✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63188 ครั้ง)

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

.

ถ้าถามใจผมนะ.... ผมไม่เชื่อหรอกว่าบีบี๋จะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจริง ความจำของคนเรามันจะเสื่อมกันได้ง่ายๆ เลยเชียวเหรอ?

จะบอกว่าความจำเสื่อมก็พูดไม่ได้เต็มปากด้วย เพราะเลือกเสื่อมเป็นอย่างๆ จำแค่สิ่งที่ตัวเองอยากจำ แล้วก็ลืมในสิ่งที่ตัวเองอยากลืม

จำได้ว่าพี่โรมเป็นแฟนตัวเอง แต่ดันจำไม่ได้ว่าตัวเองถูกเขาบอกเลิกไปแล้ว


เชี่ยสุดอะไรเบอร์นี้


นี่มันเรื่องตลกโกหกตอแหลชัดๆ....!!

.


.


.

ผมกับพี่โรมไม่ได้ทะเลาะกันก็จริง แต่ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร คืนนั้นเราเฟซไทม์หาข้อตกลงเรื่องไอ้บี๋อยู่หลายชั่วโมงจนแทบไม่มีใครได้หลับได้นอน แต่ถ้าคุยกันไม่จบก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี แล้วเราก็ได้ข้อสรุปแบบพบกันครึ่งทาง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางของพี่โรมไปสักประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ

หนึ่ง.... พี่โรมรู้แล้วว่าผมหึงและเขาจะระวังให้มากกว่านี้

สอง.... เราทั้งคู่คิดคล้ายๆ กันว่าอาการความจำเสื่อมของบีบี๋อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ซึ่งจุดนี้ผมเอียงไปทางจ้อจี้ ในขณะที่พี่โรมไม่ขอออกความคิดเห็นจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากหมอว่าบีบี๋ไม่เป็นอะไรแน่นอน

สาม.... ผมยื่นเงื่อนไขว่าถ้าเขาจะกลับไปเยี่ยมบีบี๋ที่โรงพยาบาลก็ควรบอกความจริงมันไปเลยว่าตอนนี้โลกหมุนไปถึงไหนแล้ว แต่พี่โรมขอเวลาอีกนิด รอจนกว่าบีบี๋จะอาการดีขึ้นก่อน เพราะหมอบอกว่าคนเจ็บยังมีอาการช็อกจากการตกจากที่สูง ยังไม่อยากให้มีอะไรมากระทบกระเทือนระหว่างที่ร่างกายกำลังพักฟื้น

สี่.... ผมถามถึงเรื่องของบีบี๋กับเบอร์ลิค แต่พี่โรมไม่ตอบ

ห้า.... ผมขอไม่ให้พี่โรมไปนั่งเฝ้าบีบี๋ทั้งวันแบบวันนี้อีก ถ้าอยากจะไปก็คือต้องไปพร้อมกันเท่านั้น เขาไม่รับปาก บอกแค่ว่าถ้ามันจำเป็นก็ต้องไป ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้ว่าความจำเป็นที่พี่โรมพูดถึงมันหมายความว่ายังไง


แต่ฟังแค่นี้คงพอเดาออกใช่ไหมว่าใครต้องเป็นฝ่ายยอม....?

ก็โลกทั้งใบของผมอยู่ในมือพี่โรมแล้วไง ก็เชิญเอาไปหมุนรอบตัวเองจนกว่าจะพอใจได้เลย

.

.

.

แผนการที่ผมคุยกับพี่โรมเอาไว้ว่าเย็นวันอาทิตย์เราจะอยู่คอนโดฯ ดูหนังทำกับข้าวกินเองแล้วนอนกอดกันให้เปรมหลังจากที่ต้องแยกกันมาทั้งสัปดาห์พังทลายย่อยยับไปกับอุบัติเหตุของแฟนเก่า.... พี่โรมไลน์มาบอกผมตั้งแต่ตอนสายๆ แล้วว่าวันนี้เขาจะไปเฝ้าบีบี๋ ถ้าผมอยากไปก็ให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลย แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยกลับมาเจอกันที่ห้องก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าพี่โรมจะกลับมาก็คงสาม-สี่ทุ่มหลังหมดเวลาเยี่ยมนั่นล่ะ

ผมห้ามเขาเรื่องไปเฝ้าคนเจ็บไม่ได้ ได้แต่ขอไม่ให้นอนค้างเด็ดขาด จะดึกแค่ไหนก็ต้องกลับมาดูแลยัยมิลค์ตามที่เราตกลงกัน ไม่งั้นผมจะเอาลูกกลับบ้านตัวเองทันที แต่คำสัญญาพวกนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจผมสงบลง ตลอดเวลาที่อยู่มหาวิทยาลัยกับสถานีโทรทัศน์ ผมเอาแต่คิดเรื่องพี่โรมกับบีบี๋จนแทบจะกลายเป็นหมกมุ่น.... ระแวงว่าเขาจะคุยอะไรกัน กลัวว่าเขาจะกลับมาคืนดีกัน กลัวว่าความสงสารเห็นอกเห็นใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผม

ก็ไม่เชิงว่าผมไม่เชื่อใจพี่โรม แต่ที่แน่ๆ ก็คือผมไม่เชื่อใจบีบี๋

แย่นะที่ผมมีความคิดแบบนี้ในเวลาที่ฝ่ายนั้นกำลังเจ็บหนัก แต่ผมก็อดฟื้นฝอยนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่อดีตคู่ซี้ทำเอาไว้ไม่ได้.... บีบี๋ไม่เคยเห็นผมเป็นเพื่อน จงใจจะปาดหน้าแย่งพี่โรมทั้งๆ ที่รู้ว่าผมชอบเขา แล้วทำไมคราวนี้มันจะทำอีกไม่ได้

ให้ตายเถอะ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งทนอยู่เฉยไม่ไหวจริงๆ


“เฮียโรมชาร์จมือถือให้บี๋หน่อย ดู Netflix แล้วแบตหมดเร็วชะมัด”

“ดูไปชาร์จไปก็ได้นี่ วางมือถือไว้ตรงนี้ไง”

“ไม่เอาอะ บี๋ไม่ชอบใช้มือถือตอนกำลังชาร์จ.... นี่ใช้แบตจีนแดงด้วย กลัวมันระเบิดใส่หน้า”

เสียงพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกร่าเริงน่าหมั่นไส้เสียดทะลุรูหูตั้งแต่วินาทีแรกที่ผลักประตูเข้าไป ผมแอบเบ้ปากนิดหนึ่งก่อนจะมองเห็นคนเจ็บในสภาพฟื้นคืนสติดีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ขาข้างที่หักไม่ได้ห้อยยกสูงน่ากลัวแบบเมื่อวันก่อนที่มาเยี่ยม แค่ใส่เฝือกดามไว้แล้วก็นั่งเหยียดขาตามปกติ ข้างๆ มีไม้ยันรักแร้วางพิงเอาไว้แสดงว่าหมอเริ่มให้ลุกจากเตียงได้บ้างแล้ว.... ก็มีแต่พี่โรมคนเดียวมั้งที่ทำเหมือนว่าบีบี๋มันจะพิการไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็เป็นอัมพาตง่อยเปลี้ยหยิบจับอะไรเองไม่ได้เลย

“ไอ้ชา~~” 

ทันทีที่เห็นผม คนสมองเสื่อมก็กระเด้งตัวหน้าระรื่นประหนึ่งเทเลทับบี้เห็นพระอาทิตย์ ตะโกนลั่นยิ้มร่าดีใจสุดขีดพร้อมทั้งอ้าแขนข้างเดียวที่ยังใช้การได้เรียกให้ผมเข้าไปหา

“คิดถึงมึงจังเลยคุณเพื่อน มากอดหน่อยๆ”

“อย่าเลย มึงเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ให้กูกอดเดี๋ยวไหปลาร้าก็หลุดอีกข้างหรอก”   

ผมกระตุกยิ้มอย่างเสียมิได้ให้มันไปหนึ่งที พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ปากเสียขี้แซะแล้วเชียวแต่พอเจอสกิลทองไม่รู้ร้อนของชิวาว่าพันเล่มเกวียนก็เริ่มแบรคแตกอดรนทนไม่ไหว

“โหย กูก็ไม่ได้บอบบางขนาดน้าน~” 

ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนมันจะไม่รู้ว่าโดนแซะ ดวงตากลมจ้องหน้าผมไม่เว้นวางราวกับว่าต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการนึกถึงทุกเรื่องราวที่ผ่านมา ซึ่งผมคงจะโล่งใจมากกว่านี้ถ้าหากอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีแบบเดียวกับตอนที่มันสารภาพว่าจงใจแย่งซีนให้พี่โรมมาจีบมัน ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผมชอบเขา ไม่ใช่มากระพริบตาบ้องแบ๊วแอ๊บทำเป็นสมองเจ๊งอย่างนี้   

“แต่กูคิดถึงมึงจริงๆ นะ ไอ้ชา.... ไม่รู้ดิ กูว่ากูกับมึงก็ตัวติดกันตลอดแต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับมึงมานานมาก”

ผมขี้เกียจตอบคำถามนั้น เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดไปก็คงไม่หยุดอยู่ที่แค่ว่าทำไมเราถึงเลิกเป็นเพื่อนกันแน่ พี่โรมเองก็ส่งสายตามาขอให้ผมอย่าเพิ่งเปิดวอร์ตอนนี้ ผมก็เลยเลี่ยงไปวางกระเป๋าหย่อนก้นนั่งกอดอกไขว่ห้างบนโซฟาใกล้ๆ แทน

“แล้วหม่าม้ากับเจ้แบมไปไหน วันนี้ไม่มาเฝ้ามึงเหรอ?”

“หม่าม้ากลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน เดี๋ยวตอนค่ำๆ ค่อยมาใหม่ ส่วนเจ้แบมพรุ่งนี้มีขึ้นวอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงก็เลยไม่มาเฝ้า.... เรียนหมอปีห้าก็งี้แหละมึง ดีนะที่กูขอป๊าเรียนอย่างอื่นได้ รอดตัวไป”

ในใจผมดันคิดว่าไม่น่าเลย อย่างไอ้บี๋นี่แหละควรจะเรียนหมอมากที่สุด มันจะได้ยุ่งกับเรื่องเรียนของตัวเองจนไม่มีเวลาว่างมาทำลายล้างชีวิตคนอื่น

“ว่าแต่มึงเถอะ คุณเพื่อน กูไม่ยักกะจำได้เลยว่ามึงแอบไปแคสบทในซีรีส์ตั้งแต่ตอนไหน ตื่นมาอีกทีเปิดเฟซบุคดูก็เจอว่าเพื่อนกลายเป็นดาราไปแล้ว แถมพระเอกที่เล่นคู่กับมึงยังเป็นไอ้แดน เดือนถาปัดซะด้วย” 

รูปประโยคฟังดูเหมือนถามด้วยความอยากเสือกธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดามันอยู่ตรงที่ไอ้บี๋พยายามจะเน้นหนักๆ ตรงชื่อคู่จิ้นของผมเสียเหลือเกิน 

“คุณเพื่อนนึกยังไงถึงเปลี่ยนใจอยากเป็นคนดังขึ้นมาได้วะเนี่ย วงการบันเทิงนี่แม่งศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงเกลียดเลยนะ.... ไหนจะมีกล้องตามติดชีวิตในเวิร์คช็อปมึงอย่างกับรายการเรียลิตี้ ไหนจะคนเยอะเรื่องแยะ แล้วก็คอมเมนท์เหี้ยๆ ในเน็ตด้วย แถมพระเอกคู่จิ้นยังเป็นคนที่มึงเกลียดขี้หน้าอีกต่างหาก แค่นึกภาพกูก็สยองแทนมึงแล้ว”

ผมแอบเห็นพี่โรมเม้มปากเป็นเส้นตรง รู้เลยว่าจะเอาคืนที่ทำให้ผมต้องจมอยู่กับความหงุดหงิดอารมณ์เสียตั้งหลายวันได้ด้วยวิธีไหน

“กูไม่ชอบขี้หน้าไอ้แดนตั้งแต่เมื่อไร เข้าใจผิดแล้วมั้ง”

ได้ผล.... พี่โรมหันมองมาผมตาขวางเชียว ดูท่าทางจะรู้เหมือนกันนี่ว่าโมโหหึงมันเป็นยังไง ก็ดีแล้ว เพราะผมคิดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเขากับไอ้บี๋เจ๊าะแจ๊ะกันแล้วว่าผมไม่ควรรู้สึกเช่นนี้เพียงคนเดียว

“อ้าว กูเข้าใจผิดเหรอ?” 

บีบี๋ทำหน้าเหรอหราอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าสลดตาละห้อยอย่างคนกำลังสำนึกผิด 

“งั้นกูก็มีเรื่องจะสารภาพว่ะ.......แต่แบบ......กูกลัวมึงโกรธอะ........สัญญาได้มั้ยว่าถ้าบอกแล้วจะไม่ด่ากัน.........”

“พูดมาเถอะ ระหว่างกูกับมึงก็ไม่มีอะไรจะเหี้ยไปกว่านี้แล้วล่ะ”

อันที่จริง ผมก็สงสัยอยู่หรอกนะว่าเรื่องที่ไอ้บี๋จะขอสารภาพบาปคืออะไร นอกจากเรื่องพี่โรมแล้วยังมีเรื่องไหนที่มันแอบแทงข้างหลังผมอีก แต่ถ้าถามว่ารู้แล้วจะโกรธมากไปกว่าเดิมไหม คำตอบก็คงเป็นไม่ เพราะไม่น่าจะมีเรื่องไหนบัดซบร้ายแรงเท่ากับการที่มันเอาพี่โรมของผมไปอีกแล้ว

 “คือว่า........ไอ้แดนน่ะ มันเคยบอกกูว่าชอบมึงแหละ.........”

ร่างบนเตียงเอามือป้องปากทำเสียงกระซิบกระซาบแต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันทั่วทุกคน ภายใต้สีหน้าหวาดหวั่นคล้ายกลัวผมด่า ผมกลับมองเห็นร่องรอยของความนึกสนุกแฝงอยู่ในแววตาจิ้งจอกห่มหนังลูกแกะ 

“มันมาขอแอดไลน์จะทักหามึงตั้งแต่ตอนปีหนึ่งเทอมสองแล้ว แต่ตอนนั้นกูคิดว่ามึงรำคาญมันก็เลยไม่ได้ให้ไป.... แล้วแบบว่า เวลามันไปเที่ยวเมืองนอกกับช่วงวาเลนไทน์ หรือช่วงวันเกิดมึงไรงี้ มันก็พยายามฝากของมาให้มึงผ่านทางกูตลอดเลย...........”

“เหรอ แล้วของอยู่ไหนล่ะ?”

“กูเอาไปโยนทิ้งหมดแล้ว.............” 

บีบี๋หัวเราะแห้ง

“ก็กูกลัวว่าถ้ามึงเห็นแล้วจะยิ่งรำคาญก็เลยคิดว่าปฏิเสธไปดีกว่า แต่ไอ้แดนก็บอกว่ามันให้แล้วให้เลย ถ้ามึงไม่อยากรับก็ให้ทิ้งขยะไป.... กูก็ผ่าโยนทิ้งไปจริงๆ.........”

ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนกระอักกระอ่วนเมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าบีบี๋รู้เห็นเรื่องไอ้แดนมาตลอดแต่ไม่เคยบอกผมซึ่งเป็นเพื่อนมันเลยสักคำ ผมก็ได้แต่ปั้นหน้านิ่งเฉยเหมือนรูปปั้นทั้งที่ภายในคลื่นเหียนอยากจะอ้วกออกมาเต็มแก่.... โอเค เหตุผลที่ไอ้บี๋อ้าง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผมตั้งแง่ใส่นายดรัณภพเอง จะหาว่าอคติก็ได้แต่สิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ก็คืออดีตเพื่อนคนนี้คงไม่พอใจเวลาที่มีคนมาทำดีกับผม ก็เลยพยายามกีดกันออกไปให้หมดแทนที่จะบอกความจริง

“ช่างเถอะ ยังไงมึงก็ทิ้งไปแล้วนี่”

มาเสียดายสิ่งที่ทำหลุดมือเอาตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว ไม่ต่างจากปราสาททรายที่พังลงเมื่อถูกคลื่นซัดถาโถม ต่อให้สร้างขึ้นมาใหม่ จำนวนเม็ดทรายที่มีอยู่ก็คงไม่เท่าเดิม เรื่องของผมกับมันก็เช่นกัน

“เฮียโรม เหมือนในตู้เย็นจะมีชามะนาวอยู่ใช่ปะ บี๋วานเฮียเอามาให้ไอ้ชาหน่อยดิ แล้วก็แอปเปิ้ลด้วย.... ไอ้ชามันชอบ ให้มันกินเยอะๆ เลย”

“แล้วบีบี๋จะกินอีกไหม เฮียจะได้หยิบเผื่อ”

“บี๋ไม่เอาแล้ว เมื่อกี้กินเชอร์รี่เข้าไปเกือบหมดกล่องแน่ะ อิ่มจะแย่”

เว้นว่างได้ไม่เท่าไรก็ต้องหงุดหงิดกับความแสนรู้ของมัน ไม่อยากจะบอกว่าที่คอนโดฯ พี่โรมน่ะมีชามะนาวยี่ห้อที่ผมชอบแช่อยู่เป็นลัง ขนมกับผลไม้ก็ไม่เคยขาดเลยด้วยตั้งแต่ผมย้ายเข้าไปอยู่กับเขา

“นี่ไม่อยากจะคุยเลยนะ แต่เฮียโรมน่ะใจดีที่สุดของที่สุดเลยว่ะ เทคแคร์ดีเวอร์ แถมยังรู้ใจกูไปหมด กูแทบไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยสักอย่าง” 

พอเห็นผมไม่พูดขัด ไอ้บี๋ก็ยิ่งเอาใหญ่ คงคิดล่ะมั้งว่าการคุยโม้โอ้อวดเรื่องพี่โรมจะสามารถทำให้ผมอิจฉาได้เหมือนวันที่เราระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างใส่กันจนสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพฉิบหายไปในพริบตานั่นละ 

“ใครจะไปคิดว่าเกิดมาชาตินี้จะแต้มบุญดีขนาดได้เฮียโรมเป็นแฟน ที่สำคัญก็คือเขาเป็นฝ่ายจีบกูก่อนนะเว้ย เพื่อนชา.... โปรดฟังซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เฮียโรมจีบกูก่อน เขาบอกว่าเขาชอบกูมากกกกกกกกก”

“พอแล้ว บีบี๋”

พี่โรมซึ่งกำลังล้างแอปเปิ้ลอยู่ในห้องน้ำรีบเบรก หากก็ไม่ช่วยให้คนชอบขิงสงบปากสงบคำลงได้

“ฮั่นแน่ มีคนแอบเขินด้วย~”

บีบี๋กระมิดกระเมี้ยนบิดตัวไปมาทั้งๆ ที่ร่างกายก็ไม่ได้เอื้ออำนวยสักเท่าไร ก่อนจะหันมาทำตาโตตื่นเต้นใส่ผมเสมือนว่าเพิ่งมีอุกกาบาตมาตกที่หลังบ้านมัน 

“เออ คราวก่อนนู้น กูมีคุยๆ กับเฮียโรมเอาไว้ว่าวันหยุดยาวจะลงใต้ไปเที่ยวสุราษฎร์กัน แต่กว่าขากูจะหายก็คงอีกสักพักใหญ่ๆ หรือไม่ก็ปิดเทอมไปเลย.... ตอนนั้นมึงจะถ่ายซีรีส์สงครามคิวท์บอยอะไรนี่เสร็จหรือยังวะ เผื่อเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน กูยังไม่เคยไปไหนไกลๆ กับมึงเลยนะ”

“คงยังไม่เสร็จหรอก น่าจะอีกนานเลย”

“ว้า~ จริงเหรอ” 

คนตัวเล็กทำเป็นห่อปากร้องด้วยความเสียดาย แต่ดวงตาสุกใสกับรอยยิ้มกริ่มไม่สะทกสะท้านต่อน้ำเสียงเย็นชายังคงถูกส่งมาทางผม พร้อมกับเรื่องโม้เหม็นสไตล์เดิมๆ 

“เฮียโรมเคยบอกว่ารีสอร์ทที่สมุยของที่บ้านคือดีงามมาก นี่วางแผนไว้แล้วว่าอีกหน่อยถ้ากูเรียนจบก็คงย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย จะได้ช่วยป๊าม้าเฮียดูแลกิจการด้วย.... แต่ที่อยากไปสุดคือฟูลมูนปาร์ตี้เกาะพงัน ดูรีวิวในเว็บมาแล้วว่าฝรั่งหล่อล่ำแซ่บเวอร์มีให้เลือกอย่างกับเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต เผื่อมึงไปเปิดหูเปิดตาแล้วเจอเนื้อคู่จะได้โกอินเตอร์ไง”

สตอรี่คุ้นๆ เหมือนเดจาวูวันที่ผมฟิวส์ขาดไม่มีผิด....

ทว่า เหตุผลที่ทำให้เลือดในตัวผมเดือดปุดๆ ได้ไม่ใช่แค่เพราะการขิงไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหมของไอ้บี๋หรอก แต่เป็นเพราะพี่โรมก็เคยบอกว่าจะพาผมไปอยู่กับเขาที่บ้านเกิดหลังเรียนจบเหมือนกัน พอมาได้ยินแบบนี้มันก็เลยหมดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ คำสัญญาที่ให้ไว้ก็ไม่ได้มีค่ามากเกินไปกว่าแค่คำพูดพล่อยๆ ซึ่งพี่โรมจะพูดกับใครก็ได้ที่เขาคบด้วยในเวลานั้น

“พูดเยอะไปแล้ว เราน่ะ” 

ตัวต้นเหตุก็ทำได้แค่ปรามเสียงอ่อนแล้วยื่นขวดชามะนาวมาให้ จานแอปเปิ้ลหั่นชิ้นไม่ปอกเปลือกวางลงบนโซฟาข้างกายผมราวกับจะทดแทนคำขอโทษที่เขาสร้างปัญหาให้ผมต้องมาโดนเฉือนหัวใจแทบจะทุกห้าวินาทีแบบนี้ 

“กินสิ ทิชา.... แอปเปิ้ลนี่พี่ซื้อมาเอง ให้ที่ร้านคัดมาอย่างดีเลย อร่อยนะ”

ผลไม้สีแดงเนื้อหวานกรอบซื้อมาจากร้านประจำของผมแถวสถานีพร้อมพงษ์ ปกติผมจะเลือกเองแล้วให้ที่ร้านหั่นแพ็คใส่กล่องพลาสติก  ครั้งสุดท้ายที่แวะไปแถวนั้นพี่โรมก็ไปกับผมด้วย ก็ไม่ใช่ว่าหวงอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะถึงขนาดซื้อของแบบเดียวกันจากร้านเดียวกันเอามาประเคนให้แฟนเก่าผู้น่าสงสาร.... ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ต้องบอกว่านับจากนี้เป็นต้นไป ผมคงกินแอปเปิ้ลสายพันธุ์ New Zealand Envy ของโปรดจากร้านประจำของตัวเองไม่อร่อยอีกแล้ว

เมื่อผมไม่กิน แอปเปิ้ลจานนั้นก็กลายเป็นของไอ้บี๋ไปโดยสมบูรณ์แบบ มันสรรหาข้อดีของพี่โรมมาคุยให้ผมฟังไม่หยุดปากพลางซัดทุกอย่างจนอิ่มแปล้แล้วก็ผลอยหลับไปตามสูตรหนังท้องตึงหนังตาหย่อน

เวลาแห่งความทรมานใจของผมคงจะจบลงเสียที....

“พี่โรม กลับกันได้หรือยัง?” 

เมื่อแน่ใจว่าบีบี๋หลับไปแล้ว ผมก็สะกิดเรียกคนที่ตัวเองตั้งใจมา ‘เฝ้า’  ทันที หากแทนที่เขาจะพยักหน้ารับหรือหยิบกุญแจรถก็กลับนั่งแช่รากงอกคาเก้าอี้อยู่ได้

“เดี๋ยวก่อนสิ หม่าม้ายังไม่มาเลย”

“นี่มันสองทุ่มจะครึ่งแล้วนะ” 

ผมชี้ให้ร่างสูงดูนาฬิกาบนผนัง ลาวาร้อนในหัวเริ่มจะปะทุเดือดขึ้นมาอีกระลอกเมื่อจนป่านนี้แล้ว พี่โรมก็ยังมัวห่วงแต่ไอ้บี๋จนลืมเวลาส่วนตัวซึ่งเหลืออยู่อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงของผมไปหมดสิ้น 

“ให้มันนอนคนเดียวก็ได้มั้ง พยาบาลเวรก็อยู่กันเยอะแยะ หม่าม้าก็บอกแล้วนี่ว่าจะมา.......”

โทรศัพท์มือถือหุ้มเคสสีดำสั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะข้างตู้เย็น พี่โรมยกมือเป็นเชิงบอกให้ผมหยุดพูดก่อนจะเดินไปกดรับสาย ลางสังหรณ์ทำงานรวดเร็วรีบกระซิบบอกผมว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อหัวคิ้วชายหนุ่มกดลงในขณะที่เปล่งน้ำเสียงสุภาพตอบกลับไปให้คนโทรมาหาได้ยิน

‘ครับ หม่าม้า........’

‘อ๋อ ได้ครับ ไม่เป็นไรครับ..... หม่าม้าพักผ่อนเถอะ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ’

เพียงเท่านั้นก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมชักสีหน้าใส่ร่างสูงอย่างหมดความอดทน เขาเองก็ดูลำบากใจกับคำขอร้องจากผู้ใหญ่ซึ่งจะว่าไปก็น่าเห็นใจไม่น้อย แต่ในเวลานั้น ผมก็แค่อยากให้พี่โรมรู้ว่าผมไม่ใช่ตัวเลือกสุดท้ายที่จะรอเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่ของตายซึ่งเขาจะโยนทิ้งโยนขว้างตรงไหนก็ได้แล้วค่อยกลับมาเก็บเมื่อมีเวลาว่าง

“หม่าม้าไม่ค่อยสบาย รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ก็เลย............”

“ก็เลยขอให้ว่าที่ลูกเขยเฝ้าไอ้บี๋แทนใช่มั้ย?”

“ทิชา............”

พี่โรมพยายามดึงมือผมไปกุมไว้ แต่ผมสะบัดออกไม่ยอมให้เขาจับ ความผิดหวังสะท้อนผ่านแววตาของเราทั้งคู่ในความหมายที่แตกต่างกัน.... พี่โรมอยากให้ผมเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นของเขา หากผมก็อยากให้เขาเข้าใจและใส่ใจความรู้สึกของผมเหมือนกัน

“อย่ามาทำเสียงเหมือนว่าชาเป็นคนผิดแบบนี้นะ พี่โรมต่างหากที่ทำอะไรไม่คิดถึงใจชาเลย......”

ผมตัดพ้อพลางกลืนก้อนสะอื้นขมเฝื่อนลงคอ 

“ชาไม่ได้รอมาทั้งอาทิตย์เพื่อมาเจอเรื่องพรรค์นี้นะ อดทนก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังต้องมาโดนทิ้งกลางอากาศทั้งๆ ที่พี่โรมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันมีน้อยแค่ไหน พอชาไม่ยอมก็โดนพี่โรมมองว่าใจแคบอีก.... แล้วมันต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ต้องให้ชาอดทนอีกเท่าไรมันถึงจะพอสำหรับพี่!?”

ผมเสียงดังขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดทั้งมวลที่อุตส่าห์อดกลั้นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าพี่โรมยังหลงเหลือเยื่อใยให้แฟนเก่าทะลักออกมาผ่านคำพูดคล้ายคนหยุดอาเจียนไม่ได้.... ก็อย่างที่บอกว่าผมยอมเขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรบนโลกนี้ก็สามารถทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องนี้ ไม่ใช่การที่พี่โรมจะไปให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าผม....!!

“มาคุยกันในนี้”

พี่โรมลากผมเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู การยืนประจัญหน้ากับเขาช่างน่าอึดอัดยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เราเคลียร์กันรอบแรก เพราะมันไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ต้นตอของปัญหา เราต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรยังไง แต่พี่โรมก็ยังเลือกที่จะให้บีบี๋เหยียบย่ำหัวใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ตัวเขาก็แค่มองดูอยู่ห่างๆ

ผมทนไม่ไหวหรอก......ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ.............

“พี่โรม ชาขอพูดตรงๆ เลยนะ ไอ้บี๋มันไม่ได้ความจำสับสนอย่างที่พวกพี่เข้าใจกันไปเองหรอก ทุกอย่างที่มันพูดเมื่อกี้นี้น่ะ มันเคยพูดกับชามาแล้วครั้งนึง.... ครั้งนี้มันก็แกล้งพูดขึ้นมาอีกเพราะรู้ว่าถ้าใช้พี่โรมเป็นเครื่องมือแล้วจะทำให้ชาอิจฉามันได้ไง............”

พี่โรมมองผมด้วยสายตาตำหนิเด็กขี้ฟ้องก่อนจะถอนหายใจใส่ ทำราวกับว่าก้อนหินซึ่งทับถ่วงข้างในใจผมเป็นแค่เศษฝุ่นผงขี้ปะติ๋ว

“ถ้ารู้ว่าบีบี๋จงใจแกล้งให้อิจฉา แล้วทิชาจะไปเต้นตามคำพูดบีบี๋ทำไมล่ะ?”

“ถามงี้จะหาเรื่องทะเลาะกันใช่ไหม!?” 

หน้าผมทั้งชาและร้อนผ่าวเมื่อได้ยินพี่โรมพูดจาคล้ายปัดความรับผิดชอบ ซ้ำยังจะโทษกันกลายๆ ว่าสิ่งที่ทำให้เราต้องมาเคลียร์กันรอบสองเป็นเพราะอคติและความหัวอ่อนโดนปั่นง่ายของผมเอง แต่ไม่คิดจะจัดการกับคนตอแหลตาใสๆ ที่นอนอยู่ข้างนอกนั่นเลย 

“สิ่งที่พี่โรมควรทำก็คือหยุดบีบี๋ไม่ให้สร้างเรื่องโกหกมากไปกว่านี้ ไม่ใช่แค่เห็นมันเจ็บตัวมาหน่อยก็จะสปอยล์กันไปเสียทุกอย่างแล้วค่อยมาห้ามชาไม่ให้โกรธ!”

“พี่บอกแล้วไงว่าบีบี๋เจ็บอยู่ พี่ทำแบบนั้นไม่ได้”

“เออ ใช่สิ.... พี่โรมก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ นอกจากทำร้ายจิตใจชา!”

ผมเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อในตอนที่พี่โรมดึงตัวผมเข้าไปกอด.... อดคิดไม่ได้ว่าเพราะตัวเองเป็นฝ่ายหลงรักก่อน ถึงได้ดูเหมือนง่าย ไม่ว่าอะไรก็ต้องยอมตามเขาไปหมด และคนที่ทุ่มความรักให้มากกว่ายังไงก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้

“ทิชาเป็นอะไร? ทำไมถึงดื้อกับพี่ขนาดนี้ล่ะ?” 

ร่างสูงพยายามใช้น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อดึงอารมณ์ผมให้สงบลง การที่พี่โรมทำแบบนี้ก็แสดงว่าเขารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่ในเมื่อรู้ว่าผิดแล้วทำไมถึงไม่ยอมหยุด? ทำไมถึงยังเลือกที่จะไปต่อทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าบีบี๋กำลังเสี้ยมให้เราสองคนต้องมีปัญหากัน? 

“ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ.... แล้วเรื่องบีบี๋ เราก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะรอจนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาล ความจำเสื่อมจริงหรือไม่จริง พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวอะไรๆ มันก็จะชัดเจนขึ้นเอง คนเรามันโกหกตลอดไปไม่ได้หรอก”

“เดี๋ยวพอถึงตอนนั้นจริง พี่โรมก็คงมีเหตุผลใหม่ๆ มาถ่วงเวลาที่จะได้ดูแลไอ้บี๋ออกไปอีก...........”

“เอาอีกแล้ว.... ทิชาอย่าระแวงพี่ขนาดนั้นได้ไหม? หรือว่าที่ผ่านมา พี่ยังทำดีไม่พอจะให้ทิชาเชื่อใจว่าพี่รักเรามากแค่ไหน?”

“ชาก็เชื่อใจพี่โรมมาตลอด จนกระทั่งไอ้บี๋มันกลับเข้ามาในชีวิตพี่นั่นแหละ” 

ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา 

“พี่โรมอาจจะไม่รู้ตัวหรอกมั้ง แต่ทั้งคำพูดและการกระทำของพี่มันเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิด แล้วก็แสดงความอยากรับผิดชอบที่ทำให้ไอ้บี๋ต้องเจ็บ.... ถ้าหากพี่โรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เบอร์ลิค มันก็ทำให้ชาคิดได้อย่างเดียวว่าพี่รู้สึกผิดที่บอกเลิกไอ้บี๋ก็เลยพยายามจะชดเชยให้.... พี่คงคิดสินะว่าถ้าตัวเองยังคบกับมันอยู่ ถ้าชาไม่มาชิงเกียร์พี่โรมแล้วทำให้ความรักของพี่กับไอ้บี๋พัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้”

ผมผละออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางทีที่ตรงนี้อาจไม่ได้มีไว้สำหรับผม ถึงจะเคยคิดว่าไม่อยากเสียพี่โรมให้คนอื่น ไม่อยากให้ใครมาแย่งเอาเขาไป แต่ถ้าใจของเจ้าตัวไม่ได้อยู่กับผมจริงมาตั้งแต่แรก แล้วผมควรจะหน้าด้านยื้อเอาไว้รอให้เขาทวงคืนเหรอ

งั้นก็เอาคืนไปให้หมดเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยไหมล่ะ....?


 “อยากนอนค้างเฝ้าไอ้บี๋ที่นี่ก็ตามใจพี่โรมก็แล้วกัน.... ชาก็ทำใจไว้แล้วล่ะว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน” 

ผมถอดเกียร์ออกก่อนจะยัดมันคืนใส่มือร่างหนา ในเมื่อพี่โรมเคยบอกว่าเกียร์อยู่ที่ไหนใจอยู่ที่นั่น ดังนั้น ก็ให้เขาเอาไปคล้องให้กับคนที่เป็นเจ้าของหัวใจตัวจริงคงจะดีกว่า 

“ชามาที่นี่ก็แค่อยากเจอพี่โรม อยากหาเวลาอยู่ด้วยกันให้นานขึ้นเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าพี่ไม่ได้คิดแบบเดียวกันก็ไม่เป็นไร.... ก็เอาที่พี่โรมสบายใจเถอะ ชาก็ไม่อยากพูดเยอะให้พี่รำคาญแล้วเหมือนกัน”

“ทิชา ไม่เอาน่า.......”

“ชากลับก่อนนะ”

ผมทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะเบียดตัวออกมาจากห้องน้ำเพื่อหยิบกระเป๋าแล้วกลับออกไป มีอยู่วูบหนึ่งที่ผมแอบหวังว่าพี่โรมจะตามมาง้อ เอาเกียร์มาสวมคืนให้เหมือนเดิมและบอกว่าเขาไม่เหลือใจให้บีบี๋แล้วจริงๆ ทั้งหมดที่เราเถียงกันเมื่อครู่เป็นเพราะผมงอแงคิดมากไปเอง


แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขายังอยู่ในห้องกับบีบี๋ ไม่มีวี่แววว่าจะตามผมออกมา....


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“ไป มิลค์.... เก็บของกลับบ้านเรากัน!”

ผมส่งเสียงเรียกแมวหน้าหงิกซึ่งนอนขดตัวอยู่ในโพรงชั้นบนสุดของคอนโดแมวไฮโซ ครั้งแรกที่ได้ยินพี่โรมบอกว่าสั่งซื้อคอนโดแมวมาให้มิลค์ ผมก็นึกว่าคงเป็นแบบธรรมดาหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป ไม่ได้มีออปชั่นอะไรมากมาย พอมาเจอของจริงถึงได้ผงะไปครึ่งนาทีกับทาวเวอร์สูงตระหง่านสี่ชั้น มีเสาฝนเล็บ กล่องบ้านแมว สะพาน เปลแขวน ลูกบอล บันไดเยอะแยะเต็มไปหมด คอนโดแมวกินพื้นที่วางในคอนโดมนุษย์ไปหนึ่งมุมใหญ่ๆ เข้าใจทันทีเลยว่าทำไมพี่โรมถึงไม่ขับรถไปซื้อเองแต่ต้องให้ทางร้านขนมาส่งถึงห้องพร้อมประกอบให้เสร็จสรรพ

“ไปเร็ว มิลค์.... ออกมาได้แล้ว”

ยัยลูกสาวทรยศทำเฉยไม่สนใจผม ก่อนจะย้ายหนีจากชั้นสองขึ้นไปซุกอยู่ในกล่องบ้านชั้นบนสุด เดือดร้อนผมต้องเขย่งล้วงเอาตัวอ้วนๆ ของมันออกมา

“แง้ววววววววววว!!!”

“ไม่ต้องร้อง ที่บ้านเราก็มีอันเก่าให้เล่นน่ะ.... ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวซื้อให้ใหม่ก็ได้ เอาให้ใหญ่กว่าของแด๊ดดี้อีก”

กว่าผมจะลากมิลค์มายัดใส่กรงได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ แถมยังโดนฝากรอยข่วนจนเลือดซิบเอาไว้ที่หลังมืออีกต่างหาก.... จากที่โมโหลูกแล้วก็พาลกลับไปโมโหตัวพ่ออีกรอบ เข้าใจเปย์ของราคาหลักหมื่นเพื่อซื้อใจลูกสาว จากที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าพ่อก็กลายเป็นเห่อคอนโดฯ ใหม่จนไม่อยากกลับบ้านตัวเองเสียแล้ว

ผมเดินออกจากห้องพี่โรมมารอลิฟท์ขาลง ในหัวใจรู้สึกโหวงๆ นิดหน่อยที่สุดท้ายแล้วก็ต้องหอบข้าวหอบของออกจากห้องพี่โรมกันทั้งผมและมิลค์ ไม่ใช่ว่าจะประชดเล่นแง่เพื่อเอาชนะหรือเรียกร้องความสนใจ แต่ในเมื่อพี่โรมไม่มีเวลาว่างพอจะดูแลมิลค์อีกแล้ว ผมก็แค่ทำตามที่พูดเอาไว้คือรับลูกกลับบ้านไปเลี้ยงเอง

ที่สำคัญก็คือผมมาเองก็ควรจะไปเอง อย่าให้เจ้าของห้องต้องเอ่ยปากไล่ให้ขายขี้หน้าใครต่อใครเลยดีกว่า....

สัญญาณไฟหน้าลิฟท์สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงดังติ๊ง แต่เป็นไฟสีเขียวสำหรับขาขึ้นไม่ใช่ไฟสีแดงซึ่งผมกำลังรออยู่ เมื่อเห็นคนที่เดินออกมาเพื่อกลับเข้าห้องพักก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะซวยถึงขั้นเจอไอ้แดนเอาตอนกำลังพายัยมิลค์ระเห็จกลับบ้านพอดิบพอดี

หลังจากวันที่ได้รู้ความจริงบางอย่างตรงบันไดหนีไฟ ผมก็รู้สึกเข้าหน้าไอ้แดนไม่ติดมากยิ่งกว่าเดิมสักสิบเท่าได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ามันแอบชอบผมมาตลอดตั้งแต่ตอนปีหนึ่งโดยที่ผมไม่เคยรับรู้อะไรเลย ซ้ำร้ายยังทำแต่เรื่องแย่ๆ ใส่มัน จะมีก็แค่เวลาเวิร์คช็อปหรือถ่ายงานด้วยกันเท่านั้นที่พอคุยกันไหว

“ดึกป่านนี้จะพาน้องมิลค์ไปไหน?”

“จะกลับบ้านน่ะ”

“กลับบ้าน?”  คนถามเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หน่วยตาเรียวเหลือบมองไปทางห้องของญาติผู้พี่แวบหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ  “กลับทำไม? เฮียโรมไม่ให้อยู่แล้วเหรอ?”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าใช่พลางแค่นหัวเราะกลบเกลื่อน

“แล้วจะกลับยังไง?”

“เดี๋ยวให้พี่ยามข้างล่างโบกแท็กซี่ให้ ถ้าไม่มีก็คงเรียกอูเบอร์มั้ง”

นายดรัณภพผงกหัวรับรู้แล้วก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมลงลิฟท์มาถึงชั้นล่างแล้วแจ้งรปภ.ข้างหน้าตึกให้ช่วยวอเรียกแท็กซี่เข้ามารับ ยัยมิลค์ยังคงงอแงไม่เลิก ดิ้นพล่านกลับหน้ากลับหลังอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมอย่างหงุดหงิดที่ผมดึงมันออกจากคอนโดแมวหรูหรามาอยู่ในกล่องแคบๆ น่าอึดอัด รถแท็กซี่ก็ยังไม่มาสักที ก็สมแล้วที่เป็นถนนอโศก-เพชรบุรี เจ้าของแชมป์สถิติรถติดยี่สิบสี่ชั่วโมงสัปดาห์ละเจ็ดวัน

แต่แล้วก็มีใครบางคนมาสะกิดไหล่ผมจากทางด้านหลัง....

“ดึกแล้วอย่านั่งแท็กซี่เลย เดี๋ยวกูไปส่งมึงกับน้องมิลค์เองดีกว่า”

ไอ้แดนชูกุญแจรถให้ดูก่อนจะถือวิสาสะดึงกรงใส่แมวไปหิ้วเอง ยอมรับว่าตกใจพอสมควรเพราะคิดไม่ถึงว่ามันจะตามลงมา อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้ารบกวนด้วยอารมณ์ที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผมก็ใช่ว่าจะดีนัก

“เอ่อ......จะดีเหรอ........?”

“ลืมแล้วเหรอว่าตอนมึงกับน้องมิลค์ย้ายเข้ามา กูเป็นคนช่วยขนของนะ ตอนนี้มึงจะย้ายออก กูก็ต้องช่วยเหมือนเดิมสิ”

ร่างสูงยิ้มให้จนตาหยี เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานจนเกือบจำไม่ได้แล้วว่าเคยมีวนเวียนอยู่รอบตัว คนอาสาพาไปส่งบ้านเดินไปบอกพี่ยามหน้าตึกว่าผมไม่ต้องการเรียกรถแท็กซี่แล้ว ก่อนจะเดินนำหน้าออกประตูอีกฝั่งไปยังลานจอดรถสำหรับลูกบ้านอาคารนี้พร้อมกับเอายัยมิลค์ไปด้วย.... ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเสียไม่ได้ มาถึงตอนนี้แล้วก็คงใจแข็งปฏิเสธน้ำใจไอ้แดนไม่ลง พอคิดถึงเรื่องที่ว่ามันพยายามทำดีกับผมมาตลอดก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลงไปกันใหญ่

หากจะว่าไปแล้วก็แอบโล่งใจอยู่ลึกๆ ที่อย่างน้อยก็มีใครสักคนยังพอเห็นหัวผมกับยัยมิลค์บ้าง....

รถคัมรี่แล่นออกจากคอนโดฯ วิ่งผ่านเส้นเพชรบุรีตัดใหม่ไปเข้าซอยทองหล่อจากทางฝั่งท่าเรือ ด้วยความที่ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว ร้านอาหารจำพวกนั่งชิลล์เปิดดึกรวมถึงผับบาร์ตรงอาร์ซีเอกำลังคึกคักได้ที่ก็เลยทำให้การจราจรยังคงหนาแน่นเป็นระยะ.... เช่นเดียวกับบรรยากาศภายในรถซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็ชวนให้อึดอัดอยู่พอประมาณ นอกจากที่ขันอาสาพามาส่งแล้ว ไอ้แดนก็ไม่กล้าชวนผมคุยอย่างอื่น ผมเองก็วางตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรชวนมันคุยดีหรือเปล่า กลัวว่าถ้าเผลอพูดอะไรผิดหูแล้วจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เพลงฝรั่งซึ่งเปิดคลออยู่ก็ไม่ค่อยช่วยให้เราผ่อนคลายต่อกันสักเท่าไรนัก

“แง้วววววววว"

“มิลค์ อดทนหน่อยน่า เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” 

ผมหันไปดุเมื่อลูกสาวทำท่าจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกรอบ ส่วนหนึ่งก็เกรงใจเจ้าของรถว่าเขาจะรำคาญเอาด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นทีมทาสแมวเหมือนกันก็เหอะ

“น้องมิลค์เป็นอะไรวะ คราวก่อนที่มาส่งก็เห็นอยู่ในกรงเรียบร้อยดีนี่?”

“เมื่อก่อนก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก.......” 

ผมตอบพลางเอี้ยวตัวหันไปยกมือทำท่าขู่ว่าจะตี แต่ก็เจอเสียงขู่ฟ่อแฟ่ดแยกเขี้ยวจากสัตว์ดุร้ายในกรงกลับมา 

“ก็พี่โรมน่ะสิ เวลาไปไหนมาไหนไม่เคยเอามิลค์ใส่กรงเลย ชอบใส่สายจูงพาเดินแบบหมาแล้วเวลาขึ้นรถก็ปล่อยให้มันวิ่งเล่นไปทั่ว ตามใจกันจนเสียนิสัย ดูท่าทางมิลค์จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแมวแล้วมั้งเนี่ย”

ผมก็แค่บ่นไปตามเนื้อผ้าไม่ได้เจตนาจะเพ้อถึงใคร จนกระทั่งไอ้แดนมันเงียบไปนั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอเอ่ยชื่อคนบางคนออกไปอีกแล้ว

“ขอโทษนะ...........”

“อืม ไม่เป็นไร” 

ถ้าหากแดนรู้ว่าผมขอโทษเรื่องอะไร แสดงว่าที่เงียบไปเมื่อกี้ก็เป็นเพราะผมพูดถึงพี่โรมให้มันได้ยินจริง 

“มึงจะปล่อยน้องมิลค์ออกมาก็ได้นะ ถ้าไม่ชอบเข้ากรงก็อย่าไปบังคับเลย.... ร้องจนเสียงแห้งแล้ว กูสงสาร”

“อย่าเลย เดี๋ยวเบาะรถมึงเป็นรอยเล็บ”

“แค่รอยเล็บแมว เบาะรถกูมันไม่เจ็บหรอก” 

ว่าคนพี่แย่แล้ว คนน้องก็มีอาการหลงแมวหนักไปต่างกันเท่าไร แต่ในเมื่อเจ้าตัวอนุญาต ผมก็เปิดล็อคประตูกรงปล่อยให้ยัยลูกสาวตัวแสบเป็นอิสระ.... มิลค์ทำจมูกฟุดฟิดดมเบาะรถใหม่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินข้ามมาเบาะหน้าแล้วหยุดมองเดือนสถาปัตย์ตาแป๋ว พอไอ้แดนยื่นมือไปเกาคางก็หลับตาพริ้ม ท่าทางสงบเสงี่ยมน่ารักผิดกับตอนอาละวาดไล่งับมืองับเท้าพี่โรมลิบลับ 

“โอ๋ๆ คนสวยคิดถึงพี่แดนเหรอคะ.... พี่แดนก็คิดถึงหนูนะคะ”

“ทำเสน่ห์ใส่ลูกกูอีกละ” 

ผมแกล้งว่าพลางอุ้มยัยมิลค์มาไว้บนตักเมื่อสัญญาณไฟข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว 

“แต่มิลค์มันดูชอบมึงจริงๆ นะ ปกติเคยยอมให้ใครจับตัวง่ายๆ ที่ไหน ขนาดหมอแมวที่ไปหากันประจำก็ยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย”

“น้องมิลค์คงรู้แหละว่าใครคือคนหล่อที่แท้ทรู”

พอชมเข้าหน่อย พระเอกหน้าใหม่ก็เกิดอยากจะอวยตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อรถติดไฟแดงช่วงเจอเวนิวใกล้จะถึงทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน อยู่ๆ นายดรัณภพก็ก้มลงมาหอมยัยมิลค์ซึ่งอยู่บนตักผมฟอดใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ทีเล่นทีจริงให้ 

“ถ้าไม่ติดว่ามึงหวง กูไม่ให้มึงเอากลับบ้านหรอก จะขอเอาไปฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวสักหลายๆ วัน”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงด่าเปิงที่มันบังอาจมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ หากตอนนี้กลับทำได้เพียงหัวเราะตามน้ำเพราะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรกันแน่.... ใจผมอ่อนลงมากนับตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องที่แดนแอบรักผมมาตลอด แต่ผมก็กระดากใจเกินกว่าจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดคุยเล่นหัวกับมันได้ ยอมรับว่าลึกๆ ในอกก็แอบดีใจที่ตัวเองได้เป็นที่รักของใครคนหนึ่ง หากก็น่าเสียดายตรงที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปิดเผยช้าเกินไป ไม่อย่างนั้น บางทีผมกับมันก็อาจจะไม่ได้เป็นแค่คู่จิ้นซึ่งทีมพีอาร์กองละครกับพวกแฟนคลับบิ้วท์และมโนกันไปเอง

แต่ก็ได้แค่อาจจะเท่านั้น....

เมื่อเลี้ยวผ่านป้อมยามด้านนอกมาได้ไม่ถึงอึดใจ รถของแดนก็มาจอดลงตรงหน้ารั้วบ้านผม ไฟในบ้านปิดมืดบอกให้รู้ว่าแม่ยังไม่กลับมาตามเคย เหมือนจะเห็นผ่านๆ ตามหน้าฟีดข่าวในโซเชียลว่ามีเดินสายโชว์ตัวต่างจังหวัดขายชุดชั้นในกระชับสัดส่วนแล้วก็ออกอีเวนท์โปรโมทคลีนิกเสริมความงามอะไรสักอย่าง สำหรับบ้านอื่นคงเห็นเป็นเรื่องแปลก แต่เพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน ผมกับแม่ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยอยู่แล้วแม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็เถอะ

“มึงอุ้มน้องมิลค์เหอะ เดี๋ยวกูหิ้วกรงให้เอง”

แดนบอกผมหลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ผมอุ้มยัยมิลค์ไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ไขกุญแจเปิดประตูรั้วก่อนจะทำแบบเดียวกันกับประตูกระจกด้านใน.... ผมปล่อยลูกสาวขนฟูลงข้างในตัวบ้าน ร่างสูงเดินตามมาพร้อมด้วยกรงแมวซึ่งวางอยู่เบาะหลัง เมื่อทำภารกิจส่งผมกับมิลค์ถึงบ้านอย่างปลอดภัยเสร็จสรรพ ไอ้แดนก็ทำท่ายกมือขึ้นบ๊ายบายแล้วหันหลังเตรียมจะกลับไปขึ้นรถ

“แดน...........”

“หืม?”

“จะกลับเลยเหรอ?”

คนตัวสูงหันมาเลิกคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ผมจึงเลื่อนประตูกระจกออกให้กว้างพอที่แดนจะเดินเข้าไปข้างในได้พลางส่งเสียงเอ่ยเชื้อเชิญอีกครั้ง 

“เข้ามาเล่นกับมิลค์ก่อนไหมล่ะ?”

“กู........เข้าบ้านมึงได้เหรอ?”

“มึงเป็นผีหรือไง เจ้าที่เจ้าทางถึงจะไม่ให้เข้าน่ะ”  ผมย้อนถามกลั้วหัวเราะ “คราวก่อนยังเดินเข้ามาเองไม่เห็นถามกูสักคำ จะมาเกรงใจอะไรกันตอนนี้”

หมายถึงเมื่อครั้งที่ไอ้แดนเสิร์ชหาที่อยู่ผมแล้วมาหาโดยไม่ได้รับเชิญ ตอนนั้นผมโมโหหัวเสียสุดๆ ที่ต้องมาเจอหน้าตากวนตีนกับคำพูดซึ่งไม่เคยเข้าหูเลยสักประโยคหลังจากเพิ่งชิงเกียร์พี่โรมมาได้หมาดๆ เพราะอคติฝังใจผสมกับความระแวงว่ามันจะใช้ผมเป็นเครื่องมือเรียกเรตติ้ง ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาผมไปเสียทุกอย่าง แต่ถ้าลองพิจารณาให้ดีๆ ผมคงจะมองเห็นความห่วงใยจากแดนได้ตั้งนานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่ติดหนังพวกนั้นไง ผมมั่นใจว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งกับอดีตเพื่อนอย่างบีบี๋ ทางเดียวที่มันจะรู้ได้ก็คือแอบตามมาสังเกตเองว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร

“เข้าได้จริงนะ?”

“เออดิวะ”

“งั้นกูไม่เกรงใจมึงนะ”

   


“แดน.... มึงกินเผ็ดได้หรือเปล่า?”

“ได้สิ กูเด็กใต้นะ”

“แต่กูกินไม่ได้ว่ะ”

“อ้าว แล้วถามกูทำไมเนี่ย?”

ผู้ชายตัวโตเงยหน้าขึ้นจากการเล่นจ้องตากับแมวมามองผมเหมือนจะด่าว่ากวนตีน บังอาจมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขของมันกับยัยมิลค์ ผมก็เลยชูกะทะผัดข้าวซึ่งเพิ่งยกลงจากเตาไฟฟ้าสดๆ ร้อนๆ ให้มันดูเป็นเชิงบอกว่าถ้ามึงกล้าด่าอะไรกูแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดทั้งมวลที่ควรจะได้กินทางปากจะลอยไปหล่นลงบนหัวกบาลใครบางคนแถวนี้แทน

“จะได้ทำน้ำปลาพริกแยกให้มึงอีกถ้วยไง ของกูใส่แค่พริกลอยหน้าขำๆ”

ผมอธิบายไปด้วย มือก็ซอยพริกขี้หนูเตรียมทำน้ำปลาพริกไว้กินกับข้าวผัดเบคอน ไม่ถึงนาที ข้าวผัดเคลือบไข่เหลืองอร่ามตัดกับส้มจากสีแคร์รอตและสีเขียวจากต้นหอม มีเบคอนกรุบกรอบชวนให้น้ำลายสอยามดึกก็พร้อมเสิร์ฟ ถึงจะไม่ใช่เมนูหรูหรา แค่ใช้วัตถุดิบตามมีตามเกิดเท่าที่เหลือในตู้เย็น แต่รับรองว่าอร่อยเด็ดไม่แพ้ร้านตามสั่งเจ๊สวยข้างประตูฝั่งวิศวะฯ แน่นอน 

“มึงมากินข้าวก่อน กูจะได้ให้มิลค์กินของมันเหมือนกัน”

ผมเรียกไอ้แดนให้ลุกจากพื้น ก่อนจะไปจัดการแกะปลาทูน่าในน้ำเกรวี่หนึ่งกระป๋องเต็มๆ ให้มิลค์ ลูกสาวผมรีบถลาเข้ามาเอาหน้าซุกจานไม่ยอมเงยด้วยความหิวโหยตามประสาเด็กโดนพ่อทิ้ง ในขณะที่มนุษย์ตัวใหญ่เท่าน้องชายหมีโพลาร์แบร์ก็ตาโตกระโดดโลดเต้นกับข้าวผัดเบคอนที่ผมทำประหนึ่งว่ามันคือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

“โห แค่ไม่กี่นาทีทำได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ.... ปีหน้าลองสมัครไปแข่งมาสเตอร์เชฟดูไหม เดี๋ยวกูถ่ายวิดีโอออดิชั่นให้”

“พอเลยมึง แค่ให้กูเล่นละครอย่างเดียวก็ฉิบหายจะแย่แล้ว ยังจะให้กูไปแข่งทำอาหารกับชาวบ้านเขาอีก”

ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าไอ้แดนก็ทำกับข้าวเก่งพอกัน ผมก็คงหลงเชื่อคำอวยสุดแสนจะโอเวอร์ของมันไปแล้ว แต่บังเอิญว่าผมรู้ทันก็เลยดักคอตัดบทไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ผมตักข้าวแบ่งใส่จานก่อนจะยกไปวางไว้ตรงหน้าแขกที่หนนี้ได้รับเชิญเข้าบ้านมาอย่างถูกต้อง นายดรัณภพยังคงตื่นเต้นกับอาหารมื้อดึกชมเปาะไม่ขาดปาก แต่ครั้นจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปก็ดูกล้าๆ กลัวๆ เหมือนเกรงใจไม่อยากโดนผมด่าโดยใช่เหตุ

“ขออัพรูปจานข้าวบ้านมึงลงไอจีได้ไหม?”

“ก็อัพไปสิ”

ผมตอบอนุญาตไปแบบไม่คิดมากพลางตักเบคอนเข้าปาก เคยได้ยินมาว่าหลายๆ คนมักใช้ไอจีหรือเฟซบุคเป็นเสมือนไดอารีบันทึกความทรงจำ ถ้าหากแดนมันอยากจะเก็บอาหารมื้อนี้ไว้เป็นความประทับใจส่วนตัว ผมก็ไม่ขัดข้อง

ยกเว้นเสียแต่ว่า....

“งั้น......ถ้ากูขอแท็กไอจีมึงด้วยล่ะ?”

ใจหนึ่งผมก็คิดนะว่าแค่แท็กไอจีไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนเลย ทุกวันนี้ผมกับไอ้แดนก็เป็นคู่จิ้นในจอกันอยู่แล้ว ดีเสียอีกถ้าบรรดาแฟนคลับได้รู้ว่าพระเอก-นายเอกที่พวกเขาเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูไม่ได้แค่สนิทสนมพูดคุยกันแค่เฉพาะตอนที่มีกล้องถ่ายอยู่.... ทว่า อีกใจหนึ่งกลับย้ำเตือนว่าใครบางคนจะต้องมีปัญหาแน่ถ้ารู้ว่าแดนมาส่งผมถึงบ้าน มันน่าขำสิ้นดีที่ผมยังแคร์ความรู้สึกพี่โรม กลัวเขาจะโกรธ กลัวเขาจะไม่พอใจ ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่เห็นจะสนใจใยดีผมสักเท่าไรเลย ขนาดผมถอดเกียร์ยัดใส่มือให้ก็ยังเฉย

แค่จะประชดเอาคืนคนใจร้ายสักหน่อยก็ยังทำไม่ลง

ทิชาเอ๊ย.... ทำไมมึงถึงได้ปอดแหกกลัวพี่โรมไม่รักขนาดนี้วะเนี่ย?

“วันนี้.......อย่าเพิ่งเลยดีกว่า............”

ผมบอกได้แค่นั้น รู้สึกผิดอีกแล้วที่จะต้องปฏิเสธไอ้แดนแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแท็กหากันในไอจี หากพอกำลังจะอ้าปากขอโทษ อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก.... กูเข้าใจ” 

ผมไม่ได้ซักไซ้ต่อว่ามันเข้าใจอะไรยังไง แต่เดาว่ามันคงรู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นผมหิ้วกรงยัยมิลค์ยืนรอลิฟท์คอนโดฯ แล้วล่ะว่าผมกับพี่โรมทะเลาะกันจริง ไม่ได้เล่นพ่อแง่แม่งอนประชดกันไปมา เอะอะไม่พอใจก็คิดแต่จะขนของหอบลูกหอบเต้าหนีเหมือนนางเอกหนังอินเดีย.... ผมอาจจะปากร้าย ขี้ประชดปึงปังใส่คนอื่นที่อยู่ดีๆ ก็มาทำเหี้ยใส่ แต่ผมจะไม่ทำกับพี่โรมแน่ๆ และไอ้แดนก็น่าจะรู้จักนิสัยผมในจุดนี้ดีทีเดียว 

“จะว่าเสือกก็ได้ แต่กูถามได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันก่อนกูยังเห็นมึงกับเขาคอลหากันดีๆ อยู่เลย.... ทำไมทะเลาะกันวะ? เขาดูแลมึงไม่ดีเหรอ?”

กะแล้วเชียวว่ามันต้องรู้....

ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ผมเองก็กำลังอยากหาเพื่อนคุยอยู่พอดี ถึงไอ้แดนอาจจะอยากสมน้ำหน้าหรือหัวเราะสะใจใส่ผมเพราะโดนพี่โรมทิ้งตามที่มันเคยแช่งชักหักกระดูกเอาไว้ก็ช่าง อย่างน้อยก็ให้ช่วยรับฟังและเป็นสักขีพยานว่าคนงี่เง่าเอาแต่ใจอย่างทิชา ทิชนันท์แม่งมีอยู่จริง

“ไม่ใช่ไม่ดี.... เขาดีกับกูมากๆ วันแรกที่คบกันเคยดียังไง ตอนนี้ก็ยังดีอยู่แบบนั้น.........” 

จุดเริ่มต้นของความเหี้ยก็คือการที่พี่โรมเป็นคนดีโพดๆ ดีเกินใคร ดีจนคนรอบข้างเครียดฉิบหายนี่แหละ 

“เพียงแต่คนที่เขาดีด้วยไม่ได้มีแค่กูคนเดียว ไม่ว่ากับใครเขาก็ดีด้วยไปหมดเลย.... บางครั้งมันก็ทำให้กูรู้สึกว่าสำหรับเขาแล้ว กูเป็นอะไรกันแน่? ใช่แฟนหรือเปล่า? ความแตกต่างระหว่างกูกับคนอื่นๆ ที่เขาทำดีด้วยมันอยู่ที่ตรงไหน?”

ภาพตอนที่พี่โรมเอาอกเอาใจบีบี๋ย้อนเข้ามาในสมองเป็นชุดเป็นฉาก ความหึงหวงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่หลักใหญ่ใจความที่ทำให้ผมตัดสินใจยอมถอยออกมาเองนั้นเป็นเพราะความคิดอ่านซึ่งส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย.... เขาคิดอย่างหนึ่ง ผมคิดอีกอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากเส้นขนานที่หาจุดบรรจบกันไม่เจอ

“ไม่รู้สิ แต่กูเป็นประเภทถ้ารักใครแล้ว คนๆ นั้นก็คือคนที่สำคัญที่สุด.... สิ่งที่เขาได้จากกูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่มีทางได้มากเท่า จะบอกว่าแบ่งแยกชัดเจนระหว่างคนที่รักกับคนรอบข้างทั่วๆ ไปก็ใช่แหละ” 

ผมว่าพลางแค่นรอยยิ้มขมขื่น มือขวาถือช้อนเขี่ยข้าวในจานไปมาเมื่อจู่ๆ ลิ้นก็ไม่สามารถรับรู้รสชาติอะไรได้อีกนอกเสียจากรสขมปะแล่มในลำคอ 

“กูคงคาดหวังมากไปหน่อยว่าเขาจะทำแบบเดียวกัน ลืมคิดไปว่านิสัยเขาก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

“มึงคุยกับเฮียโรมแล้วเหรอ?” 

แดนถาม มันเองก็ยังไม่ได้แตะข้าวผัดที่ผมทำให้เลยสักคำ และตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็หมดอารมณ์กินไปโดยสิ้นเชิง

“สองรอบ”

ผมชูสองนิ้ว ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ตาย แต่หมายความว่าสู้ไปแล้ว และก็ตายไปเรียบร้อยโรงเรียนสุราษฎร์สองหนแล้วเช่นกัน 

“ยิ่งพูดเรื่องนี้กับเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ใจ ตอนนี้เลยพาลไม่อยากคุยแม่งแล้ว”

ผมลุกขึ้นเอาจานข้าวไว้วางไว้บนเคาท์เตอร์ข้างซิงค์ ก็ไม่ได้คาดหวังว่านายดรัณภพจะต้องมาแสดงความสงสารหรือเห็นอกเห็นใจในความรักพิกลพิการของผมหรอก.... ว่ากันตามตรง ระยะเวลาที่ผมกับพี่โรมรู้จักกันก็ค่อนข้างสั้น ผมตกหลุมรักความอ่อนโยนของเขาอย่างรวดเร็ว ดีใจแทบบ้าเมื่อรู้ว่าพี่โรมเองก็หลงใหลผมไม่ต่างกัน อยากได้ไขว่คว้าโดยไม่ทันฉุกคิดไตร่ตรองว่าแค่ความรักความหลงระหว่างคนสองคนไม่ได้ช่วยการันตีว่าจะคบกันรอด และในเวลานี้ ความอ่อนโยนใจดีที่ไม่มีขีดจำกัดซึ่งผมเคยมองว่าเป็นข้อดีของเขานั่นแหละที่กำลังจะย้อนมากัดเซาะหัวใจผมให้ค่อยๆ พังไปทีละน้อย

จะบอกว่าผมหวังเอาไว้สูง เพ้อฝันว่าความรักครั้งนี้จะต้องเพอร์เฟก พี่โรมเองก็เหมือนหลุดออกมาจากโลกอุดมคติ เป็นแฟนที่ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะหาได้ พอร่วงลงมาแรงเลยเจ็บมากเป็นธรรมดา....

“มึง......น่ารักดีว่ะ.........”

“ห้ะ??”

ผมขมวดคิ้วเพราะได้ยินไม่ถนัด เข้าใจว่าไอ้แดนมันน่าจะซ้ำเติมผมมากกว่า แต่ทำไมถึงได้ยินมันบอกว่าผม....น่ารัก.....?

ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้มายืนพิงเคาท์เตอร์ข้างๆ ผม ก่อนจะย้ำคำเดิมให้ฟังอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“มึงขี้หึง.... แล้วกูก็คิดว่ามึงน่ารักดี” 

เดือนสถาปัตย์คู่เวรคู่กรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนส่งยิ้มให้ ใบหน้าหล่อจัดอยู่ห่างเพียงแค่คืบในขณะที่ผมมองเห็นเงาของตัวเองสะท้อนไหวอยู่ภายในหน่วยตาเรียวคม น้ำเสียงซึ่งมักจะติดทะเล้นกวนโมโหอยู่เรื่อยแปรเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำจริงจังเช่นเดียวกับคำพูดที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากใคร 

“กูก็เป็นประเภทคล้ายๆ กันกับมึงนั่นแหละ คนที่กูรักจะต้องเป็นคนที่พิเศษที่สุด.... จะขี้หึง เอาแต่ใจ หรือทำอะไรแย่ๆ ใส่กูแค่ไหนก็ได้ ยังไงกูก็คิดว่ามึงน่ารักกว่าใครทั้งหมดอยู่ดี”

“ยังคิดว่ากูน่ารักอยู่อีกเหรอ.... คราวก่อนมึงด่ากูซะเสียหมาขนาดนั้น?” 

ผมพูดถึงเหตุการณ์ตอนที่ไอ้แดนด่าผมข้อหาผิดสัญญาเรื่องจะไปแคสละครด้วยกัน เวลานั้นผมคิดว่าแดนมันคงเกลียดผมชนิดตายก็ไม่เผาผีแล้วเสียอีก เลยค่อนข้างแปลกใจแล้วก็งงในความย้อนแย้งของมัน

“มึงก็เคยด่ากูนี่”  แดนเถียง

“ก็มึงนิสัยไม่ดีก่อน”  ผมเถียงบ้าง

“มึงก็นิสัยไม่ดีเหมือนกัน” 

หนนี้ไม่ได้มาแค่คำพูดอย่างเดียว แต่แถมมือขี้แกล้งบิดปลายจมูกผมให้ต้องตีคืนด้วยด้วยเขียงที่วางอยู่ใกล้ๆ ทำเอาคนตัวสูงกว่าร้องโอดโอยอย่างกับว่าผมเพิ่งเด็ดแขนเด็ดขามันทิ้งยังไงยังไงงั้น 

“รักเป็นก็โกรธเป็นนะเว้ย มึงแม่งชอบทำตัวน่าโมโห เชี่ยอะไรก็ไม่เคยเห็นหัวกูสักอย่าง เดี๋ยวก็พี่โรมอย่างนั้น พี่โรมอย่างนี้ พี่โรมคนดี๊คนดีของทิชา.... แต่โกรธแล้วไงล่ะ สุดท้ายกูก็ใจอ่อนให้มึงอยู่นี่ไง”

“เออ.... ใจอ่อนมาก แซะกูซะยับ”

“โกรธง่ายหายเร็วไม่ได้เหรอวะ.... มึงเองก็ด้วยแหละ ทำข้าวให้กูกินได้ แปลว่าหายโกรธแล้วดิ”

“หายเป็นชาติแล้ว ไอ้บ้า!”

ผมหันหลังไปอีกทางไม่ยอมให้นายดรัณภพเห็นหน้าตัวเองตอนนี้เป็นอันขาด บอกไม่ถูกว่ากำลังยิ้มขำ หัวเราะ หรือว่าเขินที่ต้องยอมรับว่าความรู้สึกด้านลบและความไม่ประทับใจแรกพบที่มีต่อหมอนี่ได้กลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศาไปหมดแล้ว.... ผิวแก้มสองข้างร้อนผ่าวทั้งๆ ที่ข้างในบ้านก็เปิดแอร์ แล้วก็ร้อนยิ่งขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เสียงทุ้มต่ำลอยกระทบเข้าโสตประสาทเร้าจังหวะการเต้นของหัวใจให้รัวเร็วถี่ยิบ

“ถ้าไม่รักก็คงไม่หึง แล้วถ้าไม่หึงก็คงไม่โกรธ.... คนบางคนนี่แม่งน่าอิจฉาจริงๆ ที่มึงทั้งหึงแล้วก็โกรธเขา” 

มือใหญ่จับผมให้หันหน้ามาสบตากัน มันจบแล้ว ไอ้แดนมันต้องสังเกตเห็นแน่ว่าผมกำลังหวั่นไหวไปกับถ้อยคำหวานซึ่งฟังดูเหมือนเข้าอกเข้าใจความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกซ้ายเป็นอย่างดี 

“แต่ถ้าเป็นกู กูจะไม่ทำให้มึงต้องเป็นทั้งสองอย่างเลย.... กูรักมึงคนเดียว จะเทคแคร์มึงคนเดียว ไม่มีทางที่คนอื่นจะมาสำคัญเท่ามึงหรือได้อะไรจากกูมากไปกว่าที่มึงได้..........”

“แดน.........มึง..........”

ฉับพลัน ริมฝีปากเดียวกับที่ขโมยจูบผมอย่างเชี่ยที่สุดเมื่อคราวก่อนก็ประชิดเข้ามาอีกครั้ง ทว่า คราวนี้แดนไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามรังแกหากแต่ใช้ความอ่อนโยนกล่อมผมให้อยู่นิ่งเหมือนโดนมนต์สะกด.... ผมค่อยๆ หลับตาลงตามที่สมองสั่งการ แน่นอนว่าผมยังคงเป็นทิชาคนเดิมที่แสนจะขี้เหงาและต้องการความรักจากใครสักคน ไม่ว่าใครก็ตามที่บอกว่ารักผม ผมก็ยินดีที่จะรักเขา.... ให้เขาทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะให้ได้ ตราบเท่าที่คำว่ารักนั้นจะคงอยู่ไปตลอดกาล


เดี๋ยวนะ ให้งั้นเหรอ....?

จะให้อะไรล่ะ ในเมื่อหัวใจของผมถูกพี่โรมคว้าไปครองตั้งนานแล้ว....?

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ก่อนที่กลีบปากหยักจะสัมผัสโดนริมฝีปาก ผมก็ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าพร้อมกับใช้ฝ่ามือยันอกกว้างของแดนให้ถอยห่างออกไป.... ความรู้สึกคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่หายวับไปจนสิ้น กลิ่นหอมซึ่งติดปลายจมูกเป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยแทนที่จะเป็นกลิ่นบุหรี่ไลท์เมนทอล ทุกสิ่งทุกอย่างของพี่โรมก็ไม่ต่างจากจูบซึ่งแฝงด้วยรสชาติของบุหรี่ ถึงจะขมติดปลายลิ้นทุกครั้งที่ถูกดูดดึงให้หลงอยู่ในกับดักความรักที่ไร้หนทางหลบหนี แต่ผมก็หลงรักมันชนิดที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทนได้

ถูกแล้ว.... ไม่มีใครบนโลกนี้จะมาแทนที่พี่โรมได้.........


“กู.....ขอโทษ...........” 

ไม่รู้ว่าผมจะต้องพูดคำนี้กับไอ้แดนอีกสักกี่ครั้งกี่หนถึงจะสาสม ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาทันทีที่คิดได้ว่าการที่ผมไม่ปฏิเสธก็เหมือนไปให้ความหวังอีกฝ่ายก่อนจะคว่ำกระดานใส่หน้ามันเมื่อไม่สามารถเอาชนะเงาของคนซึ่งเป็นเจ้าของหัวใจได้ 

“ถ้าไม่ใช่เขา.......มันไม่ได้จริงๆ..........”

ไอ้แดนแค่นหัวเราะหึแบบที่ผมเดาความหมายไม่ออก มันอาจจะสมเพชผมหรือสมน้ำหน้าตัวเองที่อกหักซ้ำซ้อนก็สุดที่จะรู้ได้ หากมันก็ยอมถอยออกไปพร้อมชูมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้แต่โดยดี

“กูก็รู้แหละว่าคงเป็นไปไม่ได้.... ก็แค่อยากลองดู เผื่อว่ามึงจะเปลี่ยนใจ”

มันพูดทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มเศร้าตามประสาคนที่กำลังพยายามซ่อนความผิดหวังแล้วใช้ความยียวนกวนตีนบังหน้าก็ตาม 

“กูอาจจะยอมถอยครั้งนี้ แต่ครั้งหน้ากูก็จะลองอีก ถ้ายังพลาดอยู่ก็จะลองแล้วลองอีกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่มึงจะมีใจให้กูบ้าง....  กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ต่อให้มึงไล่ กูก็จะไม่ไป”

“ใครจะไปกล้าไล่มึง.........” 

ผมอ้อมแอ้มย้อนใส่ ในใจก็ทั้งขำแล้วก็คิดว่าไอ้แดนมันโคตรบ้าที่ดันมาหลงรักคนอย่างผมได้

“ก็มึงไง ชอบแกล้งกูอยู่เรื่อย.... ตัวก็ขาวแต่ใจดำฉิบหาย!” 

ไม่ทันไรก็ด่าคืนมาอีกแล้ว เล่นเอาผมปรับอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอ่อนหวานน่ารักปลอบใจมันสักครั้งหรือด่ามันให้หาทางกลับคอนโดฯ ไม่ถูกดี 

“ไม่ให้จูบก็ไม่เป็นไร งั้นขอกอดนิดนึงได้เปล่าวะ?”

“ไม่ได้”

“แค่กอดนิดเดียวเอง เยียวยาหัวใจคนอกหักหน่อยดิวะ”

พอกวนตีนเสร็จก็มาอ้อนแบบไม่ถามความเห็น ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าชาติที่แล้วแดนมันต้องเคยเกิดเป็นหมาตัวผู้แน่ๆ.... บทจะไม่สนก็คือไม่สน บทจะร้ายน่าถีบก็ชวนให้อยากชู้ตแม่งออกไปนอกจักรวาล แต่บทจะงอแงเกาะติดหนึบก็เล่นเอาเหนื่อยจนหัวหมุน อยากจะหยิบเอาเขียงอันเดิมมาฟาดให้หัวร้างค่างแตกเสียเดี๋ยวนี้

“อย่ามาตลกแดก กลับไปได้แล้ว” 

ผมเอ่ยปากไล่ แต่พอเห็นมันทำหน้าสลดเหมือนหมาในป้ายรับบริจาคมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ตกทุกข์ได้ยากก็ด่าไม่ออก 

“พรุ่งนี้ก็เจอกันแล้วไง.... คลาสประวัติศาสตร์สถาปัตย์ตอนบ่ายก็เจอ ที่เวิร์คช็อปตอนเย็นก็เจออีก”

“ตอนเรียนมึงมานั่งข้างกูได้มั้ย?”

“ได้.... แต่กูไม่นั่งรวมกับพวกถาปัดเพื่อนมึงนะ”

“เดี๋ยวกูจองที่ให้มึงเอง เอาตรงริมๆ ข้างหลังที่ประจำของมึงก็ได้.......” 

ไอ้แดนพยายามอ้อนอย่างสุดความสามารถ สงสัยคงคิดว่าเป็นช่วงโปรโมชั่นที่ผมจะคุยดีกับมันแบบจำกัดเวลา ถึงได้รีบตักตวงขอทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะขอจากผมได้แม้ว่ามันจะฟังดูงี่เง่าง้องแง้งแค่ไหนก็ตาม   

“ถ้าไม่ให้กอด งั้นขอเปลี่ยนเป็นจับมือมึงได้หรือเปล่า....?”

“มึงนี่เยอะไปละ ไอ้แดน”

ผมด่าแต่ก็ยื่นมือออกไปให้มันจับด้วยความเต็มใจ.... ฝ่ามืออุ่นข้างเดียวแทบจะรวบทั้งมือของผมเอาไว้ได้หมด เนิ่นค้างอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกได้ว่าสัญญาณชีพจรตรงข้อมือดีดแรงกว่าปกติ ร่างสูงกระหวัดปลายนิ้วยาวเกาะเกี่ยวกับนิ้วของผม เพียงแค่ชั่วขณะเดียวที่เงยหน้าขึ้นสบสายตาเดือนสถาปัตย์ขี้อ้อน ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหลงรักจนหมดหัวใจตลอดหนึ่งปีกว่าๆ ที่มันอุตส่าห์มอบให้แต่กลับไม่เคยส่งมาถึงผมเลยจนกระทั่งวันนี้

“ทิชา.............”

“อะไร?”

“ทำไมมือมึงถึงโคตรเล็กเลยวะ.......นิ่มด้วย..........”

น้ำเสียงไอ้แดนเหมือนคนกำลังเมากัญชาจนเพ้อ ในขณะที่ผมเริ่มจะเขินขึ้นมาอีกรอบทั้งๆ ที่ตกลงปลงใจกับตัวเองแล้วว่ามันคือการจับมือกันเพื่อมิตรภาพระหว่าง ‘เพื่อน’ กับ ‘เพื่อน’

“..........ทำอย่างกับไม่เคยจับ”

“ก็ไม่เคยได้จับตอนไม่มีกล้องตามถ่ายนี่หว่า”

“งั้นก็ปล่อยได้แล้วมึง”

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ไม่มีซินเดอเรลล่า ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีห่ามีเหวอะไรทั้งนั้น นอกจากทิชา ทิชนันท์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีนายดรัณภพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างเป็นทางการ.... แน่นอนว่าผมกำหนดสถานะมันเอาไว้ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการมากกว่านั้นแต่ผมก็จะไม่ผลักไสมันออกไปอีกแล้ว เพราะอย่างน้อย การได้เห็นไอ้แดนในทุกๆ วันนับจากนี้ก็เป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าผมยังคงมีลมหายใจและยังมีตัวตนอยู่

ผมเดินออกมาส่งแดนที่หน้าบ้านหลังจากรอให้มันกินข้าวเสร็จ ร่างสูงลูบหัวบอกลายัยมิลค์ที่ผมกำลังอุ้มอยู่ก่อนจะเอ่ยขอบางสิ่งซึ่งมันเคลมว่าไม่เคยขอจากใคร แม้กระทั่งกับแม่ตัวเอง....

“บอกให้กูหลับฝันดีหน่อยสิ”

“ขอให้มึงฝันร้ายนะ”  ผมแกล้งพร้อมทั้งยกเท้าหน้ายัยมิลค์ตบแก้มไอ้แดนเบาๆ

“ไม่เอา.... ใจดีกับกูให้ตลอดรอดฝั่งหน่อยดิวะ ทิชา”

บอกตามตรง เวลาเห็นผู้ชายสูงเกินร้อยแปดสิบมายืนสะบัดแขนสะบัดขางอแงเหมือนเด็กสามขวบนี่ไม่ชวนให้คิดว่าน่ารักได้เลยนะ.... ไม่ใช่ว่าขออะไรจากผมแล้วจะได้ง่ายๆ ไปหมดทุกอย่าง หนนี้ก็แค่ตัดรำคาญเพราะมันดึกมากแล้ว อยากกลับขึ้นไปอาบน้ำนอนเร็วๆ ต่างหากล่ะ

“ฝันดีนะ ไอ้แดนนรก!”

“ขนาดนี้แล้ว กูต้องฝันเห็นมึงแน่เลย”

ยังไม่ทันที่ไอ้แดนจะพูดจบ รถอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้ารั้วบ้านผมพอดี ตอนนี้รถคัมรี่จอดอยู่นอกประตูก็เลยกลายเป็นว่ารถยนต์ซึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่นั้นขวางอยู่เลนกลางหมู่บ้านแบบไม่สนไม่แคร์ใดๆ ทั้งสิ้น.... เดาออกใช่ไหมว่านั่นรถใคร สำหรับผมแค่มองเห็นประตูด้านข้างของเจ้าออดี้สีน้ำเงินก็รู้แล้วว่านายดรัณภพคงไม่มีทางได้เอารถกลับออกไปง่ายๆ แน่

คนที่ผมคิดว่าจะนอนค้างกับบีบี๋ที่โรงพยาบาลก้าวลงมาจากรถ ปิดประตูเสียงดังโครมก่อนจะพุ่งตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าเครียดขึ้งพร้อมหักคอญาติผู้น้องด้วยมือเปล่า


“ไอ้แดน.... มึงไสหัวไปให้ไกลๆ จากเมียกูเดี๋ยวนี้เลย!”

แล้วถ้าคิดว่าไอ้แดนจะยอมให้เฮียโรมของมันข่มง่ายๆ ผมบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดมาก.... ผิดมหันต์.... ผิดที่สุดของที่สุด..........


“ทิชาคนเดียวเท่านั้นที่จะไล่กูได้ เสียงหมาเห่าน่ะกูไม่สนใจหรอก.... โดยเฉพาะพวกหมาหวงก้าง!”



“ใครกันแน่ที่เป็นหมา มึงมากกว่ามั้ง....  สันดานชอบลักกินขโมยกินตอนเจ้าของเขาไม่อยู่นี่มันหมาลอบกัดชัดๆ!”

พี่โรมโต้กลับเสียงลั่น ทั้งประกาศสงครามและด่าคืนอย่างไม่ไว้หน้าคนร่วมนามสกุล ร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามาดึงผมซึ่งอุ้มมิลค์อยู่ให้ถอยห่างจากแดนก่อนจะชี้นิ้วคาดโทษใส่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองชนิดพร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อ

“ไม่มีปัญญาดูแลให้ดีจนเขาต้องเก็บข้าวเก็บของหนีออกมา ยังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองเป็นเจ้าของอีกเรอะ!”

แดนพยายามดึงตัวผมให้มาหลบอยู่ข้างหลังมัน สายตาเกรี้ยวกราดฟาดฟันประหนึ่งคมมีดกะเอาอีกฝ่ายให้เจ็บหนัก ทว่า พี่โรมก็สวนกลับรวดเร็วยิ่งกว่ากระสุนปืน มือหนาคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อน้องชายแล้วกระชากแรงจนคนซึ่งรูปร่างแข็งแรงกำยำพอกันแทบเซถลาหัวคะมำ กำปั้นลุ่นๆ เงื้อขึ้นกลางอากาศในขณะที่น้ำเสียงห้วนเหี้ยมเกรียมสาดใส่อย่างเอาเรื่อง

“มึงไม่รู้อะไรก็อย่าเสือก ทิชาไม่ได้หนีกู!”

“ไม่ได้หนี แต่ก็ไม่อยากอยู่ด้วยแล้วใช่ไหมล่ะ!?”

ไอ้แดนกระชากคอเสื้อพี่โรมคืนพร้อมทั้งเงื้อหมัดขึ้นบ้าง เป็นสัญญาณว่าถ้ามึงชก กูก็ชก เอาให้แม่งฉิบหายแหลกลาญตายห่ากันไปข้างหนึ่งเลย 

“ไหนตอนแรกบอกว่าหวงนักหวงหนา จะไม่ยอมให้ใครแตะแม้แต่ปลายเล็บ.... ท่าดีทีเหลวนี่หว่า ยังไม่ทันไร มึงกับทิชาก็จะไปกันไม่รอดเพราะความเก่งแต่ปากของมึงแล้ว!”

“ไอ้เหี้ยแดน มึง!!!”

“เอาสิวะ อย่าคิดว่ากูจะไม่กล้าสวนนะโว้ย!!!”

กลับกลายเป็นว่าผมถูกผลักให้ออกมาอยู่วงนอกระหว่างที่พี่โรมกับไอ้แดนตะลุมบอนแลกหมัดกันอุตลุต เสียงตะโกนด่าตอบโต้สลับกับเสียงกำปั้นกระแทกใบหน้าดังพลั่กทำเอาทั้งผมและยัยมิลค์ประสาทเสีย ผมรีบเอาลูกสาวไปไว้ข้างในบ้านแล้วจึงวิ่งกลับมาห้ามไอ้พวกบ้าเลือดก่อนที่จะพรุ่งนี้บ้านผมจะได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมของนักข่าวสายอาชญากรรม

“พอสักที.... หยุดได้แล้ว!!” 

ผมพยายามเอาตัวเข้าไปแทรกกลางแต่ก็ไม่เป็นผล กำปั้นจากทั้งคู่ยังคงเหวี่ยงไปมาจนน่ากลัวว่าผมจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

“พี่โรม! ไอ้แดน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”

“อย่ามายุ่งกับทิชาของกู ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่!!”

“กลัวตายห่าล่ะ.... น้ำหน้าอย่างมึงจะไปทำอะไรได้วะ แค่แฟนคนเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้เลย!!”



“จะไม่ยอมหยุดกันดีๆ ใช่ไหม.... งั้นก็ได้!!!”


ในเมื่อพูดกันด้วยภาษาคนไม่รู้เรื่องงั้นก็เลิกพูด ผมตรงไปยังข้างกำแพงภายในรั้วบ้านซึ่งมีก๊อกน้ำสำหรับใช้ต่อสายยางรดน้ำต้นไม้และล้างรถ หมุนก๊อกสุดแรงจนสายยางเด้งตามแรงดันน้ำที่ไหลออกมาเหมือนงูตัวใหญ่.... แน่นอนว่าเป้าหมายของสงกรานต์นอกฤดูก็คือหมาบ้าสองตัวที่ยังกัดกันไม่เลิก


ซ่า!!!



“เฮ้ย ทิชา!!!”

“ไอ้ทิชา ทำไรของมึงวะเนี่ย!?”


น้ำเย็นเฉียบพุ่งเป็นสายถูกฉีดเข้าใส่คนตรงหน้า กะแล้วเชียวว่ามันต้องได้ผล เพราะทันทีที่โดนฉีดน้ำอัดหน้าเรียกสติ ทั้งสองคนที่โดดฟัดกันนัวอยู่เมื่อครู่ก็ผละออกจากกันในสภาพเปียกม่อลอกม่อแลก จากที่ไม่ยอมฟังที่ผมร้องห้ามเลยก็หันมาสนใจผมกับสายยางกายสิทธิ์ในมือกันใหญ่

“หมาบ้าสองตัวกัดกันหน้าบ้านกู กูก็ต้องเอาน้ำสาดให้มันหยุดไง!” 

ผมด่าแบบไม่สนแล้วว่าใครเป็นใคร แม้กระทั่งพี่โรมก็ยังสะดุ้งเมื่อเจอผมสายโหดเปิดโหมดบ้าเลือดไม่แพ้เขากับไอ้แดนเมื่อกี้นี้ 

“ทีนี้จะเลิกตีกันได้หรือยัง ถ้าไม่เลิก กูจะไปเอาไม้หน้าสามมาทุบรถพวกมึงทั้งคู่เดี๋ยวนี้เลย.... ว่าไง จะเลิกไม่เลิก หา!?”

“เออ เลิกแล้วๆ!”

จากที่ห้ามแทบตายแล้วไม่มีใครฟังก็กลายเป็นทั้งคู่ต้องมาห้ามผมเพราะกลัวรถตัวเองจะโดนพัง ในตอนนั้นเองที่คุณลุงรปภ.ซึ่งประจำอยู่ตรงป้อมยามหน้าหมู่บ้านขี่รถกอล์ฟมาดูเหตุการณ์ สงสัยว่าคงจะมีเพื่อนบ้านแถวนี้โทรแจ้งไปว่าเกิดเหตุทะเลาะวิวาทเสียงดังรบกวนคนจะหลับจะนอนล่ะมั้ง

“คุณทิชา มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ? จะให้ผมเรียกตำรวจไหม?”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ ลุงเจิด.... พอดีเพื่อนผมเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ขอโทษด้วยนะครับที่ส่งเสียงดังรบกวน” 

ผมยกมือไหว้ลุงหัวหน้ายามกะดึกซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในใจก็นึกโมโหที่ตัวเองอุตส่าห์อยู่สงบๆ มาตั้งหลายปีไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่ดันจะมาโดนร้องเรียนเพราะลูกหลานบ้านอนุวัฒน์วงษ์มาก่อเรื่องเอาไว้

“ถ้าไม่มีอะไรก็ดีครับ แต่ยังไงรบกวนคุณทิชาให้เพื่อนช่วยเลื่อนรถออกด้วยนะครับ จอดขวางถนนแบบนี้เดี๋ยวลูกบ้านหลังอื่นเขาจะว่าเอา”

“ได้ครับ ขอโทษอีกทีนะครับ ลุงเจิด”

ผมไหว้จนไม่รู้จะไหว้ยังไงกว่าลุงยามจะขึ้นรถกอล์ฟกลับออกไป หลังจากเคลียร์สถานการณ์ได้ ผมก็จัดการสั่งให้พี่โรมรีบเลื่อนรถออกจากกลางถนนเตรียมถอยเข้ามาจอดในบ้านจะได้ไม่มีใครว่าเอาได้อีก แต่ก่อนหน้านั้นผมจะต้องให้นายดรัณภพเอารถออกไปจากหน้าประตูรั้วให้ได้เสียก่อน

“แดน มึงกลับไปก่อนไป” 

ผมบอกคนที่กำลังยืนหัวเปียกหน้าจ๋อยสนิทเมื่อเห็นผมโกรธจริงๆ จังๆ แต่ก็ยังมิวายจะงี่เง่าไม่ยอมทำตามที่สั่ง

“แต่ไอ้เฮียโรมมัน..........”

“กูบอกให้มึงกลับไปก่อนไง” 

ผมขึ้นเสียงนิดๆ แต่ไอ้แดนก็ยังดื้อดึงอิดออดจะอยู่ต่อ ไม่ว่าจะเพราะเป็นห่วงหรือระแวงว่าพี่โรมจะทำอะไรผมลับหลังมันก็เหอะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างผมกับพี่โรมซึ่งจะช้าหรือเร็วก็ต้องสะสางให้จบ เหมือนอย่างที่ผมกับมันเพิ่งมีโอกาสได้คุยและปรับความเข้าใจจบกันไป 

“กูกับเขามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ ส่วนของมึงเอาไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้”

“โอเค......เอางั้นก็ได้.........”

แดนไม่กล้าขัดใจผม ดูก็รู้ว่ากลัวผมจะกลับไปทำแบบเดิมคือเดินหนีทุกครั้งที่เจอหน้าและไม่ยอมคุยกับมันอีกเลย 

“ทิชา มึงสัญญาแล้วนะว่าพรุ่งนี้จะนั่งเรียนข้างกู.... คราวนี้มึงต้องไปจริงๆ นะ ห้ามเบี้ยวกูด้วย”

“รู้แล้วน่า แต่ถ้ามึงยังไม่กลับไปอีก พรุ่งนี้กูจะโดดภาคบ่าย”

“เชี่ย อย่าโดดนะมึง!”

เพียงเท่านั้น เดือนสถาปัตย์ก็รีบแจ้นไปขึ้นรถคัมรี่แล้วสตาร์ทขับออกไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องให้พูดซ้ำ เปิดทางให้ตัวปัญหาหมายเลขหนึ่งถอยรถเข้ามาจอดได้อย่างที่ตั้งใจ.... ผมยืนกอดอกรอจนกระทั่งสัญญาณไฟท้ายดับลง คิดอยู่แล้วเชียวว่าเมื่อพี่โรมลงมาจากรถ สิ่งแรกที่เขาจะพูดกับผมก็คือเรื่องของญาติผู้น้องซึ่งเพิ่งจะวางมวยฟาดปากกันไปหมาดๆ แล้วผมก็เดาไม่ผิดเสียด้วย

“ทิชา....ทำไมไอ้แดนมัน.........”

“หยุด!” 

ผมยกมือขึ้นคล้ายๆ ท่าปางห้ามญาติ แต่สายตาที่จ้องมองร่างสูงปราศจากความโอนอ่อนใจเย็นโดยสิ้นเชิง 

“ถ้าจะพูดเรื่องที่ว่าทำไมไอ้แดนถึงมาอยู่ที่นี่ พี่โรมก็กลับไปเลย.... ชาบอกเลยนะว่าพี่นั่นแหละที่เป็นคนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้เอง เพราะฉะนั้น พี่ไม่มีสิทธิ์มาไม่พอใจ!”

พี่โรมอึ้งกับความเกรี้ยวกราดของผมเป็นครั้งที่สอง หากผมก็ไม่สนไม่แคร์ เขาควรจะรู้ได้แล้วว่าทิชาที่อยู่กับเขา นอนเตียงเดียวกันกับเขามาเป็นเดือนๆ นั้นไม่ใช่คนหัวอ่อนกล่อมง่ายหลอกง่ายอะไรเลย เหตุผลที่ผมยอมลงให้พี่โรม ไม่หือไม่อือไม่ว่าเรื่องไหนมาโดยตลอดก็เพราะผมรักเขา ไม่อยากให้เขาโกรธหรือคิดว่าผมทำตัวเหมือนเด็กน่ารำคาญ.... แต่ตอนนี้ผมกำลังโกรธมาก ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะเอาตัวเข้าไปวิ่งหมุนรอบพี่โรมทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายทำผิดต่อผมก่อน

“แต่ว่า...........”

“ชาบอกแล้วไงว่าไม่คุย!”  ผมยื่นคำขาด  “เรื่องเดียวที่ชาจะคุยกับพี่โรมคือเรื่องที่โรงพยาบาล แต่ถ้าพี่ไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นก็กลับไป!"

“โอเคๆ ทิชาใจเย็นก่อน........”

คนที่ได้ชื่อว่าแฟนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แม้ว่าผมจะจัดการสาดเขาด้วยน้ำเย็นไปแล้วเรียบร้อย จะได้รู้กันไปว่าคนที่หัวร้อนง่ายและเอาแต่ยึดเหตุผลของตัวเองเป็นหลักไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ถ้าผมจะทำเหมือนอย่างที่เขาทำกับผมก่อนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมโยนผ้าขนหนูให้พี่โรมซึ่งเดินตามเข้ามาในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม ก็แค่ไม่อยากให้โซฟาเลอะเทอะเปียกน้ำไปด้วยเวลาที่เขานั่งลง ส่วนแผลแตกตรงมุมปากซึ่งได้มาเพราะต่อยกับไอ้แดนนั้นผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น นัยว่าหาเรื่องเจ็บตัวเอง ทำไมผมต้องคอยประคบประหงมทำแผลให้กับคนที่ทำผมเสียใจด้วยล่ะ

พอนั่งลงได้สักพัก ยัยมิลค์ซึ่งหายตกใจแล้วก็เดินออกมาสำรวจกลิ่นคนมาใหม่ มันทำจมูกย่นดมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนอนแหมะอยู่ตรงเท้าพี่โรมเพราะจำได้ว่านี่คือแด๊ดดี้ที่คอยเทอาหารและซื้อคอนโดแมวไฮโซให้.... ร่างสูงก้มลงไปอุ้มลูกสาวขนฟูขึ้นมานั่งบนตัก ลูบหัวเกาคางปลอบใจกันตามประสาพ่อลูกจนผมนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ กับท่าทางสำนึกผิดที่ไม่รู้ว่าใช่ของจริงแน่หรือเปล่า

“มิลค์ตกใจเหรอลูก.... พ่อขอโทษนะ”

ยังไม่ทันพูดจบดี ผมก็ตรงเข้าไปแย่งตัวยัยมิลค์มาอุ้มไว้เอง ไม่ยอมให้เขาใช้ลูกสาวผมเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเองเป็นอันขาด 

“ปล่อยเลย ไม่ต้องยุ่งกับมิลค์!”

“ทิชา.........” 

พี่โรมพูดเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาเสมือนว่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ถูกผมกีดกันไม่ให้อุ้มลูก 

“..........อย่าทำแบบนี้สิ มิลค์ก็ลูกพี่เหมือนกันนะ”

“เมื่อวานน่ะใช่ เมื่อเช้าก็ยังใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” 

ผมเอ่ยอย่างเด็ดขาด บ่งบอกให้เขารู้ว่าผมโกรธจริง ไม่ใช่ว่าแค่มานั่งปั้นหน้าเศร้านิดหน่อยแล้วก็จบกันไป 

“พี่โรมกับชาก็ด้วยนะ จนกว่าเราสองคนจะคุยกันรู้เรื่องว่าจะเอายังไงต่อ ชาจะถือว่าเราไม่มีสถานะใดๆ ต่อกัน.... พี่โรมไม่ใช่พ่อยัยมิลค์แล้วก็ไม่ใช่แฟนของชาด้วย”

และนี่ก็คือความอึ้งครั้งที่สามของพี่โรม เขาดูช็อกไปไม่น้อยกับสิ่งที่ผมพูดเพราะมันฟังดูเหมือนประโยคบอกเลิกพร้อมตัดขาดไร้เยื่อใย ต่างจากทิชาคนเดิมที่เอาแต่ยิ้มหวานตามใจพี่โรมไปเสียทุกอย่าง.... ใบหน้าหล่อฉายแววออกอาการเครียดจัดขณะจ้องมองมาทางนี้คล้ายจะขอร้องอ้อนวอนผ่านแววตา เขาเดินเข้ามาใกล้ผมซึ่งนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามแล้วจึงคุกเข่าลง มือหนาวางลงบนต้นขาผมก่อนจะพยายามง้ออย่างมีความหวังว่าผมจะยอมให้อภัยและคืนดีด้วย

“แต่พี่ยังเป็นแฟนทิชาเหมือนเดิมนะ.........” 

น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยขอความเห็นใจ สร้อยหนังห้อยจี้รูปเฟืองสีทองแดงถูกดึงออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดคืนเยียดใส่มือผมพร้อมด้วยคำพูดลมปากซึ่งยากที่จะเชื่อได้ลง 

“พี่ไม่ได้นอกใจทิชา ไม่ได้โลเลจะกลับไปหาใครด้วย........พี่รักทิชาคนเดียว.....คนเดียวจริงๆ........”

ผมนั่งนิ่งไม่ยอมรับเกียร์คืนมา บอกตามตรงว่าถ้าหากพี่โรมพูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินออกมาจากโรงพยาบาล ความไม่พอใจทั้งหมดที่ผมมีอยู่มันอาจจะจบลงไปแล้วก็ได้ หากสำหรับเวลานี้ แค่เพียงคำบอกรักเวิ่นเว้อลมๆ แล้งๆ มันยังไม่สามารถเรียกความรู้สึกที่เสียไปให้กลับคืนมาได้

“พี่โรมรักชา แต่ก็เลือกให้เรื่องของไอ้บี๋มาก่อนเนอะ” 

ผมเหยียดมุมปากพลางเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย 

“แล้วยังไงล่ะ ไม่อยากอยู่นอนเฝ้าคนเจ็บแล้วเหรอ? ไหนว่าทิ้งให้มันอยู่คนเดียวไม่ได้ไง?”

“พี่โทรเรียกให้ไอ้แจ็คไปเฝ้าแทนแล้ว” 

พี่โรมอธิบายถึงวิธีการแก้ปัญหาของเขา ก่อนจะแอบตัดพ้อต่อว่าเล็กๆ เพราะคิดว่าผมประชดด้วยการเก็บข้าวของพายัยมิลค์กลับมาอยู่บ้าน 

“พี่รีบกลับไปที่คอนโดฯ แต่ทิชาไม่อยู่ ยัยมิลค์ก็ไม่อยู่.... รู้ไหมว่าพี่ตกใจแค่ไหนที่เราพาลูกหนีมา..........”

“จะตกใจทำไม ก็คุยกันแล้วว่าถ้าพี่โรมไปค้างที่อื่น ชาจะพามิลค์กลับบ้าน.... หรือพี่โรมคิดว่าชาแค่พูดเล่นไปงั้นเอง?”

“เปล่า......พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น.........”

“อืม พี่โรมรู้ว่าชาเอาจริงแต่ก็ยังกล้าผิดคำพูด.... แล้วต่อไปนี้ชาจะเชื่อมั่นอะไรในตัวพี่ได้อีก?” 

ผมไม่คิดว่าสิ่งที่พูดไปจะเป็นการกดดันหรือต้อนพี่โรมให้จนมุมและต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ด้วยนิสัยเอาแต่ใจ ผมแค่ถามให้ชัดเจนเพื่อที่ทั้งตัวเองและเขาจะได้แน่ใจว่าสถานะของเราทั้งคู่เป็นแบบไหน เราคบกันเพื่ออะไร และถ้าตำแหน่งแฟนคนปัจจุบันไม่ได้มีความสำคัญมากเท่ากับแฟนเก่า ผมก็จะได้ตัดสินใจเลือกให้ถูกต้องว่าควรจะรับเกียร์ของพี่โรมเอาไว้หรือบอกให้เขาเอาไปคล้องให้เจ้าของหัวใจตัวจริง 

“พี่บอกว่ารักชาคนเดียว ชาเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับพี่ แต่การกระทำมันไม่ใช่ไง.... ตอนนี้พี่โรมแทบจะหายใจเข้าออกเป็นไอ้บี๋ เดี๋ยวก็จะไปเฝ้า เดี๋ยวก็จะไปดูแล ถ้ามันเป็นญาติพี่น้องทางไหนของพี่โรม ชาก็ไม่อยากจะเก็บเอามาคิด แต่นี่มันเป็นแฟนเก่า เป็นคนที่พี่โรมเคยชอบมาก่อน แล้วชาจะแน่ใจได้ยังไงว่าถ่านไฟเก่ามันจะไม่คุในเมื่อไอ้บี๋มันก็เอาแต่พูดย้ำอยู่นั่นแหละว่าพี่โรมรักมัน?”

เอาจริงๆ ที่พูดไปเมื่อกี้เป็นแค่ส่วนเดียวจากทั้งหมดที่ผมรู้สึก ยังมีเรื่องที่พี่โรมทำเฉยเวลาที่บีบี๋ขิงข่าขี้โม้บ้าบอใส่ผม เรื่องผิดสัญญาว่าจะไม่ค้างคืน รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างร้านที่เขาไปซื้อแอปเปิ้ลให้มันกิน แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งไล่เรียงให้เขาฟังทีละอย่างว่าทำอะไรลงไปบ้าง

ร่างสูงถอนหายใจระบายความกลุ้ม แม้เจ้าตัวจะเพิ่งพูดกับปากว่าไม่ได้โลเลอยากกลับไปหาใคร แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือจากทางนั้นจนผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ

“พี่มีเรื่องที่ต้องสารภาพกับทิชา.......”  เขาพูดขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบกันไปพักใหญ่    “ถ้าเรายังให้โอกาส จะยอมรับฟังเหตุผลของพี่ได้ไหม?”

“จนป่านนี้แล้ว อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”

ในตอนนั้น ผมไม่คิดว่าสิ่งที่พี่โรมกำลังพยายามอธิบายจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็คงเหมือนทุกครั้งที่เขามักจะมีเหตุผลดีๆ มาสนับสนุนการกระทำของตัวเอง แล้วปัดตกความรู้สึกของผมให้กลายเป็นแค่เรื่องงอแงไร้สาระของเด็กไม่รู้จักโต แล้วสุดท้ายเราทั้งคู่ก็จะหนีไม่พ้นย้อนกลับมาสู่จุดที่คุยกันคนละภาษาอีก

“พี่กับบีบี๋จบกันไม่ดีก็จริง แต่ถึงพี่จะไม่ได้รักเขาแล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องเกลียดเขา แล้วตอนนี้บีบี๋ก็กำลังลำบาก จะให้พี่ทำเฉยไม่สนใจใยดีเขาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้..........” 

เห็นไหมว่ามันก็เหมือนฉายหนังเรื่องเดิมๆ ที่ผมรู้ตอนจบอยู่แล้ว แค่พี่โรมอ้าปากก็เห็นไปถึงลิ้นไก่ บางทีก็อยากบอกเขานะว่าถ้าเหตุผลมีอยู่แค่นี้ก็อย่าเสียเวลาเปลืองน้ำลายเลย 

“ที่บีบี๋เจ็บคราวนี้ ส่วนหนึ่งก็มีพี่เป็นต้นเหตุด้วย.... พี่รู้สึกผิดที่ทิ้งบีบี๋ไป ทำให้เขาต้องเจอกับเรื่องทั้งหมด แล้วพี่ก็คิดว่าตัวเองไม่ควรปฏิเสธความรับผิดชอบ.........”

“ตั้งแต่คบกับชา พี่โรมก็ไม่เคยกลับไปที่เบอร์ลิคอีกเลยไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ไปเกี่ยวกับเรื่องที่ไอ้บี๋เกิดอุบัติเหตุได้ไง?”

ผมทำหน้าไม่เชื่อเอาไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้พี่โรมรู้ว่าถ้าจะพูดหนนี้ก็ต้องพูดให้หมด ไอ้จะมาเล่ากั๊กๆ บอกครึ่งไม่บอกครึ่งหรือทำเป็นไม่รู้ก็อย่าเลยดีกว่า

พี่โรมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“บีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน..........”

“เดี๋ยวนะ.... สองล้าน??” 

ทีแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่ดูจากสีหน้าพี่โรมแล้วตัวเลขที่ผมได้ยินคงไม่ผิดแน่ 

“แล้วมันไปยืมเงินเขามาทำอะไรตั้งสองล้าน??”

ถึงจะมีเรื่องบาดหมางผิดใจจนมองหน้ากันไม่ติด แต่ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของบีบี๋ ผมกล้าพูดเลยว่าคนอย่างมันไม่มีทางทำอะไรสิ้นคิดอย่างเล่นพนันบอลหรือเล่นยาอย่างแน่นอน และถึงมันจะชอบบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าป๊าม้าไม่ค่อยให้เงินใช้แต่เท่าที่เห็นมันก็ไม่เคยอด อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากได้เสื้อผ้าข้าวของก็พอซื้อได้ แล้วทำไมอยู่ดีๆ มันถึงต้องไปกู้หนี้ยืมสินชาวบ้านเขา....?

“ที่บีบี๋ยืมจากเฮียรุจน่ะไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นเกียร์ต่างหาก”

“ยืมเกียร์.......ของเฮียรุจเนี่ยนะ?” 

ผมฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ บีบี๋จะเอาเกียร์ของคนใจหมาอย่างพี่รุจไปทำอะไร แต่แล้ว ผมก็นึกถึงรอยถลอกจางๆ เหมือนโดนสร้อยบาดตรงคอของบีบี๋ขึ้นมาได้

“ใช่.... บีบี๋เองก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เขาทำลงไปเพราะอยากเอาชนะทิชากับพี่จะบานปลายจนทำให้ตัวเองเกือบตาย”

ความจริงหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ หรือรู้แค่เพียงผิวเผินกระหน่ำเข้ามาในหัวสมองเหมือนฝนห่าใหญ่.... ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าไอ้บี๋จะถึงขนาดใช้เกียร์ของเฮียรุจกับอิทธิพลเบอร์ลิคมาบังคับให้พี่โรมกลับไปคบกับมัน เอาเรื่องที่ฝึกงานกับชีวิตการเรียนในวิศวะฯ มาขู่ ก็ว่าอยู่ว่าเพราะอะไรพี่โรมถึงต้องวิ่งเต้นหาที่ฝึกงานใหม่ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แถมเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เคยมีก็เหลือแค่พี่แจ็คคนเดียวที่ยังคบกันอยู่จนทุกวันนี้

เรื่องที่พี่โรมลาออกจากเบอร์ลิคก็เหมือนกัน ผมคิดว่าเขาแค่เหนื่อยกับการเป็นลูกน้องของพี่รุจ และมีปัญหาเพราะว่าเพื่อนกับรุ่นพี่ร่วมคณะไม่พอใจที่เขามาคบกับผมซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชิงเกียร์ก็เลยไม่กลับไปที่ร้านอีก แต่เขาไม่เคยบอกผมเลยสักคำว่าโดนเล่นงานหนักเบอร์นี้

และเพราะพี่โรมตัดสินใจหักดิบหันหลังให้เบอร์ลิคและระบบเกียร์สุดจัญไร ไม่ยอมตามเกมให้คนพวกนั้นรวมหัวกันข่มขู่ บีบี๋ถึงได้โดนพี่รุจย้อนเกล็ดตัวเหี้ยด้วยการคิดค่ายืมเกียร์พร้อมชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้มือขวาคนสนิทของเขาลาออก.... ขืนไม่จ่ายก็คงได้โดนพวกวิศวะฯ ลูกไล่พี่รุจรุมกระทืบตายห่า ก็สมแล้วที่เป็นเบอร์ลิค เมืองสวรรค์ของคนใจหมาซึ่งกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย อยากทำอะไรก็ทำ อยากให้ใครเป็นหนี้ก็ยัดเยียดข้อหากันง่ายๆ

“แล้วไอ้บี๋มันมีเงินไปจ่ายพี่รุจเหรอ?”

“ตอนแรกพี่ก็ไม่แน่ใจว่าบีบี๋ตกลงกับเฮียรุจเอาไว้ยังไง พี่เคยเห็นเขาพยายามสอนพิเศษเด็กมัธยมก็คิดว่าคงกำลังทยอยผ่อนจ่ายอยู่.... จนกระทั่งเกิดเรื่องอุบัติเหตุที่เบอร์ลิคขึ้น พี่ถึงได้รู้ว่าบีบี๋ไม่ได้จ่ายแค่เงินอย่างเดียว แต่ต้องนอนกับเฮียรุจเพื่อใช้หนี้ด้วย” 

ผมถึงกับร้องเฮ้ยให้กับสิ่งที่พี่โรมเล่าให้ฟัง เพราะนี่มันเลวร้ายมากกว่าที่ผมจะคาดคิดได้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า 

“ไอ้แจ็คมันยังต้องพึ่งเฮียรุจในหลายๆ เรื่อง มันก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่เท่าที่เค้นมาได้ก็คือบีบี๋ถูกเฮียรุจทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ บางทีก็ตั้งใจ บางทีก็ทำไปเพราะเมา.........”

ผมได้แต่กลืนน้ำลายตัวเองอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกจุกในท้องหน่วงในอกเมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทที่เคยพูดจาเล่นหัวตัวติดกันเหมือนฝาแฝดจะเดินผิดทางไปไกลขนาดนี้.... และผมก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพี่โรมถึงได้รู้สึกผิดที่บอกเลิกบีบี๋ เพราะตัวผมเองก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ไปชิงเกียร์พี่โรมมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ผมนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายทั้งหมด

มันก็เหมือน Butterfly Effect หรือทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ถ้าผมไม่ชอบพี่โรม ถ้าบีบี๋ไม่คิดจะคบกับพี่โรมปาดหน้าผม ถ้าผมตัดใจจากพี่โรมได้ตั้งแต่แรก ถ้าผมไม่ไปชิงเกียร์ที่เบอร์ลิค ถ้าคืนนั้นผมไม่ได้สติแตกหนีออกจากบ้านไปหาพี่โรม ถ้าพี่โรมไม่บอกเลิกมัน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิด.... ต่อให้แกล้งทำเป็นไม่รับรู้แล้วชี้นิ้วกล่าวโทษว่าไอ้บี๋ต่างหากที่เป็นคนหาเรื่องใส่ตัว ทว่า ลึกๆ ในใจของเราทุกคนก็ตระหนักดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของคนเพียงคนเดียว

“บางที เหตุผลที่บีบี๋แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมก็เพราะอาจจะกำลังหาทางหนีจากเฮียรุจ พี่ถึงยังไม่อยากไปอะไรกับเขาตอนนี้.... แล้วที่ปล่อยให้บีบี๋อยู่คนเดียวไม่ได้ก็เพราะไม่รู้ว่าเฮียรุจจะโผล่มาที่โรงพยาบาลอีกเมื่อไร อย่างน้อยถ้ามีคนอยู่ด้วย เฮียรุจก็คงไม่กล้าเอาถึงตาย.........”

“แล้วเราจะต้องทำยังไง ถ้าหาเงินสองล้านมาได้เรื่องจะจบไหม?”

ในหัวผมคิดถึงเงินจำนวนเจ็ดหลักที่จะช่วยให้บีบี๋หนีพ้นจากเงื้อมมือเฮียรุจได้ ไม่ใช่แค่ช่วยมันคนเดียว แต่ยังเป็นการซื้อความสบายใจให้กับผมและพี่โรมด้วย ทว่า ร่างสูงกลับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเปล่าประโยชน์

“ถึงมีเงินมาคืนสองล้านตอนนี้ก็ใช่ว่าเฮียรุจจะยอมจบ”

พี่โรมเอ่ยเสียงเครียด 

“พี่กำลังพยายามคุยกับที่บ้านอยู่ว่าพอจะมีทางจัดการกับเรื่องนี้ได้ยังไงบ้าง ลำพังพี่เป็นแค่นักศึกษาจะไปออกหน้าเคลียร์เองก็คงไม่มีใครกลัวหรอก เลยคิดว่าถ้าให้พวกผู้ใหญ่เขาช่วยคุยก็อาจจะพอมีหวัง.... แต่ทางเฮียรุจก็มีแบ็คอัพเป็นคนมีสีเหมือนกัน ผลประโยชน์จากเบอร์ลิคที่จ่ายใต้โต๊ะเดือนหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่น้อย ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะได้คำตอบว่ารอดหรือไม่รอด”

กลายเป็นผมที่ต้องถอนหายใจยาวเมื่อมองไม่เห็นเลยว่าทางออกของปัญหาอยู่ที่ตรงไหน มือหนาซึ่งวางอยู่บนตักเลื่อนมาบีบฝ่ามือผมเรียกให้หันไปสบตา.... เมื่อกำแพงของความโกรธและความไม่เข้าใจกันถูกทำลายลง สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงเหลือเพียงความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของอีกฝ่าย แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ยังหวังว่าพี่โรมจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้ผมรู้เร็วกว่านี้

“ที่พี่ไม่บอกเรื่องบีบี๋ให้ทิชารู้ก็เพราะไม่อยากให้เราต้องเครียดไปด้วย.......แต่ก็อย่างที่เห็นแหละนะ พี่คงคิดน้อยเกินไปจริงๆ..........” 

ชายหนุ่มยิ้มเศร้าอย่างคนสำนึกผิด หน่วยตาคมเงยขึ้นมองหน้าผมราวกับจะวอนขอความรักและความเชื่อใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง 

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทิชาเสียใจเลย......พี่ขอโทษ.........ถ้าทิชาไม่อยากให้พี่ยุ่งกับบีบี๋ พี่ก็จะเลิกเดี๋ยวนี้”

“ถ้าเลิกยุ่งแล้วพี่โรมจะสบายใจเหรอ? จะไม่รู้สึกผิดอีกใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร.... ทิชาคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับพี่ ต่อไปนี้ถ้าทิชาบอกว่าไม่ก็คือไม่.......เรื่องของทิชาต้องมาก่อนเสมอ.........”

“พี่โรมทำไม่ได้อย่างที่พูดหรอก อย่ารับปากอะไรง่ายๆ เลย” 

เมื่อได้ยินประโยคนั้น ร่างสูงก็หน้าเสียไปเมื่อคิดว่าเหตุผลและคำสัญญาครั้งใหม่จากเขาไม่สามารถทำให้ผมใจอ่อนลงได้ แต่ไม่ใช่เลย ที่ผมไม่ให้เขารับปากก็เพราะรู้ว่าพี่โรมเป็นคนยังไงและผมก็เริ่มยอมรับได้แล้วที่เขาเป็นคนแบบนี้   

“นิสัยพี่โรมก็เป็นอย่างนี้.... ดีจนไม่รู้ว่าจะไล่ไปเป็นพระเอกละครช่องไหนแล้วเนี่ย น่าเบื่อ!”

ผมลงจากโซฟาไปกอดพี่โรมซึ่งคุกเข่าสารภาพผิดอยู่บนพื้น.... ใครจะว่าผมใจอ่อนง่ายโกรธไม่สุดหรืออะไรก็ช่าง แต่มันก็เท่านี้เองที่ผมต้องการ ขอแค่พี่โรมเห็นว่าผมคือคนที่สำคัญที่สุดและต้องมาก่อนคนอื่นเสมอก็พอแล้ว

เหลืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องปรับทัศนคติกันใหม่ หากผมก็รู้สึกว่าถ้าเราผ่านปัญหาคราวนี้ไปได้ อย่างอื่นก็คงไม่ยากเท่าไรแล้วล่ะ....

“ชาเคยบอกพี่โรมแล้วใช่ไหมว่าชาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะโดนกระทบกระเทือนอะไรไม่ได้เลย.... ทีหลังมีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกันนะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว ถ้าพี่โรมอยากให้เราสองคนคุยกันด้วยเหตุผล แต่พี่กลับปิดบังเหตุผลที่แท้จริงเอาไว้แล้วใครมันจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่าต้องทำตัวยังไงกันแน่” 

ผมวางฝ่ามือแนบสองข้างแก้มของคนตรงหน้าบังคับให้เขามองสบตา ถ้าครั้งก่อนที่คุยกันมันยังไม่ชัดเจนพอว่าผมพร้อมที่จะอยู่กับพี่โรมในฐานะคนรัก ครั้งนี้ก็เอาให้รู้กันไปเลยว่าคนอย่างทิชา ทิชนันท์ไม่ได้มาเล่นๆ รักก็คือรัก ได้ก็คือได้ และอะไรที่บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้เช่นกัน 

“ชาเป็นแฟนพี่โรมนะ เป็นคนที่จะอยู่ร่วมแชร์ชีวิตกับพี่ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย.... อย่าทำเหมือนกับว่าชาเป็นลูกหมาลูกแมวที่พี่แค่เลี้ยงดูให้ความรักไปวันๆ ก็พอสิ ชารักพี่โรมนะ ถ้าพี่โรมไม่มีความสุขแล้วชาจะมีได้ยังไง จริงไหม?”

กว่าจะยิ้มออกก็ต้องปวดใจกันก่อน แต่จะว่าไปแล้วก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกันนะที่บทสรุปออกมาเป็นแบบนี้ เพราะเราจะได้รู้ซึ้งกันทั้งคู่ว่ากว่าจะกลับมามองหน้ากันอย่างสนิทใจได้ก็เล่นเอามีทั้งคนโมโห คนเปียก แล้วก็คนเจ็บตัวได้แผล

“อืม.....ทิชาเป็นแฟนพี่นะ........แล้วเราสองคนก็รักกันมากด้วย”

เกียร์แทนใจซึ่งผมเป็นคนถอดออกเองกับมือ ในตอนนี้ได้ถูกสวมคืนโดยผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด สีทองแดงแอบเขรอะนิดๆ ตัดกับผิวขาวจัดของผมเสมือนคำประกาศให้โลกรู้ว่าหัวใจของเราทั้งคู่ได้ผูกมัดเข้าด้วยกันแล้ว

“คราวหน้าคืนแล้วคืนเลย อย่าทำให้ชาต้องถอดเกียร์คืนพี่โรมอีกนะ”

“พี่จะไม่สัญญาพร่ำเพรื่อ แต่จะทำให้ทิชาเห็นเลยว่าใครคือคนที่พี่ตั้งใจจะให้มาเป็นอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่”

.


.


.


“ทิชา จะให้พี่นอนตรงนี้จริงๆ เหรอ?”

“จริงสิ”

“ไหนว่ารักไง?”

“ก็นี่แหละความรักของชา”

ผมมองพี่โรมซึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างเตียงนอนซึ่งมีผมกับยัยมิลค์ขึ้นมาประจำที่เรียบร้อย แฟนหนุ่มตัวดีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อจนแล้วจนรอดผมก็ยังยื่นคำขาดว่าถ้าคืนนี้เขาจะนอนค้างบ้านผมก็ต้องนอนบนพื้น.... ร่างสูงย่อตัวลงเกาะขอบเตียงพลางทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเผื่อว่าผมจะเปลี่ยนใจ แต่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างพี่โรมถ้าโดนลงโทษบ้างก็น่าจะดี ไม่งั้นเดี๋ยวไม่จำ

“แต่เราคืนดีกันแล้วนี่..........”

“อื้อ คืนดีแล้ว แล้วยังไงเหรอ?” 

ผมว่าพลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะโยนหมอนกับผ้าห่มสำรองลงไปให้

 “เรื่องอื่นน่ะคืนดีด้วยหมดแล้ว แต่เรื่องแอปเปิ้ลที่แอบไปซื้อให้ไอ้บี๋แต่ไม่ซื้อให้ชา อันนี้โกรธจริง ง้อให้ตายไม่คืนดีด้วย”

“โธ่ ทิชาก็..........” 

พี่โรมยังคงลากเสียงตัดพ้อจะเป็นจะตาย ทำอย่างกับว่าถ้าไม่ได้นอนด้วยกันคืนนี้แล้วเขาจะขาดใจดับดิ้น น่าหมั่นไส้นัก ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ตัวเองเพิ่งจะขันอาสาไปนอนค้างกับคนอื่นอยู่แท้ๆ 

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะรีบไปซื้อให้แต่เช้าเลย เอาส้มกับกีวีด้วยก็ได้ สตรอเบอร์รี่เกาหลีก็ดีนะ เห็นมีขายกล่องเบ้อเริ่มเลย ทิชาอยากกินหรือเปล่า”

“อยากกิน.... แต่ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้เนอะ คืนนี้พี่โรมนอนพื้นน่ะดีแล้ว”

เมื่อผมแกล้งยืนยันคำเดิม พี่โรมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากทิ้งตัวนอนลงบนพื้นแต่โดยดี ผู้ชายตัวโตบ่นกะปอดกะแปดเป็นหมีกินผึ้งหาว่าผมใจร้าย ผมก็เถียงกลับไปว่าเขาต่างหากที่ใจดำก่อน.... เราคุยกันไปพลาง เถียงเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปพลางจนเริ่มเหนื่อยแล้วก็หลับไปทั้งคู่ คิดว่าพี่โรมน่าจะหลับไปก่อนนะเพราะตอนที่ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็จำได้ว่าไม่ได้ยินเสียงเขาแล้ว

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนจะพลิกตัวตะแคงหันไปอีกข้าง แต่ทำไม่ได้เพราะมีใครบางคนโอบแขนกอดผมเอาไว้จากด้านหลัง ดูเหมือนพี่โรมจะแอบฉวยโอกาสขึ้นมานอนบนเตียง.... ก็เอาเถอะ ผมเองก็ขี้เกียจจะปลุกทั้งเขาและตัวเองขึ้นมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้วล่ะ

ผมรักเขา แต่ผมก็มีความเอาแต่ใจ

พี่โรมก็มีความเอาแต่ใจในแบบของเขาเช่นเดียวกัน

เราสองคนก็ผลัดกันหมุนไปตามวงโคจรของอีกฝ่ายด้วยความเข้าอกเข้าใจ ช่วยกันประคับประคองไม่ให้ความรักเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป แบบนี้ผมรับได้และคิดว่ามันก็ไม่ได้จะแย่สักเท่าไร


อย่างน้อย การได้เห็นคนที่เรารักสบายใจก็ดีกว่าเอาโลกมาหมุนรอบตัวเองแล้วมีความสุขอยู่คนเดียวตั้งเยอะเลย.... จริงไหม?

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
15
~สุดแค้นกับแสนรัก ~


ROME’s PART


ครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนตัวเล็กนอนขดตัวซุกเข้าหาอกผมเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้วจนแทบจำไม่ได้.... ถ้ารู้ว่าช่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันจะแสนสั้นและแสนมีค่ามากขนาดนี้ ผมจะไม่เสียค่าโง่ทำอะไรอย่างที่เคยทำเลย แต่จะกอดทิชาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

ผมควานมือถือที่วางไว้เหนือหมอนมากดดูนาฬิกา ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว อีกเดี๋ยวทั้งผมและน้องก็ต้องตื่นจากความฝันแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมขยับตัวนิดหน่อยเพื่อที่จะได้มองร่างในอ้อมแขนได้ถนัดขึ้น.... อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่ผู้ชายชมผู้ชายด้วยกันแบบนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะใช้คำไหนอธิบายถึงคนตรงหน้าได้ดีเท่ากับคำว่าสวย เพราะช่วงนี้พักผ่อนน้อยเลยทำให้ใต้ตาช้ำไปบ้างแต่ทิชาก็ยังสวยอยู่ดี ทั้งสวยและน่ารักจนผมอดนึกหวงไม่ได้ อยากจะจับขังไว้ในห้องกระจกปิดตายไม่ให้พบเจอใครเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

ยอมรับตรงๆ ว่าแวบแรกที่เห็นก็ถูกใจทิชาตรงหน้าตา ถึงจะมอมแมมเนื้อตัวหัวหูเต็มไปด้วยคราบโกโก้ก็เถอะ แต่ที่ทำให้ผมหลงรักหัวปักหัวปำจริงๆ กลับเป็นนิสัยซึ่งผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกและเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากผู้คนรอบข้างลิบลับ.... ใครจะไปคิดว่าคุณหนูลูกดารา ท่าทางหยิ่งเข้าถึงยากแถมยังไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแปลกหน้าจะกลายเป็นลูกแมวน้อยเวลาที่อยู่กับแฟน ทิชาทั้งอ้อนเก่งแล้วก็เอาใจเก่ง จากที่เคยกังวลว่าจะรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของเจ้าตัวไม่ได้ก็กลับกลายเป็นว่าทิชาต่างหากที่ต้องจัดการโน่นนี่ให้ผมตั้งมากมาย แม้จะยังอ่อนไหวง่ายหากก็เข้มแข็งเด็ดขาดในเวลาที่จำเป็น ที่สำคัญก็คือการกระทำซึ่งแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่ารักผมนั่นแหละ

ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งสเป็คเอาไว้ว่าคนที่จะมาเป็นแฟนจะต้องใสๆ ไร้เดียงสา คุยง่ายยิ้มง่าย แค่อยู่ด้วยก็อารมณ์ดีไปทั้งวัน แต่สุดท้ายผมก็มาแพ้ทางทิชาเข้าจนได้ พอรู้ตัวอีกทีก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว

“อืม............”

เสียงแหบหวานครางงึมงำเมื่อโทรศัพท์ส่งสัญญาณว่าถึงเวลาต้องตื่นนอนแล้ว ผมเอื้อมมือไปกดปิดให้ก่อนจะแนบรับอรุณจูบลงกลางหน้าผากเนียนเพื่อช่วยปลุกคนขี้เซาอีกแรง ทิชาหยีตาสู้แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาก่อนจะลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลืออีกพักใหญ่ พอเห็นผมนั่งยิ้มรออยู่แล้วก็เอ่ยถามทั้งที่ยังไม่หายเมาขี้ตาดี

“พี่โรมตื่นนานแล้วเหรอ?”

“สักพักแล้วครับ” 

ผมตอบพลางยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มร่างบาง หากแทนที่จะตาสว่างก็ดันหาวหวอด ไม่ได้มีวี่แววว่าจะอยากตื่นเลยสักนิด

“งั้นพี่โรมไปอาบน้ำก่อนไป ผ้าเช็ดตัวหยิบเอาในลิ้นชักเลย แปรงสีฟันอันใหม่อยู่ในห้องน้ำ ชาจะนอนต่อ ออกมาแล้วค่อยปลุกนะ........”

ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนแหมะตามเดิม แต่ก็ยังมิวายชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางไหนก็ไม่รู้พร้อมกับสั่งงานผมยาวเหยียด

“ฝากเอาข้าวให้มิลค์ด้วย อยู่ในตู้ข้างล่างตรงไมโครเวฟอะ”

คนสั่งผลอยหลับไปอีกรอบง่ายดายเหมือนปิดสวิตช์ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ปกติทิชาก็เป็นพวกเด็กอนามัยต้องนอนอย่างต่ำวันละแปดชั่วโมงอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มีทั้งเรื่องเรียน ทั้งเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายซีรีส์อะไรนั่นอีก เดี๋ยวพอเปิดกล้องก็คงจะได้นอนน้อยกว่านี้อีกหลายเท่าเชียวล่ะ

“แง้ว.............”

“อือ แม่ชาบอกพ่อแล้ว หนูรอแปบนึงนะลูก” 

ผมหันไปบอกยัยมิลค์ซึ่งมายืนไซโครออยู่ตรงชามข้าวในส่วนแพนทรีครัว ก่อนจะเปิดหาถุงอาหารแมวในตู้ชั้นล่างตามที่เจ้าของห้องบอก ผมจัดแจงเทข้าวเปลี่ยนน้ำให้ลูกสาวขนฟูจนเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับมารื้อหาผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ ส่วนเสื้อผ้าไม่ต้องพูดถึงเลย ผมใส่ของทิชาไม่ได้แน่ๆ ก็คงต้องใส่ตัวเดิม ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นแล้วเอาเสื้อช็อปทับกันตายไปวันหนึ่ง

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาปลุกแม่แมวขี้เซาที่จนป่านนี้ยังหลับอุตุอยู่

“ตื่นได้แล้ว ทิชา”

“อือ.............”

ลองว่าง่วงขนาดนี้ แค่เรียกอย่างเดียวคงไม่มีทางสะดุ้งสะเทือน ผมก็เลยดึงผ้านวมที่ทิชาซุกตัวอยู่โยนไปอีกทาง แต่ก็ทำได้แค่เรียกเสียงอืออาเหมือนรำคาญแล้วคว้าสะเปะสะปะหยิบหมอนมาปิดหัวตัวเองเพื่อหนีจากความโหดร้ายของเช้าวันจันทร์ เดือดร้อนผมต้องโน้มลงไปเขย่าตัวปลุกอีกแรง

“เรามีเรียนแปดโมงครึ่งไม่ใช่เหรอ.... นี่จะเจ็ดโมงแล้วนะ ตื่นเร็ว” 

“ออกแปดโมงก็ทันน่า”

“ไปบีทีเอสน่ะทัน แต่พี่เอารถยนต์มานะครับ คุณหนู” 

ไม่อยากจะคิดถึงสภาพการจราจรเส้นทางจากทองหล่อไปมหา’ลัย ไม่ว่าจะฝั่งสุขุมวิทหรือเพชรบุรีก็น่าจะติดสาหัสพอๆ กัน แถมวันนี้ผมมีเรียน Automotive Measurement ที่ห้ามขาด ห้ามสาย ห้ามป่วย ห้ามตาย เสียด้วย 

“ลุกนะ คนเก่ง.... ถ้าไม่ยอมลุก พี่โดดทับจริงๆ นะ ยิ่งตัวบางๆ แบบนี้ ซี่โครงหักไม่รู้ด้วย”

พอได้ยินผมขู่ ลูกแมวน้อยถึงได้ยอมโผล่หัวออกมาจากใต้หมอน แต่แทนที่จะรีบลุกตามที่บอกก็กลับมานอนตาปรือจ้องผมอย่างกับจะจับกลืนลงท้อง

“ทำไมพี่โรมหล่อจัง.......?” 

น้ำเสียงฟังดูคล้ายละเมอฝันเห็นเทพบุตร แต่ผมรู้ว่าทิชาน่ะตื่นเต็มตาแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่เห็นแผงอกแน่นๆ กับกล้ามท้องของผมนั่นแหละ 

“ผมเปียกๆ แบบนี้โคตรเซ็กซี่เลย.......แถมยังไม่ใส่เสื้อผ้ามาปลุกชาอีก......เห็นแล้วคิดดีไม่ได้เลยอะ.......”

คำพูดคำจาน่าหมั่นเขี้ยวทำเอาผมรู้สึกจักจี้แปลกๆ ยิ่งสายตาปรือปรอยอย่างที่ไม่บอกก็รู้ว่าจงใจจะยั่วนั่นอีกล่ะ.... มันน่านักเชียว ทิชนันท์!

“พี่รู้นะว่าคิดอะไร แต่นี่มันใช่เวลาเหรอครับ”

ผมข่มน้ำเสียงให้ฟังดูห้วนดุเข้าไว้ แต่ก็แอบคิดในใจว่าถ้าวันนี้ไม่ใช่วันจันทร์ล่ะก็ รับรองว่าต้องมีใครบางคนได้เสียน้ำจนแห้งคาเตียงแน่ เสียดายที่เวลาไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย 

“ตื่นไปเรียนก่อน ไว้ตอนเย็นค่อยทำ”

“ตอนเย็นไปเวิร์คช็อป จะเสร็จกี่โมงก็ไม่รู้.... กลับมาบ้านก็คงไม่เจอพี่โรมแล้วปะ” 

เมื่อโดนปฏิเสธ ร่างเล็กก็หน้างอเป็นจวักอย่างเอาแต่ใจทันที.... นิสัยนี้ตอนที่คบกันแรกๆ ก็ไม่เคยเป็นหรอก หากพอทิชาเริ่มจับจุดได้ว่าผมรักผมหลง ความดื้อดึงร้ายกาจก็ค่อยๆ แง้มออกมาทีละน้อยพร้อมกับความน่ารักซึ่งดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด 

“ของแบบนี้มันเก็บไว้ทำทีหลังได้ที่ไหนกัน.....อยากตอนนี้ก็ต้องทำตอนนี้สิ หรือจะให้ชาไปนั่งตาเยิ้มใส่คนทั้งมหาลัยล่ะ?”

มีขู่ด้วย.... แต่แค่นึกภาพตามก็แทบจะบ้าตาย ปกติก็มีไอ้พวกหื่นไม่ดูทิศทางลมจ้องจะงาบแฟนผมอยู่ทุกที่ ขืนปล่อยทิชาออกไปข้างนอกในสภาพล่อแหลม ปล่อยฟีโรโมนไปทั่วนี่มันอันตรายชัดๆ!

“นะ....พี่โรมเก่งจะตาย.....ทำให้น้องแปบเดียวก็เสร็จแล้ว”

ไม่พูดเปล่าแต่ยังแต่ยื่นมือตัวเองมาคว้าหมับเข้าที่ส่วนกลางลำตัวผม สัมผัสจู่โจมผ่านผ้าขนหนูเนื้อนุ่มเล่นเอาผมสะดุ้งโหยงขนลุกเกรียว หากพอก้มลงมองอวัยวะส่วนเดียวกันของคนเรียกร้องก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เพราะตรงหว่างขาทิชานั้นทั้งแฉะทั้งชื้น มิหนำซ้ำยังยังแข็งปั๋งชี้ชนกางเกงนอนจนเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีอารมณ์มากแค่ไหน และผมเองก็ดูท่าทางจะตามไปติดๆ

คงเพราะเราทั้งคู่ยังวัยรุ่นอยู่ล่ะมั้งก็เลยเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายพอกัน

“เราน่ะ อ้อนเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ขอนึกก่อนนะ........” 

ทิชาแกล้งทำท่านึกโดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากน้องชายผม ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ผมก็คงไม่เชื่อหรอกว่าไอ้ท่าทางแสนเซี้ยวซุกซนแบบนี้ มันจะออกมาจากเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยอมทุกข์มีแต่รอยน้ำตา 

“สงสัยว่าจะตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพี่โรมรักล่ะมั้ง.... มีแฟนหล่อแสนดีขนาดนี้ก็ต้องอ้อนให้คุ้ม”

“อย่าให้ถึงทีพี่บ้างก็แล้วกัน”

“ก็ถึงแล้วนี่ไง.... รีบทำเร็วๆ สิ เดี๋ยวไปเรียนสายนะ”

ใบหน้าสวยยิ้มพราย ในดวงตากลมโตฉายแววยั่วยวนเว้าวอนแบบที่คนอย่างผมไม่น่าจะทนไหว ยิ่งผมห่างเรื่องนี้มาหลายวันเพราะแทบไม่ได้เจอทิชาเลย เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเสือหิวโซผ่านมาเจอเนื้อชิ้นใหญ่นั่นแหละ

“แล้วอย่ามาหาว่าโดนพี่รังแกทีหลังล่ะ”

ผมรูดกางเกงขาสั้นลงไปกองอยู่ตรงปลายเท้าร่างบาง สิ่งแรกที่กระแทกเข้ามาในประสาทส่วนการมองเห็นก็คือผิวกายขาวจัดซึ่งบ่มด้วยเลือดฝาดจนกลายเป็นสีอมชมพูไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงจุดที่ไวสัมผัสที่สุด แกนเนื้อขนาดแค่พอกำมือได้รอบตั้งแข็งชูชัน ส่วนปลายยอดแดงก่ำมีน้ำหล่อลื่นไหลเยิ้มชโลมอยู่จนเปียกไปหมด
จากที่ตอนแรกคิดว่าจะรีบทำรีบเสร็จเพราะไม่มีเวลา แต่พอเห็นดอกไม้บานอยู่ตรงหน้าก็ชักอดใจอยากจะเด็ดมาเชยชมนานๆ ไม่ได้....

“อืม..........ดีจัง.............”

เสียงหวานครางอย่างมีความสุขแทบจะทันทีที่ผมครอบริมฝีปากลงไปบนแก่นกายสีสด เอวบางบิดเกร็ง แผ่นหลังแอ่นโค้งจนเสื้อยืดตัวหลวมเลิกขึ้นไปอยู่ใต้อกในขณะที่ลมหายใจของทิชาหอบกระชั้นจากความวาบหวามรัญจวนที่ผมป้อนให้.... ยิ่งได้ยินเสียงร้อง ผมก็ยิ่งเล่นหนักเล่นแรง มือข้างหนึ่งล็อคเรียวขาขาวขึ้นพาดบ่า ส่วนอีกข้างกดให้ติดกับฟูกไม่ยอมให้คนซึ่งกำลังเสียวซ่านได้ที่เคลื่อนไหวได้ จากนั้นก็ตวัดลิ้นโลมเลียอย่างไม่ปรานี เน้นหนักตรงรูเล็กตรงยอดปลาย เพียงแค่ผมแหย่ปลายลิ้นสะกิดเบาๆ ทิชาก็ดิ้นพล่านร้องเสียงหลงเหมือนจะขาดใจ

“อ๊ะ.....อื้อ........พี่โรม.......พี่จ๋าของน้อง.............”

ร่างเล็กเอื้อมมือมาขยุ้มหัวผมระบายความเสียว หน้าท้องแบนราบเกร็งเสียจนยุบเป็นแอ่งลงไป กลีบปากอิ่มเผยอหอบครางไม่หยุดหย่อนก่อนจะร้องสั่งอย่างเอาแต่ใจเมื่อรู้ว่าผมเต็มใจจะตอบสนองในสิ่งที่ตนปรารถนา 

“ดูดอีก......ดูดตรงปลายแรงๆ เลย......พี่จ๋า.........”

“ทำไมเมียพี่ถึงได้หอมหวานไปทั้งตัวแบบนี้นะ........โดยเฉพาะตรงนี้ หวานที่สุดเลย........”

ผมหมายถึงเจ้าแท่งเล็กที่ถูกผมดูดเลียราวกับเป็นไอติม คล้ายกับถูกมอมเมาด้วยฟีโรโมนที่หลั่งออกมาจากร่างกายของทิชา ไม่ใช่แค่น้องที่ถูกใช้ปากแล้วมีความสุข แต่ผมเองก็โคตรฟินเหมือนกันที่ได้ครอบครองตัวตนที่แท้จริงของน้อง.... จะว่าเคมีเราสองคนตรงกันก็คงไม่ผิด มีแค่อุปนิสัยบางอย่างที่ต้องปรับเข้าหากัน แต่กับเรื่องเซ็กส์นั้นไม่เคยมีปัญหาเลย ผมให้ทุกอย่างที่ทิชาต้องการได้ ทิชาก็ให้ทุกอย่างที่ผมต้องการได้เช่นกัน

“อ๊า........อ๊ะ...........พี่โรม......จะเสร็จแล้ว......อ๊ะ...........”

สะโพกกลมกลึงส่ายหนักจนผมต้องเพิ่มแรงล็อคขาทั้งสองข้างของร่างบางเอาไว้ น้ำเหนียวหนืดซึ่งเคล้าอยู่ในปากไม่ต่างจากน้ำเมาที่ทำให้ผมยิ่งลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น.... เสียงร้องครางกับแรงจิกขยุ้มจากคนรักเหมือนโหมกระพือเลือดหนุ่มในตัวผมให้ร้อนระอุประหนึ่งราดน้ำมันลงบนกองไฟ ริมฝีปากและลิ้นทำงานประสานกันส่งทิชาให้ไปถึงฝั่งฝัน และอีกเพียงไม่กี่อึดใจถัดมา อาการเหยียดเกร็งครั้งสุดท้ายก็มาพร้อมกับเสียงหวานกระเส่าและคราบรักขุ่นขาวที่รดหลั่งมากยิ่งกว่าคราวไหนๆ

“อ๊า........!”

ผมถอนปากออกเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเต็มสองตา ร่างบอบบางบิดสะท้านไปมาเมื่อความซาบซ่านตรงกลางลำตัวแล่นทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ใบหน้าน่ารักเหยเกอย่างมิอาจควบคุมในขณะที่แก่นกายเล็กปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาเป็นสายยาวจนเปรอะหน้าท้องเนียนขาว รวมถึงมือและปากของผมด้วย

“.............พี่โรมเก่งจริงๆด้วย......ดูสิ ชาเสร็จเร็วอีกแล้ว.........”

คนตัวเล็กเอ่ยทั้งที่ยังหอบเหงื่อซึม พลางลูบมือไปตามคราบรักบนหน้าท้องของตัวเอง แววตาที่มองผมยังคงเต็มไปด้วยความออดอ้อนออเซาะ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วดูดเลียแบบเดียวกับที่ผมทำกับเจ้าตัวน้อยของทิชาก่อนหน้านี้

“ทำไมออกเยอะจัง.... ตอนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ทำเองบ้างเลยเหรอ?” 

ผมถามอย่างนึกสงสัย เพราะปกติแล้วเวลามีอะไรกันก็ไม่ได้เปื้อนเยอะขนาดนี้ พาลเดาเอาว่าตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ทิชาคงไม่ได้แตะต้องปลดปล่อยอารมณ์ด้วยตัวเองเลย

“เดี๋ยวนี้ชาทำเองไม่เป็นแล้ว..........” 

ร่างเล็กยิ้มร้ายก่อนจะเบียดตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผม ผิวแก้มใสซบลงบนผืนอกเปลือยเปล่า

“รอพี่โรมมาทำให้มันอิ่มกว่าตั้งเยอะนี่นา อย่างนี้แล้วใครจะไปอยากทำเองกันล่ะ”

“เดี๋ยวนี้พูดเก่งนักนะ”

ผมจัดการกำราบแม่แมวแสนซนด้วยการประกบจูบเข้าหากลีบปากสีระเรื่อ ดูดดึงควานหารสหวานกำซาบจนพอใจ ทิชาเองก็ตอบสนองด้วยการตวัดปลายลิ้นตอบโต้เย้าหยอกคืนอย่างมีลูกล่อลูกชน.... รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายก็จูบเก่งไม่แพ้กัน เมื่อได้มาผลัดกันรุกไล่ลองเชิงก่อนจะเริ่มบทรักขั้นสุดท้ายก็สนุกดีไม่หยอก

“นอนลงแล้วแยกขาออกกว้างๆ เลย”

“เอากว้างแค่ไหนดี?” 

ถามยอกย้อนน่าดีดแต่ก็ยอมนอนลงไม่อิดออด แค่พริบตาเดียว ผ้าเช็ดตัวสีเข้มที่ผมใช้พันท่อนล่างก็หายวับไปกองรวมอยู่ตรงที่เดียวกับกางเกงขาสั้นของทิชา.... ความเป็นชายของผมผงาดตั้งลำพร้อมรบ ทำเอาร่างบางถึงกับห่อปากหัวเราะคิก

“แต่ใหญ่เบอร์นี้ ดูท่าทางชาคงต้องแหวกทางเข้าให้ด้วยมั้งเนี่ย”

“ก็บอกแล้วว่าห้ามบ่น ห้ามหาว่าโดนพี่รังแกด้วย”

เราทั้งคู่ต่างก็มีอารมณ์จนไม่มีใครสนใจเรื่องเจลหล่อลื่นหรือเรื่องเจ็บไม่เจ็บอะไรทั้งนั้น.... ผมแทรกกายเข้าไปอยู่ตรงกลางหว่างขาคนรัก ท่อนเนื้อสีสดซึ่งเพิ่งคลายความตึงแน่นไปเมื่อครู่เริ่มแข็งชันขึ้นอีกรอบ แต่ก็ยังน้อยกว่าลูกชายผมซึ่งขยายใหญ่เต็มความยาวและกำลังปวดระบมร่ำร้องจะหาที่ฝังตัวลงไป

ผมจับแท่งร้อนซึ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาจ่อเข้าที่เป้าหมาย โดยมีร่างเล็กช่วยอำนวยความสะดวกแอ่นสะโพกขึ้นแล้วใช้สองมือบิแก้มก้นให้แยกห่างจากกันเพื่อขยายปากทางเข้า ผมจึงค่อยๆ กดความแข็งแรงของตัวเองลงไป

“อื้อ.............”

ทิชาครางเหมือนเจ็บ ดูจากความต่างไซส์ตัวผมกับน้องก็น่าจะเจ็บอยู่หรอก ทุกทีผมจะทำโดยใช้สามนิ้วขยายขนาดทางเข้าเตรียมไว้ก่อน แต่ก็อย่างที่เห็นว่าวันนี้เราสองคนรีบมาก.... แล้วก็หื่นมากด้วย

“เจ็บเหรอ........พี่เพิ่งเข้าไปแค่ครึ่งเดียวเอง............”  ผมบอกสถานการณ์ให้ทิชาฟัง น้องพนักหน้าให้ผมพลางสูดหายใจลึกๆ ลดอาการเกร็ง  “หรือจะชโลมเจลให้มันลื่นๆ ก่อนดี......ทิชาจะได้ไม่เจ็บไง.........”

“มะ.....อึก........ไม่ต้อง...........”

“เอาจริงเหรอ?”

“อือ.......พี่โรมเสียบเข้ามาเลย........” 

น้องสั่งผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ช่องทางรักเบื้องล่างตอดรัดผมถี่ยิบราวกับคำเชิญชวน 

“เสียบเข้ามาแล้วขย่มแรงๆ........อื้อ........เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว...........”

ได้ยินแบบนี้ ผมก็อดใจไม่ไหว แทบจะพรวดเข้าไปในตัวคนรักทีเดียวให้มิดถึงโคน

“อ๊ะ.......ซี้ด..............”

ร่างบางซี้ดปากด้วยความเจ็บผสมกับความเสียวหลังจากที่ผมตัดสินใจกดแท่งร้อนทั้งหมดที่เหลือเข้าไปจนลึกสุด มือเล็กผละจากแก้มก้นตัวเองมาจิกไหล่ผมทันทีที่เส้นประสาททั่วกายตึงเปรี๊ยะเสมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นผ่าน.... รอยน้ำตาจางๆ เอ่อคลอเบ้าบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงทั้งเจ็บทั้งจุกไม่น้อย ทว่า รอยยิ้มแห่งความสุขกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย พลอยให้ผมต้องยิ้มตามไปด้วย

“อืม............” 

ผมส่งเสียงพร่าในลำคออย่างพึงใจ ข้างในตัวทิชาทั้งอุ่นแล้วก็นุ่ม ยิ่งเวลาที่ผนังหยุ่นโอบรัดท่อนเอ็นแล้วตอดรัวๆ นี่แม่งโคตรฟิน พอได้เข้าแล้วก็ไม่อยากจะเอาออกเลย เพราะอย่างนี้แหละผมถึงได้กอดน้องตั้งแต่สี่ซ้าห้าทุ่มยันฟ้าเหลืองอยู่บ่อยๆ

“พี่โรมรู้ปะ.... ชาอยากมีอะไรกับพี่บนเตียงตัวเองมาตั้งนานแล้ว” 

อยู่ดีๆ ทิชาก็พูดออกมา เรียวแขนผอมบางยกขึ้นคล้องคอผมก่อนที่เราจะสบสายตากัน

“ทำไมล่ะ?” 

ผมย้อนถาม เห็นผิวเนื้อช่วงอกของแฟนโล่งๆ ไม่เหลือรอยจูบที่ทำทิ้งเอาไว้คราวก่อนก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปดูดเล่นให้ขึ้นเป็นรอยกลีบดอกไม้แล้วจึงค่อยพูดต่อ 

“เตียงห้องพี่โยกไม่มันส์เท่าเตียงนี้เหรอครับ คนสวย?”

“บ้า!” 

กำปั้นน้อยๆ ทุบไหล่ผมเสียงดังปึ้ก ริมฝีปากอิ่มยื่นเหมือนเป็ดก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานจับหัวใจเช่นเดิม 

“ชาจะบอกว่าพี่โรมเป็นแฟนคนแรกที่ชายอมให้เข้ามานอนค้างที่บ้านนะ.... แล้วก็เป็นคนแรกที่มีเซ็กส์กันบนเตียงที่ชานอนมาตั้งแต่เด็กด้วย”

“.....................”

“ชาพูดจริงนะ”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งกับสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน.... ผมรู้ดีมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนแรกของทิชา เป็นคนที่เท่าไรก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ น้องเองก็ไม่เคยเล่าถึงคนเก่าๆ ให้ฟังเพราะผมไม่ได้สนใจอยากรู้อยากถาม แต่ทิชาไม่เคยพาใครเข้าบ้านเลย ผมคือคนแรก ถึงจะไม่ใช่คนแรกที่ได้เวอร์จิ้นแต่ก็เป็นคนแรกที่ได้รักกันในสถานที่ที่ทิชาคุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยที่สุด

ให้ตายเถอะ มันเหมือนกับว่าผมคือคนแรกที่ก้าวเข้ามาในโลกของทิชา ทิชนันท์ ได้อย่างเต็มตัว

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมปลื้มปริ่มภูมิใจได้ยังไงเล่า....?

“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อสักหน่อย.........” 

ผมว่าพลางเกลี่ยปลายนิ้วไล้ไปตามแก้มใสแล้วฝังปลายจมูกตามลงไป ข้างในอกพองโตคล้ายมีคนเอาลูกโป่งมายัดไว้ ถ้าไม่ติดว่ามีภารกิจสำคัญรออยู่ตรงหน้า ผมอาจจะมีความสุขจนตัวลอยติดเพดานไปแล้วก็ได้.... ความรักของผมกับทิชาคือสิ่งสวยงามและล้ำค่าเกินกว่าจะหาความรู้สึกอื่นใดมาเทียบเท่า ผมไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย 

“พี่ขอสัญญาว่าเซ็กส์ครั้งนี้จะน่าจดจำพอๆ กับครั้งแรกหลังจากที่เราคบกันเลย”

“งั้นชาก็ฝากพี่โรมด้วยนะ.... เอาให้ขาเตียงโยกไปเลยก็ได้”

สิ้นเสียงฝากฝัง ผมก็เริ่มขยับสะโพกสาวเข้า-ออกช้าๆ แต่เน้นหนักจังหวะตอนที่กระแทกลึกสุด พาลให้ร่างข้างใต้ผวาเฮือกกอดผมแน่นในยามที่จุดกระสันภายในช่องทางโดนท่อนเนื้อใหญ่ยาวเสียดสีกดย้ำหนแล้วหนเล่า.... ข้างในท้องน้อยผมก็หน่วงๆ ตึงๆ เช่นกัน ความเสียวที่ได้รับจากคนตัวเล็กเล่นเอาแข้งขาอ่อนแรง แต่ก็ยังอยากจะทะลวงหาความหฤหรรษ์ให้มากเท่าที่จะมากได้

“อ๊ะ........อา..............” 

ทิชาร้องครางอยู่ข้างหูผม ร่างอ้อนแอ้นบอบบางโยกคลอนไปตามการชักนำ เสียงฟูกนอนหนากระทั้นกับหัวเตียงและเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดจากขาเตียงยิ่งเร้าใจเราทั้งคู่มากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่ายัยมิลค์จะตกใจเสียงจนวิ่งหนีไปแอบดูอยู่ตรงใต้โต๊ะทำงานแล้วก็เถอะ

“อา........ทิชา........น่ารักมาก........รัดพี่แน่นเชียว..........” 

ผมกระซิบบอกคนรักขณะการะแทกความเป็นชายใส่อยางหนักหน่วงต่อเนื่อง

“.....อื้อ..........เสียวจัง........พี่จ๋า........เข้ามาอีก......ลึกๆ....แรงๆ............อา..........”

ผมผ่อนความเร็วลงนิดหน่อยแล้วหันมาเน้นแบบที่น้องอ้อนขอแทน ทิชาแยกขาออกกว้างขึ้นอีกเพื่อให้ผมกดแก่นกายเข้ามาจนหมด ท่อนเนื้อเล็กแกว่งไกวไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว น้ำขาวขุ่นปริ่มย้อยยั่วสายตาจนผมต้องส่งนิ้วโป้งไปขยี้ตรงรูกะจิดริดที่ปลายยอด

แค่นั้นแหละ แมวน้อยยั่วสวาทก็ดิ้นทุรนทุราย ร้องหาผมพร้อมทั้งกระดกตัวขึ้นมากอดอย่างสุดจะอดกลั้น

“อื้อ.......พี่จ๋า.........อย่าแกล้งน้อง.....มันเสียว........ไม่ไหวแล้ว.............”

“ถ้าทำไม่เสียวแล้วเมียพี่จะสนุกเหรอครับ?” 

ผมรูดแท่งรักของทิชาอย่างเมามัน เอวก็ไม่หยุดขยับโจนจ้วงเข้าหาโพรงรักที่แสนนุ่มนิ่มอุ่นร้อน ปรนเปรอทั้งข้างหลังและข้างหน้าให้เราได้อิ่มเอมกันทั้งคู่ 

“เวลาทิชาเสียว......ตรงนี้ของทิชาจะกอดพี่แน่นมาก.......โคตรดีเลย.........”

“อ๊ะ......อา...........อื๊อ.............”

ร่างบางยังคงส่งครวญครางกระเส่าไม่หยุด ในขณะที่ผมโถมกายกระแทกเข้าหาช่องทางด้านหลังถี่ยิบ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกขึ้นท่ามกลางความสุขสมของเราสองคนซึ่งพร่างพรูเอ่อล้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงง่ายๆ

เมื่อเครื่องร้อนเต็มพิกัด ผมก็เร่งกระหน่ำโยกเอวสอดใส่ไม่ยั้ง ความรู้สึกเบาหวิวแล่นจากท้องน้อยขึ้นสู่ก้านสองแล้วดิ่งลงสู่ปลายเท้า ทิชาจิกปลายนิ้วข่วนหลังผมก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเกร็งแล้วปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง ผมเองก็ปล่อยมือจากท่อนเนื้อเล็กให้มันได้ดีดตัวคายน้ำรักจนครบทุกหยาดหยด แล้วก็ถึงเวลาหน่วงจังหวะส่งท้ายเพื่อที่จะได้เสร็จตามคนรักไปติดๆ

“อืม........พี่ขอปล่อยในนะครับ คนดี..........อา.........”

 ผมกระซิบบอกเสียงพร่าก่อนจะถอนตัวออกจนเกือบสุดความยาวแล้วอัดเข้าไปเน้นๆ อีกสี่-ห้าครั้ง แล้วปล่อยความต้องการให้ทิชาได้ครอบครองทั้งหมด

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงพลางดึงตัวทิชาเข้ามากอด อุตส่าห์เพิ่งอาบน้ำมาแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเหงื่อโชกอย่างกับไปวิ่งมาราธอนมา จะผิดก็ตรงที่เหนียวเหนอะเป็นพิเศษตรงลูกชายสุดที่รักของผมนี่แหละ.... เราสองคนประกบปากจูบกันอ้อยอิ่งอยู่อีกพักใหญ่เพราะไม่มีใครยอมลุกจากเตียงก่อน คงเป็นเพราะต่างคนต่างก็รู้ดีว่าเวลาแห่งความสุขแบบนี้จะคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงจะรักกันแค่ไหนแต่เราก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบรอคอยอยู่ ซึ่งผมก็คาดหวังว่าอีกไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลง แล้วผมกับทิชาก็จะได้อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดตราบเท่าที่หัวใจต้องการ

.

.

.

กว่าจะลุกไปอาบน้ำได้ก็ล่อไปเจ็ดโมงกว่า ผมกับทิชาอาบน้ำพร้อมกันด้วยความเร็วแสงแล้วจึงออกมาแต่งตัวแล้วโบกวินมอเตอร์ไซค์ไปมหาวิทยาลัยตอนแปดโมง โชคดีที่ผมทิ้งอุปกรณ์การเรียนทั้งหลายแหล่เอาไว้ในรถก็เลยแค่หยิบๆ แล้วก็ไปเข้าคลาสได้ แต่ก็ต้องฝากรถออดี้สุดรักสุดหวงไว้ที่บ้านน้องจนถึงตอนเย็น.... ก่อนจะแยกย้ายไปคณะใครคณะมัน ทิชาให้กุญแจบ้านไว้กับผมสำหรับมาเอารถคืนแล้วก็รับยัยมิลค์กลับไปคอนโดฯ

เพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานและสานต่อเลิฟซีนเมื่อครู่ ผมกับน้องก็เลยตกลงกันว่าเย็นนี้จะมาเจอกันที่ห้อง ถึงจะเป็นวันจันทร์ที่สุดแสนจะวุ่นวายแต่เราก็ยินดีที่จะเหนื่อยเพื่อกันและกัน

   
   Bee-Bee 

        18 missed calls


   

ผมเพิ่งมาเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองมีมิสคอลจากบีบี๋ก็ตอนที่อาจารย์เดินเข้ามาแล้ว ดูจากเวลาก็คิดว่าฝ่ายนั้นคงโทรมาตอนที่ผมกำลังเมคเลิฟกับทิชาเลยไม่ทันได้ยิน แบตก็ดันเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลยค่อนข้างลังเลว่าจะโทรหรือไม่โทรกลับดี จะขอยืมพาวเวอร์แบงก์จากใครก็ไม่ได้ ไอ้ห่าแจ็คก็เสือกโดดเรียนไม่บอกไม่กล่าว

แต่คนอย่างไอ้แจ็คน่ะเหรอจะโดดเรียน....?

ลางสังหรณ์ร้ายคืบคลานเข้ามาในหัวสมอง เมื่อวานนี้ผมวานให้เพื่อนสนิทช่วยไปเฝ้าบีบี๋ที่โรงพยาบาล คิดว่าก็แค่เฝ้าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นภายในชั่วระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่จนแล้วจนรอด ไอ้แจ็คก็ดันหายหัวไม่มาเรียนเสียอย่างนั้น

ผมส่งข้อความไลน์ไปหาทั้งไอ้แจ็คและบีบี๋ แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ผมจึงต้องแอบมุดหัวหลบสายตาอาจารย์ลงใต้โต๊ะไปโทรศัพท์หาทั้งคู่หากก็ยังไม่มีใครรับสายอีก

ระหว่างที่ผมสองจิตสองใจว่าจะลุกออกจากห้องเรียนไปดูเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอันตรายจากบุคคลไม่พึงประสงค์ โทรศัพท์ผมก็สั่นเตือนว่ามีข้อความตอบกลับมาพอดี



               Im_BeeBeE :  บี๋โอเคแล้ว

                               ไม่ต้องโทรมาอีกนะ





ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
BEE-BEE's PART


ผมได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงในตอนที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามา....

ถึงจะรู้ดีว่าไม่ช้าหรือเร็ว เขาก็ต้องกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน แต่ผมก็ยังข่มความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้ไม่ได้.... เพียงแค่สบสายตายิ้มเยาะข่มขวัญซึ่งจ้องมองมา ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายก็บีบรัดแน่นแล้วทำท่าคล้ายจะหยุดเต้นเพื่อหนีความจริงไปเสียเฉยๆ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เฮียรุจก็จะไม่มีทางปล่อยให้ผมรอดไปได้ ต่อให้ความจำเสื่อมหรือร่างกายพิการไปครึ่งตัว เขาก็ยังจะลากผมกลับไปลงนรกที่มีชื่อว่าเบอร์ลิคอยู่ดี

ผมแอบล้วงมือข้างที่ยังใช้ได้ลงใต้ผ้าห่มกดโทรศัพท์หาคนที่ตัวเองตั้งคีย์ลัดเบอร์โทรฉุกเฉินเอาไว้ รู้ทั้งรู้ว่าเขาน่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร หากผมก็ยังหวังให้เขากดรับสายหรือไม่ก็รีบมาช่วยผมจากเงื้อมมือเฮียรุจ

แต่ไม่ว่าจะโทรซ้ำยังไง เฮียโรมก็ไม่ยอมรับสายสักที....



“เฮียรุจ อย่าทำอะไรน้องมันเลยนะ.... ผมไหว้ล่ะ”

พี่แจ็คเอาตัวเข้ามาขวางไม่ยอมให้รุ่นพี่ประชิดถึงเตียงคนป่วยพลางยกมือไหว้ท่วมหัวขอร้องแทนผม

“มึงเงียบปากไปเลย ไอ้แจ็ค!”

เฮียรุจหันไปชี้หน้าคาดโทษใส่มือขวาคนสนิท ทำเอาคนที่กำลังพูดหุบปากแทบไม่ทัน น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมทั้งขู่เข็ญและด่ากราดโทษฐานที่รุ่นน้องในสายแกว่งเท้าหาเสี้ยน อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทำอะไรที่เป็นการขัดคำสั่งลูกพี่ 

“ส่วนของมึง กูจะคิดบัญชีทีหลัง.... อยากเสนอหน้าช่วยไอ้ห่าโรมกับไอ้เด็กนี่ดีนัก!”

“น้องมันเจ็บอยู่นะเฮีย........อย่างน้อยรอมันออกจากโรงพยาบาลก่อนก็ได้.....สภาพแบบนี้ยังไงก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว.........”

ถึงจะโดนขู่ แต่พี่แจ็คก็ยังพยายามช่วยผม แม้จะรู้ว่าโอกาสที่เฮียรุจจะยอมรับฟังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ลูกไม้เยอะอย่างพวกมึง กูไม่เชื่อน้ำหน้าหรอก!” 

ไม่ผิดไปจากที่เดาไว้ แล้วผมก็เดาถูกด้วยว่าหลังจากเตือนสติพี่แจ็คแล้ว คนต่อมาก็จะโดนเล่นงานก็คือผม 

“ว่าไง นอกจากความจำเสื่อม แขนหักขาหักแล้วยังมีอะไรอีก? หมดมุขจะเล่นแล้วหรือยังครับ.... น้องบีบี๋?”

ผมโคตรเกลียดเวลาที่เฮียรุจเรียกผมว่าน้องบีบี๋เลย เพราะมันไม่ใช่การเรียกแบบเติมสถานะเครือญาติให้ด้วยความเอ็นดู แต่เป็นการเรียกประชดที่ผมชอบแสดงออกว่าตัวเองใสซื่อไร้เดียงสาต่างหาก

ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ก็ระยะห่างจากหน้าประตูถึงเตียงมันจะสักกี่ก้าวกันเชียว แล้วแข้งขาผมก็ใช่ว่าจะปกติ ถึงคิดจะหนีก็ทำได้แค่ถอยไปชิดหัวเตียงเท่านั้น.... คลื่นความกลัวซึ่งปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องตีตื้นขึ้นมาคล้ายจะทะลักออกทางปาก ผมไม่รู้จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นหน้ามึนสมองเสื่อมได้ยังไงในเมื่อร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มจนเกินข่มระงับ แค่มองตาเฮียรุจ ลมหายใจผมก็จุกค้างอยู่ตรงคอหอย ประโยคเดียวที่เปล่งออกมาได้ก็ฟังดูสุดแสนน่าสมเพช

“ยะ........อย่าเข้ามานะ.........”

เฮียรุจโคลงศีรษะน้อยๆ พลางยิ้มกระตุกมุมปาก

“อ้าว ไหนว่าจำเฮียไม่ได้ไง.... แล้วทำไมถึงต้องกลัวด้วยล่ะ เราไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ?” 

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือบีบสันกรามผมอย่างแรง ผมผวาเฮือกด้วยความเจ็บขณะที่ได้ยินเสียงขากรรไกรตัวเองลั่นเปรี๊ยะในโสตประสาท หากก็เหมือนกับตอนที่ผมตัดสินใจกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองเบอร์ลิคนั่นแหละ ผมกลัวเฮียรุจมากกว่ากลัวเจ็บตัว แล้วที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมๆ ก็เพราะผมไม่ได้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น 

“บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคิดจะหนี ทางเดียวที่น้องบีบี๋มีก็คือไปตายซะ.... แต่ถ้าใจไม่เด็ดมากพอที่จะตายก็อย่าหวังว่าจะหนีพ้น!”

“ฮือ........ปล่อยบี๋นะ.....อึก......เจ็บ............”

“เจ็บงั้นเหรอ.... หึ คงไม่มากเท่ากับตอนที่กระโดดลงมาจากหน้าต่างเองหรอกมั้ง?”

“........ฮึก......บี๋ไม่ได้โดดเอง.......บี๋ไม่รู้เรื่อง......ไม่รู้เรื่องอะไรเลย.........”

สิ่งเดียวที่ผมคิดออกก็คือเอาตัวรอดด้วยการโกหกต่อไป ถึงมันจะดูโง่เง่าสิ้นคิดฉิบหาย ฉลาดน้อยยิ่งกว่าตัวร้ายในละครน้ำเน่า แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไงเพื่อให้เฮียรุจยอมปล่อยมือจากผม

“อย่ามาตอแหล!”

“โอ๊ย!!!”

แรงตบจากฝ่ามือกร้านทำเอาผมหน้าหันไปอีกทาง ความเจ็บแล่นจากซีกแก้มข้างซ้ายร้าวไปทั่วถึงแกนกระโหลก แนวฟันกระแทกโดนริมฝีปากด้านในจนเป็นแผลเลือดซึมออกมาให้เห็นพร้อมๆ กับน้ำตาคลอหน่วย.... ผมได้แต่สะอื้นปัดป้องตัวเองให้พ้นจากการถูกทำร้าย แต่คนที่เหลือแขนขาอยู่แค่อย่างละข้างจะมีปัญญาไปทำอะไรได้มากมาย พอขยับตัวหน่อยก็สะเทือนไปถึงข้อต่อส่วนที่ยังดามเฝือก จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เฮียรุจจะบังคับให้ผมตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือ

“มองหน้ากูแล้วพูดให้ชัดๆ อีกทีสิว่ามึงรู้จักหรือไม่รู้จักกูกันแน่!” 

ผมร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วแกร่งจิกลงกลางหัวแล้วกระชากเส้นผมจนหน้าหงาย คำสั่งกรรโชกห้วนมาพร้อมกับแววตาดุดันเกรี้ยวกราด ถ้าเขาบอกว่าจะหักคอฆ่าผมให้ตายไปเสียตรงนี้ ผมก็คงเชื่อสนิทใจ 

“ตอบให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นมึงจะได้รู้ว่าคนอย่างกูจะเหี้ยได้สุดๆ แค่ไหน!”

“.........ฮือ.....บี๋ไม่รู้........ไม่รู้จริงๆ...........ฮือ.............”

“ได้ มึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไร!”

เฮียรุจยังขยุ้มมือจิกหัวผมอยู่อย่างนั้นในตอนที่ล้วงมืออีกข้างลงกระเป๋าหลังกางเกงยีน อาวุธร้ายซึ่งทำให้ผมไม่กล้าหือกับเขามาตลอดหลายเดือนถูกนำมาใช้ เพียงแค่เห็นภาพเคลื่อนไหวของตัวเองปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ท้องไส้ก็บิดมวนประหนึ่งว่าตับไตไส้พุงจะขย้อนออกทางปาก.... สภาพถูกมัดแขนสองข้างติดกับหัวเตียงระหว่างที่มีเซ็กส์กับเฮียรุจ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟันกัดขย้ำรุนแรง แม้มันจะเกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจแลกเปลี่ยนไม่ใช่ข่มขืน แต่มันก็ยังดูโหดร้ายจนตัวผมเองยังทนมองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนใกล้ตัวซึ่งคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นเด็กดี บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอายใดๆ

“แต่พ่อแม่มึง พี่ชายพี่สาวมึง เพื่อนมึงทั้งมหาลัยก็คงต้องรู้แล้วล่ะว่าน้องบีบี๋คนใสซื่อ จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจากเด็กไซด์ไลน์ เข้ามาขายตัวในเบอร์ลิค!”

“อย่านะ!!” 

ผมร้องห้ามพลางเอื้อมมือไปคว้าแย่งมือถือเฮียรุจทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางทำสำเร็จ กับคนอื่น ผมไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง ผมจะขายตัวใช้หนี้หรือโดนใครเอาจนพรุนก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา แต่กับป๊าม้า เฮียบิ๊ก เจ้แบม ผมคงต้องตายแน่ถ้าหากถูกคนในครอบครัวตัดหางปล่อยวัดไม่ให้เหยียบเข้าบ้านอีก 

“บี๋ขอเถอะเฮีย......เงินสองล้าน บี๋จะพยายามหามาให้.......แต่เรื่องนั้นบี๋ไม่เอาแล้ว.........ฮือ........มันเจ็บ........”

เสียงหวีดร้องของตัวเองในคลิปกระตุ้นความทรงจำที่อยากจะลืมให้ยิ่งชัดเจน ผมแกล้งทำเป็นจำเฮียรุจกับทุกเรื่องราวในเบอร์ลิคไม่ได้ก็เพราะไม่อยากนึกถึงความเจ็บปวดแบบนั้นอีก.... โกหกแล้วโกหกเล่า โกหกไปเรื่อยๆ เหมือนพยายามสะกดจิตตัวเองกับคนรอบข้างให้คล้อยตามว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง หากสุดท้ายก็ต้องถูกตบหน้ากระชากให้กลับมามองดูความผิดพลาดที่ทำลงไปอยู่ดี

“มึงคิดว่ากูอยากได้เงินจริงๆ เรอะ?” 

ร่างหนาแค่นยิ้มเย้ยใส่ แล้วจึงผลักผมให้หงายหลังจนท้ายทอยเกือบโขกเข้ากับหัวเตียง 

“เงินสองล้านน่ะกูแค่เอาตีนเขี่ยไม่กี่นาทีก็หาได้แล้ว.... แต่กูต้องการให้มึงเจ็บ แล้วก็สำนึกว่าถ้ากูให้อะไรไปแล้ว มึงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ตอบแทนบุญคุณ ต่อให้เทวดาหน้าไหนเหาะลงมาช่วย มึงก็ไม่มีทางหนีพ้นหรอก!”

ผมสะอื้นอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่เฮียรุจจะเอื้อมมือมาอีกครั้ง....

“ส่งมือถือมึงมาให้กู!”

นัยน์ตาคมดุจ้องมองเป้าหมายเขม็งเหมือนรู้ว่าผมแอบซุกโทรศัพท์ไว้ใต้ผ้าห่ม ผมส่ายหน้าวอนขอความเห็นใจทั้งน้ำตา เพราะถ้าคลิปนั้นหลุดไปถึงคนที่บ้านก็ไม่ต่างกับฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“ไม่เอา....ฮึก.......เฮียรุจอย่าทำบี๋เลยนะ........”

“กูเคยให้โอกาสไปแล้ว แต่มึงก็เลือกที่จะมาจบแบบนี้เอง!” 

ผมพยายามยื้อมือถือเอาไว้สุดชีวิตแต่เฮียรุจก็แย่งมันไปได้แบบไม่ยากเย็น ริมฝีปากแสะยิ้มตอกย้ำเหมือนคำสั่งประหารตัดหัวเสียบประจานในที่สาธารณะ ความอับอาย การถูกสังคมรวมถึงคนที่ตัวเองรักขับไสไล่ส่งก็คือบทลงโทษที่คนเลวอย่างบีบี๋ควรจะได้รับ 

“ประเดิมด้วยคนที่บ้านมึงกับอดีตเพื่อนรักมึงก่อนเลยก็แล้วกัน!”

“......ฮือ........เฮียรุจ.........บี๋ขอร้องล่ะ.......บี๋ยอมแล้ว..........จะให้ทำอะไรก็ได้.........ยอมแล้ว...........ฮือ.............”

“พิการไปครึ่งตัว กูเอามึงไปก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ.... เสียใจด้วยนะ น้องบีบี๋”

“.......เฮียรุจ......อย่า...............”

เจ้าของเบอร์ลิคใช้มือถือผมดูดไฟล์จากคลาวด์แล้วส่งหาคนที่มีรายชื่ออยู่ในไลน์ เขาใจร้ายมากที่ทำทุกอย่างให้ออกมาดูเหมือนว่าผมเป็นคนตั้งใจส่งคลิปอัปยศพวกนั้นด้วยตัวเอง.... ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งร้องไห้อ้อนวอนจะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าคลิปถูกส่งไปถึงมือใครแล้วบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คือเฮียรุจเล่นงานผมได้ถูกจุดมากเพราะสองในนั้นเป็นคนที่ผมรักและแคร์ที่สุด 

“พี่สาวมึงได้คลิปแล้วเรียบร้อย คนต่อมาก็พี่ชายมึง.... ชื่ออะไรนะ? เฮียบิ๊กใช่ไหม?”

“ฮึก.......ฮือ............”

หลังจากที่คลิปถูกส่งไปหาเฮียบิ๊ก โทรศัพท์จอแตกก็ถูกโยนคืนมาให้ผม ข้อความนับสิบจากบรรดาคนที่ได้รับคลิปเด้งเข้ามาจนน่ากลัวว่าเครื่องจะระเบิด ทันใดนั้นเอง เสียงริงโทนสายเข้าก็ดังขึ้น.... ทีแรกผมคิดว่าคงเป็นเจ้แบมโทรเข้ามาถามเรื่องคลิปที่ได้รับ หากพอดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอถึงได้รู้ว่าไม่ใช่



P’Rome

“ไอ้ห่าโรมนี่แม่งก็คนดีเหลือเกินนะ.... ดีหรือโง่ก็ไม่รู้ ขนาดมึงทำเหี้ยๆ เอาไว้กับมัน มันยังมีกะใจจะเป็นห่วงมึงอีก”

เฮียรุจเหยียดมุมปากเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรหาผม ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเฮียโรมได้ดูคลิปแล้วหรือยัง หรือว่าแค่โทรกลับมาเพราะก่อนหน้านี้ผมโทรหาเขาซ้ำๆ โดยที่เขาไม่ได้รับสาย.... แต่ถึงจะได้ดูหรือไม่ก็ตาม ผมว่าผมคงไม่มีหน้าจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอยิ้มแบ๊ว หน้าด้านเรียกเขาเป็นแฟนเพื่อเอาตัวรอด หาคนช่วยออกหน้าปกป้องได้อีกแล้วล่ะ

“จะฟ้องมันก็ได้นะ ลองดู.... เรียกมันมาที่นี่เลยก็ได้!”



P’Rome

P’Rome

P’Rome



น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงกระทบหน้าจอมือถือในขณะที่สายจากเฮียโรมยังคงดังต่อเนื่อง.... ก็จริงอย่างที่เฮียรุจว่า คนเหี้ยอย่างผมสร้างความเดือดร้อนให้เขากับทิชาไม่รู้ตั้งเท่าไร หากในวันที่ผมกำลังเดือดร้อน คนที่กลับเข้ามายื่นมือช่วยเหลืออย่างจริงใจก็คงมีแค่สองคนนี้

ผมไม่ได้อยากให้ตัวเองเจ็บเลยสักนิด แต่ผมก็ละอายเกินกว่าจะลากใครต่อใครเข้ามาร่วมทุกข์ไปด้วย

สายที่เข้าต่อมาคือพี่สาวกับพี่ชายผม ไม่ต้องกดรับก็เดาออกว่าพวกเขาคงอยากจะด่าสาปส่งไล่ให้ผมไปตายแน่.... และถ้าเฮียกับเจ้รู้เรื่อง ป๊าม้าก็ต้องรู้ด้วย มันจบแล้ว จบลงไปพร้อมกับความฉิบหายที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นเอง และนับจากนี้ไป ผมก็คงไม่กล้าสู้หน้าใครได้อีก

ที่เดียวที่ผมจะสามารถกลับไปนอนตายได้ก็คงเหลือแค่เบอร์ลิค....

“ไอ้แจ็ค มึงเฝ้าบีบี๋ไว้.... หมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เอาตัวมันกลับไปที่เบอร์ลิคทันที!”

“...................”

พี่แจ็คซึ่งยืนเงียบอยู่นานก็ยังคงเงียบต่อไป เพียงแต่การเงียบของเขาในครั้งนี้ไม่ได้หมายความจะเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของลูกพี่

“มึงกล้ามีปัญหากับกูอีกคนเหรอ?”

เจ้าพ่อของพวกวิศวะฯ เอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่า แววตากลับเอาเรื่องไม่เรียบเฉยเหมือนน้ำเสียง   

“บ้านมึงไม่ได้ใหญ่เหมือนบ้านไอ้โรมนะ จะทำอะไรก็คิดให้ดีซะก่อน”

“ผมคิดดีแล้วเฮีย..........” 

รุ่นพี่ปีสามเอ่ยทั้งที่ขาสั่นพั่บ ใครๆ ก็รู้ว่าพี่แจ็คทั้งกลัวและเกรงใจเฮียรุจอย่างกับอะไร หากพอหันมาสบตากับผม เขาก็ก้มหน้าหลับตาปี๋แล้วเสี่ยงชีวิตโพล่งออกไป 

“มันเกินไป........ผมทำไม่ได้............”

“งั้นที่นาของพ่อแม่มึงที่เอามาจำนองไว้กับกูก็เตรียมถูกยึดได้เลย ขาดส่งมาตั้งหลายงวดแล้วนี่” 

เจ้าของธุรกิจสีเทารายใหญ่ย่านเอกมัยยักไหล่ไม่ยี่หระต่อความขี้ขลาดตาขาวของรุ่นน้องคนสนิท ราวกับรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพี่แจ็คไม่มีทางใจแข็งพอที่จะจับงานประเภทนี้ และเขาก็มีวิธีจัดการกับลูกน้องที่ไม่มีประโยชน์อย่างเลือดเย็นเหมือนไม่ใช่คนซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน 

“ที่ผ่านมากูไม่เคยว่าอะไร มีก็จ่ายไม่มีก็เอาไว้ทีหลัง เพราะเห็นว่ายังไงมึงก็เป็นน้อง แต่ถ้าจะทรยศกูล่ะก็ อย่าหวังว่ากูจะปรานี!”

“โธ่ เฮียครับ.............”

พี่แจ็คโอดเสียงสั่น สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าหือกับเฮียรุจ แต่ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ ระหว่างที่นาของพ่อแม่กับเด็กที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาเลือกให้ครอบครัวมาก่อนก็ถูกต้องแล้ว

“กับไอ้โรมก็ใช่ว่ากูจะไม่กล้า ถ้ามันไม่เข้ามาเสือก กูก็อุตส่าห์จะปล่อยมันไปอยู่แล้วเชียว” 

แม้แต่คนที่ตัดขาดไปแล้วก็ยังอยู่ในรายชื่อถูกหมายหัว แล้วนับประสาอะไรกับเศษฝุ่นเศษผงที่เขากระทืบจนแบนคาฝ่าตีนไปแล้วแบบผม 

“ส่วนน้องบีบี๋ก็ตามนั้นนะครับ.... กลับไปเจอกันที่เบอร์ลิค เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ!”

เฮียรุจเข้ามาแล้วกลับออกไปไม่ต่างกับพายุซึ่งพัดเอาความฉิบหายวายวอดมาด้วย ผมทำอะไรไม่ได้เลย คิดอะไรไม่ออกนอกเสียงจากนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น.... ไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงสีหน้าและคำด่าทอจากคนในครอบครัวว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหน จะผิดหวังแค่ไหนที่มีไอ้เฮงซวยบีบี๋เป็นตัวนอกคอกผิดพี่ผิดน้องอยู่ในบ้าน แต่คิดไปก็ป่วยการเปล่า เพราะคงไม่มีใครต้อนรับให้คนสกปรกน่ารังเกียจอย่างผมกลับไปอยู่ในสังคมเดียวกับพวกเขาแล้วล่ะ

แม้ว่าคนๆ นั้นจะพยายามยื่นมือมาฉุดผมขึ้นจากโคลนตมก็ตาม.... ผมไม่กล้าให้ความเลวในตัวกระเด็นไปแปดเปื้อนโดนเขาอีกแล้ว.........ไม่กล้าจริงๆ.......



          Im_BeeBeE :  บี๋โอเคแล้ว

                          ไม่ต้องโทรมาอีกนะ




ผมพิมพ์ข้อความส่งหาเฮียโรมในไลน์แล้วปิดมือถือทันที ผมแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยก็หวังว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้นสำหรับคนอื่น ไม่ใช่สำหรับตัวผมซึ่งโดนฝังกลบให้ตายทั้งเป็นไปเรียบร้อยแล้ว

“น้องบี๋............”

พี่แจ็คไม่ได้ตามเฮียรุจออกไปแต่ยังอยู่กับผมในห้อง เขานั่งลงบนเตียงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผมเพื่อปลอบใจและขอโทษที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือหรือขัดขวางลูกพี่ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพี่แจ็คสักหน่อย ขนาดรู้ทั้งรู้ว่าผมดีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เขาก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจด้วยขนาดนี้

“บี๋ไม่เป็นไร........พี่แจ็คไม่ต้องห่วงนะ........”

ผมฝืนยิ้มขมขื่นทั้งน้ำตานองหน้า บอกตรงๆ ว่ายังมองไม่เห็นหนทางว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเดินต่อไปยังไง แต่ผมก็ต้องพยายามเดินไปให้สุดทาง อย่างมากที่สุดก็แค่ตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับความผิดที่ก่อเอาไว้ 

“บี๋เป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง บี๋ก็จะพยายามหาทางจบด้วยตัวเอง.......ไม่ให้พี่แจ็ค เฮียโรมหรือไอ้ชาต้องเดือดร้อนแล้วล่ะ..........”

“แล้วน้องบี๋จะทำยังไง?”

“พี่แจ็คไปบอกเฮียโรมก่อนเถอะว่าให้ระวังตัว.... ไม่ว่าเขาจะเห็นคลิปหรือไม่เห็นก็ตาม ไม่ต้องมาหาบี๋ที่นี่อีกแล้ว”



“แล้วก็ฝากขอโทษเฮียโรมด้วยนะ ขอโทษทุกเรื่องเลย..... เผื่อว่าบี๋ไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีก”


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



‘ฝ้าย.... แกดูนี่เร็ว!’

‘อี๋~ อะไรเนี่ยนังเจนนี่ แกเอาของแบบนี้มาให้ฉันดูทำไม’

‘ถ้าไม่มีพอยนท์ ฉันจะเรียกให้แกดูทำไมล่ะยะ.... จ้องดีๆ แล้วตอบฉันมาว่าคนในคลิปนี่ใคร ใช่คนเดียวกับที่ฉันเห็นไหม’

‘เฮ้ย บีบี๋!!??’



เสียงสองสาวที่คุยกันอยู่ข้างหลังเรียกให้ผมหลุดโฟกัสจากเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ ไม่ใช่แค่ถูกรบกวนจนเสียสมาธิ แต่เป็นเพราะชื่อของใครบางคนซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะยังพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลต่างหากที่ทำให้หัวข้อสนทนาของพวกเธอมีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่ผมจะเข้าไปเจอในห้องสอบไฟนอล


‘แล้วแกไปเอาคลิปนี่มาจากไหน?? ใครส่งมา??’

‘เจ้าตัวส่งมาเองในไลน์เลยแก.... ไม่รู้เมาส่งผิดหรืออะไร แต่แบบฉันโคตรแหยะอ้ะ น่าเกลียดน่ากลัว ไม่คิดว่าบีบี๋จะมีรสนิยมแบบนี้นะเนี่ย’

‘นั่นสิ.... เห็นแบ๊วๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชอบซาดิสม์’

‘นังฝ้าย แกว่ามันเล่นยาหรือเปล่า?’

‘จะเหลือเหรอ.... ฉันก็สงสัยตั้งแต่ตอนที่พี่รุจมาหาบีบี๋ที่แคนทีนแล้ว ขึ้นชื่อว่าเจ้าของเบอร์ลิค ไม่น่าจะธรรมดาอยู่แล้วหรือเปล่า’

‘บีบี๋เองก็ต้องไม่ธรรมดา ไม่งั้นก็คงเข้าๆ ออกๆ ที่นั่นไม่ได้หรอก’



ผมได้ยินเต็มสองหูก็จริงแต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ คลิปอะไร ใครเล่นยา สองคนนั้นรู้บ้างหรือเปล่าว่าบีบี๋ที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตอนนี้ขาหักไหปลาร้าหลุด แถมยังอยู่ในช่วงความจำเสื่อมปลอมจนต้องมีคนเฝ้าประกบแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วจะไปถ่ายคลิปหรืออัพยาอย่างที่เจนนี่กับฝ้ายเมาท์ได้ยังไง

เพื่อนคนอื่นซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันก็ได้ยินทั้งสองคนเมาท์ แสดงว่าผมไม่ได้หูฝาด แต่พอมีคนแอบหันไปถาม พวกหล่อนก็โบกไม้โบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร ให้ดูคลิปไม่ได้ ลบทิ้งไปแล้ว แต่แก้ตัวบอกปัดไปก็เท่านั้น เพราะชาวบ้านชาวช่องเขาได้ยินกันหมดทั้งเมเจอร์แล้วมั้ง

ผมไม่ได้อยากจะสนใจ ด้วยความที่ยังโกรธบีบี๋เรื่องพี่โรมอยู่ และมันเองก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ผมจะมานั่งนึกห่วงใยสนใจทุกข์สุขอีกต่อไปแล้ว หากพอนึกถึงสิ่งที่พี่โรมเล่าให้ฟังก็กลับยิ่งสับสนว้าวุ่นจนกลับมาฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง.... บีบี๋เอาเกียร์ของพี่รุจไปก็เลยต้องจ่ายหนี้สองล้าน เมื่อไม่มีจ่ายก็เลยกลายเป็นนอนกับพี่รุจเพื่อใช้หนี้ ก็จริงอย่างที่เจนนี่กับฝ้ายพูด ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของเบอร์ลิค ผมถึงรู้สึกวางใจไม่ได้เลย

และทันทีที่อาจารย์เดินออกไปจากห้อง ผมก็รีบพุ่งเข้าไปหาสองสาว

“เจนนี่ ฝ้าย.... รอเดี๋ยวก่อนสิ เราขอคุยด้วยหน่อย”

“มะ......มีอะไรเหรอ ทิชา?”

ถึงจะเป็นเพื่อนในภาควิชาเดียวกันแต่ที่ผ่านมาก็คุยกันนับคำได้ ก็ไม่แปลกใจหรอกที่พวกหล่อนจะตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เข้ามาคุยด้วยก่อน

“ที่พวกเธอคุยกันเรื่องบีบี๋เมื่อกี้น่ะ หมายความว่ายังไง?” 

ผมรีบถามไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา 

“เราได้ยินเธอพูดว่าบีบี๋ส่งคลิปมาให้.... ถามได้ไหมว่าคลิปอะไร? แล้วคนที่ส่งมาใช่บีบี๋แน่เหรอ?”

ทั้งสองอ้ำอึ้งคล้ายลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี พาลให้ผมชักจะหงุดหงิดที่เจนนี่กับฝ้ายแกล้งมาทำเป็นอมพะนำทั้งๆ ที่ปากลำโพงส่งเสียงดังไปถึงไหนต่อไหน สองสาวทำเป็นเก็บกระเป๋าพยายามจะเดินเลี่ยงไม่ยอมคุยกับผม แต่ผมก็อาศัยลูกตื๊อยืนขวางทางอยู่อย่างนั้น กะว่าถ้าไม่ได้คำตอบก็ไม่ยอมถอยเหมือนกัน

“ไม่มีอะไรหรอก.......เราว่าทิชาเข้าใจผิดแล้วล่ะ”

เจนนี่คงรำคาญผม ถึงได้บอกปัดง่ายๆ แบบที่เด็กประถมดูก็รู้ว่าโกหก

“เข้าใจผิด??” 

ผมก็ไม่ได้อยากจะย้อนหรือทำสีหน้ากวนตีนใส่ใคร แต่พอเจอท่าทางไขสือของคนที่เพิ่งกล่าวหาเพื่อนตัวเองต่อหน้าคนเป็นสิบก็อดนึกฉุนขึ้นมาไม่ได้ 

“พวกเธอพูดเสียงดังขนาดนั้น เราว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจผิดหรอกมั้ง.... จอยก็คงได้ยินแบบเดียวกับที่เราได้ยินนั่นแหละถึงได้หันไปถามตั้งแต่ตอนที่อยู่ในคาบ”

เมื่อโดนผมสวนไปแบบนั้น ทั้งสองคนก็ยิ่งเม้มปากเงียบเพราะรู้ตัวแล้วว่าความขี้เมาท์ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของพวกตนกำลังจะหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เปิดโอกาสให้ผมได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาหลายวัน

“เราเห็นระยะหลังมานี้พวกเธอสนิทกับบีบี๋ก็เลยไม่ได้บอก แต่จากที่ได้ยินทั้งหมด เราว่าเจนนี่กับฝ้ายคงยังไม่รู้ใช่ไหมว่าบีบี๋ประสบอุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาลมาตั้งหลายวันแล้ว.... เพื่อนหายไปทั้งคน ไม่คิดจะตามหาถามไถ่กันเลยเหรอ?” 

ผมรู้มาจากพี่โรมว่าบรรดาคนที่มาเยี่ยมและเฝ้าไข้บีบี๋ถ้าไม่ใช่เขาก็มีแค่คนในครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนิทแก๊งค์ใหม่ที่ปกติล้อมหน้าล้อมหลังเดินเกาะกลุ่มกันเป็นพรวนโผล่หน้าไปเลยสักคน ผมก็ไม่ชัวร์นะว่าบีบี๋ไม่ติดต่อมาหาเจนนี่กับฝ้ายเองหรืออะไรยังไง แต่อย่างน้อยคนเป็นเพื่อนกัน ถ้ามีใครหายไปก็ต้องร้อนรนโทรหรือส่งไลน์หากันบ้างสิ ยกเว้นเสียแต่ว่าสองคนนี้จะไม่ได้เห็นบีบี๋เป็นเพื่อนมาตั้งแต่แรก.... ซึ่งถ้าวิเคราะห์จากคำพูดนินทาที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ ผมก็สรุปว่ามันคงจะเป็นแบบนั้นแหละ 

“แล้วเราก็คิดว่าในฐานะเพื่อน สิ่งที่พวกเธอพูดถึงบีบี๋เรื่องเล่นยาอะไรนั่นมันแรงมากนะ ถึงจะแค่สงสัยก็เหอะ แต่มันใช่เรื่องที่จะพูดออกมากลางห้องเรียนเหรอ?”

ผมกึ่งว่ากึ่งถามไปตรงๆ โดยไม่ได้หลุดคำด่าหยาบคายใส่เพศแม่เลยสักคำ แต่แค่นั้นก็ทำให้ฝ้ายถึงกับหน้าเจื่อนถอดสี ในขณะที่เจนนี่โกรธจนปากคอสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นร่ำๆ ว่าอยากจะยกขึ้นตบผมล้างอายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

“โทษทีนะ แต่เราไม่คิดว่าทิชาจะมีสิทธิ์มาสั่งสอนเราเรื่องนี้หรอก!”

“ทีตัวเองยังแย่งแฟนเพื่อนเลยนี่.... แหม มือถือสากปากถือศีลเนอะ!”

พอตั้งหลักได้ สองสาวก็ผลัดกันใส่ผมเป็นชุด พยายามขุดเอาเรื่องพี่โรมมาดิสเครดิตผมว่าไม่คู่ควรแก่การพูดจาแสดงตัวเป็นคนดี.... ผมเองก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะนึกหาถ้อยคำเจ็บๆ แสบๆ มาโต้กลับให้หายโมโห แต่จิตใต้สำนึกฝ่ายเทวดาก็สะกิดเตือนเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งเอาพิมเสนไปแลกเกลือ แค่ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้องและสมควรทำเพื่อคนซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็พอ

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับบีบี๋ แย่งหรือไม่แย่ง ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เรารู้ตัวของเราดี.... แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกับพวกเธอด้วย”

“งั้นเรื่องที่พวกเราสองคนคุยกัน ทิชาก็ไม่เกี่ยว!”

เจนนี่จ้องตาผมเขม็ง ณ ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายเจ้าหล่อนจะไม่มีใครสนใจเรื่องคลิปที่บอกว่าบีบี๋เป็นคนส่งมาให้เองอีกแล้ว แต่กำลังหัวร้อนเรื่องที่โดนบุคคลไม่พึงประสงค์อย่างผมว่าเอาซึ่งหน้า จากนั้นจึงคว้ากระเป๋าและกระบอกใส่ดรอว์อิ้งเบียดตัวกระแทกไหล่ผมดังปึ้กเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่อปากต่อคำก่อนที่การขอคุยด้วยจะกลายเป็นทะเลาะกันจริงๆ

“ไปกันเถอะ ยัยฝ้าย.... ฉันหิวข้าวแล้ว!”

“อืม ฉันก็ว่างั้นแหละ”

เมื่อสองสาวจากไป ผมก็ได้แต่พรูลมหายใจระบายความหงุดหงิด รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าธุระไม่ใช่ มาเสือกให้เสียอารมณ์ทำไม

ก็ไม่เถียงหรอกว่าสิ่งที่เจนนี่พูดมันผิด ตัวผมก็ไม่ดีเด่อะไรถึงขนาดจะตั้งตนเป็นศาสดาเทศนาสั่งสอนคนอื่นว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนจะไม่ยอมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง ในเมื่อผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ผลักไสบีบี๋ให้มาอยู่ตรงจุดนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งมหาวิทยาลัยด้วยว่า ทิชา ทิชนันท์น่ะโคตรเหี้ย แย่งแฟนเพื่อนสนิทตัวเองได้ลงคอ

ระหว่างที่นั่งกินข้าวเที่ยงคนเดียว ผมคิดอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างจนน่ากลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะระเบิดตายคาที่.... เมื่อคิดถึงสิ่งที่บีบี๋ทำกับผมและพี่โรม ผมก็พยายามทำเป็นว่าไม่ได้ยินที่เจนนี่กับฝ้ายเมาท์ จะเกิดอะไรขึ้นกับบีบี๋ก็ให้มันเกิดไป ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย แต่อีกห้านาทีต่อมา ผมก็ย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกๆ ที่ผมกับมันสนิทกันแล้วก็ปล่อยวางไม่ได้ขึ้นมาอีก แต่จะให้เข้าไปคุยกับสองคนนั้นก็เปลืองตัว ดีไม่ดีจะถูกด่ากลับมาให้รู้สึกแย่มากกว่าเดิม

จะโกรธจะแค้นก็ไปได้ไม่สุดทาง แต่จะให้กลับไปสนิทสนมรักกันปานจะกลืนแบบเดิมก็ทำไม่ได้

ไม่ว่ายังไง ในความโมโหก็ยังมีความห่วงใยแฝงอยู่

แบบนี้มันแย่ยิ่งกว่าเกลียดกันให้ตายไปข้างหนึ่งเสียอีก เหนื่อยใจชะมัด....


.


.


.


'เฮ้ย มาแล้วเว้ยๆๆๆ'


ผมเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามของตึกคณะสถาปัตย์ ยังไม่ทันจะไปถึงคลาสเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมก็ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้ตะโกนโหวกเหวกคล้ายเป็นสัญญาณเตือนภัย พอหยิบโทรศัพท์มากดดูก็เห็นว่าอีกตั้งสิบกว่านาทีถึงจะบ่ายโมง งั้นไอ้ที่ว่ามาแล้วๆ นั่นก็คงไม่ได้หมายถึงอาจารย์หรอกมั้ง

และทันทีที่ผมเหยียบเข้าไปในห้องบรรยายขนาดเท่าหอประชุมขนาดย่อม เสียงโห่ฮาเป่าปากก็ดังกระหึ่มขึ้นจากกลุ่มคนซึ่งเข้าไปนั่งจองที่อยู่ก่อนหน้าแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่พวกเขาพูดถึงไม่ใช่อาจารย์สุชาติ แต่เป็นผมนั่นเอง


‘วี้ดวิ้วววววววว~~~’


แทบไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าต้นเสียงดังมาจากฝั่งพวกสถาปัตย์ เพราะเพื่อนในภาควิชาเดียวกันกับผมคงจะเหม็นขี้หน้าผมมากกว่าจะมาโห่แซวทะลึ่งทะเล้นเสมือนไม่เคยเห็นกันมาก่อน.... ถึงแม้จะเป็นวิชาเรียนรวมแต่ปกติแล้วสินกำกับสถาปัตย์ก็จะแบ่งกันนั่งตามกลุ่ม แยกคณะใครคณะมันอย่างชัดเจน และผมเองก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวพูดคุยกับเพื่อนต่างคณะ เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครมาคุยด้วย

เดาไม่ยากเลยใช่ไหมว่าคนที่ผมหมายถึงคือใคร....?

“พวกเชี่ยนี่ กูบอกว่าห้ามแซวไง!”

“โห ทำเป็นดุเว้ย.... แค่เห็นหน้าเขา มึงก็ยิ้มปากฉีกถึงรูหูละ”

“ไหนใครยิ้ม ไม่มีโว้ย!”

“ก็มึงน่ะแหละ ไอ้ห่าแดน.... ไสหัวไปอยู่กับพวกสินกำเลยไป แล้วอย่าให้เขาไล่ตะเพิดมึงกลับมาหาพวกกูล่ะ”

นายดรัณภพชูนิ้วกลางใส่กลุ่มเพื่อนตัวเองแล้ววิ่งแจ้นมาหาผมทั้งที่สีหน้ายิ้มระรื่นเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์ เป็นผู้ชายอกสามศอกแต่วิ่งดีดไปดีดมาท่าทางระริกระรี้น่าหมั่นไส้ ก็สมควรแล้วที่จะโดนเพื่อนแซว

“อะไรของมึงเนี่ย หยุดยิ้มบ้าบอได้แล้ว” 

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ริมทางเดินด้านหลังสุดซึ่งเป็นที่ประจำ ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องนั่งด้วยกันตามสัญญา เพียงแต่ผมไม่คิดว่าไอ้แดนมันจะดีใจถึงขนาดป่าวประกาศให้เพื่อนตัวเองร่วมรับรู้แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนหน้าบานเป็นถาดใส่ขนมเข่งไหว้เจ้า

“ก็กูมีความสุขอะ ขอยิ้มนานๆ หน่อยไม่ได้เหรอ” 

แดนว่าพลางยิ้มจนตาหยีเป็นสระอิก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างกันซึ่งมีกระเป๋ากับข้าวของสารพัดของมันวางจองทิ้งไว้ เสียงตะโกนแซวยังคงลอยมากระทบหูไม่ขาดระยะ.... ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คงด่ากลับหรือไม่ก็ลุกออกไปแล้ว ไอ้แดนเองก็ดูจะกลัวแล้วก็เกรงว่าผมจะไม่ยอมทน ถึงได้รีบออกตัวแทนเพื่อนปากมอมทั้งหลายแหล่นั่น 

“มึงอย่าถือสาเพื่อนกูเลยนะ พวกมันแค่แหย่เล่นไปงั้นเอง แบบแม่งรู้กันหมดว่ากูชอบมึงไง.... แต่ถ้ามึงไม่โอเค กูจะไปบอกให้มันหยุดเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องหรอก.... กูขี้เกียจจะถือ หนักเปล่าๆ”

“ทำไมมึงน่ารักจัง นิสัยดีขึ้นเยอะเลย”

“กูนิสัยแย่กับมึงคนเดียวอะ ไม่รู้ตัวเหรอ?”

“โธ่ ทิชา............”

โดนพวกสถาปัตย์แซวน่ะไม่เท่าไรหรอก จะอับอายขายขี้หน้าก็ตอนที่ไอ้แดนนรกกระเง้ากระงอดเกาะแขนผมแล้วโยกตัวไปมาอย่างกับเด็กห้าขวบอยากได้ของเล่นนี่แหละ สายตาแทบทุกคู่ในห้องจับจ้องมาทางนี้พร้อมทั้งซุบซิบนินทาว่าผมกับคู่จิ้นสวรรค์สาปคืนดีกันตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็อย่างที่มันบอกว่ากำลังมีความสุข ผมก็เลยไม่อยากด่าให้เสียบรรยากาศ

“กูซื้อชามะนาวมาให้มึงด้วย อ้อ แล้วก็มีขนมปังปิ้งไส้นมฮอกไกโด ไส้นูเทลล่ากับแซลมอนครีมชีส”

ร่างสูงจัดแจงเปิดฝาขวดน้ำ ใส่หลอดดูดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ผม จากนั้นก็หยิบกล่องกระดาษซึ่งมีโลโก้ร้านปังเด็ดหน้ามอที่กำลังฮิตอยู่ในหมู่นักศึกษาวางบนโต๊ะ ผมแอบเห็นว่าไอ้แดนยังมีถุงร้านสะดวกซื้อที่ข้างในมีมันฝรั่งทอด ปลาเส้น ช็อกโกแลต ขนมนมเนยอย่างอื่นอีกหอบใหญ่.... ก็ไม่ได้อยากขี้ตู่หรอกนะ แต่ถึงเจ้าตัวจะยังไม่บอกแต่ผมก็พอเดาได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั่นคือของที่ไอ้แดนซื้อมาให้ผมกินระหว่างเรียน

“มาเรียนนะ ไม่ได้มาปิกนิก”  ผมแอบดุมันเบาๆ

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องดิวะ.... กูอยากให้มึงกินของหวานเยอะๆ จะได้หายหน้าบึ้งแล้วอารมณ์ดีเหมือนกูไง” 

คนช่างพูดยื่นขนมปังไส้หวานเจี๊ยบมาให้ ตบท้ายด้วยรอยยิ้มซึ่งไม่สร่างซาไปจากใบหน้าเสียที 

“กูอยากเอาใจมึงแบบนี้มานานแล้วนะ ทิชา.... อยากดูแลมึงเยอะๆ ให้มึงมีความสุขตลอดไปเลย”

“มึงเนี่ยนะ จริงๆ เลย!”

ผมทำทีเป็นต่อว่าไม่จริงจังก่อนจะยอมรับขนมปังยัดไส้นูเทลล่าไซส์จัมโบ้มาถือไว้ แอบคิดอยู่นิดหน่อยว่าเวลาไอ้แดนมาทำอ้อนเอาใจผมแบบนี้ก็ชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ดีเท่าตอนถูกพี่โรมกอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้หงุดหงิดรำคาญจนพาลไม่อยากรับน้ำใจมันเหมือนเมื่อสมัยอยู่ปีหนึ่งแล้ว

แผลช้ำตรงมุมปากซึ่งเกิดขึ้นเพราะมวยรอบดึกเมื่อคืนยังคงเห็นชัดไม่แพ้ของคู่กรณี ดูจากสภาพแล้วก็พออนุมานได้ว่าหลังจากกลับถึงคอนโดฯ แล้ว ไอ้เจ้าเดือนสถาปัตย์ก็ไม่น่าจะได้ทำแผลใส่ยาให้ตัวเอง.... ไม่รู้ว่าลูกหลานบ้านอนุวัฒน์วงษ์นี่เขาเป็นอะไรกัน แต่ละคนบ้าระห่ำไม่เข้าเรื่อง ชกเป็นชก ต่อยเป็นต่อย ตายเป็นตาย หากพอถึงเวลาใส่ยาล่ะกลัวเจ็บกันขึ้นมาเป็นแถวเชียว

“เจ็บมากไหมวะ..... เมื่อคืนกูไม่ได้ดูแผลมึงเลย โทษทีนะ” 

ผมว่าพลางใช้มืออีกข้างจับสันคางได้รูปพลิกไปพลิกมาเพื่อดูอาการให้ชัดๆ

“ทีแรกก็เจ็บ เมื้อกี้ตอนกินข้าวเที่ยงยิ่งโคตรเจ็บ.... แต่พอมึงถามปุ๊บ กูก็หายเจ็บปั๊บเลย”

อุตส่าห์ถามดีๆ ยังมีแก่ใจมาทำทะเล้น ทำเอาผมต้องกลอกตามองบนด้วยความเอือมระอา

“ยังจะมาพูด นี่กูยังไม่รู้ว่าจะให้มึงแก้ตัวกับพวกพี่ๆ สต๊าฟยังไงเลยนะ.... ขืนบอกว่าไปมีเรื่องชกต่อยมา ภัทรได้ขึ้นมาเป็นพระเอกแทนมึงแน่”

“ก็บอกไปสิว่ากูช่วยปกป้องมึงจากคนไม่ดี”

“ใครวะ คนไม่ดีที่ว่าน่ะ?”

“คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ลอร์ดโวลเดอมอร์ตมั้ง”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องนิ่งไปชั่วครู่ ด้วยไม่แน่ใจว่านายดรัณภพว่าพูดแค่เอาขำหรือหมายความตามนั้นจริง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมว่าผมเองก็ควรจะตกลงพูดคุยกับมันให้เคลียร์ว่าสถานะของพี่โรมกับมันนั้นแตกต่างกัน อันที่จริงผมก็ไม่อยากพูดให้ใครรู้สึกแย่ด้วยการเปรียบเทียบคนๆ หนึ่งกับอีกคนหนึ่ง แต่ผมก็คงไม่สบายใจสักเท่าไรถ้าหากคนเป็นลูกพี่ลูกน้องจะมาผิดใจกันด้วยเรื่องพรรค์นี้


“แดน.... กูขอพูดอะไรอย่างนึงได้ไหมวะ?”


“หืม?” 

เจ้าตัวยังคงยิ้มแป้นไม่รู้ร้อนรู้หนาว พาลให้ผมขมคอพูดเรื่องที่ต้องการจะพูดลำบากขึ้น แต่ในที่สุดก็เอ่ยออกไปจนได้

“อย่าว่าพี่โรมให้กูได้ยินอีก.......” 

ผมพูดเสียงเรียบ ดวงตาจ้องมองคนตรงหน้าแน่วแน่เพื่อสื่อให้รู้ว่าผมกำลังขอร้องจากใจจริง 

“กูเข้าใจว่ามึงผิดหวังที่กูกับพี่โรมคบกัน.... แล้วเพราะเรื่องเมื่อวาน หลายๆ อย่างที่กูพูดไปตอนนั้นอาจจะทำให้มึงคิดว่าพี่โรมทำไม่ดีกับกูเอาไว้เยอะ แต่หลังจากที่คุยกันแล้ว พี่โรมเขาก็มีเหตุผลของเขา แล้วเขาก็ไม่ได้แย่อย่างที่กูพูดหรอกนะ...........กูก็คงจะเสียใจมากถ้ามึงจะมองว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนไม่ดีเพียงเพราะคำพูดพล่อยๆ จากอารมณ์ชั่ววูบของกู.............”

รอยยิ้มระรื่นเลือนหายไปจากใบหน้าไอ้แดน หน่วยตาเรียวคมหลุบต่ำไม่ยอมมองหน้าผมตอบก่อนจะเอ่ยออกมาตามประสาคนดื้อด้านไม่ยอมแพ้

“ก็เฮียโรมแย่งมึงไปจากกู...........”

“ไม่มีใครแย่งใครไปจากใครทั้งนั้นแหละ” 

ผมไม่ได้มีปัญหากับการที่ไอ้แดนจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตผม แต่บทบาทของมันจะทับซ้อนกับสิ่งที่พี่โรมเป็นอยู่ไม่ได้ และผมก็ต้องจัดการเคลียร์สถานะของแต่ละคนให้ชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้ไอ้แดนเดินจากไปพร้อมกับความผิดหวังที่มากกว่าเดิม 

“กูต้องขอพูดกับมึงตรงๆ เลยนะว่าถ้ามึงอยากจะคบกูเป็นเพื่อน มึงก็ต้องยอมรับให้ได้ว่ากูมีพี่โรมอยู่แล้ว.... เขาคือคนที่กูรัก แล้วก็คงไม่มีใครที่กูจะรักได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“ไม่เอา..........”  ไอ้แดนเริ่มงอแง  “กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนมึงนะ ทิชา.... กูก็รักมึงเหมือนกัน ให้กูเป็นแฟนมึงอีกคนไม่ได้เหรอ?”

“เชี่ยละ อยู่ดีๆ มาบอกให้กูมีชู้ซะงั้น” 

ผมด่าก่อนจะเบือนหน้าหนีมันบ้าง 

“กูให้มึงได้แค่นี้.... จะรับก็รับ แต่ถ้าไม่รับ กูก็ไม่มีอะไรจะให้มึงแล้ว”

ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ผมไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่กล้าเดาด้วย แต่ใจหนึ่งก็แอบกลัวว่าไอ้แดนจะเกรี้ยวกราดใส่แบบเดียวกับตอนที่ผมผิดนัดไม่ได้ไปแคสละครพร้อมกับมัน ลองว่าถ้าคนเราเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อกันแล้วกลับต้องมาจากกันไปแบบไม่สวยงาม ความเจ็บปวดคงมีมากกว่าคนเกลียดกันตัดขาดกันหลายเท่าตัวนัก

“ทิชา มึงรู้ไหมว่าสิ่งที่มึงพูดเมื่อกี้น่ะ มันโคตรคล้ายกับสิ่งที่กูเพิ่งพูดกับใครบางคนไปเลย.......” 

ไอ้แดนสารภาพพลางหัวเราะหึอย่างขมขื่น ในเวลานั้นผมไม่ทันนึกว่ามันหมายถึงใครก็ได้แต่รับฟังอย่างเดียวเท่านั้น

 “กูเพิ่งบอกคนๆ นั้นไปว่าถ้าเขาอยากจะอยู่ข้างกูก็อยู่ไป กูจะไม่ว่าอะไร แต่ต้องยอมรับให้ได้ว่ามึงคือคนที่กูรักมากที่สุด และเขาจะไม่มีวันได้ความรักจากกูมากเท่าที่มึงได้”

“งั้นมึงก็คงเข้าใจความรู้สึกของกูใช่ไหม แดน?”

“อืม.... ก็ต้องเข้าใจดิวะ”

จะเรียกว่าเป็นสัจธรรมของพวกรักเดียวใจเดียวก็น่าจะได้ล่ะมั้ง หากเราเลือกที่จะวางหัวใจไว้ในมือใครแล้ว เขาคนนั้นก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากเราไป ไม่มีเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนที่สองหรือที่สาม ซึ่งผมกับไอ้แดนก็คงเป็นคนประเภทเดียวกันนี้

ร่างหนาเหลือบสายตามองต่ำลงจากใบหน้าผม ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มไม่เต็มที่แต่ก็ดีกว่าหน้าเศร้าซังกะตายแบบเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มือใหญ่เอื้อมมาจับคอปกเสื้อเชิ้ตนักศึกษาซึ่งผมปลดกระดุมเม็ดบนให้ชิดเข้าหากัน ผมถึงได้รู้ตัวว่ารอยจูบที่พี่โรมทำเอาไว้เมื่อเช้ามันเห็นได้ชัดมาก และไอ้แดนก็คงเห็นตำตามาตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกับผม

“มึงจะรักเฮียโรมก็รักไปเถอะ กูไม่ขวางหรอก.... แต่จะเป็นพระคุณมากถ้ามึงกับเขาจะรักกันเงียบๆ ไม่ทิ้งหลักฐานให้กูเห็น..........”

เพียงคำพูดขอร้องไม่กี่ประโยค ผมก็รับรู้ได้ถึงความเสียใจยิ่งกว่าให้มันมาร้องไห้ให้ดูต่อหน้าเสียอีก.... หากถึงยังไง ผมก็เลือกพี่โรมให้เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วก็แน่ใจด้วยว่าไม่ได้ตัดสินใจผิดที่ขีดเส้นมิตรภาพล้อมกรอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนายดรัณภพเอาไว้

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือแฟน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ผมอยากจะให้อยู่เคียงข้างและเดินต่อไปด้วยกันไปอีกหลายๆ ปี หรือจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง

“แดน.........”  ผมเรียก

“อือ” 

ไอ้แดนนรกส่งเสียงตอบแบบไม่หือไม่อือ ถึงแม้จะไม่ได้โกรธ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ชัดเจนว่ามันคงยังงอนอยู่นั่นแหละ

“หันมาหน่อย”

“อะไรวะ........อุ๊บ.........!” 

ผู้ชายขี้งอนไม่เข้าเรื่องสะดุ้งโหยงเมื่อโดนผมเอาขนมปังไส้ช็อกโกแลตยัดใส่ปากทีเผลอ พอตั้งตัวได้ก็เอียงหน้าหลบพัลวันพร้อมทั้งร้องตะโกนโวยวายจนคนแถวนั้นหันมามองแทบจะเป็นตาเดียวกัน 

“เล่นอะไรของมึงเนี่ย ทิชา!?”

“ก็อยากให้มึงกินของหวานเยอะๆ จะได้อารมณ์ดีไง” 

ผมทวนประโยคเดียวกับที่มันพูดย้อนกลับไปให้พลางยักคิ้วใส่อย่างจงใจจะกวนประสาท ใบหน้าครึ่งล่างของเดือนสถาปัตย์ปีสองเต็มไปด้วยคราบนูเทลล่า.... ก็รู้ล่ะว่าถ้าเป็นคนอื่นทำคงได้โดนมันต่อยตายไปแล้ว แต่พอดีว่านี่คือทิชา ทิชนันท์ นอกจากจะไม่โดนโกรธแล้วยังทำให้นายดรัณภพหัวเราะออกอีกต่างหาก

“มึงนี่แม่ง..........”

“แม่งอะไร พูดให้ดีๆ นะ”

“มึงแม่งน่ารัก.... ทำห่าอะไรก็น่ารัก กูล่ะเบื่อฉิบหาย!”

เพื่อนผู้หญิงแถวนั้นคงสงสารที่ไอ้แดนโดนผมแกล้งก็เลยส่งทิชชู่ทั้งเปียกและแห้งมาให้ใช้ทำความสะอาดก่อนที่เราทั้งคู่จะมือเปื้อนปากเปรอะมากไปกว่านี้ หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย อาจารย์สุชาติก็เข้ามาสอนพอดี เราจึงยุติการคุยเล่นและสงครามไส้ขนมปังเอาไว้เพียงเท่านี้ แต่ก่อนที่จะเริ่มขีดไฮไลท์เนื้อหาในชีทตามที่อาจารย์สอน ผมก็กดโทรศัพท์ส่งไลน์หาไอ้แดนอีกนิดหน่อย



        Tisha_950701 : มึงเข้ามาในชีวิตกูแล้วก็อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ

                          เพื่อนแดน *สติกเกอร์ยิ้ม*





          Danny ทาสแมวนาจา  :  กูไม่ไปไหนหรอก ต่อให้มึงไล่ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น

                                      เพื่อนก็เพื่อนวะ เป็นเพื่อนไปก่อนก็ได้

                                 แต่วันไหนที่เพื่อนโสด กูขอเสียบคิวเลยนะ

                                  จากนี้ไปถ้าไม่ใช่เฮียโรมก็ต้องเป็นกูเท่านั้น จำวรั้ยยยย

                                *สติกเกอร์เดวิล*



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
PAI's PART



ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดอะไรมากมายนัก เพียงแต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่มากเท่านี้มาก่อน....   

ผมได้แต่ยืนมองแดนกับทิชาไลฟ์สดผ่านอินสตราแกรมเพื่อโปรโมทการถ่ายทำซีรีส์ด้วยกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ตรงไหนหรอกกับการที่คู่พระเอก-นายเอกของเรื่องจะออกโรงเซอร์วิสแฟนคลับ แต่ปกติทั้งสองคนก็แค่ท่องสคริปท์ที่ทีมงานเตรียมไว้ให้แล้วก็จบงานอย่างรวดเร็วไม่เกินห้าหรือสิบนาที ไม่มีเคยสักครั้งที่จะลากยาวแถมยังยิ้มแย้มหัวร่อต่อกระซิกนอกบทเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงแบบนี้

แฮชแท็ก #แดนทิชา ติดเทรนในโลกออนไลน์มาหลายชั่วโมงตั้งแต่ช่วงบ่ายต้นๆ มิหนำซ้ำยังขึ้นเป็นที่หนึ่งแซงหน้าละครและรายการเรียลิตี้ดังๆ อีกต่างหาก เพราะมีคนแอบถ่ายรูปแดนกับทิชานั่งเรียนข้างกันมาลง แล้วก็มีคนเห็นทิชาขึ้นรถแดนมาสถานีโทรทัศน์ ทั้งๆ ที่ทิชาเองก็มีคนขับรถส่วนตัวคอยรับ-ส่งให้อยู่แล้ว

แบบนี้ไง ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโง่จนน่าด่า เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันไม่เหมือนกับที่แดนเคยบอกเลยว่าทิชาไม่ได้คิดอะไรกับเขา....


‘คุณพระคุณเจ้า ในที่สุดก็มีวันนี้เสียที!’

‘เห็นมีคนบอกว่าน้องแดนกับน้องทิชาไม่ค่อยถูกกัน ก้อยก็ยังห่วงๆ อยู่เลยค่ะว่าจะรอดไหม.... เห็นแบบนี้เราก็คงโล่งใจได้แล้วนะคะ คุณอิ๋ว’

‘คงเพราะเด็กยังไม่สนิทกันมากกว่าก็เลยเกร็งๆ ใส่กัน ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว จากนี้ไปก็ขอให้ทุกอย่างราบรื่นเถอะ.... อ้อ คุณก้อย เดี๋ยวนัดประชุมทีมพีอาร์หน่อยก็ดีนะ พี่จะอัดโปรโมทคู่แดนทิชาเยอะๆ เอาให้กระแสดังไปถึงช่องหลักเลย’



หัวหน้าผู้จัดละครกับผู้จัดการกองถ่ายต่างพากันออกอาการปลื้มปริ่มยินดี มันก็ไม่เชิงว่าน้อยใจเพราะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าต้นทุนชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากัน ทิชาเป็นคนโปรดของแม่อิ๋วมาแต่ไหนแต่ไร แม่ของทิชาก็เป็นเพื่อนแม่อิ๋วด้วย เขาจะอยากดันหลานที่ตัวเองเอ็นดูเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกมากกว่าเด็กธรรมดาๆ อย่างผมก็คงว่ากันไม่ได้ อิจฉาไปก็เท่านั้น

ก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนหนึ่งถึงต้องเป็นแดน? เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ?

แดนยอมที่จะไปอยู่ตรงนั้นเองหรือทิชาเป็นคนเลือก?

ใครกันแน่ที่ทำให้ผมเสียใจ....?



‘โห ทิชาแม่งเอาแล้วไงล่ะ’

‘งั้นที่เขาลือกันก็ไม่ใช่เล่นๆ น่ะสิ.... ที่มีคนมาโพสต์ว่าทิชาเคยไปแย่งแฟนเขา แล้วก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่โดนด้วย ก่อนหน้านั้นก็เป็นมือที่สามมาไม่รู้กี่รอบแล้ว คนที่เรียนมหาลัยนั้นก็รู้กิตติศัพท์ทิชากันดี’

‘ที่ทำหน้านิ่ง วางท่าหยิ่งๆ ก็แผนอ่อยเหยื่อให้ตายใจอะดิ.... สงสารแดนว่ะ คงตามเกมทิชาไม่ทันแหงเลยตกหลุมพรางดังโครม’

‘สงสารพี่ปายด้วย โดนทิชาแย่งทั้งบทนำ แย่งทั้งแฟน’

‘แต่มึคนเล่าให้เราฟังว่าทิชากับแดนก็แอบกิ๊กกันมานานแล้วนะ’

‘จริงเหรอ.... ตั้งแต่วันแคสจนเวิร์คช็อปอาทิตย์ก่อน พวกเราก็เห็นแดนอยู่กับพี่ปายตลอด ทิชาก็ไม่เห็นจะอะไรกับใครเลย เวลาพักก็ชอบหายตัวไปนั่งคนเดียว’

‘หรือพอเห็นว่าแดนจะคบกับพี่ปายก็เลยเปลี่ยนใจมาแย่ง?’

‘ไม่รู้สิ แต่ไม่ว่ายังไง พี่ปายก็น่าสงสารที่สุดอยู่ดี.........’



ผมได้ยินทุกอย่างแต่พยายามทำเป็นไม่สนใจ ไม่หันไปมองพวกน้องๆ นักแสดงตัวรองซึ่งกำลังจับกลุ่มนินทาทิชา แล้วพูดเหมือนว่าผมกับแดนคือเหยื่อที่โดนทิชาแกล้งเข้ามาปั่นหัวเล่น

มีคนบอกผมเรื่องข่าวลือตั้งแต่ตอนที่ประกาศผลออดิชั่นใหม่ๆ แล้ว ในตอนนั้นมีหลายคนเอาเรื่องแย่ๆ ของทิชามาใส่ไฟให้ฟัง คงกะว่าจะเสี้ยมให้ผมเกลียดและเห็นเด็กเส้นขี้โกงเป็นศัตรูคู่อาฆาตให้ได้ ผมไม่เคยตัดสินทิชาจากคำพูดของใคร มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกกล่าวหาและยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว ผมคิดว่าจะรอจนกว่าจะได้คุยและรู้จักนิสัยใจคอทิชาเสียก่อนแล้วค่อยฟันธงว่าใครเป็นยังไง

ส่วนหนึ่งก็จริงอย่างที่เคยได้ยินมา ทิชาค่อนข้างเก็บตัวและเข้าถึงยากแม้ว่า ผมจะอุตส่าห์เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนตั้งหลายครั้ง ก็ไม่รู้หรอกว่านิสัยเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือเพราะไม่อยากยุ่งกับผม เขากับผมคุยกันแทบจะนับคำได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีใส่ผม

แล้วถ้าอยู่ดีๆ ผมจะนึกเกลียดทิชาเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมันจะแฟร์หรือเปล่า? จะดูเหมือนพวกขี้แพ้ชวนตีที่พอไม่ได้ดั่งใจก็พาลโทษนู่นโทษนี่ไหม?

นี่ผมกำลังจะสูญเสียจุดยืนของตัวเองเพราะความรักเหรอเนี่ย....?



“อ้าว ทำไมมาอยู่ครงนี้คนเดียวล่ะพี่?”

ภัทรเดินมาสะกิดผมทางจากด้านหลัง ก่อนจะแทรกตัวเข้ามามองแดนกับทิชาซึ่งอยู่ด้านในห้องกระจกที่แยกออกไปจากห้องฝึกซ้อมการแสดง เห็นทั้งคู่นั่งคุยกระหนุงกระหนิงโดยมีขาตั้งกล้องมือถืออยู่บนโต๊ะก็ไม่ต้องอธิบายแล้วว่าผมยืนดูอะไรอยู่ 

“ไม่ไปไลฟ์กับเขาเหรอ ช่วยกันทักทายแฟนๆ ไง”

“อย่าเลย ไม่รบกวนดีกว่า..........” 

ผมเอ่ยยิ้มๆ ในใจคิดว่าใครจะกล้าเอาตัวเข้าไปแทรก ไม่ใช่เพราะเกรงใจว่าทีมงานอาจจะอยากได้แค่พระเอก-นายเอกหรอก แต่คิดว่าแดนคงอยากอยู่กับทิชาตามลำพังมากกว่า

“อย่างพี่ปายเข้าไปเขาไม่เรียกว่ารบกวนหรอก” 

ภัทรยังคงไม่ละสายตาไปจากคู่เอกของซีรีส์ซึ่งยังคงนั่งเบียดกันหน้ากล้อง ดูเหมือนรุ่นน้องคนนี้จะมองออกว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร น้ำเสียงซีเรียสจึงบอกเป็นเชิงให้ผมลองคิดตามว่าใครมีสิทธิ์ทำอะไรได้มากแค่ไหน 

“ใครๆ ก็รู้ว่าไอ้แดนเป็นคนคุยของพี่ ที่พี่ปายชอบมันขนาดนี้ก็เพราะมันหยอดเอาไว้ด้วย.... ตราบใดที่มันยังไม่ให้ความชัดเจนว่าจะคบหรือไม่คบกับพี่ ผมว่าพี่ปายก็มีสิทธิ์เข้าไปนั่งข้างมันพอๆ กับทิชานั่นแหละ”

“นี่มันงานนะ ภัทร.... พี่ทำตามใจตัวเองได้ที่ไหนเล่า”

“กลัวงานเสียหรือว่ากลัวไอ้แดนไม่พอใจกันแน่?”

“อย่าให้พี่ต้องมีปัญหาเลย.......”

ผมหันหลังหนี ไม่อยากให้ภัทรจับได้ว่าคำพูดเมื่อกี้จี้โดนใจดำผมตรงเผง ไลฟ์มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย ถ้าคู่ผมกับภัทรเข้าไปร่วมแจมด้วยได้ช่วยเรียกแฟนคลับเดี่ยวมาเพิ่มยอดวิวให้มากขึ้นไปอีก แต่ประเด็นก็คือผมกลัวว่าแดนจะโกรธ ยิ่งเขาเคยพูดเองกับปากว่าชอบทิชาอยู่ ผมก็ยิ่งไม่กล้าไปกันใหญ่

“ผมไม่เข้าใจเลยว่ะ” 

ภัทรส่ายหัวพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ 

“พี่ปายชอบไอ้แดนถึงขนาดยอมให้มันเอาเปรียบงี้เลยเหรอ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่ก็ยังมาจีบพี่ แล้วพี่ก็ดันยอมเสียด้วย.... ผมรู้จักพี่มาเป็นปีๆ รู้หรอกนะว่าปกติพี่ไม่ใช่คนแบบนี้”

ก็ใช่อีก.... เพราะความรักอย่างเดียวเลยที่ทำให้ผมกลายเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้กระทั่งจะทวงถามถึงสิทธิและฐานะของตัวเอง

“เอาน่า เดี๋ยวสักวันพอภัทรมีแฟนก็จะเข้าใจความรู้สึกพี่เอง” 

ผมยังคงยิ้มสู้แล้วทำราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งๆ ที่หัวใจมันร้าวไปหมดแล้ว

“บ้าดิ จะไปเข้าใจได้ไง!”

ภัทรเบ้ปากไม่ยอมตามน้ำไปกับผม แต่ผมจะไปทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ ตกหลุมรักเขาก่อนก็ต้องเปลืองตัวเปลืองใจเป็นธรรมดา

“ถ้าแดนเขาแฮปปี้ พี่ก็โอเค”

“โว้ย.... พี่แม่งจะดีไปไหนวะ ไอ้เวรนั่นมันไม่คู่ควรเลยสักนิด!”

เสียงห้วนสบถดังพอประมาณ ทำเอาผมสะดุ้งรีบเอามือปิดปากอีกฝ่ายแทบไม่ทันเพราะกลัวพวกเด็กๆ คนอื่นได้ยิน แต่ภัทรกลับคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้เข้าไปในห้องกระจกที่คู่พระนายกำลังไลฟ์อยู่ด้วยกัน.... ผมส่ายหัวระรัวพร้อมทั้งสะบัดแขนแรงๆ หวังจะให้ตัวเองรอดพ้นไปจากการถูกฉุดกระชากลากถู หากก็ไม่ทันแล้ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นภาพตัวเองปรากฏขึ้นในจอแทรกตรงกลางระหว่างแดนกับทิชาพอดิบพอดี

ผมนึกฉุนที่เจ้าภัทรจับผมมาปล่อยไว้ตรงนี้ จะหันกลับไปว่าก็ไม่ได้ เพราะเสียงจะต้องติดเข้าไปในกล้องให้แฟนๆ ได้ยินแน่

“เอ้า พี่ปาย.... โบกมือให้แฟนคลับพี่หน่อยสิครับ”

ภัทรสั่งผม ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วโบกมือแบบไม่ค่อยจะเต็มใจ

“สวัสดีครับ.... ปาย ปวีณ เองครับ”

“พี่ปายจะนั่งตรงนี้เหรอ?”

“เอ๊ะ?”

ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อคนข้างๆ เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาของแดนที่จ้องมองมานั้นดูคล้ายไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต หากผมกลับรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจอย่างแรงซึ่งแฝงซ่อนภายในดวงตาสีเข้ม ส่วนทิชาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยิ้มเงียบๆ ไปตามคาแร็คเตอร์ที่เป็นอยู่ปกติ ทว่า ก่อนที่ผมจะขอตัวเลี่ยงหนีออกไปตั้งหลักนอกห้อง ทิชาก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ให้ผมแทน

“พี่ปายนั่งนี่ก็ได้..........”

ผมไม่รู้ว่าทิชากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยกที่นั่งให้ผม แค่หวังดี จะแกล้ง หรือว่าไม่ได้คิดอะไรเลย ผมเดาใจเขาไม่ออกจริงๆ

“แค่พี่ปายมาแปบเดียว แฮชแท็ก #แดนปาย ก็มาเพียบเลย.... ผมว่างานนี้แดนคงต้องลำบากใจหน่อยแล้วล่ะว่าอยากจะให้ #แดนทิชา หรือ #แดนปาย ติดไทยแลนด์เทรนด์นานกว่ากัน”

ผมอยากจะตีปากเจ้าภัทรแรงๆ เสียจริง อยู่ดีไม่ว่าดีจะหางานให้ผมทำไมกันเนี่ย ถ้าแดนโกรธขึ้นมาแล้วผมจะทำยังไง....!?

“ก็ต้อง #แดนทิชา อยู่แล้วสิ ก็เขาเป็นคู่หลักของซีรีส์เรานี่นา”

“เดาเก่งนะครับ”

ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกเหมือนเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป

“ผมกับทิชาก็ไลฟ์มาตั้งนานแล้ว งั้นขอเปลี่ยนให้ภัทรมาทักทายเพื่อนๆ ทางบ้านคู่กับพี่ปายเลยก็แล้วกันนะครับ.... ไว้เจอกันใหม่น้า~ บายครับ~”

แล้วแดนก็ลุกออกจากที่นั่งตรงนั้นไปเลย ทิชาเห็นว่าแดนออกไปจากห้องกระจกก็ตามออกไปด้วยอีกคน ทิ้งผมให้หน้าเหวออ้าปากค้างอยู่หน้ากล้องคนเดียวจนกระทั่งภัทรต้องมานั่งโบกไม้โบกมือเป็นเพื่อน.... ไม่นานนัก พี่ทีมงานซึ่งดูแลเรื่องการโปรโมทก็เข้ามาปิดกล้องไลฟ์แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น แดนกับทิชาไปไหน ผมถึงได้อยากเอาหัวโขกกำแพงหนีอาย เพราะทางกองไม่ได้ตั้งใจจะโปรโมทผมกับภัทรเหมือนที่โปรโมทคู่แดนทิชา และแดนก็ไม่ได้อยากนั่งคู่กับผมอีกแล้ว



รู้อยู่แก่ใจว่าเขารักใคร แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้เขาไม่ยอมไปไหน

ผมว่าผมไม่ได้แค่โง่อย่างเดียวแล้วล่ะ แต่ยังบ้ามากๆ ด้วย....


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME's PART



ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ลากสังขารเดินจากตึกคณะมาถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัยคือเมื่อไร เพราะตั้งแต่พ่อออกรถให้ ผมก็ไปไหนมาไหนด้วยการขับรถตลอด เรียกได้ว่าเท้าคุณชายจากสุราษฏร์แทบไม่เคยติดพื้นถนนหลวงเลย

ทีแรกผมก็เซ็งอยู่หน่อยๆ ด้วยความที่ไม่ชิน พอไม่มีรถก็พาลรู้สึกเหมือนตัวเองขาขาดทำอะไรไม่ค่อยถูก.... จะหาว่าบ้าก็ได้นะครับ แต่เมื่อคิดว่าทิชาก็เคยใช้เส้นทางนี้กลับบ้านทุกวี่ทุกวัน ผมก็หายหงุดหงิดเมื่อยขาไปกว่าครึ่ง ถือเสียว่าเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของน้องให้มากขึ้น ก็มีแอบคิดนิดนึงว่าทำไมทิชาถึงไม่ยอมหัดขับรถให้คล่องๆ จะได้ไม่ต้องเดินตากแดดให้ผิวเสีย ถึงผิวน้องจะยังขาวจั๊วะเหมือนไข่ปอก ไม่เสียไม่โทรมตรงไหนเลยก็เหอะ

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าหลังกางเกงสั่นเตือนว่ามีสายเข้า ผมสบถเบาๆ เพราะว่าแบตเหลือไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์ตอนที่เช็คครั้งล่าสุด อุตส่าห์จะเก็บไว้เผื่อว่าทิชาจะโทรมาหา.... ทีแรกก็กะว่าจะตัดสายทิ้ง หากพอเห็นชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอ ผมจึงเปลี่ยนใจรีบเปลี่ยนเป็นกดรับแทน


‘เชี่ยโรม มึงอยู่ไหนวะ!?’

“ยังอยู่มหาลัย.... กำลังจะไปซื้อของที่ซูเปอร์ตรงสถานีพร้อมพงษ์แล้วก็จะแวะเอาของไปให้บีบี๋ที่โรงบาล”

‘มึงอย่าเพิ่งไปไหน อย่าออกจากมหาลัย.... อยู่ตรงนั้น รอกูไปหามึงก่อน!’

“อะไรของมึงเนี่ย ไอ้ห่าแจ็ค.... แล้วนี่มึงอยู่ไหน โดดเรียนหาพ่องเหรอ!? จารย์เป่าแทบจะแดกหัวกูอยู่แล้ว!”

‘เออน่า กูบอกให้รอมึงก็............’

“สัดเอ๊ย...........”

ยังคุยไม่ทันรู้เรื่อง มือถือผมก็ดับสนิทไม่ไหวติงและมีสภาพไม่ต่างหากก้อนอิฐในที่สุด ผมได้ยินแว่วๆ ว่าไอ้แจ็คบอกให้รอที่มหาวิทยาลัยอย่าเพิ่งออกไปไหน ผมก็กำลังจะบอกมันอยู่แล้วเชียวว่าวันนี้ผมมีธุระต้องรีบไปทำ.... ต้องซื้อของให้ทิชา ต้องเอาของเยี่ยมไปให้บีบี๋เพื่อดูว่าน้องเป็นยังไงบ้าง จากนั้นก็ไปบ้านทิชาเพื่อเอารถและรับยัยมิลค์กลับคอนโดฯ เห็นไหมว่าตารางผมแน่นจะตายห่า เอาไว้เสียบสายชาร์จแบตมือถือบนรถแล้วค่อยโทรคุยกับแม่งอีกทีก็แล้วกัน


“เอาแอปเปิ้ล New Zealand Envy ครับ หั่นเป็นชิ้นไม่ต้องปอกเปลือกแล้วใส่กล่องให้ด้วย.........”

ผมแจ้งพนักงานให้ช่วยเลือกแอปเปิ้ลแล้วล้างหั่นใส่กล่องแพ็คให้เลย เพราะผมเลือกผลไม้ไม่เป็น กลัวแจ็คพอตโดนผลที่ข้างในไม่สวยแล้วน้องจะว่าเอา เมื่อได้ของมาลงตะกร้าแล้วก็ย้ายร่างไปหยิบสตรอว์เบอร์รี่เกาหลีสวยๆ อีกสอง-สามกล่องตามที่สัญญาไว้ จากนั้นก็หยิบขนม ช็อกโกแล็ต พาสต้าอบชีส ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิชาชอบกินจนล้นไปหมด.... มานึกได้ก็ตอนจ่ายเงินว่าเดี๋ยวจะต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาลก่อน หอบพะรุงพะรังขนาดนี้แล้วจะไปไหนได้ เรียกแท็กซี่หน้าถนนสุขุมวิทก็ไม่รู้จะรับคนชาติเดียวกันหรือเปล่า

ผมยืนรอแท็กซี่บริเวณด้านหน้าซูเปอร์มาร์เก็ต เวลาห้าโมงกว่าค่อนข้างติดเลยต้องยืนอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ มองขึ้นไปบนฟ้าคล้ายจะเห็นเมฆครึ้มฝนตั้งเค้าลอยมาทางนี้ ผมจึงลังเลว่าจะเปลี่ยนใจกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าดีไหม

ดูสภาพตัวเองแล้วก็อดขำไม่ได้ ถ้าใครมาเห็นเข้าก็คงขำเหมือนกันที่ภายในชั่วระยะเวลาสี่ห้าเดือนที่รู้จักกับทิชา ผมจะเปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน.... จากเดิมที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับเรื่องภายในคณะ สนใจแค่เรื่องของพวกวิศวะฯ คบหากันเองสร้างคอนเน็คชั่นผ่านระบบรุ่นพี่รุ่นน้องโดยมีเบอร์ลิคเป็นจุดศูนย์กลาง ผมจึงลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยุ่งเกี่ยวกับเหล้า บุหรี่และอบายมุขซึ่งเป็นรายได้หลักของร้าน ยิ่งพอเฮียรุจเชื่อใจผม ผมก็ต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ช่วยเฮียรุจคุยกับตำรวจบ้างอะไรบ้าง คิดในแง่หนึ่งมันก็ดีตรงที่ผมจะมีเส้นสายได้รู้จักกับพวกคนมีสีมีตำแหน่ง อีกหน่อยจะทำธุรกิจอะไรก็ไม่ติดขัด เวลาเดือดร้อนก็มีคนคอยช่วยเหลือ แต่พูดตามตรง ผมก็ไม่ค่อยสบายใจนักหรอกที่ต้องทำงานประเภทนั้น

เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ผมคงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ผมมีความสุขดีกับการเป็นพ่อบ้านอยู่คอนโดฯ เลี้ยงลูกสาวไปตามอัตภาพ ถึงจะยังทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าทิชาไม่อยู่ก็ต้องสั่งจากร้านขึ้นมากินเหมือนเดิม แต่ผมล้างจานเป็นแล้ว ใช้เครื่องดูดฝุ่นกับลูกกลิ้งแถบกาวเก็บขนแมวเป็นด้วย ว่างก็เล่นเกมหรือไม่ก็พายัยมิลค์ออกไปเดินเล่นตามคอมมูนิตี้มอลล์ที่เขาให้เอาสัตว์เลี้ยงไปได้

อ้อ.... ผมยังไม่ได้บอกทิชาเลยว่าผมเลิกบุหรี่แล้ว ไม่รู้ว่าน้องจะสังเกตหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ ผมเลิกเพราะว่ายัยมิลค์ไม่ชอบ แถมในเน็ตยังบอกว่าแมวสามารถรับกลิ่นบุหรี่ได้ดีกว่ามนุษย์หลายเท่า ถ้าเจ้าของสูบบุหรี่จะมีโอกาสทำให้แมวโพรงจมูกอักเสบกับเป็นมะเร็งในเลือดและต่อมน้ำเหลืองได้ง่ายขึ้น พอผมอ่านจบก็เอาบุหรี่ไปโยนทิ้งทั้งซองเลย ส่วนไฟแช็ค Zippo รุ่นลิมิเต็ดเก็บไว้ก่อนเพราะซื้อมาแพง เอาไว้ใช้จุดเทียนวันเกิดก็ยังดี

“เวร อย่าเพิ่งตกตอนนี้นะมึง.........”

เมื่อเห็นว่าฝนหลงฤดูกำลังจะเล่นงานผมแน่ๆ ผมก็เลยเปลี่ยนใจจะกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าแทน ในตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวาย มีกลุ่มคนใส่ชุดคล้ายๆ กันกับผมวิ่งกรูลงมาจากรถประจำทาง ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นพวกเด็กช่างที่เรียนอยู่วิทยาลัยอาชีวะแถวๆ เขตพระนคร

ผมเดินหลบเข้ามาฝั่งด้านในฟุตปาธ ซวยแค่ไหนที่ไม่มีรถขับ หิ้วของเป็นบ้าหอบฟาง แถมยังต้องมาเจอพวกเหี้ยนี่ยกพวกตีกันอีก..........



ปัง!!!


เสียงคล้ายระเบิดดังลั่นเข้ามาในโสตประสาท ผมรู้สึกเหมือนแก้วหูตัวเองสั่นสะเทือนแรงไปถึงสมอง ทุกสิ่งรอบด้านว่างเปล่ามืดสนิทไปชั่วขณะราวกับว่าเสียงเมื่อครู่ได้ทำหูผมดับไปแล้ว

พวกสวะสังคมชอบทำชาวบ้านเดือดร้อนวิ่งผ่านหน้าผมไป ในตอนนั้นผมคิดแค่ว่าก็ดีแล้ว ให้พวกแม่งไปตีกันตายที่อื่น ผมจะได้เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าสะดวกๆ ไม่ต้องหลบตีนหมาที่ไหน แต่อยู่ดีๆ ถุงพลาสติกในมือผมก็ร่วงลงพื้น ของข้างในทะลักออกมาเกลื่อนพื้น.... ผมกำลังจะก้มตัวลงไปเก็บก่อนที่คนแถวนั้นจะเหยียบโดนผลไม้ที่ผมซื้อให้ทิชา ทว่า ความรู้สึกแสบร้อนกลับแล่นจากหัวไหล่ไปทั่วร่าง ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อความเจ็บรุกหนักจนทนไม่ไหว แล้วผมก็ล้มลงไปนอนพังพาบอยู่ข้างกองข้าวของที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา

เจ็บฉิบหาย.... ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเหี้ยอะไรขึ้น รู้แค่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะล้ม แต่ร่างกายมันขยับเขยื้อนไม่ได้ แม้กระทั่งจะกระดิกนิ้วสักนิ้วยังลำบาก

ขนาดได้ยินเสียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันกรีดร้องตะโกนเสียงหลง ผมยังหันไปมองหน้าเจ้าหล่อนไม่ได้เลย....



‘ช่วยด้วยค่ะ มีคนถูกยิง!!!’



ใครถูกยิงวะ.... ผมเหรอ?

บ้าน่า ผมก็อยู่ของผมดีๆ จะโดนยิงได้ยังไงกัน?



ผมมีธุระต้องไปต่ออีกหลายที่เลยนะ.... ผมต้องไปรับยัยมิลค์กลับคอนโดฯ ต้องสั่งข้าว ทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยก่อนที่ทิชาจะมาถึงด้วย น้องไม่ชอบให้ห้องมีฝุ่นกับผ้าซักวางกองระเกะระกะบนโซฟา ผมขี้เกียจโดนบ่น ที่สำคัญคือผมสัญญากับทิชาเอาไว้แล้วว่าจะซื้อแอปเปิ้ลกับสตรอว์เบอร์รี่กลับไปให้ ยังไงวันนี้น้องก็ต้องได้กินของโปรด ไม่งั้นผมโดนโกรธตายห่าเลย

ผมทำให้ทิชาเสียใจมาตั้งหลายครั้งแล้ว คราวนี้ถ้าทำอีก ผมต้องโดนบอกเลิกแน่ๆ แล้วน้องก็จะหนีผมไป.... เห็นนุ่มนิ่มแบบนั้นแต่จริงๆ แล้วทิชาใจแข็งมากนะ ง้อโคตรยาก แล้วผมก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของน้องแล้วด้วย

แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ดูท่าทางผมจะโดนทิชาโมโหอีกแล้วแหง....



ลุกขึ้นสิวะ ไอ้โรม....  มึงต้องลุกขึ้นเดี๋ยวนี้..........

อย่าทำให้ทิชาร้องไห้นะเว้ย

ทิชาจะเสียใจเพราะมึงอีกไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้มึงตายก็ต้องกลับไปรอน้องที่คอนโดฯ ให้ได้

แต่กูขยับไม่ได้เลยโว้ย ไอ้สัด.......


.


.


ทิชา......

ทิชาได้ยินพี่หรือเปล่า.........?


.

.


อาจจะช้าหน่อย แต่พี่กำลังรีบไปจริงๆ

อีกแค่แปบเดียวก็ถึงแล้วล่ะ.... ไม่ต้องห่วงนะ คราวนี้พี่ไม่โกหกแน่ๆ ยังไงพี่ก็จะกลับไปรอทิชาที่คอนโดฯ แช่ของกินอร่อยๆ เตรียมไว้ให้ในตู้เย็น แล้วเราค่อยมานอนคุยกันนะว่าหลังทิชาถ่ายละครจบแล้วเราจะไปเที่ยวกันที่ไหนดี

แล้วก็วันเกิดทิชาปีหน้า เราจะฉลองกันยังไง

วาเลนไทน์ด้วย พี่คิดข้ามวันข้ามเดือนไปได้ยังไงเนี่ย......


.


.


.

รอพี่นะครับ คนดี.... จากนี้ไปก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ



TO BE CONTINUE

 :mew1:

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
นี่เรื่องมาถึงตรงนี้ได้ยังไง เทาแล้วเทาอีก คิดว่าหมดแล้วก็ยังมีอีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :z3: สนุกมากกก ไมรุ้จะเชียร์ทีมไหนดี มีทั้งดีและร้ายต่างๆกันไป

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ยยยยยย ปวดจิตปวดใจ

ออฟไลน์ nuengku.kimjaejoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เอาจริงๆ เราฟินกับฉากแดนทิชามากกกกกก ชอบที่แดนมันรักทิชาไม่เปลี่ยนแปลงนี่แหละ
และเราก็วนมาอ่านเป็นรอบที่ล้านแล้วค่า สารภาพเลยว่ารีทุกวัน เมื่อไหร่คนแต่งจะมาต่อน้อออออออ รอ รอ รอ และก็รอ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
16
~ คนเดียวที่รักได้ ~


DAN’s PART


ว่าจะเลิกเวิร์คช็อปก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแต่หัวใจยังฟูฟ่องเต็มอกเหมือนก้อนสายไหมสีพาสเทล ใครจะไปคิดว่าจะมีวันที่ทิชาอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา แค่หันไปหาก็เจอ แค่เรียกก็ได้คุย.... อารมณ์ว่าอยากชดเชยช่วงเวลาปีกว่าที่เสียไปเพราะความบ้องตื้นของตัวเอง ผมก็เลยผูกตัวติดกับทิชา คอยตามประกบยิ่งกว่าเงา ไม่สนใจอะไรนอกจากว่าดวงดาวแสนสวยของผมจะหิวข้าวหิวน้ำไหม จะร้อนจะเหนื่อยหรือเปล่า หรือถ้าเมื่อยขาจะให้ผมแบกขึ้นหลังอุ้มไปส่งจนถึงบ้านเลยก็ได้

ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอคอแตกฉิบหาย แต่ผมก็รักของผมแบบนี้....

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นก็มั่นใจมากว่ามันคือรักแรกพบ คนบ้าอะไรวะหน้าสวยอย่างกับตุ๊กตา สวยเหมือนไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้.... จำได้ว่าตอนนั้นพวกรุ่นพี่ขอให้แต่ละคณะส่งตัวแทนที่จะลงประกวดดาว-เดือนมายืนหน้าแถว ทิชามันก็คงโดนพี่ๆ ในสินกำบังคับถึงได้เดินหน้ามุ่ยออกมาแบบไม่เต็มใจ เชื่อไหมว่าทีแรกผมไม่ได้มีความคิดที่จะประกวดอะไรกับใครเขาเลย แต่พอเห็นความรักไปยืนอยู่ตรงหน้า ผมก็รีบพุ่งตัวตามไปขอทำความรู้จักทันที


‘เราชื่อแดนนะ อยู่ถาปัด.... นายชื่ออะไรเหรอ?’

‘....................’

‘อยู่สินกำใช่ปะ เรียนเอกอะไร? พวกออกแบบ ดนตรีหรือละคร?’

‘....................’

‘มีคนเคยบอกหรือเปล่าว่านายโคตรน่ารักเลย.... ตัวขาวๆ ตาโตๆ ปากนิดจมูกหน่อย สเป็คเราเลย นายเป็นแฟนเราได้ปะ?’                                                                                                                                       

‘....................’

‘ไม่ตอบถือว่าตกลง.... งั้นถ้ามีใครมาจีบก็บอกว่าเป็นแฟนเราแล้วนะ จุ๊บ~’


‘แฟนพ่อมึงสิ!! ไอ้เหี้ย!!!!!!’


หลังจากที่ทิชาออกจากห้องเชียร์รวมไปวันนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าพวกรุ่นพี่จะตามไปขอร้องยังไงก็ไม่ยอมกลับ และผมก็ถอนตัวจากการประกวดเดือนคณะไม่ได้แล้วด้วย.... ก็ยอมรับว่าที่ทำลงไปน่ะสมควรถูกด่าแล้ว แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยจริงๆ นะ มันเป็นความเข้าใจผิด แถมไม่รู้ไอ้ห่าที่ไหนเอาไปพูดว่าที่ผมแกล้งหอมแก้มทิชาเพราะตั้งใจจะเรียกคะแนนโหวตสร้างเรตติ้งให้ตัวเอง ผมพยายามหาทางอธิบายแต่ทิชาไม่เคยหยุดคุยกับผมอีกเลย แน่นอนว่าเจ้าตัวคงแค้นฝังหุ่นและมองผมในแง่ร้ายไปเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่ได้ยอมแพ้แค่นั้นแต่โอกาสกลับไม่เคยเป็นใจเลย พวกเพื่อนผู้หวังดีก็คอยมาบอกผมอยู่เรื่อยๆ ว่าให้ตัดใจดีกว่าเพราะประวัติทางบ้านทิชาไม่ค่อยดีสักเท่าไร ชนิดที่แค่เอาชื่อ-นามสกุลไปเสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอข่าวฉาวเป็นกระตั้ก.... ถามว่าผมสนใจข่าวของพ่อแม่ทิชาไหม ผมก็สนใจแหละ แต่เป็นในแง่ที่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตทิชาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ต้องเจ็บปวดแค่ไหนที่ถูกพ่อแท้ๆ กับญาติร่วมสายเลือดปฏิเสธไม่ให้เหยียบเข้าบ้าน เพราะมันคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวไม่ยอมเปิดใจรับผม

รู้สึกตัวอีกที ผมก็เฝ้ามองตามแผ่นหลังบอบบางที่เหมือนจะเปราะหักได้ตลอดเวลาไปทุกที่ในมหาวิทยาลัย.... ทิชาชอบดื่มชามะนาวยี่ห้อสีเหลือง ชอบข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่เอาหนัง ข้าวกะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก ก๋วยเตี๋ยวอะไรก็ได้ที่ไม่ใส่เครื่องใน ชอบชาเขียวปั่นหวานน้อย เค้กช็อกโกแล็ตแล้วก็ผลไม้ด้วย

ผมรู้หมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสซื้อให้หรือนั่งกินข้าวพร้อมกันสักครั้ง ฝากของขวัญหรืออะไรไปให้ผ่านทางบีบี๋ก็ไม่เคยถึงมือเจ้าตัว ครั้งแรกที่ทิชายอมรับของจากผมก็ตอนที่บุกไปหาถึงบ้านหลังคืนชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคนั่นแหละ

ก่อนจะเป็นไอ้เฮียโรม หัวใจของทิชาก็เหมือนจะเคยอยู่ในมือของคนหลายๆ คน แล้วไอ้ชาติหมาพวกนั้นก็ฝากรอยแผลเอาไว้ให้นางฟ้าอย่างเจ็บแสบ

ขนาดผมยังมองว่าทิชาสวย คนอื่นมันก็ต้องเห็นเหมือนกัน.... เพราะความสวยนี่ล่ะทั้งที่ทำให้มีคนเข้ามาจีบเยอะมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีช่วงว่างเลย แต่ทิชาก็เปลี่ยนแฟนบ่อยโดยที่ผมไม่รู้สาเหตุ มีแค่ได้ยินผ่านๆ จากพวกผู้หญิงว่าทิชาไปเป็นมือที่สามคู่นั้นคู่นี้ แย่งแฟนคนอื่นเขาไปทั่ว แค่ปีหนึ่งเทอมสอง ชื่อทิชา ทิชนันท์ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย.... แล้วก็คงมีเพียงผมคนเดียวที่เชื่อว่าทิชาไม่ใช่คนผิด ไอ้เวรพวกนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้ามาจีบก่อน ที่กล้าพูดปกป้องเต็มปากเต็มคำก็เพราะผมเห็นมากับตา ผมเฝ้ามองดวงดาวแสนสวยของผมมาตลอด

ได้แต่มอง หากกลับแตะต้องสัมผัสไม่ได้

ไม่ต่างจากยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดล็อคแน่นหนา แต่ดันเห็นคนอื่นถือกุญแจไขเปิดเข้าไปข้างในแล้วก็กลับออกมาคนแล้วคนเล่าโดยที่กุญแจดอกนั้นไม่เคยถูกส่งมาถึงมือผมสักที

บางทีผมก็ปลอบใจตัวเองว่าได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว อย่างน้อยก็ยังมองเห็น ยังได้ยินเสียง ได้รับรู้ว่าทิชายังคงอยู่ดีมีสุข ที่สำคัญก็คือตอนนี้ทิชาอุตส่าห์นับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งแล้วนะ.... ถึงแม้ใจจริงผมจะยังแอบหวังอยากจะให้ความสัมพันธ์ไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็อย่างที่มีคนพูดเอาไว้ว่าความรักไม่ใช่เครื่องตอบแทนความดี ต่อให้ผมคิดว่าตัวเองรักทิชามากกว่าใคร รักมานานกว่าใคร มันก็ไม่ได้หมายความว่าทิชาจะต้องรักผมตอบก็เถอะ


ผมอยากมีตัวตนในสายตาของทิชา

อยากให้ทิชารักผมเหมือนอย่างที่มันรักเฮียโรม

ผมอิจฉา.... อยากให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมันหายไปแม่งให้หมด เหลือแค่ผมคนเดียวที่ทิชาสามารถเรียกหาและนึกถึง มีแค่ผมเท่านั้นที่กอดมันได้ ผมสัญญาเลยว่าจะทะนุถนอมหัวใจดวงนี้อย่างดี จะไม่ให้มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว


ถ้าได้อย่างที่หวังล่ะก็ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ ผมก็ยอมได้หมดทั้งนั้น....




“ทำไมไม่เปิดเครื่องเนี่ย..............”

คนตัวเล็กบ่นเสียงงุ้งงิ้งระหว่างที่เราลงลิฟท์มาชั้นลานจอดรถของสถานีโทรทัศน์ด้วยกัน เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปมกลางหน้าผาก ปลายนิ้วก็ยังคงเพียรพยายามกดหน้าจอมือถือโทรหาใครบางคน.... ก็คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ คนที่ทำให้ทิชาหน้ามุ่ยงอแงเหมือนเด็กได้ก็มีอยู่แค่คนเดียว

แต่ตอนนี้คนที่อยู่กับทิชาคือผม คงไม่ผิดใช่ไหมถ้าหากผมจะขอทดเวลาบาดเจ็บต่ออีกสักชั่วโมง สองชั่วโมง....?

“ทิชาจ๋า.....กูหิวแล้ว............” 

ผมตรงเข้าไปคลอเคลียเอาคางเกยไหล่ทิชา อ้อนเรียกร้องความสนใจประหนึ่งว่าตัวเองเป็นลูกหมาตัวใหญ่ยักษ์

“ก็มีขนมบนรถไง ที่มึงซื้อมาเมื่อตอนกลางวันอะ” 

คนรักแมวดันหัวผมออกห่างเป็นเชิงว่าอย่ามาอ้อนเสียให้ยาก

“ไม่เอาขนม กูอยากกินข้าว~”

ผมยังไม่ยอมละความพยายาม คล้ายๆ ว่าพอจะจับจุดได้ว่าทิชาจะใจอ่อนง่ายกับคนที่คุยดีด้วย ความได้คืบจะเอาศอกก็เลยกำเริบเสิบสานออกมาได้เต็มที่ 

“อยากกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ข้นตรงท่าเรือหลังมอ มึงไปกินเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

“อะไร.... อยู่ดีๆ ก็กินข้าวคนเดียวไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น”  ร่างบางยู่ปากใส่ผมก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ  “กูนัดคนที่มึงก็รู้ว่าใครเอาไว้แล้ว มึงกลับไปหาของกินแถวคอนโดฯ ก็แล้วกัน”

“ฮึ.......!” 

ผมเบะปากบ้าง ถึงจะทำแล้วหาความน่ารักไม่ได้เหมือนเวลาคนตรงหน้าทำก็เหอะ แต่ยังไงก็ต้องให้ทิชารู้ให้ได้ว่าผมก็งอนเก่งไม่แพ้มันหรอก

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นได้ไหม?”

“กูทำอะไรล่ะ ไม่ได้ทำสักหน่อย”

“ก็มึงทำหน้าเหมือนหมาหงอยอยู่นี่ไง”  ทิชาว่าผมพลางจิ้มนิ้วลงกลางหน้าผากผมอย่างหมั่นไส้เต็มทน  “ทำแล้วไม่น่ารักก็อย่าพยายามเลย พอเหอะ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูเหมือนหมาหงอย เคยเลี้ยงหมาเหรอ?” 

พูดจบก็สะบัดหน้าหนีคนใจร้าย.... ใช่สิ ผมมันไม่น่ารัก ทิชาก็เลยไม่รัก หอมแก้มก็ไม่ได้ ขอกอดนิดเดียวก็ไม่ให้ แค่ให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนสักชั่วโมงยังไม่ได้เลย.... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพวกตัวสำรองนั่งริมสนามก็คราวนี้ ลูกฟุตบอลกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ตรงหน้าแต่ยื่นเท้าเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้เพราะตัวจริงยังไม่บาดเจ็บหรือโดนกรรมการไสหัวไล่ออกมา

“ขี้งอนอยู่ได้ ผู้ชายจริงเปล่าวะเนี่ย” 

โห ได้ยินแบบนี้ผมแทบจะถอดกางเกงโชว์ มั่นใจด้วยว่าน้องแดนน้อยจะต้องมาดแมนแฮนซั่มสมชายชาตรีกว่าทิชาน้อยอย่างแน่นอน ถ้าไม่ได้มือเล็กที่แสนจะนุ่มนิ่มรั้งต้นแขนผมเอาไว้ รายการท้าพิสูจน์คงได้ออนแอร์สดตรงลานจอดรถช่องเอ็มแหงแซะ 

“จะกินก็รีบๆ ไปกิน เดี๋ยวกูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็ได้.... แต่ห้ามช้านะ กูนัดคนที่มึงก็รู้ว่าใครเอาไว้”

“โอเคร้~~”

ผมชูมือขึ้นทำนิ้วเป็นวงกลมก่อนจะหยิบรีโมทกุญแจรถออกจากกระเป๋าเดินนำหน้าทิชาไปยังรถคัมรี่ซึ่งจอดอยู่ตรงช่องพิเศษสำหรับนักแสดง (ต้องขอบพระคุณแม่อิ๋วมา ณ ที่นี้ ที่ช่วยให้ผมเหนื่อยน้อยลงเยอะ) แต่แล้ว ร่างเล็กกระตุกชายเสื้อผมเรียกให้หยุดเดิน พลางบุ้ยหน้าไปยังใครบางคนซึ่งยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ

คนๆ นั้นก็คือพี่ปาย เขามองมาทางผมกับทิชาด้วยสีหน้าเจ็บปวดระคนผิดหวัง แต่จะให้เข้าไปปลอบก็ใช่เรื่อง และผมก็บอกเขาชัดเจนแล้วด้วยว่าคนที่ผมรักคือทิชา.... ผมจะไม่เปลี่ยนใจ ถ้าเขารับความจริงข้อนี้ไม่ได้ก็สามารถตัดใจไปจากผมได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ทำเอง ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด

“มึง.... พี่ปายเขาอยากคุยกับมึงหรือเปล่า?”  ทิชาถามอย่างไม่แน่ใจ

“คุยอะไรล่ะ?”  ผมยักไหล่เป็นเชิงไม่ยี่หระ มือก็กดปุ่มปลดล็อครถยนต์แล้วเปิดประตูให้ทิชาเข้าไปนั่งก่อน  “ถ้าเขามีเรื่องอยากคุยก็คงเดินเข้ามาหากูเองแหละ”

“คงไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าคุยกับมึงเพราะกูนะ” 

ร่างบางยังคงกังวลกับสายตาเศร้าๆ ของพี่ปาย ไม่ยอมเข้าไปในรถจนกว่าจะได้ข้อสรุปแน่นอนว่าตัวเองใช่ต้นเหตุที่ทำให้คนอายุมากกว่าต้องมองตามผมตาละห้อยทั้งๆ ที่สนิทสนมกันถึงในระดับหนึ่งหรือไม่ 

“ก็ทีแรกมึงสนิทกับเขา ใครๆ ก็บอกว่ามึงกับพี่ปาย.....เอ่อ.......คุยๆ กันอยู่........แล้ววันนี้มึงกับกูก็อยู่ด้วยกันตลอด แทบไม่ได้คุยกับเขาเลย..............”

“คิดมากน่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

ผมรู้ว่ามันฟังดูใจร้ายที่พูดไปแบบนั้น แต่อย่างที่บอกว่าเวลาที่ผมจะได้อยู่กับทิชามันสุดแสนจะน้อยนิด และผมก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ ไปกับคนอื่น.... ยังไงซะ ทิชาก็คือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม สำคัญอย่างที่ไม่มีใครเข้ามาแทนที่หรือเทียบเท่าได้ แม้กระทั่งตัวพี่ปายเองก็ตาม

“จะดีเหรอวะ?”

“เอาตามนั้นแหละ มึงสนใจแค่กูคนเดียวก็พอแล้ว”



Rrrrr Rrrrr



โทรศัพท์ผมดังในตอนที่ทิชาขยับปากจะพูดต่อ ผมจุ๊ปากบอกให้เขาเงียบก่อนเพราะชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอคือแม่บังเกิดเกล้าสุดที่รักของผมเอง ปกติผมกับแม่ไม่ค่อยได้โทรคุยกันบ่อยสักเท่าไร ส่วนมากจะส่งไลน์ในกรุ๊ปครอบครัวมากกว่า ลองว่าโทรมาเวลานี้คงต้องมีเรื่องด่วนอะไรบางอย่างแน่นอน

“ว่าไงครับ มี้”

(น้องแดนอยู่ไหนคะลูก.... มี้โทรหาตั้งหลายรอบแล้วนะ)

“ผมมีเวิร์คช็อปการแสดงครับ เพิ่งเลิกเมื่อกี้เอง” 

ลางสังหรณ์แปลกๆ ทำให้หัวคิ้วของผมต้องขมวดเข้าหากัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่ามี้โทรหาผมหลายรอบแล้ว เพราะตั้งแต่ออกมา ผมก็ยังไม่ได้หยิบมือถือมาเช็คดูมิสคอลเลย 

“มี้มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมเสียงฟังดูไม่ค่อยดีเลย?”

(บ้านแปะใหญ่โทรมาบอกว่าเฮียโรมโดนยิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล)

“อะไรนะครับ??”

ผมย้อนถามเสียงสูง ไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ สงสัยว่าสัญญาณจะแทรกจนทำให้ผมฟังผิดไป แต่มี้ก็ยังย้ำคำเดิมกลับมาพร้อมรายละเอียด

(เฮียโรม ลูกชายแปะใหญ่โดนใครก็ไม่รู้ยิงเอา มีคนพาส่งโรงพยาบาลแต่ยังไม่รู้ว่าอาการเป็นยังไง.... บ้านแปะใหญ่ออกไปสนามบินกันตั้งแต่ตอนทุ่มนึงแล้ว เห็นว่าได้ไฟลท์ดึกสุดไปกรุงเทพ กว่าจะถึงโน่นก็คงเที่ยงคืน ตีหนึ่งเลย)

“.......................”

ผมเงียบไปเหมือมอมก้อนหินไว้ในปาก ท่ามกลางความช็อค สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ประคองโทรศัพท์เอาไว้ในมือพลางเหลือบมองทิชาซึ่งรอผมคุยกับมี้ให้จบเพื่อที่เราจะได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างที่ตั้งใจ

แต่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ใครมันจะไปมีอารมณ์อยากกิน?

(เห็นว่ากู้ภัยเขาพาเฮียโรมไปส่งโรงพยาบาลเอกชนตรงสุขุมวิท49 มี้ฝากน้องแดนเข้าไปดูเฮียเขาหน่อยนะลูก รอจนกว่าพวกบ้านอาแปะใหญ่จะไปถึง.... ได้เรื่องยังไงโทรมาบอกมี้ด้วย ทางนี้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนที่บ้านเราขวัญเสียกันไปหมด ไม่มีใครรู้เลยว่าตกลงเฮียโรมเป็นอะไรหนักหรือเปล่า)

“ได้ครับ มี้.... ผมจะรีบไปนะ”

หัวใจผมเต้นแรงมากในตอนที่กดวางสาย แรงเสียจนน่ากลัวว่าตัวเองจะเข่าอ่อนร่วงลงไปตรงนี้เพราะความตกใจ เนื้อตัวเย็นเฉียบจนรู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจนเปียกแผ่นหลัง.... ถึงจะเคยแอบคิดว่าถ้าเฮียโรมยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับเบอร์ลิคก็คงไม่แคล้วโดนลูกหลงเข้าสักวัน แต่อย่างมากก็คงแค่มีเรื่องชกต่อยยกพวกกระทืบกันเวลาเมา ไม่ได้คิดเลยว่าจะหนักหนาสาหัสถึงขั้นถูกยิง

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทิชาเข้าใจว่าผมคุยธุระกับแม่ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ถามหรอกว่ามีเรื่องอะไร ผมคงต้องเป็นคนบอกมันเอง.... แต่ผมจะบอกเรื่องเฮียโรมกับทิชาได้ยังไง เมื่อกี้มันยังยิ้มแย้มหัวเราะเล่นกับผมอยู่เลย ถ้าผมบอกข่าวร้ายนั่นออกไปก็ไม่ต่างจากยื่นปืนให้ผมแล้วสั่งให้ยิงทิชาด้วยอีกคน

ทำไมคนที่รับบทผู้ร้ายถึงต้องเป็นผมทุกทีเลยวะ....?



“ไปกันได้หรือยังครับ คุณแดน?”

ทิชาเอ่ยถามด้วยความที่ผมยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่ยอมขยับทั้งๆ ที่เพิ่งจะวอแวขอให้มันไปกินข้าวเป็นเพื่อน ใจหนึ่งก็เกิดไอเดียชั่วๆ ขึ้นมาว่าผมไม่ควรจะบอกอะไรทิชาทั้งนั้น แค่เอามันไปปล่อยไว้ห้องเฮียโรมก็พอ รอให้มันรู้เรื่องนี้เองจากใครก็ได้ จากไหนก็ช่างที่ไม่ใช่ไอ้แดนนรกคนนี้

หากพอคิดว่าทิชาจะต้องนั่งรอคนที่ไม่มีทางกลับมาหาตลอดทั้งคืน เพื่อที่จะได้รู้ทีหลังว่าเฮียโรมอาจจะจากมันไปตลอดกาล ผมก็เสือกทำไม่ลง.......

ผมคว้าร่างผอมบางมากอดเอาไว้แน่น บังคับให้ใบหน้าสวยซุกลงบนอกกว้าง แน่นอนว่าคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรจะต้องดิ้นขลุกขลักขัดขืน ด่ากราดเพราะเข้าใจว่าผมกำลังหาเรื่องลวนลามมันในที่สาธารณะเหมือนตอนที่ขโมยหอมแก้มต่อหน้าคนอีกครึ่งมหาวิทยาลัย

“ไอ้เหี้ยแดน อะไรของมึงอีกเนี่ย.... ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”

“ทิชา.............” 

ผมออกแรงกอดให้มากขึ้น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องโอ๊ยเมื่อความอึดอัดเริ่มจะกลายเป็นเจ็บ แต่มันคงเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังจะออกจากปากผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า 

“มึงสัญญากับกูก่อนนะว่าจะไม่โวยวาย......จะไม่ตกใจ........จะไม่ร้องไห้ด้วย.............”

“ไม่เอา กูไม่เล่นนะ!”

“สัญญาก่อนสิ ไม่งั้นกูก็ปล่อยมึงไม่ได้”

“แดน........มึงทำกูกลัว...........”

น้ำเสียงผมแย่มาก พลอยทำให้ทิชาเครียดตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผมถ่ายทอดเข้าไปสู่การรับรู้ของทิชาโดยอัตโนมัติ ร่างเล็กหยุดดิ้นแล้วยื่นนิ่งให้ผมกอดนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น.... ข้างในลำคอแห้งผากยิ่งว่าถังทราย แห้งจนแทบกลืนน้ำลายตัวเองไม่ลงในขณะที่เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบสะเทือนไปถึงก้านสมอง หัวใจของเราทั้งคู่บีบรัดตัวรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันอาจหยุดเต้นไปเลยก็ได้หลังจากที่ผมพูดจบ

แต่มันคงไม่มีอะไรให้แย่มากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ....



“เฮียโรมถูกยิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล.........”


“ยังไม่รู้ว่าอาการเป็นยังไง แต่น่าจะหนักอยู่.... ที่บ้านเฮียโรมก็กำลังขึ้นเครื่องมาจากสุราษฎร์ แม่กูขอให้กูช่วยไปเฝ้าเฮียโรมจนกว่าพ่อแม่เขาจะมาถึง”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 23:48:28 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“.......................”

“ทิชา.... มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า?”

ผมเอ่ยเรียกเมื่อคนในอ้อมกอดนิ่งสนิทไม่ไหวติง ผมรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายฟังไม่ทันหรือจับต้นชนปลายไม่ถูก ทิชาได้ยินทุกถ้อยคำที่ผมพูดเมื่อครู่อย่างครบถ้วนชัดเจน และสิ่งที่ตามมาก็คืออาการช็อคเพราะความตกใจ

“บะ........บ้าน่า...........” 

อย่าใช้คำว่าพอตั้งสติได้ถึงพูดออกมาเลย เสียงแหบแห้งของทิชาคล้ายจะกระชากวิญญาณผมให้หลุดออกจากร่าง ปลายนิ้วเรียวจิกอกเสื้อผมแรงจนแทบจะฝังเล็บลงไปในเนื้อ ประโยคคำถามอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินย้ำซ้ำวนเวียนอยู่แค่ว่าผมคือต้นเหตุของเรื่องเหลวไหลทั้งหมด 

“มึงล้อกูเล่นใช่ไหม แดน........มึงแกล้งกูอีกแล้วใช่ไหม.........!?”

ผมได้แต่ส่ายหน้าทั้งที่ยังกอดร่างผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้ หากก็ไม่อาจหยุดมรสุมน้ำตาไม่ให้ไหลบ่าท่วมท้นไม่ได้อีกแล้ว

“มึงแม่งเลวอะ.......กูยอมให้มึงขนาดนี้แล้วยังจะแกล้งกูอีก...........”

“.......ฮึก.........กล้าเอาเรื่องเฮียโรมมาล้อเล่นกับกูได้ยังไง..........อึก........กูเกลียดมึง......กูไม่เป็นเพื่อนกับมึงแล้ว........ปล่อยกูเลยนะ.......ฮือ.............”

เสียงสะอื้นของทิชากรีดลึกลงกลางหัวใจผม ทั้งเจ็บทั้งทรมานเมื่อต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ผมรู้ว่าความเจ็บปวดกล้ำกลืนในขณะนี้คงเทียบกับสิ่งที่ทิชากำลังเผชิญไม่ได้เลยสักนิด ผมถึงได้ปล่อยให้คนตัวเล็กระบายความรู้สึกโกรธเกรี้ยวใส่ผมได้เต็มที่.... ผมยินดีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทิชา ถ้าไม่ให้เป็นเพื่อน ไม่ให้เป็นคนรัก จะให้เป็นถังขยะ เป็นกระสอบทรายให้มันทุบจนน่วมยังไงก็ได้ ขอแค่มันยังอยู่ตรงนี้ อย่าหนีผมไปไหนอีกก็พอ

“กูต้องไปหาพี่โรม.........ฮึก...........กูต้องไปหาเขา...........” 

ร่างบางแทบพยุงตัวเองไม่อยู่ เกือบจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นคอนกรีตอยู่แล้วถ้าไม่ได้ผมกอดประคองเอาไว้ น้ำตาอุ่นไหลเป็นสายยาวจนเสื้อนิสิตผมชุ่มแฉะ เช่นเดียวกับความเสียใจและหวาดกลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไปซึ่งพร่างพรูออกมายิ่งกว่าทำนบเขื่อนแตก 

“พี่โรม........ฮือ.......พี่โรม...............”

“กูกำลังจะพามึงไปอยู่นี่ไง แต่มึงตั้งสติก่อนนะ.... อย่าร้องไห้แบบนี้”

“เขาจะไม่ตายใช่ไหม......ฮึก.....แดน.........พี่โรมจะไม่ทิ้งกูไปใช่ไหม........” 

ทิชายังคงสะอื้นถามในสิ่งที่ผมไม่กล้าตอบ เอาจริงๆ นะ ผมโคตรอยากโกหกเพื่อให้มันหยุดร้องไห้ โกหกไม่กี่คำให้ทิชาสบายใจ แต่พอนึกถึงจุดที่คำโกหกไม่อาจกลายเป็นความจริง ดวงดาวแสนสวยก็คงจะหายลับตามญาติผู้พี่ผมไปตลอดกาล 

“ไอ้แดน.......มึงบอกกูสิ.......ฮือ.......พี่โรมจะไม่เป็นอะไร.........เขารับปากกูแล้วว่าจะกลับไปรอที่ห้อง.......ฮึก.......เขาจะไม่โกหกกูใช่หรือเปล่า..........”

“กูไม่รู้ว่ะ........กูขอโทษ...............”

ผมแม่งเหี้ยจริงๆ ในเวลาอย่างนี้ก็ยังนึกถึงตัวเองก่อน

“ไม่มีพี่โรม กูก็อยู่ไม่ได้.......แดน.........กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา..........ฮือ.............”

ขอโทษนะ แต่ถ้าไม่มีทิชา ผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน

“แดน ทิชา.... มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”

พี่ปายกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามจากอีกฟากของลานจอดรถมาหาผมกับทิชาซึ่งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าเขาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่แค่อยากเสือกเพื่อที่จะได้เอาไปพูดต่อให้สนุกปาก หากกระนั้น ผมก็ไม่ไว้ใจพี่ปายมากพอที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

“ไป ทิชา.... ขึ้นรถกันนะ”

สิ่งที่ผมทำได้ในเวลานี้ก็มีแค่ประคองทิชาให้เข้าไปนั่งในรถ คาดเบลท์ให้แล้วปิดประตูก่อนจะพาตัวเองไปนั่งฝั่งคนขับเพื่อสตาร์ทรถ มันทั้งเหี้ยและหยาบคายสิ้นดีที่ทำเป็นไม่ได้ยินที่พี่ปายถามแล้วรีบพาทิชาไปโรงพยาบาล

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นผ่านกระจกมองหลังก่อนที่รถจะแล่นออกมาจากลานจอดชั้นใต้ดินก็คือแววตาเศร้าๆ ของพี่ปาย ทว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะหยุดรถลงไปอธิบายเหตุการณ์.... ในเวลานี้ คนที่ผมแคร์มากที่สุดก็คือทิชา เพราะฉะนั้น ผมจึงเลือกที่จะปกป้องหัวใจทิชาเอาไว้ก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว ถ้ารับไม่ได้ก็สามารถไปจากตรงนี้ได้ทุกเมื่อ


.

.

.

“คนเจ็บถูกยิงด้วยปืนปากกา หัวกระสุนจุดสามสอง.... ยิงเข้าไหล่ซ้ายแต่โชคดีที่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่หรืออวัยวะสำคัญ หมอผ่าเอากระสุนที่ฝังข้างในออกให้แล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องพักฟื้นอย่างต่ำสอง-สามสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคนเจ็บด้วย ถ้าแข็งแรงก็อาจจะหายเร็วกว่าที่หมอประเมินนะครับ”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ”

ผมยกมือไหว้คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งอุตส่าห์อยู่รออธิบายอาการของเฮียโรมให้ฟังทั้งที่ผ่าตัดเสร็จไปหลายชั่วโมงก่อนหน้า เท่าที่ฟังดูก็ค่อยโล่งอกที่ญาติผู้พี่ผมไม่ได้เจ็บโคม่าหนักหนาสาหัสมากอย่างที่กังวล ถึงแม้ไอ้การโดนยิงจนกระสุนฝังในจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยก็เถอะ

ตอนนี้เฮียโรมถูกย้ายจากห้องผ่าตัดมาพักฟื้นอยู่ห้องพิเศษ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง อาแปะใหญ่กับอาอึ้มและน้องๆ เพิ่งลงเครื่องที่สนามบินดอนเมืองกำลังหาแท็กซี่มาโรงพยาบาล ผมจึงเป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ให้ก่อน รวมถึงคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงด้วย แน่นอนว่าทางบ้านเฮียโรมจะต้องเอาเรื่องคนทำให้ถึงที่สุด ผมก็ได้แต่บอกตำรวจไปว่าต้องการดำเนินคดี ต่อให้ฝ่ายคู่กรณีจะหมดอนาคตติดคุกตายห่าไปเลยก็ช่างแม่ง

ผิดจากที่ผมคาดเอาไว้ก็คือ สาเหตุของเรื่องคราวนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับเบอร์ลิคเลย.... คนที่ยิงเฮียโรมเป็นแค่เด็กนักเรียนปวช. จากสถาบันแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อลือชาในด้านยกพวกตีกัน แล้วที่กรูกันลงมาจากรถเมล์ยิงพี่ชายผมก็เพราะเข้าใจว่าเฮียโรมเป็นคู่อริเพราะเฮียแกใส่เสื้อช็อปวิศวะฯ เดินหิ้วของโต๋เต๋อยู่ริมถนน เรียกได้ว่าโดนลูกหลงและถึงคราวซวยอย่างแท้จริง แต่ก็เอาเหอะ ไม่เจ็บมากก็ดีแล้ว ส่วนไอ้พวกเหี้ยยิงคนไม่ดูตาม้าตาเรือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณตำรวจจับมายัดใส่ตารางให้ครบทุกตัวก็แล้วกัน


“ทิชา.... มึงมากินข้าวหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ”

“กูยังไม่หิว มึงกินก่อนเลย” 

ทิชาตอบเสียงแห้งขณะที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเฮียโรมไม่ยอมไปไหน มันหยุดร้องสะอื้นฟูมฟายแล้วแต่นัยน์ตาแดงก่ำก็ยังมีน้ำเอ่อคลอให้ต้องปาดทิ้งเป็นระยะ 

“กูจะรอจนกว่าพี่โรมจะฟื้น.......ถ้าไม่เห็นเขาตื่นขึ้นมากับตา กูก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น...........”

“เฮียเพิ่งผ่าตัดเสร็จ กว่าจะฟื้นก็คงพรุ่งนี้แหละมั้ง”

“ที่พี่โรมเจ็บก็เพราะกูคนเดียว........ถ้ากูไม่ทำตัวงี่เง่าใส่เขา เขาก็คงไม่ต้องมาโดนอะไรแบบนี้...........”

เรื่องของเฮียโรมมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าและอยากให้เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้ทิชาโทษตัวเองแต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงคิดอย่างนั้น.... เมื่อคืนเฮียนอนค้างบ้านทิชา ทั้งคู่ตื่นสายเลยทำให้เฮียโรมไม่ได้เอารถไปมหาลัยด้วย แล้วที่แวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตก็เพราะจะซื้อของกินให้ทิชาตามที่รับปากกันไว้ เจ้าตัวก็คงคิดว่าอย่างน้อยถ้าเฮียโรมมีรถขับก็คงไม่ต้องเดินไปทางถนนใหญ่ แล้วก็คงไม่ถูกยิงจนต้องมานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่แบบนี้

ในเมื่อทิชาไม่ยอมกินข้าว ผมเองก็ไม่กล้าฝืนบังคับมันก่อนจะย้ายไปนั่งบนโซฟาเฝ้ามองดูมันแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเฮียโรม.... มือเล็กที่ผมรู้ว่าแสนจะนุ่มนิ่มและอบอุ่นกุมมือคนเจ็บเอาไว้ ผมก็อิจฉาแหละ หากก็รู้สึกเห็นภาพชัดดีว่าทิชารักเฮียโรมมากแค่ไหน มันคงไม่มีโอกาสและที่ว่างมากพอที่จะให้ไอ้แดนนรกอย่างผมหรือใครหน้าไหนเข้าไปแทรกได้อีกแล้ว

เรานั่งกันเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรอยู่อีกประมาณสิบห้านาที ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างร้อนรนกระวนกระวาย

“หวัดดีครับ แปะใหญ่ อาอึ้ม”

ผมเอ่ยขึ้นพลางยกมือไหว้ลุงกับป้าสะใภ้แล้วลุกขึ้นเปิดทางให้คนในครอบครัวเฮียโรมเข้ามา ทิชาทำสีหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยจากข้างเตียงมายืนหลบข้างหลังผม ผมแอบกระซิบบอกมันว่านี่คือพ่อแม่กับน้องสาวน้องชายเฮียโรม มันก็พยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่กล้ายื่นหน้ายื่นตาออกมาให้คนอื่นเห็น

“หมอว่ายังไงบ้าง แดน.... พี่เขาไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

“เฮียไม่เป็นอะไรมากแล้วครับ พ้นขีดอันตรายแล้ว หมอบอกว่ากระสุนฝังในแต่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่กับอวัยวะสำคัญ ผ่าตัดเอาออกเรียบร้อย ก็รอแค่แผลหายแล้วก็กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้”

“แล้วใครเป็นคนทำ.... ปกติโรมมันก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครนี่?”   

“โดนลูกหลงพวกช่างกลตีกันน่ะครับ แปะใหญ่”

ผมตอบคำถามผู้ใหญ่ไปตามที่ฟังมาจากหมอและตำรวจ แต่รายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นที่ป้าสะใภ้อยากรู้ ผมก็จนปัญญาที่จะตอบ

“แล้วรถเฮียโรมอยู่ไหน ทำไมถึงต้องไปเดินริมถนนให้โดนกุ๊ยพวกนั้นยิงเอาง่ายๆ อย่างนี้เนี่ย?”

“เอ่อ..........”

ใครจะไปกล้าพูดว่ารถเฮียโรมจอดอยู่บ้านทิชา ขืนพูดออกไปเวลานี้ ทิชาคงได้โดนอาอึ้มหมายหัวว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต้องเกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ ทิชาเองก็คงกลัวน้ำเสียงแม่เฮียโรมอยู่ไม่น้อย สังเกตได้จากแรงบีบเกร็งจากฝ่ามือที่ขยำชายเสื้อผมจากทางด้านหลัง


‘เชี่ย........เจ็บ............’


“ป๊าคะ ม๊าคะ เฮียโรมฟื้นแล้ว!”

หนึ่งในสองสาวฝาแฝดร้องขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนที่ทุกคนในบ้านจะกรูกันเข้าไปล้อมรอบเตียงคนเจ็บ ไหนทีแรกคุณหมอบอกผมว่ากว่าเฮียโรมจะฟื้นจากยาสลบที่ใช้ตอนผ่าตัดเอากระสุนออกก็น่าจะราวพรุ่งนี้ตอนสายๆ สงสัยว่าเสียงคุยกันจะดังเกินไปจนทำให้หลับต่อไม่ลง สู้ตื่นขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องแล้วค่อยนอนต่อรวดเดียวอะไรแบบนี้ก็เป็นได้

“โรม ป๊ากับม๊าอยู่นี่แล้วนะลูก.... ทำใจดีๆ ไว้ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

“เฮียขา พวกหนูก็มากันครบเลยนะ ตื่นขึ้นมาคุยกันหน่อยเร็ว”

“ยัยบ้า เฮียเพิ่งผ่าตัดมานะ คนเจ็บแทบตายคงจะมีอารมณ์คุยกับพวกเราหรอก”

“ฉันหมายถึงว่าให้เฮียฟื้นไวๆ จะคุยหรือไม่คุยก็แค่คำสร้อยย่ะ!”

“พวกเจ้อย่าเพิ่งเถียงกันได้ไหม หนวกหูเฮียเขาน่า!”

สมกับเป็นบ้านแปะใหญ่ เจอกันทีไรก็มีอันต้องได้ยินเสียงสองสาวคู่แฝดคนละฝาอย่างมิลานกับเวนิส พ่วงด้วยน้องชายคนเล็ก เจนัว จ้อกแจ้กจอแจรบกวนโสตประสาทตลอด แต่ไม่คิดว่าขนาดในโรงพยาบาลก็ยังไม่ละเว้นจนคนเป็นพ่อแม่ต้องหันมาดุให้เงียบไม่งั้นจะถูกจับโยนออกนอกห้อง

เฮียโรมขยับตัวเล็กน้อยพลางหยีตาสู้แสงนีออนบนเพดาน เป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ลุงกับป้าสะใภ้และบรรดาน้องๆ ยังคงเฝ้าล้อมอยู่รอบเตียงเป็นกำลังใจให้คนเจ็บฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างราบรื่น และก็เป็นไปตามที่พวกเราทุกคนช่วยกันสวดมนต์ขอพรให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง.... ในที่สุด เฮียโรมก็ลืมตาขึ้นมาให้คนทั้งบ้าน รวมถึงผมซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องโล่งใจไปอีกหลายๆ เปราะ

แต่ทว่า ชื่อแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งแตกนั้นกลับไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดหรือคนในครอบครัวเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น


‘ทิชา............’



“หือ.... ทิชาเหรอ?”

“ทิชา? ใครน่ะ??”

ปริศนาคำทายอะไรเอ่ยทำเอาสมาชิกบ้านอนุวัฒน์วงษ์มองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่ทุกสายตาจะหันมามองร่างเล็กซึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลังผมแทบจะเป็นตาเดียวกัน ผมคิดว่าทิชาจะคงรู้สึกประหม่าขัดเขินอยู่ไม่น้อยที่ถูกครอบครัวของแฟนจับจ้องด้วยสีหน้าคล้ายกับจะถามว่า ‘คุณเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?’

แต่ความกระอักกระอ่วนนั้นก็คงจะเอาชนะอารมณ์ดีใจที่คนรักแคล้วคลาดปลอดภัยไม่ได้ ทิชาจึงย้ายตัวเองไปอยู่ข้างเตียงคนเจ็บแล้วกุมมือเฮียโรมเอาไว้แบบเดียวกับตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามา

“พี่โรม.......เจ็บมากไหม......ฮึก..........”

น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้ทำท่าจะไหลออกมาอีกรอบ ทิชาแนบแก้มตัวเองลงกับหลังมือแฟนหนุ่ม หน่วยตาแดงช้ำมองร่างสูงซึ่งยังอ่อนแรงด้วยความรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกนี้

“ทิชา.............” 

เฮียโรมเรียกขานชื่อเดิมซ้ำอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของชื่อนี้คือคนแรกและคนเดียวที่อยู่ในห้วงสติสัมปชัญญะของเขา ทั้งที่ยังดูเบลอๆ จากฤทธิ์ยาแต่ก็ยังจำเรื่องของคนรักได้แม่นไม่มีตกหล่น

“พี่ซื้อแอปเปิ้ลให้เราแล้วจริงๆ นะ........แต่ใครแม่งเอาไปไหนแล้วก็ไม่รู้...........”

“พี่โรม........ฮึก.....พี่โรม.............”

“พี่ขอโทษ..........วันหลังจะซื้อให้ใหม่...........คนดีไม่โกรธพี่นะ..........”

ภาพที่อยู่ตรงหน้าจะว่าไปแล้วก็น่ารักและน่าประทับใจดี เฮียโรมทั้งรักแล้วก็แคร์ทิชามากขนาดนี้ก็สมควรแล้วกับที่นางฟ้าของผมเสียน้ำตาและเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปไม่รู้ตั้งเท่าไรเพื่อให้ได้เป็นคนรักกัน.... แต่สำหรับครอบครัวเฮียโรม โดยเฉพาะป้าสะใภ้ซึ่งเป็นที่รู้ๆ กันในหมู่วงศาคณาญาติว่าหวงลูกชายคนโตเสียยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่าเขาจะเห็นดีเห็นงามและมองว่าทิชาเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนอย่างที่เฮียโรมมอง

ยิ่งพอได้ยินมิลานกับเวนิสแอบซุบซิบคุยกัน ผมก็ยิ่งมั่นใจเลยว่าความรักของทั้งคู่คงไม่ได้มีอุปสรรคแค่เรื่องของบีบี๋เพียงอย่างเดียวแน่



คนที่ชื่อทิชาอะไรนั่น ไม่ใช่แฟนเฮียแดนเหรอ..... ที่บอกว่าจะเล่นซีรีส์ด้วยกันไง’

‘ฉันก็เข้าใจว่าเขาเป็นแฟนเฮียแดนมาตลอดเลย แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ.... ดูรักกับเฮียโรมขนาดนี้ ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย!’

‘คงไม่ได้จับปลาสองมืออยู่ใช่ไหม?’

จะไปรู้เหรอ.... ฉันก็เห็นพร้อมๆ กับที่เธอเห็นนี่แหละ’



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
BEE-BEE's PART


“มึงรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป.... ทำแต่เรื่องเหี้ยๆ สร้างความเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน ไม่สงสารป๊ากับม๊าที่เลี้ยงมึงมาบ้างเลยเหรอ!?”

“เฮีย.... ใจเย็นๆ ก่อน ค่อยพูดค่อยจากันเถอะนะ”

“เธอก็อีกคน แบบนี้แล้วยังมีแก่ใจจะเข้าข้างมันอีก!”

“แบมไม่ได้เข้าข้าง แค่บอกให้เฮียใจเย็นๆ ไม่งั้นก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก”

พี่ชายผมซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัดรีบบึ่งรถทัวร์จากขอนแก่นมากรุงเทพเพราะคลิปอัปยศที่ได้รับเมื่อวานนี้ มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาตบหน้าผมอย่างแรงจนหัวคลอนโดยไม่สนเลยว่าแขนขาผมจะยังใส่เฝือกจากอุบัติเหตุ จากนั้นก็เริ่มต้นด่า ด่า ด่า แล้วก็ด่า ชนิดที่แม้แต่เจ้แบมก็ยังช่วยห้ามไม่ไหว หากกลับไม่ถามผมเลยสักคำว่าเจ็บปวดทรมานแค่ไหนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

หรือแม้กระทั่งในสายตาของพี่น้องที่คลานตามกันมา ผมก็ยังเหี้ยเกินกว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากพวกเขา....?

“ดูหน้ามันสิ มีความสำนึกที่ไหน.... คงไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสินะ!”

“บี๋.... ขอโทษเฮียเขาซะ แล้วก็บอกมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คลิปที่ส่งมามันหมายความว่ายังไง? แกไปทำแบบนั้นทำไม?”

“ถ้ามันคิดจะพูดก็คงพูดไปนานแล้ว ที่เงียบอยู่นี่ก็เพราะหาข้อแก้ตัวไม่ได้มากกว่ามั้ง!”

ที่เฮียบิ๊กพูดก็ถูก ผมเงียบเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง จะให้บอกเขาว่าถูกทำร้ายเพราะสาระแนไปยืมมือเฮียรุจหวังจะเล่นงานคนอื่นก่อน ผมก็คงได้รับแต่คำถากถางสมน้ำหน้ากลับมาอยู่ดี.... สำหรับตอนนี้ ผมหวังแค่ป๊ากับม๊าจะไม่รู้ถึงความเหลวแหลกเละเทะของผมก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นก็ช่างหัวแม่งเถอะ

“บี๋ ถ้าแกเอาแต่เงียบอยู่อย่างนี้ พวกฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้นะ”

“ถึงบี๋พูดไป ก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้อยู่แล้ว..........” 

ผมพยายามข่มน้ำเสียงตัวเองให้นิ่งเข้าไว้ ทำเสมือนว่าคลิปที่ถูกส่งไปให้เฮียบิ๊กกับเจ้แบมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย วัยรุ่นสมัยนี้ก็ถ่ายคลิปมีเซ็กส์แชร์ในโซเชียลออกเยอะแยะถมไป ผมก็แค่พลาดที่เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายซาดิสม์ใจหมารสนิยมแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป ที่ห่วงก็มีแค่กลัวป๊ากับม๊าตัดออกจากกองมรดกเท่านั้นแหละ 

“เอาเป็นว่าบี๋ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน เฮียกับเจ้แค่ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้งได้ไหมล่ะ?”

“ไอ้บี๋ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ” 

เจ้แบมไม่ยอมเออออห่อหมกตามไปด้วย ถึงพี่น้องบ้านผมจะไม่ได้สนิทกันมาก รักกันปานจะกลืนกินเหมือนลูกบ้านอื่น แต่เจ้แบมก็เป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างและคอยปกป้องผมจากอารมณ์ร้อนของป๊าและเฮียมาโดยตลอด แน่นอนว่านิสัยใจคอผม พี่สาวคนนี้ย่อมต้องรู้ดีกว่าใคร 

“ยิ่งถ้าแกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ งั้นใครเป็นคนส่งคลิปแกเข้ามาในไลน์ฉันล่ะ.... แกไปมีปัญหากับใครก็พูดมา เผื่อว่าจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไม่ให้มันบานปลายไปกว่านี้”

ผมก็อยากขอความช่วยเหลืออยู่หรอกนะ แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีใครสามารถหยุดเฮียรุจได้ ถ้าเขาคิดจะล่ามโซ่ผมเอาไว้เป็นทาสรองรับความใคร่วิปริตตลอดไป ผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมให้เขาได้จนกว่าจะพอใจ.... ผมยื่นมือลงไปเล่นกับไฟ และตอนนี้ไฟก็เผาร่างผมจนไหม้ไปแล้วครึ่งตัว ที่เหลือก็คือต้องพยายามห้ามไม่ให้มันไหม้ลามไปถึงบ้านและบรรดาคนที่ผมรัก

“บี๋ขอแค่เฮียกับเจ้อย่าบอกเรื่องนี้ให้ป๊าม๊ารู้.......ขอแค่นี้ได้ไหม..........”

“ไม่ได้!”

เฮียบิ๊กตอบอย่างไร้เยื่อใย สำหรับเขาแล้ว ความผิดของผมไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านมองข้ามไป มันน่าทุเรศ น่าสมเพชแล้วก็น่าอับอายขายขี้หน้าที่ต้องมาเห็นคนในครอบครัวเดียวกันทำในสิ่งที่สังคมทั่วไปไม่ยอมรับ.... ทั้งมีอะไรกับเพศเดียวกัน ทั้งยอมให้อีกฝ่ายถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน สร้างความเสื่อมเสียอย่างที่ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้อภัยกันได้ง่ายๆ

“เฮีย........อย่าขู่ไอ้บี๋มันสิ”  ฝ่ายพี่สาวช่วยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นเลยก็ตาม

“เฮียไม่ได้ขู่ แต่ถ้ามันไม่ยอมพูด เฮียจะให้ป๊าเป็นคนมาถามมันเอง!” 

พี่ชายคนโตยืนกรานเสียงแข็ง ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าเขามีธงในใจอยู่แล้วว่าผมไปทำอะไรมา และถ้าผมไม่ยอมรับข้อกล่าวหาซึ่งเฮียรุจเป็นคนจัดฉากขึ้น เฮียบิ๊กก็คงไม่ยอมเลิกที่จะเค้นคอพร้อมกับด่าทอผมเสมือนว่าเราไม่เคยกินข้าวหม้อเดียวกันมาก่อน 

“ก็อยากรู้นักว่าที่บ้านเลี้ยงมึงให้อดอยากปากแห้งมากนักเหรอ ถึงได้ต้องทำงานอย่างว่า ไปเร่ขายตัวในผับเหมือนกะหรี่....  ถ้าอยากเป็นไซด์ไลน์มากนัก กูจะได้บอกให้ป๊าเอามึงออกจากมหาลัย ทีนี้มึงจะทำอะไรหรือไปตายห่าที่ไหน กูจะไม่ยุ่งกับไอ้น้องนอกคอกแบบมึงเลย!”

“บี๋ไม่ได้ขายตัวนะ...........” 

แต่จะให้ผมยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มันก็เกินไป ที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็แทบจะไม่เหลือดีอยู่แล้ว

“มึงเงียบปากไปเลย คนอย่างมึงน่ะมันเชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น.... โกหกเก่งยิ่งกว่าเด็กเลี้ยงแกะ เลี้ยงเสียข้าวสุกฉิบหาย!”

ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำเอาผมต้องกลืนคำขอร้องลงคอไปให้หมด ไม่มีประโยชน์ที่จะขอความเห็นใจจากคนที่ไม่เคยเห็นผมเป็นน้อง.... ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงในรูปแบบไหน แต่รอยร้าวและอคติในใจพวกเขาซึ่งคิดว่าผมคือตัวกาลกิณีผิดพี่ผิดน้องก็คงไม่มีทางเลือนหายไป เพิ่งเข้าใจความรู้สึกไอ้ทิชาเดี๋ยวนี้ว่าเวลาถูกคนอื่นรังเกียจมองว่าเลวทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรมันเป็นแบบนี้นี่เอง

และนี่ก็คงเป็นกรรมสนองที่ผมทำไม่ดีกับมัน เห็นมันทำท่าจะรักใครชอบใครก็ตามไปแย่งเอามาเป็นของตัวเอง คบทิ้งคบขว้าง แกล้งให้ทิชายิ่งรู้สึกแย่และน้อยเนื้อต่ำใจว่าคนแบบมันคงไม่เป็นที่ต้องการของคนดีๆ

ในเวลานี้ ผมเองก็ไม่มีหน้าเหลือจะมองพวกคนดีๆ อีกแล้วล่ะ

ก็คงมีแค่คนที่เลวเสมอกันเท่านั้นที่จะรับผมได้....



ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกก่อนที่เสียงรองเท้าคอมแบทด๊อกเตอร์มาตินจะย่ำเข้ามาใกล้ ผมซึ่งนั่งอยู่บนเตียงตามลำพังสะดุ้งเฮือกขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง นอกเหนือจากความกลัว ยังมีความรู้สึกโกรธและขยะแขยงในสิ่งที่เฮียรุจทำเอาไว้กับผม.... ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากใช้ลมหายใจร่วมกัน แม้กระทั่งมองหน้าสักเพียงชั่วแวบเดียวก็ยังไม่อยากเลย

“ว่าไง น้องบีบี๋.... ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?”

ร่างสูงใหญ่วางถุงพลาสติกที่หิ้วไว้บนโต๊ะแล้วมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างผม ริมฝีปากหยักยิ้มกริ่มในตอนที่ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออกเร็วๆ เหมือนว่าเขาจะชอบใจที่ได้เห็นผมตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังและจนตรอก

“ร้องไห้ทำไมครับ? เศร้าเรื่องอะไรเหรอ?” 

น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงร่องรอยของความสะใจอย่างชัดเจน ไม่มีตรงไหนเลยที่ทำให้สัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยหรือรู้สึกผิดบาปที่ทำชีวิตผมพังยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดี 

“โดนอาเฮียกับอาเจ้ดุเอาเหรอ.... ยังกลับบ้านได้อยู่ใช่ไหม หรือว่าโดนไล่ออกมานอนข้างถนนเรียบร้อยแล้ว?”

“ก็สมใจเฮียรุจแล้วไม่ใช่เหรอ..........”

เหมือนอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เหตุผลที่เฮียรุจจัดการปล่อยคลิปก็เพื่อให้ผมถูกคนที่ตัดขาดบ้านขับไล่ไสส่ง เพื่อนฝูงต่างพากันหันหลังให้ไม่มีใครอยากคบ และเขาก็ทำสำเร็จเสียด้วยเพราะในตอนนี้ผมไม่มีที่จะให้กลับไปอีกแล้ว

“ไม่เอาน่า เฮียไม่ใจร้ายปล่อยน้องบีบี๋ไปนั่งแขนหักขาเป๋แป็นขอทานข้างถนนหรอก” 

เจ้าของเบอร์ลิคขยับตัวเข้ามาโอบไหล่ข้างที่ไม่มีสายคล้องเฝือก ใบหน้าหล่อร้ายเจ้าเล่ห์แนบชิดลงมาตรงซอกคอพาลให้กระดูกสันหลังเหยียดตรงด้วยความหวาดระแวงผสมรังเกียจไม่อยากให้เขาแตะต้อง ลมหายใจเจือปนกลิ่นบุหรี่ทำเอาของเหลวในช่องท้องปั่นป่วนคลื่นเหียนจนแทบจะขย้อนตับไต้ไส้พุงออกมา 

“อยู่กับเฮียดีๆ ทำตัวว่าง่าย ไม่ดิ้นรนคิดให้ใครมาช่วยตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว”

กลีบปากสีคล้ำกดลงบนผิวแก้มไม่ทำให้รู้สึกดี หรือรู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันคือตราประทับซึ่งบ่งบอกว่าผมจะต้องกลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องของเขาเฮียรุจต่างหาก

“อีกนานแค่ไหน?”

“หืม....?”

“บี๋อยากรู้ว่าเฮียรุจจะให้บี๋อยู่ที่เบอร์ลิคอีกนานแค่ไหน.... หนึ่งปี สองปี สามปี หรือว่าสิบปี?”

ก็แค่อยากรู้ว่าจะตกนรกอีกนานแค่ไหน อีกกี่เดือนกี่ปีถึงจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นบีบี๋ที่แสนสดใสร่าเริงตามเดิม หรือว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว

“ถามเรื่องที่ยังไม่เกิดนี่มันตอบยากนะ เฮียก็ไม่ได้เป็นหมอดูเสียด้วยสิ”

ร่างหนาโคลงศีรษะเป็นเชิงไม่คิดจะให้คำตอบจริงจัง เพราะความสนุกสนานบันเทิงใจของเฮียรุจก็คือการได้เห็นผมทรมานด้วยน้ำมือเขานั่นเอง 

“ก็อาจจะหนึ่งปี สองปี สามปี หรือว่าสิบปีอย่างที่ถาม.... แต่ถ้าน้องบีบี๋ทำตัวน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย น้องบีบี๋ก็อาจจะกินดีอยู่ดีมีเงินใช้สบายไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”

มือหนาลูบหัวผมเบาๆ ราวกับว่ารักใคร่เอ็นดูมากมายนักหนา แต่ความอ่อนโยนใจดีซึ่งไม่ต่างอะไรกับน้ำตาลที่เคลือบบนหน้าเค้กอาบยาพิษนั้นใช้หลอกผมไม่ได้หรอก.... ทันทีที่ผมเบี่ยงตัวออกหรือทำอะไรก็ตามที่เป็นการขัดใจเฮียรุจ มือข้างเดียวกันนั้นก็คงพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นจิกหัวผมได้แบบไม่ลังเล

“ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปอยู่กับเฮีย แล้วเฮียจะถือว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ถ้าบี๋ปฏิเสธล่ะ.........อึ้ก!”

ยังไม่ทันขาดคำ คอของผมก็ถูกบีบอย่างแรงพร้อมกับสายตาแข็งกร้าวซึ่งจ้องมองมาคล้ายว่าจะเข่นฆ่ากันให้ตายคามือ.... ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ ความดันลูกนัยน์ตาพุ่งสูงจนผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะปลิ้นถลนออกจากเบ้า ยิ่งพยายายมสูดอากาศเข้าปอดเพื่อยื้อสติตัวเองเอาไว้ก็ยิ่งกระอักเหมือนจะตายเสียให้ได้ ผมเจ็บ ผมทรมาน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านค่อยๆ พร่ามัวเลือนราง แต่ทว่า รอยยิ้มเยาะเย้ยแกมข่มขู่จากคนตรงหน้ากลับยังคงชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร

“น้องบี๋เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไหม ที่อยู่ชั้นใต้ดินห้างแถวสยามน่ะ?” 

คำถามนั้นตีคู่มากับแววตาชั่วร้าย ผมรู้สึกกลัวจนจับถึงขั้วหัวใจและรู้ได้เองเลยว่ามันไม่ใช่เพียงคำขู่ เฮียรุจพูดจริงทำจริง แบบเดียวกับที่เขาจงใจปล่อยคลิปพังชีวิตและอนาคตผมภายในไม่กี่วินาทีนั่นแหละ  “ปะการังกับพวกหินใต้ทะเลก็สวยดีนะ ปลานีโม่ก็น่ารัก.... อยากไปนอนพักผ่อนสบายๆ อยู่แถวนั้นไหมล่ะ เลือกได้เลยว่าอยากจะอยู่ฝั่งอ่าวไทยหรืออันดามัน หรือถ้าเป็นห่วงกลัวว่าคนที่บ้านจะเหงา จะให้เฮียส่งปาป๊า หม่าม้า อาเฮีย อาเจ้ ไปนอนเล่นเป็นเพื่อนน้องบีบี๋ก็ได้นะ”

“เฮียรุจ......อุก.......อย่ายุ่งกับคนที่บ้านบี๋..........!”

ผมพยายามเค้นเสียงออกไปอย่างยากลำบาก ความคับแค้นใจมีมากพอๆ กันกับความอึดอัดจากแรงบีบซึ่งกดหลอดลมจนบี้แบน หยาดน้ำคลอหน่วยตาเมื่อคิดไปว่าคนในครอบครัวจะต้องพลอยเดือดร้อนจากการกระทำของผมเอง แต่แล้ว อยู่ดีๆ เฮียรุจก็ปล่อยมือออกพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ในขณะที่ผมไอโขลกสำลักน้ำหูน้ำตาไหลรอดตายหวุดหวิด

“ล้อเล่นน่า” 

ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันพลางเอื้อมมือไปดึงทิชชู่บนโต๊ะข้างเตียงมาเช็ดหน้าให้ผม ก่อนจะจับใบหน้าให้หันไปสบตาเขา 

“เฮียรู้ว่าน้องบีบี๋ฉลาดจะตาย คงไม่โง่ปฏิเสธเฮียอีกเป็นครั้งที่สองหรอกเนอะ”

ไม่มีโอกาสได้อ้าปาก จี้รูปเฟืองสีทองแดงที่แสนคุ้นตาก็ถูกนำมาคล้องรอบคอผมอีกครั้งเหมือนสวมปลอกคอให้หมาให้แมว เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำไม่มีอะไรได้ผลเลยสักอย่าง ทั้งกระโดดลงมาจากหน้าต่างจนบาดเจ็บ ทั้งสร้างเรื่องโกหกว่าความจำเสื่อม ไม่รู้จักมักจี่ใครหรือเรื่องไหนๆ ที่เกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคทั้งสิ้น ขนาดพยายามทำตัวน่าสงสารเพื่อจะดึงเฮียโรมเอาไว้เป็นโล่กันเฮียรุจ สุดท้ายเขาก็ยังเลือกถนอมน้ำใจคนที่เขารักมากกว่า

แล้วผมก็ต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมๆ ที่ตัวเองอยากจะหนีไปเสียให้พ้น

“น้องบีบี๋เป็นคนเลือกที่จะเข้ามาเอง ถ้าเฮียไม่ปล่อยก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น.... อยู่นิ่งๆ เป็นเด็กดีของเฮีย จะได้ไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อแบบไอ้โรม”

ชื่อที่ได้ยินทำเอาผมหันควับไปมองคนพูด ไม่ต้องอาศัยสัมผัสที่หก ผมก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเฮียโรม เพียงแต่ผมเดาไม่ออกว่าเฮียรุจทำอะไรกับคนที่เคยยกมือไหว้นับถือเขาเป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ  จนกระทั่งมองหน้ากันไม่ติดเพราะมีเขาเป็นต้นเหตุ

“เฮียโรม.... ทำไม? เขาเป็นอะไร??”

“แค่เจ็บตัวนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันยังไม่ถึงที่ตาย” 

เฮียรุจบอกยิ้มๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องซีเรียส ไม่ให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อยว่าตกลงแล้วเฮียโรมไปโดนอะไร ที่ไหน ยังไง กันแน่

 “อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลย มากินพิซซ่ากันดีกว่า.... หน้าฮาวายเอี้ยนชอบชีสของโปรดของน้องบีบี๋ไง”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกลิ่นชีสจนแทบเบือนหน้าหนี แต่ติดที่เฮียรุจไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เขาบังคับป้อนพิซซ่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าให้ผมกินสลับกับของอย่างอื่น ท่าทางอารมณ์ดีเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นโปรดกลับคืน ทว่า ร่องรอยกราดเกรี้ยวสะใจในดวงตาสีเข้มกลับย้ำเตือนให้ระแวดระวังว่ามือข้างเดียวกันนั้นก็สามารถเปลี่ยนมาขย้ำหักคอผมให้ตายได้ทุกเมื่อ

ข้างในหัวยังคงมีแต่ความทุกข์กังวล ทั้งอนาคตในวันพรุ่งนี้และวันต่อไปของตัวเอง ทั้งเรื่องที่ว่าเฮียโรมเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แต่สิ่งที่ผมทำได้กลับมีเพียงนั่งเฉยๆ แล้วก็รอให้เขาจับยัดเข้ากรงขังตามเดิม


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



“อ้าว.... คุณทิชา ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”

พนักงานสาวประจำโรงแรมที่พักสำหรับสัตว์เลี้ยงเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าสดชื่นหลังจากที่เปิดประตูต้อนรับผม เธอกุลีกุจอรับเอากรงใส่แมวไปวางไว้บนเคาท์เตอร์เช็คอิน ก่อนจะโบกไม้โบกมือสร้างความคุ้นเคยกับอสูรกายสีขาวซึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่คนแปลกหน้า 

“ไงจ๊ะ น้องมิลค์ คราวนี้จะอยู่สักกี่วันดีเอ่ย?”

“คงฝากไว้สักสองอาทิตย์ก่อนนะครับ แต่ก็อาจจะมากกว่านั้น เอาไว้ผมค่อยบอกอีกทีก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา.... เดี๋ยวทางนี้จะเก็บห้องไว้ให้น้องมิลค์เป็นพิเศษเลย”

ผมยื่นบัตรประชาชนตัวเองกับสมุดวัคซีนของมิลค์ให้พนักงานถ่ายเอกสารไว้เป็นหลักฐาน ใจก็คิดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องตัดสินใจพามิลค์มาฝากคนอื่นเลี้ยง

ถ้าพี่โรมรู้ว่าผมเอาลูกสาวมาไว้โรงแรมแมว เขาก็คงหัวเสียไม่น้อยแล้วก็บอกกว่าลูกเขา ทำไมเขาจะเลี้ยงเองไม่ได้.... ถ้าเป็นเมื่อสอง-สามวันก่อนก็คงใช่ แต่ตอนนี้ที่เจ้าตัวยังนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล ลำพังแค่ช่วยเหลือตัวเองยังลำบาก คงอีกนานกว่าจะกลับไปพักฟื้นที่ห้องได้ แล้วตัวผมก็วุ่นวายอยู่กับเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายละครไม่จบไม่สิ้น เทียวไปเทียวมาทั้งมหาวิทยาลัย สถานีโทรทัศน์ เพิ่มโรงพยาบาลเข้าไปอีกที่ก็ไม่มีเวลาดูแลยัยมิลค์เหมือนกัน

พอได้ห้องพัก ผมก็อุ้มพายัยมิลค์ไปส่งถึงที่ ภายในห้องมีทั้งอาหารแมวเกรดพรีเมียมอย่างดี ของเล่น กล่องปีน น้ำพุ ต้นอ่อนข้าวสาลีครบถ้วนตามที่จ่ายเงินไป ก็กะว่าจะให้ลูกอยู่สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากพอปล่อยยัยมิลค์ลงกับพื้น มันกลับไม่ยอมสนใจบรรดาของล่อตาล่อใจแมวตรงหน้า แต่ยืนจ้องผมตาแป๋วคล้ายกับจะบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่บ้านมิลค์สักหน่อย!’

“แง้ว”

“อยู่ที่นี่ไปก่อนนะ มิลค์”

“แง้ววววววว”

“แด๊ดดี้ไม่สบาย ที่คอนโดฯ ไม่มีคนอยู่เทข้าวเปลี่ยนห้องน้ำให้หรอก.... อยู่ที่นี่จะได้มีคนดูแล แล้วจะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ” 

ผมลูบหัวมัน บอกเหตุผลที่ไม่รู้ว่ามิลค์จะฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็แอบหวังว่ามันจะแค่ไม่นานจริงๆ อย่างที่ให้สัญญาเอาไว้กับลูกสาวขนฟู 

“แปบเดียวก็ได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนหนึ่งตัวเหมือนเดิมแล้ว อดทนหน่อยนะ”

ขืนอยู่นานกว่านี้คงได้เสียน้ำตาแน่ ผมก็เลยหักใจปิดประตูแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจร้ายทิ้งลูกที่เลี้ยงมากับมือได้ลงคอหากก็พยายามกล่อมความคิดในหัวว่ามันจำเป็น ให้มันอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็มีคนดูแลเปลี่ยนข้าวเปลี่ยนน้ำเล่นเป็นเพื่อน ดีกว่ารอผมกลับบ้านซึ่งก็ไม่แน่นอนว่าจะกลับตอนไหน กลับเมื่อไร ยิ่งพี่โรมยังเจ็บหนักอยู่อย่างนี้ด้วย

“ฝากมิลค์ด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอด”

“ค่ะ คุณทิชาไม่ต้องห่วงนะคะ ทางเราจะดูแลน้องให้เป็นอย่างดีเลย”

ผมออกจากโรงแรมแมวแล้วโบกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลต่อทันที วันนี้ผมขาดเรียนแล้วก็ขอลาหยุดเวิร์คช็อปชั่วคราว ถึงพี่โรมจะฟื้นแล้วแต่ผมก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำอะไรทั้งนั้น จะบอกว่ายังช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่ก็คงใช่ เอาเป็นว่าขอไปเฝ้าไข้ดูอาการพี่โรมให้แน่ใจก่อนว่าเขาโอเคขึ้นแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนที่บ้านเขาคอยประคบประหงมดูแลอย่างดีอยู่แล้วก็เถอะ

“พอแล้วครับ ม๊า.... ผมไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง นี่เราถูกยิงนะ ไม่ใช่รถจักรยานล้มเหมือนสมัยเด็กๆ จะได้แค่จับไปล้างแผลใส่ยาแดงก็หายน่ะ!”

“มันก็แผลเหมือนกันแหละ ไกลหัวใจ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ”

“จริงๆ เลย.... อยู่ดีไม่ว่าดี มีรถให้ใช้ก็ไม่ยอมใช้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คนร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็มีแค่ม๊ากับป๊านั่นแหละ!”

แค่แง้มประตูห้องพักฟื้น ผมก็ได้ยินเสียงพี่โรมกับผู้หญิงวัยกลางคนกึ่งคุยกึ่งเถียงกันลอยมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคุณแม่พี่โรมยังไม่กลับสุราษฎร์ไปเมื่อตอนเช้าพร้อมกับคุณพ่อและน้องๆ ถ้าผมมายังไงก็ต้องเจอ ทว่า ความรู้สึกหน่วงแน่นข้างในอกเหมือนกำลังเดินเข้าห้องเชือดไปพรีเซนต์แปลนกับอาจารย์ที่โหดที่สุดในภาคก็ยังมีมากเสียจนสลัดไปจากหัวใจไม่พ้นสักที

“สวัสดีครับ คุณแม่”

ผมวางถุงของกินที่หิ้วติดมือมาด้วยไว้บนโต๊ะรับแขกด้านนอกก่อนจะเดินเข้าไปยกมือไหว้คุณแม่พี่โรมตามมารยาท ด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่เข้าหาคนอื่นเก่งโดยเฉพาะกับพวกผู้ใหญ่ จะบอกว่ามีความทรงจำเลวร้ายติดมาจากตอนที่โดนญาติฝ่ายพ่อรังเกียจก็คงใช่ ผมเลยไม่รู้ว่านอกจากไหว้กับพยายามยิ้มให้แล้วยังควรทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า

“สวัสดีจ้ะ” 

คุณแม่รับไหว้ หากสายตาก็กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง 

“เมื่อคืนนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย ชื่อทิชาใช่ไหมเราน่ะ?”

“ครับ...........” 

ผมพยักหน้าตอบเสียงแผ่ว แม้จะยังไม่มีคำพูดว่ากล่าวอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึง ‘ความไม่ชอบ’ ซึ่งแผ่ออกมาผ่านดวงตาและน้ำเสียง ในตอนนั้นผมก็ทำได้แค่เพียงคิดว้าวุ่นในใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน หรือว่าที่พี่โรมเรียกหาผมเป็นคนแรกหลังจากได้สติจะทำให้ครอบครัวเขารู้สึกไม่ดี

“ทิชา มาหาพี่หน่อยสิครับ”

พี่โรมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนมีผ้าพันแผลอยู่ตรงไหล่ซ้ายเอ่ยเรียก มืออีกข้างซึ่งยังใช้การได้ก็กวักเป็นเชิงบอกให้ผมมายืนข้างเขา.... เอาจริงๆ นะ ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ สายตาของแม่พี่โรมทำให้ผมนึกถึงเวลาที่พวกคุณป้าด่าว่าผมกับแม่เป็นตัวสูบเลือดสูบเนื้อพ่อ ถ้าเป็นเวลาอื่น ผมคงไม่สนไม่แคร์แล้วก็เดินหนีไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะพี่โรมอยู่ด้วยตรงนั้น ผมจึงลองคิดในแง่ดีว่าคุณแม่คงไม่ตั้งแง่รังเกียจผมทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนหรอก

มือขวาของพี่โรมคว้ามือผมไปกุมไว้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ พยายามจะสะบัดออก แต่ร่างสูงบนเตียงกลับขยิบตาบอกให้ผมแค่ยืนเฉยๆ ก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาจัดการเอง

“ม๊าครับ ทิชากับผม ตอนนี้เรา............”

“ม๊าว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” 

พี่โรมยังพูดไม่ทันจบ คุณแม่ก็ถามแทรกขึ้นมาชนิดไม่สนใจเลยว่าลูกชายกำลังจะบอกอะไร ทั้งพี่โรมและผมหน้าเจื่อนไปตามๆ กันหากก็ไม่เหลือเวลาให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่คุณแม่ต้องการจะรู้มากนัก บอกตามตรง ผมว่าผมพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าคุณแม่อยากถามถึงเรื่องไหน 

“ทิชานี่ใช่ลูกชายคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาที่เป็นเจ้าของไดมอนด์เรียลเอสเตทหรือเปล่า?”

ซื้อหวยไม่เคยถูก แต่ถ้าให้เดาเหตุผลที่มีคนเกลียดผมตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เห็นหน้าก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง.... ผมน่าจะคิดได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกด้วยซ้ำ ทางบ้านพี่โรมก็เป็นเจ้าของธุรกิจรีสอร์ทโรงแรมรายใหญ่ทางใต้ ถ้าเขาจะรู้จักมักจี่กับพ่อผมซึ่งทำอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่แปลกหรอก

“ใช่ครับ” 

ผมตอบได้แค่นั้น ซึ่งคุณแม่พี่โรมก็พยักหน้ารับรู้คล้ายจะพูดว่าไม่ผิดไปจากที่คิดเอาไว้

“หน้าตาเหมือนแม่นะ ดูไม่ได้เค้าฝั่งพ่อมาเลย”

“ม๊าครับ...........”

พี่โรมส่งเสียงอ่อนเหมือนจะห้ามคุณแม่ไม่ให้ขุดเรื่องส่วนตัวจี้ปมด้อยผม แต่ก็โดนสายตาดุๆ กับคำพูดไม่สนใจใยดีตอบกลับมา

“อะไร ตาโรม.... ม๊ายังไม่ได้ว่าอะไรใครเลยนะ เราก็อย่าออกนอกหน้าแทนคนอื่นให้มันมากนัก” 

หญิงสูงวัยดุลูกชายก่อนจะหันมาซักไซ้เอาความกับผมต่อ.... เข้าใจอยู่หรอกนะว่าพี่โรมกำลังพยายามแนะนำให้ผมกับแม่เขารู้จักกัน ให้ผมฝากเนื้อฝากตัวในฐานะที่กำลังคบหาดูใจกับเขา แต่ตอนนี้ผมไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว แม่พี่โรมอคติเพราะว่าผมเป็นลูกเมียน้อยของคนที่พวกเขารู้จัก และเชื่อเถอะว่ามันจะไม่จบลงแค่ประเด็นนี้อย่างเดียวแน่ 

“อ้อ เห็นมิลานกับเวนิสคุยกันว่าทิชาเป็นแฟนเจ้าแดนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาตามเกาะแกะลูกชายม๊าแบบนี้ล่ะ.... ลูกชายม๊าไม่มีอะไรจะให้เราหรอกนะ”


เกาะแกะ.... อย่างนั้นเหรอ?

ลูกชายม๊าไม่มีอะไรจะให้.... อย่างนั้นเหรอ?




“ไม่ใช่นะครับ.....ผมกับแดนเป็นเพื่อนกัน...........”

ผมดึงมือตัวเองออกจากมือพี่โรม ไม่อยากให้เขารู้ว่าปลายเล็บผมเกร็งแน่นแค่ไหนในยามที่มันฝังลงไปในผิวเนื้อ ริมฝีปากซึ่งฝืนคลี่ยิ้มมาได้ตั้งนานหมดความอดทนไปพร้อมๆ กับน้ำเสียงซึ่งฟังกระด้างขึ้นอย่างที่ใครก็สามารถสังเกตได้.... คนเกลียดผมเยอะจนนับไม่ถ้วนก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมถูกด่าซึ่งหน้าในทำนองว่าจะมาเกาะใครกิน ก็อย่างที่บอกว่าถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่แคร์ เผลอๆ จะด่ากลับให้ด้วยซ้ำ แต่คนที่พูดประโยคนี้ออกมาคือแม่พี่โรม แม่บังเกิดเกล้าของคนที่ผมรักมากกว่าอะไรทั้งหมด แล้วจะให้ผมรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง

“ทิชาซื้ออะไรมา.... ใช่ไก่ทอดที่เผ็ดๆ ร้านนั้นหรือเปล่า ไปเอามาให้พี่กินหน่อยสิ หิวแล้วเนี่ย..........”

“ไม่ต้องลำบากทิชาเขาหรอก เดี๋ยวม๊าจัดการให้เอง”

เป็นอีกครั้งที่พี่โรมยังพูดไม่ทันจบดี คุณแม่ก็แทรกขึ้นราวกับกลัวว่าจะได้ยินได้เห็นในสิ่งที่ท่านไม่ต้องการรับรู้รับทราบ ผมได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในขณะที่แม่พี่โรมใช้หลังมือโบกไล่ผมเหมือนไล่หมูไล่หมา.... คำพูดคำจาไม่มีตรงไหนหยาบคายก็จริง แต่ความนัยและการแสดงออก ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุด ไอคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ต้องดูออกว่าคุณแม่รังเกียจผมในระดับเดียวกับที่คนทั่วไปรังเกียจพวกเมียน้อยกับผู้หญิงขายบริการนั่นแหละ 

“ไก่ทอดนี่ของแสลงหลังผ่าตัดไม่ใช่เหรอ ตาโรมกินไม่ได้หรอก ม๊าสั่งอย่างอื่นให้กินดีกว่า.... ทิชาก็รีบๆ ไปเรียนหนังสือเถอะ เวลาแบบนี้ควรจะตั้งใจเรียนดีกว่านะ”

กระบอกตาผมร้อนผ่าว ข้างในลำคอขมปร่าจนผะอืดผะอมอยากอาเจียน ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกเจ็บใจขนาดนี้ อย่างน้อยก็ในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา.... บาดแผลของผม ปมด้อยที่ไม่เคยเลือนหายไปแม้ว่าจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ในจุดที่ลึกที่สุดจนไม่มีใครมองเห็น แต่สุดท้าย มันกลับถูกขุดขึ้นมาประจานอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของคนที่ผมคาดหวังว่าเขาคงจะนึกเอ็นดูกันบ้าง

“งั้นผมลานะครับ” 

ผมยกมือไหว้แล้วหันหลังกลับออกไป ในเมื่อแม่เขาไม่ยินดีต้อนรับ ผมก็คงบากหน้าอยู่ให้ใครถากถางถึงกำพืดต่อไปไม่ไหวหรอก 

“พี่โรม ชาไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวดิ ทิชา.... อย่าเพิ่งไป!”

ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงแล้วแต่ผมยังยืนอยู่ข้างนอกด้วยความมึนงง แข้งขาอ่อนแรงเกินกว่าจะเดินไปทางอื่นได้.... เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาทับหัว ผมตั้งใจจะมาหาพี่โรม ตั้งใจจะมาดูแลเขาอย่างจริงใจ แต่พอถูกกีดกันไม่ให้อยู่ใกล้ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะไปทางไหนหรือต้องทำยังไงต่อ

และถ้าจากนี้ไป ผมไม่สามารถเจอพี่โรมได้อีกเพราะแม่เขาไม่ชอบใจที่คนประวัติไม่ดีอย่างผมมา ‘ตามเกาะแกะ’ ลูกชายเขา มันคงทรมานไม่ต่างจากตอนที่รู้ว่าเขาถูกยิงแล้วอาจจะจากผมไปได้ทุกเมื่อ

หัวใจของผมคงได้แตกสลายลงไปตรงนี้แน่....



‘ม๊าพูดแบบนั้นกับทิชาได้ยังไง.... น้องเป็นแฟนผมนะ!?’

‘แฟนเฟินอะไร อย่าพูดจาเหลวไหล ม๊าไม่ยอมให้โรมคบกับเด็กพรรค์นั้นหรอกนะ.... คนสวยกว่านี้ ดีกว่านี้มีออกถมไป!’

‘แต่ผมรักน้อง น้องก็รักผม.... ผมจะคบกับทิชาแล้วมันมีปัญหาตรงไหน!?’

‘รักบ้าบออะไร เด็กนั่นมายุ่งกับโรมก็เพราะรู้ว่าป๊าม๊าโรมมีเงินน่ะสิ!’

‘ม๊าดูถูกน้องเกินไปแล้วครับ!’

‘เชื้อมันไม่ทิ้งแถวหรอก คนแม่เป็นแบบไหน ลูกก็ออกมาเป็นแบบนั้น.... เราเองก็เหมือนกัน ม๊าไม่ได้มีปัญหาตรงที่ทิชาเป็นผู้ชายนะ แต่โรมไม่รู้มาก่อนเลยเหรอว่าเด็กนั่นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าคบกันแล้ว ป๊าม๊าจะมองหน้าคุณกาญจน์กับคุณวิภาวีได้ยังไง บ้านเรายังต้องคบค้าสมาคมกับไดมอนด์เรียลเอสเตทอีกไม่รู้ตั้งกี่โครงการ ยิ่งตอนนี้ป๊ากำลังจะร่วมลงทุนกับทางเขาอยู่ด้วย!’

‘เรื่องของผู้ใหญ่มันไม่ได้เกี่ยวกับน้องเลยนะ ม๊า.... ผมขอเถอะ........’

‘ไม่ได้! ยังไงม๊าก็ไม่ยอม!’




ได้ยินแล้วใช่ไหม.... เสียงหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดีของผม?


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

.

“อ้าว ทิชา”

“พี่แจ็ค?”

ผมเงยหน้าขึ้นตามที่ถูกเรียก ปรากฏว่าเจ้าของเสียงคือเพื่อนสนิทของพี่โรมซึ่งผมไม่ได้เจอเขามาพักใหญ่แล้ว.... คนตัวสูงดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมนั่งซึมกะทืออยู่ตรงล็อบบี้ชั้นล่างของโรงพยาบาล แทนที่จะขึ้นไปเฝ้าไข้คอยดูแลแฟนหนุ่มบนห้องอย่างที่ควรจะเป็น

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ขึ้นไปอยู่กับไอ้โรมล่ะ?”

เขาถามพลางทำหน้างง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้เองว่าเพราะอะไรผมถึงเลือกที่จะเนรเทศตัวเองลงมาอยู่ข้างล่าง 

“อ้อ เจอฤทธิ์คุณนายหม่าม๊าไอ้โรมเข้าไปสินะ.... สมัยปีหนึ่งพี่ก็เคยโดนเหมือนกัน หน้าตาพี่ดูแว้นๆ ไง แม่มันเลยนึกว่าพี่จะชวนมันไปเบิ้ลท่อแถวพระประแดง ยังไงก็อย่าคิดมากเลยนะ”

“จะพยายามนะพี่.........”

ผมทำเป็นหัวเราะเฝื่อนไปอย่างนั้น ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลบล้างอคติและความคิดของผู้ใหญ่.... ก็อย่างที่แอบได้ยินเมื่อกี้ พี่โรมอุตส่าห์ขอร้องให้คุณแม่ยอมเปิดใจรับผม ทว่า คำตอบมันไม่ใช่แค่ชอบหรือไม่ชอบ ผมจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ยังมีเรื่องที่ทางบ้านพี่โรมจะทำธุรกิจร่วมกับบริษัทของพ่อเข้ามาเป็นประเด็นอีก ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าฝั่งบ้านใหญ่เกลียดผมเสียยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน เขาคงจะยินดีหรอกที่ลูกชายของคู่ค้ามาดองกับปลิงสูบเงินแบบผม

“ว่าแต่เดี๋ยวเราจะไปมหาลัยหรือเปล่า? ให้พี่ไปส่งไหม?”

“ไม่แล้วครับ วันนี้ผมโดด” 

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ถึงจะยังเหลือวิชาบ่ายที่ถ้าจะกลับไปเข้าเรียนก็ยังทัน แต่สภาพจิตใจและอารมณ์ผมมันไม่ไหวแล้วจริงๆ

“งั้นไปหาที่คุยกันสักแปบได้หรือเปล่า.... คือพี่มีเรื่องอยากคุยกับเราอยู่พอดี แต่ไม่มีโอกาสเจอก็เลยยังไม่ได้คุยสักที” 

พี่แจ็คเอ่ยชวน ในขณะที่ผมเลิกคิ้วสงสัยว่าผมกับเขามีอะไรให้ต้องคุยกันด้วยเหรอ ฝ่ายรุ่นพี่จึงอธิบายขยายความให้กระจ่างว่านอกจากจะมีเรื่องคุยแล้ว ยังเป็นประเด็นที่คอขาดบาดตายพอสมควร 

“เรื่องบีบี๋กับเฮียรุจน่ะ.... แล้วก็อาจจะเกี่ยวกับไอ้โรมด้วยหน่อยนึง”

“โอเคครับ”

บรรยากาศภายในร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือหรือทำงานเงียบๆ ผมกับพี่แจ็คเลือกโต๊ะมุมด้านในสุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น สักพักหนึ่ง บริกรหญิงก็นำเมนูเครื่องดื่มมาวางให้พร้อมรับออเดอร์ พี่แจ็คจึงจัดการสั่งน้ำให้ผมเสร็จสรรพชนิดไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันเลยสักคำ

“กาแฟดำครับ แล้วก็ไอซ์เลมอนทีหวานน้อยอย่างละที่” 

โชคดีนะที่พี่แจ็คสั่งให้ถูกเลยไม่โดนผมเหวี่ยง แต่พอเขาเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงรู้ว่าผมชอบอะไร ผมก็ถึงบางอ้อแถมยังยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ผ่านมา 

“ไอ้โรมมันเคยบอกให้ฟังน่ะว่าน้องทิชาแทบไม่ดื่มน้ำอย่างอื่นเลย ที่ห้องก็มีแต่ชามะนาวขวดเหลืองๆ แช่เต็มตู้เย็นไปหมด พี่เลยจำได้”

“บอกให้ฟังหรือบ่นให้ฟัง?”

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฮะๆๆ” 

รุ่นพี่วิศวะฯ อมยิ้มขำ คงคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าผมกับพี่โรมจะคบกันจริงจัง เพราะในตอนแรกพี่โรมเองก็มองข้ามผมไปหาคนอื่น ที่สำคัญก็คือคนที่เบอร์ลิคออกจะตราหน้าผมว่าเป็นพวกชิงเกียร์ ควรจะแค่โดนฟันและถีบหัวส่งไปได้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เอามาคบออกหน้าออกตาแบบที่พี่โรมทำ

“แต่ไอ้โรมมันก็ดูรักแล้วก็ตามใจน้องทิชาดีนะ พี่ว่าดีแล้วล่ะ ใครจะไปคิดว่าคนอย่างมันจะกลายมาเป็นพ่อบ้านใจกล้า”

เมื่อเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เราก็ยุติหัวข้อสนทนาว่าด้วยเพราะอะไรพี่โรมถึงเลือกผมแล้วหันหลังให้เบอร์ลิคเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะกลับมาโฟกัสสิ่งที่พี่แจ็คต้องการจะคุยกับผมตั้งแต่แรก ซึ่งผมก็คิดว่ามันน่าจะใช่เรื่องเดียวกันกับที่เจนนี่และฝ้ายหยิบยกขึ้นมาเมาท์เสียงดังจนผมต้องเปิดวอร์กับพวกหล่อนเมื่อวานนี้

“พี่แจ็ครู้เรื่องคลิปอะไรสักอย่างของไอ้บี๋บ้างไหม?”

“ทิชาได้ดูแล้วเหรอ?”

เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายไม่มีความประหลาดใจเจือปน ซ้ำยังถามกลับมาอีก ผมจึงเดาเอาว่าพี่แจ็คน่าจะสามารถให้คำตอบได้

“ผมไม่ได้ดูหรอก แต่ได้ยินเพื่อนในภาคพูดว่าบีบี๋ส่งคลิปมาให้ ท่าทางไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร.........”

“ก็เรื่องนี้แหละที่พี่อยากจะคุยกับทิชา” ฝ่ายรุ่นพี่ถอนหายใจปลงๆ “แล้วพอจะรู้ไหมว่าคลิปอันนั้นถูกส่งต่อไปถึงไหนแล้ว?”

“ตอนที่ผมเข้าไปถาม เพื่อนคนที่ได้คลิปบอกว่าลบทิ้งไปแล้ว เขาไม่ยอมให้ผมดูแล้วก็ไม่ยอมบอกด้วยว่าคลิปอะไร แต่ก็ไม่รู้จะส่งต่อให้คนอื่นหรือเปล่า” 

ผมบอกเล่าข้อมูลไปเท่าที่รู้.... อันที่จริง ผมตั้งใจจะปรึกษากับพี่โรมตั้งแต่เมื่อวานเพราะคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคและพี่รุจไม่มากก็น้อย แต่ดันเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับพี่โรมเสียก่อน ผมก็เลยลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียสนิท 

“ผมเคยได้ยินจากพี่โรมเรื่องที่ไอ้บี๋โดนพี่รุจขู่เรียกเงินสองล้านเพราะไปยืมเกียร์เขามาใช้ แล้วมันก็ทยอยผ่อนจ่ายหักลบกลบหนี้ด้วยการนอนกับเขา.... คลิปที่ว่านั่น คงไม่ใช่ถูกถ่ายไว้ตอนที่มันมีอะไรกับพี่รุจหรอกใช่ไหม?”

“ถึงไม่อยากให้ใช่ แต่มันก็ใช่ล่ะนะ”

พี่แจ็คพยักหน้ารับอย่างอับจนหนทาง ทำเอาผมแทบจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากเมื่อสิ่งที่ตัวเองตั้งข้อสันนิษฐานกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา

“อยากจะบ้าตาย ไอ้บี๋เอ๊ย...........”

“ดูจากหลายๆ อย่างที่บีบี๋เคยทำเอาไว้กับทิชา พี่นึกว่าทิชาจะสมน้ำหน้าบีบี๋เสียอีก”

“บอกตามตรงก็อยากสมน้ำหน้าแหละครับ แต่ถึงยังไงมันก็เคยเป็นเพื่อน.... ต่อให้มันจะทำเรื่องแย่ๆ ไม่น่าให้อภัยมากแค่ไหน แต่เรื่องดีๆ ที่มันเคยทำให้ผมก็มีเยอะเหมือนกัน แล้วตัวผมเองก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ามันสักเท่าไร”

“น่าเสียดายเนอะ ถ้าบีบี๋คิดได้เหมือนอย่างที่ทิชาคิดสักนิดนึงก็คงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้แล้ว”

ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเองเต็มที่ ผมก็คงเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่แจ็คพูดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ไอ้บี๋ต้องมาผจญเวรกรรมไม่รู้จบกับพี่รุจก็เพราะความอิจฉาเรื่อยเปื่อยไร้สาระของมันเอง.... แต่ถ้าคิดแบบใจเขาใจเรา ผมก็ผิดไม่น้อยที่ไม่ยอมตัดใจจากพี่โรม มิหนำซ้ำยังไปชิงเกียร์มาจนทำให้ไอ้บี๋ต้องหาทางแย่งพี่โรมคืน ซึ่งผมก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าไอ้บี๋มันจะเลือกใช้วิธีที่เหมือนขายวิญญาณให้ซาตาน

ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว จะมัวย้อนไปคิดว่าถ้ารู้อย่างงั้น รู้อย่างงี้ก็คงไม่มีประโยชน์ อย่างเดียวที่พอทำได้ในเวลานี้ก็คงมีเพียงช่วยกันหาวิธีแก้ไข อย่างน้อยก็จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บปวดหรืออับอายมากไปกว่านี้เป็นอยู่

“คนที่ส่งคลิปบีบี๋ไปทางไลน์ก็คือเฮียรุจ.... เฮียแกโมโหที่น้องบีบี๋คิดจะหาทางหนี ทั้งกระโดดลงมาจากหน้าต่างจนตัวเองเจ็บ ทั้งโกหกว่าความจำเสื่อมเพื่อจะใช้ไอ้โรมเป็นไม้กันหมา ไม่ให้เฮียรุจพากลับไปที่เบอร์ลิค” 

ข้อมูลใหม่ที่ได้ฟังไม่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจนัก ตัวละครในดราม่าเบอร์ลิคก็มีอยู่ไม่กี่ตัว แค่ให้โครงเรื่องกับรายชื่อมาก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าใครทำอะไรกับใครเอาไว้บ้าง 

“พูดก็พูดเถอะ เฮียรุจน่ะไม่ค่อยกล้าอะไรกับไอ้โรมมากมายนักหรอก เพราะที่บ้านไอ้โรมก็ไม่ใช่ขี้ๆ ที่เขาจะไปหาเรื่องมันได้ง่ายๆ ก็แค่ข่มบ้างด่าบ้างตามประสารุ่นพี่-รุ่นน้องธรรมดา.... น้องบีบี๋ก็น่าจะรู้ตรงนี้เลยพยายามดึงไอ้โรมไว้กับตัว ฝั่งเฮียรุจแกก็รอจังหวะที่ไอ้โรมจะไม่อยู่โรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน พอวันนั้นที่ไอ้โรมเกือบๆ ทะเลาะกับทิชาจนมันต้องตามไปง้อที่บ้านแล้วโทรบอกให้พี่ช่วยไปเฝ้าแทน เฮียรุจก็โผล่มาโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเลย ก็ไม่รู้ว่าเฮียแกรู้ได้ยังไง..........”

“ผมถามได้ไหมว่าพี่รุจทำอะไรกับไอ้บี๋บ้าง?” 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมสงสัยคาใจมานาน จะถามพี่โรมหรือใครๆ ก็คงไม่ได้คำตอบ ก็เหลือแค่พี่แจ็คนี่แหละที่น่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบีบี๋และพี่รุจมากที่สุด 

“ไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่ดูจากนิสัยมัน ถ้าได้เป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคก็น่าจะชอบไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงต้องหนีไม่คิดชีวิตขนาดนั้น?”

พี่แจ็คถอนหายใจอีกครั้ง อารมณ์เหมือนน้ำท่วมปากอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร เขาก็เลยหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาวางบนโต๊ะ กดเปิดคลิปวิดิโอต้นเหตุแล้วเลื่อนมาให้ตรงหน้าผม

“พี่พูดไม่ถูกว่ะ น้องทิชา.... ให้ดูเองก็แล้วกัน”

เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอเล่นผ่านสายตา ผมก็ต้องเบ้ปากทำหน้าเหยเกเมื่อสิ่งที่เห็นนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่จินตนาการไปหลายโยชน์.... ทั้งลักษณะท่าทางของทั้งสองฝ่าย ถึงจะไม่ใช่การขืนใจ แต่ท่วงท่าและสีหน้ามันไม่ชวนให้คิดได้ว่าเป็นการมีเซ็กซ์ที่มีความสุขเลย ก็ว่าทำไมเจนนี่กับฝ้ายถึงได้พูดจาในทำนองรังเกียจขยะแขยงบีบี๋ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ออกจะรักใคร่กลมเกลียวเป็นแก๊งค์เดียวกัน เจอแบบนี้ ถ้าไม่รักกันจริงเป็นใครก็คงรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหวหรอก

“พี่แจ็ค.......นี่มันแย่มากนะ.........”

ผมรีบกดปิดคลิปส่งโทรศัพท์คืนอีกฝ่ายทันที พลางยกชามะนาวขึ้นจิบให้รสเปรี้ยวหวานช่วยล้างความผะอืดผะอมมวนท้องให้หายไป.... ความโกรธเคืองที่เคยสะสมมาเจือจางไปหมดแล้ว เหลือแต่ความสงสารเห็นใจเพราะไม่ว่าจะเป็นไอ้บี๋หรือใคร ถ้าไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกันกับพี่รุจ ก็ไม่สมควรจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับความรุนแรงเกินมาตรฐานคนทั่วไปแบบนี้

“อืม ก็แย่จริง ตอนที่น้องบีบี๋ตกลงจะนอนกับเฮียรุจก็คงไม่คิดว่าจะต้องเจอหนักขนาดนี้”

“ถ้ามีเงินสองล้านจ่ายให้พี่รุจแล้วเรื่องจะจบไหม?” 

ผมถามตรงๆ พลางนึกถึงเงินในบัญชีส่วนตัว ค่าขนมที่ได้มาจากคุณย่าตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังไม่ได้ถอนออกมาใช้เลยสักบาท ถ้ารวมกับของเก่าที่พ่อเคยให้ไว้ก็น่าจะพอ 

“ถ้าสองล้าน.....ผมคิดว่าผมอาจจะพอหาได้............”

“ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้วล่ะ”  พี่แจ็คเอ่ยเสียงเครียดกว่าเก่า “พี่กล้าพูดเลยว่าต่อให้มีสิบล้านหรือยี่สิบล้าน เฮียรุจก็ไม่มีทางปล่อยน้องบีบี๋ไป”

“พี่อย่าบอกนะว่า...........”

“พี่ก็ไม่อยากบอกอย่างนั้นหรอก แต่พี่คิดว่าใช่” 

เสมือนตลกร้ายที่ไม่น่าเกิดขึ้นจริง แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ แล้วขึ้นชื่อว่าความรักความชอบก็ไม่ต่างจากไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่าง ยิ่งถ้ายังไม่ได้ครอบครองเป็นของตัวเองก็ยิ่งโหมกระหน่ำร้อนรุ่ม.... เรื่องนี้ผมเข้าใจถ่องแท้ดีเลยทีเดียว 

“เฮียรุจชอบน้องบีบี๋ ถึงเรื่องเซ็กซ์จะดูเลวร้ายมาก แต่กับเรื่องอื่น เฮียแกก็ดูแลความเป็นอยู่ของน้องบีบี๋อย่างดี.... พอมีเรื่องที่ว่าน้องบีบี๋พยายามจะหนีแล้วดึงไอ้โรมมาเกี่ยว เฮียรุจก็คงรู้สึกว่าโดนหักหลังเลยจัดการปล่อยคลิปที่ถ่ายเอาไว้ทั้งหมด แล้วตอนนี้น้องบีบี๋ก็เหมือนจะโดนพี่ชายยื่นคำขาดไม่ให้เหยียบเข้าบ้านไปแล้วด้วย”

ผมส่ายหน้าในทำนองว่าอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด รู้ดีถึงความโหดของป๊าและเฮียบิ๊ก ขนาดผมแวะไปช่วยมันทำงานตอนปีหนึ่งยังโดนซักฟอกแทบตาย ไม่มีทางที่คนจีนหัวเก่าบ้านนั้นจะรับสิ่งที่ไอ้บี๋ทำลงไปได้แน่

“ที่จะบอกก็คือต่อไปนี้ น้องบีบี๋ก็คงต้องกลับไปอยู่กับเฮียรุจที่เบอร์ลิค น้องมันก็ยอมรับที่จะกลับไปแต่โดยดีแล้ว.... ส่วนไอ้โรมก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก ไม่งั้นเดี๋ยวอะไรๆ มันก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่” 

และนั่นก็คือบทสรุปที่อดีตเพื่อนสนิทของผมต้องได้รับ ครั้นจะบอกว่าสาสมกับความขี้อิจฉาของมันแล้วก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ติดหนี้สองล้านยังแบบว่าใช้หมดก็คือหมด แต่เอาไปเป็นเมียทาสอยู่ในหอคอยเบอร์ลิคนี่ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตจะได้หลุดพ้นออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกหรือเปล่า 

“ถึงพี่จะช่วยอะไรไม่ได้เยอะ แต่ก็จะพยายามคอยดูแลบีบี๋เท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”

“เดี๋ยว พี่แจ็ค”  อยู่ๆ ผมก็นึกถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาได้   “ที่พี่โรมถูกยิงเมื่อวานนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่รุจใช่ไหม?”

เพราะพี่โรมคือคนที่ถูกไอ้บี๋ดึงไปใช้เป็นโล่กันพี่รุจ ผมก็ไม่รู้ว่าพี่รุจจะผูกใจเจ็บแล้วหมายหัวเล่นงานพี่โรมด้วยหรือเปล่า แต่มันประจวบเหมาะกับที่แฟนผมถูกยิงพอดิบพอดี ถึงแม้นักเรียนช่างกลที่ถูกจับได้จะให้การแค่ว่าเป็นเรื่องระหว่างสถาบัน และพี่โรมก็แค่ซวยที่สีเสื้อช็อปดันมาคล้ายคู่อริพวกมัน หากผมก็อดจับเอาเหตุการณ์มาเชื่อมโยงไม่ได้

“พี่ไม่แน่ใจว่ะ แต่คิดว่าไม่น่าใช่หรอกมั้ง..........” 

พี่แจ็คนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะเล่าเหตุการณ์ฝั่งเขากับพี่รุจให้ฟัง 

“ตำรวจที่ทำคดีไอ้โรมเขารู้จักกับเฮียรุจ แล้วก็รู้ด้วยว่าไอ้โรมเคยช่วยงานอยู่ที่เบอร์ลิค.... เมื่อคืนเขายังเข้ามาบอกที่ร้านอยู่เลยว่าไอ้โรมโดนยิง เฮียกับพวกที่ร้านก็เพิ่งรู้เรื่องกันตอนนั้นแหละ”

“เหรอครับ..........”

ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็คิดว่าคนอย่างพี่แจ็คคงไม่โกหกกัน ยิ่งเขาเป็นคนขอคุยเรื่องบีบี๋กับผมเองก็คงไม่คิดปกป้องลูกพี่เท่าไรแล้ว

“คราวนี้ยังไม่ใช่ก็ถือว่าดีไป แต่คราวหน้าก็ไม่แน่.... เฮียรุจน่ะเวลาดี แกก็ดีใจหาย แต่เวลาผีเข้า แกก็ซัดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนกัน ทางที่ดีก็คือให้มันเลิกเข้าไปยุ่งกับเรื่องน้องบีบี๋น่าจะปลอดภัยกับทุกฝ่ายมากกว่า”

“แล้วพี่แจ็คบอกพี่โรมหรือยัง?”

“พี่ก็กะจะคุยกับมันเรื่องนี้นี่แหละแต่พอดีคุณนายหม่าม๊ามันอยู่ก็เลยยังไม่ได้คุย.........”

ข้อสรุปที่ได้จากการคุยกับพี่แจ็คคือ นับจากนี้ไปพวกเราทุกคนควรจะต่างคนต่างอยู่ ใครมีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนตามติดมาก็ต้องชดใช้กันเอาเอง.... ไอ้บี๋ไปอยู่กับพี่รุจ มีชีวิตทรมานสาหัสสากรรจ์ก็ถือเป็นสิ่งที่มันเลือก ส่วนผมก็กลับไปสู้รบปรบมือกับคุณนายหม่าม๊าของพี่โรม ทำชีวิตตัวเองให้ดีแล้วก็ไม่ต้องหวนกลับไปคิดถึงอดีตซึ่งมันผ่านเลยไปจนไม่มีอะไรสามารถแก้ไขได้แล้ว

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
PAI's PART



“วันนี้ทิชาไม่มาเหรอคะ.... ว้า งั้นเอายังไงดีเนี่ย?”

คุณครูผู้สอนคลาสแอคติ้งทำหน้าตาคิดหนักเมื่อนักแสดงตัวหลักของซีรีส์ขาดไปหนึ่งคน ทั้งๆ ที่วันนี้มีนัดเรียนซีนสำคัญของพระเอก-นายเอกทั้งคู่หลักและคู่รอง ถ้าทิชาไม่มาเสียคนหนึ่งก็เท่ากับว่าแดนซึ่งรับบทคู่กันต้องเสียเวลาเปล่า.... ใจผมตุ้มๆ ต่อมๆ เขณะที่สายตาของคุณครูเริ่มมองหาคนที่พอจะเล่นแทนทิชาได้ แล้วหวยก็ออกรางวัลที่หนึ่งเมื่อชื่อของผมถูกเรียกต่อหน้าคนนับสิบ

“ปายช่วยออกมาซ้อมบทแทนทิชาได้ไหมลูก ไม่อย่างนั้นวันนี้แดนก็คงไม่ได้ซ้อมอะไรเลย”

“อะ........ครับ"

ผมตอบรับอย่างขัดเขิน แต่หัวใจนั้นพองโตตื่นเต้นจนสุ้มเสียงสั่น แม้แต่นายภัทรซึ่งนั่งอยู่ข้างกันยังอดหมั่นไส้เป่าปากแซวไม่ได้ แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้แดนมาหลายวันแล้ว.... ยิ่งเมื่อวานที่เขาตัวติดกับทิชาจนแทบจะสิงร่างกัน แค่จะคุยด้วยสักคำก็ยังยากเพราะเขาไม่สนใจผมเลย

ร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผมในเวลานี้ เขาก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มและดวงตาขี้เล่นเหมือนลูกหมาตัวใหญ่ๆ แบบเดียวกับตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าลูกหมาตัวนี้มีเจ้าของแล้วถึงได้เก็บมาเลี้ยงแล้วก็หลงรักมันนักหนา ทว่า พอมันหาเจ้าของตัวจริงเจอ อย่าว่าแต่หูตั้งหางกระดิกวิ่งเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจเลย แม้กระทั่งหางตาก็ไม่มีเหลียวแลผมสักนิด

ก็อย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ว่าแดนเฉยชากับผมแค่ไหน....

“ฉากนี้ครูเอามาจากเนื้อหาในตอนท้ายๆ ของนิยาย เป็นฉากที่พระเอกสารภาพรักกับนายเอกก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟน” 

เมื่อคุณครูเริ่มต้นอธิบาย ผมก็ดึงสติตัวเองกลับมาตั้งใจฟัง แม้จะมีวอกแวกแอบมองหน้าคู่ซ้อมเฉพาะกิจอยู่บ้างก็ตาม   

“อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจแบ็คกราวน์ของตัวละครและเนื้อเรื่องก่อนหน้านี้ให้ดีเสียก่อน.... ตัวพระเอกซึ่งเย็นชากับนายเอกมาตลอดจะต้องเปิดใจยอมรับแล้วว่านายเอกคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา แต่ด้วยนิสัยของพระเอกที่เป็นคนแสดงออกทางคำพูดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นฉากนี้ ครูก็เลยอยากเน้นการใช้สายตาสื่อความรู้สึกให้มากๆ แดนกับปายพอจะนึกภาพออกใช่ไหมจ๊ะ?”

เราทั้งคู่พยักหน้ารับเป็นเชิงตอบว่าเข้าใจ

“ในด้านการแสดง ภาษาร่างกายก็มีความหมายพอๆ กับคำพูด.... ถ้าเราอยากให้ใครสักคนหยุดฟังในเรื่องที่สำคัญมากๆ การแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายก็จะช่วยสื่ออารมณ์ได้มากทีเดียว โดยเฉพาะในฉากโรมานซ์” 

ครูผู้สอนจัดแจงดึงให้ผมกับแดนยืนหันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด เพียงแค่สบสายตาอีกฝ่ายชั่วแวบเดียว ผมก็หัวใจเต้นแรงหน้าแดงร้อนผ่าวถึงหูในขณะที่พวกน้องๆ ส่งเสียงโห่แซวดังขรมทั่วห้องสตูดิโอ.... บ้าที่สุด ทำไมทุกคนถึงได้รู้กันหมดเลยล่ะว่าผมชอบเจ้าหมานี่!

“ไหนแดนลองแตะไหล่ปาย เรียกให้เขาหยุดฟังแล้วสบตากันเตรียมจะสารภาพรักนะจ๊ะ.... เอ้า สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”

หลังได้ยินเสียงสัญญาณ ผมก็ตั้งสติจดจ่ออยู่กับบทบาทชั่วคราวที่ได้รับ

“ฟ้า.... นายฟังที่ฉันพูดให้ดีนะ.........”

“อะไรของนายวะ แสงเหนือ?”

“คือว่าฉัน.............”

“ขอโทษครับครู.... แต่ผมเล่นฉากนี้ไม่ได้”

“เอ๊ะ??”

บรรยากาศเข้าด้ายเข้าเข็มระหว่างพระเอกกับนายเอกจำเป็นพังครืนทันทีที่แดนพูดประโยคนั้นออกมา ร่างสูงถอยห่างจากผมพร้อมทั้งเบือนหน้าหันไปมองทางอื่น ทำเอาหัวใจผมหล่นวูบก่อนที่อาการเห่อร้อนจะลุกลามขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่ด้วยความเขินตัวอ่อนตัวงอ แต่เป็นความอับอายที่ถูกปฏิเสธต่อหน้าคนเป็นสิบต่างหาก

“เป็นอะไรไปน่ะ แดน.... ทำไมถึงเล่นไม่ได้ล่ะคะ?”

“พอดีผมบิวท์ตัวเองไว้ว่าฉากนี้ต้องเป็นทิชาเท่านั้น พอเป็นคนอื่นมาเล่นแทนก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะครับ”

แดนตอบหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่จนมึนตึบเกือบล้มทั้งยืน

“อ้อ เหรอจ๊ะ” 

ในเมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น คุณครูก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย ยิ่งเป็นพระเอกที่แม่อิ๋วหมายมั่นปั้นมือจะให้คู่กับทิชาซึ่งเป็นหลานรักด้วย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็คงต้องยอมผ่อนปรนให้เป็นกรณีพิเศษ 

“งั้นวันนี้ก็มาฝึกเบสิคตามที่ครูเคยสอนไปเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน รอจนกว่าทิชาจะกลับมาแล้วค่อยมาลองเล่นฉากนี้ดูอีกที”

ผมกลับไปยืนข้างภัทรแล้วฝึกซ้อมพื้นฐานไปตามคำสั่งจากครูผู้สอน แต่ก็ยังมิวายแอบมองคนใจร้ายที่ขยำขยี้ความรักของผมครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เนืองๆ พอเจ้าภัทรจับได้ทีก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ที หากใครจะเลยรู้ว่าจริงๆ แล้วข้างในอกผมมันทั้งช้ำและร้าวระบมไปถึงไหนต่อไหนด้วยน้ำมือของนายแดน ดรัณภพ

แต่ถ้าถามว่าเข็ดไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมหลาบจำเสียที....

“แดน เรื่องเมื่อวานไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

ด้วยความไม่เข็ดไม่จำ ช่วงพักเบรค ผมก็คว้าน้ำเกลือแร่เย็นเจี๊ยบยี่ห้อที่แดนชอบก่อนจะมองหาเป้าหมายแล้วเดินเข้าไปหาทันที เห็นจากไกลๆ ว่าเจ้าตัวกำลังหน้าดำคร่ำเครียดเพ่งหน้าจอโทรศัพท์มือถือคล้ายกำลังแชทไลน์กับใครบางคนอยู่.... ผมขี้เกียจเดาแล้วว่าฝ่ายโน้นเป็นใครเพราะคำตอบก็มีอยู่ข้อเดียว หลับตาจิ้มยังถูก แต่ขอมองข้ามไปก่อนเพราะวันนี้ทิชาตัวเป็นๆ ไม่มา เป็นโอกาสเดียวที่ผมจะเข้าไปคลอเคลียง้องแง้งกับแดนแบบเมื่อก่อนได้

“ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่ปาย”   

เขารับขวดพลาสติกไปจากมือผมแล้วเปิดดื่ม โล่งใจชะมัดที่ได้เห็นรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนแดนไม่ได้ยิ้มให้ผมมานานมากแล้ว

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เป็นห่วง”

“ขอบคุณทำไม.... พี่ก็ต้องเป็นห่วงแดนอยู่แล้วสิ” 

ใจผมฟูมาก หากก็ต้องเก็บอาการคุมโทนไม่ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยที่ตื่นเต้นดีใจง่ายเวอร์ไปกับทุกเรื่อง 

“แล้วทิชาล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง”

“แต่เมื่อวานเขาดูแย่มากเลยนะ ร้องไห้ขนาดนั้น.... พี่เห็นจากไกลๆ ยังตกใจเลย”

“เขาก็รักของเขา ถ้าไม่ร้องไห้เลยสิแปลก”

คำพูดที่ได้ยินทำให้ผมนึกเอะใจตะหงิดๆ เช่นเดียวกับสีหน้าขมขื่นของร่างสูงขณะเอ่ยถึงบุคคลที่สาม.... ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าผมก็จะอยู่ในที่ของตัวเองแบบเงียบๆ ทิชาก็อยู่ส่วนทิชา ผมจะไม่ไปก้าวก่ายความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้น ถ้าแดนอยากจะคบกับทิชาก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาไม่ได้หมางเมินผม แต่ที่เมื่อกี้แดนบอกคล้ายๆ ว่าทิชาเองก็มีคนรักอยู่แล้วมันหมายความว่ายังไง?

“เอ่อ.....แดน........พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?” 

รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรถามหากก็อดไม่ได้ อยากฟังให้แน่ใจว่าต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่ผมกำลังเผชิญมันมาจากไหน แดนเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยมือจากทิชาเอง หรือว่าทิชาคือคนที่คิดจะจับปลาสองมือ 

“ทิชาน่ะ.... เขามีแฟนอยู่แล้วใช่หรือเปล่า?”

แดนพยักหน้าแล้วย้อนถามกลับ 

“พี่ปายจะอยากรู้ไปทำไม?”

“ก็ถ้าทิชามีแฟนอยู่แล้ว พี่คิดว่าเขาไม่ควรจะมาทำตัวสนิทสนมให้ความหวังแดนไปวันๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทิ้งตัวจริงมาคบกับแดน.......” 

ผมตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าใครทั้งนั้น เพียงแค่อยากให้คนตรงหน้ารับรู้ว่าถ้าเขาต้องเจ็บเพราะทิชาไม่รัก ใจของผมก็เจ็บไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

“พี่เข้าใจว่าความรู้สึกของการตกเป็นตัวสำรองมันเป็นยังไง มันเหนื่อย มันท้อ มันอึดอัดทรมานใจไปหมด.... พี่ยอมให้แดนใช้พี่เป็นตัวสำรองเวลาที่ทิชาไม่อยู่ได้ แต่พี่ไม่อยากให้ใครมาทำแบบนั้นกับแดน ต่อให้เป็นทิชาที่แดนบอกว่ารักมากมายก็เถอะ”

“งั้นพี่ปายก็คงจะเข้าใจใช่ไหมว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากแค่ได้อยู่ใกล้ทิชา.........” 

เจ้าของเสียงทุ้มตอบกลับอย่างเฉยเมย ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดคิดสักนิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นใช่ทางที่ถูกต้องหรือเปล่า เหมือนเห็นๆ กันอยู่ว่าถนนข้างหน้ามันขาด ฝืนขับต่อไปก็รังแต่จะตกเหวตาย แล้วแดนก็เลือกที่จะยอมตายทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปสวรรค์หรือนรกถึงจะได้เจอทิชา 

“เขาจะรักหรือไม่รักผมก็ช่าง จะใช้ผมเป็นตัวสำรองหรือตัวห่าตัวเหวอะไร ผมไม่สนใจหรอก.... ใครก็อย่ามาเสือก!”

“โอเคๆ พี่รู้แล้ว.......พี่ขอโทษ.......พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก........แดนอย่าโมโหพี่เลยนะ.....” 

พอถูกด่าว่าเสือก ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าพูดมากเกินไปแล้ว ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างแดนกับทิชาไง เวลาโดนโกรธก็มือไม้ปากคอสั่นเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ยอมคุยด้วยอีก

ผมเบียดตัวเข้าไปกอดร่างหนาเอาไว้ ซบหน้าลงบนผืนอกกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่ามันต้องเป็นของผมแน่ๆ หากสุดท้ายก็ได้แค่เพียงหยิบยืมมาใช้ชั่วคราว.... ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ความรักซึ่งดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดีกลับกลายเป็นรักข้างเดียว ทว่า ผมก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองอกหัก ผมเลือกที่จะขออยู่แบบเจ็บๆ ดีกว่าจะให้แดนออกไปจากชีวิตของผมอย่างเด็ดขาด

ผมเพิ่งเปรียบว่าสิ่งที่แดนกำลังทำก็ไม่ต่างกับการขับรถตกเหวไปเมื่อกี้นี้เองนี่นะ แต่ผมกลับทำแบบเดียวกับที่แดนทำไม่มีผิด เรียกว่าตายโค้งเดียวกันเลยก็ยังได้

“พี่รักแดนนะ.........ถึงแดนจะรักคนอื่น แต่พี่ก็ยังรักแดน.........”

ริมฝีปากที่ทาบทับลงไปนั้นเย็นชืดราวกับรูปปั้นหินกลางสายฝน ทั้งที่เอื้อนเอ่ยความรู้สึกออกไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้หวังอะไรมากเกินไปกว่าแค่เพียงเศษเสี้ยวความรักจากอีกฝ่าย แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับผมอยู่ดี

แดนผลักผมออกอย่างไร้เยื่อใย แม้จะไม่รุนแรงหากกลับทำให้เจ็บยิ่งกว่าถูกฟาดด้วยไม้หน้าสาม ผมเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หมดเรี่ยวแรงจะยืนในยามที่นัยน์ตาทั้งสองข้างถูกม่านน้ำบดบังจนพร่ามัวมองภาพเบื้องหน้าไม่เห็น ข้างในอกแสบร้อนก่อนที่เสียงสะอื้นจุกจะหลุดรอดออกมา.... ในตอนนั้น ผมก็ยังแอบหวังอยู่นะว่าแดนจะปลอบ โกหกหรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น แสดงออกว่าเขาแคร์ผมสักนิดก็ยังดี แต่ไม่เลย แดนไม่ให้อะไรผมเลยยกเว้นคำพูดตัดรอนชัดเจนกับเสียงฝีเท้าซึ่งเดินห่างออกไปทุกที


“ผมว่าพี่ปายไปรักคนอื่นเถอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลย”

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



โป๊ะไฟเพดานห้องผมแม่งน่าเกลียดชะมัด เห็นแล้วรำคาญลูกตา....


หลังจากคิดแบบนั้นออกไป ผมก็อดด่าตัวเองไม่ได้ที่ขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหวี่ยงวีนได้แม้กระทั่งกับข้าวของที่เห็นมาตั้งแต่เกิด คงเป็นเพราะภายในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมามีเรื่องอะไรต่อมิอะไรประเดประดังเข้าใส่ผมเต็มไปหมด เรื่องพี่โรมถูกยิง เรื่องที่ทางบ้านพี่โรมไม่ชอบผม เรื่องไอ้บี๋ เรื่องที่โดดเรียน โดดงาน แต่แล้ว อยู่ดีๆทุกอย่างก็แตกกระจายหายไป เหลือเพียงตัวผมซึ่งนอนมองเพดานอยู่ตามลำพังกับหัวสมองอันแสนว่างเปล่า

และความเหงาที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ....

นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะบอกว่าห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว จะเปลี่ยนใจไปรับยัยมิลค์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ ผมกลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจไปเรื่อยเปื่อย กำลังจะลุกขึ้นไปอาบน้ำให้หัวเย็นลงแล้วเข้านอน โทรศัพท์ก็ส่งเสียงดังแจ้งเตือนให้รู้ว่ามีคนกำลังอยากคุยด้วย



พ่อแมว

Would like facetime….




‘แม่แมว นอนหรือยัง...........’

ทันทีที่กดรับคอล ใบหน้าหล่อยิ้มแป้นแล้นก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ ทำเอาจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานนี้ทั้งเจ็บหนักและเสียเลือดเยอะตามที่หมอบอก ถ้าไม่เห็นสายระโยงระยางตรงหัวเตียงก็แทบดูไม่ออกเลยว่าเจ้าตัวอยู่โรงพยาบาล                                                                                                                                                                   

‘ลูกสาวพี่ไปไหนแล้ว พามาฟัดพุงผ่านจอหน่อยสิครับ’

“มิลค์ไม่อยู่ ไปนอนโรงแรม......”   

ผมตอบเสียงห้วนตึง หน้าบึ้งเหมือนไม่อยากคุยด้วย ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันจะไม่ใช่ความผิดของพี่โรมก็เถอะ แต่พอนึกถึงคำพูดที่ได้ยิน ตะกอนในใจก็ขุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ 

“ก็ทีแรก ชาคิดว่าจะต้องไปอยู่เฝ้าพี่โรมที่โรงพยาบาลก็เลยเอามิลค์ไปฝาก ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะโดนไล่กลับมาอย่างกับว่าเป็นคนยิงพี่โรมเสียเอง........”

‘โกรธพี่เหรอ คนดี?’

“เปล่า”

‘แม่พี่คงจะแค่ตกใจน่ะ เอาไว้พี่จะค่อยๆ อธิบายให้ที่บ้านฟังเอง.... ทิชาอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ มันไม่มีอะไรหรอก’

"กล้าพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณแม่กลับไปแล้วสิท่า?"

‘กลับไปเมื่อตอนเย็นแล้ว.... แต่ถึงม๊าอยู่ พี่ก็กล้าพูดนะ’

ผมรู้ว่าพี่โรมก็ทำได้อย่างมากก็คือปลอบ ก็อย่างที่บอกว่าปัญหาของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผมเป็นผู้ชาย แต่แม่พี่โรมไม่ชอบที่ผมเป็นลูกเมียน้อยชื่อเสียงฉาวโฉ่ระดับประเทศ การยอมรับคนแบบผมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวก็คงจะมีผลกระทบหลายอย่าง ทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คงมีแค่ถ่ายเลือดทั้งหมดในตัวผมออกแล้วเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลหนีความจริงแหละมั้ง

“ชาไม่ได้โกรธพี่โรม.... ไม่ได้โกรธแม่พี่ด้วย ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น”

‘ทิชา............’

“ชาไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดแบบนั้นแล้ว โดนจนชิน ไม่อยากสนใจ แล้วก็ไม่อยากเก็บเอามาใส่ใจด้วย”

คำว่า ‘ช่างแม่ง’ ถูกนำกลับมาใช้อีกหน ช่างแม่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ช่างแม้กระทั่งครอบครัวพี่โรม.... ช่างแม่งให้หมด!

‘ดูหน้าเราสิ หน้าตางอแงเหมือนยัยมิลค์เวลาโดนพาไปอาบน้ำเลย’ 

พี่โรมแหย่ผมอย่างหวังจะให้อารมณ์ดีขึ้น ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยที่มาทำเหวี่ยงไร้สาระใส่เขา ทั้งๆ ที่เขาก็ยังเจ็บอยู่แต่ยังต้องมาง้อผมอีก

‘ถ้าอยู่ใกล้ๆ กัน สงสัยโดนพี่หอมแก้มไปแล้วมั้งเนี่ย’

“งั้นพี่ก็มาบ้านชาดิ” 

ในที่สุดผมก็ใจอ่อน ปล่อยยิ้มออกมาจนได้

‘ได้ เดี๋ยวไปทั้งสายห่าอะไรก็ไม่รู้หมดนี่เลย’

ร่างสูงพูดก่อนจะแพลนกล้องไปข้างๆ ให้ผมเห็นสารพัดอุปกรณ์ที่คุณหมอใช้ล่ามเขาเอาไว้กับเตียงเหล็ก

“จะบ้าเหรอ อย่านะ”

‘หรือทิชาจะมาหาพี่เองล่ะ?’ 

พี่โรมถาม แต่ดูก็รู้ว่านั่นน่ะจงใจจะใช้มารยาคนเจ็บอ้อนกันชัดๆ 

‘พี่คิดถึงทิชา วันนี้ตอนเจอก็ยังไม่ได้คุยกันเลย กอดก็ไม่ได้กอด.... เนี่ย ข้าวโรงบาลก็ไม่อร่อย อยากกินสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อฝีมือเมีย’

“ดึกแล้ว หมดเวลาเยี่ยมแล้ว”

‘โรงบาลแพงๆ ไม่มีซีเรียสเรื่องเวลาเยี่ยมหรอก.... มาตอนตีสามก็ได้’

อ้อนกันเสียขนาดนั้น ผมก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบตกลง หากพอจะกดวางสายเตรียมตัวไปเปลี่ยนชุดหยิบกระเป๋าสตางค์ พี่โรมก็หักลำกลางอากาศเปลี่ยนใจไม่อยากให้ผมไปหาเสียอย่างนั้น

‘แต่อย่ามาเลย ขับรถดึกๆ มันอันตราย’

“เดี๋ยวชาเรียกแกร็ปไปแล้วกัน”

‘นั่งแท็กซี่ก็อันตราย ให้ใครก็ไม่รู้มาขับรถให้แฟนพี่ตอนกลางค่ำกลางคืน พี่ไม่ยอมหรอก’

เหตุผลของผู้ชายขี้หวงทำเอาผมหลุดขำ บางทีก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกันที่พี่โรมประคบประหงมผมเสียยิ่งกว่าลูกอ่อน ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เวลาอยู่ด้วยกัน นอกจากงานบ้านกับเรื่องของยัยมิลค์ เขาแทบจะไม่ยอมให้ผมหยิบจับทำอะไรเลย ยิ่งพอรู้ว่าจริงๆ แล้วผมยังขับรถไม่คล่อง พี่โรมก็ยิ่งห่วงจนวิตกจริต พักหลังๆ มานี้ไม่ยอมให้ผมแตะกุญแจรถแล้วด้วยซ้ำ

“งั้นชาก็ไม่ต้องไปไหนละ เชิญพี่โรมคิดถึงให้ตายไปเลย”

ผมบอกแค่นั้นแล้วก็กดวางสาย แต่ก็ไม่ได้ไปอาบน้ำเข้านอนอย่างที่ตั้งใจในคราวแรกหรอก.... พูดไปก็จะหาว่าเวอร์ แต่แค่ได้เห็นหน้ากับได้ยินเสียงพี่โรม ได้รู้ว่าเขายังคงมั่นคงในความรักของเรา ไม่ได้หวั่นไหวโอนเอนเพราะแม่เขาไม่ชอบผม เพียงเท่านั้น ห้วงความคิดซึ่งเครียดขึ้งบ้าๆ บอๆ มาตลอดทั้งวันก็ผ่อนคลายลงรวดเร็วยิ่งกว่าโดนเป่ามนต์ใส่เสียอีก




“ทิชามาแล้ว~”

แค่เปิดประตู น้ำเสียงระรื่นไม่สมกับแผลฉกรรจ์ตรงไหล่ซ้ายก็ลอยมากระทบโสตประสาท ร่างบนเตียงผู้ป่วยยิ้มแย้มกระปรี้ประเปร่าไม่มีวี่แววว่าจะง่วงแม้ว่าเวลาจะเลยเที่ยงคืนมาสักพักแล้ว.... ตอนแรกเห็นคุณหมอบอกว่าต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยเกือบเดือนถึงจะหายเป็นปกติ ที่ไหนได้ แค่ชั่วข้ามคืนก็ทำท่าว่าจะกลับมาออกฤทธิ์ออกเดชได้อีกแล้ว

“ไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่บอกไม่รู้นะว่าเจ็บอยู่” 

ผมเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ผ้าพันแผลบนไหล่หนาเตอะยาวมาถึงต้นแขน สายน้ำเกลือยังเจาะอยู่ตรงหลังมือแต่ก็มีรอยเข็มอะไรต่อมิอะไรปิดพลาสเตอร์เต็มท้องแขน ต่อให้เก่งแค่ไหน โดนมาขนาดนี้ก็ต้องมีสะดุ้งสะเทือนกันบ้างแหละ 

“หมอเขาทำอะไรกับพี่บ้างเนี่ย เจ็บมากไหม?”

“พี่เจ็บจนจะขาดใจตายเลย” 

ขนาดถามจริงจังยังมีแก่ใจจะมาพูดเล่น ไม่รู้หรือไงว่าเพราะคำว่า ‘ตาย’ นี่แหละที่ทำให้ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่กระสุนไม่ได้เฉียดหัวใจหรือเข้าท้องเข้าปอดคุณผู้ชายเลย 

“แต่ถึงเจ็บกว่านี้ พี่ก็ไม่ยอมตายหรอก.... กลัวเด็กบางคนแถวนี้จะทำน้ำตาท่วมโลกน่ะ”

“เด็กที่ไหน ชาไม่ได้ร้องเลยสักแอะ”

“ไม่จริงอะ ขนาดตอนเมายาสลบลืมตาไม่ขึ้นยังได้ยินเสียงเราสะอื้นฮึกๆๆ อย่างกับอยู่ในงานศพ”

ฟังพี่โรมพูดแล้วผมอยากจะยกเก้าอี้ฟาดแรงๆ สักที ผมร้องไห้จะเป็นจะตายนี่มันตลกตรงไหน แล้วไอ้ที่ร้องไม่เลิกนั่นก็เพราะเป็นห่วงเขาล้วนๆ แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบโต้ มือข้างที่ไม่ได้โดนผูกเอาไว้กับสายน้ำเกลือก็วางแหมะลงกลางหัวผม ขยี้เบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มออกมาให้ผมคลายความกังวล

“รู้ว่าเราเป็นห่วง แต่จะบอกว่าไม่ต้องร้องไห้หรอก.... พี่รักทิชามากขนาดนี้แล้วจะกล้าหนีไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”

“ให้มันจริงเถอะ” 

ผมแกล้งทำเป็นถอนหายใจเอือมระอาในความเลี่ยนของอีกฝ่าย ไม่อยากให้เขารู้ว่าอันที่จริงแล้วผมดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินคำบอกรักซื่อๆ ที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับจากใคร 

“ตอนที่ฟังจากไอ้แดนว่าพี่โรมโดนยิง เห็นบอกว่าเสียเลือดมาก อยู่ไอซียู อาการเป็นตายเท่ากัน หัวใจชาแทบจะหยุดเต้นไปเดี๋ยวนั้นเลย.... ใครจะไปรู้ว่าแค่โดนยิงเข้าไหล่ รู้งี้ไม่ร้องไห้กลางลานจอดรถสถานีให้เสียฟอร์มทิชนันท์คนคูลหรอก”

“ไอ้ห่าแดนมันก็พูดเวอร์ ไว้พี่จะไปด่ามัน”

“ไม่ต้องเลย ด่าตัวเองเหอะ.... เดินภาษาอะไรให้โดนลูกหลงพวกช่างกล”

พูดก็พูดเถอะนะ ผมยังตะขิดตะขวงใจอยู่นิดหน่อยที่พี่แจ็คยืนยันว่าพี่รุจกับพรรคพวกที่เบอร์ลิคไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องที่พี่โรมถูกยิง แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่คิดว่าพี่แจ็คจะโกหกเพื่อปกป้องใคร เพราะเขากับพี่โรมก็สนิทกันมาก.... ก็สรุปเอาเป็นว่าพี่โรมเดินเซ่อซ่าดวงซวยไปเข้าวิถีกระสุนเองแล้วกัน

ผมตรงไปยังเคาท์เตอร์เล็กๆ สำหรับใช้วางและอุ่นอาหารสำหรับญาติและคนอยู่เฝ้าไข้ แกะโจ๊กทรงเครื่องรวมมิตรเจ้าดังที่แวะซื้อมาใส่ชามแล้วเอาไปเสิร์ฟให้คนเจ็บถึงเตียง.... ร้านนี้ผมกับพี่โรมเคยไปกินด้วยกันบ่อยๆ ช่วงที่อยู่คอนโดฯ แต่เรามักจะสั่งพวกต้มเลือดหมูหรือไม่ก็ก๋วยจั๊บน้ำใสกันมากกว่า หากพอนึกถึงที่แม่พี่โรมพูดเมื่อตอนกลางวันเรื่องที่ผมซื้อไก่ทอดมา ผมก็เลยคิดว่าโจ๊กน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ปลอดภัยที่สุด ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจนักก็ตาม

“เห็นตอนคอลกัน พี่โรมบอกว่าหิว ชาก็เลยซื้อโจ๊กเปิดหม้อมาให้.... สั่งเขาแล้วว่าไม่ใส่ไข่ อันนี้กินได้ใช่ไหม? จะแสลงอะไรอีกหรือเปล่า?”

“แน่ะ แซะเก่งนะเรา”

“ไม่ได้แซะ.... ใครจะไปกล้า นั่นแม่พี่นะ”

อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะซื้ออะไรไม่เข้าท่ามาให้กินจนทำให้แผลหายช้า แต่ดันมาหาว่าผมงอนประชดที่โดนแม่เขาว่าเสียนี่ ถ้าไม่ติดว่ารักมากและกำลังเจ็บอยู่มีหวังได้โดนชามโจ๊กคว่ำใส่กลางหัวแน่

ผมวางชามเอาไว้บนรถเข็นมีล้อเลื่อนแบบที่ใช้กันทั่วไปตามโรงพยาบาล ปรับระดับความสูงให้พี่โรมสามารถตักอาหารกินเองได้สะดวก ทว่า ร่างสูงกลับนั่งจ้องหน้าผมตาใสปิ๊ง ไม่มีวี่แววว่าจะบริการตัวเองแต่อย่างใด พอผมขมวดคิ้วใส่ เสียงทุ้มห้าวผสมสำเนียงอ้อนชวนขนลุกก็เอ่ยดังขึ้น

“ป้อนพี่หน่อยสิครับ ทิชา” 

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายไซส์ XXL เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าๆ จะกล้าใช้น้ำเสียงและสายตาแบบเดียวกับเด็กห้าขวบเวลาอยากได้ของเล่น เป็นครั้งที่สองที่ผมคิดว่าถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นแฟนผม ผมจะเอาชามโจ๊กคว่ำใส่เขาอย่างแน่นอน 

“เหลือมือใช้ได้อยู่ข้างเดียว กินเองไม่ถนัด”

“แล้วเมื่อตอนกลางวันพี่กินข้าวยังไง ให้แม่ป้อนเหรอ?” 

ผมแกล้งถามอย่างนึกหมั่นไส้ แต่มือก็หยิบช้อนเตรียมจะตักโจ๊กให้เขาอยู่แล้ว

“เห็นแม่บังเกิดเกล้าแล้วไม่ตื่นเต้น แต่เห็นแม่แมวตัวขาวๆ แล้วมือไม้มันอ่อนตลอดเลย”

ผมถอนหายใจให้กับคนตัวโตซึ่งนับวันจะยิ่งง้องแง้งไม่เกรงฟ้าดิน ถึงจะเลี่ยนอยู่ไม่น้อยแต่เอาจริงๆ ผมก็ชอบให้เขาอ้อน ชอบที่จะได้เห็นว่าพี่โรมเองก็รักผมมากเหมือนอย่างที่ผมรักเขา.... กับคนอื่น ผมไม่เคยให้ใครมากเท่านี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งกับรุ่นพี่คนแรกที่นอนด้วยก็ยังไม่ได้รับความห่วงใยใส่ใจจากผมสักเท่าไร พี่โรมคือคนพิเศษ.......พิเศษที่สุดอย่างที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้วในชีวิตนี้........

เพียงไม่นาน โจ๊กทรงเครื่องถุงใหญ่ก็หมดลง ผมเข็นโต๊ะล้อเลื่อนไปชิดผนังข้างหนึ่ง ยกชามไปรองน้ำไว้ในอ่างซิงค์ กะว่าให้พี่โรมหลับก่อนแล้วค่อยมาล้างเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วไปให้แล้วคอยดูแลซับปากหลังจากที่เขาดื่มเสร็จ

“ชาอยากจะมาดูแลพี่โรมที่นี่ อยู่โรงพยาบาลถึงจะมีคนให้เรียกยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ยังไงก็ไม่สบายเท่าอยู่ห้องหรอก........” 

ผมบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งมันก็คงเป็นได้แค่ความคิดเพราะยีงมีอุปสรรคใหญ่ขัดขวางเรื่องของเราสองคนอยู่ 

“แต่แม่พี่คงไม่ชอบถ้ารู้ว่าชามาเฝ้าลูกชายเขา”

“ไหนว่าชินแล้ว ไม่คิดมากไง”

มือหนาเอื้อมมาแตะแก้มผมเบาๆ คำพูดอาจฟังดูคล้ายแหย่เล่น แต่แววตาสีเข้มกลับฉายชัดถึงความห่วงกังวล

“แล้วพี่โรมเชื่อจริงๆ เหรอว่าชาจะไม่คิดมาก?”

“ไม่เชื่อ”

“ก็นั่นไง..........”

ผมพยายามแล้วที่จะไม่คิดหากมันก็เหมือนมีเสี้ยนอันใหญ่เบ้อเริ่มปักอยู่กลางหัวใจ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ผมกับพี่โรมจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วคบกันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทางบ้านเขาไม่ปลาบปลื้มชาติกำเนิดของผม.... และผมก็กลัวว่าพี่โรมจะปฏิเสธความต้องการของพ่อแม่เขาไม่ได้ ถึงเราจะรักกันมากแค่ไหนแต่คนปกติทั่วไปก็ย่อมต้องเลือกให้ครอบครัวมาก่อนอยู่แล้ว สุดท้าย ผมก็อาจจะต้องกลับไปเป็นทิชา ทิชนันท์ที่ไม่มีใครรักเหมือนเดิม

พี่โรมตบเบาะที่ฝั่งขวาเสียงดังปุๆ เรียกผม ก่อนจะขยับตัวอีกเล็กน้อยเพื่อเว้นให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้น

“ขึ้นมานอนกับพี่มา”

“ไม่เอาหรอก.........” 

แค่อีกฝ่ายบาดเจ็บก็แย่พออยู่แล้ว ผมก็เลยอยากให้เขาได้นอนสบายๆ มากกว่าจะขึ้นไปเบียดบนเตียงเดียวกัน

“ขึ้นมาเถอะ.... พี่เจ็บแค่ไหล่ซ้ายนิดเดียวเอง ไหล่ขวายังเหลือเราหนุนได้สบาย” 

ร่างหนากล่อมผมให้คล้อยตาม อย่างกับดูออกว่าผมโหยหาไออุ่นและอ้อมกอดจากเขามากเหลือเกิน 

“ทิชาไม่คิดถึงพี่เลยเหรอ.... พี่อยากนอนกอดเราจะแย่อยู่แล้ว นอนคนเดียวมันเหงา มาให้พี่ชื่นใจหน่อยนะครับ”

ยากที่จะบอกว่าเป็นเพราะทนเสียงรบเร้าไม่ได้หรือเป็นเพราะผมใจอ่อนง่ายเอง แต่พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็เดินไปปิดไฟหลอดนีออนดวงใหญ่แล้วเปิดไฟดิมเมอร์สีส้มเอาไว้แทน.... ผมปีนขึ้นไปนอนบนเตียง เบียดตัวเข้าหาร่างสูงพลางซบหน้าลงบนลาดไหล่หนาข้างที่ไม่มีผ้าพันแผล แม้จะยังเจ็บแต่อ้อมแขนที่โอบรอบกายผมก็ยังแข็งแรงและอบอุ่นไม่ต่างไปจากเดิม กลิ่นอายจากผิวเนื้อคนรักปลอบประโลมหัวใจซึ่งเครียดขึ้งขุ่นมัวให้สงบลง.... แม้ไม่มีคำพูดกำกับแต่ผมก็รู้ได้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าสำหรับผมแล้วมันต้องเป็นที่ตรงนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเยียวยาบาดแผลในใจผมได้ดีเท่ากับอ้อมกอดของพี่โรมอีกแล้ว

เราทั้งคู่นอนเบียดอิงแอบกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่โดยที่ไม่มีใครหลับ สังเกตได้จากแรงกระเพื่อมจากผืนอกหนาซึ่งยังไม่สม่ำเสมอ หนักบ้าง เบาบาง ผมจึงเดาเอาว่าเขาเองก็คงมีเรื่องให้ต้องใช้ความคิดไม่ต่างกัน

“ทิชา”

“หืม?”

“พี่รู้ว่าเราคิดมากเรื่องที่แม่พี่พูดเมื่อตอนกลางวัน.... พีขอโทษนะ พี่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” 

พี่โรมพูดก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบหน้าผากผม เราสบตากันท่ามกลางแสงไฟสลัว รับรู้ได้ถึงความกลัดกลุ้มกังวลของกันและกัน

 “จะบอกไม่ให้เราคิดอะไรเลยก็คงไม่ใช่.... สิ่งที่แม่พี่พูดมันฟังดูแย่มาก แต่ก็ไม่อยากให้ทิชาเก็บเอาคำพูดพวกนั้นมาคิด”

“แล้วพี่อยากให้ชาทำยังไง?”



“ก็ไม่ต้องทำยังไง.... เราก็อยู่ของเราต่อไปแบบนี้แหละ”

ผมเหลือบสายตามองหน้าอีกฝ่าย ออกจะงงอยู่นิดหน่อยที่เขาบอกให้ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วอยู่ด้วยกันอย่างที่เคยเป็นมา อย่างนี้แล้วพ่อแม่เขาจะไม่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ลูกชายคนโตขัดคำสั่งพวกเขาหรอกเหรอ.... แต่พี่โรมก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้สงสัยนานนัก เขาเล่าความในใจให้ฟังอย่างหมดเปลือกชนิดที่ทำให้ผมแทบละลายตายคาอกกว้าง

“ถึงจะแค่ไม่กี่เดือนที่เราคบกัน แต่พี่ก็รักของพี่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด.... ตอนที่ถูกยิงแล้วล้มลง พี่คิดว่าตัวเองคงจะต้องตายอยู่ข้างถนนแน่ๆ แต่ข้างในหัวกลับมีแต่ภาพหน้าทิชาลอยขึ้นมา คิดแค่ว่ายังตายตอนนี้ไม่ได้ พี่ยังไม่ได้พาทิชากับยัยมิลค์ไปเที่ยวทะเลใต้อย่างที่เคยคุยกันเอาไว้เลย ยังมีเรื่องที่อยากทำด้วยกันอีกตั้งเยอะ ที่ที่อยากให้ไปเห็นด้วยกันก็มีอีกเป็นร้อย..........”

“พี่รักทิชา.... รักมากอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ถ้าพี่ต้องแยกจากทิชาจริงๆ ล่ะก็ สู้ยอมควักหัวใจออกมาโยนให้หมากินเสียยังจะดีกว่า”

“ตายข้างถนนอะไรล่ะ พูดงี้อีกแล้ว.... แค่โดนยิงไหล่ไม่ถึงตายหรอก”

ผมว่าเขาทั้งที่หุบยิ้มไม่ลง ไม่ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องตายก็จริงหากคราวนี้ผมจะไม่จิตตกหรือกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหนอีก ราวกับว่ารูโหว่ในหัวใจผมได้รับการถมจนเต็มและมันก็กลับมามีสภาพสมประกอบเหมือนอย่างคนปกติทั่วไปสักที

“ถึงพี่โรมจะไม่ใช่คนแรกที่ชาคบด้วย แต่พี่เป็นคนแรกที่ชาอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป.... พี่เป็นคนแรกที่ให้ความรักตอบกลับมาอย่างจริงใจ” 

ผมเอ่ยพลางหยัดตัวขึ้นจูบคนข้างกาย ดื่มด่ำดำดิ่งไปกับกลิ่นหอมของความรักซึ่งฟุ้งกระจายอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ในเมื่อผมได้ยินความในใจจากพี่โรมแล้ว ผมก็อยากให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผมเช่นเดียวกัน 

“อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้เนอะ.... แต่ต่อให้พรุ่งนี้หรือวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่โรมก็คงเป็นคนสุดท้ายที่ชาจะรักได้แล้วล่ะ”

สิ่งที่เพิ่งพูดออกไปนั้นไม่ได้เกินความจริงเลย.... ผมเลือกไม่ผิด ตัดสินใจไม่ผิดที่ชิงเกียร์พี่โรมมาเป็นของตัวเอง และในเวลานี้ทั้งตัวตนและความรักที่ผมพยายามไขว่คว้าอย่างเอาเป็นเอาตายก็มาอยู่ในมือผมเสียที


“ในที่สุดก็ได้รู้สักทีว่าการถูกรักมันเป็นยังไง.... โคตรรู้สึกดีเลย รู้สึกดีมากจริงๆ”


จากนี้ไป ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนเรียกร้องอย่างน่าสมเพชอีกแล้ว

ฟ้าหลังฝนมันสวยงามแบบนี้นี่เอง

.

.

หวังว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะไม่มีฝนตกลงมาอีกนะ....?   



TO BE CONTINUE

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วระแวงตลอดเวลา ว่าจะมีอะไรเข้ามาอีก
ทางเดินนี่ยิ่งกว่าผิวพระจันทร์

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
อิหลุกขลุกขลัก ตุ้มๆต่อมๆ กันทั้งเรื่อง เดาไม่ออก ไม่รู้จะยังไงต่อ ลุ้นมากจริงๆค่ะ

ชอบตัวละครในเรื่องนี้ เรียลดี เทา เทาเข้ม ยาวคนก็ดำปึ้ดไปเลย
ทิชา ลูกเอ้ยยยย ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นอยากให้น้องมีความสุขสักที ที่จริงมีคนรักหลายคน แต่กำแพง ปมในใจนี่หนาลิบลิ่ว
แรกๆที่อ่านก็คิด เอ๊ะ ชั้นจะรักนายเอกคนนี้ไหม สุดท้ายก็รักนะ รัก สงสารและเอาใจช่วย ทิชาน่ารักมาก
สุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ขอให้น้องมีความสุข คิดขนาดจะเอาเงินมาใช้ให้บีบี๋ ดูใจนายเอกชั้น คนดีมาก

พี่โรม โอ้โห พ่อคนดี คนใจดี แสนดี จนลุ้นกับชิบหายวายวอด เขาจะรักทิชาจริงไหม เขาจะเปลี่ยนใจไหม
พี่โรมดีมากนะ ดูแลทิชาดีมาก ตอนโดนยิงนี่ตกใจมาก พระเอกกูจะรอดไหม อีพี่รุจแน่นอน ชอบตรงที่ทุกคนต้องเรียนรู้
เติบโตปรับกันไป อย่าพี่โรมที่แสนดี แต่จะดีกับทุกคนก็ไม่ได้ไง แฟนคงไม่สบายใจเด้อ แต่สรุปแกเป็นพระเอกเนอะ 555

แดนเด้อ นางน่าสงสารนะ รักเขาแต่เข้าไม่ถูกทาง แถมเจอบีบี๋กันซีนไปอีก แต่แดนเองก็ยังมีความเด็กในตัวเยอะ
คือสนใจความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนขิงข่าใดๆ กับคนอื่น อย่างเรื่องญาติอย่างโรม หรือเรื่องปาย
ที่โกรธมากคือตอนด่าทิชาตอนทิชาไปขอโทษ เด็กมาก ถ้ารักจริงจะไม่ทำแบบนี้อ่ะ เคยเชียร์แดนนะ
เจอตอนนั้นเข้าไป เงิบจ้า

บีบี๋ ชั้นก็ว่าตะหงิดๆ คำพูดช่วงแรก เอ แปลกๆ นะ จริงด้วยจ้า นางร้ายมาก ตอนหลุดปากด่าทิชายาวเหยียดคือแบบ
ป่วย ป่วยแน่ๆ เพื่อนไรแบบนี้วะ แต่ก็ โห ใช้กรรมซะน่าสงสารเลย ผัวโหดแบบนี้ไมาไหว สาทแดก
จะหนีตายก็หนีไม่ได้ คือพี่รุจก็ถ้ารักเขาก็ดีๆ หน่อยได้ไหมวะ ลุ้นสายตัวจะขาด กลัวตายก่อน

ตัวละครอื่น ปาย น่าสงสาร พื้นฐานไม่ได้เป็นคนแย่ ควรพอกับรักข้างเดียว แจ๊ค เป็นคนดีนะ สงสารนาง
เรื้องครอบครัวโรมน่าจะไม่จบแค่นี้ เอาใจช่วยทิชา ไปทำบุญไปลูกไป

วันนี้หยุดอ่านมันทั้งวันเลย สนุกมาก ยาวมากด้วย ขอบคุณนะคั

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกมากกกกก ไม่หวังไรเเล้ว ระแวงไปหม้ดดดด :katai1:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นกำลังใจให้พี่โมกับทิชาสู้ต่อไป ยากให้ทั้งคู่มีความสุข

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ขอให้หลังจากนี้ไม่มีอะไรร้ายๆนะ เห้อ

ส่วนเฮียรุจเนี่ยชอบบีบี๋ จริงหรอ รุนแรงขนาดนั้น

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
17
~ ฤดูฝนครั้งสุดท้าย ~


TISHA’s PART



“ถึงจะดูเหมือนหายเร็ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อและผลข้างเคียงหลังผ่าตัด.... ยังไงก็รออีกสอง-สามวันนะครับ ถ้าไม่มีอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ หมอค่อยให้คุณโรมกลับบ้าน”

คุณหมอพูดยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายก็ดังขึ้นจากคนที่กำลังนั่งหน้าเซ็งอยู่บนเตียง.... เพราะเจ้าตัวคิดว่าตัวเองหายดีไม่ได้เป็นอะไรมากมายก็เลยขอออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผมพูดเท่าไรก็ไม่ยอมเชื่อ เจอหมอเจ้าของเคสอธิบายให้ฟังชัดๆ จะได้เลิกงอแงร้องจะกลับคอนโดฯ สักที

“ได้ยินแล้วใช่ไหม พี่โรม?” 

“ได้ยิน............”

ผมไม่ได้เยาะเย้ยนะ แค่ถามย้ำเผื่อว่าคนเจ็บจะฟังไม่ถนัด แต่พี่โรมคงคิดว่าผมจะสมน้ำหน้าเขามั้งถึงได้มองค้อนทั้งผมทั้งหมอจนตาเขียวปั้ด

“หมอเข้าใจว่านอนเฉยๆ ทั้งวันก็อาจจะเบื่อ แต่ชั้นล่างของโรงพยาบาลมีคอมมูนิตี้มอลล์ พวกร้านกาแฟหรือร้านหนังสือก็มี.... คุณโรมจะลงไปยืดเส้นยืดสายเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยก็ได้ ถ้าเดินไม่สะดวกก็ขอรถเข็นจากพยาบาลได้เลย”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ”

ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยืนรอจนกระทั่งคุณหมอวัยกลางคนออกไปจากห้อง โชคดีหน่อยที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนสำหรับคนมีตังค์ สิ่งอำนวยความสะดวกก็เลยมีมากกว่าโรงพยาบาลทั่วไป ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนหัวร้อนเพราะโดนบังคับให้นอนติดเตียงทั้งวัน ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากไถมือถือดูบอลย้อนหลัง ไอ้จะชวนผมเล่มเกมออนไลน์ยกพวกไปตีป้อมอะไรนั่น ผมก็เล่นกับเขาไม่เป็นเสียด้วย

“ทิชาจะรีบกลับหรือเปล่า.... ลงไปสตาร์บัคกับพี่หน่อยดิ” 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จตอนเกือบๆ สิบโมง พี่โรมก็เอ่ยชวนผมไปเปรี้ยวข้างล่างทันที

“ก็กะว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วค่อยไปรับยัยมิลค์ที่โรงแรม แต่ไปกับพี่โรมก่อนก็ได้”

“งั้นไปกันครับ”

ร่างสูงไม่ยอมใช้รถเข็น บอกว่าอยากจะเดินเองมากกว่า เราก็เลยลงไปชั้นล่างในสภาพที่ต้องกระเตงเสาน้ำเกลือไปด้วย.... ปกติแล้วพี่โรมจะดื่มอเมริกาโนเอ็กซ์ตร้าช็อตแต่เพราะเขายังเจ็บอยู่ ผมก็เลยสั่งเป็นแบบดีแคฟไม่มีคาเฟอีนให้แทน ส่วนของผมก็ชาเขียวปั่นหวานน้อยกับขนมอีกสอง-สามอย่าง

แค่ได้สูดออกกาศนอกห้องไปพลางจิบกาแฟไปพลาง สีหน้าหม่นๆ ของพี่โรมก็เริ่มจะซับสีเลือดมากขึ้น ผมก็พอจะเข้าใจความหงุดหงิดของเขาแหละ คนเคยไปไหนมาไหนทำนู่นทำนี่ตลอดทั้งวันแล้วอยู่ดีๆ ก็ต้องมานอนแหมบอยู่ในฐานะคนเจ็บ จะเผลอกระฟัดกระเฟียดใส่คนอื่นไปบ้างก็ไม่แปลก แต่เขาก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับผมเลยนะ มีแค่หมอกับพยาบาลที่โดน

“ค่อยยังชั่วหน่อยที่โรงพยาบาลยังอุตส่าห์มีที่ให้เดินเล่น ไม่งั้นพี่ต้องเฉาอยู่บนห้องแน่ๆ”

ร่างหนาว่าพลางยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจอ้าปากหาว ดูจากท่าทางแล้วคงเมื่อยมากจริงๆ นั่นแหละถึงได้เอ็นจอยกับการลงมาข้างล่างขนาดนี้

“เขาให้ลงมาได้แต่ก็ไม่ใช่มานั่งร้านกาแฟทั้งวันนะ ต้องพักผ่อนเยอะๆ ด้วย”

“รู้แล้วจ้า แม่แมวดุ”

ถึงจะแผลงฤทธิ์กับพยาบาลในวอร์ดแค่ไหน พี่โรมก็ไม่กล้าแหยมกับคนหัวร้อนง่ายกว่าแบบผมหรอก มีแต่จะต้องรับคำว่าง่ายแล้วก็ทำตามแต่โดยดี

เราสองคนนั่งคุยเล่นกันอยู่ในร้านกาแฟเกือบๆ ชั่วโมงก่อนจะไปเลือกหนังสือให้พี่โรมเอาไว้อ่านแก้เบื่อ.... จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วนะว่าพี่โรมหล่อ รูปร่างก็สูงใหญ่สมาร์ทเกินมาตรฐานค่าเฉลี่ยชายไทย เวลาเดินด้วยกันก็มักจะมีสาวน้อยสาวใหญ่มองจนเขาเหลียวหลัง แต่ไม่คิดว่าขนาดอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าเพลนๆ ก็จะยังโซแดมฮอตจนผมต้องทำตาขวางใส่ทุกคนที่ทำท่าจะเข้ามาขอแอดไลน์เขา

เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยขี้หึงนะ แต่กับพี่โรมนี่ไม่ได้เลย ผมหวงเขามากอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง ยิ่งพอรู้ว่าเขาไม่ได้แค่หล่อแต่ยังแสนดีชนิดที่ผมไม่น่าจะหาจากที่ไหนได้อีกแล้ว ผมก็ยิ่งหวง กลัวว่าใครจะมาแย่งเอาเขาไป

ทั้งๆ ที่คนที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นสักหน่อย....


“เดี๋ยวชาไปก่อนนะ แล้วคืนนี้จะมาหา.... พี่โรมอยากกินอะไรก็ไลน์มาบอก ถ้าชาแวะซื้อได้ก็จะแวะให้” 

ผมพาทั้งคนเจ็บและเสาน้ำเกลือขึ้นมาส่งถึงห้อง ถึงจะอยากอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายแต่วันนี้ก็ยังมีธุระซึ่งต้องไปจัดการให้เรียบร้อยอีกหลายอย่าง ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์มาด้วยกันก็สั่งกำชับนั่นนู่นนี่ไปพลาง 

“อยู่คนเดียวอย่างอแง แล้วก็ห้ามเจ้าชู้ด้วย.... ถ้ารู้ว่าแอบจีบพี่พยาบาลล่ะก็โดนตีหัวแน่”

แทนที่จะกลัวก็กลับมายืนยิ้มกะลิ้มละเหลี่ย ดูจะชอบใจไม่น้อยที่ได้ยินผมพูดจาเหมือนว่าหึงหวง

“มีแฟนน่ารักขนาดนี้ พี่ไม่เหลือตาไปมองคนอื่นแล้ว”

“ทำพูดดีไปเหอะ”

ผมแค่นเสียงคล้ายไม่เชื่อน้ำคำร่างสูง แต่ก็รู้แหละว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ก็แค่อยากฟังซ้ำอีกรอบว่าเขารักผมมากขนาดไหนก่อนที่เราจะแยกกันชั่วคราว

แต่พอเปิดประตูกลับเข้าห้อง ปรากฏว่าห้องไม่ได้โล่งเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น หากกลับมีกลุ่มคนซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นครอบครัวของพี่โรมนั่งรออยู่.... และทันทีพวกเขาเห็นพี่โรมเดินเข้ามาพร้อมผม ยังไม่ทันได้ถามไถ่ทักทายว่าขึ้นมาจากสุราษฎร์ตั้งแต่กี่โมง นั่งเครื่องบินไปๆ มาๆ เหนื่อยไหม จะรับน้ำเปล่า น้ำผลไม้หรือว่าน้ำอัดลมดี สายตาสงสัยระคนประหลาดใจก็พุ่งตรงมาหาเหมือนลูกธนู โดยเฉพาะจากคุณแม่ซึ่งผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าท่านไม่ค่อยเอ็นดูผมสักเท่าไร

“โรม ออกไปไหนมาลูก?” 

น้ำเสียงของหญิงสูงวัยไม่ได้กรรโชกโฮกฮากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจจนทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจน

“ผมลงไปเดินเล่นข้างล่างกับน้องมาครับ.... หมอบอกให้ลงไปยืนเส้นยืดสายได้ พวกผมก็เลยไปหาของกินกัน”

พี่โรมจับมือผมคล้ายจะบอกกันทางอ้อมว่าไม่ต้องกังวล ก่อนจะเอ่ยตอบคุณแม่ไปเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังมิวายที่คุณแม่จะจ้องหน้าผมเขม็งอย่างพยายามจะเอาเรื่องให้ได้.... ถ้าเดาไม่ผิด ท่านคงคิดว่าผมเป็นคนชวนลูกชายสุดรักสุดหวงลงไปตะลอนๆ ทั้งที่ยังไม่หายดี

“แต่เราเจ็บอยู่นะ ทำไมไม่นอนพักเฉยๆ?” 

คุณแม่ถามพี่โรม หากกลับชำเลืองหางตามองผมราวกับจะคาดโทษ

“ผมนอนจนจะเป็นง่อยอยู่แล้วครับม๊า แค่ลงไปเดินแปบเดียวไม่เป็นไรหรอก หมอก็เป็นคนอนุญาตเองด้วย”

“คงไม่ใช่ว่าคนอยากกินคือทิชา โรมก็เลยต้องลงไปเป็นเพื่อนเขาหรอกนะ?”

ถูกต้องตรงเผง.... คิดไว้แล้วไม่มีผิด ลองว่าถ้ามองกันด้วยอคติล่ะก็ ต่อให้รัฐบาลสั่งยุบสภาหรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว คุณแม่ก็คงหาทางโทษว่าเป็นความผิดของผมจนได้แหละ

“คุณ...........”

ฝ่ายคุณพ่อเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามจะปรามผู้เป็นภรรยา พี่โรมเองก็เช่นกัน เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดจากคำถามซึ่งมีเจตนาจะว่ากล่าวผม เขาก็เลือกที่จะให้ผมเลี่ยงการเผชิญหน้าจนกว่าคุณแม่จะเปลี่ยนความคิดและเลิกมองผมในแง่ร้าย.... ซึ่งผมก็ไม่ว่าเขาหรอก ไม่คิดว่าพี่โรมจะทำผิดตรงไหนด้วย แพราะคู่กรณีเป็นบุพการีเขา ไอ้จะมาเชียร์ให้ผมสู้ตายหรือถอนหงอกผู้ใหญ่ก็คงไม่เข้าท่า

“ทิชากลับไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน” 

ร่างสูงเอื้อมมือมาแตะบ่าผม แม้เมื่อคืนเราจะคุยกันแล้วว่าจะจับมือแล้วผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน หากผมก็ไม่แน่ใจเลยว่าถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป ท้ายที่สุดเราก็คงต้องเลิกกัน ซึ่งผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจึงไม่คิดจะเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วออกจากห้องไปตามที่พี่โรมขอ

“ทิชา?”

พี่โรมเอ่ยเรียกพร้อมทั้งจับแขนผม ทว่า ผมดึงมือเขาออกแล้วหันไปหาคุณแม่ตรงๆ และก่อนที่ใครจะทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ผมก็ชิงถามในสิ่งที่อยากถามตั้งแต่วันแรกที่พบท่านในห้องๆ นี้

“คุณแม่ไม่ชอบผมเหรอครับ?”

“...................”

เงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยสักคน แม้กระทั่งคุณแม่ของพี่โรม

จะว่าอึ้งจนพูดไม่ออกก็อาจใช่ แต่คุณแม่ก็คงจะนึกไม่ถึงว่าผมจะกล้าจนพาลคิดไปได้ว่าผมเป็นเด็กก้าวร้าวไม่มีมารยาท ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่.... ซึ่งถ้าหากท่านจะยอมลดอคติลงสักนิดก็น่าจะรับรู้ได้ว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกเสียจากโอกาสกับเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่จะบอกว่า ทิชา ทิชนันท์ คนนี้ก็มีศักดิ์ศรีและมีสิทธิ์ที่จะรักลูกชายของท่านไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ อย่าตัดสินผมเพียงเพราะว่าผมเป็นลูกของใคร และอย่าเอาความผิดที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อมาให้ผมต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะผมจะไม่ยอมเสียพี่โรมไปเป็นอันขาด

“นอกจากเรื่องที่ผมเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดจากผู้หญิงที่บ้านทิพยศักดิเสนาไม่ยอมรับ คุณแม่ยังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้คิดว่าผมจะมาเกาะพี่โรมอีกไหมครับ?” 

ในตอนนี้ คุณแม่พี่โรมมองผมอย่างกับเห็นผี แต่ผมไม่คิดจะหลบสายตาท่าน แล้วก็ไม่คิดจะโอนอ่อนไปตามแรงดึงของร่างสูงซึ่งเกรงว่าผมจะโดนแม่เขาด่าว่าเอาแรงๆ ด้วย 

“ผมเลือกไม่ได้ว่าอยากจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน คุณพ่อกับพวกญาติๆ อาจจะไม่ต้อนรับผมกับแม่ก็จริง แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่าแม่นิดาอบรมสั่งสอนผมมาดีไม่แพ้คนที่มาจากครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อแม่ลูก.... เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่คุณแม่กลัวว่ามันจะเกิด มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกครับ เพราะผมไม่ได้จะมาหลอกเอาอะไรจากใครทั้งนั้น.... ผมแค่รักพี่โรมครับ”

คราวนี้เงียบหนักกว่าเดิม คุณพ่อพี่โรมได้แต่ยืนมองตาปริบๆ พวกน้องๆ ก็ถอยกรูดออกไปจนติดผนังไม่มีใครกล้าเอาตัวเข้ามาอยู่ในสมรภูมิที่ผมกับคุณแม่กำลังสาดกระสุนใส่กัน.... ก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ดูจากที่คุณแม่ไม่สามารถโต้ตอบออกมาได้ทันที ผมว่าผมมีโอกาสชนะมากกว่าร้อยละเจ็ดสิบเชียวล่ะ

“แต่ถ้าคุณแม่มีเหตุผลอื่นก็บอกมาได้เลยครับ.... ผมยินดีจะแก้ไขทุกอย่าง ถ้ามันจะช่วยให้ผมกับพี่โรมได้อยู่ด้วยกันต่อไป”

ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวก้าวร้าวปีนเกลียว ผมไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร แต่ผมยอมทุ่มทุนสร้างเพื่อพี่โรม พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มีทางกล้าพูดกับใครที่ไหนก็เพื่อพี่โรม.... ผมไม่ใช่พวกเด็กขี้อ้อนเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ที่ผมมีก็แค่ความตั้งใจที่จะพิสูจน์ตัวเอง อยู่ที่ว่าคนในครอบครัวพี่โรมจะให้โอกาสผมหรือเปล่าก็เท่านั้น

“หูยยยยยย พี่ทิชาเผ็ชเวอร์”

“เดี๋ยวเถอะ มิลาน!”

คุณแม่หันไปดุแฝดคนที่ผมประบ่า คงกลัวว่าลูกสาวจะเปลี่ยนใจหันมาเชียร์ผมหลังจากที่รู้ความจริงจากปากพี่ชายแล้วว่าผมไม่เคยคบกับไอ้แดน ที่เห็นในเพจและไอจีออฟฟิศเชียลสงครามคิวท์บอยนั้นเป็นแค่การโปรโมทคู่จิ้นซีรีส์ล้วนๆ.... ซึ่งถ้ารู้ว่าโปรโมทเป็นคู่แล้วจะทำให้คนดูเข้าใจผิดไปไกลขนาดนี้ ผมก็คงไม่ตอบตกลงด้วยตั้งแต่แรกแล้ว

“แม่ว่าทิชาอาจจะกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปนะจ๊ะ”

หญิงสูงวัยพยายามคลี่ยิ้มปรับน้ำเสียงให้ปกติ ไม่ให้ผมกับลูกๆ ดูออกว่าท่านกำลังอับจนเหตุผลแต่ก็ยังไม่อยากยอมรับให้คนอย่างผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวน 

“แม่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่ว่าทิชาเป็นลูกใคร......เอ่อ.........แม่แค่คิดว่าตอนนี้ทั้งโรมแล้วก็ทิชากำลังเรียนอยู่ ไม่ควรจะรีบร้อนเรื่องมีแฟน”

“แต่เมื่อวานม๊าไม่ได้พูดแบบนี้นะคะ ม๊าบอกว่าพี่ทิชาน่ะ........”

“เงียบนะ เวนิส!”

แฝดอีกคนโดนดุทั้งที่ยังพูดไม่จบ ผมก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนในครอบครัวพี่โรมมองและพูดถึงว่าอย่างไร หากอีกใจก็คิดว่าไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว

ในเมื่อคุยกันมาถึงขั้นนี้แล้ว พี่โรมจึงลดละเลิกความพยายามที่จะให้ผมกับแม่เขาหลีกเลี่ยงการปะทะโต้คารมกัน แต่มือหนากลับกุมมือผมเอาไว้แน่นเหมือนอย่างที่ให้สัญญาไว้ว่าเขาจะปกป้องผมให้ถึงที่สุด.... ถ้าผมสู้เพื่อเขา เขาก็ต้องสู้เพื่อผมเหมือนกัน และถ้าเราสองคนจะเลิกกัน เหตุผลเดียวก็คือเราไม่ได้รักกันแล้ว แต่เราจะไม่เลิกกันด้วยเหตุผลไร้สาระของคนอื่นเด็ดขาด

“ตกลงว่าม๊าแค่ไม่ชอบใจเพราะว่าผมกับทิชายังเรียนไม่จบใช่ไหมครับ?” 

หนนี้พี่โรมเป็นฝ่ายถามคุณแม่เอง ไม่เชิงว่าจะยอกย้อนผู้ใหญ่ แต่ที่คุณแม่พูดเมื่อกี้มันชวนให้เข้าใจว่าเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมันมีอยู่แค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าผมเป็นลูกเมียน้อย ถ้าคบกับลูกชายเขาแล้วจะทำให้เสียผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว

“งั้นถ้าผมเรียนจบเมื่อไร ผมก็พาน้องไปบ้านเราได้ใช่ไหม?”

“ตาโรม.......!”

คุณแม่เริ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธ เส้นเลือดและรอยย่นตรงหว่างคิ้วยิ่งเห็นได้ชัดเมื่ออารมณ์โมโหเดือดปะทุขึ้นมา แต่ก่อนที่ท่านจะได้เอ่ยยปากว่าผมกับพี่โรม คุณพ่อซึ่งอุตส่าห์เงียบฟังอยู่นานก็ต้องขอออกความเห็นบ้าง

“คุณมีปัญหาอะไรก็บอกเด็กมันไปตามตรงเลย เด็กจะได้รู้ว่าถ้าอยากจะคบกันต่อแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะถูกใจคุณ” 

ประโยคแรกพูดกับภรรยาคู่ชีวิต ส่วนประโยคถัดมาก็พูดกับลูกชายคนโต 

“ป๊าไม่มีปัญหานะโรม.... คุณกาญจน์กับคุณวิภาวีเขาก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ ป๊าคุยงานกับเขาด้วยเงื่อนไขและผลตอบแทนที่บ้านเราจะได้ ไม่ได้เอาเรื่องของเด็กๆ เข้าไปเกี่ยว”

“ขอบคุณครับ ป๊า”

“โรมไม่เคยทำตัวเหลวไหล ป๊าเชื่อว่าโรมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองได้.... ถ้าทิชาไม่ดีจริง เดี๋ยวโรมก็บอกเลิกเขาไปเองนั่นแหละ”

ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรที่จะยิ้มเพราะมันดูเสียมารยาทมาก แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคุณพ่อพี่โรม.... แน่นอนว่าท่านก็คงยังไม่ได้นึกรักหรือเอ็นดูอะไรผมมากมายนักหรอก ยังไม่เคยคุยกับผมสักคำเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ท่านตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเชื่อใจลูกชาย และอยากให้โอกาสผมได้ทำอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้เมื่อครู่ว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของผมแล้วที่จะพิสูจน์ให้ครอบครัวอนุวัฒนวงษ์เห็นว่าตัวผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย....

“คุณอย่าเข้าข้างลูกไปซะทุกเรื่องได้ไหม!?”

คุณแม่ยังคงไม่ยอมแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วถ้าคุณพ่ออยู่ข้างเราเสียอย่าง

“ขอเวลาป๊าปรับทัศนคติม๊าเราหน่อยนะ โรมกับทิชาไม่ต้องห่วง”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพ่อคุณแม่” 

ผมยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองโดยที่รอยยิ้มยังค้างอยู่บนหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าซึ่งวางทิ้งเอาไว้แล้วโบกมือให้กับคนรัก 

“พี่โรม ชาไปก่อนนะ”

“เวิร์คชอปละครเสร็จแล้วมาหาพี่นะ ฝากฟัดพุงยัยมิลค์แล้วบอกว่าพ่อจ๋าคิดถึงด้วย” 

ผมพยักหน้ารับปาก ในขณะที่คนทั้งห้องงงสนิทว่าเราทั้งคู่กำลังพูดถึงอะไรกัน ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรเพราะเด็กสมัยนี้ก็ท้องในวัยเรียนเป็นว่าเล่น แต่ผมกับพี่โรมดันเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่สิแล้วจะไปมีลูกกันได้ยังไง.... หากยังไม่ทันที่คุณแม่จะได้โวยวาย พี่โรมก็ชิงอธิบายให้เสร็จสรรพ 

“แมวน่ะครับ.... เปอร์เซียครึ่งสก๊อตติชสีขาว ลูกผมกับทิชา ชื่อมิลค์”

“เจ๋งเป้ง มีลูกกันแล้วด้วย!”

น้องชายคนเล็กที่ชื่อเจนัวปล่อยขำก๊ากไม่เกรงใจแม่ตัวเอง จนกระทั่งโดนหยิกต้นแขนถึงได้หุบปากเงียบสนิท

“ไปนะ”

ผมเอ่ยลาคนรักอีกครั้ง ไหว้ผู้ใหญ่รวมถึงบ๊ายบายพวกน้องๆ แล้วจึงเปิดประตูห้องกลับออกมาตามลำพัง ปล่อยให้คนในครอบครัวเดียวกันได้พูดคุยทำความเข้าใจอย่างที่คุณพ่อได้ขอเอาไว้.... ถึงแม้จะไม่ได้ยินกับหูว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้างแต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผลลัพธ์จะไม่ออกมาแย่ ถึงคุณแม่จะยังไม่เอ็นดูผมตอนนี้หากผมก็ตั้งใจแล้วว่าถ้ามีโอกาสกับเวลาอีกสักหน่อย ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้ท่านเปลี่ยนใจมามองผมในแง่ดี

ก็เหมือนอย่างที่ผมเคยเปลี่ยนใจพี่โรมให้หันมารักผมนั่นแหละ....

.


.


.


ผมโบกแท็กซี่จากหน้าโรงพยาบาล ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีก็กลับมาถึงบ้าน กะว่าจะรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปรับยัยมิลค์ที่โรงแรมก่อน จากนั้นก็กลับมานอนหลับเอาแรงสักงีบเพราะเมื่อคืนนี้เบียดกับพี่โรมบนเตียงแคบๆ แถมยังต้องระวังไม่ให้กระเทือนโดนแผลตรงไหล่เขาก็เลยหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไร โชคดีที่วันนี้ไม่มีเรียนบ่ายก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องพรีเซนต์แปลนกับอาจารย์มากนัก แต่ผมคงโดดเวิร์คช็อปการแสดงสองวันติดกันไม่ได้ ถ้าป้าอิ๋วโทรรายงานแม่ว่าผมโดดเรียน มีหวังได้โดนบ่นจนหูชาแหง

หากในตอนที่ผมกำลังจะไขกุญแจรั้วเข้าบ้าน ใครคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านหลังกระถางต้นไม้ทรงสูง และเมื่อผมหันไปมองก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกลับมายืนในสภาพร่อแร่อยู่ตรงหน้า



“ไอ้ชา.............ช่วยกูด้วย...........”

“เฮ้ย ไอ้บี๋!”



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
RUJ's PART



“เฮียรุจ ร้านเฟอร์นิเจอร์เอาของมาส่งแล้ว จะให้คนงานยกขึ้นไปเลยไหม?”

ขณะกำลังนั่งคิดอะไรอยู่เพลินๆ เสียงแปดหลอดของรุ่นน้องผู้หญิงก็แทรกเข้ามาในโพรงหู ผมเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีเงินส่งส่วยที่แกล้งทำเป็นอ่านอยู่นานสองนานเพื่อสั่งการให้พวกลูกมือลูกไล่ทั้งหลายลุกไปใช้แรงงาน แทนที่จะมานอนกลางวันหายใจทิ้งไปเฉยๆ

“ยกขึ้นชั้นสองหลังร้านไปเลย” 

เพราะมันเป็นตู้เตียงโต๊ะที่ผมสั่งมาสำหรับห้องที่เพิ่งรีโนเวตใหม่ บอกสั้นๆ แค่นั้น ทุกคนก็น่าจะเข้าใจเองว่าต้องทำอย่างไรต่อ แต่คิดอีกทีก็กลัวเด็กที่เลี้ยงไว้แม่งจะซื่อบื้อกันเป็นขบวนการ ผมเลยต้องสั่งงานคนที่ไว้ใจได้ที่สุดให้มากขึ้นอีกหน่อย

“อ้อ ไอ้รสา.... เฮียฝากเอ็งจัดของให้เข้าที่ด้วยนะ จะวางอะไรตรงไหนก็แล้วแต่เอ็งเลย เอาที่คิดว่าดี”

“อ้าว เฮียเลือกเองก็ไปจัดเองดิ๊ เดี๋ยวจัดให้ไม่ถูกใจก็บ่นอีก”

“เฮียสั่งก็ไปทำ ไม่ต้องพูดมาก” 

ผมหรี่สายตามองรุ่นน้องหญิงซึ่งทำท่าจะบ่นอีกยืดยาว ทีแรกก็คิดว่ามันจะหุบปากแล้วรีบออกไปคุมเด็กพม่าแบกของขึ้นบันไดไปห้องชั้นสองของตึกด้านหลังร้าน แต่ถ้ายอมเงียบง่ายๆ ไม่ใช้ปากทำงานไปด้วยก็คงไม่ใช่ไอ้รสา 

“ผู้หญิงนี่แม่งพูดมากน่ารำคาญฉิบหาย!”

“โอ้โห บอกผู้หญิงพูดมากน่ารำคาญ แต่เด็กที่เฮียไปเอามากกก็ไม่ได้จะพูดน้อยเลยนะ.... เวลาคุยกับไอ้แจ็คนี่แจ้ดๆ แว้ดๆ อย่างกับอะไร หนูกับไอ้เมย์รวมร่างกันยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเด็กเฮียเลยเหอะ”

สิ่งที่รุ่นน้องเอ่ยย้อนกลับมาทำให้ผมนึกถึงเด็กปากกล้าที่บังอาจมาต่อรองแลกเปลี่ยนกับเจ้าพ่อธุรกิจสีเทารายใหญ่อย่างผม ดวงตากลมโตซึ่งเหมือนจะบ้องแบ๊วไร้เดียงสาหากแต่แฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดโมโหร้าย อย่างกับว่าเพิ่งถูกใครควักเอากล่องดวงใจไปนั้นน่าประทับใจมาก.... แต่น่าเสียดายที่ผมแทบจะจำภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้ว เพราะบีบี๋ในปัจจุบันก็เป็นแค่ลูกหมาซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากต้องรอให้ผมเอาข้าวเอาน้ำไปให้ ไม่อย่างนั้นก็คือตาย

“เวลาอยู่กับเฮียไม่เห็นมันจะพูดเยอะ”

“มันกลัวเฮียอะดิ”

“กลัวทำไม.... ถ้าไม่กวนตีนเสียอย่าง เฮียก็ไม่เคยทำอะไร”

ผมพูดไปตามที่คิด ถ้าบีบี๋ไม่ได้ทำอะไรให้รู้สึกขัดข้องเคืองใจ เขาก็ได้รับการดูแลจากผมและเบอร์ลิคในระดับที่เรียกได้ว่าดี อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกคนนอกทุกคนที่เคยเข้ามาที่นี่ ยกเว้นเสียแต่ว่าไอ้ลูกหมานั่นมันจะบังอาจงับมือผมก่อน

ไอ้รสากับไอ้เมย์คู่ซี้มองหน้าผมอย่างเอือมระอา รู้เลยว่าเดี๋ยวพวกมันสองคนจะต้องบ่นกระปอดกระแปดอีกยืดยาว

“เนี่ยๆ ยังไม่รู้ตัว”

“แบบนี้แหละที่พวกหนูบอกว่าน่ากลัว” 

คราวนี้ไอ้เมย์รีบผสมโรงด้วย ถ้าเป็นเรื่องปีนเกลียวรุ่นพี่แล้วกระทืบซ้ำด้วยคำพูดล่ะไม่มีใครยอมพลาดเลยเชียว 

“คนในวิดวะด้วยกัน ส่วนมากก็เจอหน้าเฮียมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถึงไม่เข้าเบอร์ลิคแต่มันก็ชินกับสไตล์คนแถวนี้กันหมดแล้วมั้ง.... แต่พวกนอกคณะมันคงไม่มารู้อะไรกับเราด้วยหรอก ยิ่งพวกเด็กอินทีเรีย แต่ละคนลุคคุณหนูกันจะตาย ไม่น่าทนมือทนเท้า”

“ก็เห็นทนได้นี่”

ผมอุตส่าห์ตัดบทสั้นๆ ลุกขึ้นไปดูคนงานอีกกลุ่มยกลังเบียร์กับมิกเซอร์มาเรียงไว้ข้างใต้บาร์น้ำ.... เบื่อเหมือนกันที่ต้องมาคุมงานกระจุกกระจิกทุกฝีก้าว แต่เผลอเป็นไม่ได้เพราะไอ้พวกห่าค่าจ้างวันละสี่ร้อยแม่งชอบโยนของ คราวก่อนก็โยนโซดาแตกไปเป็นลัง จนผมต้องขู่ว่าจะจับพวกมันโยนลงบนเศษขวดที่แตกๆ นั่นแหละถึงได้ดีขึ้นบ้าง

อ้าว.... นี่ไอ้รสากับไอ้เมย์ยังพูดไม่จบอีกเรอะ?

“เด็กเฮียมันทนเพราะอยากทน หรือมันทนเพราะกลัวกันแน่?”

“พวกหนูก็ไม่รู้นะว่าเฮียจะเอายังไง จะเก็บเด็กสินกำนั่นไว้ในนี้อีกนานแค่ไหน.... อันที่จริงเฮียจะเล่นอะไรก็เรื่องของเฮียเนอะ แต่อยากจะบอกว่าของแบบนี้มันก็มีเจ็บมีพัง ขนาดรถยังต้องเอาเข้าอู่ไปซ่อมบำรุงเลย นับประสาอะไรกับคน”

แค่นั้นล่ะ ผมหันควับไปมองหน้านกกระจอกสองตัวซึ่งยังคงส่งเสียงกวนใจไม่หยุด มองแบบให้พวกมันรู้ตัวว่าควรจะหยุดได้แล้ว ซึ่งก็ได้ผลทันตา

“ไม่ยุ่งแล้วๆ หนูไปจัดของบนห้องก่อนนะ”

แล้วประสาทหูก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือที่อยู่กระเป๋าด้านหลังกางเกงยีนส่งเสียงดังขึ้น....



‘รุจ อาทิตย์หน้าจะขึ้นมาทำบุญครบรอบวันตายพ่อหรือเปล่าลูก?’

ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเรื่องร้าน คนเดียวที่โทรหาผมในช่วงเวลานี้ของปีก็มีแค่แม่บังเกิดเกล้าซึ่งยังอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด ทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็ยังเพียรโทรมารบเร้าในสิ่งที่ผมไม่มีวันทำให้อยู่ได้

“ไม่ครับ”

‘ทำไมล่ะ? รุจไม่กลับบ้านมาหลายปีแล้วนะ.... ถ้าไม่อยากเจอพี่ต้นก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็น่าจะมาไหว้พ่อ........’

พี่ชายก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไม่อยากกลับบ้าน แต่เอาจริงๆ แม่ควรเรียกร่างทรงมาเชิญวิญญาณพ่อแล้วถามก่อนว่ายังอยากให้ผมไหว้ท่านอยู่หรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าถ้าพ่อลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าใครได้ ผมคงได้โดนตัดพ่อตัดลูกไปนานแล้ว

“งานผมยุ่งครับ ไปไม่ได้”

ผมตอบเหมือนอย่างที่เคยตอบทุกครั้ง

“ถ้าแม่ขาดเหลืออะไรเท่าไร เดี๋ยวผมโอนไปให้ก็แล้วกัน”

‘เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเรานะ รุจ.........’

“แต่เงินก็ทำให้พวกเราทุกคนสบายขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยทำงานหนัก.... ไอ้พวกที่เคยมารังควานก็โดนเก็บไปหมดแล้ว” 

แม่จะคิดยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผม การมีเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้คือเกราะป้องกันและอาวุธชั้นเยี่ยม ผมสามารถทำอะไรใครก็ได้โดยไม่ต้องลังเล ในขณะที่คนที่คิดจะเล่นงานผมกลับต้องทบทวนอย่างหนักว่ามันจะคุ้มค่ากันหรือไม่ 

“แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมโอนเงินไปให้.... คนรู้จักพ่อไม่ได้มีเยอะ งานทำบุญเล็กๆ สักสามแสนน่าจะพอ”

‘เงินบาป แม่รับไว้ไม่ได้หรอก........’


ประโยคสุดท้ายลอดออกมาจากลำโพงในตอนที่ผมยังไม่ได้กดวางสายดี ‘เงินบาป’ คือคำที่พี่ชายและแม่ใช้เรียกอาชีพที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกอะไรกับการขายเหล้ายา ปล่อยเงินกู้ เปิดโต๊ะพนันบอล โต๊ะสนุ๊ก บาคาร่า เก็บส่วนแบ่งจากพวกไซด์ไลน์ที่เข้ามาขายตัวในร้านบ้างหรือไม่.... แน่นอนว่าถ้าผมคิดว่ามันผิดก็คงไม่ทำตั้งแต่แรกแล้ว ที่สำคัญก็คือ ผมไม่ได้บังใครข่มขืนใจใครให้มาเล่น พวกที่เข้ามาติดกับดักเป็นบ่อเงินบ่อทองให้ผมต่างหากที่โลภเอง

แต่แม่กับพี่ชายผมซึ่งถูกพ่อเอาอุดมการณ์โง่เง่าฝังหัวจนล้างไม่ออก ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะรังเกียจเงินล้านที่ผมได้มาจากอาชีพต่ำๆ



ผมไม่เคยเล่าอะไรให้ใครฟังมากนัก น้อยคนที่จะรู้ว่าพ่อผมเคยเป็นตำรวจระดับผู้บังคับการ ประจำอยู่โรงพักแห่งหนึ่งแถวๆ พิษณุโลก แต่ก็อย่างที่เขาว่าคนดีมักจะไม่ค่อยมีที่อยู่ พ่อผมเกิดไปขัดแข้งขัดขาผู้มีอิทธิพลก็เลยถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากราชการ หลังจากนั้นก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและจบลงด้วยการยิงตัวตาย

พี่ชายผมซึ่งได้เลือดพ่อมาแรงมากก็สอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ แล้วก็เข้าอีหรอบเดิมคือเถรตรงจนอยู่ยาก ถูกย้ายไปโน่นมานี่ชีวิตหาความสงบไม่ได้ เงินทองไม่พอใช้จนลูกเมียลำบาก อย่าว่าแต่ตั้งด่านหาลำไพ่พิเศษเหมือนคนอื่นเขาเลย แค่เอ่ยปากหยิบยืมใครยังไม่คิดจะทำให้ตกเป็นขี้ปาก

ผมก็แค่เกลียดสภาพแบบนั้น ในเมื่อกฎหมายไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จะเคารพแม่งไปทำไมมากมาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่เต็มสองตา เพราะฉะนั้น ผมถึงได้พยายามถีบตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือคนอื่น เริ่มจากการตั้งตัวเป็นเจ้ามือโต๊ะพนันบอลสมัยเรียน จากนั้นก็ขยับมาเปิดบ่อนออนไลน์ ทำจนผูกเส้นสายกับตำรวจท้องที่ได้แน่นหนาพอสมควร.... หลังเรียนจบได้สองปี ผมก็ลาออกงานวิศวกรในโรงงานรถยนต์นิคมจังหวัดชลบุรี เอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีเซ้งที่ดินย่านเอกมัยเปิดผับชื่อเบอร์ลิค สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่โดยสถาปนาตัวเองให้เป็นเสมือนพระเจ้า

เบอร์ลิคตอบโจทย์ในชีวิตผมทุกอย่าง คล้ายได้ชำระสะสางปมด้อยในวัยเด็ก.... ผมดีกับพวกน้องๆ ในสายแบบที่พี่ชายร่วมสายเลือดไม่เคยดีกับผม เงินมีเยอะเสียจนไม่รู้จะเอาไปยัดไว้ซอกไหน อะไรที่ไม่เคยได้ แค่ชี้นิ้วสั่งก็มีคนหามาประเคนให้ถึงที่ กับพวกตำรวจซึ่งเคยกลั่นแกล้งกดขี่จนพ่อผมฆ่าตัวตายก็กลับกลายเป็นว่าต้องมายกมือไหว้ผม ขอแบ่งเงินที่หาได้จากสิ่งที่พวกเขาบอกว่ามันผิดกฎหมาย

นั่นล่ะ คือความสะใจของผม

สะใจฉิบหาย....



มีอยู่เพียงอย่างเดียวที่ผมอยากได้ แต่ยังหาไม่ได้

ใครคนหนึ่งที่จะมาอยู่กับผม.... ไม่ต้องมาปลอบโยนเพราะผมไม่ได้อ่อนแอ ไม่ต้องมาคอยเอาใจเกาะติดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะผมไม่ได้ขี้เหงา แต่ต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำได้โดยไม่ปริปากพูดอะไรให้แสลงใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายไอ้พวกที่มาขวางหูขวางตาผม หรือแม้กระทั่งทำร้ายตัวคนๆ นั้นเอง

ผมไม่คิดว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่จริงหรอก หลายคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็จากไปเพราะทนตัวตนและสันดานดิบของผมไม่ไหว.... ผมไม่เคยรั้งใครเพราะถือว่ามีเงิน อยากได้เมื่อไรก็ซื้อเอา แต่ก็ดันมีไอ้ลูกหมาตัวหนึ่งโผล่หน้ามาทำให้ผมรู้สึกว่าบางที เงินอาจไม่ใช่ทุกอย่างเหมือนที่แม่บอก

แต่สุดท้าย ก็เพราะเงินนี่แหละที่ทำให้ชีวิตผมราบรื่นขึ้นเยอะ ลูกหมาที่ทำท่าจะหนีก็ถูกลากกลับมาขังไว้ตามเดิม จะด้วยเล่ห์กลขี้โกงห่าเหวอะไรก็ช่าง ถึงยังไงผมก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ อยู่แล้ว

ไม่มีใครรักไอ้วายร้ายอย่างผมหรอก ผมรู้ดี

ก็แค่อยากได้เพราะคิดว่าถูกใจที่สุด เหมาะกับตัวเองที่สุด.... ก็เท่านั้น

   

“ไอ้แจ็ค.... เดี๋ยวมึงไปรับบีบี๋มาไว้ที่นี่ กูถามมาแล้ว หมอบอกว่าจะให้ออกจากโรงพยาบาลวันนี้”

ผมเดินออกทางประตูด้านหลังร้าน เจอมือขวาคนใหม่ซึ่งมาแทนที่ไอ้โรมกำลังนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่พอดี ผมจึงถือโอกาสสั่งงานมันเสียเลย ยังไงทุกเรื่องของบีบี๋ก็ได้ไอ้แจ็คเป็นคนช่วยจัดการให้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ครับเฮีย” 

มันรับคำไม่อิดออด หากสีหน้ากลับไม่ได้ยินดีปรีดาสักเท่าไร คงเป็นเพราะผมยังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันค้างไว้เมื่อคราวก่อนล่ะมั้ง 

“แล้วเรื่องมหาลัยน้อง ตกลงเฮียจะเอายังไงครับ?”

“หายแล้วก็ให้ไปเรียนตามปกติ.... พวกมึงคนไหนว่างก็ผลัดกันไปรับไปส่ง เรื่องเงินค่าเทอมกับค่ากินอยู่ กูจัดการเอง” 

ผมบอกคร่าวๆ ไปตามที่คิดเอาไว้ แต่ไอ้แจ็คก็ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไม่เห็นด้วย 

“ทำไมวะ มึงยังมีปัญหาอะไรอีก?”

“ผมว่า......เทอมนี้ให้บีบี๋ยื่นดร็อปไปก่อนดีกว่าไหมครับ?”

“ดร็อปทำไม?”

รุ่นน้องปีสามเม้มปากคล้ายลำบากใจที่จะพูด จนผมต้องบอกว่ามีอะไรก็พูดออกมาให้หมดไม่อย่างนั้นก็ไสหัวไป มันถึงได้ยอมปล่อยดอกพิกุลให้ร่วงจนได้   

“คลิปที่เฮียส่งให้เพื่อนน้องไปเมื่อวันก่อน ตัวคลิปนี่ไม่แน่ใจว่าหลุดหรือเปล่า แต่ผมรู้มาว่าเพื่อนน้องเอาเรื่องนี้ไปพูดถึงในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างน้อยๆ สินกำทั้งรุ่นก็รู้กันหมดว่าน้องถ่ายคลิปโชว์...........ถ้าน้องบีบี๋ไปมหาลัยตอนนี้ก็คง............”

ผมเข้าใจในสิ่งที่ไอ้แจ็คพยายามสื่อ ก็ผมเองนี่แหละที่ทำลายชีวิตส่วนตัวของบีบี๋จนพังย่อยยับไม่สามารถสู้หน้าใครได้ทั้งที่บ้านและที่มหาวิทยาลัย ถ้าถามว่ารู้สึกผิดบ้างไหมก็คงไม่ เพราะถ้าบีบี๋ไม่ดิ้นรนที่จะหนีไปหาไอ้โรมก่อน ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องเล่นแรงถึงขนาดนี้ ผมจึงถือว่าน้องมันแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง.... แต่ในเมื่อมันฉิบหายจนน่าจะหลาบจำแล้วว่าไม่ควรยั่วโมโหผม ผมก็ไม่คิดจะบีบมันจนต้องหาทางฆ่าตัวตายรอบสองหรอกนะ

“งั้นมึงก็ไปคุยกับมัน จะดร็อปหรือย้ายมอไปเลยก็มาบอกกู”

ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างในร้าน วันนี้ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน แถมยังเป็นวันธรรมดา ลูกค้าเข้าร้านไม่น่าจะเยอะ แต่มีบอลอังกฤษคู่ใหญ่เตะพร้อมกันหลายคู่ ยังไงก็งานหนักอยู่ดี

“เดี๋ยวครับเฮีย ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย” 

เชี่ยแจ็คเดินตามเข้ามา ยังไม่ทันได้ถามว่าเรื่องอะไร มันก็ชิงยกมือไหว้ท่วมหัวทำท่าน่าสงสารก่อนจะเอ่ยดักทางตามประสาคนคุ้ยเคยกันดี 

“แต่เฮียอย่าด่าผมนะ ห้ามเตะผมด้วย........”

“ถ้าเป็นเรื่องเงินที่พ่อแม่มึงยืมไป กูบอกแล้วนี่ว่ายังไม่เอาคืนตอนนี้ มีเมื่อไรก็ค่อยเอามาใช้”

เรื่องที่ไอ้แจ็คขอคุยกับผมมีอยู่ไม่มากนักหรอก ผมคิดว่ามันน่าจะมาขอผลัดเงินที่ต้องทยอยส่งคืนในแต่ละเดือน เห็นว่าสวนที่ปราจีนฯ ปีนี้ผลผลิตไม่ค่อยดี ขายทุเรียน มังคุดไม่ได้ราคา มันก็เลยขอเลื่อนจ่ายค่างวดมาสอง-สามเดือนแล้ว ซึ่งผมก็บอกมันไปแล้วว่าผมไม่ซีเรียส มีเมื่อไรจ่ายเมื่อนั้น แค่ตัวมันยังอยู่ทำงานให้ผมที่นี่ ห้ามแหกคอกหนีระบบไปแบบไอ้โรมเพื่อนซี้ก็พอ

“คือ.........ไม่ใช่เรื่องเงินครับ.........” 

เชี่ยแจ็คยิ้มเฝื่อน แสดงออกให้รู้ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่กล้าพูดแต่กำลังทำใจดีสู้เสืออยู่ 

“ผมอยากคุยกับเฮียเรื่องน้องบีบี๋”

“มีอะไรอีกวะ?” 

ผมขมวดคิ้ว เมื่อกี้ก็ว่าเพิ่งคุยกันไปแหมบๆ

เมื่อผมเปิดโอกาสให้คุย รุ่นน้องน้ำดีก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา

“ผมรู้ว่าห้ามเฮียไม่ให้พาน้องบีบี๋กลับมาอยู่ที่เบอร์ลิคไม่ได้ แต่ถึงยังไงน้องมันก็ไม่มีที่อื่นให้กลับไปแล้ว บ้านก็กลับไม่ได้ เพื่อนก็ไม่เหลือสักคน.... เฮียช่วยเอ็นดูน้องมันเยอะๆ หน่อย อย่าไปทำอะไรรุนแรงกับมันเลยนะ”

“สัด ไอ้รสากับไอ้เมย์มันสั่งให้มึงมาพูดหรือไง?”

“รสากับเมย์จะมาสั่งผมได้ไง แค่เคยคุยเรื่องนี้กับพวกมัน แล้วปรากฏว่าพวกมันกับผมคิดคล้ายๆ กัน.........” 

รอยยิ้มบนหน้าไอ้แจ็คอุบาทว์มาก ยิ่งมันทำหน้าทำตาเหมือนว่าอ่านความคิดผมออก ผมยิ่งนึกอยากเอาศอกกระแทกปากให้ฟันร่วงนัก 

“ทุกคนที่อยู่เบอร์ลิครู้ว่าเฮียไม่เคยอยู่กับใครได้นานเท่าน้องบีบี๋ ถ้าน้องมันทำให้เฮียมีความสุขได้ พวกผมก็อยากให้น้องมันอยู่ที่นี่ไปนานๆ”

“สุขเชี่ยไร พูดอย่างกับกูชอบไอ้เด็กนั่น”

ผมแค่นเสียงหึในลำคอ สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบแก้เครียดกันเลยทีเดียว.... ผมยอมรับว่าถูกใจบีบี๋มากกว่าคนก่อนๆ ที่ผ่านมา ด้วยความที่เจ้าตัวมีอะไรคล้ายผมหลายอย่าง ถูกครอบครัวตราหน้าว่านอกคอก ผิดพี่ผิดน้อง ใจเด็ดกล้าได้กล้าเสีย จะเรียกว่าศีลเสมอกันพอประมาณก็คงไม่ผิด

แต่ถึงขั้นชอบหรือเปล่า ผมยังบอกไม่ได้....

“ก็ไม่มีใครรู้ใจเฮียนอกจากตัวเฮียเองแหละเนอะ” 

ไอ้แจ็คยังคงยิ้ม ไอ้ที่ทำเป็นเกรงใจเมื่อกี้น่ะไม่เหลือแล้ว 

“เพราะผมนับถือเฮียเป็นเหมือนพี่ชายนะถึงได้พูด ไม่งั้นไม่ยุ่งด้วยหรอก........”

“ก็ถ้าบีบี๋ว่าง่ายเหมือนพวกมึง มันก็ไม่เจ็บตัวแต่แรกแล้ว” 

ผมหมายถึงแค่เรื่องที่กระโดดลงมาจากชั้นสองอย่างเดียวนะ เรื่องอื่นผมไม่นับ ตราบใดที่ผมยังเปลี่ยนแปลงรสนิยมตัวเองไม่ได้

“ถึงเรื่องจุดจุดจุดระหว่างเฮียกับน้องบีบี๋จะเปลี่ยนไม่ได้ในวันสองวัน แต่กับอย่างอื่น ผมว่าไม่น่ายากนะ.... เฮียก็แค่พูดเสียงให้เบาลงหน่อย มือไม้ก็อย่าให้มันไวนัก อย่าไปขู่ว่าเดี๋ยวจะต่อยจะเตะ ถึงน้องมันจะใจเด็ดแค่ไหน แต่เจอแบบนี้ทุกวันมันก็พาลสติแตกเอาง่ายๆ.........” 

ไอ้แจ็คยังคงวางท่าทำเป็นรู้ดี ถึงผมจะเริ่มรำคาญขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพูดผิดตรงไหนเลยขี้เกียจด่า 

“ไหนๆ ก็จะอยู่ด้วยกันแล้ว ใจดีกับน้องบีบี๋ให้มากๆ เถอะครับ.... กับพวกรุ่นน้อง เฮียยังเมตตาจนได้ดิบได้ดีมาตั้งหลายคน กับเมียตัวเอง เฮียก็ต้องใจดีให้มากกว่าดิ.........”

“ไอ้แจ็ค มีอะไรมึงก็ไปทำไป!”

“ครับ.... ไปแล้วครับ!”


เมียงั้นเหรอ.... ก็ถ้าผมนอนกับใครแค่คนเดียวติดกันได้นานหลายเดือน ไอ้พวกนี้จะเรียกว่าเป็นเมียผมก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง........?



ผมขึ้นมาบนชั้นสองของตึกด้านหลังซึ่งเพิ่งรีโนเวตเสร็จไปสดๆ ร้อนๆ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นแค่ห้องพักเอาไว้ให้พวกน้องๆ ที่มาช่วยงานในร้านซุกหัวนอน พอบีบี๋มาอาศัยอยู่เบอร์ลิคในฐานะลูกหนี้ ผมก็สั่งให้คนอื่นย้ายมาใช้ห้องเล็กที่อยู่ติดกับตัวร้านแทนแล้วยกห้องนั้นให้บีบี๋ไป เดิมทีสภาพมันก็ค่อนข้างทรุดโทรมไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีเตียงกับตู้เก็บของและห้องน้ำเล็กๆ แค่พอใช้งาน.... อันที่จริงก็คิดว่าจะหาผู้รับเหมามาปรับปรุงได้สักพักแล้ว ประจวบเหมาะกับที่เกิดเรื่องจนทำให้บีบี๋ต้องเข้าโรงพยาบาลพอดี ผมก็ถือโอกาสรีโนเวตห้องเสียเลย

แน่นอนว่า หน้าต่างซึ่งเคยเปิดโล่งก็ต้องติดกระจกและเหล็กดัด ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยเดิมอีก

รุ่นน้องผู้หญิงสั่งคนงานจัดวางเฟอร์นิเจอร์จนเข้าที่เสร็จสรรพ เตียงนอนพร้อมชุดผ้าปูผ้าห่มใหม่เอี่ยม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางของ ไซด์บอร์ดวางโทรทัศน์ช่วยให้สภาพแวดล้อมดูดีขึ้นเยอะ ฝ้าเพดานและผนังทาสีใหม่แล้ว แอร์ก็มาติดเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน.... มองเผินๆ ก็สวยงามไม่ต่างจากคอนโดค่าเช่าเดือนละหมื่นห้า แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าห้องนี้ขาดอะไรบางอย่าง

“ไอ้รสา เอ็งว่าห้องมันโล่งไปไหม?”

“โล่งอะไรคะเฮีย?” 

เจ้าของชื่อหันมาทำหน้างงใส่ผม ก่อนจะหันมองไปรอบตัวแล้วเสนอความเห็นออกมา 

“หรือจะเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ เอาสักหกสิบนิ้วเป็นไงคะ เดี๋ยวหนูโทรสั่งให้”

“ปัญญาอ่อนเรอะ ห้องก็มีอยู่แค่นี้”

อุตส่าห์เห็นว่ามันเป็นผู้หญิง น่าจะถนัดงานละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างผมถึงได้สั่งให้ขึ้นมาช่วยทางนี้ แต่ผู้หญิงเรียนวิศวะฯ โยธา ผมคงคาดหวังจะเห็นความกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักจากไอ้รสากับไอ้เมย์ไม่ได้อยู่แล้ว เอาแค่ให้มันยังพอมีเซนส์แบบชะนีๆ บ้างก็แล้วกัน

“เอ็งบอกให้ไอ้ปอขี่รถไปซื้ออะไรมาวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงหน่อย” 

ผมว่าพลางยื่นแบงก์พันให้

“แล้วซื้ออะไรล่ะคะ?”

รสาถามกลับด้วยสายตางงๆ ผมผิดเองแหละที่หวังว่ามันจะเข้าใจ

“ปกติตรงนั้นเขาเอาไว้วางอะไร เอ็งก็ซื้ออย่างนั้นมา”

“นาฬิกาปลุกเหรอคะ หรือว่าโคมไฟ?”

“ไอ้รสา.... เฮียถามจริงเหอะ นี่เอ็งโง่หรือโง่วะ?”

ผมส่ายหัวอย่างเหลืออด ใจคอผมต้องบอกชัดๆ เลยใช่ไหมว่า ‘กูต้องการให้มึงซื้อดอกไม้มาวาง’ ถึงจะรู้เรื่อง โชคดีที่โดนด่าเข้าไปคำหนึ่งแล้วไอ้รสาก็สติมาปัญญาเกิด ถึงได้ร้องอ๋อพร้อมกับฉีกยิ้มอุบาทว์แบบเดียวกับที่ไอ้แจ็คทำเมื่อกี้เหมือนว่าก๊อปปี้กันมา

“แหมมมมม เฮียบอกหนูแต่แรกว่าอยากได้ดอกไม้ก็จบละ ทำมาพูดอ้อมๆ”

“เออ เฮียก็ไม่คิดว่าเอ็งจะโง่”

“ไม่ได้โง่ค่ะ แค่คิดไม่ถึงจะเฮียจะเลิฟลี่” 

ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นผู้หญิง ไอ้นี่มันต้องโดนผมถีบแน่ 

“ว่าแต่เอาดอกอะไรดีคะ กุหลาบหรือว่าหน้าวัว.... แล้วจะให้ไอ้ปอไปซื้อที่ปากคลองตลาดเลยมั้ย จะได้ราคาถูกๆ หน่อย พันนึงนี่ได้หอบใหญ่เลยนะ”

“เอ็งอยากได้ดอกอะไรจากผัวก็บอกให้ไอ้ปอซื้อแบบนั้นมา แต่ไม่เอาพวงมาลัยไหว้พระ แล้วก็ไม่ต้องไปถึงปากคลองตลาด เอาแค่ตลาดคลองเตยใกล้ๆ นี่ก็พอแล้ว เฮียไม่ได้เอามาขายต่อโว้ย!”

ไอ้รสาจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่น คงสะใจมากที่ทำให้ผมแหกปากด่าลั่นได้หลังจากที่เครียดอึมครึมมาเป็นสัปดาห์.... ถึงแต่ละคนจะกวนส้นตีน หาเรื่องชวนปวดหัวประสาทแดกมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยถือสาพวกแม่งหรอก น้องก็คือน้อง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเปิดเบอร์ลิคขึ้นมา

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงหลังใหม่ พลันเหลือบไปมองโต๊ะตัวเล็กข้างๆ ซึ่งมีลิ้นชักสำหรับเก็บของ ข้างในนั้นมีกุญแจมือที่ผมเคยใช้กับบีบี๋วางเอาไว้.... ผมไม่ได้สั่งให้ไอ้รสาเอาไปทิ้งขยะก็จริง หากก็แอบคิดอยู่ในใจว่าจะไม่ใช้มันอีกต่อไปแล้ว

พูดถึงความสงบสุขในชีวิต ผมเองก็อยากมีกับเขาเหมือนกันนะ.... ถึงแม้ว่ามันจะยากเพราะยังหาทางลงจากหลังเสือไม่ได้ และผมก็ยังไม่รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากเบอร์ลิคในตอนนี้จะสามารถชดเชยรอยแหว่งวิ่นในหัวใจผมได้

อาจจะอีกสักพัก แต่ไม่มีกองไฟที่ไหนจะลุกโชนไปได้ตลอด เมื่อใดก็ตามที่เชื้อไฟหมดมันก็จะมอดดับไปเอง

เรื่องของผมก็เช่นเดียวกัน....



‘เฮียครับ ที่โรงพยาบาลบอกว่าน้องบีบี๋หนีไปแล้ว!’


ถ้าจะไม่มีใครเสือกราดน้ำมันซ้ำลงไปอีกนะ....!

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



ผมประคองบีบี๋เข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่ตัวมันใส่เฝือกที่ขา แถมตรงไหล่ก็ยังต้องคล้องสายพยุงกระดูกไหปลาร้าทำให้ใช้ไม้ยันรักแร้ได้ไม่ถนัด.... เท่าที่คุยกับพี่แจ็คเมื่อวานนี้ เขาบอกผมว่าบีบี๋ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล และถ้าออกมาเมื่อไรก็ต้องกลับไปอยู่ที่เบอร์ลิคตามคำสั่งพี่รุจ ข้อสันนิษฐานในหัวที่มีต่อการปรากฏตัวกะทันหันของอดีตเพื่อนซี้จึงมีอยู่เพียงอย่างเดียว

“ไอ้บี๋.... อย่าบอกนะว่ามึงหนีมา!?”

ผมเอ่ยถามทันทีที่วางมันลงบนโซฟาห้องรับแขกได้สำเร็จ สภาพของไอ้บี๋ไม่ถึงกับดีแต่ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก อย่างน้อยก็ไม่มีร่องรอยถูกตบตีทำร้ายร่างกายให้เห็น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าคงไม่มีใครจัญไรขนาดลงมือทำร้ายคนเจ็บในโรงพยาบาล แต่หลังจากนี้ก็ไม่แน่....

บีบี๋มองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วก็หลบสายตา เหมือนว่าละอายใจที่จะต้องยอมรับความจริงหากก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“กูกลัวว่ะมึง............” 

พูดไปน้ำตาก็ร่วงเผาะจนผมต้องส่งทิชชู่ให้ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่มาเห็นแบบนี้ก็จุกในอก ความสงสารตีตื้นขึ้นมาจนต้องยอมปล่อยวางเรื่องน่าโมโหทุกเรื่องที่ทำให้เราต้องผิดใจกัน 

“เฮียบิ๊กเอาเรื่องคลิปที่กูโดนแบล็กเมล์ไปบอกป๊ากับม๊า ตอนนี้กูกลับบ้านไม่ได้แล้ว......ฮึก........เฮียรุจก็จะเอากูไปขังไว้ที่เบอร์ลิค.........ให้กูไปเป็นอีตัว บำเรอเขาอยู่ในนั้นไปจนตาย...........”

“ไอ้ชา ผู้ชายคนนั้นแม่งไม่ปกติ........ฮึก.......เขาชอบซ้อมกูเวลามีเซ็กซ์......กูเจ็บ......อ้อนวอนยังไงเขาก็ไม่ฟัง.......ฮือ..........กูไม่อยากกลับไปกับเขา.............”

สิ่งที่บีบี๋พูดไม่ได้เกินความจริง ผมก็ได้เห็นแล้วจากในคลิปที่พี่แจ็คเปิดให้ดูเป็นตัวอย่าง.... จากปากคำรุ่นพี่วิศวะฯ ซึ่งตอนนี้รับใช้ใกล้ชิดเจ้าของเบอร์ลิคมากกว่าใคร ถ้าไม่ใช่ว่าเพื่อนผมไปยั่วโมโหเขาก่อนจนโดนสั่งสอนกลับมา เฮียก็รุจไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายบีบี๋เพราะว่าอยากทำ ทั้งหมดเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล แต่ผมก็เข้าใจว่าของพรรค์นี้มันรู้สึกแค่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ถ้าคู่นอนไม่ได้มีความสุขกับการถูกทรมานไปด้วยก็เหมือนตกนรกดีๆ นี่แหละ

ผมนึกถึงประเด็นที่พี่แจ็คเอ่ยถึงว่าเฮียรุจทำดีกับไอ้บี๋มากกว่าคนอื่นๆ ที่ผ่านมา บางทีมันอาจจะเป็นความรักความชอบ ทำนองว่ายิ่งชอบมากก็ยิ่งหวงมากก็ได้ ผมจึงสงสัยว่าไอ้บี๋มันเคยคิดถึงจุดนี้บ้างหรือเปล่า

“มึงได้บอกพี่รุจไหมว่ามึงไม่โอเค?”

“บอกไปเขาก็ไม่ฟังหรอก........” 

เสียงพูดเจือสะอื้นยิ่งพาลให้ใจหาย หากผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง  “เฮียรุจไม่เคยเห็นกูเป็นคนเลยด้วยซ้ำมั้ง........เหมือนกูเป็นทาส........เป็นหมาที่เขาขังเอาไว้......ไม่สิ........สภาพกูแม่งแย่กว่าหมาอีก..........” 

ในเมื่อบีบี๋กลัวจนฝังใจไปแล้วก็คงป่วยการถ้าผมจะเกลี้ยกล่อมให้มันเจรจากับพี่รุจ แล้วผมก็คงทนไม่ได้ด้วยถ้าหากผู้ชายคนนั้นจะตามมาทุบตีทำร้ายเพื่อน

“แล้วตกลงจะให้กูช่วยอะไรวะ?”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.......กูกลับบ้านไม่ได้ พอหนีออกจากโรงพยาบาลมาได้ ที่เดียวที่นึกออกก็คือบ้านมึง...........”

“ไอ้บี๋เอ๊ย เวรกรรมผีห่าอะไรของมึงวะเนี่ย.........”

“เวรกรรมที่กูทำเอาไว้กับมึงไง ไอ้ชา.... กูทำเรื่องเหี้ยๆ กับมึงเอาไว้ตั้งเยอะยังจะหน้าด้านมาขอให้มึงช่วยอีก แต่นอกจากมึง กูก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ.........” 

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมอยากจะด่ามันแรงๆ สักร้อยประโยค เอาให้สาสมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกือบทำชีวิตผมฉิบหาย ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนที่ความอิจฉาของมันผลักไสความรักที่ผมรอคอยให้หลุดลอยไป ผมต้องผิดหวังตั้งเท่าไร เสียใจมานับครั้งไม่ถ้วนเพียงเพราะมันอยากจะแอบหัวเราะสะใจเวลาที่ได้เห็นผมอกหักถูกทิ้ง ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชอบกินน้ำใต้ศอกแย่งแฟนชาวบ้าน แม้กระทั่งกับพี่โรมที่ผมรักเขาอย่างจริงจังก็ถูกมันเอาไปใช้เป็นเครื่องมือ

ผมไม่ควรจะให้อภัยมันเลย สิ่งเดียวที่ผมควรทำในเวลานี้คือสมน้ำหน้าแล้วไล่มันออกไปเผชิญกับสิ่งที่ก่อไว้ตามยถากรรม

แต่ให้ดิ้นตายตรงนี้เถอะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ใจอ่อนกับคำว่ามิตรภาพเก่าๆ ง่ายนัก....

“งั้นมึงก็อยู่บ้านกูไปก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะถอดเฝือกออกแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะเอาไงต่อ” 

และนั่นก็คือข้อสรุปซึ่งผมเห็นว่ามันน่าจะดีที่สุดแล้ว 

“ดีนะที่เป็นมึง.... ถ้าเป็นคนอื่นกูคงให้อยู่ด้วยไม่ได้ แม่กูไม่มีทางยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาเพ่นพ่านในบ้านแน่”

“ขอบใจนะ ไอ้ชา”

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ว่าจะให้บีบี๋นอนที่ห้องรับแขกชั้นล่างหรือจะกัดฟันแบกมันขึ้นไปบนห้องผมที่ชั้นสาม รถยนต์ Renge Rover สีดำปลอดไม่คุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดที่รั้วหน้าบ้าน.... ทีแรกผมนึกว่าเป็นรถคันใหม่ของผู้จัดการแม่ก็เลยไม่ได้ระแวดระวังอะไรมากนัก จนกระทั่งมองเห็นตัวคนซึ่งก้าวลงมาจากรถแล้วกระหน่ำกดออดแบบสนั่นหวั่นไหว ผมถึงได้รู้ว่างานกำลังเข้าพวกเราสองคนแล้ว


ออดดดดดด!!!!!

ออดดดดดด!!!!!

   

เพราะเมื่อกี้ผมชะโงกหน้าออกไปมอง พี่รุจจึงน่าจะเห็นแล้วว่ามีคนอยู่ในบ้าน เขาถึงได้ยิ่งกดออดเพื่อกดดันให้ผมรีบออกไปเจรจา.... แน่นอนว่าเขาต้องมาร้ายแต่ผมจะโหวกเหวกเสียจริตหรือแสดงท่าทางมีพิรุธไม่ได้ ผมสูดหายใจลึกเข้าบังคับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะกำชับสั่งความกับบีบี๋โดยไม่หันไปมองมัน เพื่อไม่ให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกจับสังเกตได้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว

“ไอ้บี๋ มึงก้มลงไป อย่าโผล่หัวขึ้นมานะ”

“อะไรวะ.........เกิดอะไรขึ้น........??”

บีบี๋ทำตามที่ผมบอกทั้งที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาเดาถูกได้ยังไงว่าบีบี๋อยู่ที่นี่

“มึงนิ่งๆ ไว้ พี่รุจมาว่ะ”


ออดดดดดด!!!!!


“มะ......มาได้ยังไงวะ......ทำไมเขาถึงรู้...........”

เพียงเท่านั้น ไอ้บี๋ก็ทำท่าจะสติแตก เสียงออดดังก้องอยู่ภายในห้องรับแขกชั้นล่างยิ่งข่มขวัญเราทั้งคู่ให้กระเจิง แต่จะอะไรก็ช่าง ในตอนนี้จะให้พี่รุจรู้ว่าบีบี๋อยู่กับผมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันตายแน่ เผลอๆ จะลากผมไปตายด้วยอีกคนหนึ่ง 

“ไอ้ชา.....ฮึก...........มึงช่วยกูด้วย..........”

“เดี๋ยวกูจัดการเอง.... มึงเงียบๆ ไว้นะ แล้วก็อย่าโผล่หัวขึ้นมาเด็ดขาด”

ผมสั่งไว้แค่นั้นก่อนจะเปิดประตูกระจกข้างในตัวบ้านเดินออกไปเจรจากับแขกไม่ได้รับเชิญ.... ปกติก็รู้สึกว่าพี่รุจ เจ้าของร้านเบอร์ลิค ผับที่อันตรายที่สุดในกรุงเทพเป็นคนเจ้าเล่ห์น่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาคุยกันภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีชีวิตไอ้บี๋เป็นเดิมพัน ร่างตรงหน้าก็ยิ่งดูจะสูงใหญ่มากขึ้นไปอีก แต่ผมจะแสดงออกให้เขาเห็นว่ากลัวไม่ได้

“พี่รู้จักบ้านผมได้ไง อย่าบอกนะว่าเสิร์ชหาเอาในกูเกิ้ล?”

ผมวางท่าหงุดหงิดไม่พอใจที่มีคนแปลกหน้ามารบกวนเวลาพักผ่อน กลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าผมรู้จุดประสงค์ของเขาดีอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าวิชาแอคติ้งที่ร่ำเรียนมาจากเวิร์คชอปละครจะได้ผลหรือเปล่า แต่ก็หวังว่ามันคงจะช่วยให้เอาตัวรอดจากวิกฤตความซวยครั้งนี้ได้ก็แล้วกัน

“แค่ยกหูถามตำรวจท้องที่มันก็ไม่ได้ยากใช่ไหมล่ะ.... บ้านดารา ใครๆก็รู้จัก” 

พี่รุจกระตุกยิ้มมุมปาก เตือนให้รู้ว่าเขาไม่ใช่ไก่กาที่ผมจะมาเทียบรุ่นด้วยได้ง่ายๆ 

“พอบอกว่ามาหาคุณทิชา ลูกชายคุณนิดาวัลย์ ยามหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ.... บ้านราคาตั้งหลายสิบล้านแต่ระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวมขนาดนี้ เห็นทีว่าคงต้องร้องเรียนนิติบุคคลหมู่บ้านหน่อยแล้วมั้ง”

“แล้วมาหาผมมีธุระอะไรครับ?”

“พี่มาตามหาลูกหมาที่แหกกรงออกมา” 

รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเหี้ยมเกรียมมากขึ้นไปอีกในขณะที่พี่รุจใช้ถ้อยคำแสดงความเป็นเจ้านาย กดหัวไอ้บี๋ให้มีค่าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงซึ่งเขาจะกดขี่ข่มเหงลากจูงยังไงก็ได้ และผมสัมผัสถึงความร้อนรนเป็นห่วงเป็นใยจากคำพูดคำจาของเขาไม่ได้เลย 

“บีบี๋หนีออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ พี่ก็เลยจะขอดูหน่อยว่าเขาหลบมาอาศัยบ้านทิชาหรือเปล่า”

“งั้นพี่รุจคงมาผิดที่แล้วล่ะครับ บีบี๋ไม่มีทางมาที่นี่หรอก” 

ผมตอบกลับตามสคริปท์ที่คิดไว้สดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้ 

“ผมทะเลาะกับมันเรื่องพี่โรม เลิกคบกันไปตั้งหลายเดือนแล้ว พี่รุจเองก็น่าจะพอรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอครับ”

“พี่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบีบี๋.... ว่าแต่ทิชารู้หรือยังว่าตอนนี้บีบี๋กลับบ้านไม่ได้ ไปมหาลัยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่เดียวที่เขาจะมาก็เหลือแค่บ้านทิชานี่แหละ” 

ก็สมราคาคุยที่ว่ารู้ทุกอย่าง เดาออกแม้กระทั่งว่าบีบี๋จะไปไหนหรือทำอย่างไรต่อ 

“ปั้นหน้าตอแหลขอโทษคนๆ เดียวเพื่อเอาตัวรอดมันง่ายกว่าเผชิญหน้ากับคนอื่นอีกเป็นสิบตั้งเยอะ.... ทิชาว่างั้นไหมล่ะ?”

“บีบี๋ไม่อยู่ที่นี่ครับ”

ผมไม่อยากเยิ่นเย้อให้เสียเรื่อง ในเวลานี้ผมต้องไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บอกออกไปอย่างชัดเจนว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังต้องการตัวไม่อยู่ข้างในบ้านเป็นอันจบ   

“พี่ก็คิดว่าไม่น่าจะอยู่........” 

เกือบจะโล่งใจได้แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าพี่รุจแทรกประโยคหลังขึ้นมาเสียก่อน 

“แต่เพื่อความสบายใจของเราทุกฝ่าย พี่ขอเข้าไปดูข้างในหน่อย ถ้าไม่เจอบีบี๋แล้วพี่จะกลับไปแต่โดยดี ไม่มายุ่งกับทิชาอีก”

“ไม่ได้ครับ” 

ผมสวนกลับทันควัน 

“แม่ผมพักผ่อนอยู่ข้างใน.... แม่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าบ้าน แล้วรีโมทปิดสัญญาณกันขโมยก็อยู่กับแม่ด้วย ผมไม่สะดวกจะไปขอตอนที่แม่กำลังอารมณ์ไม่ดี”

โชคดีที่เจ้ามินิคูเปอร์สุดรักสุดหวงของแม่จอดอยู่ในโรงรถ ผมก็เลยโกหกว่าแม่ไม่ได้ออกไปทำงาน แล้วก็ต้องขอบคุณไหวพริบของตัวเองที่คว้ารีโมตเปิดสัญญาณกันขโมยด้านนอกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนจะเดินออกมา.... ผมบุ้ยหน้าให้พี่รุจมองดูไฟกระพริบจากตัวเซ็นเซอร์ซึ่งอยู่ตรงเสารั้วบ้านเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้โกหก ถ้าเขากล้ายื่นมือยื่นเท้าข้ามอาณาเขตเข้ามา รับรองว่าเสียงไซเรนได้ดังสนั่นหวั่นไหว และตำรวจอีกประมาณครึ่งโรงพักคงได้บุกกันมาที่นี่

“โอเค.... ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต พี่ก็คงทำอะไรไม่ได้เนอะ”

พี่รุจคล้ายจะยอมล่าถอย ทว่า นัยน์ตากร้าวกลับจ้องหน้าผมไม่เว้นวาง ทำเอาก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายกระตุกด้วยความกลัว แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะโดนขู่ว่าจะควักไส้ควักพุงออกมาเหยียบเล่น ผมก็คงทำได้เพียงแค่ปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้เขาเห่าหอนอะไรก็ได้ตามสบาย


“แต่ถ้าจับได้ว่าโกหก.... จะมาหาว่าพี่ใจร้ายไม่ได้นะครับ น้องทิชา!”

.

.

.

เมื่อรถ Renge Rover ของพี่รุจแล่นห่างออกไปจนถึงป้อมยามหมู่บ้าน ผมก็รีบเดินกลับเข้าไปข้างในตัวบ้านเพื่อคิดหาทางหนีทีไล่เผื่อว่าเจ้าหนี้สองล้านของไอ้บี๋จะย้อนกลับมาอีก

“เขาไปแล้ว.........” 

ผมบอกทั้งที่ยังไม่หายอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะประคองบีบี๋ให้กลับขึ้นมานั่งบนโซฟา หลังจากที่เห็นว่ามันกลัวเสียจนแทบจะมุดตัวแทรกเข้าไปใต้พรมปูพื้น 

“แต่พี่รุจดูไม่เชื่อว่ามึงไม่ได้มาบ้านกู.............”

“ไอ้ชา......กู.......กูควรทำยังไงดี.........”

“ไม่รู้ว่ะ กูรู้แค่ว่าเดี๋ยวเขาต้องกลับมาหามึงที่นี่อีกแน่”

ด้วยความมืดแปดด้าน เราทั้งคู่ต่างก็เงียบกันไปอีกพักใหญ่.... บอกตามตรงว่าผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบีบี๋และพี่รุจมากเกินไปกว่านี้หรือเปล่า ชีวิตของผมกำลังดำเนินไปด้วยดีและพี่โรมก็รักผมมากด้วย ผมไม่ควรหาเหาใส่หัวโดยใช่เหตุ แต่จะให้ส่งตัวบีบี๋ไปให้พี่รุจก็ทำไม่ลง ยิ่งพี่แจ็คเคยบอกว่าเวลาพี่รุจโมโห เอาช้างมาฉุดก็ห้ามไม่อยู่ แล้วผมจะกล้าปล่อยเพื่อนไปเสี่ยงได้ยังไง

ผมนั่งใช้ความคิดทบทวนอยู่หลายนาที ข้างในสมองว้าวุ่นยุ่งเหยิงเหมือนทะเลหน้ามรสุม บ้าคลั่งอย่างที่ไม่อาจจะหาทางสงบลงได้แม้สักเพียงเสี้ยววินาที และเมื่อใดก็ตามที่เราหยุดแหวกว่ายเอาตัวรอดก็คงต้องจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแน่

แต่ผมคือคนที่จะไม่ยอมตาย

แล้วก็จะไม่ยอมให้คนที่อยู่กับผมต้องตายด้วย....

“ไอ้บี๋.... มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่กลับไปคุยกับพี่รุจ?” 

ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์คืนดีกันกลางทางแล้วคนนอกอย่างผมกลับกลายเป็นหมา ไม่อย่างนั้นผมนี่แหละที่จะกระโดดถีบบีบี๋เสียเอง 

“คิดให้ดีๆ เอาให้ชัวร์แล้วค่อยตอบกู ไม่อย่างนั้นกูก็คงช่วยมึงไม่ได้”

“ถ้ากูกลับไปเบอร์ลิค กูก็คงไม่ได้ออกมาจากที่นั่นอีกแล้ว.........ถึงตัวไม่ตายแต่ก็คงไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น........” 

บีบี๋ยังคงยืนยันคำเดิม

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะกดคอลผ่านไลน์ ก็ไม่รู้หรอกว่าแผนการที่ตัวเองร่างขึ้นคร่าวๆ ในหัวจะเวิร์คหรือเปล่าแต่ก็ต้องลองดู อย่างน้อยคนที่ผมกำลังโทรหาเพื่อขอความช่วยเหลือก็น่าจะไว้ใจได้แน่ๆ เป็นหนึ่งไม่กี่คนที่คิดว่าเต็มใจช่วยผมและจะไม่มีทางหักหลังกันกลางอากาศอย่างแน่นอน

“ไอ้ชา มึงโทรหาใครน่ะ?”

“คนที่พอจะมีทางช่วยมึงได้ไง”

“ใคร? เฮียโรมเหรอ?”

“ไม่ใช่ กูไม่ให้พี่โรมเข้ามายุ่งเรื่องของมึงกับพี่รุจหรอก” 

บีบี๋มันคงคิดว่าผมไม่น่าจะรู้จักใครมากมาย โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงัดข้อสู้กับเจ้าของเบอร์ลิค คนเดียวที่พอจะพึ่งพาได้ก็คงหนีไม่พ้นพี่โรม.... ซึ่งบอกได้เลยว่าผิดถนัด 

“ตอนนี้พี่โรมเจ็บอยู่โรงพยาบาล ถึงพี่แจ็คกับตำรวจจะบอกว่าคนที่ยิงพี่โรมเป็นแค่เด็กช่างกลธรรมดาแต่กูก็ไม่ไว้ใจ บางทีไอ้พวกนั้นอาจจะได้รับคำสั่งจากพี่รุจมาก็ได้.... กูคิดว่าพี่รุจจับตาดูเคลื่อนไหวของพี่โรมอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้กูจะจัดการเอง”

“แล้วคนที่มึงพูดถึงคือใครวะ?”

เมื่อปลายสายกดรับคอล ผมก็จุ๊ปากบอกให้บีบี๋เงียบก่อน คำถามสุดท้ายที่มันถามคงไม่จำเป็นจะต้องตอบ เพราะมันคงจะได้ยินจากบทสนทนาแล้วล่ะว่าคนที่ผมต้องหน้าด้านหน้าทนไปขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่มันเองก็เคยทำเขาเอาไว้แสบสันใช่ย่อยเป็นใคร


“แดน.... กูมีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อย........”

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
DAN's PART



“น้องแดน.... เรื่องที่พี่เคยถามไว้ก่อนหน้านี้ ตกลงว่าเรามีคำตอบให้พี่หรือยังจ๊ะ?”

ทันทีที่ยกกาแฟจากเคาท์เตอร์มาวางไว้ที่โต๊ะ เจ๊โรสเจ้าของโมเดลลิ่งซึ่งกำลังมาแรงในระยะนี้ก็ทวงถามจะเอาคำตอบเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาเข้าสังกัดที่ผมเคยคุยเกริ่นกับเขาตั้งแต่ตอนที่ประกาศผลแคสสงครามคิวท์บอย.... ถ้าเป็นตอนนั้น ผมคงตัดสินใจตอบตกลงอยู่โมเดลลิ่งเดียวกันกับพี่ปายได้อย่างไม่ลังเล แต่เวลานี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ผมจึงค่อนข้างลำบากใจถึงแม้ว่างานในวงการบันเทิงจะเป็นสิ่งที่ผมอยากลองทำพอๆ กับการเป็นสถาปนิกก็ตาม

“โมพี่ใช่ว่าจะรับใครเข้ามาง่ายๆ นะ เน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ปกติก็คัดแล้วคัดอีกจนกว่าจะแน่ใจว่าดีจริงถึงจะทาบทามให้มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน”

ดูเหมือนว่าเจ๊โรสจะอ่านความคิดผมออก สาวใหญ่วัยสามสิบปลายๆ ผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศจึงไม่รีรอที่จะเกลี้ยกล่อมผมแบบเดียวกับที่เคยเกลี้ยกล่อมพี่ปายและเจ้าพุดดิ้งให้มาเซ็นสัญญากับตัวเองได้สำเร็จ 

“นี่เห็นว่าปายเขาก็แนะนำมา บอกว่าเราน่ะตั้งใจอยากจะเข้าวงการจริงจัง พี่ถึงได้อยากคุยกับแดนให้เป็นเรื่องเป็นราวว่าจบจากสงครามคิวท์บอยแล้วเราจะเอายังไงต่อ”

“ผม..........ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ”

ผมตอบไปตามความจริง.... ที่พี่โรสกับพี่ปายไม่รู้ก็คือเหตุผลหลักที่ผมสมัครมาแคสละครก็เพราะจะหาโอกาสอยู่ใกล้ทิชา แล้วตอนที่ผมโกรธมัน อะไรก็ตามซึ่งพอจะช่วยให้ลืมความโมโหไปได้ ผมก็ตอบรับเห็นดีเห็นงามไปหมดนั่นแหละ รวมถึงความสัมพันธ์กับพี่ปายด้วย ทว่า ในเวลานี้ที่ผมกับทิชากำลังไปได้สวย ผมก็ไม่อยากจะทำงานในวงการต่อโดยที่ไม่มีมัน

“ได้ยินมาว่าทิชาเขาจะเล่นแค่เรื่องเดียว จบเรื่องนี้แล้วเขาก็ไม่เซ็นสัญญากับช่องเอ็ม ถ้าแดนไม่ได้เซ็นด้วยก็มาอยู่กับพี่เถอะ” 

พี่โรสยังคงพยายามโฆษณาชวนเชื่อ โดยหารู้ไม่ว่าใจของผมก็ตัดจบแค่สงครามคิวท์บอยเพียงเรื่องเดียวเหมือนกับไอ้ทิชาไปได้สักพักแล้ว 

“ลองถามปายดูก็ได้นะว่าโรสโมเดลลิ่งหางานให้เด็กๆ ได้เก่งแค่ไหน หรือถ้าแดนยังไม่มั่นใจในตัวพี่ จะลองอยู่เป็นสัญญาใจกันก่อนก็ได้ เอาไว้แน่ใจเมื่อไรค่อยเซ็น”

“พี่โรส.... อย่ากดดันแดนเขาสิครับ”

พี่ปายซึ่งนั่งอยู่ข้างผู้จัดการเอ่ยห้าม ดูจากสีหน้าแล้ว เขาคงพอจะเดาออกว่าที่ผมปฏิเสธไม่ยอมตอบรับข้อเสนอของพี่โรสนั้นเป็นเพราะทิชา ซึ่งก็ถูกแล้ว ผมจึงไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดใดๆ ทั้งสิ้น

“บ้า ปายก็พูดเกินไป พี่แค่พูดชวนธรรมดาๆ ไม่ได้กดดันสักหน่อย” 

เจ้าของโมเดลลิ่งยิ้มหวานอย่างมีเลศนัย ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบให้ชุ่มคอแล้วหรี่เสียงพูดลงให้ได้ยินกันแค่ผู้ร่วมโต๊ะ บ่งบอกว่าข้อมูลที่ผมกำลังจะได้ยินได้ฟังนั้นลับสุดยอดยิ่งกว่าข่าวกรองแอเรีย 51 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียอีก 

“เราสองคนอาจจะยังไม่รู้ แต่สายข่าววงในสุดๆ ของพี่เขาบอกว่าหลังจากจบสงครามคิวท์บอยแล้ว ช่องเอ็มก็แพลนจะสร้างซีรีส์วายเรื่องใหม่อีกเรื่อง ตอนนี้อยู่ในช่วงคัดเลือกนิยายดังๆ จากในเว็บ.... คราวนี้แหละ ถ้าไม่มีเด็กเส้นคุณอิ๋วโผล่มาอีก พี่ส่งแดนกับปายไปคู่กัน ยังไงก็ต้องได้บทนำ”

จากคำพูดของพี่โรส แสดงว่าโครงการระยะยาวที่จะปั้นผมกับพี่ปายให้เป็นคู่จิ้นร่วมสังกัดเดียวกันยังไม่ถูกล้มเลิกไป เดิมทีผมคิดว่าแผนนี้น่าจะถูกพับไปตั้งแต่ช่องเอ็มโปรโมทผมกับทิชาให้เป็นคู่จิ้นทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องแล้วเสียอีก.... ผมเหลือบสายตามองท่าทีกระอักกระอ่วนของพี่ปาย เขาเองก็ดูลำบากใจอยู่ไม่น้อยที่ผู้จัดการส่วนตัวมาเร่งรัดจะเอาตัวผมไปคู่กับเขาให้ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เพิ่งจะบอกให้เขาตัดใจไปชอบคนอื่นดีกว่าจะมาหวังอะไรก็ไม่รู้จากคนอย่างผม

การถูกปฏิเสธสองครั้งซ้อนภายในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงมันคงทำให้รู้สึกแย่น่าดู ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะยังไม่พูดออกไป

ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะดูคล้ายเป็นการให้ความหวังพี่ปายหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าโลกของผมมันหมุนโดยที่มีทิชาเป็นจุดศูนย์กลาง

มันเป็นแบบนั้นมาสองปี แล้วก็คาดว่าจะเป็นแบบนั้นตลอดไป....

“ขอเวลาผมอีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ แล้วจะรีบให้คำตอบ”

โทรศัพท์มือถือของผมส่งเสียงว่ามีคนคอลมาหาพอดี ผมหยิบขึ้นมาดูหน้าจอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแปลกใจ เพราะชื่อที่เห็นคือทิชา ซึ่งปกติแล้วมันไม่เคยคอลมาหาผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากสุดก็แค่ไลน์คุยกัน

“ขอตัวแปบนึงนะครับ พอดีมีโทรศัพท์มา.........”




“ว่าไง ทิชา.... ทำไมคอลมาหากูได้วะเนี่ย?”

“เอ๊ะ......บ้านพักต่างจังหวัดเหรอ??”

.

.

.


“จะว่ามีก็มีแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ว่างหรือเปล่า”

“เออๆ มึงรอก่อนแล้วกัน อย่าใจร้อนนักดิ เดี๋ยวกูโทรถามมี๊ให้”





TISHA's PART




หลังออกจากเขตกรุงเทพฯ มาได้สักครึ่งชั่วโมง ผมก็เลี้ยวเข้าไปแวะจอดเติมน้ำมันในปั๊มขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะมีสิ่งที่ต้องการครบ.... ผมบอกให้บีบี๋นั่งรอบนรถ ส่วนตัวเองก็ลงมากวาดของกินในร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนย น้ำดื่ม อาหารกล่องแช่แข็ง ที่สำคัญที่สุดก็คือตู้เอทีเอ็มสำหรับกดเงินสด เพราะยังต้องเดินทางอีกไกลและผมก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง

เมื่อได้ทุกอย่างครบตามที่ต้องการ ผมก็รีบกลับมาขึ้นรถอย่างระมัดระวัง สายตาคอยมองสอดส่องไปรอบๆ ว่ามีใครตามมาหรือเปล่า

“ไอ้บี๋ เงินนี่มึงเก็บเอาไว้ให้ดีนะ” 

ผมยัดปึกเงินจำนวนห้าหมื่นบาทถ้วนใส่มือบีบี๋ ก็สูงสุดของวงเงินที่ผมสามารถกดผ่านตู้เอทีเอ็มได้ในหนึ่งวัน.... สถานที่ที่เรากำลังจะไปคือบ้านพักตากอากาศในอำเภอปราณบุรี ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ค่าครองชีพก็คงจะสูงกว่าโซนอื่นๆ แล้วผมก็ถือคติว่าเหลือดีกว่าขาดถึงได้เตรียมทุกอย่างเผื่อเอาไว้ก่อน 

“ไอ้แดนบอกว่าบ้านที่เราจะไปเป็นของแม่มัน ถ้าระหว่างนี้ไม่มีลูกค้ามาเข้าพักก็ให้อาศัยอยู่ได้.... ก็เอาไว้เผื่อมึงต้องย้ายที่อยู่กะทันหัน แล้วมึงก็ต้องไปหาหมอให้เขาถอดเฝือกออกด้วย”

“จะดีเหรอวะ......เงินมันเยอะมากนะมึง”

เพื่อนตัวเล็กถามเสียงแผ่วอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมคิดเตรียมการไว้เสร็จสรรพหมดแล้ว ถ้าสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ได้ ผมเชื่อว่าบีบี๋ก็น่าจะรอดจากเงื้อมมือพี่รุจ

“จะเยอะจะน้อยมึงก็ต้องใช้หรือเปล่าวะ แล้วกูก็ไม่แน่ใจด้วยว่าหลังจากนี้จะมาหามึงได้บ่อยแค่ไหน.... เอาไว้ซื้อข้าว เรียกรถไปไหนมาไหนนั่นแหละ”

ผมล้วงของอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งซื้อมาส่งให้บีบี๋ เพราะมันทิ้งมือถือไว้ที่โรงพยาบาลไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย ถ้าไม่ซื้อเครื่องพร้อมเปิดเบอร์ใหม่ก็ไม่รู้จะติดต่อกันยังไง 

“มือถือกับซิมใช้แก้ขัดไปก่อน ในเซเว่นมันมีแต่รุ่นนี้ มึงก็ใช้ๆ ไปเถอะ.... ไว้คราวหน้ากูค่อยหายี่ห้อดีๆ กว่านี้มาให้”

“ขอบใจมากนะ”

เรานั่งรอกันอยู่ในรถจนกระทั่งโทรศัพท์ผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ในที่สุดผมก็ได้แผนที่บ้านพักตากอากาศของที่บ้านไอ้แดนมาสักทีหลังจากที่รบเร้าเร่งมันอยู่เป็นชั่วโมง.... เห็นว่าตอนนี้มันกำลังคุยธุระติดพันอยู่กับคุณโรส เจ้าของโมเดลลิ่งที่พี่ปายสังกัดอยู่ แต่มันก็ยังอุตส่าห์ปลีกตัวออกมาช่วยหาบ้านพักให้ตามที่ผมขอร้อง เอาไว้กลับถึงกรุงเทพเมื่อไร ผมค่อยพามันไปเลี้ยงข้าวและอธิบายให้ฟังว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้นบ้างก็แล้วกัน

“แดนส่งโลเกชั่นมาให้แล้ว.... แต่กูก็ดูกูเกิ้ลแมปไม่ค่อยเป็นว่ะ ยิ่งโง่ๆ อยู่ มึงบอกทางให้ด้วยนะ”

ผมโยนแผนที่บนหน้าจอมือถือให้เป็นหน้าที่บีบี๋ เมื่อดูทรงแล้วตัวเองน่าจะขับไปด้วย จ้องตารางเส้นถนนยึกยือที่ไอ้แดนส่งมาให้ไปด้วยไม่รอด ตั้งแต่ได้ใบขับขีมาแบบงงๆ ผมยังไม่เคยขับออกต่างจังหวัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ทำไมมึงถึงไปขอให้แดนช่วยวะ?”

“กูรู้มาว่าที่บ้านมันก็ทำกิจการคล้ายๆ บ้านพี่โรม แต่ไม่ใช่รีสอร์ทอย่างเดียว มีบางส่วนที่เปิดเหมือนเป็นบ้านเช่าระยะยาวด้วย.... ที่สำคัญก็คือพี่รุจไม่รู้จักไอ้แดน เขาจะได้ตามไม่ถูกว่ามึงอยู่บ้านพักตากอากาศของแม่มัน”

“แล้วแดนรู้หรือเปล่าว่าคนที่จะไปอยู่บ้านนั้นคือกู?”

ผมส่ายหน้าก่อนจะให้คำตอบ

“กูบอกมันไปว่าแม่สั่งให้ช่วยหาบ้านพักสำหรับหลบนักข่าวให้” 

แน่นอนว่าผมโกหกแดน กลัวว่าถ้าพูดความจริงไปตั้งแต่แรกว่าจะให้บีบี๋ไปขออาศัยหลบภัยจากเจ้าของเบอร์ลิค มันจะไม่ยอมช่วยง่ายๆ.... แต่เรื่องนี้จะโทษไอ้แดนไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ไอ้บี๋ไปสร้างศัตรูกีดกันผมกับมันออกจากกัน ผมก็คงไม่ต้องคิดอะไรสลับซับซ้อนขนาดนี้ 

“แต่สักพักมันก็คงรู้อยู่ดีแหละว่าเป็นมึง ไว้เดี๋ยวกูเจอมันแล้วจะเคลียร์ให้ ไม่น่ามีปัญหาอะไรมั้ง”

“เหรอ...........”

“ไม่ต้องคิดมาก.... มึงก็รู้ตัวแล้วนี่ว่าเคยทำไม่ดี แค่นี้ก็พอแล้ว”

“ถ้ากูมีโอกาสกลับไป กูอยากจะขอโทษทุกคนเลยว่ะ.......ทั้งเฮียโรม แดน แล้วก็อีกหลายๆ คน...........” 

บรรยากาศบนรถกลายเป็นศาลาคนเศร้าอีกครั้งเมื่อบีบี๋เริ่มทบทวนถึงสิ่งที่ทำลงไป 

“ตอนนั้นกูคิดเหี้ยอะไรอยู่ก็ไม่รู้ว่ะ......คงเพราะเก็บกดจากที่โดนป๊าม๊าเอาไปเปรียบเทียบกับเฮียบิ๊กเจ้แบมล่ะมั้ง พอเข้ามหาลัย กูก็โคตรโนบอดี้ไม่มีอะไรดีเด่นกับเขาสักอย่าง.......ทางเดียวที่กูจะรู้สึกพอใจกับตัวเองได้ก็คือต้องพยายามเกาะติดมึงเข้าไว้ อาศัยความเป็นคนดังของมึงทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักไปด้วย เวลาได้ยินคนอื่นพูดว่ากูดีกว่ามึง น่ารักนิสัยดีกว่ามึง ได้เห็นมึงถูกรุมเกลียด ไม่มีใครรัก มันก็เหมือนปมด้อยกูได้รับการเติมเต็ม.........”

“เออ ก็ฟังดูเหี้ยจริง”

“ไม่ใช่ว่ากูคิดจะมาขอโทษมึงเพราะแค่จะหาคนช่วยพาหนีนะ.......กูอยากขอโทษมึงมาสักพักแล้ว แต่กลัวว่ามึงจะไม่รับ”

ถึงพี่รุจจะแกล้งพูดยั่วโมโห บอกว่าลูกหมาของเขาก็แค่ปั้นหน้าโกหกตอแหลใส่ผมเพราะรู้ว่าผมเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยมันได้ หากผมก็เชื่อสายตาและเซนส์ของตัวเองว่าบีบี๋กำลังสำนึกผิดและพยายามที่จะขอโทษอย่างจริงใจที่สุด.... สำหรับผม ไม่มีคำขอโทษไหนที่สายเกินไปหรอก โดยเฉพาะกับคนที่ผมยกให้เป็นเพื่อนสนิท ขอแค่พูดคำๆ นั้นออกมาจากใจจริงก็พอแล้ว

“เอาเหอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” 

ผมเอ่ยพลางระบายรอยยิ้มจาง 

“กูก็ไม่ได้จะดีไปกว่ามึงสักเท่าไร.......กูก็แอบอิจฉามึงออกบ่อยที่มีคนมาชอบเยอะ ยิ่งตอนที่พี่โรมบอกว่าชอบมึง กูนี่ทั้งอิจฉาทั้งหัวร้อนจนทนไม่ได้เลย สุดท้ายก็อย่างที่รู้ๆ กัน กูไปชิงเกียร์เขาลับหลังมึง เขาขอคืนก็ไม่ยอมคืนด้วย...........”

ผมแค่คิดว่าในเมื่อบีบี๋ขอโทษผม ผมเองก็ควรจะขอโทษเรื่องที่ทำไม่ดีกับมันเอาไว้เหมือนกัน ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้ยินอะไรบางอย่างซึ่งดีต่อใจขนาดนี้

“มึงไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องเฮียโรมหรอก ไอ้ชา” 

บีบี๋พูดยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าออกนอกหน้าต่าง 

“ที่เขาบอกว่าชอบกูก็แค่ความประทับใจแหละ ถ้าเขาไม่ได้มีใจให้มึงแต่แรก ต่อให้มึงชิงเกียร์จนตายคาเบอร์ลิคยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จ.... เฮียโรมรักมึง เขาเป็นของมึงว่ะ คุณเพื่อน”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด