"ข้ารู้ๆ ข้าหมายถึงเหตุใดเอ็งจึงมาได้ ต้องอยู่เฝ้ากระท่อมมิใช่หรือ? "
"ข้าเหงานี่จ้ะ มาแค่ประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวข้าก็ไป"
จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไอ้ทิดมันเป็นแค่เด็กก็คงเหงาเป็นธรรมดาเพราะนอกจากจันแล้วทิดมันก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีก
"เอ็งรู้แล้วใช่รึไม่ว่าตาจะกลับมาวันพรุ่ง"
"จ้ะพี่"
"เดี๋ยวข้าก็จะกลับด้วย อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว"
"มิดีรึพี่ ข้าวปลาอาหารก็มีคนเตรียมให้ งานบ้านงานเรือนก็ไม่ต้องทำเอง ข้าว่าสบายดีจะตายไป"
"หวังแต่สบายมิได้ดอกหนา คนเราเกิดมาต้องรู้จักความลำบากเสียบ้าง"
"จ้ะพี่จัน" ทิดยิ้มให้คนพี่อย่างใสซื่อ นอกจากตาคงแล้วก็มีจันที่คอยสอนทิดเรื่องต่างๆอีกมากมาย
"ทิด"
"จ๋า? "
"เอ็ง...หายตัวเข้าไปในห้องของพี่ไตรหน่อยสิวะ ไปดูให้หน่อยว่าเขาทำการอันใดอยู่"
"ได้สิจ้ะพี่"
ทันใดนั้นร่างป้อมก็หายลับไปทันที ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็หายตัวกลับเข้ามาที่ห้องของจันตามเดิม
"เป็นเช่นไร เขาทำอันใดอยู่รึ?"
"อ่านหนังสือจ้ะพี่ แต่เป็นภาษาแปลกๆ ข้าอ่านมิออก ในหนังสือน่าขันนัก มีชายสองคนนอนทับกัน สงสัยจะเป็นหนังสือกระบวนท่าต่อสู้กระมั้ง"
หนังสือกระบวนท่าต่อสู้? คนอย่างไตรทศน่ะหรือจะอ่านหนังสือเช่นนั้น
"แล้วมีอะไรอีกรึไม่?"
"อีกหน้ายิ่งตลกเลยพี่ ชายอีกคนเอาสากยัดใส่ปากชายอีกคน ข้าขำจนท้องกิ่ว คิกคิก" สาก? นี่มันการต่อสู้แบบใดกันแน่วะเนี่ย
"อะไรอีก"
"ท่าต่อมาช่างแปลกนัก คนหนึ่งอยู่บนอีกคนอยู่ล่าง แต่หันหัวและท้ายสลับกัน" แปลกจริงๆ นั่นแหละ
"เอาล่ะช่างมันเถิด ข้ามิอยากรู้แล้ว สงสัยจะเป็นหนังสือกระบวนท่าต่อสู้ทั่วไปกระมัง เก่งมากทิด"
"จ้ะพี่" เด็กชายตัวป้อมยิ้มแฉ่งเมื่อได้รับคำชม
"กลับได้แล้ว เดี๋ยวกระท่อมมิมีเอ็งเฝ้าจะยุ่งเอา"
"จ้า ข้าไปก่อนนะพี่จัน"
จันพยักพเยิดหน้าให้ก่อนทิดจะหายลับไปอีกครา ความเงียบอยู่เป็นเพื่อนอีกครา จันจึงนอนลงเพื่อพักเอาแรงเสียหน่อย ถึงจะแข็งแรงเช่นไรแต่กายของแม่เรือนย่อมด้อยกว่าบุรุษเพศผู้อื่นจึงเหนื่อยได้ง่ายและอ่อนแรงยามใช้แรงมาก
ไตรทศเปิดประตูห้องของจันออก มองไปบนเตียงนุ่มจึงเห็นว่าจันนั้นหลับไปแล้ว คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนวานเป็นแน่จันถึงได้หลับลึกถึงเพียงนี้ มือหนายื่นไปปัดผมที่บังหน้าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ปากสีแดงระเรื่อมีรอยปริแตกเพราะเกิดจากการที่ตนขบกัดอย่างมันเขี้ยว
ตามซอกคอระหงมีรอยรักสีกุหลาบที่ยังมิจาง เขาใช้นิ้วเกลี่ยที่ข้างแก้มนวลอย่างนึกเอ็นดู ยามมันขึ้นสียิ่งน่าถนอม เจ้าของเรือนเชยชมจันเพียงเท่านั้นก่อนจะปล่อยให้จันได้นอนหลับอย่างสบายและปลีกตัวออกมาจากห้องเพื่ออ่านตำรากามสูตรที่ตนอ่านค้างไว้...ริจะมีเมียก็ต้องศึกษาเสียหน่อย


"อืม.." ร่างของคนบนเตียงค่อยๆ ลืมตาอย่างเชื่องช้า เสียงแดดหายไปแทนที่ด้วยแสงจันทร์พรายส่องมาที่หน้าต่างที่เปิดออก
จันขยับกายอย่างเบาแรงเพราะยังรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่ก็มิได้มากเท่าเมื่อกลางวัน คงเป็นเพราะช่วงเพลาชายไอ้มิ่งเข้ามาเอายาให้กินจึงรู้สึกดีขึ้น
"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มดังอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มหันไปมองและพบกับเจ้าของเรือนในชุดผ้าแพรสีขาวที่ใส่แล้วดูโล่งสบาย
"ข้าอยากอาบน้ำ" จันเอ่ยเพียงเท่านั้น ไตรทศจึงลุกขึ้นเข้ามาประคองให้นั่งดีๆ
"เดี๋ยวพี่พาไป"
เนื่องจากอาการขัดที่ช่องทางเริ่มหายไปจันจึงสามารถเดินเองได้แล้ว จันนั้นแข็งแรงกว่าที่ไตรทศคิดไว้มากทั้งที่โดน...ขนาดนั้นกลับยังเดินเหินได้ปกติ
หากเป็นผู้อื่นอาจนอนพักไปสองวันสามวัน (ตำราบอกมา) ระหว่างทางเดินไปท่าน้ำมีตะเกียงเล็กประดับไว้ทั้งสองทาง ติดตามเสาไม้เล็กๆเพื่อให้แสงสว่างแก่ผู้สัญจร
ไตรทศวางตะเกียงในมือลง ท่าน้ำที่พามาอยู่ไกลจากตัวเรือนและเป็นส่วนตัวเพราะที่นี่เป็นที่ที่ไตรทศมาอาบน้ำประจำและห้ามผู้ใดเข้ามาย่างกรายยกเว้นอยู่ผู้เดียวคือ 'จัน' คนพี่หันไปมองอีกคนที่กอดเสื้อผ้าไว้กับอก
"ออเจ้าอาบที่นี่เถิด พี่จะยืนเฝ้า"
"จะดีหรือ? ข้าโตแล้วมิต้องให้ผู้ใดมาเฝ้าดอก"
"ตอนนี้มันก็มืดมากแล้ว อีกทั้งออเจ้ายังมิหายเจ็บดี ให้พี่ได้อยู่ดูแลเถิดหนา" จะปฏิเสธก็ปฏิเสธมิได้ จันจึงต้องจำใจพยักหน้าแทน
จันปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเหลือไว้แค่ผ้าสีแดงที่ยาวถึงแค่ขาอ่อนและมีสายพันที่ตรงเอวคอดเพื่อปกปิดส่วนสงวน ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไตรทศทั้งสิ้น
จันย่างกรายลงบนบันไดของท่าน้ำอย่างเชื่องช้า เท้าอุ่นสัมผัสน้ำเย็นของคลองทำเอาจันแอบสะดุ้ง น้ำมิได้ลึกมากสูงถึงแค่เอวจันจึงสามารถยืนเองได้
ยามมือวักน้ำขึ้นอาบหยดน้ำพร่างพราวเกาะตามผิวนวลส่องแสงประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงจันทร์ในยามคืนวันพระใหญ่ ชายหนุ่มใช้มือวักน้ำขึ้นเพื่อล้างหน้า
ผมที่สัมผัสโดนน้ำลู่ลงอย่างน่าเอ็นดู ไตรทศจับจ้องไปที่กายของชายหนุ่ม รอยรักสีกุหลาบยังมิจางหาย ทั้งตามคอ ตามอก และเอวคอด
สายตาคมโลมเลียกายอีกฝ่ายโดยมิรู้ตัว รอยปานสีแดงปรากฎเด่นเมื่อต้องแสงจันทร์ มันสวยจนไตรทศมิอาจละสายตาได้ ทันใดนั้นจึงมีความคิดดีๆเกิดขึ้น ร่างหนาจัดการปลดเปลืองชุดของตนเองออกก่อนจะค่อยๆย่องเดินลงน้ำเสียงน้ำกระเซ็นเหมือนมีคนลงมาในน้ำ จันจึงหันกลับไปมองและเห็นว่าอีกคนคือไตรทศทีมิมีสิ่งใดปกปิดกายเอาไว้
"พี่ไตรลงมาทำไมหรือ!? " ถามด้วยความตระหนก กายกำยำล่ำสันและเต็มไปด้วยมัดกล้ามทำเอาจันนึกอิจฉา
"อาบน้ำอย่างไรเล่า พี่มัวแต่ดูแลออเจ้าทั้งวันจึงยังมิได้อาบ"
"..."
จันมิตอบหากแต่ขยับหนีอีกฝ่าย สายตามิน่าไว้ใจนั้นช่างคาดเดายาก มันเหมือนสายตาของสัตว์เจ้าป่ายามออกล่าเหยื่อมิมีผิด
ไตรทศมองการกระทำของจันแล้วแอบลอบยิ้ม เพราะมิคิดว่าจันจะกลัวตนทำมิดีมิร้ายถึงเพียงนี้ หน้ารึก็แดงเป็นลูกตำลึง
ทั้งสองอาบน้ำอยู่มิไกลกันมาก จันแอบลอบมองคนพี่จึงเห็นว่าตามแผ่นหลังกว้างและแผ่นอกมีรอยเล็บเป็นทางยาว ทั้งยังขึ้นสีแดงจนน่ากลัว มิต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
"แอบมองพี่รึ?" เพราะมองนานเกินไปจึงถูกอีกคนจับได้เสียแล้ว
"ข้าเปล่า! " ปฏิเสธเสียงดังฟังชัดเสียจนคนพี่ขำในความใสซื่อ
"พี่เชื่อออเจ้าก็ได้" รอยยิ้มอ่อนโยนจากคนที่ชอบทำหน้าตายทำเอาจันในสั่น
"ข-ข้าจะขึ้นแล้ว"
ทันใดนั้นเมื่อคิดที่จะขึ้นฝั่งร่างกายกลับร้อนรุ่มทั้งๆที่อยู่ในน้ำ อากาศรอบๆ กลับร้อนระอุอย่างน่าประหลาด
"จัน นี่ออเจ้า.."
กลิ่นที่ปะทะเข้ากับจมูกทำเอาไตรทศรู้ได้ทันทีว่าจันอยู่ในอาการใด ร่างกายเริ่มอ่อนแรงจนแทบจะยืนมิอยู่ ไตรทศจึงปรี่เข้าไปพยุง ความเย็นของน้ำมิอาจปกปิดไอร้อนจากกายของจันได้
"พี่ไตร...ข้าต้องการอีกแล้ว..."
เสียงกระท่อนกระแท่นพูดอย่างยากลำบาก ส่วนกลางกายของจันแข็งขืนจนไปสัมผัสโดนกับขาของไตรทศ
"อื้อ" เสียงครางเบาแต่อนุภาพช่างร้ายแรง
"จัน อย่ายั่วพี่"
"ข้ามิไหวแล้ว...ทำเถิดพี่ไตร..."
"แต่ออเจ้าพึ่งหายเจ็บได้มินาน-" คำพูดของไตรทศชะงักเมื่อจันเอานิ้วชี้จรดลงบนริมฝีปากของเขา
"ชู่วว...อย่าขัดใจจันสิจ้ะ" จันชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างคือผู้ใดไตรทศมิรู้จัก ผู้เดียวที่ไตรทศมองเห็น ณ เพลานี้คือจัน แมวน้อยจอมยั่วยวนเพียงเท่านั้น
"อึก..." กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ "ออเจ้าเลือกมาเลยว่าจะทำในน้ำ..หรือบนฝั่ง"


หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-10-2019 20:32:52
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 01-10-2019 22:53:38
ปิดตาไอ้ทิด 555555555

น้องยั่วขนาดนี้ พี่ไตรต้องจัดทั้งในน้ำ ทั้งบนบก! แว๊งงงง

หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-10-2019 23:37:12
อะไรคือการให้ทิดไปแอบดู 555555555555
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 02-10-2019 08:32:01
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: m_ilk_y ที่ 02-10-2019 08:44:22
 :ruready
นุ้งจันไม่น่าโดนจัดหนักแค่ที่เดียว
กำเดาพุ่งงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 9 (1/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-10-2019 09:27:58
รอๆ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 02-10-2019 19:00:33
บทที่ ๑๐
“มิเลือกได้รึไม่...ข้า ข้าได้ทุกที่” จันพูดด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ
“หึ เด็กลามก”
ไตรทศใช้มือทั้งสองข้างช้อนแก้มก้นนวลเนียนทั้งสองขึ้นเพื่อฉุดรั้งให้ตัวชายหนุ่มลอยขึ้นจากน้ำเล็กน้อย
จันใช้ขาเกี่ยวรัดกับเอวอีกฝ่ายไว้อย่างรู้งานก่อนจะก้มลงเพื่อประกบจูบอย่างโหยหา ลิ้นเล็กตวัดเกี่ยวภายในปากคนพี่อย่างมิประสีประสาจนไตรทศนึกเอ็นดู
“จูบ...เขาทำกันเช่นนี้”
ไตรทศผละออกก่อนจะประกบจูบอีกคราแต่คราวนี้เขาคือผู้คุม ลิ้นเล็กตามสัมผัสจาบจ้วงมิทัน กายอ่อนแรงจนตัวอ่อนระทวยไตรทศจึงต้องจับให้แน่นขึ้นจนก้อนเนื้อนุ่มทั้งสองก้อนเห็นเป็นมือแดง
“อือ..”
คนพี่ร่างครางต่ำอย่างสุขสม จันลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย ไตรทศกำลังหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสอันอ่อนนุ่ม ชายหนุ่มมองไปยังคิ้วเข้มและใบหน้าหล่อที่รับกับจมูกโด่งทำเอาชายหนุ่มวัยยี่สิบใจสั่นระรัว เหตุใดคนผู้นี้จึงมีอนุภาพต่อตนเช่นนี้จันเองก็มิสามารถอธิบายได้
ทั้งสองผละออกจากกันอีกครา ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบบ่วมเจ่ออย่างเห็นได้ชัด ไตรทศยิ้มรับกับผลงานที่ตนเป็นผู้สรรค์สร้าง รอยรักตามคอระหงที่ยังมิจางคาดว่าจะมีรอยใหม่มาเพิ่มเสียแล้ว
พอคิดดังนั้นจมูกโด่งจึงฝังลงไปที่คอของชายหนุ่มที่ตนใช้มือประคองไว้ โลมเลียไปตามซอกคอขาวและฝากรอยรักอันใหม่ไว้ให้
“อ-อื้อ”
ลมหายใจติดขัดเมื่อโดนอีกฝ่ายโลมเล้า ไตรทศมิรอช้าส่งนิ้วเรียวเข้าไปในช่องทางสีหวานเพื่อตระเตรียมความพร้อม
จันสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้ามาในช่องทางของตน แรงกอดรัดที่เอวแกร่งเพิ่มมากขึ้นเพื่อระบายความกำหนัด
เสียงเฉอะแฉะของน้ำและแรงที่มือยามขยับเข้าออกดังระงม แต่ถึงกระนั้นคงจะมิมีผู้ใดมาได้ยินในยามนี้ หรือต่อให้มีก็คงมิมีผู้ใดมาหยุดบทรักที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ได้
“พ-พอแล้ว...พี่ไตรใส่เข้ามาเลยมิได้หรือ” สายตาออดอ้อนถูกส่งมาจากอีกฝ่าย
“พี่ตามใจจัน” พูดจบจึงยกสะโพกมนขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะจ่อส่วนปลายที่ช่องทางสีหวาน กดสะโพกกลมกลึงลงอย่างเบามือเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ
“อ๊ะ! ” มือที่วางบนไหล่จับแน่นขึ้นเพื่อระบายอารมณ์ ขาที่เอวรัดแน่นขึ้นมือส่วนปลายเริ่มแทรกผ่านรอยจีบสีสวยเข้ามาภายใน
“อืม..”
ไตรทศครางต่ำเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังรัดส่วนปลายกลางกายของตนอย่างถี่รัว ก้มลงจูบที่คอระหงก่อนจะเลื่อนมาที่ยอดอกสีสวยเพื่อทำให้จันผ่อนคลายก่อนจะฉวยโอกาสที่จันเคลิบเคลิ้มกระแทกเข้าไปจนสุดทาง
ปึก
“อ๊ะ..อ๊า พี่ไตร...อื้อ..”
เสียงครางอย่างสุขสมถูกส่งออกมาจากคนบนกายแกร่ง ไตรทศเริ่มขยับสะโพกเมื่อจันเริ่มปรับตัวได้ กายหนาขยับสอบสะโพกแรงขึ้นทำให้เกิดเสียงน้ำกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ความเสียวซ่านทำเอาจันต้องเชิดหน้าขึ้นเพื่อระบายความสุขสมที่ถาโถมเข้าใส่
สวบ สวบ
“อ๊ะ...ข้า...ข้ารู้สึกดี...อื้อ” ไตรทศมองหน้าจันที่เชิดขึ้นรับแสงจันทร์อย่างหลงไหล ใบหน้าที่ดูสุขสมไปกับจังหวะการขยับเข้าออกของตนทำเอาไตรทศพอใจมิน้อย
“อ่ะ...อื้อ พี่ไตรหยุดอย่าหยุดสิจ้ะ…” คนพี่นึกอยากแกล้งจึงหยุดขยับสะโพกเพื่อหยอกล้ออีกฝ่าย
“พูดเพราะๆกับพี่สิจัน…”
“พ-พี่ไตรจ๋า อย่าแกล้งข้าเลย ข้าจะไม่ไหวอยู่แล้ว…” เสียงหอบหายใจประสานเสียงพูดฟังแล้วช่างเร้าอารมณ์
“แล้วอย่างไรอีก ออเจ้าต้องการให้พี่ทำอย่างไรก็พูดมา”
ไตรทศพูดอย่างได้ใจ นานๆทีให้จันได้อยู่ใต้อาณัติก็ดีมิน้อย เพราะปกติทั้งดื้อรั้นทั้งเถียงเก่ง เห็นทีจะมีก็แต่ยามนี้ที่ไตรทศปราบพยศได้
“ข้า...ข้าอยากให้พี่ขยับ อยากให้พี่ทำให้ข้าพอใจ...ฮึก ม-ไม่ไหวแล้ว”
พูดไปตัวก็สั่นเทิ้มไป ความกำหนัดจากฤดูหาคู่ช่างยากต่อการระงับ หากมิได้ระบายออกไปแม่เรือนอย่างจันจะอยู่ได้ยากหรืออาจจะหมดสติไปในที่สุด
“เด็กดี”
ร่างหนายิ้มมุมปากอย่างได้ใจก่อนจะขยับเดินเข้าหาตลิ่งทั้งๆที่ส่วนกลางกายยังเชื่อมกันอยู่ ยามขยับจึงเกิดการเสียดสีชายหนุ่มในอ้อมแขนแกร่งจึงร้องครางเบาๆ
ไตรทศบรรจงวางร่างจันลงที่ริมตลิ่งให้หลังอีกฝ่ายได้พิงตรงขอบของตลิ่งที่มีหญ้าขึ้นเพื่อลดการเสียดสีของแผ่นหลังก่อนจะเริ่มสอบสะโพกอีกครั้ง
ปึก ปึก
“อ๊ะ...อ่าห์ ล-ลึก...มันลึก” คนใต้ร่างขยับตามแรงกระแทกกระทั้น เสียงครางดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์และความรู้สึกเสียวซ่าน
“อืม...อย่ารัดพี่แรงขนาดนี้สิจัน” ร่างหนาสอบสะโพกเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์ กลิ่นเสหน่หายังคงเย้ายวนอบอวลไปทั่วบริเวณ
“อึก อื้อ” กัดริมฝีปากเพื่อระบายความกำหนัดภายในกาย ถึงแม้ว่าน้ำจะเย็นเพียงใดก็มิอาจดับความร้อนระอุของบทรักในครานี้ได้
“อย่ากัดปากสิเด็กดี พี่อยากฟังเสียงหวานๆของออเจ้า”
ก้มลงเม้มปากลงบนติ่งหูของอีกฝ่าย ลากลิ้นผ่านเพื่อกระตุ้นอารมณ์ ไตรทศรู้ได้ทันทีว่าจุดอ่อนของจันคือที่ใบหู เพราะคราใดที่ตนใช้ลิ้นเลียตรงใบหูที่ช่องทางสีหวานจะรัดแรงและถี่รัวขึ้นทุกครา
“อ๊ะ พี่ไตร...พี่ไตรข้าไม่ไหวแล้ว”
“อ่าห์..”
สิ้นเสียงคำรามในลำคอร่างหนาถอนส่วนกลางกายออกและปลดปล่อยภายนอกได้ทันท่วงที กลิ่นเสน่หาเริ่มจางไปเหลือไว้เพียงเสียงหอบหายใจของคนทั้งสอง
จันเงยหน้าขึ้นสบตาคนบนร่าง ไตรทศมีเหงื่อออกตามแผ่นอกและตนสังเกตเห็นว่าตามแผ่นอกของไตรทศนั้นมีรอยเล็บอยู่หลายรอย ยามเหงื่อไหลลงมาโดนคงจะแสบอยู่มิใช่น้อย
ไตรทศชะงักเมื่อจันทำสิ่งที่ตนมิคาดคิด ชายหนุ่มขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้แผ่นอกแกร่งพร้อมกับใช้ลิ้นอุ่นลากไล้เลียตามรอยบาดแผลที่เจ้าตัวได้ฝากไว้ จันทำโดยมิขัดเขินจนไตรทศแปลกใจมิน้อยที่จันยอมทำถึงขนาดนี้ 
“จัน…”
“ข้า...ข้าขอโทษ” ชายหนุ่มก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดเพราะตนได้เผลอกระทำการล่วงละเมิดอีกฝ่ายโดยมิทันคิด
“หึ พี่หาได้โกรธออเจ้าไม่ พี่ยินดีเสียอีก”
“อ-อือ” จันเริ่มหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอีกครา ยามแสนจันทร์ต้องผิวนวลดูแล้วช่างน่าหลงไหล
“เราขึ้นเรือนกันเถิด อยู่นานประเดี๋ยวจะเป็นป่วย” จันมิตอบด้วยคำพูดแต่พยักหน้าแทน
ในคราแรกไตรทศเสนอจะอุ้มจันกลับขึ้นเรือนแต่เจ้าตัวมิยินยอม ไตรทศจึงทำได้แค่เดินตามและคอยประคองเป็นบางครา ภายในเรือนเงียบเชียบเพราะเป็นเวลาดึกเหล่าทาสบริวารจึงพากันกลับไปนอนหลับหมดแล้วเหลือไว้ก็แค่คนทั้งสองที่มิยอมหลับมิยอมนอน
“ข้าขอตัว” จันพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของตนที่เคยเป็นห้องของไตรทศมาก่อน
“เดี๋ยว” ไตรทศเอ่ยรั้งไว้จันจึงหันกลับมามอง
“พี่ขอนอนด้วยได้หรือไม่?” คำถามทำเอาจันชะงัก “เผื่อออเจ้าป่วยกลางดึกอย่างไรเล่า ให้พี่นอนด้วยเถิดหนา”
“เอ่อ...ก็ได้” จันก็มิรู้ว่าเหตุใดตนจึงมิปฏิเสธไปเสีย คงเพราะกลัวว่าตนจะป่วยกระมังจึงยอมให้อีกฝ่ายมานอนด้วย
ทันทีที่นอนลงบนเตียงไตรทศก็ขยับเข้าประชิดตัวพร้อมกับสวมกอดจากด้านหลังทันที จันดิ้นในคราแรกแต่ก็มิเป็นผล สุดท้ายจึงต้องยอมนอนนิ่งๆเป็นหมอนข้างให้ไตรทศไป
“อุ่นจัง” ไตรทศนอนเอาหน้าซุกตรงหลังคออีกฝ่าย ยามโดนลมหายใจอุ่นรินรดจันจึงสะดุ้งในบางครา
“อย่าซนก็พอ”
ไตรทศนึกขำที่โดนคนอายุน้อยกว่าถึงสิบปีมาบอกกำชับว่าอย่าซน แต่เขาก็มิถือทั้งยังชอบเสียด้วยซ้ำที่มีจันให้นอนกอด
“หลับฝันดีนะ...เจ้าจันของพี่”
คำบอกรักที่มิมีคำว่ารักทำเอาใจชายหนุ่มไหวสั่น นี่เขาหวั่นไหวกับชายผู้นี้หรือ? จันได้แต่เฝ้าถามตนเอง ยามที่ไตรทศหลับไปแล้วแต่จันยังคิดไม่ตกกับความรู้สึกแปลกใหม่ภายในใจของตนเอง
ยามเช้ามาถึง เสียงไก่ขันดังปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากนิทรา มองซ้ายแลขวาก็มิเห็นผู้ที่นอนกอดตนเมื่อวานที่นอนข้างๆ ยังคงมีความอุ่นหลงเหลืออยู่สงสัยว่าจะพึ่งลุกออกไปได้มินาน
เมื่อคิดได้ดังนั้นจันจึงพยุงตัวขึ้นนั่งและบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อขบตามร่างกาย ช่องทางมิได้เจ็บมากเหมือนคราแรกจึงทำให้สามารถเดินเหินได้ตามปกติ
“ป้าอิ่มทำอะไรอยู่หรือ?” จันเอ่ยถามนางทาสที่กำลังง่วนกับการเตรียมอาหาร
“ทำสำรับอย่างไรเล่าพ่อจัน แล้วนี่ออเจ้าพึ่งตื่นรึ?”
“ใช่จ้ะป้า”
“กินน้ำขิงเสียหน่อยไหมเอ็ง เสียงฟังดูแหบๆ ”
“ก็ดีจ้ะป้า”
นางอิ่มหันไปตักน้ำขิงอุ่นๆส่งให้ชายหนุ่ม จันรับไว้ก่อนจะยกขึ้นจิบ ความอุ่นแทรกผ่านลำคอจึงรู้สึกโล่งและสบายขึ้น
จะว่าเสียงแหบเพราะป่วยก็มิใช่หรือว่าแหบเพราะ...ครางมากไป จันแทบสำลักน้ำขิงเมื่อตนคิดเรื่องลามก หน้าพลันขึ้นสีระเรื่อเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวาน
“แล้วนี่ท่านไตรทศไปไหนหรือป้า?” จันเอ่ยถาม
“ไปเรือนใหญ่กระมัง เห็นบอกว่าวันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านท่านพระยาจำรูญบิดาของคุณพิกุลเขา”
จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะเดินออกมาจากครัวเพราะตนมิมีหน้าที่อันใดที่ตรงนั้นอยู่ไปก็รังแต่จะกีดขวางการทำงานของเหล่านางทาสเปล่าๆ
“อ้าว เอ็งมาพอดีเลย ท่านไตรทศให้ข้ามาตาม”
“ตาม? ตามไปที่ใดรึ?”
“เรือนใหญ่อย่างไรเล่า มาๆตามข้ามา”
ไอ้มิ่งมิเปิดโอกาสให้เอ่ยถามจันจึงต้องเดินตามมันไปด้วยความสงสัย เดินข้ามสะพานไม้มายังอีกฝั่งของคลองเล็กก็ถึงเขตของเรือนใหญ่
ชายหนุ่มมองไปรอบบริเวณเรือนใหญ่ด้วยความสงสัยปนอึ้งเพราะเรือนใหญ่นั้นใหญ่จริงสมชื่อ ใหญ่กว่าเรือนของไตรทศหลายเท่า รอบบริเวณเป็นพื้นหญ้าโล่งเตียนไว้ให้พวกลูกทาสและบ่าวไพร่มานั่งเล่นและพูดคุยกัน ทั้งยังมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ปึก
“ขออภัยขอรับ” จันรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยเมื่อชนคนผู้หนึ่งเข้า ด้วยความที่เดินไปและมองไปรอบๆจึงมิทันสังเกตว่ามีผู้ยืนอยู่
“มิเป็นอันใดดอก”
เสียงทุ้มต่ำที่มิคุ้นเคยดังขึ้น จันเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายพลันสายตาก็สบกันเข้า อีกฝ่ายดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าจันนัก ไว้หนวดเล็กน้อย สวมเสื้อคอกลมสีขาวผ่าอก แขนเสื้อยาวจนถึงข้อมือและใส่โจงกระเบน ใบหน้าคมเข้มทำเอาจันละสายตาไปไหนมิได้
“ขออภัยแทนจันมันด้วยนะขอรับท่านขุน” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ  พูดน้อยเหมือนไตรทศมิมีผิด
“ออเจ้าคือนายจันผู้ที่ไตรทศชอบพูดถึงบ่อยๆดอกหรือ?” ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักตน
“ขอรับ…” อีกฝ่ายดูใจเย็นและสุขุม หากเป็นเจ้านายผู้อื่นคงโวยวายที่โดนชนและตัวมันเองคงโดนเฆี่ยนจนหลังลายเป็นแน่
“ไตรทศอยู่ตรงลานฝึกดาบ สงสัยจะรอออเจ้าอยู่”
“ขอบพระคุณขอรับ” จันค้อมหัวให้อีกฝ่ายก่อนที่จะรีบเดินเลี่ยงออกมาพร้อมไอ้มิ่ง
“โล่งอกไปทีนะเอ็ง ดีนะที่ท่านมิเอาเรื่อง” ไอ้มิ่งถอนหายใจไปปาดเหงื่อไป
“ท่านคือผู้ใดวะ”
“พี่ชายของท่านไตรทศอย่างไรเล่า”
“หา พี่ชาย!? ”
จันเองก็พึ่งจะรู้ว่าไตรทศมีพี่ชายกับเขาเสียด้วย เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายมิเคยพุดเกี่ยวกับครอบครัวให้ตนฟัง สงสัยว่าจะยังมีอีกหลายเรื่องที่จันมิรู้เกี่ยวกับอีกฝ่าย
“เออสิวะ ท่านชื่อเดชดำรงค์ เป็นพี่ชายแท้ๆของท่านไตรทศ มีตำแหน่งเป็นขุนเหมือนกับท่านขุนไกร”
ทั้งสองเดินไปคุยกันไป จันได้ฟังเรื่องราวของทั้งสองคนหลายอย่างจากไอ้มิ่งเพราะมันเป็นพวกช่างพูดช่างจ้อจึงมิหยุดปากเสียที ใช้เวลามินานทั้งสองจึงเดินมาถึงลานฝึกดาบ
เสียงดาบฟาดฟันกันดังขึ้น มีเสียงพวกทาสหนุ่มทาสแก่ร้องโห่ร้องเชียร์คนที่ยืนอยู่ตรงลานกว้าง จันมองผ่านร่างบึกบึนของพวกทาสเข้าไปจึงเห็นแผ่นหลังของไตรทศ เหตุที่รู้ว่าคือแผ่นหลังของอีกฝ่ายคงเป็นเพราะรอยเล็บที่ข่วนเป็นรอยยาว และเจ้าของรอยเล็บนั้นก็ยืนอยู่ตรงนี้…
“เอ้า! ฟาดให้มันแรงๆสิวะ แรงเท่าลูกหมาจะไปสู้ใครเขาได้!”
เสียงพูดตวาดจากไตรทศทำเอาจันสะดุ้ง ชายหนุ่มมิเคยเห็นอีกฝ่ายในด้านนี้มาก่อน ปกติจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและนิ่งเฉยแต่ครานี้กลับดูดุดันสมชายชาตรี
ผิวคล้ำแดดมันเลี่ยมไปด้วยน้ำมันมวยที่อีกฝ่ายทาลงบนผิว ยามกายหนาต้องกับแสงแดดจึงเห็นมัดกล้ามตามหน้าท้องและแขนแกร่งได้ชัดเจน 
ทาสหนุ่มผู้ที่เป็นคู่ซ้อมเกือบโดนดาบฟาดลงบนหัวแต่ดีที่มันไวจึงหลบได้ทัน สถานการณ์ดูก็รู้ว่ามันเป็นรองอยู่มาก จันเคยเห็นไตรทศถือดาบไปไหนมาไหนด้วยก็จริงแต่ยังมิเคยเห็นฝีไม้ลายมือมาก่อน พอได้มาเห็นเองกับตาก็ถึงกับพูดมิออกทำได้แค่เพียงนิ่งอึ้งและจ้องมองอย่างมิวางตา
“เป็นอย่างไรนายข้าเก่งล่ะสิ” ไอ้มิ่งยืนกอดอกพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ
“เก่งจริง” และจันก็มิคิดเถียง
“แผลตามหลังยามโดนเม็ดเหงื่อคงจะแสบน่าดู” ไอ้มิ่งซี๊ดปากแสดงท่าทีเจ็บแทนนายของมัน เมื่อได้ยินจันถึงกับไปมิเป็น
“แล้ว...นายเอ็งบอกรึไม่ว่าได้แผลมาได้อย่างไร”
“บอก”
ใจคนฟังแอบกลัวว่าไตรทศจะบอกมันว่าผู้ที่สร้างแผลยาวนั้นคือตน และหากไอ้มิ่งรู้คนทั้งพระนครก็คงจะรู้ไปด้วยเพราะมันปากมากอย่างที่มิมีผู้ใดเทียบได้
“บอกว่าอย่างไรวะ?”
“ท่านบอกว่าโดนแมวข่วน”
“แมว!? ”
“เออสิวะ ข้ายังนึกสงสัยว่าแมวที่ไหนจะมาข่วนท่าน ทั้งยังเป็นรอยทั้งด้านหน้าทั้งด้านหลัง”
“ฮะๆ นั่นสิ…” จันได้แต่ยิ้มแห้ง
“เห็นท่านว่ามันน่ารักมากเลยอดใจเข้าไปหยอกล้อมิได้ พอหยอกไปหยอกมาแมวมันก็ร้องเอาๆแล้วก็โดนข่วนจนได้แผลมานั่นแล”
“...ง-งั้นดอกรึ”
“แล้วนี่เอ็งเป็นอะไร มิสบายรึ หน้านี่แดงเป็นลูกตำลึง” เมื่อโดนทักจันจึงหันหน้าหลบทันที หน้าแดงงั้นรึ!?
“เฮ!”
เสียงเชียร์ดังขึ้นจันจึงหลุดจากห้วงภวังค์ของความเขินอาย มองไปยังลานก็เห็นว่านายทาสคนนั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้นโดยมีปลายดาบของไตรทศชี้ไปที่ใบหน้า
ไตรทศยื่นมือให้นายทาสจับและดึงขึ้นยืนทำเอาจันแปลกใจมิน้อยเพราะปกติพวกเจ้าขุนมูลนายจะมิอยากแตะต้องตัวทาสและรังเกียจเหมือนหมูเหมือนหมา
“ทำดีมากไอ้ยอด”
“ขอรับคุณท่าน” มันยิ้มให้ผู้เป็นนายอย่างนึกดีใจเพราะครั้งนี้เป็นคราแรกที่มันได้รับคำชม
จันมองไปยังร่างชื้นเหงื่อ ไตรทศเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นเพื่อตัดรำคาญ เหงื่อตามขมับไหลย้อยลงมาตามคอและลงไปที่แผ่นอกเปลือยเปล่า
พวกทาสพากันสักตามหลังตามตัวแต่มิมีผู้ใดทำให้จันรู้สึกว่าดุดันได้เท่ากับชายที่มันแอบมอง ชายที่ตามตัวมิมีรอยสักแต่กลับดูดุดันราวสัตว์ป่า เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมองมาไตรทศจึงหันไปมองพลันสายตาสอดประสานกับคนที่ยืนดูอยู่นาน
“จัน..”
“นี่ผ้าขอรับคุณท่าน” ยังมิทันจะได้พูดคุยไอ้มิ่งก็เดินมาตัดหน้าแล้วส่งผ้าเช็ดเหงื่อให้เสียก่อน
“พวกเอ็งไปพักได้” หันไปบอกพวกทาสหนุ่มที่ยืนมองอยู่
“ขอรับ” พวกมันรับคำก่อนจะพากันแยกย้ายไปพักดื่มน้ำดื่มท่า
“ไปๆรีบไป” ไอ้มิ่งส่งเสียงไล่พวกที่ยังคงยืนมองด้วยความสงสัย
“เอ็งด้วยไอ้มิ่ง”
“อ-อ้าว” มันยิ้มแห้งๆ “ขอรับ” ก่อนจะปลีกตัวออกไป
“ส่วนออเจ้ามานั่งกับพี่” ไตรทศเรียกให้อีกคนมานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใกล้ๆ ลานฝึกดาบ ไตรทศนั่งลงก่อนตามด้วยจัน
“พี่ไตรมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือ เหตุใดจึงให้ไอ้มิ่งไปตามข้ามา”
“เรื่องไอ้เข้ม”
กึก
“พวกทาสในเรือนพากันตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็มิเจอแม้เงา ราวกับว่ามันรู้ทุกการเคลื่อนไหว”
“พอเถอะพี่ไตรข้ามิอยากผูกใจเจ็บกับมันอีกแล้ว” จันพูดด้วยสายตาละห้อย เพราะความรู้สึกแย่ๆ มันกลับโถมเข้าใส่เมื่อได้ยินชื่อไอ้เข้ม
“แต่พี่อยาก” จันนิ่งอึ้งมองไปที่อีกฝ่าย “มันทำร้ายออเจ้าก็เท่ากับทำร้ายพี่”
“...แต่”
“อย่าห้ามพี่เลยจัน”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าครานี้ตนคงทำอะไรมิได้ แต่ใจหนึ่งก็อยากห้ามให้ถึงที่สุดเพราะไตรทศมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อยแต่กลับเอาตัวเองมาพัวพันเข้าเสียได้
ไอ้เข้มมันเป็นพวกมิยอมใคร ใครทำมันเจ็บมันย่อมเอาคืนและทำให้เจ็บกว่า และจันเองก็กลัวว่าวันหนึ่งมันจะมาทำร้ายไตรทศที่เข้ามาปกป้องตน
“ระวังตัวด้วย” หากห้ามมิได้คงบอกได้เพียงเท่านี้
“ห่วงพี่รึ? ” ไตรทศยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจ
“ม-มิใช่เช่นนั้น พี่นี่ช่างหลงตัวเองมิมีเปลี่ยน”
“ออเจ้าเองก็ปากแข็งมิได้เปลี่ยนไปเลยหนา” พูดพร้อมกับใช้มือลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับอย่างถนอม
“เอ่อ...เมื่อครู่พี่ไตรฟันดาบเก่งดี” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะมิอยากเขินอายไปมากกว่านี้
“พี่ฝึกมาตั้งแต่เด็กกระมังเลยพอมีวิชาดาบติดตัว”
“ข้ามิเคยเห็นพี่ในมุมนี้มาก่อน ปกติเห็นแต่ทำตัวนิ่งๆ พูดก็พูดน้อยจนข้าคิดเสียแล้วว่าเป็นใบ้” ปากเล็กพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยจนเผลอลืมตัวพูดหยอกแรงเกินไป “อ่ะ...ขอโทษจ้ะ”
เมื่อนึกได้ว่าตัวพูดมากเกินจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“หึ มิเป็นอันใดดอกพี่ชอบเสียอีกยามออเจ้าพูดไปยิ้มไป” มือหนายังคงวางแหมะอยู่บนกลุ่มผมและมิถูกเอาออกไปไหน
“ที่พี่พูดน้อยและวางมาดขรึมคงเป็นเพราะพี่คือเจ้าของเรือนเล็กจึงจำต้องแสดงท่าทีให้สงบนิ่งเข้าไว้ แต่ยามที่พี่อยู่เรือนใหญ่พี่คือลูกคนเล็กและเป็นแค่ผู้อยู่อาศัยมิใช่เจ้าของเรือน”
“งั้นก็หมายความว่าที่ข้าเห็นอยู่นี่คือตัวตนที่แท้จริงของพี่งั้นรึ?”คิ้วของจันแทบจะขมวดเป็นปมเมื่อคิดตาม
“คงจะอย่างนั้นกระมัง”
“ข้าเห็นพี่ตวาดใส่พวกทาส ดูดุน่าดู”
“แต่พี่จะมิมีวันตวาดใส่ออเจ้าดอกหนา” จันนิ่วหน้าเมื่อมือหนาขยี้ลงบนกลุ่มผมจนยุ่งเหยิง
“ผมข้ายุ่งหมดแล้ว เดี๋ยวข้าก็หมดหล่อพอดี”
“ดีเสียอีกจะได้มิมีพวกนางทาสผู้ใดมาตกหลุมรักเจ้าหนุ่มพราวเสน่ห์เช่นออเจ้า”
“เหอะ ทำได้ที่ไหนกัน ความหล่อมันติดหน้าข้ามาตั้งแต่เกิด” จันยืดอกพูดอย่างภูมิใจ
“สำหรับออเจ้าแค่มีพี่ตกหลุมรักเพียงผู้เดียวก็คงเกินพอแล้วกระมัง”
“เพราะพี่ตัวใหญ่ล่ะสิไม่ว่าหลุมมันจึงเต็ม”
“อยากอื่นของพี่ก็ใหญ่ ออเจ้าก็น่าจะรู้”
“พี่ไตร!”
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-10-2019 23:09:23
คุณพี่ไม่ธรรมดาเลยค่าาา  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-10-2019 04:55:03
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-10-2019 09:01:08
แซ่บมาก!
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-10-2019 09:25:35
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 03-10-2019 15:34:41
หืมมม ใหญ่เท่าแขนไอ้ทิดสินะ  กรี๊ดดดด!!
พี่ไตรคนลามก~  :katai5:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 05-10-2019 21:38:17
รอจ้า ^^
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 10 (2/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-10-2019 21:06:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 07-10-2019 18:31:59
บทที่ ๑๑

“นั่นออเจ้าจะไปที่ใดรึ?” ขุนเดชเอ่ยถามแม่หญิงคนงามที่ก้มหัวให้ตนแล้วเดินผ่านไป
“ไปหาคุณพี่ไตรเจ้าค่ะ น้องได้ยินมาว่าคุยพี่อยู่ที่ลานซ้อมดาบจึงอยากไปดูเสียหน่อย”
“พี่เกรงว่าไตรทศจะกำลังคุยธุระกับแขกอยู่กระมัง”
“แขกรึเจ้าคะ?”
“ใช่ เห็นว่าชื่อจัน” แม่พิกุลหน้าหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดจนขุนเดชสังเกตได้ 
“ถ้าเช่นนั้นน้องมิไปรบกวนคงจะเป็นการดีเสียกว่า”
พูดอย่างตัดพ้อน้อยใจ พิกุลรู้ดีว่าไตรทศแอบมีใจให้จันตั้งแต่ครั้งที่เจอกันคราแรกที่วัดเพราะตนนั้นเห็นสิ่งที่สายตาของคนพี่สะท้อนออกมาว่าสนอกสนใจในตัวจันมากเพียงใด เหตุใดนางจะมิรู้ในเมื่อตัวนางเฝ้ามองคนพี่มาตั้งแต่จำความได้
“ออเจ้าสนใจมานั่งที่ท่าเรือเป็นเพื่อนพี่รึไม่ บรรยากาศกำลังดี” แม่หญิงหันไปมองตาทาสสาวผู้เป็นพี่เลี้ยงข้างกายและนางทาสก็ดูมิได้ขัดข้องอันใด
“เจ้าค่ะ”
บรรยากาศที่ท่าน้ำช่างร่มรื่นมีลมพัดโกรกตลอดเวลา มีต้นไม้น้อยใหญ่รายล้อมบ้างก็เป็นไม้ดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ฝั่งตรงข้ามมีบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ไม่ไกล มีผู้คนพายเรือสัญจรไปมามิขาดสายเพราะแม่น้ำสายนี้เป็นสายการค้าที่สามารถพายเรือไปยังตลาดใหญ่ได้จึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้คนมากหน้าหลายตาพายเรือผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอด
ขุนเดชลอบมองแม่หญิงที่กำลังนั่งทำหน้าเศร้าตั้งแต่เมื่อครู่ ตัวเขาที่คุ้นชินกับการที่คนน้องยิ้มให้เริ่มทำตัวมิถูกเพราะตนก็มิรู้ว่าจะต้องปลอบใจคนที่กำลังชอกช้ำจากชายที่แอบรักอย่างไร
“ขนมจ้า ขนมถั่วกวน ทองหยิบ ทองหยอด มีมากมายหลายอย่าง เชิญเลือกได้เลยจ้า” เสียงแม่ค้าที่พายเรือผ่านเรียกลูกค้าเสียงดังไปทั่วคุ้งน้ำ 
“ช่วยหยุดสักประเดี๋ยว” ท่านขุนเอ่ยบอกแม่ค้าจึงจอดเรือเทียบท่า
“จะเอาขนมอะไรรึพ่อรูปหล่อ”
“เอ่อ..” ตัวเขาถึงกับไปมิเป็น ขุนเดชมิใช่คนที่เข้าสังคมเก่งนักจึงทำตัวมิถูกเมื่อถูกชม “ข้าเอาทุกอย่าง อย่างละสามชิ้น”
แม่ค้าหันไปตักขนมใส่ห่อใบตองให้อย่างบรรจง ค่อยๆวางค่อยๆเรียงจนสวยงาม
“นี่จ้ะ” ขุนเดชยื่นมือไปรับก่อนจะส่งถุงอัฐไปให้
“หูย เยอะเกินแล้วพ่อหนุ่ม ขนมข้าแค่ไม่กี่เฟื้อง”
“ข้าให้หมด รับไว้เถิด” แม่ค้ารับแล้วยกมือไว้ท่วมหัว เพราะนับดูอัฐจากในถุงแล้วนางมิจำเป็นต้องขายขนมไปทั้งเดือนก็ยังสามารถมีกินมีเก็บได้ 
“คุณพี่ใจดีจังเจ้าค่ะ” พิกุลพูดขึ้นเมื่อแม่ค้าพายเรือออกไปแล้ว
“งั้นรึ? เหตุใดออเจ้าถึงว่าพี่ใจดี”
“ก็คุณพี่ให้อัฐแม่ค้าไปเสียเยอะ” 
“อัฐนั้นเป็นของนอกกาย หามาเพิ่มเมื่อใดก็ย่อมได้ แต่น้ำใจที่จะมีให้กันสิหายาก แม่ค้าเมื่อครู่พี่เห็นนางทุกวันยามที่พี่มานั่งอ่านตำราที่ท่าน้ำ นางพายเรือตั้งแต่เช้าไปขายที่ตลาดกว่าพี่จะเห็นกลับก็ค่ำมืด บางคราพี่ก็เห็นว่ามีลูกตามติดไปด้วย พี่เข้าใจดีว่าคนเป็นแม่มันเหนื่อยเพียงใด”
ขุนเดชพูดไปยิ้มไปด้วยใจเปี่ยมสุข พลันนึกถึงผู้เป็นมารดาของตนที่ล่วงลับไปแล้ว พระยาเกษมนั้นมีภริยาอยู่สองคนด้วยกันคือแม่นุ่มและแม่นิ่มทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
เมื่อแม่นุ่มตั้งครรภ์ก็เกิดป่วยออดๆแอดๆพอคลอดขุนเดชออกมาได้แค่ไม่กี่ปีก็จากไปทิ้งให้ขุนเดชกำพร้าแม่แต่เด็กแต่ดีที่ยังมีแม่นิ่มคอยดูแลอยู่ตลอด
สามปีต่อมาแม่นิ่มก็ตั้งครรภ์ไตรทศ ขุนเดชกลายเป็นพี่ชายเต็มตัว จะงอแงก็มิได้เพราะทั้งพ่อและแม่ต้องคอยดูแลน้อง ขุนเดชจึงเริ่มหัดดูแลตัวเองจะได้มิเป็นภาระของผู้ใด
ชีวิตวัยเด็กมีความสุขดี น้องชายก็เชื่อฟังและตามติดเขาแจ เรียกได้ว่าทุกคนล้วนรักใคร่กลมเกลียวกันจนขุนเดชมิเคยรู้สึกขาดความรัก
“ออเจ้าลองกินขนมนี่เสียหน่อยจะได้อารมณ์ดี”
“น้องดูอารมณ์มิดีมากเลยหรือเจ้าคะ?” แม่หญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย หรือเพราะตนแสดงออกทางสีหน้ามากไป
“ก็พอตัว” ขุนเดชยิ้มขำก่อนจะส่งขนมให้แม่หญิง พิกุลรับไว้พร้อมกับหยิบเข้าปาก
“อร่อยเจ้าค่ะ” ทั้งสองนั่งยิ้มให้กัน ขุนเดชคิดถูกแล้วที่ซื้อขนมให้แม่หญิงกิน เพราะแม่หญิงกับของหวานมักเป็นของคู่กันเสมอ

“นั่นออเจ้าจะรีบไปที่ใด?”
“กลับเรือนอย่างไรเล่า” จันเดินหนีทันทีที่สบโอกาส ก็ผู้ใดใช้ให้ไตรทศพูดจาลามกเช่นนั้นกันเล่า 
“เรือนที่ว่าหมายถึงเรือนพี่หรือหมายถึงเรือนของออเจ้า?”
จันหยุดชะงักเมื่อพึ่งนึกขึ้นได้ เรือนที่ว่านั้นจันหมายถึงเรือนของไตรทศ สิ่งที่ทำให้ชะงักคือความคิดที่ว่าเรือนคนพี่ก็คือเรือนของตน…
จันหันกลับไปเผชิญหน้ากับไตรทศอีกครั้ง คนพี่เดินเข้ามาใกล้ในสภาพเปลือยท่อนบนและมีผ้าขาวม้าพาดบ่า
“ว่าอย่างไร?”
“ร-เรือนข้า”
“ออเจ้ามิอยากไปร่วมงานที่บ้านท่านพระยาจำรูญกับพี่หรือ”
“มิมีเหตุอันใดที่ข้าต้องไปมิใช่รึ ข้ามิใช่ทาสเสียหน่อย”
“ไปในฐานะคนของพี่ก็ได้” คนของพี่...งั้นรึ
“แต่…”
“มิอยากไปเรือนแม่พิกุลรึ” จันช่างใจเพียงชั่วครู่ ไอ้อยากน่ะอยากอยู่แล้วแต่ตนมิรู้ไปแล้วจะทำการอันใดต่อ
“ข้าอยากไปแต่ว่าข้าไปก็เท่านั้นมิเกิดประโยชน์ต่อผู้ใด”
“อย่าพูดเช่นนั้น แค่ห่างออเจ้าเพียงชั่วครู่พี่ก็คิดถึงออเจ้าจะแย่แล้ว เพราะฉะนั้นไปกับพี่เถิด”
ชายหนุ่มถึงกับไปไม่เป็นเมื่อโดนพูดเกี้ยวพาอีกครา ไตรทศลอบยิ้มกับสีหน้าตกใจของจัน จันชั่งใจอยู่นานจนไตรทศต้องหาอย่างอื่นมาอ้าง
“หากออเจ้ามิไปไอ้มิ่งคงเหงาแย่”
“ไป ข้าไปก็ได้…” เพราะกลัวไอ้มิ่งเหงาดอกหนาถึงไป มิได้กลัวผู้ใดคิดถึงตนสักนิด…
เรือนของพระยาจำรูญใหญ่โตโอ่อ่ากว่าที่คิด ข้าทาสบริวารมากมายออกมายืนตอนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาถึงเรือน บ้างก็เอาน้ำมาล้างเท้าให้ บ้างก็คอยยื่นแขนให้พวกเจ้าขุนมูลนายที่อายุมากจับไว้เพื่อพยุงยามเดินเหิน 
“โห เรือนท่านพระยาจำรูญกว้างขวางมากเลยนะขอรับ” ไอ้มิ่งหันไปพูดคุยกับนายของตน ไตรทศฟังแต่มิตอบ “เอ้า ไอ้จันเอ็งอย่าเงียบสิวะคุยกับข้าหน่อย”
ไอ้มิ่งที่ปากมิเคยหยุดพูดยังคงคุยจ้อไม่หยุด มันพูดมาตั้งแต่ท่าน้ำที่เรือนใหญ่จนมาถึงท่าน้ำของเรือนพระยาจำรูญ มิมีผู้ใดรู้ว่ามันไปสรรหาคำพูดมาจากที่ใด
“ประเดี๋ยวข้าจะอยู่ข้างล่างเรือนเป็นเพื่อนไอ้มิ่ง” จันเอ่ยเมื่อเดินลงจากเรือ
“ดีเลย ข้าจะพาเอ็งไปส่องสาว ข้าเคยมาหนหนึ่งพวกทาสในเรือนมีแต่ผู้งามๆทั้งนั้น”
พูดพร้อมกับกอดคอ ผู้เป็นนายกระแอมไอเมื่อได้ยินจุดประสงค์ของไอ้มิ่งแต่มันกลับมิสนเพราะคิดว่านายตนแค่ไอตามปกติ 
“ก็ดี ข้าอยากเกี้ยวพาแม่หญิงมาทำให้กระชุ่มกระชวยใจเสียหน่อย”
เมื่อเห็นสีหน้าคนพี่จันจึงอยากแกล้ง และการแกล้งก็ดูเหมือนจะได้ผลดีเพราะไตรทศกำลังทำหน้าตาน่ากลัวส่งมาให้ แต่ผู้ใดจะสนเล่ามาเปิดหูเปิดตาเช่นนี้เสียบ้างก็ดี
“ทำการอันใดก็ไว้หน้าข้าบ้างล่ะ”
คนขรึมเอ่ยดุไอ้มิ่งและจัน สายตาแข็งกร้าวถูกส่งมาให้ชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นทองมิรู้ร้อน กลับไปจะลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ
“ขอรับคุณท่าน” ไอ้มิ่งค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย
ไตรทศเดินขึ้นเรือนไปเพื่อคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่บนเรือน พระยาเกษมผู้เป็นบิดาติดว่าราชการตั้งแต่เช้ามืดจึงมาร่วมงานมิได้ ข้อนั้นพระยาจำรูญเข้าใจเพื่อนรักของตนดีจึงมิได้มีปัญหาติดขัดอันใด 
“ว่าไงจ้ะสาวๆ” ไอ้มิ่งเดินเข้าไปทักทาสพวกนางทาสอย่างสนิทสนม
“ไอ้มิ่ง เอ็งมาอีกแล้วรึ อยู่ให้ห่างๆพวกข้าเลย” พวกนางทาสทำท่าไล่จนจันนึกขำ ที่มันคุยโวว่ามีแต่คนมาชอบมันนั้นมิเป็นจริงเพียงสักนิด มีแต่ไล่ตะเพิดล่ะสิไม่ว่า 
“แล้วนั่นผู้ใดกัน?” 
“นี่ไอ้จัน เพื่อนข้า”
“คนนี้สิถึงจะถูกใจข้า กินน้ำหน่อยไหมจ้ะพ่อหนุ่ม” นางทาสเดินถือขันเงินใส่น้ำมาให้อย่างเป็นมิตร จันจึงรับไว้และยกขึ้นดื่มเพราะรู้สึกกระหายน้ำอยู่แล้ว
“ขอบใจจ้ะ”
จันยิ้มให้ พวกสาวน้อยสาวใหญ่พากันใจอ่อนยวบ มิเคยพบเจอหนุ่มทางใดหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังนิสัยดีเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วอายุยังน้อยน่าจะแรงดี พวกนางทาสพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ให้มันน้อยๆหน่อยนะเอ็ง” ไอ้มิ่งเดินเข้ามากระทบไหล่แต่จันหาได้สนใจไม่
“ออเจ้าเป็นทาสใหม่ในเรือนท่านพระยาเกษมรึ?
“เปล่าจ้ะ ข้าแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวและข้าก็มิใช่ทาส”
“ดีจริง”
“นางอ่อน! แขกเหรื่อมากันเยอะเช่นนี้เอ็งมัวทำการอันใดอยู่รีบๆ หาน้ำหาท่ามาบริการแขกสิวะ!”
เสียงผู้มีอำนาจใหญ่ภายในบ้านแหวดังเมื่อเห็นว่าพวกทาสเริ่มขี้เกียจสันหลังยาว
“เจ้าค่ะคุณหญิง” จันหันไปมองหญิงสูงศักดิ์ที่หัวกระได นางห่มสไบและผ้าแพรสีชมพูอ่อนที่ดูก็รู้ว่าราคาแพง ทำผมทรงผมปีกถือพัดด้วยความร้อนใจ 
“ผู้ใดรึ” ชายหนุ่มกระซิบถามไอ้มิ่ง
“ท่านคือภริยาคนที่สองของพระยาจำรูญ”
จันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ชายหนุ่มมองไปที่อีกฝ่ายแต่กลับโดนมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามเหมือนว่าตนเป็นเม็ดดินเม็ดทรายกลับมา
“หึ พวกขี้ข้า” คำพูดเหยียดหยามที่ผู้ใดฟังคงมิลื่นหูนัก กริยาท่าทางช่างต่างจากคุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลราวกับฟ้าและเหวลึก
“โอ๊ย!”
ด้วยความรีบนางทาสผู้หนึ่งจึงสะดุดล้มจนน้ำในขันกระฉอกไปโดนจันที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก เสื้อไหมที่ใส่อยู่เปียกไปมากกว่าครึ่ง 
“ข้าขอโทษจ้ะ”
“อีนี่หนิ! ซุ่มซ่ามมิดูเวล่ำเวลา เร็วๆสิวะ! หรือต้องให้กูโบยก่อนถึงจะเข็ดหลาบ!”
จันพึ่งเข้าใจคำว่าคนไร้มารยาทก็ครานี้ ถึงจะเป็นเจ้านายแต่ก็ควรมีเมตตาแก่พวกข้าทาสเสียบ้างมิใช่มีแต่โบย
“มิเป็นอันใดจ้ะ ค่อยๆลุกนะ”
ชายหนุ่มประคองทาสสาวขึ้นก่อนจะดึงเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อบิดน้ำออกจากเสื้อ คุณหญิงโบกพัดในมืออย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว
ทันใดนั้นสายตาคมดังเหยี่ยวจึงจับจ้องไปที่รอยปานสีแดงรูปดอกไม้ที่เอวของชายหนุ่มพลันใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีแดงชาดก็ซีดเผือด พัดในมือสั่นด้วยความตระหนก 
“อ-เอ็ง!” จันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง “เอ็งเป็นแม่เรือนรึ!”
เสียงซุบซิบดังขึ้นในหมู่ทาสเมื่อคุณหญิงพูดจบ ทุกสายตาจับจ้องมาที่จันที่กำลังยืนบิดเสื้อ
“เอาตัวมันออกไปจากเรือนข้า!”
เสียงกรีดร้องของคุณหญิงบอกพวกทาสหนุ่มจับตัวจันออกไป เสียงนั้นดังจนดึงความสนใจของไตรทศที่กำลังพูดคุยกับพระยาจำรูญบนเรือนใหญ่
“มีเหตุอันใดกัน?”
“เดี๋ยวกระผมไปดูเองขอรับ”
ไตรทศขอปลีกตัวออกมาก่อนจะเดินไปที่โรงครัวของพวกทาส เห็นทาสมากมายพากันรุมล้อมใครบางคน มีนายทาสกายกำยำกำลังง้างมือฟาดหวายลงบนหลังใครบางคนที่กำลังหมอบลงกับพื้น เสียงฟาดดังไปทั่วบริเวณแต่มิมีเสียงร้องจากผู้ที่ถูกฟาด แม้เพียงสักนิดก็มิมี
“เกิดอะไรขึ้น?” ไตรทศเอ่ยถามไอ้มิ่งที่ยืนตัวสั่น
“อ-ไอ้จัน” เสียงมันสั่นเครือ ไตรทศรับรู้ได้ทันทีเพียงแค่ได้ยินชื่ออีกฝ่ายจากปากของทาสคนสนิท
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงพูดดังก่อนที่ร่างของไตรทศจะแหวกวงล้อมของพวกทาสออก แววตาคมวูบไหวเมื่อเห็นว่าผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือผู้ใด ใจคนพี่แทบแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อเห็นว่าตามแผ่นหลังของจันมีแต่รอยหวาย ตามรอยมีเลือดซึมออกมาจนดูน่ากลัว ไตรทศกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เดินเข้าไปนั่งลงและประคองจันให้ลุกนั่ง 
“จัน..” ประคองใบหน้าขึ้นด้วยมือหนา เห็นน้ำตาที่เล็ดลอดออกมาเพียงนิดก่อนจะเหือดหายไป 
“มันเป็นคนของออเจ้ารึพ่อไตร?” เสียงบนหัวกระไดเรียกความสนใจของไตรทศ
“คุณหญิงป้า...เหตุใดถึงต้องโบยคนของหลานขอรับ”
“มันเป็นแม่เรือน! เป็นตัวกาลกิณี พวกโสโครก!” ท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ของคุณหญิงทำเอาเขามิมีคำจะเอื้อนเอ่ย 
“บิดาของออเจ้าสร้างเรือนไว้ให้เพื่อให้ออเจ้าหลีกหนีจากพวกน่ารังเกียจนี่มิใช่รึ! เหตุใดออเจ้าจึงซุกซ่อนมันไว้ใกล้ตัว!”
คำพูดของคุณหญิงทำให้จันกระจ่างแจ้งแก่ใจทันที เหตุที่ไตรทศต้องมาอยู่เรือนเล็กมิใช่เพราะว่าชอบความสันโดษแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการหลีกหนีจากแม่เรือนเช่นตน
“กระผม…” มิมีคำปฏิเสธใดออกจากปากของไตรทศ
“ออเจ้าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุลลืมไปแล้วรึ? ออเจ้าจะมาทิ้งนางไปหาแม่เรือนได้อย่างไร” 
กึก
ดวงตาของชายหนุ่มวาบไหว หมั้นหมายรึ? เหตุใดตนถึงมิเคยรู้มาก่อน จันเงยหน้าขึ้นมองไตรทศด้วยสายตาที่อ่อนแรงเต็มที ไตรทศมิได้พูดคำใดออกมา มิมีคำปฏิเสธ มิมีท่าทีใดเลย
...นี่หมายความว่าที่ผ่านมา...ตนเองคือของตายเช่นนั้นหรือ
จันประคองร่างตนเองขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ไตรทศยื่นมือจะเข้าประคองแต่กลับโดนสะบัดออกอย่างมิใยดี ใจคนพี่แทบแตกสลายยามโดนปฏิเสธ
ตัวเขาอยากอธิบายทุกอย่างให้จันฟังแต่จะให้พูดหักหน้าคุณหญิงป้าที่เรือนนี้ก็คงจะมิได้ อยากอธิบายแทบขาดใจว่าตนมิได้ยินยอมการหมั้นหมายและตัวเขาเองก็พึ่งรู้เมื่อครู่ว่าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุล
“...จัน”
“ข้าขอตัว” ชายหนุ่มเดินโซซัดโซเซออกจากวงล้อม พวกทาสพากันสงสารจับใจแต่ก็มิมีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย
“หึ สมควรโดนแล้ว เป็นแค่แม่เรือนคิดตีตนเสมอพวกทาส คนอย่างพวกมันนับเป็นคนก็ดีเท่าใดแล้ว” 
ทุกคำพูดจันล้วนได้ยิน ทุกเสียงนินทาจากพวกเจ้าขุนมูลนายที่มามุงดูก็ได้ยิน ใจของชายหนุ่มเปราะบางราวกับใบไม้แห้ง แค่โดนลมพัดเพียงนิดก็พร้อมล่วงหล่นลงจากต้นสู่พื้นดินและถูกย่อยสลายหายไป
“มิ่ง...ไปส่งจัน”
ไตรทศกระซิบบอกนายทาสคนสนิท ใจอยากจะตามไปเสียเองแต่ครานี้คงมิเหมาะสมเท่าใดนัก ตนมาในฐานะตัวแทนของผู้เป็นบิดา หากทำการอันใดฉุกละหุกคงมิวายที่บิดาตนจักโดนว่าร้ายนินทา
“คุณหญิงป้ามีเหตุอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?” แม่พิกุลที่พึ่งเดินทางมาถึงเรือนเอ่ยถาม
“ก็พ่อไตรน่ะสิ เลี้ยงพวกแม่เรือนไว้ในเรือนตน ช่างเสียชื่อนัก”
“แม่เรือน...แย่มากเลยหรือเจ้าคะ” พิกุลถามด้วยความไร้เดียงสา เพราะทั้งชีวิตนางยังมิเคยเจอแม่เรือนมาก่อน ด้วยความที่แม่เรือนนั้นมีจำนวนน้อยมา
“แย่เสียยิ่งกว่าแย่ เดิมทีป้าเกลียดพวกมันอยู่แล้ว ใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนชายให้หลงไหลแล้วคิดตีตนขึ้นเป็นใหญ่ แล้วไอ้คนเมื่อกี้มันยังเป็นลูกของนัง-”
คุณหญิงเกือบหลุดปากบอกความลับของจันแต่ฉุกคิดและชะงักไว้ทัน
“ช่างมันเถอะ ออเจ้าเข้าไปหาเจ้าคุณพ่อกับป้า” 
“เจ้าค่ะ” พิกุลมองลงไปด้านล่างจึงเห็นไตรทศที่ยืนอยู่ แปลกที่สายตาคนพี่นั้นโศกเศร้าราวกับว่าภายใจ...กำลังร่ำไห้ 
“เดินดีๆนะไอ้จัน”
ไอ้มิ่งประคองร่างเพื่อนของตนอย่างทุลักทุเล ในใจนึกสงสารเพราะตามแผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยหวายและรอยเลือดที่เริ่มแห้งกรังติดตามบาดแผล
“เอ็งกลับไปเลยก็ได้” เสียงกระท่อนกระแท่นถูกส่งออกมาจากร่างบอบช้ำ
“เอ็งจะบ้ารึ ข้ามิใจร้ายพอที่จะทิ้งเอ็งไปดอก” 
“แต่ข้าเป็นแม่เรือน”
“ข้ารู้”
“รู้... ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ที่เอ็งโดนพวกไอ้เข้มรุมทำร้ายคราก่อน ข้าเห็นอาการก็รู้ได้ทันทีว่าเอ็งเป็นแม่เรือน”
“แล้วเอ็งมิรังเกียจข้ารึ”
“แม่เรือนก็คน แม่ข้าเองก็เป็นแม่เรือน นางถูกผู้คนรังเกียจจนโดนทำร้าย...จนตาย” เสียงไอ้มิ่งผู้ที่เคยสดใสดูหมองเศร้าลง
“แต่ดีที่ท่านไตรทศไปเจอข้าเป็นขอทานที่ตลาดใหญ่ ท่านจึงรับข้ามาเลี้ยง”
ทั้งสองเดินจากท่าเรือมินานก็มาถึงวัด ไอ้มั่นที่กวาดลานวัดอยู่เมื่อเห็นว่าเพื่อนตนมีสภาพราวกับไปฟัดกับหมาบ้ามาจึงรีบทิ้งไม้กวาดและรีบวิ่งเข้ามาประคองจันช่วยไอ้มิ่งทันที 
“เกิดเหตุอันใดขึ้นวะไอ้มิ่ง!” น้ำเสียงร้อนใจเอ่ยถาม
“มันโดนโบย”
“ผู้ใดโบย”
“คุณหญิงจำปาเมียรองท่านพระยาจำรูญสั่งโบย”
“คิดว่าเป็นผู้ดีตีนแดงแล้วจะข่มเหงใครก็ได้หรือวะ!” ความโกรธปะทุเดือดจนจันต้องรีบห้าม
“ใจเย็นมั่น ข้ายังมิตาย แต่หากพวกเอ็งมัวแต่ยืนคุยกันเช่นนี้ก็มิแน่”
“ไปกระท่อมท้ายวัด ตาเอ็งน่าจะกลับมาแล้ว”
จันพยักหน้า ทั้งสองพากันพยุงร่างของจันเดินไปที่ป่าช้าท้ายวัด มินานก็ถึงกระท่อมที่ว่า ประตูบนกระท่อมถูกเปิดอยู่จันจึงรู้ว่าตาของตนมาถึงแล้ว 
“ตาคง! มาดูหลานตาสิเนี่ย ไปโดนพวกผู้ดีโบยมาเพราะเหตุใดก็มิรู้!” ไอ้มั่นตะโกนเรียก มินานร่างของชายชราจึงเดินออกมาจากห้องพระ
“รีบพามันขึ้นมา”
สายตาดุถูกส่งมาที่ชายหนุ่ม จันมิมีหน้าไปสบตาผู้เป็นตาเพราะสัญญากันไว้เสียดิบดีว่าจะมิก่อเรื่องแต่แล้วก็ดันรักษาสัญญามิได้
เมื่อมาส่งที่เรือนเสร็จไอ้มิ่งจึงขอตัวกลับเพราะมันต้องเอาเรือกลับไปที่เรือนพระยาจำรูญเพื่อรับผู้เป็นนายส่วนไอ้มั่นก็กลับไปแล้วเช่นกันเพราะมันต้องไปคอยรับใช้หลวงตาต่อ 
“อ-โอ๊ย!” ใบหญ้าสาบเสือบดถูกโปะลงบนแผลเพื่อห้ามเลือดและฆ่าเชื้อ ความแสบทำเอาจันต้องร้องระงม
“อย่ามาทำเป็นสำออยไปหน่อยเลยเอ็ง ไปทำอีท่าไหนเหตุใดถึงโดนโบย?”
“ข้ามิได้ก่อเรื่องนะตา ข้าแค่เลิกเสื้อเพื่อบิดน้ำที่เปียกออกแล้วคุณหญิงบ้านนั้นก็เลยเห็น…” ชายชราหยุดมือชะงักก่อนจะถอนหายใจยาวๆ
“รอยปานงั้นรึ”
“จ้ะ”
“เอ็งนี่มันวาสนาน้อยนักนะไอ้จัน แม่ก็ตายจากตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเกิดมาเป็นแม่เรือนอีก” จันประคองตัวลุกขึ้นนั่งและหันไปทางผู้เป็นตา
“เป็นแม่เรือนมันแย่มากหรือตา”
“แล้วเอ็งคิดว่ามันแย่หรือ”
“...ข้าคิดว่ามันแย่”
“เอ็งเป็นหลานข้า ข้ามิเคยดูแคลนเอ็งที่เกิดมาแบบนี้ เอ็งได้ใบหน้าของแม่เอ็งมานะรู้ไหม แม่เอ็งน่ะสวยมากข้าจะบอกให้ ตอนมันท้องเอ็งข้าเคยถามว่าหากเอ็งเกิดมาแล้วเป็นแม่เรือนมันจะเก็บเอ็งไว้หรือไม่ รู้ไหมว่ามันตอบข้าว่าอย่างไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“จะเป็นอย่างไรก็ลูกข้า เป็นแม่เรือนก็ลูกข้า พิการก็ลูกข้า ตาบอดก็ลูกข้า ไม่ว่าเอ็งจะเกิดว่าเอ็งจะเกิดมาเป็นเช่นไรเอ็งก็คือลูกของมันนะไอ้จันและแม่เอ็งเต็มใจที่จะตายขอแค่ได้อยู่เห็นหน้าเอ็งสักปีสองปีก็ยังดี” 
น้ำตาไหลหล่นลงมาอย่างมิรู้ตัว ดวงตาวูบไหวราวกับเปลวเทียนน้ำตาเอ่อคลอหากแต่หัวใจกลับเปี่ยมสุข
หญิงใดที่ให้กำเนิดลูกเป็นแม่เรือนมักจะอายุสั้น
เพราะตนเกิดมามารดาจึงต้องตายข้อนั้นจันรู้ดี ปมในใจมิเคยหายไปได้เลย จันจำหน้าผู้เป็นมารดามิได้เพราะพอมันอายุได้สามขวบครึ่งมารดาก็ตายจากไป จำได้แต่เสียงหวานที่ร้องเพลงกล่อมเพียงเท่านั้น 
“ขี้แยไปได้นะเอ็ง ดูสิไอ้ทิดมันร้องตามแล้ว”
ชายหนุ่มหันไปมองข้างตนเองจึงเห็นไอ้ทิดที่นั่งอยู่นานเท่าใดแล้วก็มิรู้ มันกำลังทำหน้าเหยเกราวกับว่าจะร้องไห้
“ฮึก พี่จัน...พี่จันอย่าร้อง ฮืออ” ห้ามเขาแต่มันกลับร้องหนักกว่าเสียเอง 
“เฮ้อ พี่น้องปัญญานิ่ม” ตาคงพูดก่อนจะลุกเดินเข้าห้องพระ “เลิกร้องไห้แล้วก็มากินข้าวกินปลาด้วย ข้าทำแกงที่เอ็งชอบไว้ให้”
จันยิ้มทั้งน้ำตาด้วยใจเปี่ยมสุข ถึงวันนี้จะเจอเรื่องมามากมายแต่พอได้กลับบ้านและได้กินอาหารฝีมือตาความทุกข์โศกจึงหายไปในชั่วพริบตา น้ำตาอุ่นๆเหือดหายไปกับลมหนาวของยามค่ำคืน 

เสียงเดินขึ้นบันไดเรือนเล็กทำให้พวกนางทาสที่กำลังนั่งตัวสั่นเงยหน้าขึ้นมอง ได้เวลาที่ไตรทศจะกลับถึงเรือนแล้วแต่พวกมันมิได้กลัวไตรทศแต่กลับกลัวผู้ที่ยืนทำหน้าถมึงทึงบนเรือนในยามนี้
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เสียงแข็งกร้าวของผู้เป็นบิดาดังขึ้นบนหัวบันไดเรือน
“...ขอรับ”

หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-10-2019 21:00:13
สงสารจันพีไตร ต้องผ่านอุปสรรคไห้ได้นะ :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-10-2019 23:33:32
 :mew2: :mew2: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-10-2019 01:50:46
แม่จันเป็นใคร
แล้วน้องผิดอะไรอ่ะ คนพี่ยังไม่จัดการตัวเองเลยด้วยซ้ำ
 :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-10-2019 09:02:14
สงสารจัน
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-10-2019 11:56:31
โอ๋ๆ รวบกอดจัน จะร้องไห้ ไอ้ทิดก็นำไปเสียแล้ว  :sad4:

คุณพี่ไตร เรื่องเมียยังไม่ได้เคลีย์ เรื่องพ่อก็เข้ามาแทรก  :z3:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-10-2019 11:58:16
 :fire:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 11 (7/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-10-2019 13:25:37
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 11-10-2019 21:27:30
บทที่ ๑๒

"มันจริงหรือไม่ที่ออเจ้าพาแม่เรือนมาไว้ที่เรือนเล็ก?" เสียงราบเรียบเอ่ยถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน แต่ภายในใจกับร้อนรุ่มดั่งถูกไฟสุม
"จริงขอรับ"
"พ่อขอถาม ออเจ้าคิดอะไรอยู่? ทำการอันใดเหตุใดจึงมิไว้หน้าพ่อและแม่" ไร้คำแก้ตัวและคำปฏิเสธ ไตรทศนั่งนิ่งมิตอบคำถามของผู้เป็นบิดา "มันเลยเถิดไปถึงไหนแล้วบอกพ่อมาซิ"
"คือ..." จะพูดก็กระดากอายแต่จะอมพะนำเอาไว้ก็มิมีประโยชน์ "ได้เสียกันแล้วขอรับ" 
ท่านพระยากุมขมับ ลมแทบจับเมื่อได้ฟังคำที่ลูกชายพูดออกมา ตนพยายามจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกชายแต่แล้วลูกผู้อยู่ในกฎและระเบียบของบ้านมาโดยตลอดกลับแอบทำลายกฎโดยที่ตนมิรู้
"แค่ครั้งเดียวพ่อจักถือว่าออเจ้าทำพลาด"
"สองครั้งขอรับ" กุมขมับหนักยิ่งกว่าเก่า หากไอ้หนุ่มคนนั้นเกิดท้องชาวบ้านคงพากันนินทามิหยุดหย่อน แค่นี้ก็โดนคนนินทามากพอแล้ว
"ออเจ้าอยากทำอะไรพ่อมิเคยขัด อยากกินหรืออยากได้อะไรพ่อก็หามาให้ อยากเป็นหมอยาพ่อก็ยอม เหตุใดเล่าไตรทศพ่อแค่ห้ามมิให้ยุ่งกับพวกแม่เรือนเหตุใดออเจ้าถึงทำให้พ่อกับแม่มิได้”
ท่านพระยาพูดไปกุมขมับไป
 “แค่ออเจ้ามิรับราชการพ่อก็โดนพวกคนในที่ทำงานถามวันมิเว้นวันว่าทำไมลูกชายสุดที่รักจึงแตกแยกมิรับราชการเช่นพ่อและพี่"
ไตรทศนั่งฟังบิดาพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตนรู้ว่าตนมิใช่ลูกชายที่ทำให้บิดาและมารดาภูมิใจมากนัก มิรับราชการแต่กลับมาเป็นหมอยาที่ด้อยศักดิ์ทั้งยังพาแม่มาไว้ที่เรือน แต่ตนหาได้สนคำพูดของคนอื่นไม่ที่ไตรทศสนใจคือความสุขของตนและคนที่ตนรัก ถึงจะโดนคนนินทาว่าเป็นลูกอกตัญญูก็ช่าง   
"กระผมรักจัน รักอย่างที่มิเคยรักผู้ใดมาก่อนและกระผมมิคิดที่จะเลิกรักจันขอรับ"
"ออเจ้ามันดื้อด้านสิ้นดี พ่อเลือกสิ่งที่ดีที่ควรให้เหตุใดจึงมิชอบ! "
"เจ้าคุณพ่อบอกลูกมาสิขอรับว่าสิ่งได้คือสิ่งที่ดีที่ควร"
"สิ่งที่พ่อและแม่เลือกให้อย่างไรเล่า"
"นั่นเจ้าคุณพ่อคิดไปเอง กระผมมิได้ยินยอมและเห็นดีเห็นงามด้วย เช่นนี้แล้วจะเป็นสิ่งที่ดีที่ควรได้อย่างไร"
ไตรทศยังยืนยันคำเดิมและมิคิดจะเปลี่ยนความคิด ท่านพระยากำไม้ตะพดในมือแน่นมิเคยคิดว่าลูกชายที่เชื่อฟังตนมาตลอดจะแข็งข้อเพียงเพราะไพร่ที่เป็นแม่เรือน
"ไตรทศ ออเจ้าจงฟังพ่อให้ดี ออเจ้าเพียงถูกกลิ่นเสน่หายั่วยวนเท่านั้นสิ่งที่ออเจ้ารู้สึกมิใช่ความรัก" 
"กระผมรู้ว่ามันใช่ขอรับ แลมันก็เป็นรักแท้" ความดื้อด้านของลูกชายทำเอาท่านพระยาถึงกับถอนหายใจ
"ออเจ้าจะไปรู้อะไร รักแท้มันมิเคยมีจริง"
"มีสิขอรับ"
"มิเคยมีผู้ใดพบเจอ แล้วออเจ้าจะมาบอกว่ามันมีจริงได้อย่างไร! "
"กระผมมิเคยพบเจอรักแท้" สายตาคมวูบไหวยามจ้องมองไปที่เปลวของแสงเทียน
"...แต่กระผมเคยให้มันกับคนผู้หนึ่ง เพราะเป็นเช่นนั้นกระผมจึงรู้ว่ามันมีจริง"
"เพียงเพราะมันออเจ้าจึงกล้าดื้อด้านกับพ่อถึงเพียงนี้เชียวรึ"
ความกรุ่นโกรธปะทุแรงขึ้นมากกว่าเดิม ไม้ตะพดหัวสิงห์ถูกกระทุ้งลงบนพื้นเรือนเสียงดัง พวกทาสที่หมอบอยู่มิไกลพากันอกสั่นขวัญแขวน มิมีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองแม้สักเพียงผู้เดียว
"ลูกขออภัยท่านพ่อที่ลูกเป็นลูกที่มิดีพอ คิดจะลงโทษเช่นไรก็เอาเถิดขอรับ"
"หึ ดี! ให้มันได้แบบนี้สิวะ! ต่อแต่นี้พ่อจะกักบริเวณออเจ้าไว้ที่เรือนเล็ก วันที่ออเจ้าจะได้ออกไปคือวันหมั้นหมาย! "
เสียงพูดกัมปนาทดังสายฟ้าฟาด ไตรทศคิดว่าหากตนคุยกับบิดาให้รู้เรื่องบิดาตนคงจะยกเลิกเรื่องหมั้นหมาย แต่กลับกันพระยาเกษมกลับเลื่อนวันให้เร็วขึ้น
เสียงเดินของท่านพระยาเริ่มดังออกไปไกล  ทุกฝีเท้าที่ย่ำลงบนเรือนช่างรุนแรงราวกับว่าตามฝ่าเท้านั้นมีไฟที่พร้อมจะจุดทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุล...รวมถึงความรู้สึกของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นไตรทศด้วย
สองวันล่วงเลยไป ท่านหมอยาคนสุขุมยังคงมิได้ออกมาจากห้องทำงานนับตั้งแต่วันนั้น พวกทาสจะได้เห็นใบหน้าคมเข้มก็เพียงแค่ยามที่ยกสำรับเข้าไปให้หรือไม่ก็ยามที่เจ้านายของพวกมันเดินลงไปอาบน้ำอาบท่าเท่านั้น มิใช่เรื่องดีเท่าใดนักที่ชายชาตรีอายุ๓๐ปีจะโดนกักบริเวณเช่นนี้
 
"คุณท่านขอรับ..." ไอ้มิ่งนั่งหน้าซึมอยู่ข้างผู้เป็นนาย
"ว่าอย่างไร"
"กินขนมกับชาสักนิดนะขอรับ"
ขนมผิงและชาจีนที่ชอบถูกส่งมาให้ สายตาคมหันไปมองขนมในถาดพลันคิดถึงยามที่จันมาฝนหมึกให้ ยามที่ได้พูดคุยหรือยามที่โดนอีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่มันช่างสุขใจนัก สุขใจราวกับว่ามีเคยมีความทุกข์ มือหนาเอื้อมไปหยิบขนมผิงเข้าปาก ช่างแปลกที่รสชาติมิดีเท่ากับอันที่จันเคยซื้อมาง้อตนเสียได้
รอยยิ้มบางถูกจุดที่มุมปากของคนยิ้มยาก ไอ้มิ่งลอบมองนายของมันอยู่มิไกล
"ดอกจันทร์กระพ้อหรือขอรับ"
มันมองไปที่ภาพวาดจากน้ำหมึกสีดำทมิฬของผู้เป็นนาย สองวันมานี้ไตรทศเอาแต่หมกมุ่นและวาดรูปดอกไม้และแน่นอนว่าวาดอยู่เพียงชนิดเดียว
"มิมีงานการอันใดต้องไปทำรึ"
"คือกระผมจะไปวัด...คุณท่านอยากจะฝากอะไรไปให้ไอ้จันรึไม่ขอรับ?"
แค่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายไตรทศก็คิดถึงขึ้นมาทันที ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วกระมังที่มีจันคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกาย ...ความเคยชินมันช่างน่ากลัวเสียจริง
"มี"
มือหนาหยิบเอาปากกาขนนกขึ้นมาเขียนจดหมายให้ชายหนุ่ม เนื้อหาเป็นความลับเพราะไอ้มิ่งมิได้เรียนหนังสือจึงอ่านหนังสือหนังหามิออก แต่สำหรับจันที่ได้ร่ำเรียนหนังสือจากหลวงตานั้นอ่านออกได้มิยาก ใช้เวลาสักพักจึงเขียนเสร็จ 
"เอ็งรับไปแล้วส่งให้ถึงมือจัน ห้ามหล่น ห้ามขาด และห้ามให้ผู้ใดอ่านนอกจากจัน"
"ขอรับ" ไอ้มิ่งรับมาและตกปากรับคำกับผู้เป็นนายมัน

เสียงไอดังมาจากห้องพระ จันคลานเข่าเข้าไปดูอาการของผู้เป็นตาที่กำลังนั่งไอจนน่าเป็นห่วง หลายวันมานี้พอกลับจากเมืองละโว้ตาคงมีอาการไอติดต่อกัน อาการไอหนักขึ้นทุกวันจนจันนึกเป็นห่วง
"นี่น้ำอุ่นจ้ะตา" ชายหนุ่มส่งแก้วน้ำอุ่นให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้แล้วยกขึ้นจิบ "ตาไปหาหมอเสียหน่อยไหมจ้ะ?" 
"อย่าเลย ข้าก็ไอออดๆแอดๆตามประสาคนแก่นั่นแล"
"แต่ว่าตาไอหนักมากขึ้นทุกวันเลยนะจ้ะ"
"เอาน่า เอ็งอย่าคิดอะไรมากเลย ไปช่วยงานหลวงตาที่วัดได้แล้ว"
"จ้ะตา" หันหลังคลานเข่าออกมาก่อนจะหันกลับไปมองที่แผ่นหลังของชายชราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ 
"เหตุใดจึงทำหน้าเศร้านักวะไอ้จัน" มั่นเอ่ยถามเพื่อนรักในขณะที่กำลังพากันกวาดลานวัด
"ก็ตาข้าน่ะสิ ไอมาหลายวันแล้วแต่มิยอมไปหาหมอ"
"ก็ธรรมดาชองคนแก่กระมัง เอ็งอย่าคิดมากเลย"
"เออ ข้าจะพยายาม"
"ไอ้จันโว้ย! " เสียงเรียกดังที่หน้าวัดดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง ไอ้มิ่งยืนโบกมือและเดินเข้ามาใกล้ในมือมันถือห่อผ้าสีฟ้าอ่อนเอาไว้
"มาทำไมไอ้ทาส?"
"มาหาเพื่อนข้าสิวะ เอ็งถอยไปเลยไอ้มั่น" มิทันไรพวกมันก็เริ่มกัดกันอีกครา พักนี้ไอ้มิ่งมาที่วัดทุกวันบางวันก็อ้างว่ามาทำบุญแต่ต่อให้อมพระมาพูดก็คงมิมีผู้ใดเชื่อว่าคนอย่างมันจะเข้าวัด
"ขยันจริงนะเอ็ง"
"เอ้า ข้ามีขนมมาฝาก"
"พอดีเลยข้ากำลังหิว"
"มิใช่ของเอ็งไอ้มั่น นี่ของไอ้จันมัน"
ไอ้มิ่งยื่นห่อผ้ามาให้ จันจึงรับไว้ก่อนจะแกะห่อผ้าออกดูของภายใน ขนมช่อม่วงถูกจัดเรียงไว้ในกระทงใบตอง สายตาของชายหนุ่มวูบไหวพลันเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมา เหตุการณ์ตอนที่ตนนั่งกินข้าวกับไตรทศเป็นคราแรก 
"ข้ามิเอา" ชายหนุ่มส่งคืนเจ้าของ
"ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์เอามาให้"
"เอาให้ไอ้มั่นก็ได้ ข้ามิหิว" ใจอยากจะลืมเขาแทบแย่แต่แค่เห็นขนมกลับนึกถึงเสียได้ จะคิดถึงเขาทำไมในเมื่อที่ผ่านมา...ไตรทศมิเคยมาตามหรือมาดูแผลตนเลยสักนิด
"จัน...รับไว้" สายตาและน้ำเสียงที่จริงจังของไอ้มิ่งทำให้จันรู้แน่ว่ามีอะไรมิชอบมาพากล
"ก็ได้ ข้าจะรับไว้" ไอ้มิ่งจากสีหน้าเคร่งเครียดพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมของมัน
"เช่นนั้นข้าไปก่อนละ"
"อือ" จันพยักพเยิดหน้าให้มัน พร้อมกับมองแผ่นหลังที่เดินลับไป "นี่ขนม"
จันแบ่งขนมในห่อผ้าให้ไอ้มั่นเอาไปกินด้วย เมื่อยกห่อใบตองที่ห่อขนมไว้อีกชั้นออกจึงเห็นว่าใต้ใบตองมีกระดาศซ่อนไว้อย่างดี มันเป็นกระดาษสีน้ำตาอ่อนดูแล้วคล้ายกระดาษสาแบบหนาเป็นแบบเดียวกับที่ไตรทศชอบใช้วาดรูป
มือที่มีรอยจากการทำงานหนักค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษนั้นออกอย่างเบามือราวกับว่ากลัวมันจะขาด เนื้อความในกระดาษความว่า 
ถึงเจ้าจันของพี่
'ยามพระอาทิตย์ตกดินพระจันทร์ลอยเด่น พี่คิดถึงแต่เพียงออเจ้า
ยามพระอาทิตย์ขึ้นย้อมแสงสีทองในวันใหม่พระจันทร์เลือนหาย พี่คิดถึงเพียงออเจ้า'
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน พี่อยากเจออยากอธิบายใจจะขาดแต่ก็ทำมิได้
พี่อยากให้น้องได้รู้ไว้ว่าพี่มิรู้เรื่องการหมั้นหมายและพี่เองก็มิได้เต็มใจแต่อย่างใด
ทรมานเหลือเกินที่ต้องเห็นน้องเจ็บด้วยแผลจากไม้หวาย หากเอาตัวไปรับแทนได้พี่ก็จักทำ
พี่จะรักจนกว่ากลิ่นกายของน้องจะสิ้นกลิ่น...
หากความคิดถึงฆ่าคนได้พี่คงตายเป็นหมื่นๆครั้ง "
ความตื้นตันมาจุกรวมกันอยู่ที่คอ 'รักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น' อย่างนั้นหรือ
ท่านหมอยาผู้นี้มิรู้หรือว่ากลิ่นกายเสน่หาของแม่เรือนจะมิมีวันเลือนหายและจะติดตัวไปจนตาย หากมิโง่เง่าเกินมนุษย์มนาวรรคนี้ก็คงจะสื่อว่า 'พี่จะรักออเจ้าไปตลอดชีวิต' กระมัง 
รอยยิ้มบางถูกจุดบนใบหน้าที่เคยหมองเศร้า ไอ้มั่นที่นั่งกินขนมช่อม่วงอยู่มิไกลมองเพื่อนของมันด้วยความงุนงง เมื่อครู่ยังทำหน้ายับยู่ยี่เป็นผ้าขี้ริ้วแต่ยามนี้กลับยิ้มจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน 
"ยิ้มอะไรวะไอ้จัน?"
"เปล่า มิมีอันใด"
"แปลกคน"
"เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะไอ้มั่น"
"เออๆ กลับดีๆล่ะเอ็ง"
เพลาชายแดดร้อนจนลมแทบจับ ชายหนุ่มรีบเดินกลับกระท่อมที่ป่าช้าท้ายวัดด้วยความร้อนใจเพราะกลัวว่าตาจะเป็นอะไรไปยิ่งกว่าเดิม แต่แล้วก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นตามิได้เป็นอันใดและกำลังนั่งอ่านตำราธรรมะที่เขียนไว้บนสมุดข่อย 
"ตาทำอะไรอยู่หรือจ้ะ?" มันเข้าไปนั่งชิดจนตาคงต้องเขยิบหนี
"อ่านตำรา"
"ข้าขอนอนตักนะตา ข้าไปกวาดลานวัดมาเหนื่อยนัก" มิรอคำอนุญาต ชายหนุ่มนอนลงบนตักผู้เป็นตาทันที 
"เอ็งนี่มันเป็นเด็กมิรู้จักโต"
"ข้ารู้จ้ะ" ตาคงถอนหายใจกับความดื้อความซนของหลานตน ถ้ามิบอกว่ามันอายุ๒๐ปีตนคงคิดว่ามันอายุแค่๑๒ปีเพียงเท่านั้น 
"แล้วนี่ไปทำอะไรมิดีมาหรือไม่? เหตุใดจึงดูหน้าระรื่นผิดกับเมื่อเช้า"
"ไม่หรอกจ้ะตา ข้าก็ปกติดี"
"ก็แล้วไป อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ"
"จ้า"
"แค่กๆ "
เสียงไอจากผู้เป็นตาดึงความสนใจของชายหนุ่ม จันรีบลุกขึ้นนั่งเพื่อประคองตาที่กำลังโก่งตัวไอจนน่าเป็นห่วง อาการไอเริ่มรุนแรงขึ้นจนจันใจเสีย 
"นี่น้ำจ้ะตา" จันรีบตักน้ำในโอ่งดินเผาเล็กๆใกล้ตัวส่งให้ผู้เป็นตา ตาคงรับไว้และจิบน้ำแต่อาการไอกลับมิหายไป
"ตา ตา! " 
ชายชราล้มพับลงไปกับพื้น จันรีบพยุงตาคงขึ้นและพาไปนอนลงบนที่นอน ความร้อนจากกายของชายชราแผ่ซ่านจนรับรู้ได้ผ่านฝ่ามือ มิรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดี ทั้งหมอยาแถวนี้ก็มิมีแม้เพียงผู้เดียว เมื่อคิดถึงหมอยาใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในเสี้ยวความคิด...ไตรทศ 
ร่างสูงยาวของชายหนุ่มวัยขบเผาะรีบวิ่งแจ้นออกจากกระท่อมมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กของไตรทศ วิ่งอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อใกล้ถึงบันไดกลับต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากับพวกทาสหนุ่มที่พระยาเกษมสั่งให้คอยคุมตัวและเฝ้ามองไตรทศไว้ 
"เอ็งจะไปไหน?" ทาสหนุ่มกายกำยำเอ่ยถามเสียงเข้ม
"ข้า...แฮ่ก ข้าจะไปหาท่านไตรทศ" พูดไปหอบไปจนคนฟังแทบฟังมิได้ความ
"ท่านพระยาสั่งห้ามให้ผู้ใดเข้าพบและห้ามมิให้ท่านไตรทศออกไปที่อื่น"
"ขอร้อง...ตาข้าเป็นอะไรมิรู้ ขอร้องล่ะพวกพี่ปล่อยข้าขึ้นไปเถอะ"
"มิได้! " ร่างกายที่อ่อนแรงถูกพลักจนเซล้มลงไปกับพื้น
"ขอร้อง ฮึก ตาข้า...ตาข้าจะตายมิได้ ข้ามิเหลือผู้ใดอีกแล้ว" เสียงสะอื้นไห้มิสามารถทำให้พวกทาสใจอ่อนได้เพราะพวกมันรู้ว่าถ้าหากปล่อยจันขึ้นไปผู้ที่จะโดนโทษหนักคือพวกมัน 
เสียงเอะอะโวยวายจากด้านล่างดึงความสนใจของไอ้มิ่งที่เดินผ่านไปมาอยู่บนเรือน มันจึงชะเง้อมองดูผู้ที่มาเยือน จึงเห็นว่าผู้ที่ล้มลงไปกับพื้นคือจัน มันรีบกุลีกุจอวิ่งไปหาผู้เป็นนายที่กำลังนั่งวาดภาพอยู่ในห้องทำงาน 
"คุณท่านขอรับ! ไอ้จันมาขอรับ! "
เจ้าเรือนที่มีท่าทีสงบนิ่งและสุขุมรีบวางพู่กันในมือลงพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่บันไดเรือน สายตาคมมองไปเห็นจันที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นจึงรีบเดินลงไปและกันพวกทาสหนุ่มออกห่าง
"จันเกิดเหตุอันใดขึ้น! " มือหนาประคองใบหน้าของคนที่ตนรักขึ้นมอง ใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาร่วงหล่นออกให้พ้นจากแก้มนวล
"ตา...ฮึก ตาข้าป่วย ช่วยด้วย ช่วยตาข้าด้วย"
"ไอ้มิ่งไปเตรียมกระเป๋ายาให้ข้า! "
"แต่คุณท่าน ท่านพระยาเกษมห้าม-"
"ไปเอามา! "
"ข-ขอรับ" กฎเกณฑ์ใดมิอาจห้ามไตรทศไว้ได้อีกแล้ว ตอนนี้ชีวิตของผู้ไข้สำคัญกว่า
"พวกกระผมคงให้ไปมิได้ขอรับ" พวกทาสหนุ่มรีบมากันตัวคนทั้งสองไว้
"เหตุใดจึงจะมิได้! "
"ท่านพระยาสั่งห้ามไว้ หากท่านไปพวกกระผมจะโดนโบย"
"เช่นนั้นบอกบิดาข้าด้วยว่าข้ารับผิดแทนเอง"
"ขอรับ" พวกมันยอมเปิดทางให้แต่โดยดี ไอ้มิ่งวิ่งหน้าตั้งกลับมาพร้อมกระเป๋าที่บรรจุตัวยาไว้มากมายหลายแขนง 
"ไปกับพี่"
ทั้งสามรีบรุดพากันเดินทางไปที่ป่าช้าท้ายวัดทันที จันรีบเช็ดน้ำตาของออกด้วยมืออย่างลวกๆ มิได้เจอกันเสียนานดันมาร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเสียได้
ใช้เวลามินานทั้งสามจึงพากันมาถึงกระท่อม ไตรทศเดินเข้าไปในตัวกระท่อมและนั่งลงข้างตาคงที่กำลังหายใจรวยริน จับคลำหาชีพจรเพื่อตรวจดูอาการ 
"ตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"บอกอาการมา"
"หลายวันมานี้ไอหนักนัก ทั้งตัวยังร้อนผิดปกติ"
"เกรงว่าจะเป็นไข้ป่าธรรมดา มิมีอะไรต้องห่วง"
"อย่างนั้นหรือ..."
"อืม ออเจ้าสบายใจได้ แค่ต้มยาให้ตาดื่มก็พอแล้ว" จันถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เห็นตาเป็นลมล้มพับไปจึงคิดว่าอาการจะหนัก "ออกไปข้างนอกกันเถิด ให้ตาของออเจ้าได้พักผ่อน"
จันพยักหน้ารับ ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องนอนแต่มิมีผู้ใดเริ่มบทสนทนาเพราะจากเหตุการณ์ที่เรือนของพระยาจำรูญทำให้ทั้งสองมิมีคำใดจะเอื้อนเอ่ย
สายตาคมหันไปมองจันที่นั่งตบยุงอยู่บนชานเรือนเป็นครั้งคราว ใบหน้าหล่อกำลังนิ่วหน้าและเกาแขนตัวเองไปด้วยเพราะโดนยุงกัด ไตรทศจึงยิ้มขำจนจันได้ยิน
"มิต้องมาหัวเราะข้า"
"ก็ออเจ้าตลก พี่จึงหัวเราะ"
"หึ" หันหน้าหนีเพราะมิอยากต่อความยาวสาวความยืด ร่างหนาทำตัวแนบเนียนขยับเข้าใกล้ก่อนจะสวมกอดจากด้านหลังจนจันสะดุ้งโหยง
"คิดถึง" มีเพียงคำพูดสั้นๆที่ถูกเอ่ยออกมา หากแต่คำพูดสั้นๆนั้นกลับทำให้ใจของจันเต้นระรัวนัก
"ปล่อยข้า" เจ้าตัวแสบดิ้นหมายจะออกจากอ้อมกอดคนพี่ให้จงได้แต่มีหรือที่แรงของจันจะสู้แรงไตรทศได้   
"อ่านจดหมายแล้วหรือยัง?"
"..."
"แสดงว่าอ่านแล้วสิหนา"
ใบหน้าคมก้มลงฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอ สูดเอากลิ่นกายที่ตนคะนึงถึงเข้าปอดด้วยความเสน่หา ตระกองกอดเจ้าเนื้อเย็นด้วยความรักใคร่
"เหตุใดจึงเขียนว่าจะรักจนกว่ากลิ่นกายจะสิ้นกลิ่น มิรู้หรือว่ากลิ่นกายของแม่เรือนจะอยู่ติดกายไปตลอดชีวิต"
"พี่ก็หมายความตามนั้น...จะรักน้องไปตลอดชีวิต"
ริมฝีปากพรมจูบลงบนขมับ จันโอนอ่อนต่อสัมผัสอย่างมิรู้ตัว ใช่ว่าจะมีแต่ไตรทศที่คิดถึงตน ตนเองก็คิดถึงอีกฝ่ายเช่นกัน
"เอ่อ คุณท่านขอรับ ตัวยาต้มเสร็จแล้วขอรับ" ไอ้มิ่งที่ถูกใช้ให้ไปต้มตัวยาเดินกลับมาหาผู้เป็นนายจึงเห็นว่าทั้งสองกำลังกอดกันอยู่ จันที่เห็นดังนั้นจึงรีบลุกพรวดขึ้นมาทันที 
"ด-เดี๋ยวข้าเอาไปให้ตาดื่มเอง" ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปถือหม้อยาต่อจากนายทาสหนุ่มก่อนจะรีบรุดเข้าไปในห้องนอนของตาคง
"เอ็งนี่นะ! มาขัดจังหวะเสียได้" ไตรทศพูดด้วยความหัวเสีย อุตส่าห์เจ้าแมวน้อยโอนอ่อนตามตนเองแล้วเชียวกลับโดนขัดก่อนเสียได้
"ขออภัยขอรับ" มันค้อมหัวให้ผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกผิดปนฉงน
เวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ บริเวณรอบกระท่อมไม้มืดและเงียบสงัด เสียงนกเค้าแมวร้องเซ็งแซ่ดังมาจากทิศใดก็มิอาจรู้ได้ ท่านหมอยานั่งตบยุงอยู่บริเวณบันไดของกระท่อมไม้และมิมีที่ท่าว่าจะกลับเรือนโดยง่ายเพราะอยากเฝ้ารู้ดูอาการของตาคงเสียก่อน
ร่างของชายหนุ่มเดินฝ่าความมืดมาพร้อมตะเกียงไฟดวงน้อยเดินเข้ามานั่งลงข้างๆอย่างถือวิสาสะ ตอนนี้ไอ้มิ่งหลับไปแล้วเหลือไว้แค่เพียงบุรุษทั้งสอง
 
"พี่มาเช่นนี้ท่านพระยามิว่าเอาหรือ?"
"ชีวิตตาของออเจ้าสำคัญกว่า"
"ข้าพอได้ข่าวมาบ้างแล้วว่าท่านพระยารู้เรื่องที่เรือนของพระยาจำรูญและโกรธมาก"
"เป็นเช่นนั้น"
"ข้าขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนเช่นนี้ พี่ไตรอย่ามาเดือดร้อนเพราะข้าอีกเลย"
ใบหน้าของจันหมองเศร้าลง รู้สึกมิสบายใจเท่าใดนักที่ตนเองเป็นสาเหตุของความเดือดร้อนของผู้อื่น   
"อย่าได้คิดมาก เจ้าคุณพ่อท่านก็เป็นเช่นนี้แล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดมิใช่หรือ" จันพยักหน้าตอบรับว่าเห็นด้วย "นี่ก็ดึกมาแล้ว ทางสัญจรไปมาก็มองมิเห็นหากเดินกลับคงจะเป็นอันตราย...พี่ขอนอนด้วยสักคืนได้หรือไม่?"
"ม-มิได้! หากจะนอนก็คงต้องนอนที่ห้องอื่น"
"จัน...นี่ผัวหนา"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว"
"ยอมรับเสียเถิด ออเจ้าได้ตัวแลหัวใจของพี่ไปแล้ว อย่าผลักไสพี่อีกเลย"
สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ใครจะคิดว่าคนอายุมากกว่าถึงสิบปีจะมาทำท่าทีออดอ้อนตนเหมือน...ผัวอ้อนเมีย 
"ก็ได้ๆ " รอยยิ้มน้อยๆถูกจุดบนใบหน้าคนขรึม จันรู้สึกเหมือนคิดผิดที่ตนตกปากอนุญาตไป
"พี่นอนที่มุมนี้ส่วนข้าจะนอนอีกมุม" ห้องของจันมิได้ใหญ่โตมากนักแต่ก็พอที่จะให้ผู้ชายตัวโตสองคนมานอนรวมกันได้ คนเจ้าเล่ห์มองไปรอบห้องเพื่อสำรวจ 
"นอนห่างกันเช่นนี้จะดีหรือ?" อันที่จริงมันก็มิได้ห่างมากนักแต่ไตรทศอยากนอนกอดเมียรักเสียมากกว่า
"แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากเรื่องมากข้าจักให้ไปนอนนอกห้อง"
"ก็ได้จ้ะเมีย"
"นี่!" คนอายุน้อยกว่ารีบสงบปากสงบคำเพราะมิอยากต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก พูดมากไปก็ป่วยการเสียเปล่า
"ไปอาบน้ำกันเถิด พี่เหนียวตัวจะแย่"
"เดี๋ยว-"
"...อย่าดื้อ"
 
ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธก็โดนไตรทศจับข้อมือให้ลุกขึ้นยืน มิไกลจากวัดมากนักมีคลองเล็กตัดผ่านและมีท่าน้ำไว้สำหรับอาบน้ำ ไตรทศให้จันนำทางไปโดยตนเองเป็นผู้ถือตะเกียงและจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้มิห่างกาย ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงมาถึงคลองที่ว่า 
รอบบริเวณเงียบสงัดไร้ผู้คนเพราะบริเวณนี้มิค่อยมีผู้ใดสัญจรผ่านมากนักในยามพลบค่ำ ไตรทศจัดการเปลื้องผ้าออกอย่างมิเขินอาย มือหนาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออกจนเผยให้เห็นอกแกร่ง ในส่วนของท่อนล่างนั้นหยิบผ้าโสร่งมาใส่ไว้ หันไปมองจันที่ยืนนิ่งและเสมองไปทางอื่น 
"ออเจ้ามิอาบพร้อมพี่หรือ"
"ข้ารออาบที่หลังจะดีกว่า"
"จะอายไปใย มากกว่านี้ก็เคยเห็น"
"พี่ไตร! ชักจะลามกไปใหญ่แล้ว"
"เป็นเมียก็อย่าดุผัวมากนักสิจัน" คนตัวโตยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ "มาเถิด พี่สัญญาว่าจะมิทำอันใดออเจ้า" 
"เชื่อได้รึ"
"พี่สัญญา"
มือหนากอบกุมเข้าที่มือของจันอย่างถือวิสาสะก่อนจะยกขึ้นพรมจูบลงบนหลังมือ ความหยาบกระด้างของฝ่ามือทำให้ไตรทศรู้ว่าจันทำงานหนักมิน้อย
"..."
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันขึ้นสี ดีที่แสงจากตะเกียงช่างน้อยนักไตรทศจึงมิสังเกตเห็น ความวาบไหวก่อเกิดภายในจิตใจ มันหวิวเหมือนดังมีผีเสื้อนับร้อยมาบินว่อนอยู่ภายในท้อง
เสื้อผ้าที่ราคามิได้แพงถูกถอดออกโดยฝีมือของเจ้าของ ปมโจงกระเบนถูกปลดออกผ้าที่เคยสวมใส่จึงหล่นลงไปกองที่ปลายเท้า ไตรทศมองนิ่งมิแสดงสีหน้าใดถึงแม้ภายในใจอยากจะจับอีกฝ่ายฟัดเสียให้จมเขี้ยว แต่เวลานี้คงมิเหมาะมิควรนัก หากตนจัดการเรื่องที่เรือนเสร็จเมื่อใด...เจ้าจันคงมิรอดเงื้อมมือไปได้เป็นแน่ 
 
"...อาบสิ"
เสียงเบาหวิวเรียกให้หลุดจากภวังค์ ไตรทศพยักหนาพร้อมกับจับมือของจันเดินลงบันไดท่าเรือสู่น้ำคลองเย็นยะเยือก ต่างฝ่ายต่างอาบและไตรทศเองก็มิได้ล่วงเกินจันดังเช่นที่สัญญาไว้

หลังอาบน้ำเสร็จจันบรรจงจัดเรียงที่นอน หมอนและผ้าห่มให้ไตรทศและตนเองก่อนจะค่อยๆนอนลงบนที่นอนของตนด้วยความระแวงเพราะกลัวว่าไตรทศจะทำอะไรแปลกๆ
ตาคงนอนอยู่ห้องติดกันหากทำการอุกอาจหรือพูดคุยเสียงดังอันใดขึ้นมาคงมิวายโดนจับได้ว่าเสียตัวให้อีกฝ่ายไปแล้วเป็นแน่ หันไปลอบมองไตรทศมิใส่เสื้อและนอนหงายโดยเอาแขนข้างหนึ่งขึ้นมานอนหนุนและหลับตาพริ้ม ด้วยความซนจันจึงคลานเข้าไปใกล้มองใบหน้าหล่อคมอย่างสนใจใคร่รู้   
สายตามองสำรวจใบหน้าที่ชอบทำคิ้วขมวดและตีหน้านิ่งตลอดเวลาจนบางทีจันยังนึกสงสัยว่ามิเหนื่อยบ้างหรือ ผิวสีคล้ำแดดเล็กน้อยมิสามารถกลบความดูดีของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังช่วยขับให้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นลอนได้ชัดขึ้น
หน้าท้องแกร่งขยับขึ้นลงเมื่อคนที่กำลังหลับหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดูด้วยความสงสัยจันจึงลองใช้นิ้วจิ้มลงบนลอนกล้าม ขณะที่ละสายตาและคิดจะกลับไปที่นอนตนชายหนุ่มกลับโดนแขนแกร่งของอีกฝ่ายรัดเอวไว้เสียก่อน
"อ่ะ!"
"คิดจะลวนลามพี่รึ? " ไตรทศลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังกอดเอวของจันไว้
"ม-มิใช่! " คนโดนจับได้รีบปฏิเสธทันควัน
"แล้วเมื่อครู่คือ? "
"ข้า...ข้าแค่สงสัย"
"สงสัยว่าอย่างไร?" แขนแกร่งยังมิยอมออกไปจากเอวคอดทั้งยังเพิ่มแรงกอดมากกว่าเดิม
"ข้าสงสัยการมีกล้ามหน้าท้องมันรู้สึกอย่างไร...ข้ามิเคยมี" พูดพร้อมกับก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตน
"แต่พี่ชอบออเจ้าที่เป็นแบบนี้มากกว่า" มิพูดเปล่ามือหนายังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อพร้อมกับลูบคลำหน้าท้องของอีกฝ่าย
"อย่าซนสิ!"
"หึ กล้าดุพี่รึ? "
"กล้าสิ เหตุใดจึงจะมิกล้า" คนในอ้อมกอดช่างดื้อรั้นกว่าที่ไตรทศคิดไว้มากมายนัก 
"จันหนอจัน" ร่างสูงวางคางลงลาดไหล่ที่แคบกว่าไหล่ตนมาก "พี่ชนะทุกอย่าง...แต่เห็นทีจะแพ้ก็แต่ออเจ้า" 
"ข-ข้าจะนอนแล้ว" พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายก็มิเป็นผล แรงของพ่อเรือนกับแม่เรือนช่างต่างกันนัก
"นอนกับพี่มิได้รึ?"
"ก็นอนด้วยแล้วนี่อย่างไรเล่า"
"หมายถึงนอนอยู่ข้างพี่ นอนให้พี่ได้กอดออเจ้าให้หายคิดถึง...ได้รึไม่? " เอาอีกแล้วหนา น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนนี่อีกแล้ว แต่เห็นทีจะใจอ่อนมิได้แล้ว
"ไม่-" 
"นะ...พี่ขอนอนกอดออเจ้าเถิดหนา"
"...อย่าซนก็แล้วกัน" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าจะมิได้มีแต่ไตรทศที่แพ้ให้จัน
เพราะจันเองก็แพ้ให้ไตรทศเช่นเดียวกัน
คืนนั้นภายในผ้าห่มผืนน้อยมีชายสองคนนอนกอดกัน อีกคนนอนหันหลังให้อีกฝ่ายตระกองกอดอย่างมิขัดขืน
ปลายคางของอีกไตรทศจรดลงบนกลุ่มผมดำขลับ วงแขนแกร่งโอบรอบลำตัวของเมียรักอย่างคิดคะนึงหา ยามห่างความคิดถึงยิ่งทวี ยามใกล้กลับรู้สึกเสพติดจนกลายเป็นขาดมิได้ พ่อเรือนแม่เรือนอาจจะฝืนระงับความใคร่จากกลิ่นเสน่หาของกันและกันได้...แต่จักฝืน 'คู่แห่งโชคชะตา' ที่ถูกกำหนดเอาไว้มิได้   


หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-10-2019 22:08:24
 :pig4: :pig4:ชอบบทกลอนของพี่ไตร
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-10-2019 23:32:34
จะขัดพ่อได้ยังไงน่ะ  :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-10-2019 00:15:25
อย่าดราม่าหนักมากนะ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-10-2019 04:40:53
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-10-2019 11:21:48
 :katai5:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 12-10-2019 11:27:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 12 (11/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 12-10-2019 11:54:34
ดราม่าไว้ก่อน พี่ไตรขอออดอ้อน น้องให้ชุ่มฉ่ำหัวใจก่อนนน  :-[
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 12-10-2019 22:41:57
บทที่ ๑๓

"มีเรื่องอันใดรึพระยาเกษม เหตุใดออเจ้าจึงส่งคนไปเชิญข้าถึงเรือน"
"ข้าอยากพูดคุยกับออเจ้าเรื่องหมั้นหมายของแม่พิกุลและไตรทศ" 
"อย่างไรก็ว่ามา"
"ช่วงนี้ลูกข้านั้นไปติดพันแม่เรือนเข้าทำให้ออกนอกลู่นอกทางนัก ข้าจึงอยากเร่งงานหมั้นหมาย ออเจ้าคิดเห็นอย่างไร" 
"แล้วไตรทศมีความเห็นว่าอย่างไร?" 
"ค้านหัวชนฝาท่าเดียว มิรู้ว่าโดนไอ้แม่เรือนนั่นปั่นหัวอย่างไร"
"ออเจ้าต้องใจเย็นเสียก่อน แม่เรือนก็อาจจะมิได้เลวรายเสมอไปดอกหนา"
"หึ ข้าคงเปลี่ยนความคิดได้ยาก"
ความหัวรั้นเชื่อแต่เพียงสิ่งที่ตนต้องการจะเชื่อนั้นคือข้อเสียข้อใหญ่ของพระยาเกษม มิมีมูลเหตุใดให้ชังเพียงแค่ฟังต่อๆเขามาจึงปักใจเชื่อ   
"ข้าเองก็มิอยากให้ลูกสาวต้องหมั้นหมายกับชายที่มิได้รักตนดอกหนา อย่างไรออเจ้าก็ควรเรียกไตรทศมาร่วมสนทนาด้วย"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้ามิขัด" ทั้งสองพยักหน้าให้กัน "ไอ้ทอง เอ็งไปตามไตรทศมาหาข้าซิ" เจ้าของเรือนหันไปบอกทาสหนุ่มคนสนิทที่นั่งอยู่มิไกลตนนัก 
"ขอรับ" มันรับคำสั่งก่อนจะเดินลงจากเรือนใหญ่
ทั้งสองพระยาพูดคุยกันต่อในเรื่องการว่าราชการที่ตัวพระนคร ช่วงนี้มีฟะรังคีมาทำการค้ากับชาวบ้านมากมายขุนหลวงจึงคิดจะตั้งพ่อค้าคนกลางขึ้นเพราะชาวบ้านเองมิสามารถสื่อสารกับฟะรังคีได้เหตุเพราะความต่างด้านภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกัน
พูดคุยได้มินานไอ้ทองจึงกลับมาด้วยท่าทีร้อนใจ 
"เอ่อ...คุณท่านขอรับ"
"แล้วไหนล่ะลูกข้า?"
"ท่านไตรทศมิอยู่ที่เรือนเล็กขอรับและไอ้มิ่งทาสคนสนิทเองก็มิอยู่ขอรับ"
เพล้ง!
ถ้วยน้ำชาในมือของพระยาเกษมถูกโยนลงบนพื้นเรือนจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปคนละทิศคนละทาง มือเหี่ยวย่นกำไม้หัวตะพดแน่นเพื่อระบายความกรุ่นโกรธ
พระยาจำรูญที่นั่งอยู่มิไกลได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเพราะตนนั้นรู้มาตั้งนานแล้วว่าเพื่อนวัยเด็กผู้นี้มีนิสัยหุนหันและใจร้อน 
"ไอ้ลูกไม่รักดี! " พูดเสียงดังกัมปนาท คุณหญิงนิ่มผู้เป็นภริยาที่นั่งร้อยมาลัยอยู่อีกฝั่งของเรือนรีบรุดเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงเหมือนของตกแตก 
"คุณพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?"
"ก็ลูกของออเจ้าน่ะสิ! มันหนีตามไอ้ไพร่ไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็มิรู้! "
"เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น นั่นก็ลูกของคุณพี่นะเจ้าคะ"
"หึ หากมันมิกลับเรือนข้ากับมันคงได้ตัดขาดกันเป็นแน่"
ใจคนเป็นแม่แทบสลายเมื่อท่านพระยาผู้เป็นสามีพูดดังนั้น ผู้ใดก็รู้ว่าพระยาเกษมเป็นผู้พูดจริงทำจริงมิเคยพูดเพื่อขู่ 
"ไอ้ทองพาคนไปตามหาเดี๋ยวนี้! "
"ขอรับ"
"มิต้องดอกขอรับ"
เสียงสุขุมดังขึ้นที่บันไดเรือน คนบนเรือนพากันหันไปมองดูจึงเห็นว่าผู้ที่เดินขึ้นมาคือไตรทศกับไอ้มิ่ง
พระยาเกษมใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกตนมิได้ไปไหนแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นว่าผู้เดินรั้งท้ายสุดคือแม่เรือนที่ลูกตนติดพัน 
"ออเจ้าพามันมาทำไม?"
สรรพนามมิเข้าหูทำให้จันแอบหน้าเสีย คราแรกก็มิอยากตามมาแต่ไตรทศกลับคะยั้นคะยอจนตนต้องยอมจำนน
"พามาคุยกันให้รู้เรื่องขอรับ"
"พ่อไตร.." นางนิ่มเรียกลูกเสียงเบาและส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามและปรามว่ามิควรทำเช่นนี้ 
"พ่อคุยกับพระยาจำรูญจนเสร็จสิ้นแล้ว ออเจ้าต้องหมั้นหมายกับแม่พิกุล"
จันเบนสายตาจากพระยาเกษมไปที่คนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนตั่งไม้สักมิไกลจากที่นั่งของพระยาเกษมมากนัก คนอีกผู้ดูใจเย็นและมีภูมิฐานมากกว่าพระยาเกษมอยู่มาก
"เช่นนั้นกระผมขอยกเลิก"
"มิได้! "
"ท่านลุงขอรับ หลานขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ หลานมิได้รักแม่พิกุลแลมองแม่พิกุลในฐานะน้องสาวเพียงเท่านั้น" พระยาจำรูญพยักหน้าเข้าใจเพราะเดิมทีตนก็มิคิดที่จะขายลูกสาวกินอยู่แล้ว 
"เจ้าคิดการอันใดอยู่ไตรทศ! นี่พ่อขอเจ้าหนา เหตุใดจึงมิยอมเชื่อฟังพ่อบ้าง"
"กระผมพยายามเป็นลูกที่ดีมาตลอดอาจขัดใจไปบ้างเรื่องรับงานราชการ แต่ขอเถอะขอรับ...ลูกขอในเรื่องนี้" 
มือใหญ่ที่กุมมือของจันกำลังสั่น ชายหนุ่มลอบมองหน้าไตรทศที่มิแสดงสีหน้าใดๆ มีเพียงสายตามุ่งมั่นที่มองไปยังผู้เป็นบิดา ถึงไตรทศจะแสดงออกว่าตนหัวรั้นเพียงใดแต่ข้างในแล้วเขาเป็นเพียงแค่ลูกชายของพ่อและแม่เพียงเท่านั้น
"คุณพี่ฟังลูกหน่อยนะเจ้าคะ" แม่นิ่มเดินเข้ามาจับแขนของสามีและลูบเพื่อให้คลายความโกรธลง
"ได้! ...ครานี้พ่อจะยอมให้ออเจ้ารับมันมาเป็นเมีย" คำพูดจากผู้เป็นบิดาทำเอาไตรทศใจชื้นขึ้นมา "แต่ในฐานะเมียรองเพียงเท่านั้น! "
ความเงียบกลืนกินไปทั่วบริเวณ ท่านพระยาเดินออกไปอย่างถือวิสาสะแม่นิ่มจึงขอโทษขอโพยต่อพระยาจำรูญที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอด มือของไตรทศที่กอบกุมมือของจันไว้ชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากการกอบกุมกันเป็นเวลานาน 
"กลับเรือนเล็กกันเถิด" จันมิตอบด้วยวาจาหากแต่พยักหน้ารับแทน 
"ประเดี๋ยวก่อนพ่อไตร" ในขณะที่กำลังจะลาผู้ใหญ่ พระยาจำรูญจึงเอ่ยทักขึ้นเสียก่อน
"ขอรับท่านลุง" 
"ลุงเอาใจช่วย" ไตรทศแทบจะมิเชื่อหูของตน
"ลุงเองก็เคยคิดจะอยู่กินกับแม่เรือนและโดนบิดามารดาขัดขวางเช่นออเจ้า ลุงเข้าใจความรู้สึกของออเจ้าดี"
 พระยาจำรูญพูดพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของไตรทศและออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจ เสมองมาที่จันที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ออเจ้าได้เมียที่ดีหนา" พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินกลับหลังออกไป จันเองก็มิเข้าใจว่าตนเป็นเมียที่ดีได้อย่างไรทั้งที่ยังมิได้ปริปากพูดสักคำ
เรือนเล็กบรรยากาศเงียบสงบ มีกลิ่นดอกจันทร์กระพ้อโชยไปทั่วเรือนทุกเพลา จันมองชานเรือนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่ภายในใจกลับนึกย้อนไปถึงวันที่ตนถูกไตรทศจับกดลงบนชานเรือนและทำแผลให้ 
"ใจลอยไปหาชายใดกัน" เสียงดังที่ข้างหูดึงสติมให้ฟื้นคืน
"จะบ้ารึ! " ใบหน้าหล่อแต่จิ้มลิ้มยู่ลงเมื่อได้ยินประโยคเอ่ยหยอกล้อ
"เป็นเมียพี่แล้วก็ต้องคิดถึงแต่พี่เข้าใจรึไม่?"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากมีผัว! ทุกคนต่างพูดกันไปเองว่าข้าเป็นเมียทั้งๆที่ข้ายังมิได้เต็มใจแม้แต่น้อย" 
"ชินเสียเถิด อย่างไรก็ต้องได้เป็นอยู่วันยังค่ำ" ทั้งสองเดินมาที่ห้องทำงานของไตรทศ
"เมียรองน่ะรึ" พูดโดยมิคิดอันใดแต่ไตรทศกลับคิดว่าเมียรักของตนน้อยใจ
"มานี่มา"
"เดี๋ยว-" ยังมิทันเอ่ยปฏิเสธได้ก็โดนคนมือไวดึงรั้งเอวคอดเข้าหาตัวและดึงให้นั่งลงบนตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหาไตรทศ "ปะ ปล่อยข้า! "
"อย่าดิ้น...ก้นของออเจ้ามันถูกับของพี่" เมื่อได้ยินดังนั้นคนบนตักหยุดดิ้นในทันที ทำเอาไตรทศกลั้นยิ้มกับความว่าง่ายเอาไว้มิอยู่ 
"..." คนบนตักนั่งนิ่งมิไหวติงทั้งยังมิเอ่ยวาจาอันใดออกมา
"ออเจ้าคิดมากเรื่องที่พ่อของพี่บอกว่าจะให้ออเจ้าเป็นเมียรองรึ? "
"...เปล่า"
"โธ่จัน.." คนขรึมลอบยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู "ในใจของพี่ออเจ้าเป็นที่หนึ่งเสมอมาและหากจะเป็นเมีย...ออเจ้าจักเป็นเมียเพียงหนึ่งของพี่"
"บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ามิอยากเป็นมะ- อื้อ! "
ในขณะที่กำลังจะเถียงว่าตนมิอยากเป็นเมียนั้น จันกลับโดนคนเจ้าเล่ห์ใช้มือจับท้ายทอยและโน้มให้ก้มลงประกบจูบอย่างมิทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองที่ปัดป่ายไปมาก็ถูกจับไว้ด้วยมือของไตรทศ
ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามายังโพรงปากที่กำลังพูดจ้ออย่างง่ายดาย กระหวัดลิ้มชิมรสหวานที่ตนคะนึงหาทุกเมื่อเชื่อวัน สัมผัสจุมพิตจากจันยังคงหวานมิเปลี่ยน หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าแลคงเป็นน้ำผึ้งที่ทำให้ผู้ที่ได้ลิ้มรสเสพติดเป็นแน่ 
"อื้อ!"
จันส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ สัมผัสอ่อนโยนจากจูบของไตรทศทำเอากายของชายหนุ่มแทบอ่อนระทวยไปกับสัมผัสที่นุ่มและเบาปานขนนก
"อึก..แฮ่ก..."
หอบหายใจแรงเมื่อไตรทศถอนจูบดูดวิญญาณนั้นออกไป จันหน้าขึ้นสีเมื่อเห็นว่ามีเส้นสีใสของน้ำลายในจังหวะที่ไตรทศผละออก
"...หวาน" คนพี่เลียริมฝีปากอย่างได้ใจ ส่วนจันนั้นแทบมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด
"คนฉวยโอกาส" ตีใบที่อกแกร่งแต่ไตรทศหาได้สะทกสะท้นไม่ กลับยิ้มชอบใจเสียอีก 
"ปากก่นด่าแต่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียวหนา" มือหนาบีบลงบนแก้มของคนบนตักที่กำลังขึ้นสีระเรื่อด้วยความมันเขี้ยว
"อื้อ อ่อยแอ้มอ้า! (ปล่อยแก้มข้า!) " 
"หากพี่มิปล่อยแล้วออเจ้าจะทำอย่างไร? "
"อี้แอ่ะ! (นี่แหนะ)" มือทั้งสองข้างของจันจับลงบนแก้มที่มิค่อยจะมิของไตรทศและออกแรงดึง 
"โอ๊ยๆ"
"ฮ่าๆๆ แบร่" คนบนตักหัวเราะชอบใจ แต่แล้วก็หยุดเมื่อโดนคนใต้ร่างส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มมาให้
มือทั้งสองยังมิยอมผละออกจากใบหน้าของกันและกัน สองสายตาสอดประสานอย่างโหยหา มิได้มีเพียงแต่ไตรทศที่โหยหาจัน...จันเองก็โหยหาไตรทศโดยที่มิรู้ตัวเช่นเดียวกัน
"พี่รักออเจ้า"
"ข้า..." คำบอกรักถูกกลืนหายไป จันยังมิแน่ใจในสถานะของตนเท่าใดนักทั้งยังลังเลว่าที่รู้สึกเขาเรียกว่ารักหรือไม่ 
"มิเป็นไร" หน้าไตรทศหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จันแอบใจเสียแต่ก็มิพูดอะไรต่อ
ทุกการกระทำของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง มันกำหมัดแน่นเมื่อเห็นการกระทำของทั้งสองเข้า ใจมันคิดอยากมาปลอบให้เจ้านายลืมๆแม่เรือนโสโครกไปเสียแต่นี่ท่านพระยากลับยอมให้มันมาอยู่ในฐานะเมียรอง มีหรือที่มันจะยอมสละตำแหน่งเมียรองง่ายๆ! 
จันลอบมองไตรทศที่กำลังตวัดพู่กันเขียนหมึกในมืออย่างใจเย็น ตัวอักษรยึกยือที่จันมิคุ้นนักถูกบรรจงเขียนลงไปบนกระดาษหนา
"สนใจรึ? " คนพี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้า 
"เขียนอะไรหรือ?"
"ตัวอักษรภาษาจีน"
"อย่างนั้นรึ" จันมองอย่างสนอกสนใจ "ข้าจักฝนหมึกให้"
เมื่อเห็นว่าหมึกที่ไตรทศใช้ใกล้หมดจึงอาสา ไตรทศยิ้มกับภาพตรงหน้า ชายหนุ่มค่อยๆฝนหมึกให้อย่างระมัดระวังมิให้เปื้อนมือตน 
"ออเจ้าจำที่พี่บอกได้หรือไม่?"
"อะไรหรือ? "
"ก็...หน้าที่ฝนหมึกคือหน้าที่ของเมียอย่างไรเล่า" เมื่อนึกขึ้นได้จันถึงกับหน้าขึ้นสีอีกรอบ เพราะคราแรกที่ตนอาสาฝนหมึกให้อีกฝ่ายไตรทศพูดเช่นนี้จริงและมันเองก็จำได้ขึ้นใจ
"...ข้าจำได้"
"ยามนี้คำพูดนั้นเป็นจริงแล้วหนา" ไตรทศยกยิ้มที่มุมปาก "ตอนนี้ออเจ้าเป็นเมียของพี่แล้ว"
จันเสมองไปทางอื่นและทำเป็นมิสนคำพูดของไตรทศ แต่หารู้ไม่ว่าใบหน้าและใบหูนั้นแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
"พี่จัน! " เสียงเล็กเรียกก่อนจะปรากฏเป็นกายของเด็กตัวป้อม จันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้ทิดว่ามีเหตุอันใด 
"ไฟไหม้กระท่อม! "
"ห่ะ!? " เสียงอุทานทำเอาไตรทศละความสนใจจากแผ่นกระดาษมาที่จัน
"เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ?"
"ข้าขอตัว! " มิทันจะได้รู้ความจันก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไปจนไตรทศเรียกตามมิทัน
จันรีบรุดวิ่งอย่างมิคิดชีวิตมาที่กระท่อม ชาวบ้านพากันยืมล้อมตีเป็นวงกว้าง จันรีบแหวกผู้คนเข้าไป ภาพกระท่อมที่โดนไฟไหม้ปรากฏสู่สายตา เศษไหม้จากหลังคาที่ทำจากใบหญ้าคาปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ที่พักเพียงหนึ่งเดียวถูกเพลิงมอดไหม้จนกลายเป็นจุล 
"ตา! ตาข้าอยู่ที่ใด! " หันไปถามชาวบ้านที่ยืนมุงแต่มิมีผู้ใดรู้ น้ำตาอุ่นๆ เริ่มคลอที่ขอบของดวงตา 
"ไอ้จัน!" เสียงไอ้มั่นเรียกดังขึ้น จันจึงหันไปตามเสียงเรียก
"ตา...ตาข้าล่ะไอ้มั่น!"
"ตาเอ็งไปหาหลวงตาที่โบสถ์จึงปลอดภัยดี" จันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดีที่ตามิเป็นอันใดไป 
"ใครคือผู้ทำเอ็งรู้รึไม่"
"ข้ามิรู้ แต่ว่ามันมีสิ่งนี้" ไอ้มั่นหยิบสิ่งที่มันเหน็บไว้ตรงโจงกะเบนออกมา จันจึงรับมาและเปิดดูข้อความด้านใน 

ดูเหมือนว่านายจ้างข้าจะมิชอบใจนักที่มึงมายุ่มย่ามกับท่านไตรทศ
หากยังรักชีวิตอยู่ล่ะก็ ภายในวันพรุ่งเอ็งจงไปตัดขาดกับท่านไตรทศเสีย
มิเช่นนั้นครั้งถัดไปสิ่งที่ถูกเผาเป็นรายต่อไปคือมึงและตาของมึงจำเอาไว้
นายข้าพูดจริงทำจริงมิใช่พูดเพื่อขู่

จันไล่สายตาอ่านและเนื้อความภายในกระดาษเขียนไว้เพียงเท่านี้ ลายมือเรียบร้อยเกินคาดคงเป็นผู้ที่ต้องเขียนหนังสือหนังหาบ่อยเป็นแน่
"มันเขียนว่าอย่างไรบ้างวะ?" ไอ้มั่นที่เรียนมิเท่าจันนั้นอ่านมิค่อยออกและจับใจความมิค่อยได้
"ขู่ว่าจะฆ่าข้าและตา"
"เกินไปแล้ว! "
"ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง"
"แล้วเอ็งจะทำอย่างไรวะ?"
"...ทำอย่างที่มันต้องการ" จันถอนหายใจ "ไอ้ทิด" ก่อนจะเอ่ยเรียกผีเด็กตัวป้อมอีกครา
"จ๋าพี่"
"เอ็งเห็นคนทำรึไม่?" ไอ้มั่นทำสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่ออยู่ดีๆเพื่อนของมันก็คุยกับความว่างเปล่า
"พวกมันปิดหน้าปิดตาจ้ะ แต่ละคนมีแต่คนตัวโตๆทั้งนั้น"
"มีคนใดคนนึงสักยันต์ห้าแถวรึไม่?"
"มีคนหนึ่งจ้ะพี่"
"ข้ารู้แล้วว่ามันคือผู้ใด" จันหันมาพูดกับไอ้มั่นที่ทำหน้าเหมือนคนกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง
"ค-ใครวะ?" 
"ไอ้เข้ม แต่มีผู้บงการมันและคนผู้นั้นก็เป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้"
"เอ่อ...เอ็งรู้ได้อย่างไร กุมารทองเอ็งบอกรึ?"
"เปล่า ไอ้เข้มมันมิรู้หนังสือ มันเขียนเองมิได้ดอก" ไอ้มั่นพยักหน้าและมองซ้ายมองขวาด้วยสายตาหวาดระแวง
"คิกๆ เพื่อนพี่ตลกจัง"
"น้องข้าชอบเอ็ง"
"บรึ๋ย เอ็งอย่าพูดสิวะ!" มันแหวเสียงดังพร้อมกับมองไปรอบตัว
หลังเพลิงสงบ ข้าวของเครื่องใช้มอดไหม้ไปกับกองเพลิงมิเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว จันและตาจึงต้องไปอาศัยนอนในวัดกับไอ้มั่นและพวกเด็กวัดคนอื่นๆไปก่อน

พระอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าเป็นสีทองในยามเช้าวันใหม่จันตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างที่มันต้องการ หากมิทำตาของตนต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
จันเชื่อว่ายังไงตนก็คงจะมิได้รักไตรทศแบบที่ไตรทศรักตนเพราะตนนั้นชอบพอแม่พิกุลมาตั้งแต่แรก ดีเสียอีกจะได้ตัดความสัมพันธ์นี้ไปด้วยเสียเลย เมื่อคิดได้ดังนั้นจันจึงรวบรวมความกล้าและเดินขึ้นไปบนเรือนเล็ก 
"เอ่อ...พี่นวลเห็นท่านไตรทศหรือไม่?" นางนวลที่กำลังจะเดินถือน้ำชาไปให้ไตรทศถึงกับชะงักเมื่อโดนเรียกไว้
"อยู่ที่ห้องทำงานจ้ะ ตามข้ามาสิ"
"ขอบใจจ้ะ"
จันเดินตามทาสสาวไป นางนวลเดินนำไปก่อน วางถ้วยชาและขนมลงบนโต๊ะของผู้เป็นนาย มันชำเลืองมองหากแต่ไตรทศมิได้สนใจแม้แต่น้อย
"พี่ไตร" เสียงเรียกของจันทำให้ไตรทศหันหน้าออกจากตำรายามามอง
"ออเจ้ามาแล้วหรือ" พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกห่างจากโต๊ะหนังสือมายังผู้มาเยือน "นางนวลเอ็งออกไปก่อน"
"เจ้าค่ะ" มันก้มหัวให้พร้อมกับเดินออกไป
"พี่ขอโทษด้วยที่มิได้ตามไป เพราะตอนที่ออเจ้าออกไปนั้นขุนไกรดันมาถึงท่าเรือพอดีพี่จึงต้องอยู่สนทนา"
"มิเป็นอันใด" จันหายใจเอาลมเอาปอดเพื่อเรียกความกล้า "คือ...ข้าอยากให้พี่เลิกยุ่งกับข้า"
บริเวณรอบข้างเงียบสงัดไปชั่วขณะ ไตรทศมิมีคำใดจะเอื้อยเอ่ย ภาวนาให้สิ่งที่ตนได้ยินเป็นเพียงแค่ลมที่พัดผ่าน
"...ออเจ้าว่าอย่างไรนะ?" ถามอีกคราเพื่อความแน่ใจ
"ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าข้ามิอยากมีผัว ข้าชอบพอแม่พิกุลและมิคิดที่จะเลิกชอบ" 
"แต่จัน...เจ้ามิรักพี่เลยหรือ" สายตาเว้าวอนถูกส่งมาให้ จันกัดริมฝีปากแน่นจนขึ้นเป็นรอยแดง
"ไม่..ข้ามิเคยรักและมิคิดจะรัก" ใจคนพี่แทบสลายเมื่อได้ฟังคำตัดขาดแบบมิมีชิ้นดี 
"แต่พี่รักออเจ้า...รักตั้งแต่คราแรกที่เห็น" มือหนาเอื้อมไปหมายจะกอบกุมมือของจันมาจับแต่กลับโดนจันเบี่ยงหนีและถอยออกห่าง 
"ข้าใช้ให้ออเจ้ามารักข้ารึ?"
สรรพนามที่ใช้ว่าเหินห่างแล้ว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของคนน้องนั้นช่างเหินห่างยิ่งกว่า 
"มิเคย...ออเจ้ามิเคยใช้ให้พี่ไปรักออเจ้า"
สายตาคมเสมองไปทางอื่น ทั้งเสียใจและไม่เข้าใจ เมื่อวานเหมือนจะผ่านไปได้ดีแต่เหตุไฉนวันนี้อีกฝ่ายจึงมาเปลี่ยนผันไป 
"รู้ไว้เสียด้วยว่าข้ารังเกียจยามถูกสัมผัส ที่ข้ายินยอมเป็นเพราะข้าอยู่ในฤดูหาคู่เพียงเท่านั้น มิได้เสน่หาออเจ้าแม้แต่น้อย" 
"เข้าใจแล้ว..."
สายตาของคนอายุมากกว่าดูหมองเศร้าลง จันกำมือแน่น มันมิง่ายเลยที่จะพูดในสิ่งที่ขัดกับใจตนเอง
"เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้เจอะเจอกันอีก! "
เมื่อพูดจบจันจึงเดินออกไป เหลือไว้เพียงความรู้สึกวูบโหวงภายในใจของคนพี่ ไตรทศกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน
คิดเสียว่าตนมิเคยพบเจอชายหนุ่มที่ชื่อจัน
คิดเสียว่าตนมิเคยหลงรักผู้ใดเป็นคราแรก
คิดเสียว่าครั้งหนึ่งตนมิเคยหลงไหลในกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อเลย...
แปะ
หยดน้ำตาร่วงรินลงบนแผ่นกระดาษที่ไตรทศกำลังเปิดอ่าน ชายผู้มิเคยเสียน้ำตากลับหลั่งน้ำตาเพราะคนเพียงผู้เดียว 'รักเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ' ไตรทศถามตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลทุกคราคำตอบที่ได้กลับมาคือ...รักมาก

ชายหนุ่มเดินออกมาจากเรือนโดยที่มิคิดจะทักไอ้มิ่งที่ยืนมองด้วยความงุนงงแม้แต่น้อย สาวเท้าไวๆเพราะอยากถึงวัดให้เร็วที่สุดแต่อยู่ๆ ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนต้องหยุดเดิน
จันก้มหน้ามองเท้าตนเองอย่างมิมีจุดหมาย มิรู้ว่ามองไปทำไมกัน ตอนนี้ควรจะรู้สึกสบายใจมิใช่หรือที่ตัดคนน่ารำคาญอย่างไตรทศออกไปได้ 
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบ่นหรือคอยด่ายามดื้อรั้น
มิมีอีกแล้วฝ่ามืออุ่นที่คอยลูบหัวจนผมยุ่ง
มิมีอีกแล้วอ้อมแขนแกร่งที่คอยกอดในวันที่อ่อนแอ
มิมีอีกแล้วผู้ที่คอยบอกรักได้ทุกเวลา...มิมีอีกแล้ว
"ฮึก จะร้องไห้ไปใย เอ็งชอบแม่พิกุลมิใช่รึ เอ็งควรดีใจสิวะไอ้จันที่เอ็งกำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้..."
ใจเจ้ากรรมกลับมิฟัง หยดน้ำตาหยดลงพื้นอย่างห้ามมิได้
"เอ็งมิได้รักเขา...ฮึก เอ็งมิได้รักเขาไอ้จัน" เช็ดน้ำตาด้วยมือลวกๆหากแต่มันก็มิยอมหยุดไหล
เกลียดเขามิใช่หรือ? ชังเขามิใช่หรือ?
แล้วเหตุใดจึงต้องร้องไห้เล่า...
ความคิดมากมายสับสนตีกันในหัวจนวุ่นวายไปหมด หรือแท้จริงแล้วน้ำตานั้นมาจากความดีใจงั้นหรือ ดีใจที่มิมีคนมาบ่นแล้ว ดีใจที่มิมีคนมาตอแยอีกแล้ว...แบบนั้นใช่รึไม่?...

หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-10-2019 23:00:14
 :pig4: :pig4:รอตอนหน้า
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-10-2019 23:07:56
อะอ่าว  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 13-10-2019 22:36:49
 :ling1: รอ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-10-2019 23:58:30
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-10-2019 09:51:53
ดราม่าซะงั้น
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 13 (12/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-10-2019 08:33:52
รวดเดียวจบ สงสารจันจิงๆ ต้องหาพ่อของจันให้เจอ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 25-10-2019 13:30:55
บทที่ ๑๔

“จัน เอ็งมิเป็นอะไรแน่หรือวะ?”
มั่นเอ่ยถามเพื่อนตนที่ทำหน้าเศร้า ตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากเรือนของไตรทศจันก็มิพูดมิจาเอาแต่นั่งเงียบ เหม่อลอย เหมือนสติมิอยู่กับเนื้อกับตัว
“ข้ามิได้เป็นอันใด”
ส่งยิ้มบางให้เพื่อนตน ไอ้มั่นลอบมองลอบสังเกตอยู่หลายครา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝ่าหอยเหตุไฉนมันจะมิรู้ว่าจันกำลังคิดมากเรื่องใดอยู่
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว” มั่นถอนหายใจก่อนจะหันไปกวาดลานวัดต่อ
“พี่จันจ๋า~”
เสียงเรียกเจื้อยแจ้วจากเจ้าเก่าเจ้าเดิมเรียกความสนใจของทั้งสองให้หันไป นางบุหงาเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิดจากจันที่สีหน้าเรียบนิ่ง
“ว่าอย่างไรบุหงา”
“ข้าคิดถึงพี่จันจ้ะ” นางบุหงาเดินตรงเข้าไปกอดจันโดยที่มิมีท่าทีเคอะเขินแต่อย่างใดเพราะมันชอบทำแบบนี้เป็นประจำ
“ให้มันน้อยๆหน่อยนางบุหงา เป็นแม่หญิงแต่ดันมิรักนวลสงวนตัวเสียเลย” ไอ้มั่นดุนางบุหงาด้วยความระอาแต่บุหงาก็หาได้ฟังไม่
“อิจฉาก็ว่ามาเถอะพี่มั่น”
“โอ๊ย ข้ามิอิจฉามันดอกแต่สงสารมันเสียมากกว่า ที่มีเอ็งมาเกาะแกะอย่างกับปลิง”
“พี่มั่น!” ว่ากันเสร็จก็ไล่ตีกันดังเดิม จันมองทั้งสองก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมา ความหน่วงภายในใจเริ่มหายไปบ้างแล้ว
“ข้ากลับกระท่อมก่อนนะพวกเอ็ง ไปดูเสียหน่อยว่าตาคุมชาวบ้านถึงไหนแล้ว”
จันและตาคงมิคิดที่จะอาศัยวัดตลอดไปจึงหากันเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันสร้างกระท่อมหลังใหม่
“เดี๋ยวสิพี่จัน ข้ายังมิหายคิดถึงพี่เลย” บุหงาทำท่าจะโดดใส่จันอีกทีแต่โดนมั่นจับตัวเอาไว้ก่อน
“กลับดีๆนะไอ้จัน”
“ปล่อยข้าสิพี่มั่น!” หญิงสาวดิ้นไปดิ้นมา แต่แรงของผู้หญิงตัวเล็กๆหรือจะสู้แรงของผู้ชายร่างกายบึกบึนเช่นไอ้มั่นได้
“เออ ข้ากลับละ” จันโบกมือลาก่อนจะเดินออกมาท่ามกลางเสียงโวยวายของบุหงาที่ไล่หลังมา ชายหนุ่มยิ้มขำอย่างเอือมระอา

แดดในยามเพลาชายช่างร้อนนัก แค่เดินมาได้มิไกลเหงื่อก็ท่วมตัว ชายหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าหล่อ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีพวกไอ้เข้มยืนอยู่สองถึงสามคน
“ไอ้เข้ม..”
“ว่าอย่างไรไอ้จัน ไปบอกเลิกผัวมึงมาแล้วรึ?” จันกัดฟันกรอด
“ข้ามิมีผัว!”
“เป็นเช่นนั้นรึ หึ...ข้าคิดว่าเอ็งได้เสียกับมันไปหลายรอบแล้วเสียอีก” มันเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือหยาบจับปลายคางให้เชิดขึ้น
“มันมิใช่กงการอะไรของมึง”
“ถ้ามิมีอันใดเกี่ยวข้องกับมัน มึงคงจะมิขัดหากกูจะปล้นเรือนมันแล้วฆ่าล้างโคตรมันทั้งเรือน! ฮ่าๆ”
“เอ็งหมายความว่าอย่างไร!”
“ก็หมายความตามที่พูดสิวะ เพราะมึงกับมันกูจึงต้องมุดหัวหลบซ่อนดังหมาจนตรอก ถึงยามที่กูจะเอาคืนบ้าง!” แรงบีบที่คางเพิ่มขึ้นจนจันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ไอ้เลว!” หมัดหนักๆถูกปล่อยออกมาแต่ไอ้เข้มกลับใช้มือรับไว้ได้
“ปากดีเช่นมึง รอดูความพังพินาศก็พอ!”
ปึก!
แรงกระทบอย่างรุนแรงที่ต้นคอแรงจนทำให้ความปวดหนึบเข้าเล่นงาน จันเสียการทรงตัวและสติเริ่มเลือนหายไปในที่สุด
“เราจะปล้นเรือนไอ้ไตรทศจริงหรือพี่เข้ม” หนึ่งในลูกน้องของไอ้เข้มเอ่ยถาม
“หน้าที่ของพวกเราที่อีคุณหญิงนั่นสั่งมีแค่ทำให้ไอ้จันกับไอ้ไตรทศตัดขาดกันแค่นั้นมิใช่รึ? ต่อจากนี้ข้าจะทำตามใจข้าบ้าง!”


ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน
“ไอ้เข้ม เอ็งอยู่ที่ใดวะ?” เสียงทาสสาวเรียกหาไอ้เข้มที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมกลางป่าลึกที่มันใช้พักอาศัยเวลาเข้าป่ามาล่าสัตว์
“ข้าอยู่นี่ มีอันใดก็ว่ามา”
“คุณหญิงท่านสั่งมาแล้วว่าให้เอ็งจัดการทำให้ไอ้จันกับท่านไตรทศแยกออกจากกันให้จงได้”
“แผนคือ?”
“เผากระท่อมมันและขู่มันเสีย หากทั้งสองคนแยกจากกันเมื่อใดเอ็งค่อยมาสะสางบัญชีแค้นกับไอ้จัน จะย่ำยีเช่นไรก็ทำข้าจักให้อัฐเพิ่ม”
“อัฐมางานจึงเดิน”
“เออๆ! ข้ารู้แล้ว” นางทาสหยิบเอาถุงอัฐที่เหน็บไว้ขอบผ้าถุงให้ไอ้เข้ม มันรับไว้และเปิดดูข้างในเพื่อตรวจนับ “สำเร็จเมื่อไหร่เตรียมรับส่วนที่เหลือได้เลย”
“ข้ามีเรื่องสงสัย” มันใช้มือถูปลายคางมองนางทาสอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“ว่าอย่างไรเล่า! ข้ามีเวลามิมากดอกหนา พวกไอ้มิ่งมันพากันตามหาเอ็งให้ขวัก ถ้ามันรู้ว่าข้าหายไปจากโรงครัวคงมิวายสงสัยข้า”
“คุณหญิงสั่งว่าให้แยกไอ้สองคนนั้นออกจากกัน แล้วที่ย่ำยีไอ้จันเล่าผู้ใดคือผู้สั่ง?”
“หึ ก็ข้านี่แหละ!” นางทาสยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจ
“เอ็งนี่ร้ายนักนะ”
“ช่วยมิได้ มันคิดจะมาแย่งตำแหน่งเมียรองไปจากข้าก็ต้องโดนเช่นนี้ ข้าสังเกตมันมาหลายคราแล้ว มันคงจะใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนท่านไตรทศเป็นแน่”
“อย่าลืมล่ะว่าข้าต้องได้อัฐจากเอ็งเพิ่ม”
“เออ ข้ามิลืมแน่”

“...อึก”
ความเจ็บแปลบที่หลังศีรษะทำเอาจันนิ่วหน้า ตาพร่าเลือนค่อยๆ ชัดขึ้นทีละนิด สอดส่องมองไปรอบบริเวณ แขนโดนจับไขว้หลังและถูกผูกติดกับเสาของกระท่อมหลังหนึ่ง
“ตื่นแล้วรึ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น จันเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด
“พี่นวล…” เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
“มิต้องมาเรียกกูว่าพี่! ไอ้แม่เรือนสกปรก!” จันมึนงงไปหมด ร่วมด้วยกับแผลที่ศีรษะที่ยังมิหายเจ็บ
“ทำไม...ทำไมจึงทำเช่นนี้?”
“กูจักบอกมึงให้เอาบุญ กูนึกเกลียดมึงตั้งแต่วันที่มึงเข้ามาขัดกูตอนที่กูกำลังจะได้เสียกับท่านไตรทศแล้ว! ไหนจะเรื่องที่มึงล่อลวงท่านไตรทศแล้วคิดจะแย่งตำแหน่งเมียรองไปจากกูอีก!”
เงินและอำนาจทำให้คนเราเกลียดกันได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ
“ข้ามิเคยคิดจะตกเป็นเมียของผู้ใด”
“ตอแหล! ใช้กลิ่นเสน่หายั่วยวนจนได้เสียกันยังจะกล้าพูด”
“ข้ามิเคยทำ..”
“กูเตือนมึงหลายทีแล้วนะไอ้จัน กูจ้างไอ้เข้มไปลอบทำร้ายมึงก็หลายคราแต่ท่านไตรทศกลับตามไปทันทุกครั้งไป มันทำไมกันวะ!”
“นี่แสดงว่าที่ไอ้เข้มมันเข้ามาทำเป็นหาเรื่องข้าตลอดคือฝีมือเอ็งงั้นรึ?”
จันเริ่มเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น นึกสงสัยหลายทีแล้วว่าทำไมไอ้เข้มจึงรู้ว่าตนออกจากเรือนไตรทศตอนใดหรือกลับกระท่อมตอนใด เหตุใดมันจึงดักทางได้ตลอดตอนนี้จันกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้ว
“ใช่! รู้ไว้เสียด้วย”
“แล้วเหตุใดจึงต้องทำกันถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องเผากระท่อมของข้า”
“หึ ตอนแรกก็มีแค่ข้าที่คิดกำจัดเอ็ง แต่ดูเหมือนว่าเอ็งจะไปสร้างศัตรูไว้อีก”
“ศัตรูงั้นรึ…” คิดย้อนกลับไป แต่หาได้มีผู้ใดไม่ จันล้วนประพฤติตนให้ดีตามคำสั่งสอนของหลวงตามาตลอด
“ดูเหมือนว่าท่านจะมีเรื่องขัดใจกับแม่ของเอ็งนะไอ้จัน เสียทีที่แม่เอ็งดันตายเสียก่อน ผู้ที่ต้องมารับกรรมแทนก็คือเอ็ง!” 
จันมิสามารถคิดให้ออกได้ว่าผู้ใดกันที่จะมีเรื่องบาดหมางกับมารดาของตน เพราะมารดาของจันก็เป็นแค่แม่เรือนที่ระหกระเหินออกมาจากเรือนของบิดาของจันที่เจ้าตัวมิเคยได้รู้จักชื่อและหน้าตา เหตุที่โดนขับไสไล่ส่งเพราะให้กำเนิดตนที่เป็นแม่เรือน
“นั่งรอความตายอยู่ในนี้ไปเสียเถอะ” พูดจบนางนวลจึงเดินออกไป ทิ้งจันไว้กับความเคลือบแคลงภายในใจและคำถามมากมายในหัว
“ข้าเสร็จงานของข้าแล้ว พวกเอ็งเฝ้ามันไว้ให้ดี” สั่งพวกลูกน้องของไอ้เข้มไว้ก่อนจะเดินออกมาหาไอ้เข้มที่กำลังนั่งเช็ดดาบยาวภายในมือ
“พอใจแล้วรึเอ็ง”
“ยัง ต้องรอให้ข้าขึ้นเป็นเมียท่านไตรทศเสียก่อนข้าถึงจะพอใจ” มันยิ้มอย่างได้ใจ หารู้ไม่ว่าไอ้เข้มมีแผนซ้อนแผน
“เออ ข้าจะรอดูวันที่เอ็งขึ้นเป็นเมียมัน”
รอยยิ้มสมใจเปื้อนใบหน้าไอ้คนเถื่อน ดาบที่มันเช็ดจะเป็นดาบที่ใช้ฟันร่างของไตรทศและพระยาเกษมผู้พ่อให้สาแก่ใจ หากมิได้เอาเลือดของทั้งสองมาล้างตีนมันคงจะนอนตายตามิหลับ
นางนวลรีบเดินกุลีกุจอกลับเข้าเรือนเล็กเพื่อมิให้ผู้ใดเกิดความสงสัย แต่หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาของไตรทศและไอ้มิ่งทาสหนุ่มคนสนิทที่คอยจับตามองมันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“เอ็งแน่ใจใช่หรือไม่ว่าเป็นมัน?”
“ขอรับคุณท่าน กระผมมั่นใจขอรับ ตามที่กระผมได้ส่งคนไปสืบมีคนเห็นมันยืนคุยกับไอ้เข้มที่กระท่อมในป่าขอรับ”
“อืม”
ตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มดั่งมีไฟโลกันต์กำลังแผดเผาไปทั่ว
ไตรทศร้อนใจอยากจะไปง้อจันใจจะขาดแต่เมื่อตรองดูแล้วจึงรู้ว่าการที่จันจะมาขอตัดขาดกับตนนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ การที่จันกระทำเช่นนั้นคงเพราะจำใจหรือมีผู้ใดบงการอยู่ และดูเหมือนว่าตนจะคิดถูกทุกประการ
“คุณท่านจะไปไหนหรือขอรับ” ไอ้มิ่งเอ่ยถามนายของมันที่อยู่ๆก็จะเดินลงเรือนไป
“ไปหาจัน” เมื่อความจริงกระจ่างก็มิมีเหตุใดที่จะต้องรีรออีกแล้ว คิดถึงเจ้าเนื้อเย็นใจจะขาด
“กระผมไปด้วยนะขอรับ” ไตรทศพยักหน้าแทนคำพูดตามประสาคนพูดน้อย
ครั้นจะให้เดินไปก็มิทันใจ ไตรทศและไอ้มิ่งจึงพากันมาที่คอกม้าเพื่อใช้เจ้าสีนิลม้าขนสีดำเมี่ยมคู่ใจของไตรทศเสียหน่อย
ม้าหนุ่มร่างกายสูงใหญ่และกำยำ เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นลูกม้าจนตอนนี้ตัวโตสูงใหญ่สมกับที่เป็นพระยาอาชาไนย
ไตรทศขี่ควบเจ้าสีนิลส่วนไอ้มิ่งขี่ควบเจ้าสีหมอกม้าคู่ใจของมันที่เกิดพร้อมกับเจ้าสีนิล ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงมาถึงบริเวณวัดที่มีไอ้มั่นกำลังกวาดลานวัดตามคำสั่งหลวงตาเป็นการทำโทษที่มันและนางบุหงาทะเลาะกัน
“ท่านมีธุระอันใดหรือ?” ไอ้มั่นเอ่ยถามเมื่อหันไปมองเห็นไตรทศบนหลังม้า
“ข้ามาหาจัน”
“มันกลับกระท่อมไปแล้วกระมัง” ไตรทศพยักหน้าก่อนจะควบม้าออกไป ไอ้มิ่งก็มิวายทำหน้าทำตาใส่ไอ้มั่นตามประสาหมากับแมว
ทางไปป่าช้าท้ายวัดมิไกลมากนัก ระหว่างทางไตรทศเห็นรอยเท้ามากมายบนพื้นดินแต่ก็มิได้สนใจเพราะตนกำลังรีบและอยากมารับเมียรักไปอยู่ด้วยใจจะขาด
เมื่อควบม้ามาถึงเรือนจึงเห็นตาคงที่กำลังยืนคุมคนงานที่กำลังพากันง่วนยกเสาไม้ลงหลุมที่ขุดไว้ ทั้งสองลงจากหลังม้าด้วยความฉงนใจ มองไปตามพื้นจึงเห็นรอยไหม้และเศษไม้ที่กลายเป็นเถ้าถ่าน
“เดี๋ยวกระผมไปคุยให้ขอรับ”
ไอ้มิ่งเดินเข้าไปหาตาคง พูดคุยไม่กี่คำตาคงจึงหันมามองไตรทศ ไตรทศมิรอช้ารีบเดินเข้าไปถามเองให้รู้ความ
“เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ?” เขาถามด้วยความสุภาพ
“กระท่อมของข้าถูกไฟไหม้น่ะสิขอรับ”
“แล้วรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
ตาคงส่ายหน้า แต่มิบอกไตรทศเองก็พอจะประติดประต่อเรื่องเองได้ เขามิใช่คนโง่ที่จะมิรู้เรื่องอันใดเลย
“จันไปไหนหรือ ข้ามาหาจัน” สายตาคมสอดส่องไปทั่วบริเวณแต่ก็เห็นเพียงชาวบ้าน
“มันบอกว่าจะเข้าวัดไปหาหลวงตาขอรับ”
“แต่นายมั่นบอกว่าจันกลับมาแล้ว”
“เอ สงสัยจะไปเที่ยวเล่นกระมัง ข้าก็ยังมิเห็นว่ามันกลับมาแล้ว” คำพูดของตาคงทำให้ไตรทศฉุกคิดถึงรอยเท้ามากมายบนพื้นในระหว่างทางมาที่นี่
“ไอ้มิ่ง! บอกทางไปกระท่อมมา!”
“ขอรับ”
ไตรทศรีบขึ้นขี่ม้าโดยมิรีรอ ควบม้าออกมาจากบริเวณนั้นจนตาคงนึกสงสัย ไตรทศรู้สึกแปลกตั้งแต่เห็นรอยเท้านั้น ถ้าให้เดาจันคงถูกจับตัวไปเป็นแน่ และผู้กระทำคงมิวายจะเป็นพวกไอ้เข้มเช่นเดิม หากตนไปช้าก็มิรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ม้าคู่ใจถูกผูกไว้ไกลจากตัวกระท่อมหลังเล็กพอสมควรเพราะมิอยากให้พวกนั้นรู้ถึงการมาถึงของตนและนายทาสคนสนิท
“เอ็งคอยดูต้นทาง หากข้าไปนานก็จงไปตามคนมาช่วย”
“ขอรับ”
ไอ้มิ่งรับคำผู้เป็นนาย มองตามแผ่นหลังไตรทศที่ค่อยๆเดินหายเข้าไปในพงหญ้าที่สูงแทบจะท่วมหัว มันหวั่นใจมิน้อย ถึงนายของมันนั้นจะเก่งกาจเพียงใดแต่ไอ้เข้มและพวกก็มิใช่ว่าจะจัดการลงได้ง่ายๆ
“พี่! พี่!” เรียกคนที่กำลังเฝ้าหน้าประตู
“เอ็งจะเรียกหาพระแสงอะไรนักหนาวะ!” มันเปิดประตูเข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ข้า...ข้าปวดฉี่ มิไหวแล้ว”
“ก็ฉี่ใส่โจงกระเบนไปสิวะ”
“พี่จะบ้ารึ ถึงข้าจักเป็นชายแต่ข้าก็อายเป็น นะพี่นะ...ปลดโซ่ให้ข้าทีนะ”
“เออๆ แล้วอย่าวุ่นวายนะเอ็ง มิเช่นนั้นโดนข้าฟันหัวแบะแน่” มันชูดาบในมือเป็นการขู่ จันพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ชายร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ วางดาบลงบนพื้นก่อนจะเอี้ยวตัวไปปลดโซ่ที่รัดมือของจันไว้ เมื่อหลุดจากพันธนาการจันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและทำทีท่าว่าง่ายให้อีกฝ่ายตายใจ ก่อนจะฉวยหยิบเอาดาบบนพื้นมาถือไว้
“เห้ย!”
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 25-10-2019 13:31:22
ปึก
ยังมิทันที่มันจะได้โวยวาย ชายหนุ่มใช้สันดาบฟาดลงที่หลังคออย่างแรงจนอีกฝ่ายสลบเหมือด ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร ถึงจะเป็นแม่เรือนก็หาใช่อ่อนแอไม่
ตึก ตึก
เสียงเดินที่หน้าประตูของกระท่อมดังขึ้น จันรีบหลบอยู่ข้างประตู สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมแรงและความกล้า
เสียงประตูถูกเปิดออก แขนทั้งสองง้างดาบขึ้นหวังจะฟัน หากแต่อีกฝ่ายกลับหลบได้ พร้อมกับรวบแขนทั้งสองของจันไว้ด้านหลัง ด้วยความรวดเร็วจึงมิทันเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด
“ปล่อยกู!” ดิ้นก็แล้วสะบัดก็แล้วแต่อีกฝ่ายก็มิได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ชู่ว...อย่าเสียงดัง เดี๋ยวพวกที่เหลือก็ตามเข้ามาดอก” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับไปมอง
“พี่ไตร…”
“พี่มาช่วยแล้วคนดี”
แขนทั้งสองถูกปล่อยจากการจับกุมก่อนจะเปลี่ยนเป็นถูกจับไหล่ให้หันเข้าหาอีกฝ่าย โดนคนเอาแต่ใจกอดจนใบหน้าซบกับอกอุ่นอย่างถือวิสาสะ
เสียงหัวใจของคนพี่เต้นรัวจนจันได้ยินอย่างชัดเจน มันเต้นรัวพอๆ กับใจของจันในยามนี้
“ข้ามิได้อยากให้มาช่วยเสียหน่อย”
“หึ ปากแข็งเช่นนี้น่าโดนหลายๆทีเสียให้เข็ด”
“พี่ไตร!” เสียงหัวเราะหึในลำคอดังขึ้น ถึงปากจะเอ่ยไปเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มก็ปฏิเสธมิได้ว่าตนอุ่นใจที่ผู้ที่เข้ามาคือไตรทศมิใช่ไอ้เข้ม
“พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด พี่เตรียมม้าไว้แล้ว”
จันพยักหน้า ทั้งสองเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ คิดว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกคนเถื่อนหากแต่คิดผิดเพราะเมื่อเดินลงมาจากกระท่อมก็โดนไอ้เข้มและพวกที่เหลือเข้ามาล้อมรอบไว้
“ดีเสียจริงที่ข้ามิต้องไปถึงเรือนเอ็ง เอ็งก็มาให้ข้าเชือดถึงที่นะไอ้ไตรทศ ฮ่าๆ!”
มันหัวเราะอย่างสะใจเมื่อคิดว่าตนจักได้ชำระบัญชีหนี้แค้นเสียที
“เสียใจด้วยที่วันนี้ผู้ที่จะถูกเชือดคือเอ็ง” ดาบที่เหน็บอยู่ที่เอวของไตรทศถูกชักออกจากฝัก พวกมันมีกันแค่สามคนคงมิใช่เรื่องยากที่จะฝ่าวงล้อมออกไป
“วันนี้คือวันตายของมึง!”
ไอ้เข้มพุ่งเข้าใส่หมายจะใช้ดาบที่มันนั่งเช็ดฟันเสียให้จมดาบแต่ไตรทศกลับหลบทันและใช้เข่ากระทุ้งเข้าที่ลิ้นปี่ไอ้เข้มจนมันเซและนิ่วหน้าด้วยความจุก
“อึก! มึง! พวกเอ็งรุมมันสิวะ มัวรออะไร!”
มันสั่งลูกน้องที่เหลือ จันยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า แต่มีหรือที่ตนจะมิทำการอันใด ชายหนุ่มเข้าไปขัดขวางพวกลูกน้องของไอ้เข้ม หนึ่งในพวกมันคิดจะต่อยจันเสียให้ฟันร่วงหากแต่เป็นจันที่ไวกว่า สวนหมัดเสยคางจนมันล้มลงไปนอนนิ่งกับพื้น ไตรทศมองภาพตรงหน้าและคิดในใจว่าตนจักเชื่อฟังและมิดื้อกับเมียเป็นแน่
“พวกไร้ประโยชน์!” เหลือเพียงไอ้เข้มและลูกน้องอีกหนึ่งคนเพียงเท่านั้น จันคิดจะจัดการลูกน้องส่วนไอ้เข้มให้ไตรทศจัดการ
ปึก!
แรงกระทบที่ท้ายทอยทำเอาจันเสียการทรงตัว ไอ้คนที่นอนสลบอยู่ในกระท่อมตื่นขึ้นมาและเข้ามาเล่นงานจันที่มิได้ระวังหลัง จันพยายามจะลุกขึ้นหากแต่ถูกเตะเข้าที่หน้าท้องเสียก่อน
“อึก!” ชายหนุ่มนอนกุมหน้าท้องด้วยความจุกและเจ็บ
“จัน!” ไตรทศหมายจะเข้าไปช่วยหากแต่โดนไอ้เข้มกันไว้เสียก่อน
“เหอะ เสร็จกูล่ะมึง” มันง้างดาบในมือหวังจะฟันไตรทศให้เลือดอาบ
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงไอ้มิ่งดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกไอ้เข้ม ไอ้มิ่งวิ่งเข้าใส่พวกของไอ้เข้มทันทีแต่มันมิได้มาผู้เดียว นายทาสยังไปตามพวกทาสหนุ่มในเรือนมาอีกด้วย มิเพียงแค่นั้น พระยาเกษมที่ได้ยินไอ้มิ่งเรียกพวกทาสภายในเรือนเข้าก็ดันตามมาด้วย
พวกของไอ้เข้มและตัวมันเองถูกพวกทาสกายกำยำที่พระยาเกษมเลี้ยงไว้รวบตัวมิเหลือแม้แต่ผู้เดียว ไอ้เข้มมองด้วยความคับแค้นใจเพราะมันเกือบจะสังหารไตรทศได้แล้ว
“จัน!” ไตรทศรีบรุดเข้าไปดูจันที่นอนกุมท้องอยู่บนพื้น ประคองร่างชายหนุ่มขึ้นอย่างเบามือ “อย่าเป็นอันใดไปนะจัน”
“เห็นข้าอ่อนแอเพียงนั้นเชียวหรือ” จันยิ้มให้ไตรทศประคองใบหน้าคนพี่ด้วยมือที่กำลังสั่นเทิ้ม เพราะเมื่อครู่ตนคิดว่าไอ้เข้มมันจะฟันไตรทศได้สำเร็จ
“ออเจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง” เสียงพระยาเกษมผู้พ่อดังขึ้น ไตรทศจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาหมองเศร้าที่ทำให้ผู้เป็นบิดาผิดหวัง
“ขออภัยขอรับ”
“เอาเถอะ อย่างไรก็ปลอดภัยแล้ว รีบกลับไปรักษาตัว”
ถึงพระยาเกษมจะมิชอบใจนักที่ไตรทศเอาชีวิตมาเสี่ยงเพียงเพื่อแม่เรือนผู้เดียว แต่ตนก็ยังมีความเป็นพ่ออยู่บ้าง มิใจร้ายถึงขั้นที่จะปล่อยให้ลูกตนตายเป็นแน่
ระหว่างที่สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่นั้น ไอ้เข้มได้ทีรีบสะบัดตัวออกและชักเอาดาบของทาสผู้หนึ่งออกมาหวังจะฟันหลังไตรทศเสียให้ขาด หากแต่จันกลับเห็นสียก่อน จึงกดไหล่ไตรทศให้นอนลงและขึ้นคร่อมเอาไว้เพื่อเอาตัวบัง
“อึก!”
เสียงดาบปะทะกับแผ่นหลังบางทำเอาไตรทศแทบขาดใจ
เลือดแดงฉานติดไปกับคมดาบก่อนจะหยดลงสู่พื้นดิน ร่างที่เล็กกว่าสั่นเทิ้มก่อนจะทิ้งตัวลงบนตัวของไตรทศที่กำลังสติหลุดกับเหตุการณ์ตรงหน้า สองแขนกอดร่างคนอายุน้อยกว่าไว้ในอ้อมแขน มือหนาสั่นมือสัมผัสถึงเลือดอุ่นที่เปื้อนติดมือ
“จัน...จัน!”
เสียงร้องอย่างตกใจของไตรทศดังขึ้นระคนปนกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจของไอ้เข้มที่ถึงแม้มันจะลงมือฆ่าไตรทศมิสำเร็จแต่มันก็สามารถพรากดวงใจของอีกฝ่ายไปได้
“อย่าทิ้งพี่ไป...” ไตรทศตระกองกอดจันไว้อย่างเบามือ
“พวกเอ็งเอาตัวมันไปส่งทางการเดี๋ยวนี้ ข้าจะจัดการกับมันเอง!”
พระยาเกษมสั่งพวกทาสทันที ตนมิเคยเห็นลูกชายเป็นเช่นนี้มาก่อน แค่นี้คงพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างได้แล้ว
“ไตรทศ เมียออเจ้ายังมิตายดอก รีบพากลับเรือนใหญ่จักได้รักษาทัน”
“ขอรับ”
ไตรทศรีบอุ้มคนเจ็บขึ้นก่อนจะพาขึ้นหลังม้าเพื่อกลับสู่เรือนใหญ่ ระหว่างทางจันหายใจรวยริน คนพี่ได้แต่เพียงภาวนาว่าให้จันอย่าเป็นอันใดไปเสียก่อน
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ไตรทศจึงรีบอุ้มจันขึ้นเรือนทันที แต่พบเข้ากับแม่พิกุลและพระยาจำรูญที่มารอพบพระยาเกษม
“ตายแล้ว! เกิดเหตุอันใดขึ้นเจ้าคะคุณพี่ไตร!”
พิกุลอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเลือดของจันเปื้อนเต็มเสื้อผ้าของไตรทศเต็มไปหมด
“จันโดนฟัน แม่พิกุลไปเตรียมผ้ากับน้ำสะอาดให้พี่ได้รึไม่?”
“เจ้าค่ะ” แม่หญิงรีบรุดเดินไปที่โรงครัวเพื่อหาน้ำสะอาด ไตรทศวางจันลงบนเตียงในห้องรับรองแขกในท่านอนคว่ำเพื่อมิให้กดทับแผล
“เป็นอย่างไรบ้างไตรทศ?” พระยาจำรูญเดินเข้ามาช่วยดูแล
“แผลมิลึกมากขอรับท่านลุง แต่เลือดยังไหลมิหยุด” ไตรทศมือสั่นจนทำอันใดมิถูก
“ใจเย็นเสียก่อนออเจ้า อย่าลนลาน ตั้งสติ” มิคิดมิฝันว่าคนที่ใจเย็นและสุขุมเช่นไตรทศต้องมีผู้มาคอยบอกให้ใจเย็น
“ขอรับ…” ไตรทศหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อของจันออกด้วยความเบามือ
แผ่นหลังขาวเนียนที่ไตรทศชอบนักหนาครานี้กลับมีรอยดาบเป็นทางยาวทั้งยังมีเลือดซึมออกมา หากเจ็บแทนได้ตนก็อยากจะเจ็บแทน
“น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่พิกุลเดินเข้ามาพร้อมกะละมังน้ำสะอาดและผ้าขาวบาง ไตรทศรับมาก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆและเช็ดรอบบาดแผลที่เป็นรอยยาว
“ออเจ้าต้องการตัวยาทำแผลรึไม่ ลุงจักไปเอามาให้” พระยาจำรูญเสนอตัวช่วย หากจะให้ไตรทศทำผู้เดียวคงมิเสร็จง่าย ตนเองที่พอจะมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรจึงมิอยากอยู่เฉยๆ
“รบกวนท่านลุงแล้วขอรับ” พระยาจำรูญและแม่พิกุลเดินออกไปเพื่อเอาตัวยาให้ห้องเก็บยาที่ไตรทศทำไว้ที่เรือนใหญ่
มือหนาจับผ้าขาวที่เริ่มเปลี่ยนสีในมือเช็ดรอบแผลจนสะอาด จันครางอือในลำคอเมื่อรู้สึกเจ็บที่แผล
ไตรทศรู้สึกเสียใจมิน้อยที่ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้จันต้องเจ็บตัว มันควรเป็นตนเสียด้วยซ้ำที่ต้องเป็นฝ่ายรับคมดาบนั้น
พระยาจำรูญเดินเข้ามาพร้อมกับตัวยาที่บดจนละเอียดและผ้าขาวสำหรับพันแผล ไตรทศยื่นมือไปรับยาที่ผู้ใหญ่ส่งให้
“ขอบพระคุณท่านลุงขอรับ”
“อืม รีบทำแผลเถิดก่อนจะติดเชื้อ” ไตรทศพยักหน้า ค่อยๆ หยิบเอาตัวยาบดละเอียดภายในถ้วยวางลงบนแผล จันสะดุ้งด้วยความแสบ
“ทนหน่อยหนา” พูดไปทำแผลไป ในใจนึกสงสารจันจับใจทั้งยังพร่ำซ้ำเติมตนเองว่าตนคือต้นเหตุที่ทำให้จันต้องเป็นเช่นนี้
เมื่อโปะสมุนไพรบดละเอียดจนทั่วแล้วจึงคลี่ผ้าขาวออกเพื่อที่จะพันแผลไว้ ตัวยาจะได้ทำงานดีขึ้นและแผลจะได้หายเร็วขึ้น
“เดี๋ยวน้องช่วยเจ้าค่ะ”
การพันแผลหากทำคนเดียวคงยากที่จะพันได้ แม่พิกุลจึงเสนอตัวช่วย ไตรทศค่อยๆประคองจันให้นั่งเพื่อพันผ้า ในขณะเดียวกันพระยาจำรูญที่มองอยู่มิห่างจึงเห็นรอยปานที่เอวของจันเข้า
“รอยปาน…”
“ปานเป็นสัญลักษณ์ของแม่เรือนขอรับ”
พระยาจำรูญพยักหน้า ตนนั้นรู้อยู่แล้วว่าจันเป็นแม่เรือนเพราะได้ยินตอนที่พระยาเกษมทะเลาะกับไตรทศเมื่อครั้งก่อน แต่สิ่งที่ตนติดใจคือปานรูปดอกจันทร์กระพ้อสีแดงนั่นต่างหากเล่า
“หากนายผู้นี้ฟื้น ลุงขอคุยกับเขาได้หรือไม่
“ขอรับ”

พระยาจำรูญและแม่พิกุลออกไปจากห้องแล้ว เหลือไว้เพียงไตรทศและจันภายในห้อง จันต้องนอนคว่ำหน้าตามเดิมเพื่อมิให้แผลกระทบกระเทือน
มือหนาจับมือของจันเอาไว้แน่น กดจูบลงบนฝ่ามือนั้นเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ปากก็พร่ำบอกว่าให้น้องหายเร็วๆและรีบกลับมาอยู่ด้วยกัน ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคุณหญิงนิ่มและพระยาเกษม
“ลูกรักเขาถึงเพียงนี้แล้วยังจะใจแข็งอยู่หรือเจ้าคะคุณพี่ ดูฤานายผู้นี้ก็รักลูกของเรา มิเช่นนั้นคงมิเอาตัวเข้ามารับคมดาบแทนเป็นแน่”
พระยาเกษมมิได้ตอบอันใด หากแต่ใจคนเป็นพ่อก็เริ่มยอมรับจันขึ้นมาบ้างแล้ว แม่เรือนก็มิได้แย่เสมอไป
สามวันต่อมา
“อึก”
จันที่เพิ่งรู้สึกตัวหลังจากสลบไปหลายวันคิดจะขยับร่างกายแต่กลับทำมิได้เพราะรู้สึกเจ็บและตึงที่บาดแผล ความเจ็บทำเอาน้ำตาแทบเล็ด
เมื่อลืมตาจึงเห็นว่าข้างเตียงไม้ที่ตนนอนอยู่มีร่างของไตรทศนั่งกุมมือตน เอาหน้าแนบกับที่นอนและหลับด้วยความอ่อนแรง
“พี่...ไตร…” เสียงพูดแหบแห้งและมือที่กำลังขยับทำให้ไตรทศรู้สึกตัวและตื่นจากนิทรา
“จัน! ออเจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ” จันยิ้มให้อ่อนๆ
“ข้าอยากกินน้ำ”
ไตรทศรีบหยิบเอาขันเงินใบเล็กที่ใส่น้ำวางไว้อยู่มิไกลมาป้อนให้ทันที เมื่อน้ำไหลลงคอจันจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“นี่พี่มิได้ดูแลตัวเองเลยรึ”
ไตรทศซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีหนวดขึ้นประปราย ดูแล้วก็สมกับเป็นคนอายุสามสิบดีเหมือนกัน จันมองใบหน้าของไตรทศอย่างพิจารณา
“มองพี่แบบนี้คิดถึงพี่รึ”
“อืม...คิดถึง” ไตรทศแทบอยากจะเข้าไปกอดจันให้จมอก หากแต่ทำมิได้เพราะอีกฝ่ายนั้นกำลังรักษาตัวอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่รึไม่?”
เสียงผู้มาใหม่ดังขึ้นดึงความสนใจของทั้งสองคนให้หันไปมอง พระยาเกษมที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาใกล้เพื่อดูอาการ
“มิเจ็บเท่าใดแล้วขอรับ” จันตอบพร้อมกับค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีไตรทศคอยช่วยพยุงมิห่างกาย
“อืมดี” จันมองอีกฝ่ายด้วยความยำเกรง เพราะตนยังมิลืมว่าท่านพระยาเกลียดตนเสียยิ่งกว่าอะไรดี “ลูกชายข้าจะได้มิเป็นหม้ายก่อนแต่ง”
วาจาที่ท่านพระยาเอ่ยออกมาทำเอาจันชะงักเพราะคิดว่าตนฟังผิดไป
“ท่านหมายถึง…”
“เฮ้อ ข้ายอมกับความอาจหาญของออเจ้าจริงๆและขอบน้ำใจออเจ้ามากที่เอาตัวเข้าไปรับดาบแทนลูกชายข้า”
“กระผมเต็มใจขอรับ”
“ระหว่างที่ออเจ้าหลับข้าและไตรทศได้หารือกันเรื่องนี้แล้ว เป็นอันว่าข้ายอมรับออเจ้าและยินดีหากออเจ้าจะมาเป็นเมียไตรทศ”
จันหันไปมองไตรทสที่นั่งก้มหน้าอมยิ้ม เมียงั้นรึ? ตนยังมิได้เต็มใจเสียหน่อย เหตุไฉนทุกคนถึงด่วนสรุปกันเองนัก
“แต่ว่า-”
“เดี๋ยวข้าจะคุยกับหลวงตาเรื่องวันแต่ง คงต้องรอออเจ้าหายดีเสียก่อน” มิทันที่จะได้เอ่ยปากขัดท่านพระยาก็พูดถึงเสียก่อน “ออเจ้าพักผ่อนเถิดจะได้หายเร็วๆ ข้าอยากอุ้มหลานเต็มแก่”
ยังมิทันได้ตบแต่งท่านพระยาก็คิดไปไกลถึงขั้นอุ้มหลาน ทำเอาจันอ้ำอึ้งและไปต่อมิเป็น มิรอให้ต่อความ พระยาเกษมเดินออกไปทันทีที่พูดจบปล่อยให้จันเคว้งคว้างอยู่กับไตรทศที่เอาแต่นั่งยิ้ม
“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?” จันหันไปถามไตรทศที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“พี่คุยกับเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่แล้ว พวกท่านเข้าใจและยอมรับ”
“ข้ารู้ แต่เรื่องแต่งงานเล่า ข้ายังมิตกลงเลยหนา” จันมุ่ยหน้าด้วยความหงุดหงิดเพราะที่เป็นอยู่ก็มิต่างกับการโดนคลุมถุงชน
“ออเจ้าได้พี่แล้วจะมิรับผิดชอบรึ” ส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจเสียจนจันใจอ่อนยวบ
“มิใช่เช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็จงมาเป็นเมียพี่”
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มร้าย จันทำหน้ายุ่งจนไตรทศนึกเอ็นดู ยื่นมือหนาเข้าไปประคองแก้มอีกฝ่ายไว้ก่อนจะลูบด้วยความรักใคร่
“พี่คิดว่าพี่จะเสียออเจ้าไปเสียแล้ว” สองสายตาสอดประสานกัน หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นมิเป็นจังหวะอีกครา
“ข้าเองก็เหมือนกัน” เพียงเสี้ยววิที่เห็นไอ้เข้มง้างดาบใจของจันแทบตกไปอยู่ใต้ตาตุ่ม ร่างกายขยับโดยมิรู้ตัว คิดแต่เพียงว่าอยากปกป้องชายผู้นี้
“อย่าหนีพี่ไปไหนอีกหนา...” จันพยักหน้ารับ “อยู่กับพี่ อย่าผลักไสพี่...ได้หรือไม่ออเจ้า”
สายตาเว้าวอนพร้อมกับมือที่ลูบบนแก้มช่างทำให้หัวใจดวงน้อยที่เหี่ยวเฉารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากนัก ความอุ่นวาบในอกทำเอาน้ำตาเม็ดเล็กกลิ้งหลุนๆลงบนแก้มเนียน
คนพี่ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาด้วยความเบามือ ถนอมแก้มเนียนดั่งถนอมกลีบดอกไม้มิให้ช้ำ
“ข้า…”
ไตรทศนิ่งเพื่อฟัง
“ข้ารักพี่”
ปลายคางมนถูกเชิดขึ้นเพื่อรับเอาจูบรสหอมหวานจากคนที่โตกว่า ทั้งสองหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสที่เฝ้าคะนึงหามาตลอดระยะเวลาที่จากกัน ถึงจะห่างกันเพียงมิกี่วันแต่กลับรู้สึกว่านานเป็นเดือน
ไตรทศจูบซับลงบนริมฝีปากสีกลีบกุหลาบด้วยความถนอมดั่งกลัวว่าคนน้องจักบอบช้ำ ลิ้นเรียวสอดเข้าไปภายในอย่างง่ายดายเมื่อจันเปิดทาง
ซึมซับเอาน้ำหวานอย่างมิรู้เบื่อ ยามถอดถอนจึงเห็นเจ้าน้ำหวานยืดเป็นสายเรียกรอยยิ้มจากคนพี่และเรียกใบหน้าแดงก่ำจากคนน้อง
“พี่ก็รักจัน”
จูบลงบนหน้าผากมนเพื่อตอกย้ำและสลักคำว่ารักให้ลึกมากกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-10-2019 15:03:00
จันตอบรักพี่ไตรแล้ว   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-10-2019 15:39:48
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2019 21:51:05
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2019 22:07:13
 :pig4:
55พี่เค้าทวงหาความรับผิดชอบนะน้องจัน
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-10-2019 23:13:14
ที่คุยจะเกี่ยวกับแม่เจ้าจันมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: [Y] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-10-2019 00:55:48
ไม่ดราม่าแล้วเนาะ
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 27-10-2019 16:20:47
ยอมรับว่ารักพี่เขาสักทีนะจัน  :-[
คนพี่ ก็ตีเนียนทวงความรับผิดชอบ หน้าตาเฉย 55555 
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 14 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 27-10-2019 21:57:42
 :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 02-11-2019 23:46:54
บทที่ ๑๕

   ภาพลูกชายคนเล็กของพระยาเกษมในวัยสามสิบปีที่กำลังนั่งจิบชาจีนอยู่ที่ชานเรือนพร้อมกับมีลมที่พัดโกรกให้ผมที่ถูกตัดสั้นสะบัดตามแรงลม หนวดที่ขึ้นเพราะเจ้าตัวมิได้ใส่ใจจะโกนมากนักยิ่งขับให้ใบหน้าที่คมเข้มดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีก
เป็นภาพที่ทำให้เหล่านางทาสพากันนั่งมองหน้ากันแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆกัน ในใจระริกระรี้อยากถวายตัวเป็นเมียใจจะขาดแต่พวกมันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเจ้านายผู้นี้รักเดียวใจเดียวเพียงใด
   นายจันผู้ที่ท่านไตรทศอุ้มขึ้นเรือนมาเมื่ออาทิตย์ก่อนคือคนที่สามารถกอบกุมหัวใจของท่านไตรทศผู้ด้านชาเอาไว้ได้ พวกมันจึงมิกล้าตีตนเสมอเทียบ เหตุเพราะในขณะที่นายจันนอนซมจากอาการบาดเจ็บมีนางทาสหลายคนพยายามเสนอหน้าไปออดอ้อนออเซาะหวังให้ไตรทศสนใจแต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาเย็นชาและใบหน้าที่นิ่งเฉย
   จันอาการดีขึ้นมาก รอยแผลยาวเริ่มสมานจนแทบจะปิดสนิท ไตรทศพยายามหาตัวยาที่จะทำให้บาดแผลหายโดยที่มิทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนแผ่นหลังเนียนสวย แต่ด้วยความฉกรรจ์ของบาดแผลจึงทำให้มิมีตัวยาตัวใดสามารถรักษาให้รอยแผลเป็นหายไปได้
   “คุณท่านขอรับ ท่านขุนไกรมาเข้าพบขอรับ”
ไอ้มิ่งเดินเข้ามาบอกนายของมันที่กำลังนั่งจิบชาเพื่อพักผ่อนร่างกายเพราะระหว่างที่จันรักษาตัวอยู่นั้นไตรทศมิเคยออกห่าง คอยเช็ดตัวและคอยป้อนข้าวป้อนน้ำจนจันบ่นอุบอิบว่าตนมิได้เจ็บที่แขน แต่ไตรทศหาได้สนใจไม่ 
   “ขุนไกรอยู่ที่ใด”
   “รออยู่ที่ศาลาใต้ต้นหว้าขอรับ” เมื่อได้ฟังดังนั้นไตรทศจึงลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าไปที่ศาลาใต้ต้นหว้าที่อยู่มิไกลจากตัวเรือนใหญ่ทันที เมื่อมาถึงจึงเห็นขุนไกรเพื่อนรักกำลังนั่งจิบชารอ
   “ว่าอย่างไรขุนไกร มาหาข้าในเวลาเช้าถึงเพียงนี้เอ็งคิดถึงข้ารึ?” ไตรทศเอ่ยถามด้วยท่าทีขี้เล่นตามประสาคนเป็นเพื่อนสนิทกัน
   “จะบ้ารึ! ข้าแค่มีข่าวดีจะมาแจ้งแก่เอ็ง”
   “ข่าวเรื่องใดเล่า”
   “งานแต่ง” คนตัวสูงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
   “งานแต่งของผู้ใดหรือ”
   “ของข้า”
   “ห่ะ ของเอ็ง!?”
   “เออ ของข้านี่แหละ เอ็งจะตกใจอะไรขนาดนั้นวะ” ขุนไกรตีสีหน้ายุ่งก่อนจะยกชาขึ้นจิบ
   “ข้าก็ตกใจที่มีคนกำราบเสือร้ายอย่างเอ็งได้สิวะ ไหนว่าชีวิตนี้จะไม่มีเมียมิใช่รึ แล้วนี่ไปแพ้ทางให้แม่หญิงทางใดเล่า”
ไตรทศพูดไปยิ้มไปเมื่อรู้ว่ามีคนสามารถกำราบเสือผู้หญิงอย่างขุนไกรได้ ชื่อเสียงของขุนไกรล่ำลือทางด้านนี้นัก
   “มันน่าตกใจนักรึ”
   “ใช่ ใครๆต่างก็เห็นว่าเอ็งเข้าออกร้านบำเรอชายเป็นว่าเล่น”
   “เอ็งก็ว่าไป ที่ข้าเข้าออกบ่อยๆเพราะ...” ท่านขุนเว้นช่วงให้เพื่อนของตนเดา “เพราะข้าเจอคนที่ถูกใจในร้านนั้นต่างหากเล่า”
   “แล้วสรุปว่าแม่หญิงนางนั้นคือผู้ใด”
   “มิใช่แม่หญิง”
   “บุรุษเพศรึ?” ไตรทศแปลกใจมิน้อยที่เพื่อนของตนหันมาชมชอบบุรุษเพศ เพราะที่ผ่านมาขุนไกรเองก็ชอบเพียงสตรีเพศมาตลอด
   “ใช่ เอ็งจำอาหลินได้รึไม่” ไตรทศทำหน้านึก แต่ขุนไกรก็พอเดาว่าไตรทศคงจำมิได้เพราะวันนั้นไรทศเอาแต่ร่ำสุราและเมาเหมือนหมา “ผู้ที่รำอยู่บนเวทีอย่างไรเล่า”
   เมื่อขุนไกรใบ้ให้ไตรทศจึงคิดออกในทันที คราแรกที่เจอกันที่ร้านขุนไกรเองก็มีท่าทีว่าชมชอบคนผู้นั้นมิน้อย
   “ข้าจำได้แล้ว”
   “ข้าจะแต่งงานกับอาหลินผู้นั้นแหละ”
   “ไปทำอีท่าไหน เหตุใดจึงได้แต่งงาน”
   “...ก็หลายท่า เช่นท่า-“
   “พอๆ ข้ามิอยากฟัง” ไตรทศรีบพูดตัดบททันทีเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักกำลังจะสาธยายสิ่งใดให้ตนฟัง
   “ฮ่าๆ เออ...มิฟังก็มิฟัง”  ขุนไกรหัวเราะชอบใจเมื่อตนสามารถแกล้งไตรทศได้สำเร็จ “แล้วเอ็งมีเรื่องจะปรึกษากับข้ารึไม่”
   “ก็พอมี”
   “ว่ามา”
   “เอ็งจำตอนที่จันโดนลอบทำร้ายหลายๆคราได้หรือไม่”
   “ข้าจำได้”
   “ทุกครั้งมีนางนวลทาสในเรือนข้าบงการอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้ข้ากำลังสอบสวนมันอยู่แต่มันก็มิยอมปริปากสักคำ”
   “ข้าว่ามันแปลกๆ”
   “ใช่ ยังมีผู้คอยสั่งการนางนวลอยู่อีกผู้หนึ่ง คนผู้นี้แหละคือคนที่ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันคือผู้ใด”
   “แล้วจันว่าอย่างไร”
   “จันบอกว่านางนวลมันเรียกคนผู้นี้ว่าคุณหญิงและคุณหญิงผู้นี้เคยมีปัญหากับแม่ของจันมาก่อนจึงมาลงที่ตน”
   “เช่นนั้นเราต้องรู้ให้ได้ว่าแม่ของจันมีที่ไปที่มาเช่นไร”
   “ข้อนี้ตอบยาก เพราะตัวจันนั้นกำพร้าแม่ตั้งแต่เจ้าความได้ จึงมิรู้ว่าผู้ใดคือพ่อของตน”
   “แล้วตาของจันมิรู้หรือ” ไตรทศส่ายหน้า
   “ที่ข้ารู้คือแม่ของจันทำงานเป็นทาสอยู่ที่เรือนของผู้ใดสักผู้ พอท้องและให้กำเนิดจันที่เป็นแม่เรือนจึงถูกขับไสไล่ส่งออกมาจากเรือนนั้น พอตาคงถามหาพ่อของเด็กก็มิยอมตอบ”
   “ข้าว่าเรื่องนี้มันชักจะซับซ้อนไปกันใหญ่”
   “ข้าอยากให้เอ็งช่วยสืบหาให้ข้าสักหน่อย เกี่ยวกับนางทาสที่ชื่อผ่อง”
   “ชื่อแม่ของจันรึ”
   “อืม”

   จันตื่นขึ้นมาในยามสาย แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบม่านตาในยามเช้าทำให้คนเจ็บตื่นจากนิทราและความฝันที่กำลังฝันดี ชายหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆห้องแต่ก็มิเห็นไตรทศ
   “ฮึบ” ชายหนุ่มบิดขี้เกียจ โยกแขนไปมาซ้ายขวาอย่างเบาแรงเพื่อมิให้กระทบกระเทือนแผลที่แผ่นหลัง
   “พี่จันจ๋า..” เสียงเล็กเรียกขึ้นจันจึงเงยหน้าขึ้นมอง เด็กชายตัวป้อมนั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง
   “มิต้องอยู่เฝ้ากระท่อมเป็นเพื่อนตารึ” เมื่อสองสามวันมานี้ไอ้ทิดมาเยี่ยมจันแทบทุกวันโดยมันให้เหตุผลว่าคิดถึงเพราะจันมิกลับเรือนนานแล้ว
   “ข้าเบื่อนี่จ้ะ มิมีพี่จันแล้วข้าเหงามากเลย” เด็กชายยู่ปากอย่างน่าเอ็นดู
   “โธ่ ไอ้จุกเอ้ย” ฉายานี้จันชอบเรียกเมื่อทิดทำตัวดื้อหรือออดอ้อน
   “ข้าชื่อทิดนะพี่!”
 เจ้าผีเด็กโวยวายเมื่อโดนเรียกด้วยชื่อที่ตนมิชอบใจนัก ทิดปรายตามองคนที่ตนเรียกว่าพี่ชายตั้งแต่จำความได้
คราแรกที่รับรู้ว่าจันโดนฟันเจ้าผีเด็กก็รีบหายตัวมาดูทันทีด้วยความเป็นห่วง ในคราแรกสภาพจันดูอ่อนแรกจนมันหวั่นใจเพราะกลัวว่าจันจะเป็นอันใดไป แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้ไตรทศเป็นผู้ดูแลจึงเบาใจขึ้นบ้าง
“พี่...เจ็บหรือไม่จ้ะ” ทิดนั่งทำหน้าเศร้า
“เจ็บสิ แต่ข้าเก่ง ข้าหายเจ็บแล้ว”
“ฮึก...” อยู่ๆเด็กชายก็เริ่มร้องไห้ จันตกใจมิน้อยเพราะตนมิเคยเห็นทิดร้องไห้มาก่อน
“ร้องทำไมไอ้ทิด?”
“ข้า...ฮึก ข้าเป็นห่วงพี่” มือป้อมยกขึ้นเช็ดน้ำตา
“โธ่...พี่หายแล้วอย่างไรเล่า”
“ทีแรก...ข้า ข้าคิดว่าพี่จะตาย ฮืออ..” ว่าแล้วก็ปล่อยโฮออกมาเสียยกใหญ่จนจันต้องหาทางปลอบ
“ข้าตายก็ดีมิใช่รึ เอ็งจะได้มีเพื่อนเล่นอย่างไรเล่า”
“ไม่เอา...ข้าอยากให้พี่จันใช้ชีวิตของพี่ มีความสุขกับคนที่พี่รัก แค่นี้ข้าก็สุขจนล้นแล้ว”
“ทิด...” ใจคนฟังอ่อนยวบ เจ้าผีเด็กตนนี้ถึงจะเป็นเด็กแต่ความคิดกลับเหมือนผู้ใหญ่ มิเอาแต่ใจและคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ
“ข้าอยู่กับพี่มาตั้งนาน ข้ารู้ดีว่าการที่พี่เป็นแม่เรือนมันเจ็บปวด...ฮึก ข้าเคยเห็นพี่แอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆตอนตามิอยู่ ข้า...ข้าสงสารพี่ ฮือ...”
เจ้าเด็กตัวป้อมยังร้องมิหยุด เมื่อจันได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับเข้าใจทันทีว่าเมื่อใดก็ตามที่จันแอบร้องไห้จนเสร็จไอ้ทิดก็จะออกมาเล่นมาคุยเจื้อยแจ้วด้วยตลอด คงเพราะอยากปลอบให้ตนหายจากความเศร้า
“เฮ้อ...เอ็งนี่หนอ เจ้าเด็กแสบ ข้ามิเป็นอันใดดอก ตอนนี้ข้าเองก็แข็งแรงดีแล้ว เอ็งอย่าห่วงไปเลยหนา”
“จ้ะ..” เด็กชายสุดน้ำมูกและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ “ทิดจะปกป้องพี่จันเอง จะมิให้ผู้ใดมาทำร้ายพี่จันแล้ว”
“ขอบใจเอ็งมากนะไอ้แสบ”
เด็กชายยิ้มยิงฟันให้จันเพื่อแสดงว่าตนเข้มแข็งและสามารถปกป้องจันได้ จันคิดในใจว่าเหตุใดเด็กน้อยที่นิสัยดีถึงเพียงนี้ถึงมิหมดห่วงและได้ไปเกิดเสียที
แอ๊ด..
เมื่อมีเสียงประตูไม้เปิดออกไอ้ทิดจึงโบกมือลาและส่งยิ้มให้จันก่อนจะหายตัวออกไปจากห้อง
“เป็นอย่างไรบ้างจ้ะพี่จัน” แม่พิกุลเปิดประตูเข้ามาเพื่อเอายาสำหรับกินหลังอาหารมาให้ “เดี๋ยวสำรับพวกป้าอิ่มจะยกตามมาทีหลังนะจ้ะ”
แม่หญิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่จันกลับมิมีปฏิกิริยาต่อรอยยิ้มหวานเชื่อมนั้น ปกติจันจะใจเต้นแรงและอ่อนระทวยทันที แต่ยามนี้กลับมิเป็นเช่นนั้นแล้ว
“ขอบใจจ้ะแม่พิกุล” ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวที่กำลังจัดเรียงยาลงบนโต๊ะข้างเตียง “ข้า...”
“ถ้าจะพูดเรื่องระหว่างพี่กับพี่ไตรล่ะก็ข้าอยากบอกว่าข้ารู้เรื่องนานแล้ว” แม่หญิงส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อให้จันคลายกังวล
“พี่ไตรทศคงจะชอบพอพี่จันเมื่อครั้งแรกเจอที่วัด ข้าเดาสายตาของพี่ไตรออก”
“เป็นเช่นนั้นรึ...” จันก้มหน้าเกาแก้มด้วยความเขินอาย
“พี่มิสงสัยหรือว่าเหตุใดท่านลุงเกษมถึงได้ยอมรับพี่”
“ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”
“คิกๆ ตอนที่พี่ไตรทศคุยกับท่านลุง ข้าล่ะอยากให้พี่อยู่ด้วยเสียจริง” แม่หญิงยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างอารมณ์ดี ผิดแปลกไปจากที่จันคาดไว้
“พี่ไตร...พูดว่าอย่างไรหรือ?”
“ก็...”

“เจ้าคุณพ่อขอรับ”
หลังจากที่ทำแผลให้จันเสร็จและเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้วไตรทศจึงเดินออกมาตามหาพระยาเกษม ตนจึงเห็นว่าผู้เป็นบิดากำลังนั่งจิบชาอยู่บนตั่งตรงชานเรือน
“ว่าอย่างไร”
“ลูกอยากให้เจ้าคุณพ่อพิจารณาอีกครา”
“เรื่องอันใดอีก แค่นี้ยังมิเดือดร้อนพอรึ?” สีหน้าตึงเครียดถูกส่งมาให้แต่ไตรทศก็มิหวั่นเกรง
“ลูกต้องการยกเลิกงานหมั้นระหว่างลูกและแม่พิกุล และลูกต้องการให้จันขึ้นเป็นเมียเพียงหนึ่งเดียวของลูกมิใช่เป็นเมียรอง”
คำพูดพร้อมสายตาหนักแน่นถูกส่งผ่านออกมาจากตัวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน พระยาเกษมวางถ้วยชาในมือลงก่อนจะเอ่ย
“พ่อขอเหตุผลหน่อยซิ ว่าเหตุใดแม่เรือนผู้นั้นถึงเป็นเมียรองมิได้”
“ลูกรักจันเพียงผู้เดียวมิคิดจะรักใครอื่นอีกแล้ว และลูกเชื่อว่าจันก็รักลูกเช่นเดียวกัน”
“ชีวิตคู่แค่รักมันมิพอดอกหนาไตรทศ” ท่านพระยาถอนหายใจ “ออเจ้ามิกลัวว่าชาวบ้านจะนินทาเอาหรือว่าเป็นถึงลูกท่านพระยาแต่กลับใฝ่ต่ำไปเอาแม่เรือนมาทำเมีย”
“ไม่ขอรับ คำพูดของผู้อื่นมิสำคัญเท่าความรู้สึกของจัน”
ลูกชายวัยสามสิบแสดงให้พระยาเกษมเห็นแล้วว่าตนนั้นได้โตขึ้นมากแล้ว ในความคิดของผู้เป็นพ่อยังมองว่าลูกตนอายุแค่สิบสามเสมอมา แต่ในยามนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้วทั้งสิ้น สิ่งที่มีเปลี่ยนก็คงเป็นความคิดของตนเองที่เอาแต่ปิดกั้นและมิเคยฟังลูกชาย
“เอาเถิด ออเจ้าอยากทำอันใดก็ทำ พ่อได้เห็นแล้วว่าแม่เรือนผู้นั้นรักออเจ้าด้วยใจที่แท้จริงมิได้หวังสบายแต่อย่างใด” ผู้เป็นบิดาวางมือลงบนกลุ่มผมสีดำของลูกชายก่อนจะเอ่ย
“ขอให้ออเจ้ามีความสุขมากๆหนา ไอ้ลูกพ่อ”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ”

“เรื่องก็มีเท่านี้แหละจ้ะพี่จัน”
“ขอบใจออเจ้ามากหนา ที่อุตส่าห์เล่าให้พี่ฟัง”
“เจ้าค่ะ” แม่หญิงยิ้มก่อนเดินหันหลังออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้จันได้พักผ่อน
ชายหนุ่มนั่งทบทวนกับตนเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตนพึ่งได้ยินมาเมื่อครู่ ความสุขใจเอ่อล้นเมื่อรู้ว่าไตรทศรักตนถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าคราแรกจะมิถูกชะตาแต่ดูเหมือนว่าไอ้จันผู้นี้ตกหลุมรักท่านไตรทศเข้าเสียแล้ว...และหลุมเองก็ลึกเสียด้วย
เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นอาหารที่โชยเข้ามาก่อนคน จันชะเง้อเพื่อมอง สิ่งแรกที่เห็นคือถาดไม้ที่ใช้รองชามข้าวต้ม สิ่งต่อมาคือใบหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘ผัว’ ของตน
คนพี่ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะเดินเอาถาดมาวางไว้ข้างยาต้มที่แม่พิกุลพึ่งเอามาวางไว้ก่อนหน้า
“ออเจ้ายังเพลียอยู่หรือไม่?” คำถามธรรมดาแต่จันกลับคิดว่ามันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
“หายแล้วจ้ะ...” มือหนาวางทาบทับลงบนหน้าผากมนในขณะที่จันยังมิทันได้ตั้งตัว
“อืม...ยังอุ่นๆอยู่เลยหนา”
ใบหน้าไตรทศเข้ามาใกล้จนจังหวะการหายใจของจันผิดปกติ ดวงใจเต้นเร็วขึ้นจนจันเองเกรงว่าไตรทศจะได้ยินเสียงของสิ่งที่อยู่ภายในอกข้างซ้าย
“แล้วป้าอิ่มล่ะพี่ไตร แม่พิกุลบอกข้าว่าป้าอิ่มจะเป็นผู้ยกสำรับมามิใช่หรือ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนแก้มที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ ไตรทศเองก็คิดไปว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไข้จึงมิได้สงสัยอันใด
“พี่ก็แค่อยากดูแลเมียของพี่บ้าง...มิได้หรือ?”
มือทั้งสองข้างถูกรวบและจับเอาไว้ด้วยมือของอีกฝ่ายที่ใหญ่กว่ามาก สายตาออดอ้อนปรากฏบนนัยน์ตาของคนพี่อีกครา
“ข้าเพียงแค่ถาม”
“พี่อยากดูแลออเจ้าด้วยตัวพี่เอง” มือข้างขวาถูกยกขึ้นจูบอย่างอ่อนโยน
“พี่ดูแลข้ามาตลอดมิใช่หรือ ดูสิหนวดก็มิโกน”
จันใช้มือจับปลายคางของไตรทศและหันไปมาเพื่อมองดูอย่างลืมตัว แต่ไตรทศก็มิได้ถือสาอันใด ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่เมียเป็นฝ่ายแตะต้องตัวเองก่อนบ้าง
“พี่มีหนวดแล้วมิหล่อรึ?”
“..” จันนิ่งเงียบ
“จันจ๋า ตอบพี่สิ พี่มิหล่อหรือ..” เพราะทนรอคำตอบมิไหวคนที่เคยใจเย็นดั่งน้ำฝนเช่นไตรทศถึงกับรบเร้าจะเอาคำตอบให้จงได้
“...หล่อจ้ะ” เจ้าตัวแสบยิ้มขำเมื่อเห็นว่าคนพี่ทำตัวเหมือนเด็ก
“ชื่นใจ มิเสียแรงที่ไว้หนวด อ่ะ-” ไตรทศเผลอพลั้งปากออกไปจึงรีบหันหน้ามองไปทางอื่น ทำเหมือนว่าเมื่อครู่ตนมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“เอ๊ะ...เมื่อครู่พี่ว่าอย่างไรหนา?”
“เปล่าจ้ะเปล่า กินข้าวต้มนี้หน่อยเถิดหนาจักได้กินยา ออเจ้าจะได้หายเร็วๆ พี่อยากกอดเสียเต็มแก่”
คนพี่รีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปยกถาดข้าวต้มมาวางลงบนตักแกร่ง จะบอกจันได้อย่างไรว่าตนเผลอไปได้ยินที่นางทาสพูดกันว่าผู้เป็นเมียย่อมชอบที่ผัวไว้หนวดเพราะมันจักทำให้ผัวดูหล่อแลคมเข้มขึ้น
ไตรทศยกช้อนข้าวต้มขึ้น เป่าเบาๆเพื่อไล่ความร้อนก่อนจะส่งเข้าปากจันที่นั่งอยู่บนเตียง เฝ้ามองคนน้องเคี้ยวข้าวด้วยใจผาสุก ยามแก้มกลมขยับตามแรงเคี้ยวดูแล้วเพลินตาพิลึก
“เป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากหรือไม่?”
“อร่อยจ้ะ แต่วันนี้รสแปลกไป”
“อย่างไรรึ?”
“เหมือนมิใช่ฝีมือป้าอิ่มเลย”
“หึๆ จะใช่ได้อย่างไรในเมื่อพี่ทำเอง”
“หา!?” จันแทบมิอยากจะเชื่อหูตนเอง คนอย่างไตรทศน่ะหรือจักทำอาหารเป็น
“ตกใจอะไรถึงเพียงนั้น หน้าตาตื่นเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเสียได้” ไตรทศยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะตักเข้าที่สองส่งเข้าปากของจันที่กำลังอ้าหวอด้วยความแปลกใจ
“อ้ออ้าอิดอ้าอี้อำอิเอ็น (ก็ข้าคิดว่าพี่ทำมิเป็น)”
เคี้ยวไปพูดไปจนฟังมิรู้ความ แก้มกลมที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆและดวงตากลมโตมองมาที่ไตรทศด้วยความสงสัยดูแล้วน่าเอ็นดูจนไตรทศแทบอยากจะกระโจนเข้าไปฟัดให้รู้แล้วรู้รอด
“ออเจ้าอ้วนขึ้นรึไม่..” คำถามทำเอาจันชะงัก รีบกลืนข้าวลงคอ
“ข้ามิได้อ้วน!”
“ดูทีฤา แก้มก็เริ่มออก พุงก็เริ่มมี” มิพูดเปล่าไตรทศยังเอื้อมมือไปยืดแก้มของจันด้วยความมันเขี้ยว
“พี่ไตร!” เจ้าแสบทำหน้ายุ่งจนไตรทศอดขำมิได้
“โอ๋ๆ ถึงออเจ้าจักอ้วนขึ้นพี่ก็รักแต่เพียงออเจ้าหนา” ไตรทศรีบยกข้าวต้มออกจากตักเพื่อง้อเมีย
“...” จันยังคงทำหน้ายุ่งมิเลิก ใครจะรู้สึกชอบใจกันยามที่มีคนมาทักเช่นนี้ ช่วงที่รักษาตัวจันได้ทำเพียงกินและนอนเท่านั้นจะมิให้อ้วนขึ้นได้อย่างไร
“โธ่จัน...มานี่มา”
คนพี่อ้าแขนออกกว้าง จันปรายตามองเล็กน้อยจนไตรทศหวั่นใจว่าเมียรักจะมิยอมเข้ามากอด แต่ผิดคาดที่จันกลับขยับเข้ามาใกล้และซบใบหน้าลงบนอกอุ่นอย่างออดอ้อน
เจ้าแมวน้อยแสนดื้อกลับกลายเป็นแมวน้อยขี้อ้อน จันในแบบนี้ทำเอาใจคนแก่ไหวสั่นอย่างบอกมิถูก ทั้งรักทั้งเอ็นดู นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ‘คนหลงเมียเด็ก’
“ห้ามทักเช่นนี้อีกข้ามิชอบ”
“เหตุใดจึงมิชอบเล่า”
“ก็ข้า...ข้าอยากหล่อ”
“แล้วอย่างไรอีก”
“ถ้าข้าอ้วนฉุแล้วหน้าตาเปลี่ยนไป...” จันเว้นวรรคคำพูดจนไตรทศต้องถามซ้ำ
“ทำไมหรือ?”
“ข้ากลัวว่าพี่จะมิชอบข้าแล้ว...”
“โธ่...” คนพี่หัวเราะในลำคอ “พี่มิเคยชอบออเจ้าแม้เพียงสักนิด” ใจคนฟังกระตุกเมื่อได้ยินดังนั้น อยู่ดีๆก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเสียได้
“...แล้วพี่จะบอกรักข้าทำไม” เจ้าแสบดิ้นพยายามจะออกจากอ้อมกอดแกร่งแต่ก็มิสามารถต้านแรงของไตรทสได้
“ฟังพี่ก่อนหนา” น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับมือที่ลูบลงบนกลุ่มผมทำเอาจันใจอ่อนยวบ “พี่จะบอกว่าพี่มิเคยชอบออเจ้า...เพราะว่าพี่รักออเจ้าตั้งแต่แรกเห็น”
“...งั้นรึ” จันก้มหน้างุด แนบหูลงบนอกฝั่งซ้ายเพื่อฟังจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวของไตรทศ ฟังแล้วเหมือนดั่งกับว่าสองดวงใจเต้นไปในจังหวะเดียวกัน
“ที่ผ่านมาพี่รักออเจ้าเพียงสองวันเท่านั้น”
“สองวัน? วันไหนบ้าง?” จันผละออกเพื่อมองหน้าคนพี่ที่กำลังนั่งอมยิ้มเมื่อแกล้งจันได้สำเร็จ
“วันคู่กับวันคี่อย่างไรเล่า” พูดจบริมฝีปากอุ่นก็จรดลงกลางหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ ใบหน้าเจ้าแสบขึ้นสีระเรื่ออีกคราส่วนใจดวงน้อยหรือก็เต้นมิเป็นส่ำ
“คนบ้า...” ปากน้อยๆมิวายบ่นอุบอิบตามหลัง
“บ้าอย่างไรก็ผัวออเจ้า”
“เหอะ”


หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-11-2019 03:00:24
หวังว่าจะได้รู้ตัวคนบงการไวๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-11-2019 08:16:00
มดขึ้นเต็มเรือนหวานซะเราเขินเลย o18 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-11-2019 09:17:43
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-11-2019 10:47:53
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-11-2019 11:46:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 15 (2/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-11-2019 22:01:00
เอ๊ะ!!  หรือทิดจะต้องเกิดเป็นลูกของจัน
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 08-11-2019 19:21:26
บทที่ ๑๖

   “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เจ้าของเรือนเล็กเอ่ยถามนายทาสคนสนิทที่กำลังยืนเฝ้าหน้าห้องในเรือนพักของพวกทาสในเรือน
   “นางนวลมันมิปริปากเลยขอรับคุณท่าน”
   “อืม” คนสุขุมเดินผ่านไอ้มิ่งเข้าไปภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมแคบๆ นางนวลนั่งอยู่กับพื้น ขาข้างซ้ายถูกล่ามด้วยโซ่ที่คล้องเข้ากับขาเตียง
   “ค-คุณท่านเจ้าขา ปล่อยนวลไปเถอะนะเจ้าคะ ฮึก...นวล นวลผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
นางทาสร้องห่มร้องไห้พร้อมกับรีบรุดเข้ามาใกล้ฝ่าเท้าของผู้เป็นนายหวังจะก้มกราบลงบนหลังเท้าแต่ไตรทศกลับขยับออกเสียก่อน ใบหน้าเรียบนิ่งมิได้แสดงความสงสารแม้แต่น้อย
“นวล...นวลจำใจทำเจ้าค่ะ นวลมิได้ตั้งใจ”
“แต่การที่เอ็งสั่งให้ไอ้เข้มเข้ามาทำร้ายเมียข้าถึงสองครั้งสองคราข้ารียกว่าตั้งใจ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากแต่แฝงไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นภายในอก หากนางนวลเป็นบุรุษเพศป่านนี้มันคงมิได้มีสภาพอยู่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้ดอก
“นวล...ฮึก นวลแค่อิจฉามันจ้าค่ะ นวลอิจฉาที่มันเป็นแค่แม่เรือนแต่กลับจะได้ขึ้นเป็นเมียรองของคุณท่าน” น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองของนางทาส เสียงสั่นเครือด้วยแรงสะอื้น
“เมื่อครู่...” นางนวลเงยหน้าขึ้นมองเพื่อเรียกความสงสารจากอีกฝ่าย “...มึงเรียกผู้ใดว่ามัน?”
หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสายตาที่แฝงไปด้วยความโกรธ ทั้งสรรพนามก็แปรเปลี่ยนไป ดั่งโดยสายตาของพญายามบาลจ้องมอง นางนวลสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย รีบรุดเข้าไปจับข้อเท้าของไตรทศ
“น-นวลขอโทษเจ้าค่ะ นวลแค่คิดว่าท่านไตรทศมิเหมาะกับแม่เรือนเช่นนายจัน ผู้ใดเขาก็รู้กันว่าแม่เรือนเป็นกาลกิณีโดยเฉพาะแม่เรือนที่เป็นบุรุษเพศ มิมีผู้ใดอย่างเลี้ยงไว้ดอกเจ้าค่ะ” ทั้งพูดทั้งสั่น นางนวลกอบกุมข้อเท้าของไตรทศไว้แน่นหวังให้ผู้เป็นนายคิดเหมือนดั่งที่ตนคิด
“แล้วคนแบบใดเล่าที่มึงคิดว่าเหมาะสมกับกู...คนอย่างมึงรึ?” นางนวลนั่งนิ่งมิกล้าปริปากตอบ “หากเป็นเช่นนั้นกูขอบวชตลอดชีวิตเสียยังจะดีกว่า”
คำพูดธรรมดาหากแต่เสียดแทงลึก นางนวลเก็บความเจ็บแค้นไว้ในอก น้ำตาไหลลงอาบสองแก้มด้วยความโกรธ
“หากมึงมิยอมให้คำตอบแก่ไอ้มิ่งมึงก็จงเตรียมตัวไปอยู่คุกของทางการได้เลย” ดั่งเสียงของผู้เป็นนายดังก้องบอกให้ไปลงนรก เพราะคุกของทางการนั้นมีแต่พวกโฉดชั่ว ทั้งยังมิมีผู้คุมตลอดเวลาทำให้พวกนักโทษสามารถทำการอันใดก็ได้ บ่อยครั้งที่มักมีการฆ่าแกงกันในคุกหรือนักโทษหญิงบางผู้ยังตั้งครรภ์ในคุกนั้นอีกด้วย
เมื่อไตรทศพูดจบจึงผละข้อเท้าออกจากการกอบกุมอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้หากแต่โดนนางนวลจับไว้อีกครา
“ค-คุณท่านเจ้าขา ฮือ...ปล่อยนวลไปเถิดเจ้าค่ะ แล้วนวลจะมิมายุ่งเกี่ยวอีกเลยเจ้าค่ะ นวลจะไปไกลๆไปอยู่ที่เมืองอื่นเลยเจ้าค่ะ”
“แล้วทีกับเมียข้าเหตุใดเอ็งจึงกล้าสั่งคนไปทำร้ายได้ลงคอ เอ็งมิสงสารจันบ้างรึ!”
ครานี้มิใช่การผละออกแบบแผ่วเบาอีกแล้ว ไตรทศสะบัดเท้าออกด้วยความโกรธ เขามิคิดจะใจร้ายกับสตรีเพศ พยายามพูดดีให้ได้มากที่สุด แต่การกระทำของนางนวลและคำพูดที่พูดถึงเมียรักอย่างเหยียดหยามทำให้คนที่ใจเย็นและสุขุมมาตลอดตบะแตกได้
ไตรทศเดินออกมาจากห้องด้วยความหัวเสีย ตนได้ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้นางนวลไปแล้ว หากมันมิปริปากก็คงมิวายส่งให้ผู้เป็นบิดาดำเนินการกับทางคุกและส่งตัวนางทาสไปเช่นเดียวกับที่ทำกับไอ้เข้มและพวก
ไอ้มิ่งมองตามผู้เป็นนายด้วยสายตาหวาดหวั่น มันมิเคยเห็นไตรทศมีอาการเช่นนี้มาก่อน ปกติไตรทศจะใจเย็นดั่งน้ำฝนหากแต่ครานี้อีกฝ่ายกลับดูเดือดพล่านดั่งน้ำร้อนในกระทะทองแดงมิมีผิด
“เฮ้อ...อากาศภายนอกมันสดชื่นถึงเพียงนี้เชียวรึ”
จันที่แผลสมานตัวและหายดีแล้วกำลังยืนเกาะระเบียงข้างต้นจันทร์กระพ้อของเรือนเล็กที่มิได้มาเหยียบเสียนานเพราะยามรักษาแผลต้องรักษาอยู่ที่เรือนใหญ่ที่มีห้องอบสมุนไพรทำให้สะดวกต่อการรักษามากกว่าเรือนเล็ก
สายตาซุกซนสอดส่องไปทั่วทั้งเรือน ข้าวของบนเรือนเช่นตั่งไม้ตัวใหญ่ที่ไตรทศชอบนั่งชมดอกจันทร์กระพ้อถูกยกไปไว้อีกตำแหน่ง แจกันใส่ดอกกล้วยไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปตั้งตรงมุมอื่น ทุกอย่างดูแปลกตาไปเสียหมด
ในขณะที่กำลังชมดอกไม้อย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น สายตาของจันจึงเหลือบไปเห็นไตรทศที่เดินขึ้นมาบนเรือนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จันนึกหวั่นใจเพราะไตรทศที่ยิ้มแย้มให้ตนอยู่เสมอกำลังทำหน้าบึ้งตึง ไตรทศนั่งลงบนตั่งไม้ตัวใหญ่โดยที่มิได้สังเกตเห็นจันที่ยืนอยู่อีกฝั่ง
ขาเรียวยาวสาวเท้าเดินเข้าไปหาพร้อมกับขันน้ำฝนลอยด้วยดอกมะลิที่ป้าอิ่มเตรียมไว้ให้ จันพึ่งสังเกตว่าไตรทศถือไม้ตะพดอยู่ในมือ ไม้ตะพดหัวกลมที่ตรงส่วนหัวทำจากเงินแท้เป็นไม้ตะพดที่นานๆทีจึงจะเห็นอีกฝ่ายถือ 
เมื่อสังเกตเห็นว่าเมียเดินเข้ามาหาไตรทศจึงยิ้มให้ ยิ่งสังเกตเห็นขันเงินในมือก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อคิดว่าจันกำลังทำหน้าที่เมีย
“ออเจ้าเอาน้ำมาให้พี่รึ?”
“ใช่ที่ไหนกัน ข้าจะดื่มเองต่างหาก”
“อ่าว...” ไตรทศหน้าเสียรีบหุบยิ้มทันที
“หึ ข้าพูดเล่น” จันส่งขันน้ำให้อีกฝ่าย ไตรทศจึงรับพร้อมกับยกขึ้นดื่ม “มีเรื่องอันใดให้คิดมากรึ เหตุใดพี่จึงทำหน้าเคร่งเครียดนัก” จันถามด้วยความเป็นห่วง
“มิมีอันใดดอก พี่เพียงแค่ไปว่าราชการกับเจ้าคุณพ่อมา”
จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ไตรทศเลือกที่จะโกหกไปเพราะมิอยากให้เมียรักของตนคิดมาก รู้อยู่ดอกว่ามันผิดศีลข้อมุสา แต่หากพูดปดแล้วจะทำให้จันสบายใจต่อให้บาปมากกว่านี้ตนก็ยอม “นั่งลงข้างพี่สิออเจ้า”
มือหนาตบปุลงบนที่ว่างของตั่งไม้ตัวใหญ่ จันนั่งลงอย่างมิอิดออด ไตรทศวางขันลงบนโต๊ะที่อยู่มิไกลก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักของจัน
“พี่ไตร!” เจ้าแสบเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆก็โดนคนตัวโตนอนตัก “ลุกออกไปเลยหนา อายพวกทาสเสียบ้าง!” 
พูดพร้อมกับมองไปรอบๆจึงเห็นว่าพวกทาสในเรือนกำลังพากันมองแล้วหันไปกระซิบกระซาบ
“อายพวกมันทำไมกัน ผู้ใดก็รู้ว่าออเจ้าเป็นเมียของพี่”
“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ข้ายังมิใช่เมียพี่เสียหน่อย!”
“ประเดี๋ยวก็ได้เป็นแล้ว”
ไตรทศยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ ยกมือของจันขึ้นมาก่อนจะกดจมูกลงไปสูดเอากลิ่นดอกมะลิที่ติดมือของจันเข้าปอดก่อนจะเอามือของจันวางลงบนอกตน หลับตานอนนิ่ง ลมที่พัดโกรกโชยเอากลิ่นดอกจันทร์กระพ้อเข้ามาในตัวเรือน
จันลอบมองใบหน้าของคนบนตัก ไตรทศหลับตานอนนิ่งมิไหวติง ถึงจะมิค่อยชอบที่ถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสแต่จันก็มิได้ลุกหนีเพราะรู้ว่าไตรทศคงเหนื่อยมามากแล้วในวันนี้
ลมที่พัดโชยเข้ามาในเรือนส่งผลให้ผมของไตรทศลู่ลงปรกหน้าผากจันจึงใช้นิ้วเรียวปัดผมสีดำขลับออกให้อย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าจะรบกวนการนอนของอีกฝ่าย
ใบหน้าของไตรทศเกลี้ยงเกลาดั่งเดิม หนวดที่เคยขึ้นถูกอีกฝ่ายโกนออกไปเสียหมดเพราะจันเคยพูดบ่นตอนที่ไตรทศเข้ามาหอมว่ามันคันและมิชอบ ถึงไตรทศจะพูดน้อยแต่การกระทำกลับชัดเจน สิ่งใดที่จันบอกว่ามิชอบก็ยอมเปลี่ยนและมิเคยขัด แล้วอย่างนี้จะมิให้ใจของจันไหวสั่นได้อย่างไร...

เพลาชาย
“ข้าได้ในสิ่งที่เอ็งต้องการแล้วหนา”
“ว่าอย่างไรบ้าง?”
“นางผ่อง...เคยเป็นทาสในเรือนของข้า”
“เอ็งว่ากระไรนะ!?”
“อย่าเอ็ดดังไปสิวะ” ขุนไกรรีบเอ่ยเตือนเพื่อนรักของตนที่กำลังเสียงดัง “ก็เป็นดั่งเช่นที่ข้าบอก นางผ่องเคยเป็นทาสในเรือนของข้า ข้าเองก็พอจำได้ลางๆเพราะตอนนั้นข้าแค่เก้าขวบ”
“แล้วเอ็งมีข้อมูลอื่นหรือไม่?”
“ก็พอมี” ขุนไกรเว้นช่วงไปก่อนพูดขึ้น “นางผ่องมิได้เป็นทาสแต่กำเนิดแต่ถูกพ่อของข้าช่วยเอาไว้ในตอนที่กำลังจะโดนพวกนักเลงในตลาดขืนใจ จึงขอมาอยู่รับใช้ นางผ่องเป็นแม่เรือนเอ็งก็คงจะรู้”
“อืม”
“ข้าคงต้องเข้าไปคุณกับเจ้าคุณพ่อก่อนจึงจะหาข้อสรุปเรื่องนี้ได้”
“แล้วเอ็งฟังเรื่องนี้มาจากที่ใด”
“แม่สายหยุด แม่นมของข้าเอง”
“ขอบใจเอ็งมากนะไอ้เกลอ
“แค่นี้มันมิเหนือบ่ากว่าแรงดอก”
หลังจากที่ขุนไกรกลับเรือนไปแล้ว ไตรทศจึงคิดทบทวนเรื่องนี้วนไปวนมาหลายครา พลันนึกขึ้นได้ว่าพระยาจำรูญผู้เป็นบิดาของแม่พิกุลเคยพูดเอาไว้ว่าหากจันหายดีแล้วมีเรื่องจะสนทนา

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 08-11-2019 19:21:51
วันต่อมา
จันที่กำลังนั่งอ่านตำรายาในห้องเก็บตำราอย่างเพลิดเพลินถูกเสียงเรียกจากหน้าประตูขัดจังหวะ เมื่อเปิดออกไปดูจึงเห็นว่าผู้ที่ยืนดูอยู่คือไอ้มิ่ง
“มีกระไรรึไอ้มิ่ง?”
“ท่านไตรทศให้ข้ามาตามเอ็งไปที่ท่าน้ำ เห็นท่านว่าจะพาเอ็งไปเรือนคุณพิกุลเขา” จันพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับคล้องกลอนประตูห้องตำราเอาไว้
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จึงเดินมาถึงท่าน้ำที่ไตรทศเคยมาใส่บาตรแทนผู้เป็นมารดา จันจ้องมองแผ่นหลังกว้างก่อนจะเอ่ยเรียก
“พี่ไตร...”
“มาแล้วหรือ” อีกฝ่ายที่ยืนใช้แขนไพล้หลังหันกลับมามอง เสี้ยวหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มบาง 
“พี่จะพาข้าไปเรือนแม่พิกุลรึ?”
“ใช่ พี่มีเรื่องจะคุยกับท่านลุงจำรูญเสียหน่อย” จันพยักหน้ารับเล็กน้อย “มาเถิด”
มือของจันถูกมือของไตรทศที่ใหญ่กว่าหลายเท่ากอบกุมเอาไว้ ไตรทศพาจันเดินลงเรือ ประคับประคองมิให้จันเสียหลักในขณะที่เรือเริ่มโคลง
ระหว่างทางไปเรือนพระยาจำรูญจันเห็นเด็กมากมายพากันโดดลงน้ำเล่นอย่างสบายใจ เด็กน้อยพากันหัวเราะชอบใจสาดน้ำใส่กันไปมา บางคราจันเองก็อยากกลับไปเป็นเด็กบ้างเพราะพอโตขึ้นแล้วความรับผิดชอบก็จะยิ่งมาก ไหนจะเรื่องออกเรือนที่ตนมิเคยคาดคิดอีก
“ออเจ้ามองเด็กเช่นนี้ ออเจ้าชอบเด็กรึ” ไตรทศที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเอ่ยถาม หากถามว่าชอบเด็กรึไม่ ก็คงชอบเฉพาะไอ้ทิดเพราะมันมิดื้อทั้งยังน่ารักน่าชัง
“...ชอบกระมัง” ร่างของชายหนุ่มถูกแขนแกร่งรวบเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ ขยับร่างจันให้ชิดใกล้ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหู
“หากออเจ้าชอบ...พี่ก็จะมีลูกกับออเจ้าหลายๆคน” ใบหน้าคนฟังขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งพวงแก้ม ดีที่ไตรทศมิได้เห็นหน้าของจันในยามนี้เพราะหากเป็นเช่นนั้นจันคงทำหน้าทำตามิถูกเป็นแน่ “ดีรึไม่?”
ไตรทศถามย้ำเพื่อความมั่นใจ จันส่ายหน้าไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนทำเอาไตรทศอดเอ็นดูมิได้ คนอายุมากกว่าจึงฉวยโอกาสก้มลงจูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับอย่างมันเขี้ยว ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของไอ้จงทาสที่ทำหน้าที่พายเรือ แต่พอจันเงยหน้าขึ้นมามองมันกลับทำเหมือนชมนกชมไม้
‘ดีมากไอ้จง’ ไตรทศเอ่ยชมทาสคนสนิทผ่านทางสายตา
มินานก็มาถึงท่าเรือของพระยาจำรูญ พวกทาสที่อยู่ใกล้ๆรีบรุดเข้ามาทำการต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี ทาสหลายคนพากันก้มหน้าก้มตาเพราะมิกล้ามองหน้าจันเนื่องจากเหตุการณ์แต่ครั้งก่อนที่จันโดนคุณหญิงจำปาเล่นงาน
ทั้งสองเดินขึ้นมาบนเรือนหลักโดยให้ไอ้จงรออยู่ข้างล่างเพราะเรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องส่วนตัว
“อ้าวพ่อไตร มีการอันใดรึออเจ้า?” พระยาจำรูญที่กำลังนั่งเขียนเอกสารอยู่ในห้องหนังสือเอ่ยถามในขณะที่เห็นไตรทศและจันกำลังเดินเข้ามาหา
“กระผมอยากมาคุยกับท่านลุงเรื่องจันขอรับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไตรทศด้วยความสงสัย ไตรทศมิปล่อยให้จันสงสัยนานนัก “เรื่องเกี่ยวกับจันที่ท่านลุงบอก”
“ลุงจำได้แล้ว” ท่านพระยาส่งยิ้มให้จันที่นั่งทำหน้างงงวยอยู่มิไกล “ก็ตำแหน่งของปานมันคล้ายกับคนผู้หนึ่ง ลุงจึงอยากเห็นให้ชัดทั้งปาน เพราะคราที่นายจันบาดเจ็บนั้นลุงเห็นเพียงเสี้ยวเดียว”
“ขอรับ” ไตรทศตอบรับ
“ทีแรกลุงอยากดูเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่ามันมิใช่เวลาอันควร”
“จัน” ชายหนุ่มหันไปหาไตรทศเมื่อถูกเรียกชื่อ “พี่มีเรื่องจะคุยกับท่านลุงเสียหน่อย ออเจ้าออกไปสักครู่ได้หรือไม่”
“ได้จ้ะ” จันตอบรับอย่างว่าง่ายเพราะตนเองก็มิใส่พวกสู่รู้อยู่แล้วจึงมิมีอันใดให้ต้องแคลงใจ
เมื่อจันออกไปไตรทศจึงกลับมาสนใจพระยาจำรูญที่กำลังทำหน้าสงสัยต่อ
“ว่ากระไรพ่อไตร ลุงรู้ว่าคงเป็นเรื่องของนายจันเป็นแน่” ไตรทศพยักหน้าเป็นเชิงว่าพระยาจำรูญเข้าใจถูกแล้ว
“ท่านลุงคงจะยังมิรู้สาเหตุที่จันถูกลอบทำร้าย เช่นนั้นกระผมจะเล่าให้ฟังขอรับ”
พระยาจำรูญตั้งใจฟังที่ไตรทศเล่า มีหลายคราที่แอบเห็นใจลูกชายของเพื่อนรักเพราะต้องทนเห็นผู้ที่ตนรักเจ็บหนักหลายครา ทั้งยังมีคราที่ปางตายอีกด้วย
“ออเจ้าว่าแม่ของนายจันไปมีเรื่องกับคุณหญิงผู้หนึ่งเช่นนั้นรึ?”
“ขอรับ” ท่านพระยาเริ่มตงิดในใจ
“แล้ว...แม่ของนายจันมีชื่อว่าอย่างไร?”
“ชื่อผ่องขอรับ“
“ผ่อง...งั้นรึ?”
“ขอรั-“ 
“โอ๊ย! ปล่อยข้า!” ยังพูดมิทันจบเสียงดังจากนอกห้องก็ดึงความสนใจของคนทั้งสอง ไตรทศจำได้แม่นว่าเสียงนั้นคือเสียงของจัน
ไตรทศรีบลุกขึ้นและวิ่งออกมาดูด้วยความร้อนใจ ภาพจันถูกคุณหญิงจำปาผู้ซึ่งเป็นเมียรองของพระยาจำรูญดึงรั้งผมขึ้นจนต้องแหงนหน้าทำเอาไตรทศใจหล่นวูบ 
“คุณหญิงป้า! หยุดนะขอรับ!”
“พ่อไตร! ออเจ้ากล้าดียังไงเอามันมาขึ้นเรือนหลัก! มิรู้รึว่ากาลกิณีมันจะติด”
ยิ่งพูดแรงดึงยิ่งมาก จันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ใจอยากจะสะบัดออกให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวว่าไตรทศจะมีปัญหาตามมาทีหลังจึงยอมโดนดึงผมอยู่อย่างนั้น
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงพูดดังก้องเรือนของพระยาจำรูญทำให้ผู้คนบนเรือนชะงักรวมถึงคุณหญิงจำปาด้วย
“คุณพี่อนุญาตให้พ่อไตรพามันขึ้นเรือนได้อย่างไรเจ้าคะ!”
“แล้วออเจ้ามิสิทธิ์อันใดไปทำร้ายเขา เขาเป็นแขกของพี่ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” ท่านพระยามองด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่คุณหญิงจำปาหาได้สนใจไม่
“คุณพี่ปกป้องมันรึ”
“อ่ะ...โอ๊ย” แรงกระชากผมทำเอาจันน้ำตาเล็ด
“จำปา! ข้าบอกให้หยุด!”
“คุณพี่จะปกป้องมันทำไมเจ้าคะ!”
“เพราะจันเป็นลูกของข้า ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” คุณหญิงจำปานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พวกทาสในเรือนพากันเงียบ ทั้งไตรทศและจันแทบจะมิเชื่อหูตนเอง
“ล-ลูกงั้นรึ? อย่าบอกนะว่าคุณพี่...เห็นปานของมันแล้ว” มือที่อ่อนแรงลงส่งผลให้จันหลุดออกจากการดึงรั้งเส้นผม
“ใช่ คราแรกข้ามิแน่ใจ แต่การที่แม่ของจันชื่อผ่องมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว”
“คุณพี่จะไปรู้อะไร มันอาจจะเป็นลูกผู้อื่นก็ย่อมได้ พวกแม่เรือนมันก็มักมากในกามไปทั่ว!”
“แม่จำปา...” เสียงท่านพระยาถูกกดให้ทุ้มต่ำเป็นการขู่
“ทำไมเจ้าคะ! อิฉันจะพูดถึงมันมิได้เลยรึ รักมันมากหรือเจ้าคะ!”
“ใช่!” จันและไตรทศนิ่งอึ้งเพราะกำลังสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า
“คุณพี่โดนมันยั่วยวนด้วยกลิ่นเสน่หาใช่หรือไม่เจ้าคะ วันนั้นคุณพี่มิได้ตั้งใจจะมีอะไรกับมันจนมันท้อง คุณพี่เพียงแค่หลงมันเพราะกลิ่นเสน่หาใช่ไหมเจ้าคะ!?”
“มิใช่ ทุกอย่างข้าตั้งใจและแม่ผ่องเองก็มิได้อยู่ในฤดูหาคู่ จะมีกลิ่นเสน่หาได้อย่างไร”
“ไม่! ไม่จริง!” คุณหญิงจำปาแผดเสียงดังจนแสบแก้วหู “มันเป็นแค่ทาสจะมาเหนือกว่าอิฉันได้อย่างไร! มันมีดีกว่าอิฉันตรงไหนกันเจ้าคะ!”
“ทุกตรง” คุณหญิงสะอึกเมื่อโดนตอบกลับเช่นนั้น ความคับแค้นใจในอดีตพลันตีตื้นขึ้นมาเสียจนจุกอก
“หึ หากมันรักคุณพี่จริงเหตุใดมันจึงหอบลูกหนีไปล่ะเจ้าคะ”
“ข้อนั้นข้ามิรู้”
“ท่านอา...” เสียงเรียกจากด้านหลังที่ดังขึ้นทำให้คุณหญิงจำปาละความสนใจจากพระยาจำรูญ
ขุนไกรเดินขึ้นเรือนของพระยาจำรูญมาพร้อมกับไอ้มิ่งและนางนวลที่กำลังโดนคุมตัว
“นางนวลมันสารภาพแล้วขอรับคุณท่าน” ไอ้มิ่งเอ่ยบอกผู้เป็นนาย
“นี่มันอะไรกัน!”
“นวล...นวลขอโทษเจ้าค่ะคุณหญิง ฮือ..” นางนวลร้องห่มร้องไห้เมื่อจำใจต้องสารภาพเพราะมันเองก็รักตัวกลัวตาย
“อีนวล! กูอุตส่าห์ฝากฝังมึงไปเป็นทาสที่เรือนนั้นทำให้มึงได้มีชีวิตสุขสบาย แต่มึงกลับทรยศกูเช่นนี้รึ! อีเปรต!”
จันเข้าใจสถานะการณ์ในทันทีว่าทำไมคุณหญิงจำปาจึงด่านางนวลจนเสียผู้เสียคน คุณหญิงที่นางนวลว่าไว้คงหมายถึงคุณหญิงจำปาเป็นแน่
“ไปจับตัวมา” ขุนไกรออกคำสั่งพวกทหารของทางการที่อยู่ในสังกัดของผู้เป็นพ่อของตน
“ขุนไกร! บอกพวกมันปล่อยอาบัดเดี๋ยวนี้!”
“ขออภัยขอรับ...กระผมเพียงทำตามหน้าที่ หากเป็นไปได้กระผมเองก็มิอยากจับอาแท้ๆของตนดอกขอรับ” คุณหญิงจำปาพยายามสะบัดหนีแต่แรงของสตรีหรือจะสู้แรงของบุรุษ
คุณหญิงจำปาถูกคุมตัวไปพร้อมกับนางนวล ไตรทศรีบเข้ามาประคองจันขึ้น เช็ดน้ำตาที่ขอบตาให้ด้วยนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อปลอบใจ
“นี่มันอะไรกันพี่ไตร...ข้าสับสนไปหมดแล้ว”
“พี่ขอโทษที่มิได้บอกกล่าวออเจ้าก่อน...ความจริงแล้วพี่วางแผนทั้งหมดเอาไว้เพื่อให้สามารถจับคุมตัวคุณหญิงจำปาได้ หากแต่พี่มิรู้ว่าคุณหญิงจะมาเจอออเจ้าแล้วทำร้ายเช่นนี้” ไตรทศลูบลงบนกลุ่มผมของจันด้วยความถนอม

“เอ็งเรียกข้ามาทำไมรึ” ขุนไกรเอ่ยถามเพื่อนของตนที่เรียกตนให้มาพบอีกครา
“ข้ามาตรองดูแล้วเรื่องคุณหญิงที่นางนวลเคยอ้างถึง”
“ได้ความว่าอย่างไร?”
“นางนวลมันเป็นทาสในเรือนของท่านลุงจำรูญมาก่อน ที่มันมารับใช้ที่เรือนเล็กได้เพราะคุณหญิงจำปาเป็นผู้ฝากฝังมันผ่านทางแม่ของข้า”
“เอ็งจะบอกว่าคุณหญิงที่มันว่าคืออาของข้างั้นรึ?”
“ข้ายังมิแน่ใจ แต่ข้าพอมีแผนแล้ว”
“แล้วแผนนั้นเป็นอย่างไร?”
“วันนี้ข้าจักพาจันไปพบท่านลุงจำรูญเพราะข้าจำได้ว่าท่านมีเรื่องจะพูดคุยกับจัน ในระหว่างนั้นข้าฝากเอ็งสอบสวนนางนวลให้ข้าที และหากมันสารภาพแล้วเป็นอย่างที่ข้าคิด เอ็งก็พาตัวมันไปที่เรือนท่านลุงได้เลย จะได้มีพยานหลักฐาน”
“แล้วหากมิใช่เล่า?”
“ก็แค่ทำเป็นเหมือนไปคุยตามปกติเพียงเท่านั้น
“เจ้าเล่ห์เสียจริงนะพ่อคุณ”
“หึ” ไตรทศยิ้มมุมปากเมื่อโดนว่า “ไอ้มิ่ง ไปตามจันมา บอกว่าข้าจะพาไปเรือนของแม่พิกุล”
“ขอรับ”

“งั้นรึ...” จันเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“เรื่องเหนือความคาดหมายอีกอย่างคือเรื่องพ่อของออเจ้า”
“...พ่อ” ไตรทศปล่อยให้จันเป็นอิสระ จันหันมองไปทางพระยาจำรูญที่ยืนมองอยู่ “นี่มันเรื่องอันใดกัน...”
ชายหนุ่มยังคงสงสัยมิหาย แม่ของตนจะมาเป็นเมียพระยาจำรูญได้อย่างไรเพราะจันได้ยินตาเล่าให้ฟังว่าแม่ของจันนั้นเป็นทาสของพระยาผู้หนึ่งที่มีเรือนอยู่ติดริมน้ำ แต่เรือนของพระยาจำรูญนั้นมิใช่แบบนั้น
“ออเจ้าตามข้ามา” พระยาจำรูญเอ่ยเรียกจันให้เดินตาม จันสบตากับไตรทศเพื่อชั่งใจ มือหนาเอื้อมมากอบกุมมือของจันไว้ก่อนจะพากันเดินตามพระยาจำรูญไปด้วยกันทั้งสองคน
“เอ่อ...คือ...” เมื่อมาถึงห้องหนังสือห้องเดิมจันจึงอึกอักเพราะมิรู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
ท่านพระยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “เรื่องทั้งหมดมันผิดที่ข้าเอง”พระยาจำรูญเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตทุกอย่างให้จันและไตรทศฟัง
สมัยหนุ่มสาวพระยาจำรูญที่เป็นเพื่อนสนิทกับพระยาณรงค์บิดาของขุนไกรนั้นชอบไปเที่ยวเล่นที่เรือนของเพื่อนตนบ่อยครั้งทำให้คุณหญิงจำปาผู้เป็นน้องสาวและเป็นอาของขุนไกรมาตกหลุมรักตน แต่ตนนั้นกลับตกหลุมรักนางทาสที่คอยรับใช้คุณหญิงจำปาที่ชื่อว่า ‘นางผ่อง’
คืนหนึ่งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องให้ทั้งเรือนฉาบไปด้วยแสงจันทร์สว่างจ้า ท่านพระยาเห็นนางผ่องกำลังเดินกลับจากท่าน้ำจึงหยุดคุยด้วยและรู้ว่านางผ่องเองก็มีใจให้ตน ทั้งสองจึงตกลงปลงใจร่วมรักกันในวันนั้นเอง
นางผ่องมิขัดที่พระยาจำรูญมีเมียใหญ่อย่างคุณหญิงลำดวนมารดาของแม่พิกุลอยู่แล้ว และคุณหญิงลำดวนเองก็มิขัดทั้งยังรักใคร่เอ็นดูนางผ่องอีกด้วย
ผู้เดียวที่มีปัญหาคือคุณหญิงจำปาที่ชอบพอพระยาจำรูญ นางอยากพลีกายเป็นเมียพระยาจำรูญจึงสร้างเหตุการณ์ให้คนในเรือนของพระยาณรงค์เข้าใจว่าตนนั้นได้เสียกันแล้วทำให้พระยาจำรูญต้องรับผิดชอบและตบแต่งนางเข้ามาเป็นเมีย
ตลอดระยะเวลาที่คุณหญิงจำปาเข้ามาอยู่ในเรือนของพระยาจำรูญนางนั้นมิเคยถูกแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว ผ่านไปหลายปีก็ยังมิมีวี่แววว่าจะท้อง บ่อยครั้งจึงถูกนินทาว่าเป็นหมัน
กลับกัน นางผ่องกลับกำลังตั้งครรภ์ พระยาจำรูญรึก็คอยดูแลเอาใจใส่ คุณหญิงลำดวนก็เห่อเด็กในท้องพอกันเพราะยังมิมีลูก ผู้ที่ต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าก็คือคุณหญิงจำปา
พอถึงยามที่จันคลอดพระยาจำรูญคอยดูแลคอยจับมืออยู่มิห่าง จนในที่สุดก็ได้เห็นหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแต่ผู้ใดจะคิดว่าลูกชายที่คลอดออกมาจักเป็นแม่เรือน...ข้างเอวลูกชายตัวน้อยมีรอยปานแดงรูปดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้จันมีสีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดไตรทศจึงส่งมือไปกอบกุมมือจันอีกคราเพื่อเป็นการปลอบใจและแสดงตัวว่าตนอยู่ข้างจันเสมอ
“พ่อพยายามตามหาพวกออเจ้าทั้งสามแล้ว...แต่ก็หามิเจอ”
“ท-ทั้งสามหรือ?” จันชะงักรีบเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เป็นพ่อของตน
“ใช่” พระยาจำรูญยิ้ม “ครานี้พ่อหาเจ้าจนพบแล้ว พ่อดีใจเหลือเกิน”
พระยาจำรูญโผกอดลูกชายที่นั่งอยู่มิไกลตน ลูบมือลงบนกลุ่มผมด้วยความคิดถึง น้ำตาของผู้เป็นพ่อไหลริน
“ท่าน-...พ่อหมายความว่าอย่างไรจ้ะ ทั้งสามคืออะไรรึ?”
“ออเจ้ามีพี่ชายฝาแฝด..” ท่านพระยาผละออก จับไหล่ทั้งสองของลูกชายพร้อมกับมองหน้า แต่จันกลับนิ่งอึ้งมิมีปฏิกิริยาตอบสนอง “อย่าบอกนะว่า...ออเจ้ามิเคยเจอหน้าพี่ชาย?”
“...จ้ะ” จันกำลังตกใจกับคำบอกเล่าของบิดาตน
“โธ่...” พระยาจำรูญไหล่ลู่ลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้า “พ่อรู้อยู่แล้ว...ในยามที่พี่ออเจ้าคลอดหมอตำแยบอกว่าเด็กมิแข็งแรงอาจอยู่ได้มินาน ในคราที่แม่ของออเจ้าหนีไปพ่อได้แต่ภาวนาให้ลูกทั้งสองรอดปลอดภัย...”
“พี่ของข้า...” จันนิ่งไป รวมถึงไตรทศเองที่มองภาพของสองพ่อลูกตรงหน้า
“พี่ของออเจ้าน่ารักมากในยามแรกเกิด ตัวแดงแถมยังร้องไห้ระงม พ่อยังจำได้ดี” พระยาจำรูญทั้งยิ้มและร้องไห้ในคราเดียวกัน
“ชื่อของพี่ออเจ้าพ่อเป็นผู้ตั้งให้ เพราะพ่ออยากให้พี่ของลูกเติบใหญ่มาเป็นคนแข็งแรงและปกป้องลูกได้ แต่ก็เป็นพี่ชายที่อ่อนโยนและอบอุ่น พ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า ‘อาทิตย์’ ” จันนิ่งฟัง
“ส่วนชื่อของออเจ้าพ่อมิทันได้ตั้งแม่ของออเจ้าก็พาออเจ้าหนีไปเสียก่อน แต่มันเป็นชื่อที่ดีหนา จัน คงมาจากพระจันทร์ เป็นชื่อที่สอดคล้องกับพี่ของออเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระจันทร์หรือดวงอาทิตย์พ่อกับแม่ก็จะสามารถมองเห็นได้ทุกวัน”
ผู้เป็นพ่อลูบหัวจันอย่างรักใคร่ ระยะเวลาที่ถูกพรากหายไปมิเคยทำให้พระยาจำรูญรักลูกของตนน้อยลงเลย ความผูกพันของผู้ลูกดั่งถูกเชื่อมกันไว้ด้วยเส้นสายใยบางอย่างที่ตาเปล่ามองมิเห็น
“อาทิตย์...” ทันใดนั้นจันก็นึกถึงใครบางคน “ทิตย์...ไอ้ทิด...”
ผีเด็กตัวน้อยที่จันจำได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นของตนตั้งแต่เด็กยันโต เด็กตัวป้อมหน้าตาน่ารักที่ทำผมทรงจุก ใส่โจงกระเบนสีทองตามตัวมีเส้นสังวาลพาด เป็นเพื่อนคุยในยามเหงาและเป็นผีเด็กจอมจุ้นที่ชอบพูดมาก เป็นเหมือนดั่งครอบครัวและเป็นผีเด็กที่จันเคยคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตน
“พ่อจ้ะ พี่ไตรจ้ะ ข้าอาจจะเสียมารยาท แต่ว่าข้าขอตัวกลับกระท่อมสักประเดี๋ยวนะจ้ะ”
“ออเจ้าจะไปบอกตารึ?” ไตรทศเอ่ยถาม
“จ้ะ”
“ประเดี๋ยวพี่ไปด้วย”
“มิเป็นไรจ้ะ พี่ไตรไปรอข้าที่เรือนก่อนหนา เดี๋ยวข้าจะกลับมาหา” ไตรทศเองก็อยากห้าม แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนของจันแล้วก็มิกล้าขัด
“เอาเถิด อย่างไรก็ให้ไอ้จงไปส่ง”
“จ้ะ” จันก้มลงกราบเท้าบิดาของตนก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง “ข้ารักพ่อ...ข้าเองก็ดีใจที่ได้เจอพ่อ”
พระยาจำรูญกอดตอบลูกชาย สักครู่จันจึงผละออกแล้วรีบลงจากเรือนมุ่งตรงไปที่เรือ
ใช้เวลาครู่ใหญ่จันจึงมาถึงกระท่อม เมื่อเข้าไปในห้องพระจึงเห็นตาคงที่กำลังนั่งสมาธิ
“ตา...ตาจ๋า” รู้อยู่ดอกว่าการรบกวนผู้ที่กำลังทำสมาธิมันมิควร แต่ครานี้จันร้อนใจจริงๆ
“อ้าวไอ้จัน เอ็งหายดีแล้วรึ เมื่อวันก่อนข้าไปเยี่ยมยังร้องโอดโอยอ้อนข้าอยู่เลย”
“โธ่ตาก็..”
“แล้วทำไมรีบร้อนเช่นนี้ ถูกท่านไตรทศเฉดหัวมารึ”
“มิใช่จ้ะ ข้า...ข้ามาหาไอ้ทิด”
“เหตุใดจึง-“
“ทิดมันเป็นพี่ชายข้าใช่รึไม่จ้ะ?” จันพูดขัดขึ้นในขณะที่ตาคงกำลังจะถาม
“เอ็ง...เอ็งรู้แล้วรึ?”
“ตารู้มาตลอดรึ?” จันมิตอบแต่ถามกลับแทน เพราะจันเองก็มิรู้ว่าผู้เป็นตารู้มาตลอด
“ใช่ ข้ารู้”
“แล้วเหตุใดตาจึงมิบอกข้าล่ะจ้ะ”
“ไอ้ทิดมันขอข้าไว้ มันมิอยากให้เอ็งรู้แล้วเสียใจที่มันตายจากเอ็งไป มันเสียใจที่มิได้อยู่ทำหน้าที่พี่ชาย” พอตาคงพูดจบไอ้ทิดก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าที่ชอบยิ้มให้กลับกำลังทำหน้าเศร้า
“เอ็งจับข้าได้แล้วรึ” ทิดเอ่ยถาม
“ไอ้ทิด...”
“ขอโทษที่ข้าเป็นพี่ให้มิได้ ฮึก...ข้าห่วงเอ็ง เพราะเราเป็นแฝดดวงจิตจึงผูกพันกันตั้งแต่เกิด ข้ามิอาจทิ้งเอ็งให้อยู่ใช้ชีวิตอันโหดร้ายนี้เพียงลำพังได้” จันพอจะรู้สาเหตุที่ไอ้ทิดมิไปเกิดเสียที เมื่อครั้งยังเด็กเคยถูกกลั่นแกล้งเพราะเป็นแม่เรือน ยามร้องไห้ก็มีไอ้ทิดคอยปลอบ
“เหตุใดจึงมิบอกความจริงข้า?” สองพี่น้องนั่งน้ำตาไหล มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นกันในเงาสะท้อนของดวงตา
“ข้ากลัวว่าเอ็งจะผิดหวัง อีกทั้งข้าชอบที่จะเป็นผีเด็กคอยก่อกวนทำให้เอ็งยิ้มในวันที่เอ็งอ่อนแอ”
“โธ่...” แล้วเหตุใดจึงมิไปเกิดแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เหตุใดจึงเห็นน้องสำคัญกว่าความสุขของตนเอง จันนึกบ่นพี่ชายในใจ
“เอ็งรู้ความจริงแล้ว...เอ็งเกลียดข้ารึไม่?”
“ไม่เลย ข้ามิเคยคิดเกลียดเอ็งเลย ข้ารักเอ็งดั่งคนในครอบครัวมาตลอดชีวิต”
“จัน...ฮึก...ฮือ...” ไอ้ทิดร้องไห้ระงม ถึงมันจะเป็นพี่ชายแต่ความคิดก็ยังคงติดอยู่ในความเป็นเด็ก “ข้า...ข้าก็รักเอ็ง”
“โธ่อาทิตย์...” น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้ม ใจหนึ่งก็นึกสงสารพี่ชายฝาแฝดอีกใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณที่พี่ชายมิเคยทิ้งตนไปไหน “ปล่อยวางเถิดหนา อย่าผูกมัดตนเองกับข้าอีกเลย ข้าอยากให้เอ็งมีความสุข”
“ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เอ็งมีผู้ที่รักเอ็งอยู่ด้วยแล้ว...ข้าเชื่อว่าท่านไตรทศจะดูแลเอ็งได้”
“ขอบใจนะ...พี่อาทิตย์”
“ฮึก...เออ ข้ารู้แล้ว ไอ้จัน” ทั้งสองต่างมิคุ้นชินที่ต้องใช้สรรพนามในการเรียกใหม่เพราะที่ผ่านมาก็เรียก พี่จันกับไอ้ทิดมาโดยตลอด
“พี่รักเอ็งหนา”
ร่างของเด็กตัวป้อมค่อยๆเรืองแสงสีทอง อาทิตย์รู้ว่าถึงเวลาของตนแล้วที่จะต้องไปเสียที
“ข้าก็รักพี่นะพี่ทิด ขอให้พี่ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี” 
“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะมาเกิดเป็นลูกของเอ็ง...” อาทิตย์ยิ้มให้ทั้งน้ำตาจนตาปิด เด็กชายตัวป้อมเริ่มสลายหายไปในอากาศ เหลือเป็นละอองสีทองเรืองรองที่ค่อยๆตกลงมาและหายไปเมื่อสัมผัสถูกพื้นไม้ของกระท่อม
“หึ...ลูกข้าคงดื้อจนข้าต้องปวดหัวเป็นแน่”


หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-11-2019 20:12:27
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-11-2019 20:24:47
 :katai2-1: :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-11-2019 21:28:53
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-11-2019 23:02:33
 :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-11-2019 02:42:12
ได้รู้ความจริงซักที  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 16 (8/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-11-2019 16:43:28
ความจริงเปิดเผยแล้ว
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 17 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 09-11-2019 18:39:56
บทที่ ๑๗

หลังจากมรสุมทุกอย่างผ่านพ้นไป คุณหญิงลำดวนได้รับรู้และเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างและยินดีที่จะได้จันมาเป็นสมาชิกในครอบครัวอีกผู้หนึ่ง
ตาคงมิจำเป็นต้องอยู่ที่กระท่อมท้ายวัดแล้ว ทั้งจันและตาได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนของพระยาจำรูญและมีสถานะเทียบเท่าเจ้านายภายในเรือนทุกประการ พวกทาสในเรือนต่างมาขอโทษขอโพยจันยกใหญ่ที่เคยล่วงเกินแต่จันก็มิได้ถือสาหาความอันใด
ข่าวลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วว่าพระยาจำรูญมีลูกที่เกิดจากแม่เรือนแต่ท่านพระยาก็หาได้สนใจไม่ ผู้เป็นพ่อย่อมสนใจความรู้สึกของลูกมากกว่าคำพูดของชาวบ้านอยู่แล้ว
ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วที่จันย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนหลังนี้ จันและตาคงยังคงมิคุ้นชินกับสถานะใหม่ของตนนัก
“ลูกคิดอะไรอยู่รึ?” เสียงผู้เป็นพ่อดังขึ้นเรียกความสนใจจากจันที่ยืนมองออกไปนอกเรือน
“หามิได้ขอรับ ลูกเพียงแค่...ชมนกชมไม้เพียงเท่านั้น”
“ชมนกชมไม้...แต่หันมองไปที่ท่าน้ำน่ะรึ?”
“เอ่อ...”
“คิดถึงพี่เขารึ?” เหมือนผู้เป็นพ่อจะรู้ทันลูกชายของตน หลังจากที่จันย้ายที่อยู่ไตรทศก็มิได้มาหาอีกเลย เจอก็เพียงแค่วันที่ขนย้ายของ หลังจากนั้นไตรทศก็มิได้มาเยี่ยมเยือนอีก
“ขอรับ” จันมิปฏิเสธแต่อย่างใดเพราะอย่างไรผู้เป็นพ่อก็รู้ใจตนอยู่แล้ว
“หากคิดถึงก็ไปหาเสียสิ”
“จะดีหรือขอรับ” ถึงจันจะมิใช่สตรีเพศที่เข้าหาบุรุษก่อนแล้วจะดูมิงามแต่จันก็ยังคงคิดมากอยู่ดี
“คิดถึงก็ควรไปหามิใช่รึ บางทีพ่อไตรอาจจะรอลูกอยู่ก็เป็นได้”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อก่อนจะโน้มไหว้ลงบนไหล่ข้างขวา ท่านพระยาลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู
ชายหนุ่มเดินลงไปทีท่าเรือก่อนจะบอกจุดหมายปลายทางแก่นายทาสผู้มีหน้าที่เป็นฝีพาย
เรือนเล็กที่จันเคยอยู่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า พวกทาสพากันกรูเข้ามาหาลูบเนื้อลูบตัวคุณชายใหญ่ของบ้านพระยาจำรูญกันยกใหญ่
จันมิลืมที่จะเข้าไปกราบป้าอิ่มผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแม่ครัวที่รักและเอ็นดูจันมาโดยตลอด
เมื่อพูดคุยเสร็จจันจึงปลีกตัวออกมาเพื่อขึ้นไปบนเรือนเล็ก ของทุกชิ้นยังวางอยู่ตำแหน่งเดิมมิเปลี่ยน จันปรายตามองไปรอบๆจึงเห็นไอ้มิ่งที่กำลังยกของเข้าไปเก็บในห้องเก็บของ ชายหนุ่มจึงเอ่ยทัก
“ไอ้มิ่ง”
“ไอ้จัน! เอ้ย มิใช่สิ คุณจัน”
“เรียกข้าแบบเดิมเถอะ”
“โอ๊ยย มิได้ดอกขอรับ จะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไร”
“ตามใจเอ็ง...แล้วนี่..”
“มาหาท่านไตรทศรึขอรับ?” ไอ้มิ่งพอเดาออกได้ เหตุที่จันมาเรือนเล็กก็คงมีอยู่เหตุผลเดียว
“อืม” กระแอมไอกลบเกลื่อนความเขินอาย เสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตานายทาสผู้รู้มาก
“ท่านไตรทศมิอยู่ดอกขอรับ”
“มิอยู่งั้นรึ? แล้วไปที่ใด?”
“ท่านไปว่าราชการกับท่านพระยาเกษมที่พระนครน่ะขอรับ คงกลับมาช่วงโพล้เพล้” จันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในยามนี้บอกเวลาว่าเป็นเพลาชาย คงต้องรออีกนานโขกว่าอีกฝ่ายจะกลับเรือน
“มิเป็นไร ข้ารอได้”
“งั้นเชิญที่ห้องรับแขกก่อนนะขอรับ กระผมจะบอกนางทาสเอาขนมกับชาเข้าไปให้” จันพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าห้องรับแขก
มินานพวกนางทาสก็พากันเวียนเอาขนมและชาจีนมาให้ ขนมช่อม่วงที่จันชอบก็มี ไหนจะขนมผิงที่ไตรทศชอบอีก
จันหยิบขนมเข้าปาก ความอร่อยแผ่ซ่านไปทั่ว หากไอ้ทิดได้กินก็คงจะดี...

ผ่านไปสองชั่วโมงไตรทศก็ยังมิมีทีท่าที่จะกลับมา จันจึงถือวิสาสะแอบเข้าไปในห้องของคนพี่ด้วยความใคร่รู้ อยากรู้นักว่าห้องของไตรทศจะเป็นอย่างไร ยังตกแต่งเหมือนเดิมอยู่รึไม่
เมื่อเปิดประตูเข้ามาสายตาซุกซนก็จับจ้องไปทั่วทั้งห้อง มิมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงนุ่มที่ตนเคยนอน มือปัดป่ายลูบลงบนผ้าปูเตียง รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าเมื่อนึกถึงคราที่ตนเคยนอนอยู่บนเตียงนี้กับไตรทศ
ด้วยความคิดถึงจึงล้มตัวลงนอนบนหมอนที่ศีรษะตนเคยสัมผัส กลิ่นอายของคนพี่ยังคงติดอยู่ตามหมอนและผ้าห่ม เจ้าตัวแสบซุกใบหน้าแดงก่ำลงบนหมอนนิ่มด้วยความถวิลหา
หนึ่งอาทิตย์ที่มิได้เจอช่างนานดั่งหนึ่งเดือน นึกแล้วก็ตลกตัวเองในใจ ครั้งแรกที่เจอทั้งปฏิเสธ ทั้งมิชอบขี้หน้า แต่ในยามนี้...กลับรักเขาหมดทั้งหัวใจ
สายลมที่พัดโกรกเข้ามาสัมผัสผิวกายให้เย็นสบาย ทั้งยังมีกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อที่ออกดอกโชยเข้ามาด้วย มันทำให้จันเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย

“จัน” 
“...อือ” เจ้าตัวแสบมุ่ยหน้าก่อนจะซุกใบหน้าลงไปบนหมอนเพื่อตัดรำคาญ
“ออเจ้าตื่นเถิด” ฝ่ามือหนาสัมผัสลงบนแก้มนวลเนียน จันขยับหนีก่อนจะหลับต่อ
“จัน...”
“...” ชายหนุ่มนอนนิ่งมิไหวติง ไตรทศยิ้มขำที่มีเมียขี้เซาถึงเพียงนี้
“เมียจ๋า...หากมิตื่น พี่จะทำลูกกับออเจ้าแล้วหนา” จมูกโด่งถูกกดลงบนแก้มนุ่ม จันเบิกตาโพลงเมื่อได้ยิน
“ต-ตื่นแล้วๆ ข้าตื่นแล้ว” จันรีบรุดนั่งตัวตรงในทันที ไตรทศขำก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวคนน้อง
“ขี้เซาเสียจริง”
จันมองออกไปข้างนอกจึงเห็นว่ามันเลยเวลาโพล้เพล้มาแล้ว “เหตุใดพี่จึงกลับช้านักล่ะ” 
“งานราชการเยอะนัก พี่จึงปลีกตัวออกมาก่อนมิได้” นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปมาบนแก้มเนียน “แต่หากพี่รู้ว่ากลับมาแล้วจะได้มาเจอออเจ้า พี่คงจะรีบกลับมาให้เร็วกว่านี้”
ใบหน้าหล่อขึ้นสีแดงระเรื่อ ไตรทศนั้นเก่งทุกอย่าง อย่างเรื่องที่ทำให้ใจของจันเต้นถี่รัวมากกว่าเดิม ไตรทศก็เก่ง...
“เหนื่อยหรือไม่?” คำถามธรรมดาแต่กลับทำให้ไตรทศหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“ตอนแรกพี่ก็เหนื่อย แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเจอออเจ้าแบบนี้...พี่ก็หายเหนื่อยแล้ว”
“หึ ปากหวานนัก คนเจ้าเล่ห์”
“ปากออเจ้าก็หวาน...” 
นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองเข้าไปในตาของจัน สองสายตาสอดประสานกันพาให้ใจดวงน้อยกระตุกวูบไหว มินานริมฝีปากหนาก็ประกบลงบนริมฝีปากของชายหนุ่ม
เจ้าตัวแสบหลับตาพริ้มเพื่อตอบรับสัมผัสอันอ่อนโยนก่อนจะหน้าแดงอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงความชื้นที่ริมฝีปาก ไตรทศไล้เลียริมฝีปากของเมียรักอย่างถวิลหา
จันเปิดปากรับโดยที่คนพี่มิจำเป็นต้องบังคับ ปลายลิ้นทั้งสองสัมผัสกันเกิดเป็นความรู้สึกวูบโหวงที่ช่องท้องดั่งมีผีเสื้อนับพันโบยบินไปทั่ว
ไตรทศกดจูบซ้ำลงบนกลีบปากนุ่ม ทั้งดูดดุนและโลมเลียจนเกิดเป็นเสียงน่าอายแต่ในยามนี้ไตรทศสนใจเพียงแค่คนในอ้อมกอดเพียงเท่านั้น
เมื่อผ่านไปได้ชั่วครู่ทั้งสองจึงผละออกจากกัน คนพี่มองริมฝีปากที่ตนพึ่งครอบครอง มันทั้งแดงทั้งบวมเจ่อจนอดยิ้มเอ็นดูมิได้
“ฮื่อ..” เจ้าตัวแสบรีบก้มหน้า เอาหัวทุยซุกอกแกร่งด้วยความเขินอาย ไตรทศใช้มือลูบลงบนกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือ
“พี่ขอโทษหนาที่มิได้ไปหาออเจ้าเลย ช่วงนี้พี่ต้องไปว่าราชการอยู่บ่อยครั้ง”
“แต่พี่มิได้รับราชการมิใช่รึ?” เพราะไตรทศเป็นหมอยาจันจึงสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องไปว่าราชการ
“ในภายภาคหน้าก็มิแน่ พี่ไปว่าราชการอยู่บ่อยครั้งอีกมินานคงได้อวยยศ”
“เหตุใดพี่จึงคิดจะรับราชการหรือจ้ะ?” จันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตดั่งตาของกวางจ้องมองคนพี่มิวางตา
“เพราะพี่อยากไปสู่ขอออเจ้าอย่างไรเล่า” ใบหน้าคนน้องพลันขึ้นสีระเรื่ออีกครา ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด “จะไปสู่ขอลูกท่านพระยาทั้งทีจะไปในฐานะหมอยาได้อย่างไร”
“ถ-ถึงพี่จะเป็นหมอยา...ข้าก็ยังรักพี่เหมือนเดิมนะจ้ะ” ไตรทศแทบอยากจะขย้ำจันเสียให้ร้องคามือแต่ก็ต้องหักห้ามใจไว้เสียก่อน
“มันจะดูมิควร พี่ควรให้เกียรติออเจ้าในฐานะเมียของพี่ด้วย” จันพยักหน้ารับ “ถึงบิดาของพี่จะเป็นถึงท่านพระยาแต่ตัวพี่เองมีฐานะต่ำต้อยเป็นแค่หมอยาผู้หนึ่งเท่านั้น”
จันวางนิ้วชี้จรดลงบนริมฝีปากคนพี่เพื่อให้หยุดพูด
“พี่อย่าพูดเช่นนั้น มิมีผู้ใดต่ำต้อยดอกหนา คุณค่าของคนมิได้วัดที่ยศถาบรรดาศักดิ์เสียหน่อย” เมื่อได้ยินจันพูดดังนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความผาสุก ตนเลือกคนมิผิดจริงๆ
ฝ่ามือหนาจับเอามือของจันขึ้นมาก่อนจะกดจูบลงไปบนหลังมืออย่างทะนุถนอม เงยหน้าขึ้นมอง จ้องเข้าไปในดวงตาใสซื่อ
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว...คุณหนูจันจะให้เกียรติแต่งงานกับไตรทศผู้นี้รึไม่ขอรับ?” 
ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งพวงแก้ม ใจดวงน้อยเต้นมิเป็นส่ำเมื่อถูกสายตาอันพราวเสน่ห์จ้องมอง จันพึ่งจะรู้ซึ้งก็วันนี้ว่านอกจากเป็นหมอยาแล้วไตรทศยังเป็นขโมยอีกด้วย
สิ่งที่ขโมยก็ช่างมีค่ามากนัก
...ขโมยหัวใจของไอ้จันผู้นี้อย่างไรเล่า
“ตกลงจ้ะ”

หนึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันนั้น พระยาเกษมได้คุยเรื่องการสู่ขอจันกับพระยาจำรูญและทั้งสองฝ่ายก็มิมีเหตุขัดข้องใด ต่างพากันเห็นดีเห็นงามด้วย
ผู้ใหญ่ฝ่ายไตรทศคือพระยาเกษมและคุณหญิงนิ่ม
ผู้ใหญ่ฝ่ายจันคือตาคงและพระยาจำรูญ
ภายในงานทุกคนต่างชื่นมื่นและมาแสดงความยินดี รวมทั้งขุนไกรและอาหลินที่แต่งงานกันก่อนหน้าไตรทศเสียอีก
และดูเหมือนว่าแม่พิกุลก็พบเจอกับความรักครั้งใหม่แล้ว ชายผู้นั้นคือขุนเดชผู้ที่เป็นพี่ชายของไตรทศ มิมีผู้ใดรู้ว่าทั้งสองไปรักกันได้อย่างไร
สินสอดมากมายรวมเป็นเงินหลายชั่ง ทั้งยังมีทองคำแท่งและเพชรนิลจินดา จันมิเคยคิดว่าวันหนึ่งตนจะมีผู้มาสู่ขอเช่นนี้ 
ดวงตาใสซื่อมองไปยังเจ้าบ่าวของตน ไตรทศในชุดโจงกระเบนและเสื้อแขนยาวทรงกระบอกสีขาวช่างเข้ากันนัก ทรงผมก็ถูกจัดแต่งจนดูหล่อเหลา พาลให้สาวน้อยสาวใหญ่ในงานแทบจะถวายตัวเป็นเมียรองทันที
หลังจบงานจันและไตรทศจึงถูกส่งตัวมาที่เรือนหอ จะเป็นที่ใดไปได้หากมิใช่เรือนเล็กที่ไตรทศอาศัยอยู่มาตลอด
“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น” ไตรทศเอ่ยถามเมียหมาดๆของตนที่กำลังนั่งส่องคันฉ่อง
“มิมีอันใดดอก” ใบหน้าหล่อกำลังยุ่งจนคิ้วแทบจะขมวดเป็นปม คนพี่จึงเดินเข้าไปหาก่อนจะกอดคนเป็นเมียจากด้านหลัง
“พี่เป็นผัวของออเจ้าอย่างเป็นทางการแล้วหนา บอกพี่มาเถิดคนดี” คำเรียกทำเอาใจจันอ่อนยวบ
“ก็วันนี้ที่งานแต่งมีแต่คนมองพี่เต็มไปหมด ข้าเลย...”
“หวงรึ?”
“ม-มิใช่เช่นนั้น” ไตรทศมองหน้าเมียผ่านกระจกบานใหญ่ ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าตนเดาถูก
“โธ่เจ้าแมวดื้อ อย่าคิดมากไปเลยหนา” คนตัวสูงจับจันให้หันมาทางตนก่อนจะนั่งลงให้ต่ำกว่าเมีย
“พี่ไตร! พี่จะทำอะไร!” จันตกใจเมื่อเห็นว่าไตรทศนั่งต่ำกว่าตน มันเป็นสิ่งที่มิควรเพราะผัวต้องอยู่สูงกว่าเมียเสมอ
“พี่ขอให้สัจสัญญาว่าพี่จะมิมีน้อยให้ออเจ้าได้ทุกข์ใจ ทั้งชีวิตของพี่จะมีเพียงออเจ้า รักเพียงออเจ้า และยอมเป็นทาสให้ออเจ้าเพียงผู้เดียว”
เมื่อพูดจบไตรทศจึงยกฝ่าเท้าผู้เป็นเมียขึ้นก่อนจะจูบลงบนหลังเท้าด้วยความเต็มใจ มิได้รู้สึกว่าเสียเกียรติแต่กลับรู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำที่ได้คนผู้นี้มาเป็นคู่ชีวิต
“พี่ไตร...” จันมองภาพสามีจูบลงบนฝ่าเท้าของตนด้วยความตื้นตัน น้ำตาหยดน้อยพลันหยดลงบนแก้มนวล เมื่อเห็นดังนั้นไตรทศจึงใช้นิ้วมือเกลี่ยออกให้ด้วยความนุ่มนวล 
“คุณจันยินดีที่จะตกเป็นของไตรทศผู้นี้อีกครั้งหรือไม่ขอรับ?”
“ยินดีจ้ะ...”
ในคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งสองที่กำลังร่วมรักกันอยู่บนเตียงนุ่ม
ในยามนี้มิใช่ฤดูหาคู่ของแม่เรือนจันจังมิมีน้ำหล่อลื่นทำให้ไตรทศต้องใช้น้ำมันที่สกัดจากดอกไม้แทน
นิ้วเรียวยาวค่อยๆสอดใส่เข้าไปภายในช่องทางหวานของเมียรัก ร่างของจันที่นอนราบอยู่บนเตียงบิดเร้าด้วยความรู้สึกแปลกใหม่เพราะร้างราจากการร่วมรักไปเสียนาน เมื่อความรู้สึกคับแน่นแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวิวไตรทศจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มเข้าไปจนกลายเป็นสองและสามนิ้วในที่สุด
“อ๊ะ..พี่ไตร...พี่ไตรจ๋า~” เสียงครางหวานส่งผลให้กลางกายของไตรทศแข็งขึงจนเกร็งไปหมด ใจจริงก็อยากจะสอดใส่เข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่เพราะกลัวว่าจันจะเจ็บจึงต้องหักห้ามใจ
ยามที่ขยับนิ้วเข้าลึกเสียงครางหวานหูก็ยิ่งดัง แรงบีบรัดที่นิ้วทำเอาไตรทศแทบจะคลั่ง อยากขย้ำเจ้าแมวน้อยเสียให้จมเขี้ยว
“ข้า...ข้ามิไหวแล้ว”
ชายหนุ่มหันหลัง กดใบหน้าลงบนหมอนนิ่มก่อนจะยกสะโพกของตนขึ้นให้สูง มือทั้งสองแหวกเจ้าก้อนขาวกลมทั้งสองออกจนเห็นช่องทางที่กำลังกระตุกอย่างเชื้อเชิญ
“ข้าต้องการพี่...”
สิ้นเสียงเรียกร้อง ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะใช้ความแข็งเกร็งของกลางกายกดส่วนหัวสีเข้มเข้าไปในช่องทางสีหวานที่กำลังเชื้อเชิญ
“อึก..” ความคับแน่นทำให้สอดใส่ได้ยาก “อย่าเกร็งนะคนดี” พูดปลอบใจก่อนจะกดจูบลงบนหัวไหล่ของคนน้อง
เมื่อจันเริ่มผ่อนคลายจึงสอดใส่เข้าไปจนได้ครึ่งทาง ไตรทศต้องหักห้ามใจอย่างมากที่จะมิเผลอทำรุนแรงให้จันต้องเจ็บตัว
“อื้อ...พี่ไตร...เร็วๆ” เจ้าตัวแสบออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ มีหรือที่ไตรทศจะขัดใจเมีย เมื่อเมียขอมา...ผัวก็ต้องจัดให้
ปึก!
“อ๊า~” แก่นกลางกายคนพี่เข้าไปทีเดียวจนสุดทาง ส่งผลทำให้จันต้องครางออกมาเป็นเสียงหวานเมื่อส่วนปลายไปโดนจุดที่กระตุ้นให้รู้สึกดี
เอวหนาสอบสะโพกเน้นย้ำทุกจังหวะส่งผลให้คนที่นอนอยู่ใต้ร่างส่งเสียงครางมิหยุดหย่อน ไตรทศชอบเสียครางหวานของเมียรักยามร้องเรียกชื่อตนที่สุด เสียงเรียกนั้นผสมไปด้วยความสุขและความกำหนัด
ปึก ปึก
“อ๊ะ...ฮ่าห์...แรง...แรงอีก” เมื่อได้ยินดังนั้นไตรทศจึงก้มลงกระซิบข้างหูของจัน
“...เด็กลามก” หากถามว่าตนยอมทำตามรึไม่...
มีหรือที่จะขัด
ฝ่ามือหนาตะปบลงบนก้อนกลมทั้งสอง บีบด้วยความมันเขี้ยวจนขึ้นเป็นรอยแดง ก่อนจะเลื่อนมือไปกอบกุมเอวคอดเอาไว้เพื่อยึดเป็นหลักก่อนจะกระแทกส่วนกลางกายเข้าออกเป็นจังหวะ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังหยาบโลนไปทั้งห้อง หยดเหงื่อเค็มไหลอาบแผ่นอกแกร่งของไตรทศก่อนจะไหลลงไปที่กล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนสวย ตามแผ่นหลังของจันก็มีเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อยจนเปียกชื้น
สายตาของคนพี่มองตามเม็ดเหงื่อจนมันไหลมาถึงรอยแผลเป็นยาว รอยแผลเป็นที่เกิดจากครั้งหนึ่งจันได้ปกป้องตนเอาไว้ด้วยชีวิต
ไตรทศดึงคนใต้ร่างให้ลุกขึ้นเป็นท่านั่งโดยที่ส่วนกลางกายยังมิหลุดออกจากกัน การเปลี่ยนเป็นท่านี้กะทันหันส่งผลให้ส่วนกลางกายของไตรทศเข้าไปลึกมากกว่าเดิม
“อ๊ะ..พี่ไตร พ-พี่ไตร ข้า...”
“เป็นอะไรรึ?” ไตรทศถามด้วยรอยยิ้มโดยที่สะโพกยังมิหยุดขยับ กระแทกเข้าออกโดยที่จันได้เพียงแค่ขยับสะโพกมนรับ
“มัน...มันลึก อ๊า~”
“เด็กดี” พูดจบไตรทศจึงก้มเลียลงบนแผลเป็นยาวที่กลางหลังของจันจนจันสะดุ้งเฮือก ลิ้นสากไล้เลียตามแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน สวนทางกับส่วนกลางกายที่ขยับเข้าออกอย่างดุดันจนจันมิมีจังหวะให้หายใจ
ยามที่มองส่วนหัวสีเข้มผลุบเข้าออกจากช่องทางสีหวานของจันมันช่างชวนให้อารมณ์คุกรุ่นปะทุขึ้นมาอีกครา อยากจะทำอยู่อย่างนี้มิต้องหยุดหย่อน
ไตรทศจับจันให้หันหน้าเข้าหาตนก่อนจะวางอีกฝ่ายลงให้นอนในแนวราบ ทั้งสองสบตากันก่อนที่คนพี่จะโน้นหน้าลงเพื่อกดจูบลงบนริมฝีปากนุ่ม
“พี่รักออเจ้า” รำพึงรำพันคำว่ารักอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง 
ปึก ปึก
“พ-พี่ไตร อ๊า...ข้า ข้ามิไหวแล้ว”
“จัน...” ไตรทศโน้มใบหน้าลงใกล้ใบหูของเมียก่อนจะกระซิบ “ท้องลูกของเราหนาคนดี”
“อ่ะ อ๊า~” เมื่อไตรทศพูดจบจันก็ปลดปล่อยออกมาจนหน้าท้องเต็มไปด้วยของเหลวสีขุ่น
คนพี่สอบสะโพกหนักอีกสองสามทีก่อนจะปลดปล่อยเข้าไปภายในร่างกายของเมียรัก จันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบที่ช่องท้องน้อย
ไตรทศทิ้งตัวลงนอนบนตัวของจันโดยที่ส่วนกลางกายยังเชื่อมกันมิยอมจากไปไหน เสียงหอบดังก้องจนกลบเสียงรอบข้าง ลมเย็นที่โชยเข้ามาในหน้าต่างมิสามารถระบายความร้อนรุ่มภายในห้องนี้ได้แม้แต่น้อย
จันยิ้มน้อยๆก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากของคนพี่ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ
“อีกรอบนะคนดี”
“ด-เดี๋ยว อื้อ!”
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 17 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 09-11-2019 19:39:34
 :jul1: :jul1: :haun4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 17 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-11-2019 23:49:42
ลูกต้องมาแล้ววว  :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 17 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 10-11-2019 16:26:04
แง๊ พี่ไตรรอบเดียวมิเคยพอ :jul1:
ลูกแฝดต้องมาแน่นวลลล
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 17 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 10-11-2019 20:37:11
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 10-11-2019 21:52:34
บทที่ ๑๘

   จันตื่นขึ้นมาอีกทีในยามสาย ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บที่ช่องทางด้านหลัง ในใจก็นึกบ่นไตรทศที่ได้คืบจะเอาศอกทำเอาตนมิได้หลับมิได้นอน กว่าจะพอใจก็ล่วงเลยจนใกล้ฟ้าสาง
“ตื่นแล้วรึ” เสียงดังที่หน้าประตูเรียกความสนใจให้หันไปมอง ไตรทศเดินเข้ามาหาจันโดยที่ในมือถือสำรับที่ป้าอิ่มทำไว้ให้ตนและเมีย
จันทำหน้ายุ่งใส่จนไตรทศอดขำมิได้ ท่าทางแยกเขี้ยวใส่ดั่งแมวกำลังขู่มิมีผิด
“กินข้าวเสียหน่อยหนาจะได้มีแรง”
“ข้ามิมีแรงกินเลย ป้อนข้าหน่อยสิจ้ะ” อันที่จริงแรงน่ะมีอยู่แล้ว แต่แค่อยากแกล้งไตรทศเพียงเท่านั้น
“หึ  เจ้าเล่ห์นัก” มีหรือที่ไตรทศจะมิรู้ทันเมียของตนแต่ถึงอย่างไรตนก็ยอมทำตามความต้องการของเมียอยู่แล้ว “อ้าปากสิ”
จันอ้าปากตามที่ไตรทศบอกอย่างว่าง่าย คนอายุมากกว่าหันเข้าหาสำรับ นำผักลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิก่อนจะป้อนคนน้องที่นั่งมองอยู่
“หืออ...เผ็ด”
“ออเจ้ามิชอบกินเผ็ดรึ” ถามพร้อมกับยกขันน้ำฝนให้ดื่ม
“หึ” จันดื่มน้ำไปส่ายหน้าไป
“คราวหลังพี่จะบอกให้ป้าอิ่มทำอย่างอื่นให้”
เมื่อเห็นว่ามีน้ำเลอะตามขอบปากของจันไตรทศจึงยกมือเช็ดให้ จันจดจ้องสามีของตนที่เช็ดขอบปากให้ด้วยความเบามือ ในใจรู้สึกโชคดีที่ได้ไตรทศมาเป็นคู่ชีวิต
“กินปลากะพงทอดไปก่อนหนา” จันพยักหน้าหงึกหงัก ไตรทศยิ้มก่อนจะลงมือป้อนภรรยาของตนอีกครั้ง
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเรียบง่ายโดยที่มีไตรทศคอยป้อนให้ทุกคำจันจึงมิต้องลำบาก
“ออเจ้าอยากไปอาบน้ำหรือไม่” พอไตรทศถามจันเองก็รู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวขึ้นมาทันที
“ข้าอยากอาบแล้ว”
“พี่ให้พวกทาสทำห้องอาบน้ำไว้ให้แล้ว มาเถิด”
“อ่ะ!” พอจะลุกจันกลับลุกมิได้ ไตรทศเข้าใจในทันทีก่อนจะยิ้มออกมา
“มิต้องมายิ้มเลย! เพราะพี่นั่นแหละ”
“ขอโทษจ้ะเมีย มาเถิดเดี๋ยวพี่จะอุ้มออเจ้าไปเอง” ยังมิทันได้ห้ามไตรทศก็ฉวยอุ้มจันขึ้นจากเตียงเสียก่อน คนพี่เอาผ้าคลุมตัวเมียจนเสร็จสรรพ
เมื่อเหล่าทาสเห็นไตรทศอุ้มจันออกมาจากห้องพวกมันต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดนายของพวกมันจึงต้องอุ้มเมียของตนออกมา
คนในอ้อมแขนหน้าแดงก่ำ ซุกใบหน้าเข้ากับอกของไตรทศด้วยความเขินอาย เจ้าของเรือนส่งสายตาเขม่นใส่พวกทาสแต่ปากกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ที่อาบน้ำที่ไตรทศให้พวกทาสทำไว้บนเรือนถูกกั้นด้วยผ้ากั้นสีขาวรอบทิศเพื่อปกปิดมิให้ผู้ใดสามารถมองเข้ามาได้ ตรงกลางมีอ่างไม้ขนาดใหญ่เป็นแบบเดียวกันกับที่พวกฟะรังคีชอบใช้อาบน้ำ น้ำที่อยู่ในอ่างคือน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อเป็นอย่างดีหาใช่น้ำคลองที่พวกชาวบ้านชอบลงอาบ
คนตัวโตค่อยๆวางเมียของตนลงในอ่างด้วยความเบามือ เมื่อปลายเท้าสัมผัสน้ำจันจึงรับรู้ได้ถึงความอุ่นของน้ำที่อยู่ในอ่าง อุณหภูมิกำลังอุ่นสบายมิร้อนจนเกินไป
“สบายตัวดีรึไม่?”
“สบายจ้ะ” จันยิ้มให้คนพี่ที่กำลังยืนมอง
“ออเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพี่ปลดปล่อยเข้าไปข้างในนี้...” นิ้วเรียวยาวจิ้มลงบนท้องน้อยของจัน “ออเจ้าต้องเอาออก”
“อ-เอาออก!?” จันทำหน้าตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม
“ใช่”
“แต่ว่า...ข้าจะเอาออกอย่างไรเล่า”
“อยากให้พี่ช่วยหรือไม่?” ใจจริงก็อยากปฏิเสธแต่หากต้องทำเองก็ทำมิเป็น จันจึงต้องจำใจพยักหน้ารับ “ถ้าเช่นนั้นออเจ้าจงหันหลังมาหาพี่”
จันหน้าขึ้นสี ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เปลี่ยนจากท่านอนแช่ธรรมดาเป็นท่าคลานเข่า มือทั้งสองจับขอบอ่างเอาไว้
ท่าทางน่ารักน่าชังทำให้คนขรึมอดอมยิ้มเอ็นดูมิได้ มือหนาตะปบลงบนสะโพกมนจนจันสะดุ้งเฮือก
“อย่าเกร็งนะคนดี...” อีกแล้ว ทำให้ใจไอ้จันเต้นแรงอีกแล้วหนา
นิ้วเรียวค่อยๆชำแรกก้อนขาวนุ่มนิ่มออกจากกันจนเห็นรอบจีบสีหวานที่ตนเคยแทรกกลางกายผ่านเข้าไป มันบวมแดงเล็กน้อยจากการร่วมรักที่แสนจะยาวนาน
จันสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงความยาวของนิ้วที่แทรกผ่านเข้ามาภายใน นิ้วยาวแทรกผ่านได้ง่ายเพราะเมื่อคืนมีสิ่งที่ใหญ่กว่ามากแทรกผ่านตลอดทั้งคืน เมื่อคิดดังนั้นใบหน้าของชายหนุ่มพลันแดงก่ำและรู้สึกร้อนรุ่ม
กัดริมฝีปากจนซีดเพื่อกลั้นเสียง สะโพกสั่นระริกตอบรับสัมผัสที่รู้สึกว่าโดนนิ้วยาวควงคว้านอยู่ภายใน
“เจ็บหรือไม่?” จันส่ายหน้า
“อึก...อื้อ” เสียงหวานเล็ดลอดออกมาตามไรฟัน ถึงแม้จะพยายามสกัดกั้นเพียงใดแต่จันก็มิอาจห้ามความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นได้
“อีกนิดนะคนเก่ง” คำพูดปลอบประโลมที่ดังใกล้หูทำเอาใจกระตุกวูบด้วยความวาบหวาม
“อ๊ะ...ลึก...ลึกเกินไปแล้ว” คนตัวโตยิ้มร้าย ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงการตอดรัดถี่ภายในช่องทางสีหวาน ในใจคิดอยากจะรังแกเมียของตนอีกคราแต่อีกใจก็อยากให้เมียได้พักผ่อน
“เสร็จแล้ว” จันถอนหายในเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนอนหอบในอ่าง สายตาหวานฉ่ำจ้องมองไปที่คนพี่ “มองพี่เช่นนี้...เดี๋ยวก็ได้โดนอีกทีดอกหนา”
“หึ่ยย” จันแยกเขี้ยวขู่ รีบล้างเนื้อล้างตัวทันที
“หึๆ” เมียใครหนอ เหตุใดถึงน่ารักน่าชังนัก

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วที่ไตรทศและจันได้แต่งงานกัน หลังจากคืนเข้าหอทั้งสองก็มิได้ร่วมรักกันอีกเพราะไตรทศติดงานราชการ ในยามกลางคืนก็ต้องทำแต่เอกสารทำให้มิได้มีเวลามาคลอเคลียเมียมากนัก
“หนูจันเป็นอย่างไรบ้างลูก” คุณหญิงนิ่มเอ่ยถามลูกสะใภ้ของตนที่มาเยี่ยมเยือนที่เรือนใหญ่ จับไม้จับมือพลิกดูตามเนื้อตัวเพราะกลัวว่าลูกชายจะรุนแรง
“สบายดีขอรับคุณหญิงนิ่ม”
“ตายๆ เรียกแม่เช่นนี้ได้อย่างไร ออเจ้าต้องเรียกแม่ว่าคุณหญิงแม่สิจ้ะ”
“เอ่อ...” จันหันไปมองไตรทศที่ยืนอยู่ด้านหลัง เจ้าตัวกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างน่าหมั่นไส้  “คุณหญิงแม่”
“น่ารักที่สุดเลยลูกสะใภ้คนนี้” คุณหญิงนิ่มลูบหัวจันด้วยความรักใคร่ “แล้วนี่ถูกพี่เขารังแกหรือไม่? หากไตรทศทำอะไรขัดใจบอกแม่ได้เลยหนา”
“ขอรับ” จันยิ้มให้แม่สามีจนตาปิด ในใจก็รู้สึกดีที่ผู้ใหญ่รักและเอ็นดู
“แล้วนี่ท้องรึยังลูก?”
“ห-หา!?” ชายหนุ่มตกใจกับคำถามอยู่มิน้อย
“หากตกใจเช่นนี้คงแปลว่ายัง” คนหญิงส่ายหน้าเอือมระอา “ไร้น้ำยาจริงๆเลยลูกชาย” มิวายหันไปบ่นลูกชายของตน
 “นั่น เจ้าคุณพ่อมาแล้ว” ทั้งสองหันไปมองที่บันไดเรือนเห็นว่าท่านพระยาเกษมกำลังเดินขึ้นมาพร้อมกับใครบางคน
“ว่าอย่างไรลูกชาย ลูกสะใภ้” ทั้งสองก้มลงไหว้ท่านพระยา “นี่หลวงทองดีและลูกสาว ท่านจะมาว่าราชการกับพ่อและพักอยู่ที่เรือนใหญ่สักสองสามวัน” 
หญิงสาวรูปร่างอรชรก้มลงไหว้ทั้งสองด้วยความนอบน้อม หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักจนอดเอ็นดูมิได้
“นี่ไตรทศลูกชายข้า ส่วนนี่จันเป็นลูกสะใภ้” ทั้งสองพ่อลูกเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้วว่าพระยาเกษมมีลูกสะใภ้เป็นแม่เรือน คราแรกก็มิอยากเชื่อแต่พอได้มาเห็นกับตาถึงเข้าใจ
“อิฉันชื่อกานพลูเจ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปไหว้คุณหญิงนิ่ม
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” คุณหญิงรับไว้ด้วยความเอ็นดู
“วันพรุ่งเป็นวันลอยกระทงพอดี ออเจ้าทั้งสองก็อยู่ทำบุญด้วยกันเลยหนา” พระยาเกษมเอ่ยชวน
“เป็นเกียรติมากขอรับ มิอยากจะโอ้อวดแต่กระผมขอบอกเลยว่าแม่กานพลูมีฝีมือทำกระทงได้งามนัก”
“เจ้าคุณพ่อล่ะก็” รอยยิ้มเหนียมอายปรากฏบนใบหน้า แม่หญิงก้มหน้าก้มตาอย่างเคอะเขินเมื่อถูกชม หากเป็นไอ้จันล่ะก็คงชูหน้าชูตารับคำชมเป็นแน่
“กระผมกับจันขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ไตรทศและจันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะปลีกตัวออกมา ไตรทศยังมีงานต้องทำอีกมากจึงมิมีเวลาอยู่สนทนาด้วยนัก
คนทั้งสองและไอ้มิ่งพากันเดินกลับเรือนเล็ก เมื่อไตรทศเดินเข้ามาในห้องทำงานและมีจันตามเข้ามาร่างหนาก็โผกอดเมียรักก่อนจะกดจูบลงบนแก้มนุ่ม
“พี่ไตร...ฉวยโอกาสอีกแล้วหนา”
“ก็เมียพี่น่ารัก พี่ก็ต้องแสดงความรักเป็นธรรมดา” จันยิ้มขำเพื่อแก้เขิน ไตรทศคลายกอดออกเพื่อให้จันได้เป็นอิสระ
“แล้วพี่คิดว่าแม่กานพลูน่ารักหรือไม่?” ถามไปโดยมิคิดอะไรแต่คนฟังกลับคิ้วกระตุก
“เหตุใดจึงถามเช่นนั้น?”
“ข้าแค่อยากรู้” คนตัวโตเริ่มขยับเข้ามาใกล้ สายตาแปรเปลี่ยนเป็นดุราวกับสัตว์ป่า “เอ่อ...”
“อย่าบอกหนาว่าออเจ้าชอบ”
“ม-มิใช่แบบนั้น โธ่...” ร่างถูกดันติดกับผนังห้อง ครั้นจะหนีก็หนีมิได้เพราะคนตัวโตกว่าเอาแขนกันไว้มิให้ออก
“อยู่กับพี่...ห้ามพูดถึงผู้อื่น” ใบหน้าคมเข้มเลื่อนเข้ามาใกล้จนต้องหลับตาปี๋ แต่ความรู้สึกนุ่มหยุ่นบนริมฝีปากกลับทำเอาจันต้องเบิกตาโพลง
ไตรทศเพียงกดจูบแช่ไว้มิได้รุกล้ำแต่อย่างได้เพราะรู้ตัวดีว่าหากรุกล้ำเข้าไปแล้วล่ะก็...ตนจักมิหยุดแค่จูบเป็นแน่
แช่ค้างไว้เพียงครู่จะผละออก ใบหน้าคมเลื่อนลงต่ำมาที่คอระหงไล้เลียจากลำคอลงมาที่ไหปลาร้า
“อะ...อื้อ” กดจูบลงบนไหปลาร้า ไล่มาที่ลาดไหล่ก่อนจะฝากรอยรักสีกุหลาบไว้เป็นการตีตราจอง ใบหน้าหล่อผละออกมองคนรักที่กำลังทำตาหวานเชื่อม
“หากทำให้พี่หึงอีก...” วางมือลงบนสะโพกก่อนจะบีบด้วยความมันเขี้ยว “ออเจ้าจักเดินมิได้ไปหลายวันแน่”
คำขู่ทำเอาจันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ดูจากสายตาจริงจังก็รู้แล้วว่าไตรทศมิได้พูดเล่นและมิได้ขู่แต่กลับคิดที่จะทำจริง
“ข-เข้าใจแล้วจ้ะ...”
“หึ เด็กดี” มือหนาลูบลงบนกลุ่มผม ริมฝีปากกดลงบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่
จันคิดว่าตนมองไตรทศผิดไปเสียแล้ว...ชายผู้นี้ร้ายกว่าที่ตนคิดไว้มากโขนัก
จันปล่อยให้ไตรทศนั่งทำงานส่วนตนเองก็มาที่โรงครัวเพื่อฝึกทำกับข้าวไว้เพราะในภายภาคหน้าจักได้ทำให้ไตรทศกินได้
“ป้าอิ่มทำอะไรอยู่หรือจ้ะ” เอ่ยถามเสียงหวาน ป้าอิ่มจึงยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“ทำแกงเผ็ดฟักทองเจ้าค่ะคุณจัน มาดูสิเจ้าคะป้าจะสอนให้”
“จ้ะป้า”
จันนั่งมองป้าอิ่มเตรียมวัตถุดิบ คร่าวๆที่จันพอรู้ก็คือฟักทอง เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้น ใบมะกรูด พริกแกงเผ็ดที่ป้าอิ่มโขลงไว้แล้วก็หัวกะทิ
 “ขั้นแรกผัดพริกแกงก่อนนะเจ้าคะ”
“เดี๋ยวจันทำเองจ้ะป้า” จันขันอาสาเป็นผู้ลงมือทำด้วยความตื่นเต้น
“ระวังนะเจ้าคะ น้ำมันร้อนๆเมื่อโดนพริกแกงมันจะกระเด็นได้เจ้าค่ะ” จันพยักหน้าเชื่อฟัง ตั้งกระทะพร้อมกับหยอดน้ำมันลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำมันร้อนจึงใส่พริกแกงลงไปผัด
เป็นอย่างที่ป้าอิ่มว่า น้ำมันกระเด็นกระดอนไปมาทุกทิศทางจนจันแทบหลบมิทัน ป้าอิ่มและพวกทาสต่างพากันหัวเราะท่าทางโก๊ะกังของเมียผู้เป็นนาย
กลิ่นพริกแกงหอมๆโชยไปทั่วโรงครัว พวกทาสต่างพากันมามุงดูด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็อยากรู้ว่าฝีมือของจันจะอร่อยสู้ป้าอิ่มหรือไม่
“พอเริ่มหอมแล้วให้ใส่กะทิลงไปเจ้าค่ะ” จันหยิบเอากะละมังใบเล็กที่ใส่หัวกะทิขึ้นมาก่อนจะค่อยๆเทลงไปช้าช้า
“ยังไงต่อจ้ะป้า”
“ผัดจนแตกมันแล้วค่อยใส่หมูเจ้าค่ะ” จันพยักหน้ารับ ผัดพริกแกงให้รวมเข้ากับกะทิ ในใจก็นึกว่าแตกมันนี่เป็นยังไงหนอ เกิดมามิเคยได้ยิน
“เอ่อ...” ชายหนุ่มเกาแก้มด้วยความอาย “แตกมันนี่เป็นยังไงหรือป้าอิ่ม”
พวกทาสพากันยิ้มหัวเราะด้วยความเอ็นดู
“ลองมองในกระทะตอนนี้นะเจ้าคะ นี่แหละเจ้าค่ะที่เขาเรียกว่าแตกมัน” จันก้มลงมองในกระทะจึงเห็นว่ากะทิมีความข้นขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงใส่เนื้อหมูลงไปผัด
“หากหมูสุกแล้วนำฟักทองลงไปผัดได้เลยเจ้าค่ะ”
“จ้ะป้า” จันผัดเนื้อหมูไปมา สังเกตดูไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าเนื้อหมูเริ่มเปลี่ยนสีแล้วจึงรู้ได้ว่ามันสุก
“ปรุงรสเลยเจ้าค่ะ ใส่น้ำตาลปึกแล้วก็น้ำปลา” นางหวานที่อยู่ใกล้เครื่องปรุงคอยหยิบจับของให้มิขาดสาย
“ขอบใจจ้ะ” จันยิ้มให้ทาสสาว พวกทาสต่างพากันรักใคร่จันเพราะมิมีนายที่ใดเขาพูดขอบใจหรือขอโทษพวกทาสดอก ยกเว้นจัน
ชายหนุ่มค่อยๆหักน้ำตาลปึกลงไปก่อนจะหยิบเอาโถน้ำปลาขึ้นมาใช้ช้อนตักเพราะมิกล้าเทลงไปตรงๆ
“ฉีกใบมะกรูดลงไปเลยเจ้าค่ะ” จันพยักหนา กำใบมะกรูดจำนวนมากมาก่อนจะฉีกลงไปในกระทะ ดูไปดูมาก็คล้ายผัดใบมะกรูดใส่หมูเสียมากกว่า
“เสร็จแล้ว!” จันแหวด้วยความดีใจ ยกกระทะออกมาตั้งนอกเตาก่อนจะตักให้พวกทาสช่วยชิม
จะปฏิเสธก็มิได้พวกมันจึงต้องยอมกินตามคำขอ เมื่อแกงเผ็ดฟักทองเข้าปากพวกทาสต่างก็พากันมองหน้ากันไปมา
“อร่อยหรือไม่จ้ะ?” พวกทาสพร้อมใจกันพยักหน้า
เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มร่า รีบตักใส่ถ้วยเพื่อนำขึ้นไปให้ไตรทศที่นั่งอยู่ในห้องทำงานกิน
“พี่ไตรต้องชอบแน่เลย” ปากบ่นพึมพำไปตักไป ป้าอิ่มมองก่อนจะยิ้มด้วยความเอ็นดู นึกดีใจที่คุณท่านคนเล็กมีเมียที่รักและใส่ใจถึงเพียงนี้
“ขอบใจป้าอิ่มมากนะจ้ะ ข้าลองเอาไปให้พี่ไตรกินดูก่อนหนา”
“เจ้าค่ะ” ป้าอิ่มพยักหน้า
จันถือถาดไม้ใส่สำรับกับข้าวที่ประกอบไปข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จและแกงเผ็ดที่ตนทำขึ้นไปหาคนพี่ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเล็ดลอดออกมาจากประตูห้องทำงานที่เปิดอยู่
“เจ้าคุณพ่อให้นำสำรับมาให้ท่านไตรทศเจ้าค่ะ” เสียงแม่หญิงกานพลู จันจำได้
“ฝากขอบน้ำใจท่านด้วยหนา”
“สำรับนี้อิฉันทำเอง หากมิถูกปากก็ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”
“แค่ออเจ้าทำมาให้ข้าก็เกรงใจมากแล้ว”
“เจ้าค่ะ” จันแอบลอบมองจึงเห็นว่าทั้งสองกำลังยืนคุยกันอยู่ “อิฉันขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ไตรทศพยักหน้าให้ก่อนจะรับไหว้แม่หญิงตามมารยาท เมื่อเห็นว่าสาวเจ้าจะเดินมาทางประตูจันจึงเลี่ยงหลบไปอีกด้านของประตู ทำให้ผู้ที่เดินออกมามิสังเกตเห็น
จันถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงจากห้องทำงานเพราะดูเหมือนว่าไตรทศจะมิได้กินสำรับฝีมือตนเสียแล้ว
“ออเจ้ากำลังจะไปไหนรึ” คิดจะย่องหนีแต่กลับโดนเจอเข้าเสียได้ “พี่เห็นว่าออเจ้าออกไปเสียนานจึงกำลังจะออกไปตาม”
เสียงไตรทศดังจากด้านหลัง แต่จันมิยอมหันไปเพราะกลัวว่าคนพี่จะเห็นถาดไม้ที่ตนถืออยู่ 
“เอ่อ...” มิมีคำใดจะเอื้อนเอ่ย
“แล้วนั่นถืออะไรอยู่”
“...” จะรอคำตอบก็รอนาน ไตรทศจึงเดินไปดักข้างหน้า สายตาคมทอดมองแกงเผ็ดฟักทองและข้าวสวยในถาดไม้ “สำรับรึ?”
เห็นอยู่ยังจะถามอีก จันบ่นในใจ
“แล้วจะยกไปที่ใด?”
“ข้าก็กะว่าจะเอาไปให้ไอ้มิ่งกิน เพราะดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะมีสำรับให้กินอยู่แล้ว” พูดพร้อมกับเสมองไปทางอื่น ดูก็รู้ว่าเมียกำลังน้อยใจ
“ออเจ้าทำเองรึ?” ถามพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“อือ”
“ออเจ้าน้อยใจพี่หรือ?” เสียงคนถามดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
คนปากแข็งมิยอมพูดให้มากความ คิดจะเดินเลี่ยงอีกคราแต่ก็โดนดักไว้
“ข้าจะไปหาไอ้มิ่ง”
“โธ่...ออเจ้าทำมาให้พี่มิใช่หรือ?”
“แต่พี่มีสำรับอยู่แล้ว”
“แต่พี่อยากกินฝีมือเมียของพี่มากกว่าของหญิงอื่น” จันแทบจะเผลอยิ้มกับคำพูดหว่านล้อมแต่ก็ต้องทำสีหน้าให้ตึงเข้าไว้
“ของข้ามิอร่อยเช่นของแม่กานพลูดอก ข้ามิใช่กุลสตรีที่ทำอาหารเป็น หากกินไปพี่คงจะท้องเสียเปล่าๆ”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง...” ไตรทศเดินอ้อมมาข้างหลัง วางมือลงบนลาดไหล่ก่อนจะกระซิบข้างหู “พี่ขอยอมท้องเสีย”
ใบหน้าของจันพลันเห่อร้อนและขึ้นสีแดงระเรื่อ ไตรทศยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อทำให้จันเสียอาการได้
 “ถ-ถ้าพี่ท้องเสียอย่ามาว่าข้าก็แล้วกัน”
ไตรทศและจันพากันเดินกลับเข้ามาในห้อง สำรับของแม่หญิงกานพลูถูกส่งให้ไอ้มิ่งไป ส่วนไตรทศเลือกที่จะกินแกงเผ็ดที่เมียตนทำแทน
เมื่อคำแรกเข้าปากไปจันจึงใจจดใจจ่อกับการมองคนพี่เคี้ยวก่อนจะกลืนลงท้อง
“อร่อยหรือไม่?”
“อร่อย” คำตอบที่ได้ยินส่งผลให้จันก้มหน้ายิ้มออกมาเพราะมิอยากให้ไตรทศสังเกตเห็น แต่หารู้ไม่ว่าคันฉ่องภายในห้องกำลังสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าที่กำลังยิ้มด้วยใจเปี่ยมสุขของตนเอง
ไตรทศมองเมียของตนที่กำลังยิ้มด้วยความเขินอาย ทั้งรักทั้งเอ็นดูแถมยังทำตัวเป็นเมียที่ดีเช่นนี้...หัวใจไตรทศผู้นี้จะไปไหนเสีย นอกจากไปอยู่กับเมียรักเช่นจัน

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-11-2019 22:12:38
น่ารัก  :mew3:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-11-2019 09:22:40
แต่งกันแล้ว~
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-11-2019 11:52:05
รักเมียดีมากค่า
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-11-2019 17:24:24
กับข้าวหญิงอื่นฤๅจะสู้กับข้าวฝีมือเมีย
พี่ไตรคนหลงเมียยยยยย
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-11-2019 23:06:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 18 (10/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-11-2019 07:37:19
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 15-11-2019 21:43:27
บทที่ ๑๙

“ตรงนี้ยังมิถูกนะเจ้าคะ”
“ผิดอีกแล้วรึ?”
จันทำหน้าบูดบึ้งเป็นรอบที่ร้อยของวันได้แล้วกระมัง เพราะการพับใบตองให้เป็นกลีบมันช่างมิใช่เรื่องง่ายสำหรับชายหนุ่มตัวเท่าลูกควายเฉกเช่นจันเลยแม้แต่น้อย
“พับเข้าหากันแบบนี้เจ้าคะ”
จันมองตามมือของทาสสาวในเรือนใหญ่ที่อาสาเป็นผู้สอนจันทำกระทง มือสตรีเพศย่อมเล็กกว่ามือของบุรุษเพศ การพับใบตองให้มีขนาดเล็กจึงดูมิยากเย็น
ไตรทศ พระยาเกษมและหลวงทองดีติดว่าราชการที่พระนครจึงมิได้อยู่ดูการประดิษฐ์กระทง ในตอนนี้บนเรือนจึงมีเพียงแค่จัน แม่กานพลูและคุณหญิงนิ่ม
ชายหนุ่มลองตั้งใจพับอีกคราแต่ใบตองที่สุดแสนจะเปราะบางก็ขาดคามือเอาเสียดื้อๆ
“ขาดอีกแล้ว...” จันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คุณหญิงนิ่มที่นั่งร้อยมาลัยอยู่มิไกลจึงหันมอง
“เป็นอะไรไปหรือออเจ้า?”
“กระผมพับใบตองมิได้ขอรับ” คุณหญิงยิ้มเอ็นดูจันที่นั่งทำหน้างอง้ำ ดูก็รู้ว่าลูกสะใภ้ตั้งใจจะทำกระทงให้ไตรทศ
“ไหน ขอแม่ดูทีฤา” คุณหญิงลุกจากที่นั่งเดินมาทางจันที่นั่งกับพื้นเรือน “ดูตามแม่ดีๆหนา”
คุณหญิงเริ่มลงมือพับให้จันดูเพื่อเป็นตัวอย่าง จันมองตามและจดจำวิธีการพับ
“ไหนออเจ้าลองทำซิ”
“ขอรับ” จันพยักหน้าก่อนจะลงมือพับอีกครั้ง
“ออเจ้าลองผ่อนแรงลงสักนิด”
ด้วยความที่เป็นชายจันจึงถนัดทำงานที่ต้องใช้แรงมากกว่าการใช้ความอ่อนโยน ทำให้การกะแรงของมือที่จับใบตองนั้นช่างยากนัก เมื่อโดนติงจึงค่อยๆผ่อนแรงลงและพับใบตองเข้าหากันให้เป็นรูปคล้ายกลีบดอกไม้
“เช่นนี้แล” คุณหญิงยิ้มให้ลูกสะใภ้ที่พับใบตองจนสำเร็จได้ จันเองก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ความรู้สึกอุ่นวาบที่อกทำให้รู้สึกดีพิกล นี่คงจะเป็นความรู้สึกของการมีแม่สิหนา
“กระทงของอิฉันเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานดังขึ้นเรียกความสนใจของคุณหญิงและจันให้หันไปมอง
กระทงใบตองที่ไล่สีจากเข้มไปอ่อนทั้งยังประดับด้วยดอกไม้ชวนให้น่ามอง ทั้งยังมีความประณีตและความละเอียดดูก็รู้ว่าผู้ทำตั้งใจทำถึงเพียงใด
“สวยมากเลยออเจ้า มิผิดแปลกไปจากที่หลวงทองดีคุยไว้สักนิด” คุณหญิงเอ่ยชมกระทงในมือของหญิงสาว มันสวยจริงดั่งที่คุณหญิงชม พวกนางทาสต่างพากันมามุงดู แม่กานพลูจึงยิ้มรับคำชมเอาไว้
ต่างจากของจันที่ยังมิไปถึงไหนทั้งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ก็ถึงเพลาชายแล้วก็ยังมิมีความคืบหน้าเพราะมัวสนใจแต่พับใบตอง
“คุณจันอยากให้อิฉันช่วยทำตรงไหนรึไม่เจ้าคะ?” กานพลูเอ่ยถาม
“มิเป็นไรจ้ะ ข้าอยากขอทำเองดู” จันยิ้มรับด้วยความยินดี ถึงมันจะทำยากเพราะตนมิได้มีการฝึกความเป็นกุลสตรีมาตั้งแต่เด็กเช่นแม่กานพลูแต่จันก็อยากพยายามให้ถึงที่สุดเสียก่อน
กานพลูพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “หากเป็นเช่นนั้นอิฉันจะช่วยคุณหญิงร้อยมาลัยนะเจ้าคะ”
“ลูกจันทำเองได้หรือไม่ลูก?” คุณหญิงนิ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะตนเองเข้าใจดีว่าจันมิเคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน
“ได้ขอรับคุณหญิงแม่”
“มีอะไรก็บอกแม่ได้เลยหนา แม่จะนั่งอยู่มิไกลมากนัก”
“ขอรับ” จันยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ เมื่อพูดคุยเสร็จคุณหญิงจึงกลับไปนั่งร้อยพวงมาลัยบนตั่งไม้ตัวใหญ่ตามเดิม เหลือไว้เพียงจันและพวกทาสที่นั่งทำกระทงต่อ
มีบางช่วงที่ต้องใช้เข็มและด้ายเย็บทำให้มือของจันเต็มไปด้วยรอยเข็มที่โดนมือยามแทงผ่านใบตอง
ใช้เวลาอยู่หลายชั่วยามกว่ากระทงจะเสร็จ จันนั่งมองผลงานของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้มันจะมิสวยและประณีตเท่าของแม่กานพลูแต่จันก็ภูมิใจที่ทำออกมาได้จนเสร็จ
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณพี่” คุณหญิงนิ่มเอ่ยทักพระยาเกษมที่เดินขึ้นมาบนเรือนจันจึงหันไปมองตาม ไตรทศที่ไปว่าราชการเสียนานก็เดินตามผู้เป็นพ่อมาด้วยเช่นกัน
ทั้งสองมองตากันก่อนจะยิ้มน้อยๆส่งผ่านความคิดถึงผ่านทางสายตา จะบอกว่ารักว่าคิดถึงก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยตั้งหลายคน
“กระทงเป็นอย่างไรบ้าง?” พระยาเกษมเอ่ยถาม
“พวกอิฉันทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ดูของลูกจันสิเจ้าคะ ทำครั้งแรกแต่ทำออกมาได้งามนัก” คุณหญิงเอ่ยชมให้กำลังใจพร้อมกับยิ้มให้
“อืม งามจริงดั่งว่า”
“ขอบพระคุณขอรับ” จันยิ้มก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณพ่อตาของตน 
“ของแม่กานพลูก็งามนัก สมคำคุยเสียจริง” แม่กานพลูพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มรับคำชมจากผู้ใหญ่
“เอาล่ะ พากันกินสำรับเสียก่อน เมื่อกินเสร็จค่อยไปลอยกระทงกัน”
พระยาเกษมพูดก่อนจะเดินนำคนบนเรือนไปที่สำรับอาหารที่พวกนางทาสพากันนำอาหารทั้งคาวหวานมาเรียงไว้จนเต็มโต๊ะไม้ยาว
“เมียใคร เก่งเสียจริง” ไตรทศเอ่ยกระซิบข้างหูของจันในขณะที่กำลังเดิน
จันยิ้มด้วยความพอใจที่อย่างน้อยตนก็ทำกระทงออกมาให้สวยได้ แต่ก็คงจะแย่หากมิมีพวกทาสสาวในเรือนคอยช่วย
ทั้งหมดพากันนั่งกินสำรับอาหาร ไตรทศคอยตักนั่นตักนี่ใส่จานของจันมิขาดสายดั่งกลัวว่าเมียของตนจะผอม
ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่รวมถึงหลวงทองดีและแม่หญิงกานพลูด้วย
เวลาพลบค่ำมาถึง ระหว่างทางไปตลาดใหญ่มีโคมไฟน้อยใหญ่ประดับประดามากมายจนสว่างไปทั่วบริเวณ
ผู้คนมากมายหลั่งไหลมารวมตัวกันที่วัดเพราะมีการก่อเจดีย์จากทราย จันมองเด็กเล็กที่กำลังพากันนั่งก่อทรายเล่นด้วยความสนอกสนใจ เพราะจันในวัยเด็กก็ชอบมาก่อเจดีย์ทรายเช่นกัน
สายตกสนอกสนใจแกมซุกซนส่งผลให้คนโตกว่ายิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะสอดประสานมือจับกุมกันไว้เพราะกลัวว่าเจ้าแมวดื้อตัวนี้จะหนีหายไปกับผู้คนที่เริ่มมากขึ้น
“ไปลอยกระทงกันเถิดออเจ้า” ไตรทศเอ่ยชวนจันจึงพยักหน้ารับ
ไตรทศมีหน้าที่ถือกระทงที่จันทำ ระหว่างทางเดินไปที่คลองหลังวัดมีผู้คนพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา มีเสียงดนตรีคอยกล่อมผู้คนให้สนุกครื้นเครงไปกับบรรยากาศ
เมื่อมาถึงทั้งสองจึงนั่งลงตรงท่าน้ำ ด้านข้างมีคบเพลิงไว้ให้ใช้จุดธูปและเทียน จันมองตามคนพี่ที่กำลังจุดธูปและเทียน ยามใบหน้าหล่อคมต้องแสงเทียนยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูหล่อขึ้นเป็นกอง
“อธิษฐานสิจัน” จันพยักหน้า รับกระทงมาถือไว้คนละข้างกับไตรทศก่อนจะหลับตาลงเพื่ออธิษฐาน
‘ชาติหน้าฉันใดหากเราสองมีบุญต่อกันจริง ขอให้กระผมและชายผู้นี้ที่กระผมรักได้เกิดมาคู่กันอีกครั้ง’
เมื่ออธิษฐานเสร็จจึงลอบมองคนพี่ที่กำลังหลับตาเพื่ออธิษฐาน จันนึกสงสัยนักว่าไตรทศขอสิ่งใดเหตุใดจึงนานนัก
เมื่อไตรทศลืมตาจันจึงเสมองไปทางอื่นเพราะมิอยากถูกจับใจว่าตนแอบมองหน้าอีกฝ่ายอยู่นานโข
กระทงที่จันบรรจงทำถูกปล่อยลงสู่ลำคลอง ถูกกระแสน้ำพัดพาออกไปไกลจากตลิ่งขึ้นเรื่อยๆจนหายลับไปกับหมู่มวลกระทงของผู้อื่นในที่สุด
“เราไปเดินดูงานวัดกันดีรึไม่?” คำชักชวนทำเอาจันเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
“ไปจ้ะ”
“หึ เด็กหนอเด็ก”
มืออุ่นลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มด้วยความเอ็นดู จันมิขัดทั้งยังเอียงศีรษะรับเสียอีก ทำเอาผู้กระทำอยากพากลับเรือนเสียตอนนี้เพราะมิอยากให้ผู้ใดเห็นเมียตนที่กำลังทำท่าทางน่ารักน่าชัง
งานวัดมีของมาขายมากมายทั้งขนมและของเล่นเด็กที่พวกชาวบ้านเป็นผู้ลงมือทำและยังมีสินค้าที่มาจากประเทศอื่นเช่นจีนและโปรตุเกส
“นั่นขนมฝอยทองมิใช่รึ?” จันเดินเข้าไปดูขนมที่วางแผงไว้ละลานตา ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะให้ความสนใจกับของกินมากเป็นพิเศษ “พี่ไตร...ข้าซื้อได้รึไม่?” จันหันไปถามไตรทศที่ยืนมองอยู่มิไกล
“อยากเอาเท่าใดก็เอาเถิด” เมื่อได้รับคำอนุญาตจันจึงบอกจำนวนที่ต้องการซื้อแก่แม่ค้าและแน่นอนว่าผู้จ่ายคือไตรทศ
ระหว่างที่จันเลือกซื้อขนมอยู่นั้นสายตาของไตรทศก็หันไปเห็นเสื้อที่ทำจากผ้าไหม มันเป็นเสื้อแขนยาวทรงกระบอกมีสีคล้ายงาช้าง หากจันใส่คงจะดูดีมิน้อย
เมื่อคิดดังนั้นไตรทศจึงเดินเข้าไปดูภายในร้านก่อนจะเลือกซื้อมาสองตัวให้จันหนึ่งตัวและอีกตัวซื้อให้ตัวเอง...จะได้ใส่คู่กัน
“ข้าซื้อเสร็จแล้ว”
“ออเจ้าต้องการสิ่งใดอีกรึไม่?” จันส่ายหน้า “พี่เห็นออเจ้ายืนดูเด็กก่อกองทราย ออเจ้าใคร่จะก่อบ้างรึไม่?”
“อยากจ้ะ!”
มือเล็กเอื้อมมากอบกุมมือของไตรทศอย่างลืมตัว ดึงให้คนตัวโตเดินตามไปข้างหน้าที่ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับก่อเจดีย์ทรายที่จันเดินผ่านก่อนหน้านี้
ทั้งสองนั่งลงตรงกองทรายที่ชาวบ้านพากันขนเข้ามากองไว้ ขนมมากมายถูกฝากไว้ที่พวกทาสที่ยืนรออยู่ก่อนหน้า
จันลงมือก่อกองทรายขึ้นเป็นรูปร่างของเจดีย์ ใบหน้าหล่อเปื้อนรอยยิ้มยามที่ก่อทรายขึ้นเป็นรูปร่าง เป็นภาพที่ทำให้คนอายุมากเช่นไตรทศเผลอยิ้มออกมาได้โดยง่าย
“พี่จัน!” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นก่อนจะมีหญิงสาวหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาจันที่นั่งก่อทรายอยู่
“อ้าว บุหงาเองหรอกรึ”
“มิเจอเสียนาน ข้าคิดถึ๊งคิดถึง~” เด็กสาวโผกอดจันด้วยความคิดถึงโดยที่มิรู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังมองด้วยสายตาที่แสนจะน่ากลัว
“พอก่อนๆ เกินไปแล้วนะเอ็ง” จันดีดหน้าผากบุหงาไปหนึ่งทีเพื่อเตือนแต่เด็กสาวก็หาได้สนใจไม่ กลับยิ้มแย้มกว่าเดิมเสียอีก
“บุหงา!” จันเงยหน้ามองผู้ที่เรียกบุหงา
“พ-พี่มั่น!”
“มานี่เลยเอ็ง อย่าไปเจ๊าะแจ๊ะกับเพื่อนข้า”
“โธ่...พี่ก็รู้ว่าข้าชอบพี่จัน” จันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมองไตรทศที่นั่งอยู่ข้างๆ...
“เอ่อ...”
‘กลับไปโดนดีแน่’ ไตรทศมิได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมาหากแต่เป็นสายตาคมที่บอกเช่นนั้น
“มาเลยๆ”
“พี่มั่น! พี่จันจ๋าช่วยข้าด้วยย” จันมองตามบุหงาที่โดนมั่นลากออกไปจากบริเวณนั้น จะให้ช่วยบุหงาได้อย่างไรในเมื่อยามนี้จันเองก็รู้สึกเหมือนดั่งว่าจะเอาตัวเองมิรอดเช่นกัน...

“อึก..พ-พี่ไตร...พอแล้ว”
“เสน่ห์แรงนักนะแม่คุณ” สรรพนามที่ถูกใช้เรียกทำเอาจันอายจนหน้าแดงหูแดงไปหมด ริมฝีปากที่โดนกระหน่ำจูบก็ช้ำจนบวมเจ่อ
ริมฝีปากสีระเรื่อถูกกดจูบอีกคราเป็นครั้งที่เท่าใดก็มิอาจนับได้ หลังกลับจากวัดจันก็โดนไตรทศ ‘รังแก’ จนแข้งขาไร้เรี่ยวแรงไปหมด
“ข้า...ข้าผิดไปแล้ว แฮ่ก..”
เสียงหอบดังระงมด้วยแรงอารมณ์ที่คุกรุ่น ตามผิวเนียนมีแต่รอยรักสีกุหลาบเต็มไปทุกพื้นที่ รูปร่างที่สมบูรณ์ได้ที่ของจันทำให้ไตรทศจับลงไปที่ใดก็เต็มไม้เต็มมือไปเสียหมด โดยเฉพาะบั้นท้ายขาวเนียนที่ไตรทศชอบนักหนา
ริมฝีปากเอาแต่ใจของคนพี่เลื่อนลงต่ำก่อนจะกดจูบลงบนไหปลาร้า ไล่ลงมาที่ยอดอกสีสวยเพื่อเรียกเสียงกระเส่าจากคนที่นอนหอบอยู่ใต้ร่าง ส่งลิ้นสากไล้เลียที่หน้าท้องสวยก่อนจะจบลงที่รอยปานรูปดอกไม้ที่เอวคอด
พรมจูบลงบนปานด้วยความรักใคร่ “สวย...คราแรกที่พี่เห็นว่าสวยยังไง ในยามนี้ปานนี้ก็ยังคงสวยอย่างนั้น”
คำพูดนั้นทำให้จันหวนนึกถึงครั้งที่จันเคยต่อยตีกับทาสของหมื่นเดชาจนได้แผลหลายที่ แต่ก็ได้ไตรทศพากลับเรือนมากและรักษาให้จนอาการของตนบรรเทาลง และครานั้นยังเป็นคราแรกที่มีคนชมว่าปานของจันนั้นสวย...
“พี่ไตร...” น้ำตาหยดน้อยพลันร่วงผล็อยลงบนหมอน
“เป็นอะไรไปเมียพี่ ใยจึงร้องไห้เล่า...” นิ้วเรียวยาวเช็ดหยดน้ำตาของเมียรักออกจากแก้มนวลพร้อมกับเอ่ยถาม
“ข้า...ข้ารักพี่” เคยมิชอบและเคยพูดมิดีใส่ไตรทศไปหลายครา แต่ทุกคราไตรทศก็มิถือสาทั้งยังให้อภัยตนเสมอมา ความจริงข้อนี้ทำให้จันรู้สึกผิดมิน้อย
“พี่ก็รักออเจ้าหนา” น้ำตาของจันยังคงมิหยุดไหล ไตรทศจึงทำสิ่งใดมิได้นอกจากเอ่ยปลอบประโลม “...มิร้องหนาเมียรักของพี่”
ฝ่ามืออุ่นจับประคองหน้าของจันไว้ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มนวลด้วยความรักใคร่
เมื่อหยุดร้องจันจึงเปลี่ยนท่ามานอนอยู่ด้านบนให้คนพี่นอนอยู่ด้านล่าง สองร่างเปลือยเปล่านอนกอดกันมิยอมจากกันไปไหน ทั้งสุขใจ ทั้งรักและอยากให้เวลาหยุดลงที่ตรงนี้
“ข้ารักพี่...”
“หึ...รู้แล้วเจ้าตัวแสบ” มือหนาบีบลงบนจมูกเชิดรั้นด้วยความเอ็นดู
“ฮื่ออ” จันร้องอย่างขัดใจเมื่อถูกแกล้ง
“ไหนออเจ้าลองเรียกพี่ใหม่ซิ”
“เรียกใหม่รึ?” จันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ใช่”
“จะให้ข้าเรียกว่าอย่างไรเล่า”
“ผัวจ๋า”
“พี่ไตร!” มือเล็กตีลงบนแผ่นอกกว้าง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ แทนที่จะเจ็บไตรทศกลับหัวเราะด้วยความชอบใจแทน 
“พี่พูดเล่น...”
มือเล็กถูกจับเอาไว้ด้วยมือที่ใหญ่กว่า ไตรทศกดจูบลงบนฝ่ามือของเมียรักก่อนจะส่งสายตาขึ้นมองจันที่กำลังขวยเขิน
“เรียกพี่ว่า ‘คุณพี่’ สิ ปกติผัวเมียเขาเรียกกันแบบนี้ทั้งนั้น” ยิ่งแล้วใหญ่ ความเห่อร้อนที่ใบหน้าเข้าเล่นงานจนจันไปต่อมิเป็น
“ถ้าข้ามิเรียกเล่า”
“ผัวผู้นี้คงจะน้อยใจเมียมากเป็นแน่” คำพูดพร้อมใบหน้าระคนความน้อยใจทำเอาจันในอ่อนยวบ
“ก็ได้ๆ...” จันสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเอ่ยคำพูดที่น่าอายที่สุดออกมา  “ค-คุณพี่ไตร...”
“เห้อ...” เสียงถอนหายใจทำเอาใจจันแป้ว “รับผิดชอบมาเสียแม่ตัวดี” 
กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ไตรทศพูดคือสิ่งใดร่างกายก็ถูกกดทับจากไตรทศอีกรอบ ความแข็งขืนทำเอาจันเบิกตากว้าง สองรอบที่ผ่านมายังมิพออีกรึ!
“ด-เดี๋ยว!”
“สงสัยวันพรุ่งพี่คงต้องลางานเสียแล้ว...”
“อะ...อ๊า!”


หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:09:20
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-11-2019 02:42:11
 :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-11-2019 03:05:28
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-11-2019 07:12:19
อีกไม่นานคงท้อง
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 19 (15/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2019 08:29:26
 :o8 :o8:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 20 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 21-11-2019 21:45:21
บทที่ ๒๐

“เดินทางกลับปลอดภัยนะเจ้าคะคุณหลวง”
“ขอบพระคุณขอรับคุณหญิง”
วันนี้คือวันที่หลวงทองดีมีกำหนดกลับละโว้เพราะว่าราชการจนเสร็จสิ้นแล้วจึงมิมีเหตุที่จักต้องอยู่ต่อ
“หากว่างก็มาเยี่ยมเยือนกันบ้างนะจ้ะแม่กานพลู”
“เจ้าค่ะคุณหญิง” หญิงสาวยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อเป็นการเอ่ยลา
“ถ้าเช่นนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ” ทั้งคุณหญิงนิ่มและพระยาเกษมพยักหน้าให้
เมื่อร่ำลากันเสร็จทั้งสองพ่อลูกจึงเดินลงจากเรือนไปโดยที่มีทาสในเรือนของพระยาเกษมเป็นผู้พาไปส่งที่ท่าน้ำ
“ไอ้มิ่ง” คุณหญิงนิ่มเอ่ยเรียกไอ้มิ่งที่มาเอาตัวยาที่เรือนใหญ่
“ขอรับคุณหญิง”
“ไตรทศกับลูกจันไปไหนเล่า เหตุใดจึงมิมาร่ำลาหลวงทองดี”
“เอ่อ...” มันเกาแก้มด้วยความกระดากอาย “เมื่อคืนวานหนักไปหน่อยขอรับ”
“ตายแล้ว...” คุณหญิงใช้มือทาบอก “เห็นทีข้าคงได้อุ้มหลานในเร็ววันเป็นแน่”
ไอ้มิ่งค้อมหัวให้ผู้เป็นนายก่อนจะเดินกลับเรือนเล็กเพื่อนำตัวยาที่ไตรทศสั่งให้มาเอาไปต้ม เป็นยาบำรุงกำลังและบำรุงร่างกายทั้งสิ้นมันจึงมิต้องเดาว่าเหตุใดนายของมันถึงมิยอมออกจากห้องหับเสียที
เมื่อต้มเสร็จมันจึงเดินไปที่หน้าห้องและเคาะประตูเรียก มินานไตรทศจึงเปิดประตูออกมาเพื่อเอายา
ไอ้มิ่งถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าตามแผ่นอกของนายมันที่ไร้อาภรณ์ปกปิดนั้นเต็มไปด้วยรอยเล็บและรอยแดง
“เอายามาทาแผลด้วยรึไม่ขอรับคุณท่าน?” มันมองไปซี้ดปากไปด้วยความแสบแทนนายของตน
“มิต้อง เอ็งไปพักเถอะ”
“ขอรับ”
เมื่อประตูปิดลงมันจึงเดินเลี่ยงออกมา
“จัน” มือหนาสัมผัสลงบนแก้วนิ่มเพื่อปลุกให้ตื่น
“อือ...” ชายหนุ่มยังนอนมิรู้เรื่อง คิ้วขมวดเมื่อถูกรบกวนการนอน
“ตื่นเถิดออเจ้า”
“...”
“หากมิตื่นพี่จะทำอีกรอบดีรึไม่?” เสียงพูดใกล้ใบหูทำเอาจันผวาตื่น
“พ-พอเลยพี่ไตร ข้าตื่นแล้ว” ใบหน้าจิ้มลิ้มขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ไตรทศยิ้มขำก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว
“กินยาเสียหน่อยหนา”
“ข้ามิชอบยา...มันขม”
“หรือจะให้พี่ป้อนด้วยปากดี หืม?”
“ไม่ๆ ข้ากินเองก็ได้” จันรับมาด้วยท่าทีอิดออดก่อนจะยกยาต้มในถ้วยขึ้นดื่มพร้อมกับนิ่วหน้าเมื่อความขมแล่นผ่านลิ้นลงสู่ลำคอ
“เด็กดี” มือหนาลูบลงบนกลุ่มผมดำขลับด้วยความรักใคร่
“ข้าโตแล้วหนา” คิ้วชายหนุ่มขมวดมุ่น
“แต่ถึงอย่างไรก็เด็กสำหรับพี่” จันลืมคิดไปว่าไตรทศนั้นอายุมากกว่าตนถึงสิบปี
“พี่แก่แล้วต่างหากเล่า” ไตรทศเลิกคิ้วเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนแก่
“หึ แก่อย่างไรก็ทำให้ออเจ้าร้องระงมมิหยุดได้มิใช่รึ?” คำพูดลามกทำเอาจันไปต่อมิเป็น ใบหน้าขึ้นสีจนรู้สึกเห่อร้อน
“พี่กลายเป็นคนลามกถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” จันยู่ปากจนคนพี่อดเอ็นดูมิได้
“ก็ตั้งแต่เจอออเจ้ากระมัง”
“ข้าเกี่ยวอะไรด้วย?”
“ก็เป็นเพราะออเจ้าพี่จึงหมกมุ่นถึงเพียงนี้ มิรู้รึ?” พูดจบก็ฉวยโอกาสฝังจมูกลงบนแก้มนิ่ม
“ฮื่ออ” เจ้าตัวแสบงอแงเมื่อถูกกระทำจากอีกฝ่าย
วันนี้ไตรทศลางานทั้งวันเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับเมียรัก ที่ผ่านมางานเยอะจนมิค่อยได้หยุดพักทำให้นานๆครั้งถึงจะมีโอกาสเข้านอนพร้อมกัน
ช่วงสายจันมีเรียนทำอาหารกับป้าอิ่ม ช่วงเพลาชายก็มีการฝึกร้อยมาลัยจากดอกไม้สด เพราะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วจันจึงต้องเรียนงานบ้านงานเรือนเหมือนกับสตรีทุกประการ
ดอกพุดถูกรอยเรียงด้วยเข็มร้อยมาลัยจนกลายเป็นพวงมาลัยสวยงาม มีอุบะทำด้วยดอกกุหลาบที่ปลูกอยู่ข้างเรือน
ในมือถือพวงมาลัยแต่สายตากลับมองไตรทศที่นั่งอยู่บนตั่งไม้มิใกล้มิไกลนัก เจ้าของเรือนกำลังนั่งอ่านตำรายาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ถึงแม้ไตรทศจะรับงานราชการแล้วแต่เจ้าตัวก็มิเคยละทิ้งงานหมอยาไปไหน อะไรที่พอช่วยผู้ไข้ได้ก็ยินดีช่วย
เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า
ไอ้จันผู้นี้ถึงได้หลงรัก...
“...แอบมองพี่รึ” คำทักท้วงทำเอาจันแสดงอาการเลิ่กลั่ก ทำท่าทำทางเสมือนว่ามิได้มอง “พี่เห็นดอกหนา”
มิได้เงยหน้าแต่เห็นได้อย่างไร! 
“ลูกจัน พ่อไตร” เสียงเรียกทำให้คนทั้งสองไปหาต้นเสียง คุณหญิงนิ่มเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ชานเรือน
“คุณหญิงแม่” จันวางพวงมาลัยในมือ ลุกขึ้นเพื่อเดินไปประคองให้คุณหญิงนั่งลงบนตั่งไม้
“ขอบใจจ้ะลูก”
“คุณหญิงแม่มีอะไรรึไม่ขอรับ?” ไตรทศเอ่ยถาม
“แม่ได้น้ำผึ้งเดือนห้ามาจึงเอามาฝาก”
“น้ำผึ้ง?” จันหูผึ่งเมื่อได้ยินเพราะน้ำผึ้งนั้นมิได้หาง่ายซ้ำยังมีราคาแพง ทั้งชีวิตจันเองก็ยังมิเคยลิ้มลอง
“ก็แม่เห็นว่าช่วงนี้พวกลูกยุ่งๆกัน...” คุณหญิงเว้นจังหวะเพื่อให้คิดตามว่ายุ่งเรื่องใด “แม่จึงนำมาให้จะได้กินเพื่อบำรุงกำลัง”
ไตรทศยิ้มขำเมื่อรู้ว่ามารดาของตนหมายถึงเรื่องใด มีแต่จันกระมังที่ทำหน้าสงสัยจนน่าเอ็นดู
คุณหญิงเองก็ยิ้มตามลูกชายเสมือนว่าแม่ลูกทั้งสองมีแผนการอยู่ในใจโดยที่จันผู้ใสซื่อมิรู้เรื่องอันใดด้วยเลย
“ขอบพระคุณขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มให้พร้อมกับยกมือไหว้ คุณหญิงจึงรับไหว้ลูกสะใภ้ก่อนจะขอตัวกลับเรือนใหญ่เพราะยังมีงานบ้านงานเรือนอีกมากที่ต้องไปจัดการ
เมื่อคุณหญิงนิ่มกลับไปจันจึงกลับมานั่งร้อยพวงมาลัยต่อโดยที่มิรู้เลยว่าไตรทศกำลังมีแผนการอันใดอยู่ในใจ

หลังกินสำรับอาหารเย็นและอาบน้ำจนเสร็จทั้งสองจึงพากันเข้าห้องนอน ไตรทศลงมือตรวจเอกสารส่วนจันนั้นอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนุ่ม
จันลอบมองคนพี่ที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานเป็นระยะเมื่อเห็นว่าไตรทศยกมือขึ้นบีบไหล่ตัวเองจึงรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเมื่อย
“เดี๋ยวข้าช่วยนวดให้นะจ้ะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหา วางมือลงบนลาดไหล่กว้างก่อนจะออกแรงเพื่อบีบนวด
ไตรทศทำเสียงพอใจเมื่อจันปรนนิบัติตนในฐานะภริยาเป็นอย่างดี มือที่เล็กกว่าบีบนวดได้ถูกจุดจึงทำให้อาการเมื่อยขบหายไปบ้าง
เมื่อสบโอกาสผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงตะปบเข้าที่เอวของจันก่อนจะกดใบหน้าลงบนหน้าท้องนิ่ม
“พี่ไตรทำอะไรรึ!?” จันมองไตรทศที่ซุกอยู่ที่หน้าท้องของตนเองอย่างมิเข้าใจ
“พี่เหนื่อย...ขออยู่แบบนี้สักประเดี๋ยวได้รึไม่?”
“ได้สิ...”
จันถือวิสาสะใช้มือลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับของสามี ไตรทศมิได้ต่อว่าอันใดแต่หากเป็นผู้อื่นคงมิพอใจที่ผู้อายุน้อยกว่ามาแตะต้องเบื้องสูงของตน
คนพี่สูดเอากลิ่นหอมจากกลิ่นกายของจันเข้าปอดด้วยความรักใคร่ ดั่งถูกเยียวยาจนความเหนื่อยล้าหายไปจนหมดสิ้น
ไตรทศผละออกก่อนจะเอ่ยถาม “ออเจ้าอยากลองกินน้ำผึ้งรึไม่?”
“กินตอนนี้รึ?”
“กินตอนนี้แล น้ำผึ้งต้องกินตอนดึกๆ...ถึงจะหวาน” พูดจบก็ใช้มือเปิดลิ้นชักออก ภายในมีขวดน้ำผึ้งขวดเล็กที่ถูกแยกออกมาจากขวดใหญ่อีกที 
“ข้ามิรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชอบกินของหวาน”
“ชอบ...พี่ชอบ” สายตาพร่างพราวมองสำรวจผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายแต่เจ้าจันหารู้ไม่ว่าตนกำลังจะถูกกิน “ออเจ้ารู้วิธีกินน้ำผึ้งรึไม่?” จันส่ายหน้า
“...หากเช่นนั้นพี่จะสอน”

“พ-พี่ไตร...ข้าเหนียวตัว...” น้ำผึ้งเดือนห้าถูกราดลงบนแผ่นอกเนียนขาว ฝ่ามือหนาละเลงน้ำผึ้งไปทั่วยอดอกสีกุหลาบก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์
เรียวลิ้นโฉบลงบนยอดอกสีสวยก่อนจะไล้เลียน้ำผึ้งที่ตนพึ่งราดลงไปเพื่อเรียกเสียงกระเส่าจากผู้ที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่าง
ความหอมหวานแทรกซึมผ่านเรียวลิ้น เป็นรสหวานที่ชิมได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนมิรู้เบื่อ
คนพี่ทั้งดูดทั้งเลียจนตามแผ่นอกขาวมีแต่รอยรักสีกุหลาบฝากไว้ทั่วบริเวณ จันส่งเสียงเครือครางน่าเอ็นดูอยู่ตลอดการกระทำอันจาบจ้วง
“อะ...อื้อ...” กายบางบิดเร้าเพื่อหนีจากคนเจ้าเล่ห์แต่ก็มิเป็นผล ไตรทศเลียจากยอดอกลงต่ำสู่หน้าท้องสวยก่อนจะจบลงที่แอ่งสะดือ
จันนอนหอบหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อคิดว่าการชิม ‘น้ำผึ้ง’ นั้นจบลงแล้ว แต่มิเป็นดั่งความคิดเพราะคนพี่ราดน้ำผึ้งลงบนกลางกายที่กำลังแข็งขืน
“ด-เดี๋ยว พี่จะทำอะไรรึ!?” จันถามด้วยความตกใจ หน้าตาตื่นตระหนกดั่งกระต่ายตื่นตูม
“พี่ก็จะชิม ‘น้ำผึ้ง’ อย่างไรเล่า” เมื่อพูดเสร็จสะโพกของจันจึงถูกยกลอยขึ้น ไตรทศนำหมอนมารองข้างใต้เพื่อให้สะดวกต่อการ ‘ชิม’
ลิ้นสากไล้เลียน้ำผึ้งตามแก่นกายที่เล็กกว่าของตน จันบิดเร้าไปมาด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ที่มิเคยสัมผัสมาก่อน
“อ๊ะ!...พี่ไตร...อื้อ” พยายามสะกดกลั้นเสียงน่าอายไว้แต่ก็มิเป็นผลเมื่อความรู้สึกดีมีมากกว่าความกระดากอาย
ความรู้สึกดีตีตื้นจนจุกอก ยิ่งยามที่ถูกกระทำตรงส่วนปลายยิ่งทำให้เอวบางมิสามารถอยู่นิ่งได้
“แฮ่ก...ข้า...ข้ามิไหวแล้ว” ส่วนกลางกายถูกครอบครองด้วยปากของคนตัวโตกว่า สะโพกที่มิอยู่นิ่งทำให้ไตรทศต้องใช้มือจับเอาไว้เพื่อยึดให้อยู่กับที่
ในยามนี้จันพึ่งตะหนักได้ว่าไตรทศที่ตนคิดว่าอ่อนโยนนั้น
...มิอ่อนโยนเลย
“อ๊ะ..อ่าห์!” น้ำผึ้งสีขาวขุ่นพุ่งออกมาจากส่วนปลาย คนพี่ไล้เลียเก็บทุกหยดมิให้เปรอะเปื้อน เมื่อเห็นดั่งนั้นผู้ที่นอนอยู่ใต้ร่างจึงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาในทันที
“หวาน...” พูดพร้อมทั้งเลียริมฝีปากในคราเดียวกัน ทำเอาคนน้องใจสั่นจนมิกล้าสบสายตาคม “เอ...ตรงนี้ก็มีน้ำผึ้งรึ”
ทำเสียงยียวนดั่งผู้ใสซื่อ สายตาคมมองไปที่ช่องทางสีหวานที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำผึ้งสีอำพันที่ไหลเชื่อมลงมาจากกลางกายเล็ก จันเบิกตาโพลงเมื่อลิ้นสากจรดลงบนรอยจีบสวย
“พ-พี่ไตร! ตรงนั้นมิได้!” พยายามดันศีรษะออกแต่ก็มิเป็นผล ลิ้นร้อนเลียไปทุกส่วนจนคนที่นอนอยู่ใบหน้าเห่อร้อนดั่งถูกไฟสุม
“อ๊ะ...อื้อ ฮึก..” ลิ้นร้อนชำแรกผ่านรอยจีบบุกรุกเข้าสู่ภายในอ่อนนุ่ม ร่างเล็กบิดเร้าไปมาบนเตียงจนผ้าปูยับ นิ้วทั้งห้าขยุ้มลงบนกลุ่มผมสีดำขลับเพื่อระบายความกำหนัด
เมื่อเลียน้ำผึ้งรสหวานจนหมดจดไตรทศจึงฝากรอยรักไว้จนทั่วขาอ่อนด้านใน เป็นที่ที่มิมีผู้ใดสามารถมองเห็นได้แม้แต่ตัวของจันเอง ผู้เดียวที่มีสิทธิ์เห็นคือตนเท่านั้น
ไตรทศผละออกนั่งมองผลงานของตน ร่างเล็กนอนหอบตามขอบปากมีร่องรอยของน้ำลายสีใส นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำตา ตามแผ่นอกและเอวคอดมีแต่รอยรักสีกุหลาบ สายตาหวานเชื่อมถูกส่งมาให้ผู้ที่ศักดิ์สูงกว่า
“สวย...”
คำคำเดียวที่ออกมาจากปากคนเจ้าเล่ห์ จันหลุบตามองต่ำ กลางกายแข็งขืนของไตรทศทำเอาใจดวงน้อยไหวสั่น มันดูแดงก่ำจนน่ากลัวทั้งตรงส่วนปลายยังมีน้ำสีใสปริ่มออกมาจนหยดลงบนหน้าท้องของจัน
กายบางลุกขึ้นนั่ง ไตรทศจดจ้องคนตรงหน้าที่กำลังเอื้อมมือไปหาขวดน้ำผึ้ง
“ข้า...ข้าจะทำให้” คนตัวโตยิ้มกระหยิ่มเมื่อรู้ว่าเมียรักของตนจะทำการอันใด
ขวดน้ำผึ้งถูกเปิดออกก่อนน้ำผึ้งอำพันจะถูกราดลงบนส่วนปลายหยัก มันกระตุกรับจนจันหน้าเห่อร้อนเมื่อมองดู ความใหญ่โตทำให้จันนึกสงสัยว่ามันเข้ามาภายในกายของตนได้อย่างไร
น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคอ ตนอยากทำให้อีกฝ่ายก็จริงแต่กลับทำมิเป็น
ดั่งไตรทศอ่านใจของจันได้ คนพี่ยิ้มขำจนจันมุ่ยหน้าอย่างมิพอใจ
“ค่อยๆเลีย...” คนตัวโตออกปากสั่ง จันจึงทำตามอย่างว่าง่าย
ลิ้นนุ่มสัมผัสลงบนความแข็งขืน มันกระตุกรับเรียวลิ้นชื้นเมื่อถูกกระตุ้นตรงส่วนปลาย ใบหน้าไตรทศเหยเกเมื่อจันไล้เลียตั้งแต่โคนขึ้นมาจนจรดตรงส่วนสีแดงเข้ม
“อึก...ซี๊ด” เสียงเครือครางต่ำอย่างสุขสมทำให้คนที่กำลังปรนเปรอได้ใจ ละเลงเลียเก็บน้ำผึ้งทุกหยาดหยด
“จัน...” เสียงต่ำเรียกชื่อ กายบางชายตาขึ้นมองในขณะที่ลิ้นนุ่มแตะลงบนส่วนปลาย
ภาพตรงหน้าทำเอาไตรทศแทบจะปลดปล่อยแต่ก็จำต้องอดกลั้นไว้เพราะมิอยากให้เวลาอันสุขสมนี้สิ้นสุดลง
“อมเข้าไปสิออเจ้า...แต่ห้ามกัดหนา”
ริมฝีปากเล็กครอบเอากลางกายแข็งตึงเข้าไป ความอ่อนนุ่มภายในเรียกเสียงกระเส่าจากไตรทศได้อย่างมิหยุดหย่อน
สะโพกสอบขยับกระแทกสวนขึ้นเมื่อรู้สึกกำหนัดอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน กลิ่นของความเป็นชายทำให้จันหลงใหลไปกับแรงอารมณ์
รับเอาความใหญ่โตไว้แต่ก็มิสามารถครอบครองได้ทั้งหมดเพราะมันใหญ่เกินไปที่ปากเล็กจะสามารถครอบครองได้
“อื้อ...!” มือหนากดศีรษะของจันไว้เมื่อใกล้ถึงฝั่งฝัน กลางกายร้อนกระแทกกระทั้นจนจันเกือบสำลัก มินานนักก็รู้สึกอุ่นภายในปากเมื่อคนพี่ปลดปล่อย 
“แฮ่ก....” ของเหลวสีขาวขุ่นย้อยออกมาที่มุมปาก
“ออเจ้าอย่ากลื..”
“อึก” มิทันห้ามผู้ที่นั่งอยู่ตรงหว่างขาก็กลืนเอาสิ่งที่คนพี่พึ่งปลดปล่อยออกมาเข้าไป ไตรทศนิ่งอึ้งทำอะไรมิถูก “หวาน...”
ตึก ตัก
ใจคนอายุมากเต้นแรงขึ้นมาเพราะชายหนุ่มวัยกลัดมัน อ้อมแขนกว้างกอดรัดเอากายบางมาซบลงตรงอกอุ่นด้วยความเสน่หา กดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมด้วยความเอ็นดู
“ฮื่อ...” จันส่งเสียงงอแงเมื่อถูกกระทำ “ข้ารักพี่ไตรหนา...”
คนอายุมากกว่ายิ้มออกมาอย่างสุขสม ผละออกหวังจะประกบปากจูบให้ริมฝีปากบางบวมช้ำอีกครา หากแต่ว่าคนในอ้อมกอดกลับหลับหนีตนไปเสียแล้ว
“โธ่เอ้ย...เจ้าจันของพี่” กดจูบลงบนแก้มใส ก่อนจะนำผ้ามาเช็ดทำความสะอาดให้เมียรักจนสะอาดสะอ้าน ทิ้งตัวนอนลงข้างๆพร้อมกับกอดกายบางจนหลับไป

“อึก...แหวะ...” ชายหนุ่มโก่งคออ้วกลงในกระโถนเมื่อได้กลิ่นสำรับอาหารที่ถูกยกมาให้ ไตรทศมองดูเมียด้วยความร้อนใจเพราะห่วงว่าเมียของตนจะเป็นอะไรไป 
“ออกไปรอข้างนอกก่อนนะขอรับ” หมอยาอาวุโสบอกไตรทศที่มิยอมห่างเมีย ใจจริงอยากอยู่ดูแลแต่เพราะขัดมิได้ไตรทศจึงต้องยอมออกมานอกห้อง
“เกิดอะไรขึ้นรึพ่อไตร” คุณหญิงนิ่มรีบมาดูด้วยความร้อนใจเพราะลูกชายให้ไอ้มิ่งไปตามตนแหละหมอยาอาวุโสผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของไตรทศมา
“จันอ้วกมิหยุดเลยขอรับคุณหญิงแม่”
“ตายแล้ว...แล้วน้องเป็นหนักมากรึไม่”
“อุ...แหวะ!” เสียงอ้วกจากภายในห้องทำเอาคุณหญิงรับรู้ได้ทันทีโดยที่ลูกชายมิต้องเอื้อนเอ่ย
“โธ่ลูกจันของแม่” คุณหญิงนิ่มหยิบพัดในมือขึ้นมาพัด สายตาสอดส่องเข้าไปภายในห้องด้วยความร้อนใจ
เมื่อหมอยาออกมาจึงเอ่ยปากซักถามทันที
“ลูกสะใภ้อิฉันเป็นอะไรรึหมอ?”
“อาการค่อนข้างน่าเป็นห่วงนะขอรับคุณหญิง”
“เมียกระผมเป็นอะไรรึขอรับ!?” เมื่อได้ฟังดังนั้นไตรทศจึงเกิดความร้อนใจ
“ท้องขอรับ”
“ตายแล้ว! ข่าวดีเสียจริง” คุณหญิงยิ้มออกมาด้วยความดีใจมิต่างจากไตรทศ
“แต่ท้องแรกอาจจะแพ้ท้องหนัก กระผมอยากให้ดูแลอย่างใกล้ชิดนะขอรับ”
ไตรทศพยักหน้ารับ จันอยากได้หรืออยากกินอะไรตนก็จักหามาให้ จะปรนนิบัติพัดวี มดมิให้ไต่ไรมิให้ตอม
“ออ...ผู้ไข้บอกว่ามิอยากอยู่ใกล้สามีสักระยะนะขอรับ”
“...”
 
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-11-2019 21:56:29
 :pighaun: :haun4: :jul1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-11-2019 22:27:51
ว๊ายยยยยยย โดนลูกเล่นแล้วคุณพ่อ 55555555555555555555
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-11-2019 09:09:56
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-11-2019 20:52:56
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 2 (21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-11-2019 09:10:50
จันท้องแล้ว
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 21 (24/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 24-11-2019 14:33:05
บทที่ ๒๑

   คงเป็นอย่างที่โบราณเขาว่าไว้ แรกๆรักกันจนน้ำต้มผักยังว่าหวาน หลังๆจืดจางจนน้ำตาลยังว่าขม
ไตรทศจ้องมองไปยังเมียรักที่นั่งกินมะม่วงและของหมักดองอยู่อีกฟากของเรือน ท่าทางคงจะอร่อยถูกปากคนท้องอย่างจัน สีหน้าท่าทางมีความสุขกว่าตอนที่อยู่กับตนเสียอีก..
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ที่มิได้นอนด้วยกัน มิได้กอด มิได้หอม มิได้เข้าใกล้  ใจคนเป็นผัวแทบจะแตกสลายเมื่อเมียผลักไสให้ออกห่าง
ถูกลูกเล่นเสียแล้วเจ้าคุณพ่อ...
คุณหญิงนิ่มมาเยี่ยมลูกสะใภ้ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง บ้างก็เอายาบำรุงมาให้ต้มกิน บ้างก็เอาของเล่นมารอรับขวัญหลานที่ยังมิได้ลืมตามาดูโลก
ทุกคนบนเรือนดูมีความสุข มีญาติผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยือนหลายคราจนนับมิถ้วนเพราะทุกคนต่างเอ็นดูเมียของไตรทศที่ช่างพูดช่างเจรจาทั้งยังเจื้อยแจ้วเก่ง
เสียงพูดและเสียงหัวร่อดังมาจนถึงตรงที่ไตรทศนั่ง เจ้าตัวส่งสายตาละห้อยมองเมียที่กำลังพูดคุยกับคุณหญิงนิ่มอย่างออกรส
อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับมิสามารถแตะต้องเมียได้ทำเอาคนอายุมากเหงาหงอยมิน้อย ช่วงที่ต้องแยกห้องนอนมีพวกทาสแวะเวียนมายั่วยวนไตรทศหลายคราเพราะคงเข้าใจว่าไตรทศเหงาที่มิมีเมียให้กกกอด แต่พวกมันกลับประเมินไตรทศต่ำเกินไปจึงทำให้ถูกไล่ตะเพิดเสียทุกครั้งไป
คนพี่ลุกจากตั่งไม้เดินเข้าห้องตำราเพื่อหาหนังสือมาอ่านจะได้เลิกฟุ้งซ่าน จันแอบมองตามสามีของตนที่เดินหายเข้าไปในห้องตำรา ใจจริงอยากจะเข้าไปกอดเสียให้หายคิดถึงแต่พอได้กลิ่นตัวของพ่อเรือนแล้วยิ่งทำให้อาการแพ้ท้องหนัก
ท่านหมอยาบอกไว้ว่ามันคือผลกระทบของการตั้งครรภ์ในแม่เรือนที่ทำให้แม่เรือนปฏิเสธกลิ่นของพ่อเรือน อาจจะเป็นไปสักระยะแต่พอคุ้นชินว่านี้คือกลิ่นของ ‘ผัว’ อาการแพ้กลิ่นก็จักหายไปเอง
ใจหนึ่งก็แอบสงสารแต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันจะได้ดัดนิสัยคนชอบตอแยเช่นไตรทศ จะนอนก็ชอบตอแยด้วยการเอาแขนมาพาดบนตัว ตอนอาบน้ำก็ชอบมาจับนู้นจับนี่ ตอนนั่งกินขนมก็ชอบเอามือมาบีบแก้มจนต้องเอ่ยดุ
แต่รวมๆแล้วไตรทศนั้นก็ถือว่าเป็นสามีที่ดีและรักจันมากจนเกินนับคนาจนที่กล่าวมานั้นมิใช่ข้อเสียแต่กลับเป็นข้อดีเสียได้
“ออเจ้ายิ้มกระไรรึ?” คุณหญิงนิ่มเอ่ยถามเจ้าตัวแสบที่แอบลอบยิ้ม
“มิมีอันใดขอรับคุณหญิงแม่”

ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดกลืนกินทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงแสงจากคบเพลิงและเทียนที่สว่างจ้าอยู่บนเรือนเล็ก
 จันนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งฝั่งตะวันตกส่วนไตรทศนั่งวาดรูปด้วยหมึกจีนอยู่ฝั่งตะวันออก ห่างกันอยู่หลายวา
“ไอ้มิ่ง”
“ขอรับคุณท่าน”
“เอ็งเอาจดหมายนี่ไปส่งให้ชายผู้นั้นทีสิวะ”
จันหูผึ่งเมื่อได้ยินไตรทศกล่าวถึงผู้อื่น มือที่กำลังเปิดหน้าตำราชะงักเพื่อฟัง
“ขอรับ” ไอ้มิ่งรับคำก่อนจะยิ้มขำ เดินไปทางจันที่นั่งทำหน้าบึ้งเพราะคิดไปว่าสามีพูดถึงผู้อื่น
“มีอะไรมิ่ง”
“คุณท่านฝากให้เอามาให้ขอรับ” จันมองกระดาษที่ถูกส่งให้อย่างมิเข้าใจเท่าใดนัก เงยหน้าขึ้นมองไตรทศที่กำลังนั่งจิบชาเจ้าตัวก็ดันมิยอมมองมามัวแต่เสมองไปทางอื่น
มือเรียวเปิดเพื่อดูเนื้อหาภายในกระดาษสีน้ำตาลอ่อน

‘คืนนี้พระจันทร์สวยเหมือนเดิมเลยหนา’

เจ้าตัวแสบยิ้มเพราะรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังถูกอีกฝ่ายเกี้ยวพา
เมื่ออ่านแล้วจันจึงหยิบปากกาขนนกจุ่มหมึกและเขียนตอบลงบนกระดาษใบเดิม

‘ดาวก็สวยมิแพ้พระจันทร์มิใช่รึ?’

“มิ่ง เอาไปส่งให้ชายแก่ผู้นั้นที” คำเรียกทำเอาไตรทศ ทำหน้ามิพอใจและหันหน้าหนีเหมือนกำลังงอน จันยิ้มขำกับท่าทางเด็กน้อยของสามีตนที่อายุเข้าเลขสาม
ไอ้มิ่งรับกระดาษจากจันและนำไปส่งให้ไตรทศ คุณอายุมากที่ทำท่าทีว่างอนรีบเปลี่ยนสีหน้าและรับกระดาษมาเพื่อเปิดอ่าน รอยยิ้มบางเปื้อนบนใบหน้าคมเข้ม
นำปากกาขนนกเขียนตอบอีกครั้ง ไอ้มิ่งมองอย่างอ่อนใจเพราะมันเริ่มเหนื่อยกับการเดินไปมา

‘ต่อให้ดวงดารานับล้านดวงจะสว่างและสวยเพียงใด พระจันทร์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สว่างในใจพี่มากที่สุด’

ข้อความในกระดาษทำเอาจันยิ้มมิหุบ ไตรทศลอบมองอาการภริยาของตนจนเผลอยิ้มตาม จันมองคนพี่ก่อนคิดในใจ
โถ...เอ็นดูคนแก่กว่านี่บาปไหมหนอ
จันสบตาไตรทศ ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันเป็นเชิงว่าควรหยุดการส่งจดหมายไปมาเพราะไอ้มิ่งทำหน้าเหมือนหมาหอบเต็มที
“ครั้งสุดท้ายแล้วมิ่ง” จันเอ่ยบอกพร้อมกับยื่นกระดาษให้
“ขอรับ”
เมื่อมิ่งรับกระดาษไปจันจึงลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าห้องนอนและเตรียมพักผ่อนเพราะการมีอีกหนึ่งชีวิตในร่างทำให้จันต้องดูแลตัวเองให้ดี

‘ฝันดีจ้ะพี่ไตรของน้องจัน’

ข้อความสุดท้ายที่ทำเอาคนอายุมากเสียอาการ ไตรทศอยากบุกเข้าห้องเมียแล้วฟัดให้เนื้อตัวช้ำจนหนำใจแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ก่อน

๕เดือนผ่านไป
ท้องของจันโตขึ้นจนสังเกตได้ ในยามนี้จันได้เลิกแพ้กลิ่นของไตรทศแล้วทำให้ไตรทศสามารถกอดจูบเมียของตนจนหนำใจอย่างที่คิดไว้ได้
“ฮื่อ...พี่ไตรพอก่อน แก้มข้าช้ำหมดแล้ว” จันส่งเสียงงอแงเพราะตั้งแต่ตนเลิกแพ้กลิ่นไตรทศก็ชอบเข้ามาตอแยมิหยุดจนมิเป็นอันทำอะไร
“พี่คิดถึงออเจ้า อยากนอนกกทั้งวันเลย”
“วันนี้ต้องไปทำงานมิใช่หรือจ้ะท่านหมื่น” หลังจากทำงานมานานไตรทศก็ได้อวยยศจนมียศเป็นหมื่นไตรทศแล้ว
ชายหนุ่มใช้มือจับใบหน้าของสามีใหญ่หยุดนิ่งก่อนจะประกบจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย ไตรทศชะงักไปเพราะตนมิเคยถูกจันกระทำมาก่อน
“ตั้งใจทำงานนะจ้ะ รีบกลับมานะข้ากับลูกจะรอ”
“พี่มิอยากไปแล้ว...” พอเจอลูกอ้อนของเมียเข้าไปก็ทำเอาใจคนพี่อ่อนยวบ
“โธ่...พี่ไตร...” ร่างบางที่ท้องเริ่มโตโผกอดสามีของตน ตนเองก็มิอยากให้ไตรทศไปไหนไกลนัก หลังจากเลิกแพ้กลิ่นก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนมาเป็นติดกลิ่นของไตรทศแทน
“พ่อไปก่อนหนาเจ้าตัวเล็ก ตอนพ่อไม่อยู่ต้องดูแลแม่ เข้าใจรึไม่?” ไตรทศก้มลงพูดกับลูกในท้องก่อนจะกดจูบลงบนหน้าท้องนุ่มนิ่ม จันยิ้มขำกับท่าทางของคนเห่อลูก
คนพี่ลุกขึ้นยืน ส่งมือใหญ่ลูบหัวเมียตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากไตรทศไปทำงานได้มินานจันจึงหันไปพับผ้าเพื่อเก็บใส่หีบ ตนเป็นเมียถึงจะท้องอยู่แต่งานบ้านงานเรือนก็มิควรขาด
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจของจันจากกองผ้า
“เข้ามาเลย” ประตูถูกเปิดออก ตามด้วยไอ้มิ่งที่เดินเข้ามา
“คุณพิกุล ไอ้มั่นและนางบุหงมาหาขอรับ” พอได้ยินชื่อของผู้ที่มิเจอเสียนานจันก็ดีใจใหญ่เพราะตนจะได้มีเพื่อนคุย

“พี่จันจ๋า!” เมื่อเจอหน้าบุหงาก็เข้ามากอดทันทีด้วยความคิดถึง เมื่อกอดคนพี่หงาจึงสังเกตได้ถึงท้องของจันที่เริ่มโต “พี่จันท้องจริงรึ?”
“จริง”
“ฮืออ...พี่จันของบุหงา”
“พอเลยๆ อย่ามาร้องห่มร้องไห้ใส่เพื่อนข้า” จันยิ้มก่อนจะลูบหัวของบุหงาเพื่อปลอบประโลม
“สบายดีหรือจ้ะแม่พิกุล”
“สบายดีจ้ะพี่จัน” แม่หญิงยิ้มตอบ ฝั่งแม่พิกุลเองก็ได้ตบแต่งกับขุนเดชดำรงแล้วจึงทำให้ได้มาอาศัยอยู่ที่เรือนรองซึ่งเป็นเรือนหอของคนทั้งสอง
“ข้าเอาของเล่นมาไว้รับขวัญหลาน” มั่นพูดพร้อมกับยกของเล่นในมือให้เพื่อนรักดู
“เห่อหลานเสียจริงนะเอ็ง”
“เออสิวะ ใครจะมิเห่อ” จันขำกับท่าทีของเพื่อนตน
“ส่วนอิฉันเอาขนมหวานมาฝากเจ้าค่ะ” แม่พิกุลยกตะกร้าหวายให้จันจึงรับมาพร้อมกับเปิดดูขนมภายในตะกร้า มีทั้งทองหยิบ ทองหยอดและขนมช่อม่วงที่จันชอบ
“ขอบใจทั้งสองมากนะ” จันยิ้มให้ “แล้วเอ็งเล่าบุหงา มิมีกระไรกับเขาบ้างรึ”
“มีจ้ะ”
บุหงาเช็ดน้ำตาป้อยๆจนจันนึกเอ็นดู หญิงสาวหยิบเอากำไลข้อเท้าสองคู่ออกมาจากกระเป๋า ถึงแม้บุหงาจะเป็นสาวชาวบ้านแต่ว่าพ่อของนางนั้นก็ทำอาชีพค้าขายเลยพอมีเงินอยู่มากโข
“มันมิแพงรึบุหงา พี่รับไว้มิได้ดอก”
“รับไว้เถอะจ้ะพี่ ข้ายินดีที่จะให้” บุหงาอมยิ้ม “ถ้าลูกพี่ออกมาเป็นผู้ชาย...บุหงาจองนะจ้ะ”
“หยุดเลยนางบุหงา”
“โอ๊ยพี่มั่น!” มั่นหมั่นไส้จึงหยิกแขนบุหงาไปหนึ่งที จันรู้ดีว่าบุหงานั้นพูดเล่นมีแต่ไอ้มั่นกระมังที่นึกว่าพูดจริง
“แล้วเหตุใดจึงให้พี่มาสองคู่เล่า” จันเอ่ยถาม
“ก็เผื่อพี่ได้ลูกแฝดไงจ้ะ” หญิงสาวยิ้มแป้นมิต่างจากแม่พิกุลที่นั่งฟัง
“ข้าขอบน้ำใจทุกคนมากหนา มีมิตรดีเช่นนี้ชีวิตข้าถือว่าสมบูรณ์แล้ว”
“โถ...พี่จัน”
บุหงาโผกอดจันตามด้วยไอ้มั่นที่เหมือนจะทำเนียนกอดบุหงาเสียมากกว่า จันปรายตามองแม่พิกุลเล็กน้อยแม่หญิงจึงเอากับเขาด้วย ปรากฏเป็นภาพเรียกรอยยิ้มจากพวกทาสบนเรือนเล็ก
   สนทนากันจนล่วงเลยไปจนถึงเพลาโพล้เพล้
ทั้งสามคนกลับไปแล้วจันจึงเดินไปที่ครัวเพื่อดูว่าพวกทาสจะทำอะไรให้กินในวันนี้
   “ทำกระไรหรือจ้ะป้าอิ่ม”
“ทำแกงส้มเจ้าค่ะคุณจัน”
“หืมม กลิ่นหอมเชียว”
“นั่งพักก่อนจะเจ้าคะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้ง”
“จ้ะ” จันยิ้มให้ป้าอิ่มก่อนจะนั่งลงเพื่อมองดูอยู่มิไกล
พอท้องความอยากอาหารจึงเริ่มมากทำให้ช่วงนี้จันกินเยอะมากกว่าปกติจนเริ่มมีแก้มย้วยให้ไตรทศได้บีบเล่น หลายคราที่ต้องห้ามปรามเมื่อไตรทศดึงเล่นมิหยุด
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวอิ่มยกไปไว้ในห้องให้นะเจ้าคะ”
“มิเป็นไรดอกป้า ข้ากินตรงนี้ก็ได้” นางอิ่มอายุอานามก็มากแล้วหากให้ยกไปให้คงจะเหนื่อยเสียเปล่า
“ว้าย มิได้เจ้าค่ะ! เป็นนายมานั่งกินกับบ่าวมันจะดูมิงามนะเจ้าคะ”
“เราก็คนเหมือนกันมิใช่รึ ข้ามิถือดอก”
“แต่...”
“ป้าอิ่ม” จันกดเสียงต่ำลงเป็นเชิงดุ
“ก-ก็ได้เจ้าค่ะ” นางอิ่มวางสำรับลงบนแคร่ไม้ไผ่ให้จันนั่งกิน ส่วนพวกทาสนั่งอยู่ข้างล่าง
เพราะจันมิถือตัวทั้งยังรักใคร่พวกทาสเช่นนี้จึงทำให้พวกทาสพากันรักและพร้อมที่จะดูแลจันทุกเมื่อ
พอกินเสร็จก็พากันนั่งคุยกันเจื้อยแจ้ว เสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ ไตรทศที่เลิกงานกลับมาเจอเมียตนกำลังนั่งหัวเราะอยู่กับพวกทาสที่นั่งอยู่ข้างล่างแคร่
จันดูชอบใจกับคำพูดของนางอิ่มและพวกนางทาสภายในเรือน ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังจนบางทีคนเป็นผัวก็กลับว่าเมียจะหงายหลังตกแคร่
ไตรทศลอบมองอยู่นานแต่ก็มิมีผู้ใดสังเกตเห็น เจ้าของเรือนอมยิ้มเพราะเอ็นดูเมียเด็ก จนในที่สุดนางหวานจึงสังเกตเห็นนายของตนที่ยืนอยู่มิไกล
“อะ...เอ่อ คุณท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“พี่ไตร!” จันส่งยิ้มให้ไตรทศที่กำลังเดินเข้ามาหา พวกทาสพากันหลบทางเสียจนมิทัน
“มาอยู่นี่เองหรือแม่ตัวดี” สรรพนามเรียกทำเอาพวกนางทาสพากันอมยิ้ม “พี่ก็ตามหาเสียจนทั่ว คิดว่าไปดื้ออยู่ที่ใดเสียอีก”
“อย่าพูดเหมือนกับว่าข้าเป็นเด็กสิจ้ะ” จันทำหน้าบึ้งตึง
“ก็เด็กจริง”
“โธ่...” จันก้มหน้างุดเพราะเถียงมิได้
“ข้าขอพาตัวเมียข้าไปพักก่อนแล้วกัน” ไตรทศเอ่ยบอกพวกทาสที่นั่งก้มหน้าเพราะมิกล้ามอง การสอดรู้เรื่องเจ้านายมิใช่เรื่องดี
“เจ้าค่ะ” พวกนางทาสผงกหัวรับคำ
ไตรทศอุ้มจันขึ้นด้วยสองแขน ชายหนุ่มตกใจจนต้องรีบกอดคอคนพี่ไว้เพระมิได้คิดล่วงหน้าว่าไตรทศจักอุ้มตนเช่นนี้
“พี่ไตร...มิหนักรึ?” เอาแขนคล้องคอไว้พร้อมกับเอ่ยถาม
“เมียพี่ตัวแค่นี้จะไปหนักได้เยี่ยงไร”
“ฮื่ออ..” ทั้งเขินทั้งอายพวกทาสในคราเดียวกันจนต้องก้มหน้าซุกอกแกร่ง จันสังเกตเห็นว่าพวกป้าอิ่มพากันนั่งยิ้ม คราวหน้าคงมิวายถูกพวกป้าๆเอ่ยแซวเป็นแน่
ไตรทศอมยิ้มก่อนจะพาเมียรักเดินออกมาจากครัว พาเข้าห้องนอนที่เป็นที่ที่ทั้งสองนอนกอดกันทุกค่ำคืน
“พี่ไตรกินอะไรหรือยังจ้ะ” จันเอ่ยถามในตอนที่ไตรทศวางตนลงบนเตียง   
“พี่กินมาแล้ว”
“แม่พิกุลเอาขนมมาฝากจ้ะ” ไตรทศเปิดผ้าที่ปิดตะกร้าหวายไว้ออก “คือ...ความจริงมันเยอะกว่านี้แต่ข้า...” คนพี่เลิกคิ้วมอง
“ข้ากินไปหน่อยนึงแล้ว...แหะๆ” ขนมภายในตะกร้าเหลืออย่างละสามชิ้น คงมิหน่อยแล้วกระมั้ง
ไตรทศยิ้มขำเพราะเอ็นดูเมียเด็ก ตนจะมิโกรธเลยถ้าจันกินหมดแต่นี่กลับเหลือไว้ให้ตนกินด้วย...เมียใครน่ารักเสียจริง
“ออเจ้าอยากอาบน้ำรึไม่?”
“อาบเลยก็ได้จ้ะ” ไตรทศพยักหน้าก่อนจะหันไปหาเสื้อผ้าในหีบให้จัน
จันมองแผ่นหลังของผู้เป็นสามีก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ในใจรู้สึกโชคดีที่ได้ไตรทศมาเป็นคู่ครอง เพราะที่ผ่านมาไตรทศคอยดูแลเอาใจใส่ตลอด อยากกินอะไรก็หาให้ ยามมิสบายตัวก็นวดให้มิเคยบ่นสักครา
“ไปเถิด” มือข้างขวาถือเสื้อผ้า ข้างซ้ายคอยประคองเมียรัก
ห้องอาบน้ำที่ทำไว้บนเรือนยังคงอยู่ที่เดิมเพราะมิอยากให้จันเดินลงไปไหนไกล
ฉากกั้นสีขาวถูกเปิดออก ภายในคืออ่างไม้ขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำอุ่นที่พวกทาสเตรียมไว้ให้อาบ ไตรทศเอื้อมมือไปปิดผ้าสีขาวเพื่อบดบังสายตาของผู้อื่น ถึงแม้จะห้ามเข้าใกล้บริเวณนี้แต่ก็อาจจะมีคนหลงเข้ามาได้
จันเปลื้องผ้าของตัวเองออก ถึงจะกระดากอายไปบ้างแต่ก็เริ่มชินกับการอาบน้ำพร้อมกับไตรทศบ้างแล้ว
คนเจ้าเล่ห์ยืนมองเมียที่ร่างกายไร้อาภรณ์ด้วยสายตาแพรวพราวจนจันต้องหันหนี คนพี่ขำกับท่าทีของจัน
มือใหญ่เลื่อนไปปลดเสื้อและโจงกระเบนของตนออก หน้าท้องเป็นลอนสวยยามต้องกับแสงจันทร์ก็ยิ่งสวย ทำเอาใจดวงน้อยของจันไหวสั่นเมื่อได้เห็น
คนพี่ส่งมือให้จันจับก่อนจะพากันลงไปในอ่างไม้ ปลายเท้าสัมผัสได้ถึงความอุ่นของน้ำ ไตรทศนั่งลงก่อนตามด้วยจันที่นั่งลงบนตักแกร่งอีกที
“น้ำอุ่นดีรึไม่?”
“จ้ะ”
จันพยักหน้าเล็กน้อย ความอุ่นทำให้ผิวขาวนวลขึ้นสีระเรื่อ ไตรทศวักน้ำขึ้นมาก่อนจะลูบไล้ไปบนขาของเมียรัก แผ่นหลังที่ซบลงบนอกแกร่งสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แผ่ซ่าน
มือซุกซนลูบลงบนแผ่นอกก่อนจะสะกิดลงบนยอดอกสีสวยเป็นการหยอกล้อ
“อ่ะ!...พี่ไตร!” จันหันไปดุคนพี่ที่ทำหน้านิ่งและมิสนใจต่อคำดุซ้ำยังออกแรงมากขึ้นจนกายบางบิดเร้า
“อื้อ...ย-อย่าแกล้งข้า”
“ปากห้ามแต่แอ่นอกสู้งั้นรึ?” ไตรทศยิ้มขำกับอาการของจันที่นั่งมินิ่ง ยอดอกสีสวยแข็งชูชันรับกับลมหนาวที่ผัดผ่านเข้ามา
มือหนาเปลี่ยนเป้าหมายจากยอดอกมาเป็นส่วนแก่นกายเล็กที่ตั้งชัน สัมผัสด้วยความเบามือพร้อมกับรูดขึ้นลงเพื่อแกล้งคนบนตัก
“อ๊ะ...อื้อ...” เมื่อถูกกระทำสะโพกจึงมิอาจอยู่นิ่งได้ แก่นกายสีสวยกระตุกรับมือหนาด้วยความสุขสม
กายบางถูกเปลี่ยนท่าให้นั่งหันหน้าเข้าหาคนพี่ ทำให้ส่วนกลางกายอยู่ตรงอกไตรทศพอดี ส่วนยอดอกก็ถูกไล้เลียด้วยลิ้นร้อน 
มือข้างซ้ายประคองเอว ข้างขวารูดรั้งแก่นกายอ่อนไหว ส่วนลิ้นร้อนลากไล้ลงบนยอดอกสีสวย การกระทำพร้อมกับทั้งบนล่างเรียกเสียงกระเส่าจากจันได้มิมากก็น้อย
“อ๊ะ...อ๊า...” มินานน้ำหวานสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนเปื้อนบนอกคนใต้ร่าง จันก้มหน้าซุกลงบนบ่าแกร่งพร้อมกับหอบหายใจ
คนพี่จูบลงบนขมับเพื่อปลอบประโลม หลังจากนั้นจึงพากันอาบน้ำต่อจนเสร็จ
พอถึงห้องจันก็เอาแต่นั่งหันหลังให้มิยอมพูดคุย เหตุคงเพราะกระดากอายกับการกระทำเมื่อครู่
“งอนพี่หรือออเจ้า” เมื่อนั่งลงข้างๆไตรทศจึงเอ่ยถาม
“...”
“โธ่ พี่ขอโทษหนา ก็เมียพี่น่ารักพี่จึงอดแกล้งมิได้”
“...” จันยังคงนั่งนิ่งมิยอมสนทนาด้วย
“วันพรุ่งพี่ว่าจะพาไปตลาดใหญ่เสียหน่อย หากมิพูดกับพี่เช่นนี้คงมิได้ไปเป็นแน่” ไตรทศรู้ดีว่าต้องล่อเมียขี้งอนของตนอย่างไร เมื่อได้ยินว่าตนจะได้ไปเที่ยวคนขี้งอนก็ถึงกับหูผึ่ง เพราะจันเริ่มเบื่อกับการอยู่แต่กับเรือนเต็มที
“ไป ข้าไป”
“หากเช่นนั้นออเจ้าหันมาคุยกับพี่หน่อยมิได้รึ?”
พูดจบกายบางก็นั่งหันมาทางไตรทศอย่างว่าง่าย คนเป็นสามียิ้มก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ 
“เหอะ คนเจ้าเล่ห์”
“รอคลอดก่อนเถิดออเจ้าจะรู้ว่าพี่เจ้าเล่ห์ได้มากกว่านี้เสียอีก”
สายตาคมที่มองมาทำให้จันรู้ว่าที่ตนได้ยินมิใช่คำขู่...

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 21 (24/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-11-2019 19:23:59
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 21 (24/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-11-2019 20:15:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 21 (24/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-11-2019 22:02:18
สนุกค่ะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 21 (24/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-11-2019 08:44:44
หวานมากจ้า~
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 22 (30/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 30-11-2019 20:50:31
บทที่ ๒๒
เมื่อท้องได้เก้าเดือนเป็นปกติที่ครรภ์ของมารดาจะใหญ่โตตามกาลเวลา แต่ของจันนั้นกลับโตจนผิดปกติจึงทำให้ไตรทศร้อนใจเพราะยามเดินเหินก็ช่างลำบาก ยามนอนคนน้องก็บอกว่าปวดหลังทำให้ต้องหลับในท่านั่งตลอด
เมื่อสองฝ่าเท้าต้องรับน้ำหนักมากจึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดอาการปวดตามฝ่าเท้า ผู้ที่คอยบีบคอยนวดให้ทุกครั้งไปก็คือผู้เป็นผัวอย่างไตรทศ
คุณหญิงนิ่มมาเยี่ยมลูกสะใภ้ทุกวันมิได้ขาดเพราะตนเคยท้องมาก่อนจึงรู้ดีว่าอารมณ์คนท้องมักมิอยู่นิ่งและหงุดหงิดได้ง่ายซ้ำยังกินเยอะมากเป็นพิเศษ
ยามที่ไตรทศไปทำงานสิ่งที่จันทำได้มีเพียงแค่นั่งรอและหาหนังสือมาอ่านเพื่อรอเวลาให้ผันผ่านไปอย่างช้าๆ กว่าผู้เป็นผัวจะกลับมาก็ค่ำมืด
เสียงประตูเปิดออกเป็นสัญญาณว่าผู้ที่ตนกำลังคำนึงถึงเดินทางกลับมาถึงเรือนแล้ว จันชะเง้อมองที่ประตูที่กำลังแง้มออกทีละน้อยก่อนจะเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือผู้ที่ตนรอคอย
“พี่ไตร...” จันยิ้มด้วยความสุขใจเมื่อคนพี่กลับมาถึงเรือนอย่างปลอดภัย
“นี่มันก็ดึกมากแล้วหนา เหตุใดจึงยังมินอนเล่า?” ไตรทศเดินเข้ามาหาผู้ที่นั่งอยู่บนเตียง มือหนาเลื่อนไปลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ
“ก็...ข้าอยากอยู่รอพี่”
“หากพักผ่อนมิพอมันจะส่งผลต่อลูกหนา” พูดพร้อมกับก้มลงประทับจูบลงบนหน้าท้องที่นูนจนเห็นได้ชัด
แรงกระแทกผ่านหน้าท้องทำให้ไตรทศยิ้มกว้าง ลูกน้อยกำลังเตะหน้าท้องของผู้เป็นแม่เพื่อทักทายกับพ่อที่กำลังคลอเคลียที่หน้าท้องโต
“ลูกขยับทั้งวันเลยจ้ะ”
“สงสัยว่าจะอยากออกมาเจอพ่อกับแม่แล้วกระมัง” ไตรทศเปลี่ยนจากจูบที่หน้าท้องมาเป็นจูบที่แก้มนวลของเมียรักแทน
“ฮื่อ..” ชายหนุ่มส่งเสียงเครือครางในลำคอเป็นการปรามเพราะคนพี่มิยอมออกไปจากแก้มของตนเสียที
“พี่คิดถึง...” พูดจบก็พรมจูบลงบนไหล่มน เลื่อนไปจูบที่ต้นคอระหงพร้อมกับสูดดมเอากลิ่นหอมจากกายของจันเข้าปอด
“พอแล้วจ้ะพี่ไตร” อีกคราที่จันต้องปรามคนพี่ ยามปกติว่าชอบตอแยแล้วยิ่งยามท้องไตรทศยิ่งชอบตอแยมากกว่าเดิมเสียอีก 
“พี่จะไปอาบน้ำสักประเดี๋ยว ออเจ้าหลับก่อนเลยหนา”
“ข้ามิง่วง...ข้าจะรอพี่...”
“อยากให้พี่กล่อมนอนก็บอกมาเถิด”
ชายหนุ่มพลันหน้าขึ้นสีระเรื่อ ที่ผ่านมายิ่งท้องโตยิ่งนอนหลับได้ยาก ทุกวันจึงจักมีไตรทศคอยอ่านหนังสือให้ฟังอยู่ข้างหูจนเผลอหลับไปทุกครา
ไตรทศยิ้มกริ่มก่อนจะหยิบเอาชุดนอนเดินออกไปอาบน้ำ เมื่ออาบเสร็จจึงจัดการใส่ชุดนอนผ้าแพรเบาสบายที่สั่งตัดเย็บมาเป็นพิเศษ พอเดินกลับเข้าห้องนอนจึงเห็นว่าเมียรักของตนได้เผลอหลับไปเสียแล้ว
กายหนานั่งลงข้างเมียที่นอนพิงหมอนใบใหญ่ก่อนจะจับศีรษะของจันให้วางลงบนไหล่ของตนอย่างเบามือ
เส้นผมตกลงปรกใบหน้า คนพี่จึงใช้นิ้วเรียวค่อยๆปัดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของเมียรักที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม
“คงจะเหนื่อยมากสิหนาเมียพี่...”
“...”
“พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลออเจ้าและลูกให้ดีที่สุด” เมื่อพูดจบไตรทศจึงจรดริมฝีปากอุ่นลงบนขมับของจัน
ตัวเขารู้ดีว่าการเป็นแม่คนมันลำบากเพียงใด หลายครั้งหลายคราที่ผู้ไข้ตั้งครรภ์แล้วมาขอยาแก้ปวดท้องเสมอ ไหนจะเท้าที่เริ่มบวมเพราะการที่ต้องรับน้ำหนักมาก เดินเหินก็มิสะดวก ไตรทศจึงสงสารเมียของตนจับใจ สิ่งที่ตนเองทำได้คงมีเพียงความซื่อสัตย์ต่อเมียและลูกเพียงเท่านั้น
เช้าวันต่อมาไตรทศออกไปทำงานเหมือนอย่างเคย ก่อนออกไปก็มิลืมที่จะกำชับพวกนางทาสให้ดูแลเมียตนให้ดีและห้ามมิให้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ พวกนางทาสจึงรับคำของนายตนและปฏิบัติตามเป็นอย่างดี
“คุณจันประสงค์อยากจะกินอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” นางอ่อนหลานสาวของป้าอิ่มเอ่ยถาม
“อืม...” ชายหนุ่มทำท่าคิด “ข้าอยากกินของหวานๆ”
“รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” นางอ่อนยิ้มรับก่อนจะปลีกตัวออกไป
มินานนักนางทาสก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับบัวลอยไข่หวานโถใหญ่และมีถ้วยเล็กๆเพื่อให้ตักแยกออกมากินที่ละนิด
นางอ่อนจัดการตักบัวลอยในโถใส่ถ้วยใบเล็กให้พร้อมกับส่งให้ผู้เป็นนายของมัน
จันใช้ช้อนตักขนมบัวลอยเข้าปาก ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วลิ้นหากแต่เป็นความหวานที่กำลังดีมิได้หวานโดด ตัดความหวานด้วยเกลือเล็กน้อย ตัวบัวลอยเหนียวนุ่มกำลังดีส่งผลให้จันกินไปยิ้มไปด้วยความผาสุก
“ถูกปากหรือไม่เจ้าคะ?” นางอ่อนเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“อร่อยมากเลยอ่อน ข้าชอบ” นางอ่อนยิ้มร่าเมื่อจันบอกว่าชอบ“อ่อนข้าขอ..”
เคร้ง!
“ค-คุณจัน!” ถ้วยสังกะสีใบเล็กหล่นร่วงหล่นจากมือ จันใช้มือทั้งสองข้างกุมไว้ที่หน้าท้อง
“ข้า...ข้าปวดท้อง..” ความเจ็บปวดประเดประดังเข้าใส่ เหมือนดั่งกับว่ามีใครกำลังใช้มีดกรีดภายในท้อง
“ตายแล้ว!” นางอ่อนแหวด้วยความตกใจเมื่อมันเห็นว่ามีน้ำไหลออกมาจากบริเวณที่จันนั่ง มันรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังเป็นอะไร
“โอ๊ย...ฮึก...ปวด...ข้าปวด” เหยื่อกาฬผุดตามขมัยจนชื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“ร-รออิฉันประเดี๋ยวนะเจ้าคะ อิฉันจะรีบไปตามหมอเจ้าค่ะ” นางอ่อนรีบวิ่งลงจากเรือนเพื่อไปตามป้าอิ่มให้มาดูแลจันส่วนตัวของมันจะวิ่งไปตามหมอตำแย

“คุณจัน! คุณจันเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ!” ภาพของหญิงชราช่างพร่าเลือน จันลืมตามองจึงเห็นว่าพวกทาสบนเรือนพากันมาดูแลตนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้อย่างไรก็มิอาจรู้
“ป้าอิ่ม...ข้าปวดท้อง”
“หายใจเข้าลึกๆเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าเจ้านายน้อยจะอยากออกมาดูหน้าคุณจันแล้วนะเจ้าคะ”
“ข้า...ข้าจะคลอดแล้วรึ?”
“เจ้าค่ะ รอหมอสักครู่นะเจ้าคะ หมอกำลังมา” จันพยักหน้ารับก่อนจะเอนแผ่นหลังลงบนหมอนใบใหญ่ที่ถูกใช้หนุนหลังไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงมองเห็นผ้าที่ถูกขึงไว้กับเพดานห้อง
“ป้าอิ่ม ผ้านี่เอาไว้ทำอะไรรึ?”
“เอ่อ..ก็..”

“โอ๊ย!...ฮึก โอ๊ยย!”
“เบ่งอีกเจ้าค่ะ เบ่ง!”
ม่านน้ำตาทำให้การมองเห็นพร่าเลือนแต่ความเจ็บปวดที่ช่องทางช่างชัดเจนแจ่มแจ้งเสียเหลือเกิน มือทั้งสองจับตรึงไว้กับผ้าที่จันเคยถามป้าอิ่มก่อนหน้า
“เจ็บ..ฮือ...ข้าเจ็บ”
 จันออกแรงเบ่งตามที่หมอตำแยบอกแต่ความเจ็บมีมากมายนัก เหมือนดั่งกับว่าร่างกายจะแตกเป็นออกเสี่ยงๆ
“อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ ส่วนหัวเริ่มออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
จันออกแรงเบ่งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กับแม่เรือนเพศหญิงนั้นคงมิใช่เรื่องยากแต่กลับจันที่เป็นบุรุษเพศมันช่างเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน
“ลูกเมียข้าเป็นอย่างไรบ้าง!” ไตรทศที่ทราบข่าวว่าเมียจะคลอดจึงรีบกลับมาที่เรือนทันที
“กำลังทำคลอดอยู่เจ้าค่ะคุณท่าน”
“โอ๊ยย!” เสียงร้องโอดครวญทำเอาคนพี่ใจเสีย
“โธ่...” คนขรึมเดินวนไปวนมาด้วยความกังวล จันตัวเล็กเพียงนิดเดียวการที่จะคลอดลูกออกมาคงทำให้เจ้าตัวเจ็บปวดมิน้อย
“พ่อไตร” เสียงเรียกของคุณหญิงนิ่มดังขึ้น
“คุณหญิงแม่...”
“อย่างกังวลไปเลย เมียออเจ้าเก่งอยู่แล้ว”
“แต่กระผมเป็นห่วงน้อง...”
“แม่รู้ แต่สิ่งที่ออเจ้าทำได้ในยามนี้คือคอยอยู่ให้กำลังใจและคอยดูแลหลังคลอดเพียงเท่านั้น”
“ขอรับ” ไตรทศรับคำหากแต่จิตใจยังคงว้าวุ่นมิเปลี่ยน 
“อะ...โอ๊ย!...”
เสียงร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับเสียงเด็กแรกเกิดที่ร้องระงม พวกทาสที่นั่งฟังต่างพากันร้องดีใจไปกับนายของตนและดีใจที่พวกมันจะมีเจ้านายน้อยคนใหม่ให้ได้เอ็นดู
มิต่างกับผู้เป็นพ่อที่ยืนห้ามน้ำตามิให้ไหลเพียงเพราะได้ยินเสียงลูกน้อยที่กำลังร้องไห้จ้า
ครู่ต่อมาหมอตำแยจึงเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนเพราะมิบ่อยครั้งนักที่จะได้ทำคลอดแม่เรือนที่เป็นบุรุษเพศ
“เข้าไปดูเด็กได้เจ้าค่ะ”
เมื่อหมอตำแยพูดจบไตรทศจึงรีบเดินเข้าไปทันที ใจคนพี่กระตุกวูบเมื่อเห็นว่าเมียรักนอนหอบด้วยใบหน้าที่ชื้นเหงื่อจนไรผมเปียกไปหมด ทั้งยังเห็นผ้าขาวที่เปื้อนเลือดหลายผืนวางอยู่มิไกล
“โธ่...จันของพี่” ไตรทศใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าเมียรักออก
“พี่ไตร...” เสียงเหนื่อยอ่อนเอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นผัวพร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้า “ดูลูกสิจ้ะ”
เพราะมัวแต่สนใจเมียไตรทศจึงมิได้สังเกตลูกที่นอนอยู่ในเปลมิไกลจากเตียงมากนัก ใจคนเป็นพ่อเต้นแรงเพราะตื่นเต้นที่จักได้เห็นหน้าลูก
สายตาคมมองลงไปในเปล เด็กน้อยตัวแดงถูกหอด้วยผ้าขาวสะอาด ใบหน้าจิ้มลิ้มมิต่างจากแม่หากแต่สิ่งที่ทำให้ไตรทศยิ้มออกมาพร้อมทั้งน้ำตาคือลูกมิได้มีผู้เดียวแต่กลับมีถึงสอง
“ลูก...ลูกแฝดรึ”
“จ้ะ” คนเป็นพ่อยิ้มด้วยความสุขใจ ผู้ใดจะคิดว่าจะได้ลูกสองคนในคราเดียวกัน
เมื่อดูลูกเสร็จไตรทศจึงกลับไปนั่งลงข้างเตียงที่จันนอนอยู่พร้อมกับกุมมือของเมียรักขึ้นมากดจูบอยู่นานสองนาน
“ออเจ้าคงจะเจ็บมากสิหนา”
“...ข้าทนได้”
“เก่งเสียจริงเมียพี่” พูดจบคนพี่จึงขยับไปกดจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อปลอบขวัญ “พักผ่อนเสียเถิดหนา”
จันพยักหน้าอย่างมิอิดออดเพราะเหนื่อยอ่อนจากการคลอดลูกอยู่มากโข เปลือกตาเริ่มหนักจนในที่สุดก็ปิดสนิทลงพร้อมกับความรู้สึกอุ่นๆที่แก้มขวา

หนึ่งเดือนผ่านไป
เจ้าแฝดทั้งสองเป็นเด็กเลี้ยงง่ายขอแค่ท้องอิ่มก็พากันนอนนิ่งมิร้องงอแงรบกวนคนบนเรือน
“หลานใครน่ารักเสียจริง”
ตาคงเห่อเหลนมิแพ้ผู้ใด มาเยี่ยมเยือนบ่อยเสียจนเหลนหายกลัว ต่างจากคราแรกที่เหลนพากันร้องไห้ระงมเพียงแค่เห็นหน้า
“ไหนๆให้ลุงดูหน้าหน่อยซิ” ไอ้มั่นก็มิแพ้กัน หมั่นทำของเล่นให้หลานเสียจนของเล่มเต็มเรือนเล็ก
“พอเลยพี่มั่น ประเดี๋ยวหลานกลัว”
“บุหงาก็..”
จันหัวเราะกับภาพตรงหน้า บุหงาและไอ้มั่นได้ตกลงปลงใจแต่งงานอยู่กินด้วยกันตามที่จันเคยคาดการณ์ไว้มิมีผิด ตีกันไปตีกันมากลับกลายมาเป็นรักกัน
“ตั้งชื่อลูกรึยังจ้ะพี่จัน” แม่พิกุลเอ่ยถาม
“ยังเลยจ้ะ พี่ว่าจะให้ตาตั้งให้” เมื่อได้ยินจันเอ่ยถึงตนตาคงจึงละความสนใจจากเจ้าแฝดมาที่หลานรัก
“เอ็งแน่ใจรึว่าจะให้ข้าตั้งให้?”
“จ้ะตา”
“อืม...” ตาคงพินิจมองไปยังแฝดทั้งสอง ผู้พี่มีผิวคล้ำเช่นพ่อส่วนผู้น้องผิวพรรณขาวผุดผ่องเหมือนกับแม่
“คนพี่ข้าจะตั้งชื่อว่า เจ้ากล้า ส่วนคนน้องข้าจะตั้งชื่อว่า เจ้าแก้ว” จันพยักหน้าเห็นด้วยเพราะถือว่าเป็นชื่อที่ดี
กล้า ที่หมายถึงความกล้าหาญและกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา
แก้ว ชื่อดอกไม้ที่นางผ่องผู้เป็นแม่ของจันชอบ สีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมชวนให้ผู้คนหลงรัก
เวลาล่วงเลยไปจนพลบค่ำ ผู้ที่แวะมาเยี่ยมเยือนล้วนต่างพากันกลับเรือนของตนไปเหลือเพียงตาคงที่อยู่คุยกับหลาน
“เอ็งว่าคนใดคือไอ้ทิดวะจัน?” ตาคงเอ่ยถามหลาน จันจึงยิ้มออกมา
“ข้าว่าคนน้องนะตามีแววดื้อแต่เด็กนัก”
“อืม ข้าก็ว่าเช่นนั้นแล” ตาคงถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อ “ข้ามิคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เห็นเอ็งมีลูก”
“ข้าก็มิคิดดอกตา” จันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มดวงดาวเริ่มปรากฏให้เห็น “ข้ามิคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะได้เจอพี่ไตร”
“แล้วเอ็งเสียใจรึไม่ที่ได้เจอ?” จันส่ายหน้า
“ข้ารู้สึกโชคดีเสียอีก...หากมิมีเขาข้าก็มิรู้ว่าในยามนี้ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
ตาคงยื่นมือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาออกมาลูบหัวผู้เป็นหลานด้วยความเอ็นดู ไอ้จันที่วันๆเอาแต่เหล่สาวในตลาดวันนั้นได้เติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีตามที่นางผ่องได้ฝากฝังไว้มิมีผิด
“ข้ากลับก่อนหนา”
“จ้ะตา” จันเดินไปส่งตาคงที่ท่าน้ำที่มีพวกทาสรออยู่
เมื่อกลับขึ้นมาบนเรือนจึงเห็นไตรทศนั่งอยู่บนตั่งที่ตนนั่งคุยกับตาก่อนหน้า
“กลับมาแล้วหรือจ้ะพี่ไตร” คนพี่ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้ามาโอบกอดร่างของจันให้เข้าไปซุกในอกอุ่น
“คิดถึง”
“โธ่ จากกันเพียงครึ่งวันก็งอแงเสียแล้ว” จันยกมือขึ้นลูบหลังคนพี่ ใบหน้าหวานเปื้อนยิ้มเพราะมีความสุข
“ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
“พอกินนมอิ่มก็พากันหลับปุ๋ยเลยจ้ะ”
“ออเจ้าได้พักบ้างรึไม่” จันส่ายหน้า
ลูกในวัยนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลาจึงแทบจะเป็นไปมิได้เลยที่จันจะปลีกตัวออกห่าง
“มานี่ พี่จะนวดให้"
"แต่ว่าพี่พึ่งทำงานมาเหนื่อยๆนี่จ้ะ"
“พี่เหนื่อยนิดเดียว แต่เมียพี่ที่ต้องดูแลลูกสิเหนื่อยกว่า” จันยิ้มอย่างอ่อนใจ ไตรทศช่างดีเหลือเกิน “มานี่มา”
คนพี่จับข้อมือจันให้เดินตามเข้าไปในห้องก่อนจะจัดแจงท่านอนให้เมียนอนคว่ำหน้าลง หลังจากนั้นจึงลงมือบีบนวดตามไหล่ที่ตึง
“อือ...” จันครางรับในลำคอเมื่อไตรทศนวดได้ถูกจุด
มือหนาค่อยๆไล่ต่ำลงจากไหล่ลงมาที่กลางหลังก่อนจะบีบเข้าที่สีข้าง การออกแรงเบาๆเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่งผลให้จันรู้สึกสบายตัวก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อไตรทศใช้นิ้วโป้งทั้งสองกดลงไปที่ก้นกบ
“อ๊ะ!” ไตรทศชะงักเมื่อผู้เป็นเมียส่งเสียงประหลาดออกมา
จุดอ่อนรึ?
คนพี่นึกได้ใจแอบใช้นิ้วกดลงไปหลายคราทำให้จันได้แต่ต้องกลั้นเสียงอันน่าอายของตนเอาไว้เพราะหากเสียงดังไปลูกอาจจะตื่นได้ 
“พ-พี่ไตร”
“อะไรหรือ?”
“เลิก..อื้อ...เลิกกดตรงนั้น”
“ตรงใด?...ตรงนี้รึ” พูดพร้อมกับออกแรงกดอีกครา
“อื้อ!” จันทำหน้ายุ่งเมื่อรู้ตัวว่าตนโดนแกล้ง 
“หึ...รอแยกห้องกับลูกเมื่อใด...ออเจ้ามิได้พักเป็นแน่” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มร้ายก่อนจะเอามือที่ใช้กดออก เปลี่ยนเป็นนอนลงข้างเมียรักแทน
“คนลามก” จันบ่นอุบอิบเมื่อไตรทศนอนลงข้างกาย
“บ่นไปเถิด อย่าเผลอร้องครางตอนที่ทำก็พอ”
“พี่ไตร!” จันตีลงบนอกของคนพี่ด้วยความหมั่นไส้แต่ไตรทศก็มิได้สะทกสะท้านซ้ำยังหัวเราะร่า
บรรยากาศรอบข้างสงบเงียบลงจนได้ยินแต่เพียงเสียงลมที่พัดผ่าน ทั้งสองนอนมองตากันนิ่งมิมีผู้ใดเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
รู้สึกตัวอีกครามือของไตรทศก็ซ้อนเข้าที่ท้ายทอยตามด้วยใบหน้าคมที่ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นที่กดทับลงมา
จันเปิดปากรับอย่างมิอิดออด ไตรทศส่งลิ้นเข้าไปเพื่อตักตวงเอาความหวานที่ตนห่างหายไปนาน ความอ่อนนุ่มของริมฝีปากของจันทำเอาคนพี่เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัส
ดูดดึงและหยอกล้อกับลิ้นเล็กเป็นครั้งคราวด้วยความโหยหา ผู้ใดจักคิดว่าในชีวิตจะมีผู้ชายตัวเท่าลูกควายมาให้หลงรักหัวปักหัวปำได้ถึงเพียงนี้
ความวาบหวาบในท้องน้อยส่งผลให้ใบหน้าขอจันขึ้นสีแดงเรื่อดูแล้วน่ารังแกและน่าขย้ำให้ผิวขาวเนียนนั้นช้ำเล่น ไตรทศถอดถอนจูบเป็นจังหวะก่อนที่จะโฉบฉวยลงไปช่วงชิงลมหายใจของจันอีกครา
...ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า
จนริมฝีปากเล็กเจ่อบวมอย่างน่าเอ็นดู
จบด้วยการที่ไตรทศประทับจูบลงบนหน้าผากของเมียรักก่อนจะนอนกอดกันจนจันเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อย
ไตรทศเฝ้ามองหน้าเมียรักของตนยามหลับ ใบหน้าที่เคยผุดผ่องดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าไตรทศเปื้อนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหลับไปพร้อมความคิดที่ว่า
‘ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้จันเป็นเมีย’

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 22 (30/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 30-11-2019 22:11:11
 o13 o13 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 22 (30/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-11-2019 23:08:05
คลอดแล้ว ลูกแฝดซะด้วย
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 22 (30/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-12-2019 03:09:55
เก่งจริงๆ ได้แฝดเลย
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 01-12-2019 20:33:44
บทที่ ๒๓

วันเวลาล่วงเลยไปจนถึงแปดเดือน แฝดทั้งสองเติบใหญ่เป็นเด็กที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงทั้งยังเริ่มพูดเป็นคำๆได้แล้ว
ผู้เป็นตาอย่างพระยาจำรูญและผู้เป็นปู่อย่างพระยาเกษมพากันเห่อหลานมิน้อยไปกว่าจันและไตรทศ ทั้งสองชอบซื้อของเล่นมาให้หลานเล่นเป็นประจำจนของเล่นแทบจะล้มเรือน
“เจ้าคุณพ่อซื้อของเล่นมาอีกแล้วหรือขอรับ?” ไตรทศมองผู้เป็นพ่ออย่างอ่อนใจ
“ของเล่นของหลานข้า อยากได้อันใดข้าก็จักหามาให้” พระยาเกษมหาได้สนใจลูกชายตนไม่เพราะความสนใจไปอยู่ที่หลานทั้งสองจนหมด
จันยิ้มขำกับภาพตรงหน้า ปกติไตรทศจะเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแต่พอมีเจ้าแฝดกลับกายเป็นว่าโดนเมินเฉยเสียได้
“พี่ไตร สายมากแล้วนะจ้ะ” จันเดินเข้าไปบอกไตรทศที่กำลังนั่งเล่นกับลูก
“หากเช่นนั้นพ่อไปก่อนหนาเจ้าตัวเล็ก” ไตรทศส่งมือไปลูบลงบนหัวของลูกทั้งสองด้วยความรักใคร่ก่อนจะยืนขึ้นจนเต็มความสูง “พี่ไปก่อนหนา”
“จ้ะ...รีบกลับมานะจ้ะ” ความน่ารักของจันส่งผลให้ไตรทศฉวยโอกาสหอมแก้มเมียในขณะที่พระยาเกษมให้ความสนใจหลาน “พ-พี่ไตร”
จันหันไปมองพระยาเกษมก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งใจเพราะท่านพระยามิได้หันมาสนใจตนทั้งสองจึงมิเห็นภาพเมื่อครู่
“พี่จะรีบกลับมา” ในขณะที่กำลังจะก้าวขา เท้าของไตรทศสัมผัสกับของเล่นบางอย่างที่ดูเหมือนว่าเจ้าแก้วจะทำกลิ้งมาทางเขา
เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นว่าเจ้าแก้วกำลังนั่งดูดนิ้วพร้อมกับเอียงคอมองตน ใบหน้าจิ้มลิ้มเบิกตามองผู้เป็นพ่อราวกับบอกว่า ‘เอาของเล่นให้หนูหน่อย’
ไตรทศนั่งลงหยิบของเล่นทรงกลมขึ้นเพื่อส่งให้ลูกชายแต่เจ้าแก้วกลับมิรับคืน เด็กน้อยร่างป้อมเลิกดูดนิ้วพร้อมกับคลานเข้าไปหาผู้เป็นพ่อก่อนจะคลานขึ้นไปนั่งบนตัก
“แก้ว..มีอะไรหรือลูก?” ไตรทศเอ่ยถามลูกชายพอเป็นพิธีเพราะถึงอย่างไรเด็กน้อยก็ยังคงพูดมิได้
“ป้อ!”
“หือ!?” ทั้งไตรทศ พระยาเกษมและจันพากันหูผึ่งเมื่อได้ยินเจ้าแก้วพูดคำบางคำออกมา...คำที่เจ้าแก้วมิเคยพูดมาก่อน
“ป้อต๋า...แอะ..ป้อ” เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นพ่อ
“จัน...นี่ลูกเรียกพี่ว่าพ่อรึ?”
“จ้ะ” จันยิ้มให้ไตรทศที่นั่งยิ้มด้วยความสุขใจ
“เก่งจริงๆหลานปู่” พระยาเกษมเองก็หัวเราะชอบใจใหญ่
มินานนักร่างป้อมของเจ้ากล้าก็คลานเข้ามาหาผู้เป็นพ่อเช่นกัน เจ้าแก้วที่เห็นว่าพี่คลานเข้ามาจึงขยับไปนั่งที่ตักฝั่งซ้ายให้พี่ชายได้นั่งที่ฝั่งขวา
“เจ้ากล้าก็จะอ้อนพ่อรึ?” กล้าเบะปากทำท่าจะร้องไห้
“ปะ...”
เจ้ากล้าขยับปากจะพูดบ้าง หากให้จันเดาเจ้ากล้าเองก็คงอยากที่จะเรียกพ่อบ้าง จันมองภาพตรงหน้า เจ้าแก้วที่นั่งบนตักฝั่งซ้ายกำลังทำหน้าลุ้นให้พี่ชายของตนพูดได้
“ป้อ!” ในที่สุดเด็กน้อยก็สามารถเปล่งเสียงเรียกออกมาได้
“เก่งแล้วกล้า..” คำชมทำให้เด็กน้อยยิ้มร่าก่อนจะเบะปากงอแง “ฮือ...ป้อต๋า” เจ้ากล้าร้องไห้จ้า ดูเหมือนว่าคนเป็นพี่จะอ่อนไหวและร้องไห้ง่ายกว่าน้อง
“แอะ...แง...” เจ้าแก้วที่เห็นว่าพี่ร้องไห้จึงร้องไห้ไปตามๆกัน ไตรทศยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะกอดให้ทั้งสองพี่น้องซบเข้าที่อกตน
จันนั่งลงข้างๆพร้อมกับลูบหลังปลอบลูกน้อยทั้งสองไปด้วย
“จัน” เสียงเรียกส่งผลให้จันเงยขึ้นมอง
“มีอะไรหรือพี่ไตร?”
“พี่มิอยากไปทำงานแล้ว”
“โถ...” ที่แท้ก็คนหลงลูกสิหนา
พอร้องไห้กันจนพอใจเจ้าแฝดจึงพากันหลับไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ ส่งผลให้ไตรทศไปทำงานสาย
จันเดินไปส่งคนพี่ที่ท่าน้ำ มองเรือของไตรทศลับตาไปก่อนจะเดินขึ้นเรือนเพื่อมาคอยดูแลลูกน้อยทั้งสองที่นอนอยู่ในเปล
ลูกทั้งสองนอนจับมือกันหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู เจ้ากล้าโตเร็วกว่าเจ้าแก้วอยู่มากเพราะกินนมแม่เยอะกว่าน้อง เรียกได้ว่านิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน ส่วนเจ้าแก้วดูแล้วบอบบางกว่าพี่นัก ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านดั่งหยวกกล้วยมิมีผิดเพี้ยน
“น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะคุณจัน” นางอ่อนยกขันน้ำขึ้นมาให้ จันจึงรับมาแล้วยกขึ้นดื่ม “คุณจันไปพักเถิดเจ้าค่ะ อ่อนจะดูแลเจ้านายน้อยให้เองนะเจ้าคะ”
“ข้าฝากอ่อนด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ” นานๆทีจันจึงจะมีโอกาสได้นอนพักเอาแรงเพราะเจ้าแฝดพากันงอแงเก่ง ห่างแม่เพียงนิดก็ร้องระงม พอมีอ่อนมาช่วยดูจึงทำให้พอมีเวลาแอบหลับได้บ้าง
จันนอนลงบนเตียงนุ่ม ลมที่พัดโกรกบนเรือนตลอดเวลาได้นำกลิ่นของดอกจันทร์กระพ้อที่ริมหน้าต่างเข้ามาด้วย กลิ่นบุพชาติหอมอบอวลอยู่ภายในห้องกล่อมให้คนที่เหนื่อยจากงานบ้านงานเรือนหลับลงได้อย่างง่ายดาย
เวลาล่วงผ่านไปหลายชั่วยาม เสียงของเจ้าแฝดที่พากันร้องไห้หาแม่ส่งผลให้จันตื่นจากนิทราก่อนจะรีบรุดเดินเข้าไปในห้องของลูกที่อยู่มิไกลกันนัก
“เกิดอะไรขึ้นรึอ่อน?”
“ดูท่าคุณกล้าจะหิวนมเจ้าค่ะคุณจัน พอคุณแก้วเห็นพี่ร้องจึงร้องตาม” จันพยักหน้ารับพร้อมกับเข้าไปนั่งข้างลูกน้อยทั้งสองที่ได้อ่อนพามานั่งรอบนเตียงเด็ก
“อ่อนออกไปก่อน” ถึงตนจะเป็นชายแต่การให้นมลูกต่อหน้าผู้อื่นก็น่าอายมิน้อย
“เจ้าค่ะ” นางอ่อนค้อมหัวให้ก่อนจะคลานออกไปพร้อมกับปิดประตูไม้ลง
“ไหนเจ้าตัวแสบ มาหาแม่สิลูก” จันกางแขนทั้งสองออกส่งผลให้เจ้ากล้าค่อยๆคลานเข้าสู้อ้อมอกแม่พร้อมกับแปะมือลงบนหน้าอกเพื่อสื่อว่าตนหิวนม
รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าของผู้เป็นแม่ จันแกะกระดุมเสื้อผ้าไหมสีขาวที่ใส่อยู่ออก เผยให้เห็นแผ่นอกขาวและยอดอกสีสวย เพราะร่างกายสร้างน้ำนมให้ลูกทำให้บริเวณฐานหน้าอกนูนขึ้นจนเห็นได้ชัดแต่ก็มิได้มีมากดั่งสตรีเพศ
เจ้ากล้าที่อยู่ในอ้อมกอดของจันขยับเข้าใกล้เพื่อดูดน้ำนมจากอกของผู้เป็นแม่ เด็กน้อยหลับตาพริ้มเมื่อได้นมเข้าปาก ใบหน้าอมยิ้มจนจันอดมันเขี้ยวมิได้
เจ้าแก้วนั่งดูดนิ้วหัวแม่มือมองพี่ชายที่กำลังกินนมตาแป๋ว ก่อนจะหันไปมองที่ประตูก่อนจะพูดอ้อแอ้
“ป้อ...ป้อ...”
“หืม?”
จันหันไปมองตามที่เจ้าแก้วใช้นิ้วป้อมชี้จึงเห็นว่าประตูถูกเปิดออกและมีใครบางคนแอบดูอยู่ และคนผู้นั้นคงเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากไตรทศ
“พี่ไตร?”
“ถูกจับได้เสียแล้ว...” ไตรทศเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับงับประตูให้ปิดตามเดิม “แก้วนะแก้ว...พ่ออุตส่าห์ส่งสัญญาณว่าห้ามบอกแม่”
จันหันมองเจ้าแก้วด้วยความงุนงง เด็กน้อยหัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นวางบนริมฝีปากเล็กจันจึงเข้าใจในทันทีว่าไตรทศส่งสัญญาณแบบใด
เด็กน้อยในวัยนี้อยู่ในวัยเลียนแบบสิ่งที่เห็นจึงมิแปลกที่เจ้าแก้วจะทำตามในสิ่งที่ไตรทสพาทำก่อนหน้า
“นี่พึ่งเพลาชายมิใช่หรือจ้ะ?” จันเอ่ยถามไตรทศที่นั่งลงบนเตียง
“เพราะเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าพี่จึงรีบกลับมา” เอาอีกแล้ว...จันเอ็นดูไตรทศอีกแล้วหนา
“...เจ้ากล้า กินนมมิสนใจพ่อเลยหนา” เด็กน้อยเพียงปรายสายตามองก่อนจะกลับไปดูดนมต่อ “มิรู้รึว่าที่ดูดอยู่น่ะนมเมียผู้ใด”
“หึ” เด็กตัวป้อมส่งเสียงในลำคอเหมือนดั่งกับว่าตอบโต้ไตรทศ
“นี่เมียพ่อนะเจ้ากล้า รู้หรือไม่ว่ากว่าพ่อจะได้แม่มาเป็นเมียมันยากเพียงใด”
จันนั่งมองสองพ่อลูกคุยกัน แต่ดูเหมือนกับว่าไตรทศพูดคนเดียวเสียมากกว่าเพราะเจ้ากล้าทำเพียงเสมอง
“ทำหน้าเยาะเย้ยพ่อรึ” จันก้มลงมองเจ้ากล้าที่กำลังอมยิ้ม แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของเจ้ากล้าเวลากินนม ไตรทศเสียอีกที่คิดเป็นตุเป็นตะ
“พ่อเคยดูดก่อนเอ็งอีก อะ..โอ๊ย!” ไตรทศลูบแขนไปมาเพราะโดนเมียหยิกเข้าให้
“พี่ไตร! พูดอะไรลามก”
“ก็มันจริงมิใช่รึ”
“ต่อหน้าลูกหนา” ใบหน้าจันพลันขึ้นสีระเรื่อเพราะคำพูดของคนพี่ ไตรทศยิ้มกริ่มอย่างได้ใจ
“พูดแล้วก็คิดถึงอกนุ่มนิ่ม มิได้ดูดเสียนานมิรู้ว่าจะเป็นเช่นไร”
“พี่ไตรทศ...” จันทำเสียงมิพอใจพร้อมกับทำสีหน้ายุ่งแต่ไตรทศที่กำลังสนุกก็มิได้สนใจเสียงขู่ของเมียเท่าใดนัก
“เดี๋ยวคืนนี้...พี่จักดูดให้หายคิดถึงไปเลย ดีรึไม่?” คนพี่คลอเคลียถามคำถามอยู่ข้างหูทำเอาจันขนลุกซู่เพราะห่างหายจากการร่วมรักไปนานจึงรู้สึกมิคุ้นชินนัก แต่จันเอง...
ก็มิได้ปฏิเสธ

ไตรทศทำตามคำพูดที่พูดทุกประการ สองร่างเปลือยเปล่าคลอเคลียกันอยู่บนเตียงสีขาวนวล แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเผยให้เห็นใบหน้าของไตรทศที่อยู่ด้านบนและจันที่อยู่ใต้ร่าง
ริมฝีปากร้อนไล้เลียตามซอกคอระหงลงมาที่ไหปลาร้าก่อนจะฝากรอยรักสีกุหลาบไว้จนทั่วทุกพื้นที่ที่ริมฝีปากสัมผัสถึง
ความรู้สึกวูบโหวงภายในช่องท้องส่งผลให้กายบางใต้ร่างสะดุ้งเพราะสัมผัสร้อนรุ่มในบางจังหวะ ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจ ยิ่งจันขยับหนีสัมผัสร้อนก็ยิ่งอยากแกล้ง
ลิ้นร้อนหยอกล้อกับยอดอกสีสวยที่ตนเป็นผู้ครอบครอง จันส่งเสียงเครือครางเพราะยอดอกไวต่อสัมผัสมากขึ้น
ไตรทศมิเว้นให้อีกข้างว่าง มือหนาบีบลงบนอกนิ่มอย่างเบามือเพื่อเป็นการนวดให้ผู้เป็นเมีย ลิ้นร้อนเองก็มิหยุดทำหน้าที่ ยังคงกระหวัดหยอกล้อกับยอดอกจนจันเผลอไผลปล่อยเสียงครางออกมาเป็นระยะ
“อื้อ...พี่ไตร...” กายบางบิดเร้าเมื่อไตรทศส่งมือหนาไปหยอกล้อกับกลางกายที่ชูชันรับลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
นิ้วหัวแม่มือคลึงตรงส่วนปลายจนรู้สึกได้ถึงของเหลวสีใสที่ไหลออกมาตามแรงอารมณ์ ไตรทศจึงขยับขึ้นลงเพื่อผ่อนคลายให้จัน
“อึก...ฮ่าห์..” เสียงกระเส่าปลุกเร้าอารมณ์ของไตรทศได้เป็นอย่างดี ยิ่งยามที่ผิวนวลขึ้นสีชมพูอ่อนๆ ยิ่งทำให้ไตรทศอยากจะรังแกเมีย
ส่วนปลายสีกุหลาบกระตุกรับสัมผัสจากมือใหญ่ จันบิดเร้าไปมาเพื่อหนีจากคนเจ้าเล่ห์ ไตรทศจึงใช้มือตรึงเอวของจันไว้ให้อยู่นิ่ง
“...เด็กดี” คำพูดพร้อมกับลมหายใจร้อนที่ข้างหูส่งผลให้ใบหน้าหวานแดงก่ำ
“อ๊ะ...อ๊า...” ร่างบางกระตุกเมื่อปลดปล่อยน้ำหวานสีขาวขุ่นออกมาจนเลอะมือคนพี่
ไตรทศยิ้มมุมปากก่อนจะใช้ของเหลวนั้นป้ายลงบนช่องทางสีหวานที่กำลังขมิบเพื่อเชื้อเชิญ
นิ้วเรียวยาวสอดเข้าไปในช่องทางที่คับแน่นอย่างง่ายดาย จันกัดริมฝีปากเพื่อระบายแรงอารมณ์จนห้อเลือด เมื่อไตรทศเห็นดังนั้นจึงก้มลงพร้อมกับกดจูบลงบนริมฝีปากของเมียรัก
ริมฝีปากนิ่มเปิดปากรับลิ้นร้อนของคนบนร่างอย่างอวยอ่อน เมื่อจันเคลิบเคลิ้มไตรทศจึงค่อยๆ เพิ่มนิ้วจากหนึ่งเป็นสองจากสอง...เป็นสาม
“อึก...อื้อ..” เสียงเฉอะแฉะที่เกิดจากการขยับนิ้วเข้าออกส่งผลให้จันหน้าแดงก่ำ สายตาหวานฉ่ำเชื่อมมองใบหน้าคมเข้มของไตรทศ
คนพี่ผละออกก่อนจะจับส่วนกลางกายที่เครียดเกร็งของตนจ่อที่ช่องทางสีหวาน
“ด-เดี๋ยวพี่ไตร” เสียงเรียกทำให้ไตรทศละความสนใจจากช่องทางพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเมีย “ข้า...ข้าจักทำเอง”
รู้ตัวอีกคราไตรทศก็อยู่ใต้ร่างของจันเสียแล้ว
“อึก..” จันกัดริมฝีปากเมื่อส่วนปลายแข็งแกร่งค่อยๆหายเข้าไปภายในช่องทางของตน
ไตรทศจับเอวเมียรักไว้เพื่อประคองพร้อมกับมองภาพตรงหน้ายามที่ส่วนปลายสีเข้มกำลังผลุบหายเข้าไปช่างเป็นภาพที่น่าอภิรมย์นัก
“อ๊ะ...อ๊า พี่ไตร...อื้อ!” เอวหนาสอบสะโพกขึ้นเมื่อจันมิยอมขยับเสียที ส่งผลให้เสียงครางหวานๆ ถูกเปล่งออกมา “คนเจ้าเล่ห์!”
“หึ...” ไตรทศยิ้มกริ่มก่อนจะสอบสะโพกหนักขึ้นจนกายบางบนร่างตามจังหวะการเคลื่อนไหวมิทัน
ปึก ปึก
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังระงมไปทั่วห้อง เสียงหอบหายใจของคนสองคนสอดประสานกันจนแยกมิออกว่าเป็นเสียงของผู้ใด
กายบางที่อยู่ด้านบนมิสามารถต้านต่อแรงกระทำจากผู้ที่อยู่ด้านล่างได้เลย แขนทั้งสองสอดคล้องคอของคนพี่ไว้พร้อมกับเชิดหน้าส่งเสียงครางหวานหูออกมามิรู้เบื่อ
“ซี๊ด...” เสียงซี๊ดปากของไตรทศทำเอาเจ้าตัวแสบได้ใจ บีบรัดส่วนกลางกลายที่ขยับเข้าออกเพื่อกลั่นแกล้งแต่หารู้ไม่ว่ายิ่งทำ...ไตรทศยิ่งชอบ
บั้นท้ายกลมกลึงสัมผัสกับหน้าขาของคนพี่จนเกิดเป็นเสียงน่าอายแต่ในยามนี้มิมีผู้ใดสนใจอีกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะสิ่งเดียวที่สนใจคือผู้ที่ตนกำลังสอดสายตาประสานกันอยู่ในขณะนี้
ไตรทศยื่นหน้าเข้าไปหาอกขาวนวลของเมียก่อนจะดูดเลียเหมือนกับเด็กมิมีผิด
“พ-พี่ไตร...อื้อ อย่าดูด...” คนเป็นผัวหาได้ฟังไม่ ยังคงดูดรั้งส่วนยอดอกพร้อมกับขยับสะโพกในยามเดียวกัน
น้ำนมสีขาวนวลออกมาจากส่วนยอดอก ไตรทศจึงไล้เลียมิให้เสียแม้แต่หยดเดียว
“อ๊ะ...อ่าห์..” เสียงกระเส่ากระตุ้นแรงอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น สะโพกหนาสอบหนักขึ้นจนเตียงลั่น ผ้าปูที่เคยเรียบร้อยพลันยับยู่ยี่ดั่งผ่านศึกสงคราม
“จะออก...อื้อ...จะออกแล้ว”
เสร็จคำบอกกล่าวกายบางจึงกระตุกเฮือกพร้อมกับปลดปล่อยอีกครา มิกี่อึดใจต่อมาจึงรับรู้ถึงความอุ่นวาบที่ท้องน้อย
“แฮ่ก...” จันนอนทับลงบนอกคนพี่ด้วยความเหนื่อยอ่อน
ไตรทศใช้มือหนาลูบลงบนกลุ่มผมนิ่มพร้อมกับกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมที่ตนชมชอบ
“ประเดี๋ยวข้าก็ท้องอีกดอก..” จันเอ่ยบ่นที่ไตรทศปลดปล่อยภายใน
“มิดีรึ?” ไตรทศเลิกคิ้วถาม
“แต่พี่ต้องอดทำไปเก้าเดือนเลยหนา...”
“หึ” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างรู้ทัน ส่วนจันก็พึ่งนึกได้ว่าตนพูดอะไรออกไป
“ข-ข้ามิได้หมายถึงแบบนั้น..”
“เด็กลามก”
“ฮื่อ..”

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 01-12-2019 20:39:06
ได้น้องอีกแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 01-12-2019 20:44:23
 :haun4: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2019 21:43:30
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-12-2019 00:30:15
พูดได้แล้วว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-12-2019 10:05:51
เด็กๆน่ารัก
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 23 (1/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-12-2019 23:55:01
 :impress2:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 24 (3/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 03-12-2019 11:45:11
บทที่ ๒๔
“แม่...แม่จ๋า...” เสียงเล็กเรียกอยู่ที่ข้างหูส่งผลให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงตื่นจากนิทราที่กำลังดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งฝัน
จันลืมตาขึ้นก่อนจะกระพริบตาปริบๆเพื่อให้สายตาปรับรับกับแสงในยามเช้าตรู่ เมื่อหันไปมองข้างกายจึงเห็นว่าเจ้าแฝดพากันยืนมองตนอยู่ข้างเตียงตาแป๋ว
“ตื่นเช้าเสียจริงหนา” จันเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้ลูกน้อยในวัยสี่ขวบ
“กล้าหิวขอรับ..” เจ้ากล้าพูดพร้อมกับใช้มือลูบลงบนพุงกลม
“แก้วด้วย~” จันยิ้มขำกับท่าทีของเจ้าแฝดที่กำลังพากันยืนลูบท้องเป็นสัญญาณว่าตนหิวแล้ว
“ตาเถร! คุณกล้า คุณแก้ว อย่ากวนคุณจันสิเจ้าคะ”
นางอ่อนรีบรุดเข้ามาภายในห้องเพื่อปรามทั้งสอง เพียงแค่นางอ่อนลับตาเพียงชั่วครู่เจ้านายตัวน้อยก็หนีหายเข้ามาในห้องนอนของจันเสียแล้ว “อิฉันขออภัยนะเจ้าคะคุณจัน” นางอ่อนก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด
“มิเป็นอันใดดอกอ่อน”
“ถ้าหิวเดี๋ยวอ่อนจะไปทำข้าวต้มร้อนๆให้นะเจ้าคะ” นางอ่อนหันไปคุยกับสองพี่น้อง
“หึ ไม่เอา...แก้วมิชอบข้าวต้ม” เจ้าแก้วเบะปากทำหน้าหยีข้าวต้ม
“แล้วคุณแก้วอยากกินอะไรหรือเจ้าคะ?”
“อืม...” เด็กน้อยทำท่าคิด ทำใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนกับไตรทศมิมีผิด “แก้วอยากกินขนมชั้น!”
“มันอ้วนนะแก้ว”
เจ้ากล้าเอ่ยปรามน้องที่เอาแต่กินของหวานแต่ผู้ที่ร่างกายอวบกว่าเจ้าแก้วก็เห็นทีจะว่าเป็นเจ้ากล้าเพราะยามที่น้องกินมิหมดผู้พี่จะกินแทนน้องเสียทุกครั้ง
“ต-แต่มันอย่อย..”
“ประเดี๋ยวพี่หินก็ล้ออีกดอก..”
หินคือชื่อของเด็กชายที่อายุมากกว่ากล้าและแก้วห้าปี ครอบครัวของหินย้ายมาสร้างเรือนอยู่ฝั่งตรงข้ามคลองของเรือนเล็ก เห็นชาวบ้านพากันพูดว่าบ้านนี้เป็นบ้านจอมขมังเวทย์ทั้งบ้าน ตั้งแต่ย้ายมาหินก็เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแฝดมาตลอด
“พ-พี่หินมิชอบแก้วหรือ?”
“มิใช่มิชอบแต่พี่หินบอกว่าแก้วอ้วน แก้มเยอะ”
“ฮื่อ..” เจ้าแก้วทำหน้าหมองลงจนจันกังวลใจเพราะคิดว่าลูกชายถูกแกล้ง “แต่ว่า...พี่หินชอบมาจับแก้มของแก้วแล้วบอกว่านุ่มนี่จ้ะ..”
จันกับนางอ่อนมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเจ้าหินแค่เอ็นดูเจ้าแก้วเพียงเท่านั้นมิได้แกล้งให้เจ็บช้ำน้ำใจ
“นั่นแหละ ถ้าเยอะขึ้นเรื่อยๆมันจักกลายเป็นอ้วน เพราะฉะนั้นแก้วต้องลดของหวานลงรู้รึไม่?”
“จ้ะพี่กล้า” เจ้าแก้วพยักหน้าหงึกหงักเชื่อฟังคำพูดพี่ชายแต่ก็ยังทำสีหน้าเหมือนกังวลบางอย่าง “แล้วพี่หินจะชอบแก้วหรือไม่จ้ะ?”
คำถามของลูกชายคนเล็กที่เอ่ยถามพี่ทำให้จันยิ้มออกมาด้วยความอ่อนใจ เด็กในวัยนี้ย่อมคิดมากเรื่องที่ตนจะมีเพื่อนเล่นหรือไม่
“ชอบ...แก้วน่ารัก”
“ฮื่อ...พี่กล้าก็”
เด็กตัวป้อมบิดตัวทำท่าทีเขินอายต่อคำชมของพี่ชาย เจ้ากล้ายื่นมือออกไปลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่ จันที่มองดูอยู่จึงรู้สึกสบายใจที่สองพี่น้องรักกันดี 
“เอาล่ะ แม่ว่าเราไปหาป้าอิ่มกันดีรึไม่?” พอได้ยินสองพี่น้องก็พากันดีใจใหญ่เพราะป้าอิ่มใจดีทั้งยังชอบทำขนมให้กินบ่อยๆจนเจ้าแฝดพากันติดใจ
“ไปจ้ะ!”
สองพี่น้องเอ่ยตอบพร้อมกัน พากันยื่นมือเล็กไปจับมือของจันไว้คนละข้างก่อนจะเดินจูงมือจันออกมาจากห้อง ในขณะที่เดินออกมาจึงสวนทางกับไตรทศที่พึ่งกลับจากห้องหนังสือพอดี
“แม่ลูกจะไปไหนกันหรือ?” ไตรทศเอ่ยถามสามแม่ลูก
“ไปหาป้าอิ่มจ้ะ!” เจ้าแก้วเป็นผู้ตอบด้วยความกระตือรือร้น
“จะไปเป็นลูกมือทำสำรับรึเจ้าแก้ว?” เด็กตัวป้อมพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับยิ้มให้ไตรทศจนตาปิด “พวกลูกพากันดูแลแม่ด้วยหนา อย่าให้แม่ไปซนเข้าล่ะ”
ทั้งเจ้ากล้าและเจ้าแก้วพากันหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินดังนั้น จันทำสีหน้าถะมึงถึงใส่คนพี่แต่ไตรทศก็มิได้สะทกสะท้านซ้ำยังฉวยโอกาสหอมแก้มเมียฟอดใหญ่
“พ-พี่ไตร!” ถึงจะโดนกระทำเสียบ่อยแต่จันก็มิคุ้นชินมากนักที่จะทำต่อหน้าลูก เจ้ากล้ามองภาพตรงหน้าพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
“พ่อจ๋าๆ” เจ้ากล้าเดินไปหาผู้เป็นพ่อพร้อมกับกระตุกชายเสื้อ
“มีอะไรหรือเจ้าตัวแสบ?” ไตรทศนั่งลงต่ำเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกับลูก
“หอม...หอมกล้าด้วย” ผู้เป็นพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูลูกก่อนจะหอมแก้มนิ่มของเจ้ากล้าฟอดใหญ่
“แก้ว...แก้วด้วย!” เจ้าแก้วรีบรุดวิ่งเข้าหาผู้เป็นพ่อพร้อมกับทำแก้มพองลม ไตรทศจึงก้มลงหอมแก้มลูกชายคนเล็กบ้าง
“ชื่นใจเสียจริง” ไตรทศยิ้มให้เจ้าแฝด สองพี่น้องจึงพากันหัวเราะคิกคักเพราะพอใจที่โดนพ่อหอมแก้ม
“ไปก่อนนะจ้ะ” เมื่อพอใจแล้วเจ้าแฝดจึงพากันเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่พร้อมกับจูงมือให้เดินออกจากบริเวณนั้น
ไตรทศมองภาพผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนทั้งสามคนเดินหายเข้าไปบริเวณโรงครัว ใบหน้าเจ้าของเรือนเปื้อนยิ้มด้วยความสุขใจ ต่อให้มีเงินทองมากองตรงหน้ามากมายไตรทศก็มิยอมแลกความสุขนี้กับเงินทองอย่างแน่นอน
เพราะทั้งสามแม่ลูก
...ล้ำค่ากว่าสมบัติใดๆบนโลกใบนี้

“ป้าอิ่มจ้ะ!” เจ้าแก้วโดดกอดคอป้าอิ่มเพื่อแกล้งให้ตกใจเล่น
“ว้าย! คุณแก้วเองหรือเจ้าคะ” เจ้าแก้วหัวเราะชอบใจใหญ่ที่แกล้งคนอายุมากได้สำเร็จ “อย่าเล่นเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ป้าตกใจ”
“ทำอะไรกินหรือป้าอิ่ม?” จันเอ่ยถาม
“ป้าจักทำแกงเทโพกับขนมลืมกลืนให้เจ้านายน้อยไว้กินหลังอาหารเจ้าค่ะ”
“ดีเลยจ้ะป้า”
“รอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“กล้า แก้ว มายืนดูตรงนี้ดีกว่าหนาประเดี๋ยวกวนป้าอิ่ม”
เจ้าแฝดเชื่อฟังคำพูดของแม่เป็นอย่างดี พากันเดินเตาะแตะเข้าไปหาผู้เป็นแม่ก่อนจะยืนมองด้วยความสนใจใคร่รู้
กลิ่นอาหารโชยมาตามลมทำเอาเจ้าแฝดพากันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เจ้าแก้วก็ดูดนิ้วรอไปพลาง

“สำรับเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางทาสพากันยกสำรับชุดใหญ่เดินต่อท้ายกันไปที่โต๊ะกินข้าวหลายชุด ทั้งของคาว ของหวานมากมายเรียงเต็มโต๊ะ
เจ้ากล้าและเจ้าแก้วรีบพากันวิ่งไปนั่งอย่างรู้ความ มองอาหารบนโต๊ะที่มากมายละลานตาด้วยสายตาลุกวาวเป็นประกาย
“อ่อนไปตามคุณพี่ให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ” นางอ่อนค้อมหัวรับก่อนจะคลานเข่าออกไป เมื่อห่างได้สักระยะจึงลุกเดิน
“จะไปไหนรึอ่อน?” ไอ้มิ่งเอ่ยถามนางอ่อนที่กำลังจะเดินเข้าไปเรียกไตรทศ
“ข้าจะเข้าไปเรียกคุณท่านจ้ะพี่มิ่ง”
“ประเดี๋ยวข้าบอกคุณท่านเอง เอ็งไปพักเถิด”
“ขอบใจจ้ะพี่”
 นางอ่อนยิ้มให้ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป ไอ้มิ่งมองตามตาละห้อยเพราะมันแอบชอบนางอ่อนมาตั้งนานแล้วแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมิเล่นด้วย
“แฮ่ม!” เสียงกระแอมที่ดังขึ้นส่งผลให้มันสะดุ้งโหยง
“ค-คุณท่าน! กระผมตกใจหมดเลยขอรับ”
“ยืนยิ้มเป็นคนบ้าไปเสียได้นะเอ็ง” ไอ้มิ่งเกาท้ายทอยแก้เขิน “เมียข้าให้คนมาตามข้าไปกินข้าวมิใช่รึ?” ไตรทศได้ยินบทสนทนาของทั้งสองเมื่อครู่แล้วจึงมิรอให้เสียเวลา
“ขอรับ”
“ไปได้แล้ว” ไอ้มิ่งค้อมหัวให้ไตรทศก่อนจะเดินตามหลัง
เมื่อเจ้าแฝดเห็นพ่อก็พากันร้องเรียกเสียงดังลั่นเรือนจนจันต้องปรามลูกชายเอาไว้มิให้แสดงกิริยากระโดกกระเดก
“รอนานรึไม่?” ไตรทศนั่งข้างจันพร้อมกับเอ่ยถาม
“มินานจ้ะ” ทั้งสองสบตากันก่อนจะยิ้มออกมา
สองพี่น้องพากันมองพ่อกับแม่หนุงหนิงกันก่อนจะหัวเราะคิกคัก ทั้งคู่จึงหันไปมอง พบว่าเจ้าแฝดกำลังทำท่าทางล้อเลียนตนและไตรทศด้วยการจับแก้มกันก่อนจะผลัดกันหอมแก้มไปมา
เจ้าแฝดพากันเห็นพ่อกับแม่ทำเช่นนี้บ่อยครั้งยามลับตาพวกตนแต่ทั้งสองหารู้ไม่ว่าสองพี่น้องนั้นยืนแอบดูอยู่ตลอด
“เจ้าพวกตัวแสบ” ไตรทศยื่นมือไปขยี้ผมลูกน้อยด้วยความมันเขี้ยว “หยุดได้แล้วกระมัง...ดูแม่สิหน้าแดงหมดแล้วหนา ฮ่าๆ”
ปากบอกให้หยุดแต่ไตรทศกลับหัวเราะชอบใจพร้อมกับส่งสายตาให้สองพี่น้องว่าทำดีมาก จันจึงมองเขม่นตาใส่แต่ทั้งสามพ่อลูกก็มิได้สะทกสะท้าน
ทั้งสี่ลงมือกินสำรับที่ป้าอิ่มเป็นผู้ทำ เมื่อกินอิ่มจึงตามด้วยของหวานอย่างขนมลืมกลืน ความอร่อยของมันทำให้ผู้ที่ได้ลิ้มลองลืมกลืนตามชื่อมิมีผิดเพี้ยน
“อย่อย” เจ้าแก้วที่เคี้ยวขนมเต็มปากยิ้มชอบใจจนตาปิด ป้าอิ่มที่นั่งดูอยู่มิไกลเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพลอยสุขใจไปด้วย
“แก้วอย่ากินเยอะประเดี๋ยวจะอ้วน” กล้าปรามน้องที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ในปากและสองมือก็มิว่างเพราะถือขนมไว้อีกชิ้น
“แก้วชอบ..”
“ประเดี๋ยวพี่หินจะมิรักเอาหนา” คำบอกกล่าวของลูกทำเอาไตรทศหูผึ่งเมื่อได้ยิน ตนไปทำงานทุกวันจึงมิรู้ว่าผู้ใดคือคนที่ชื่อหิน
“ฮื่อ...” เจ้าแก้วหยุดเคี้ยวพร้อมกับวางขนมที่อยู่ในมือลง สีหน้าหม่นลงจนผู้เป็นพ่อร้อนใจ
“ผู้ใดจะมิรักลูกพ่อเล่า หน้าตาน่ารักเสียขนาดนี้”
“จริงหรือจ้ะ” เจ้าแก้วที่อมขนมไว้ในปากมองพ่อตาแป๋ว
“จริงสิลูก ผู้ใดที่มิรักลูกพ่อคงจะเป็นคนโง่เป็นแน่”
ไตรทศเอ่ยปลอบใจลูกชาย เจ้าแก้วจึงยิ้มได้เพราะพี่หินอ่านหนังสือออก พี่หินฉลาด เพราะเป็นเช่นนั้นจึงแปลว่าพี่หินรักแก้ว
เมื่ออารมณ์ดีแล้วเด็กน้อยจึงกินขนมต่อ ไตรทศมองหน้าลูกชายก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนใจ เมื่อเรื่องลูกคลี่คลายก็ถึงคราวที่ไตรทศต้องสืบสาวหาความแล้วว่าผู้ใดคือเจ้าคนที่ชื่อหิน 
ตะวันบ่ายคล้อยเจ้าแฝดจึงพากันลงไปเล่นที่สวนใกล้กับท่าน้ำ มีต้นมะม่วงต้นใหญ่คอยให้ร่มเงาทำให้ทั้งสองมิร้อนและมิโดนแดดในยามบ่าย
“พี่หิน!” เจ้ากล้าเอ่ยเรียกพร้อมกับโบกมือให้หินที่ยืนอยู่ที่ท่าน้ำอีกฟากฝั่งคลอง “ทางนี้จ้ะพี่”
เมื่อหินเห็นว่าเจ้ากล้าเรียกจึงเดินข้ามสะพานที่ถูกสร้างไว้มิไกลจากท่าน้ำมากนัก เจ้ากล้าแสดงออกว่าดีใจที่หินจะมาเล่นด้วยเพราะกล้านับถือหินเป็นเหมือนพี่ชายของตน พี่หินทั้งเท่ทั้งดูดี โตขึ้นกล้าจึงอย่างเป็นแบบพี่หินบ้าง
เจ้าแก้วชะเง้อมองคนพี่ที่กำลังเดินเข้ามา เด็กตัวป้อมก้มหน้างุดเพราะอาการเขินอาย วันนี้แก้วแอบกินขนมไปเสียเยอะจึงกลัวว่าพี่หินจะดูออก
“ทำอะไรกันอยู่รึ?” หินเอ่ยถามกล้า
“แก้วบอกว่าอยากเล่นพ่อแม่ลูกจ้ะพี่” หินหูผึ่งเมื่อได้ยิน ตนอายุเก้าขวบแล้วจักให้มาเล่นเป็นเด็กๆคงมิเหมาะ
“เล่นกันไปเถอะ พี่โตแล้ว” ถึงจะพูดไปเช่นนั้นแต่ใจจริงก็อยากเล่นกับน้องมิน้อย
“พี่หิน...จะมิเล่นเป็นเพื่อนแก้วหรือจ้ะ?” เจ้าแก้วที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่ก่อนหน้าเงยหน้าขึ้นมาถามสายตาละห้อย
“เอ่อ...” เมื่อเห็นว่าน้องส่งสายตาออดอ้อนจึงมิอยากขัด แต่ผู้ใดก็ต้องขัดเขินกันทั้งนั้นที่ต้องมาเล่นอะไรเป็นเด็ก “คือ..”
“ฮึก” เจ้าแก้วเริ่มเบะปาก เมื่อเห็นท่ามิดีหินจึงต้องจำใจเล่น
“ได้ๆ พี่จักเล่น”
“เย้ๆ!” เจ้ากล้าดีใจใหญ่ที่หินจะอยู่เล่นด้วย “กล้าเป็นลูกๆ!”
เจ้ากล้ามิได้อยากเล่นเป็นลูกจริงๆแต่ตนรู้ใจน้องชายดีว่าอยากเล่นเป็นแม่และให้พี่หินเป็นพ่อ ตนจึงยอมให้น้องตลอด ผู้ใดมองดูก็รู้ว่าเจ้าแก้วชอบพี่หิน

“แม่จ๋ากล้าหิวนม” เจ้ากล้าสวมบทบาทลูกได้สมจริงจนหินนึกขำ เจ้ากล้าทำท่าออดอ้อนจนแก้วเองก็กลั้นขำมิอยู่
“โอ๋ๆนะลูก” เจ้าแก้วลูบหัวพี่ชายเป็นการปลอบส่วนเจ้ากล้าหลับตาพริ้มประหนึ่งว่ากลับไปเป็นทารกอีกครั้ง
หินนั่งมองสองพี่น้องเล่นกัน ถึงตนจักได้รับหน้าที่เป็นพ่อแต่ตนก็มิรู้ว่าต้องทำสิ่งใดบ้างเพราะหินมิมีพ่อและถูกเลี้ยงดูมาโดยปู่
“เอ่อ..” เจ้าแก้วเงยหน้ามองคนพี่ด้วยสีหน้าระเรื่อ “พี่หินมานอนตักแก้วสิจ้ะ”
เด็กชายตาโตเมื่อน้องเอ่ยบอก เจ้าแก้วจำได้ว่าพ่อชอบนอนตักแม่ทั้งยังทำหน้าเหมือนกับว่านอนสบาย
เมื่อคนพี่มิยอมมานอนสักทีเจ้าแก้วจึงตบลงบนตักเพื่อเป็นการรบเร้า หินถอนหายใจก่อนจะนอนลงตามคำสั่งของเจ้าแก้ว
“พี่หินหนักจัง” เจ้าแก้วบ่นพร้อมกับทำปากมุบมิบ เมื่ออดมันเขี้ยวมิได้หินจึงใช้มือจับแก้มของเจ้าแก้วพร้อมกับดึงเล่น “ฮื่อ...”
“เหตุใดเมียพี่จึงแก้มเยอะ?”
เมื่อถูกเรียกว่า ‘เมีย’ มีหรือที่เจ้าแก้วจะวางเฉยอยู่ได้ เด็กน้อยใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายพร้อมกับก้มหน้างุด รู้อยู่ดอกว่ามันคือการเล่นไปตามบท...แต่แก้วเขินจัง
“เมื่อเช้าแม่กินขนมลืมกลืนไปเยอะเลยจ้ะพ่อ” เจ้ากล้าเป็นผู้คลายข้อสงสัย
“หืม...” หินหรี่ตามองเจ้าแก้วที่เสมองไปทางอื่น
“น-นิดเดียว” เด็กน้อยแก้ตัวยกใหญ่หินจึงมิกล้าดุ ที่คอยปรามเพราะมิอยากให้น้องกินเยอะจนอ้วนฉุ เพราะยามแก่ตัวมันจักลำบาก
“ดื้อ” พูดพร้อมกับใช้มือบีบจมูกเล็กที่ขึ้นสีระเรื่อ เจ้าแก้วหลับตาปี๋เพราะคิดว่าจักโดนตี
เจ้ากล้ามองก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าน้องชายมีความสุขตนจึงมิความสุขตามไปด้วย พ่อแม่(สมมติ)รักกันดี ผู้ใดบ้างจะมิชอบ
หินลุกขึ้นนั่งเพราะกลัวว่าน้องจะขาชา เด็กหนุ่มนั่งชันเข่ามองเจ้าแก้วที่นั่งเรียบร้อย เก็บไม้เก็บมือมาวางบนหน้าตัก
“พ่อจักไปทำงานใช่หรือไม่จ้ะ?” เจ้ากล้าเอ่ยถามหินจึงเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย “ก็พ่อต้องทำงาน ส่วนแม่อยู่เรือนดูแลลูกไงจ้ะ” หินพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจ
“ป-ไปทำงานดีๆนะจ้ะพี่หิน” เจ้าแก้วเอ่ยบอก แก้มขึ้นสีระเรื่อ
“อืม” หินพยักหน้ารับ
“พ่อหอมแม่หน่อยสิจ้ะ” เจ้ากล้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนเจ้าแก้วนั้นกำลังตะลึงตาค้าง
“ค-คือ..” เจ้าแก้วอยากจะปฏิเสธแต่พอเห็นว่าพี่ชายมองมาอย่างคาดหวังจึงมิกล้าพูด รอให้พี่หินพูดเองจะดีเสียกว่า
“อืม” อะ..เอ๊ะ!?
เพียงชั่วอึดใจเดียวเอวบางถูกใครอีกคนรวบเข้าไปใกล้ทำให้เจ้าแก้วอยู่ระหว่างขาของหินที่นั่งชันเข่าพอดี แก้มขาวนวลถูกจู่โจมโดยมิทันตั้งตัว แต่มันก็แค่เพียงชั่วระยะเวลากระพริบตาเพียงเท่านั้น
“หูวว” เจ้ากล้าตบมือทำท่าดีใจใหญ่
“พี่ว่า...พี่ขอกลับก่อนดีกว่า” หินพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทันที
เจ้าแก้วมองตามคนพี่ตาละห้อย สัมผัสที่แก้มซ้ายยังมิหายไปไหน ความรู้สึกอุ่นๆอยู่ภายในอกเป็นความรู้สึกที่เด็กสี่ขวบเช่นแก้วมิสามารถอธิบายได้

ในขณะที่กำลังจะถึงเวลาเข้านอนจันและไตรทศจึงมากล่อมลูกน้อยให้นอนหลับก่อนที่ตนทั้งคู่จักไปนอนพักผ่อนบ้าง
“แม่จ๋า” เจ้าแก้วเอ่ยเรียก
“มีอะไรหรือเจ้าแก้ว”
“ว-วันนี้แก้วได้เล่นกับพี่หิน..” ไตรทศที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเตียงหูผึ่ง นั่งฟังลูกคนเล็กคุยกับแม่
“เล่นอะไรกันหรือเจ้าตัวแสบ?”
“เล่นพ่อแม่ลูกจ้ะ” ไตรทศมิอยากชื่อหูตัวเอง แต่ก็ต้องทำใจให้นิ่งไว้
“สนุกรึไม่?”
“สนุกจ้ะ” เด็กน้อยยิ้มชอบใจ “พี่หินเป็นพ่อ...ส่วนแก้ว...เป็นแม่”
“แล้วมีอะไรมิดีเกิดขึ้นรึไม่?” แก้วส่ายหน้า
“แต่พี่หิน..” เด็กน้อยอึกอักมิกล้าพูดต่อ
“พี่หินหอมแก้ว!” เป็นกล้าที่โพล่งขึ้นมา
“หา!” ไตรทศเบิกตาโตทำสีหน้าตกใจจนเจ้ากล้าหัวเราะชอบใจ “หอมรึ?”
“จ้ะ” แก้วพยักหน้าพร้อมกับแก้มระเรื่อที่มองแล้วน่าเอ็นดู “แก้วรู้แล้วว่าโตขึ้นแก้วอยากเป็นอะไร”
“เป็นอะไรรึ?” จันเอ่ยถามลูกน้อย
“แก้วอยากเป็นเมียพี่หิน!”
จันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะเอ็นดูลูก ไตรทศแทบลมจับ ส่วนเจ้ากล้าก็ยิ้มแป้นเพราะกล้าเองก็ชอบพี่หินจึงมิขัดใจน้อง ดีเสียอีกจะได้เล่นกันทุกวัน 
“ไว้โตก่อนค่อยคิดนะลูก” จันลูบหัวลูกน้อยก่อนจะกล่อมให้นอนหลับ
เมื่อเจ้าแฝดพากันหลับปุ๋ยทั้งสองจึงค่อยๆพากันเดินออกมาจากห้องลูก
“พี่มิยอมดอกหนา” ไตรทศทำหน้าฟึดฟัด ทำตัวเป็นพ่อหวงลูก
“โธ่พี่ไตร ลูกยังเด็ก...พี่อย่าคิดมากเลยหนา” จับจับแขนไตรทศพร้อมกับลูบไปมา
“นั่นสิหนา ประเดี๋ยวโตขึ้นคงจักลืมไปเอง”
จันยิ้มอย่างอ่อนใจ จันรู้ดีว่าไตรทศมิกีดกันหากลูกจะรักจะชอบผู้ใด แต่ในยามนี้ไตรทศกำลังทำตัวเป็นจงอางหวงไข่เพราะลูกยังเล็กเพียงเท่านั้น
“เราไปนอนกันเถอะจ้ะ”
“แค่นอนรึ?” คนพี่ทำหน้ายียวน
“ตามใจพี่..”
เมื่อได้ยินดังนั้นคนอายุมากกว่าจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะอุ้มเมียเดินเข้าห้องไป เป็นอีกคืนที่จันนอนหลับมิพอและคงต้องให้เจ้าแฝดมาปลุกเหมือนเมื่อเช้าเป็นแน่...

หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 24 (3/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-12-2019 13:05:10
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 24 (3/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2019 13:11:43
 :pig4:
o13
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 24 (3/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-12-2019 14:36:31
เล่นพ่อแม่ลูกกันน่ารักเชียว  รออ่านรุ่นลูกค่ะ :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 24 (3/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 04-12-2019 10:33:24
อยากอ่านรุ่นลูกต่อจ้า~
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 06-12-2019 19:18:51
บทที่ ๒๕ (บทส่งท้าย)

กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปนานถึงห้าปีแต่ความรักที่ไตรทศมีต่อเมียรักเช่นจันก็มิน้อยลงไปตามกาลเวลาแม้เพียงสักนิด ทั้งสองยังคงกอดหอมให้ลูกเห็นอยู่บ่อยครั้งจนเจ้ากล้าและเจ้าแก้วเอ่ยแซวอยู่ร่ำไป
เจ้าแฝดพากันอายุเก้าขวบแล้ว กำลังอยู่ในวัยดื้อวัยซนของเด็กทั่วไป บางวันจันก็พาลูกไปเที่ยวเล่นที่ตลาดใหญ่ บางวันก็พาไปเยี่ยมตาที่เรือนของบิดาตน 
จันมองออกไปนอกเรือนเพื่อสอดส่องสายตาหาสองพี่น้องที่พากันออกไปเที่ยวเล่นกับไอ้มิ่งตั้งแต่ช่วงสายจวบจนถึงเพลาชายก็ยังมิพากันกลับเรือน
“ห่วงลูกรึ?” ไตรทศเอ่ยถามจันที่กำลังนั่งร้อยมาลัยเพื่อถวายหลวงตาวันพรุ่งนี้
“จ้ะ”
“ลูกมีไอ้มิ่งไปด้วย ออเจ้าอย่าวิตกไปเลยหนา” มือหนาที่วางลงบนมือของจันช่างอบอุ่นจนทำให้จันคลายความกังวลไปได้บ้าง
ใบหน้าคมคร้ามของไตรทศในวัยกลางคนมิได้ทำให้ความหล่อของเจ้าตัวลดน้อยลงไปได้เลย อายุยิ่งมากใบหน้ายิ่งคมเข้มมากกว่าตอนหนุ่มๆเสียอีก
ไตรทศที่รับงานราชการมานานโข ในยามนี้ได้อวยยศเป็นถึงหลวง ไปที่ใดก็มีแต่ผู้คนเรียกขานว่า ‘คุณหลวงไตรทศ’
พอพระยาเกษมอายุมากขึ้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่คุมโรงสีและคุมตลาดใหญ่ก็เป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเดชดำรงค์ผู้เป็นพี่ชายของไตรทศและตัวไตรทศเองที่แบ่งกันดูแลคนละครึ่ง ทำให้ชาวบ้านต่างพากันยำเกรงมิมีผู้ใดกล้าพูดว่าร้ายถึงจันอีกแล้ว
“คุณท่าน! คุณท่านขอรับ!” เสียงไอ้มิ่งดังมาจากปลายบันได ไตรทศและจันจึงรีบเดินไปดู
“เกิดเหตุอันใดขึ้นวะไอ้มิ่ง แล้วลูกข้าอยู่ที่ใด?” มันหอบหายใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“คุณกล้า...คุณกล้ามีเรื่องชกต่อยขอรับ!” พวงมาลัยในมือจันร่างลงบนพื้นเรือนเมื่อได้ยินดังนั้น
“พาข้าไปเดี๋ยวนี่!” จันพูดพร้อมกับรีบวิ่งลงเรือนตามมาติดๆด้วยไตรทศ
มินานทั้งสามจึงมาถึงบริเวณที่สองพี่น้องพากันมาเล่น ภาพเด็กชายสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมาบนพื้นปรากฏสู่สายตาทั้งคู่
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงดังที่สั่งห้ามดังขึ้นจนเด็กทั้งสองชะงักไปก่อนจะลุกแยกออกจากกัน
“จ-เจ้าคุณพ่อ” เจ้าแก้วที่ยืนอยู่มิไกลทำสีหน้าตระหนก ตามเนื้อตัวมีรอยเปื้อนและฟกช้ำ
“เกิดเหตุอันใดขึ้น?” จันเอ่ยถามเพื่อหาสาเหตุ
“ไอ้กล้ามันต่อยข้าก่อน!”
“ก็เอ็งมันปากไม่ดีข้าก็ต้องเอาเลือดปากเอ็งออกสิวะ!”
“หนอย!” ทั้งสองทำท่าจะพุ่งใส่กันอีกแต่ได้ไอ้มิ่งไปจับแยก
“กล้า แก้ว กลับเรือน!” เจ้าแก้วตัวสั่นเพราะมิเคยเห็นผู้เป็นพ่อทำสีหน้าโกรธเคืองขนาดนี้มาก่อน
เมื่อการทะเลาะวิวาทยุติลงและพ่อแม่ของเด็กอันธพาลได้ขอโทษขอโพยไตรทศจึงมิเอาความทั้งที่ใจจริงคิดว่าหากเตะตูดเด็กได้คงทำไปนานแล้ว
เมื่อพูดคุยเสร็จทั้งหมดจึงพากันมุ่งหน้ากลับเรือนเพื่อทำแผลที่เกิดจากการชกต่อย
“อ-โอ๊ยๆ เบาๆสิจ้ะแม่”
“ทำเป็นบ่น ทียามชกต่อยกันเหตุใดจึงมิคิดว่ามันจะเจ็บ?” จันบ่นลูกน้อยไปประคบยาตามรอยช้ำไป “พาน้องไปเจ็บอีก เห็นรึไม่”
กล้าหันไปทางน้องที่ได้ผู้เป็นพ่อประคบยาให้
“ก็มันพูดมิดีกับแก้ว...มันด่าแก้วว่าไอ้ลูกแม่เรือน”
กึก
ลูกประคบในมือของจันหยุดชะงักก่อนจะถอนหายใจออกมาผะแผ่ว
“มันก็เป็นความจริงมิใช่รึ?”
“แต่กล้ามิชอบ...กล้ารักแก้ว กล้ารักพ่อกับแม่ กล้ามิชอบเวลามีผู้ใดมาพูดเช่นนั้น”
จันยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะลงมือประคบลงบนรอยช้ำตามแขนลูกชายพร้อมกับพูดปลอบประโลม
“กล้าว่าแม่เรือนแย่หรือไม่?”
“ไม่ขอรับ แม่ของกล้าเป็นคนใจดี”
“แม่เรือนน่ารังเกียจหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ แม่ของกล้าน่ารักที่สุด”
“เห็นหรือไม่ เป็นแม่เรือนก็ใช่ว่าจะแย่มิใช่หรือ?” เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิดก่อนรอยยิ้มเล็กๆจะปรากฏบนใบหน้า
“ขอรับ...แล้วกล้าจะทำเช่นไรดีขอรับ ยามที่พวกมันมาแกล้งแก้วอีก”
“เตะมันไปเลย”
“พี่ไตร!” จันหันไปปรามคนพี่ที่นั่งอยู่มิไกล มิห้ามซ้ำยังให้ท้ายลูกอีก  สมกับเป็นพ่อลูกกันเสียจริง
เจ้าแก้วหัวเราะคิกคักก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อไตรทศลงมือประคบให้อีกครา ถึงผู้เป็นพ่อจะเคยเป็นหมอยาแต่ก็มิได้หมายความว่าไตรทศจักมือเบาสักนิด 
“หากกล้ารักน้องก็จงปกป้องน้อง แต่อย่าใช้กำลังกันเลยหนาเพราะหากกล้าเจ็บแม่ก็เจ็บด้วย เข้าใจรึไม่เจ้าตัวแสบ?”
ฝ่ามืออบอุ่นลูบลงบนกลุ่มผมดำขลับของลูกชายคนโต เจ้ากล้ายิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับคำสอนสั่งจากผู้เป็นแม่ ก่อนจะหันไปเห็นพ่อที่กำลังขยิบตาให้เป็นเชิงว่า ‘หากมีผู้ใดมารังแกก็จัดการมันเลย’ เสียอย่างนั้น
หลังสำรับเย็น สี่คนพ่อแม่ลูกพากันนั่งเล่นอยู่บนตั่งริมชานเรือนเพื่อนั่งดูพระจันทร์เต็มดวงและพูดคุยกันในเรื่องที่สองพี่น้องสนใจ
ทั้งสองพี่น้องนั่งอยู่บนตั่งของผู้เป็นแม่ปล่อยให้ไตรทศนั่งผู้เดียวจนผู้เป็นพ่อแอบน้อยใจแต่ก็มิได้ว่าอะไรเพราะเจ้าตัวแสบพากันติดแม่อยู่แล้ว
“แก้วสนใจเรื่องทำขนมจ้ะ”
“ส่วนกล้าสนใจเรื่องวิชาดาบขอรับ”
ทั้งสองดูกระตือรือร้นที่จะได้ฝึกศาสตร์และศิลป์ทุกแขนงในยามที่ตนเองโตมากกว่านี้ ถึงจะเป็นแฝดแต่ทั้งสองกลับแตกต่างกันมากจนหากมิบอกก็คงมิมีผู้ใดรู้ว่าเป็นแฝดกัน
“ดีแล้วลูก หากชอบสิ่งใดก็จงตั้งใจทำสิ่งนั้น พ่อกับแม่จักสนับสนุนออเจ้าทุกทาง” สองพี่น้องพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะหยิบขนมในถาดทองกินไปเรื่อยจนเริ่มอิ่ม
“อืม...พ่อกับแม่รักกันได้อย่างไรจ้ะ?” เจ้าแก้วที่กำลังสนใจใคร่รู้เรื่องความรักเริ่มเอ่ยถาม เผื่อมีสิ่งใดที่ใช้ได้ตนจักได้นำไปใช้มัดใจพี่หินคนเย็นชา
“พ่อตามตอแยแม่ก่อน”
“หือ!?” สองพี่น้องทำเสียงตกใจเพราะตนเห็นว่าแม่รักพ่อมากจึงคิดว่าแม่ตามจีบพ่อก่อนเสียอีก
“แม่ของออเจ้าเป็นเด็กวัด ในคราแรกที่เจอแม่ของออเจ้ามิชอบพ่อนัก ทั้งดื้อทั้งรั้นซ้ำยังมีเรื่องชกต่อยให้พ่อได้ดุอยู่เรื่อย” จันนั่งฟังไปยิ้มไปเพราะมิคิดว่าไตรทศจะจำได้ถึงเพียงนี้
“ม-แม่มีเรื่องชกต่อยด้วยหรือจ้ะ?” เจ้ากล้าเอ่ยถาม
“ประจำ” จันจึงให้คำตอบ เด็กน้อยตาลุกว้าวอ้าปากตะลึงเพราะมิคิดว่าแม่ของตนที่แสนจะดูเรียบร้อยเคยเตะเคยต่อยผู้อื่นมาก่อน
“พ่อชอบแม่ตั้งแต่คราแรกที่เจอหน้า” จันชะงักไปเพราะตนมิเคยรู้มาก่อน “ชอบ...แต่พ่อก็ยังมิกล้าเข้าหาเพราะพ่อยังสับสนในคราแรก”
สองสายตาสอดประสานกันในยามที่ไตรทศเล่าถึงอดีต เหมือนดั่งกับว่าไตรทศกำลังสารภาพรักกับจันอีกคราอย่างไรอย่างนั้น
“พ่อมารู้ทีหลังว่าแม่เองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ซ้ำยังเป็นแม่หญิงผู้เรียบร้อย”
“หูวว” เจ้าแฝดพากันทำเสียงตื่นตาตื่นใจ
“แต่ผู้ใดจะสนใจเล่าในเมื่อชอบเขาไปแล้ว พ่อจึงถือคติว่า ‘ชอบได้ก็เลิกชอบได้’ พ่อจึงตามจีบแม่ของลูกต่อโดยที่มิสนใจว่าตนจะต้องเจ็บช้ำน้ำใจหรือไม่”
เมื่อไตรทศพูดมาถึงตรงนี้ตนจึงนึกถึงในยามที่ตนจำใจต้องบอกไตรทศให้เลิกยุ่งกับตน ภาพเหตุการณ์ในอดีตหลั่งไหลเข้ามาทำให้ใจดวงน้อยไหวสั่นอีกคราเมื่อนึกถึง
“ปู่ของลูกมิเห็นด้วยกับการที่พ่อจะรักกับแม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วแม่ของลูกก็เอาชนะใจปู่ได้ด้วยการเอาชีวิตของตนเข้าแลก เอาตัวเข้ารับคมดาบแทนพ่อจนมีแผลเป็นติดตัว”
เจ้าแฝดพากันหันมองหน้าจันที่กำลังนั่งฟัง เมื่อนานมาแล้วทั้งสองเคยแอบเห็นรอยแผลเป็นยาวบนหลังของผู้เป็นแม่แต่มิกล้าถามจึงเก็บความสงสัยไว้นาน ในยามนี้ความสงสัยนั้นกระจ่างแล้ว
ไตรทศก้มลงสบตาลูกทั้งสองก่อนจะพูดต่อ
“ลูกรู้รึไม่ว่าพ่อรักแม่ของลูกมาก มากจนยอมตายแทนได้” สองพี่น้องนั่งฟังพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “...พยานรักของพ่อกับแม่ก็คือลูกทั้งสองอย่างไรเล่า”
รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของจันเมื่อได้ฟังไตรทศพูด น้ำตาหยดน้อยเอ่อคลอจนบดบังการมองเห็น ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม่ของลูกทำให้พ่อได้รับรู้ว่า..” ไตรทศเงยขึ้นสบตาจันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “...พ่อเลือกคนมิผิด”
น้ำตาหยดน้อยไหลลงบนแก้มนวล ยามที่ต้องแสงจันทร์น้ำตาหยดนั้นส่องเป็นประกายระยิบระยับเหมือนดั่งหยาดเพชรที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล มากจนมิอาจบอกค่าได้
จันเช็ดน้ำตาหยดนั้นออกเพื่อมิให้เจ้าแฝดทั้งสองที่นั่งบนตักเห็นว่าตนเสียน้ำตา
“แล้วแม่รักพ่อตอนไหนหรือจ้ะ?” เจ้าแก้วเอ่ยถาม ไตรทศมองมาที่จันเพราะตนเองก็อยากรู้เช่นกัน
“ในระหว่างที่พ่อตามตอแย ตามดุแม่ แม่เองก็เริ่มเริ่มหวั่นไหวกับพ่อมาได้สักพักใหญ่ๆ แต่แม่ยังมิรู้ใจตนเองนักเพราะแม่คิดว่าแม่ยังชอบแม่หญิงอีกผู้หนึ่งอยู่” จันเงยหน้าขึ้นสบตากับไตรทศ
“แม่รู้ว่าแม่รักพ่อตอนที่แม่เสียพ่อไปแล้ว...และมารู้ตัวอีกคราว่ารักมากก็ตอนที่แม่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องพ่อของลูก”
คำตอบอันน่าพึงพอใจส่งผลให้คนพี่ยิ้มออกมาด้วยความผาสุก หัวใจรู้สึกอบอุ่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความรักที่จันมีให้ตนมาตลอด ถึงในคราแรกจันจะดื้อหรือจะรั้นถึงเพียงใด แต่ในยามที่จันรับรู้หัวใจตนเองแล้วนั้น ชายหนุ่มก็มิเคยลืมที่จะบอกในทุกคืนก่อนนอนว่า ‘จันรักพี่’ เพื่อชดเชยกับเวลาที่มิรู้ใจตนเอง
“พ่อกับแม่หว้านหวาน~” เจ้าแก้วเอ่ยแซว
“เอาล่ะ เรื่องจบแล้ว พากันไปนอนได้แล้วเจ้าพวกตัวแสบ”
“โธ่...เจ้าคุณพ่อล่ะก็” เจ้ากล้าทำหน้าเบื่อเพราะยังมิอยากนอน
“รีบนอนจะได้รีบตื่น วันพรุ่งพ่อจักพาไปเยี่ยมตา”
“จริงหรือขอรับ!” เจ้ากล้าดีใจใหญ่เพราะชอบเล่นกับตาจำรูญที่สุด ตาใจดีทั้งยังชอบเอาของเล่นมาให้ตนกับน้อง
ทั้งสองพี่น้องพากันจูงมือเข้าห้องนอนแต่โดยดีเพราะอยากให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆ จันยิ้มขำทั้งสองอย่างเอือมระอา หากจะจัดการเด็กดื้อก็คงต้องหาสิ่งมาล่อเช่นนี้จึงจะได้ผลดี

“พี่จักเอาตำรายาไปเก็บที่ห้องหนังสือเสียหน่อย” เมื่อมาถึงห้องนอนไตรทศจึงเอ่ยบอก
“ข้าไปด้วยจ้ะ ช่วยกันเก็บน่าจะเร็วกว่า...พี่จะได้รีบมานอนกอดข้า”
“หึ แม่ตัวดี..” พูดพร้อมกับบีบแก้มนิ่ม “เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งเสียจริงหนา” จันยู่ปากเมื่อถูกแกล้งก่อนจะเดินจับมือกับไตรทศไปที่ห้องหนังสือ
ตำรายาถูกเรียงมากมายบนชั้น จันบรรจงจัดวางอย่างเป็นระเบียบตามหมวดหมู่
ในขณะที่ตนกำลังจัดอยู่นั้นเผลอสอดตำราเข้าชั้นแรงเกินไปทำให้มีตำราเล่มหนึ่งตกลงมา หน้าปกเป็นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนๆ บนปกมีตัวอักษรภาษาที่จันอ่านมิออก
ด้วยความสงสัยจันจึงเปิดออกก่อนจะพบกับภาพที่ตนมิควรเห็น...ภาพบุรุษเพศสองคนร่วมรักกัน!? มือบางเปิดไปทีละหน้า ความทรงจำเริ่มกลับมาทีละน้อย
ในยามที่ตนให้ไอ้ทิดเข้ามาแอบมองไตรทศและดูว่าไตรทศกำลังทำสิ่งใด นี่คือสิ่งที่ไอ้ทิดอธิบายให้ตนฟังมิผิดแน่...
ชายสองคนต่อสู่กันในท่ากลับหัวกลับหาง
ชายผู้หนึ่งถูกเอาสากยัดปาก
...แต่นี่มันมิใช่สาก...ไอ้ทิดนะไอ้ทิด! 
“ทำสิ่งใดอยู่รึ”
เฮือก!
จันรีบปิดตำราในมือลงก่อนจะซ่อนไว้ข้างหลัง
“ค-คือ...”
“ซ่อนสิ่งใดไว้?” มีหรือที่ไตรทศจะมองมิทัน เมื่อรู้ว่าตนถูกจับได้จันจึงยื่นตำรานั้นออกมาให้ไตรทศดู
ในคราแรกคิดว่าจะถูกดุแต่กลับกันคนพี่กลับหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายพร้อมกับเสมองไปทางอื่น
“ย-อย่าบอกหนาว่านี่ของพี่?” ไตรทศพยักหน้าที่แดงก่ำนั้นอย่างกระดากอาย “แล้วพี่ศึกษาไปทำอะไรรึ?”
“ทำ...ทำกับออเจ้า”
“หา!?”
หลังจากนั้นจันก็ได้ฟังคำอธิบายทุกอย่าง ทั้งเรื่องที่ไตรทศซื้อ ‘ตำรากามสูตร’ นี้มาก่อนที่จันจักตกลงปลงใจว่ารัก ทำให้จันรู้ว่าไตรทศนั้น...จ้องจะจับตนกินมานานแล้ว
จันเดินไปมาขณะฟังส่วนไตรทศนั่งนิ่งเล่าอยู่บนเตียงด้วยความกระดากอาย เพราะตนคิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ใครจะอยากให้เมียรู้กันเล่าว่าตนอ่อนหัดถึงขั้นที่ต้องพึ่งตำรา
“ข้าเข้าใจหมดแล้ว...” ไตรทศพยักหน้าหงึกหงัก จันหยิบตำราขึ้นมาเปิดดูอีกครา “อืม...กระบวนท่าเยอะเสียจริง”
“อึก” ไตรทศกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
“มิคิดจะใช้กับผู้อื่นก็แล้วไป” เมื่อจันหันหลังไปไตรทศจึงลุกขึ้นโอบกอดเมียรักจากด้านหลัง “จะอ้อนอะไรหรือพ่อเสือ?”
“ในเมื่อมันมีหลายกระบวนท่า...และเรายังมิเคยลองดู” จันเลิกคิ้วมอง “ออเจ้ามิคิดจะลองกับพี่หน่อยรึ?”
“แต่..” ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ริมฝีปากบางถูกหยุดไว้ด้วยนิ้วหัวแม่มือของไตรทศก่อนจะตามมาทาบทับด้วยริมฝีปากอุ่น
“มิมีแต่...คืนนี้ออเจ้าต้องกลายเป็นแมวน้อยของพี่”
“พ-พี่ไตร...” ดวงตาวาวโรจน์ของพ่อเสือยามที่กระทบกับแสงจันทร์ทำเอาใจของจันไหวสั่นจนอธิบายเป็นคนพูดมิได้
“จะร้องให้หยุดก็มิทันแล้วหนาแม่ตัวดี..”
ในราตรีอันแสนยาวนานสองร่างเปลือยเปล่าร่วมรักกันจนเตียงไม้สักเกิดเสียงลั่น หยาดเหงื่อพร่างพราวหยดไหลตามแผ่นอกแน่นตึง เสียงครางสั่นเครือบอกถึงแรงอารมณ์ของคนทั้งคู่
ช่างเป็นคืนที่แสนยาวนาน จันคิดเช่นนั้น เพราะตนกับไตรทศลองท่าในตำราไปหลายท่าแต่ท้องฟ้ากลับมิสว่างเสียที ดังกับว่าเวลาถูกหยุดไว้ที่ตรงนี้
...ตรงที่มีเพียงแค่คนทั้งสอง
ในยามบ่าย ทั้งจันและไตรทศยังมิยอมออกจากห้อง มิมีผู้ใดรู้ว่าเพราะเหตุใดเพราะมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวน
หากถูกถามก็คงจักน่ากระดากอาย หากจะบอกว่าเหตุผลเป็นเพราะ
...มีอะไรกันมากไปจนลุกมิขึ้น

-จบบริบูรณ์-



แอแงงงง ไม่อยากให้จบ ฮือออ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามพี่ไตรกับน้องจันมาตลอดนะคะ T-T เศร้ามากๆที่เรื่องนี้จบลงเพราะเราผูกพันมากกก ผูกพันกับนักอ่านทุกคนที่คอยเข้ามาคอมเมนต์ด้วย แง

รักทุกคนมากๆนะคะ หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก
ตอนนี้เราเขียนเรื่อง Graph and Soft กราฟชอบของนุ่ม ในเว็บ readawrite อยู่
เป็นเรื่องที่ชื่อเรื่องใสแต่เนื้อเรื่องไม่ใสนะเออ ฝากติดตามด้วยนะคะ Love ya’all
#หอมเจ้าจัน
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-12-2019 20:32:44
 :pig4: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-12-2019 21:56:51
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-12-2019 22:23:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-12-2019 09:25:10
จบแล้ว สนุกมากๆจ้า
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-12-2019 09:57:56
 :pig4:สนุกมากค่ะ รอเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 07-12-2019 13:11:41
 :pig4: :pig4:ว :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-12-2019 21:31:36
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-12-2019 23:08:06
ครอบครัวสุขสันต์  :katai2-1: :katai2-1:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-12-2019 23:28:12
 :katai2-1:



ลูกเต็มบ้านแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2019 01:18:31
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-12-2019 03:43:45
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-12-2019 23:09:59
อ่าจบแล้วขอบคุณที่แต่งจนจบเน้อ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 14-12-2019 21:34:32
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้มากเลยค่ะ  Feel good มากก มีความฟินแตกก พระเอกแรงไม่เปลี่ยนปลั๊กมั๊กมากก พ่อแม่ลูกสองง งุ้ยย ❤❤❤❤
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 15-12-2019 09:35:47
ตามต่อรุ่นลูกเลยจ้า ชอบมาก สนุกดี
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 15-12-2019 10:06:25
 :o8:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) บทที่ 25 บทส่งท้าย (6/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 15-12-2019 17:32:35
ลุ้นตามเห็นสวีทกันบ่อยๆนึกว่าจะมีแฝดตามมาอีกคู่ สนุกดีค่ะ ชอบแนวพีเรียดแบบนี้ ขอบคุณมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) เมาท์มอยกับนักเขียน (15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 16-12-2019 00:57:35
เยี่ยมเลยยยย
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) เมาท์มอยกับนักเขียน (15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 16-12-2019 12:49:04
สนุกมากกกกกกกกค่ะ มีความสมูทขึ้นหลังจากรีไรท์ เราชอบสำนวน ชอบกลอน เอ็นดูววจัน ความเเมนนักเลงพอตัวของน้องมันน่าเอ็นดู ยิ่งตอนโดนดุ จะหงอยๆยิ่งน่ารัก ส่วนพี่ไตร นั้นนน ไม่รู้จะหาคำเปรียบ แรกๆพี่ก็ขรึมๆมีมาด ที่ไหนได้เป็นหนุ่มใหญ่สดซิง ที่พอได้เมียแล้ว ลามกจนน่าตี น่าหมั่นไส้!555555555 

เจ้าแฝด ได้ความแสบมาจากเเม่ เจ้าคิดเจ้าวางแผน นี่ได้พ่อมาเต็มๆ ที่คราวนี้พ่อคงได้หนวดกระดิก เพราะหวงลูก :laugh:
จะรออ่าน เรื่องของเด็กๆค่ะ

 :pig4: ขอบคุณนะคะ สนุกและมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) เปิดนิยายเรื่องใหม่!!! (16/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 20-12-2019 11:23:12
  :mew2:น่ารักมากค่ะ​
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) เปิดนิยายเรื่องใหม่!!! (16/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 20-12-2019 17:33:50
 :z13:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ponpon1a ที่ 20-12-2019 23:50:03
ตอนพิเศษ
วัยเยาว์

   “เร็วๆสิไตรทศ” เสียงเรียกของพี่ชายเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘ไตรทศ’ ลูกชายวัยยี่สิบปีของท่านพระยาเกษม
เสียงเรียกนั้นดึงความสนใจของไตรทศจากยายแก่ๆที่กำลังนอนป่วยอยู่ข้างถนน
ผู้คนต่างเดินขวักไขว่ไปมาอย่างมิแยแสยายผู้นั้น แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกสงสารและอยากช่วยเหลือ
ไตรทศหันไปมองเดชดำรงผู้เป็นพี่ชาย พอเห็นสายตาของน้องคนเป็นพี่จึงถอนหายใจออกมา
“ครั้งสุดท้ายแล้วหนา”
“ขอรับ” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อพี่ชายดึงเอาถุงอัฐที่เจ้าคุณพ่อให้ไว้ออกมาก่อนจะส่งอัฐให้ยายแก่ผู้นั้น
“ขอบใจนะจ้ะพ่อหนุ่ม” หญิงชราพูดด้วยความยากลำบากก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แต่ไตรทศเข้าไปใช้มือรับเอาไว้โดยที่มิรังเกียจ
“ยายเอาไปใช้เถอะนะขอรับ” หญิงชรายิ้มทั้งน้ำตา ตนที่มิมีผู้ใดเหลียวแลแม้แต่ญาติก็ขับไสไล่ส่งกลับมีชายหนุ่มมาสนใจแลช่วยเหลือ
“ไปได้แล้ว” เดชเอ่ยบอกน้องชายที่ยังมิยอมเดินตาม
“ขอรับ” ไตรทศออกเดินตามพี่ชายไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
การได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันย่อมดีอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ไตรทศเห็นผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากเขานั้นมักจะเข้าไปช่วยเหลือจนผู้เป็นพี่ชายเอือมระอา
วันนี้สองพี่น้องพากันมาเดินเล่นที่ตลาดใหญ่เพราะได้ข่าวจากผู้เป็นบิดาว่ามีพ่อค้าจากต่างแดนมาเปิดร้านใหม่จึงอยากให้ทั้งสองมาเที่ยวเล่นเพื่อเปิดหูเปิดตาบ้าง
ขนมหน้าตาประหลาดวางเรียงตามร้านขายขนม ได้ความจากแม่ค้าว่าเป็นขนมของชาวโปรตุเกสแลชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาอาศัยและทำมาค้าขายอยู่ระแวกนั้น
ผ้าไหมเนื้อดีถูกวางเรียงตามระดับสีจนสวยน่ามอง พวกคุณหญิงคุณนายพากันมาเดินเลือกซื้อจนพวกทาสที่ตามมาพากันถือของมิหวาดมิไหว
พวกพ่อค้าแม่ค้าที่รู้ว่าทั้งสองคือผู้ใดพาต้อนรับเป็นอย่างดี บ้างก็พาลูกสาวมาแนะนำหวังให้ต้องตาต้องใจแลได้ฝากตัวเป็นเมียในภายภาคหน้า หากแต่ว่าทั้งสองมิได้สนใจมากนัก
เมื่อเดินผ่านที่ใดสตรีมักพากันเหลียวมอง เพราะสองหนุ่มในวัยกลัดมันนั้นหน้าตาหล่อเหลาจนเป็นที่เลื่องลือ ผู้พี่ก็หล่อแบบใจดี ดูแล้วสุขุม ส่วนผู้น้องดูมีความห้าวหาญ ผิวคล้ำ หน้าคมแบบชายชาตรี หญิงใดพบเห็นต่างพากันอ่อยระทวย 
“อย่า...อย่าเจ้าค่ะ!”
“มึงจะขัดกูไปใย กูรวยถึงเพียงนี้หากมึงยอมไปกับกูมึงย่อมสบายไปทั้งชาติ”
“แต่อิฉันมีผู้ที่ชอบอยู่แล้วนะเจ้าคะ” เสียงชายหญิงดังมาจากทิศที่ผู้คนพากันมุงดู ทั้งสองจึงฝ่าวงล้อมเข้าไป
หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งกำลังถูกชายอีกผู้หนึ่งจับแขนเอาไว้และพยายามดึงให้เดินตาม นางร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ผู้เป็นพ่อแลแม่ทำอะไรมิได้เพราะพ่อของชายหนุ่มผู้นั้นเป็นถึงพระยาจึงมิกล้าขัด
“เอ็งยังมิเลิกนิสัยขมเหงผู้อื่นอีกรึเดชา?” ไตรทศอื่นถามอริของตน
“หึ นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ไอ้ไตรทศคนดีนี่เอง” อีกฝ่ายแค่นยิ้มเหยียด “มากับพี่ชายของเอ็งรึ? เด็กน้อยเสียจริง”
“หาใช่เรื่องของเอ็ง”
“ปากดี!” เดชาสะบัดมือของหญิงสาวออกก่อนจะเดินเข้ามาประจันหน้ากับทั้งสองพี่น้อง
ผัวะ!
หมัดหนักต่อยเข้าที่มุมปากของไตรทศ เดชดำรงเมื่อเห็นดังนั้นจึงต่อยสวนกลับไปจนเดชาแทบจะล้มทั้งยืน
...เมื่อเจรจาด้วยสันติมิได้ก็คงต้องเจรจาด้วยกำปั้น
เลือดที่มุมปากออกรสเค็มปร่าแลมีความแสบเล็กน้อย แต่กลับกันเดชากลับมีเลือดไหลมิหยุดเพราะเดชดำรงก็ใช่ว่าจะมีแรงน้อย
“มึง!”
กว่าทั้งสามจะหยุดทะเลาะกันก็ต้องรอให้พวกทาสของเดชามาเอาตัวออกไปจากตลาด ชาวบ้านต่างพากันให้ความสนใจและยืนล้อมดูมวยแบบไร้กติกาอย่างเมามัน
สรุปก็สะบักสะบอมไปตามๆกัน

หลังการวิวาททั้งสองพี่น้องพากันเดินมานั่งพักที่ศาลาริมตลิ่งที่มิไกลจากตัวตลาดมากนัก
“ถ้ากลับไปแล้วมีสภาพเช่นนี้เจ้าคุณพ่อจะมิดุเรารึขอรับ?” ไตรทศเอ่ยถามพี่ชาย
“ไม่”
“ไม่ดุ?”
“ไม่เหลือ”
ทั้งสองพี่น้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน กับเดชานั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน พอเจอหน้ากันก็เป็นอันต้องมีเรื่องทุกครั้งไป
“พี่จะกลับไปทำแผล ออเจ้าจะกลับพร้อมพี่หรือไม่?”
“กลับก่อนเลยขอรับ” เดชดำรงมองน้องชายอย่างมีเลศนัย
“พี่รู้หนาว่าออเจ้าจะกลับไปดูยายผู้นั้นอีก” ไตรทศยิ้มอายเมื่อพี่ชายจับได้
“กระผมสงสารขอรับ ช่วยเหลือได้ก็อยากช่วย”
“แต่ออเจ้าก็ต้องพึงระวัง มันมีคนบางจำพวกที่เห็นว่าผู้อื่นได้ตนก็ต้องได้ ความใจดีของออเจ้ามันจักกลายเป็นดาบสองคม”
“ขอรับ” ไตรทศพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
ทั้งสองจึงแยกกันตรงศาลาริมน้ำ เดชดำรงมุ่งหน้ากลับเรือนส่วนไตรทศเดินกลับไปทางเดิมเพื่อไปดูหญิงชราอีกหนเพื่อความสบายใจ
เมื่อไปถึงกลับต้องประหลาดใจเมื่อเจอเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังยื่นเบี้ยที่มีเพียงสองอันให้ยายผู้นั้น
“หนูเก็บไว้เถิด” ยายเลือกที่จะปฏิเสธเพราะดูแล้วเด็กน้อยก็มิได้มีฐานะมาก
“แต่ยายต้องการมันมากกว่า ยายเอาไว้ใช้นะจ้ะ” เด็กน้อยยังคงยืนยันที่จะให้
“มีพ่อหนุ่มใจดีเอาให้ยายไว้แล้ว ยายพอมีอยู่บ้าง”
“แต่ว่า...”
“ทางนั้นมีร้านขนมเปิดใหม่ ลองไปดูสิ” หญิงชราเอ่ยบอกเพื่อให้เด็กน้อยนำเบี้ยไปใช้เองเพราะตนได้รับจากชายหนุ่มเมื่อครู่มามากโขแล้ว
“จ-จริงหรือจ้ะ!?” ตาเด็กน้อยเป็นประกาย หญิงชราจึงยิ้มให้ด้วยนึกเอ็นดู “แต่ว่าหนูทนได้...ค่อยขอตาใหม่ก็ได้จ้ะ”
พอบอกเสร็จเด็กน้อยจึงวางเบี้ยลงในฝ่ามือของยายแก่ก่อนจะรีบเดินออกมาเพราะมิอยากจะให้ยายเอาคืนตน
ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของไตรทศทั้งสิ้น ชายหนุ่มยิ้มด้วยนึกเอ็นดูเด็กคนนั้นเขาจึงเดินตามไปเพื่อดูว่าเด็กน้อยจะทำอะไรต่อ
เด็กตัวเล็กเดินผ่านร้านขนมที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมา ตากลมดั่งตากวางสอดส่งขนมบนชั้นวางพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ แต่พอลองดูเบี้ยที่ตนมีกลับนึกได้ว่าให้ยายไปหมดแล้ว
“พวกเอ็งตามข้ามา ข้าได้ยินว่าร้านนี้เปิดใหม่!”
เสียงเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันดังมาแต่ไกล เด็กกลุ่มนั้นหยุดอยู่ที่หน้าร้านเดียวกันกับเด็กน้อย
ขนมมากมายถูกจัดวางใส่กระทงใบตอง พวกเด็กๆพากันหยิบกินอย่างเอร็ดอร่อย คนตัวเล็กทำได้เพียงแค่ยืนมองตาละห้อย
“มองทำไม?” เด็กตัวจ้ำม่ำถามขึ้นเมื่อรู้ว่าโดนมองอยู่นาน
“เปล่า...ข้าแค่-”
“หึ พวกเอ็งไปกันเถอะ ข้าเหม็นกลิ่นคนจน”
เด็กที่ดูท่าว่าจะเป็นลูกเศรษฐีพูดขึ้นพร้อมกับมองอย่างเหยียดหยาม เด็กน้อยจับสายสะพายย่ามไว้ให้มั่นเพราะมิอยากมีเรื่อง
“ดูก็รู้ว่ามิมีพ่อมิมีแม่ เสื้อผ้าก็เก่าจนข้าคิดว่าเป็นผ้าเช็ดตีน ฮ่าๆ” พอพูดจบเด็กคนอื่นๆก็พากันหัวเราะตาม
แต่มีหรือที่เด็กน้อยจะยอม
กำปั้นเล็กถูกส่งเข้าไปอัดปลายคางไอ้เด็กจ้ำม่ำปากมากจนเผลอกลืนขนมที่กำลังเคี้ยวลงไปในคอจนสำลัก
“แค่กๆ...อ-เอ็งกล้าดียังไง! จัดการมัน!” เด็กที่เหลือหมายจะเข้ามารุมทำร้ายแต่ไตรทศออกมาห้ามเอาไว้ก่อน
“หยุด! พอเลยนะพวกเอ็ง!”
“...เหวอ!” พวกเด็กพากันชะงักก่อนจะวิ่งหนีหายไปเพราะหน้าตาของไตรทศนั้นดูดุ ไหนจะยังมีดาบที่เจ้าตัวถือไว้อีก ไตรทศชินกับภาพเหล่านี้เสียแล้ว
“เป็นอะไรรึไม่หนูน้อย?” ไตรทศย่อตัวลงถามเด็กน้อยที่เอาแต่ก้มหน้า
“อย่ามายุ่ง!”
“โอ๊ย!” หน้าแข้งถูกเตะด้วยแรงที่มิมากนัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเด็กที่สะพายย่ามพระผู้นั้นกำลังวิ่งหนีไป
ไตรทศหันไปซื้อขนมจากแม่ค้าก่อนจะวิ่งตามออกมา
ตามมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่จึงเห็นว่าเด็กตัวเล็กนั่งกอดเข่าก้มหน้าตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น
“ฮึก...ฮืออ...” เสียงร้องไห้ดังปานจะขาดใจ เสียงสะอื้นดังไปทั่วทั้งบริเวณที่เงียบสะงัด
เด็กผู้นี้คงเลือกที่ที่มิมีผู้ใดเดินผ่านเพื่อมาร้องไห้
ไตรทศนั่งลงข้างๆก่อนจะมองไปยังไหล่เล็กที่กำลังสั่นไหว อยากจะปลอบแต่กลับทำมิเป็น
“มา...ฮึก มาทำไม” เสียงสั่นเครือเอ่ยถาม
“ตามมาดูเด็กขี้แย” 
“ข้า...ข้ามิได้ขี้แยเสียหน่อย” พูดจบก็สูดน้ำมูกพร้อมกับยกแขนขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตา ไตรทศยิ้มบางเพราะนึกเอ็นดู
มือหนาวางลงบนศีรษะทุยพร้อมกับขยี้ด้วยความมันเขี้ยว เจ้าเด็กตัวแสบที่เตะขาเขาแล้ววิ่งหนีออกมาเงยหน้าขึ้นมองแบบมิสบอารมณ์
“ทำอะไร!” จมูกที่ขึ้นสีระเรื่อแลตาที่แดงเพราะพึ่งร้องไห้ไปทำให้เจ้าเด็กแสบดูน่าเอ็นดู
“ข้าเห็นว่าออเจ้าเอาเบี้ยให้หญิงชรา”
“แล้วมันทำไม? คิดดูถูกว่าข้าจนแล้วยังเอาเบี้ยไปให้ผู้อื่นรึ?” ใบหน้าขู่นั้นมิได้น่ากลัวแต่กลับเหมือนว่ากำลังโดนสัตว์ตัวเล็กขู่
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าแค่คิดว่าออเจ้าเป็นคนดี...แลคนดีควรได้รับรางวัล”
กระทงขนมที่วางอยู่ข้างกายของไตรทศถูกยกขึ้นมา เด็กน้อยมองพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ต้องหักห้ามใจไว้
“ข้ามิกิน”
“ออเจ้าทำดีก็ควรได้ของตอบแทนหนา”
“ข้ามิได้หวังสิ่งใดตอบแทนเสียหน่อย”
เด็กน้อยหันหน้าหนีเพราะกลิ่นของขนมที่เตะจมูกทำเอาท้องที่ยังมิได้มีอะไรตกถึงส่งเสียงประท้วงจนไตรทศแอบขำ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจักกินเองแล้วหนา”
“...” เด็กน้อยยังมิยอมหันหน้ามอง ไตรทศจึงหยิบขนมรูปดอกไม้เข้าปาก
“อื้ม...อร่อยเสียจริง” ส่งเสียงพอใจเพื่อหลอกล่อเด็กตัวแสบ
“อึก..” เด็กน้อยแอบกลืนน้ำลายตาม
“ข้าซื้อมาแค่สี่ชิ้นด้วยสิ...ถ้าข้ากินอีกหนึ่งก็เหลือแค่สอง พอกินอีกหนึ่งก็เหลือเพียงชิ้นเดียว...”
“ก็ได้ๆ” เด็กแสบหันมาเผชิญหน้าแต่เสมองไปทางอื่นด้วยความกระดากอาย
“อะไรรึ?”
“ก็ข้าจะยอมกินไงเล่า! เพราะข้ากลัวว่าจะเสียน้ำใจดอกหนา” ไตรทศยิ้มขำ
“อ้าปาก”
“หา? อ-อื้อ!” ในขณะที่กำลังจะถามนั้น ขนมก็ถูกป้อนเข้ามาเสียก่อน
“อย่าพึ่งพูด เคี้ยวก่อน” ไตรทศเอ่ยบอกเมื่อเด็กน้อยกำลังถลึงตาใส่
เจ้าเด็กแสบเคี้ยวขนมในปาก ความอร่อยของขนมนั้นทำเอาเด็กน้อยเผลอยิ้มออกมา มันอร่อย...อร่อยมาก
น้ำตาหยดเล็กร่วงผล็อยลงมาบนแก้มกลมเกลี้ยง ไตรทศตกใจกับภาพตรงหน้าก่อนที่น้ำตาหยดนั้นจะหายไปด้วยฝ่ามือเล็ก
“เหตุใดจึงร้องไห้?”
“ข้า...ข้ามิเคยกินขนมอร่อยเช่นนี้มาก่อน”
“เขาเรียกว่าช่อม่วง” ไตรทศยิ้มอย่างอ่อนใจ
เสื้อผ้าที่เด็กผู้นี้ใส่ก็ดูเก่าเหมือนดั่งกับว่าผ่านการใช้งานมานาน โจงกระเบนที่ใส่สีก็ดูซีดเซียว สิ่งที่ดูใหม่ที่สุดคงจะเป็นย่ามพระ
“ออเจ้าเป็นเด็กวัดรึ?” เด็กน้อยพยักหน้า ก้มหน้าก้มตาเพราะมิอยากให้ไตรทศเห็นน้ำตา “ร้องออกมาเถิดหนา ข้ามิบอกผู้ใดดอก”
“ข้ามิร้องดอก...ข้า...ฮึก...ฮืออ” ปากบอกว่าจะมิร้องแต่น้ำตากลับไหลอาบแก้มขาวเป็นทาง
เด็กน้อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาแต่ก็มิสามารถเช็ดจนแห้งได้ เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาช่างมากมายนัก เมื่อเห็นดั่งนั้นไตรทศจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาสีใสด้วยนิ้วหัวแม่มือ
ความอบอุ่นที่มิเคยได้รับจากคนแปลกหน้าทำให้หัวใจดวงน้อยของเด็กน้อยวัยสิบขวบอุ่นวาบภายในอก ที่ผ่านมามีแต่ผู้คนรังเกียจแต่กลับพี่ชายคนนี้มันกลับต่างกัน
“ข้ามิมีพ่อ...มิมีแม่” คำบอกเล่านั้นทำให้มือที่กำลังเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยชะงัก “ที่ไอ้คนนั้นพูดมันจริงทุกอย่าง...”
เด็กตัวเล็กสูดน้ำมูกพร้อมกับเช็ดมือลงบนเสื้อที่ใส่อยู่
“ดูคนหาได้ดูที่การมีพ่อแม่ไม่ ดูออเจ้าสิ...ขนาดมิมียังนิสัยดีมากกว่าเด็กนั่นเสียอีก”
“ฮึก...ข้าเองก็อยากมีกับเขาบ้าง..” พูดไปเช็ดน้ำตาไป ไตรทศนึกสงสารเด็กคนนี้จับใจ
“พ่อแม่ของออเจ้าต้องภูมิใจเป็นแน่ที่มีลูกเป็นเด็กดีถึงเพียงนี้” เด็กน้อยพยักหน้ารับ
“ข้าขอโทษ...” ไตรทศเลิกคิ้วมอง “ขอโทษที่เตะขา”
“หึ มิเป็นอันใดดอก แรงเท่ามดจักทำอะไรข้าได้” เด็กตัวเล็กยู่ปากอย่างขัดใจ ไตรทศยิ้มขำพร้อมกับลูบมือลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ
“ข้าคงต้องกลับแล้ว ตารอข้าอยู่” เด็กตัวแสบลุกขึ้นยืนไตรทศจึงลุกตาม
“ถ้าเช่นนั้นออเจ้าเอาขนมนี้กลับไปด้วยเถิด” เด็กน้อยมองขนมในมือของไตรทศก่อนจะรับมา
“ข้าไปก่อนนะ” ไตรทศยิ้มรับก่อนจะต้องชะงักเพราะรอบเอวถูกเด็กตัวเล็กกอดเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง “ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ”
เด็กน้อยเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะผละออกแล้วเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว ดูก็รู้ว่ากำลังอายที่พึ่งกอดตนไป
ถ้าถามว่าเหตุใดจึงรู้
...ก็คงเป็นเพราะใบหน้ากับใบหูที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นกระมัง

“ตา! ตาจ๋า!” เด็กน้อยเดินกลับมาที่กระท่อมท้ายวัดพร้อมกับขนมในมือ
“กลับช้าเสียจริงนะเอ็ง” ผู้เป็นตาเอ่ยบ่นหลานชาย
“แหะๆ ข้ามีขนมมาฝากตาด้วยจ้ะ”
“คงมิได้ไปลักขโมยของใครมาใช่รึไม่?”
“มิใช่จ้ะตา” เด็กน้อยรีบปฏิเสธทันควัน
“เออก็ดี”
“ข้าไปเล่นกับไอ้มั่นนะจ้ะตา”
“เออๆ อย่ากลับค่ำล่ะไอ้จัน”
“จ้า” เด็กน้อยเดินไปยิ้มไป
...หากมีโอกาสได้พบกับพี่ชายใจดีอีกก็คงจะดี

๑๐ปีต่อมา
“ออเจ้ามิลาข้าบ้างรึ?”
“ไปที่ชอบที่ชอบนะจ้ะ” 
"หึ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องมาที่นี่ทุกวันเสียแล้วกระมัง"


-จบตอนพิเศษ -
ตอนพิเศษสำหรับนักอ่านผู้น่ารักของเราค่ะ >< เอร้ยยย  #หอมเจ้าจัน
 
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-12-2019 01:19:41
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 21-12-2019 12:54:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-12-2019 16:20:54
เจอกันตั้งแต่เด็กเลย
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-12-2019 21:13:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 24-12-2019 01:09:19
 :katai1: :katai1:
สนุกมาากกก  :ling1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Areya ที่ 25-12-2019 22:42:34
สนุกมาก ภาษาลื่นไหลอ่านเพลินจนจบรวดเดียวเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่มีมาให้อ่านนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 30-12-2019 07:49:24
ฮื่ออออ สนุกน่ารักมาก
ชอบแนวนี่มากๆเลย
อ่านแล้วว่างไม่ลง ไม่อยากให้จบเลย
ขอบคุณนิยายน่ารักๆสนุกๆค่ะ
รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 31-12-2019 17:15:39
น่ารักเหมือนเดิมเลยยยน
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:11:25
 :pig4: