บทที่ ๖
ไตรทศใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าสิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนจะสงบลง เขาทั้งนั่งทำวัตรเย็น ทั้งนั่งสมาธิแต่กว่าสมองจะนำภาพของจันที่กำลังนอนเปลือยท่อนบนและเกือบเปลือยท่อนล่างออกไปจากความคิดได้ก็กินเวลาไปเสียนาน จนไอ้มิ่งนึกสงสัยว่าครึ้มฟ้าครึ้มฝนอันใดเหตุใดนายของมันจึงเข้าไปในห้องพระเสียตั้งนานสองนาน
"แฮ่ม...ไปเตรียมน้ำต้มฟ้าทะลายโจรไว้เสียไอ้มิ่ง" ไตรทศกระแอมไอบอกนายทาสที่กำลังยืนมองตนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องพระ
"ขอรับ" มันค้อมหัวให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพรเพื่อนำใบของต้นฟ้าทะลายโจรมาต้ม
เจ้าของเรือนเดินกลับห้องของตนอย่างเชื่องช้าเพราะใจกลัวว่าจันจะนอนในท่าทีแปลกๆจนตนมิสามารถทานทนได้อีก แต่เมื่อกวาดสายตามองเข้าไปในห้องก็เห็นว่าจันนั้นนอนในท่าปกติดีมิได้นอนในท่าวาบหวิวอย่างที่ตนคิดแต่อย่างใด
ไตรทศถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินย่างกรายไปนั่งลงข้างเตียงไม้สักอีกครา เพ่งพินิศมองใบหน้าที่ทั้งหล่อและสวยในคราวเดียวกัน รอยฟกช้ำมิอาจปิดบังใบหน้าที่ดูดีนี้ได้
เขาใช้นิ้วเรียวปัดเส้นผมที่บดบังใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างถนอมเพราะมิอยากรบกวนให้อีกคนตื่นจากนิทรา ใบหน้ายามหลับของจันมีสีหน้าบูดเบี้ยวชั่วขณะเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังรบกวนการนอนของตน คิ้วที่ย่นเข้าหากันทำเอาไตรทศนึกเอ็นดูมิน้อย
ยามตื่นกลายเป็นแมวซน ยามหลับกลับกลายเป็นแมวน้อยที่แสนจะน่ารัก
"อื้อ"
ชายหนุ่มที่กำลังหลับตาพริ้มครางอื้ออึงเมื่อไตรทศใช้มือลูบไปที่แก้มนวลอย่างเผลอตัว เมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงประท้วงจึงรีบชักมือกลับ จันลืมตาตื่นเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่แก้มตน
"ตื่นแล้วรึ" ไตรทศพยายามทำสีหน้าให้เรียบนิ่งมากที่สุดเพราะมิอยาดถูกจับได้ว่าตนได้เผลอละลาบละล้วงจันไปเล็กน้อย
"อื้อ" คนบาดเจ็บพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
"ข้าวต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
นางบัวเดินถือถาดไม้ที่ใช้รองถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้องนอน ไตรทศเอ่ยสั่งเอาไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องพระ สีหน้านางบัวเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่ไตรทศก็ได้หาสนใจไม่
"วางไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง"
"เจ้าค่ะ"
มันเดินกรีดกรายเข้ามาด้วยท่าทีเหนียมอายทั้งยังส่งสายตาให้จันที่นั่งมองอยู่ด้วยท่าทีเชื้อเชิญ
ไตรทศนึกแปลกใจจึงหันไปมองจันบ้าง หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อประปรายปรากฎต่อสายตาเจ้าของห้องทันที
คงเพราะจันอาจจะนอนดิ้นบางครา จึงทำให้กระดุมหลุดออกจากรังดุม เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีเพียงกล้ามเนื้อ
"แฮ่ม" ผู้เป็นนายกระแอมเมื่อเห็นว่านางทาสตัวดีลวนลามแขกของตนด้วยสายตา
นางบัวรีบกุลีกุจอวางถาดไม้ลงอย่างเบามือก่อนจะรีบหันหลังกลับเดินหนีออกไปจากห้องเมื่อมันหันไปมองเห็นว่านายของตนนั้นส่งสายตาว่ามิพอใจในกริยาของมันเพียงใด
"กินข้าวต้มปลานี่เสียหน่อย"
"ข้ามิมีแรง.." จันเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน เพราะเรี่ยวแรงที่มีหายเข้ากลีบเมฆไปหมดสิ้นแล้วเนื่องจากมีแผลและรอยฟกช้ำไปทั่วตัว ทำให้ยากต่อการขยับ
"เดี๋ยวข้าป้อน"
"แต่-"
"อย่าดื้อสิจัน"
คนอายุมากกว่ามิฟังคำทัดทานแม้แต่น้อย เอื้อมมือไปหยิบช้อนหยกที่วางอยู่ข้างถ้วยข้าวต้ม ตักให้พอดีคำอย่างบรรจง ลงมือเป่าให้เพื่อบรรเทาความร้อนก่อนจะยื่นไปจ่อที่ปากสีระเรื่อของคนที่นั่งมองอยู่
จันรับเข้าปากอย่างมิอิดออดเพราะรู้ดีว่าเถียงไตรทศไปก็เท่านั้นทั้งตนยังรู้สึกหิวอยู่มากโข
ไตรทศตักอีกคำ เป่าให้หายร้อนก่อนจะยื่นไปใกล้ปากของจันอีกครา ครั้นยามจันจะอ้าปากรับเขากลับชักช้อนกลับและกินเข้าไปเสียเอง
"อ่ะ-" จันมองตามช้อนข้าวต้มที่อยู่ดีๆก็โดนชักกลับ
"หึ" ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจเมื่อแกล้งอีกคนได้สำเร็จ
"แกล้งข้า! " ชายหนุ่มทำหน้าหงุดหงิดเมื่อตนโดนเจ้าของห้องแกล้งเข้าให้
"อย่างอนข้าเลยหนา" ไตรทศมองคนบาดเจ็บทำใบหน้าง้องอนด้วยความนึกเอ็นดู สีหน้าแมวขู่ปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง
จันชะงักเมื่ออยู่ๆไตรทศก็ยื่นมือมาเช็ดที่ริมฝีปากตนอย่างกะทันหันจนตั้งตัวมิทัน เมื่อนิ้วของอีกฝ่ายมาโดนจึงทำให้แสบแผลที่มุมปากเล็กน้อยจนนิ่วหน้า เมื่อไตรทศรู้ว่าจันเจ็บจึงรีบชักมือออก
"ข้าวต้มมันติดตรงมุมปากออเจ้า ข้าทำออเจ้าเจ็บรึ? "
"แค่นี้เองข้ามิเป็นอันใดดอก ไกลหัวใจนัก" คนเจ็บพูดอวดตนเพราะมิอยากให้ไตรทศมองว่าเขาอ่อนแอจนมิมีความเป็นชายชาตรี
"รู้หรือไม่ ออเจ้ามิจำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้หากอยากจะอ่อนแอบ้างมันคงมิเสียหายอะไร"
"ข้ามิได้ทำตัวเข้มแข็ง! " คนเจ็บทำหน้าบึ้งตึงเมื่อโดนจี้เข้าที่จุดความรู้สึก
"กระนั้นดอกรึ" ไตรทศอ่อนใจกับคนดื้อรั้น จันนั้นหัวแข็งหากจะโน้มน้าวก็คงเป็นไปได้ยาก สงสัยเจ้าตัวจะชินกับการปกปิดความรู้สึกเพราะโตมาด้วยการถูกสอนให้เข้มแข็ง
"ออเจ้าอย่าบอกใครได้รึไม่? " สีหน้าของจันหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"เรื่องอะไรหรือ? "
"เรื่องที่ข้า...เป็นแม่เรือน" ชายหนุ่มนั่งก้มหน้ามิกล้ามองสีหน้าของไตรทศ มือจับผ้าห่มไว้มั่นเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นในอก
"จันเอ๋ย ข้ามิมีเหตุผลที่จะต้องไปบอกใครอื่นดอกหนา"
ไตรทศถือวิสาสะยื่นมือไปลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับของคนตรงหน้า นอกจากจันจะมิปฏิเสธสัมผัสจากไตรทศแล้วเจ้าตัวยังขยับศีรษะเพื่อถูผมเข้ากับมือหนาอีกด้วย หากมองดูก็คงเหมือนแมวตอนออดอ้อนมิมีผิด
"ข้ากลัวว่าหากมีคนรู้แล้วเขาจะรังเกียจข้า เพราะจากที่ที่ข้าจากมา...ทุกคนล้วนมองข้าเป็นตัวประหลาด"
ยิ่งฟังไตรทศยิ่งสงสารจันจับจิต แม่เรือนนั้นหากเกิดกับสตรีเพศก็คงมิผิดแปลก แต่หากเกิดกับบุรุษเพศแล้วไซร้คงมิพ้นคนรังเกียจและนินทา
บุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนจะมีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในพันคนเพียงเท่านั้นทั้งบุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนยังโดนกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีมิควรมีไว้ในเรือนจึงมิแปลกที่จันจะอยากปิดบังเรื่องนี้ไว้
"ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ข้าหาได้มองว่าแม่เรือนผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ "
"ข้ารู้แต่ข้า.."
"ออเจ้าคิดมากเรื่องคำพูดของไอ้เข้มงั้นรึ? " คนฟังใจกระตุกเมื่อไตรทศรับรู้ถึงสิ่งที่ตนคิดได้ราวกับว่าอ่านใจตนเองออก
"..."
"มิมีมารดาผู้ใดมิรักลูกของตนดอกหนา"
จันเงยหน้าขึ้นมองไตรทศ คนอายุมากกว่าหาได้มองเขาด้วยสายตาเวทนาแต่กลับมองด้วยสายตาเข้าใจและเอ็นดู
"ทั้งชื่อที่ตั้งก็ยังไพเราะหาได้หมายถึง จัญ-" ไตรทศหยุดคำพูดเพราะคำที่จะพูดนั้นช่างแสลงหูเขาเหลือเกิน
"...จัญไร" จันเป็นคนพูดเองเสีย สีหน้าของชายหนุ่มหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"มิใช่"
ไตรทศใช้มือแกร่งประคองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเศร้าหมองก่อนจะพูดเพื่อยืนยันว่าวาจาที่ตนเอ่ยนั้นออกมาจากใจจริง
"จัน มีได้หลายความหมาย ทั้งลูกจันที่มีสีเหลืองนวลและกลิ่นชวนให้ลิ้มลอง หรืออาจจะหมายถึงพระจันทร์ที่ผู้คนทั่วพระนครไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ต้องเหลียวขึ้นมองทั้งยังสว่างไสวไปทั้งคืน"
แลคงจะหมายถึงจันทร์กระพ้อในความหมายของพี่ ไตรทศคิดในใจแต่มิอาจเอ่ยออกไป
"กระนั้นรึ" สีหน้าของคนเจ็บดูดีขึ้นมาบ้าง
"จันหนอจัน ชื่อของเจ้าไพเราะถึงเพียงนี้อย่าได้เอาความคิดมิดีมาคิดมากเลยหนา มารดาของออเจ้าคงรักออเจ้ามากกว่าสิ่งใด การที่ออเจ้าเกิดมาลืมตามองโลกใบนี้คือเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามารดาของออเจ้ารักออเจ้าเพียงใด มิใช่หรือ? "
เหมือนกำแพงความเข้มแข็งพังทลาย ข้อสงสัยหายไปจากใจของชายหนุ่มผู้กล้าแกร่ง ภายในใจไหวสั่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความอัดอั้น
"มันมิเป็นอันใดดอกหนาหากออเจ้าจะทำตัวอ่อนแอเวลาอยู่กับข้า"
เมื่อพูดจบร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบโถมเข้าหาคนที่อายุมากกว่าถึงสิบปี ทิ้งทิฐิ ทิ้งความละอายและเย่อหยิ่ง เหลือไว้เพียง ‘จัน’ ชายหนุ่มที่ยังเป็นหนุ่มน้อยในสายตาของไตรทศ
ไหล่เล็กกว่าไหวสั่นจากแรงสะอื้นไห้ ไตรทศถือโอกาสนี้โอบกอดรอบคนที่มีกายเล็กกว่าตนพร้อมทั้งลูบหลังเพื่อปลอบประโลมคนเจ็บและใช้มืออีกข้างลูบลงบนกลุ่มผมสีดำอย่างทะนุถนอม รู้ตัวอีกทีจันก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของตนเสียแล้ว
ไตรทศค่อยๆ ประคองร่างของจันให้นอนลงอย่างเบามือก่อนที่ตนจะนอนลงข้างๆเพื่อคอยดูอาการเพราะตัวของจันร้อนมากกว่าเดิมจากพิษไข้เขาจึงคอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามขมับและข้อพับให้มิห่างเพื่อระบายไอร้อนจากร่างกายของอีกคน
เฝ้ามองใบหน้าที่ตนหลงไหลอยู่อย่างนั้นครั้นเมื่อจะลุกเพื่อไปนอนในห้องรับรองแขกกลับทำมิได้เพราะโดนจันนอนทับแขนเอาไว้
"เห็นทีพี่คงต้องนอนกับออเจ้าเสียแล้วกระมัง" พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแต่ปากกลับยิ้มกระหยิ่มจนหากใครมาเห็นคงพากันหมั่นไส้
กลางดึก
"อึก" จันนอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้กำเริบ เหงื่อกาฬชื้นไปทั้งสรรพางค์กายจนเสื้อที่ใส่แนบชิดไปกับผิว
"จัน"
ร่างสูงลุกขึ้นนั่งใช้มือทาบลงบนหน้าผากมน ความร้อนดั่งไฟสุมทำเอาไตรทศตื่นตระหนกรีบเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากเพื่อระบายความร้อนจากกาย
"จัน เจ้าตื่นเถิด มากินยาเสียหน่อย"
คนที่นอนอยู่ไร้ปฏิกิริยา ยาที่ต้มจากใบฟ้าทลายโจรที่ไอ้มิ่งนำเข้ามาให้ยังวางอยู่ใกล้เตียงเพราะไตรทศเผื่อเอาไว้ในสถานะการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
"แฮ่ก..." คนป่วยหอบหายใจถี่แรงกว่าเดิม
"จัน.." ไตรทศพยายามปลุกแต่จันก็มิตอบสนอง
"นะ..หนาว" เหงื่อกาฬผุดตามขมับ อุณภูมิร่างกายขึ้นสูงแต่จันกลับบ่นว่าหนาว
"ออเจ้าอย่าว่าข้าฉวยโอกาสเลยหนา"
ไตรทศยกแก้วยาต้มขึ้นดื่มแต่มิกลืน ประกบปากลงไปประทับจูบกับคนที่นอนเหงื่อท่วม ใช้มือข้างที่ว่างจับคางไว้เพื่อเปิดปากของจันให้น้ำต้มยาแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย
รสของฟ้าทะลายโจรผู้ใดก็รู้ดีว่ามีรสขมแต่แปลกที่รสที่ไตรทศสัมผัสได้กลับมีรสหวานละมุนเข้าแทรกรสขมของตัวยาจนเขานึกแปลกใจ ริมฝีปากนุ่มทำเอาไตรทศอดใจที่จะกัดลงไปเบาๆ มิได้ คนใต้ร่างสั่นไหวเหมือนลูกแมวที่ไร้ทางสู้
"แฮ่ก.." จันหอบหายใจเมื่อคนบนร่างถอนปากออกจากกัน
"หวาน.."
ไตรทศเลียริมฝีปาก มองไปที่คนใต้ร่างที่ตอนนี้ริมฝีปากนั้นบวมเจ่อ ใบหน้าหล่อขึ้นสีและสายตาหยาดเยิ้มเพราะพิษไข้ทำเอาคนอายุมากกว่าแทบจะคุมความกำหนัดของตนมิได้
"พักเสียเถิดหนา ก่อนที่ข้า...จะอดใจมิได้"
ไตรทศนอนลงข้างๆ จัน กอดร่างคนป่วยเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว ดึงผ้ามาห่มให้และจัดแจงท่านอนให้ก่อนที่จะหลับไปพร้อมกัน
เช้าวันต่อมา
คนบาดเจ็บขยับกายอย่างยากลำบาก สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาในห้องนอนจนต้องกับผิวกายจนเย็นเฉียบ ขยับหาไออุ่นจากคนบนเตียงเดียวกัน ซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งจนคนที่ตื่นอยู่ก่อนใจไหวสั่น ไตรทศนอนให้นิ่งที่สุดเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนเยอะๆจักได้หายดี
"อืม.."
จันค่อยๆ ลืมตาให้สายตาได้ปรับรับกับแสงจ้าจากหน้าต่าง รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ตนกำลังนอนเอาแก้มแนบมาทั้งคืน มันมิใช่ที่นอนหากแต่เป็นอกแกร่งของเจ้าของห้อง
"อ่ะ! " ชายหนุ่มพยายามลุกหนีแต่โดนอีกฝ่ายจับเอาไว้เสียก่อน
"ร่างกายยังมิหายดีอย่าพึ่งซนจะได้รึไม่? "
"ข-ข้ามานอนกับออเจ้าได้อย่างไร!? "
จันถามด้วยสีหน้าตกใจ เป็นชายแต่กลับมานอนกกแผ่นอกของชายด้วยกันมันน่าดูเสียที่ไหน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น มิหนำซ้ำคงมิมีหญิงใดอย่างได้เป็นผัว
"ออเจ้าป่วยข้าเลยต้องอยู่ดูแลอย่างไรเล่า"
สมองของจันค่อยๆนึกย้อนกลับไปช้าๆสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือตน 'ร้องไห้' กับไหล่ของไตรทศ
ทันทีที่เหตุการณ์เมื่อวานตีตื้นย้อนคืนมาใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำกลับขึ้นสีแดงระเรื่อจนไตรทศสังเกตเห็นได้
"เอ่อ...คือข้า"
"ออกไปกินสำรับเถิด นางบัวเตรียมไว้แล้ว" ไตรทศเอ่ยขึ้นก่อนที่จันจะพูดอะไร
"ข้ามิหิว"
"ข้าได้ยินไอ้มั่นบอกว่าตาของออเจ้าก็มาด้วยหนา" ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนกำลังคิดถึงมาเยี่ยมถึงที่
"ข้าหิวแล้วก็ได้! " จันลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างลืมเจ็บแผล ไตรทศได้แต่มองตาม
"หึ เด็กหนอเด็ก" ยิ้มพลางส่ายหัวอย่างระอา
"ตาจ๋าา" ร่างที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำถลาเข้ากอดผู้เป็นตาที่นั่งอยู่บนชานเรือน ไตรทศที่เดินตามมาจึงเห็นภาพนั้นเข้าจนนึกเอ็นดูชายหนุ่ม
"ดูสิเนี่ย แผลเต็มตัวไปหมด หากมิได้ท่านไตรทศไปช่วยเอ็งคงนอนตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว" ผู้เป็นตาออกปากบ่นหลานทันทีที่เจอหน้า
"โธ่ตาก็ ข้ามิตายง่ายๆดอกจ้ะ หากข้าตายตาคงเหงาแย่" จันกอดตาคงด้วยท่าทีออดอ้อนอย่างมิสนใจสายตาของเจ้าของเรือนอย่างไตรทศ
"ดูรึแผลก็เต็มหน้า ความหล่อที่ได้จากข้าไปหายไปจนหมดสิ้น"
"ตา~" ไตรทศลอบยิ้มกับการหยอกล้อของตาหลาน พลันต้องหุบยิ้มลงเมื่อจันหันมามอง
"ปากก็แตกเสียหมด"
"ก็มันต่อยข้าตรงมุมปากนี่จ้ะ" จันพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
"แล้วตรงกลางปากนี่เล่าไปได้แต่ใดมา" ตาคงจับปลายคางของหลานชายหันไปมาและเพ่งมองอย่างพินิจ คำพูดของตาคงทำเอาใจไตรทศตกไปที่ตาตุ่ม
"แผลที่ไหนกันจ้ะ" จันหันไปมองคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆอย่างพินิจ
"อ้าว ท่านไตรทศก็มีแผลที่เดียวกับเอ็งด้วยมิใช่ เฮ้อ...ขออภัยท่านด้วยหนาที่หลานข้ามันก่อเรื่อง"
คำทักท้วงของตาคงทำเอาไอ้มิ่งที่นั่งอยู่มิห่างหันขึ้นมองนายของมัน เป็นอย่างที่ตาคงว่า ริมฝีปากของทั้งสองมีแผลที่เดียวกัน มันจำได้ว่าไอ้จันมิมีแผลที่ตรงนี้ หากให้เดาแล้วนายของมันกับไอ้จันคง...
"ตายโหงแล้ว! " มันอุทานออกมาอย่างลืมตัว "อ-เอ่อ มิมีอันใดขอรับ" ไอ้มิ่งรีบก้มหน้านั่งนิ่งตามเดิม
"วันนี้ที่ข้ามาคือข้าจะมาเยี่ยมหลานชายแลอยากฝากฝังมันไว้กับท่านไตรทศสักเจ็ดวันเพราะข้าจะไปละโว้เลยมิได้อยู่ดูแลมัน จะได้หรือไม่? "
"ได้สิ ข้ายินดี" เหล่าทาสในเรือนพากันตกใจ ร้อยวันพันปีไตรทศมิเคยให้ผู้ใดมาพักที่เรือนตนแม้กระทั้งเพื่อนรักอย่างขุนไกรก็ยังมิเคย
"ตา! "
"เออข้าอยู่นี่ จะเรียกทำไมวะ? " จันทำสีหน้าตกใจ จะให้มาอยู่ชายคาเดียวกันกับคนที่ตนมิชอบขี้หน้ารึ เป็นไปมิได้!
"จะให้ข้าอยู่กับไอ้- อยู่กับท่านไตรทศได้อย่างไรจ้ะ ข้าขอไปด้วยนะจ้ะ" ชายหนุ่มใช้ลูกไม้ออดอ้อนผู้เป็นตา
"มิได้ เอ็งยังมิหายดี อยู่ที่นี่ก็ห้ามดื้อห้ามซนเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเขาเข้าใจรึไม่? "
ดูเหมือนลูกไม้ที่ชอบใช้ประจำจะมิได้ผลกับครานี้เสียแล้ว จันหันไปมองไตรทศที่กำลังทำหน้าระรื่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพราะหมั่นไส้เสียเต็มประดา ไตรทศหาได้เกรงกลัวไม่ กลับชอบใจเวลาจันแยกเขี้ยวใส่เพราะดูแล้วก็คล้ายแมวขู่
"จ้ะ" ชายหนุ่มก้มหน้างุด
"ข้าลาแล้วหนาท่านไตรทศ ขอบน้ำใจท่านมากที่ดูแลมันแทนข้า"
"ขอรับ" ไตรทศตอบอย่างนอบน้อม ถึงจนจะมีศักดิ์สูงกว่าตาคงแต่ก็หาได้ละทิ้งมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่
หลังตาคงออกจากเรือนไปจันก็มานั่งเล่นที่ท่าน้ำเพราะเบื่อบรรยากาศบนเรือนและอยากใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไหนจะเรื่องที่ตนไปร้องห่มร้องไห้ให้ศัตรูหัวใจอย่างไตรทศเห็น มีหวังไตรทศคงเอาไปพูดกับแม่พิกุลจนตนเสียคะแนนเป็นแน่
"ออเจ้ามานั่งทำการอันใดที่ตรงนี้?" เสียงนุ่มสุขุมที่จันมิเคยชอบพูดขึ้น
"ทำไม ข้านั่งที่ตรงนี้มิได้หรือ? "
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหาเรื่อง หากไตรทศมิชอบตนขึ้นมาตนอาจจะได้กลับกระท่อมไปอยู่คนเดียวเสียจะได้มิต้องอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน
"ได้สิ...เหตุใดจะมิได้"
ไตรทศยืนเอามือไพล่หลังก้มมองอีกคนที่กำลังนั่งเอาเท้าแช่น้ำเหมือนเด็กน้อย กับผู้อื่นจันนั้นช่างทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแต่กับเขาจันกลับทำตัวกระด้างจนเขาอ่อนใจ
"แล้วออเจ้ามาทำอันใดรึ? " จันเอี้ยวตัวหันกลับไปมองไตรทศที่ยืนค้ำหัวตนอยู่
"ที่นี่เป็นที่ประจำของข้ายามอยากพักจากเรื่องราวปวดหัวทั้งหลาย" จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
"เอ่อ ออเจ้าอย่าบอกผู้อื่นได้รึไม่เรื่องที่้ข้า...ร-ร้องไห้" พูดไปก้มหน้าไปเพราะกลัวว่าไตรทศจะเห็นสีหน้าที่กระดากอายของตน
"ได้ แต่มีข้อแม้" นั่นประไรเป็นอย่างที่จันคิดไว้ไม่มีผิด
"ข้อแม้อันใด? "
"ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไตรทศ" คนฟังทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะชนกัน ให้เรียกศัตรูหัวใจพี่งั้นหรือ?
ขอตายดีกว่า
"มิมีทาง" จันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตนนั้นตัวเตี้ยกว่าไตรทศ
"แล้วเรื่องที่ออเจ้าร้องไห้เล่า มิกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้หรอกหรือ? " ไตรทศทำหน้าตายียวนคนฟัง จันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตนนั้นตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว
"ก็ได้ๆ! ข้าจะเรียกออเจ้าว่า พะ..." คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น จันกระดากอายที่จะพูดออกมา
"ว่า? "
"พี่ไตรทศ..."
ใบหน้าหล่อของจันเห่อร้อนจนขึ้นสี มือจับโจงกระเบนไว้มั่นเพื่อระบายความเขินอาย จันเอาแต่ก้มหน้าเพราะมิกล้าสู้สายตาของอีกฝ่าย มีหวังคงกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจเป็นแน่
"น่ารัก..." คำพูดเบาหวิวเหมือนลมดังขึ้น
"ออเจ้าว่ากระไร อ-อื้อ! "
ดวงตาของจันเบิกโพลงเมื่อโดนอีกคนใช้มือจับปลายคางและประกบปากจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส ด้วยความตกใจจึงเผลอเปิดปากพลางรับรู้ได้ถึงลิ้นร้อนที่ฉกฉวยเข้ามาภายใน
โดนมืออีกข้างของไตรทศกอดเอาไว้จนขยับมิได้ พยายามดิ้นก็มิหลุดจนเริ่มหมดแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของจันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย คนตัวสูงถอนจูบก่อนจะขบกัดลงเบาๆ บนริมฝีปากนุ่ม
"อื้อ! "
จันส่งเสียงอื้ออึงเพื่อประท้วง รับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดที่เกิดจากรอยปริแตกจากการโดนกัดมีหรือที่จันจะยอมชายหนุ่มจึงกัดตอบบ้างเพื่อให้ไตรทศถอยห่าง หากแต่ว่ากลับคิดผิดเพราะอีกคนกลับได้ใจและเริ่มจูบตนหนักกว่าเดิม
ภายนอกไตรทศช่างดูสุขุมนุ่มลึก มิมีท่าที่อันตราย แต่ภายในชายผู้นี้กลับร้อนรุ่มดังไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มลายสิ้นจันคิดผิดเสียแล้วที่กล้าท้าทายและลองดีกับชายผู้นี้
ไตรทศเริ่มผ่อนแรงจันจึงฉวยโอกาสผละออก ร่างหนาเรียกสติตนเองกลับคืนก่อนจะนึกตกใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาจำได้เพียงว่าตนได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของจัน ทันใดนั้นร่างกายก็มิฟังคำทัดทานอันใดอีกเลย มันทำตามแต่ที่หัวใจเรียกร้องว่าให้ฉวยโอกาสกับชายตรงหน้าเสีย
"แฮ่ก.." จันหอบตัวโยนเพราะขาดอากาศหายใจจากจูบอันเร่าร้อนเมื่อครู่
"จันคือ-"
"ข้าเกลียดออเจ้า! "
ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือน้อยนิดผลักไตรทศให้ออกห่างอย่างนึกรังเกียจก่อนจะวิ่งหนีออกมา ทั้งอาย ทั้งเจ็บใจที่ตนโดนกระทำจากบุรุษเพศด้วยกันเอง
ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มและหลงไหลไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนในคราเดียวกันจนใจดวงน้อยไหวสั่น
ไตรทศมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตนได้เผลอล่วงเกินไปแล้วมีหวังชาตินี้จันอาจจะมิมีทางหันกลับมามองตนในทางที่ดีได้เป็นแน่ ไตรทศรู้ดีว่ากลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นคือ 'กลิ่นเสน่หา' ที่จะออกมาจากกายของแม่เรือนเมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูหาคู่
สำหรับคนปกติคงจะมิมีผลแต่กลับผู้ที่เป็น 'พ่อเรือน' ที่ถูกสร้างให้ลุ่มหลงในตัวแม่เรือนอย่างไตรทศนั้นช่างยากที่จะทัดทาน
เพราะบิดาและมารดาของไตรทศรู้เรื่องที่เขาเป็นพ่อเรือนเพราะสืบเชื้อสายจากผู้เป็นบิดา จึงสั่งให้เขามาอยู่ที่เรือนนี้เพียงผู้เดียวจะได้มิหลงกลิ่นของพวกทาสที่เป็นแม่เรือนในเรือนใหญ่จนเกิดปัญหาตามมา แต่หารู้ไม่ว่าเขานั้นได้รับดูแลแม่เรือนอย่างจันเอาไว้ใกล้ตัวถึงเพียงนี้
ระหว่างสำรับเย็นทั้งสองมิได้พูดคุยกัน ไอ้มิ่งมองนายของมันและจันสลับกันไปมาด้วยความฉงน ปกติจันคงพูดจ้อเป็นต่อยหอยไปแล้วแต่นี่กลับนั่งนิ่งจนมันนึกสงสัย
"น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" นางบัวทำหน้าที่ปรนนิบัติทั้งสองอย่างดีมิให้บกพร่อง มันลอบมองใบหน้าหล่อของจันอย่างชอบใจ คนอะไรยิ่งมองยิ่งดูดี
"ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยอย่างอ่อนน้อมก่อนจะรับขันเงินมาถือไว้ในมือก่อนที่มือจะสัมผัสกับมือของนางบัวเข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นางบัว
เคร้ง!
ไตรทศวางช้อนสีเขียวมรกตลงในถ้วยอาหารอย่างแรงจนนางบัวสะดุ้งโหยง มันรีบปล่อยมือออกจากขันและออกจากการกอบกุมของจัน
"นี่เรือนข้า ทำการอันใดก็สำรวมเสียบ้าง" ไตรทศเอ่ยดุอีกฝ่ายแต่จันหาได้สนใจไม่ กลับยกน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าอิ่มแล้ว ขอตัว"
ตึง
จันวางขันเงินลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกมาจากที่รับประทานอาหาร ไตรทศมองตามอีกฝ่ายตาละห้อยใจก็อยากจะง้ออีกฝ่ายหากแต่ตนนั้นมิเคยง้อใครมาก่อนในชีวิต
เผลอพูดกระด้างไปเสียจนอีกฝ่ายมิอยากจะเสวนาด้วย ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไอ้มิ่งตลอดมันจึงรับรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังมีปัญหากับไอ้จันเป็นแน่
ภายในห้องทำงาน ไตรทศย้ายมานั่งทำงานอีกห้องเพื่อที่จันจะไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีตนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำ มีไอ้มิ่งคอยฝนหมึกให้อยู่มิไกล
"เอ่อ ท่านไตรทศขอรับ อย่าว่าไอ้มิ่งสู่รู้เลยนะขอรับ"
"มีอันใดก็ว่ามา" ไตรทศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"คือ...ท่านมีปัญหากับไอ้จันหรือขอรับ?" มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"อืม"
"ข้ามีวิธีนะขอรับ"
"วิธีการอันใด? "
"แบบนี้ขอรับ..."
ไตรทศนั่งฟังทาสหนุ่มสาธยายมันยกตัวอย่างเวลาที่แม่หญิงที่มันเกี้ยวพากำลังงอนให้เขาฟังมากมาย ผู้เป็นนายตั้งใจฟังทาสหนุ่มพูดจ้อมิหยุด มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้สาระ
"ตอนนี้มันอยู่ที่ท่าน้ำขอรับ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะจะพูดคุยที่สุด"
"อืม" ไตรทศลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักก่อนจะเดินออกจากห้อง
ทางเดินระหว่างเรือนและท่าน้ำค่อนข้างที่จะมืดสนิทหากแต่คืนนี้พระจันทร์สุกสกาวเต็มดวงทำให้ไตรทศสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้มิยาก เขาเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อมิให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหนีไปเสียก่อน หากแต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของจัน
สายตาเฉียบคมหันไปเห็นกองผ้าที่ริมน้ำ ทันใดนั้นเสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จันเสยผมที่ปรกหน้าตนเองขึ้น ตามอกและหน้าท้องมีหยดน้ำเกาะ ยามต้องแสงจันหยดน้ำเหล่านั้นเป็นประกายระยิบระยับทำให้จันแลดูเหมือนพรายน้ำหนุ่มมิมีผิดเพี้ยน
รอยปานรูปดอกไม้สีแดงเห็นชัดที่้ขางเอวคอดราวสตรีเพศ แม้นไตรทศจะเคยเช็ดตัวให้จันตอนเป็นไข้ แต่มันเทียบกับครานี้มิได้แม้แต่น้อย
"อึก" ไตรทศกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะรีบเดินกลับมารอจันที่บันไดขึ้นเรือนแทน เพราะหากอยู่ตรงนั้นนานคงมิพ้นหัวใจวายตายเป็นแน่
จันชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนยืนถือตะเกียงอยู่ที่ใต้บันไดขึ้นเรือน คิดจะหันหลังกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ก่อน
"ประเดี๋ยวก่อนจัน" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่จรดเส้นผมตนตอนที่อีกฝ่ายหายใจเข้าออก
"มีอันใดก็รีบพูด" จันพูดด้วยน้ำเสียงห้วนเพื่อตัดรำคาญ
"พี่ขอโทษ"
กึก
ใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยคำขอโทษออกมา เสียงนุ่มและทุ้มเปล่งออกมาในขณะที่ไตรทศก้มลงมาพูดกระซิบข้างหูของจัน จันกอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอาไว้กับอกแน่นพร้อมทั้งกัดปากเพื่ออัดอั้นความรู้สึกในอก
"พี่ขอโทษที่ล่วงเกินออเจ้าไปแบบนั้น พี่ผิดไปแล้วจริงๆ" ไอ้มิ่งบอกว่าหากอยากจะขอโทษผู้ใดก็ต้องรู้สึกผิดจากใจจริงเสียก่อน และไตรทศเองก็ทำเช่นนั้น
"..." จันยังคงยืนนิ่ง
"พี่ผิดไปแล้ว ออเจ้ายกโทษให้พี่ได้หรือไม่? " ไตรทศพูดด้วยใจที่ไหวสั่น ใจนึงก็กลัวจันจะเกลียดตนและวิ่งหนีไปอีกใจก็อยากรั้งไว้มิอยากให้ไกลห่าง
"ย่อมได้ ข้ามิถือโทษออเจ้าก็ได้"
"จริงรึ" ไตรทศยิ้มออกเมื่อได้รับการให้อภัย
"แต่ออเจ้าต้องไปนอนที่ห้องอื่น"
"แต่-"
"มิมีข้อแม้ทั้งสิ้น" ไตรทศรีบสงบปากสงบคำทันที
"โธ่จัน..."
"ข้าขอตัว"
จันหันหลังกลับก่อนจะเดินผ่านไตรทศขึ้นเรือน เดินขึ้นบันไดไปได้มิกี่ขั้นจึงหันกลับมามองไตรทศที่กำลังยืนมองตนอยู่ตรงใต้บันไดเช่นกัน สองสายตาสอดประสานกันได้สักครู่จันจึงหันหลังกลับ
"ฝันดี...พี่ไตรทศ" เอ่ยเบาดังลมพัดก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป แต่ไตรทศได้ยินเต็มสองรูหู
"ฝันดีนะจัน" ไตรทศเอ่ยตอบอีกฝ่ายที่หายลับตาไปเสียแล้ว