✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 62989 ครั้ง)

ออฟไลน์ monalism

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นอกจากแดนแล้วก็ไม่รู้สึกไว้ใจใครอีกเลย

แดนไปฮีลทิชาที ดึงนางกลับมาหน่อยยยยย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ฮึมมม มีอยู่สองสามข้อที่อยากพูดนะครับ แต่คุณสวีทอลิซยังติดตอบเมนท์ที่แล้วผมอยู่นะ (หัวเราะ)

ข้อแรก ผมไม่ถนัดอ่านพล็อตรักสามเส้า นั่นแปลว่าผมไม่ชอบพล็อตตบตีแย่งชิงผู้ชาย เพราะตามมาตรฐานสังคม นั่นเป็นพล็อตนิยายน้ำเน่า ถ้าระวังได้หน่อยก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากถลำลึกของความรู้สึกในฝ่ายที่มันไม่ควรจะมี มันเป็นพล็อตพื้นฐานที่คนส่วนมากมักจะเขียนกันได้ ยกเว้นถ้ามันนำไปสู่การแก้ปมชีวิตส่วนตัวของคน (แก้ปมชีวิตส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่นำไปสู่จุดจบของพล็อตหลัก ประมาณว่านางร้ายตาย อันนั้นก็พื้นฐานน้ำเน่าเหมือนกัน) อันนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจ ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเวลาเราเขียนไปแล้ว เราตามแก้สิ่งที่เขียนไปแล้วไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพิถีพิถันเรื่องฉากสื่ออารมณ์ ไม่ให้หลุดหรือสื่อไปอย่างผิดๆ

ข้อสอง การที่ทิชาจะโดนแบบที่พ่อกับแม่ทำ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ พูดในทางสังคมมาตรฐานเลยนะครับ ไม่ใช่แนวโน้มที่เข้าข้างตัวเอก ในชีวิตจริง ถ้าคุณมีแฟนนอกสมรสที่ดันคุยกันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทางแก้ปัญหา มนุษย์ส่วนมากก็มักจะแก้ปัญหาโดยให้มันจบๆไปซะ ทิชาควรเรียนรู้ได้แล้วว่าข้อผิดพลาดมันไม่กำเนิดความรัก (อย่างที่ผมอธิบายไปในคอมเมนท์ที่แล้ว) ความรักเชิงชู้สาว ไม่ใช่ผลตอบแทนของความสงสาร ข้อนี้สำคัญ

ข้อสาม ผมคิดว่าผมงงกับการนำเสนอคาแรกเตอร์บี๋นะครับ ยังงงๆว่าตกลงจะเป็นยังไง โดยรวม ผมคิดว่าเนื้อหาในบทพูดของบีบี๋ในบทที่ 8 นี่ค่อนข้างเป็นปรปักษ์เห็นชัดนะครับ แถมยังแก้ปัญหาแบบมนุษย์ปกติทั่วไป คือพยายามทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูดี มันสื่อถึงพื้นฐานนิสัยที่แย่และดูเอาแต่ใจตัวเอง ไร้การอบรมในมารยาทสังคม แล้วมาตัดอารมณ์ตรงประโยคสุดท้ายที่เหมือนจะตัดพ้อ เลยทำให้ผมงงๆ รบกวนเช็คนิดนึง

ถ้าค่อนไปทางนิสัยดี ไอ้ประโยคประชดหลอกด่าทิชานั่นก็ไม่ควรจะมี  (โอเค ผมยอมรับได้ว่าการพูดจาไปตามอารมณ์ และการแก้ปัญหาแบบดูแลภาพลักษณ์ตัวเอง มัน ‘เรียล’ สำหรับเด็กปีสอง ผมโอเคกับการแก้ปัญหา แต่ไม่โอเคตรงเนื้อความครับ เนื้อความไม่ควรจะเหยียดขนาดนั้นถ้านิสัยค่อนไปทางดี เพราะเนื้อความนี้สื่อถึงความอิจฉาริษยาหรือแอบเกลียดชัง) หรือถ้าค่อนข้างไปทางนิสัยแย่ ไอ้ประโยคสุดท้ายที่เหมือนจะตัดพ้อว่าให้พูดมาตรงๆ นั่นก็ไม่ควรจะมีครับ เนื้อความควรจะชัดแบบแย่ไปเลยว่าไม่ได้ต้องการจะคบเพื่อความสัมพันธ์ฉันมิตรแต่แรก

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
รู้สึกทุกคนมีความเทา ดูเรียลมากค่ะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME’s PART



   Im_BeeBeE : เฮียจะทำแบบนี้กับบี๋ไม่ได้นะ

                 เราจะคุยกันไม่ได้เลยเหรอ?

                 บี๋ต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายโกรธเฮียไม่ใช่หรือไง? เฮียเป็นคน

                           นอกใจบี๋ก่อนนะ อย่าเอาเรื่องที่บี๋กับไอ้ชาทะเลาะกันวันนี้

                           มาอ้างได้ปะ

                  *Called*

                  *Called*

                        เฮียตอบบี๋หน่อยดิ

                   ไหนเฮียบอกว่าชอบบี๋ไง แล้วมาหัวร้อนอะไรแทนไอ้ชามันเนี่ย?

                        เฮียเป็นคนเลือกบี๋เองนะ

                           ไอ้ชาจะชอบหรือไม่ชอบเฮียก็ไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย ก็เฮียไม่ได้

                           ชอบมันนี่

                           เฮียชอบบี๋ บี๋คบกับเฮียมันก็แค่นั้น จะเอาเรื่องคนอื่นมาเกี่ยว

                           ทำไม?

                           หรือเฮียแคร์ไอ้ชามากกว่าบี๋ล่ะ?

                          *Called*

                          ไอ้ชามันบอกอะไรเฮีย? แล้วมันเอาเกียร์ของเฮียไปได้ยังไง?

                          เฮียถอดให้มันเหรอ? ที่ไหน? มันแอบไปหาเฮียที่เบอร์ลิคเหรอ?

                          มันบอกให้เฮียเลิกกับบี๋ใช่มะ?

                          เฮียก็รู้ว่ามันเป็นพวกชอบแย่งแฟนชาวบ้าน  ตอแหลเก่งจะตาย

                          มันทำคนอื่นเขาทะเลาะกันมาไม่รู้ตั้งกี่คู่แล้ว

                 เฮียเชื่อมันลงได้ยังไงอะ?

                 *Called*

                         เฮียใจร้ายว่ะ ไม่รักบี๋แล้วเหรอ?

                         บี๋ไม่โกรธที่เฮียเอาเกียร์ให้ไอ้ชาแล้วก็ได้ มันอยากได้นักก็ยกให้

                         มันไปเลย แต่เฮียรับคอลบี๋หน่อยนะ

                *Called*

                *Called*

                เฮียโรม บี๋ขอโทษก็ได้ แต่เราอย่าเลิกกันเลยนะ




ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ไม่สนใจคำตัดพ้อแก้ตัวของบีบี๋เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เพราะยังโกรธแล้วก็เสียความรู้สึกไม่หายที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองกลายเป็นไอ้หน้าโง่ให้เด็กเมื่อวานซืนตาใสๆ หลอกมาโดยตลอด.... เสียแรงที่ผมอุตส่าห์นึกชอบ คิดว่าบีบี๋นี่แหละคือคนแบบที่ตามหามานาน เปลือกนอกซึ่งเต็มไปด้วยความร่าเริงมองโลกในแง่ดีทำให้ผมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ที่แสนน่ารัก ก่อนจะมาตาสว่างเมื่อพบว่าสุดท้ายสิ่งที่เห็นอาจเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด

บีบี๋ที่ผมรู้จักคนนั้นรักเพื่อนที่ชื่อทิชายิ่งกว่าใคร ทุกครั้งที่คุยกันจะต้องมีเรื่องของทิชามาเล่าอวดให้ผมฟังเสมอ.... ทิชาดีอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ถ้าไม่มีทิชาคอยช่วยเหลือก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนรอดมาจนถึงปีสองได้หรือเปล่า แล้วสิ่งที่ผมเห็นจากคลิปวิดิโอที่รุ่นน้องในศิลปกรรมส่งมาให้คืออะไร? เรื่องไหนที่เป็นความจริงและใครกันแน่ที่เป็นคนโกหก?


‘กูชอบพี่โรม....กูชอบเขา.....ชอบมาก่อนที่มึงจะเริ่มคุยกับเขาเสียอีก แล้วกูก็คิดว่ามึงรู้มาตั้งแต่แรกด้วยว่ากูรู้สึกยังไงกับพี่โรม’

‘คิดว่ากูปาดหน้าเค้กมึงสินะ?’

‘แล้วไม่ใช่หรือไง?’

‘ถ้าใช่แล้วมึงจะทำไม? เฮียโรมเขาเลือกกูแล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรได้?’




ใช่.... บีบี๋พูดถูก ผมเลือกไปแล้วว่าจะคบกับบีบี๋ และทิชาก็คงไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก

ผมรู้สึกแย่ฉิบหายที่เป็นต้นเหตุให้รุ่นน้องสองคนที่เป็นเพื่อนรักกันต้องผิดใจกัน พอๆ กับที่คิดว่าตัวเองเหี้ยแสนเหี้ยที่ไม่รู้จักหักห้ามใจจนกระทั่งเลยเถิดกับทิชาไปถึงขั้นนั้น.... มันเป็นเพราะความอ่อนแอของผมเอง ทันทีที่สำนึกผิดชอบชั่วดีกลับคืนมา ผมด่าตัวเองไปแล้วเป็นล้านครั้ง ผมเกลียดตัวเองที่ทรยศความไว้ใจของบีบี๋ ผมโทษว่ามันเป็นความผิดของทิชาที่จงใจเข้ามาชิงเกียร์ที่เบอร์ลิค และผมก็พยายามจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นด้วยการขอเกียร์คืน

แต่ที่ผมทำลงไปไม่ใช่เพื่อจะได้มาเจออะไรแบบนี้....


‘อ้อ.... ที่บอกว่าปาดหน้านั่น หมายความว่าที่บี๋ทำเป็นคุยกับเฮียตอนแรก แค่เพราะรู้ว่าทิชาชอบเฮียก็เลยอยากจะแกล้งเพื่อนสินะ?’

‘เฮียก็ได้ยินที่มีคนมาฟ้องแล้วนี่ จะมาถามบี๋อีกทำไม?’

‘แล้วถ้าทิชาไม่ได้ชอบเฮีย บี๋ก็คงจะไม่คุยกับเฮียด้วยใช่ไหม?’

‘........ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ’




สิ่งที่ได้ยินหลังจากนั้นแทบไม่ผ่านเข้าหู ตลอดสองชั่วโมงที่คุยกันในตอนบ่ายจนไม่มีใครได้เข้าเรียนเต็มไปด้วยคำถามว่าเพราะอะไรและทำไม.... บีบี๋ที่ผมชอบกับบีบี๋ที่ผมคุยด้วยตอนนี้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า หรือแค่เสแสร้งทำตัวให้ผมรักเพื่อที่จะได้แกล้งปาดหน้าทิชาง่ายๆ หากผมก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ถึงได้คำตอบมาก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องโกหกที่สอง ที่สาม ที่สี่ ตามมาอีกไหม

บีบี๋ไม่ได้รักผมเลยสักนิด และผมก็นอกใจแฟนตัวเองไปมีอะไรกับทิชา งั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องยื้อในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ทำผิดต่อกัน

ผมด่าทิชาเสียๆ หายๆ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรเลยนอกจาก 'รักพี่โรม'

แต่กับอีกคนหนึ่งที่ผมเลือก ผมกลับไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้อีกบ้าง

ผมน่าจะรู้ความจริงให้เร็วกว่านี้ อย่างน้อยสักวัน-สองวันก็ยังดี

ทิชาที่รักผมจะได้ไม่ต้องมาทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างการชิงเกียร์วิศวะฯ และผมก็คงไม่ต้องผลักไสไล่ส่งน้องมันไปแบบนั้น



.


.


แม้ป้ายตรงหน้าเขียนว่า Point of no return แต่ผมก็รั้นที่จะหันหลังกลับด้วยความหวังว่ามันจะยังไม่สายจนเกินไป....

.


.


ดึกป่านนี้แล้ว สถานที่ที่จะไปได้ก็คงมีอยู่ไม่มาก ผมขับรถออกจากเบอร์ลิคมาถึงร้านเบอร์เกอร์เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงแถวซอยโรงแรมเดวิส เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงคืนกว่า ในร้านจึงมีลูกค้าอยู่ไม่กี่คน มีแค่แขกต่างชาติอีกโต๊ะกับพนักงานซึ่งไม่ได้สนใจจะต้อนรับพวกเรานัก.... ผมสั่งน้ำกับของกินอีกนิดหน่อยก่อนจะพาทิชาไปนั่งด้วยกันที่โซฟามุมด้านในสุดซึ่งค่อนข้างลับตาคน ร่างเล็กไม่ได้สะอื้นฟูมฟายแล้วแต่ก็ยังมีน้ำตาไหลอยู่ตลอด ผมปล่อยให้น้องซบไหล่ร้องไห้จนกว่าจะพอ

“เป็นยังไงบ้าง? สบายใจขึ้นหรือยัง?”  ผมถามขณะส่งทิชชู่ให้ทิชา

มันพยักหน้าตอบ ตาแดงจมูกแดงเหมือนกระต่าย ผมยื่นหลอดดูดน้ำอัดลมให้เผื่อว่ารสหวานๆ เย็นๆ จะช่วยให้มันสมองโล่งและอารมณ์ดีขึ้น

“ชาขอโทษนะที่มารบกวนพี่โรมอีกแล้ว.......” 

เจ้าของเสียงแหบอู้อี้เอ่ยพลางปาดน้ำตาลวกๆ ด้วยทิชชู่ที่ผมให้ แม้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทิชาร้องห่มร้องไห้เตลิดเปิดเปิงออกจากบ้านกลางดึกกลางดื่นคืออะไร แต่ดูท่าทางน้องคงจะกระอักกระอ่วนลำบากใจไม่น้อยทีเดียวกับการแบกหน้ามาหาผม 

"ทั้งๆ ที่ชาทำไม่ดีกับพี่ จะโดนด่าแบบนั้นก็สมควรแล้ว......เมื่อวานที่พี่อุตส่าห์มาที่บ้าน ชาก็ยังทำให้พี่โรมเสียความรู้สึกเรื่องเกียร์อีก........"

“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างแม่งเหอะ” 

ผมลูบหัวปลอบทิชา บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผมเองก็พลาดเหมือนกันที่ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจมัน แล้วก็เข้าใจด้วยว่าที่น้องมันงอแงไม่ยอมคืนเกียร์ให้ก็เพราะกลัวว่าจะมาหาผมไม่ได้อีกนั่นแหละ 

“ที่จริงไม่ว่าเรื่องไหน กูก็ไม่ควรโกรธมึงเลย.... ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากูเปลี่ยนใจจากมึงไปหาอีกคน โลเลไปมา เรื่องทั้งหมดแม่งก็คงไม่เกิด”

ทิชากอดผมแล้วซุกตัวอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ สภาพมันไม่ต่างจากลูกนกบาดเจ็บที่อยากหารังพักฟื้นรักษาจนกว่าแผลที่ปีกจะหายดี น้ำตาเริ่มแห้งไปแล้วพร้อมกับจังหวะการหายใจที่กลับมาเป็นปกติ.... ถ้าเปรียบความทุกข์ให้เป็นเหมือนทะเล ผมก็คงเป็นเรือชูชีพที่ช่วยประคองไม่ให้ทิชาจมน้ำตาย มือเล็กเกาะผมเอาไว้แน่นราวกับว่าผมคือที่พึงแห่งเดียวและแห่งสุดท้ายที่มันพอควานหาได้ในเวลานี้ และผมก็เต็มใจจะให้เป็นแบบนั้นเพื่อคนที่ต้องการผมมากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมแนบริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียน โอบแขนรอบร่างผอมบางรั้งให้จมเข้ามาในอกกว้าง ถึงจะรู้ว่าทิชามันไม่ได้ใสซื่อ ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อะไรนัก มันทั้งดื้อและร้ายอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถเป็นได้ ประวัติครอบครัวก็ไม่ค่อยดี ที่สำคัญคือมันเคยมีแฟนแล้วก็น่าจะเคยทำอย่างว่ากับไอ้พวกนั้นทุกคนด้วย

แต่จะผิดไหมถ้าหากผมจะทำให้ทิชาเชื่อว่าผมคือคนสุดท้ายของมัน....?


“พี่โรมรู้หรือเปล่า.... นอกจากพี่ ชาก็ไม่เหลือใครอีกแล้วนะ........”

ทิชาบอกเสียงแผ่ว ดูต้องใช้ความพยายามมากที่ที่จะกลั้นไม่ให้ตัวเองปล่อยโฮออกมาอีกรอบ 

“แม่กับพ่อ......ไม่มีใครรักชาเลยสักคน......ชาเพิ่งรู้จากปากพวกเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองว่าจริงๆ แล้วพ่อไม่ได้อยากให้ชาเกิดมาเลย พ่อสั่งให้แม่ไปทำแท้งเอาชาออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าท้อง แต่เพราะแม่อยากเก็บชาเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพ่อ ชาถึงได้รอดมาจนทุกวันนี้.........”

“พ่อแม่บ้านอื่นเขาพูดกับลูกตัวเองกันแบบนี้เหรอ....ด่าว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ไล่ให้ไปเปลี่ยนนามสกุล ไล่ให้ไปให้พ้นหน้า ไล่ให้ไปตาย......โยนเงินมาให้ก้อนหนึ่งแล้วก็บอกตัดขาดกันเหมือนเอาหมาไปปล่อยวัดเลย......ชาอุตส่าห์เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ลำบากใจเลยสักครั้ง แต่ถ้าจะทำกันขนาดนี้ก็ไม่ต้องให้ชาเกิดมาก็ได้นะ..........”

ตอนที่ทิชาเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังครั้งแรกที่ริมสระน้ำของโรงแรม ผมก็รับรู้แค่ว่าน้องมันเป็นเด็กที่ค่อนข้างขาดความรัก เรื่องแย่ๆ ที่เคยพบเจอส่งผลให้ทิชายิ่งโหยหาในสิ่งที่อยากได้จนบางครั้งก็ถึงขนาดยอมเสี่ยงทำให้ตัวเองเจ็บ แต่ถ้าคนเป็นพ่อแม่ยังขยันกรีดแผลใจให้ลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่อยากคาดเดาเลยว่าหากทิชายังอยู่ตัวคนเดียว เด็กคนนั้นจะพาตัวเองไปจบลงที่ไหน

“ขนาดพ่อแม่แท้ๆ ยังคิดแบบนี้เลย นับประสาอะไรกันคนอื่นล่ะ....เนอะ?” 

ทิชาทำเป็นหัวเราะติดตลกทั้งที่น้ำเสียงฟังดูเหมือนอยากร้องไห้ต่อมากกว่า มันเงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาโดยที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม มันกล้าปรับทุกข์เล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังก็เพราะว่าผมเป็นคนนอก แต่กับเรื่องที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทิชาเองก็คงไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มต้นยังไง

“.........ไม่รู้ว่าพี่โรมรู้หรือยัง แต่ชากับไอ้บี๋ไม่คุยกันแล้วนะ”

“อืม กูรู้แล้วล่ะ”

“รู้ได้ยังไง? ใครบอก?”  มันถามเสียงเศร้าๆ “ไอ้บี๋เล่าให้ฟังแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่บีบี๋หรอก”

“แล้วคนๆ นั้นเขาเล่าทุกอย่างมั้ย? เขาบอกหรือเปล่าว่าไอ้บี๋.............”

“กูได้ยินทุกอย่างเหมือนที่มึงได้ยินนั่นแหละ” 

ผมบอกพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความเกรี้ยวกราดของทิชาตอนที่ตัดสินใจมาชิงเกียร์ขึ้นมาบ้างแล้ว เวลาถูกหลอกใช้ความรู้สึก ถูกทำให้คิดว่าใช่แต่กลับไม่ใช่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง 

“ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวหรอกนะที่เสียใจ ทิชา กูเองก็เหมือนกัน”

ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องบีบี๋หรือเรื่องที่เคยให้ความหวังทิชาแล้วชิ่ง แต่หมายความรวมถึงการตัดสินใจที่แสนเฮงซวยของตัวเองด้วย


ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมรอบกายเราสองคนอีกครั้ง มีเพียงเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ดังมาจากหน้าเคาท์เตอร์สั่งอาหาร.... ผมยังคงกอดทิชาเอาไว้พลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่เจอทิชาพร้อมกับบีบี๋ ทุกสิ่งคล้ายจะสลับทิศทางและบิดเบี้ยวไปหมดจนพวกเราแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนคือผิดถูก อันไหนคือความรักและอันไหนเป็นแค่ความหลงใหลชั่ววูบ ผมไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้ทิชาแม้ว่าจะเลือกเดินหน้าจีบอีกคน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าจะให้ปล่อยมือจากทิชาไปเลย ผมก็ทำไม่ได้

“พี่โรม...........”

“หืม?”

“พี่จะคิดว่าชาเป็นพวกหน้าด้าน แย่งได้แม้กระทั่งแฟนเพื่อนหรือเปล่า?” 

ทิชาถามผม ความรู้สึกหวาดหวั่นปรากฏชัดเจนในน้ำเสียง ฟังก็รู้ว่ามันกลัวคำตอบที่จะได้รับจากผมมากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดก็ยังมีอิทธิพลมากกว่าความกลัว 

“ก่อนจะไปชิงเกียร์พี่โรมที่เบอร์ลิค ชาก็คิดอยู่แล้วแหละว่าต้องโดนพี่โรมเกลียดเอาแน่ๆ แต่ชาไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง......ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เข้าใจก็ช่าง ถ้าเกียร์ที่ได้มามันช่วยให้พี่โรมกอดชาเอาไว้แบบนี้ ชาก็จะไม่นึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไปเลย”

“ชาชอบพี่โรมจริงๆ นะ......ชอบมาก่อนที่ไอ้บี๋จะเข้ามาในชีวิตพี่ด้วยซ้ำ.........”

“กูเชื่อว่ามึงชอบกู ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพราะชอบกู.... ตอบแค่นี้โอเคยัง?”

“แล้ววันพรุ่งนี้กับวันต่อๆ ไป พอพี่โรมกลับไปเจอไอ้บี๋แล้ว พี่จะยังกอดชาแบบนี้อยู่อีกไหม?” 

คำถามนั้นมาพร้อมกับอาการสั่นน้อยๆ และแรงกดจากปลายนิ้วที่แทบจะจิกลงไปบนหลังของผม

“ชายอมให้พี่โรมคบไอ้บี๋ต่อก็ได้นะ แต่ขอให้ชาได้เจอพี่โรมบ้าง.... จะที่เบอร์ลิคหรือที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ก็ได้ มีแค่ชาคนเดียวที่รู้ว่ายังมีพี่โรมให้รักก็พอแล้ว”

“พูดอะไรของมึงเนี่ย?”

“ฟังดูเหมือนขอเป็นเมียน้อยเลยใช่ไหม....?” 

ทิชาเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มของมันดูน่าเศร้าจนใจหาย 

“ถ้าเลือกได้ ชาก็อยากตัดใจจากพี่เหมือนกัน......แต่พี่โรมเป็นคนเดียวที่ไม่ไล่ชาไปไกลๆ และชาก็คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่............”

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงนะ เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังจับปลาสองมือหรือเอาแต่สปอยล์ให้ทิชายิ่งถลำลึกกับความรักลงไปอีกอยู่ได้.... มันคงเป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นแหละ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ต้องการความรัก มีใครบ้างที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ ในเมื่อตัวผมเองก็ยังต้องการเลย

“ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกนะ.......” 

ผมดุทิชาก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มแดงๆ ที่มีแต่รอยคราบน้ำตาเกรอะกรังนั่น 

“ก็กูสัญญาแล้วว่าจะไม่ทิ้งมึง.... ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้หรือตอนไหนๆ กูก็หมายความตามนั้นแหละ”

“พี่โรม?”

ทิชามองผมอย่างประหลาดใจ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกต่างกันนัก

แต่ขอให้รู้เอาไว้เถอะว่าผมไม่ได้พูดพล่อยๆ เพื่อให้ใครรู้สึกดี ผมคิดทบทวนและตัดสินใจตั้งแต่ตอนที่เห็นทิชากลับเข้ามาในเบอร์ลิคคืนนี้ บางทีเกียร์ของผมอาจจะมีคุณค่ามากกว่าถ้ามันอยู่บนคอของทิชา ไม่ใช่บีบี๋....

ผมเกี่ยวสายหนังที่คล้องคอทิชาขึ้นมา เอาจริงๆ ก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าจี้รูปเฟืองซึ่งได้รับมาหลังงานรับน้องกับวาทกรรมชาววิศวะฯ ที่ว่า ‘เกียร์อยู่ทีไหน ใจอยู่ที่นั่น’ จะสำคัญต่อใครคนหนึ่งขนาดนี้

“กูไม่เอาเกียร์คืนจากมึง ในเมื่อใส่แล้วก็รักษาให้ดีๆ แล้วกัน”

“พูดจริงเหรอ?” 

ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ มองผมเหมือนไม่อยากเชื่อ ทิชาในตอนนี้ไม่ต่างจากดอกไม้ที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากมีคนรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ จากที่หม่นหมองราวกับว่าโลกนี้จะไม่มีแสงสว่างให้เห็นอีกแล้วก็เริ่มมีเค้าลางที่จะสดใสขึ้น 

“พี่โรมยกเกียร์อันนี้ให้ชาจริงๆ เหรอ? ไม่เอาคืนแล้วจริงๆ นะ?”

“กูรู้ว่าเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่กูก็ยังอยากจะย้อนมันกลับไปอยู่ดี.... กลับไปวันที่กูกับมึงเพิ่งเจอกัน ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเรา กูคงจะไม่เสียเวลา เสียความรู้สึกไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่มึงอีกแล้ว..........”

มันคงจะดีกว่านี้ถ้าในตอนที่ทิชาสารภาพรักกับผม ผมไม่ได้ทำร้ายจิตใจมันด้วยการบอกว่าชอบคนอื่น และมันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าหากผมกล้ายอมรับกับตัวเองและบีบี๋ตั้งแต่เมื่อวานว่าทั้งเกียร์และส่วนหนึ่งในหัวใจผมนั้นอยู่กับทิชามาแต่แรกแล้ว

“งั้นจากนี้ไป ชาก็ไปหาพี่โรมได้ทุกที่ที่อยากไป.....คุยกับพี่ได้ทุกเมื่อที่อยากคุย......จะไม่มีใครสามารถห้ามไม่ให้ชารักพี่โรมได้แล้วใช่ไหม?”

“อืม มึงอยากทำอะไรก็ทำได้เลย.... เป็นทั้งเมียแล้วก็เจ้าของเกียร์กูแล้วนี่” 

ผมบอกก่อนจะกดจูบลงไปบนแก้มนุ่มหอมของร่างเล็กตรงหน้า

“แต่คราวหน้า ขอให้กูได้เห็นมึงในสภาพปกติบ้างเหอะนะ.... เด็กอะไรขี้แยฉิบหาย ถ้ามึงร้องไห้มาอีก กูจะตีซ้ำแล้ว”

“ก็ถ้าพี่โรมไม่ดุ ไม่ใจร้ายก่อน ใครมันจะไปร้องไห้ง่ายๆ ล่ะ”

“อ้าว โทษกูอีก”

เราทั้งคู่หัวเราะให้กับคำพูดของกันและกัน ก็ไม่ได้ขำบ้าอะไรนักหรอกแต่มันคงเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เราหลีกหนีจากสายฝนที่รออยู่ในวันพรุ่งนี้ได้

“กูไม่คิดว่าเรื่องของเรามันจะง่ายหรอกนะ ทิชา.... แต่กูจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อมึง” 

ผมบอกกับทิชาที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ณ จุดนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมก็คือคนที่นอกใจแฟนและทิชาก็คือคนที่แย่งแฟนเพื่อนสนิท มันไม่ง่ายที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจการกระทำและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเรา แต่ผมก็ยังเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป 

“จะหาว่ากูชอบให้ความหวังก็ได้นะ แต่กูไม่อยากโกหกมึง.... กูบอกไม่ได้ว่ากูรักมึงในแบบที่มึงต้องการแล้วหรือยัง แต่กูเต็มใจที่จะให้มึงอยู่ที่ตรงนี้ แล้วกูก็ไม่อยากให้มึงหายไปจากชีวิตกูด้วย”

ทิชาพยักหน้ารับรู้ แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว....

ริมฝีปากของเราแตะกัน สัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนและความปรารถนาที่เอ่อล้นขึ้นมา ข้างในอกหวามไหวยามเมื่อทิชาส่งเสียงครางเบาๆ ตอบรับ ผมยิ่งรุกหนักขึ้น ดันร่างเล็กจนชิดผนังมุมโซฟาแล้วจูบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคืนแรกที่เราได้กัน.... ที่เขาว่าตบมือข้างเดียวไม่มีทางดังน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ว่าทิชาจะตั้งใจชิงเกียร์ ตั้งใจอ้อนหรือยั่วผมหรือไม่ก็ตาม ท้ายที่สุด คนซึ่งทำให้ความผิดของเราสองคนครบถึงร้อยเปอร์เซนต์ก็คือผมเอง


ทั้งร่างกายและหัวใจไม่มีการต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย มันคือความรู้สึกที่บอกว่าใช่

ทิชาต่างหากที่ควรเป็นของผม....



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
BeeBee’s PART



     Im_BeeBeE : เฮียขี้โกงอะ บี๋ยังพูดไม่จบเลยนะ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง

                   บี๋บอกว่าที่คุยกับเฮียเพราะอยากแกล้งไอ้ชาก็ใช่ ก็บี๋ไม่

                        อยากให้มันได้คบกับเฮียนี่

                   เพราะไอ้ชาเป็นเพื่อน บี๋ก็เลยต้องหลีกทางให้มันเหรอ

                        บี๋ต้องตามใจไอ้ชาทุกอย่างใช่มั้ย เฮียถึงจะพอใจน่ะ?

                        มันก็ชนะบี๋มาทุกเรื่องแล้ว จะแพ้สักหน่อยไม่ได้หรือไง

                   ตอนนี้บี๋ก็ชอบเฮียเหมือนกันแล้วไง

                       ถึงบี๋จะมาเจอเฮียทีหลังมัน แต่ในเมื่อเฮียเลือกบี๋ก่อน

                       แล้วทุกอย่างที่บี๋ทำมันผิดตรงไหนล่ะ

                  บี๋ไม่มีสิทธิ์หวงเฮีย แต่ไอ้ชาหวงได้งั้นเหรอ?

                      *Called*

                      เฮียงอนบี๋ ก็เลยจะหันไปโอ๋ไอ้ชาประชดบี๋ใช่มั้ย?

                      กลับมาคุยกันดีๆ เถอะนะ

                      บี๋ขอโทษก็ได้.....




“โธ่เว้ย!”

ผมกระหน่ำส่งไลน์ไปเป็นร้อย มีตัวหนังสือขึ้นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วแค่ข้อความแรกๆ หลังจากนั้นก็เหมือนว่าผมบ้าพูดอยู่คนเดียวโดยที่เฮียโรมไม่สนใจจะอ่านและตอบเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากจะคิดเลยว่าบางทีแฟนผมอาจจะกดปิดรับการแจ้งเตือนเพื่อตัดรำคาญไปแล้วก็ได้.... ให้ดิ้นตายเหอะ ไม่รู้ว่าเฮียโรมแกล้งทำเมินใส่ผมได้ยังไง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ปล่อยให้ผมร้อนรนขนาดนี้

ถ้าผมจะทำอะไรผิดก็คงมีแค่เรื่องที่ไปพูดตอกหน้าทิชาให้ไอ้ห่าแดนได้ยิน แล้วก็หลุดปากเรื่องเฮียบนตึกเรียนจนมีคนถ่ายคลิปไปฟ้องเจ้าตัวได้นั่นแหละ

ก็แล้วยังไง มันก็เป็นสิทธิ์ของผมที่จะอวดไม่ใช่เหรอ.... เหตุผลแรกก็คือผมอยากให้ทิชารีบตัดใจจากเฮียโรมให้ได้เร็วๆ ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ผมก็ไม่อยากใช้ผู้ชายร่วมกับใคร แล้วผมก็ไม่ชอบเอามากๆ ด้วยกับสายตาโหยละห้อยที่มันใช้มองตามหลังแฟนผม แต่อีกเหตุผลหนึ่งของการขิงก็คือโคตรสะใจเวลาที่ทิชามันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังอิจฉา เพราะนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ผมสามารถเอาชนะทิชาได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย

ทั้งที่ผมอุตส่าห์คิดว่าปิดจ็อบได้แล้วเชียวนะ แต่ไอ้ทิชามันกลับร้ายกว่าที่คิด เผลอแปบเดียวก็ไปคว้าเอาเกียร์พี่โรมมาห้อยคอ แถมยังมาทำหน้าแบ๊ววางท่าเป็นเพื่อนที่แสนดีใส่ผมอีก.... สมแล้วที่โดนชาวบ้านด่าว่าเลือดแม่มันแรง เก่งนักเรื่องอ้าขาให้ผู้ชาย คบกี่คนๆ ก็เสนอตัวให้เขาเอาไปเสียหมดจนทุกคนเขาเหม็นชื่อกันไปทั้งมหาลัย

ก็มีแต่พี่โรมนั่นแหละที่ไม่เคยรู้ห่ารู้เหวอะไรกับใครเขาเลย....



“อาบีบี๋ ดึกป่านนี้แล้ว ลื้อจะออกไปไหน?”

“บี๋มีธุระกับเพื่อนนิดหน่อยน่ะ หม่าม้า.... ออกไปแปบเดียวเอง”

ซวยจริงเว้ย เห็นข้างล่างปิดไฟมืดสนิทก็นึกว่าหม่าม้าเข้านอนไปแล้วเสียอีก แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน หม่าม้าก็โผล่ออกมาจากห้องเก็บของหลังร้านแล้วจ๊ะเอ๋เข้ากับผมที่กำลังจะใส่รองเท้าอยู่พอดิบพอดี

“ไม่เอาๆ ลื้อกลับขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้เลย เพื่อนที่ไหนจะมานัดเจอกันเที่ยงคืนตีหนึ่งแบบนี้ ม้าไม่อนุญาตให้ออกไปนะ” 

ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นผม ป๊ากับม้าเป็นอันต้องโบกมือห้ามเอาไว้ก่อน ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าเหตุผลคืออะไรและจำเป็นแค่ไหนที่ผมจะต้องทำ 

“อาบีบี๋ ลื้อเอาแต่หนีเที่ยวทำตัวเหลวไหล ไม่สงสารป๊ากับม้าที่หาเงินส่งเสียให้ลื้อเรียนหนังสือแพงๆ บ้างเลยหรือไง.... ทำไมไม่เอาอย่างอาเฮียกับอาเจ้ลื้อบ้าง เรียนหมอกันทั้งคู่ อีกหน่อยป๊าม้าก็สบาย ไม่ต้องมาเปิดร้านขายของงกๆ ทุกวันอย่างนี้ ลื้อไม่เรียนหมอ อยากเรียนวาดรูปแต่งบ้าน ปาป๊าลื้อก็อุตส่าห์ไม่ว่าอะไรแล้ว ยังจะไม่ตั้งใจเรียนอีก...........”

แล้วก็กลับมาวนลูปเดิมๆ ทุกครั้งที่ผมทำอะไรไม่ได้ดั่งใจป๊ากับม้า มันเป็นความซวยของผมเองด้วยมั้งที่มีพี่ชายกับพี่สาวเรียนเก่งและว่านอนสอนง่าย พอลูกคนเล็กจะแตกแถวไม่เดินตามรอยเท้าพี่อย่างที่พ่อแม่หวังเข้าหน่อยก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ 

“เห็นอาเจ้แบมบอกว่าคราวก่อนถ้าไม่ได้อาทิชาเพื่อนลื้อมาช่วยทำงานส่งจนเช้า ลื้อก็เรียนตก ต้องไปเรียนวิชาเดิมใหม่อีกรอบ.... ไม่ไหวเลยนะอาบีบี๋ ลื้อไม่เรียนหมอ หม่าม้าก็เก็กซิมพอละ อย่างน้อยก็น่าจะดูอาทิชาไว้บ้างว่าทำยังไงถึงจะวาดรูปเก่งๆ แบบเขา”

“ม้าเลิกเปรียบเทียบบี๋กับไอ้ชาสักทีได้ปะ?”

ทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตเพื่อนจากปากบุพการีในทำนองชื่นชมนักหนา ผมก็ของขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“ถ้าไอ้ชามันดีนัก ม้าไปขอมันมาเป็นลูกแทนบี๋เลยมั้ยล่ะ!?”

“ไอ้บี๋ แกกล้าพูดแบบนี้กับหม่าม้าได้ไง ขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

พี่สาวผมตามลงมาเจอเอาตอนที่ผมเถียงหม่าม้ากลับ รู้เลยว่ามงกุฎตำแหน่งลูกทรพีดีเด่นประจำปีนี้จะต้องเหวี่ยงโครมลงบนหัวผมอย่างแน่นอน.... แต่ใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของผมล่ะ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจคนบ้านนี้สักอย่าง เดี๋ยวก็ว่าโง่ เดี๋ยวก็ว่าขี้เกียจสันหลังยาว ถูกเปรียบเทียบกับพี่น้องตัวเองมาทั้งชีวิตก็เหี้ยเกินพออยู่แล้ว ยังจะลากคนนอกมาเหยียบย่ำซ้ำเติมผมอยู่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน

“บี๋ออกข้างนอกนะเจ้ คืนนี้ไม่กลับ!”

“บีบี๋ ก็หม่าม้าบอกว่าไม่ให้ไปไง!”

พอเปิดประตูได้ ผมก็ก้าวเท้าฉับๆ เดินออกไปโบกแท็กซี่ ไม่สนใจเสียงม้ากับเจ้ที่ตะโกนโหวกเหวกไล่หลังมา ขืนมัวแต่ชักช้าจนป๊ากับเฮียบิ๊กลงมาเจอ มีหวังผมถูกเตะจนเละเป็นต้นกล้วยหลังค่ายมวยแหง

ก็อย่างที่เห็นว่าผมโตมาในครอบครัวคนจีนหัวเก่า ป๊ากับม้าเป็นรุ่นที่สองของตระกูลที่อพยพจากซัวเถามาอยู่เมืองไทย เป็นยี่ปั๊วเปิดร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแต่ก็เชื่อฝังหัวว่าถ้ารุ่นลูกไม่ทำมาค้าขายก็ต้องเป็นหมอหรืออาจารย์ถึงจะมีเกียรติ.... พี่ชายพี่สาวผมก็เรียนหมอตามที่ป๊ากับม้าต้องการ แต่ผมเรียนไม่เก่ง ไม่รอดตั้งแต่ตอนขึ้นม.ปลายเลือกสายวิทย์-คณิตแล้ว ผมชอบวาดการ์ตูนแต่ป๊าไม่ยอมให้เรียนพวกจิตรกรรมหรือไม่ก็นิเทศศิลป์ กลัวจบไปแล้วหางานทำไม่ได้ เฮียกับเจ้ช่วยเจรจาให้เลยมาตกลงกันได้ที่วิชาเอกอินทีเรีย ผมสอบติดก็จริง แต่ดรอว์อิ้งตกแต่งภายในมันก็ไม่ได้เหมือนกับวาดรูปสไตล์มังงะ พอผมทำได้ไม่ดีก็กลายเป็นว่าไม่ตั้งใจเรียนในสายตาพวกเขาไปอีก

ผมไม่เคยชนะใครเลย มีชีวิตอยู่ในฐานะลูกโง่ที่ไม่ได้เรื่องมาตลอด

แต่อีกอย่างที่ผมทำได้ดีไม่แพ้วาดรูปก็คือการอ่านสถานการณ์และเดาว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร คงเพราะว่าผมต้องคอยระวังตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อกับพี่ชายล่ะมั้งก็เลยมีสกิลนี้ติดตัวมาแต่เด็ก.... จึงไม่ใช่เรื่องยากที่คนอื่นๆ จะรู้สึกสนิทใจด้วยเพราะว่าผมสามารถตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการได้ ผมรู้ว่าจังหวะไหนควรเข้าหาและจังหวะไหนที่ควรเว้นระยะห่าง ไม่อย่างนั้นผมก็คงตีสนิทไอ้ทิชาซึ่งโคตรขี้ระแวงจนกลายเป็นเพื่อนซี้เพียงคนเดียวของมันไม่สำเร็จหรอก

การเป็นเพื่อนสนิทของทิชา ทิชนันท์ ก็เหมือนพาตัวเองไปอยู่ใต้สปอตไลท์นั่นแหละ.... ไปไหนก็มีคนมอง ไปไหนก็มีแต่คนสนใจ แรกๆ คนพวกนั้นก็อาจจะมองไอ้ทิชาก่อนเพราะว่ามันหน้าตาสวยและเป็นเซเลปมหาลัย แต่พอได้เข้ามาคุยแล้ว ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเปลี่ยนมาชอบผมมากกว่า ก็อย่างที่บอกว่าผมมักจะเดาถูกเสมอว่าใครต้องการอะไร และความสดใสโพสิทีฟก็ย่อมชนะฝั่งเนกาทีฟอยู่วันยังค่ำ

อ้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะยุ่งกับทุกคนที่เข้าหาไอ้ทิชานะ ผมก็เลือกแต่คนดีๆ เอาไว้ ส่วนพวกที่สืบจนรู้มาว่ามีเมียแล้วหรือไม่ผ่านเกณฑ์ก็ปล่อยให้จีบทิชาต่อไป เวลาที่มันผิดหวัง ผมก็คอยปลอบตามประสาเพื่อนที่ดีนะ แต่ใจจริงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะที่คนเพอร์เฟคอย่างมันด้อยกว่าผมในเรื่องนี้

เรื่องอื่นจะเป็นไอ้ขี้แพ้ก็ช่าง แต่นี่คือความสุขเล็กๆ ของผม....

กับเฮียโรมก็เหมือนกัน ผมจับได้ว่าเขาชอบเด็กน่ารักขี้อ้อนสไตล์น้องชายข้างบ้าน นิสัยสบายๆ ไม่เรื่องมาก เป็นคนที่เขาจะทำตัวชิลล์ๆ ด้วยได้เวลาที่อยู่ด้วยกันซึ่งตรงข้ามกับความเปราะบางเรื่องเยอะของไอ้ทิชาโดยสิ้นเชิง ผมก็แค่เล่นไปตามน้ำจนกระทั่งพี่โรมเกิดชอบผมขึ้นมาจริงๆ.... ผมเองก็ชอบที่เขาเทคแคร์ดี เขาให้ได้ทุกอย่างที่ผมไม่เคยมี ผมอยากกินข้าวดูหนังที่ไหนอะไรยังไงก็ได้ แถมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าบ้านเฮียโรมเป็นเศรษฐีรีสอร์ททางใต้ ผมก็ยิ่งปล่อยให้เขาหลุดมือไปไม่ได้ ต่อให้ไอ้ทิชาไม่เอา ผมก็จะเอาอยู่ดี

แต่ตอนนี้ไอ้ทิชาที่คิดว่านอนร้องไห้ตรอมใจตายห่าไปแล้วเสือกเล่นไม่ซื่อ แอบมาชิงเกียร์ลับหลังผมซะงั้น ผมก็ต้องจัดการให้มันกลับไปอยู่ในรูตามเดิม

ผมจะแพ้ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่มัน

ผมยอมเป็นเบี้ยล่างให้ ทิชา ทิชนันท์ ได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้....!


ร้านเหล้าเบอร์ลิคซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยคือแดนสวรรค์ของชาวคณะวิศวะฯ และบรรดาเขยสะใภ้ เป็นสถานที่ที่ผมใฝ่ฝันว่าจะก้าวเข้ามาโดยได้รับการพะเน้าพะนอมีคนล้อมหน้าล้อมหลังในฐานะสะใภ้ที่มีเกียร์ห้อยคอ แต่วันนี้อะไรๆ ก็ผิดแผนไปเสียหมดเมื่อเกียร์ซึ่งควรจะเป็นของผมถูกคนอื่นชิงไป เฮียโรมก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ถึงขนาดโกหกผมเพื่อปิดบังความเหี้ยของไอ้ทิชา.... ไหนว่าคิดกับมันแค่น้องชาย ถึงจะเอ็นดูแต่ก็ไม่ถึงขั้นจะจีบ พี่น้องท้องชนกันน่ะสิ ไม่รู้เฮียไปโดนมันยั่วอีท่าไหนถึงได้กลับมาหลงหัวปักหัวปำจนทำท่าจะเลิกกับผมง่ายๆ

ห่าเอ๊ย ทำไมผมถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ....!?

บุคคลแรกที่ผมเห็นยืนสั่งงานเด็กยกลังเบียร์อยู่ตรงประตูก็คือพี่รุจ เจ้าของร้าน ผมรู้จักเขาดีผ่านทางเสียงลือเสียงเล่าอ้างในโซเชียลแม้ว่าจะเพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรกก็ตาม.... พี่รุจที่ผมเคยได้ยินคนพูดถึงนั้นเป็นคนมีน้ำใจกับพวกพ้อง แต่ก็เลวสัดหมากับคนนอก เหมือนจะเฟรนลี่แต่ก็เหลี่ยมจัดมากพอที่จะอยู่รอดในวงการธุรกิจสีเทาตั้งแต่อายุยี่สิบกลางๆ ตามปกติแล้วผมไม่ค่อยยุ่งกับคนที่ตัวเองยังอ่านท่าทีได้ไม่ขาด แต่กับพี่รุจ อย่างน้อยฐานะแฟนของเฮียโรมที่เปิดตัวแล้วก็น่าจะช่วยผมเอาไว้ได้บ้าง

“ขอโทษนะครับ พี่รุจใช่ไหม?” 

ผมเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางบ้องแบ๊วอย่างที่ใช้เป็นประจำกับคนแปลกหน้า เขาหันมามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรเปิดทางให้ผมได้แจกรอยยิ้มไร้เดียงสา 

“ผมชื่อบีบี๋นะครับ.... เป็นแฟนของเฮียโรม รุ่นน้องสายเดียวกับพี่รุจ.........”

“อืม แล้วยังไงครับ น้องบีบี๋?”

“คือว่าบี๋แวะมาหาเฮียโรม แต่พอดีโทรหาแล้วเฮียไม่รับสายเลย.... วันนี้แฟนบี๋เขามาที่ร้านหรือเปล่าครับ?”

พี่รุจกระตุกยิ้มหัวเราะหึ สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นลางไม่ค่อยดีเท่าไร

“เป็นแฟนกันแต่ต้องมาถามหาไอ้โรมเอากับพี่เนี่ยนะครับ?” เขาถามก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมแบบเต็มตัว  “โทรหาเอาเองเถอะ ทำไมต้องให้คนอื่นช่วยตามหาให้ด้วยล่ะ”

“คือตอนนี้บี๋กับเฮียโรมมีปัญหากันนิดหน่อย.......” 

ผมตีหน้าเศร้าทำเป็นพูดจาเสียงอ่อยน่าสงสาร แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้ามีเหตุการณ์ชิงเกียร์เกิดขึ้นภายในร้าน ยังไงพี่รุจก็ต้องรู้เรื่อง ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมบอกผมหรือเปล่า 

“ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เฮียโรมดูแปลกๆ ไป เกียร์ที่ห้อยคอก็ไม่อยู่ บี๋ถามว่าหายไปไหนก็ไม่ยอมบอก แล้ววันนี้ยังทำตัวติดต่อไม่ได้อีก.... บี๋ไม่สบายใจก็เลยอยากมาเคลียร์ให้มันจบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่ พี่รุจช่วยบี๋หน่อยได้ไหมครับ.........”

“ปกติแล้วพี่ไม่อยากยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ ของพวกน้องๆ ที่เป็นคนในหรอกนะ แต่เพราะพี่เห็นใจน้องบี๋ก็เลยจะยอมบอกก็ได้........” 

คำพูดคำจาฟังดูเหมือนมีความเมตตา ทว่า สายตากับรอยยิ้มมุมปากกลับสื่อความหมายในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ผมเดาใจพี่รุจไม่ออกว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ความคิดที่ว่าเขาน่าจะนึกเอ็นดูผมลดลงจากร้อยไปหาศูนย์ 

“ไอ้โรมเข้าร้านมาแล้ว แล้วก็เพิ่งออกไปเมื่อสักชั่วโมง-สองชั่วโมงก่อนนี่เอง”

“อ้าว ไปไหนล่ะครับ? แล้วจะกลับมาไหม?”

“ไปไหนไม่รู้ มันไม่ได้บอก.... ส่วนจะกลับมาไหมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน” 

ผมรู้ได้ในทันทีว่าข้อมูลที่พี่รุจบอกมาเมื่อกี้ก็แค่ออเดิร์ฟ ส่วนเมนคอร์สน่ะคือประโยคต่อจากนี้ต่างหาก 

“พอน้องคนที่ห้อยเกียร์มันมาที่ร้าน ไอ้โรมก็พาขึ้นรถออกไปด้วยกันเลย.... นี่ก็ตีหนึ่งแล้ว พี่ว่าคืนนี้มันกับน้องคนนั้นคงไม่กลับมาแล้วล่ะมั้ง”

หน้าผมยังคงชาวาบเหมือนถูกตบแม้จะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว แสดงว่าระหว่างที่ผมส่งไลน์ร้อยกว่าข้อความไปง้อเฮียโรม อดีตเพื่อนเลิฟตัวดีของผมก็ดอดมาคาบแฟนผมไปแดกลับหลังอีกจนได้.... ผมว่าผมร้ายแล้วนะที่ไปแบ๊วใส่เฮียโรมปาดหน้าเค้กมัน แต่ทิชามันเสือกร้ายยิ่งกว่าที่มาอ่อยผู้ชายของเพื่อนซ้ำสองชนิดไม่สนเหี้ยสนห่าอะไรเลย ผมโคตรโมโหเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกขึ้นกลางหัว แล้วก็เดือดพล่านมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเฮียโรมนั่นล่ะที่กลับคำพูดลงไปเกลือกกลั้วกับของมือสอง มือสาม มือสี่ มือห้าอย่างไอ้ทิชา

“ไอ้ทิชา.............!”

“บิงโก เก่งมากน้องบีบี๋”

เจ้าของร้านเบอร์ลิคแกล้งทำท่าถูกต้องนะคร้าบบบบ เลียนแบบพิธีกรชื่อดังใส่ผม แม้ผมจะเดาใจไอ้พี่รุจไม่ออกแต่ก็มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเห็นความเดือดเนื้อร้อนใจของผมเป็นสิ่งบันเทิง 

“ได้ยินว่าทิชาเป็นเพื่อนสนิทเรานี่.... แล้วตอนนี้ล่ะ ยังสนิทกับเพื่อนรักอยู่หรือเปล่า?”

“..........มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับพี่?”

“แหม จะให้ลงดีเทลขนาดนั้นมันก็ยากนะ” 

พี่รุจยิ้มเหมือนลำบากใจ แต่สายตากรุ้มกริ่มจ้องมองผมราวกับคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาสนุกๆ 

“แต่เอาเป็นว่าไอ้โรมมันเป็นคนถอดเกียร์ให้น้องทิชาเขาเองกับมือ ใครห้ามก็ไม่ฟัง.... พวกพี่เองก็พูดอะไรไม่ได้มาก กฎก็ย่อมเป็นกฎ ในเมื่อไอ้โรมมันเลือกน้องทิชาแถมยังไม่ขอเกียร์คืนสักที ทิชาเขาก็ยังมีสิทธิ์เข้านอกออกในมาหาไอ้โรมที่ร้านพี่ได้อยู่”

นั่นมันเกินกว่าที่ผมคิดไปมากเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าทิชาเป็นฝ่ายอ่อยแล้วเฮียโรมก็แค่หลงผิดคล้อยตาม จนกระทั่งมาโดนพี่รุจเบิกเนตรว่าอันที่จริงแล้วแฟนผมต่างหากที่ยังเหลือใจให้ทิชา.... โคตรโกรธ โคตรเสียหน้า โคตรของโคตรของโคตรจนไม่รู้จะพูดยังไง รู้แค่ว่าผมจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด

“แล้วบี๋ควรต้องทำยังไงต่อ........?”  ผมถามเสียงเย็น ข้างในหัวมีเสียงเต้นตุบๆ คล้ายเส้นเลือดกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ “จะยังมีทางไหนที่บี๋จะเอาเกียร์พี่โรมคืนมาได้บ้างครับ พี่รุจ?”

“ก็ต้องให้ไอ้โรมมันบังคับเอาจากทิชามาคืนให้บี๋นั่นแหละ” 

พี่รุจบอกเนิบๆ อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายพอๆ กับปอกกล้วยเข้าปาก จนผมนึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อยว่าที่เบอร์ลิคมีคดีเมียหลวงเมียน้อยแย่งเกียร์กันบ่อยแค่ไหน คนตรงหน้าถึงได้ดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร้านตัวเองเอาเสียเลย

“หรือไม่อย่างนั้น น้องบี๋ก็ไปหาเกียร์ใหม่ที่ดีกว่ามาใส่ก่อน แล้วค่อยหาทางกดดันจนทิชายอมคืนเกียร์ให้ไอ้โรมเอง”

มือหนาล้วงเข้าไปใต้คอปกเสื้อตัวเองก่อนจะชูสายสร้อยเงินซึ่งมีจี้รูปเฟืองสีทองแดงเขรอะๆ ออกมาให้ผมเห็นชัดเต็มสองตา

“อย่างเช่นเกียร์อันนี้.... รุ่น32 ส่วนของไอ้โรมน่ะรุ่น36”

ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เกียร์ของพี่รุจ เจ้าของร้านเบอร์ลิคที่แสนจะโด่งดัง ที่สำคัญก็คือตัวเลขรุ่นที่มาก่อนเฮียโรมถึงสี่ปีเต็มๆ ถ้าผมสามารถเอามาห้อยคอได้ อย่าว่าแค่เฮียโรมเลย คณะวิศวะฯ ทั้งหมดที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยตอนนี้จะต้องมาอยู่ข้างผมอย่างแน่นอน

“แต่บอกเอาไว้ก่อนเลย เกียร์ของพี่น่ะไม่ฟรีนะน้อง.... จ่ายแพงด้วย”

แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายอ่านใจพี่รุจ แต่กลับกลายเป็นพี่รุจที่มองผมออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าอยากได้เกียร์รุ่น32 ของเขามากแค่ไหน.... แต่ขึ้นชื่อว่าที่นี่คือเบอร์ลิค ไม่มีทางที่ผมจะได้อะไรมาง่ายๆ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งของดีก็ยิ่งต้องจ่ายแพง มันเป็นกฏเบสิคของโลกนี้ที่ผมต้องยอมรับให้ได้

“บี๋ไม่มีเงินหรอก.......”

ผมสูดหายใจลึกพลางคิดถึงใบหน้าของทิชาเพื่อนรัก.... ผมยอมรับก็ได้ว่าใจหนึ่งก็ยังรักมันอยู่ ความทรงจำดีๆ ที่เรามีร่วมกันก็เยอะแยะนับไม่ถ้วน แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ผมทำมัน มันทำผมคืน แล้วผมก็ทำมันกลับไปอีก แตกหักฉิบหายกันถึงเบอร์นี้แล้ว ต่อให้ผมล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านไปก็ใช่ว่าวันพรุ่งนี้เราจะกลับมานั่งยิ้มกินข้าวโต๊ะเดียวกันได้อีก

ก็เหลือแค่ไปให้สุด แล้วหยุดตรงที่ว่าระหว่างผมกับทิชา ใครมันจะร้ายและเลวได้มากกว่ากัน....



“แต่ถ้าบี๋จะขอจ่ายค่าเกียร์ด้วยร่างกาย พี่รุจจะว่าไงครับ?”



TO BE CONTINUE


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ขออนุญาตตอบกลับคุณ Grey Twilight ที่ความเห็นนี้นะคะ

ก่อนอื่นเลย เราต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ของเรา ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนฟิคมาบ้างแต่กับ Downpour เป็นิยายวายออริจินัลคาแร็กเตอร์เรื่องแรกของเราเลย หลายๆอย่างก็อาจจะค่อนข้างประดักประเดิดนิดนึง
แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ตอบช้า อันที่จริงก็ตั้งใจว่าจะตอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วค่ะ แต่คิดว่ามันมีบางประเด็นที่ถ้าเราพูดไปก็จะกลายเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่อง เลยคิดว่าจะเก็บเอาไว้จนกว่าจะผ่านเนื้อเรื่องช่วงนั้นไปแล้วค่อยมาตอบดีกว่า

ในส่วนของคาแร็คเตอร์ทิชา + โรม + แดน
ที่คุณ Grey Twilight วิเคราะห์มา ค่อนข้างตรงกับความความตั้งใจของเราค่ะ 80%เลย
ทิชาเป็นคนที่โตมากับความคิดที่ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ น้องมองโลกในแง่ร้าย คิดว่าคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี และพยายามจะบอกตัวเองว่าไม่แคร์สังคม แต่ก็เหมือนกับพวกองุ่นเปรี้ยวแหละค่ะ จริงๆแล้วตัวเองก็อยากได้ อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เขาไม่ต้อนรับ พอมีคนที่ผ่านเข้ามาแล้วเหมือนจะตอบสนองความต้องการได้ ทิชาก็กระโดดเข้าหาทันที
เหมือนจะเคยเขียนอธิบายไว้ในตอนก่อนหน้านี้แล้วว่า กับพวกผู้ชายคนก่อนๆ เช่นพี่เอก ทิชาไม่ได้รัก แค่ยอมก็เพราะคิดว่าคนพวกนั้นจะมาเติมเต็มให้ตัวเองได้ แต่พอไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ทิชาก็เลยทำใจได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะตัวละครอย่างพี่เอกก็แค่เข้ามาจีบ แต่ไม่ได้เห็นทิชาลำบาก ไม่เคยช่วยเหลือ ไม่ได้ทำอย่างที่พี่โรมทำ
มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมทิชาถึงได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องพี่โรมมากว่าจะเสียเขาไปไม่ได้

มาถึงพี่โรม
เอาจริงๆ ก่อนหน้าที่จะลงนิยายเรื่องนี้ เราก็คิดอยู่แล้วแหละค่ะว่าพี่โรมจะต้องถูกคนอ่านด่าแน่ ไม่มีใครชอบพระเอกโลเล ไม่ได้รักนายเอกคนเดียวนักหรอก แต่เราก็เลือกที่จะให้เป็นแบบนี้ ผลก็อย่างที่เห็นอะค่ะ ไม่มีใครเชียร์เลย 5555+
พี่โรมเป็นพระเอกที่น่าเบื่อค่ะ เรายอมรับเลย แต่ถ้ามองให้ทะลุความน่าเบื่อของฮี พี่โรมเป็นคนแบบที่เราอยากได้ในชีวิตจริงนะ
เขาเป็นคนที่ไม่ดูดายต่อความเดือดร้อนของคนอื่น ตอนที่เห็นทิชาเป็นน้อง ก็พยายามขีดเส้นแล้วว่านี่คือน้อง เขาโฟกัสความสนใจไปที่บีบี๋ ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง.... แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่การกระทำของคนๆหนึ่งไม่มีทางที่จะถูกต้อง / ถูกใจทุกคน การเอาใจใส่ ถ้าไปทำกับคนอื่นก็อาจจะไม่มีอะไร แต่พอมันไปกระทบโดนคนที่จิตใจบิดๆเบี้ยวๆ อย่างทิชา มันก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา

มาพูดถึงตัวละครอย่างบีบี๋
เราเข้าใจว่าคุณ Grey Twilight มีบีบี๋เป็นตัวละครโปรด เลยอาจจะคาดหวังกับบีบี๋เยอะกว่าตัวละครอื่นนิดนึง ( แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ)
เราตั้งใจจะให้บีบี๋เป็นตัวร้ายของเรื่องตั้งแต่แรกแล้วค่ะ
แต่ความร้ายของบีบี๋ มันไม่ใช่ความร้ายที่คงเส้นคงวา
อันนี้ทั้งบีบี๋และทิชาเลย ด้วยความที่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาเกือบปี คนเราถึงจะอิจฉาเพื่อนแค่ไหน แต่ถ้าลองว่าคบกันมาได้ แสดงว่ามันก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่คลิกกัน
มิตรภาพของบีบี๋และทิชาจึงเป็นเรื่องจริงค่ะ ที่บีบี๋เสียใจที่ทิชาแย่งพี่โรมก็เป็นเรื่องจริง บีบี๋ตั้งใจจะทำร้ายทิชาก่อนแต่พอทิชาจะเอาคืน ตัวเองก็ค่อนข้างรับไม่ได้ อารมณ์ว่าตัวเองเคยชนะทิชาเรื่องผู้ชายมาตลอดเลยโกรธและอยากจะเอาคืนบ้าง แต่ในความโกรธนั้นมันก็มีความรู้สึกที่ว่า ทำไมทิชาไม่ยอม เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ทำไมให้กันไม่ได้ในเมื่อแกก็ชนะฉันทุกอย่างอยู่แล้ว
เราอาจจะยังสื่อในพาร์ทของบีบี๋ได้ไม่ดีมากพอ อันนี้ต้องขอโทษด้วยค่ะ
จะพยายามปรับปรุงให้มันตรงประเด็นมากขึ้นนะคะ

ส่วนที่บอกว่าให้หลีกเลี่ยงพล็อตรักสามเส้า อันนี้เราคิดหนักเลยค่ะ 5555555
เราก็ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงยังไง เพราะธีมของเรื่องมันมาจากชีวิตบัดซบของน้องทิชา ซึ่งมีความรักกับพี่โรมที่แย่งมาจากบีบี๋เป็นฐาน แต่จะพยายามไม่ให้กลายเป็นรักน้ำเน่านะคะ แล้วเนื้อเรื่องช่วงรักสามเส้าก็จะพยายามไม่ให้ยืดเยื้อด้วย หวังว่าการเข้ามาของตัวละครที่ 4- 5 อย่างแดนกับพี่รุจจะพอช่วยได้ 55555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เข้ามาอ่านและช่วยคอมเมนท์ให้
เราดีใจมากเลยค่ะที่มีคนติดตาม เรายังใหม่มากๆ กับการครีเอทตัวละครขึ้นใหม่หมด ไม่ได้อ้างอิงบุคคลิก+นิสัยใจคอจากบุคคลที่มีอยู่แล้ว
ยังไงก็ติดตามต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อเลยนะ

ขอบคุณค่า~~

Alice
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2018 22:02:17 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เรายังลงเรือโรมทิชาละกันค่ะ
อย่างน้อยขอให้ทิชาสมหวัง  :hao5:

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อวสานโมเอะ เหลือแต่แรดล้วนๆ มอบให้บีบี๋นะจ้ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บี๋มันร้าย มันไม่จริงใจกับทิชาตั้งแต่แรกแล้ว มีเพื่อนแบบบี๋นี่อันตรายสุดๆ

ออฟไลน์ Acrokate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บี๋โคดร้ายย คือถ้าไม่อยากเปนเพื่อนกะทิชาทำไมไม่เลิกคบตั้งแต่แรก มาทำร้ายกันทำไม ยิ่งทำตัวเองแบบนี้คนรอบข้างยิ่งจะเกลียดบี๋นะเอาจิงๆ กลับกันกะทิชาเสียเพราะข่าว แต่ถ้าคนได้รุ้จักจิงๆน้องทิชาน่ารักกก จิงมะ? คดีจะพลิกอีกมะ? ทิชาคงไม่ลุกขึ้นมาร้ายมั้ง? เหลือประเด็นแดนไทอีก นางจะมาไม้ไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ปมอะไรเยอะแยะน่ารำคาญของเธอถามหน่อยว่าความผิดของทิชาหรอนังบี๋แรดเงียบ ถ้าเกลียดกันจะคบกันจะทำร้ายกันไปทำไม
ส่วนโรมเลวมากค่ะไอ้คนเลโลหลายใจ  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
บี๋โคตรร้ายย แต่ความสัมพันธ์ทั้งสาทคนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ไม่โอเท่าไหร่ อยากใฟ้พี่โรมจบเรื่องจบราวซักที แต่เห็นจำนวนตอนแล้วน่าจะอีกนานเลย 5555 ขอบคุณคนแต่งมากๆค่ะ รอตอนต่อไปปป สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะคะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
9
~ ปลาตัวที่สอง ~


เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ที่ผมตื่นขึ้นมาในสถานที่ซึ่งไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง ผ้านวมผืนหนาติดกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ กับกลิ่นโคโลญจน์ผู้ชายเรียกให้ผมหลับตาลงอีกครั้งโดยที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย.... ผมยังจำความรู้สึกตอนที่พี่เอกพาผมขึ้นคอนโดเพื่อมาทำอย่างว่าได้ ผมเต็มใจและคิดไปเองว่าการมีเซ็กซ์คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่พี่โรมทำให้ผมเข้าใจว่ายังมีสิ่งที่ดีกว่านั้น แค่นอนกอดกันเฉยๆ ก็สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ดีกว่าถึงจุดสุดยอดสิบครั้งรวดเสียอีก

จนกระทั่งตอนนี้ พี่โรมก็ยังกอดผมไม่ยอมปล่อยอยู่เลย....

“..........ตื่นแล้วเหรอ?”  เพราะผมขยับตัวก็เลยปลุกพี่โรมซึ่งนอนก่ายผมแทนหมอนข้างให้ตื่นขึ้นมาด้วย  “อืม.....วันนี้มึงมีเรียนกี่โมง.......?”

ให้ตายเถอะ ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่โรมตอนเพิ่งตื่นแม่งโคตรหล่อใสๆ เลย จากปกติที่ผมเคยเห็นเขาในมาดเถื่อนมึงมาพาโวย ดูอันตรายนิดๆ ตามสไตล์พวกวิศวะฯ เครื่องกล แต่สิ่งที่สะกดสายตาอยู่ตรงหน้ากลับเป็นชายหนุ่มในฝันจำพวกพรีเซนเตอร์ครีมโกนหนวดอะไรทำนองนั้น แล้วใจผมก็เต้นเป็นบ้าเป็นหลังกับพี่โรมโหมดละมุนปนเซ็กซี่แบบไม่ตั้งใจ

“ชามีเรียนเก้าโมง แต่คงเช็คชื่อไม่ทันแล้วมั้ง”

พี่โรมคว้ามือสะเปะสะปะไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่เสียบชาร์จค้างไว้มาดู ก็ตามที่ผมเดาไว้นั่นแหละ ตอนนี้เก้าโมงนิดๆ แล้ว เป็นอันว่าสายแน่นอน

“กลายเป็นกูพามึงโดดเรียนอีก.........”  ร่างหนาอมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวเสยผมให้หายงัวเงียเมาขี้ตา  “แต่ตอนบ่ายมึงต้องไปเรียนนะ กูไม่ให้โดด”

“รู้แล้วน่า.... แด๊ดดี้ของน้อง”

ผมดีดตัวขึ้นไปกอดพี่โรมแล้วรั้งให้กลับลงมานอนด้วยกันอีกรอบ ยังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าเรียน ผมจึงอยากตักตวงช่วงแห่งเวลาแห่งความสุขของเราเอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ให้มันต้องเสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว.... เตียงนอนคิงไซส์แสนนุ่มสบาย ผ้าห่มอุ่นๆ กับผู้ชายรูปหล่อแสนดีอีกหนึ่งคน ต่อให้เอาเกรดเอทุกวิชามาล่อก็ใช่ว่าผมจะยอมตื่นจากความฝันนี้ง่ายๆ

“เกเรเหมือนกันนะมึงน่ะ ไหนว่าเป็นเด็กดี?”

“ไม่ได้เกเรสักหน่อย.......” 

ผมยิ้มยั่วขณะโน้มคอชายหนุ่มให้แนบชิดเข้ามาใกล้ แล้วยื่นปากไปจุ๊บที่สันคางได้รูปอย่างช่างอ้อน 

“แค่อยากได้มอร์นิ่งคิสจากเจ้าของเกียร์อันนี้ แล้วจะตั้งใจเรียนตลอดเทอมเลย”

“แน่ใจนะว่าแค่มอร์นิ่งคิสแล้วจะพอ?”

เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบถามพลางขบเข้าที่ติ่งหูผม เลื่อนไปดูดเบาๆ ที่ซอกคออย่างเจตนาจะยั่วอารมณ์ไม่แพ้กัน.... ผมกับพี่โรมก็เหมือนไฟกับน้ำมัน แค่เรามองตากันก็คล้ายจะปลุกความต้องการทางกายขึ้นมาได้ทันที ผมอยากได้พี่โรมมากพอๆ กับที่พี่โรมอยากได้ผม ไม่ได้อยากเพ้อเจ้อแต่เช้าหรอกนะ แต่เขาเหมือนคู่แท้ที่ฟ้าประทานมาให้คนขาดๆ เกินๆ อย่างผมเลย

“จูบก่อนไง แล้วถ้าอะไรๆ มันจะตามมาก็ค่อยว่ากันอีกที”

ผมกระดกตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อมือหนาสอดเข้าไปข้างใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง แค่ถูกสัมผัสหยอกแผ่วผ่าน เนื้อตัวก็ดูจะร้อนรุ่มอึดอัดกระสับกระส่าย โดยเฉพาะกับตรงส่วนไวสัมผัสกลางหว่างขาซึ่งตื่นตัวแข็งชันขึ้นมาราวกับรู้หน้าที่ 

“........ที่เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ชอบมีอารมณ์อย่างว่าตอนเช้านี่แม่งโคตรจริง.......ถ้าพี่โรมไม่ทำให้ สงสัยชาคงออกไปเรียนไม่ได้แล้วมั้งเนี่ย..........”

ผมพลิกตัวขึ้นนั่งบนตักหันหน้าเข้าหาพี่โรม จงใจให้ตรงนั้นของตัวเองเสียดสีกับต้นขาชายหนุ่มบอกให้เขารู้ว่าผมไม่อยากจะอดทนรออีกแล้ว หากก็เหมือนจะโดนแกล้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จูบแก้มจูบหน้าผากหลอกเด็กไปเรื่อย

“เชี่ยจริง กูเคยคิดว่ามึงเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ได้ไงวะ?”

“กับคนแปลกหน้าน่ะเรียบร้อยจริง........”

กางเกงผ้าร่มขาสั้นกุดที่ผมสวมอยู่เริ่มแฉะเพราะน้ำหล่อลื่นที่ปริ่มออกมา พี่โรมยังคงแกล้งทำเป็นจับตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยสลับกับหอมแก้มผมจนแทบช้ำ ผมรู้ว่าเขาเองก็กำลังเครื่องร้อนแล้วเหมือนกันแต่ที่ยังอ้อยอิ่งก็คงเพราะอยากให้ผมบริการให้มากกว่า ซึ่งผมก็ยินดีทำให้พี่โรมมีความสุขอยู่แล้ว 

“แต่กับคนที่ชอบก็ถึงไหนถึงกัน คงไม่มีใครอยากเอากับท่อนไม้หรอกใช่ไหม?”

ผมถอยลงจากตักพี่โรมแล้วเอื้อมมือไปจับความเป็นชายของเขา มันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะขยายขนาดตอบรับการหยอกล้อจากฝ่ามือผม แน่นอนว่าผมไม่ลังเลที่จะช่วยให้พี่โรมหายอึดอัดแลกกับที่เขาจะได้ให้ความรักผมมากขึ้น.... ผมเลียริมฝีปากตัวเองพลางออกแรงดึงขอบกางเกงนอนของคนตรงหน้าลง ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนฝืนใจอะไร มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วล่ะมั้งว่าผมจะต้องทำแบบนี้ให้กับคู่นอน ทว่า มือใหญ่กลับห้ามเอาไว้ไม่ให้ไปไกลกว่านั้น

“เดี๋ยวชาทำให้เอง พี่โรมอยู่เฉยๆ ก็ได้.......”

คราวนี้ร่างสูงไม่ยอม เขาจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วปัดมือซึ่งยังเฝ้าจะวุ่นวายกับส่วนพึงสงวนของเจ้าตัวออก.... ผมงงจนนิ่งไปหลายวินาทีเพราะไม่เคยถูกใครปฏิเสธในเวลากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ ทั้งที่อุตส่าห์แน่ใจแล้วเชียวว่าพี่โรมก็น่าจะกำลังอยาก แต่สงสัยว่าผมจะใจร้อนรุกเร็วเกินไป.........

“ผู้ชายคนเก่าอาจจะชอบให้มึงเป็นฝ่ายเอาใจ แต่นั่นไม่ใช่แนวกูว่ะ” 

พี่โรมบอกก่อนจะจับผมให้นอนหงายลงตามเดิม เขาพลิกขึ้นคร่อมด้านบนในขณะที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ หากเมื่อใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มทีเล่นทีจริง ผมก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าพี่โรมต้องเป็นจ่าฝูงประเภทนักล่า มากกว่าจะเป็นจ่าฝูงที่รอให้ตัวเมียคาบเหยื่อมาป้อนถึงรัง 

“กูไม่ชอบให้เมียกูเหนื่อย.... เก็บแรงไว้เหอะ แค่โดนกูขึ้นตอนเช้าก็กลัวมึงจะไปเรียนไม่ไหวแล้วเนี่ย”

“เอาโหดขนาดนั้นเชียว?” 

ผมทำเป็นถามเหมือนไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่ยังจำได้แม่นว่าสภาพตัวเองหลังผ่านคืนแรกกับพี่โรมมานั้นเรียกได้ว่ายับเยินดูไม่จืด ไอ้ที่นอนซมไข้ขึ้นอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ออมแรงให้เลยนี่แหละ

“เดี๋ยวมึงก็รู้..........”

พูดแบบนี้ผมยิ่งตื่นเต้น เขาเลื่อนมือลงต่ำบีบก้นผมอย่างหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากหยักได้รูปคลอเคลียอยู่ตรงใบหู แสดงออกชัดเจนว่าเขาอยากขย้ำผมลงท้องมากกว่าจะให้ผมค่อยๆ ไล้เล็มกินเขา

“ถ้ากูอยากให้มึงใช้ปากเมื่อไรแล้วกูจะบอกเอง ถ้าไม่ได้บอกให้ทำก็ไม่ต้อง เข้าใจไหม?”

“ทำไมล่ะ? ครั้งก่อนที่ทำให้ไม่ชอบเหรอ?”

“ชอบสิ แต่เพราะมึงเป็นเมียกูแล้ว.... กูควรจะเป็นฝ่ายทำให้มึงมีความสุขมากกว่า ถ้ามึงยังไม่เสร็จ กูก็จะไม่เอาเปรียบมึงเด็ดขาด.........”

“งั้นพี่โรมก็รีบๆ ทำให้ชาเสร็จสิ เราจะได้มีความสุขด้วยกันไง”

ผมโน้มคอร่างสูงให้ก้มลงมารับจูบซึ่งเตรียมรออยู่นานแล้ว ริมฝีปากหนาดูดกลีบปากล่างของผมจนเกิดเสียง กลิ่นบุหรี่ไลท์เมนทอลคละคลุ้งไปทั่วโพรงปากผสานกับรสหวานซึ่งตลบอบอวลในห้วงอารมณ์.... การเป็นฝ่ายไล่ตามกับฝ่ายได้รับมันแตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ปลายลิ้นที่สอดกระหวัดเข้ามาคล้ายว่าจะทั้งบังคับและเว้าวอนให้ผมรีบสนองตอบ จูบของพี่โรมดูดดื่มร้อนแรง สลับหวานและขมจนแทบหายใจไม่ทันได้แค่ส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอ สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางล่องลอยแล้วแต่ว่าคนข้างบนจะพาผมไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ทว่า ความรู้สึกในหัวใจยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมรักพี่โรม

รักคำพูด รักความคิด รักทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเขากำลังทะนุถนอมและให้ความสำคัญกับคนที่ไม่มีใครเอาอย่างผม


“อือ..........” 

ผมร้องครางเหมือนเสียดายในตอนที่พี่โรมถอนจูบออก หากยังไม่ทันจะได้สูดหายใจเต็มปอด มือหนาก็เกี่ยวขอบกางเกงขาสั้นที่ผมสวมอยู่แล้วรูดลงรวดเดียวจนถึงข้อเท้า เวลานี้ผมเหลือเพียงเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ซึ่งยืมจากเจ้าของห้องมาใส่นอน.... กางเกงผ้าร่มตัวเล็กจิ๋วร่วงไปกองอยู่บนพื้นข้างเตียง ก่อนที่มือข้างเดียวกันนั้นจะคว้าเข้าที่ส่วนอ่อนไหวเบื้องล่างของผมและเริ่มหยอกเย้าเค้นคลึง

“อ๊ะ.......พะ......พี่โรม..........”

เจ้าของชื่อกระตุกยิ้มมุมปากขณะเข้าครอบงำตัวตนของผมอย่างไม่ปราณี ความเสียวสะท้านจากกลางลำตัวแล่นไหลไปทั่วร่างประหนึ่งกระแสไฟฟ้า แข้งขาผมอ่อนเปลี้ยไร้แรงต้านจนพี่โรมสามารถล้วงควักไปทั่วได้ตามใจชอบ ยิ่งซาบซ่านมากเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเท่านั้น ผมพยายามหายใจทางปากแต่ทุกครั้งก็จะมีเสียงครางกระเส่าลอดออกมาด้วย

“.......อื้อ......พี่โรม......มะ......ไม่ไหวแล้ว........” 

ผมร้องบอกเสียงพร่า จังหวะการปรนเปรอที่กลางลำตัวเดี๋ยวก็หนักเดี๋ยวก็เบาคล้ายว่าจะยั่วให้ผมร้อนร่านเจียนคลั่ง แผ่นอกหยัดขึ้นสูง สะโพกส่ายวนไปมาอย่างลืมอาย ปากก็วอนขอร้องสั่งเมื่อแรงกระสันรุกหนักจนทนไม่ไหว 

“เร็วอีก.......อ๊ะ.......แรงๆ เลย.......”

“ถ้าแรงกว่านี้ ของมึงได้หลุดคามือกูออกมาแน่” 

พี่โรมล้อผม แต่ก็ใช่ว่าจะขัดใจไม่ทำให้ เขาเร่งจังหวะขึ้นอีก สาวรูดขึ้นลงถี่ยิบเสียจนแผ่นหลังผมแอ่นโค้งไม่ติดเตียงพลางหวีดเสียงครางราวกับจะขาดใจตาย ผมเห็นพี่โรมเลียฝีปากพลางกวาดสายตามองท่อนล่างเปลือยเปล่าของผม ตรงนั้นของเขาแข็งดันกางเกงบ็อกเซอร์จนโป่งนูน

“มึงแม่งโคตรเซ็กซี่เลย ทิชา.... น่ากินฉิบหาย”

ไม่พูดเปล่า พี่โรมหยอกล้อกับร่างกายผมเสมือนว่าเป็นของเล่นชิ้นโปรด เขาเลิกชายเสื้อยืดผมขึ้นจนสูงเหนืออก ในขณะที่ผมกำลังทรมานกับการถูกรังแกที่ช่วงล่าง ริมฝีปากร้อนก็เคลื่อนมาครอบครองเม็ดเชอร์รี่สีสวย เริ่มจากแตะทักทายด้วยปลายลิ้นและค่อยๆ ละเลียดดูดดึงมันเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขบเม้ม กัดแล้วปล่อย โลมเลียหนักหน่วงจนมันบวมเป่งคาปาก มืออีกข้างหนึ่งที่เหลือก็ช่วยบดขยี้อย่างกับตั้งใจจะฆ่าผมให้ตายด้วยความเสียวซ่านที่ได้รับ

สติผมเตลิดไปไกลเกินกว่าจะดึงให้กลับมา ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากสัมผัสวาบหวามที่พี่โรมมอบให้อย่างถึงใจ มือหนาเปียกลื่นด้วยน้ำคัดหลั่งที่เยิ้มย้อยจากปลายแกนกาย กอบกุมความเอาแต่ใจของผมรูดขึ้นลงเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย กลีบปากจูบพรมไปทั่วทุกส่วน ดูดซอกคอประทับรอยแสดงความเป็นเจ้าของ ตีตราว่าผมคือตุ๊กตาที่ขยับไปตามการชักนำของเขา

“อื้อ.......พี่โรม........อะ......อีกนิด.......พี่..........”

แกนกายของผมร้อนมากขึ้นทุกที มันแผลงฤทธิ์อยู่ในมือชายหนุ่มแล้วก็ถูกเขากำราบจนได้ ผมรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนบริเวณท้องน้อยที่จวนเจียนจะระเบิด ผมบิดเอวหวีดร้องลั่นก่อนจะปลดปล่อยวามปรารถนาออกมาจนหมดเปลือก

“อ๊า...............!!”

พี่โรมยังไม่หยุดมือแต่ชะลอจังหวะให้ผ่อนช้าลงในตอนที่ผมเหยียดขาแอ่นสะโพกเมื่อห้วงอารมณ์ไต่ไปถึงจุดสุดยอด ความซาบซ่านรัญจวนเล่นงานผมจนสมองขาวโพลน ผมดีดดิ้นเกร็งกระตุกไปทั้งร่าง ข้างในอกสั่นรัว ตรงส่วนนั้นยังคงไหวระริกหลั่งรดคราบรักที่พี่โรมเป็นคนเอาออกให้เปื้อนเต็มมือเขา.... เนื้อตัวผมแฉะชื้นเต็มไปด้วยรอยดูด รอยแต้มสีแดงตัดกับสีผิวขาวจัดเหมือนกุหลาบซึ่งถูกเด็ดกลีบโรยบนหิมะ และทันทีที่พี่โรมส่งปลายนิ้วที่เลอะคราบรักมาจ่อตรงหน้า ผมก็ไม่ลังเลที่จะเลียมันเพื่อตอบแทนและเอาใจเขาที่ทำให้ผมอิ่มเอม

ให้ตาย ผมไม่เคยเสร็จด้วยมือแล้วมีความสุขเท่านี้มากก่อนเลย....

“มองกูตาเยิ้มเชียว.... พร้อมจะโดนกินจริงๆ หรือยัง?”

ผมยังหอบแฮ่กอยู่เลย แต่มองจากสายตาพี่โรม เขาคงเห็นผมเป็นเหยื่อที่อ่อนแรงหมดทางหนีและพร้อมให้เขาขย้ำเต็มแก่.... ร่างสูงไม่ถอดเสื้อผมออกแต่ทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้น เขาบอกว่าสภาพหมิ่นเหม่กึ่งเปลือยกับเสื้อหลวมๆ โชว์กระดูกไหปลาร้าแบบนี้ทำให้ผมดูเซ็กซี่น่าเอามากขึ้นไปอีก

“ถ้ากูใจบาปกว่านี้อีกนิดเดียว อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ มึงไม่ได้ไปเรียนแน่”

“ถ้าพี่จะโดด เดี๋ยวชาโดดเป็นเพื่อนเอามั้ย?”

ผมรู้ว่าเขาแค่พูดเล่น แต่ถ้าเอาจริง ผมก็พร้อมนะ

“ไม่เคยขี้เกียจเรียนขนาดนี้มาก่อนเลยจนกระทั่งมาเจอพี่โรมเนี่ย..........”

“อย่าเลย กูว่าแค่สักสามรอบ มึงก็ต้องร้องขอชีวิตแล้ว”

ไม่ทันขาดคำ มือใหญ่ก็จับขาทั้งสองข้างของผมแยกออกจากกันก่อนจะพาดข้างหนึ่งไว้บนไหล่กว้าง เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โน้มตัวลงจูบไล้หน้าท้องผม ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดลงมาทำเอาขนลุกเกรียวทั้งตัว เตรียมจะต้องหาที่ยึดเกาะเมื่อห้วงอารมณ์ซึ่งเพิ่งคลายความเขม็งเกลียวลงกลับปะทุขึ้นอีกหน.... ที่ว่าผมต้องร้องขอชีวิตนั่นก็ดูท่าจะจริง เมื่ออยู่ๆ โพรงปากนุ่มก็ครอบครองส่วนอ่อนไหวซึ่งชูชันราวกับก้านดอกไม้ยามเช้า รูดขึ้นลงสลับกับดูดเลียหนักหน่วงจนผมต้องแอ่นกายขึ้นและส่งเสียงครางอย่างสุดที่จะอดกลั้น

“อ๊ะ......พะ......พีโรม..............อ๊า...............”

การเป็นฝ่ายถูกเอาใจมันดีแบบนี้ ผมเองก็เพิ่งรู้....

เหมือนว่าผมถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง ประสาทส่วนการรับรู้มีเพียงพี่โรมคนเดียวเท่านั้นที่แทรกผ่านเข้ามาได้ ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้เมื่อความกระสันซ่านพุ่งทะยานไปทั่วร่างหากเสียงครางก็ยังหลุดรอดออกมาไม่ขาดระยะ.... ภาพที่ผมเห็นในเวลานี้ก็คือศีรษะที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงกลางหว่างเขายิ่งเร้าอารมณ์ เรียวขาผมทั้งสั่นและเกร็งอยู่บนบ่าของพี่โรม

“ชอบเหรอ?”  เขาถามผมพลางเอื้อมมือมาดึงมือที่ปิดปากไว้ออก “ถ้าชอบก็ร้องออกมาเลย ห้องนี้เก็บเสียง ไม่มีใครได้ยินหรอก นอกจากกู”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วยาวลากเลื้อยไปถึงช่องทางด้านหลัง ส่งผลให้ผมต้องบิดเอวร้องครางด้วยความทรมาน มือข้างหนึ่งจิกผ้าปูเตียงจนยับย่น อีกข้างหนึ่งคว้าไหล่หนาแล้วบีบแน่นเพราะอาการเจ็บปลาบเสียวสะท้านที่จู่โจมเฉียบพลัน.... จากจำนวนที่พี่โรมใส่เข้าไป ผมคิดว่าน่าจะสักสามนิ้วได้ เขาชักมันเข้าออกไม่ยั้ง จุดไวสัมผัสภายในถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง บังคับให้ผมต้องยกสะโพกตอบรับพร้อมทั้งส่งเสียงกระเส่าขอร้องก่อนที่จะขาดใจตายไปจริงๆ

“......อื้อ.....พี่จ๋า.......น้องไม่ไหวแล้ว.......อ๊ะ.........ฮึก........” 

ในตอนนี้ผมไม่นึกถึงอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่ตรงนั้นของพี่โรม.... ผมต้องการมัน ต้องการความร้อนแรงที่จะฝังเข้ามาในตัวผมอย่างหิวกระหาย

 “.......ไม่เอานิ้วแล้ว......เอาไอ้นั่นของพี่......อื้อ.......รีบใส่เข้ามาเถอะ......”

พี่โรมไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อ เขาจุดยิ้มมุมปากที่ดูยังไงก็หล่อแบดเร้าใจเหลือเกินก่อนจะหยัดกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อดึงกางเกงบ็อกเซอร์ลง เจ้าเสือร้ายของเขาพองตัวโตผงาดเต็มลำราวกับจะขู่ให้ผมกลัว.... ผมหลับตาลงเฝ้าคอยช่วงเวลาที่ตัวเองจะถูกขย้ำกลืนกิน แต่เสียงพลาสติกกรอบแกรบน่ารำคาญก็เบรคอารมณ์ให้ผมลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังใช้ปากฉีกซองถุงยางอนามัย

“ไม่ต้องใช้ถุงหรอก.........” ผมเร่งด้วยน้ำเสียงและสายตางอแงเต็มที่ เมื่อร่างสูงทำท่าเหมือนจะไม่ให้ผมได้ในแบบที่อยากได้  “เข้ามาทั้งอย่างนี้เลย เร็วๆ”

“จะให้กูสดหรือไง?” 

พี่โรมเลิกคิ้วถามเป็นเชิงว่าแน่ใจแล้วเหรอ ผมรู้ว่าเขาเองก็อยากสดเหมือนกันนั่นแหละแต่ที่ยอมใส่ถุงก็เพราะกลัวเลอะข้างในแล้วผมจะไม่สบายตัว

“ใส่ถุงแล้วมันหนืด.... ชาอยากได้ของพี่โรมแบบเต็มๆ มากกว่า”

“ฟังพูดเข้า มึงจะน่ารักไปไหนวะ”

พี่โรมก้มลงมาจูบหลังจากได้ยินผมอ้อน เป็นอันว่าเขายอมตามใจผมแบบไม่อิดออด แต่ขอให้ได้แกล้งแหย่สักหน่อยก่อนที่เราจะมีความสุขโดยที่ทุกส่วนในร่างกายแนบชิดกันอย่างถึงใจ 

“ชอบให้กูปล่อยใน ถ้ามึงเกิดท้องขึ้นมาแล้วจะทำไง กูไม่มียาคุมฉุกเฉินให้มึงนะ?”

“บ้า.... ก็เห็นอยู่ว่ามีไอ้นี่ จะท้องได้ไง........” 

ผมจับมือพี่โรมให้แตะลงบนแกนกายซึ่งยังคงบวมแดงร้อนร่านไม่หาย เขายิ้มแล้วก็จูบผมอีก กลีบปากล่างโดนดูดดึงจนผมแทบอยากบอกอีกฝ่ายให้รีบๆ กินผมจริงๆ สักที

“มึงน่ารักขนาดนี้ กูก็อยากเอาไปเรื่อยๆ จนกว่ามึงจะท้องได้น่ะสิ”

พี่โรมโยนซองถุงยางไปไหนไม่รู้ เขาขยับตัวให้อยู่ในตำแหน่งที่ใช่ก่อนจะสอดท่อนเนื้อกำยำเข้าไปในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมด้วยนิ้วทั้งสามของเขาเอง ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นขึ้นจากปลายเท้าผ่านกระดูกสันหลังจี๊ดไปถึงสมอง ผมผวาเฮือกพลางคว้าหลังคอร่างสูงเอาไว้มั่น แอ่นบั้นท้ายรับการรุกรานเข้ามาในรวดเดียวอย่างเต็มอกเต็มใจ

ชายหนุ่มโถมแรงใส่ผมอย่างกับจะเอาให้เตียงพัง ผมได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางสลับกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงหลังใหญ่.... ขนาดที่รุกล้ำเข้ามาก็ไม่ได้เล็กเลย มันฟิตเต็มตึงอยู่ภายในตัวผมจนเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะระเบิดออกมา ส่วนหัวสอดลึกเข้าไปกว่าที่ผู้ชายคนก่อนๆ เคยได้แตะถึง และยิ่งเมื่อพี่โรมกระทั้นเข้ามาซ้ำๆ บดขยี้โดนจุดเสียวด้านในถี่ยิบ ผมก็ปล่อยเสียงครวญครางอยู่ใต้ร่างเขาราวกับว่าพร้อมจะขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดได้ทุกเวลา

“.....อ๊ะ.......อ๊า.........พะ.......พี่โรม........ได้โปรด.......อ๊ะ..........”

“อืม.......ทนหน่อย......อย่าเพิ่งเสร็จ........”

ตอนที่ผมเกร็งต้นขาทำท่าคล้ายจะแอ่นตัวขึ้นรับจุดสุดยอด พี่โรมจับแกนกายเล็กของผมไว้ บีบตรงโคนเบาๆ ไม่ยอมให้มันกระตุกปล่อยน้ำรักออกมา

“ถ้ามึงเสียวก็จิกหลังกูไว้.......จะได้เสร็จพร้อมกัน...........”

“........พี่โรม........อ๊ะ.....อึก.......นะ......น้อง......ไม่ไหวจริงๆ......” 

ผมหอบครางก่อนจะจิกปลายนิ้วลงกับแผ่นหลังกว้างตามที่พี่โรมสั่ง แต่มันก็ไม่ไหวแล้วในเมื่อบั้นเอวหนายังคงนำพาท่อนเนื้ออวบอัดเข้ามารังแกผมไม่หยุดหย่อน มันทั้งหนักหน่วงและร้อนแรงกว่าที่เคยได้รับจากใคร พอผมฝืนขมิบตอดรัดหน่วงจังหวะให้ช้าลง พี่โรมก็ยิ่งสอดใส่ดุดันขึ้นจนผมสู้ไม่ไหว พ่ายแพ้ให้เขาทุกประตูแบบนี้ 

“ให้น้องเสร็จเถอะนะ......อื้อ.......อ๊ะ..........แล้วพี่จ๋าจะทำต่ออีกหลายๆ รอบเลยก็ได้..........”

“มึงยั่วเก่งฉิบหายเลย ทิชา.... แค่ฟังเสียงมึงอ้อน กูก็จะเสร็จตามอยู่แล้ว”

มือหนาจับต้นขาผมแยกออกว้างและยกสูงขึ้นอีก สายตาที่จ้องมองมาไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ที่หลอมละลายน้ำแข็งในหัวใจของผมให้หายไป.... พี่โรมคือคนในแบบที่ผมเฝ้าฝันถึงมาตลอดชีวิต เขาทั้งอบอุ่น ร้อนแรง และมีกลิ่นของความเซ็กซี่อย่างเหลือเฟือที่จะทำให้ผมหลงรักไปได้ตลอดชีวิต

“อ๊า.....อ๊ะ.........พะ.....พี่จ๋า.....ฮึก...........!!”

“.......อืม.......ทิชา.........รัดกูอีก......แน่นๆ เลย........”

ผมครางจนเสียงหลงไม่คิดจะอดกลั้นเอาไว้อีกแล้วเมื่อพี่โรมเร่งจังหวะให้ถี่กระชั้นมากขึ้น เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามไรผมสีเข้มผสานกับเสียงคำรามในลำคอบ่งบอกว่าเขาเองก็ใกล้จะถึงปลายทางเต็มทีเช่นกัน แรงกระแทกจากช่องทางด้านหลังสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายและจิตใจ ผมทั้งเสียวซ่านและสุขสมที่ถูกพี่โรมกอด ส่วนกลางลำตัวของผมเหมือนมีคลื่นใต้น้ำไหลวนอยู่ภายใน มันร้อนผ่าวประหนึ่งลาวาและจวนจะปะทุออกมาอยู่รอมร่อ

“อ๊า.............”

ผมเกาะไหล่พี่โรมเอาไว้แน่น ฉันพลันร่างผมก็กระตุกอย่างแรง รู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง อาการเสียวข้างในท้องน้อยพุ่งทะยานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกสิ่งเบื้องหน้าจะสว่างจ้าระยิบระยับยิ่งกว่ากลุ่มดาวในคืนเดือนมืด น้ำขุ่นขาวกลั่นตัวออกมาจากปลายแกนกายบวมเป่ง ผมพ่ายแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงปล่อยทุกส่วนของร่างกายให้ร่วงหล่นลงบนเตียงกว้าง พี่โรมยังคงขยับโยกอยู่ข้างบนอีกหลายครั้งกว่าที่เขาจะปล่อยของเหลวอุ่นๆ ทะลักเข้ามาในตัวผม ความรู้สึกซาบซ่านทำเอาแขนขาคล้ายเป็นอัมพาต มาขยับได้อีกครั้งก็ตอนที่ร่างสูงถอนแก่นกายร้อนออกไป

เขาปล่อยตัวลงมาทาบทับ ใบหน้าหล่อซุกลงตรงซอกคอผมแล้วดูดผิวเนื้อขาวชื้นเหงื่อจนมันขึ้นเป็นรอยแดงอีกรอย ผมครางอืออย่างเคลิบเคลิ้มพลางสอดมือเข้ากับกลุ่มผมหนาของพี่โรม.... ก็จริงอย่างที่พี่โรมเตือน แค่หนเดียวก็เล่นเอาผมเปลี้ยจนอยากโดดเรียนนอนพักเอาแรงแล้ว ถ้ามีต่อรอบสองรอบสามอีกล่ะก็ เห็นทีว่าแขนขาผมคงได้มีหลุดกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ แน่

“เป็นเมียกูน่ะ งานหนักนะ.... ไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม?”

“อืม..........”

อย่าถามเลยนะว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงตอบหรือเสียงคราง ทันทีที่พี่โรมเปลี่ยนที่ลงมานอนอยู่ด้านข้าง ผมก็เบียดตัวเข้าไปในอ้อมอกกว้างของเขาพลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขที่สุด.... พี่โรมเอื้อมมือมาลูบแก้มผม เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าออกให้แล้วเราก็สบตากัน กลีบปากหยักกดจูบหนักๆ ที่กลางหน้าผากก่อนที่เราจะนอนอิงแอบกันแบบนั้นอยู่อีกพักใหญ่จนกว่าจะถึงเวลาต้องลุกไปอาบน้ำ

ส่วนคำถามเมื่อกี้ ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดหรอกนะว่าเต็มใจแค่ไหน....



ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.



.

ผมยกชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาวางบนโต๊ะกินข้าวขนาดกะทัดรัด กลิ่นหอมฉุยจากน้ำมันและผงเครื่องปรุงเรียกน้ำย่อยให้ทำงานได้ชะงัดนักหลังจากที่เราทั้งคู่เพิ่งออกกำลังกายยามเช้ากันแบบไม่ยั้ง ขึ้นชื่อว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกันตาย รสชาติมันก็โอเคอยู่หรอก แต่มันจะดีว่านี้อีกหลายเท่าเลยถ้าหากจะมีแฮม ไส้กรอก ไข่หรือผักให้ใส่ลงไปบ้าง

ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดกันว่าอยู่แบบผู้ชายๆ มันเป็นแบบไหน เวลาผมอยู่บ้านก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะมีอะไรผิดแปลกไปจากชาวบ้านชาวช่อง เพิ่งมารู้ก็ตอนที่เห็นห้องพี่โรมนี่แหละ.... มันก็ไม่ถึงกับสกปรกหรอกนะเพราะพี่โรมจ้างแม่บ้านจากส่วนกลางคอนโดฯ ให้เข้ามาทำความสะอาดสัปดาห์ละสองครั้ง พวกพื้นและข้าวของเครื่องใช้ก็เลยค่อนข้างสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะ จะมีก็แต่พวกเสื้อผ้าที่คุณชายถอดแล้วก็โยนเรี่ยราด หนังสือฟุตบอลกับแผ่นบลูเรย์วางเกลื่อนอยู่บนโซฟา แล้วก็ตู้เย็นโล่งโจ้งแทบไม่มีของกินอยู่เลยนอกจากน้ำเปล่ากับเบียร์กระป๋องห้าแพ็ค

ถึงเจ้าของห้องจะยังไม่อนุญาตก็เถอะ แต่ต่อมเจ้าระเบียบของผมก็เริ่มวางแผนเอาไว้ในหัวเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดการยังไงกับสภาพรกรุงรังตรงหน้า....

“ทำไมพี่โรมไม่ซื้อของกินติดตู้เย็นเอาไว้บ้างเลย ข้าวสารก็ไม่มี เห็นมีแต่เบียร์กับอะไรก็ไม่รู้เนี่ย........”

“ปกติกูโทรสั่งร้านข้าวข้างล่างให้ขึ้นมาส่ง หรือถ้าดึกหน่อยก็ออกไปเซเว่น”

“อยู่ตัวคนเดียวก็ลำบากแย่เลยเนอะ......” 

ผมไม่เชิงบ่น พยายามทำความเข้าใจอยู่ว่าอีกฝ่ายคงเคยชินกับชีวิตง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากตามประสาหนุ่มโสด แต่ถ้าพี่โรมเป็นแฟนผมแล้ว ผมก็แค่อยากให้เขากินดีอยู่ดีขึ้นอีกหน่อย 

“เอาไว้ชาจะซื้อของสดมาทิ้งไว้นะ จะได้ทำกับข้าวกินเองได้”

“กูไม่ทำกับข้าว เจียวไข่เองยังไหม้เลย”

“ก็เดี๋ยวชาทำให้ไง”

“ทำเป็นเหรอ?”  พี่โรมเงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่ หน่วยตาคมหรี่ลงมองหน้าผมคล้ายจะถามว่าล้อเล่นหรือเปล่า

“แม่ปล่อยให้ชาอยู่บ้านคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก แค่ทำกับข้าวกินเองนี่สบายมาก พี่โรมอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็รีเควสต์มาได้เลย”

“งั้นกูยกครัวให้มึงเลยก็แล้วกัน”

คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ไม่ยาก ถึงจะเป็นแค่มุมเคาท์เตอร์ครัวเล็กๆ ในคอนโดขนาดสามสิบกว่าตารางเมตร.... แน่นอนว่าผมดีใจมากเชียวล่ะ มันก็เหมือนกับว่าพี่โรมยินดีจะให้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าถ้าขอมากกว่านั้นแล้วเจ้าตัวจะว่ายังไง

“พี่โรม..........”

“หืม?”

“อาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ชาขอมาอาศัยอยู่กับพี่สักพักนึงได้มั้ย”

ผมเอ่ยปากออกไปตามตรง ถึงพี่โรมจะดูค่อนข้างตามใจและเราสองคนก็เข้ากันได้ดีพอสมควร แต่ถ้าหากถึงขั้นขอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ผมว่าใครหน้าไหนก็คงไม่มีทางยอมง่ายๆ 

“ไม่ถึงกับมาค้างที่นี่ทุกวันหรอก แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านน่ะ.......ชาไม่อยากเจอแม่...........”

ประโยคหลังนั่นแหละที่เป็นเหตุผลหลักของบทสนทนา พี่โรมเองก็เงียบไปครู่ใหญ่จนผมชักหวั่นใจว่าไม่น่าจะรอด ก็อย่างว่าแหละ เราเพิ่งจะคุยกันดีๆ ได้ไม่กี่ครั้งและเพิ่งมีอะไรกันแค่สองหน มันคงยังไม่มากพอที่จะช่วยให้เขารู้สึกสนิทใจพอที่จะยอมรับผมได้มากเท่าที่คาดหวัง

“ถ้ามึงมาอยู่นี่แล้วแม่จะไม่เป็นห่วงเหรอ? เขาจะหาว่ากูลักพาตัวมึงหรือเปล่า?”

“ไม่หรอก..........” 

ผมส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าจะอยากเล่นบทดราม่าเรียกร้องความสงสาร ผมรู้ดีว่าความอ่อนไหวของตัวเองมันน่ารำคาญมากแค่ไหน แต่พอผมนึกถึงเรื่องที่พ่อกับแม่คุยกันเมื่อวาน เรื่องที่พ่อไม่ต้องการผม เรื่องที่แม่ไล่ผมให้ไปตาย ผมก็ดูคล้ายว่าจะกลายเป็นเด็กขี้แยเจ้าน้ำตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งถ้าพี่โรมไม่ตอบตกลง ผมว่าผมคงได้ร้องไห้ต่อหน้าเขาอีกแหง

“ตัวกูเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ไม่อยากให้มึงทะเลาะกับแม่นานๆ ยังไงมึงก็เป็นลูก อุตส่าห์เลี้ยงมาจนโตป่านนี้แล้ว โกรธกันให้ตายยังไง ถ้ามึงหายไป เขาก็ต้องเป็นห่วงอยู่ดี” 

พี่โรมยิ้มให้ก่อนจะเอื้อมมือมาตีแก้มผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าเลิกทำหน้าเครียดแล้วรีบๆ กินบะหมี่ซะก่อนที่มันจะอืด ไม่รู้ว่าจะด้วยความสงสารเห็นใจหรืออะไรก็ช่าง หากว่ามันช่วยให้พี่โรมไม่ปฏิเสธคำขอจากผม ก็ไม่เห็นว่ามันจะเลวร้ายตรงไหน 

“เดี๋ยวกูให้คีย์การ์ดเข้าตึกกับกุญแจสำรองไว้ก็แล้วกัน มาอยู่กับกูก็ยังดีกว่าเตลิดไปอยู่ที่อื่นล่ะวะ”

“ขอบคุณนะ”  ผมยืดตัวข้ามโต๊ะไปหอมแก้มพี่โรมเป็นการตอบแทน ดูท่าทางเขาชอบเวลาที่ผมอ้อนมากทีเดียว  “แล้วพี่โรมแพ้ขนแมวหรือเปล่า? ชาพามิลค์มาอยู่นี่ด้วยได้ไหม?”

“มิลค์??”  ร่างสูงทำหน้านึกอยู่พักหนึ่ง  “อ้อ.... แมวตัวขาวๆ นั่น”

“ปกติชาไม่เคยทิ้งมิลค์ให้อยู่ตัวเดียวข้ามคืนเลย แต่อาทิตย์นี้ออกมาค้างข้างนอกสองหนแล้วเนี่ย.... เดี๋ยวมันโกรธ”

พี่โรมไม่ได้ว่าอะไร มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอที่บ่งบอกว่าเขาโอเคก่อนจะเอ่ยถามติดตลก 

“สรุปว่ากูต้องเลี้ยงทั้งแม่แมวลูกแมวเลยสินะ?”

“ก็เพราะพี่โรมเป็นแด๊ดดี้ไง”

ผมลงมือจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันด้วยหัวใจที่พองโต ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองสามารถยิ้มกว้างอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้.... เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังจมอยู่กับความสิ้นหวังและคิดว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าเศษขยะที่หายใจได้อยู่เลย แต่นี่เหมือนกับว่ามีใครบางคนช่วยดึงผมขึ้นมาก่อนที่จะจมน้ำตาย มันเป็นความซาบซึ้งและชื่นชมบูชาอย่างที่สุดของที่สุด และพี่โรมก็คงเป็นคนๆ เดียวบนโลกนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้


เราตกลงกันว่าพี่โรมจะพาผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเอากระเป๋าที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน.... บอกตามตรงว่าผมยังแอบหวั่นใจอยู่นิดหน่อยแต่ไม่กล้าพอที่จะถามออกไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผมยังไม่ได้เช็คไอจีเลยตั้งแต่เมื่อวานจึงไม่รู้ว่าบีบี๋โพสต์อะไรเกี่ยวกับที่เราทะเลาะกันเมื่อวานบ้างหรือเปล่า ผมได้ยินแค่จากพี่โรมเพียงฝ่ายเดียวว่าเขาไม่ต้องการจะคุยกับไอ้บี๋อีกแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนมากพอที่จะทำให้หายกังวล

ถ้าพี่โรมจบแต่ไอ้บี๋ไม่ยอมจบ แล้วผมจะทำยังไงต่อ....?

แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าการที่ตัวเองห้อยเกียร์เอาไว้มันจะช่วยอะไรในโลกแห่งความเป็นจริงนอกเบอร์ลิคหรือเปล่า แต่ในเมื่อพี่โรมสัญญาแล้วว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน ผมก็ไม่ควรจะต้องกลัวใช่ไหม?


พี่โรมกดปุ่มเรียกลิฟท์ระหว่างที่หัวสมองของผมจมจ่อมอยู่กับเรื่องของอดีตเพื่อนสนิท มือใหญ่ที่กุมมือของผมเอาไว้ช่างอบอุ่มจนผมไม่อยากจะปล่อยให้เขาจากไปเลยแม้สักเพียงเสี้ยววินาที.... ผมทนไม่ได้หรอกนะถ้าหากพี่โรมจะกลับไปคุยกับไอ้บี๋ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ถึงใครจะชี้หน้าด่าว่าผมมันขี้แย่งของๆ ชาวบ้าน แต่ผมรักพี่โรมแล้วและผมก็หวงเขามากด้วย

“ไงวะ แดน.......” 

เสียงเอ่ยทักทายกับชื่อที่แสนคุ้นหูเรียกให้ผมออกจากภวังค์ เมื่อหันไปมองก็เห็นใครคนหนึ่งในชุดนิสิตชายเดินมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่งเพื่อรอลงลิฟท์เหมือนกัน 

“หมู่นี้ไม่ค่อยเจอกันเลยนะ สบายดีใช่มั้ยมึง?”

“ก็เรื่อยๆ แหละเฮีย” 

บุคคลที่สามตอบกลับญาติผู้พี่ ทว่า สายตากลับจ้องมองมายังผมซึ่งยืนอยู่ข้างพี่โรมเหมือนมีคำถามอยู่ในใจเป็นล้าน แต่ท้ายที่สุดก็พูดออกมาได้แค่ประโยคเดียว 

“แล้วนั่น........ทิชามาอยู่นี่ได้ไง?”

“ทิชามาค้างกับกูเมื่อคืนน่ะ”

“ค้าง?”

น้ำเสียงไอ้แดนฟังดูประหลาดใจมากในคราวแรก เช่นเดียวกับสีหน้าของมันซึ่งแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากเชื่อ แต่แค่ชั่วแวบเดียวที่ผมสังเกตเห็นมันทำท่าคล้ายว่าผิดหวังก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าเออออไปกับพี่ชายอย่างรวดเร็ว



TO BE CONTINUE



+++++



TALK




สวัสดีปีใหม่ 2018 ค่ะ ^___^

คิดถึงน้องทิชากันมั้ยเอ่ยยยยย อัพเดทแรกของปีใหม่ เราให้พักดราม่าตอนนึงแล้วไปอุฮิๆๆๆกับฉากฮอตๆ ของพี่โรมกับน้องทิชาเนอะ ส่วนฉากดราม่าเราค่อยมาว่ากันในวาระต่อไป

ขอให้ทุกท่านโชคดี ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดก็ได้สมปรารถนาทุกอย่างนะคะ แล้วอย่าลืมติดตามผลงานของเก๊าด้วยน้าาาาาา /ไหว้รอบทิศ

นิยายเรามีแท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ถ้าอยากคอมเมนท์หรือคุยกันก็เข้าไปทวิตติดแท็กไว้ได้จ้า

พบกันใหม่อัพเดทหน้าค่ะ



ALICE

ออฟไลน์ Namwhankn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่มีใครดูน่าไว้ใจสักคน พระเอกก็ยังดูโลเลอ่ะ ไม่รู้สิ สำหรับเราแค่นี้ยังไม่พอให้เชื่อใจเลย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะไว้ใจใครได้บ้างเนี่ย

ออฟไลน์ JanLec

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แค่คิดว่าบี๋คิดอย่างงี้ตลอดที่เป็นเพื่อนกัน ก็รู้สึกแย่มากๆคะ ในใจมีแต่ความริษยาอยู่ตลอดเนี้ยนะ
ไม่อยากจะบอกว่า คิดว่าบี๋นี่แหละตัวปัญหาหลักๆของทิชา ตั้งแต่อ่านตอนแรกๆเลย คิดว่าต้องเป็นตัวละครที่มีอะไรในใจชัว ละก็เดาไม่ผิดเลวจริงๆ เข้าใจว่าไรต์อยากจะสื่อว่าระหว่างนั้นมิตรภาพมันมีจริงๆนะ  แต่พอมาพาทของบี๋แล้ว เฮ้อมมม คิดแต่เรื่องเอาชนะทิชาอยู่ตลอดเนี้ยนะ ไม่เคยหวังดีเลยคอนแต่จะรอซ้ำเติม จะเอาแต่สิ่งดีๆเข้าตัว ละโยนขี้ให้เพื่อน
บอกเลยเกียจ ขยะแขยงเพื่อนแบบนี่ที่สุด
ปูมาแบบนี้แล้ว ชาหน้าสงสารขนาดนี้แล้ว ก็ขอให้ตอนจบสาสมนะคะ ไม่เอาครึ่งๆกลางๆเพราะความใจอ่อน เราเกียดตัวละครตัวนี้มากบอกเลย ( เราเสียน้ำตาไปเยอะนะขอเถอะ)

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
สัญญาณไฟหน้าลิฟท์โดยสารกระพริบขึ้น พี่โรมจูงมือผมเข้าไปยังด้านในตามติดมาด้วยเดือนสถาปัตย์ ทันทีที่ประตูเหล็กเลื่อนปิดและลวดสลิงกำลังค่อยๆ หย่อนเราจากชั้นยี่สิบสามลงสู่พื้นดิน บรรยากาศความสดชื่นระหว่างผมกับพี่โรมหายวับไปเมื่อมีนายดรัณภพโผล่มาเป็นก้างขวางคอ.... ผมเกลียดแววตาเจ้าเล่ห์ที่ดูเหมือนจะรู้เท่าทันความคิดผมไปเสียทุกอย่าง ผมยังจำคำพูดของไอ้แดนในตอนที่มันบุกไปถึงบ้านได้แม่น มันหาว่าผมแพ้แล้วพาล เป็นลูซเซอร์แล้วก็ขี้มโนขั้นสุดที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะแย่งพี่โรมมาจากบีบี๋ มันเตือนแล้วว่าถ้าผมไม่ยอมหยุดก็ให้เตรียมตัวถูกด่าว่าเป็นมือที่สามหรือเมียน้อยได้เลย

ถึงตอนนี้พี่โรมจะอยู่ข้างผม เรียกผมว่าเมียเต็มปากเต็มคำ ทว่า ความรู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนได้ยินเสียงไอ้แดนกระซิบด่าอยู่ตลอดเวลาว่าผมทำอะไรโคตรสิ้นคิดกลับชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ

“ว่าแต่พวกมึงรู้จักกันด้วยเหรอ.... อยู่คนละคณะนี่?” 

อยู่ดีๆ พี่โรมก็โพล่งถามขึ้นทำลายความเงียบ ทำเอาผมตอบไม่ถูกเลยทีเดียว จะให้บอกว่าเพิ่งมาคุยกันตอนบอกข้อมูลชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคก็คงไม่ใช่

“ถาปัดกับสินกำอินทีเรียมีวิชาที่ต้องเรียนรวมก็เลยรู้จักกันน่ะ” ไอ้แดนตอบ แต่แทนที่จะมองญาติผู้พี่ตัวเองก็กลับมาจ้องหน้าผมอยู่ได้  “แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอกเนอะ ทิชาเนอะ”

ผมไม่ตอบ ก็แค่อมยิ้มเจื่อนกลับไป ในใจก็สาปแช่งไอ้แดนนรกขุมที่สิบแปดไปด้วยจนกระทั่งลงมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน อยากจะเดินแยกไปขึ้นรถใจจะขาด จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าแป้นแล้นกวนประสาทไม่เข้ากับสถานการณ์ของใครบางคน พี่โรมก็เกิดจะมาอยากสามัคคีในหมู่เครือญาติอะไรกันตอนนี้

“ช่วงนี้ทิชามันอาจจะมาห้องกูบ่อยๆ ยังไงพวกมึงคุยๆ กันเอาไว้บ้างก็ดี เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

คนข้างกายผมภูมิใจนำเสนอ ในขณะที่ไอ้แดนทำเป็นห่อปากร้องอู้หูล้อเลียนผม แต่ก็นั่นแหละ พี่โรมก็ยังคงเป็นพี่โรม ความรู้สึกโคตรช้าและซื่อบื้อในเรื่องที่ไม่ควรซื้อบื้อจนผมต้องแอบถอนหายใจด้วยความเซ็งสุดขีด 

“แดนมันเป็นลูกพี่ลูกน้องกู โดนพ่อแม่ถีบออกจากสุราษฎร์ขึ้นมาเรียนกรุงเทพเหมือนกัน คอนโดฯ นี่ก็พ่อกูกับพ่อมันก็ซื้อพร้อมกัน เผื่อวันไหนกูไม่อยู่ห้องแล้วเกิดมีอะไรติดขัดก็ไปหามันได้ มันอยู่ห้องสุดมุมอีกฝั่งเลย”

“แล้วผมต้องคุยกับทิชาในฐานะอะไรเนี่ย? ใช่พี่สะใภ้หรือเปล่า?”

“เออน่า.........”

ถ้าเป็นคนอื่นมาพูด ผมก็คงเขินไปตามประสาคนกำลังมีความรัก แต่พอเป็นไอ้แดนพูด ผมกลับหน้าตึงเปรี๊ยะเพราะรู้ดีว่ามันกำลังแซะมากกว่าจะแซ็ว

“พี่โรม เรารีบไปกันเถอะ.... สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว” 

ผมดึงแขนเสื้อพี่โรม แกล้งทำเป็นกดโทรศัพท์ดูนาฬิกาเนียนๆ ส่วนหนึ่งก็กลัวว่าจะสายจริง อีกส่วนหนึ่งก็อย่างที่เห็น ผมกลัวว่าตัวเองจะหลุดกระโดดถีบไอ้แดนต่อหน้าญาติผู้พี่มัน

“งั้นกูกับทิชาไปก่อนนะ”

พี่โรมโอบไหล่ผมแล้วพาเดินไปยังล็อกที่จอดรถประจำ แน่นอนว่าไอ้แดนก็ต้องเดินมาที่รถของมันซึ่งอยู่ถัดไปสาม-สี่ล็อก แม้จะไม่หันไปมองแต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาจากด้านหลัง และก่อนที่ผมจะยัดตัวเข้าไปในรถออดี้สีน้ำเงินเข้ม เสียงเรียกที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินนักก็ดังขึ้น

“ทิชา........”

“อะไร?”

“ที่นัดกันวันเสาร์ มึงอย่าลืมนะ”

“รู้แล้ว กูพูดคำไหนคำนั้นน่ะ”

ผมตอบโดยที่ไม่มองหน้าไอ้แดนเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่ามันขับรถออกไปตอนไหนอะไรยังไง รู้แค่ว่าพอประตูรถปิดลง พี่โรมก็เอี้ยวตัวมาคาดสายเบลท์ให้พร้อมกับขโมยหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่.... ใช่เลย มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเกินคาดที่ได้เห็นว่าพี่โรมเองก็เห่อผมพอๆ กับที่ผมเห่อเขา

อ้อ รถคัมรี่สีบรอนซ์เงินที่เพิ่งแล่นผ่านหน้าเราไปมีไอ้แดนเป็นคนขับ มันคงเห็นที่พี่โรมหอมแก้มผมเมื่อกี้แล้ว แต่ก็ช่างเหอะ มันเป็นคนช่วยส่งผมมาอยู่จุดนี้แลกกับเรื่องแคสละครเอง จะด่าอะไรผมก็เข้าตัวหมดแหละ

“มึงเรียนคลาสรวมกับแดนนี่กูไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร แต่ไม่คิดว่าจะรู้จักกันถึงขนาดมีนัดนอกรอบกันวันหยุดนะ”

กะแล้วเชียวว่าพี่โรมต้องสงสัย พาลให้ผมอยากจะวิ่งไปเคาะกระจกรถไอ้เดือนสถาปัตย์จอมปากสว่างแล้วด่ามันให้สาแก่ใจ

“ก่อนหน้านี้แดนมาชวนไปแคสละครด้วยกัน ชาก็รับปากมันไปแล้ว”

“มึงนี่มีอะไรให้กูเซอร์ไพรส์เรื่อยเลยนะ ทิชา”  พี่โรมหัวเราะนิดๆ  “ตอนแรกกูนึกว่ามึงจะเรียบร้อยแต่พอเอาเข้าจริงก็โคตรดื้อเงียบ นี่กูนึกว่ามึงเกลียดการเข้าสังคมก็ดันจะไปเป็นดาราซะงั้น”

ไม่ใช่แค่เกลียดการเข้าสังคมหรือเป็นโรคขี้ระแวงคนแปลกหน้าชนิดแก้ยังไงก็ไม่หาย ขนาดเซลฟี่ยังนานๆ จะมีอารมณ์ถ่ายสักครั้งเลย

“ก็ตอนนั้นชาเบื่อๆ ไง.... พี่โรมก็ไม่รัก ชีวิตบัดซบจนไม่ค่อยมีสติน่ะ”

“แล้วตอนนี้มึงยังคิดจะไปอยู่เหรอ?”

“ชาสัญญากับแดนไว้แล้ว........” 

ใจจริงผมก็อยากเทงานออดิชั่นแทบตาย ยังไม่รู้เลยด้วยว่าตัวเองจะทำใจยืนฉีกยิ้มตอแหลต่อหน้าคนเป็นสิบได้ยังไง แต่ลางสังหรณ์ส่วนตัวก็บอกแรงมากว่าถ้าหากผมกล้าเบี้ยวไอ้แดน มันต้องไม่เอาผมไว้แน่ ที่สำคัญก็คือผมไม่อยากให้มันพูดเรื่องข้อตกลงของเราให้ใครรู้ โดยเฉพาะพี่โรม 

“ก็แค่ไปแคสนิดเดียว.... พี่คิดว่าอย่างชาจะเป็นดารากับใครเขาได้เหรอ หน้าไม่รับแขกแบบนี้ ไม่มีผู้จัดที่ไหนตาบอดเลือกหรอก”

“แต่ถ้ากูเป็นผู้กำกับ กูเลือกมึงนะ.... ไม่ต้องมีบทพูดก็ได้ แค่เดินผ่านกล้องน่ารักๆ ให้ละครออกมาดูดีก็พอ”

“บ้าแล้ว ยังกะเอ็กซ์ตร้าค่าตัววันละสามร้อย”

ผมอุตส่าห์ขำแต่พี่โรมกลับทำหน้าซีเรียสขึ้นมา เขาจ้องตาผมราวกับเจตนาจะเขย่าหัวใจให้สั่นระรัว ผมบอกไม่ถูกว่ามองเห็นอะไรในแววตาสีเข้มตรงหน้า.... บางทีผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่โรมยังปฏิเสธไม่รับรักผมอยู่เลย แล้วอยู่ดีๆ ความรักความหลงจากเขาก็ถาโถมเข้ามาจนผมตั้งรับแทบไม่ทัน แต่เพราะผมกำลังมีความสุขในแบบที่อาจจะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตก็เลยอยากจะปล่อยเบลอความตะขิดตะขวงใจของตัวเองไปบ้าง

“ถ้าละครที่มึงไปแคสมีฉากจูบ ฉากเปลืองตัว กูไม่ให้เล่นนะ”

“ถ้ามโนเก่งกว่านี้อีกหน่อย ชาจะคิดว่าพี่โรมหวงแล้วนะ”

“กูก็ควรจะหวงมั้ยวะ เมียทั้งคนนะเว้ย”

พี่โรมจูบผมอีกแล้ว และผมก็ไม่ปฏิเสธ.... ริมฝีปากของเขาแตะกัน จากที่ผิวแผ่วคล้ายหยอกล้อก็ค่อยๆ บดเบียดดูดดื่มยิ่งขึ้น ก็เหมือนกับเวลาที่ราดน้ำมันลงบนกองไฟ ความร้อนแรงของพี่โรมดูจะเข้ากันได้ดีกับรูโหว่ในหัวใจของผม เป็นความต้องการซึ่งเติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ลมหายใจที่เป่ารดลงมาทำเอาข้างในอกสั่นไหวราวกับมีผีเสื้อกระพือปีกอยู่ในร่าง ได้ยินเสียงชีพจรเต้นตึกตักแทรกสลับกับเสียงครางในลำคอของพวกเรา กว่าพี่โรมจะถอนจูบออกก็เล่นเอาผมแทบละลายติดเบาะรถอยู่แล้ว

“กลับขึ้นห้องกันไหม? หรือจะไปเบาะหลังดี?”

“ไหนว่าไม่ให้โดดเรียนไง.......”

“นานๆ โดดที ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

ผมอมยิ้มขำแต่ก็ไม่ว่าอะไร วันนี้ไม่มีส่งงานแถมที่ผ่านมาผมไม่เคยหยุดเรียนก็เลยยังมีโควต้าพอให้โดดได้ หากพอทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยกลับขึ้นห้องกันจริงๆ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์พี่โรมก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกสิ่งให้หยุดกลางคัน


   ‘อะไรวะ?’

   ‘ที่ร้าน? ตอนนี้เลยเหรอ? มีเรื่องเหี้ยไรกันแน่วะเนี่ย??’

   ‘เออ.... รู้แล้ว เดี๋ยวกูรีบไป’


“มีธุระด่วนเหรอ?” 

ผมถามเสียงอ่อยหลังจากที่พี่โรมวางสาย ฟังจากที่คุยกันดูเหมือนจะเป็นธุระสำคัญพอควร ก็เลยแน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายโดนเทแน่

“โทษทีว่ะ ทิชา.... สงสัยต้องเปลี่ยนแผน”

พี่โรมบอกอย่างเซ็งๆ ดูเขาค่อนข้างหัวเสียอยู่นิดหน่อย 

“เดี๋ยวกูพามึงไปส่งบ้านก่อน แต่คงต้องไปมหาลัยเองนะ.... พอดีที่ร้านมีเรื่อง เพื่อนกูมันโทรตามให้รีบกลับไปเคลียร์น่ะ"

“ถ้ารีบมาก พี่จะไปร้านเลยก็ได้นะ เดี๋ยวชาเรียกแท็กซี่กลับบ้านเอง”

“ไม่เป็นไร ให้กูไปส่งมึงก่อนดีกว่า”

จากนั้นเราสองคนต่างก็เงียบไป ผมลอบสังเกตสีหน้าพี่โรมระหว่างขับรถ เขาดูเครียดจัดจนผมไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร ได้แต่กดโทรศัพท์ดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง แน่นอนว่าคราวนี้ผมไม่ลืมที่จะเข้าไปเช็คอินสตราแกรมของบีบี๋ แต่มันก็ไม่ได้อัพเดทตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีการเมนชั่นตอบใครด้วย ซึ่งผมคิดว่าผิดปกติเอามากๆ สำหรับคนติดโซเชียลอย่างมัน

รถออดี้จอดส่งผมที่หน้าบ้าน พี่โรมปลดสายเบลท์ให้ก่อนจะหอมแก้มผมเบาๆ คล้ายปลอบใจที่เขาต้องผิดคำพูด

“ถึงคณะแล้วไลน์บอกกูด้วยนะ”

“อืม.... พี่โรมก็เหมือนกัน ขับรถดีๆ นะ”

ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งพี่โรมเลี้ยวออกจากซอยในหมู่บ้านผมไปเรียบร้อย.... ธุระที่ร้านก็คงจะหมายถึงเบอร์ลิค ผมไม่รู้หรอกว่าร้านเหล้าที่เชี่ยและอันตรายที่สุดในแดนสยามจะต้องการแรงงานตอนกลางวันแสกๆ ในวันที่มีเรียนไปทำไม แต่ถึงขนาดเจาะจงว่าเป็นพี่โรม ผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้ว่าธุระนั้นจะเกี่ยวข้องกับคนที่หายไปตั้งแต่เมื่อวาน

ผมถอนหายใจพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้ปลายเดือนตุลาคมแล้วแต่ฝนก็ยังตกอยู่ประปราย ก้อนเมฆสีเทาลอยตัวลงต่ำปกคลุมท้องฟ้าให้มืดครึ้มชวนหดหู่ ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าฤดูฝนจะผ่านไปเร็วๆ เสียที....



ROME’s PART


ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากลานจอดรถข้างเบอร์ลิคมายังโกดังด้านหลังร้านแล้วขึ้นไปยังชั้นสองตามที่เพื่อนสนิทโทรมาบอก....

ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ใจของผมพะวงคิดไปไกลถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เกิดขึ้น ไอ้แจ็คเพื่อนสนิทไม่ยอมบอกให้ฟังผ่านโทรศัพท์ว่าเกิดอะไรขึ้น มันย้ำแค่ว่าผมควรรีบมาที่ร้านเพื่อเห็นและรับฟังทุกอย่างด้วยตัวเอง.... นอกจากผลัดกันเฝ้าร้านขำๆ ตามธรรมเนียมของสาย เฮียรุจไม่เคยเรียกผมหรือว่าใครก็ตามให้ไปที่เบอร์ลิคโดยไม่จำเป็น ผมจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ผมรู้จัก หรือถ้าเชี่ยกว่านั้นก็คงต้องใครสักคนที่มีความสำคัญกับผม

กลุ่มเพื่อนในคณะที่สนิทกันก็เข้าออกเบอร์ลิคเป็นว่าเล่น แต่ละคนก็ดูแลตัวเองกันได้ทั้งนั้น ถ้ามีเรื่องเดือดร้อน เฮียรุจก็ต้องออกหน้าให้อยู่แล้ว

ทิชาก็อยู่กับผมตลอดคืน แล้วก็เพิ่งเข้าบ้านไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

เหลืออยู่อีกคนที่เป็นไปได้ก็คือบีบี๋ซึ่งผมตัดขาดการติดต่อไปตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งเดินหนี ไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ และไม่ให้โอกาสแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

ผมโกรธบีบี๋ก็จริง แต่ขออย่าให้ใช่เจ้าตัวเลย....


“ไอ้แจ็ค กูเอง”  เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็เห็นเพื่อนยืนกำลังยืนรออยู่หน้าประตูห้องที่พวกเราใช้เป็นที่สุมหัว มันเองก็ดูกระสับกระส่ายร้อนใจไม่แพ้กัน  “ตกลงมีเรื่องเหี้ยอะไรกันวะ?”

“มึงเข้าไปข้างในเลย ไอ้โรม เฮียรุจกำลังรอเจอมึงอยู่”

“เฮียรุจ....?”

ผมย้อนถามทั้งที่ใจจริงก็พอเดาเหตุการณ์ได้ลางๆ หากในตอนนี้ก็คงทำได้เพียงแค่คิดว่าขอให้ไม่ใช่อย่างที่กังวล ทว่า โชคกลับไม่เข้าข้างผมเอาเสียเลย


“เออ ก็เฮียรุจนั่นแหละ แล้วก็น้องบีบี๋ของมึงด้วย.........”


มือผมชะงักคาลูกบิดประตูแต่มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อแผ่นไม้หนาถูกเปิดออกเต็มบานส่งผลให้ผมเห็นสภาพภายในห้องอย่างชัดเจนเต็มสองตา.... เฮียรุจในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นไม่ติดกระดุมยืนพิงหน้าต่างสูบบุหรี่สบายอารมณ์ ไร้วี่แววของความเดือดเนื้อร้อนใจแบบที่ไอ้แจ็คเกริ่นไว้ แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับตอนที่ผมกวาดสายตามองไปยังเตียงโครงเหล็กซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง เตียงเดียวกับที่ผมเพิ่งอุ้มทิชามานอนกอดเมื่อไม่กี่คืนก่อน ผมแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นร่างเล็กที่ผมรู้จักดีนั่งอยู่บนนั้นด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่ต่างจากเฮียรุจสักเท่าไร

บีบี๋กับเฮียรุจเล่นตลกห่าเหวบ้าบออะไรกัน....???

“โผล่หัวมาสักทีนะมึง ช้าฉิบหาย” 

เจ้าของเบอร์ลิคแค่นเสียหัวเราะหึก่อนจะพ่นควันสีเทาขาวออกมาทางปาก หน้าตาของเขาดูขบขันมากกว่าจะซีเรียสหรือรู้สึกผิด ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนราดลงกลางหัวเมื่อต้องมาพบเจอกับเรื่องเชี่ยๆ พรรค์นี้....!

“นี่มันหมายความว่าไงครับเฮีย?”

น้ำเสียงผมเย็นเฉียบผิดกับใบหน้าซึ่งร้อนผ่าว.... โอเค ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะด่าหรืออาละวาดโมโหใครในเมื่อผมเองก็มีความสัมพันธ์เกินคำว่าพี่น้องกับทิชา แต่การที่พวกเขาจงใจเรียกให้ผมมาเห็นตำตาว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้นคือสิ่งที่บัดซบเกินกว่าจะเข้าใจเหตุผลได้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นการเอาคืนของบีบี๋ซึ่งมีเฮียรุจเข้ามาร่วมวงด้วย 

“ว่ายังไง บีบี๋?”

“ก็ไม่ว่ายังไงหรอก ไอ้โรม”

สีหน้าของเฮียรุจคล้ายจะบอกว่า ‘มึงกับกูก็ใจหมาพอกัน สันดานนักล่าอยู่ในสายเลือดก็อย่ามาทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อที่โดนรังแกหน่อยเลย’ และนี่ก็คือสิ่งที่ผมสมควรจะต้องพบเจอและชดใช้โทษฐานที่ปล่อยให้ทิชาครองเกียร์ของตัวเองเอาไว้นานจนเกินไป 

“พอดีว่าน้องบีบี๋จะต้องไปเข้าเรียนช่วงบ่าย กูติดงานไม่ว่างไปส่ง น้องเขาก็เลยจะวานให้มึงพาเขาไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้วพาไปส่งที่คณะก็เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไม.......ถึงเป็นเฮียรุจ.......?”

ผมรู้ว่าบีบี๋ไม่ได้นึกชอบผมจริง ทุกอย่างระหว่างเราเป็นแค่เกมปั่นหัวที่บีบี๋เล่นเพื่ออยากเอาชนะเพื่อนสนิท.... แน่นอนว่าผมต้องการจะบอกเลิกบีบี๋อยู่แล้ว เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะอะไรรุ่นพี่ซึ่งผมให้ความเคารพและเกรงใจถึงได้ยอมลดตัวลงมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของรุ่นน้องที่เขาบอกอยู่เสมอว่าเป็น ‘คนในปกครอง’

“อยากพูดเองมั้ย บี๋? หรือจะให้เฮียช่วยอธิบายให้?”

เฮียรุจหันไปถามความเห็นแฟนซึ่งกลายเป็นอดีตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปของผม ไม่มีอีกแล้วความใสซื่อร่าเริง มองโลกในแง่ดีที่ผมเคยนึกเอ็นดู คนที่นั่งจุดบุหรี่อยู่บนเตียงตรงนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มแปลกหน้าซึ่งแสยะยิ้มมุมปากได้น่าขนลุกเป็นที่สุด และผมก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้บีบี๋กลายเป็นแบบนี้

“ทำไมจะต้องอธิบายด้วยล่ะ?”

ร่างเล็กขยี้มวนบุหรี่แล้วยัดลงไปในกระป๋องน้ำข้างเตียงก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ท่อนขาเรียวก้าวเข้ามาหาผมโดยที่ใบหน้าน่ารักยังคงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยชนิดที่ผมไม่เคยเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำได้.... หรือบางที บีบี๋อาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแค่ผมยังไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เท่านั้น 

“เมื่อวานนี้ บี๋พยายามจะอธิบายให้เฮียโรมฟังตั้งหลายเรื่องแต่เขาก็ไม่เห็นจะอยากฟังสักอย่าง งั้นก็ปล่อยให้ไม่เข้าใจต่อไปนี่แหละ.... สนุกดี”

สายสร้อยสีเงินพาดตัดกับลำคอขาว ผมจ้องมองต่ำลงจนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ตรงจี้รูปเฟืองสีทองแดง ด้วยความที่สัญลักษณ์เกียร์ของแต่ละชั้นปีจะมีลักษณะที่แตกต่างกันพร้อมสลักเลขรุ่นเอาไว้ด้านหลัง ผมจึงรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอบีบี๋คือของที่ได้รับมาจากใคร

“เมื่อคืนนี้บี๋มาชิงเกียร์เฮียรุจใช่ไหม?”

“เฮอะ ทีงี้ล่ะเข้าใจง่ายเชียว!”

“บี๋ทำแบบนี้ทำไม?”

“เฮียโรมควรถามใจตัวเองมากกว่านะว่าเพราะอะไรบี๋ถึงต้องทำแบบนี้ หรือว่าตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วนอกจากเรื่องเอากับไอ้ชา.... เป็นไงบ้าง ลีลามันคงเด็ดถึงใจมากเลยใช่ไหม ได้กันไปกี่น้ำแล้วล่ะ เฮียถึงได้หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น เอาเกียร์ที่ควรจะเป็นของบี๋ไปให้มัน!?”

“อ้อ ถึงภายนอกมันจะสวยน่าเอาแค่ไหนแต่เฮียโรมก็ควรระวังเอาไว้บ้างนะ เนื้อในแม่งผ่านมาไม่รู้กี่ดุ้นต่อกี่ดุ้นแล้ว แหล่งเชื้อโรคชัดๆ ระวังจะได้ของแถมกลับไปไม่รู้ตัว!”

บีบี๋เงยหน้าเหยียดมุมปากประชดใส่ผม ซึ่งผมก็ไม่คิดเถียงว่าตัวเองเป็นฝ่ายนอกใจก่อน แต่บีบี๋ก็ควรจะรู้ด้วยว่าเพราะอะไรเรื่องของเราถึงต้องจบลง.... ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมอบให้ไม่สมควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือกดหัวกลั่นแกล้งของใคร ยิ่งผมรักคนโกหกอย่างบีบี๋มากเท่าไร คนที่รักผมจริงอย่างทิชาก็จะเจ็บมากขึ้นเท่านั้น เรื่องระหว่างเราสามคนมันเลยจุดที่เรียกว่ารักสามเส้าไปไกลแล้วเมื่อจุดเริ่มต้นของคนๆ หนึ่งมีคำว่า ‘ไม่จริงใจ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับบีบี๋ ผมกับทิชาก็เป็นแค่ตัวหมากในเกมสงครามประสาทเท่านั้น

“แสดงว่าที่คุยกันเมื่อวาน บี๋ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด.........” 

ผมอยากไม่ตอบโต้อดีตแฟนด้วยการเอาชนะกันไปเอาชนะกันมาเพื่อความสะใจ สิ่งเดียวที่ผมมีให้บีบี๋ก็คือความจริงและความผิดพลาดที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ 

“ถ้าบี๋คิดว่าจะเอาเกียร์ของเฮียรุจมาคล้องคอเพื่อกดดันให้พี่กลับไปเล่นเกมบ้าๆ นั่นด้วย พี่ก็ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าบี๋คิดผิดแล้ว!”

ผมหันมาหาเฮียรุจ แม้ความผิดหวังจะในตัวรุ่นพี่ที่เคารพนับถือเสมือนเป็นพี่ชายจะมีมากเหลือเกิน แต่ผมก็ยังคาดหวังว่าเขาจะยังพอมีเหตุดีๆ ที่จะช่วยให้มิตรภาพระหว่างพี่น้องร่วมสายยังคงอยู่

“ผมไม่เชื่อนะว่าอย่างเฮียจะมองเจตนาร้ายของบีบี๋ไม่ออก ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเฮียถึงช่วย.........”

“เห็นกูเป็นพระเจ้าหรือไง กูอ่านใจคนไม่ออกนะเว้ย”

“ตอนที่ทิชามาชิงเกียร์ เฮียยังดูออกเลยนี่ว่ามันเจตนา ทั้งๆ ที่น้องมันก็บอกไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าเปล่า”                                                                                                                                   

“อย่าพาลกูแบบนี้สิวะ ไอ้โรม.... มึงเองก็รู้กฎดี” 

เฮียรุจขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์นักขณะตอบผม เขาต้องไม่พอใจแน่ถ้าผมคิดจะต่อต้านกฎเหล็กของเบอร์ลิคซึ่งเปรียบเสมือนกฎในทางลับของคณะชาววิศวะฯ ทุกคน 

“ถ้ามึงคล้องเกียร์ให้น้องทิชาแล้วหิ้วออกจากร้านไปกกได้ กูก็คล้องเกียร์ให้น้องบีบี๋แล้วรับเขาเป็นสะใภ้วิศวะฯ ได้เหมือนกัน.... และการที่มึงไม่ทวงเกียร์คืนก็หมายความว่ามึงตกลงเลือกปกป้องน้องทิชา แล้วมันผิดตรงไหนล่ะถ้าหากน้องบีบี๋จะพยายามหาทางจัดการกับคนที่ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า ก็อุตส่าห์ลากกันไปถ่ายรูปเปิดตัวลงไอจีซะใหญ่โตขนาดนั้น”

“บีบี๋ยอมเสียหน้าไม่ได้ แต่ผมกับทิชาเสียความรู้สึกได้งั้นสิ?”

“ได้หรือไม่ได้ อันนี้มันก็เป็นเรื่องของมึงกับน้องทิชานะ กูตอบแทนพวกมึงไม่ได้หรอก” 

เฮียรุจหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ ทุกประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เผาไหม้สมองและหัวใจของผมให้มีสภาพไม่ต่างจากเศษขี้เถ้าติดไฟ เพราะสุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาตรงที่ว่าผมเป็นฝ่ายตัดสินใจผิดเองที่เลือกบีบี๋ก่อน แล้วก็ทำผิดซ้ำสองด้วยการเปลี่ยนไปหาทิชา

 “เอาล่ะ ได้เวลาที่น้องบี๋จะต้องไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้ว กูไม่อยากให้เมียกูเข้าเรียนสายนะ”

“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะครับ..........”

“มึงหมายถึงเรื่องไหน? ไม่ไปส่งบีบี๋หรือไม่ยอมรับเรื่องที่กูยกเกียร์ให้น้องไป” 

เฮียรุจหยัดมุมปากขึ้นเล็กน้อยขณะย้อนถามผม ด้วยความที่รู้จักกันมาตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง ทำไมเฮียรุจจะไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนจึงจะกดดันผมได้สำเร็จ

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน มึงก็ควรคิดให้เยอะๆ หน่อยนะ.... กูว่ากูเคยบอกมึงเรื่องสถานที่ฝึกงานเทอมหน้าไปแล้วนี่ ศูนย์ซ่อมบำรุงซูเปอร์คาร์อิตาเลียนที่พี่อ๊อดทำอยู่เขาตกลงรับมึงเป็นเทรนนี่แล้ว หรือมึงอยากเสียเวลาไปยื่นเรื่องเองใหม่ทั้งหมด? คงรู้ใช่ไหมว่าจะฝึกงานที่นี่น่ะไม่ใช่เรื่องขี้ๆ ถ้าไม่มีกูช่วยพูดให้ พี่อ๊อดแม่งก็ไม่ยอมรับรุนน้องไปเป็นลูกมือแกง่ายๆ หรอก”

ผมจุกในอกจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าเฮียรุจกับบีบี๋จะเล่นแรงถึงขนาดเอาอนาคตทางการเรียนมาขู่เพราะเรื่องอะไรทำนองนี้.... ที่ผมเลือกเรียนสาขาย่อยยานยนต์ก็เพราะหวังจะได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับซูเปอร์คาร์ที่ตัวเองชอบ ผมไม่ได้อยากให้ความฝันต้องพังลง แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครใช้ประโยชน์จากความตั้งใจของผมด้วยเช่นกัน

บีบี๋ยิ้มร่าก่อนจะเดินมากอดแขนผมเสมือนว่าเรายังคบกันอยู่ กลิ่นและร่องรอยของผู้ชายอื่นที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี ทว่า เจ้าตัวก็ยังลอยหน้าลอยตาราวกับว่าเห็นความอึดอัดใจของผมเป็นเรื่องขบขัน

“ทำตัวดีๆ พาบี๋ไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้วพาไปส่งที่คณะ แล้วบี๋จะไม่โกรธเรื่องที่เฮียโรมตั้งใจจะชิ่ง.... โอเคไหม?”

“.................” 

ผมไม่ตอบ อีกทั้งยังไม่ยอมมองหน้าบีบี๋ด้วย ได้แต่กำหมัดแน่นระงับความโกรธเอาไว้ หากนั่นยิ่งทำให้ร่างเล็กหัวเราะคิกคักชอบใจเพราะนอกจากผมจะทิ้งอดีตแฟนไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังกลับกลายเป็นถูกผูกมัดด้วยเงื่อนไขของเกียร์และการช่วยเหลือกันในหมู่พี่น้องวิศวะฯ อีกต่างหาก

“ว้า ลืมตัวอีกแล้ว.... บี๋ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต้องขอร้องเฮียโรมแล้วนี่เนอะ” 

เสียงแหลมเล็กฟังดูทั้งเสแสร้งและสะใจ เช่นเดียวกับแววตาเย้ยหยันซึ่งมาปรากฏอยู่ในประสาทส่วนการมองเห็นของผมจนได้ 

“เอาเป็นว่าบี๋สั่งเฮียโรมให้พาบี๋ไปเปลี่ยนชุด ไปส่งที่คณะ แล้วก็รอรับบี๋กลับบ้านด้วย ตามนี้แหละ”

“เซี้ยวๆ แบบนี้ดิวะค่อยสมกับที่กูยกเกียร์ให้หน่อย”

เฮียรุจดูคล้ายจะชอบใจที่ได้ยินบีบี๋ออกคำสั่งกับผม เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วทำท่าปรบมือชื่นชมให้กับความแสบสันของสะใภ้ใหญ่แห่งร้านเบอร์ลิค ก่อนจะหันมามองหน้าผมซึ่งกลายเป็นทาสที่บีบี๋จงใจจะเลือกใช้พลางโบกมือเป็นเชิงขอให้โชคดี 


“ฝากด้วยนะ ไอ้โรมน้องเฮีย.... เวลาถือปลาสองตัวในมือพร้อมกันมันก็เหนื่อยแบบนี้ล่ะ”



TO BE CONTINUE

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
กฎบ้าบอ เจริญล่ะเรื่องแค่นี้เอาเรื่องการเรียนมาขู่ นิยายเรื่องนี้ต่างก็เป็นนักศึกษา แต่ทุกคนทำตัวเหมือนคนไม่มีการศึกษา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
โว้ยย อ่านแล้วหัวร้อนมากกกก คืออีพี่โรมนี่ไม่ไหวจริง หาคนอื่นเถ้อะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ ไม่งั้นก็ไม่จบวงเวียนชีวิตนี่หรอก :katai1:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เอาจริงๆนะ มั่วกันไปใหญ่ กูกินแล้วมึงกินต่อ แต่หลงลำพองคิดว่าตังเองมีค่า เกมบ้าๆ กฎบ้าๆ ไร้ซึ่งมิตรภาพที่แท้จริงและความจริงใจ เลิกโง่ซะทีพระเอก ออกจากวงจรอุบาทว์นี่เถอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เราว่ารุจนี่ไร้สาระมากอ่ะ เอาเรื่องเรียนมาขู่กันได้ยังไง บี๋ก็เลวไม่แพ้กัน เฮียโรมก็อย่าไปยอมง่ายๆนะ

ออฟไลน์ Namwhankn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราว่ามันไปกันใหญ่แล้ว มันต้องถึงขนาดนี้เลยหรอกับเรื่องแบบนี้ เป็นนักศึกษากันเเล้วทำไมไม่ใช้สมองกันให้มากๆหน่อยล่ะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



“ทิชนันท์”

“ครับ อาจารย์?”

ผมขานรับอาจารย์ผู้สอนวิชาสุนทรียศาสตร์เบื้องต้นซึ่งยืนอยู่บริเวณโพเดียมหลังจากที่เช็คชื่อนิสิตเสร็จเรียบร้อย สายตาคมดุหลังแว่นตากรอบหนามองมายังที่นั่งว่างข้างๆ ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมชวนให้นึกถึงอาจารย์ฝ่ายระเบียบสมัยประถมที่ผมกลัวฝังใจมาจนทุกวันนี้

“นายบงกช เพื่อนคุณเขามาสายหรือขาดเรียน?” น้ำเสียงดุไม่เชิงว่าถามเพื่อเอาคำตอบ แต่เป็นการแจ้งให้ทราบเสียมากกว่า “วันนี้อาจารย์จะมีควิซย่อยท้ายชั่วโมงนะ ถ้าบงกชไม่มาก็เท่ากับว่าไม่มีคะแนนเก็บในส่วนนี้ บอกเขาด้วย”

“.........ครับ” 

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับคำ เมื่ออาจารย์กับผู้ช่วยกำลังเตรียมฉายสไลด์เนื้อหาที่จะสอน ผมก็หันไปถามถึงคนที่หายตัวไปจากเพื่อนสาวร่วมภาควิชาซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก 

“เก๋ คลาสอาจารย์สมนึกเมื่อเช้า บีบี๋มันเข้าเรียนหรือเปล่า?”

“เราไม่เห็นนะ น่าจะขาดเหมือนกันแหละ”

ความกังวลของผมยิ่งก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างหนาทับอยู่ในจิตใจเมื่อไม่มีใครรู้ว่าบีบี๋อยู่ที่ไหน ถ้าเมื่อเช้ามันไม่ได้มาเรียนก็เท่ากับว่าไอ้บี๋หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่ายเมื่อวานหลังจากที่ทะเลาะกับผม.... ผมรู้ว่าเราต่างคนต่างโกรธ ต่างแรงใส่กัน ผมกับบีบี๋ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเป็นคนที่โดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียว และต่อให้ผมจะโกรธเกลียดโมโหมันเรื่องพี่โรมแทบตาย แต่อยู่ๆ จู่ๆ เพื่อนซึ่งเคยตัวติดกันเป็นตังเมกลับมาหายไปเสียเฉยๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเป็นห่วงกันทั้งนั้น

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่รู้ว่าบีบี๋มันบล็อกไลน์ผมไปแล้วหรือยังแต่ที่แน่ๆ ก็คือผมไม่ได้บล็อกมัน.... ปลายนิ้วผมเคลื่อนไปตามแป้นตัวอักษร พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะใช้คำพูดแบบไหนดี ควรจะใช้คำพูดสนิทสนมเหมือนเดิม? ใช้คำพูดห่างเหินให้สมกับที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว? หรือควรจะอยู่นิ่งๆ ตั้งใจเรียนไปและไม่ต้องสนใจมันอีก?

แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะคุยกับมันแบบปกติเหมือนว่าเราไม่ได้กำลังทะเลาะกันอยู่....


   Tisha_950701 : ท้ายคาบนี้มีควิซนะ มึงจะมาเรียนมั้ย?


“ขอโทษครับ อาจารย์” 

ยังไม่ทันที่ผมจะกดปุ่มส่งข้อความ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเล็คเชอร์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าไอ้บีบี๋มันโผล่หัวมาเรียนจนได้

“พอดีผมไม่ค่อยสบายนิดหน่อย.... อาจารย์เช็คสายก็ได้ แต่อนุญาตให้ผมเข้าห้องเถอะนะครับ~”

“งั้นก็รีบๆ เข้ามาแล้วนั่งที่ซะ นิสิต ยิ่งคุณช้าจะยิ่งเป็นการรบกวนเพื่อนคนอื่นเขา”

ผมกดลบข้อความที่ยังไม่ได้ส่งทิ้งก่อนจะทำเป็นสนใจเนื้อหาบนแผ่นสไลด์ซึ่งทีเอเพิ่งวางลงไป.... สงสัยว่ามันคงจะไม่พร้อมตอบคำถามจากเพื่อนคนอื่นล่ะมั้งถึงได้มานั่งเก้าอี้ว่างข้างๆ ผมซึ่งเป็นที่ประจำของพวกเราสองคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้คุยกันเลยสักคำ ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ล่องหนไร้ตัวตน ผมจดเล็คเชอร์และทำควิซตามลำพัง ไอ้บี๋ก็ไม่ได้สะกิดเรียกเพื่อขอลอกแบบที่เคยทำจนกระทั่งหมดชั่วโมงและถึงเวลาต้องแยกย้าย


ผมเดินออกมาจากห้องในตอนที่บีบี๋มันโบกมือบ๊ายบายเพื่อนคนอื่นๆ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็คล้ายว่ามันจะเดินตามหลังผมมา ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก ระเบียงทางเดินตึกเรียนก็มีอยู่แค่นี้ ถ้ามันไม่เดินตามมาแล้วจะให้ไปทางไหน

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมหยุดเดินแล้วหลบเข้าข้างทางปล่อยให้บีบี๋เดินผ่านหน้าลงบันไดไปโดยไม่เอ่ยเรียก แวบหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันแอบหันมามองคล้ายกับจะถามว่าผมคุยไลน์กับใคร แต่แล้วมันก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าก่อนที่จะหายลับไปจากสายตาผมอีกครั้ง

ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำให้ผมแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว ก็กลัวชาวบ้านชาวช่องจะหาว่าเป็นบ้าอยู่เหมือนกันแต่ให้ทำไงได้ ในเมื่อความรู้สึกว่ามีคนคอยเทคแคร์เป็นห่วงมันทำหัวใจผมพองโตยิ่งกว่าบอลลูนกรมอุตุฯ เสียอีก


                    Do_As_RomanS : เลิกเรียนยัง?

                    Tisha_950701    : ชาเพิ่งเลิกเมื่อกี้เอง

                                              พี่โรมล่ะ ไม่ได้เข้าสายใช่ไหม?

                    Do_As_RomanS : วันนี้กูไม่ได้เข้าเรียนว่ะ




หัวคิ้วผมจรดเข้าหากันเมื่อพี่โรมบอกว่าเขาไม่ได้มาเรียนตามที่คุยกันในตอนแรก ผมกำลังจะถามกลับไปว่าเพราะธุระที่เบอร์ลิคหรืออะไรยังไง แต่เขาก็สวนกลับมาเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน



                    Do_As_RomanS : เดี๋ยวมึงลงมาข้างล่างตึกเรียนแล้วยังไม่ต้องออกมา

                                                ข้างหน้านะ ไปรอที่ซุ้มม้าหินหลังใต้ถุนคณะเลย

                                           กูฝากเพื่อนชื่อแจ็คเอาของไปให้

                                                แค่ยืนรอเฉยๆ ก็พอ แจ็คมันรู้จักมึง เดี๋ยวมันเข้าไปทัก




หลังจากนั้น พี่โรมก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ผมส่งข้อความกลับไปหาอีกหลายประโยคแต่ก็ไม่ขึ้นว่าอ่านสักทีจนผมขี้เกียจคอยไปเอง

ผมยืนรอเพื่อนพี่โรมที่ชื่อแจ็คอยู่ตรงบันไดทางลงไปซุ้มม้าหินซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวคณะศิลปกรรม เสียงตะโกนโหวกเหวกหัวเราะลั่นของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องไม่ใช่บรรยากาศที่ผมคุ้นชินสักเท่าไร แม้หลายๆ คนในนั้นจะรู้จักผมและผมก็รู้จักเขาตอนที่ทำงานโอเพ่นเฮาส์ด้วยกัน หากก็ไม่มีใครสักคนที่จะโบกมือทักทายหรือเรียกใหไปร่วมโต๊ะ...

เดาว่าข่าวฉาวตั้งแต่สมัยโดนพี่มีนาเอาช็อกโกแล็ตราดหัวยังคงแผลงฤทธิ์อยู่จนทุกวันนี้ ทุกคนก็เลยไม่อยากยุ่งกับผมสักเท่าไร แต่ก็ช่างเหอะ ช่างแล้วช่างอีก ช่างแม่งครั้งที่ล้าน ถ้าพวกเขาจะตัดสินคนแค่เพียงจากสิ่งที่ได้ยินก็ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่ใช่ประเภทที่จะไปสะกิดร้อง ‘นี่ๆๆๆ เธอฟังเราสิ’ กับคนไม่สนิทกันอยู่แล้ว


“ทิชา.........”

ไม่นานนัก ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมเสื้อช็อปวิศวะก็เดินเข้ามาหา เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพผิดกับพวกวิศวะฯ มึงมาพาโวยที่เคยเห็นจนเป็นภาพชินตา 

“พี่ชื่อแจ็ค ไอ้โรมมันบอกไว้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ พี่แจ็ค”  ผมยิ้มให้น้อยๆ ตามมารยาทก่อนจะยกมือไหว้รุ่นพี่ เพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าพี่แจ็คคือคนที่ยืนอยู่ข้างพี่โรมที่เบอร์ลิคเมื่อคืน

มือใหญ่ยื่นของบางอย่างมาให้ ทีแรกก็งงอยู่ว่ามันคืออะไร แต่พอเห็นโลโก้แบรนด์คอนโดมิเนียมซึ่งผมไปขออาศัยมาสดๆ ร้อนๆ ก็เข้าใจได้ในทันที

“ไอ้โรมมันฝากกุญแจกับคีย์การ์ดคอนโดมาให้ บอกว่าถ้าน้องจะไปห้องมันก็ไปได้เลย แต่คืนนี้มันอาจจะกลับดึกหน่อยนะ”

“แล้วตอนนี้พี่โรมเขาอยู่ไหนครับ?”

ก็ดีใจอยู่หรอกที่พี่โรมทำตามที่รับปาก เพียงแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แถมยังต้องฝากผ่านเพื่อนมาให้อีกในขณะที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ความกังวลจึงต้องมีมากกว่าความกระดี๊กระด๊าเป็นธรรมดา

“เมื่อตอนกลางวันเห็นว่ามีเรื่องที่เบอร์ลิค ร้ายแรงมากเลยเหรอ?”

“อืม.... เรื่องนั้นเอาไว้ให้มันมาเล่าเองดีกว่า”

พี่แจ็คบอกแค่นั้นเป็นสัญญาณว่าเขาไม่สะดวกใจที่จะเล่า ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้จึงได้แต่บอกขอบคุณเรื่องที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ข้ามฟากมหาวิทยาลัยเพื่อเอาของมาให้ ทว่า ก่อนที่ผมจะกลับบ้านไปเก็บข้าวของเตรียมย้ายไปอยู่กับพี่โรมชั่วคราว พี่แจ็คก็เรียกรั้งเอาไว้ด้วยคำถามเงินล้าน

“ทิชา แล้วระหว่างเรากับไอ้โรม ตกลงมันเป็นยังไง? สรุปว่าคบกันเป็นแฟนหรือยัง?”

ภายในช่วงเวลาไม่กี่เสี้ยววินาที สมองของผมประมวลผลราวกับเครื่องจักรซึ่งหมุนจนรอบจะไหม้.... ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง การที่พี่โรมยอมให้ผมอยู่ด้วยก็เกือบๆ จะเหมือนคู่รักที่ทดลองอยู่ก่อนแต่ง แต่ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลย พี่โรมก็ไม่เคยบอกสักคำว่าเขารักผม

หลังจากที่ผิดหวังมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมควรจะรู้ได้แล้วว่าคำว่า ‘น่ารัก’ กับคำว่า ‘รัก’ มันแตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

และผมก็ไม่ควรทึกทักไปเองว่า การที่พี่โรมแค่พูดว่าผม ‘น่ารัก’ จะหมายถึงเขา 'รัก’ ผมเสมอไป


“ยังครับ.........”  ผมตัดสินใจพูดไปตามความจริง ทั้งจากสิ่งที่ได้ยินและท่าทีของพี่โรม “ดูเหมือนพี่โรมเขาจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย”

“งั้นเหรอ?”

พี่แจ็คพยักหน้ารับรู้ ดูภายนอกเขาค่อนข้างเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่พอสมควร อย่างน้อยผมก็ไม่เห็นร่องรอยของความรังเกียจหรือสมน้ำหน้าอยู่ในสายตาที่จ้องมองมา น้ำเสียงที่ใช้คุยกับผมก็ไม่แฝงแววดูถูกเหยียดหยาม

“แต่ถ้าทิชาคิดจะจริงจังกับไอ้โรมก็ต้องเข้มแข็งหน่อยนะ.... ไอ้โรมมันเป็นคนดี ก็ตามสไตล์พี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้องๆ ทั้งบ้านนั่นแหละ แม่งก็เลยขัดใจใครไม่ค่อยเป็น ทำดีกับชาวบ้านเขาไปทั่ว ดีจนดูเหมือนโง่ในความรู้สึกของหลายๆ คน มันก็เลยมีพวกที่จ้องจะใช้ประโยชน์จากความใจดีของมันอยู่เรื่อย”

พี่แจ็คอธิบายพลางถอนหายใจ เขาเองก็คงลังเลที่จะพูดเรื่องส่วนตัวของเพื่อน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ดูเครียดจัดแทนพี่โรมขนาดนี้

“พี่ดูออกว่ามันเป็นห่วงทิชามากกว่าคนอื่น ถ้าถึงขนาดยอมให้ถือกุญแจห้องแล้วก็นะ.... ถึงตอนนี้จะยังไม่มีสถานะ แต่ทิชาก็คงจะเชื่อใจไอ้โรมเหมือนอย่างที่คนเป็นแฟนกันเขาเชื่อใจกันใช่มั้ย?”

“พี่แจ็คอยากบอกอะไรผมหรือเปล่า....?”

“ก็ที่พูดไปเมื่อกี้ไงที่พี่อยากบอก”

ยังไม่ทันที่ถ้อยคำทั้งหมดจะซึมเข้าหัวผมจนครบ พี่แจ็คก็เป็นฝ่ายขอตัดบทแล้วเดินกลับออกไปจากบันไดทางเข้าซุ้มม้านั่งหิน


“ไปก่อนนะ ไว้คุยกันใหม่”

แล้วก็ทิ้งผมเอาไว้กับคีย์การ์ดคอนโด กุญแจห้อง และความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่โรมกันแน่....?

.


.


.

ผมกลับมาบ้านในตอนเย็นเพื่อเก็บเสื้อผ้า คอมพิวเตอร์โน้ตบุค อุปกรณ์การเรียนและของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นทั้งของตัวเองและมิลค์ ข้างในบ้านมืดสนิทไม่เปิดไฟเลยสักดวงยกเว้นข้างหน้ารั้วบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ แม่ผมก็คงมีถ่ายละครทั้งวันตามเคย.... ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามว่าจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่ต้องขออนุญาตเอารถมินิคูเปอร์สุดรักสุดหวงของแม่ออกไปขับโดยพลการด้วย ไว้เรียบร้อยแล้วค่อยขับกลับมาจอดคืน

“ย้ายบ้านกันชั่วคราวนะ มิลค์.... ไปอยู่กับแด๊ดดี้เราไง”

มิลค์ทำหน้าตาคล้ายจะเข้าใจก่อนจะดีดดิ้นยิ่งกว่าตอนโดนจับอาบน้ำเมื่อผมพยายามยัดตัวมันเข้าไปในกรง หลังเสร็จสิ้นภารกิจจับแมวด้วยความทุลักทุเล ผมก็เคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขนไปได้ไปไว้เบาะหลังรถแล้วขับออกมาจากบ้าน.... มาถึงจุดนี้ ผมโคตรเบื่อตัวเองที่เป็นพวกใจแข็งได้ไม่นาน ตัดอะไรก็ไม่ค่อยขาด เมื่อวานน้อยใจแม่จะเป็นจะตายแต่พอถึงเวลาย้ายไปอยู่กับคนอื่นจริงๆ ผมก็ดันห่วงว่าแม่จะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า

แต่แม่เป็นคนไล่ให้ผมไปตายเองนี่นะ แม่ก็คงไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วล่ะ....

ผมแวะจอดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งตั้งอยู่หน้าคอนโดพี่โรม ทั้งที่คิดว่าทำเลบ้านตัวเองนั้นคือดีของโคตรดีแล้วนะ แต่อย่างว่าแหละ ถึงจะใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินถึงแต่ก็อยู่ในหมู่บ้าน แล้วหมู่บ้านทาวน์โฮมย่านทองหล่อราคาแปดหลักมันคงจะมีใครเปิดร้านขายของชำหน้าบ้านอยู่หรอก ถ้าไม่สั่งเดลิเวอรี่ก็ต้องเดินออกมาหน้าถนนใหญ่ ไม่เหมือนของพี่โรมที่แค่ลงมาจากตึกก็เจอซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ข้าวตามสั่งและของกินอย่างอื่นละลานตา

“เป็นเด็กดีนะ ห้ามงอแง แล้วจะซื้อขนมแมวเลียให้เยอะๆ เลย”

ผมทิ้งแมวมิลค์ลูกรักไว้ในรถแล้วลงไปซื้อของ ภาพตู้เย็นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่ากับเบียร์ยังหลอนผมไม่หาย และผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ด้วยการสั่งข้าวกิน มาม่าหรืออาหารแช่แข็งทุกมื้อได้.... เอาเป็นว่าผมจะรับหน้าที่ซื้อของกินเข้าห้อง ทำอาหารเพื่อสุขภาพของพี่โรมและความสบายปากท้องของตัวเองก็แล้วกัน

ปัญหาก็คือผมยังไม่รู้ว่าพี่โรมชอบกินอะไรนี่สิ....


“เฮียโรมชอบอาหารฝรั่ง.......”

เสียงที่เริ่มจะคุ้นหูขึ้นมาบ้างเอ่ยบอกเหมือนพรายกระซิบ ผมหันควับไปมองก็เห็นเดือนสถาปัตย์ปีสองกำลังยืนส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นรอยยิ้มที่ดูกวนส้นตีนมากกว่าจะเป็นมิตรเหมือนเช่นเคย

“พวกพาสต้า เบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ทอด หรือไม่ก็ข้าวผัดง่ายๆ ไรงี้.... พริกขี้หนู กระเทียม มะนาว ผักชี ต้มหอมน่ะ มึงวางคืนไปเลย เฮียแม่งไม่กินเผ็ดเว้ย”

“มึงอีกแล้วเหรอเนี่ย.... ทำไมอยู่ดีๆ ก็ชอบโผล่มาจังวะ?” 

ผมเบะปากใส่คนตรงหน้าอย่างไม่พยายามจะเก็บอาการ เพราะนับตั้งแต่มีเรื่องข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลชิงเกียร์กับการไปแคสบทละคร ไอ้แดนก็คล้ายว่าจะเฮี้ยนหนักขึ้นทุกที ขยันปรากฏตัวให้เห็นยิ่งกว่าวิญญาณในหนังเรียลลิตี้ตั้งกล้องถ่ายผีเสียอีก

“กูมาของกูก่อนเหอะ มึงต่างหากที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา”

มันย้อนผมหน้าตาเฉย ก่อนจะถือวิสาสะหยิบของในรถเข็นที่ผมเลือกไว้ขึ้นมาพลิกดู

“คิดจะเป็นแม่ศรีเรือนทำกับข้าวมัดใจแฟนเหรอ?” 

ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มชั่ว เปิดเผยเจตนาชัดเจนว่าไอ้เวรนี่กำลังหาเรื่องแซะผมอีกแล้ว ไหนจะสายตากรุ้มกริ่มที่เอาแต่จ้องรอยกัดรอยดูดที่พี่โรมทิ้งเอาไว้เต็มซอกคอผม เอาคอนซีลเลอร์โบกปิดให้ตายยังไงก็ไม่เนียนนั่นอีกล่ะ 

“เซ็กซ์ดี อาหารเด็ด เดี๋ยวเฮียโรมก็ไปไหนไม่รอดหรอก”

“งั้นเหรอ?” 

เมื่อเถียงไม่ได้ ผมก็ใช้วิธีเดิมๆ คือกวนตีนมา กวนตีนกลับไม่โกงอยู่แล้ว 

“ขอบใจมึงมากนะที่อุตส่าห์บอกว่าพี่โรมชอบอะไร.... กูเลยว่าจะทำข้าวผัดอเมริกันกับไก่ทอดชุดใหญ่ แล้วถ้าเขาจะกินกูเป็นของหวานด้วยก็โอเคตามนั้น”

ผมเดินไปหยิบพวกผักที่ใช้กับอาหารฝรั่งใส่ลงรถเข็น จะมีแต่ข้าวกับเนื้อสัตว์ก็กระไรอยู่ ผมก็เลยจะตักสลัดบาร์ไปด้วยแล้วค่อยมิกซ์น้ำสลัดสูตรของตัวเองที่เคยทำกินแล้วรู้สึกว่าอร่อย แต่ก็ยังมิวายที่ไอ้แดนจะเดินตามติดผมไม่เลิก จนผมกำลังจะหันไปถามอยู่แล้วว่าสัมภเวสีอย่างมันคิดจะเข้าสิงร่างผมหรือไง

ผมถลึงตาใส่ในขณะที่มันยิ้มอ้อนชวนอ้วกกลับมา....

“กูชอบกินอาหารไทยนะ ทิชา.... ต้มยำ ผัดกะเพรา ไข่เจียวหมูสับ แกงป่า ต้มโคล้ง หมูกระเทียม เนื้อน้ำมันหอย”

“บอกกูทำไม ไปบอกเมียมึงโน่น”

“เมียไม่มี มีแต่คู่จิ้นคือมึงไง”

“งั้นมึงก็ไปซื้อกินเอา”

เมื่อผมตัดรอนไม่สนใจใยดี ไอ้แดนก็ยิ่งกวนประสาทหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ถึงขั้นเกาะแขนผมส่งเสียงง้องแง้งบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ทำเอาผมเหม็นเบื่อขี้หน้ามันขั้นสุดแต่ก็ทำได้แค่โทษเวรโทษกรรมที่ฟ้าส่งผมลงมาเกิดแล้วดันส่งนายดรัณภพลงมาเป็นไม้เบื่อไม้เมาตัวท็อป

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มึงช่วยกูหน่อยดิ” 

คำพูดคำจาอาจฟังดูเหมือนกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร แต่ท่าทีคุกคามชนิดถึงเนื้อถึงตัวชวนให้นึกถึงเจ็ดทรชนแก๊งค์รุมโทรมในละครที่เคยเปิดเจอ เพียงแค่เป็นเวอร์ชั่นที่หน้าตาดีขึ้นมาหน่อย

“อยากกินซุปไก่แก้หวัดแบบในโฆษณาอะ แต่กูหยิบของไม่ถูก”

“มึงมีปัญญาเล่นไอจีได้ ทำไมใช้กูเกิ้ลไม่เป็น?”

“ก็ใช้มึงหยิบให้มันง่ายกว่านี่”

“กูละเกลียดมึงจริงๆ เลย!”

แทนที่จะสลดแต่ไอ้แดนกลับหัวเราะร่า สงสัยเป็นโรคจิตประเภทถูกด่าแล้วมีความสุข.... ผมตักสลัดบาร์ให้ตัวเองกับพี่โรมก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปตรงตู้แช่เย็นเพื่อเลือกผักทำต้มซุปไก่มันฝรั่งให้ไอ้แดน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมนูทำยากอะไร หากกับคนที่ถึงขั้นแค่หยิบผักยังหยิบเองไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญญาทำออกมาแล้วมีสภาพเป็นอาหารมนุษย์ได้ง่ายๆ หรอก

“มึงต้องต้มไก่ มันฝรั่งกับแครอทให้สุกก่อนแล้วค่อยใส่อย่างอื่นตามลงไปนะ อย่าใส่ลงไปพร้อมกันหมดทีเดียว มะเขือเทศกับหอมใหญ่มันสุกง่ายเอาไว้หลังสุด ไม่งั้นมันจะเละ.... น้ำซุปก็ใช้แบบถุงสำเร็จรูปที่กูหยิบให้นี่แหละ แล้วก็ใส่ซุปก้อนเอา ถ้ามึงต้องโขลกรากผักชีปรุงรสเองหมด กูว่าไม่น่ารอดมั้ง”

“รู้แล้วจ้ะ เมียจ๋า”

“เหี้ยละ ใครเมียมึง!?” 

ผมชูกำปั้นขึ้นร่ำๆ ว่าจะต่อยแม่งสักเปรี้ยงให้หยุดปากมอม ถ้าเป็นพี่โรมพูดผมจะไม่ว่าเลย แต่พอเป็นไอ้แดนนรก นอกจากหัวใจจะไม่รู้สึกจักจี้แล้วยังกลายเป็นสะกิดต่อมหัวร้อนง่ายอีกต่างหาก

พลันสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงวัยมัธยมปลายสองคนยืนแอบอยู่ตรงสุดทางเดิน พวกเธอพากันหัวเราะคิกคักพร้อมทั้งส่องกล้องโทรศัพท์มือถือมาหาผมกับแดน ผมรีบกระโดดหลบหลังร่างหนาด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้.... อย่างมากสุดที่เคยเจอก็แค่นินทาระยะเผาขนให้ได้ยิน ผมไม่รู้จักพวกเธอและพวกเธอก็ไม่น่าจะรู้จักผมหรอก แล้วอยู่ดีๆ จะมาถ่ายรูปถ่ายคลิปไปเพื่ออะไร

แต่พอเห็นว่าผมทำท่าจะไม่โอเคกับการโดนปาปาราซซี่มือสมัครเล่นตาม สองสาวก็ยิ้มเจื่อนๆ โบกไม้โบกมือมาให้ไอ้แดนแล้วก็หายแว้บไป ผมจึงตรัสรู้ได้ทันทีว่าที่แท้ก็แฟนคลับเดือนสถาปัตย์นี่เอง

“แค่ถ่ายรูปไกลๆ เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”  ไอ้แดนบอกยิ้มๆ พยายามกล่อมไม่ให้ผมตามไปเอาเรื่องเด็ก  “น้องเขาก็คงจะถ่ายเก็บไว้ฟินกันนั่นแหละ มึงอย่าโมโหเลยนะ”

“ต้องโมโหสิ ฟินห่าไรล่ะ!” 

ผมยังคงกระฟัดกระเฟียดอ่ย่างไม่ชอบใจ ทั้งเรื่องที่โดนแอบถ่ายและเรื่องที่น้องผู้หญิงสองคนนั้นกำลังจินตนาการบรรเจิดว่าผมกับไอ้แดนเป็นแฟนกัน

“แฟนคลับมึง แทนที่มึงจะห้ามนะ แดน.... ถ้าน้องมันเอารูปที่แอบถ่ายเมื่อกี้ไปอัพลงเฟซ ลงไอจี กูจะตามไปถลกหนังมึงแล้วเอามาแขวนตากแห้งหน้าตึกสถาปัตย์เลย!”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า กูเคยบอกแล้วไงว่าเคมีคู่จิ้นกูกับมึงแม่งไม่ใช่ระดับไก่กา.... ใครเห็นเขาก็ต้องคิดว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน ต่อให้มึงมีเฮียโรมอยู่แล้วก็ห้ามคนแจวเรือไม่ได้หรอกเว้ย คลื่นลมมันแรง เรือมันจะแล่นก็งี้”

ชื่อแม่งเลยจริงๆ ถูกผมขู่ขนาดนี้แล้วยังจะมายิ้มระรื่นอยู่ได้.... ไอ้แดนเข็นรถซึ่งมีวัตถุดิบทำซุปไก่แก้หวัดตามหลังผมไปยังแคชเชียร์ ยังคงมีเสียงทุ้มห้าวคอยแยงรูหูให้รำคาญไม่ได้ขาด สัญญาเลยว่ามีเวลาว่างหลังสอบเมื่อไร ผมจะตระเวนทำบุญเก้าวัด กรวดน้ำคว่ำขันแล้วเอาขันปาหัวไอ้แดนซ้ำเผื่อว่าเกิดชาติหน้าฉันท์ใดจะได้ไม่ต้องมาพบมาเจอคนอย่างมันอีก



“ตึกเอ ห้อง 2310 ครับ”

“รถไม่มีสติ๊กเกอร์ รบกวนจอดลานด้านนอกอาคารนะครับ”

ผมเลี้ยวรถผ่านป้อมยามแล้วตรงมายังลานกว้างซึ่งเป็นที่จอดรถสำหรับแขก ถือว่าโชคดีที่รถไม่ค่อยเยอะเท่าไร ผมก็เลยสามารถถอยเข้าซองได้แบบไม่รู้สึกกดดันมาก ทว่า รถคัมรี่สีบรอนซ์เงินที่เห็นเมื่อเช้ากลับเลี้ยวตามมาจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแทนที่จะขึ้นไปจอดบนตึกซึ่งเป็นล็อกที่ประจำสำหรับลูกบ้านคอนโดฯ.... ทำเอาผมต้องพรูลมหายใจยาวด้วยความเอือมระอา เมื่อจนแล้วจนรอดก็ยังสลัดไอ้แดนออกไปจากสายตาไม่ได้

และแน่นอนว่ามันจะต้องเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มเก๊กหล่อแบบเดิมๆ....

“กูช่วยถือให้มั้ย?” 

แดนเสนอตัวระหว่างที่ผมกำลังทยอยลำเลียงสมบัติพัสถานส่วนตัวลงจากเบาะหลังรถมินิคูเปอร์ มันก็ไม่เยอะแยะอะไรหรอก แค่กระเป๋าเดินทางใส่เสื้อผ้า กระเป๋าโน้ตบุค กระบอกใส่แบบ กล่องอุปกรณ์ทำงาน ตะกร้าแมว ตะกร้าใส่ของใช้มิลค์ ผมจึงส่ายหน้าปฏิเสธไม่ขอรับความช่วยเหลือ 

“ยังไงก็จะไปชั้นเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากรบกวนใคร” 

ผมถือภาษิตว่าขนมาเองได้ก็ต้องแบกขึ้นเองได้ อย่างดีก็แค่เดินสองรอบ ดีกว่าจะให้ใครเห็นว่าผมขึ้นคอนโดฯ พร้อมมันเป็นไหนๆ

“ไม่อยากรบกวนหรือกลัวว่าใครจะมาเห็นแล้วเอาไปเมาท์ว่ามึงมานอนค้างห้องกู?”

“รู้ดี!”

ผมกระแทกเสียงใส่ ยอมรับแหละว่ามันเดาเหตุผลได้แม่นมาก ยิ่งตอนนี้ผมมีพี่โรมอยู่แล้วด้วย ก็ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดเอาไปพูดได้ว่าคิดจะจับปลาสองมือ

“แต่ถึงยังไงทุกคนเขาก็รู้กันอยู่แล้วว่ากูกับมึงเป็นคู่จิ้นกัน ถึงมึงจะขึ้นห้องพร้อมเฮียโรม คนที่เขารู้ว่ากูอยู่คอนโดฯ นี้ก็ต้องคิดว่ามึงมาหากูกันทั้งนั้นแหละ” 

ประโยคมั่นหน้าเล่นเอาผมอ้าปากค้างที่สุดท้ายไอ้แดนก็หาข้ออ้างมาวุ่นวายกับข้าวของของผมจนได้ และกว่าจะทันรู้ตัว มันก็หยิบเอากระเป๋าเดินทาง ซ้อนด้วยกล่องใส่อุปกรณ์การเรียนเตรียมจะแบกขึ้นตึกให้เสร็จสรรพ

“เอาตัวอะไรมาด้วยน่ะ.... แมวเหรอ?” 

ไอ้แดนถามอย่างสนอกสนใจเมื่อผมหิ้วตระกร้าใส่สัตว์เลี้ยงออกมา ดวงตารีเบิกกว้างแสดงความตื่นเต้นระหว่างที่มันย่อตัวลงดูสิ่งมีชีวิตข้างในให้ชัดๆ

“อืม”

“ชื่อไรวะ?”

“มิลค์”

“ไง น้องมิลค์ขา.... นี่พี่แดนนะคะ คนสวย~” 

เดือนคณะสถาปัตย์ตัวเท่าหมีดัดเสียงสองคุยกับลูกสาวผมพลางโบกไม้โบกมืองุ้งงิ้งง้องแง้งปัญญาอ่อนสิ้นดี แต่ที่สะดุดหูผมก็คือสรรพนามที่มันใช้เรียกมิลค์นี่แหละ

“รู้ได้ไงว่าตัวเมีย?”

“ก็มันน่ารัก กูก็คิดไว้ก่อนว่าตัวเมีย.... ถ้ากูถูกใจนะ ถึงลูกมึงเป็นตัวผู้ กูก็มองให้เป็นตัวเมียได้”

“คนห่าอะไร หม้อใส่กระทั่งแมว!”

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
คืนนี้พี่โรมน่าจะกลับดึกตามที่พี่แจ็คบอก เมื่อไขกุญแจเข้ามาก็เจอกับห้องมืดๆ ที่ไม่มีใครอยู่ ไอ้แดนช่วยยกของเข้ามาจนครบก่อนจะโดนผมไล่กลับห้องตัวเองไปหลังเสร็จธุระ.... ผมปล่อยมิลค์ออกมาเดินเล่นสำรวจห้องพี่โรม มันทำจมูกฟุดฟิดเดินดมนู่นนี่เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ตามประสาแมว ในขณะที่ผมจัดแจงเอาของใช้ส่วนตัวไปสิงสถิตย์ตามมุมต่างๆ และเริ่มทำความสะอาดเก็บไอ้พวกที่รกๆ อยู่ตามโซฟาและให้มีสภาพพอที่ผมจะเอาโน้ตบุคไปวางได้

ของสดที่ซื้อมาถูกหั่นเตรียมไว้รอเจ้าของห้องกลับมาก่อนแล้วค่อยปรุงลงกะทะ ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่ทำอาหารอย่างพี่โรมจะมีอุปกรณ์ทำกับข้าวที่จำเป็นๆ ครบ ผมเดาว่าพ่อแม่พี่โรมคงจะซื้อเผื่อวันไหนลูกชายจะมีผีพ่อบ้านเข้าสิง แต่หารู้ไม่ว่าสุดท้ายข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงพวกนั้นจะกลายสภาพเป็นซากฟอลซิลอยู่ในตู้ ขนาดหม้อหุงข้าว ผมยังเพิ่งจะแกะออกมาจากกล่องสดๆ ร้อนๆ เลยด้วยซ้ำ ถ้าพี่โรมไม่ได้บอกไว้ว่ายกครัวให้ผมใช้ได้ตามสบาย ผมคงไม่กล้ายุ่งกับของที่เจ้าตัวยังไม่เคยแตะหรอก

ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็เอางานมานั่งทำที่โต๊ะหน้าโซฟาพร้อมทั้งเปิดโทรทัศน์ให้พอมีเสียงแก้เหงา ยัยมิลค์ที่ยังไม่ชินกับบ้านใหม่ก็ตามมานั่งเลียขนอยู่ข้างกัน.... วิชาออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นอะไรที่ผมทำได้ค่อนข้างดี แถมผมยังเคยสร้างสกินของแต่งบ้านสำหรับใช้ในเกมเดอะซิมส์เองด้วย ตอนสอบสัมภาษณ์เข้ามาเรียนก็ใช้เจ้านี่เป็นพอร์ตประกอบการพิจารณา วาดๆ ลบๆ อยู่สักพัก ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้บอกพี่โรมเลยว่าผมมาถึงแล้วและกำลังใช้ห้องของเขาอย่างโคตรจะแฮปปี้

ข้อความที่ส่งไปเมื่อตอนบ่ายก็ยังไม่ขึ้นว่าอ่านเหมือนเดิม สงสัยว่าพี่โรมคงจะยุ่งจริง.... ล่ะมั้ง?



   Tisha_950701 : ชาอยู่ห้องพี่โรมแล้วนะ

                          มิลค์ก็มาด้วย *แนบรูป*

                          เตรียมของทำข้าวผัดอเมริกันเอาไว้ให้แล้ว รับรองว่าอร่อย

                           รีบๆ กลับมานะ :)




นั่งทำงานไปด้วย ดูรายการเกมโชว์นักร้องไปด้วยอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมตกใจนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าถ้าเป็นแขกของพี่โรมแล้วตัวเองจะเปิดรับดีหรือเปล่า แต่ถ้าจะทำเฉยไม่หือไม่อือก็เกรงว่าจะไม่เหมาะเช่นกัน.... หากพอลุกขึ้นไปส่องดูตาแมวที่ประตู ผมก็ต้องเบ้ปากพลางถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง เพราะคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างนอกก็คือนายดรัณภพ เดือนสถาปัตย์เจ้าเก่าเจ้าประจำ

“อะไรของมึงอีกเนี่ย?”

“โทษที............” 

ไอ้แดนทำหน้าเหมือนหมายักษ์โดนดุ ตาละห้อย หูตก หางตก แต่ไม่ได้น่าเอ็นดูสักนิดในสายตาทีมคนรักแมวอย่างผม 

“คือ.....กูปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นว่ะ........ทิชา มึงช่วยหน่อยดิ นะๆๆๆ”

ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดูก็คือมันฝรั่งที่โดนเฉือนเปลือกจนเนื้อแหว่งหาย หน้าตาขรุขระอุบาทว์สิ้นดี มิหนำซ้ำมือคนปอกยังเต็มไปด้วยพลาสเตอร์ยา บ่งบอกชัดว่าลูกชายบ้านอนุวัฒน์วงศ์ถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยจับงานบ้านงานครัวกันเลยสักคน

“ทำก็ไม่เป็น แล้วจะดันทุรังทำกินเองทำไมเนี่ย?”

“ก็กูอยากกินอะ..........”  คนตรงหน้าพูดเสียงอ่อย 

“เคยสั่งร้านข้างล่าง แล้วมันไม่อร่อยเหมือนที่แม่กูเคยทำให้ กูเลยต้องทำเองไง”

ผมกลอกตามองบนก่อนจะนึกได้ว่าหมอนี่ก็คล้ายๆ กับพี่โรมคือโดนพ่อแม่เตะโด่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตามลำพัง ถึงจะไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร แต่ก็คงเป็นความรู้สึกประมาณว่าต้องพึ่งพาตัวเองตลอดเวลา ไม่ได้มีพ่อแม่มาสปอยล์หรือคอยทำโน่นทำนี่ให้ บางทีมันอาจจะแค่อยากให้มีคนคอยเอาใจเหมือนเวลาอยู่บ้านล่ะมั้ง

“กูอยู่ตัวคนเดียวลำบากจะตาย พ่อแม่กูไม่ยอมจ้างแม่บ้านให้แบบห้องเฮียโรมนี่หว่า เขาบอกว่ากลัวกูอยู่สบายเกินไปแล้วจะเป็นง่อย เรียนถาปัดตัดโมจนมือแหกก็ยังต้องทำความสะอาดห้อง แบกผ้าลงไปซัก ข้าวก็ต้องหากินเอง ซื้อกินก็ไม่ถูกปาก ทำเองก็แดกไม่ได้ จานก็ต้องล้าง ป่วยก็ไม่มีคนดูแล........”

“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องดราม่า เดี๋ยวกูทำให้ก็ได้!”

ผมรีบตัดรำคาญก่อนที่ไอ้แดนมันจะเล่นใหญ่มากไปกว่านี้ แค่นั้นแหละ ร่างสูงตรงหน้าก็ยิ้มสมใจ หูตั้งหางกระดิกเหมือนหมาไม่มีผิด.... ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกจากบ้านมา แทนที่จะได้อยู่สบายๆ ดูแลพี่โรมแค่คนเดียวก็กลับมีเหาฉลามตามเกาะไม่ยอมปล่อย ผมเดินกลับเข้าไปปิดโทรทัศน์และหยิบกุญแจห้อง พร้อมทั้งอุ้มอสูรกายสีขาวบนโซฟามาด้วย ไม่อย่างนั้น บ้านใหม่ของพวกเราคงได้พินาศภายในคืนนี้แน่
 
 “แต่กูต้องเอามิลค์ไปด้วยนะ มันยังไม่คุ้นห้องพี่โรม เดี๋ยวลูกกูกัดสายไฟฉิบหายหมดพอดี”



ผมเข้าขั้นแปลกใจเลยทีเดียวที่ห้องไอ้แดนดูสะอาดกว่าที่คิดไว้ จากที่แอบสยองว่าสภาพห้องน่าจะรกรุงรังและเต็มไปด้วยเศษไม้อัดทำโมเดลเกลื่อนพื้นหรืออะไรทำนองนั้น แต่เอาจริงๆ ความรกก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่บนโต๊ะทำงาน ส่วนข้าวของอย่างอื่นถูกจัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตู้บิลด์อิน....

จะว่าไปแล้ว ห้องนี้ก็ดูคล้ายๆ กับห้องผมที่บ้านเลย แถมยังมีโต๊ะเขียนแบบรุ่นเดียวกันด้วย เพียงแต่ว่าผมไม่ได้มีหนังสือรวมภาพพวกขบวนการฮีโร่ญี่ปุ่น หุ่นกันดั้มกับของสะสมพรีเมียมแล้วก็วิดีโอเกมคอนโซลแบบมัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนอย่างไอ้แดนก็มีความเป็นโอตาคุอยู่ในตัวกับเขาด้วย นึกว่าจะแค่หลงตัวเองอย่างเดียวเสียอีก

เพียงไม่กี่นาที ผมก็หั่นวัตถุดิบทั้งหมดและทยอยใส่ลงไปในหม้อตามสูตร หมอนี่ก็พอกันกับพี่โรมเลย เป็นพวกไม่ทำอาหารที่มีอุปกรณ์การทำอาหารครบเซ็ตจนอดรู้สึกเสียดายของแทนไม่ได้.... ระหว่างที่ผมกำลังวุ่นวายอยู่ตรงเคาท์เตอร์ครัว ไอ้แดนก็กลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่กลางห้องกับมิลค์พร้อมด้วยเชือกฟางซึ่งมันเอามาใช้แทนไม้ตกแมว เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มิลค์ยอมญาติดีกับไอ้แดนง่ายๆ เพราะขนาดไอ้บี๋ที่เคยไปบ้านผมตั้งหลายครั้ง มิลค์มันยังเชิดใส่ไม่ยอมให้จับตัวอุ้มเล่นแบบนี้เลย

“ทิชา กูขอถ่ายรูปกับน้องมิลค์ได้ปะ?”

“อืม”

“ลงไอจีได้ปะ?”

“เอาที่มึงสบายใจเลย”

เมื่อผมอนุญาต เน็ตไอดอลก็จัดการเปิดกล้องหน้ามือถือแล้วเอาลูกผมไปเป็นพร็อพ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาคุยกับสัตว์เลี้ยง คนส่วนใหญ่ถึงต้องใช้เสียงสองเหมือนที่ไอ้แดนกำลังทำ แต่ก็เอาเถอะ มิลค์เองก็ดูร่าเริงดี คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันมากเท่าไรด้วย

“ทิชา มึงรู้ปะว่ากูโคตรอยากเลี้ยงแมวเลย แต่ที่บ้านกูมีแต่คนชอบหมา พี่น้องกูทุกคนก็เลี้ยงหมากันหมด กูเลยไม่กล้าเอาแมวมาเลี้ยง.... มึงเข้าใจอารมณ์พวกหมาเฝ้าสวนปะ แต่ละตัวแม่งดุฉิบหาย ขืนเอามาเลี้ยงก็กลัวเวลากลับบ้าน แมวกูจะโดนไอ้พวกแก๊งค์เขี้ยวฟัดตายห่า”

“อ้อ เหรอ”

ทว่า พอรู้สึกตัวอีกที ไอ้คนที่เซลฟี่กับแมวอยู่เมื่อกี้กลับมายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ซ้ำยังยื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาจนปลายจมูกเกือบจะชนแก้มอยู่รอมร่อ.... คิดว่าผมจะใจเต้นงั้นเหรอ? ไม่เลย ผมหันควับไปมองตาขวางเป็นเชิงบอกว่าถ้ามันหอมโดนแก้มผมทับรอยพี่โรมเมื่อไรล่ะก็ ผมจะจับหัวมันจุ่มลงในหม้อซุปที่กำลังต้มอยู่นี่แหละ

ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าผมไม่เล่นด้วย แต่เสียงทุ้มก็ยังกระซิบอ้อนตีนไม่หยุดหย่อน จนผมชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วนะว่าไอ้แดนมันเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า ถึงได้ขยันทำตัวเองให้โดนผมด่าขนาดนี้

“แล้วถ่ายรูปกับมึงได้ปะ?”

“ไม่ได้”

“เมื่อเช้าเฮียโรมบอกให้เราสองคนสนิทสนมกันเอาไว้ไง ลืมแล้วเหรอ?”

“กูอุตส่าห์มาทำกับข้าวให้มึงถึงนี่ก็เกินพอแล้ว”

ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด

“หัดรู้ตัวบ้างว่ามึงทำชีวิตกูผิดแผนไปหมด เข้าใจไหมว่ากูจัด Priority ให้พี่โรมมาเป็นอันดับหนึ่ง.... แต่บ้านกู มึงก็ไปก่อนพี่โรม พอกูตั้งใจจะทำอาหารให้เขากินเป็นคนแรก มึงก็โผล่มาตัดหน้าอีก!”

เพราะผมยืนหันหน้าเข้าหาเตาไฟฟ้าเพื่อช้อนฟองที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำซุปทิ้งไปก็เลยไม่รู้ว่าในตอนนั้นไอ้แดนมีปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่ผมพูด ผมเองก็แค่อยากให้มันรับรู้เสียทีว่าตัวมันยังไม่ใช่คนที่ผมยินดีจะให้เข้ามาในชีวิต ยิ่งดันทุรังล้ำเส้นเข้ามามากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกต่อต้านและเหม็นขี้หน้ามากขึ้นเท่านั้น.... แต่มันก็คงไม่เจ็บปวดอะไรนักหรอกมั้ง ก็ยังได้ยินเสียงมันหัวเราะเสมือนว่าเรื่องของผมกับพี่โรมเป็นเรื่องตลกอยู่เลยนี่

“ทิชา.... จะว่ากูเสือกก็ใช่แหละ แต่กูขอถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ย?” 

เดือนสถาปัตย์ย้ายที่ตัวเองไปยืนกอดอกพิงอ่างซิงค์ น้ำเสียงที่ฟังดูซีเรียสขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางซึ่งปราศจากความกวนตีนบอกให้ผมเข้าใจได้โดยนัยว่ามันคงอยากรู้คำตอบจริงๆ 

“เหตุผลที่ทำให้มึงรักเฮียโรมมากขนาดนี้คืออะไรวะ? มึงเองก็เพิ่งรู้จักพี่ชายกูได้ไม่นาน มึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฮียโรมและเฮียแม่งก็ไม่ได้รู้จักมึงมากไปกว่าที่เห็นเลย แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่ามึงกับเขาควรจะได้กัน?”

ผมชะงักมือแล้วหันไปมองคนถาม อันที่จริงแล้วผมคิดว่าผมควรจะโมโหที่ไอ้แดนพูดจาเหมือนดูถูกว่าความรักของผมเป็นแค่ความรู้สึกฉาบฉวยชั่ววูบ แต่ทว่า สายตาและสีหน้าที่มันแสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ผมกลืนคำพูดต่อว่าลงคอไป

“ที่กูบอกให้มึงลองไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค กูก็แค่บอกไปงั้นๆ เผื่อว่ามึงจะกลัว เห็นว่ามันยากแล้วยอมตัดใจจากเขา.... กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำจริง กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้ชายคนเดียว แถมยังทำสำเร็จอีก..............”

“มึงเกิดมาในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ มีญาติ มีพี่น้อง พอเข้ามหาลัยก็ได้เป็นถึงเดือนคณะ.... คนชอบมึงมีเป็นร้อยเป็นพัน ไปไหนมาไหนก็มีแฟนคลับคอยให้กำลังใจ เพราะฉะนั้น มึงไม่มีทางเข้าใจความเป็นลูซเซอร์ของกูหรอก แดน”

ผมพยายามเลี่ยงที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมาตลอด มันไม่เคยมีประโยชน์เลยกับการมานั่งคิดถึงสิ่งที่คนอื่นมีแต่ตัวเองขาด หากในหลายๆ ครั้งผมก็ห้ามสมองไม่ให้คิดไปในทางลบไม่ได้.... ไม่มีใครที่อยากจมอยู่ในความมืดตลอดไป แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังออกมาในที่สว่าง อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง และพี่โรมก็คือคนที่เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ดวงแรกในชีวิต

“วันแรกที่กูเจอพี่โรมน่ะเป็นความเหี้ยที่สุดของที่สุดในชีวิตที่กูเคยเจอมาเลย เพิ่งรู้ความจริงว่าโดนหลอกคบซ้อน แถมยังโดนเมียเขาตามมาแหก ราดช็อกโกแลตทั้งแก้วใส่หัว คนทั้งร้านหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าใส่กู  พี่โรมจะไม่ยุ่งกับกูเลยก็ได้ แค่หัวเราะตามเพื่อนๆ ไปก็จบแล้ว แต่พี่โรมกลับเดินเข้ามาช่วยทั้งๆ ที่สภาพกูเละเทะขนาดนั้น........”

“คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะช่วยเหลือกัน แต่สำหรับกูมันมากกว่านั้น.... ชีวิตกูไม่ได้เจอคนอย่างพี่โรมง่ายๆ และกูก็ไม่อยากรออีกแล้ว.......”

เพราะไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากทนกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมทุ่มชนิดไม่รักตัวกลัวตายเพื่อให้ได้ความรักจากพี่โรมกลับมาก็ได้

“เฮียโรมโชคดีเนอะ.... เป็นคนที่ใช่ เข้ามาในเวลาที่มึงต้องการพอดี........ทีกูแม่ง”

ไอ้แดนรำพึงรำพัน เหมือนมันจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงได้ยึดติดกับพี่โรมนัก แต่ประโยคหลังที่มันสบถถึงตัวเอง ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันเกี่ยวกันยังไง

“เขามีทุกอย่างที่กูตามหาอยู่ในคนๆ เดียวเลยว่ะ.... เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย แล้วก็เป็นคนรักแบบที่กูอยากได้ด้วย”

“โอ้โห ไอ้ทิชา.... มึงนี่หลงพี่กูหนักมากนะ”

มันว่าพลางแค่นหัวเราะในลำคอใส่ ก็คงรู้สึกขำที่ผมยัดเยียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองขาดไว้ในตัวพี่โรมคนเดียวแบบ All-in-one และในตอนที่มันเข้ามาประชิดตัวผม รอยยิ้มกวนตีนแบบที่เห็นจนเริ่มชินตาก็กลับมาอีกครั้ง 

“จะรักจะหลงยังไงก็แล้วแต่ เวลาไปแคสบทด้วยกันก็ช่วยยึดคอนเสปท์ #แดนทิชา หน่อยก็แล้วกัน”

“ก็ได้ แต่แค่งานเดียวนะ..........”  ผมตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนพูด

“หืม?”

“บอกตามตรง กูไม่คิดว่าตัวเองจะแคสผ่านหรอก แต่ถึงผ่าน กูก็จะทำงานนี้แค่งานเดียวเท่านั้น.... ไม่รับงานพ่วง ไม่มีลากยาวไปกว่านี้ ตกลงไหม?”

เพราะมีแม่ทำงานในวงการบันเทิง ผมจึงรู้ดีว่าถ้าหากอยู่ในช่วงน้ำขึ้นเมื่อไร ก็จะมีผู้คนมากมายซึ่งได้ผลประโยชน์ร่วมพยายามเข้ามาบังคับให้ดาราคนนั้นกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสต่อไป ยังไงซะ ผมก็ไม่คิดจะเซ็นสัญญาผูกมัดกับทางช่องเอ็มหรือโมเดลลิ่งเจ้าไหนอยู่แล้ว.... แล้วก็จะยินดีมากด้วยถ้าไอ้แดนจะแฟร์ๆ กับผมด้วยการไม่เข้ามาวุ่นวายอะไรอีกหลังจากจบงานนี้

“ตามใจมึงดิ ขอแค่ได้เข้าวงการ กูก็พอใจแล้ว”

ซุปไก่แก้หวัดที่ไอ้แดนอยากกินเสร็จพอดี ผมปิดเตาไฟฟ้าแล้วโรยคื่นช่ายกับต้นหอมตบท้ายให้ก่อนจะไปอุ้มแมวมิลค์ซึ่งนอนแผ่อยู่ใต้โต๊ะทำงานเตรียมกลับห้องพี่โรม.... แดนมันก็เซ้าซี้บอกให้ผมอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนมันแล้วค่อยกลับก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ที่ที่ผมอยากอยู่มากเท่าห้องของพี่โรม ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของห้องก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา


ถึงแม้ว่าในคืนนั้น ไอ้แดนจะอัพรูปลูกแมวสีขาวกับซุปหนึ่งหม้อลงไอจีพร้อมติดแฮชแท็ก #แดนทิชา ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปสักเท่าไร....



ROME’s PART



“เฮียโรมไม่กินเหรอ.... บี๋ว่าน้ำแข็งไสชาไทยร้านนี้อร่อยนะ อร่อยกว่าบิงซูร้านเกาหลีอีก”

เกือบสามทุ่มแล้วแต่ร่างเล็กตรงหน้าผมก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมกลับบ้าน หลังจากลากผมเข้ามาในคาเฟ่แฟรนไชส์ขนมหวานซึ่งกำลังเป็นที่นิยม รอยยิ้มร่าเริงและเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วนั้นไม่เข้ากับบรรยากาศที่แท้จริงระหว่างเราเลยแม้แต่น้อย.... สำหรับผมแล้ว ท่าทางร่าเริงน่ารักของบีบี๋มันก็แค่ภาพลวงตา อาจจะดูสวยงามในตอนแรกแต่พอทิ้งไว้นานเข้าก็เห็นเนื้อในกากกลวงเป็นโพรง ไม่ต่างจากบิงซูที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนานั่นแหละ หน้าตาก็ดูน่ากินดีแต่ใครๆ ก็คงรู้ว่าพอมันละลายก็เละเทะหมดราคาแทบจะทันที

ไม่เหมือนกับทิชาที่ถูกทุกคนรุมตั้งแง่เพราะความเข้าใจผิด ทั้งที่ความจริงแล้วเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรน่ารังเกียจเลยสักนิด....

“หรือเฮียอยากกินโทสต์มากกว่า? เอานูเทลล่าดีมั้ย เดี๋ยวบี๋ไปสั่งให้?”

“ไม่ต้องหรอก........”  ผมตอบทั้งที่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เปิดแอพอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะได้คุยกับ ‘เมียของรุ่นพี่’ ให้น้อยที่สุด

“งั้นก็เลิกทำหน้าซังกะตายสักที” 

บีบี๋ออกคำสั่ง แน่นอนว่าเจ้าชิวาว่าแสนเจ้าเล่ห์จะต้องปั้นหน้ายิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่าใส่ผม หากฟังจากคำพูดและน้ำเสียงกระแทกแดกดันนิดๆ เชื่อเถอะว่าบีบี๋คงต้องใช้ความอดทนมากเลยทีเดียวที่จะไม่ปรี๊ดแตกใส่ผม 

“บี๋อุตส่าห์ชวนเฮียโรมมาเดทนะ เอาแต่หน้าบึ้ง แถมยังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้ สั่งอะไรมากินก็ไม่อร่อยหรอก”

“ถ้าบี๋ไม่ชอบ งั้นจะกลับเลยไหมล่ะ?”  ผมถามพลางขยับเก้าอี้พร้อมลุกออกจากร้านได้ทุกเมื่อ ทำเอาเด็กหนุ่มร่างเล็กเผลอตัวตวัดเสียงห้วนอย่างเอาแต่ใจ

“ไม่กลับ!”

เพราะเสียงเมื่อครู่ สาวออฟฟิศกลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะอีกฟากกับเด็กนักเรียนมัธยมอีกกลุ่มจึงหันมามองเรากันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิต้องนัดหมาย โชคดีที่เวลานี้แขกในร้านค่อนข้างบางตา เราก็เลยไม่ต้องเผชิญกับความอับอายขายขี้หน้ามากนัก.... บีบี๋เองก็ดูจะรู้ตัวอยู่ว่าผมโคตรไม่ชอบอะไรแบบนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นบ้องแบ๊วขี้อ้อนรวดเร็วราวกับกดสวิทช์สลับโหมด คงเห็นว่าผมโง่สมองปลาทองล่ะมั้ง ถึงคิดว่าแค่กลับมาทำตัวแบบเดิมแล้วผมจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน

 “เฮียโรมไม่อยากกินขนมก็ไม่เป็นไร งั้นเราไปดูหนังกันก็ได้.... บี๋กำลังอยากดูคิงส์แมนภาคใหม่อยู่พอดี”

เริ่มต้นจากข่มขู่ เปลี่ยนเป็นเอาแต่ใจ แล้วก็มาจบที่ออดอ้อนออเซาะ.... หากเป็นเมื่อสักสอง-สามวันก่อน ผมอาจจะคิดว่าบีบี๋กำลังอารมณ์แปรปรวนเพราะเครียดเรื่องเรียนกับเรื่องที่บ้านแล้วก็คงไม่ถือสา หากตอนนี้ สิ่งที่บีบี๋ต้องการคงไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าแค่ความพยายามจะเอาชนะ หวังจะให้ผมไปทวงเกียร์คืนจากทิชาแล้วเอามาคล้องคอให้

“จะกินก็รีบกินเหอะ เฮียจะกลับแล้ว มีงานต้องทำ”  ผมตัดบท รู้ตัวดีว่าใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไป และผมก็เหนื่อยกับเกมข้ารับใช้หมากระเป๋างี่เง่านี่เต็มทีแล้ว....

“รีบอะไรนักหนาล่ะ เฮียโรมเป็นคนบอกบี๋เองนะว่างานเทอมนี้ไม่หนักมาก โปรเจ็กต์กลุ่มใกล้เสร็จแล้ว เปเปอร์ก็ให้พี่แจ็คช่วยเขียนเล่มให้ เรียนชิลล์ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

“ก็ยังมีวิชาอื่นที่ต้องทำงานส่ง” 

ผมว่าพร้อมทั้งหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจงใจจะตำหนิ ถ้าเขาเป็นคนรักหรือน้องชาย ผมก็คงจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้บีบี๋เห็นความสำคัญของการมีใบปริญญาและการทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดจาอ่อนโยนถนอมน้ำใจเขาไปทำไม

“บีบี๋ก็ควรจะใส่ใจเรื่องเรียนให้เท่าๆ กับเรื่องอยากเข้ามาเป็นสะใภ้วิศวะฯ นะ ถ้าเลิกคบกับทิชา ก็ไม่น่าจะมีเพื่อนคนไหนยอมไปช่วยบี๋ปั่นงานส่งอาจารย์ยันเช้า ติวสอบ หรือกินแรงเวลาทำงานกลุ่มอีกแล้วนี่”

เพียงเท่านั้น แก้มกลมๆ ก็พองขึ้นและกลายเป็นสีแดงจัดด้วยความโมโห

“บอกแล้วไง เวลาอยู่กับบี๋ห้ามพูดชื่อไอ้ชา!”

“เลิกเล่นเป็นเด็กๆ เสียทีเถอะ โกรธใครก็ไม่อยากได้ยินชื่อคนนั้น”

เพราะรู้ว่ายิ่งต่อความยาวก็ยิ่งเหมือนจุดไฟ ในเมื่อความรู้สึกของเราทั้งคู่มันพังพินาศไปหมดแล้วก็สู้ให้มันฉิบหายแล้วรีบๆ จบกันไปเสียดีกว่า 

“ทิชาเขายังไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”

“อย่าเอาบี๋ไปเปรียบเทียบกับมันนะ!”

ช้อนเงินกระทบกับโต๊ะเสียงดังแคร๊ง คนทั้งร้านหันมามองเราแทบจะเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง ร่างเล็กโกรธจัดจนตัวสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นเสมือนว่าอยากจะตบหน้าผมเต็มแก่.... โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสว่างวาบเพราะมีไลน์เข้า ผมมองเห็นชื่อเจ้าของข้อความแต่ยังไม่ทันจะได้อ่าน มือของบีบี๋ที่ทำท่าจะตบผมอยู่เมื่อกี้ก็พุ่งเข้ามาฉวยเอาไอโฟนของผมไปแล้วถือวิสาสะกดเปิดอ่านต่อหน้า

“บีบี๋!”  แน่นอนว่ามันเป็นไลน์ที่ส่งมาจากทิชา บีบี๋ถึงได้จงใจจะแย่งไปเพื่อยั่วโมโหผมกลับ  “เอามือถือเฮียคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“อะไรกัน.... นี่เฮียถึงขนาดยอมให้มันขึ้นคอนโดฯ เลยเหรอ?” 

น้ำเสียงที่ได้ยินมีทั้งความประหลาดใจระคนสมเพช และความโมโหน้อยใจที่ผมไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยชวนบีบี๋ไปห้องในตอนที่ยังคบกัน.... ด้วยความอิจฉาที่มีอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของทิชา ไม่มีการฉุกคิดเลยว่าที่ผมไม่ต้องการจะไปต่อกับบีบี๋ ที่จริงแล้วสาเหตุเป็นเพราะใคร   

“หึ กะแล้วเชียวว่าไอ้ชาต้องเก่งเรื่องอย่างว่าแน่ๆ เฮียโรมถึงได้ติดใจมันนัก.... ที่ยอมให้มันอยู่ด้วยก็คงกะว่าพอเกิดหงี่ขึ้นมาเมื่อไรก็เอาได้ทันทีสินะ ของฟรีก็ง่ายแบบนี้แหละ สมแล้วที่คนในเบอร์ลิคเขาเรียกกันว่ากะหรี่ห้อยเกียร์!”

“บี๋ก็ไม่ได้ดีไปกว่าทิชานักหรอกนะ”

ผมตอบโต้ สายตามองต่ำลงไปยังเกียร์รุ่น 32 ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เปลืองตัวแย่งมาพลางกระตุกมุมปากใส่

“เกียร์ของเฮียรุจที่ห้อยคออยู่นั่นก็ประจานความต่ำตมในตัวบี๋ได้ดีพอๆ กับคำพูดว่าร้ายคนอื่นเชียวล่ะ”

“แต่บี๋ไม่ได้ชิงเกียร์ใคร.... เฮียรุจเขายังโสด แล้วเขาก็เต็มใจจะยกเกียร์ให้บี๋ด้วย!”

ชิวาว่าแยกเขี้ยวขู่แฟ่ดเมื่อถูกผมด่าด้วยสายตาว่าใครกันแน่ที่เป็นกะหรี่ห้อยเกียร์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิดหน้าท้าทายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกียร์ที่ตัวเองห้อยอยู่นั้นแพงกว่าเกียร์ของผมที่ยกให้ทิชาหลายเท่านัก และบีบี๋ก็ลงทุน ‘จ่าย’ ไปเยอะทีเดียวกว่าจะได้มาครอบครอง 

“เฮียโรมนั่นแหละที่ควรจะรู้ฐานะตัวเองได้แล้วนะ.... เฮียรุจเขาก็พูดออกจะชัดเจนขนาดนั้น หน้าที่ของทุกคนในสายก็คือดูแลบี๋ให้สมกับที่เป็นสะใภ้ใหญ่แห่งเบอร์ลิค แล้วตอนนี้บี๋ก็ต้องการให้เฮียโรมพาบี๋ไปดูหนัง”

ในตอนแรก ผมก็ยังคิดอยู่ว่าที่บีบี๋ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการประชดที่ผมนอกกายไปมีอะไรกับทิชา ก่อนจะตามมาด้วยการนอกใจเมื่อสุดท้ายผมก็ไม่ได้ทวงเกียร์กลับคืนมา แต่ถ้าบีบี๋รักผมจริง เขาจะเล่นแรงถึงขนาดเอาอนาคตและความอยู่รอดในหมู่พี่น้องวิศวะฯ ของผมลงมาแลกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้เชียวหรือ.... ผมไม่ได้อยากเปรียบเทียบบีบี๋กับทิชาหากมันก็อดไม่ได้ ทิชาไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากความรักจากผม ในขณะที่บีบี๋ก็แค่ต้องการตัวผมเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าตัวเองอยู่เหนือทิชา และเมื่อผมปฏิเสธ เขาก็ไม่ลังเลที่เปลี่ยนมาทำลายกัน

ผมถึงมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้ว เด็กร้ายกาจคนนี้ก็คงจะไม่มีวันรักและคิดถึงใครนอกจากตัวเอง....

เสียงเรียกเข้ามือถือของบีบี๋ดังขึ้น ทำเอาเจ้าตัวรีบหันไปมองชื่อบนหน้าจอ แต่คราวนี้ผมไม่พลาดอีกแล้ว และก่อนที่ร่างเล็กจะได้ขยับเขยื้อน ผมก็ชิงตัดหน้าคว้าโทรศัพท์สัญชาติเกาหลีมาถือแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายเพิ่งทำกับผมเมื่อกี้นี้

“เฮียโรมจะทำอะไร เอาโทรศัพท์บี๋คืนมา!?”

“ทีเมื่อกี้ บี๋ยังดูไลน์เฮียได้เลยนี่”  ผมจงใจจุดยิ้มกวนประสาทใส่คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา  “แย่จริงๆ ต้องให้หม่าม้าลำบากโทรตามกลับบ้านอีกแล้วเหรอ?”

“อย่ารับเชียวนะ!”

มีหรือว่าผมจะฟัง ผมรู้ว่าเรากำลังเอาคืนกันไปเอาคืนกันมาอย่างกับเด็กอนุบาล แต่คนที่ทำให้บีบี๋กลัวจนขึ้นสมองได้ก็มีแค่พ่อกับพี่ชาย และผมก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวจะได้อบรมสั่งสอนลูกชายคนเล็กหลังจากห่างเหินมานาน

“สวัสดีครับ คุณแม่ของบีบี๋ใช่ไหมครับ?”

“เฮียโรม!!”

“ครับ บีบี๋อยู่กับผมที่ห้างแถวๆ สยามครับ.... เปล่าครับ วันนี้น้องเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายๆ แล้ว...... อ๋อ ไม่ใช่เลยครับ ไม่ได้อยู่ทำงานดึกอะไรเลย ทิชาเขาก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้วด้วยครับ” 

ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่อนแขนเล็กเอื้อมข้ามโต๊ะมาพยายามจะแย่งมือถือคืน แน่นอนว่าต้องไม่สำเร็จเมื่อผมไม่คิดจะอ่อนข้อให้ 

“บีบี๋ไม่ยอมรับสายคุณแม่น่ะครับ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกว่าอยากไปดูหนังต่อ ดูเหมือนจะไม่อยากกลับบ้านสักเท่าไร.... ว่าไงนะครับ? คุณพ่อกับพี่ชายโกรธมาก สั่งให้บีบี๋กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ.......”

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่.... ผมรู้จักทางไปบ้านบีบี๋ จะพยายามพาเขาไปส่งให้ได้เลยครับ ฝากบอกคุณพ่อกับพี่ชายบีบี๋ด้วยนะครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง สวัสดีครับ”

ผมกดวางสายก่อนจะสไลด์มือถือกับโต๊ะส่งคืนให้เจ้าของ บีบี๋โมโหจนหน้าแดงจัดแก้มพองตาพองไปหมด ผมมองหน้าร่างเล็กสลับกับบิงซูในถ้วยซึ่งเริ่มละลายเละเทะเต็มถาดเมื่อไม่มีใครสนใจจะกินก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“เล่นบ้าอะไรของเฮีย บี๋ไม่ขำนะ!”

“ก็ไม่ได้จะให้ขำสักหน่อย” ผมว่า “ดูเหมือนคุณพ่อกับพี่ชายจะโกรธใหญ่แล้วนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้เพิ่งก่อเรื่องไว้ก่อนจะหนีออกมาข้างนอกไม่ใช่เหรอ? แน่ใจนะว่ายังอยากจะหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มอีก?”

“บี๋จะดูหนัง!”

“ก็ตามใจ เชิญขึ้นไปจองตั๋วดูคนเดียวก็แล้วกัน”

ผมไม่คิดจะห้ามบีบี๋อีกแล้ว เพราะถึงยังไง เจ้าตัวก็คงจะรั้นยื้อแย่งในสิ่งที่ทำหลุดมือไปกลับคืนไม่ได้ หมดเวลาเล่นเกมแล้ว อยากทำบ้าบอห่าเหวอะไรก็เชิญ.... และอย่างเดียวที่ผมจะสามารถมอบให้อดีตแฟนในตอนนี้ก็คือตั๋วกลับบ้านเที่ยวเดียว ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างคนต่างอยู่และไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก 

“แต่ถ้าบี๋จะตามมาก็มีตัวเลือกเดียวคือกลับบ้าน.... ก็เลือกเอานะว่าอยากนั่งรถกลับสบายๆ ออกไปโบกแท็กซี่ที่แม่งรับแต่ฝรั่ง หรือจะโหนรถไฟฟ้าต่อรถเมล์กลับบ้านเอง!”

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมเปิดประตูออกไปยังลานจอดรถ พุ่งตรงไปหารถออดี้สีน้ำเงินของตัวเอง พยายามอดกลั้นไม่สนใจเสียงตะโกนแสบแก้วหูของบีบี๋ซึ่งทั้งก่นด่าและบังคับขู่เข็ญให้ผมยอมทำตามใจ.... แต่ก็อย่างที่เห็น ผมจบแล้ว จบทุกประเด็นและทุกสิ่งทุกอย่างกับ และผมก็ไม่อยากเอาตัวเข้าไปเป็นหมากเบี้ยหรือสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องเพื่อตอบสนองชีวิตบิดเบี้ยวขาดๆ เกินๆ ของใครอีก

“เฮียโรม!” 

บีบี๋คว้าแขนผมเข้าจนได้ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและท่าทางก้าวร้าวนั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชิวาว่าซึ่งผมเคยหลงคิดไปเองว่ามันคือความน่ารักของโลกใบนี้ 

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเฮียไม่มีสิทธิ์ขัดใจบี๋.... บี๋สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำสิ ยังอยากมีที่ฝึกงานอยู่ใช่ไหม!?”

ผมหันไปมองร่างเล็กอย่างเย็นชา เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าพอกันที ผมก็พร้อมโยนทุกอย่างทิ้งแบบไม่เสียดาย ถึงผมจะเสียรุ่นพี่ที่เคารพ เสียเพื่อนฝูง เสียงานที่ควรจะได้ทำ เสียเวลาและเสียความรู้สึก แต่อย่างน้อยผมก็ยังหลงเหลือความเป็นตัวเองและศักดิ์ศรีอยู่บ้าง

“ก็แค่หาที่ฝึกงานใหม่เอง บี๋คิดว่าเฮียแคร์เรื่องนั้นจริงๆ หรือไง?”

ในที่สุดก็ได้พูดอย่างที่คิดเสียที มันเหมือนระเบิดความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นคำพูด แถมยังเป็นระเบิดลูกโซ่ที่จะไม่หยุดปะทุง่ายๆ หลังจากที่ผ่านระลอกแรกไปแล้วเสียด้วย 

“เฮียไม่ได้กระจอกถึงขนาดจะต้องพึ่งพาเบอร์ลิคไปซะทุกอย่างหรอกนะ ที่ยอมเป็นลูกน้องเฮียรุจอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะไม่อยากแหกคอกให้พวกรุ่นพี่เขารู้สึกว่าเสียการปกครอง การช่วยเหลือกันในหมู่วิศวะฯ ก็มีข้อดีของมันอยู่.... แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นความเหี้ย กลายเป็นเครื่องมือให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างบี๋มาสนตะพาย บีบบังคับแบบนี้ เฮียก็จะตัดทิ้งแม่งให้หมด! ”

บีบี๋ดูช็อกไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน แปลว่าเขาเข้าใจถูกแล้วว่าผมต้องการจะบอกอะไร.... จากนี้ไปก็ช่างหัวเบอร์ลิค ช่างหัวระบบเกียร์ ช่างหัวคณะวิศวะฯ ก็ให้มันรู้กันไปว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งเฮียรุจ คอยพะเน้าพะนอเอาใจบีบี๋ซึ่งไม่เคยจริงใจกับใครเลยแล้วคนอย่างไอ้โรมจะตายห่าอยู่ต่อไม่ได้

“เฮียโรมไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ หรอก.......เฮียก็แค่กำลังหลงไอ้ชา......คิดดูดีๆ สิว่าถ้าเฮียคบกับมันแล้วจะเป็นยังไง........”

“ก็บอกแล้วนี่ว่าเฮียไม่แคร์!”

“ต้องแคร์สิ.... เฮียจะยอมทิ้งเพื่อน ทิ้งรุ่นพี่เพื่อไอ้ชาไม่ได้นะ!”

“แต่ทิชาเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเฮีย ไม่เหมือนบี๋ที่พยายามทำลายเฮียเพื่อให้ได้ทุกอย่างสนองความอยากของตัวเอง!”

 ผมสูดลมหายใจลึกเข้า ในเมื่อผมเองที่เป็นคนเริ่มทำให้เรื่องยุ่งยากด้วยการหลงชอบบีบี๋ ผมก็จะขอจบความฉิบหายและความสัมพันธ์ที่มีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวงเอาไว้เพียงแค่นี้ 

“ถ้ามีเรื่องไหนสักเรื่องที่เฮียรู้สึกเสียใจ ก็คงเป็นเรื่องที่เฮียเคยมองพลาด คิดว่าบี๋เป็นเด็กน่ารักจิตใจดี ไม่เคยคิดร้ายกับใครนี่แหละ”

“ก็ถ้าเฮียโรมไม่นอกใจก่อน บี๋ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก!”

“เลิกพูดเรื่องนอกใจเหอะ บี๋เองก็ใช่ว่าจะรักเฮียจริง........”

ประเด็นสำคัญระหว่างเรามันอยู่ตรงนี้ ผมมันโง่เองที่มองไม่ออกตั้งแต่ทีแรก 

“แล้วนิสัยบี๋ก็คงจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว เป็นมาก่อนที่เราจะรู้จักกันเสียอีก”

น้ำตาที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำ จะเพราะความโกรธก็ดี หรือจะเป็นความเสียใจก็ช่าง ทว่า เชือกที่ถูกตัดขาดแล้วย่อมไม่มีวันประสานกลับมาเป็นดังเดิม แม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อด้วยการผูกปลายสองฝั่งเข้าด้วยกัน สุดท้ายมันก็จะเหลือปุ่มปมน่าเกลียดไว้เป็นหลักฐานอยู่วันยังค่ำ

“ถ้าบี๋เป็นเมียเฮียรุจไปแล้วก็ไปให้เขาปลอบใจก็แล้วกัน จะถือเสียว่าเราต่างคนต่างมีแฟนใหม่ก็แล้วแต่ จบกันแค่นี้.........”

“ไม่นะ บี๋ไม่จบ!” 

บีบี๋โผเข้ามากอดผม รั้งเยื่อใยบางๆ เอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีและเสียงสะอื้นน่าสงสาร 

“.....ฮึก.........ไหนเฮียเคยบอกว่าชอบบี๋ไม่ใช่เหรอ.......ถ้าชอบแล้วจะมาจบกันง่ายๆ ได้ยังไง.........คนใจร้าย........”

“ถ้าอย่างเฮียเรียกว่าใจร้าย แล้วที่บี๋ทำกับเฮีย กับทิชาล่ะ จะเรียกว่าอะไร?”

“เฮียก็แค่ใจอ่อนเพราะสงสารไอ้ชา......ฮือ........ไม่รู้หรือไงว่ามันชอบเรียกร้องความสนใจน่ะ มันไม่ได้รักเฮียโรมของบี๋สักหน่อย บี๋ต่างหากที่รักจริง...........” 

ร่างเล็กยังคงโทษว่าเป็นความผิดของทิชา ไม่อยากเชื่อว่าจนป่านนี้แล้ว บีบี๋ก็ยังก้าวข้ามกำแพงความอิจฉาที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมาไม่ได้ 

“เฮียอยากให้บี๋ทำตัวน่าสงสารเหมือนอย่างไอ้ชามั้ยล่ะ......ก็แค่ทำหน้าอมทุกข์แล้วก็มั่วกับผู้ชายทุกคนที่ขวางหน้า........ถ้าเฮียโรมอยากให้เป็นแบบนั้น บี๋ก็ทำให้ได้เหมือนกันนั่นแหละ!”

“บีบี๋ เราน่ะรู้อะไรไหม?”

ผมมองหน้าอดีตแฟนด้วยสายตาว่างเปล่า แน่นอนว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า และสิ่งนี้ก็คงเป็นเสมือนปมในใจของเจ้าตัวมาโดยตลอด แต่ผมก็รู้สึกว่าบีบี๋ควรจะเรียนรู้และโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว


“ระหว่างบี๋กับทิชาจะยังไงนี่ไม่รู้นะ เฮียรู้แค่ว่าตั้งแต่ทะเลาะกัน ทิชามันไม่เคยด่าเพื่อนอย่างบี๋ให้เฮียฟังเลยสักคำ.... แม้กระทั่งหลังจากที่บี๋สารภาพว่าตั้งใจคุยกับเฮียเพื่อปาดหน้ามัน ทิชาก็ยังไม่เคยว่าร้ายบี๋แม้แต่น้อย.....”

“ไม่ต้องพยายามทำตัวน่าสงสาร ไม่ต้องพยายามทำอะไรเพื่อเฮียอีกแล้ว.... ต่อให้เฮียทวงเอาเกียร์คืนจากทิชาแล้วกลับมาคบกับบี๋ แต่สักวันนิสัยจริงๆ ของบี๋ก็ต้องโผล่ออกมาและเราก็ไม่มีทางไปกันรอดหรอก สู้เลิกไปเสียตอนนี้ดีกว่า บางทีเฮียกับบี๋อาจจะยังเหลือเรื่องดีๆ ให้พอนึกถึงอยู่บ้าง”


“มันผิดมากเลยเหรอที่บี๋จะทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองรู้สึกมีค่าบ้าง.........” 

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่บีบี๋กำลังพูดอยู่ตอนนี้คือการตัดพ้อหรือแค่ต้องการหาความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่ารูโหว่ในหัวใจมันใหญ่เกินกว่าที่ผมหรือใครจะช่วยเยียวยาให้ได้ และบีบี๋เองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกรีดปากแผลด้วยการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

“ไอ้ชาก็มีครบทุกอย่างอยู่แล้ว ชีวิตมันดีออกจะตายไป.......แม่มันเป็นดารา บ้านมันก็รวย ใครๆ ก็ชอบมองแต่มันคนเดียว........แค่แบ่งความสนใจจากคนพวกนั้นมาให้บี๋นิดๆ หน่อยๆ ไม่ทำให้มันตายหรอกน่า..........”

เจ้าของท่อนแขนเล็กเกาะบั้นเอวผมเอาไว้แน่น พยายามเบียดตัวเข้ามาซุกหน้ากับอกเสื้อ น้ำเสียงปนสะอื้นนั้นสั่นเครือขณะเอ่ยถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผมยอมรับว่ามันดูน่าสงสาร แต่ถ้าถามหาความเห็นใจและความรัก ผมคิดว่าผมคงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว

“เฮียโรมก็เหมือนกัน........ถึงเฮียคบกับบี๋ต่อไป ไอ้ชามันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย......เดี๋ยวก็มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาจีบมันแล้ว.........”


“ตอนที่เฮียเคยบอกว่าชอบบี๋นั่นน่ะ เฮียชอบที่นิสัยนะ.... เรื่องหน้าตาฐานะพวกนั้นไม่ได้มีส่วนเลย คนอื่นๆ เขาก็คงคิดแบบเดียวกัน” 

ผมตอบพลางแกะมือของบีบี๋ออก ก่อนจะจ้องมองดวงตากลมโตซึ่งเป็นไปด้วยหยาดน้ำอุ่น.... ไม่มีใครที่ไม่เคยทำเรื่องโง่ๆ มาก่อนในชีวิต บางเรื่องก็ยังสามารถแก้ไขได้ แต่บางเรื่องก็สายเกินไปแล้ว เช่นเดียวกับความรู้สึกของคนเราที่หากถูกทำลายไปแล้ว ก็ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม 

“สิ่งที่ทำให้บี๋มีคุณค่าก็คือนิสัยร่าเริงน่ารักที่แสดงออกตอนเรารู้จักกันใหม่ๆ นั่นแหละ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามันออกมาจากความจริงใจ ไม่ใช่เพราะความอิจฉาเพราะคิดไปเองว่าเพื่อนอยู่เหนือกว่าก็เลยพยายามจะทำลายเขา.........”

จนถึงเมื่อกี้ ผมก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าหากบีบี๋ไม่เอาเกียร์ของเฮียรุจมาห้อยคอ ผมก็อาจจะไม่ตัดขาดหมดเยื่อใยขนาดนี้ ถึงจะโกรธและผิดหวังแค่ไหน ผมก็ไม่ลืมความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้ระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สัปดาห์นั้น

แต่ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างมันจบแล้ว....


“บี๋ลองไปทบทวนตัวเองก่อนดีกว่าว่าพร้อมจะรักใครจริงๆ แล้วหรือยัง.... ไม่งั้นก็ลองไปคุยกับเฮียรุจดูก็ได้ ได้กันแล้ว ยังไงเฮียเขาก็คงไม่ทิ้งบี๋หรอก.........”


.


.


.


‘ครับเฮีย.... เรื่องฝึกงานที่ศูนย์ซูเปอร์คาร์กับพี่อ๊อด ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกแล้ว.............’

‘แล้วผมก็คงจะไม่เข้าไปที่เบอร์ลิคอีก......คิดว่าสักพักแหละครับ.......แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เข้าไปอีกเลย............’

‘ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ต้องวุ่นวายด้วย......’


นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับรุ่นพี่ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค

เฮียรุจไม่ได้ว่าอะไรแล้วก็ไม่ได้ห้ามผมด้วย แม้ฟังจากน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นจะเจือปนด้วยความเสียดายและผิดหวังที่ผมเห็นแก่เรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่และเลือกหันหลังให้กับพี่น้องชาววิศวะฯ แต่เขาเองก็ต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าเหตุผลส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เขายอมให้บีบี๋ใช้เกียร์รุ่น 32 มากดดันผม.... ก็คงเป็นศักดิ์ศรีและอีโก้งี่เง่าๆ ระหว่างลูกผู้ชายด้วยล่ะมั้ง บีบี๋กลายเป็นเด็กเฮียรุจไปแล้ว จะให้ผมทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วทับรอยรุ่นพี่ที่ตัวเองเคารพก็คงไม่ใช่

ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้รักบีบี๋มากถึงขนาดยอมรับได้ทุกอย่าง ก็สู้ยกให้เฮียรุจดูแลในแบบที่เห็นสมควรก็น่าจะดีกว่า....


“ทิชา..............”

ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องตัวเอง ภาพแรกที่เห็นก็คือทิชาซึ่งกำลังนอนขดตัวหลับอยู่บนโซฟาหน้าทีวีจอยักษ์ มีตัวอะไรขาวๆ ขนยาวๆ กระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งหางตั้งด้วยความเร็วสูงไปแอบอยู่ตรงซอกข้างตู้บิลด์อิน ผมคิดว่าคงเป็นแมวที่ชื่อมิลค์ซึ่งทิชาอ้อนขอพามาอยู่ด้วย

โทรทัศน์ยังคงเปิดอยู่แต่คนดูดันหลับไปแล้ว แม็คบุคโปรกางอยู่บนโต๊ะพร้อมด้วยสมุดแบบสเก็ตช์ภาพเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชนิด สงสัยว่าแม่แมวจะทำงานรอผมจนเผลอหลับไปล่ะมั้ง

“ทิชา มานอนตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” 

ผมเขย่าตัวปลุกร่างผอมบางให้ตื่นขึ้น แต่ดูท่าทางเจ้าตัวน่าเพลียเอาการ ไหนจะเรื่องออกกำลังกายเมื่อเช้า ไหนจะขนข้าวของมาจากบ้าน ทำความสะอาดห้องให้ผมแล้วยังต้องทำการบ้านตัวเองอีก ถึงได้ส่งเสียงครางงำงึมแล้วพลิกตัวหนีจนน่ากลัวว่าจะหล่นจากโซฟาเข้าจนได้ 

“ลุกเร็วๆ อย่างอแงสิ ไปนอนบนเตียงไป”

พอโดนสะกิดหนักขึ้น เปลือกตาหนักอึ้งนั่นก็กระพริบเปิดอย่างเสียไม่ได้ ทิชานิ่วหน้าเมื่อแสงไฟจากเพดานแยงตาก่อนจะมองเห็นรับรู้ว่าผมกลับมาแล้ว

“พี่โรม.......นี่กี่โมงแล้วอะ.......?”

“เพิ่งห้าทุ่มเอง”

ทิชาพยักหน้าหงึกหงักพลางสะบัดหัวให้หายงัวเงีย แต่ก็ยังตาปรือจนเกือบจะลืมไม่ขึ้นอยู่ดี ถึงกระนั้น สิ่งที่เด็กดื้อของผมนึกถึงเป็นอย่างแรกก็หนีไม่พ้นสัญญาที่เขาให้ไว้กับผมในตอนที่เราตกลงว่าจะอยู่ร่วมห้องกัน

“แล้วพี่โรมกินข้าวมาหรือยัง........ชาเตรียมของไว้ทำมื้อเย็นให้พี่ด้วย..........”

“ไม่เป็นไร มึงง่วงก็นอนเหอะ.... ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยกินก็ได้”

อันที่จริงตอนอยู่กับบีบี๋ ผมแทบกินอะไรไม่ลงเลย แต่ก็ไม่อยากทรมานคนง่วงและไม่อยากเห็นทิชาสัปหงกจนหัวทิ่มลงไปในกะทะด้วย

ผมช้อนตัวอุ้มทิชาไปวางไว้บนเตียงที่เรานอนด้วยกันเมื่อคืนนี้ แอบเห็นเจ้าแมวเด็กทำตาวาวมองเหมือนอยากถามว่าผมจะเอาแม่มันไปไหน แต่พอผมจะเข้าไปอุ้มมันบ้างก็กลับแยกเขี้ยวหูตั้งหางพองไม่ยอมให้จับตัว จะถามทิชาว่าควรต้องทำยังไงกับลูกมิลค์ของเราดี แม่มันก็หลับรอบสองไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย.... ผมทำอะไรกับเจ้าก้อนขนฟูฟ่องสีขาวนั่นไม่ได้ก็เลยยกตะกร้าใส่ของเล่นแมวไปไว้ตรงโซฟา เผื่อว่ามันจะได้ขึ้นไปนอนบนนั้น ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำแล้วกลับออกมานอนกอดร่างเล็กเอาไว้ด้วยหัวใจที่สงบลงกว่าเดิม

“พี่โรม..........”  ทิชาขยับตัวเล็กน้อยในอ้อมกอดผมก่อนจะส่งเสียงออกมาเหมือนละเมอ  “ที่เบอร์ลิค.......เสร็จธุระแล้วใช่ไหม.........?”

“อืม”  ผมตอบพลางจูบหน้าผากเนียน  “มันจบแล้วล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว”

“งั้นก็ฝันดีนะ”

“มึงด้วย ฝันดีนะ......”


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวสมอง จนตอนนี้ก็ยังงงอยู่เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ผมบอกเลิกบีบี๋ ตัดขาดจากศาลเตี้ยและกฎเหล็กของเบอร์ลิค ปลดแอกตัวเองจากระบบเกียร์ที่ชาววิศวะฯ ยึดถือกันจนเป็นธรรมเนียม หันหลังให้กับเพื่อนฝูงพี่น้อง.... เพื่อทิชาและเพื่อตัวผมเอง

แม้ว่าเวลานี้ ผมจะยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าโล่งใจ แต่ผมก็รู้ว่าในวันพรุ่งนี้และวันต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะผมไม่ได้จับปลาสองมืออย่างที่เฮียรุจว่าเอาไว้

ทิชาคือปลาตัวแรกและตัวเดียวของผม ผมก็แค่พลั้งมือไปหยิบตัวที่สองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่สุดท้ายผมก็ปล่อยปลาตัวที่สองนั้นกลับสู่ที่ที่มันควรอยู่


......ผมเองก็เหลือแค่ทิชาคนเดียวเหมือนกัน......


TO BE CONTINUE








TO BE CONTINUE


ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รู้สึกว่าบี๋ไม่น่ายอมแค่นี้เเน่ ฮือออ  :hao5:

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ผมเองก็เหลือแค่ทิชาคนเดียวเหมือนเดิม ถ้าประโยคเป็นแบบนี้นะ  พี่โรมจะแมนมากกกกกกกก ถึงขาเราก้าวนึงจะลงเรือแดนทิชาอยู่แล้วแต่ก็เอาใจช่วยโรมนะถ้าเป็นไปได้ขอสามพีได้มั้ยอ๊ากกกกสงสารลูกแดนของม๊าาาาา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
นี่จะปันใจไปให้แดนแล้วนะถ้าพี่โรมยังไม่จัดการเรื่องบี๋ให้เด็ดขาด ถ้าพี่โรมทำทิชาเสียใจจะเชียร์แดนแล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าบี๋มันจะคิดได้ สำนึกได้ไหม จะยอมหยุดรึป่าวก็ไม่รู้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด