✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63175 ครั้ง)

ออฟไลน์ Namwhankn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ประโยคสุดท้ายของพี่โรมคือหล่อมากก ขอให้มีเเต่เรื่องดีๆเข้ามาเด้อต่อจากนี้ไป

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
10
~ สิ่งมีชีวิตที่ถูกลืม ~


“พี่โรม วันนี้มีเรียนหรือเปล่า?”

หลังจากแต่งตัวเตรียมออกไปมหาวิทยาลัยเสร็จ ผมก็ย้อนกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อปลุกเจ้าของสถานที่ พี่โรมยังคงหลับไม่รู้เรื่องอยู่แต่ถึงยังไงผมก็ต้องบอกฝากฝังธุระให้เรียบร้อยก่อน

“วันศุกร์ชาเรียนสิบโมง ถ้าพี่จะนอนต่อ งั้นเดี๋ยวชาออกไปก่อนนะ ต้องเอารถไปคืนแม่ด้วย”

พอได้ยินเสียงผมในระยะประชิด ร่างสูงก็ส่งเสียงงึมงำรับรู้พลางขยับตัวเหมือนจะตื่น เคยได้ยินมาว่าคนกำลังงัวเงียนี่สะกดจิตง่ายนักล่ะ ไหนขอลองพิสูจน์ดูสักตั้งก็แล้วกัน 

“ข้าวผัดอเมริกันไส้กรอกไข่ดาวอยู่บนโต๊ะ กินแล้วต้องล้างจานเลย ห้ามดองไว้ในอ่างนะ.... แล้วก็ฝากดูแลมิลค์ด้วย มันชอบเล่นไม้ตกแมวอันที่มีหนูสีชมพูอยู่ตรงปลายน่ะ แต่ถ้าดื้อมากๆ พี่จะเอาปลาทูไส้กัญชาให้มันฟัดก็ได้”

ที่ไหนได้ พอสั่งงานเสร็จปุ๊บ พี่โรมก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งปั๊บ....

“กัญชา?”  พ่อแมวหัวฟูทวนคำทั้งที่ยังไม่ตื่นดี ก่อนจะเอ่ยถามผมเสียงแหบห้วน  “เดี๋ยวนะ.... นี่มึงให้ลูกดูดเนื้อด้วยเหรอ?”

“ชาหมายถึงแคทนิป ที่เขาเรียกกัญชาแมวน่ะ” 

ดูท่าทางพี่โรมจะยังจูนสมองไม่เสร็จถึงได้คิดไปไกลถึงดาวพลูโต แต่ดูจากสีหน้าอมยิ้มขำของเจ้าตัวกับประโยคต่อมาแล้ว ท่าทางว่าจะเป็นมุขเมาขี้ตาเสียมากกว่า

“ไม่ได้ๆ กูไม่ชอบให้ลูกเรายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด”

“พี่โรมก็อย่าเอาบ้องเข้าบ้านแล้วกัน มิลค์จะได้ดูดไม่เป็น”

ผมเล่นมุขคืนก่อนจะตามไปอุ้มลูกสาวขนฟูซึ่งนอนตัวกลมอยู่ตรงพื้นหน้าซิงค์ล้างจานมาให้พี่โรม หากยังไม่ทันที่แด๊ดดี้จะได้จับถูกตัว มิลค์ก็ทั้งดิ้นทั้งร้องกางเล็บใส่ผมด้วยความไม่พอใจสุดขีด แถมเล็บเท้าหลังมันยังข่วนโดนมือผมเข้าเต็มๆ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อยที่เจ้าลูกทรพีไม่ยอมเชื่อฟัง

“มิลค์ อย่าดื้อสิ!”

ผมอุตส่าห์ไปอุ้มแมวอกตัญญูมาอีกรอบแต่มันก็ร้องโวยวายแล้วหนีไปอีก คราวนี้ผมเริ่มห่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วนะว่าถ้ามิลค์ไม่ยอมเป็นเด็กดี เราทั้งคู่มีหวังได้โดนพี่โรมเนรเทศกลับไปอยู่บ้านแหงแซะ

“สงสัยมันไม่ชอบหน้ากูแน่เลย เมื่อคืนจะอุ้มก็ขู่น่ากลัวเชียว”

“ไม่รู้เพราะพี่โรมมีกลิ่นบุหรี่หรือเปล่า แมวมันจมูกไวกว่าคนอยู่แล้ว.........” 

ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจจะออกคำสั่งให้พี่โรมเลิกบุหรี่นะ ติดจะกลัวว่าเขาจะรำคาญด้วยซ้ำ ก็แค่ลองสันนิษฐานไปตามที่เห็นเท่านั้น

“เมื่อวานนี้กับแดนยังไม่มีปัญหาเลย เล่นกันซะอย่างกับรู้จักกันมาสักสิบปี”

พี่โรมหยุดบิดขี้เกียจเมื่อผมเอ่ยถึงบุคคลที่สาม เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย

“ไอ้แดนเหรอ?”

“อืม.... แดนมาขอให้ชาช่วยปอกเปลือกมันฝรั่งทำซุปให้ ชาก็เลยไปห้องมัน แล้วก็พามิลค์ไปด้วย” 

ผมเล่าให้ฟังแบบไม่คิดอะไรมากระหว่างที่พี่โรมกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ในห้องน้ำ นึกถึงหน้าตาเหมือนหมาหงอยของเดือนสถาปัตย์แล้วก็รู้สึกตลกดี เจอทีไรก็เห็นชอบเก๊กยิ้มมุมปากโชว์ว่าตัวเองหล่อเสียเต็มประดา ใครจะไปคิดว่าคนอย่างนายดรัณภพจะปัญญาอ่อนได้เบอร์นั้น

“ไอ้หมอนี่ก็พิลึกคนเนอะ อยากทำกับข้าวกินเองแต่ดันทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง.... พี่รู้ไหม เมื่อวานชาเจอมันในซูเปอร์มาร์เก็ตข้างล่าง ขนาดคื่นช่ายกับผักชีมันยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นอันไหน ชาบอกให้มันไปซื้อเขากินง่ายกว่า มันก็เรื่องเยอะ บอกว่าไม่อร่อยงู้นงี้”

“เดี๋ยวนะ.... ที่พูดถึงนั่นใช่ไอ้แดนน้องกูจริงเหรอ?”

พี่โรมชะงักมือจากมีดโกนหนวด สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยที่มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

“อื้ม ใช่สิ” 

ผมพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ แต่ทว่า ญาติผู้พี่ของไอ้แดนกลับส่ายหน้าเสมือนว่าไม่ผมก็เขา ต้องมีใครสักคนที่เมากัญชาแมวไปแล้วแน่ๆ

พี่โรมรับผ้าขนหนูที่ผมยื่นส่งให้ซับหน้า ประเด็นปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นของไอ้แดนยังไม่จบเมื่อชายหนุ่มเริ่มเล่าให้ฟังในสิ่งที่เขารู้เห็นมาตั้งแต่เด็กบ้าง

“เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่สุราษฎร์ ไอ้แดนมันเป็นเชฟประจำบ้านเลยนะ.... เวลามีงานรวมญาติ เด็กผู้ชายคนอื่นเขาเตะบอลเล่นเกมกันอยู่ข้างนอก ก็มีแต่มันนี่แหละที่เข้าครัวไปเป็นลูกมือพวกป้าๆ ขนาดน้ำจิ้มซีฟู้ดมันยังลงมือตำเอง ไม่ยอมไปซื้อแบบขวดสำเร็จรูปกินเลย แล้วจะแยกผักชีกับคื่นช่ายไม่ออกได้ไง”

“เอ๊ะ??”

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ผมว่าพี่โรมคงไม่ได้ล้อเล่นเพราะเขาเองก็ดูงงพอๆ กับที่ผมงง แต่สุดท้ายพี่โรมก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขาแค่หัวเราะเบาๆ คล้ายว่ามันเป็นเรื่องตลกเข้าใจผิดกันธรรมดาก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารซึ่งมีมื้อเช้าฝีมือผมเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ปล่อยให้ผมคิดเอาเองว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเมาแคทนิป

“ว่าแต่ดูท่าทางกูคงต้องเลิกบุหรี่แล้วมั้ง ถ้าลูกมิลค์ไม่ยอมเล่นกับพ่อเนี่ย”

เพราะพี่โรมไม่พูดถึงเรื่องนั้นต่อ ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เขารำคาญ.... ผมใช้เวลาช่วงเช้าที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยสอนพี่โรมใช้ไม้ตกแมวเล่นกับมิลค์ สอนวิธีป้อนขนมแมวเลีย ให้มันคุ้นเคยและยอมให้พี่โรมจับตัว เมื่อวางใจได้แล้วถึงค่อยคว้ากระเป๋าและกระบอกใส่แบบดรอว์อิ้งไปขึ้นรถ ทว่า ในใจก็ยังนึกถึงแต่หน้ากับคำพูดที่ว่า ‘ทิชา มึงช่วยหน่อยดิ นะๆๆๆ’ ของใครอีกคน

แต่แน่นอนว่า ผมกับไอ้เดือนสถาปัตย์เฮงซวยนั่นยังมีเรื่องให้ต้องเคลียร์กันอีกเยอะเลย....!

.


.


.


“บงกช”

“นายบงกช.... มาเรียนหรือเปล่า?”

“โอเค งั้นอาจารย์เช็คขาดนะครับ ใครเป็นเพื่อนก็ฝากบอกเขาด้วย”


คาบเช้าวันนี้ บีบี๋ก็ไม่มาเรียนอีกแล้ว....

ทั้งที่เมื่อวานตอนบ่ายมันมาเรียนได้ ผมจึงคิดเอาเองว่าสถานการณ์ฝั่งไอ้บี๋น่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้วแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้คุยกันก็ตาม ไอจีของมันก็ยังคงนิ่งสนิทไร้ความเคลื่อนไหวจนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้เลยว่ามันแค่ไม่สบายเหมือนอย่างที่บอกอาจารย์ก่อนเข้าเรียนเมื่อวานหรือมีอะไรมากกว่านั้น.... บอกตามตรง ถ้ามันอัพรูปคำคมหรือรูปชูนิ้วกลางด่าสาปส่งผมกลางโซเชียลแบบที่เคยทำกับคนอื่นๆ บางทีผมอาจจะไม่กังวลมากเท่านี้ก็ได้

“ทิชา ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

“หืม?”

คนที่เรียกผมคือเพื่อนสาวร่วมภาควิชาที่ชื่อจอย เธอจัดการย้ายที่นั่งมาอยู่ข้างผมซึ่งปกติแล้วจะเป็นที่ประจำของไอ้บี๋พลางกระซิบถามถึงคนที่หายไป

“ทำไมสอง-สามวันนี้ บีบี๋ขาดเรียนบ่อยจัง.... มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

ปัญหาน่ะมีแน่ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าตัวเองควรจะพูดเยอะเพราะตัวละครในเรื่องไม่ได้มีแค่ผมกับบีบี๋ คนนอกซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราก็คงแค่อยากถามเอาข้อมูลไว้นินทาเมาท์มอยเท่านั้นแหละมั้ง

“โทษทีนะ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน.........”

“คืองี้นะ ทิชา.........”

จอยขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก่อนจะลดเสียงให้เบาลงเมื่ออาจารย์กำลังอธิบายถึงสิ่งที่อยากให้นิสิตใส่ลงในชิ้นงานที่กำลังจะสั่ง เรื่องเรียนก็สำคัญแต่เรื่องเพื่อนก็อยากรู้ ผมจึงต้องแยกประสาทรับฟังทั้งสองฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

“เมื่อวันก่อน น่าจะสักประมาณคืนวันพุธละมั้ง เราไปร้านเหล้าเบอร์ลิคแถวๆ เอกมัยกับเพื่อนคณะอื่นแล้วเจอบีบี๋ที่นั่น ทีแรกก็นึกว่าเขาคงไปหาแฟนที่อยู่วิศวะฯ แต่เพื่อนเราดันเห็นว่าบีบี๋เดินออกไปหลังร้านกับพี่รุจที่เขาว่ากันว่าเป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค”

ทันทีที่ได้ยินชื่อเบอร์ลิคกับพี่รุจ เสียงของอาจารย์ก็หายไปจากโสตประสาททันที แต่เมื่อนึกถึงไทม์ไลน์ให้ดีๆ คืนวันพุธ ผมเองก็ไปที่เบอร์ลิคและกลับออกมาพร้อมพี่โรม....

“จอยเห็นแค่นั้นเหรอ?”

“แค่นั้นก็เกินพอแล้วไหมล่ะ” 

จอยถอนหายใจ เธอมองหน้าผมเป็นเชิงบอกว่านายมันช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เพื่อนตัวเองอยู่ในปากเสือปากจระเข้แท้ๆ ยังจะมานั่งหน้าแบ๊วไม่หือไม่อืออยู่ได้ 

“ทิชาไม่เที่ยวกลางคืนก็อาจจะไม่รู้เรื่องพวกนี้มากเท่าไร แต่พี่รุจที่ว่านั่นน่ะมีข่าวลือไม่ค่อยดีเพียบเลย ก็พวกธุรกิจสีเทาแบบโต๊ะบอล ปล่อยกู้นอกระบบ กินค่านายหน้าเด็กไซด์ไลน์อะไรพวกนี้แหละ.... แต่ที่น่ากลัวก็คือพี่รุจไม่เคยพาใครออกไปหลังร้านมาก่อน เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่าตรงนั้นมันจะมีทางขึ้นชั้นสอง เป็นห้องที่พวกวิศวะฯ ชอบหิ้วพวกคนนอกที่มาชิงเกียร์ไปนอนด้วย ก็เป็นไปได้นะว่าบีบี๋กับพี่รุจจะ...........”

จอยเว้นช่วงไว้ให้ผมคิดต่อเอง ผมกลืนน้ำลายเหนียวคอเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับเบอร์ลิคที่อีกฝ่ายให้มานั้นถูกต้องเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าบีบี๋จะกล้าเข้าไปยุ่งกับบุคคลอันตรายแบบพี่รุจ

แต่คนขี้ขลาดอย่างผม เมื่อถึงเวลาจนตรอกกลัวว่าพี่โรมจะกลายเป็นของไอ้บี๋ก็ยังกล้าบุกไปชิงเกียร์ได้ แล้วจะเอาอะไรมารับประกันได้ล่ะว่าไอ้บี๋จะไม่เกิดหน้ามืดตามัวขาดสติขึ้นมาบ้าง....?

“อีจอย มึงก็พูดเวอร์เกินไปแล้ว”

เพื่อนสาวข้ามเพศซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังพูดแทรกขึ้นมา ดูเหมือนเจ้าหล่อนก็น่าจะเข้าออกเบอร์ลิคบ่อยพอตัวอยู่เหมือนกัน แถมยังอยู่ในประเภทบูชาเกียร์ของพวกวิศวะฯ เสียด้วย 

“น่ากลัวบ้าอะไร กูว่าพี่รุจก็ดูฮอตดีออก ถ้าบีบี๋มันได้เขาจริงก็ถือว่าแต้มบุญมันสูงมาก.... สะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคเชียวนะ เป็นเมียพี่รุจก็เหมือนตำแหน่งนางพญาแห่งวิศวะฯ ดีๆ นี่เอง แม่เอ๊ย! ผู้ชายคณะนั้นได้เดินตามรับใช้มันเป็นพรวนแน่”

“แต่บีบี๋มันมีแฟนแล้วนะ.... จำชื่อได้ละ พี่โรม เครื่องกลปีสามไง”

ผมหันไปมองหน้าจอย ก็ไม่ผิดหรอกที่เธอจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่กับพี่โรมคือผม ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์จะป่าวประกาศแสดงความเป็นเจ้าของ เอาจริงๆ คือพี่โรมเลิกเด็ดขาดกับไอ้บี๋หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย....

“ถ้าเป็นกูนะ ต่อให้มีแฟนแล้วก็เหอะ ถ้าพี่รุจจีบกู กูก็ยอมทิ้งพี่โรม”

“บีบี๋น่ะเหรอจะทิ้งพี่โรม เปิดตัวลงไอจีซะเวอร์วังขนาดนั้น?”

“นี่พวกแก เมาท์มอยมั่วซั่วมากเกินไปแล้ว”

คราวนี้ เจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาร่วมแจม วงสนทนาที่ควรจะมีแค่ผมกับจอยขยายใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับความตึงเครียดในใจซึ่งมักจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมโดนคนอื่นด่าประณามว่าเป็นมือที่สาม 

“ยัยจอย ที่แกกับเพื่อนเจอบีบี๋ที่ร้านเบอร์ลิคน่ะมันคืนวันพุธใช่ไหม แต่เมื่อวานนี้หลังเลิกวิชาบ่าย ฉันกับอีฝ้ายยังเห็นพี่โรมเอารถมาจอดรอบีบี๋ตรงหน้าคณะอยู่เลย.... ฉันว่ามันกับพี่โรม วิศวะฯ ยังคบกันอยู่นะ ไม่มีทางที่มันจะไปได้กับพี่รุจอะไรนั่นหรอก สงสัยแกน่าจะเมาจนตาฝาดแล้วมั้ง”

ผมรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาคิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อวานพี่โรมมารับบีบี๋ที่หน้าคณะงั้นเหรอ? แล้วที่เขาไลน์มาบอกให้ผมไปเอากุญแจกับคีย์การ์ดคอนโดฯ จากพี่แจ็คล่ะ ไม่ใช่ว่าจงใจจะเลี่ยงให้ผมไปด้านหลังคณะเพื่อที่จะได้ไม่เห็นว่าเขามารับบีบี๋หรอกใช่ไหม?

แล้วแบบนี้ ที่บอกว่าธุระด่วนของพี่โรมก็คงจะหมายถึงบีบี๋ด้วยสินะ....?

“อ้าว ตกลงยังไงกันแน่เนี่ย?”  จอยร้องถามเสียงหลงเมื่อโดนแย้งจากพยานอีกฝั่งหนึ่ง

“หรือบีบี๋จะคั่วทั้งสองผู้เลย?” 

เพื่อนสาวสองตั้งข้อสันนิษฐาน แต่แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธเองเสร็จสรรพ 

“เป็นไปไม่ได้ พวกวิศวะฯ ถือเรื่องนี้กันจะตาย พี่โรมไม่มีทางยอมมีเมียคนเดียวกับพี่รุจหรอก.... เท่าที่กูรู้มาพี่โรมนี่คือรุ่นน้องสายตรงของพี่รุจเลยด้วย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางใช้นังบี๋ร่วมกันแน่”

“ทิชาไม่รู้อะไรเลยจริงดิ เรื่องใหญ่ขนาดเพื่อนหายไปทั้งคนเนี่ยนะ?”

เมื่อหาคำตอบไม่ได้ กลุ่มของเจนนี่กับฝ่ายก็หันมาคาดคั้นเอากับผม สายตาของพวกเธอไม่ได้มีแค่ความอยากรู้ตามประสาผู้หญิงขี้นินทาอย่างเดียว แต่มันมีเจตนาต้องการจับผิดพ่วงมาด้วยอย่างไม่ปิดบัง 

“แสดงว่าวันก่อนที่เราเห็นทิชาทะเลาะกับบีบี๋ พวกนายก็ยังไม่กลับมาคุยกันอีกเลยงั้นสิ?”

“อืม..........” 

ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับ วันนั้นเราสองคนก็พลาดเองที่มาเถียงกันตรงระเบียงทางเดินตึกเรียนซึ่งมีคนผ่านไปมา คนเห็นเหตุการณ์ก็ย่อมต้องมีอยู่พอควร บางคนก็คงฟังตั้งแต่ต้นจบจบว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับบางคน อคติที่มีอยู่แต่เดิมก็อาจทำให้เขาตัดสินไปแล้วว่าผมเป็นฝ่ายผิดอยู่คนเดียว

“มิน่าล่ะ ทิชาถึงดูไม่ค่อยเป็นห่วงเพื่อนเท่าไร ขนาดจอยมันเมาท์ว่าบีบี๋นอกใจพี่โรม ทิชายังไม่ช่วยพูดปกป้องบีบี๋เลยสักคำ”

กลับกลายเป็นว่าทุกคนที่คุยกันอยู่เมื่อครู่หันมามองผมเหมือนกับจะปาหินใส่ ผมก็เลยเลี่ยงไม่พูดก่อนจะหันไปสนใจเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนต่อ.... ทว่า ห้วงความคิดกลับมีแต่ความสับสนว้าวุ่น เรื่องเดียวที่ผมทำผิดต่อบีบี๋ก็คือการชิงเกียร์พี่โรม แต่นอกเหนือจากนั้นผมไม่เคยคิดไม่ดีกับมันเลย เมื่อวานนี้ผมก็ยังจะส่งไลน์หามันอยู่ แม้กระทั่งเมื่อกี้ก่อนที่จอยจะมาคุยด้วย ก็ผมไม่ใช่เหรอที่เข้าไปเช็คไอจีของบีบี๋เพื่อดูว่ามันกลับมาแล้วหรือยัง

แต่เอาเถอะ.... ขึ้นชื่อว่าเป็น ทิชา ทิชนันท์ พูดให้ตายก็คงไม่มีใครเชื่อ




“กินข้าวคนเดียวอร่อยไหม?”

ผมชะงักมือจากช้อนตักข้าวหมดอารมณ์กินต่อทันทีที่ใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เป็นอันว่าตอนนี้ผมเริ่มคุ้นกับน้ำเสียงยียวนของเดือนสถาปัตย์แล้วล่ะ เพราะแทบไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมามองก็รู้ได้ทันทีว่าคู่จิ้นจากแดนยมโลกกำลังตามมาหลอกลอนผมอีกจนได้

“ดูจากหน้าตาแล้วไม่น่าจะอร่อยเนอะ.... งั้นกูขอนั่งด้วยคนนะ” 

พูดเองเออเองไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำ ไอ้แดนก็ขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามยัดเยียดตัวเองมานั่งโต๊ะเดียวกับผมเสร็จสรรพ

“ตึกสถาปัตย์ไม่มีแคนทีนเหรอ ทำไมต้องถ่อมากินถึงนี่?”

“แคนทีนน่ะมี แต่ไม่มีคนชื่อทิชา..........” 

ประโยคนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มทีเล่นทีจริงตามเคย แต่พอผมยกส้อมขึ้นขู่จะจกลูกตาคนพูดออกมา ไอ้แดนก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อนโบกมือโบกไม้เป็นเชิงบอกว่าอย่าถือสาคนจิตไม่ว่างอย่างมันเลย   

“ปล๊าววว~ กูล้อเล่น กูหมายถึงก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ต่างหาก ร้านตามสั่งคณะมึงทำคั่วไก่อร่อยกว่าที่ถาปัด กูก็แค่แวะมากิน”

“ให้มันจริงเหอะ!”

“ก็ต้องจริงสิ”

พูดถึงเรื่องจริงไม่จริง ผมก็นึกถึงประเด็นร้อนที่คุยกับพี่โรมเมื่อเช้านี้ขึ้นมาได้ ผู้ต้องสงสัยยังคงยิ้มหน้าระรื่นเป็นลูกหมายักษ์พลางจ้วงเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก อันที่จริงผมก็ไม่ได้โมโหหัวร้อนมากมายนักหรอก ก็แค่ไม่เข้าใจว่าไอ้หมอนี่กำลังพยายามเล่นตลกอะไรกันแน่.... อีกอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิดก็คือ ไอ้แดนมันชอบวางท่าเหมือนว่าดูผมออกไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าผมจะพูดหรือทำอะไรก็คล้ายว่าอยู่ในสายตามันตลอดเวลา มีแต่ผมนี่แหละที่ดูมันไม่ออกเลย แม้แต่จะเดาว่ามันคิดอะไรอยู่ก็ยังมืดแปดด้าน

“แล้วเรื่องปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นน่ะจริงหรือเปล่า? มึงคงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม?” 

แค่ถามออกไปน้ำเสียงเย็นๆ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ถ่อมากินถึงสินกำก็ทำท่าจะเคี้ยวฝืดคอไม่อร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

“พี่โรมบอกกูว่ามึงทำอาหารเก่งมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่สุราษฎร์ก็เข้าครัวทำกับข้าวเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องอยู่เรื่อย.... ไม่มีทางที่มึงจะแยกผักชีกับคื่นช่ายไม่ออก แล้วก็ไม่มีทางที่มึงจะปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นด้วย”

“เฮ้ย.......ไม่ใช่กูหรอก......เฮียแม่งจำผิดคนแล้วมั้ง........”

“ใครมันจะโง่จำญาติตัวเองผิดคนล่ะ?”

ผู้ร้ายปากแข็งปฏิเสธในตอนแรก หากพอผมย้อนกลับให้รู้ว่าไม่มีอารมณ์จะขำด้วย มันก็เปลี่ยนจากยืนกระต่ายขาเดียวมาเป็นหมอบกระแต ยกมือยอมแพ้เมื่อสกิลความตอแหลเดินมาถึงทางตัน

“แย่จัง ความแตกเร็วฉิบหาย.... ไม่คิดว่าจะโดนจับได้นะเนี่ย พอเป็นเรื่องมึงทีไร ทำไมกูไม่เคยมีดวงบ้างเลยวะ”

“แล้วอยู่ดีๆ มึงมาหลอกกูทำไม? ว่างมากนักเรอะ?”

“ก็นิดนึง.........” 

ก็อย่างที่บอก ถ้าจะให้ช่วยเหลือกันด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้ ต่อให้เป็นคนที่ผมเกลียดขี้หน้าก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ปัญหาก็คือผมไม่รู้ว่าไอ้แดนมันทำไปเพื่ออะไร ตอนนี้รู้แค่ว่าโมเมนท์สำคัญๆ ในชีวิตที่ผมเตรียมเอาไว้ให้พี่โรมนั้นโดนมันชิงตัดหน้าไปหมดแล้ว.... ถ้าไม่ได้ตั้งใจก็ไม่อยากว่ากัน แต่พอมารู้ทีหลังว่าตอแหล มันก็เหมือนเอารองเท้าแตะเน่าๆ มาตบหน้าผมกลางสี่แยกนั่นล่ะ

“มึงต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยเหอะ อย่ามาโกหกกันแบบนี้ กูไม่ชอบ”

“ถึงกูพูดตรง มึงก็ไม่ชอบหรอก.......”

“อย่ากวนตีนได้ไหม?”

อุตส่าห์คิดว่าจะไม่โกรธอยู่แล้วเชียว แต่ไอ้แดนกลับมาทำมองตาคว่ำใส่ผมอยู่ได้ ดูท่าทางจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนผิดที่มาหลอกผมก่อน

“ก็กูไม่เหมือนเฮียโรมนี่ แค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องดิ้นรน มึงก็เข้ามาคุยด้วย”

อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นว่ามันมาตัดพ้อผมเฉยเลย แถมยังลากพี่โรมเข้ามาเกี่ยวด้วยอีกต่างหาก ทำเอาผมมึนตึบจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความถึงเรื่องอะไร แล้วพี่โรมเกี่ยวข้องยังไงกับการที่มันมาโกหกผมว่าเลือกผักไม่ถูก ปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็น

“จะใจร้ายกับกูไปถึงไหนวะ ทิชา.... ทุกวันนี้แค่กูเฉียดเข้าใกล้หน่อย มึงก็ตั้งการ์ดซะอย่างกับกูจะมาดักฉุด..........”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2018 23:54:25 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“พี่แดนนนน~ พี่ทิชาาาา~”

เสียงแปดหลอดทะลุแก้วหูดังมาแต่ไกล ก่อนที่เด็กสาวคนหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดตรงมายังโต๊ะที่ผมกับแดนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน ดูจากสภาพภายนอกแล้วผมเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งเพราะใส่กระโปรงพลีทยาวถึงหน้าแข้งกับรองเท้าผ้าใบสีขาว และก่อนที่จะได้มีใครถามอะไร คุณน้องก็ยกกล้อง DSLR ขึ้นจ่อหน้าพวกเราสองคนแบบไม่ให้เวลาตั้งตัวเตรียมใจ

“รูปเมื่อวานที่มีคนถ่ายลงในแท็ก #แดนทิชา มันไม่ค่อยชัดเลยค่ะ ขอหนูถ่ายชัดๆ สักใบนะคะ แล้วจะตั้งใจเรียนตลอดชีวิตเลยค่ะ”

“เฮ้ย น้อง.....ดะ.....เดี๋ยว..........!”

ไม่ทันแล้ว ผมได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นเต็มสองรูหู

“ขอบคุณมากนะคะ พี่สองคนน่ารักมากเลยอ้ะ เหมาะสมกันที่สุดเลย.... ขอให้รักกันไปนานๆ จนแก่เฒ่าเลยนะคะ พวกหนูจะคอยเชียร์พวกพี่เอง~”

และแล้ว รุ่นน้องคนนั้นก็ใส่เกียร์หมาแล้ววิ่งจากไปเร็วพอๆ กับตอนขามา เส้นเลือดในสมองผมตึงเปรี๊ยะเมื่อประมวลผลได้ว่ายัยเด็กนั่นจะต้องเป็นหนึ่งในพวกที่เคยคอมเมนท์ใต้รูปผมกับไอ้แดนในเพจคิวท์บอยมหาลัยแน่.... ผมไม่เคยชอบการถูกยัดเยียดจับคู่กับใครก็ไม่รู้แบบนี้เลย ยิ่งตอนนี้ผมมีพี่โรมอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีก ถึงจะอ้างว่าผมกับไอ้แดนเคมีเข้ากันมากขนาดไหนก็เถอะ

“ใจเย็นน่านะ ทิชานะ.........”

“เย็นบ้าเย็นบออะไรอีก กูใจเย็นกับแฟนคลับมึงมาหลายรอบแล้วนะ!”

“แฟนคลับมึงด้วย”

มันว่าเสียงอ่อย ประมาณว่าอยากกวนประสาทกลับแต่ก็กลัวว่าผมจะวีนแตก เลยได้แต่เถียงอ้อมแอ้มพลางม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากไปด้วย

“น้องเขาก็ชอบมึงเหมือนกันไง”

“เขาชอบมึง แต่ที่เขามาวุ่นวายกับกูก็เพราะไอ้แท็กแดนทิชาที่มึงชอบปั่นนั่นแหละ!” 

ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่พอใจมันอยู่ดี เรื่องไปแคสบทด้วยกันก็มากเกินพอแล้ว แต่อันนั้นถือว่าเป็นข้อตกลงที่ผมทำเอาไว้เองก็ยกผลประโยชน์ให้จำเลยไป.... ปัญหาก็คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือสัญญาของเรา ผมไม่เต็มใจจะเป็นเมียไอ้แดน ไม่ว่าจะในโลกจริงหรือในโลกมโนของใครก็ตาม และไอ้แดนก็ควรจะหยุดลากผมไปเป็นคู่จิ้นเพื่อเอาใจบรรดาแฟนคลับของมันได้แล้ว 

“กูเข้าใจนะแดนว่าที่มึงทำไปทั้งหมดก็เพื่อจะสร้างกระแสแบบเดียวกับตอนที่มึงประกวดเดือน แต่มึงช่วยเลิกปั่นให้คนอื่นเข้าใจว่ากูกับมึงเป็นอะไรๆ กันได้ไหมวะ.... ถ้าพี่โรมมาเห็นแล้วเขาจะรู้สึกยังไง เขาจะไม่คิดว่ากูแอบกิ๊กกับมึงทั้งๆ ที่นอนอยู่ห้องเขาเตียงเขาเหรอ?”

เดือนสถาปัตย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นทีว่าข้าวเที่ยงของเราน่าจะเป็นม่ายกันทั้งคู่ เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อ ทีแรก ผมคิดว่าแดนมันก็คงจะแค่หัวเราะกวนประสาทกลับมาเหมือนเดิม แต่ทว่า เสียงหึในลำคอกับแววตาซึ่งจ้องมองมาก็บอกให้รู้ว่าผมอาจคิดผิด

มันโกรธผม....

“โธ่เอ๊ย ที่แท้มึงก็ห่วงว่าเฮียโรมจะเข้าใจผิดนี่เอง”

นายดรัณภพใช้เสียงสูงผิดปกติแถมยังกระแทกแดกดันใส่จนออกนอกหน้า หน่วยตาเรียวซึ่งมักฉายแววขี้เล่นอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นชำเลืองมองผมอย่างท้าทาย

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นมึงไม่ต้องกลัวหรอก เอาไว้ถ้าเฮียโรมโกรธที่มึงมาเล่นชู้กับกูเมื่อไร กูจะเป็นคนอธิบายให้เขาฟังเองว่ามึงน่ะเกลียดขี้หน้ากูจะตายห่า มึงยอมกัดลิ้นตายเสียยังจะดีกว่าเป็นเมียกู.... แบบนี้โอเคยัง?”

เมื่อได้ยินคำพูดคำจาคล้ายจะโทษว่าผมต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ผมเองก็โมโหเหมือนกัน แต่ภายในความโมโหนั้นยังมีจุดเล็กๆ ที่เว้นเอาไว้สำหรับความใจหาย.... ไม่สิ อย่าเรียกว่าใจหายเลย ผมก็แค่คาดไม่ถึงว่าไอ้แดนจะตอบกลับมาแรงแบบนี้

“ประชดเหรอ?”

“ไม่ได้ประชด พูดจริง”  ไอ้แดนตอบ ในตอนนี้มันไม่ยอมมองหน้าผมแล้ว “ก็มึงเกลียดกูจริงๆ นี่”

“ตัวก็โต เสือกทำเป็นขี้น้อยใจ”

“ใช่ว่ากูจะเป็นแบบนี้กับทุกคนเสียเมื่อไร........”

มื้อกลางวันของผมเริ่มต้นแบบขมๆ ก่อนจะจบลงด้วยรสชาติเต่าถุย ถึงจะงอนห่าเหวบ้าบอด้วยสาเหตุที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องอะไร แต่ไอ้แดนก็ไม่ยอมไปไหนจนกระทั่งผมลุกขึ้นจากโต๊ะ มันเดินตามผมไปซื้อชานมปั่นที่ซุ้มข้างวงเวียนหน้าคณะ อ้างว่าอยากกินเหมือนกัน สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมอยู่กับมันตลอดทั้งช่วงพักเที่ยงก่อนจะแยกย้ายกันไปตึกเรียนของตัวเองเมื่อวิชาภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้น



ในตอนบ่ายของวันเดียวกันนั้น ปรากฏว่าไอ้บี๋มันกลับมาเรียนแล้ว....

(อดีต)เพื่อนสนิทผมนั่งอยู่ตรงมุมห้องด้านหลังสุด มีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่คุยด้วยเมื่อเช้านี้รุมล้อมอยู่ ผมไม่อยากคิดเยอะแล้วเครียดไปเองว่าบีบี๋กับพวกจอย เจนนี่ ฝ้ายกำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็เหมือนจะเดาออกอยู่รางๆ เมื่อหนึ่งในกลุ่มนั้นรีบสะกิดบอกให้คนอื่นๆ รู้ตัวทันทีที่เห็นผมก้าวเข้ามาในห้อง.... ผมพยายามไม่หันไปมองทางนั้น นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ในที่ประจำของตัวเอง หยิบสมุดออกมาวาดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยและทำสมองให้โล่งเข้าไว้ หากสุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้เมื่ออาจารย์ยื่นกระดาษเซ็นเช็คชื่อมาให้ผมเป็นคนแรกแล้วบอกให้ช่วยส่งต่อให้เพื่อนด้วย

พอเดินไปแถวที่นั่งด้านหลังถึงได้เห็นว่าบีบี๋มันใส่มาร์สกปิดหน้าอยู่ ในตอนนั้นผมนึกว่ามันคงไม่สบาย แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามเพราะดูท่าทางมันจะได้เพื่อนใหม่คอยช่วยดูแลเป็นที่เรียบร้อย

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์หามันจนได้....



Tisha_950701 : มึงไม่สบายเหรอ?

                      ไปหาหมอหรือยัง?



ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ข้อความที่ผมส่งไปก็มีตัวหนังสือเล็กๆ ขึ้นบอกว่าอีกฝ่ายกดอ่านแล้ว ทว่า รออยู่เป็นชั่วโมงจนเลิกเรียนก็ไม่มีวี่แววว่าบีบี๋จะตอบกลับ

โอเค.... เอาเป็นว่ามันคงไม่อยากคุยกับผมแล้วล่ะมั้ง

ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เพราะถ้าตัวผมอยู่ในสถานะเดียวกับมัน ถูกแย่งพี่โรมไปทั้งๆ ที่ตกลงคบและเปิดตัวกันไปแล้ว ผมก็คงสาปส่งไม่อยากคุยกับเพื่อนเหี้ยพรรค์นี้เหมือนกัน

ผมเองก็รู้ดีตั้งแต่ก่อนไปชิงเกียร์พี่โรมแล้วว่ามันต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือไม่ก็เสียหมดหน้าตัก ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คือสิ่งที่ผมควรต้องยอมรับสภาพ

ขว้างก้อนหินใส่คนอื่นแล้วคิดเหรอว่าเขาจะโปรยข้าวตอกดอกไม้กลับมาให้.... ไม่มีทางเสียหรอก

.


.


.


ผมเดินสะโหลสะเหลลงบันไดตึกเรียนมาจนถึงหน้าคณะ เหนื่อยทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวสมองของผมมีแต่เรื่องไอ้บี๋กับเรื่องเล่าเมาท์มอยที่พวกสาวๆ พูดกับผมเมื่อเช้านี้ รวมถึงสายตาไม่เป็นมิตรซึ่งจ้องมองมาในตอนบ่ายจนแทบไม่มีสมาธิกับเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่เลย มาจับใจความได้อีกทีก็ตอนที่อาจารย์โยนแปลนห้องต่างๆ ภายในบ้านมาให้สามชุดแล้วบอกว่าต้องการให้นิสิตส่งงานทั้งหมดภายในศุกร์หน้า

แค่นี้ทิชนันท์ก็เห็นแววโต้รุ่งโดยมีขวดเอ็มร้อยอยู่เป็นเพื่อนลอยมาแต่ไกล

“มาสักที.... มิลค์ แม่อยู่นั่นไง ไปหาแม่กันเร็ว”

แทบไม่ต้องมองหา เจ้าของเสียงทุ้มที่เรียกชื่อลูกสาวผมก็โผล่มาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตสีขาวซึ่งถูกล่ามปลอกคอกับสายจูงใหม่เอี่ยม ทำเอาผมอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าจะเจอเซอร์ไพรส์ลูกใหญ่เท่าระเบิดปรมาณูหล่นใส่หัวกลางมหาวิทยาลัย.... บ้าไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าคนที่ทำท่าเหมือนจะไม่ค่อยถูกโรคกับแมวอย่างพี่โรมจะลากลู่ถูกังยัยมิลค์มาหาผมถึงหน้าคณะ....!

“พี่โรม ทำอะไรน่ะ!?” 

ผมถามเสียงดังจนเกือบกลายเป็นตะโกนในขณะที่วิ่งไปอุ้มมิลค์ขึ้นจากพื้น มันกลัวเสียงรถเสียงคนจนปีนป่ายขึ้นไหล่ขึ้นหัวผมวุ่นวายไปหมด กว่าจะปลอบให้อยู่นิ่งๆ ได้ก็แทบแย่

“กูซื้อไอ้นี่ให้มิลค์เอง น่ารักใช่ไหมล่ะ?” 

พี่โรมตอบพลางเสยผมแล้วยิ้มอวดชาวบ้านอย่างอารมณ์ดี ดูเจ้าตัวจะภูมิใจกับสายจูงสีเหลืองดอกทานตะวันที่ซื้อให้ลูกสาวมาก ทำให้นึกถึงตอนที่พี่โรมช่วยเลือกชุดไปงานแต่งพี่เกดให้ผมขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะคุยกันในตอนนี้ 

“ทิชา ปกติมึงไม่พามิลค์ออกมาเดินเล่นนอกบ้านเลยเหรอ? กูเห็นมึงมีของใช้ทุกอย่างเลยยกเว้นสายจูง แถมยัยตัวแสบนี่ก็ฤทธิ์มากฉิบหาย กว่าจะจับใส่สายจูงได้ก็เล่นเอามือไม้กูแหกหมดแล้วเนี่ย”

ว่าแล้วก็ยื่นมือให้ผมดู รอยเล็บแมวข่วนเต็มไปหมดอย่างที่พี่โรมว่าจริงๆ

“มิลค์มันเป็นแมวนะพี่ ไม่ใช่หมา.... แล้วชาก็เลี้ยงระบบปิดให้อยู่แต่ในบ้านด้วย ไม่ต้องพาออกมาเดินเล่นหรอก”

“อ้าว กูไม่รู้”

“เวลาพาไปหาหมอหรือร้านอาบน้ำก็แค่เอาใส่ตะกร้า ไม่ใช้สายจูง” 

ถ้าฟังจากที่ไอ้แดนเล่า บ้านพี่โรมที่สุราษฎร์ไม่น่าจะมีใครเลี้ยงแมวเลยเหมือนกัน ก็คิดเสียว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ถึงแม้ว่าพี่โรมจะเด๋อได้น่าเขกกะโหลกมากก็ตาม

“ว่าแต่พี่โรมพามิลค์ออกมาทำไม? มันกัดสายไฟที่ห้องเหรอ?”

“เปล่า.... กูกะว่าจะพามึงไปทำธุระด้วยกันหน่อย ก็เลยไม่อยากทิ้งลูกไว้ที่ห้องตัวเดียว”

“ไปไหน??”

คำว่าการบ้านกับแปลนห้องสามห้องที่อาจารย์เพิ่งให้มาเมื่อกี้ลอยเข้ามาในห้วงความคิดทันที ผมอ้าปากส่ายหัวเตรียมจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าพี่โรมที่ดึงเอากระเป๋าสะพายและกระบอกใส่แบบดรอว์อิ้งของผมไปถือไว้เอง ก่อนจะเดินนำไปที่รถซึ่งจอดไว้ตรงลานกว้างฝั่งตรงข้ามคณะ ให้ผมอุ้มยัยมิลค์เดินตามไปแต่โดยดีห้ามหือห้ามอืออะไรทั้งสิ้น

“เร็วๆ ดิวะ ทิชา.... ถ้ามึงเดินช้า กูจะอุ้มทั้งแม่ทั้งลูกไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย”

เสียงพี่โรมก็ไม่ได้เบาเลย ผมสังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งแอบมองผมกับพี่โรมอยู่ห่างๆ พร้อมทั้งป้องปากซุบซิบกันไปด้วย.... ผมบอกตัวเองว่าอย่าไปแคร์ ไม่ต้องไปสนใจ คนที่เขาเกลียดผม ไม่ว่าผมจะทำดีหรือทำเลว เขาก็ยังจะเกลียดผมอยู่วันยังค่ำ สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การใส่ใจในเวลานี้คือจุดหมายปลายทางที่พี่โรมจะพาผมไปกับแรงดิ้นมหาศาลของอสูรกายสีขาวที่ผมกำลังอุ้มอยู่นี่ต่างหาก


ซึ่งผมก็คงทำได้แหละ ถ้าหากหนึ่งในกลุ่มคนที่จ้องมองไล่หลังผมนั้นไม่ได้มีบีบี๋รวมอยู่ด้วย


TO BE CONTINUE



ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ใจนึงก็อยากก้าวลงเรือแดนทิชา แต่ก็ยังอยากเชียร์พี่โรมอยู่ดี ท่าทางบี๋คงไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
BEE-BEE’s PART



“อะไรกันน่ะ.... ทำไมพี่โรมถึงไปกับทิชา? เขาเป็นแฟนบีบี๋ไม่ใช่เหรอ?"

เจนนี่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยปนไม่พอใจเมื่อเห็นทิชาเดินตามเฮียโรมไปขึ้นรถ

เวลานั้นผมรู้สึกเหมือนโดนจิกหัวไถลไปกับพื้นคอนกรีตแล้วให้รถทั้งมหาลัยเหยียบซ้ำ จากที่เฮียโรมเคยบอกว่าผมน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เห่อผมจะเป็นจะตายต้องโทรหาไลน์คุยกันแทบทุกชั่วโมง กลับกลายเป็นว่าเขาทั้งโกรธทั้งเกลียดผมเข้ากระดูกดำ แล้วเอาสิ่งควรจะเป็นของผมไปทุ่มเทให้ทิชาแทน.... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเฮียโรมจะยอมตัดขาดจากเบอร์ลิค ออกจากสายของเฮียรุจถึงแม้ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นแหล่งผลประโยชน์และคอนเน็คชั่นชั้นยอดของพวกวิศวะฯ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขายอมตัดทิ้งหมดทุกอย่าง ทั้งๆ ที่แค่กระชากเกียร์ออกจากคอไอ้ชามาคืนให้ผมก็จบเรื่องแล้ว


‘เร็วๆ ดิวะ ทิชา.... ถ้ามึงเดินช้า กูจะอุ้มทั้งแม่ทั้งลูกไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย’


เมื่อต้นสัปดาห์ ผมยังต้องบอกทางเฮียโรมอยู่เลยว่าบ้านไอ้ชาเลี้ยวทางไหนไปยังไง แต่ตอนนี้ เขากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมันอย่างเต็มตัว เหมือนว่ารักกันมาตั้งแต่แรก เหมือนว่าผมไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

มันเป็นความผิดพลาดของผมเองที่คิดว่า ถ้าไอ้ชาได้เห็นผมกับเฮียโรมรักกันแล้วมันจะรู้สึกพ่ายแพ้และยอมหลีกทางไป.... ผมประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ทิชาจะเสียไปไม่ได้ คิดไปเองว่ามันจะต้องหุบปากเงียบและยอมให้ผมอยู่เหนือกว่าเช่นทุกครั้ง คิดไปเองว่าเฮียโรมชอบผมมากกว่าใครทั้งหมด คิดไปเองว่าผมรู้เท่าทันทุกๆ คนในทุกๆ เรื่อง แต่พอรู้ตัวอีกที สองคนนั้นก็ไปไกลเกินกว่าที่ผมจะร้องแรกแหกกระเชอวิ่งตามทันแล้ว

“ตามไปคุยให้รู้เรื่องเถอะ บีบี๋.... ทำแบบนี้มันเหมือนจงใจหักหน้ากันชัดๆ!”

“ไม่ต้องตามไปหรอก”  ผมส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่สายตายังมองตามรถออดี้สีน้ำเงินที่ตัวเองเคยนั่ง  “เฮียโรมไม่ใช่แฟนเราแล้ว......”

“เอ๊ะ เลิกกันแล้วเหรอ??”

“อืม”

เอาจริงๆ นะ ผมไม่เคยเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกมาก่อนเลย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าการโดนทิ้งมันจะไม่ได้แค่เจ็บหรือเสียใจธรรมดา แต่มันยังมีความรู้สึกอับอายเสียหน้าพ่วงมาด้วยเมื่อทุกคนเอาแต่รุมซักไซ้ว่าเพราะอะไรเฮียโรมถึงไม่รักผมแล้ว

“ทิชาอีกแล้วสินะ?” 

เจนนี่แค่นเสียงขึ้นจมูก ในขณะที่ฝ้ายและคนอื่นๆ พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าต้องใช่อย่างที่คิดแน่ 

“ก็รู้อยู่หรอกนะว่าเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะกล้าทำแม้กระทั่งกับเพื่อนตัวเอง”

“บีบี๋อุตส่าห์เลือกคบทิชาเป็นเพื่อนแท้ๆ ทำไมยังทำได้ลงคอ!?”

“ก็ไม่อยากจะว่าถึงพ่อถึงแม่ แต่คนเรามันเติบโตมาในสภาพแบบนั้น ก็คงเห็นแม่ตัวเองทำจนชินก็เลยคิดจะเอาอย่างบ้างล่ะมั้ง”

ผมควรจะรู้สึกดีที่อย่างน้อยพวกเพื่อนผู้หญิงในภาคเดียวกันก็เลือกที่จะเข้าข้างผมมากกว่า เรื่องนี้จะมาว่ากันไม่ได้ในเมื่อตัวไอ้ชาเองนั่นแหละที่มีชนักปักหลังกับประวัติเน่าๆ ติดตัวมาก่อน พอเกิดเหตุซ้ำรอยเดิมๆ ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะหันมีดใส่มันทันที.... ผมเหยียดมุมปากพยายามจะยิ้มแต่เสือกเจ็บฉิบหาย เจ็บทั้งแผลที่มีมาร์สกปิดอยู่แล้วก็เจ็บที่หัวใจ เจ็บเสียจนผมคิดว่างั้นก็อย่าไปยิ้มแม่งเลย ถึงยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว

“อย่าไปว่าทิชามันเลย....” 

เกลียดชะมัดที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แต่ ‘ความจริง’ มันก็เห็นกันอยู่ตำตาจนหาทางแถเข้าข้างตัวเองไม่ไหว ทิชาชิงเกียร์ของเฮียโรมไปก็ใช่ แต่ถ้าแฟนผมไม่ยอมให้เสียอย่าง ต่อให้มีสักร้อยทิชาก็คงแย่งเอาไปไม่ได้

“ของอย่างนี้ตบมือข้างเดียวมันดังเสียที่ไหน เฮียโรมเขาชอบทิชามากกว่าเรา เขาก็ต้องเลือกคนที่เขาเห็นว่าดีกว่าสิ”

“พี่โรมเขาจะรู้ตัวไหมเนี่ยว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แทนที่จะได้แฟนดีๆ ก็ดันไปคว้าเอาคนร่าน 2018 มาทำแฟนซะงั้น!”

“ก็คงศีลเสมอกันแหละถึงจะคบกันได้.... อย่าไปเสียดายเลย ถือว่าฟาดเคราะห์ทำทานให้เพื่อนใจหมาไปก็แล้วกันนะ บีบี๋”


เพื่อนใจหมางั้นเหรอ?

หมายถึงใครกันล่ะ.... ผมหรือทิชา?




ผมบอกพวกเจนนี่ว่ามีธุระที่ต้องไปทำต่อก่อนจะขอแยกตัวออกมา การปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนและสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับผมอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ผมเหนื่อยแล้วก็เพลียเกินกว่าจะยิ้มประจบและปั้นเสียงสองให้กับทุกคนที่เข้ามาพูดคุยด้วย.... ถือเป็นโชคดีที่ผมมีมาร์สกบังอยู่ครึ่งหน้า ก็เลยไม่มีใครสังเกตเห็นเวลาที่ผมเบะปาก แค่นยิ้ม กัดริมฝีปากซ้ำวนเวียนไปมาอย่างกับคนเป็นโรคจิต ผมไม่ชอบความรู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้เลยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

เสียงข้างในหัวร้องบอกว่าผมเครียดมากเกินไปแล้ว หากผมก็ยังหาทางลงให้กับปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นไม่ได้....

“น้องบีบี๋รอนานหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ครับ บี๋เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เอง”

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือพี่แจ็ค คู่แฝดในสายรหัสรุ่น 36 ของเฮียโรมซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ตัวคนเดียวแล้ว.... ผมเคยเจอเขาแล้วหนหนึ่งในตอนที่ไปถ่ายรูปเปิดตัวกับเฮียโรมที่ป้ายหน้าตึกวิศวะฯ ก็ไม่คิดนะการเจอกันครั้งที่สองจะเป็นเพราะพี่แจ็คต้องมาทำหน้าที่แทนแฝดรหัสซึ่งชิงตัดสายลาออกไปแล้ว

“ใส่หน้ากากทำไม เป็นหวัดเหรอ?”

“ไม่สบายนิดหน่อยครับ” 

ผมตอบพี่แจ็คเหมือนอย่างที่ตอบทุกคนในวันนี้ เขาดูกระอักกระอ่วนลำบากใจอยู่เหมือนกันแต่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมามันค้ำคอเกินกว่าจะแสดงความเห็นใจต่อคนป่วยทั้งกายและใจแบบผม

“เฮียรุจสั่งให้พี่มารับน้องบีบี๋ไปที่ร้าน คงรู้แล้วสินะ?” 

ร่างสูงโปร่งยื่นมือมาช่วยผมแบกเป้และกระบอกใส่ดรอว์อิ้ง 

“เฮียบอกว่าถ้าน้องบีบี๋อยากกินอะไรก็ให้ซื้อเข้าไปเลย เพราะกว่าเฮียรุจจะว่างไปส่งที่บ้านอีกทีก็คงดึกๆ โน่น.... เดี๋ยวเราแวะห้างใกล้ๆ นี้ก่อนก็แล้วกันนะ”

“ไม่ต้องแวะหรอก” 

ผมเอ่ยเสียงเรียบ พี่แจ็คหันมามองผมด้วยความสงสัย แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดอยากจะไดเอ็ท แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะเสนอหน้าไปเบอร์ลิคในสถานการณ์แบบนี้ด้วย 

“บี๋ต้องกลับบ้านเร็ว.... มีการบ้านอินทีเรียต้องทำ แล้วป๊ากับม้าก็โทรตามแล้วด้วย พี่แจ็คช่วยบอกเฮียรุจให้ทีสิว่าวันนี้บี๋ไม่ค่อยสะดวก”

ผมรู้ว่ามันฟังดูเหมือนข้ออ้าง แม้ว่าทั้งหมดที่พูดไปเมื่อกี้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม และมันไม่คงไม่ง่ายที่คนไม่สนิทกันอย่างพี่แจ็คจะยอมขัดคำสั่งรุ่นพี่เพื่อช่วยเด็กเมื่อวานซืนที่ทำให้แฝดรหัสของเขาทิ้งสายไปดื้อๆ

“มีงานอะไรก็เอาไปทำที่ร้านได้ ถ้าอยากกลับเร็วก็ลองคุยกับเฮียรุจดู.... ถ้าน้องบีบี๋มีเหตุผล เฮียเขาก็คงไม่ว่ามั้ง” 

พี่แจ็คพูดอย่างกับว่าเฮียรุจเป็นพี่ชายใจดีที่ผมจะเข้าไปออดอ้อนขอนั่นขอนี่ได้ง่ายๆ แต่ก็เอาเถอะ เพราะถ้าเขาออกหน้าช่วยผม เขาเองก็คงต้องเดือดร้อน 

“คุณพ่อน้องบีบี๋โกรธก็คงไม่น่ากลัวเท่าเวลาเฮียรุจโกรธหรอก.... เชื่อพี่แล้วไปด้วยกันดีๆ เหอะ อย่างน้อยก็ให้เฮียแกเห็นว่าน้องบีบี๋ไม่ได้คิดจะเบี้ยวหนี้ แล้วอย่างอื่นก็ค่อยว่ากันทีหลัง”

ในเมื่อพี่แจ็คพูดแบบนั้นแล้ว ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ....?



เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองของโกดังหลังร้าน ปรากฏว่าเฮียรุจมานั่งรออยู่แล้ว เขาแกล้งทำเป็นแปลกใจที่เห็นผมก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่กับกรอบหน้าต่างแล้วเดินเข้ามาโอบไหล่ แม้จะสวมมาร์สกปิดช่วงจมูกกับปากเอาไว้แต่ผมก็ยังได้กลิ่นบุหรี่ DUNHILL กล่องแดงผสมกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟอย่างชัดเจน.... ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงรู้สึกตื่นเต้นไปกับกลิ่นและรังสีความอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเฮียรุจ ทว่า ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากหนีไปอ้วกมากกว่า

“นึกว่าเราจะไม่ไปเรียนเสียอีก”

“อย่ามาพูดเลย.......” 

ผมไม่ได้อยากจะหาเรื่องใส่ตัวด้วยการกวนตีนเจ้าของเบอร์ลิคหรอกนะ แต่พอเห็นเขาเสแสร้งทำเสมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ ผมก็อดพาลหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ 

“ที่ส่งคนไปเฝ้าหน้าตึกสินกำตลอดทั้งบ่ายก็เพราะรู้ว่าวันนี้บี๋จะมาเรียนไม่ใช่หรือไง?”

“เฝ้าเฝิ้วอะไรกัน น้องบีบี๋ก็พูดเกินไป.... เขาเรียกว่าไหว้วานรุ่นน้องให้ช่วยเป็นหูเป็นตา คอยดูแลความเรียบร้อยให้ต่างหาก”

“หรือเรียกอีกอย่างว่าคุมนักโทษไม่ให้หนี ถูกไหมครับเฮีย?”

เฮียรุจหัวเราะเบาๆ เหมือนชอบใจที่ผมกล้าย้อนเขา  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“บี๋ไม่กล้าเบี้ยวหนี้เฮียรุจหรอก แต่ตอนนี้บี๋ยังไม่พร้อม.......”

“พร้อมหรือไม่พร้อม เฮียเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่หน้าที่ของน้องบีบี๋”

รอยยิ้มแฝงเลศนัยของ ‘เจ้าหนี้’ กระแทกสายตาผมเข้าเต็มๆ แม้น้ำเสียงของเฮียรุจจะไม่ได้กรรโชกหรือพยายามขู่ให้ผมกลัวจนขี้ขึ้นสมองเหมือนกุ้ง ทว่า ไอ้คำพูดเปิดทางคล้ายจะให้ผมได้เป็นฝ่ายเลือกเองนี่แหละคือความน่ากลัวที่แท้จริง ก็คล้ายๆ กับเกมรัสเซียนรูเล็ต ถ้าเลือกถูกก็รอด แต่ถ้าเลือกผิดก็ถึงที่ตายในครั้งเดียว.... ซึ่งผมก็เลือกที่จะเล่นกับไฟมาตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็กำลังจะโดนไฟคลอกตาย

ผมถอดมาร์สกออกแล้วโยนทิ้งลงกับพื้น ให้อีกฝ่ายเห็นสภาพแก้มช้ำยับเยินและรอยแผลแตกตรงมุมปาก ถ้าคำขอร้องของลูกหนี้อย่างผมมันไร้ความหมายนัก ก็เชิญทวงคืนสิ่งที่ผมทำฉิบหายเอาไว้ได้ตามใจชอบเลย

“งั้นเฮียจะเอายังไงก็มาว่าเลย.....”

“หืม? โดนใครตีมาน่ะ?”

เหตุผลที่ผมต้องใส่หน้ากากมาเรียนไม่ใช่เพราะเป็นหวัด แต่เพราะต้องปิดรอยแผลที่โดนป๊าฟาดด้วยฝ่ามือและกำปั้นเมื่อคืนนี้ ก็รู้ตัวอยู่แล้วล่ะว่าถ้ากลับไปบ้านต้องโดนแน่ ในเมื่อเฮียโรมอุตส่าห์ขุดหลุมระเบิดเตรียมเอาไว้ให้เสียขนาดนั้น

“จะใครก็ช่าง ไม่สำคัญสักหน่อย.... โอ๊ย!!”

ผมร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ดีๆ เฮียรุจก็ขยี้ริมฝีปากลงมาชนแผลเต็มๆ ความเจ็บแล่นริ้วไปถึงเส้นประสาทก่อนจะขยายตัวย้อนลงมาทั่วซีกแก้มจรดปลายคาง แผลซึ่งเริ่มแห้งไปบ้างแล้วถูกบดจนเลือดซึมกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้งอยู่ในลมหายใจ ผมนิ่วหน้าพยายามจะดีดตัวถอยหลังให้พ้นจากความเจ็บปวดแต่ติดตรงที่ท่อนแขนหนาคอยรั้งเอวของผมไว้ไม่ให้ขยับหนี ในขณะที่กลีบปากหนาบดเบียดมอบความทรมานแสบสันต่อเนื่องจนน้ำตาผมแทบเล็ด

“ก็คงไม่สำคัญหรอก ถ้าจูบโดนแล้วน้องบีบี๋ไม่แหกปากร้องขนาดนี้” 

ทำผมเจ็บจนสะใจแล้ว เฮียรุจก็ถอนจูบออกพลางกระตุกยิ้มเหี้ยมใส่ บ่งบอกให้รู้ว่านี่ก็แค่น้ำจิ้ม เทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่กำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า 

“ไอ้อ้น มึงอยู่ข้างนอกหรือเปล่าวะ.... เอากล่องยาเข้ามาให้กูหน่อย!”

“กล่องยาไรครับเฮีย?”  คนข้างนอกตะโกนถามกลับมา

“ก็กล่องที่เวลามึงไปมีเรื่องกับพวกแมงดาคุมเด็กไซด์ไลน์แล้วต้องใช้ไงวะ ไอ้โง่!”

ไม่ถึงนาที ลูกจ้างของเฮียรุจก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลหน้าตาสมบุกสมบันประหนึ่งว่าเพิ่งผ่านสงครามในซีเรียมา ท่อนแขนแข็งแรงฉุดผมไปที่เตียงแล้วบังคับให้นั่งลง.... ผมไม่ได้วอรี่ตรงที่มันเป็นเตียง เพราะบนเตียงเดียวกันนี่แหละที่ผมจ่ายหนี้งวดแรกให้เฮียรุจเหมือนวางเงินดาวน์เมื่อไม่กี่คืนก่อน เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะให้เขาเก็บดอกเบี้ย ไม่พร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ.... ไม่พร้อมเลยจริงๆ.........

“อยู่นิ่งๆ”  เสียงทุ้มห้าวออกคำสั่งเมื่อผมเบี่ยงตัวหนีไม่ยอมให้มือใหญ่ประคองใบหน้าให้อยู่ภายใต้การควบคุม

“บี๋ทำเองได้ เฮียไม่ต้องยุ่ง.....” 

ผมปฏิเสธพลางหลบนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมา ผมไม่ได้เขิน แต่ไม่อยากให้เฮียรุจอ่านสายตาออกว่าผมกำลังคิดอะไรต่างหาก

“แล้วน้องบี๋มองเห็นปากตัวเองหรือไง เฮียบอกให้อยู่นิ่งๆ ก็อยู่เถอะ”

ผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง ทั้งที่ใจต่อต้านสุดพลังหากแขนขากลับหยุดนิ่งเหมือนเป็นอัมพาต.... หลังจากล้างแผลด้วยน้ำเกลือแล้ว คอตตอนบัตชุบด้วยยาเหลืองก็ไล้ไปตามแผล เฮียรุจไม่ได้เบามือกับผมนักหรอก ดูเขาจะชอบใจเสียด้วยซ้ำทุกครั้งที่ผมสะดุ้งทำหน้าเหยเก แน่ล่ะ ก็นอนด้วยกันมาแล้วหนหนึ่ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะมีความสุขได้ด้วยเรื่องแบบไหน

“มีอะไรอยากเล่าให้เฮียฟังไหม?” 

เฮียรุจถามผมหลังทำแผลเสร็จ

“เมื่อวานนี้เฮียฟังความข้างไอ้โรมไปแล้ว ทีนี้ก็เลยอยากลองฟังความข้างน้องบี๋ดูบ้าง?”

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” 

ผมตอบอย่างไม่แคร์ ราวกับว่าการเข้ามาและจากไปของเฮียโรมก็เหมือนฝุ่นเข้าตาซึ่งถูกน้ำล้างออกไปแล้ว 

“เฮียโรมเขาเอาเกียร์คืนจากทิชาไม่ได้เพราะเขาชอบมัน เขาไม่ได้ชอบบี๋แล้วก็เท่านั้น.... อ้อ ไม่สิ ต้องพูดว่าเฮียโรมไม่เคยชอบบี๋จริงๆ จังๆ มาตั้งแต่แรกถึงจะถูก...........”

“ฟังดูไม่ค่อยเฮิร์ทเท่าไรเลยนะ”

“ก็ไม่เฮิร์ท.... แค่ไม่คิดว่าเฮียโรมจะฉลาดน้อย”

เจ้าของเบอร์ลิคหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นจุดสูบ ควันสีเทาลอยฟุ้งในอากาศทำให้ผมรู้สึกแสบจมูกนิดหน่อย แต่ผมก็แสร้งทำเป็นว่าไม่สะทกสะท้าน ก็แบบเดียวกับที่แสร้งทำเป็นว่าตัวเองยังคงเป็นผู้ชนะอยู่และฝ่ายที่ทำพลาดก็คือเฮียโรมกับทิชา.... ผมคือบีบี๋ นโยบายของผมก็คือรอยยิ้มกับความน่ารัก ไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะมานั่งบีบน้ำตากอดแข้งกอดขาเฮียโรมขอให้เขากลับมาเหมือนอย่างที่ไอ้ชามันทำ

ปลายนิ้วยาวเกี่ยวสายสร้อยที่ผมสวมอยู่ หน่วยตาคมสะท้อนภาพเกียร์รุ่น 32 สลับกับใบหน้าเฉยเมยของผม.... เวรเถอะ ผมอุตส่าห์พยายามแทบตายที่จะทำเป็นว่าไม่ได้ผิดหวังสักเท่าไร ทว่า เฮียรุจก็ยังดูออกว่าอันที่จริงแล้วผมโคตรเจ็บ โคตรโมโห แล้วก็โคตรอยากแช่งชักหักกระดูกทุกคนที่ยัดเยียดเขียนคำว่า ‘ไอ้ขี้แพ้’ เอาไว้กลางหน้าผากผม

ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีตัวผมเองรวมอยู่ด้วย....

“จริงๆ แล้ว เฮียก็ไม่ได้อยากใจร้ายซ้ำเติมน้องบีบี๋นะ.... แต่ถึงจะเอาเกียร์ไปใช้แล้วยังคว้าน้ำเหลว หนี้ก็ยังคงเป็นหนี้อยู่ ดอกเบี้ยก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน เข้าใจใช่ไหมครับ?” 

คนเป็นเจ้าหนี้พูดจาเสียงนุ่มอย่างกับเห็นผมเป็นเด็กสามขวบที่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจเรื่องหนี้สิน.... ถูกแล้ว ผมยืมของๆ เฮียรุจมาใช้โดยตกลงว่าจะขอจ่ายด้วยร่างกาย เขาเองก็บอกแล้วว่าราคามันแพงมากจนไม่มีทางจ่ายจบในครั้งเดียวแต่ผมก็ยังรั้นจะเอาให้ได้เพราะคิดว่ายังไงก็คุ้ม ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเฮียโรมจะกล้าตัดขาดจากเบอร์ลิคและตัวผมจะต้องมาลงเอยอยู่กับหนี้หัวแตกซึ่งไม่รู้ว่าชาติไหนจะจ่ายหมด 

“แล้วหนี้ของน้องบีบี๋ก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้นด้วย เพราะไอ้โรมมันจะไม่กลับมาที่ร้านอีกแล้ว.... รู้ใช่ไหมว่าบ้านไอ้โรมมันค่อนข้างกว้างขวางแถวๆ สุราษฎร์ ชุมพร อะไรพวกนี้ ที่พ่อแม่มันเปิดรีสอร์ทได้ในแทบจะทุกเกาะก็เพราะมีคนใหญ่คนโตกับนักการเมืองท้องถิ่นคอยหนุนหลัง นี่เท่ากับว่าเฮียต้องเสียรุ่นน้องมือดีไปเพราะน้องบีบี๋คนเดียวเลยเนี่ย”

“แต่เฮียรุจเป็นคนบอกให้บี๋กดดันเขาเรื่องฝึกงานเองนะ.........”

“ใช่ เฮียเป็นคนบอก” 

ร่างสูงพยักหน้ารับ ทว่า รอยยิ้มที่ปรากฏบนเค้าหน้าคมเข้มกลับไม่ให้ช่วยให้ผมหายใจได้ทั่วท้องสักเท่าไร 

“แต่สุดท้ายคนที่ทำพังก็คือน้องบีบี๋ และเมื่อทำของเสียหายก็ต้องชดใช้คืนเป็นเรื่องธรรมดาถูกไหมครับ?”

“โอเค.... ที่นี่คือเบอร์ลิคนี่นะ ยังไงก็ต้องใช้กฎของเฮียรุจอยู่แล้ว” 

ป่วยการจะเถียงให้เหนื่อย ในเมื่อเข้าถ้ำเสือมาแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอด หรือไม่ก็โดนขย้ำตายคากรงเล็บตั้งแต่ยังไม่ทันได้หาทางหนี 

“จะเอาเปรียบกันยังไงก็ว่ามาเลย!”

“ฟังพูดเข้าสิ.... ใครจะไปกล้าเอาเปรียบน้องบีบี๋กันล่ะ?”

ผมแค่นเสียงในลำคอใส่คนซึ่งเคลมว่าตัวเองไม่กล้าเอาเปรียบ.... คุณคิดเหรอว่าคนที่เปิดร้านเหล้าบังหน้าแต่เบื้องหลังทำธุรกิจแทบทุกอย่างที่เป็นสีเทาถึงดำ ปกครองรุ่นน้องด้วยกฎเกณฑ์และศาลเตี้ยที่อุปโลกน์ตั้งขึ้นมา นิยามให้สวยหรูว่าเบอร์ลิคคือสวรรค์ของพวกวิศวะฯ โดยรุ่นพี่คณะวิศวะฯ เพื่อรุ่นน้องคณะวิศวะฯ จะมีความแฟร์กับคนนอกอย่างผมเหมือนๆ กับที่เขาแฟร์กับพวกน้องๆ ของตัวเอง?

คำตอบก็คือไม่มีทาง....

“จากหนี้เดิมหนึ่งล้าน จ่ายดาวน์มาแล้วแสนนึงด้วยการให้เฮียเปิดซิง เหลือเก้าแสน เพิ่มหนี้ที่ทำให้ไอ้โรมตัดสายออกจากเบอร์ลิคไปอีกหนึ่งล้าน เท่ากับว่าหนี้ของน้องบีบี๋ตอนนี้มีอยู่หนึ่งล้านเก้าแสนบาทถ้วน” 

ผมฟังอีกฝ่ายพูดถึงตัวเลขด้วยหัวสมองว่างเปล่า เงินเยอะขนาดนี้ต่อให้แอบเอาทองในตู้เซฟที่บ้านไปขายก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้หมดหรือเปล่าเลย 

“ถ้าหาเงินสดมาจ่ายไม่ได้ก็ให้จ่ายด้วยร่างกายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ถ้าไม่ได้ไปนอนกับใคร เฮียจะให้ครั้งละสองหมื่น แต่ถ้าน้องบี๋ไปผ่านมือคนอื่นมาหรือเกิดหาผัวใหม่ได้กลางทาง ราคาก็จะตกลงไปอีก.... และทุกครั้งที่เฮียเรียกให้มานอนด้วย ถ้าน้องบี๋ปฏิเสธไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามจะต้องเสียดอกเบี้ยเป็นค่าปรับอีกครั้งละหนึ่งแสน”

เฮียรุจแจกแจงเงื่อนไขให้ฟังอีกครั้งหลังจากที่ผมทำให้ยอดหนี้เพิ่มมาอีกเป็นเท่าตัว ดูเขาจะมีความสุขมากทีเดียวที่ได้เห็นผมจนตรอกสิ้นฤทธิ์ ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ถ้าได้ครั้งละสองหมื่นก็แค่เก้าสิบห้าครั้งเอง แปบเดียวก็หมดหนี้แล้ว”

“แล้วถ้าบี๋ตายก่อนล่ะ?”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ.... แต่ถึงน้องบี๋ตาย เฮียก็ยังมีทางเก็บหนี้ต่อจนกว่าจะครบจำนวนเงินอยู่ดี” 

เฮียรุจว่าก่อนจะชูโทรศัพท์มือถือซึ่งเขาใช้ถ่ายวิดิโอตอนผมเสียตัวครั้งแรกให้ดู รู้ทันทีว่าถ้าหากผมคิดจะเบี้ยวหนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม คลิปจัญไรนั่นจะต้องปลิวว่อนไปทั่วอย่างแน่นอน ต่อให้ผมตาย เฮียรุจก็คงใช้มันไปเรียกเอาเงินจากป๊ากับม้าจนได้

“ไม่ต้องห่วงนะ ระหว่างนี้รุ่นน้องเฮียจะคอยดูแลน้องบีบี๋เป็นอย่างดี มีรถรับส่งไปกลับบ้าน-มหาลัยแล้วก็มาที่นี่ อยากได้อะไรก็บอก อยากกินอะไรก็ได้กินทุกอย่าง.... แต่เอาเท่าที่ร้านเดลิเวอรี่จะมาส่งให้ได้นะ”

และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ยังใช้หนี้หนึ่งล้านเก้าแสนไม่หมด ผมก็คือสัตว์เลี้ยงของเฮียรุจ....

ผ้าขนหนูเยินๆ ถูกโยนมาให้พร้อมกับคำสั่งที่ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามอย่างว่าง่าย

“ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วออกมานี่ เดี๋ยวพี่ๆ ที่โรงพักจะแวะมาคุยกับเฮียเรื่องค่าเปิดโต๊ะบอลเพิ่ม.... เสร็จเร็วก็ได้กลับบ้านเร็ว แต่ถ้าน้องบี๋ทำเฮียลงไปคุยงานสายจะให้นอนเฝ้าร้านอยู่บนนี้ทั้งคืนเลย”

ผมจัดการตัวเองที่ใต้ฝักบัวในห้องน้ำเล็กๆ ด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที เมื่อกลับออกมาอีกครั้งเฮียรุจก็ถอดเสื้อรออยู่แล้ว รอยสักรูปปีกนกอินทรีกางเต็มแผ่นหลังให้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ว่าเขาคือผู้นำของเบอร์ลิคและเป็นผู้ล่าโดยสัญชาตญาณ.... และยามเมื่อผมนอนอยู่ใต้ล่างระหว่างที่เขาจิกทึ้งเนื้อหนัง ผมก็ไม่ต่างอะไรกับนกหนูตัวเล็กๆ ซึ่งมักตกเป็นเหยื่อและลงท้ายด้วยความตายอย่างโดดเดี่ยว

ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดแล่นไปยังทุกส่วนของร่างกาย ความโกรธเกรี้ยวแค้นเคืองในใจผมก็ยิ่งเดือดพล่านตามไปด้วย.... ผมนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาแล้วเฝ้าตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าทิชายอมรับว่าตัวเองแพ้แต่แรกแล้วไม่เข้ามาแย่งเฮียโรม ถ้ามันถ้ามันจะยอมอยู่เงียบๆ แล้วให้ผมได้เป็นฝ่ายมีความสุขบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้

แต่แล้วความคิดของผมก็หยุดชะงักลงเมื่อเฮียรุจตอกย้ำกลับมา

“อย่างน้อยจนกว่าจะหมดหนี้ น้องบีบี๋ก็ยังได้อยู่ในฐานะสะใภ้วิศวะฯ สมใจอยาก แถมยังเป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคด้วย.... จำเอาไว้ ทีหลังก็อย่าไปอิจฉาใครเขาพร่ำเพรื่อนักล่ะ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทตัวเอง.........!”


......ไม่ใช่เพราะทิชาหรอก คนที่ทำให้ผมเจ็บก็คือตัวผมเองต่างหาก......

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



รถ Audi A5 Coupe’ เลี้ยวเข้ามายังลานจอดของวิลล่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งติดกับชายหาดบางแสนแค่ถนนกั้น ผมก้าวลงมาจากรถแล้วสูดอากาศไอทะเลจนเต็มปอดอยู่ด้านนอกอาคารระหว่างที่พี่โรมเข้าไปติดต่อทำเรื่องเช็คอินเข้าห้องพัก.... ยังงงไม่หายว่าอยู่ดีๆ ตัวเองมาโผล่อยู่แถวนี้ได้ยังไง เพราะเท่าที่จำได้ พี่โรมบอกว่ามีธุระสำคัญที่ต้องทำและอยากให้ผมมาด้วยกัน แต่พอขึ้นรถ ผมก็มัววุ่นวายอยู่กับการจับยัยมิลค์ใส่ตะกร้าแล้วปลอบให้มันเงียบจนเหนื่อย ผมว่าผมเผลอหลับไปแค่แปบเดียว หากพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็มองเห็นถนนเลียบชายทะเลอยู่ลิบๆ แล้ว

“บ้านเราอยู่ข้างหน้าฝั่งโน้นเลย.... ไปกันเถอะ”

ไม่ถึงสิบนาที พี่โรมก็กลับมาพร้อมกุญแจบังกะโลที่จองเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เขาพาผมตรงไปยังบ้านพักสไตล์รีสอร์ทสีขาวหลังใหญ่ที่สุดแต่ก็ตั้งอยู่ในโซนที่ไกลที่สุดเช่นกัน.... เห็นได้ชัดว่าพี่โรมแอบจัดการเรื่องนี้ในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ แถมยังอุตส่าห์หยิบเสื้อผ้าของผม รวมถึงของใช้ของมิลค์มาให้เสร็จสรรพ จนถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าคุณผู้ชายของผมกำลังอารมณ์ไหน ถึงได้หอบลูกหอบเมียออกจากกรุงเทพฯ มาบางแสนแบบไม่มีแพลนล่วงหน้าเลยสักนิด

ถึงจะกังวลเรื่องงานที่อาจารย์สั่ง แต่ผมก็ยังอยากชื่นชมดื่มด่ำบรรยากาศบังกะโลซึ่งเราจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนคืนนี้.... ก็บ้านพักสไตล์รีสอร์ทหนึ่งห้องนอนทั่วไปนั่นแหละ เปิดประตูเข้ามาก็เป็นห้องนั่งเล่นตกแต่งอย่างดี มีครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหาร มีห้องน้ำและระเบียงสำหรับรับลมชมวิวทะเลทางด้านหน้าหาด ถึงจะอยู่ค่อนข้างไกลจากรีเซฟชั่นและห้องอาหารแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวมาทดแทน และบ้านหลังนี้ยังเป็นหลังเดียวของวิลล่าที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วย

เห็นพี่โรมบอกว่าปกติแล้วจะมีร้านขายอาหารทะเลสดๆ อยู่ตรงแหลมแท่นในตอนเช้า แต่เพราะวันนี้เรามาถึงช่วงเกือบหัวค่ำแล้ว เขาก็เลยพาผมออกไปซื้อกุ้งหอยปูปลาจากเพิงเล็กๆ แถวอ่างศิลาแทน.... วิลล่าที่เข้าพักมีเตาบาร์บิคิวพร้อมอุปกรณ์ปิ้งย่างให้ ดูท่าทางไม่น่าจะใช้ยาก เราเลยตกลงกันว่าจะซื้อแค่กุ้งกับปูกลับไปทำเอง ส่วนพวกข้าวผัดกับของกินอย่างอื่นก็สั่งจากร้านแถวนั้นเอา


“นี่ไง เวลาจุดไฟก็เอาเศษไม้มาสุมให้เป็นกระโจมตรงกลางเตาก่อน พอไฟติดแล้วค่อยเอาถ่านก้อนเล็กๆ ลงไปสุมเพิ่ม พอไฟติดจนทั่วก็เทถ่านก้อนใหญ่ที่เหลือลงไปได้เลย ง่ายจะตายไป”

พี่โรมสาธิตวิธีจุดเตาให้ดูเพราะผมบอกว่าทำไม่เป็น ถึงแม้ว่าที่ทางวิลล่าเตรียมเอาไว้ให้จะเป็นเตาบาร์บิคิวแบบฝรั่งซึ่งเปิดช่องลมด้านล่างได้ แต่ก็ยังต้องอาศัยการเผาถ่านไม้อยู่ดี ร่างสูงทำไปอธิบายไปใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจก็จุดไฟจนเสร็จเรียบร้อย ทำเอาผมอึ้งอ้าปากค้างเพราะแค่ตัวเองจะใช้ไฟแช็คแบบหมุนๆ ให้ไม่ร้อนนิ้วยังยากเลย

“ทำไมพี่โรมเก่งจัง?”

“เก่งตรงไหนวะ.... มึงไม่เคยเข้าค่ายลูกเสือหรือไง?”

“ไม่เคยอะ ชาเรียนอินเตอร์.... เคยแต่ไปแคมป์ขี่ม้าที่เมืองกาญ ไม่งั้นก็ไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์หรือไม่ก็ออสเตรเลียโน่นเลย”

“อ้อ ลืมไปว่าคนที่กูพามาด้วยคือคุณหนูทิชา”

เขาแกล้งแหย่ผมก่อนจะหยิบพวกของสดที่ซื้อมาไปทยอยปิ้งอย่างรู้งาน ปล่อยให้ผมจัดการแกะพวกอาหารปรุงสุกจากร้านใส่จานไปตามเรื่องตามราว.... ผมไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้มาก่อน เวลาไปทริปกับโรงเรียนส่วนมากก็พักในโรงแรมสี่ดาวอัพตลอดเลยไม่ค่อยได้สมบุกสมบันมากนัก ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นเวลาพี่โรมทำอะไรที่ดูเหมือนว่าผมจะสามารถฝากชีวิตเอาไว้กับเขาได้

ผมกับพี่โรมจากคนละขั้วกันโดยสิ้นเชิง เราถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมคนละแบบ ผมคิดอย่างหนึ่งในขณะที่พี่โรมคิดอีกอย่าง เรื่องที่เขาถนัดมักจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่เรื่องที่ผมทำได้ดีก็เป็นเรื่องที่พี่โรมทำไม่ได้เลย.... ผมชอบที่เขาดูพึ่งพาได้แล้วก็มีมุมแปลกๆ ซึ่งผมคาดไม่ถึงแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เห็น อย่างเรื่องซื้อสายจูงมาให้มิลค์ พอเอาเข้าจริงมันก็ใช้ได้แฮะ ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องขังลูกเอาไว้ในบ้านพักระหว่างที่เราสองคนกินข้าวอยู่ข้างนอก

“กินเยอะๆ นะลูกสาว กินแล้วก็รักพ่อจ๋าให้มากๆ ด้วยล่ะ”

พี่โรมแกะเปลือกกุ้ง ยีเนื้อจนละเอียดแล้วเอาไปให้ยัยมิลค์ซึ่งโดนผูกสายจูงเอาไว้กับเสาข้างบันไดทางขึ้นบ้านใกล้ๆ กับตรงที่เรานั่ง ให้มันวิ่งเล่นตะปบนู่นนี่ตามประสาแมวแต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตาที่ผมมองเห็นและคอยดูแลได้

“พอได้แล้ว พี่โรม.... อย่าตามใจมิลค์มันมากนักสิ” 

ผมรีบห้ามเมื่อคุณผู้ชายทำท่าจะเอากุ้งอีกจานไปเติมให้แมวหลังจากที่มันเพิ่งกินเซ็ตแรกหมดไป ปกติแล้วผมไม่กล้าเลี้ยงมิลค์ด้วยอาหารคนเลย ในคู่มือเลี้ยงแมวที่อ่านจากอินเตอร์เน็ตเคยบอกเอาไว้ว่ามันจะทำให้แมวติดนิสัยขโมยอาหารบนโต๊ะ อีกอย่างคือกลัวว่าพอลำไส้มันย่อยลำบากแล้วจะไม่สบายด้วย

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มิลค์ชอบก็ให้มันกินเยอะๆ เหอะ.... กินแล้วเดี๋ยวมันก็วิ่งเบิร์นจับคางคก ไม่อ้วนหรอก”

“ชาไม่ได้กลัวแมวอ้วน แต่ให้มันกินอาหารคนมากๆ มันจะนิสัยเสีย อีกหน่อยมีหวังได้ปีนขึ้นโต๊ะกินข้าวเราแน่ๆ”

“ปีนก็ปีนสิ กูอนุญาตซะอย่าง”

“พูดขนาดนี้แล้วยังจะสปอยล์แมวอีก........”

“กูก็สปอยล์ทั้งแม่แมวลูกแมวนั่นแหละ.... ขยับมานั่งนี่เลย กูแกะปูเอาไว้ให้แล้ว เลิกบ่นแล้วก็กินซะ” 

กลายเป็นว่าผมโดนพี่โรมดุซะงั้น ก่อนที่ก้ามปูกับเนื้อกรรเชียงย่างสุกแกะเปลือกทิ้งเรียบร้อยจะถูกยื่นส่งมาให้

 “กินเข้าไปเยอะๆ เวลากอดจะได้มีเนื้อมีหนังนุ่มๆ หน่อย ผอมจะแย่อยู่แล้ว”

“ผอมตรงไหน.... เขาเรียกว่าหุ่นลีนต่างหาก”

“ลีนบ้าบออะไรล่ะ อย่างมึงน่ะเขาเรียกเด็กขาดสารอาหาร”

หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่ได้เถียงอะไรอีกเพราะพี่โรมไม่เปิดโอกาสให้พูด แค่อ้าปากก็โดนสารพัดของกินยัดทะนานใส่จนเคี้ยวกลืนไม่ทัน ซ้ำยังโดนบ่นอีกว่ามัวแต่เคี้ยวเอื้องกินช้าแถมกินน้อยอีก.... เอาเป็นว่าไม่ต้องถามหาความคุ้ม พี่โรมจะไม่พาผมไปกินร้านไหนก็ตามที่เป็นบุฟเฟ่ต์อย่างแน่นอน

พอกินมื้อเย็นและเก็บกวาดดับเตาย่างเสร็จ ผมก็ปลดสายจูงแล้วอุ้มยัยมิลค์ที่ทั้งกินและเล่นจนเหนื่อยไปไว้ในห้องนอน คิดในใจว่าพอกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องรีบพามันไปร้านอาบน้ำให้ไวที่สุด เพราะในตอนนี้สี่เท้าของลูกสาวตัวดีกลายเป็นสีเทาดำสกปรกไปหมด.... แต่ถึงจะหน้ามุ่ยงอแงเรื่องพี่โรมทำแมวผมตัวเหม็น ผมก็แฮปปี้มากนะที่เขาเอ็นดูมิลค์ แถมยังเรียกตัวเองว่าพ่ออีก มันเหมือนกับว่าในที่สุดผมก็เจอโอเอซิสของตัวเองเสียทีหลังจากที่ระหกระเหินอยู่ในทะเลทรายมานาน และผมก็อยากหยุดช่วงเวลาที่มีแต่เรื่องดีๆ เอาไว้แบบนี้ตลอดไป

“ทิชา.... ลูกหลับแล้วเหรอ?”

“อืม มันกินอิ่มพุงกางขนาดนั้น วิ่งเล่นไม่ไหวแล้วล่ะ”

“งั้นก็ปล่อยมิลค์นอนในห้องนี่แหละ ส่วนมึงออกมาข้างนอกนี่มา”



หาดบางแสนอยู่ห่างจากที่พักเราแค่ข้ามถนน เวลาตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วจึงไม่มีพวกเก้าอี้ผ้าใบ ร่มหลากสีสันและรถเข็นขายของแน่นขนัดจนรกหูรกตาเหมือนอย่างช่วงเย็นที่ผ่านมา มีแค่แสงไฟจากโคมริมถนนส่องพอให้เห็นทางเดินและภาพทะเลยามค่ำคืน นอกจากพวกผมแล้วยังมีลูกค้าจากวิลล่าอีกสอง-สามคนเดินเล่นอยู่ไม่ไกล ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัวของกันและกัน.... พี่โรมจูงมือผมแล้วพาเดินไปยังหาดทราย น้ำกำลังขึ้นได้ที่พอดีและลมทะเลก็ค่อนข้างแรงพอสมควร ผมรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่พี่โรมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตติดมือมาด้วย เขาก็เลยใช้เสื้อตัวนั้นคลุมไหล่ให้ผม

“ที่บอกว่าอยากให้มาด้วยกันคือมาเที่ยวทะเลเนี่ยเหรอ?”

พี่โรมพยักหน้า ระหว่างที่คลื่นเล็กๆ ลูกหนึ่งม้วนตัวมาโดนข้อเท้าของเรา แล้วจึงกลับคืนสู่ผืนน้ำตามวัฏจักรของมัน

“แล้วนึกยังไงอยู่ดีๆ ถึงพาชากับมิลค์มาล่ะ?”

“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากมา........”

“ไม่ยักรู้ว่าคนเรียนวิศวะฯ ก็มีอารมณ์ติสท์กับเขาเหมือนกัน”

ผมแกล้งหยอกเขาบ้างก่อนจะหันไปมองใบหน้าหล่อจัดของคนที่ผมหลงรักจนหมดหัวใจ ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ มองเผินๆ อาจดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่า ภายในแววตาสีเข้มกลับปิดบังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ไม่มิด.... แน่นอนว่าผมไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะนั่นมันขึ้นอยู่กับว่าผมจะสำคัญมากพอที่พี่โรมจะยอมแชร์ความรู้สึกให้ฟังด้วยหรือเปล่า

“เวลาคิดถึงบ้านที่สุราษฎร์แต่ยังกลับไปไม่ได้ กูก็ชอบมาบางแสนนี่แหละ เอาแค่มีบรรยากาศทะเลคล้ายๆ กันก็พอใจแล้ว”

“งั้นตอนนี้พี่ก็กำลังคิดถึงบ้าน?”

“ไม่เชิงว่ะ.......” 

แรงกระชับจากฝ่ามือใหญ่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทว่า มันกลับทำให้ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายของผมสั่นสะเทือนรุนแรง 

“กูแค่อยากพักผ่อนสมอง ช่วงนี้แม่งรู้สึกล้าๆ เพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้ สงสัยจะเหนื่อยเกินไป”

ถึงแม้พี่โรมจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นก็คือผมเอง.... นับตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันในงานแต่งพี่เกด คำสารภาพรักที่น่าอึดอัดซึ่งมาพร้อมกับความผิดหวังที่ผมไม่อาจทำใจยอมรับ ท้ายที่สุดมันก็เถิดกลายเป็นการชิงเกียร์ ผมทำให้พี่โรมถูกคนอื่นตราหน้าว่านอกใจแฟน ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่แอบมีใจให้ผม ทว่า การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงด่าเสียงนินทาจากผู้คนรอบข้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยนักหรอก

ผมเบียดตัวเข้าไปกอดพี่โรม ประสานมือตัวเองไว้ด้านหลังบั้นเอวของร่างสูงพลางซบหน้าลงบนผืนอกกว้าง....

“ชาขอโทษนะที่ทำให้พี่โรมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป..........” 

สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นตราบาปอยู่ในใจทั้งผมและเขา ไม่ว่าในอนาคตเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเช่นเวลานี้หรือไม่ แต่ถึงยังไงความผิดที่ผมก่อเอาไว้ก็จะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้ 

“ชารู้ว่าตัวเองก็ทำไม่ถูก ทั้งเรื่องเข้าไปชิงเกียร์พี่โรมที่เบอร์ลิค ทั้งเรื่องที่พูดขู่ว่าจะไม่ยอมคืนเกียร์เพื่อบังคับให้พี่โรมเลิกกับไอ้บี๋.... ถึงจะอ้างว่าทำไปเพราะรัก แต่มันก็คือความเห็นแก่ตัวของชานั่นแหละ แล้วชาก็เสียใจที่ทำให้พี่โรมต้องถูกคนอื่นๆ มองไม่ดีไปด้วย.........”

“กูไม่ได้พูดเพื่อเอาใจมึงนะ ทิชา แต่กูไม่สนหรอกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้จักกู และกูก็ไม่เคยรู้จักเขาจะคิดยังไง” 

พี่โรมกอดผมตอบ แผ่นอกหนากระเพื่อมไหวยามเมื่อชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนแบบเดิมๆ ที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนแล้วหนเล่า 

“คนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.... กูขอยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยนะว่าจริงๆ แล้วกูดีใจฉิบหายเลยที่มึงคิดว่ากูคือคนที่มีค่าน่าแย่งขนาดนั้น”

ร่างหนาพูดติดตลกก็จริง ทว่า น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของเขากลับแฝงความจริงจังยิ่งกว่าตอนกำลังพูดถึงโปรเจกต์ที่ต้องทำส่งเทอมนี้เสียอีก

“มึงคือความเหนื่อยที่กูเต็มใจรับเอาไว้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”

ทำยังไงดี.... ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรักพี่โรมมากขึ้นจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด จะเปรียบเทียบว่ามันมากกว่ำนวนเม็ดทรายทั้งหาด มากกว่าน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรก็ไม่รู้ว่าจะฟังดูเวอร์ไปไหม แต่ที่แน่ๆ ก็คือความรักมันล้นท่วมหัวใจผมจะไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ตรงไหนแล้ว

“แล้วมึงล่ะ ทิชา.... ที่มหาลัยยังโอเคอยู่ใช่ไหม?”

“ไม่ถึงกับไม่โอเคหรอก แต่ก็ชินแล้ว.........” 

ผมนึกถึงคำพูดของเจนนี่ และเพื่อนกลุ่มใหม่ของบีบี๋ นึกถึงข้อความไลน์ที่ตัวเองส่งไปหาอดีตเพื่อนแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมตอบกลับมา.... ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ใครๆ ก็คงรู้ว่าโกหก แต่ผมก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเท่านั้น ก็อย่างที่บอกว่าผมเองก็ขว้างก้อนหินใส่บีบี๋มันเหมือนกัน แล้วจะกล้าหวังให้มันยิ้มรับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง 

“ถึงไอ้บี๋มันจะสารภาพว่าจงใจจะคบกับพี่โรมเพราะรู้ว่าชาชอบพี่ แต่ถ้ามองจากมุมของมัน ชาก็คือคนหน้าด้านที่แย่งแฟนเพื่อนมาเป็นของตัวเอง.... ถ้าไอ้บี๋มันหายโกรธแล้วยอมกลับมาเป็นเพื่อนชาเหมือนเดิมก็ดี แต่ถ้ามันไม่หาย หรือความโกรธของมันกลายเป็นความเกลียด ชาก็คงได้แต่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั่นล่ะ”

“กูขอโทษนะ ทิชา........” 

อยู่ๆ คำขอโทษซึ่งผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินก็หลุดจากปากร่างสูงซึ่งกอดผมเอาไว้แน่น เสียงหัวใจของพี่โรมเต้นแรงจนผมได้ยินเสียงตึกตักเป็นจังหวะก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อนเอ่ยความในใจออกมาบ้าง 

“อันที่จริง กูน่าจะบอกเลิกบีบี๋ตั้งแต่จบคืนแรกที่เรามีอะไรกันแล้ว ไม่ควรรอจนกระทั่งมึงสองคนต้องมาทะเลาะผิดใจกันเลย.... ตอนนั้นกูแม่งเป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ มัวแต่คิดว่าเพราะตัวเองขอคบกับบีบี๋ไปแล้วก็ไม่ควรเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน กูรู้ตัวว่าใจกูเอียงไปหามึงแต่ก็เสือกปอดแหกเกินกว่าจะยอมรับว่าหลงรักคนที่ตัวเองขีดเส้นเอาไว้ให้แค่น้องชาย แถมกูยังเคยพูดปฏิเสธเองกับปากว่าไม่ได้รักมึง............”

“ตอนแรก กูยังแอบคิดด้วยนะว่าที่มึงจงใจเข้ามาชิงเกียร์ก็เพราะอยากแก้แค้นที่กูไม่รับรักมึง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพราะมึงแค่ต้องการให้กูกับบีบี๋เลิกกันเพื่อความสะใจ แต่หลังจากที่เห็นมึงร้องไห้เรื่องที่บ้าน ความคิดของกูก็กลับตาลปัตรชนิดร้อยแปดสิบองศาเลย............”

หัวใจผมเต้นแรงไม่แพ้ของพี่โรม เผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บไปหมดเมื่อความรู้สึกนึกคิดของชายหนุ่มถาโถมเข้ามา.... ผมไม่กล้าหวังว่าพี่โรมจะบอกรัก ผมไม่กล้าคิดว่าคนที่ถูกทอดทิ้งและเหยียบย่ำมาตลอดชีวิตอย่างผมจะกลายเป็นคนสำคัญสำหรับใครได้ ขอแค่เขารู้ว่าผมรักเขามากเหลือเกินก็พอแล้ว


“มึงก็แค่ต้องการความรักจากกู และกูเองก็เริ่มหลงรักมึงเข้าแล้ว.........”



“พี่โรม.......?” 

ให้ตายเถอะ ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย นี่ถึงขั้นต้องกัดปากตัวเองแรงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังละเมอฝันอยู่ด้วยซ้ำ 

“พี่พูดจริงเหรอ?? พี่ไม่ได้แกล้งโกหกให้ชาดีใจเล่นใช่ไหม??”

“มาหาว่าโกหกซะงั้น นี่มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย?” 

พี่โรมคลายอ้อมกอดออกเพื่อที่จะได้สบสายตามองหน้าผมให้ชัดๆ แม้ความมืดรอบด้านจะโรยตัวจนแสงโคมไฟริมถนนซึ่งส่องอยู่ลิบๆ นั้นเกือบฉายมาไม่ถึงพวกเรา หากผมก็เห็นความจริงใจผ่านดวงตาของพี่โรมชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

“ความผิดที่มึงพูดถึงเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ของมึงแค่คนเดียวแล้วนะ ในฐานะที่กูเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีบทลงโทษอะไรก็ขอให้กูเป็นคนรับมันเอาไว้ก็แล้วกัน.........”

“ไม่ได้หรอก แบ่งกันคนละครึ่งสิ” 

ผมว่าก่อนจะโดนปลายนิ้วยาวดีดหน้าผากใส่ดังโป๊ะจนต้องนิ่วหน้า

“คิดว่าเป็นไอติมหรือไง จะมาขอแบ่งกันคนละครึ่งน่ะ?”

เวลาแบบนี้ พี่โรมยังมีแก่ใจจะทำให้ผมหัวเราะได้อีก.... เขาจับมือผมแล้วเราก็ออกเดินด้วยกันอีกครั้ง สายลมจากทะเลพัดขึ้นชายฝั่งยังคงหนาวเย็นทะลุผ่านเสื้อผ้ากระทบโดนผิวกาย แต่ทว่า มันกลับทำอันตรายต่อหัวใจที่ถูกโอบกอดจนอบอุ่นของผมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“จากนี้ไป กูก็เหลือแค่มึงแล้วนะ ทิชา”

อยู่ดีๆ พี่โรมก็พูดขึ้นมา เขาตัดสินใจที่จะเล่าให้ผมฟังว่าธุระสำคัญซึ่งทำให้เขาหายหน้าไปตลอดวันเมื่อวานนี้คืออะไร ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือยังมีอะไรที่ผมควรจะรู้อีก แต่เพียงแค่นี้มันก็มากพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าพี่โรมจริงจังกับความสัมพันธ์ของเราสองคน 

“เมื่อคืนนี้กูบอกเลิกบีบี๋ ขอลาออกจากสายของเฮียรุจและจะไม่เข้าไปที่เบอร์ลิคอีก”

“ลาออกจากเบอร์ลิคด้วยเหรอ.....?”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ กูโอเคหรอกน่า”

“แต่ชาไม่อยากให้พี่โรมมีปัญหา............” 

ผมเว้นคำว่า ‘โดยเฉพาะกับพี่รุจ’ เอาไว้ แต่ดูเหมือนพี่โรมจะรู้ว่าผมหมายความถึงใคร

“ไม่มีปัญหาหรอก ต้องเรียกว่ากูตัดปัญหาออกไปจากชีวิตเสียมากกว่า” 

ร่างสูงบอกพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวลทั้งนั้น 

“เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง.... กูก็แค่เลือกที่จะอยู่กับมึงไง”

ถ้าถามว่าพี่โรมเก่งเรื่องไหนมากที่สุด ผมคงต้องขอตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าเขาเก่งเรื่องการทำให้หัวใจผมละลาย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผมคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียหมด

“ชาไม่ได้ดีขนาดนั้นสักหน่อย........” 

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่าจะดีใจแต่ก็อดคิดถึงชื่อเสียงเน่าๆ ของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยังกลัวว่าพี่โรมจะต้องมาโดนรุมเกลียดเหมือนอย่างที่ผมโดนอยู่เป็นประจำ

“มึงมีดีมากกว่าที่ใครๆ รู้” 

พี่โรมบอกพลางโอบไหล่ผมราวกับจะปกป้องไม่ให้ถ้อยคำว่าร้ายกล้ำกรายผ่านมาให้ได้ยินอีก และนับจากนี้ไป ผมก็ควรที่จะฟังเพียงความจริงจากเขาคนเดียวเท่านั้น 

“ไอ้พวกนั้นมันโง่ต่างหากที่มองไม่เห็นความน่ารักของมึง.... ซึ่งจะว่าไปก็ดีแล้วแหละ เพราะไม่อย่างนั้น มึงก็คงมีแฟนไปนานแล้วและไม่มีทางเหลือรอดมาจนถึงมือกูแน่”

เจ้าของมือใหญ่เกลี่ยปอยผมที่ปรกตรงหน้าผากและข้างแก้มออกให้ ก่อนที่กลีบปากหยักจะแนบประทับลงมาเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงให้ผมได้รับรู้.... หัวใจของเราเต้นประสานกันท่ามกลางเสียงคลื่นสาดซัด กลิ่นอายความรักอบอวลเคล้าไปกับไอทะเลยามค่ำคืน และสิ่งเหล่านี้จะถูกสลักลงในห้วงความทรงจำของผมไปตราบจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่

“ขอบใจมากนะที่คืนนั้นมึงมาชิงเกียร์ของกูไป.... เพราะถ้ามึงไม่ทำ เราสองคนก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างในตอนนี้”

“พี่โรม....ชาจะร้องไห้อยู่แล้วนะ..........” 

เสียงผมสั่นเครือ ก้อนสะอื้นไหลขึ้นมาจุกลำคอเมื่อข้างในอกมันพองโตไปหมด ต่อมน้ำตาซึ่งหมู่นี้ตื้นบ่อยเหลือเกินก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องจนอยากจะมอบเหรียญดีเด่นให้

“ก็ร้องไปดิ.... แต่ให้ร้องครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ เพราะจากนี้ไป กูจะไม่ยอมให้มึงเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว”   

พี่โรมแกล้งหยิกแก้มเปียกชุ่มของผมบิดไปบิดมาราวกับเห็นเป็นก้อนมาร์ชเมลโล่ เราสบตากันอีกครั้งเพื่ออำลาอดีตที่ผ่านเลยไป และสัญญาว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาหลังจากนี้ด้วยกัน ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม 

“ไม่สิ.... ต้องพูดว่า ‘จากนี้ไป พี่จะไม่ยอมให้ทิชาเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว’ ต่างหาก”

พี่โรมเปลี่ยนคำแทนตัวที่ใช้คุยกัน บ่งบอกว่าผมไม่ใช่คนที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้เป็นเพียงแค่น้องชายอีกแล้ว....


“เราสองคนเป็นคนรักกันแล้วนะครับ ทิชา”


คำพูดนั้นมาพร้อมกับจูบหวานๆ ซึ่งแนบลงบนริมฝีปาก

พยานรักของเราก็คือหมู่ดาวบนท้องฟ้า สายลม เกลียวคลื่นและหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข.... จูบของพี่โรมในคราวนี้มีเพียงกลีบปากซึ่งแตะลงมาอย่างแผ่วเบา ไม่ร้อนแรงชนิดที่ทำให้เข่าอ่อนยืนไม่อยู่ ไม่สอดลิ้นปลุกอารมณ์เพื่อหวังจะให้ปลายทางไปจบลงที่เตียง เขาจูบผมอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม จูบเพียงเพื่อให้ผมได้รับรู้ว่าเขาเองก็รักผมจนหมดหัวใจเช่นเดียวกัน

......และผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ......

.

.

.

“พี่โรม.... ปิดไฟเหอะ”

“ไม่เห็นต้องอายเลย ยังไงพี่ก็เคยเห็นของเราหมดทุกส่วนแล้ว” 

คนรักของผมแกล้งหยอกหลังจากที่เขาลอกคราบถอดเสื้อผ้าผมออกหมด และสายตาเจ้าชู้ซึ่งกวาดมองไปทั่วร่างเปลือยเปล่าก็กำลังทำให้ผมเขินจนอยากจะเอาหมอนกดหน้าตัวเองหนีอายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด 

“เมื่อวานเราก็ทำกันตอนเช้า สว่างโล่งโจ้ง เห็นชัดกว่าเปิดไฟดวงส้มๆ นี่อีก”

เหมือนเมื่อกี้ผมจะบอกว่าเราแค่จูบกันเฉยๆ ไม่ได้กะจะมาจบกันด้วยเรื่องบนเตียงใช่ไหม.... ทีแรกมันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ทั้งผมและพี่โรมก็ยังหนุ่มยังแน่นเป็นวัยรุ่นตอนปลาย จูบกันไปจูบกันมา ฮอร์โมนก็เริ่มทำงานจนหมดอารมณ์จะเดินเล่นริมทะเล แต่อยากจะเล่นอย่างอื่นที่สนุกกว่าเอาเท้าแช่น้ำแช่ทรายแทน

แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง ผมก็เลยรู้สึกขัดๆ เขินๆ ยังไงชอบกล มิหนำซ้ำในห้องนี้ก็ไม่ได้มีแค่ผมกับพี่โรมด้วย....

“ก็มิลค์มันมองอยู่...........”

ผมพูดถึงดวงตาวาวๆ ของยัยลูกสาวซึ่งสะท้อนแสงไฟกลับมาเป็นจุดกลมๆ สองจุดจากตรงปลายเตียง

“โธ่ ที่แท้แม่แมวก็อายลูก” 

พี่โรมหัวเราะลั่น ดูท่าทางเขาคงจะไม่เคยเจอใครที่เรื่องเยอะแถมยังชอบคิดอะไรประหลาดๆ อย่างผมแหง 

“แมวมันมองเห็นในที่มืดได้ดีไม่ใช่เหรอ ถึงพี่ปิดไฟให้แต่ลูกมิลค์ก็ยังเห็นแม่มันโดนปล้ำอยู่ดี”

“แต่ชามองไม่เห็นมันไง”

“ถ้าอายนัก งั้นก็คลุมโปงเอาไว้ก็ได้” 

ว่าแล้วมือใหญ่ก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมร่างของเราทั้งคู่จนมิด ตัดจากโลกภายนอกให้เหลือเพียงแค่ผมกับพี่โรมซึ่งแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน.... แน่นอนว่าทัศนวิสัยยังคงชัดเจนเพราะไม่ว่าจะพูดยังไง พี่โรมก็ไม่ยอมปิดสวิทช์ไฟตรงหัวเตียง 

“เมียพี่ทั้งขาวทั้งหอมขนาดนี้ รับรองเลยว่าอีกไม่นานยัยมิลค์ได้มีน้องแน่”

“พูดแบบนี้อีกแล้ว ก็บอกว่าท้องไม่ได้ไง”

“ก็ไม่แน่.... เผื่อว่าทำบ่อยๆ วันละหลายๆ รอบแล้วจะฟลุค”

ผมเบะปากใส่ร่างสูงซึ่งคร่อมทับอยู่ด้านบน ขี้เกียจจะเถียงกับแฟนที่มีตรรกะความคิดแปลกพอๆ กันให้เหนื่อย เพราะไม่ว่าเขาจะทำยังไง จะอยากกอดอยากจูบผมเอาไว้นานหรือบ่อยครั้งแค่ไหน ผมก็ไม่คิดจะขัดขืนบ่ายเบี่ยงอยู่แล้ว

ความสุขของพี่โรมก็คือความสุขของผม

และผมก็คงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า ถ้าคนที่ทำให้พี่โรมรู้สึกมีความสุขได้ก็คือตัวของผมเอง

.

.

.

คืนนั้น พี่โรมกอดผมและมอบความรักให้จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึง ผมเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากทอดกายให้เขาได้เชยชม และรองรับความรู้สึกเบาหวิวสลับหนักหน่วงที่คนรักมอบให้จนต้องกรีดเสียงครางเป็นระยะ ในที่สุดก็ผลอยหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งและช่วงล่างตรงหว่างขาก็แฉะชื้นไปหมด

อย่าว่าแต่อ่านข้อความเลย ผมไม่มีแรงแม้กระทั่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าแบตหมดไปแล้วหรือยังด้วยซ้ำ

ซึ่งถ้าผมมีสติเหลือพอสักนิด ผมก็คงเห็นไลน์ที่ใครบางคนส่งมาหาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน


   Mr.Dan :  ที่จะไปแคสละครด้วยกันพรุ่งนี้ มึงไปรถกูเลยก็ได้นะ

                      เดี๋ยวกูไปรับมึงที่ห้องเฮียโรมตอนแปดโมง

            อย่าลืมแต่งตัวน่ารักๆ นะ 


            *สติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม*



TO BE CONTINUE

 :katai1:


ออฟไลน์ Namwhankn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารบี๋มากจริงๆนะหวังว่าชีวิตจะดีกว่านี้นะ ให้มันเป็นบทเรียนเเล้วกัน

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อยากให้หวานกันแบบนี้ไปนานๆ อย่าพึ่งมีเรื่องอะไรเข้ามาเลย
ส่วนบีบี๋นี่คิดว่าคงไม่จบกับทิชาง่ายๆหรอก เสียไปซะขนาดนั้น
แล้วนายแดนนี่คิดกับทิชาเกินเพื่อนใช่มั้ย อย่ามาสร้างปัญหาให้โรมกับทิชานะ
#ทีมโรมทิชา นะคะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ้าว ทิชาลืมนัดแดนไปซะแล้ว
ทิชากับเฮียโรมเปิดใจคุยกันแบบนี้ก็ดีนะ หวานกันไปนานๆนะ อย่าเพิ่งดราม่าเลย

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ยังไงก็โรมทิชาค่ะ สงสารแดนก็จริงแต่เราว่าต้องมาม่าเพราะแดนแน่ๆเลย  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
แอบเชียร์บี๋กะพี่รุจนะ ดูร้ายๆเข้ากันดีอ้ะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
แดนเป็นจุดเปลี่ยนเหตุการณ์ ในเรื่อง ทิชาจะทำยังไงจะโดนแดนทำอะไรบ้าง ยังไงทิชาก็ต้องรีบผิดชอบสัญญาที่ให้ไป งานนี้ทิชาได้ทานมาม่าชามโตเลยป่าวเนี่ย  :mew2:

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
11
~ ไม่รัก... ไม่ต้อง ~


DAN's PART



“สวัสดีตอนเช้า แดนนี่ นี่แดนเอง~ ตอนนี้กำลังจะออกจากคอนโดฯ แล้วครับทุกคน ไว้เจอกันที่สตูดิโอน้า~~”

“แล้วก็ที่แดนเคยบอกเอาไว้คราวก่อนว่าวันนี้มีเซอร์ไพรส์ รับรองว่าเพื่อนๆ จะต้องร้องว้าวแน่ อย่าลืมติดตามไลฟ์ออดิชั่นได้ทางเพจเฟซบุคของซีรีส์เรื่อง ‘สงครามคิวท์บอย’ นะคร้าบบบบ~~”


ผมกดปุ่มโฮมปิดหน้าจอไอจีหลังจากที่ไลฟ์ทักทายแฟนคลับยามเช้าเสร็จเรียบร้อย ฟีดแบ็คยอดวิวและจำนวนหัวใจที่ได้รับยังคงทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนเช่นทุกครั้ง.... เคยมีคนบอกว่าผมน่ะเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ อันนี้คงต้องขอแก้ข่าวนะ เพราะอันที่จริงแล้วผมก็ทำแค่เรื่องที่ตัวเองชอบ แต่ผมแชร์ความชอบของตัวเองให้โลกรับรู้ด้วยก็เท่านั้น ผมไม่เคยฝืนทำอะไรเพื่อเอาใจใคร บรรดาคนที่มาติดตาม เขาก็แค่ชอบไลฟ์สไตล์และการแสดงออกของผมเท่านั้นเอง ไม่เห็นเกี่ยวกับที่ว่าผมเป็นโรคชอบเรียกร้องความสนใจตรงไหน

พูดก็พูดเถอะ การจะเรียกตัวเองว่าเน็ตไอดอลได้ ผมก็ต้องมั่นใจในรูปร่างหน้าตาตัวเองพอสมควร อันนี้ตำแหน่งเดือนสถาปัตย์ปีสองก็พอจะการันตีได้อยู่.... ปกติแล้ว ผมชอบแต่งตัวเซอร์ๆ ให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจแต่ง แต่ความจริงคือโคตรตั้งใจและใช้เวลาอยู่หน้ากระจกนานกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก โดยเฉพาะวันนี้ที่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อเซ็ตผม โกนหนวดให้เนี้ยบเรียบกริบและลองเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรื่อยจนกว่าจะเจอชุดที่เข้าท่าที่สุด ซึ่งมันก็เป็นไอ้ชุดเดิมชุดแรกที่ผมรีดแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละ

ให้ตายเถอะ ขนาดวันประกาศผลโหวตเดือนคณะตอนปีหนึ่ง ผมยังไม่เห็นตื่นเต้นแบบนี้เลยสักนิด....


ผมหยิบกระเป๋าพร้อมด้วยแฟ้มรูปถ่ายและเอกสารประกอบการสมัครก่อนจะเดินไปรับตัวต้นเหตุของความตื่นเต้นที่แท้ทรู.... ก็ไม่ได้หวังหรอกว่าทิชาจะลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืดเหมือนผม ดีไม่ดีจะเจอมันเพิ่งตื่นหน้ามุ่ยอารมณ์เสียแล้วก็บ่นเสียงงุ้งงิ้งตลอดเวลาแบบตอนที่มาทำซุปไก่แก้หวัดให้ แต่ขึ้นชื่อว่าเบ้าหน้าพรีเมียมระดับตัวท็อปของมหาวิทยาลัย วิชวลในวิชวลอย่างไอ้ทิชา ต่อให้ใส่เสื้อยืดย้วยๆ กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะหนีบ ผมก็คงจะยังคิดว่ามันน่ารักที่สุดในกาแล็กซี่อยู่ดี

และถึงมันจะเกลียดขี้หน้าผมยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด สำหรับผม ไม่ว่ายังไง ทิชา ทิชนันท์ ก็คือสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘ความรัก’

“ทิชา...........”

ผมลองเคาะประตูห้องเฮียโรมพลางเอ่ยเรียกคู่นัดเมื่อกดกริ่งไปแล้วสองรอบแต่ไม่มีเสียงตอบ และไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูด้วย

“เฮ้ย ทิชา ตื่นหรือยังวะเนี่ย?”

ผมทั้งเคาะประตูและเร่งเสียงเรียกให้ดังขึ้น แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก.... ห้องเฮียโรมก็เป็นคอนโดฯ หนึ่งห้องนอนขนาดเท่ากับของผม ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าถ้าโดนกระหน่ำเคาะเบอร์แรงขนาดนี้ ให้เมาหัวทิ่มหลับเป็นตายยังไงก็ไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินเสียงเลย

ห่าเอ๊ย ไอ้ตัวท็อปมหาลัยแม่งเล่นผมแล้วไหมล่ะ....!?

“รับสายสิวะ ทิชา......ขอร้องล่ะ มึงอย่าแกล้งกู.......”

ผมคอลไลน์ไปเป็นสิบครั้งแต่ทิชาก็ไม่รับ พอเอะใจเลื่อนหน้าจอลงมาดูข้อความที่ตัวเองส่งไปเมื่อคืน ปรากฏว่ามันยังไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ

ความเครียดก่อตัวมืดครึ้มหนักอึ้งอยู่เหนือหัวเหมือนเมฆฝน การถูกเบี้ยวนัดเอาดื้อๆ ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผมเลย แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทิชาไม่ได้เต็มใจจะไปออดิชั่นเป็นนักแสดง ขนาดผมส่งตากล้องสโมสรนิสิตไปตามถ่ายรูปมันในงานโอเพ่นเฮาส์เทอมที่แล้ว มันยังเดินหนีไม่ยอมให้ถ่ายเลย.... แต่เหนือกว่าความไม่เต็มใจก็คือเราสัญญากันแล้ว ไม่ใช่แค่สัญญาธรรมดาแต่เป็นเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนที่มันจะต้องทำตาม ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ และทิชาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเล่นไม่ซื่อกับผมแบบนี้เลยด้วย

ผมยังคงกดกริ่งต่อไป ในขณะที่กดโทรศัพท์ต่อสายหาทิชาและแนบหูกับบานประตูห้องเฮียโรมเพื่อฟังเสียงว่ามีใครอยู่หรือไม่ ทว่า ข้างในห้องเงียบกริบคล้ายไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แม้แต่น้องมิลค์ก็ไม่น่าจะอยู่เช่นกัน

“เหี้ยจริง..............”

ผมเปลี่ยนมาโทรหาญาติผู้พี่ของตัวเอง โทรเข้าเบอร์ติดแต่ไม่มีคนรับสายก็เลยโทรซ้ำอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เก้าโมงเกือบครึ่ง งานออดิชั่นแคสบทละครเริ่มไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ผมอ่านกำหนดการรับสมัครผ่านทางหน้าเฟซบุคของสถานีอีกครั้ง โต๊ะลงทะเบียนผู้สมัครจะปิดรับตอนเที่ยงและหลังจากนั้นจะเป็นการเรียกเข้าเทสต์หน้ากล้อง.... ยังพอมีเวลาให้รอได้อยู่ และผมก็เลือกที่จะรอจนกว่าทิชาจะมา


'พี่แดนอยู่ไหนค้าาาาา T__T'

'พี่แดนมองเห็นป้ายไฟไหมอะ พวกเราทุกคนมาให้กำลังใจพี่นะคะ'

'น้องแดนนี่อยู่ไหนแล้วคะ? ยังไม่มาอีกเหรอ?'

'ไหนพี่บอกว่าออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่แปดโมงแล้วไงคะ ยังมาไม่ถึงเหรอ?'

'พี่แดน นี่มันจะสิบเอ็ดโมงแล้วนะคะ ตกลงพี่จะมาจริงไหมเนี่ย?'



ผมอ่านข้อความที่ถล่มเข้ามาในไอจีอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีคนแท็กภาพบรรยากาศสถานที่ออดิชั่นมาให้ดู แฟนคลับของผมหลายสิบชีวิตไปยืนถือป้ายไฟรอเชียร์บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ แรกๆ พวกเขาก็ยังดูร่าเริงกันดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป แดดร้อนมากขึ้นและผมก็ยังไม่โผล่หน้าไปให้เห็นสักที ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องอารมณ์เสียเป็นธรรมดา

แต่ถ้าไม่มีทิชา ผมก็ไม่อยากไปแล้ว....


'พี่แดนจะไม่โกหกพวกหนูใช่ไหมคะ?'

'อย่าทำให้พวกเราใจเสียแบบนี้สิ.... รีบๆ มาเถอะนะ พี่แดน'

'โดนหลอกให้รอเก้อนี่มันไม่สนุกนะ น้องแดน'

'พี่อุตส่าห์โดดงานมา......'

'พวกหนูโดดเรียนพิเศษมาเพื่อพี่......'




ผมรู้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้ตั้งใจจะกดดันหรือใช้คำพูดตัดพ้อต่อว่าผมหรอก เขาก็แค่ทวงถามในสิ่งที่ผมบอกออกจากปากตัวเองว่าจะทำ แต่ผมก็ยังเกลียดการถูกไซโคจากทั่วทุกสารทิศแบบนี้อยู่ดี

สุดท้ายก็ต้องยอมเคลื่อนตัวออกจากคอนโดและบึ่งรถไปถึงสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็มย่านทาวน์อินทาวน์ก่อนจะไม่ทันเวลา.... ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บใจและโกรธมากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่แฟนคลับซึ่งอุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้ผมต้องมาร่วมรับผิดชอบและผิดหวังไปด้วย ผมยังคงเป็นไอ้แดนคนเดิมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผมรักแฟนคลับผมพอๆ กับที่รักหน้าตาของตัวเอง และต่อให้ข้างในจะพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ผมก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับรู้และซึมซับมลพิษจากความนกซ้ำซ้อนของผม

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่คนอย่างแดน ดรัณภพต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

และสาเหตุของความฝืนใจก็มาจากไอ้สิ่งเล็กๆ หน้าสวยๆ แต่ใจร้ายฉิบหายที่เรียกว่า ‘ความรัก’ นั่นเอง....

.

.

.

หลังจากขึ้นทางด่วนและขับปาดหน้าชาวบ้านจนโดนสรรเสริญบุพการีมาตลอดทาง ผมก็มาถึงสตูดิโอช่องเอ็มเอาตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบพอดิบพอดี รถคัมรี่สีดำของผมแทรกตัวจอด (แน่นอนว่าซ้อนคัน) เสร็จเรียบร้อย สองขายาวๆ ก็รีบบึ่งมายังด้านหน้าอาคารซึ่งถูกกั้นไว้เป็นสถานที่ยืนรอสำหรับแฟนคลับ.... อันที่จริง ผมจะเดินเข้าตึกทางด้านหลังไปเลยก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่คนใจร้าย ถึงไอ้ทิชาจะใจร้ายกับผมแต่ผมก็จะไม่ทำกับคนอื่นหรอก เพราะความใจร้ายเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลกับบุคคล ไม่ใช่โรคติดต่อสักหน่อย

“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับ ทุกคน”

ทันทีที่เห็นหน้าผม ใบหน้าซึ่งบูดบึ้งเพราะความร้อนแผดเผาผสมกับความโมโหและเหน็ดเหนื่อยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง พร้อมๆ กับที่เสียงกรีดร้องดังสนั่นประหนึ่งว่ากำลังดูคอนเสิร์ตอยู่ในอิมแพ็คอารีน่า

“พี่แดนนนนนน!!!”

“อร๊ายยยยย พี่แดนมาแล้ววววววว!!!!!”

“ฮืออออออ หนูนึกว่าพี่จะไม่มาซะแล้วอะค่ะ”

“พอดีมีธุระด่วนนิดหน่อยก็เลยมาช้า แต่ก็มาแล้วนะ.... คนเก่งของพี่แดนไม่ร้องไห้นะครับ”

ผมยกมือไหว้รอบทิศเป็นการขอโทษแล้วส่งทิชชู่เช็ดน้ำตาให้แฟนคลับวัยมัธยมที่ค่อนข้างคุ้นหน้า น้องคนนี้เข้ามาเมนชั่นคุยในไอจีผมแทบทุกวันจนจำได้ ก็อย่างที่บอกว่าคนพวกนี้ก็เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง ผมทนเห็นพวกเขาผิดหวังและเดินจากไปโดยที่มีความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับนายแดน ดรัณภพไม่ได้หรอก

“แค่เห็นพี่แดนมา พวกเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ”

มีแฟนคลับขอไฮทัชก่อนที่ผมจะเข้าไปยื่นใบสมัคร ผมก็ตามใจแตะมือกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมีน้องคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา

“ว่าแต่เซอร์ไพรส์ที่พี่แดนบอกในไลฟ์ตั้งแต่คราวก่อนมันคืออะไรเหรอคะ?”

“เอ่อ.........”

คำถามนั้นทำเอาผมนิ่งชะงักไป ถึงตัวผมจะมาที่นี่ได้ทันเวลาแต่เซอร์ไพรส์ที่ว่านั่นกลับไม่รู้หายหัวไปอยู่ไหน.... คิดสิคิด ไอ้แดน มึงจะโชว์ยัดกำปั้นเข้าปากหรือโชว์กินป๊อกกี้แนวขวางก็ได้ หรือไม่ก็ตะโกนออกไปเลยว่าเรือแดนทิชาแม่งล่มไปแล้ว เพราะไอ้ทิชามันบังอาจมองข้ามหัวมึง แถมยังได้พี่ชายมึงเป็นผัวเบอร์ล่าสุด รับรองว่าเซอร์ไพรส์ยาวตั้งแต่เบตงไปถึงแม่สายแน่

“น้องผู้ชายคนนั้นจะมาสมัครแคสบทหรือเปล่าคะ.... ถ้าใช่ก็รีบๆ มาทางนี้เลยค่ะ ทีมงานจะเก็บโต๊ะ ทยอยเรียกแคนดิเดทเข้าเทสต์หน้ากล้องทีละคนแล้ว”

โชคดีที่ได้ระฆังหมดยกช่วย รอยยิ้มหล่อใสแบบเดียวกับที่ชนะใจเพื่อนสาวทั้งสถาปัตย์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ผมแอ๊บทำท่าเสียดายใจจะขาดที่ถูกพี่สต๊าฟเรียกก่อนจะยกมือไหว้รอบทิศอีกหนเหมือนกำลังหาเสียงลงสมัครอบต. ท่ามกลางเสียงร่ำร้องของบรรดาแฟนานุแฟนซึ่งยืนชูป้ายไฟจนแน่นขนัดเต็มหน้าสถานี

“งั้นแดนขอตัวก่อนนะครับทุกคน.... แยกย้ายกันไปพักทานน้ำทานข้าวก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วเรามาถ่ายรูปกัน ต้องขอโทษอีกทีนะครับที่วันนี้แดนมาช้า”

เมื่อเข้ามาด้านในอาคาร ผมก็ยื่นเอกสารและรูปถ่ายที่เตรียมมาให้ทีมงานก่อนจะถูกบอกให้ไปนั่งรอพร้อมด้วยหมายเลขติดเสื้อ.... รอบข้างผมเต็มไปด้วยผู้ชายวัยนักศึกษาหน้าตาดีจำนวนหลักร้อย มีทั้งหล่อคมเข้มแบบหนุ่มบ้านไร่ภูธร หล่อสำอางลุคคุณชายไฮโซ หล่ออันตรายสไตล์เพลย์บอย หล่อทะเล้นยิ้มสดใสแบบน้องชายข้างบ้าน หล่อล่ำหุ่นหมีเหมือนนักบาสเอ็นบีเอ เรื่อยไปจนถึงหนุ่มหน้าสวยไทป์เดียวกับทิชา หรือแม้กระทั่งพวกตัวเล็กน่ารักชิวาว่าหมากระเป๋า(แต่นิสัยอาจ.....)อย่างบีบี๋ ถ้าถามว่ากลัวไหมก็บอกเลยว่าไม่กลัว เพราะผมมั่นใจในศักยภาพเบ้าหน้าและวาทะศิลป์ของตัวเองว่าไม่เป็นสองรองใครแน่

เพียงแต่ตอนนี้ผมโคตรไม่มีอารมณ์จะสู้ แม้แต่แจกยิ้มโปรยไปทั่วยังลำบากเลย....



“ทำไมดูซีเรียสจัง ไม่เห็นร่าเริงยิ้มเก่งเหมือนตอนคุยกับแฟนคลับที่ข้างนอกเมื่อกี้เลย.... ตื่นเต้นเหรอ? งานนี้คงงานแรกสินะ?”

ใครคนหนึ่งมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะคล้ายว่าจะทักทายไปในตัว ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์แล้วมองอีกฝ่ายก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน แต่หันไปดูซ้าย-ขวาก็ไม่มีคนอื่นนั่งอยู่ตรงนี้เลยนอกจากผม

“คุณ......พูดกับผมเหรอครับ?”  ผมชี้นิ้วเข้าตัวเองแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“ก็ใช่น่ะสิ”  คนแปลกหน้ายิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะถามต่อ  “แอบได้ยินสต๊าฟเรียกนายว่าแดน ตกลงว่าชื่อแดน ไม่ผิดใช่ไหม?”

“ครับ”

“อายุเท่าไร? เรียนอยู่ปีไหน?”

“สิบเก้าย่างยี่สิบครับ อยู่ปีสอง”

“งั้นฉันก็เป็นพี่” 

หลังจากถามจนได้ข้อมูลจนเป็นที่น่าพอใจ คนซึ่งเพิ่งเคลมว่าเป็นฝ่ายอายุมากกว่าก็บอกชื่อเสียงเรียงนามพร้อมที่มาที่ไปให้ผมได้รับรู้บ้าง 

“พี่ชื่อปาย สังกัดอยู่โมเดลลิ่งของพี่โรส.... น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างเนอะ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ.... อันนี้ไม่ได้โกหกนะ ผมเคยได้ยินทั้งชื่อของเจ้าตัวและชื่อโมเดลลิ่งที่เขาสังกัดอยู่ด้วยจริงๆ

‘พี่ปาย’ หรือ ‘ปวีณ สุวัฒนา’ เป็นเน็ตไอดอลรุ่นพี่ซึ่งตอนนี้เข้าวงการบันเทิงแบบเต็มตัวมาได้สักพักแล้ว งานส่วนใหญ่ของเขาที่เคยเห็นผ่านตาก็จะเป็นถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาและเล่นมิวสิกวิดิโอ ช่วงนี้ยิ่งเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเพราะโฆษณาน้ำอัดลมตัวใหม่ล่าสุดซึ่งเพิ่งออนแอร์ไป ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะมาสมัครแคสละครเพื่อขยายฐานแฟนและเพิ่มขอบข่ายงานให้กับตัวเอง

“พอดีว่าพี่โรสกำลังดูแลน้องในโมอีกคนหนึ่งที่แกพามาด้วย.... พี่ไม่รู้จะไปอยู่ไหนดี ขอนั่งกับนายก็แล้วกันนะ”

“ตามสบายเลยครับ”

ผมคุยกับพี่ปายฆ่าเวลาระหว่างที่รอเรียกคิวตามหมายเลขอยู่ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าผมสองปี จริงๆ ตอนนี้ต้องเรียนปีสี่ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งและอยู่ในช่วงทำโปรเจกต์จบ แต่เจ้าตัวขอดร็อปมาทำงานก่อนหลังจากที่ถ่ายแบบลงแม็กกาซีนออนไลน์แล้วปรากฏว่าปังมากในชั่วข้ามคืน

ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็สมควรจะปังอยู่ พี่ปายเป็นผู้ชายที่หน้าสวยอย่างกับหลุดออกมาจากการ์ตูนลายเส้นแบบญี่ปุ่น ดวงตาค่อนออกไปทางทรงเมล็ดอัลมอนด์มากกว่าจะกลมโต อารมณ์เหมือนตาสองชั้นหลบในรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากบาง ผิวขาวจัดตามแบบฉบับคนภาคเหนือ แขนขาเพรียวยาวสมส่วน หุ่นผอมสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบปลายๆ ถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แอบดูหยิ่งๆ ไฮแฟชั่นเข้าถึงยากอะไรทำนองนั้น แต่พอได้ยินน้ำเสียงและการพูดจา รวมถึงวิธียิ้ม คนๆ นี้กลับให้ความรู้สึกเป็นมิตรและมีเสน่ห์เฉพาะตัวมากเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้วก็โคตรคล้ายทิชาตรงที่หน้าสวย เพียงแต่พี่ปายดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามากและนิสัยของทั้งคู่ก็ผิดกันลิบลับ....


“อ๊ะ แปบนึงนะครับพี่”

ผมเอ่ยขอตัวเมื่อสายเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนจะลุกเดินออกมาเพื่อไม่ให้พี่ปายได้ยิน เพราะชื่อที่ชึ้นบนหน้าจอคือญาติผู้พี่ของผมเอง.... ความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนคลื่นไส้ราวกับมีแมลงสาบตีปีกอยู่ในกระเพาะกลับมาอีกหน ปลายนิ้วผมค้างอยู่เหนือปุ่มสไลด์กดรับในตอนที่ความลังเลถาโถมเข้ามา มองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงกว่า มันสายเกินไปแล้ว สัญญาระหว่างผมกับทิชามันพังแล้ว และถึงเฮียโรมจะโทรมา เขาก็คงช่วยอะไรผมไม่ได้ทั้งนั้น

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็กดรับสาย....



‘อะไรของมึงวะ ไอ้แดน มิสคอลมึงคนเดียวเป็นร้อยสายเลยมั้งเนี่ย?’

“เฮียอยู่ไหนอะ เมื่อเช้าผมไปเรียกที่ห้องแล้วไม่เจอ?”

‘กูอยู่บางแสน วันพรุ่งนี้เย็นๆ ถึงจะกลับ.... มึงมีธุระอะไรวะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะโทรหากู?’

“ทีแรกก็มีแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว......” 

อันที่จริง ผมว่าควรจะวางสายได้แล้ว แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากถามให้ได้ยินจากปากเฮียโรม แม้จะคิดว่าตัวเองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้วก็เถอะ 

“แล้วทิชาล่ะ อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?”

‘เมียกู ถ้าไม่อยู่กับกูแล้วจะให้อยู่กับใครวะ’

ผมสะอึกแบบไม่มีเสียง ข้างในคอมันตีบตันขมปร่าไปหมด แต่ก็ยังอุตส่าห์เค้นเสียงหัวเราะแห้งๆ กับคำพูดแก้เก้อออกมาจนได้

“ก็เผื่อว่าทิชามันจะอยู่เลี้ยงแมวที่ห้องไง”

‘ไม่ต้องเผื่อเว้ย กูเอามิลค์มาเที่ยวด้วย.... นี่กูก็ตื่นมาให้ข้าวแล้วก็เล่นกับมิลค์ก่อน ลูกจะได้คุ้นกับกูสักที แม่มันยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เลย’

“เที่ยงกว่าแล้วนะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?”

พอถามไปแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองในใจ ผมจะถามในสิ่งที่รู้แล้วก็เจ็บไปทำไม จะบอกว่าเพราะเป็นมาโซคิสม์ก็คงไม่ใช่ เพราะผมโคตรไม่ชอบความรู้สึกเหมือนโดนถีบยอดหน้าด้วยรองเท้าสตั๊ดแบบนี้เลย

‘เออ ยังไม่ตื่น พอดีเมื่อคืนหลายน้ำไปหน่อยว่ะ.... ทิชาแม่งทั้งขาวทั้งหอม ตั้งแต่หัดขึ้นครูสมัยมัธยมยันเข้ามหาลัย คนนี้ของกูน่ารักที่สุดแล้ว กูก็ฟัดซะเพลินเลย พอรู้ตัวอีกทีก็ฟ้าเหลืองละ’

“โห.... เอากันยันเช้าเลยเหรอ?” 

สัดเอ๊ย ข้างในอกผมร้อนอย่างกับโดนไฟเผา ร้อนจนไฟจะลุกท่วมออกตาอยู่แล้ว 

“ทีหลังเฮียก็เพลาๆ หน่อยแล้วกัน ใช้งานหนักมากเดี๋ยวพังเร็ว ไม่ก็ถ้าเมียทนไม่ไหวแล้วจะหนีไปซะก่อน”

‘ไม่มีทาง กูถนอมของกูอย่างดี แล้วกูก็หวงมากด้วย’

ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ พลางท่องประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาว่าเฮียโรมมีสิทธิ์เต็มร้อยที่จะพูดแบบนั้น ในเมื่อทิชามันยินยอมพร้อมใจให้เขาเอาเอง.... ผมรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าสองคนนั้นมีอะไรกันไปถึงไหน ก็ผมเองที่เป็นคนบอกให้ทิชาไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค ผมเองที่ช่วยทิชาขนของเข้าห้องตอนที่ย้ายมาอยู่กับเฮียโรม ผมนี่แหละที่เปิดทางให้ทุกสิ่งทุกอย่างลงเอยเอาอีหรอบนี้ แล้วจะมาหัวร้อนกับคำพูดตามประสาผัวๆ เมียๆ ที่กำลังเห่อข้าวใหม่ปลามันไปทำไม

“เดี๋ยวผมต้องวางสายก่อนนะเฮีย ธุระยังไม่เสร็จน่ะ”

‘เออๆ ไว้กูซื้อข้าวหลามหนองมนกลับไปฝากเว้ย’

แม้จะแอบคิดในใจว่า ‘ข้าวหลามพ่องสิ!’ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ ผมบอกลาพี่ชายแล้วกดวางสายทั้งที่รอยยิ้มจอมปลอมยังค้างอยู่บนหน้า.... ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเผชิญกับความรู้สึกขมขื่นกลืนไม่เข้าไม่คายไม่ออก แต่แม่งเอ๊ย กี่ครั้งก็ยังไม่ชินครับคุณ ทุกครั้งที่เห็นกับตาหรือได้ยินข่าวว่าทิชาคบผู้ชายใหม่ อารมณ์สีเทาอึมครึมคล้ายว่าฝนจะตกอยู่ตลอดเวลาก็มักจะเข้ามาเยือนหัวใจผมอยู่เสมอ

เพียงแต่หนนี้เจ็บหนักเป็นพิเศษ เพราะผมคิดไปเองว่ามันใกล้มาก

มากเสียจนคิดว่าอาจจะเอื้อมมือคว้าดาวเอาไว้ได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เอาตัวเข้าไปใกล้มันได้มากกว่าที่เคย แต่ทว่า สุดท้ายระยะห่างซึ่งทิชามอบให้ไอ้แดนนรกอย่างผมก็ยังไกลแสนไกลเท่าเดิมอยู่ดี



“หน้าเครียดอีกแล้วนะ แดน” 

พี่ปายเอ่ยทักอีกรอบเมื่อผมกลับมานั่งลงที่เดิม เขายิ้มพลางเอื้อมมือมาจับๆ นวดๆ ตรงหว่างคิ้วผม.... ดูเหมือนว่าพี่ปายจะเป็นพวกชอบสกินชิพ หรือไม่ก็ไม่ถือสาเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวคนแปลกหน้าล่ะมั้ง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมเผลอไปทำแบบนี้กับไอ้ทิชาแล้วจะโดนมันด่าพ่อล่อแม่ขนาดไหน 

“ถึงจะหล่อแค่ไหน แต่ถ้าคิ้วผูกโบตลอดเวลาก็ดูน่ากลัวไม่ใช่เล่นนะ อย่างกับพวกฆาตกรกำลังวางแผนจะฆ่าใครอยู่ในใจแน่ะ”

“หน้าผมดูเป็นแบบนั้นจริงเหรอครับ?”

ผมแกล้งย้อนถามเจือหัวเราะแห้ง ไม่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วก็แอบคิดอยู่เหมือนกัน ฆ่าได้ฆ่า ใครตายช่างมันก็ฟังดูดีไม่หยอก แต่ไม่รู้จะเลือกฆ่าใครดีระหว่างเฮียโรมกับทิชา หรือว่าผมควรจะฆ่าแม่งทั้งคู่เลย...?

“แหงสิ” 

คนอายุมากกว่ากอดอกเอียงคอมองหน้าผม วางท่าประหนึ่งว่าเป็นผู้ใหญ่กำลังสอนเด็กตัวเล็กๆ ทั้งที่ผมน่าจะตัวสูงกว่าเขาเกือบคืบ 

“พี่จะบอกว่างานแบบนี้เขาไม่ได้ดูแค่หน้ากล้องอย่างเดียวนะ ยิ่งเราเป็นเด็กใหม่ในวงการ เขาจะดูแอตทิจูดหลังกล้องประกอบด้วยว่าจะทำงานร่วมกับทีมงานและนักแสดงคนอื่นได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้านายอยากได้งานนี้ล่ะก็ทำหน้ายิ้มๆ หน่อย ที่เดินอยู่แถวนี้ก็กรรมการทั้งนั้นแหละ เจอใครก็ไหว้ทักทายไปเถอะ ไม่เสียหลายหรอก”

“ทำไมพี่ปายใจดีกับผมจัง?”

เจ้าตัวไม่ยอมตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วก็ชวนคุยต่อ

“เมื่อกี้ยังพูดไม่จบ คือพี่จะถามว่าวันนี้แดนมาคนเดียวเองเหรอ? ไม่มีผู้จัดการโมมาด้วย?”

“ผมยังไม่ได้สังกัดโมไหนครับ ที่มาก็แค่อยากลองดูว่าเป็นยังไง”

“อ้อ งี้นี่เอง.....”  รุ่นพี่หน้าสวยผงกหัวหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ “ก็หวังว่าเราจะโชคดีได้ร่วมงานกันนะ”

‘คนต่อไป หมายเลข 12 น้องปาย ปวีณ สุวัฒนา.... เชิญข้างในห้องเทสต์หน้ากล้องค่ะ’

“เขาเรียกแล้ว งั้นพี่ไปก่อนนะ”

ร่างโปร่งบางลุกขึ้นโบกมือบ๊ายบายให้ผม ก่อนจะเดินตามทีมงานที่มาประกาศเรียกไปด้วยท่าทางมั่นใจ

ทันใดนั้นเอง ผมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้....

“เดี๋ยวครับ พี่ปาย!”

“หืม?”

ผมเรียกเน็ตไอดอลรุ่นพี่เอาไว้ก่อนที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายจะลับสายตาไป เมื่อเขาหันมาก็พบกับนายดรัณภพ เวอร์ชั่นยิ้มละไมหล่อน่ารักพิเศษใส่ไข่สองฟอง

“ขอเซลฟี่รูปคู่ได้ไหมครับ เผื่อพี่ออกมาแล้วเราไม่เจอกัน”

“อ๋อ ได้สิ”

แค่นั้น พี่ปายก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาจนแก้มเขาแทบจะชนโดนแก้มผม จนกระทั่งภาพถ่ายของเราทั้งคู่ถูกบันทึกลงเมโมรี่ผ่านกล้องหน้าไอโฟนเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อพี่ปายจากไป ผมก็กลับมานั่งเงียบๆ ตามลำพังอีกครั้ง ข้างในหัวสมองและหัวใจเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานาทั้งดีและร้าย.... ป่านนี้ทิชามันจะตื่นหรือยัง? มันจะรู้ตัวบ้างไหมว่าผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้ว? หรือจะว่าไม่รู้สึกห่าเหวอะไรเลย เพราะมัวแต่พลอดรักกับเฮียโรมอย่างมีความสุขแล้วคืนนี้ก็คงจะเอากันยันเช้าเหมือนเดิมอีก?

ที่สำคัญ ทิชามันจะรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่าถ้าหากผมบอกว่า 'กูไม่ต้องการคู่จิ้นอย่างมึงอีกต่อไปแล้ว' ?


Instragram @Mr.Dan

รูป : รูปคู่พี่ปาย


แคปชั่น : เซอร์ไพรส์!



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



เพียงแค่พยายามจะขยับตัวลุกขึ้น สะโพกผมก็อุทธรณ์ส่งความเจ็บแล่นปรี๊ดไปทั่วร่างจนต้องขอนอนนิ่งๆ ต่ออีกสักพัก แม้ว่าจะหายงัวเงียไปได้ครู่ใหญ่แล้วแต่ดันไม่มีแรงจะโงหัวขึ้นจากหมอน ได้แต่นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนเพราะยังจำได้ดีว่าความรักของพี่โรมนั้นหวานแค่ไหน และบทรักของเขาในฐานแฟนหนุ่มของทิชานั้นร้อนแรงมิรู้ลืมเพียงใด

ก็ไม่ได้อยากจะอวยให้ใครหมั่นไส้นะ แต่เท่าที่ผมเคยเจอมา พี่โรมคือคนที่สุดเหวี่ยงกับเรื่องบนเตียงมากที่สุด เซ็กซ์ของเขาเหมือนรถไฟเหาะที่เค้นเอาอะดรีนาลีนของผมให้หลั่งออกมาทุกหยาดหยด ผมสำลักความสุขจนแทบไร้สติ แม้ในเวลาที่คิดว่าสุขมากแล้วแต่พี่โรมก็ยังทำได้มากกว่านั้นและมากขึ้นไปอีกคล้ายว่าออกัสซั่มของเราไม่มีจุดสิ้นสุด.... เขาทั้งดุดันแล้วก็อ่อนโยน ชอบใช้กำลังบังคับแต่ก็ปลอบประโลมตามใจ ราวกับรู้ไปหมดว่าต้องทำยังไงผมถึงจะหลงรักเขาหัวปักหัวปำ แต่อันที่จริง ถึงเขาไม่ทำอะไรเลย ผมว่าผมก็คงจะหลงรักความใจดีของพี่โรมอยู่ดี

ระหว่างที่กำลังนอนใช้ความคิดเพลินๆ พื้นเตียงที่ว่างด้านข้างผมก็ยุบตัวลง มีทั้งยุบเบาๆ จากน้ำหนักแมวและยวบลงไปแรงมากจากน้ำหนักคน

“ตื่นแล้วได้ครับ ที่รัก”

แด๊ดดี้ของผมกับมิลค์กระซิบบอกก่อนจะยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“ชาตื่นแล้ว........”  ผมลากเสียงอ้อนแล้วจุ๊บแก้มพี่โรมคืนในตอนที่เขาดึงผมเข้าไปกอด  “แต่ลุกไม่ไหว ขาไม่มีแรงเลย.... ไม่รู้โดนใครแกล้งเนี่ย.........”

“ใครแกล้ง? ลูกมิลค์แกล้งแม่เหรอ?”

คนตัวสูงทำหน้าเหรอหรา โบ้ยความผิดไปให้ลูกสาวตัวฟูซึ่งนั่งเลียขนทำความสะอาดเท้าอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง ดูจากสภาพทรายเปรอะเต็มตัวแล้ว สงสัยพี่โรมคงจะจับมิลค์ใส่สายจูงแล้วพาไปเดินเล่นชายหาดกันสองพ่อลูกแน่ๆ

“พี่โรมนั่นแหละ ไม่ต้องไปโทษแมวเลย”  ผมแกล้งว่าเข้าให้  “กลับกรุงเทพแล้วพี่ต้องพามิลค์ไปร้านอาบน้ำให้ด้วย ตัวเลอะขนาดนี้ติดหมัดมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“แม่มันก็เลอะทั้งตัว โดยเฉพาะตรงนี้ พี่ต้องพาไปร้านอาบน้ำด้วยไหม?” 

มือหนาล้วงเข้ามาใต้ผ้าห่ม จับโดนขาอ่อนด้านในของผมซึ่งเต็มไปด้วยคราบอย่างว่าแห้งเกรอะกรัง

“ทะลึ่ง.......”

“ก็ใครใช้ให้ทิชาของพี่น่ารังแกขนาดนี้ล่ะ.... จับโดนตรงไหนก็ครางเสียงหวานๆ ให้ได้ยินอยู่เรื่อย นี่พี่อุตส่าห์ออมแรงให้ตั้งเยอะแล้วนะ”

“พี่โรมขี้โม้อะ”

ผมว่าพี่โรมแก้เขินไปอย่างนั้น ใจจริงก็รู้แหละว่าระดับนี้แล้วไม่น่าจะเกินความสามารถเขาหรอก ถ้านับรวมครั้งแรกที่เบอร์ลิคเข้าไปด้วย นี่ก็ครั้งที่สองแล้วที่เรามีเซ็กซ์กันจนฟ้าสาง.... เสร็จรอบหนึ่งก็พักหายใจได้นิดๆ หน่อยๆ ประเดี๋ยวคุณผู้ชายก็ตามมาขึ้นคร่อมจูบผมอีกแล้ว และก็อย่างที่เห็นว่าเราสองคนนั้นโคตรเหมือนแม่เหล็กขั้วต่าง ถ้าไม่หมดแรงจริงๆ ก็ไม่มีหรอกที่จะยอมผละออกจะจากกันง่ายๆ

“อยากลองของจริงไหมล่ะ.... ถ้าทิชายอมให้พี่ขึ้นตอนนี้ พี่ก็พร้อมนะ”

ไม่ทันขาดคำ คนตัวใหญ่เท่าหมีป่าก็เด้งขึ้นมาทับร่างเปลือยใต้ผ้าห่มของผม เกลียดสายตากับคำพูดเหมือนจะถามความสมัครใจแต่จริงๆ แล้วก็คือขอร้องแกมบังคับชะมัด แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะกล้าขัดใจพี่โรมในเมื่อเขาอุตส่าห์แสดงออกว่าต้องการผมขนาดนี้

“ไอ้นั่นของพี่แข็งก่อนที่จะชาบอกว่ายอมอีก........” 

ผมแกล้งชันหัวเข่าขึนสำรวจความพร้อมอีกฝ่ายว่าแค่ราคาคุยหรือเอาจริง ปรากฏว่าตรงนั้นของพี่โรมน่ะพร้อมยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก

“สงสัยเจ้าตัวโตมันจะคิดถึงเนื้อนิ่มๆ ของทิชาแน่เลย”

“คิดถึงอะไร เพิ่งจะเอาออกไปไม่ถึงครึ่งวัน” 

เท่าที่จำได้ ผมว่าผมผลอยหลับไปทั้งที่ส่วนนั้นของพี่โรมยังค้างอยู่ข้างในช่องทาง ก็เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถอนกายออกไปหลังเสร็จกิจหรือหลับไปด้วยกันทั้งแบบนั้น

“แล้วจะไม่ตามใจพี่เหรอ?”

“ตามใจสิ” 

ถึงพี่โรมจะไม่ทำเสียงอ่อย มองหน้าผมคล้ายจะตัดพ้อว่ามีเมียใจร้าย ผมก็ไม่คิดจะทำให้เขาต้องผิดหวังอยู่แล้ว.... กว่าจะได้รักกับเขามันช่างยากแสนยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็ไม่อยากให้พี่โรมขุ่นเคืองใจในตัวผมทั้งนั้น 

"แต่ชายังแสบข้างล่างอยู่เลย.... รอบนี้พี่จ๋าอย่าเพิ่งใส่เข้าไปได้ไหม?”

“อ้อนเก่งนักนะ......” 

ร่างสูงยิ้มหล่อบาดจิตก่อนจะขยับตัวออกให้ผมลุกขึ้นจัดท่าทางได้ตามสะดวก จะนอนคว่ำนอนหงายหรือขึ้นบนลงล่างก็แล้วแต่ผมชอบเลย 

“พี่ก็ตามใจทิชาเหมือนกัน ยังไงก็ได้ ขอแค่ได้กอดเมียก็พอแล้ว”

เมื่อพี่โรมพูดแบบนั้น ผมจึงจัดการให้เขาเป็นฝ่ายนอนราบลงแทนแล้วขึ้นคร่อมด้านบน เราจูบแลกลิ้นกันเพื่อปลุกอารมณ์รักให้ยิ่งพุ่งพล่าน ผมเบียดร่างเปลือยเปล่าเข้าหาให้ชายหนุ่มลูบไล้ทั่วทุกตารางนิ้ว ซึ่งพี่โรมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาทั้งลูบทั้งคลำตรงที่ผมชอบ.... ก็อย่างที่เคยบอกว่าเขาชอบเอาใจผมให้มากๆ ก่อน เพียงแต่วันนี้ผมอยากจะลองเอาใจเขาคืนบ้าง

ผมดึงขอบยางกางเกงขาสั้นของร่างสูงโดยที่เจ้าตัวก็ยินยอมพร้อมใจให้ลงมือได้เต็มที่ แค่พริบตาเดียวปราการซึ่งปกปิดความเป็นชายก็ถูกเหวี่ยงหายไปทางไหนก็ไม่รู้ ส่วนกลางลำตัวแข็งขืนปรากฏสู่สายตา สีเข้มคล้ำฉ่ำเยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฮอร์โมนเพศดึงดูดสายตาผมให้จ้องเขม็งพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างใคร่จะได้ลิ้มรสชาติของมัน.... ท่อนเอ็นร้อนรุ่มนั้นกระตุกเบาๆ เมื่อสัมผัสโดนฝ่ามือ ส่วนปลายยอดสั่นระริกราวกับกำลังรอคอยอย่างเต็มที่ ผมเหลือบสายตามองใบหน้าหล่อของแฟนหนุ่ม แน่นอนว่าดวงตาคมดุคู่นั้นจ้องกลับมาด้วยความปรารถนาอยากจะให้ผมรีบๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปเสียที

“อืม......ทิชา.......อย่างนั้นล่ะ.........”

เพียงแค่เริ่มใช้มือ เสียงทุ้มก็ครางต่ำในลำคอด้วยความพอใจ.... ผมประคองท่อนเนื้อกำยำเอาไว้ด้วยอุ้งมือแล้วขยับรูดขึ้นลงเบาๆ ให้มันขยายความยาวจนเต็มที่ ของเหลวสีขุ่นปริ่มปรอยจากปลายยอดในขณะที่หน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเกร็งแน่น.... ผมกระเถิบตัวคุกเข่าอยู่ตรงกลางหว่างขาพี่โรม ก้มหน้าลงแตะลิ้นแยงรูเล็กที่ส่วนหัวก่อนจะไล้วนเลียไปรอบๆ รอยหยัก ยิ่งชอบใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแอบสะดุ้งกลั้นลมหายใจเพื่อระงับไม่ให้อารมณ์เตลิดไปเร็วนัก แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้วิธีเร่งเร้าความอยากของคู่นอนเสียเมื่อไร

“ดี.....เก่งมาก......แมวน้อยของพี่........”

พอผมรัวลิ้นเลียตรงจุดที่ต่ำกว่าเดิม พี่โรมก็คล้ายจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง เขาเลื่อนมือมาขยำท้ายทอยผมแล้วกดให้หน้าแนบลงกับส่วนกลางลำตัวมากขึ้นไปอีก.... ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายที่คบด้วยทำแบบนี้ให้ผม ผมถึงได้รู้ดีว่าถ้าโดนเลียตรงนี้แล้วล่ะก็มันจะเสียวแปลบไปทั้งร่างยิ่งกว่าโดนไฟชอร์ตเสียอีก

“พี่โรมชอบแบบนี้ไหม.......?”  ผมหยุดลิ้นชั่วคราวแล้วเงยหน้าขึ้นถาม  “อยากให้ชาใช้ลิ้นเลียต่อหรืออมของพี่เข้าไปเลยดี?”

“เด็กอะไร ขี้อ้อนแถมยังยั่วเก่ง.........” 

พี่โรมไล้ปลายนิ้วที่ริมฝีปากผม ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยแรงกำหนัดที่มากเกินจะต้านทาน และเขาก็คงเหนื่อนที่จะอดกลั้นหน่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์เต็มทีแล้ว 

“อมให้พี่ เอาเข้าไปให้สุดแล้วดูดตรงปลายแรงๆ........”

“ถ้าอมให้ แล้วพี่โรมจะรักชามากขึ้นหรือเปล่า?”

“ตอนนี้พี่ก็รักทิชาอยู่แล้วนี่”

“งั้นพี่จ๋าของน้องก็เตรียมตัวไว้เลย รับรองว่าเสียวสะใจแน่”

ผมรู้สึกเบิกบานในใจที่ได้ยินพี่โรมบอกว่ารัก ก็เลยอยากตอบแทนเขาด้วยความสุขให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้

ผมเปลี่ยนจากใช้ลิ้นฉกแรงๆมาเป็นเลียจากโคนขึ้นไปถึงปลายยอด ทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งศีรษะของร่างสูงหงายสะบัดไปด้านหลังเพราะความเสียวซ่านซึ่งปั่นป่วนประสาททุกส่วน ผมดูดปลายแกนเนื้อแข็งขึงตามคำขอของพี่โรมก่อนจะค่อยๆ กลืนกินมันด้วยโพรงปากอันอ่อนนุ่มอย่างเชื่องช้าทีละน้อย ในที่สุดมันก็หายมิดเข้าไปทั้งลำ

ท่อนเอ็นร้อนรุ่มตั้งผงาดอวดความแข็งแรง ผมรูดริมฝีปากขึ้นลงเสียดสีต่อมรับความรู้สึกที่ฝังตัวอยู่รอบอวัยวะเพศชาย เจ้าตัวโตของพี่โรมมันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะเอาเข้าปากทั้งผมได้นานๆจึงต้องสลับระหว่างรูดรั้งด้วยปากและโลมเลียด้วยปลายลิ้นและใช้มือหยอกเย้าเค้นคลึงส่วนฐานไปพร้อมกัน.... เสียงผ่อนลมหายใจและอาการสั่นเกร็งจากร่างสูงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางในลำคอ ชอบปลายนิ้วของเขาซึ่งขยำหัวผมีราวกับจะระบายความเสียวซ่าน พี่โรมหลับตาแน่นขยับสะโพกหนารับกับจังหวะการใช้ปากตามสัญชาตญาณ

“ทิชา........อืม......เมียพี่............”

เมื่อพี่โรมใกล้จะเสร็จ ผมก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นจนแทบหืดขึ้นคอ หยาดน้ำใสปริ่มออกมาจากส่วนหัวของแท่งร้อนปะปนกับน้ำลายผม เสียงดูดเลียดังจนได้ยินชัดกันทั้งคู่.... ผมปรนเปรอพี่โรมอย่างเต็มที่กะว่าจะให้เขาสำลักความสุขตายให้ได้ ขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น รับตัวตนของคนรักเข้าไปให้ลึกที่สุดจนมันแตะถึงผนังคอหอย ก่อนที่ร่างหนาจะซี้ดปากแล้วกระตุกสะโพกแกร่งใส่ผมอย่างแรง

“........ทิชา..........ทิชา...............!”

ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกชื่อผมขณะที่น้ำกามชาวขุ่นหลั่งรดปลดปล่อยออกมาทั้งที่ผมยังไม่ถอนริมฝีปากออก กล้ามท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนคลื่นสวยงามชัดเจน พี่โรมกดหัวผมให้กลืนกินห้วงอารมณ์ของเขาเข้าไปทุกหยาดหยด ท่อนเนื้อที่เครียดขึ้งเขม็งเกลียวอยู่เมื่อครู่เริ่มคลายตัว.... ท่อนแขนแกร่งดึงตัวผมขึ้นมาประกบจูบ แบ่งปันรสชาติความรักที่เขาเพิ่งมอบให้ด้วยกัน เนิ่นนานจนกระทั่งกลีบปากผมบวมเจ่อจากการถูกดูดเม้มแรงๆ พี่โรมจึงเปลี่ยนมาไซ้ซอกคอและหอมแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยวแทน

“ชอบล่ะสิ.... อยากให้ชาทำอีกบ่อยๆ หรือเปล่า?”

“น่ารักฉิบหาย.... ทำไมเมียพี่ถึงได้น่ารักขนาดนี้วะเนี่ย” 

พี่โรมกระซิบเสียงพร่าพลางเลื่อนสายตาลงมองท่อนล่างซึ่งไม่มีสิ่งใดปกปิดของตัวเองที่ได้รับจากดูแลจากผม แล้วจึงเอื้อมมือมาลูบคลำกระตุ้นของผมบ้าง 

“แล้วเราล่ะ อยากให้พี่บอกรักด้วยวิธีไหนดี?”

“ยังไงก็ได้.......ถ้าเป็นพี่โรม ชารับได้หมดทุกอย่างเลย........”

ผมเองก็เริ่มมีอารมณ์ตั้งแต่ตอนที่ทำให้พี่โรมแล้ว ก็เลยไม่ปฏิเสธเมื่อมือหนาสอดล้วงลูบไล้ไปทั่วหว่างขาของผม

“เด็กดี มานั่งตักพี่มา........”

ผมทำตามที่พี่โรมบอกอย่างว่าง่าย ขึ้นไปนั่งซ้อนบนตักกว้างโดยที่หันข้างให้เขา เรียวขาสองข้างแยกออกกว้างโดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องสั่งเลยด้วยซ้ำ ผมหน้าแดงก่ำระหว่างที่มือใหญ่กอบกุมเข้าที่กลางลำตัว สัมผัสอุ่นร้อนที่ได้รับทำให้ผมต้องกระดกสะโพกขึ้นสูงบิดเอวกระสับกระส่ายเมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วขยี้แรงๆ ตรงปลาย

“อ๊ะ......พี่โรม..........”

ผมร้องเสียงกระเส่ายามเมื่อร่างสูงขยับรูดแก่นกายเล็กอย่างเนิบนาบในตอนแรก และทันทีที่อารมณ์ผมเริ่มเตลิดพุ่งทะยาน เขาก็เร่งความเร็วรัวขึ้นลงไม่ยั้ง กลีบปากหยักดูดซอกคอจนขึ้นเป็นรอยแดงนับไม่ถ้วน มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ขยี้ยอดอกผมจนมันตึงแข็งชูชันไม่แพ้ข้างล่าง

“อื้อ............” 

เพราะนี่เป็นตอนกลางวัน ผมได้ยินเสียงแขกจากบ้านหลังอื่นอยู่ไกลๆ ก็เลยพยายามกลั้นเสียงครางด้วยการอ้อนขอให้พี่โรมจูบปิดปากผม แต่หนนี้เขากลับไม่ยอมตามใจง่ายๆ

“ครางเสียงหวานๆ ให้ฟังหน่อยสิครับ.... พี่ชอบฟังทิชาทำเสียงเซ็กซี่นะ......”

เอาอีกแล้ว ทำไมพี่โรมถึงได้ชอบแกล้งให้ผมสติหลุดอยู่เรื่อยเลยนะ?

 “อ๊ะ.....พี่โรม.......อ๊า......พี่จ๋า...............” 

ผมร้องออกมาด้วยความเสียวซ่านเมื่อพี่โรมใช้นิ้วโป้งบดขยี้ลงมาตรงส่วนหัว รู้สึกเสียววูบบริเวณท้องน้อยเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ สติการรับรู้และสายตาเริ่มพร่ามัวเพราะความกระสันปั่นป่วนภายในร่างกายจวนเจียนจะระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟ

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น พี่โรมก็ส่งผมขึ้นสวรรค์ด้วยมือของเขา ผมแอ่นกายขึ้นสูง จิกปลายเท้ากับเตียงทั้งที่ยังอยู่บนตักกว้าง ปลดปล่อยความร้อนรุ่มจนเต็มมือชายหนุ่มพร้อมด้วยเสียงครางกระเส่าอย่างลืมอาย ก่อนจะทิ้งตัวลงแบบไร้เรียวแรงโดยที่พี่โรมยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวดี.... และเมื่อแน่ใจว่าผมได้รับความสุขสมจนถึงที่สุดแล้ว เขาก็หยุดมือแล้วเปลี่ยนมาจูบเคลียเบาๆ ที่ผิวแก้มชื้นเหงื่อ

ผ้าปูที่นอนเลอะเทอะเต็มไปด้วยคราบรักของทั้งผมและพี่โรมคู่ จนผมเริ่มเครียดแล้วว่าพนักงานทำความสะอาดเขาจะด่าเราไหมตอนเก็บไปซัก หรือว่าจะเผาทิ้งไปเลยดี?

“หืม.... ทำไมเจ้าตัวเล็กถึงยังไม่ยอมสงบอีกล่ะ พี่ทำให้จนเสร็จแล้วนี่?” 

พี่โรมแกล้งพูดแหย่เมื่อตรงส่วนนั้นของผมยังคงตั้งตรงและทำท่าว่าจะขยายตัวออกอีกรอบ ก็เพราะเขานั่นแหละที่ยังไซ้คอผมไม่เลิกสักที 

“ถ้ายังเจ็บข้างล่าง งั้นให้พี่เอานิ้วใส่ให้ไหม?”

“ไม่เอานิ้ว.....”  ผมอ้อน  “จะเอาเจ้าตัวโตของพี่โรม ใส่เข้ามาเร็วๆ เลย”

ผมว่าพลางขยับลงจากตักแฟนไปนอนบนเตียง จงใจอ้าขาออกกว้างแล้วยกก้นขึ้นเชิญชวนตามประสาคนยังไม่หาย......ร้อน............

“ไหนว่าเจ็บ.... เซ็กซ์จัดเอาเรื่องนะเราเนี่ย”

คุณผู้ชายทำเหมือนบ่นแต่ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธ เขาตามมาขึ้นคร่อมทับผมแล้วใช้มือปลุกท่อนเอ็นกำยำให้ตื่นขึ้นพร้อมเล่นเกมรักอีกครั้ง

“ถ้าพี่ทำเบาๆ ชาก็ไม่เจ็บหรอก”

“แย่จัง ไม่รู้ว่าพี่จะทำเบาๆ ได้หรือเปล่านี่สิ........”

รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ คนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองอุตส่าห์ออมแรงให้ผมเมื่อคืนตอนนี้กำลังบดเบียดถูไถเจ้าตัวโตที่แสนเกเรเข้ากับเจ้าตัวเล็กแสนดื้อของผม และตอนนี้เราก็ถูกครอบงำด้วยความหลงใหลและปรารถนาในกันและกันอย่างที่สุด 

“แต่ถ้าทำให้เสียวน่ะรับรองว่าได้แน่”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมจับใจความได้ ก่อนที่พี่โรมจะสอดใส่เข้ามาแล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากเสียงครางกระเส่าของตัวเอง.....

.

.

.

“พี่โรม ขอยืมสายชาร์จโทรศัพท์หน่อยสิ.... มือถือชาแบตหมดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้”

“อยู่ในช่องหน้ากระเป๋าสีดำน่ะ หยิบเอาเลยครับ”

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมถึงนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจมือถือเลยตั้งแต่เย็นเมื่อวาน พอหยิบขึ้นมาดูอีกทีก็ปรากฏว่าจอดับสนิทไปเรียบร้อย.... ผมเสียบสายชาร์จทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงในห้องนอนก่อนจะออกไปกินข้าวมื้อบ่ายสองที่พี่โรมสั่งมาจากห้องอาหารของทางวิลล่า

เป็นการมาเที่ยวทะเลที่โรแมนติกแต่ก็บัดซบไปพร้อมๆ กัน เพราะวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปซื้ออาหารทะเลสดที่แหลมแท่นตอนเช้าอีกแล้วเนื่องจากไม่มีใครตื่น เลยคุยกับพี่โรมว่าตอนเย็นค่อยออกไปซื้อของจากร้านเดิมแล้วก็ทำกินเองง่ายๆ แบบเมื่อวานก็แล้วกัน.... ซึ่งก็ดีแหละ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง ผมกะว่าจะออกไปเดินเล่นซื้อไก่ย่างเหลืองๆ จากรถเข็นตรงชายหาดแล้วกลับมาสเก็ตช์ไอเดียการบ้านทั้งหลายแหล่ในรอบสัปดาห์ ระเบียงบ้านพักลมโกรกนั่งสบายน่าจะช่วยให้ความคิดแล่นดี พอกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วค่อยร่างลงคอมกับกระดาษจริง

นอกจากการบ้านแล้ว ผมว่าผมยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องทำอยู่อีก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก....

“เออนี่.... เมื่อเช้าไอ้แดนมันโทรมาหาพี่ด้วย”

ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว รสชาติในปากที่เคี้ยวอยู่เพลินๆ กลายเป็นเฝือนปะแล่มทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“โทรมาเกือบร้อยมิสคอลตั้งแต่เช้า แต่เรากับพี่หลับกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเลย” 

ความรู้สึกเย็บวาบแล่นลงจากหัวจรดเท้าเหมือนโดนน้ำแข็งทั้งถังราดเข้าใส่ ตอนนี้ผมนึกออกแล้วว่าสิ่งที่ลืมไปสนิทใจคืออะไร 

“แต่พอพี่โทรกลับไปตอนเที่ยงกว่าๆ มันดันบอกว่าไม่มีอะไรซะงั้น.... สงสัยจะมาขอยืมของที่ห้องมั้ง วันหลังถ้าทิชาอยู่ห้องคนเดียวแล้วเจอมันมาเคาะประตูก็ทำใจหน่อยนะ ไอ้นี่มันเป็นพวกอยากได้อะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้นเลย เอาใจยาก......”

ผมไม่อยู่ฟังพี่โรมพูดจนจบ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมนัดงานแคสละครที่ตกลงรับปากกับไอ้แดนไว้ก็ทิ้งช้อนส้อมกระแทกจานเสียงดังแคร๊งแล้วรีบวิ่งเข้าไปยังห้องนอนซึ่งตัวเองชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้.... เมื่อเปิดเครื่องก็เห็นข้อความแจ้งเตือนจากไลน์ยาวเหยียด ล้วนแล้วแต่ถูกส่งมาจากเดือนสถาปัตย์ ทั้งคอลไลน์และข้อความที่มันส่งมาเตื่อนเรื่องเวลานัดตั้งแต่เมื่อคืน ผมไม่ได้อ่านเลย ไม่ได้เอะใจหรือฉุกคิดเลยสักนิดว่านอกจากเรื่องเรียน เรื่องที่บ้าน ยัยมิลค์และพี่โรมแล้ว ผมยังมีคนอื่นอยู่ในชีวิตอีก

ทั้งที่ไม่น่าจะลืมได้ แต่ผมก็ลืม.....

“เป็นอะไรไปน่ะ ทิชา?”

“พี่โรม ทำไงดี.........” 

ผมหันไปบอกพี่โรมซึ่งเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง รู้สึกได้เลยว่าเสียงตัวเองสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ 

“วันนี้ชามีนัดต้องไปแคสละครกับแดนตอนเก้าโมง แต่ชาไม่ได้ไป..........”

พี่โรมเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมจำได้รางๆ ว่าเคยบอกเขาเรื่องมีนัดแคสละครวันเสาร์ตอนเช้าไปแล้ว แต่ก็นั่นแแหละ ผมเองก็มัวแต่สนใจพี่โรมแค่คนเดียว พี่โรมก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องที่เบอร์ลิคและความสัมพันธ์ของเราสองคน สุดท้ายก็ลืมไอ้แดนกันทั้งคู่

“เรากลับกรุงเทพกันเลยได้ไหม?”

“กลับไปตอนนี้จะทันเหรอ?” 

พี่โรมย้อนถามอย่างไม่แน่ใจ ดูเขาแปลกใจอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมผมถึงต้องปั้นหน้าเหมือนคนโดนบังคับให้เคี้ยวบอระเพ็ดแล้วห้ามคายทิ้งขนาดนั้น 

“ตอนโทรกลับไปหาไอ้แดน พี่ก็ถามแล้วนะว่ามันมีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า แต่ไม่เห็นมันจะพูดอะไรเลย ไม่ได้บอกพี่ด้วยว่ามีนัดกับทิชา.....”

ผมยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่จิกมือตัวเองอยู่อย่างนั้นด้วยรู้ดีว่าที่ไอ้แดนไม่ยอมบอกพี่โรมว่ามีนัดกับผมก็เพราะมันโกรธ.... ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจเหมือนตอนที่คุยให้มันฟังว่าพี่โรมสำคัญกับชีวิตผมมากแค่ไหน ผมยังจำสีหน้าคล้ายว่าอยากพูดตัดพ้อแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ของมันได้อยู่เลย แม้จะไม่เข้าใจว่ามันจะมาตัดพ้อผมทำไมก็ตาม

พี่โรมเดินเข้ามากอดผมก่อนจะลูบหัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบว่าไม่ต้องคิดมาก

“แดนมันก็คงรู้แหละว่าจริงๆ แล้วทิชาไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้ก็เลยไม่อยากตื๊อ” 

ผมพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วยแต่ก็ยังสลัดความกังวลออกไปไม่ได้ ร่างสูงจึงยื่นโทรศัพท์ซึ่งเปิดหน้าไอจีของญาติผู้น้องให้ผมดู.... สิ่งที่เห็นก็คือรูปเซลฟี่ของเดือนสถาปัตย์คู่จิ้นผมกับใครอีกหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าหน้าตาดีถึงดีมาก แถมออร่าดารายังพุ่งสุดๆ ทั้งสองคนยิ้มร่าแก้มแนบแก้มชนิดที่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสนิทสนมถูกชะตากันเหลือเกิน 

“ทิชาเห็นไหมว่าไอ้แดนน่ะแฮปปี้จะตาย มันไม่คิดอะไรเยอะแยะกับเราหรอก”

“อืม........”

ผมส่งเสียงตอบรับออกมาได้แค่นั้น ในขณะที่มือเลื่อนอ่านคอมเมนท์ที่บรรดาแฟนคลับไอ้แดนเข้ามาหวีด ผมไม่เห็นแฮชแท็ก #แดนทิชา อีกแล้ว เพราะสิ่งที่กำลังอินเทรนด์อยู่ในเวลานี้คือ #แดนปาย ต่างหาก

คู่จิ้นใหม่ของไอ้แดนคงชื่อปายสินะ....?

“เอาไว้ถ้ามันโกรธ เดี๋ยวพี่จะช่วยคุยให้ก็แล้วกัน.... ก็พี่เป็นคนบังคับพาเรามาเที่ยวแบบไม่บอกล่วงหน้านี่นะ ทิชาไม่ผิดสักหน่อย” 

ร่างสูงบอกพลางจับมือผมแล้วพากลับออกไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวตรงระเบียงบ้านด้วยกัน เขาก้มลงมาจูบหน้าผากเสมือนหวังว่ามันจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลจริงแหละ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น 

“ออกไปกินข้าวกันต่อเถอะ ทิ้งยัยมิลค์ไว้ข้างนอกตัวเดียวตั้งนานแล้ว.... เดี๋ยวมันจะโกรธเอานะ”



ทริปบางแสนกะทันหันของผมกับพี่โรมจบลงในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ โดยที่เราสองคนไม่ได้คุยกันเรื่องที่ผมผิดนัดไอ้แดนอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมไปว่าตัวเองนั้นน่าโดนด่าแค่ไหน

ผมบอกให้พี่โรมแวะร้านของฝากที่ตลาดหนองมน ซื้ออะไรต่อมิอะไรมากมายด้วยความรู้สึกผิด และทันทีที่กลับถึงคอนโดฯ ผมก็หอบของกินทั้งหมดที่ซื้อมาไปยืนกดกริ่งหน้าประตูห้องไอ้แดน.... ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีวี่แววว่ามันจะมาเปิดประตูให้ทั้งๆ ที่ผมเห็นจากช่องใต้ประตูว่ามีแสงไฟลอดออกมา สุดท้ายผมก็เลยต้องเอาถุงของฝากจากบางแสนแขวนให้กับลูกบิดประตูหน้าห้อง แต่ที่เหี้ยที่สุดก็คือพอเช้าวันต่อมา ผมเอาขยะไปทิ้งตรงจุดทิ้งขยะของคอนโดฯ ก่อนจะออกไปเรียน ปรากฏว่าขนมของกินที่ผมตั้งใจซื้อมาให้ไอ้แดนถูกทิ้งอยู่ในนั้นทั้งถุง

ผมส่งไลน์ไปถามพร้อมแนบรูปที่ถ่ายไว้เป็นหลักฐาน ก็แค่อยากรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงต้องลงกับข้าวของแบบนี้ มันกดอ่านแต่ไม่ยอมตอบ

แน่ละ ก็คราวนี้มันโกรธผมจริงๆ นี่....

.


.


.

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
บ่ายวันจันทร์มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมซึ่งต้องเรียนรวมกับพวกคณะสถาปัตย์ ผมคิดว่าจะขอเคลียร์กับไอ้แดนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงแม้พี่โรมจะบอกว่าไม่เป็นไรและให้ผมแกล้งทำลืมๆ ไปซะ เอาไว้พอสถานการณ์ดีขึ้นแล้วเขาจะช่วยคุยกับน้องชายให้เอง อันที่จริงผมก็อยากทำตามที่พี่โรมว่า แต่เสี้ยวหนึ่งในใจผมกลับกระสับกระส่ายทนไม่ได้ที่จะต้องรอนานขนาดนั้น

อย่างน้อย ผมก็ควรขอโทษมันต่อหน้า ไม่ใช่แค่ส่งข้อความไปทิ้งไว้เหมือนคนขี้ขลาดและไร้ความรับผิดชอบ.... ถูกไหม?

ตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องบรรยาย ไอ้แดนนรกนั่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผมจำได้ว่าคนสวยๆ ที่นั่งอยู่ติดกับมันคือดาวคณะสถาปัตย์ปีสองชื่อเบลล์ ทั้งกลุ่มกำลังคุยกันอย่างออกรสส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่นและไม่สนใจคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกพ้องของตนเองเลย

พอเห็นมันมีผู้คนรายล้อมเป็นเดือนเด่นแบบนี้ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วนายดรัณภพเป็นคนดังประจำมหาวิทยาลัยมาแต่ไหนแต่ไร แค่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่มันมาเกาะติดผมก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไร้ญาติขาดมิตร ต่อให้มันไม่มีผมก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นจะตายเสียหน่อย

มีแต่ผมนี่แหละที่จะเป็นจะตายเพราะถูกมันเมินใส่....

“แดน”

ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาแดนก่อน ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายเต้นแรงจนจะหลุดออกมาเพราะความกดดันล้วนๆ ไม่ได้มีความตื่นเต้นเขินอายเจือปนแบบเวลาเข้าหาพี่โรมเลยสักนิด แล้วมันก็แย่อย่างที่คิดเมื่อผมรู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่คล้ายจะจ้องมองพุ่งตรงมาเหมือนลูกธนู ทั้งจากเพื่อนๆ มันและคนอื่นที่อยู่ในห้อง

“แดน.........”

ผมเรียกครั้งที่สองแล้วแต่เจ้าของชื่อก็ยังเฉย

“แดน.......................!”

เสียงผมดังขึ้นไปอีก คราวนี้มั่นใจแล้วว่ามันต้องได้ยินแน่ๆ แต่เล่นตัวไม่ยอมหันมา จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไม่น่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยสะกิดบอกให้มันดูว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือ ทิชา ทิชนันท์ มันถึงได้เปิดปากทักตอบอย่างเสียมิได้

“มีอะไรเหรอ ทิชา?”

“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”  ผมเอ่ยถามพลางชี้หัวแม่โป้งไปทางประตูห้อง เป็นเชิงบอกให้มันตามออกมาคุยกันข้างนอก  “แค่แปบเดียว ไม่กี่นาที คงไม่รบกวนเวลามึงมากนักหรอก”

“ถ้าอยากคุยก็คุยตรงนี้เลย.... อาจารย์จะเข้าแล้ว เราขี้เกียจลุก”

น้ำเสียงเย็นชากับคำเรียกแทนตัวที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้ว่าคงหมดหวังที่จะให้ไอ้แดนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว.... ถึงผมกับมันจะไม่ใช่เพื่อน ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ผมเป็นฝ่ายตัดบทรำคาญและหลบลี้หนีหน้าก็ยังดีกว่าการต้องมาตามปรับความเข้าใจกับคนที่ตัวเองเคยบอกว่าเกลียดเช่นนี้

“ระ......เราอยากคุยเรื่องเมื่อวันเสาร์.........” 

ผมพูดตะกุกตะกัก ปากคอยิ่งสั่นเข้าไปใหญ่เพราะต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนนับสิบ แน่นอนว่าผมเถียงไม่ได้และไม่มีสิทธิ์ทำฮึดฮัดฟัดเหวี่ยงไม่พอใจด้วยในเมื่อหนนี้มันเป็นความผิดของผมจริงๆ 

“ขอโทษที่ผิดนัด.......คือว่าวันนั้น............”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษก็ได้” 

ไอ้แดนชิงพูดขึ้นก่อนที่ผมจะขอโทษจบ มันโคลงหัวไปมาแล้วก็ยิ้มอ่อนเหมือนไม่อยากถือสาหาความกับคนโกหกไม่รักษาสัญญา ทว่า แววตาสีเข้มซึ่งจ้องมองมานั้นก็สื่อความนัยชัดเจนว่ามันไม่ได้อภัยให้ผมจริงดังปากกว่า 

“เฮียโรมบอกเราแล้วว่าทิชาเพลียมาก หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี.... เราเข้าใจนายนะ ผัวเมียข้าวใหม่ปลามันก็เหนื่อยเพราะเรื่องแบบนี้ทุกคู่แหละ”

“ข้าวใหม่ปลามันเหนื่อยเรื่องอะไรวะ?” 

เพื่อนอีกคนหนึ่งแกล้งถามชงขึ้นมา ผมถึงกับหน้าร้อนวูบเพราะรู้ดีว่ากำลังจะถูกล้อเลียนให้ได้อับอาย

“ก็โดนผัวจับเยจนลุกไม่ขึ้นไง.... ไอ้ห่า ถามมาได้นะมึง!”

ถ้าเป็นคนอื่นตอบ ผมก็อาจจะไม่อะไรเท่าไร แต่เพราะคนที่พูดประโยคนั้นออกมาต่อหน้าธารกำนัลคือไอ้แดน ผมก็เลยยิ่งรู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดเข้ากลางแสกหน้าอย่างจัง.... ทั้งๆ ที่เคยพูดให้มันฟังแล้วว่าชีวิตผมต้องพบเจอกับความบัดซบแบบไหนมาบ้าง ทั้งๆ ที่คิดว่ามันน่าจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเกาะติดพี่โรม แต่ในความเป็นจริงก็คือไอ้แดนไม่ได้เข้าใจผมเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังซ้ำเติมด้วยการทำให้ทุกคนรุมจ้องผมด้วยสายตาซึ่งมีคำพูดห้อยท้ายว่า  ‘อ้อ ที่แท้ก็เพิ่งไปนอนให้ผู้ชายเอามานี่เอง..........’


“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ยังไงก็ขอโทษอีกทีแล้วกัน.............”

ผมเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินออกมาจากห้องบรรยาย หนีเข้าไปหลบพักสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำเมื่อรู้ว่าสภาพตัวเองในขณะนี้ไม่พร้อมที่จะนั่งกางหนังสือจดเล็คเชอร์ตามปกติได้แน่.... เสียงหัวเราะครืนไล่หลังจากกลุ่มสถาปัตย์ยังคงหลอนอยู่ในโสตประสาท ผมกวักน้ำล้างหน้าแรงๆ พยายามปลอบใจตัวเองซ้ำๆ ว่าแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก หนักกว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว อีกไม่นานทุกคนก็จะลืม อีกเดี๋ยวเหตุการณ์พวกนี้มันก็จะผ่านไป......

ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว

ผมมีพี่โรม.... แล้วผมก็เข้มแข็งขึ้นมากแล้วด้วย.........



“ทิชา.....!”

ผมสะดุ้งโหยงจนมือไม้สั่นเมื่อเสียงห้าวเดิมๆ ซึ่งได้ยินบ่อยจนกลายเป็นเสียงคุ้นหูดังขึ้นตรงหน้า โทรศัพท์มือถือที่กำลังจะต่อสายหาพี่โรมเกือบร่วงหล่นลงกระแทกพื้นห้องน้ำ.... คนที่ตามผมออกมาจากห้องบรรยายก็คือไอ้แดน ฟังจากน้ำเสียง สังเกตจากแววตาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้ตามมาง้อหรือขอโทษที่แหกผมต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นปีถึงสองคณะ หกภาควิชาเมื่อกี้นี้

“ลืมบอกไป สัญญาที่มึงให้ไว้กับกูนั่นน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ กูจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น.... กูจะไม่บอกเฮียโรมว่ามึงหลอกเอาข้อมูลชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคจากกูแล้วก็ถีบหัวส่ง ถึงแม้ว่ามึงจะตั้งใจเบี้ยวกูแบบเนียนๆ ตั้งแต่แรกก็เหอะ!”

“แดน....กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ............” 

ผมพูดออกไปแล้วก็นึกได้ว่าป่วยการเปล่าที่จะมาขอโทษในสิ่งที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ผมทำร้ายความรู้สึกไอ้แดนไปแล้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในเวลานี้ก็คือการแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ตีหน้าเศร้าแล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป 

“มึงจะให้กูชดเชยยังไงก็บอกมา ถ้าหากกูทำได้...........”

“มึงไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังกูเลย ทิชา!”

ไอ้แดนตวาดผม ใบหน้ามันแดงก่ำอย่างคนโกรธจัดก่อนจะเอื้อมมือมาผลักไหล่ผมให้เซถลาไปชนผนังข้างอ้างล่างหน้า

“กูผิดเองแหละที่โง่เชื่อใจคนตอแหลจัญไรอย่างมึงมากจนเกินไป กูแม่งเหี้ยเองที่ยัดเยียดให้มึงทำในสิ่งที่มึงเกลียดนักเกลียดหนา!” 

ร่างหนาเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้สองแขนยันกำแพงด้านหลังเอาไว้ กักขังตัวผมไม่ให้ขยับเขยื้อนหนีไปทางไหนได้ ต้องฟังคำด่าทอสาปส่งซึ่งนายดรัณภพใช้ถากถางกรีดหัวใจผมเต็มสองรูหูทุกคำ 

“ถ้ามึงไม่มีใจจะทำก็ไม่ต้อง เอาเวลาไปปรนนิบัติดูแลเรื่องเซ็กซ์ให้เฮียโรมเหอะ.... งานถนัดมึงอยู่แล้วนี่ เอาใจผัวทุกคนด้วยการอ้าขาให้เขาเสียบน่ะ!”

ถูกด่าแบบนี้แม่งเจ็บยิ่งกว่าถูกต่อยอีก.... น้ำตาผมไหลออกมาทันทีที่ไอ้แดนพูดจบ จะเช็ดหรือกระพริบตาถี่ๆ ให้มันย้อนกลับเข้าไปก็ไม่ได้ ปมด้อยของผมถูกขยี้จนเละคาฝ่าเท้าคนตรงหน้า ผมไม่ได้อยากถูกด่าว่าร่าน ไม่ได้อยากถูกตราหน้าว่าดีแต่ใช้เรื่องอย่างว่ามัดใจผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต.......แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะมีคนรักผมเหรอ.......จะมีจริงๆ เหรอ............

“พี่ชายกูเขาแค่เอามึงเล่นๆ เพราะมึงมันง่ายไง เดี๋ยวพอเขาเบื่อ เขาก็เฉดหัวมึงทิ้งแล้ว.... ไม่มีใครรักคนอย่างมึงจริงหรอก ร่านเอ๊ย!”

“แดน.........” 

น้ำเสียงผมแหบแห้ง ต่างจากใบหน้าซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำตาและหัวใจช้ำเลือดช้ำหนอง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตนเองกำลังเอ่ยเรียกอยู่ด้วยซ้ำ 

“กูรู้ว่ามึงโกรธมาก......แต่มึงต้องพูดกับกูแรงขนาดนี้เลยเหรอ..........”

“ทีเวลามึงด่ากูว่าไอ้แดนนรก ทำท่ารังเกียจกูต่อหน้าคนทั้งมหาลัย กูยังไม่เคยว่ามึงกลับเลยสักคำ!”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่แดนทิ้งเอาไว้ก่อนที่มันจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมซึ่งทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

โชคดีที่คาบเรียนภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว ระเบียงทางเดินจึงไม่มีคนเดินสวนกันไปมามากนัก ผมพยายามประคองตัวเองออกมาตรงบันไดหนีไฟตึกแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้กลับไปห้องบรรยายที่ต้องเรียนรวมกับพวกคณะสถาปัตย์.... ผมนึกทบทวนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งผ่านไป แต่ไม่ว่าจะหาทางเข้าข้างตัวเองอย่างไร ห้วงความคิดก็วกกลับมายังจุดที่ว่าผมเป็นคนไม่ดี ผมเป็นคนโกหกหลอกลวง ผมเป็นคนมักมากเรื่องเซ็กซ์และหมกมุ่นกับความรักที่มีให้พี่โรมราวกับคนบ้า

ผมไม่ได้คิดว่ามันผิด แต่มันก็ยังคงเป็นความผิด

ผมคิดว่าสิ่งที่มอบให้พี่โรมคือความรัก ในขณะที่ไอ้แดนและทุกคนบนโลกนี้ตัดสินว่ามันคือความร่าน

แต่ถ้าผมสามารถแก้ไขความผิดครั้งนี้ได้ ความรักของผมก็จะยังคงเป็นความรักได้อยู่ใช่ไหม?

จะไม่มีใครบอกว่าพี่โรมก็แค่อยากเอาผมเล่นๆ พอเขาเบื่อแล้วก็จะทิ้งผมไปเหมือนอย่างที่คนก่อนๆ เคยทิ้งผมใช่หรือเปล่า.....?



ไอโฟนในมือผมยังขึ้นหน้าจอที่กดเบอร์พี่โรมค้างเอาไว้ แต่ผมไม่ได้โทรไปหาเขาแล้วเล่าทุกอย่างที่ไอ้แดนพูดให้ฟัง ปลายนิ้วผมสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นซึ่งขับเคลื่อนมาจากข้างในอกก่อนจะยกโทรศํพท์ขึ้นแนบหู.... รอคอยอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งปลายสายส่งเสียงตอบรับกลับมา


‘ฮัลโหล ทิชา.......?’

‘ตอนนี้แกอยู่ไหน? ไปเรียนหนังสือบ้างหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมไม่กลับบ้านตั้งหลายวันแล้วไม่โทรบอกแม่เลยสักคำ.... แล้วนี่เอาแมวไปด้วยใช่ไหม?’



“แม่ครับ..........ช่วยผมด้วย...........’



TO BE CONTINUE



 :hao7: :katai5: :ling1: :ling3:

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ว่าแล้ว ว่ามันจะต้องลงเอยอย่างนี้ ทิชากินมาม่าไปตามระเบียบ  :katai5:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แดนก็นะ ถึงมันจะจริงทุกคำพูดก็เหอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เฮ้ออออ สงสาร

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :katai1:

จะกินมาม่าอีกแล้ว ฮือ

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
แดน นี่คือคำพูดของคนที่บอกว่าทิชาคือความรักงั้นเหรอ
แกพูดทำร้ายจิตใจเค้าแบบนี้ทั้งๆที่รู้ว่าทิชาต้องเจออะไรมาบ้าง
ขอให้ทิชาเกลียดแกไปเลยแล้วหลังจากนี้ถ้ารู้สึกผิดขึ้นมา
ก็ขอให้ทิชาไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่แกพูดกับทิชาอีกเลย
#ไอ้แดนนรกเอ้ยยยย!!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สะเทือนใจแทนทิชา ก็เข้าใจแดนได้ว่าทั้งผิดหวังทั้งเสียความรู้สึก แต่เวลามันก็ผ่านมาข้ามวัน น่าจะบรรเทาลงบ้าง คำพูดที่พูดไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้นะ ถ้าจะไม่มาเสียใจทีหลังก็แล้วไป

ออฟไลน์ lowmantic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านไป 4 ตอนแรก ทนอ่านต่อไม่ไหว มันหน่วงๆมันเทาๆมันอึมครึม จนต้องขอรอให้เรื่องนี้อัพจบแล้วค่อยขอกลับมาอ่าน คือ คนเขียนแต่งดีค่ัะ ดีมากเลยอะ ที่จริงเราได้อ่าน 4 ตอนแรกเมื่อวานนะ แต่จนถึงตอนนี้ความรู้สึกหม่นๆหน่วงๆของทิชามันยังติดอยู่ในใจเราเลยอะ จนต้องหาเวลาว่างเข้ามาเมนท์เป็นกำลังใจให้คนเขียนหน่อย ขอบคุณคนเขียนนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME’s PART



หลังแจ้งขอลาออกจากเบอร์ลิคกับเฮียรุจอย่างเป็นทางการ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลับเข้ามาที่คณะวิศวะฯ.... ปกติแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายในเบอร์ลิคจะไม่ถูกนำมาพูดข้างนอก แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่ามันจะรวมถึงวีรกรรมแหกคอกไม่เดินตามรอยรุ่นพี่ของผมด้วยหรือเปล่า เพราะตั้งแต่จอดรถจนกระทั่งเดินมาถึงตรงนี้ ต่อให้ไม่ได้ยินชัดเต็มสองหู ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนมองและนินทาห่าเหวอะไรก็ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา

ตราบใดที่คำพูดพวกนั้นไม่ได้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผม ผมก็ไม่อยากสนใจนักหรอก.... คนพวกนั้นไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ได้ให้เงินผมใช้ ไม่เคยเลี้ยงข้าว แล้วก็ไม่ได้มาช่วยผมทำโปรเจ็กส่งอาจารย์ แต่ถ้ากล้ามาพูดให้ฟังต่อหน้าแล้วคิดว่ารับได้ตอนโดนผมกระทืบเละคาส้นตีน อันนี้ก็เอาที่สบายใจเลย

“เฮ้ย ไอ้แจ็ค.... เอาการบ้านไดนามิคมาลอกหน่อยดิวะ” 

ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ในห้องภาคเครื่องกลก่อนจะเอ่ยปากขอลอกงานเพื่อนแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ

หากแทนที่ไอ้แจ็คมันจะเออออยกการบ้านให้ผมลอกแต่โดยดี แต่มันกลับดึงชีทเอาไว้แน่นแล้วส่งสายตาคาดโทษซึ่งมีคำด่าเป็นล้านแฝงอยู่มาให้แทน

“เชี่ยโรม มึงหายหัวไปไหนมาทั้งเสาร์-อาทิตย์?”

“ไปเที่ยวทะเลพักผ่อนสมองนิดหน่อย”

“กับใคร?”

“นี่มึงเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อกูกันแน่วะเนี่ย?” 

ผมย้อนถามอย่างงงๆ ถึงแม้ว่าระหว่างผมกับไอ้แจ็คจะไม่ได้มีความลับอะไรต่อกัน แต่เท่าที่คบกันมา มันเองก็ไม่เคยเห็นจะถามซอกแซกเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของผมอย่างกับเป็นผู้ปกครองขนาดนี้ 

“ไปกับทิชา.... อ้อ แล้วก็ลูกสาวกูด้วย ชื่อมิลค์”

อุตส่าห์นึกว่ามันจะถามต่อว่าลูกสาวผมคือตัวอะไรมาได้ยังไง เตรียมจะเปิดรูปในมือถือให้ดูอยู่แล้วเชียว ทว่า ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าก็ยังไม่รับมุข แถมยังดึงดราม่าด้วยการเปิดประเด็นคุยเรื่องซีเรียสแทน

“ตกลงว่ามึงเลือกแล้วสินะ?” 

แจ็คถามน้ำเสียงเครียด ไม่ต้องขอให้ขยายความก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันกำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“ก็อย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ” 

ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แม้จะพอรู้อยู่ว่าการตัดสินใจทิ้งบีบี๋และหันหลังให้เบอร์ลิคอาจทำให้ผมถูกมองว่าเป็นพวกใจหมาที่ทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของรุ่นพี่และนอกใจแฟนตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความรักจากทิชา ชีวิตเรียบง่ายในคอนโดฯ ที่มีเพียงแค่ผม แฟนผมกับแมวที่เราสองคนเรียกว่าลูกสาวอีกหนึ่งตัว ซึ่งผมก็พอใจมากด้วยที่เรื่องราวมันจบลงแบบนี้ 

“กูกับทิชาใจตรงกันแล้ว ถึงตอนเริ่มต้นจะไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่ตอนนี้กูรู้สึกว่าน้องมันน่ารักแล้วก็จริงใจกับกูที่สุด.... เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้ทิชามีความสุขได้ กูก็อยากทำให้ทุกอย่างเท่าที่จะทำไหว........”

“ในฐานะเพื่อนและแฝดรหัส กูดีใจนะที่ได้ยินว่ามึงลาออกจากเบอร์ลิคเพราะรักน้องทิชาจากใจจริง ไม่ใช่ว่าใช้น้องมันเป็นข้ออ้างบังหน้าในการลาออกเพราะมึงเบื่อที่จะต้องอยู่ภายใต้ระบบเกียร์กับคำสั่งของเฮียรุจ”

“อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น?”

เรียวคิ้วผมขมวดเป็นปมแน่นหลังได้ยินสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดออกมา

“กูไม่ได้คิด........”

ไอ้แจ็คส่ายหน้า ก่อนจะบอกให้ผมรู้ว่าโลกรอบๆ ตัวนั้นหมุนไปถึงไหนแล้วระหว่างที่ผมนอนกอดทิชาอยู่บางแสน 

“แต่คนอื่นเขาคิดกันว่ามึงไม่ได้รักน้องทิชา แต่ที่ไม่ยอมเล่นตามเกมเฮียรุจก็เพราะอย่างที่บอกไปเมื่อกี้”

“เหี้ยจริง มีปากแม่งก็พูดไป!”

“ก็ถ้ามึงรักกับน้องเขาเงียบๆ มันก็คงไม่มีใครปากมากได้หรอก แต่มึงเล่นจูงแมวไปยืนรอน้องทิชาถึงหน้าตึกสินกำ เปิดตัวหักหน้าแฟนเก่าขนาดนั้นจะไม่ให้ใครพูดถึงเลยก็คงไม่ใช่แล้ว” 

ผมนิ่งไปเมื่อเพื่อนสนิทติงกลับมาว่าตัวผมเองนี่ล่ะคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พวกที่ไม่เคยรู้สี่รู้แปดอะไรด้วยพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของผมกับทิชาสนุกปาก ตบท้ายด้วยประเด็นเดิมๆ เกี่ยวกับอดีตที่ไม่ค่อยสวยงามนักของแฟนผมซึ่งจนป่านนี้แล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่อีก 

“อย่าโกรธนะที่กูต้องพูดตรง แต่ส่วนหนึ่งมันก็มาจากชื่อเสียงในทางแย่ๆ ของน้องทิชาเองด้วย.... เกือบทุกคนที่รู้ว่ามึงเลิกกับบีบี๋ไปคบทิชาก็คิดเหมือนกันหมดว่ามึงแค่คบไว้ฟันเล่นๆ ไม่จริงจัง หรือไม่ก็อยู่ในช่วงหลงเพราะน้องมันสวยแล้วก็ท่าทางจะพาขึ้นเตียงได้ง่าย พอเบื่อเดี๋ยวมึงก็คงเลิกแล้วกลับมาหาน้องบีบี๋ กลับเข้าเบอร์ลิคเหมือนเดิม”

“ไอ้แจ็ค ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกู กูคงต่อยปากมึงไปแล้ว”

“กูบอกแล้วไงว่ากูแค่พูดตรงๆ จากมุมมองของคนนอกที่มึงเองก็ควรรู้ไว้ แต่ถ้ามึงจะไม่ใส่ใจก็ไม่ต้องแคร์ ปล่อยผ่านไป”

“พูดตรงกับปากหมาแม่งก็ใกล้เคียงกันแหละวะ”

ไอ้ปล่อยน่ะ ผมปล่อยแน่ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทิชาจะพร้อมปล่อยวางเรื่องในอดีตแล้วเชื่อใจผมคนเดียวอย่างที่เราเคยคุยกันได้จริงหรือเปล่า

ผมรู้ว่าน้องมันค่อนข้างกลัวแล้วก็คิดมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ยิ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผมทิ้งบีบี๋มาหาทิชา และทิชาก็ได้ชื่อว่าแย่งแฟนเพื่อนตัวเอง ความระแวงว่าจะถูกผมทิ้งก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว.... แค่สองวันเต็มๆ ที่อยู่ด้วยกัน ผมกลับสังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่างในตัวเด็กคนนั้น ทิชาไม่กล้าขัดใจผมเลยไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม ถึงจะแกล้งทำเป็นเถียงบ้างแต่สุดท้ายก็แค่ยิ้มแล้วปล่อยให้ผมเป็นคนกำหนดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาหารการกิน เวลาที่เราจะออกไปเดินเล่นด้วยกัน ของที่จะซื้อ หรือแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง

เรื่องผิดนัดไอ้แดนก็เหมือนกัน พอผมบอกว่าอย่ากลับเลย ทิชาก็ไม่กลับและไม่แม้แต่จะพูดถึงอีก

และสิ่งที่ผมพอจะทำเพื่อคนรักของตัวเองได้ในเวลานี้ก็คงมีแค่ปกป้องและประคองหัวใจซึ่งเหมือนแก้วร้าวดวงนั้นให้อยู่ต่อไปให้ได้

“กู........ไม่อยากให้ทิชาได้ยินเรื่องพวกนี้...........”

“อ่อนแอก็แพ้ไป มาบอกกูก็คงช่วยอะไรไม่ได้ว่ะ”

“ยกเว้นบีบี๋ ทิชาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลยนะ.... มีแต่พวกเหี้ยๆ อย่างไอ้เอก กับไอ้กุ๊ยที่เรียนวิทยาฯ สอง-สามตัวนั้นแหละที่จ้องจะเอาเปรียบทิชา พอไม่ได้อย่างใจก็สร้างข่าวลือหมาๆ ใส่ร้ายโยนความผิดให้น้องมันรับไปคนเดียว!”

“มึงเชื่อแบบนั้นก็ดีแล้วนี่”

“อะไรวะ.... นี่มึงหลอกด่ากูอยู่หรือไง?” 

ผมชักจะฉุนขึ้นมาเมื่อไอ้เพื่อนเวรไม่ยอมช่วยคิด แถมยังพูดจากำกวมคล้ายจะบอกว่าผมเป็นมนุษย์โลกสวยและใสซื่อที่เชื่อสนิทใจว่าทิชาคือเหยื่อที่ถูกคนรอบข้างทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว

“เปล่า กูกำลังชมมึงต่างหาก.... เพราะมึงคงเป็นคนเดียวที่มองข้ามกำแพงอคติและข่าวลือที่กีดกันน้องเขาออกจากสังคม จนกระทั่งเข้าไปเจอตัวตนจริงๆ ของน้องทิชาได้ ไม่ว่ามันจะเป็นรักแท้ หรือเป็นแค่ความหลงชั่วครู่ชั่วคราว แต่กูก็นับถือใจมึงในจุดนี้”

แจ็คแก้ความเข้าใจให้ผมใหม่ แม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางของมันจะดูไม่ค่อยยินดีกับความรักของผมกับทิชานัก ผมคิดว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างซึ่งยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ถึงอย่างนั้น มันก็ยังอุตส่าห์ทำหน้าที่ที่ปรึกษาที่ดี ให้คำแนะนำไปตามเรื่องตามราวอย่างที่ควรจะเป็น 

“อันที่จริงปัญหาของมึงกับทิชาแม่งก็ไม่ได้ยากเลยนะ.... มึงรักน้อง น้องรักมึง งั้นพวกมึงสองคนก็รักกันต่อไปสิ แค่มึงไม่ทิ้งทิชาไปกลางคันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความรักของพวกมึงสองคนน่ะของจริง อยู่ที่ว่าตัวมึงเองจะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่าก็เท่านั้น”

ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของแจ็คก็ดังขึ้น มันหยิบขึ้นมารับโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

“ครับ เฮีย”

“สี่โมงเย็นใช่ไหมครับ.... ได้ครับ ผมจะพาบีบี๋ไปที่ร้านเอง”

สั้นๆ แค่นั้นแล้วก็วางสาย แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมมีคำถามตามมา

“เฮียรุจ........เขาดูแลบีบี๋ดีหรือเปล่าวะ?”

ผมยังจำคำพูดตัวเองในตอนที่โทรไปขอลาออกจากสายกับเฮียรุจได้ดี หนึ่งในสิ่งที่ผมเอ่ยปากกับจากรุ่นพี่ที่นับถือก็คือขอให้เขาดูแลบีบี๋ ในเมื่อเฮียรุจมีอะไรกับอดีตแฟนผม ยอมยกเกียร์ให้ใส่ ผมก็คิดว่ามันคือความรับผิดชอบของเฮียรุจแบบเดียวกับที่ผมรับผิดชอบความรู้สึกของทิชา

“มึงลาออกจากเบอร์ลิคไปแล้ว เรื่องในร้าน กูไม่ควรเล่าให้มึงฟัง”

แน่นอนว่าแจ็คต้องปฏิเสธ มันทำตามกฎของเบอร์ลิคที่ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นภายในร้านให้คนนอกรู้

“กูลาออกจากเบอร์ลิค ออกจากระบบเกียร์ แต่กูไม่ได้ลาออกจากการเป็นเพื่อนมึงนะ ไอ้แจ็ค”

ผมย้อนให้มันคิดและตัดสินใจเลือกว่าสำหรับมันแล้ว มิตรภาพยังมึความสำคัญอยู่หรือเปล่า หรือว่าพอผมตัดขาดจากเบอร์ลิคแล้วมันจะตัดผมออกจากการเป็นเพื่อนด้วย

“แต่ถ้ามึงจะไล่กูออกหรือลดตำแหน่ง ก็แล้วแต่มึงละกัน”

แจ็คถอนหายใจยาว มันอาจจะแอบด่าว่าผมเป็นเพื่อนเหี้ยที่มากดดันง้างปากให้มันแหกกฎเหล็กของเฮียรุจตาม แต่เอาวะ ถึงจะเป็นเพื่อนเหี้ยแต่อย่างน้อยก็ยังมีคำว่าเพื่อนอยู่ในนั้น

“............สองล้าน”

“อะไรสองล้าน?”

“น้องบีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน” 

ผมตกใจเผลอแหกปากร้องห๊ะออกมาทันที ในขณะที่ไอ้แจ็คกลอกตาทำหน้าเอือมๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องคาดไม่ถึงกับสิ่งที่มันกำลังจะเล่าต่อไปนี้แน่ 

“หนึ่งล้านแรกเป็นค่ายืมเกียร์รุ่น 32 เอาไปใช้บังคับให้มึงทิ้งทิชาแล้วกลับมาคบกับน้องบีบี๋ต่อ ก็ที่เฮียรุจแกขู่ว่าจะไม่ให้มึงไปฝึกงานกับพี่อ๊อดถ้ามึงไม่ยอมเป็นทาสรับใช้น้องบีบี๋นั่นแหละ.... แต่สุดท้ายมึงก็เลือกตัดสายแล้วลาออกจากเบอร์ลิคไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่าน้องบีบี๋เสียค่าโง่สร้างหนี้ให้ตัวเองฟรีๆ หนึ่งล้านโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง”

“แล้วล้านที่สองล่ะ?” 

ผมรีบถามต่อ ข้างในหัวสมองยิ่งว้าวุ่นขณะพยายามจับต้นชนปลายปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอดีตแฟน

“เงินล้านที่สองเป็นค่าชดใช้ความเสียหาย.......” 

น้ำเสียงไอ้แจ็คฟังดูไม่เชิงว่าจะกล่าวโทษผม แต่เนื้อหาใจความนั้นบ่งบอกชัดว่าผมคือหนึ่งในต้นสายปลายเหตุของหนี้สิ้นท่วมหัวซึ่งบีบี๋จำเป็นจะต้องจ่ายให้เจ้าของเบอร์ลิค

“เพราะมึงลาออกจากเบอร์ลิค เท่ากับทำให้เฮียรุจเสียรุ่นน้องที่แกไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งไป ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าเฮียรุจกะจะปั้นให้มึงเป็นหัวหน้าคอยช่วยดูแลเด็กๆ ในสายรุ่นต่อไป แล้วเฮียรุจก็หวังว่าจะใช้เส้นสายทางบ้านมึงไปเปิดร้านเหล้าบนเกาะพงันด้วย แต่พอมึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ เฮียแกก็เลยไปเพิ่มค่าเสียหายจากน้องบีบี๋ที่เป็นตัวต้นเหตุ”

“บีบี๋ก็ยอมจ่ายง่ายๆ งั้นเรอะ........?”

“กูไม่รู้รายละเอียดว่าตอนนี้น้องมันจ่ายอะไรยังไง แต่จะยอมหรือไม่ยอมแล้วยังไงวะ ถ้าเฮียรุจบอกว่าจะเอาสองล้านให้ได้ อย่างกับว่าน้องบีบี๋จะมีทางอื่นให้เลือกงั้นล่ะ”

ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าข้างในคอมันขมไปหมด.... ถึงแม้บีบี๋จะร้ายกาจกับผมและทิชา หลอกใช้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมอบให้เพื่อทำร้ายเพื่อนตัวเอง ผมรับการกระทำและนิสัยแบบนี้ไม่ได้ถึงบอกเลิก แต่ถ้าหากจะว่ากันตรงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอาฆาตแค้นอะไรน้องขนาดนั้น ผมยังคงมีความเป็นห่วงเป็นใยให้ตามประสาคนเคยนึกชอบเอ็นดูกัน

แจ็คคงเห็นว่าผมเงียบไปเหมือนลังเลเป็นเดือดเป็นร้อนแทนบีบี๋ มันจึงพูดสวนขึ้นมาให้ผมคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำบางสิ่งบางอย่างลงไป

“ไอ้โรม กูขอเตือนเอาไว้อย่างนึงนะ.... ถ้าหากมึงไม่ได้รักน้องบีบี๋ และมีความสุขดีกับน้องทิชาอยู่แล้ว มึงก็ไม่ต้องเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” 

มันว่าพลางจ้องหน้าผมเขม็ง 

“ความเป็นคนดีและความขี้ใจอ่อนง่ายของมึงจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่ง ในเมื่อตัดสินใจเดินออกไปแล้วก็ไม่ต้องหันหลังกลับมา”

“แต่บีบี๋กับเงินสองล้าน.... น้องมันจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย.....!?”

ก็อย่างที่รู้ว่าฐานะทางบ้านบีบี๋ ถึงจะไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรวยถึงขนาดเห็นเงินสองล้านบาทเป็นเรื่องเล็ก ผมถึงแน่ใจว่าน้องมันคงไม่มีทางรับผิดชอบหนี้ที่เฮียรุจยัดเยียดให้จ่ายได้หรอก.... แต่ประเด็นก็คือมันเป็นหนี้ที่บีบี๋ควรต้องจ่ายจริงหรือว่าเฮียรุจกำลังต้องการอะไรอย่างอื่นที่มากกว่าเงิน?

“หรือมึงจะจ่ายแทนล่ะ?”

คนเป็นเพื่อนถามกลับสั้นๆ แต่ตอกย้ำยาวเหยียดถึงสิ่งที่ผมควรชั่งน้ำหนักว่าอย่างไหนสำคัญกว่า 

“ไม่ว่าจะเอาเงินสองล้านไปให้เฮียรุจหรือเดินกลับเข้ามาเบอร์ลิคเพื่อช่วยลดหนี้ครึ่งหนึ่งให้น้องบีบี๋ มึงลองคิดดูให้ดีๆ นะว่าถ้าทิชารู้เรื่องนี้แล้วเขาจะยิ้มออกหรือเปล่าที่มึงยังเดือดเนื้อร้อนใจเหลือเยื่อใยให้แฟนเก่า”

ไอ้แจ็คพูดถูก.... ถ้าผมทำอะไรลงไปตอนนี้ คนที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจเต็มๆ ก็คือทิชา ถึงเจ้าตัวจะตามใจผมทุกอย่างโดยไม่ดื้อไม่เถียง แต่ผมก็ไม่คิดว่าน้องมันจะเข้าใจและยอมรับได้ง่ายๆ แล้วที่ผมพยายามบอกทิชาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้เชื่อใจ ให้เชื่อมั่นในตัวผมว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหนก็คงพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

“จะบอกว่าน้องบีบี๋สมควรได้รับบทเรียนแล้วก็คงใช่.... มึงเองก็มีความสุขกับชีวิตรักใหม่กับน้องทิชาไปเถอะ ไม่รักเขาแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่ง แค่นั้น”



ผมรู้.... ผมเข้าใจ....

ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อรู้แล้ว ผมจะทำนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้บีบี๋จ่ายค่าเกียร์กับหนี้ค่าตัวผมต่อไปได้อีกนานแค่ไหนนี่สิ



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
DAN’s PART



‘กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรนะเว้ย แดน.... มึงก็น่าจะรู้ว่าทิชามันไม่ได้เหมือนคนอื่น ถ้าจะจีบเล่นๆ เอามันส์ กูขอร้องมึงในฐานะญาติเลยว่าปล่อยทิชาไปเถอะ’

‘เห็นแก่ที่มึงเป็นน้อง เรื่องชวนไปแคสละครอะไรนั่น กูเองก็ไม่อยากว่ามึงเยอะ.... ถ้าหากมึงแค่อยากเป็นเพื่อนกับทิชา กูก็ยินดีต้อนรับเสมอ แต่ถ้าหวังมากกว่านั้น กูคงยอมให้มึงไม่ได้เหมือนกัน’


‘ทิชาเป็นของกูแล้ว และกูก็ไม่คิดจะแชร์เมียกับใครด้วย.... คิดว่ามึงคงเข้าใจนะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร!’



เฮียโรมไปหาผมที่คณะตอนเช้าวันจันทร์หลังกลับจากบางแสน พอนึกถึงคำพูดพวกนั้นทีไร ความโมโหเกรี้ยวกราดในหัวใจมันก็พุ่งทะลุปรอทยิ่งกว่าไฟนรก

ทั้งที่เฮียโรมแม่งเป็นคนปฏิเสธทิชาแล้วไปขอคบบีบี๋เองแท้ๆ แต่ในตอนนี้เขากลับมาพูดจาเสมือนว่าตัวเองเป็นพระเอกผู้แสนดี แล้วชี้หน้าด่าว่าผมคือตัวเหี้ยซึ่งจะมาแก่งแย่งทำลายคนรักของเขา

ผมไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากทำความเข้าใจด้วย

ทำไมคนบางคนถึงไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแต่กลับได้สิ่งๆ นั้นมาครอบครองอย่างง่ายดาย ในขณะที่คนปิดทองหลังพระแบบผมถึงไม่เคยได้รางวัลปลอบใจอะไรกับใครเขา แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี

เพียงแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ ที่จะทำให้ผมได้ใกล้ชิดทิชาในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังถูกละเลย มิหนำซ้ำยังกลับกลายเป็นว่าผมคือตัวอันตรายที่จะมายุแยงตะแคงรั่วให้ผัวเมียเขาแตกแยก

ถามหน่อยเหอะ.... เห็นผมเป็นคนเชี่ยแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

ถามหน่อยเหอะ.... แค่ผมเริ่มต้นผิดหนเดียว มันแปลว่าผมจะต้องเหี้ยไปหมดทุกอย่างจริงๆ หรือไง?

.

.


‘ชีวิตกูไม่ได้เจอคนอย่างพี่โรมง่ายๆ และกูก็ไม่อยากรออีกแล้ว....’

‘เขามีทุกอย่างที่กูตามหาอยู่ในคนๆ เดียวเลยว่ะ.... เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย แล้วก็เป็นคนรักแบบที่กูอยากได้ด้วย’


แล้วกูล่ะ ทิชา.... แค่มึงเอ่ยปากมาคำเดียว กูก็เป็นทุกอย่างให้มึงได้เหมือนกันนั่นแหละ

อ้อ ลืมไป มึงไม่ยอมคุยกับกูนี่เนอะ

เพราะมึงโกรธที่กูหอมแก้มมึงในงานเฟรชชี่ ทำให้มึงโดนถ่ายรูปลงเพจแล้วมีคนไปคอมเมนท์ด่า....  โอเค กูมันสิ้นคิดเองที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่นั่นก็เพราะกูยังไม่รู้จักมึงนี่หว่า กูพลาดที่ไม่รู้ว่ามึงอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ กูก็แค่อยากให้มึงจำกูได้เท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นไม่ว่ากูจะพยายามยังไง สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือมึงเหม็นขี้หน้ากู ไม่อยากคุยด้วย เอาแต่เดินหนี ไม่เคยเปิดโอกาสให้กูอธิบายหรือแก้ตัวสักนิด

ทั้งๆ ที่กูเป็นถึงเดือนสถาปัตย์ แต่สภาพก็ไม่ต่างอะไรก็หมามองเครื่องบิน ขนาดเวลาเห็นเครื่องบินตกก็ยังเข้าไปเก็บซากใกล้ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เหี้ยไหมล่ะ.... ครั้งแรกที่มึงยอมคุยกับกูเกินสามประโยคก็คือตอนที่กูจับได้ว่ามึงแอบชอบเฮียโรม ถ้าไม่มีข้อมูลเรื่องชิงเกียร์ไปแลกเปลี่ยน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้มึงไปแคสละครด้วยกัน มึงก็ยังคงเป็นดาวบนฟ้าที่กูคว้าไม่ถึงอยู่แบบนั้น

แล้วทำไมดาวอย่างมึงถึงต้องร่วงลงมาอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่กูอยู่เรื่อย?

.


.


‘กูรู้ว่ามึงโกรธมาก......แต่มึงต้องพูดกับกูแรงขนาดนี้เลยเหรอ..........’


สัดเอ๊ย.... อย่ามาถามกูเลย อย่ามาร้องไห้ให้กูเห็นด้วย

ไปถามเจ้าของมึงโน่นว่าทำไมต้องมาย้ำใส่กูหนักหนาว่าได้แดกมึงแล้ว ตัวมึงขาว ตัวมึงหอม เอามึงทำเมียแล้วมีความสุขสุดยอดแค่ไหน

ไปถามเฮียโรมซะว่าทำไมต้องพูดจาหมาๆ กับกู ทั้งๆ ที่ถ้าไม่มีกูคอยช่วยก็ไม่มีทางหรอกที่พวกมึงจะได้มาเป็นคนรักของกันและกันแบบนี้!



กูไม่ได้อยากอิจฉาเลยนะ ทิชา....

กูก็อยากอวยพรให้มึงกับเฮียโรมรักกันไปนานๆ อยากให้มึงเจอคนที่สามารถดูแลและเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปให้มึงได้ตลอดชีวิต แต่สุดท้ายกูก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะ ถึงกูจะทำดีกับมึง แต่จริงๆ กูก็ไม่ได้เป็นพ่อพระขนาดนั้น

กูโคตรอยากให้มึงกับเฮียโรมเลิกกันฉิบหายเลย

จะเกลียดกูไปเลยก็ช่าง แต่กูขอให้เฮียโรมเห็นมึงเป็นตุ๊กตายางเอาไว้สำเร็จความใคร่....

ขอให้เฮียโรมคิดกับมึงเหมือนที่คนเก่าๆ ของมึงคิด....

ขอให้เฮียโรมทิ้งมึง....

ขอให้เฮียโรมไม่รักมึง....



ไอ้เหี้ยแดน.... นั่นทิชานะ มึงคิดอะไรของมึงอยู่วะเนี่ย....?


.

.

.


ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วหลังจากผมคุยกับทิชาในห้องน้ำที่คณะ.....

ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีข้อความไลน์ส่งมาถึงผมอีกนับจากวันนั้นเพราะผมเป็นฝ่ายบล็อกทิชาก่อน อารมณ์ฉุนเฉียวและบาดแผลที่ได้รับเริ่มเจ็บน้อยลงตามลำดับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่หายดี แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยากเปิดวอร์สู้รบปรบมือกับพี่ชายตัวเอง ไม่ได้อยากเข้าไปวอแวเรียกร้องความสนใจให้ใครบางคนด่าเล่น ผมยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคำสัญญาซึ่งทิชาทั้งให้และเอาคืนก็เปรียบเสมือนสายฝนที่ตกลงมาเพียงชั่วครู่ชั่วคราวก่อนจะซึมหายไปในผืนดินไม่เหลือร่องรอยเมื่อยามดวงอาทิตย์ส่องแสงอีกครั้ง

ผมยังคงเจอทิชาอยู่เรื่อยๆ ตามคลาสเรียนรวมสองคณะบ้าง เจอตอนซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าคอนโดบ้าง บางทีก็เดินสวนกันตรงโถงลิฟท์ชั้นล่าง.... มันก็ยังคงเป็นทิชาที่แสนน่ารักคนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นแฟนเฮียโรมอย่างเต็มตัว ตอนนี้ผมไม่ได้แช่งชักหักกระดูกนับวันรอให้มันเลิกกับเฮียโรมแล้ว แต่ถ้าถามว่าเชียร์ให้รักกันไหม คำตอบก็ยังคงเป็น ‘ไม่’ อยู่เหมือนเดิม

แต่ถ้าลองเปลี่ยนคำถามเป็นว่าผมยังไม่ตัดใจจากทิชาอีกเหรอ

คำตอบก็อาจยังคงเป็น ‘ใช่’ อยู่เช่นกัน



Paweeny_PaiPai :  แดนเป็นยังไงบ้าง?

                           วันนี้รอลุ้นผลแคสด้วยกันนะ :)




ระยะนี้ผมคุยกับพี่ปายราวๆ หกชั่วโมงต่อวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ คุยเฟซไทม์กันบ้าง คุยผ่านแชทบ้าง บางทีก็แค่โทรศัพท์ธรรมดา.... ทั้งหมดเริ่มจากตอนที่เขามาคอมเมนท์รูปคู่ในไอจีผมแล้วผมก็ตอบกลับ จากที่หยอดกันต่อหน้าให้บรรดาแฟนคลับฮือฮาเล่นก็ขยับเป็นคุยไพรเวทกัน จนกระทั่งเขาขอแอดไลน์แลกเบอร์โทรและเราทั้งคู่ก็กลายเป็นคนรู้จักสนิทสนมกันในที่สุด

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแคปชั่น ‘เซอร์ไพรส์!’ ที่ผมใส่เอาไว้ กระแสคู่จิ้นใหม่ #แดนปาย ก็เลยเป็นที่พูดถึงอยู่ในโลกโซเชียลเวลานี้ พี่ปายเป็นคนอัธยาศัยดีพอๆ กับหน้าตา ช่างคุยช่างตอบแล้วก็ช่างเซอร์วิสตามประสาเน็ตไอดอลมืออาชีพ แฟนๆ ของผมก็ยิ่งชอบเพราะสกิลการชงของกัปตันช่วยให้น้ำเชี่ยวพายเรือสนุก ชื่อของผมกับพี่ปายติดไทยแลนด์เทรนด์แทบจะทุกวัน ในขณะที่แฮชแท็ก #แดนทิชา ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงจนหายเกลี้ยงไปจากไทม์ไลน์

ผมดูออกว่าพี่ปายค่อนข้างมีใจให้ เขาเองก็ตรงตามสเป็คที่ผมชอบพอดี.... ผู้ชายหน้าสวยตามสมัยนิยม เอวบางร่างผอมแต่ไม่ใช่คนตัวเตี้ย ผิวขาว แต่งตัวเก่ง รสนิยมดี แถมนิสัยก็ดี พูดเพราะ เทคแคร์เก่ง แถมพูดจารู้เรื่องไม่งี่เง่าเอาแต่ใจด้วยเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว

พอพูดถึงพวกที่คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ผมก็ดันนึกถึงใครบางคนขึ้นมาอีก

ใครบางคนที่ผมทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ คุยด้วยดีๆ ก็หาว่ากวนตีน ไม่เดินหนีก็ด่ากลับ โมโหมากหน่อยก็วีนใส่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

บ้าชะมัด.... จนป่านนี้แล้วยังจะคิดถึงอยู่ได้

หรือเพราะที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดถึงใครนอกจากทิชา ก็เลยติดเป็นความเคยชินว่าจะต้องมีมันอยู่ในหัวสมองตลอดเวลา....?



Paweeny_PaiPai  : ตื่นเต้นอ้ะ ใกล้ถึงเวลาประกาศผลแล้ว

Mr.Dan  :            โห ระดับพี่ปายต้องตื่นเต้นอีกเหรอ?

Paweeny_PaiPai : ก็คราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งนี่

                          ขอให้พี่ได้บทที่อยากได้ด้วยเถอะ สาธุ /ไหว้




ผมรอดูประกาศผลแคสบทผ่านทางเฟซบุคไลฟ์ มือถือก็เอาไว้แชทคุยกับพี่ปายไปพร้อมกัน.... คอมเมนท์ซึ่งกระหน่ำเข้ามาทางด้านล่างจอภาพคือกำลังใจจากบรรดาแฟนคลับและเสียงเชียร์ให้ผมกับพี่ปายได้รับบทนำคู่กัน ทีแรกผมก็แอบกังวลอยู่หน่อยๆ เมื่อคิดว่าจะต้องมีคิสซีน (หรืออาจรวมถึงเลิฟซีน....) กับคนที่ไม่ใช่ทิชา แต่เอาจริงๆ พี่ปายก็ไม่ได้แย่นักในความรู้สึกปัจจุบันของผม

บทตัวประกอบเบอร์ห้า เบอร์สี่ เบอร์สามถูกประกาศเรียงไปตามลำดับความสำคัญ จนกระทั่งมาถึงคู่รองของเรื่องซึ่งเพิ่งประกาศฝ่ายพระเอก (อ่า ต้องเรียกว่าพระรองสินะครับ) ไปเมื่อกี้.... คนที่ได้บทนี้ไปชื่อภัทร ไอ้หน้าหล่อจากมหาลัยเอกชนแถวชานเมืองซึ่งผมแอบลงความเห็นว่ามันคือคู่แข่งตัวฉกาจ เท่ากับว่าตัวเต็งที่จะได้บทพระเอกคู่หลักก็เหลือแค่ผมคนเดียว ส่วนตัวเต็งฝั่งนายเอกก็เหลือพี่ปายกับน้องพุด รุ่นน้องปีหนึ่งตัวเล็กน่ารักซึ่งมาจากโมเดลลิ่งเดียวกันกับพี่ปาย


Paweeny_PaiPai  : บทนายเอกคู่รองจะต้องเป็นของพุดแน่เลย

                     พี่เคยอ่านนิยายมาแล้ว คาแร็คเตอร์พุดเหมาะมาก

          เหมือนวันนั้นนักเขียนเจ้าของเรื่องเขาก็ปลื้มพุดเป็น

                    พิเศษด้วยนะ เห็นเขาคุยกับพี่โรสว่าพุดเหมือนหลุด

                    ออกมาจากนิยายต้นฉบับเลย




พี่ปายบอกแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเก็งผลกันเล่นๆ แล้ว ผมไม่ได้อ่านนิยายมาก่อนแต่ก็มีอ่านบรีฟโครงเรื่องและอิมเมจตัวละครมาบ้างเลยเห็นด้วยสุดลิ่มทิ่มประตูว่าบทนี้สมควรจะเป็นน้องพุด.... อารมณ์แบบว่าเด็กตัวเล็กๆ ยิ้มสดใส อยู่ด้วยแล้วชวนให้รู้สึกว่าโลกเป็นสีชมพูอะไรทำนองนั้น


‘มาถึงบทนายเอกคู่รองแล้วนะคะ ตัวละครตัวนี้ก็มึความสำคัญไม่แพ้คู่หลักเลย และคณะกรรมการของก็เราลงความเห็นกันแล้วว่าคนที่เหมาะที่สุดก็คือ......’

เสียงทีมงานสาวสวยซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ประกาศฟังดูตื่นเต้นไม่แพ้พวกเรา แม้กระทั่งในตอนที่เธอเปิดซองใส่ผลการออดิชั่นต่อหน้ากล้อง ผมก็ยังคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรพลิกโผหรือมีเซอร์ไพรส์ค้านสายตาโผล่มาให้โลกจำ

แต่ทว่า....


 ‘นักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกและจะได้รับบทนายเอกคู่รองได้แก่ หมายเลข 12.... น้องปาย ปวีณ สุวัฒนา ค่า!’


“เฮ้ย!”

ผมตะลึงกับผลการคัดเลือกจนเผลอตะโกนออกมา เพราะนี่มันเรียกได้ว่าหักปากกาเซียนคว่ำกระดานทิ้งกันเลยทีเดียว ผมรัวนิ้วส่งข้อความไปหาพี่ปาย ถามว่าเขาได้ยินเหมือนอย่างที่ผมได้ยินหรือเปล่า แต่พี่ปายไม่ตอบกลับมา ผมจึงเข้าใจว่าเขาเองก็คงใจช็อกกับบทที่ตัวเองได้รับเช่นเดียวกัน

สถานการณ์ในช่องแชทยิ่งกว่ามีสงครามกลางเมือง เมื่อกลุ่มแฟนคลับของพี่ปายและผู้ศรัทธาลัทธิแดนปาย ต่างพร้อมใจกันด่าทอสาปส่งคณะกรรมการผู้ทรงเกือกและสาดอิโมจิหน้าโกรธฟลัดเต็มหน้าจอ ทำเอาทีมงานหญิงที่เป็นคนประกาศถึงกับหน้าเสียเลยทีเดียว.... แต่เดอะโชว์มัสโกออนฉันท์ใด การประกาศผลออดิชั่นก็จำเป็นจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะไล่รายชื่อนักแสดงหลักจนครบ


‘พระเอกของเรา.... ชนวนเหตุสำคัญของความรักสุดแสนฟรุ้งฟริ้งแต่ร้อนแรง แน่นอนว่าหนุ่มหล่อกร๊าวใจที่จะมารับบทนี้ก็มีรอยยิ้มพิฆาตถอดแบบมาจากอิมเมจที่คุณชาดา ผู้แต่งเรื่องสงครามคิวท์บอยจินตนาการเอาไว้ทุกอย่าง.......’

‘และเขาคนนั้นก็คือหมายเลข 79.... แดน ดรัณภพ อนุวัฒน์วงษ์ ค่ะ!’


แม้จะได้ยินเสียงแหลมๆ ประกาศเรียกชื่อตัวเอง แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะโฟกัสกับเสียงปรบมือเปาะแปะซึ่งดังลอดลำโพงคอมพิวเตอร์อีกแล้ว

ถ้าบทนายเอกที่คู่กับผมไม่ใช่พี่ปายแล้วจะเป็นใครไปได้?

อย่างน้องพุดก็คงไม่น่าจะใช่....



‘เอาล่ะค่ะ เวลาที่แฟนๆ ทุกท่านรอคอยก็มาถึงแล้วนะคะ’

‘บทบาทที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามคิวท์บอยที่สุดแสนจะวุ่นวายแต่โรแมนติกฟินเวอร์จนต้องจิกหมอนกลั้นยิ้มไปตั้งแต่ต้นจนจบ.... เรื่องราวหลักๆ ของเราจะถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครตัวนี้ และนักแสดงที่คณะกรรมการและทีมงานเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสมที่สุดก็คือ............’


มือของผมกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ รู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะกระเด็นหลุดออกมาจากอกซ้าย เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบจนเสียงของมันดังก้องอยู่ข้างในโสตประสาท.... ลมหายใจผมจุกอยู่ตรงลำคอ ท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายว่าอยากจะสำรอกเรื่องเหี้ยๆ และเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้รับเชิญทิ้งไปให้หมด

ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดนิ่งแล้วหมุนคว้างเมื่อพิธีกรสาวประกาศชื่อดวงดาวแสนสวยซึ่งไม่เคยเป็นของผมออกมา



‘หมายเลข 116.... น้องทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา คือผู้ที่จะมารับบทนำในซีรส์สงครามคิวท์บอยของเราค่ะ~!”


TO BE CONTINUE


 :katai4: :katai3:

ออฟไลน์ Indy555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด :m3: :m3: :m3:
ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เราโคตรรักไรท์มากกกกกกกกกกก
ของมากที่สุดอ่ะ  :m1: :m1: :m1:
ทีม #แดนทิชา ตบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ปล. เชื่อมั้ยว่าไม่คิดจะก้าวขาขึ้นเรือ #โรมทิชา เลยตั้งแต่อ่านมา บั่บพระเอกโลเลตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังโลเล เราเท!!!! พระเอกแนวนี้อ่ะ
 :m16: :m16: :m16:
เชิญโรมไปช่วยเมียเก่าอย่าบีบี๋ตามสบายเลยนะ  :z6:
 ของสตาร์ทเรือแดนทิชาแพร๊บ!!!  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
จะแดนทิชาจริงๆหรอคะ  :hao5:

ออฟไลน์ bekeyyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วมันบีบคั่นหัวใจซะเหลือเกิน :hao5:
ทำไมน้องทิชาไม่ได้เกินบนเส้นทางที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบซักทีว้อยยยย
โรมก็ใจโลเลซะเหลือเกิน อยากจะฟาดๆๆแล้วถามว่าคิดอะไรอยู่
เลิกเป็นคนดีซักทีแล้วช่วยแคร์คนที่ควรแคร์มากๆด้วย :z3: :z3:
++แดนอย่าพึ่งทิ้งทิชาเลยนะ อยากให้มีคนรักน้องเยอะๆ
ขอให้หลังจากนี้มีโมเมนท์แดนทิชาเยอะๆเลยนะค่า จากหัวใจแม่ยกแดนทิชา :katai3:

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
คุณแม่สุดยอดดดด!!! บันดาลทุกสิ่งให้ทิชาได้จริงๆ
แต่จุดประสงค์ที่ทิชาต้องการคืออะไรนะ
ถึงต้องเข้าไปอยู่ในจุดนั้น ยังคงสงสัย

ออฟไลน์ Indy555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอนะคะ ยังรอไรท์อยู่ที่ท่าเล้าเป็ดเสมอออ :m1: :m1: :m1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด