คืนนี้พี่โรมน่าจะกลับดึกตามที่พี่แจ็คบอก เมื่อไขกุญแจเข้ามาก็เจอกับห้องมืดๆ ที่ไม่มีใครอยู่ ไอ้แดนช่วยยกของเข้ามาจนครบก่อนจะโดนผมไล่กลับห้องตัวเองไปหลังเสร็จธุระ.... ผมปล่อยมิลค์ออกมาเดินเล่นสำรวจห้องพี่โรม มันทำจมูกฟุดฟิดเดินดมนู่นนี่เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ตามประสาแมว ในขณะที่ผมจัดแจงเอาของใช้ส่วนตัวไปสิงสถิตย์ตามมุมต่างๆ และเริ่มทำความสะอาดเก็บไอ้พวกที่รกๆ อยู่ตามโซฟาและให้มีสภาพพอที่ผมจะเอาโน้ตบุคไปวางได้
ของสดที่ซื้อมาถูกหั่นเตรียมไว้รอเจ้าของห้องกลับมาก่อนแล้วค่อยปรุงลงกะทะ ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่ทำอาหารอย่างพี่โรมจะมีอุปกรณ์ทำกับข้าวที่จำเป็นๆ ครบ ผมเดาว่าพ่อแม่พี่โรมคงจะซื้อเผื่อวันไหนลูกชายจะมีผีพ่อบ้านเข้าสิง แต่หารู้ไม่ว่าสุดท้ายข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงพวกนั้นจะกลายสภาพเป็นซากฟอลซิลอยู่ในตู้ ขนาดหม้อหุงข้าว ผมยังเพิ่งจะแกะออกมาจากกล่องสดๆ ร้อนๆ เลยด้วยซ้ำ ถ้าพี่โรมไม่ได้บอกไว้ว่ายกครัวให้ผมใช้ได้ตามสบาย ผมคงไม่กล้ายุ่งกับของที่เจ้าตัวยังไม่เคยแตะหรอก
ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็เอางานมานั่งทำที่โต๊ะหน้าโซฟาพร้อมทั้งเปิดโทรทัศน์ให้พอมีเสียงแก้เหงา ยัยมิลค์ที่ยังไม่ชินกับบ้านใหม่ก็ตามมานั่งเลียขนอยู่ข้างกัน.... วิชาออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นอะไรที่ผมทำได้ค่อนข้างดี แถมผมยังเคยสร้างสกินของแต่งบ้านสำหรับใช้ในเกมเดอะซิมส์เองด้วย ตอนสอบสัมภาษณ์เข้ามาเรียนก็ใช้เจ้านี่เป็นพอร์ตประกอบการพิจารณา วาดๆ ลบๆ อยู่สักพัก ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้บอกพี่โรมเลยว่าผมมาถึงแล้วและกำลังใช้ห้องของเขาอย่างโคตรจะแฮปปี้
ข้อความที่ส่งไปเมื่อตอนบ่ายก็ยังไม่ขึ้นว่าอ่านเหมือนเดิม สงสัยว่าพี่โรมคงจะยุ่งจริง.... ล่ะมั้ง?
Tisha_950701 : ชาอยู่ห้องพี่โรมแล้วนะ
มิลค์ก็มาด้วย *แนบรูป*
เตรียมของทำข้าวผัดอเมริกันเอาไว้ให้แล้ว รับรองว่าอร่อย
รีบๆ กลับมานะ
นั่งทำงานไปด้วย ดูรายการเกมโชว์นักร้องไปด้วยอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมตกใจนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าถ้าเป็นแขกของพี่โรมแล้วตัวเองจะเปิดรับดีหรือเปล่า แต่ถ้าจะทำเฉยไม่หือไม่อือก็เกรงว่าจะไม่เหมาะเช่นกัน.... หากพอลุกขึ้นไปส่องดูตาแมวที่ประตู ผมก็ต้องเบ้ปากพลางถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง เพราะคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างนอกก็คือนายดรัณภพ เดือนสถาปัตย์เจ้าเก่าเจ้าประจำ
“อะไรของมึงอีกเนี่ย?”
“โทษที............”
ไอ้แดนทำหน้าเหมือนหมายักษ์โดนดุ ตาละห้อย หูตก หางตก แต่ไม่ได้น่าเอ็นดูสักนิดในสายตาทีมคนรักแมวอย่างผม
“คือ.....กูปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นว่ะ........ทิชา มึงช่วยหน่อยดิ นะๆๆๆ”
ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดูก็คือมันฝรั่งที่โดนเฉือนเปลือกจนเนื้อแหว่งหาย หน้าตาขรุขระอุบาทว์สิ้นดี มิหนำซ้ำมือคนปอกยังเต็มไปด้วยพลาสเตอร์ยา บ่งบอกชัดว่าลูกชายบ้านอนุวัฒน์วงศ์ถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยจับงานบ้านงานครัวกันเลยสักคน
“ทำก็ไม่เป็น แล้วจะดันทุรังทำกินเองทำไมเนี่ย?”
“ก็กูอยากกินอะ..........” คนตรงหน้าพูดเสียงอ่อย
“เคยสั่งร้านข้างล่าง แล้วมันไม่อร่อยเหมือนที่แม่กูเคยทำให้ กูเลยต้องทำเองไง”
ผมกลอกตามองบนก่อนจะนึกได้ว่าหมอนี่ก็คล้ายๆ กับพี่โรมคือโดนพ่อแม่เตะโด่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตามลำพัง ถึงจะไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร แต่ก็คงเป็นความรู้สึกประมาณว่าต้องพึ่งพาตัวเองตลอดเวลา ไม่ได้มีพ่อแม่มาสปอยล์หรือคอยทำโน่นทำนี่ให้ บางทีมันอาจจะแค่อยากให้มีคนคอยเอาใจเหมือนเวลาอยู่บ้านล่ะมั้ง
“กูอยู่ตัวคนเดียวลำบากจะตาย พ่อแม่กูไม่ยอมจ้างแม่บ้านให้แบบห้องเฮียโรมนี่หว่า เขาบอกว่ากลัวกูอยู่สบายเกินไปแล้วจะเป็นง่อย เรียนถาปัดตัดโมจนมือแหกก็ยังต้องทำความสะอาดห้อง แบกผ้าลงไปซัก ข้าวก็ต้องหากินเอง ซื้อกินก็ไม่ถูกปาก ทำเองก็แดกไม่ได้ จานก็ต้องล้าง ป่วยก็ไม่มีคนดูแล........”
“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องดราม่า เดี๋ยวกูทำให้ก็ได้!”
ผมรีบตัดรำคาญก่อนที่ไอ้แดนมันจะเล่นใหญ่มากไปกว่านี้ แค่นั้นแหละ ร่างสูงตรงหน้าก็ยิ้มสมใจ หูตั้งหางกระดิกเหมือนหมาไม่มีผิด.... ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกจากบ้านมา แทนที่จะได้อยู่สบายๆ ดูแลพี่โรมแค่คนเดียวก็กลับมีเหาฉลามตามเกาะไม่ยอมปล่อย ผมเดินกลับเข้าไปปิดโทรทัศน์และหยิบกุญแจห้อง พร้อมทั้งอุ้มอสูรกายสีขาวบนโซฟามาด้วย ไม่อย่างนั้น บ้านใหม่ของพวกเราคงได้พินาศภายในคืนนี้แน่
“แต่กูต้องเอามิลค์ไปด้วยนะ มันยังไม่คุ้นห้องพี่โรม เดี๋ยวลูกกูกัดสายไฟฉิบหายหมดพอดี”
ผมเข้าขั้นแปลกใจเลยทีเดียวที่ห้องไอ้แดนดูสะอาดกว่าที่คิดไว้ จากที่แอบสยองว่าสภาพห้องน่าจะรกรุงรังและเต็มไปด้วยเศษไม้อัดทำโมเดลเกลื่อนพื้นหรืออะไรทำนองนั้น แต่เอาจริงๆ ความรกก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่บนโต๊ะทำงาน ส่วนข้าวของอย่างอื่นถูกจัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตู้บิลด์อิน....
จะว่าไปแล้ว ห้องนี้ก็ดูคล้ายๆ กับห้องผมที่บ้านเลย แถมยังมีโต๊ะเขียนแบบรุ่นเดียวกันด้วย เพียงแต่ว่าผมไม่ได้มีหนังสือรวมภาพพวกขบวนการฮีโร่ญี่ปุ่น หุ่นกันดั้มกับของสะสมพรีเมียมแล้วก็วิดีโอเกมคอนโซลแบบมัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนอย่างไอ้แดนก็มีความเป็นโอตาคุอยู่ในตัวกับเขาด้วย นึกว่าจะแค่หลงตัวเองอย่างเดียวเสียอีก
เพียงไม่กี่นาที ผมก็หั่นวัตถุดิบทั้งหมดและทยอยใส่ลงไปในหม้อตามสูตร หมอนี่ก็พอกันกับพี่โรมเลย เป็นพวกไม่ทำอาหารที่มีอุปกรณ์การทำอาหารครบเซ็ตจนอดรู้สึกเสียดายของแทนไม่ได้.... ระหว่างที่ผมกำลังวุ่นวายอยู่ตรงเคาท์เตอร์ครัว ไอ้แดนก็กลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่กลางห้องกับมิลค์พร้อมด้วยเชือกฟางซึ่งมันเอามาใช้แทนไม้ตกแมว เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มิลค์ยอมญาติดีกับไอ้แดนง่ายๆ เพราะขนาดไอ้บี๋ที่เคยไปบ้านผมตั้งหลายครั้ง มิลค์มันยังเชิดใส่ไม่ยอมให้จับตัวอุ้มเล่นแบบนี้เลย
“ทิชา กูขอถ่ายรูปกับน้องมิลค์ได้ปะ?”
“อืม”
“ลงไอจีได้ปะ?”
“เอาที่มึงสบายใจเลย”
เมื่อผมอนุญาต เน็ตไอดอลก็จัดการเปิดกล้องหน้ามือถือแล้วเอาลูกผมไปเป็นพร็อพ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาคุยกับสัตว์เลี้ยง คนส่วนใหญ่ถึงต้องใช้เสียงสองเหมือนที่ไอ้แดนกำลังทำ แต่ก็เอาเถอะ มิลค์เองก็ดูร่าเริงดี คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันมากเท่าไรด้วย
“ทิชา มึงรู้ปะว่ากูโคตรอยากเลี้ยงแมวเลย แต่ที่บ้านกูมีแต่คนชอบหมา พี่น้องกูทุกคนก็เลี้ยงหมากันหมด กูเลยไม่กล้าเอาแมวมาเลี้ยง.... มึงเข้าใจอารมณ์พวกหมาเฝ้าสวนปะ แต่ละตัวแม่งดุฉิบหาย ขืนเอามาเลี้ยงก็กลัวเวลากลับบ้าน แมวกูจะโดนไอ้พวกแก๊งค์เขี้ยวฟัดตายห่า”
“อ้อ เหรอ”
ทว่า พอรู้สึกตัวอีกที ไอ้คนที่เซลฟี่กับแมวอยู่เมื่อกี้กลับมายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ซ้ำยังยื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาจนปลายจมูกเกือบจะชนแก้มอยู่รอมร่อ.... คิดว่าผมจะใจเต้นงั้นเหรอ? ไม่เลย ผมหันควับไปมองตาขวางเป็นเชิงบอกว่าถ้ามันหอมโดนแก้มผมทับรอยพี่โรมเมื่อไรล่ะก็ ผมจะจับหัวมันจุ่มลงในหม้อซุปที่กำลังต้มอยู่นี่แหละ
ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าผมไม่เล่นด้วย แต่เสียงทุ้มก็ยังกระซิบอ้อนตีนไม่หยุดหย่อน จนผมชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วนะว่าไอ้แดนมันเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า ถึงได้ขยันทำตัวเองให้โดนผมด่าขนาดนี้
“แล้วถ่ายรูปกับมึงได้ปะ?”
“ไม่ได้”
“เมื่อเช้าเฮียโรมบอกให้เราสองคนสนิทสนมกันเอาไว้ไง ลืมแล้วเหรอ?”
“กูอุตส่าห์มาทำกับข้าวให้มึงถึงนี่ก็เกินพอแล้ว”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด
“หัดรู้ตัวบ้างว่ามึงทำชีวิตกูผิดแผนไปหมด เข้าใจไหมว่ากูจัด Priority ให้พี่โรมมาเป็นอันดับหนึ่ง.... แต่บ้านกู มึงก็ไปก่อนพี่โรม พอกูตั้งใจจะทำอาหารให้เขากินเป็นคนแรก มึงก็โผล่มาตัดหน้าอีก!”
เพราะผมยืนหันหน้าเข้าหาเตาไฟฟ้าเพื่อช้อนฟองที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำซุปทิ้งไปก็เลยไม่รู้ว่าในตอนนั้นไอ้แดนมีปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่ผมพูด ผมเองก็แค่อยากให้มันรับรู้เสียทีว่าตัวมันยังไม่ใช่คนที่ผมยินดีจะให้เข้ามาในชีวิต ยิ่งดันทุรังล้ำเส้นเข้ามามากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกต่อต้านและเหม็นขี้หน้ามากขึ้นเท่านั้น.... แต่มันก็คงไม่เจ็บปวดอะไรนักหรอกมั้ง ก็ยังได้ยินเสียงมันหัวเราะเสมือนว่าเรื่องของผมกับพี่โรมเป็นเรื่องตลกอยู่เลยนี่
“ทิชา.... จะว่ากูเสือกก็ใช่แหละ แต่กูขอถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ย?”
เดือนสถาปัตย์ย้ายที่ตัวเองไปยืนกอดอกพิงอ่างซิงค์ น้ำเสียงที่ฟังดูซีเรียสขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางซึ่งปราศจากความกวนตีนบอกให้ผมเข้าใจได้โดยนัยว่ามันคงอยากรู้คำตอบจริงๆ
“เหตุผลที่ทำให้มึงรักเฮียโรมมากขนาดนี้คืออะไรวะ? มึงเองก็เพิ่งรู้จักพี่ชายกูได้ไม่นาน มึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฮียโรมและเฮียแม่งก็ไม่ได้รู้จักมึงมากไปกว่าที่เห็นเลย แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่ามึงกับเขาควรจะได้กัน?”
ผมชะงักมือแล้วหันไปมองคนถาม อันที่จริงแล้วผมคิดว่าผมควรจะโมโหที่ไอ้แดนพูดจาเหมือนดูถูกว่าความรักของผมเป็นแค่ความรู้สึกฉาบฉวยชั่ววูบ แต่ทว่า สายตาและสีหน้าที่มันแสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ผมกลืนคำพูดต่อว่าลงคอไป
“ที่กูบอกให้มึงลองไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค กูก็แค่บอกไปงั้นๆ เผื่อว่ามึงจะกลัว เห็นว่ามันยากแล้วยอมตัดใจจากเขา.... กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำจริง กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้ชายคนเดียว แถมยังทำสำเร็จอีก..............”
“มึงเกิดมาในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ มีญาติ มีพี่น้อง พอเข้ามหาลัยก็ได้เป็นถึงเดือนคณะ.... คนชอบมึงมีเป็นร้อยเป็นพัน ไปไหนมาไหนก็มีแฟนคลับคอยให้กำลังใจ เพราะฉะนั้น มึงไม่มีทางเข้าใจความเป็นลูซเซอร์ของกูหรอก แดน”
ผมพยายามเลี่ยงที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมาตลอด มันไม่เคยมีประโยชน์เลยกับการมานั่งคิดถึงสิ่งที่คนอื่นมีแต่ตัวเองขาด หากในหลายๆ ครั้งผมก็ห้ามสมองไม่ให้คิดไปในทางลบไม่ได้.... ไม่มีใครที่อยากจมอยู่ในความมืดตลอดไป แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังออกมาในที่สว่าง อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง และพี่โรมก็คือคนที่เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ดวงแรกในชีวิต
“วันแรกที่กูเจอพี่โรมน่ะเป็นความเหี้ยที่สุดของที่สุดในชีวิตที่กูเคยเจอมาเลย เพิ่งรู้ความจริงว่าโดนหลอกคบซ้อน แถมยังโดนเมียเขาตามมาแหก ราดช็อกโกแลตทั้งแก้วใส่หัว คนทั้งร้านหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าใส่กู พี่โรมจะไม่ยุ่งกับกูเลยก็ได้ แค่หัวเราะตามเพื่อนๆ ไปก็จบแล้ว แต่พี่โรมกลับเดินเข้ามาช่วยทั้งๆ ที่สภาพกูเละเทะขนาดนั้น........”
“คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะช่วยเหลือกัน แต่สำหรับกูมันมากกว่านั้น.... ชีวิตกูไม่ได้เจอคนอย่างพี่โรมง่ายๆ และกูก็ไม่อยากรออีกแล้ว.......”
เพราะไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากทนกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมทุ่มชนิดไม่รักตัวกลัวตายเพื่อให้ได้ความรักจากพี่โรมกลับมาก็ได้
“เฮียโรมโชคดีเนอะ.... เป็นคนที่ใช่ เข้ามาในเวลาที่มึงต้องการพอดี........ทีกูแม่ง”
ไอ้แดนรำพึงรำพัน เหมือนมันจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงได้ยึดติดกับพี่โรมนัก แต่ประโยคหลังที่มันสบถถึงตัวเอง ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันเกี่ยวกันยังไง
“เขามีทุกอย่างที่กูตามหาอยู่ในคนๆ เดียวเลยว่ะ.... เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย แล้วก็เป็นคนรักแบบที่กูอยากได้ด้วย”
“โอ้โห ไอ้ทิชา.... มึงนี่หลงพี่กูหนักมากนะ”
มันว่าพลางแค่นหัวเราะในลำคอใส่ ก็คงรู้สึกขำที่ผมยัดเยียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองขาดไว้ในตัวพี่โรมคนเดียวแบบ All-in-one และในตอนที่มันเข้ามาประชิดตัวผม รอยยิ้มกวนตีนแบบที่เห็นจนเริ่มชินตาก็กลับมาอีกครั้ง
“จะรักจะหลงยังไงก็แล้วแต่ เวลาไปแคสบทด้วยกันก็ช่วยยึดคอนเสปท์ #แดนทิชา หน่อยก็แล้วกัน”
“ก็ได้ แต่แค่งานเดียวนะ..........” ผมตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนพูด
“หืม?”
“บอกตามตรง กูไม่คิดว่าตัวเองจะแคสผ่านหรอก แต่ถึงผ่าน กูก็จะทำงานนี้แค่งานเดียวเท่านั้น.... ไม่รับงานพ่วง ไม่มีลากยาวไปกว่านี้ ตกลงไหม?”
เพราะมีแม่ทำงานในวงการบันเทิง ผมจึงรู้ดีว่าถ้าหากอยู่ในช่วงน้ำขึ้นเมื่อไร ก็จะมีผู้คนมากมายซึ่งได้ผลประโยชน์ร่วมพยายามเข้ามาบังคับให้ดาราคนนั้นกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสต่อไป ยังไงซะ ผมก็ไม่คิดจะเซ็นสัญญาผูกมัดกับทางช่องเอ็มหรือโมเดลลิ่งเจ้าไหนอยู่แล้ว.... แล้วก็จะยินดีมากด้วยถ้าไอ้แดนจะแฟร์ๆ กับผมด้วยการไม่เข้ามาวุ่นวายอะไรอีกหลังจากจบงานนี้
“ตามใจมึงดิ ขอแค่ได้เข้าวงการ กูก็พอใจแล้ว”
ซุปไก่แก้หวัดที่ไอ้แดนอยากกินเสร็จพอดี ผมปิดเตาไฟฟ้าแล้วโรยคื่นช่ายกับต้นหอมตบท้ายให้ก่อนจะไปอุ้มแมวมิลค์ซึ่งนอนแผ่อยู่ใต้โต๊ะทำงานเตรียมกลับห้องพี่โรม.... แดนมันก็เซ้าซี้บอกให้ผมอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนมันแล้วค่อยกลับก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ที่ที่ผมอยากอยู่มากเท่าห้องของพี่โรม ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของห้องก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา
ถึงแม้ว่าในคืนนั้น ไอ้แดนจะอัพรูปลูกแมวสีขาวกับซุปหนึ่งหม้อลงไอจีพร้อมติดแฮชแท็ก #แดนทิชา ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปสักเท่าไร....
ROME’s PART“เฮียโรมไม่กินเหรอ.... บี๋ว่าน้ำแข็งไสชาไทยร้านนี้อร่อยนะ อร่อยกว่าบิงซูร้านเกาหลีอีก”
เกือบสามทุ่มแล้วแต่ร่างเล็กตรงหน้าผมก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมกลับบ้าน หลังจากลากผมเข้ามาในคาเฟ่แฟรนไชส์ขนมหวานซึ่งกำลังเป็นที่นิยม รอยยิ้มร่าเริงและเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วนั้นไม่เข้ากับบรรยากาศที่แท้จริงระหว่างเราเลยแม้แต่น้อย.... สำหรับผมแล้ว ท่าทางร่าเริงน่ารักของบีบี๋มันก็แค่ภาพลวงตา อาจจะดูสวยงามในตอนแรกแต่พอทิ้งไว้นานเข้าก็เห็นเนื้อในกากกลวงเป็นโพรง ไม่ต่างจากบิงซูที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนานั่นแหละ หน้าตาก็ดูน่ากินดีแต่ใครๆ ก็คงรู้ว่าพอมันละลายก็เละเทะหมดราคาแทบจะทันที
ไม่เหมือนกับทิชาที่ถูกทุกคนรุมตั้งแง่เพราะความเข้าใจผิด ทั้งที่ความจริงแล้วเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรน่ารังเกียจเลยสักนิด....
“หรือเฮียอยากกินโทสต์มากกว่า? เอานูเทลล่าดีมั้ย เดี๋ยวบี๋ไปสั่งให้?”
“ไม่ต้องหรอก........” ผมตอบทั้งที่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เปิดแอพอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะได้คุยกับ ‘เมียของรุ่นพี่’ ให้น้อยที่สุด
“งั้นก็เลิกทำหน้าซังกะตายสักที”
บีบี๋ออกคำสั่ง แน่นอนว่าเจ้าชิวาว่าแสนเจ้าเล่ห์จะต้องปั้นหน้ายิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่าใส่ผม หากฟังจากคำพูดและน้ำเสียงกระแทกแดกดันนิดๆ เชื่อเถอะว่าบีบี๋คงต้องใช้ความอดทนมากเลยทีเดียวที่จะไม่ปรี๊ดแตกใส่ผม
“บี๋อุตส่าห์ชวนเฮียโรมมาเดทนะ เอาแต่หน้าบึ้ง แถมยังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้ สั่งอะไรมากินก็ไม่อร่อยหรอก”
“ถ้าบี๋ไม่ชอบ งั้นจะกลับเลยไหมล่ะ?” ผมถามพลางขยับเก้าอี้พร้อมลุกออกจากร้านได้ทุกเมื่อ ทำเอาเด็กหนุ่มร่างเล็กเผลอตัวตวัดเสียงห้วนอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่กลับ!”
เพราะเสียงเมื่อครู่ สาวออฟฟิศกลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะอีกฟากกับเด็กนักเรียนมัธยมอีกกลุ่มจึงหันมามองเรากันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิต้องนัดหมาย โชคดีที่เวลานี้แขกในร้านค่อนข้างบางตา เราก็เลยไม่ต้องเผชิญกับความอับอายขายขี้หน้ามากนัก.... บีบี๋เองก็ดูจะรู้ตัวอยู่ว่าผมโคตรไม่ชอบอะไรแบบนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นบ้องแบ๊วขี้อ้อนรวดเร็วราวกับกดสวิทช์สลับโหมด คงเห็นว่าผมโง่สมองปลาทองล่ะมั้ง ถึงคิดว่าแค่กลับมาทำตัวแบบเดิมแล้วผมจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน
“เฮียโรมไม่อยากกินขนมก็ไม่เป็นไร งั้นเราไปดูหนังกันก็ได้.... บี๋กำลังอยากดูคิงส์แมนภาคใหม่อยู่พอดี”
เริ่มต้นจากข่มขู่ เปลี่ยนเป็นเอาแต่ใจ แล้วก็มาจบที่ออดอ้อนออเซาะ.... หากเป็นเมื่อสักสอง-สามวันก่อน ผมอาจจะคิดว่าบีบี๋กำลังอารมณ์แปรปรวนเพราะเครียดเรื่องเรียนกับเรื่องที่บ้านแล้วก็คงไม่ถือสา หากตอนนี้ สิ่งที่บีบี๋ต้องการคงไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าแค่ความพยายามจะเอาชนะ หวังจะให้ผมไปทวงเกียร์คืนจากทิชาแล้วเอามาคล้องคอให้
“จะกินก็รีบกินเหอะ เฮียจะกลับแล้ว มีงานต้องทำ” ผมตัดบท รู้ตัวดีว่าใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไป และผมก็เหนื่อยกับเกมข้ารับใช้หมากระเป๋างี่เง่านี่เต็มทีแล้ว....
“รีบอะไรนักหนาล่ะ เฮียโรมเป็นคนบอกบี๋เองนะว่างานเทอมนี้ไม่หนักมาก โปรเจ็กต์กลุ่มใกล้เสร็จแล้ว เปเปอร์ก็ให้พี่แจ็คช่วยเขียนเล่มให้ เรียนชิลล์ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ยังมีวิชาอื่นที่ต้องทำงานส่ง”
ผมว่าพร้อมทั้งหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจงใจจะตำหนิ ถ้าเขาเป็นคนรักหรือน้องชาย ผมก็คงจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้บีบี๋เห็นความสำคัญของการมีใบปริญญาและการทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดจาอ่อนโยนถนอมน้ำใจเขาไปทำไม
“บีบี๋ก็ควรจะใส่ใจเรื่องเรียนให้เท่าๆ กับเรื่องอยากเข้ามาเป็นสะใภ้วิศวะฯ นะ ถ้าเลิกคบกับทิชา ก็ไม่น่าจะมีเพื่อนคนไหนยอมไปช่วยบี๋ปั่นงานส่งอาจารย์ยันเช้า ติวสอบ หรือกินแรงเวลาทำงานกลุ่มอีกแล้วนี่”
เพียงเท่านั้น แก้มกลมๆ ก็พองขึ้นและกลายเป็นสีแดงจัดด้วยความโมโห
“บอกแล้วไง เวลาอยู่กับบี๋ห้ามพูดชื่อไอ้ชา!”
“เลิกเล่นเป็นเด็กๆ เสียทีเถอะ โกรธใครก็ไม่อยากได้ยินชื่อคนนั้น”
เพราะรู้ว่ายิ่งต่อความยาวก็ยิ่งเหมือนจุดไฟ ในเมื่อความรู้สึกของเราทั้งคู่มันพังพินาศไปหมดแล้วก็สู้ให้มันฉิบหายแล้วรีบๆ จบกันไปเสียดีกว่า
“ทิชาเขายังไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
“อย่าเอาบี๋ไปเปรียบเทียบกับมันนะ!”
ช้อนเงินกระทบกับโต๊ะเสียงดังแคร๊ง คนทั้งร้านหันมามองเราแทบจะเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง ร่างเล็กโกรธจัดจนตัวสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นเสมือนว่าอยากจะตบหน้าผมเต็มแก่.... โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสว่างวาบเพราะมีไลน์เข้า ผมมองเห็นชื่อเจ้าของข้อความแต่ยังไม่ทันจะได้อ่าน มือของบีบี๋ที่ทำท่าจะตบผมอยู่เมื่อกี้ก็พุ่งเข้ามาฉวยเอาไอโฟนของผมไปแล้วถือวิสาสะกดเปิดอ่านต่อหน้า
“บีบี๋!” แน่นอนว่ามันเป็นไลน์ที่ส่งมาจากทิชา บีบี๋ถึงได้จงใจจะแย่งไปเพื่อยั่วโมโหผมกลับ “เอามือถือเฮียคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“อะไรกัน.... นี่เฮียถึงขนาดยอมให้มันขึ้นคอนโดฯ เลยเหรอ?”
น้ำเสียงที่ได้ยินมีทั้งความประหลาดใจระคนสมเพช และความโมโหน้อยใจที่ผมไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยชวนบีบี๋ไปห้องในตอนที่ยังคบกัน.... ด้วยความอิจฉาที่มีอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของทิชา ไม่มีการฉุกคิดเลยว่าที่ผมไม่ต้องการจะไปต่อกับบีบี๋ ที่จริงแล้วสาเหตุเป็นเพราะใคร
“หึ กะแล้วเชียวว่าไอ้ชาต้องเก่งเรื่องอย่างว่าแน่ๆ เฮียโรมถึงได้ติดใจมันนัก.... ที่ยอมให้มันอยู่ด้วยก็คงกะว่าพอเกิดหงี่ขึ้นมาเมื่อไรก็เอาได้ทันทีสินะ ของฟรีก็ง่ายแบบนี้แหละ สมแล้วที่คนในเบอร์ลิคเขาเรียกกันว่ากะหรี่ห้อยเกียร์!”
“บี๋ก็ไม่ได้ดีไปกว่าทิชานักหรอกนะ”
ผมตอบโต้ สายตามองต่ำลงไปยังเกียร์รุ่น 32 ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เปลืองตัวแย่งมาพลางกระตุกมุมปากใส่
“เกียร์ของเฮียรุจที่ห้อยคออยู่นั่นก็ประจานความต่ำตมในตัวบี๋ได้ดีพอๆ กับคำพูดว่าร้ายคนอื่นเชียวล่ะ”
“แต่บี๋ไม่ได้ชิงเกียร์ใคร.... เฮียรุจเขายังโสด แล้วเขาก็เต็มใจจะยกเกียร์ให้บี๋ด้วย!”
ชิวาว่าแยกเขี้ยวขู่แฟ่ดเมื่อถูกผมด่าด้วยสายตาว่าใครกันแน่ที่เป็นกะหรี่ห้อยเกียร์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิดหน้าท้าทายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกียร์ที่ตัวเองห้อยอยู่นั้นแพงกว่าเกียร์ของผมที่ยกให้ทิชาหลายเท่านัก และบีบี๋ก็ลงทุน ‘จ่าย’ ไปเยอะทีเดียวกว่าจะได้มาครอบครอง
“เฮียโรมนั่นแหละที่ควรจะรู้ฐานะตัวเองได้แล้วนะ.... เฮียรุจเขาก็พูดออกจะชัดเจนขนาดนั้น หน้าที่ของทุกคนในสายก็คือดูแลบี๋ให้สมกับที่เป็นสะใภ้ใหญ่แห่งเบอร์ลิค แล้วตอนนี้บี๋ก็ต้องการให้เฮียโรมพาบี๋ไปดูหนัง”
ในตอนแรก ผมก็ยังคิดอยู่ว่าที่บีบี๋ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการประชดที่ผมนอกกายไปมีอะไรกับทิชา ก่อนจะตามมาด้วยการนอกใจเมื่อสุดท้ายผมก็ไม่ได้ทวงเกียร์กลับคืนมา แต่ถ้าบีบี๋รักผมจริง เขาจะเล่นแรงถึงขนาดเอาอนาคตและความอยู่รอดในหมู่พี่น้องวิศวะฯ ของผมลงมาแลกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้เชียวหรือ.... ผมไม่ได้อยากเปรียบเทียบบีบี๋กับทิชาหากมันก็อดไม่ได้ ทิชาไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากความรักจากผม ในขณะที่บีบี๋ก็แค่ต้องการตัวผมเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าตัวเองอยู่เหนือทิชา และเมื่อผมปฏิเสธ เขาก็ไม่ลังเลที่เปลี่ยนมาทำลายกัน
ผมถึงมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้ว เด็กร้ายกาจคนนี้ก็คงจะไม่มีวันรักและคิดถึงใครนอกจากตัวเอง....
เสียงเรียกเข้ามือถือของบีบี๋ดังขึ้น ทำเอาเจ้าตัวรีบหันไปมองชื่อบนหน้าจอ แต่คราวนี้ผมไม่พลาดอีกแล้ว และก่อนที่ร่างเล็กจะได้ขยับเขยื้อน ผมก็ชิงตัดหน้าคว้าโทรศัพท์สัญชาติเกาหลีมาถือแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายเพิ่งทำกับผมเมื่อกี้นี้
“เฮียโรมจะทำอะไร เอาโทรศัพท์บี๋คืนมา!?”
“ทีเมื่อกี้ บี๋ยังดูไลน์เฮียได้เลยนี่” ผมจงใจจุดยิ้มกวนประสาทใส่คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา “แย่จริงๆ ต้องให้หม่าม้าลำบากโทรตามกลับบ้านอีกแล้วเหรอ?”
“อย่ารับเชียวนะ!”
มีหรือว่าผมจะฟัง ผมรู้ว่าเรากำลังเอาคืนกันไปเอาคืนกันมาอย่างกับเด็กอนุบาล แต่คนที่ทำให้บีบี๋กลัวจนขึ้นสมองได้ก็มีแค่พ่อกับพี่ชาย และผมก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวจะได้อบรมสั่งสอนลูกชายคนเล็กหลังจากห่างเหินมานาน
“สวัสดีครับ คุณแม่ของบีบี๋ใช่ไหมครับ?”
“เฮียโรม!!”
“ครับ บีบี๋อยู่กับผมที่ห้างแถวๆ สยามครับ.... เปล่าครับ วันนี้น้องเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายๆ แล้ว...... อ๋อ ไม่ใช่เลยครับ ไม่ได้อยู่ทำงานดึกอะไรเลย ทิชาเขาก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้วด้วยครับ”
ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่อนแขนเล็กเอื้อมข้ามโต๊ะมาพยายามจะแย่งมือถือคืน แน่นอนว่าต้องไม่สำเร็จเมื่อผมไม่คิดจะอ่อนข้อให้
“บีบี๋ไม่ยอมรับสายคุณแม่น่ะครับ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกว่าอยากไปดูหนังต่อ ดูเหมือนจะไม่อยากกลับบ้านสักเท่าไร.... ว่าไงนะครับ? คุณพ่อกับพี่ชายโกรธมาก สั่งให้บีบี๋กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ.......”
“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่.... ผมรู้จักทางไปบ้านบีบี๋ จะพยายามพาเขาไปส่งให้ได้เลยครับ ฝากบอกคุณพ่อกับพี่ชายบีบี๋ด้วยนะครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง สวัสดีครับ”
ผมกดวางสายก่อนจะสไลด์มือถือกับโต๊ะส่งคืนให้เจ้าของ บีบี๋โมโหจนหน้าแดงจัดแก้มพองตาพองไปหมด ผมมองหน้าร่างเล็กสลับกับบิงซูในถ้วยซึ่งเริ่มละลายเละเทะเต็มถาดเมื่อไม่มีใครสนใจจะกินก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เล่นบ้าอะไรของเฮีย บี๋ไม่ขำนะ!”
“ก็ไม่ได้จะให้ขำสักหน่อย” ผมว่า “ดูเหมือนคุณพ่อกับพี่ชายจะโกรธใหญ่แล้วนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้เพิ่งก่อเรื่องไว้ก่อนจะหนีออกมาข้างนอกไม่ใช่เหรอ? แน่ใจนะว่ายังอยากจะหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มอีก?”
“บี๋จะดูหนัง!”
“ก็ตามใจ เชิญขึ้นไปจองตั๋วดูคนเดียวก็แล้วกัน”
ผมไม่คิดจะห้ามบีบี๋อีกแล้ว เพราะถึงยังไง เจ้าตัวก็คงจะรั้นยื้อแย่งในสิ่งที่ทำหลุดมือไปกลับคืนไม่ได้ หมดเวลาเล่นเกมแล้ว อยากทำบ้าบอห่าเหวอะไรก็เชิญ.... และอย่างเดียวที่ผมจะสามารถมอบให้อดีตแฟนในตอนนี้ก็คือตั๋วกลับบ้านเที่ยวเดียว ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างคนต่างอยู่และไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
“แต่ถ้าบี๋จะตามมาก็มีตัวเลือกเดียวคือกลับบ้าน.... ก็เลือกเอานะว่าอยากนั่งรถกลับสบายๆ ออกไปโบกแท็กซี่ที่แม่งรับแต่ฝรั่ง หรือจะโหนรถไฟฟ้าต่อรถเมล์กลับบ้านเอง!”