✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 62996 ครั้ง)

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยอย่างแสนสาหัส อุปทานว่าได้ยินเสียงกระดูกตัวเองลั่นเปรี๊ยะเหมือนเวลาบิดน้ำแข็งออกจากถาด บ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดเมื่อคืนนี้เกินคำว่าขีดจำกัดไปมาก.... พูดก็พูดเหอะ ตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดที่นอนกับแฟนคนแรกจนถึงเมื่อวาน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะโดนเล่นจนแขนขาเปลี้ยแทบอยากอยู่นิ่งๆ เป็นผักไปอีกสักสามวันขนาดนี้

ผมยันร่างลุกขึ้นมานั่งสะลึมสะลือต่ออีกสักพัก นอกจากจะปวดหัวปวดตัวแล้วยังรู้สึกเหมือนเป็นไข้อีกต่างหาก แต่ช่างแม่งก่อนเหอะ.... ห้องที่ผมอยู่ตอนนี้สภาพเหมือนหอพักรวมราคาถูกยังไงชอบกล มีทั้งเตียงและฟูกวางอยู่ปนๆ กัน ตู้เสื้อผ้าแบบตู้ล็อกเกอร์ตั้งชิดผนัง ข้าวของ หนังสือ เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์กีฬาวางระเกะระกะเกลื่อนไปหมด ผมเจอโทรศัพท์มือถือตัวเองวางอยู่ข้างหมอน พร้อมด้วยกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตที่ใส่มาเมื่อคืนซึ่งปัจจุบันคงต้องเรียกว่าเศษผ้าถึงจะถูก

แต่แลกเสื้อผ้าหนึ่งชุดกับศักดิ์ศรีอีกนิดหน่อยก็ถือว่าคุ้ม

เพราะในที่สุด ผมก็ได้เกียร์ของพี่โรมมาแล้ว....

ดีที่มือถือยังมีแบตเหลืออยู่พอควร ผมเปิดกล้องหน้าไอโฟนแล้วสำรวจสภาพตัวเอง.... หน้าผมยังโอเคอยู่ถึงจะตาบวมนิดหน่อย ปากที่โดนขยี้จูบซ้ำๆ ยังเจ็บอยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อตัว รอยฟันรอยดูดเต็มไปหมดจนแทบไม่เหลือที่ว่าง.... ผมว่าผมคุ้มแล้วนะแต่บางทีพี่โรมอาจจะคุ้มกว่า เพราะเฮียแกแม่งทั้งจับทั้งจูบไปทั่วตัวผมไม่เว้นแม้กระทั่งซอกขา

แต่ไม่ต้องถามนะว่าชอบหรือเปล่า ผมถ้าไม่ชอบผมก็คงไม่เซลฟี่สารรูปตัวเองเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรอก ถ้าโพสต์ขิงลงไอจีก็คงใส่แคปชั่นประมาณว่า....


‘โดนพี่โรมเอาครั้งแรก.... รู้สึกดีชะมัด!’


ผมได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมาจึงรีบวางมือถือแล้วนอนลงตามเดิม พอดีกับที่ประตูเปิด พี่โรมเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำขวดและข้าวต้มร้านสะดวกซื้อ

ผมแกล้งทำเป็นงัวเงียเพิ่งตื่น ส่งเสียงครางงึมงำเหมือนไอ้มิลค์เวลาบิดขี้เกียจก่อนจะหันไปทำตาปรือใส่เจ้าของเกียร์.... มันเป็นท่าทางแบบที่ผมมักจะทำบ่อยๆ เวลาตื่นนอนหลังจากมีเซ็กส์ ผู้ชายทุกคนชอบให้ผมทำเพราะคิดว่ามันดูน่ารัก ซึ่งผมก็หวังว่าพี่โรมจะคิดไม่ต่างจากคนอื่น

“ทิชา มึงเป็นไงบ้าง?”  พี่โรมนั่งลงบนที่ว่างด้านข้างก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ “จะบ่ายสองแล้วเนี่ย มึงหลับยาวซะจนกูนึกว่าจะไม่รอดแล้ว”

“ก็ไม่น่าจะรอดอะพี่ ระบมทั้งตัวเลย..........” 

ว่าพลางขยับแขนขาให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันบอบช้ำแค่ไหน ดูจากสายตาพี่โรมก็พอเห็นว่าเขาค่อนข้างละอายใจที่หงี่จนทำเอาผมแทบปางตาย แต่ผมจะไม่บอกเขาหรอกว่านานๆ ครั้งเจอคนเยดุๆ สักทีก็สนุกดีเหมือนกัน

“ว่าแต่เรื่องเมื่อคืน........มึงจำได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?” 

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนพยายามเค้นความทรงจำจากสมองเบลอๆ ทั้งพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าคล้ายยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรกันแน่

“หมายความว่ายังไงวะ?”

ผมก้มลงมองมือตัวเองที่จิกเข้าหากันอยู่บนตัก เม้มปากเป็นเชิงว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี แต่ผมก็คงต้องพูดแหละ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม 

“ก็.......ชาจำได้ว่ามาหาพี่โรม เราคุยกันอยู่แปบนึงแล้วพี่โรมก็ออกไปธุระข้างนอก......มีผู้ชายที่เป็นเจ้าของร้านเข้ามาคุยกับชา เขาเอาเบียร์มาให้ดื่ม........หลังจากนั้น ชาก็จำอะไม่ได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีก็เห็นพี่โรมที่นี่แล้ว............”

ผมถอนหายใจเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แค่นยิ้มให้กับสภาพน่าทุเรศทุรังของตัวเอง ร่างกายช่วงล่างยังเจ็บระบมจนต้องเบ้ปาก คราบรักของพี่โรมยังแห้งเกรอะกรังอยู่ในช่องทาง จะให้ทำแบ๊วถึงขนาดไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าโดนผู้ชายเอาก็ออกจะเกินเบอร์ไปหน่อย

“สงสัยชาคงเมาแล้วก็โดนใครสักคนแถวๆ นั้นหิ้วไปสินะ......แย่จัง........ถ้าชารีบกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนที่พี่โรมบอกก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้..........”

เห็นทีที่พวกปากหอยปากปูชอบด่าผมกันว่า ‘เลือดแม่มันแรง’ คงไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องชอบแย่งแฟนชาวบ้านแล้วมั้ง เพราะเรื่องเล่นละครตอแหลให้ตัวเองดูน่าสงสารก็ ผมทำได้ดีเช่นกัน

น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงเหมือนสั่งได้ ยิ่งพี่โรมทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผมก็ยิ่งบิ้วท์อารมณ์เศร้าได้ง่ายขึ้น

“เมื่อคืนนี้......กี่คนเหรอ?”

“อะไรของมึง?”

“ที่ชานอนด้วยน่ะ กี่คนเหรอ? ใช่เพื่อนพี่โรมหรือเปล่า?”

ผมใช้หลังมือปาดน้ำตา ถามเสียงสั่นพยายามกลั้นแรงสะอื้นเอาไว้ พี่โรมรีบดึงตัวผมไปกอดแล้วลูบหัวลูบหลังปลอบเป็นการใหญ่ ผมทิ้งตัวเองให้ร้องไห้กระซิกอยู่ในอ้อมอกพี่โรมอย่างไม่อาย.... ที่ตรงนี้มันอบอุ่นมากเหลือเกิน ลำพังแค่ท่อนแขนที่โอบรอบร่างกายผม ผมก็รู้สึกว่าได้รับการปกป้องทะนุถนอมและจะไม่มีสายตาหรือคำพูดใครสามารถทำร้ายผมได้อีก

แล้วมันผิดตรงไหนถ้าผมจะอยากเก็บพี่โรมเอาไว้คนเดียว?

“มึงไม่ได้โดนใครหิ้วไปหรอก.....ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ........”

เสียงทุ้มเอ่ยบอกผม มือหนาที่ลูบหลังสั่นเล็กน้อยระหว่างที่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของเราทั้งคู่

“......แค่กูคนเดียวที่ได้มึง ทิชา.........”

“พี่โรม............”  ผมผละตัวออกจากอ้อมอกกว้าง ใช้แววตาแดงก่ำชุ่มน้ำตามองร่างสูงราวกับว่าเขาคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต “พี่พูดจริงเหรอ?”

ในขณะที่พี่โรมมองผมประหนึ่งว่าผมคือคนที่ดับแสงสว่างในชีวิตเขา....

“กูขอโทษ”

ปลายนิ้วใหญ่ลูบแก้มชื้นของผมก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกให้ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ผมต้องการ แม้ผมจะเป็นเด็กเวร เป็นตัวซวยที่ทำให้เขาต้องเจอเรื่องยุ่งยากกับพวกเพื่อนและรุ่นพี่วิศวะฯ แต่พี่โรมก็ไม่ได้ใจร้ายกับผมเหมือนอย่างที่กลัวเลยสักนิด

“อันที่จริงกูก็ไม่รู้ว่ากูต้องขอโทษมึงมั้ย หรือใครต้องขอโทษใครกันแน่.... ห่าเอ๊ย”

พี่โรมสบถก่อนจะเสยผมตัวเองแรงๆ คล้ายว่ากำลังจัดระเบียบความคิดเสียใหม่ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไร จะกำลังคิดถึงความสัมพันธ์ของเราหลังจากนี้หรือคิดจะบอกเลิกบีบี๋ด้วยวิธีไหน ผมไม่เห็นแคร์ สิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้ก็มีแค่ผลลัพธ์ที่ตัวเองจะได้เท่านั้นแหละ 

“มึงไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วกินข้าวเหอะ..... กูเอามือถือกับกุญแจรถมึงขึ้นมาให้แล้ว เดี๋ยวกูขับไปส่งบ้าน ยังไงวันนี้ก็ไปเรียนไม่ทันแล้ว”

ผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลุกขึ้นจากเตียง แต่ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น อาการเจ็บจี๊ดจากช่องทางด้านหลังก็เล่นเอาผมเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งแหมะพร้อมกับเสียงร้องอุทธรณ์ลั่น

“โอ๊ย..........!”

“เฮ้ย ถึงขนาดเดินไม่ไหวเลยเหรอวะ?”

พี่โรมเข้ามาประคองผมให้ลุกขึ้นยืน พอเห็นว่าไม่น่าจะไหวเขาก็ทำท่าจะอุ้มผมไปที่ห้องน้ำเอง แต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อบางสิ่งบางอย่างไหลย้อยออกมาเปรอะต้นขาด้านในของผม

“พี่โรม..........”  ผมมองหน้าเจ้าของคราบรักสีขาวที่เป็นหลักฐานว่าผมกับเขาได้เสียกันแล้ว  “เมื่อคืน.....พี่ปล่อยข้างในตัวชาเหรอ?”

ผมแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะด่า ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายแฮปปี้กับการเอากันครั้งแรกของเรา แต่พี่โรมกลับทำท่าเหมือนโคตรรู้สึกผิดและไม่ค่อยสบายใจนัก ผมก็เลยอยากช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นหน่อย

“มันล้างออกยาก ปกติชาไม่ยอมให้ใครสดหรอก ต่อให้ขอยังไง ถ้าไม่ใส่ถุงก็ไม่ต้องมายุ่งกัน.......” 

ผมกระซิบบอกในตอนที่พี่โรมอุ้มผมเดินไปยังห้องน้ำที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันกว่าครึ่งค่อนคืน เสียงครางในลำคอด้วยความกระสันของพ่อเสือร้ายยามที่กำลังขย่มโยกอย่างดุเดือดใส่ลูกกวางน้อยแบบผมยังแล่นอยู่ในหัวชัดยิ่งกว่าดูหนังโรงไอแม็กซ์ และผมก็แน่ใจด้วยว่าพี่โรมไม่ได้รังเกียจสิ่งที่เราทำร่วมกัน 

“พี่โรมเป็นคนแรกเลยนะที่ได้ปล่อยข้างใน..........”

“โทษทีว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจ”

“จะขอโทษทำไม?” 

ผมหัวเราะก่อนยกจะแขนขึ้นคล้องคอชายหนุ่ม ยิ้มหวานออดอ้อนพลางเอียงคอซบเจ้าของอ้อมแขนอย่างมีความสุขที่สุด 

“ไม่ต้องขอโทษชาหรอก.... แค่ช่วยเอาของตัวเองออกให้หมดก็พอแล้ว”


ผมยืนซุกหน้ากับอกกว้างเกาะต้นแขนพี่โรมเอาไว้แล้วปล่อยให้เขาจัดการกับตัวผมได้ตามใจชอบ น้ำจากฝักบัวกระทบเข้ากับผิวเนื้อช่วงล่างที่เปลือยเปล่า ความเย็นไหลซึมผ่านปากแผลบังคับให้ผมต้องนิ่วหน้าจิกปลายนิ้วเข้ากับเสื้อยืดของร่างสูง มันทั้งเจ็บแล้วก็แสบจนไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถึงขั้นได้เลือดหรือเปล่า พอนิ้วยาวสอดล้วงเข้าไปข้างในรอยแยกทางด้านหลัง ผมก็รู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้

“อื้อ....!”

“เจ็บมากมั้ยวะ ทิชา?” พี่โรมถามพลางชะงักการเคลื่อนไหวที่ทำให้ผมเหงื่อซึมขาสั่นระริก “ถ้าไม่เอาออกเดี๋ยวมึงจะไม่สบาย กูจะพยายามเบามือนะ........”

“ไม่เป็นไร......พี่โรมทำต่อเถอะ...........”

ผมกลั้นหายใจฮึบไว้ระหว่างที่ปลายนิ้วแกร่งสอดแทรกเข้าไปชำระล้างคราบรักที่ตกค้างมาหลายชั่วโมง พี่โรมก็ทำอย่างที่พูดจริงนั่นแหละ เขาโคตรอ่อนโยนแล้วก็ทะนุถนอมผมผิดกับความร้อนแรงที่โถมเข้าใส่จนหัวสั่นหัวคลอนเมื่อคืนนี้.... ถึงจะเจ็บน้ำตาคลอแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่ชอบ จะหาว่าบ้าก็ได้มั้ง แต่ขอแค่เขาดีกับผมแบบนี้ ต่อให้เจ็บมากกว่านี้อีกสิบเท่าร้อยเท่า ผมก็ทนได้

แต่ถ้าเขาใจร้ายเมื่อไร ผมก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างฉิบหายไปด้วยกัน....

“พี่จ๋า.....ให้น้องจูบพี่หน่อยนะ.......”

ผมโน้มคอพี่โรมให้เขาก้มลงมาหา แตะริมฝีปากเข้ากับสันคางได้รูป ผิวแก้มสากก่อนจะไปหยุดตรงที่ปากรูปกระจับที่ผมคิดว่ามันเซ็กซี่แบบไม่ไหวแล้ว ผมยั่วพี่โรมให้จูบตอบแล้วก็ได้สมใจอยาก

จากที่เพียงแค่ประกบปากเข้าหากันก็กลายเป็นจูบหนักหน่วงฉกชิงลมหายใจคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อทักทายให้พี่โรมกระหวัดเกี่ยวตอบรับกลับมา เสียงครางครึมในลำคออีกฝ่ายยั่วเย้าให้ผมยิ่งตื่นเต้น จากที่แค่ขอให้พี่โรมจูบปลอบให้ลืมความเจ็บก็เลยเถิดเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ.... ผมอยากได้พี่โรมขึ้นมาอีกแล้ว

“พี่โรม.... ตรงนี้ของน้องมันบอกว่าอยากได้พี่ล่ะ.......” 

ผมอ้อนเสียงหวานพลางเบียดตัวเข้าหาพี่โรมจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้อากาศแทรกผ่าน ส่วนกลางลำตัวซึ่งตื่นขึ้นเพราะรสจูบวาบหวามเมื่อครู่ชี้ชนกับหน้าขาชายหนุ่มบ่งบอกว่าผมยินยอมพร้อมใจจะให้เขาทำเลอะแค่ไหนก็ได้ 

“แต่ไม่เอาที่นี่นะ ไปบ้านน้องกัน.... ที่ห้องน้องมีอ่างอาบน้ำด้วยล่ะ”

แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพี่โรมเองก็อยากได้ผมเหมือนกัน

พี่โรมไม่ใช่คนใจแข็ง มีแต่ไอ้นั่นอย่างเดียวแหละที่แข็งใส่ผม....!

ผมยิ้มกริ่มเมื่อเอื้อมมือไปแตะต้องโดนความเป็นชายของคนตรงหน้าภายใต้กางเกงบอล ผมชอบอ้อนและเขาก็ชอบตามใจ ดูท่าทางเราสองคนจะเข้ากันได้ดีทุกเรื่อง ผมยังคงคิดเพ้อฝันถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าพี่โรมจะเป็นคนรักที่แสนวิเศษแค่ไหน.... เขาเป็นคนแรกที่ผมชวนไปเล่นด้วยกันที่บ้าน อยากให้เขารู้จักผมให้มากขึ้นว่าทิชา ทิชนันท์คนนี้จริงๆ แล้วเป็นยังไง และเพราะอะไรผมถึงได้ต้องการความรักจากเขามากถึงขนาดนี้

แต่พี่โรมกลับดึงมือผมออก ก่อนจะก้าวถอยหลังไปจนกระทั่งไม่มีส่วนไหนของเราสัมผัสถูกกันอีก

“ทิชา..........” น้ำเสียงทุ้มฟังดูห่างเหินชะมัด ผมไม่ชอบเลย “กูว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันให้เคลียร์ว่ะ”

“มีอะไรเหรอ พี่จ๋าของน้อง?”

มุมปากผมยกยิ้มบ้าบอก็จริง แต่ในใจเริ่มรับรู้ว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด.... พี่โรมมองหน้าผมแล้วก็เงียบไป เอาตรงๆ เลยนะ ผมว่าเขาก็ไม่อยากพูดถึงความอัปรีย์จัญไรของเพื่อนฝูงพี่น้องของตัวเองนักหรอก ใช้กฎหมู่จับเด็กต่างคณะมามอมยาแล้วผลัดกันลงแขกนี่แม่งนอกจากจะไม่เท่แล้ว ยังบ่งบอกความฟอนเฟะเลวสัดหมาของพวกวิศวะฯ อีกต่างหาก

ถ้ามันพูดยากนักก็ไม่ต้องพูดสิ แกล้งลืมมันไปก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องนั้นสักคำ.... แค่กอดผมแล้วก็มีความสุขด้วยกันเท่านั้นมันยากนักหรือไง?

“มึงไม่ได้เมาหรอก เบียร์ที่เฮียรุจเอาให้มึงกินเมื่อคืนนี้มันใส่ยานางรำลงไป.... พวกเพื่อนๆ พี่ๆ กูเขาคิดว่ามึงตั้งใจจะมาชิงเกียร์ก็เลยจับมึงมอมยาแล้วแก้ผ้าประจานกลางบาร์เหล้า ถ้ากูไม่ถอดเกียร์ให้มึงใส่แล้วลากขึ้นมาบนนี้ มึงก็คงโดนรุมโทรมไปแล้ว” 

ในที่สุด พี่โรมก็สารภาพโชว์สันดานเห็นแก่ตัวออกมาจนได้ แน่นอนว่าผมไม่โอเคที่จะรับฟังความจริง เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนว่าพี่โรมไม่ได้ชอบผม เขาแค่เอาเล่นขำๆ ก็เพราะเห็นว่าผมโดนยาแล้วร่านผู้ชายจนน่าสมเพช และเมื่อฤทธิ์ยาหายไป เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบอะไรในตัวผมอีก

“เรื่องเมื่อคืน กูทำไปก็เพราะจะช่วยมึง เพราะฉะนั้นกูขอให้มันจบแค่นี้ เราจะไม่ถลำลึกไปไกลกว่าที่เป็นอยู่และเราจะไม่พูดถึงมันอีก.... มึงเข้าใจกูใช่ไหม ทิชา?”

“ชาไม่เข้าใจ” 

ผมส่ายหน้ามองพี่โรมด้วยแววตาตัดพ้อ ทว่าข้างในอกร้อนรุ่มโกรธจัดที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเขี่ยผมทิ้งหลังจากได้กันแล้ว 

“ชารู้แค่ว่าเมื่อคืนเราสองคนมีอะไรกัน แล้วพี่โรมก็ชอบมากด้วย”

“กู......ไม่ได้ชอบ” 

เขาปฏิเสธไม่เต็มปาก ในดวงตาสีเข้มมีร่องรอยของความไม่แน่ใจในคำพูดตัวเอง

“ไม่จริงสักหน่อย” 

ผมจ้องตาพี่โรม รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่เหมือนเดิมในขณะที่แววตาเริ่มฉายชัดถึงอารมณ์ขุ่นเคือง 

“พี่โรมมีอะไรกับชาก็เพราะว่าชอบ อย่ามาอ้างเหตุผลอื่นเลย ชาไม่อยากทะเลาะกับพี่เหมือนคราวก่อนนะ”

“กูมีอะไรกับมึง ก็เพราะว่ามึงโดนยา!”

“แล้วยังไงล่ะ.... ถึงชาจะโดนมอมยา แต่พี่โรมไม่ได้โดนด้วยสักหน่อย!” 

พี่โรมขึ้นเสียงใส่ผม ผมก็เลยขึ้นเสียงคืนใส่เขาบ้าง ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังคิดจะเขี่ยผมทิ้ง.... บอกแล้วนี่นะว่าถ้าเขาใจร้ายกับผมเมื่อไร ผมก็พร้อมจะดึงเขาให้เจ็บไปกับผมด้วย ในเมื่อชอบพูดความจริงนักก็ขอให้ทุกคนแม่งตายห่าไปกับความจริงสุดสกปรกโสโครกให้หมด 

“เมื่อคืนนี้พี่โรมคนดี๊คนดีเย่อน้องทิชาที่พี่พูดนักพูดหนาว่าไม่ได้รักไปกี่ครั้ง? แตกในใส่คนที่ตัวเองบอกว่าเป็นได้แค่น้องชายไปกี่หน? ได้นับบ้างหรือเปล่าล่ะ หรือว่าเอามันส์จนความจำเสื่อมสมองเจ๊งจำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย?”

“...................”

“ต้องไล่ให้ฟังตั้งแต่แรกเลยมั้ยว่าพี่จ๋าทำอะไรกับน้องบ้าง.... ทีแรกพี่ก็บอกว่าไม่เอาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นพูดอะไรปล่อยให้ชาอมของพี่จนเกือบเสร็จ ตอนชาขึ้นข้างบนให้ พี่โรมก็ดูแฮปปี้ออกจะตาย.... อ้อ แล้วยังมีตอนที่พี่โรมหอมแก้มชาอีกนะ เราเล่นกันตั้งหลายท่า พี่โรมจับน้องพลิกไปพลิกมาอย่างกับตุ๊กตายาง เย่อเอาๆ จนนึกว่าตายอดตายอยากมาจากไหน พอจะนึกออกบ้างหรือยังครับ.... หื้ม พี่โรมคนดี พี่จ๋าสุดหล่อของน้อง?”

“ทิชา!?”

พี่โรมดูตกใจยิ่งกว่าโดนผีหลอกที่ผมจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้แม่น เขามองผมอย่างไม่อยากเชื่อก่อนที่แววตาคู่นั้นจะแสดงออกถึงความผิดหวัง   

“ที่แท้มึงก็..........เชี่ยเอ๊ย!”

ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่โรมผิดหวังเรื่องอะไร ผิดหวังที่ผมไม่ได้น่ารักใสซื่อหลอกง่ายแบบที่เขาคิดว่าผมเป็น ผิดหวังที่ตัวเองไม่สามารถเยแล้วทิ้งได้อย่างที่ตั้งใจ หรือผิดหวังที่กลายเป็นฝ่ายเสียหมาโดนผมกินเรียบตั้งแต่หัวจรดหาง.... แต่ก็ได้ตรงตามคอนเสปท์ที่วางเอาไว้เป๊ะ ถ้าจะสุขก็สุขด้วยกัน ถ้าจะฉิบหาย คนที่คิดจะรังแกผมก็ต้องฉิบหายกันให้หมดทุกตัว....!

“เบียร์ใส่ยาปลุกเซ็กส์นั่นน่ะ ชาแค่จิบๆ ไปนิดหน่อยจะให้เมาเป็นหมาตัวเมียขนาดนั้นก็คงไม่ใช่มั้ง.... สมน้ำหน้าแล้ว คิดว่าพวกตัวเองเจ๋งมากนักงั้นสิจะมาหลอกคนอย่างทิชา พวกไอ้เหี้ยพี่รุจนั่นแหละที่หน้าโง่! โง่ยิ่งกว่าควาย! โดนชาหลอกมาตั้งแต่แรกยังไม่รู้ตัวกันสักคน!”

“โอเค ไอ้ทิชา.........” 

พี่โรมสูดหายใจลึกจนอกกระเพื่อมแรง เขาเองก็คงโกรธไม่แพ้กันแต่ก็ยังพยายามแสดงความเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม 

“ที่มึงพูดเมื่อกี้ กูจะถือว่ามึงพูดเพราะโกรธที่กูปฏิเสธมึง กูจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”

เขาลูบหัวผมปลอบให้ใจเย็นลง ทั้งที่ใจจริงคงอยากจะชกผมให้ตายคามือก่อนจะเลื่อนลงมาดึงสายสร้อยสีดำที่มีจี้รูปเฟืองโลหะ

“เอาเกียร์กูคืนมาได้แล้ว..........”

“ไม่คืน!” 

ผมกุมจี้ที่ซ่อนอยู่ข้างในคอเสื้อเอาไว้แน่น แววตาเกรี้ยวกราดไม่ต่างจากแม่เสือที่กำลังปกป้องลูกอ่อนเมื่อตัวพ่อคิดจะแย่งมันไป

“แต่มันไม่ใช่ของมึง.... เกียร์กูเป็นของบีบี๋ มึงเองก็รู้ดี!”

“ของไอ้บี๋แล้วไง ในเมื่อพี่โรมเป็นคนใส่ให้ชาเองกับมือ.... ตอนนี้มันเป็นของทิชา ไอ้ทิชาที่ได้เสียตัวเป็นเมียพี่โรมตัดหน้าไอ้บี๋คนนี้นี่แหละ!”

ในหัวผมมีแค่คำว่ากูไม่ยอมๆๆๆ ลอยวนเวียนราวกับแผ่นเสียงตกร่อง.... ผมก้าวเข้ามาในเบอร์ลิคทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอันตรายและผู้ชายใจหมานับสิบ แต่ผมก็เลือกที่จะเสี่ยงเข้ามาเพื่อของเล็กๆ แต่มีคุณค่าทางใจมหาศาลชิ้นนี้ ผมไม่สนหรอกว่าก่อนหน้านี้พี่โรมจะเปิดตัวบีบี๋เป็นสะใภ้วิศวะฯ เอาไว้กับใครบ้าง ผมรู้แค่ว่าในเมื่อพี่โรมสวมเกียร์ให้ผมแล้ว ผมก็คือเมียเขา และผมก็มีสิทธิ์ที่จะหวงทั้งเกียร์และทั้งผัวของตัวเองด้วย

ก็เหมือนๆ กับที่พี่มีนา เมียพี่เอกเคยทำกับผม แต่หนนี้มันถึงคราวที่ผมจะทำกับคนอื่นบ้าง.... คอยดูเถอะ ผมจะเอาคืนแม่งให้หมดทั้งโลกเลย!

“ตกลงว่ามึงตั้งใจจะมาชิงเกียร์จริงๆ สินะ?”

“ก็แล้วแต่จะคิด...........”

ผมยักไหล่โนสนโนแคร์ คุณคงอยากด่าว่าผมหน้าด้านแย่งได้แม้กระทั่งแฟนเพื่อนสินะ แต่นี่มันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่บีบี๋ทำกับผมสักเท่าไร มันปาดหน้าเค้กผมด้วยการแอบคุยกับพี่โรมทั้งที่ก็รู้ว่าผมอาจจะชอบพี่เขา ผมก็แค่ปาดคืนด้วยการแอบชิงเกียร์ของพี่โรมมาซะก็เท่านั้น 

“ถ้าพี่โรมอยากเอาเกียร์ให้ไอ้บี๋มากขนาดนั้น พี่ก็คงให้ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ที่ยังไม่ให้ก็เพราะพี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองรักมันจริงหรือเปล่าใช่ไหมล่ะ?”

เรื่องผัวๆ เมียๆ แบบนี้ตบมือข้างเดียวให้ตายก็ไม่มีทางดัง ถ้าหากพี่โรมเอาเกียร์ให้ไอ้บี๋ไปแล้วหรือถ้าหากเขาไม่ได้มีใจให้ผมเลยสักนิด มีหรือว่าผมจะแย่งเกียร์มาได้ง่ายๆ....?

“เราสองคนเข้ากันได้ดีจะตาย.... พี่โรมให้ชาเก็บเกียร์พี่เอาไว้ดีกว่าน่า เราจะได้เอากันได้ทุกเมื่อโดยที่ไม่มีใครมาเสือกไง” 

ผมเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มพี่โรม น้ำเสียงระรื่นบ่งบอกถึงชัยชนะเล็กๆ ของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำความผิดพลาดของพี่โรมไปด้วย

“มึงนี่แม่งบ้าชัดๆ!”  พี่โรมผลักผมออก แรงจนผมกระเด็นหัวโขกเข้ากับผนังห้องน้ำอย่างจัง “ต้องให้ย้ำกี่ครั้งวะว่ากูไม่ได้ชอบมึง!?”

ความเจ็บแล่นร้าวเข้าไปข้างในกะโหลกศีรษะ ทำเอาผมตาพร่ามองไม่เห็นภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ เจ็บฉิบหาย เจ็บจนน้ำตาเล็ดอยากจะแหกปากร้องออกมาดังๆ ผมยกมือแตะสำรวจตรงที่กระแทกโดนก่อนจะพบว่ามันไม่ได้เป็นแผลแตกอย่างที่อยากให้เป็น.... น่าเสียดาย ถ้าพี่โรมมือหนักกว่านี้อีกนิด ผมจะได้เล่นบทเด็กน้อยผู้อ่อนแอและน่าสงสารได้สะดวกใจขึ้นหน่อย

แต่ก็เอาเถอะ เพราะถึงยังไง ผมก็จะให้พี่โรมรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับผมอยู่ดี....

“ไม่ได้ชอบเหรอ.... แต่ชาได้ยินที่พี่โรมพูดกับพี่รุจหมดแล้วนะ พี่โรมชอบชาก่อนที่จะชอบไอ้บี๋ และถ้าพี่ไม่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจไปหามัน เราก็คงได้รักกันไปแล้ว!”

“ทิชา มึงฟังกูนะ..........”

“ไม่ฟัง แล้วพี่โรมก็ไม่มีสิทธิ์จะมาด่าชาด้วย ถ้าจะด่าก็ด่าตัวเองเหอะที่เที่ยวให้ความหวังคนอื่นเขามั่วซั่ว!”

ผมตะโกนสุดเสียง ความทรงจำแสนหวานกับสัมผัสแสนอ่อนโยนที่ได้รับเมื่อคืนภายในห้องแคบๆ แห่งเดียวกันนี้กลายเป็นเหมือนความฝันที่หลุดลอยไปไกลจนเกินเอื้อมมือคว้า

“ชารักพี่โรมไปแล้ว รักๆๆๆๆๆๆ รักพี่โรมมากกว่าไอ้บี๋ล้านเท่า! รักมากกว่าใครทั้งหมด เข้าใจมั้ย!?”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ทิชา!”

“ชาไม่หยุด.... ชาจะไม่เปลี่ยนใจจากพี่โรมเด็ดขาด แล้วก็จะไม่ยอมผิดหวังด้วย ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้ คนๆ นั้นต้องไม่ใช่ทิชา!! คนที่ร้องห่มร้องไห้เจียนตายเพราะถูกทิ้งจะต้องไม่ใช่ทิชาอีกต่อไป!!!”

“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ มึงถอดเกียร์คืนกูมาซะ”

“ไม่!”

“ทิชา มึงอย่าบังคับกู.........”

“ไม่คืน! ให้ตายก็ไม่คืน!!”

ผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวยิ่งกว่าโดนทอร์ชพ่นไฟใส่ ลมหายใจหอบหนักจนสั่นโยกไปทั้งตัว อาการของคนที่กำลังจะขาดใจตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง.... ทรมานสัดๆ ทรมานเหี้ยๆ ทว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่ทรุดลงไปก็คือความหวังว่าพี่โรมจะกลับมากอดผมอีกครั้ง เขาต้องรู้สิว่าผมก็แค่เด็กงอแงเอาแต่ใจและผมไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการทะนุถนอมจากพี่โรม แม้ว่าผมจะเป็นคนขยี้ความหวังของตัวเองจนพังย่อยยับไปพร้อมกับหัวใจดวงนี้ก็ตาม

พี่โรมกำมือแน่นก่อนจะเงื้อมือขึ้นคล้ายจะตบหน้าผม แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ทำอะไร.... เขาไม่ทำร้ายร่างกายผมแล้ว ไม่แตะต้อง ไม่กอด ไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่ตัวเองสวมเกียร์ให้กับมือเพื่อปกป้อง

มีเพียงคำพูดร้ายกาจที่สามารถฆ่าผมให้ตายเป็นทั้ง....!
   

“บางที เหตุผลที่ทุกคนเขาทิ้งมึงไปหมดอาจจะไม่ใช่เพราะเขาแค่อยากฟันมึงแล้วทิ้งก็ได้.... แต่เป็นเพราะเขาขยะแขยงคนอย่างมึงต่างหาก ทิชา”
 
“ทีแรกกูก็คิดนะว่ามึงก็ส่วนมึง แม่มึงก็ส่วนแม่มึง.... แต่ตอนนี้กูเริ่มคิดแล้วว่ามึงกับแม่ก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก.....”

“พ่อกับพี่สาวมึงเขายังรังเกียจเลย ก็สมควรแล้วที่จะไม่มีใครรักมึง!”

“อยากได้เกียร์กูนักก็เอาไป.... พอใจแล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้ามึงอีก!”


.

.

.

ผมเดินลงมาจากห้องพักโกโรโกโสนั่นด้วยสภาพที่เหมือนศพไร้วิญญาณ โชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้างเพราะจากที่ตรงนี้สามารถเดินทะลุไปลานจอดรถได้โดยไม่ต้องย่างกรายเข้าไปข้างในตัวร้านซึ่งมีพวกนักดนตรีมาทดลองซาวน์เช็คเตรียมขึ้นเล่นสดตอนหัวค่ำ.... น้ำตาผมแค่คลออยู่ตรงเบ้าตาแต่ไม่ไหลออกมา มันเหมือนโดนตีหัวจนหมดความรู้สึกไปแล้ว ผมช็อกหนักมาก ช็อกรุนแรงจนคิดว่าตัวเองอาจจะขับรถพุ่งอัดเสาไฟฟ้าแถวนี้เพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไปเสียก็ได้

อุตส่าห์ได้เกียร์ของพี่โรมมาแล้ว แต่หัวใจกลับถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่

ผมพยายาม ‘บอก’ ตัวเองว่ามันคุ้มแล้ว มาถูกทางแล้ว อย่าเสียใจไปเลย

อา.... ไม่ใช่บอกตัวเองสิ

ต้องเรียกว่าพยายาม ‘หลอก’ ตัวเองถึงจะถูก....


โทรศัพท์มือถือผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้า ผมยังไม่มีแก่ใจจะหยิบมันขึ้นมาอ่านในตอนนี้ แต่ผมก็พอรู้แล้วว่าคนที่ส่งข้อความมาคือใคร

และแน่นอนว่าผมจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอีกมาก เช่นเดียวกับที่พี่โรมยังต้องชดใช้ให้ผม


   Mr.Dan :  ได้ข่าวว่าชิงเกียร์สำเร็จแล้วนี่ ยินดีด้วยนะ

             กูบอกแล้วว่าพี่ชายกูแม่งเป็นคนดี เสียแต่โง่ไปหน่อย

                        ยังไงก็ไม่มีทางที่เฮียโรมจะปล่อยให้คนสวยๆ อย่างมึงโดนยำหรอก

              แล้วก็อย่าลืมข้อตกลงเรื่องออดิชั่นละครของเราล่ะ

                        กูรอวันที่มึงจะมาเป็นเมียกูอยู่นะ *สติ๊กเกอร์จุ๊บ*

   


TO BE CONTINUE


พบกันได้ที่แท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตเตอร์นะคะ ขอบคุณค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ ตาหวาน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ร้ายมากกกกกกโอ้ยยลูกสาวฉันทำไมทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ล่ะลูก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทำไมทิชาทำแบบนี้ :sad4:

ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
โอ้ยย สงสารทิชามากเลยนะ

อยากให้ทิชาได้เจอคนที่รักทิชาจริงๆซักที

ทำไมเรื่องนี้ถึงหม่นได้ถึงขนาดนี้

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราไม่อยากจะคิดว่าเพราะมันฝังในสายเลือดนะ
เกลียดอะไรกลับทำตัวแบบนั้น
สิ่งที่เลวร้ายกว่าคนอื่นไม่เห็นค่า คือกระทั่งเรายังไม่เห็นค่าตัวเอง
การที่ชีวิตน่าสงสารไม่ได้หมายถึงจะทำอะไรก็ได้นะ
ถ้าทิชาอดทนรออีกนิดเราเชื่อว่าจะมีคนที่จริงใจโผล่มาแน่นอน

เห้ออออ สุดท้ายแล้วทิชาคงไม่เสียใครซักคน

เราสงสารทิชานะแต่อยากให้ได้รับบทเรียน


ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Guill

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ไม่ค่อนชอบทิชาเลย แรกๆก็เชียร์นะ

ออฟไลน์ nuengku.kimjaejoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยยยยยยยย ทิชา อย่าทำตัวอย่างนี้ลู๊กกกกกกกกกกกก :katai4:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
โอ้โห แม่งแบบ เรียลจริงๆ (ปล. ปกติผมไม่ค่อยใช้คำหยาบนะครับ แต่เคสนี้สุดๆจริงๆ /หัวเราะ)

คุณสวีทอลิซเขียนเรื่องได้สมจริงดีมากครับ ต้องชมเลย คือตอนแรกผมว่าผมประทับใจปมของทิชามากแล้วนะ เจอเคสของโรมล่าสุดเข้าไปนี่แบบ โอ้โห คือแต่ละคนนี่คาแรกเตอร์สมจริงจริงๆเลยครับ มีวุฒิภาวะสมกับวัยดีมาก ทำให้ตัวละครมันเด่นและสมจริงในบริบทของเขาอย่างมากครับ มีเรื่องอยากพูดหลายอย่างมาก และเป็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงตัวละครล้วนๆ แต่ขอพูดถึงเรื่องการเขียนนิดเดียวก่อนนะครับ

สำหรับเทคนิคการเขียนของเรื่องนี้ ผมคิดว่าค่อนข้างดีมากๆแล้ว การบรรยายก็ไม่อ้อยสร้อยมาก ตรงประเด็น มีมุมบรรยายให้เห็นภาพของฉากประกอบและตัวละครได้ชัดเจน พล็อตเขียนบรรยายได้มีมิติ ส่งผ่านความรู้สึกของตัวละครให้คนอ่านรับรู้ได้ชัดเจน ฉากความคิดภายในตัวละครก็สมจริงและน่าสนใจดีครับ ผมชอบลอจิกของแต่ละคนที่ชัดเจนด้านเทาๆหมดเลยนะครับ ทั้งนิดาวัลย์ ทิชา แต่ผมค่อนข้างชอบความตรงไปตรงมาของบีบี๋กับโรมนะครับ ลอจิกดูมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ไม่พยายามจะให้ร้ายเกินไปหรือดีเกินไป เทาๆสวยๆดี

ทีนี้มาพูดถึงวิเคราะห์ตัวละคร อาจจะเพราะว่าผมเรียนมาทางนี้ เลยจะสามารถแนะนำการแก้ปัญหาเชิงสังคมได้ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่การที่เด็กจะยอมรับได้หรือเปล่า อันนี้ก็จะขึ้นกับวิธีการนำเสนอของผู้ใหญ่หรือผู้ที่บำบัดเด็กเองน่ะนะครับ

สำหรับทิชา ปมของเขาชัดเจนมากคือเรื่องของการกดดันทางสังคม รวมถึงการพยายามจะ ‘มีตัวตน’ มีตัวตนในความหมายของผมคือการมี existence ที่มีนัยยะสำคัญ หมายความว่ายังไง? ปกติแล้วถ้าเด็กพยายามจะมีตัวตน ก็หมายความว่าเขาอยากได้รับการใส่ใจ ทิชาขาดตรงนี้ไปอย่างชัดเจนมาก พ่อไม่ได้รัก แม่เองก็ไม่ได้รัก ทิชาเป็นเครื่องที่มือที่จะทำให้นิดาวัลย์แก้แค้นคนที่ทำให้เธอตกอับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รักทิชา นิดาวัลย์รักทิชา แต่ความรักนั้นไม่เต็มเนื่องจากความเกลียดและศักดิ์ศรีของเธอนั้นสูงเกินกว่าความรักของเด็กคนนึงจะเอาชนะได้ การแสดงออกจึงเหมือนว่าไม่ได้สนใจทิชาสักเท่าไหร่ สนแค่การที่ทิชาจะได้การยอมรับและเป็นหนามยอกอกตระกูลสามีด้วยหลักฐานที่เป็นความจริง ส่วนบิดาก็ไม่ต้องพูดถึง ทิชาไม่เคยเป็นสิ่งที่ครอบครัวทางพ่อต้องการอยู่แล้ว แต่ถามว่าผิดไหม? มันพูดยากนะครับ ผมคิดว่าคนผิดก็มีแค่พ่อของทิชาคนเดียวนี่แหละ ที่ตัดสินใจจะก้าวผิดเอง และที่ผิดมากขึ้น คือไม่รู้จักรับผิดชอบอย่างมีสติเมื่อลูกแบบผิดๆขึ้นมา สักแต่ใช้อำนาจตัดให้มันจบๆไป โดยไม่คาดว่าจะทำให้ใครได้รับผลกระทบบ้าง แถมครอบครัวทางนั้นคงปฏิเสธที่จะมองเห็นความผิดนี้ เพราะว่าเป็นลูกชายคนเดียวเสียด้วย

เมื่อเป็นดังนั้น ทิชาจึงต้องการแค่คนที่จะรักเขาอย่างจริงใจ ทิชาคิดว่าความรักเป็นผลตอบแทนของการสนองความต้องการอะไรก็ได้ตามแต่ที่อีกฝ่ายจะร้องขอ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ ความรักอย่างจริงใจจะเกิดได้จากสายสัมพันธ์ของเพื่อนที่จะเห็นได้ชัดในยามลำบาก จะเกิดได้จากสายสัมพันธ์ของครอบครัวยามที่เราหมดที่พึ่งและอ้างว้าง และเกิดจากสายสัมพันธ์ของคนรักที่เข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในทุกมุมมองของสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น หรือสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น

จะเห็นว่าทิชาไม่เข้าใจจุดนี้ และคงต้องมีคนที่ทำให้เขาเข้าใจสักหน่อย ไม่งั้นเรื่องก็จะยิ่งยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัว ถ้ามองเรื่องบุคลิกและมุมมองความคิด ผมว่าเดือนสถาปัตย์กับทิชานี่ก็เข้ากันได้ดีนะครับ เหมาะคู่เหมือนกัน (หัวเราะ) นิสัยห่ามๆพอกัน เอาจริงๆผมว่าทิชาเป็นคนแรงพอตัวนะ น่าจะซึมซับจากแม่ แต่ที่อยู่เงียบๆเพราะว่าไม่อยากจะกะเทาะแผลใจตัวเองมากขึ้น และถ้ามีคนรัก ด้วยปมข้างบนคงจะค่อนข้างหวงคนรักพอสมควร แต่จะแก้ไขยังไงก็คงต้องว่ากันต่อไป (ผมรู้สึกว่าทิชาค่อนข้างหยาบคายกับคนแปลกหน้าระดับหนึ่งนะครับ ไม่รู้คุณสวีทอลิซจงใจหรือเปล่า แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ บีบี๋ที่แม้จะใช้คำหยาบมากกว่า ยังรู้สึกว่ามีความสดใสและมองโลกในแง่ดีมากกว่าเสียอีก) ดังนั้นสำหรับเรื่องคู่หลัก ผมมองเมนเดือนสถาปัตย์กับทิชานะครับ หวังว่าผมน่าจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น

ส่วนบีบี๋กับโรม ถ้าสองคนนี้คู่กัน ผมว่าผมสงสารเขานะครับ สงสารทั้งโรมและบีบี๋เลย คือเคมีมันเข้ากันได้นะ แต่ว่าปัญหาคือการมองโลกในแง่ดีและพยายามยิ้มเข้าไว้น่ะแหละ โรมเป็นคนดีและจริงใจ เป็นคนซื่อสัตย์อย่างที่ทิชาเคยบอกว่าเป็นสไตล์คนที่จะมาชอบบี๋เลยแหละครับ เขาไม่สามารถปล่อยมือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องช่วยให้ได้ แต่ข้อเสียคือโรมคิดน้อยเกินไป การเป็นคนดีที่จริงใจบางครั้งมันกลายเป็นเครื่องมือที่ทำร้ายใจคนที่รอ อย่างเคสมีเซ็กซ์กับทิชาเนี่ย ผมโคตรสงสารโรมเลยอะ คือผมสงสารอนาคตเขา ตอนทำกันยังไม่เท่าไหร่ แต่พอทำเสร็จ คิดว่าบี๋รู้แล้วจะพอใจเหรอครับ? บี๋เองก็คงจะมองว่าทิชาแย่ไปส่วนหนึ่ง และทิชาเองก็คงจะตอกกลับบี๋เหมือนกัน มันจะทำให้สองคนมองหน้ากันไม่ติด แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะเกิดด้วยการพลาดของทั้งสองคนจริงๆ และโรมเองก็ไม่ได้คิดกับทิชาในแง่ความรักชู้สาวขนาดนั้น แต่ผลของการกระทำที่เกิดจากความดีของโรม ซึ่งผมก็โคตรประทับใจ ในการที่ยอมคลานเข่าไปหาเจ้าของร้าน เพื่อที่จะให้เค้าปล่อย ฉากนี้ทำให้ผมเห็นว่าโรมแคร์ทิชาเหมือนกับน้องชายตัวองจริงๆ มันมีคนที่เราปล่อยไปไม่ได้จริงๆนะครับ เพราะถูกชะตาและเหมือนอยากเห็นเขามีความสุข ยิ้ม หัวเราะได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะจากใครก็ตาม ซึ่งมันแตกต่างจากความรู้สึกที่มีต่อ ‘คนที่ใช่’ สำหรับเรา

สำหรับคนที่ใช่ เอาจริงๆนะครับ ผู้ชายทุกคนเป็น คือพอเจอคนที่รู้สึกว่าใช่แล้ว มันรู้สึกดีจริงๆนะ คือเราพร้อมทิ้งคนที่เราเคยชื่นชมทุกคนเพื่อขอแค่ให้เห็นรอยยิ้มหรือความสุขของเขาน่ะ แต่เราจะอยากให้รอยยิ้มคือความสุขนั้น ‘เกิดจากเรา’ ไม่ใช่เกิดจากคนอื่น นี่คือความรักบริสุทธิ์ในแง่หนุ่มสาว

ดังนั้นการที่โรมยอมทิ้งศักดิ์ศรีขนาดนั้น ผมซูฮกในความหนักแน่นของเขานะครับ แต่เรื่องอื่นยังตอบไม่ได้ ส่วนตัว ผมว่าโรมแก้ปัญหาไม่เก่ง ดังนั้นเรื่องระหว่างโรมกับบี๋มันต้องดราม่าซับซ้อนเพิ่มไปมากกว่านี้แน่ บี๋เองก็ไม่ใช่คนที่ยอมคนขนาดนั้น ถึงจะแรดเงียบ แต่ผมเชื่อว่าบี๋เป็นคนดีครับ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะมันมีไม่กี่คนที่ ‘ไม่ตัดสินคน’ จากเสียงเล่าลือ บี๋ยอมที่จะทิ้งคำครหาหรือการถูกแบนจากกลุ่มเพื่อน เพื่อคบทิชา แถมบี๋เองยังเป็นคนที่สดใส มองโลกในแง่บวก ข้อเสียของบี๋คือการที่มองอะไรไม่ลึกมากพอ พอมันมาเป็นเรื่องของตัวเอง นี่เป็นนิสัยของนางเอกกึ่งร่วมสมัยกึ่งโบราณที่ผมไม่เคยเจอ (และเอาจริงๆ ผมอยากเห็นมานานแล้วนะครับ) คือบี๋ไม่ใช่คนโง่ เขาตาไว สังเกตหลายเรื่องได้ชัดเจน แก้ปัญหาได้อย่างสบายใจและทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้ม แต่ข้อเสียคือบี๋เองก็เห็นความสุขส่วนตัวสำคัญระดับหนึ่ง อย่างเรื่องพี่โรม บี๋เองถ้าหยุดสักนิด (อย่างที่เห็นว่าพอตกลงคุยไปแล้ว แล้วมาสังเกตเพื่อนตัวเองดีๆ บี๋เองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน) ก็จะเห็นว่าทิชามีอาการแปลกๆกับโรม แต่ผมคิดว่าเนื่องจากบี๋ไม่อยากปิดโอกาสที่ตัวเองจะมีความสุข บี๋เลยคิดเอาเองว่าการที่ทิชาไม่ได้พูดอะไร คือไม่ได้มีอะไรต่อพี่โรม (ซึ่งความจริง ถ้ามุมมองคนนอก มันก็ใช่แหละ แต่คุณเป็นเพื่อนรักเขาไง คุณควรสังเกตเขาดีกว่านี้)

ถ้าคุณสวีทอลิซมีปมซ้อนเรื่องของบี๋ มันจะทำให้พล็อตของโรมกับบี๋ลงตัวดีกว่านี้นะครับ เพราะว่ามันมีอะไรให้เล่นมากกว่าแค่เรื่องของโรมคนเดียว ส่วนตัวผมค่อนข้างไม่เชียร์โรมกับทิชาเลย ผมว่ามันแก้ปัญหากันแบบแปลกๆซึ่งส่งผลให้เรื่องยุ่งขึ้น แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ มันก็ ‘เรียล’ จริงๆสำหรับเด็กวัยวุฒิยี่สิบนิดน่ะครับ เป็นดรามาของผลการกระทำที่ผมรับได้ ไม่เหมือนนิยายน้ำเน่าหรือละครที่การกระทำตัวละครที่แปลกด้วยลอจิกพื้นฐาน (หัวเราะ)

ตัวละครที่ผมชอบสุดในเรื่อง ก็คงไม่พ้นพี่รุจ (ฮา) คือเป็นตัวละครที่แม่งแบดจริง แต่ก็เท่จริง คนแบบนี้นี่แหละที่คุมคนอยู่ มีสติและแก้ปัญหาได้ถูกจุด แม้จะเถื่อนไปหน่อยก็เถอะ อาจจะเพราะนิสัยตัวละครแบบพี่รุจเป็นสไตล์คาแรกเตอร์ที่ผมชอบมั้งครับ คือกฎมี อย่าแหกถ้ามึงไม่แน่จริง แต่ถ้าแน่จริง แก้ปัญหาให้ได้ และถ้าใครมายุ่งกับน้องกู กูไม่เอาไว้ทั้งนั้น ผมว่าพี่รุจดูออกว่าทิชาคิดยังไง แล้วสายตาเขาไม่ธรรมดาเลยครับ มองหลายอย่างออกไวมาก ตอนแก้ปัญหาตอนแรกก็อุตส่าห์ส่งเบาะๆไปเตือนแล้ว แต่ถ้ายังกล้า ก็ต้องกล้ารับกรรม แหม่ น่าเป็นแฟนจริงๆครับ ผมชอบคนแบบนี้อะ (หัวเราะ) แต่พี่รุจโหดไปหน่อยนะครับ ทิชามันไม่รู้กฎบ้านี่สักหน่อย มันคงแฟร์กว่านี้ถ้ารุจให้น้องเขารู้กฎก่อนเข้ามาเล่นเกมนา

สำหรับตัวละครสนับสนุน ผมชอบนะครับ คือมีบทแบบสนับสนุนให้เราเห็นมุมมองตัวละครหลักมี มีบทแบบไม่เจือจาง แต่ก็ไม่เด่นจนดึงความสนใจของคนอ่านไป ส่วนตัวละครที่เป็นหลัก คุณสวีทอลิซก็ใส่ความเด่นเข้ามาจนเราเห็นจริงๆ (อย่างเดือนสถาปัตย์นั่น มาฉากเดียวก็รู้เลยว่าตัวหลัก ส่วนพวกบรรดาพี่น้องคุณพ่อของทิชา เปิดมาฉากเดียวแต่ก็รู้เลยว่าตัวละครสนับสนุนน่ะครับ)

ก็รอติดตามครับผม น่าสนใจดีมากๆ ผมอยากรู้จริงๆว่าใครจะทำให้ทิชาคิดได้ เพราะเท่าที่ดู ลำพังแค่เด็กๆแก้ปัญหากันเองคงดึงลากเรื่องยาวแน่ๆ ดีไม่ดีจะอีรุงตุงนังจนมีปัญหาอีก ผมอยากเป็นตัวละครเสริมให้เรื่องนี้จริงๆสิครับ! (หัวเราะ) เพราะแต่ละคนมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องค่อยๆแก้ผ่านคนรอบข้างทั้งนั้น ปัญหาของทิชาไม่สามารถให้จิตแพทย์มาพูดแล้วแก้ได้เลยนะครับ ต้องหาทางทำให้เขายอมรับก่อนว่าเขามีปัญหาอะไร ตรงไหน ส่วนการจะทำให้เขาเห็นความจริงว่าความรักบริสุทธิ์เป็นยังไง จิตแพทย์ทำไม่ได้ ต้องให้คนรอบข้าง คนที่สนับสนุนเขา พิสูจน์ให้เขาเห็นเองต่างหาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2017 22:35:30 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
7
~ แพ้แล้วพาล ~




BeeBee’s PART



   @12.10 PM
   Im_BeeBeE : เฮียยยยย T____T

                 อยู่ไหนอ่าาาาาา

                 วันนี้ไอ้ชาไม่มาเรียน เฮียไปกินข้าวเป็นเพื่อนบี๋หน่อยจิ
                 .

                 .

                *Called*

                 เงียบ.....

                เฮียตอบบี๋หน่อยจิ T___T

   

วันนี้มันวันห่าอะไรวะเนี่ย....?

ผมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอย่างหงุดหงิดเมื่อจนแล้วจนรอดเฮียโรมก็ไม่ยอมอ่านข้อความ คอลไปก็ไม่รับ เงียบหายเหมือนตายจาก พอๆ กันกับไอ้ทิชาเพื่อนสนิทผมที่ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปตกกะบะขี้แมวอยู่แถวไหนถึงได้ไม่มาเรียน เมื่อคืนที่บอกว่าจะคอลกลับมาก็ไม่คอล ปล่อยให้ผมวิ่งคุกกี้รันอยู่คนเดียวทั้งคืน

ข้ามเรื่องเฮียโรม แฟนใหม่ป้ายแดงของผมไปก่อน เพราะเอาจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ตารางเรียนเฮีย รู้แค่ว่าปีสามแล้วงานหนักโคตร ทั้งใช้แรงงานทาสเฝ้าเบอร์ลิคสัปดาห์ละสามวัน เห็นว่ากำลังยุ่งๆ เรื่องยื่นขอฝึกงานเทอมหน้าที่บริษัทของรุ่นพี่ในภาคอยู่ด้วย เฮียแกอาจจะบีซี่มากจนไม่มีเวลาอ่านไลน์ก็ได้

แต่ไอ้ทิชา เพื่อนบังเกิดเกล้าของผมนี่สิ....


Im_BeeBeE :  ไอ้ชา ไม่สบายเหรอ? ไมไม่มาเรียนอ้ะ?

           กูเช็คชื่อวิชาเสงี่ยมแทนมึงไปแล้ว

           ให้กูไปหาที่บ้านมั้ย อยากกินอะไรป่าว?

           ตอบกูหน่อย เพื่อนใจบ่ดีเด้ออออ



ที่ว่าใจคอไม่ค่อยดีนั่นน่ะ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ นะ....

ตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บอกมันไปว่าเฮียโรมจีบผมแล้วเราก็กำลังจะเปิดตัวว่าคบกันอย่างเป็นทางการ อันที่จริงผมไม่จำเป็นจะต้องแคร์ก็ได้ แต่เพราะว่าไอ้ชาเป็นเพื่อนก็เลยอยากให้มันรู้คนแรก ให้มันรู้จากผมเองดีกว่าที่จะไปรู้จากปากคนอื่น.... ผลก็คือไอ้ชาซึมเป็นส้วมไปเลย มันจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะพุ่งข้ามโต๊ะร้านเจ้สวยมาตบสักร้อยฉาด ถึงตอนหลังมันจะพยายามแอ๊บว่าไม่มีอะไรแต่ผมก็ดูออกว่าจริงๆ แล้วคุณเพื่อนแม่งงอนแรงมาก

ผมก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก ปกติไอ้ชาไม่ค่อยคุยกับใครง่ายๆ มันโดนหลอกมาเยอะเจ็บมาแยะก็เลยค่อนข้างขี้ระแวง ใครที่คิดจะจีบมันส่วนมากก็มักจะถอดใจไปก่อนเพราะความพารานอยด์ผสมปากร้ายของแม่งนี่แหละ แต่ถ้ามันยอมลดกำแพงลงให้แล้วก็ถือว่าแจ็คพ็อตแตกนะ ไอ้ชามันเป็นประเภทไม่ขัดใจผัว ถ้ากล่อมให้มันเชื่อได้ว่ารักจริงหวังแต่ง จะเอาเดือนเอาดาวบ้าบอคอแตกยังไงมันก็ยอม

ผมถึงได้แปลกใจนี่ไงว่าทำไมมันยอมคุยกับเฮียโรมทั้งๆ ที่เฮียก็ไม่ได้ทรีตอะไรมันเป็นพิเศษสักหน่อย เฮียแกยืนยันกับผมเองเลยว่าไม่ได้จีบไอ้ชา แค่เห็นว่ามันโดนคนอื่นรังแกมาก็เลยปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้ มันเองก็ไม่เห็นพูดสักคำว่าชอบเฮียโรมหรือคนนี้กูจองแล้วนะ ก็เห็นทำหน้าเฉยๆ แล้วใครจะไปเดาใจมันถูกวะ

ในเมื่อเฮียโรมไม่ได้เล่นกับมัน ไอ้ทิชาก็ไม่ได้กำลังแอ๊วเฮียอยู่ แล้วสิ่งที่ผมเจอเมื่อวานนี้มันคืออะไร ใครช่วยบอกน้องบี๋ที....?

หรือบางทีไอ้ทิชามันอาจจะกลัวว่าผมจะทิ้งมันไปติดเฮียโรมมากกว่า ได้ผัวแล้วลืมเพื่อนไรงี้ แล้วมันจะเหงาไม่มีคนไปกินข้าวดูหนังด้วย?
 
โธ่ คุณเพื่อน.... ถึงกับไม่ยอมมาเรียน กูซงซานมึงแรงเวอร์~



“บีบี๋.........”

ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกผมจากทางด้านหลังระหว่างที่ผมเดินออกมาจากใต้ถุนคณะ น้ำเสียงไม่คุ้นทำเอาต้องพยายามมองหาจนคอแทบหมุนรอบก่อนที่จะบึนปากอย่างแรง เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้คือเดือนสถาปัตย์ชั้นปีเดียวกันซึ่งทั้งผมและไอ้ทิชาไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไร

“ยี้~ ไอ้แดน!”

“ไม่สนิทกันสักหน่อย ถึงกับขึ้นไอ้เลยเหรอ?”

นายแดนนรกยักคิ้วกวนตีนใส่ผม ถึงผมจะรีแอคชั่นแรงไปหน่อยแต่เชื่อเหอะคนอย่างหมอนี่ไม่เจ็บไม่ปวดกับอีแค่โดนเรียกนำหน้าว่าไอ้หรอก 

“แล้วก็ไม่ต้องยี้ด้วย กูเป็นคนไม่ใช่แมลงสาบ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

“กูให้โอกาสมึงคิดใหม่ทำใหม่.... ถ้ากูเป็นแมลงสาบ เฮียโรมญาติกูก็ต้องเป็นแมลงสาบด้วย แล้วมึงก็จะเป็นว่าที่เมียแมลงสาบเนอะ”

สมกับที่เป็น แดน ดรัณภพ ผู้ซึ่งปากหมาและมีเครือข่ายคอนเน็คชั่นกว้างขวางไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เซอร์ไพรส์ตรงที่มันรู้ข่าวว่าผมกับพี่โรมเปิดตัวคบกัน ที่โพสต์ลงไอจีหราขนาดนั้นก็เพราะหวังให้คนทั้งโลกมาร่วมเป็นสักขีพยานนี่แหละ เรื่องที่มันมีญาติอยู่วิศวะฯ ผมก็เคยได้ยินมานานมากแล้ว เพียงแต่โคตรเซ็งบ้านบึ้มที่ในอนาคตผมจะต้องกลายเป็นสะใภ้ร่วมตระกูลกับมันเนี่ยสิ

“มีธุระอะไรก็ว่ามา”  ผมถามตัดบท เผื่อว่ามันจะได้รีบไปให้พ้นหน้าสักที

“กูมีธุระกับทิชา ไม่ใช่กับมึง”

อ้าว ไอ้เวรนี่มองข้ามหัวผมหน้าตาเฉย ไม่ได้ข้ามเพราะผมตัวเตี้ยขาสั้นนะ แต่ข้ามเหมือนจะบอกว่ามึงมันมดปลวกเกินกว่าที่เดือนคณะจะมาคุยด้วย

“เพื่อนมึงอยู่ไหน?”

“วันนี้ไอ้ชาไม่มาเรียน.... มีอะไรก็บอกกูไว้นี่แหละ เดี๋ยวกูไปบอกมันให้เอง”

ผมแอบแถมในใจให้อีกหน่อยว่าต่อให้ไอ้ชามาเรียนก็ไม่ได้แปลว่ามันจะยอมคุยกับไอ้แดนง่ายๆ วิธีเดียวที่ไอ้แดนจะคุยกับทิชาได้ก็คือบอกผ่านผม ยังไงผมกับทิชาก็ไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว

ทว่า ไอ้แดนกลับยิ้มมุมปากด้วยท่าทางกวนโอ๊ยกว่าเดิม ถ้ายืนใกล้กันกว่านี้อีกสักยี่สิบเซน รับรองว่าผมจะโดดโหม่งเอาหัวโขกปากแม่งให้แตกเลย

“ถึงกับไม่มาเรียนเลยเหรอ?”

“อะไร? หัวเราะอะไร!?”

ผมถามขู่ฟ่อ นอกจากไอ้แดนจะไม่ยอมบอกเหตุผลที่มันทำเป็นยิ้มกลั้วหัวเราะแบบมีวาระซ่อนเร้น มิหนำซ้ำ ธุระที่มันว่าอยากคุยกับทิชาก็ยังไม่ยอมเปิดช่องให้ผมได้ใส่ใจ(เสือก)อีกต่างหาก

“ขอบใจมากนะ แต่ธุระของกูกับทิชาสำคัญมาก เอาไว้กูคุยกับมันเองดีกว่า” 

ไอ้แดนบอกผม ใช้สายตาเหมือนเวลามองพวกมดปลวกลูกกระจ๊อกอีกแล้ว

“บ๊ายบายบีบี๋ แล้วก็ยินดีต้อนรับสู่ตำแหน่งว่าที่สะใภ้บ้านอนุวัฒน์วงษ์นะครับมึง”

ประโยคท้ายสุด นั่งฟังนอนฟังตะแคงฟังยังไงก็รู้ว่าแม่งประชดกันชัดๆ ก่อนหน้านี้มันเคยหาทางเข้ามาตีสนิทไอ้ชาอยู่หลายรอบแต่ก็โดนผมไล่กลับไป แม่งก็คงผูกใจเจ็บอยู่ลึกๆ นั่นแหละถึงได้พูดจาล่อตีนใส่ขนาดนี้ จะเรียกกลับมาด่าก็ไม่ทันแล้วเพราะมันชิงเดินข้ามฟากกลับคณะไปเสียก่อน

ว่าแต่ธุระที่ไอ้แดนจะคุยกับทิชานี่มันมีอยู่จริงใช่ไหม....?


บ่ายสามโมงกว่าแล้ว ผมนั่งหาวหวอดตาปรืออยู่ในวิชา Computer for Architectural Practice รู้สึกเหมือนน้ำลายกำลังจะบูดเพราะได้พูดน้อยมาก เมาท์กับเพื่อนในภาคคนอื่นๆ ก็ไม่สนุกเท่าเมาท์กับไอ้ชา ยิ่งตอนนี้กำลังฮอร์โมนวัยว้าวุ่นเพราะเฮียโรมหายหัวไป ผมก็ยิ่งต้องการที่ปรึกษามารับฟังทุกสิ่งที่ผมอยากบ่น


   @3.42PM
         Do_As_RomanS : โทษทีนะบี๋ วันนี้เฮียยุ่งๆ อยู่น่ะ ไม่ได้แตะมือถือเลย

                               กำลังจะเข้ามอแล้ว บี๋กินข้าวหรือยัง



โอ๊ย เหมือนสวรรค์มาโปรด ในที่สุดเฮียโรมก็ตอบข้อความผม


   Im_BeeBeE : บี๋กินแล้ว กินคนเดียวด้วย *สติ๊กเกอร์ร้องไห้*

   Do_As_RomanS : โอ๋ๆ ขอโทษนะครับ

                        เดี๋ยวเฮียพาไปกินนมปั่นก็แล้วกันนะ

        Im_BeeBeE : วันนี้เฮียเข้าร้านมั้ยอะ?

        Do_As_RomanS : ไม่ครับ

                        บี๋อยากไปไหนหรือเปล่า?

          Im_BeeBeE : ไอ้ชาไม่มาเรียน ไม่ตอบไลน์ด้วย สงสัยว่าจะไม่สบาย

                         บี๋จะเข้าไปหามันที่บ้านหน่อยอะ จะเอาของกินไปให้

                              ช่วงนี้แม่มันติดถ่ายละคร ไม่น่ามีใครอยู่บ้าน

                              เฮียไปเป็นเพื่อนบี๋แปบนึงนะ



ผมเงี่ยหูฟังที่อาจารย์สอน ตาก็ยังจ้องโทรศัพท์รอคำตอบจากเฮียโรมอยู่ จริงๆ แล้วจะไปรถไฟฟ้าเองก็ง่ายกว่าเพราะบ้านไอ้ชาอยู่หมู่บ้านกลางซอยทองหล่อที่รถติดฉิบหายวายวอด แต่เรื่องของเรื่องคือผมอยากนั่งรถ Audi A5 Coupe’ สุดเท่ของเฮียไปอวดมัน รับรองว่ามันต้องร้องกรี๊ดแทบตายในใจแน่

อนิจจา.... เฮียแม่งเงียบใส่ผมอีกละ

                      Im_BeeBeE : เฮีย

                                     แง่ว ไม่ตอบ

                                          เฮียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

                              Do_As_RomanS : เดี๋ยวเฮียไปส่งบี๋ที่บ้านทิชาแล้วกัน

                                   Im_BeeBeE : แค่ส่งเฉยๆ เองอ่อ?

                                                     ไปเยี่ยมมันด้วยกันจิ



แล้วเฮียก็เงียบไปอีกพักใหญ่ สงสัยจะไม่ว่างจริงจังเลยล่ะมั้ง


                              Do_As_RomanS : อย่าเลย เฮียไม่ได้รู้จักกับเขาขนาดนั้น


ผมเลิกคิ้วสงสัย.... หมายความว่าไงวะที่ว่าไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้น ที่ผ่านมาก็เห็นคุยกันเป็นวรรคเป็นเวรนี่หว่า ตอนที่ไปงานแต่งเมื่อวันเสาร์ เฮียโรมก็บอกเองว่าอยู่กับไอ้ชา แล้วอย่างไอ้ชา ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คงไม่ยอมให้แอดไลน์ง่ายๆ หรอก นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เฮียโรมช่วยเลือกเสื้อผ้าให้มันด้วยนะ


                       Im_BeeBeE : โอ๊ย เฮียอย่าคิดเยอะ ไอ้ชาไม่ว่าไรหรอก

                               บี๋ว่ามันโอเคกับเฮียจะตาย

                                   ไปนะ แวะซื้อต้มเลือดหมูไปฝากมันด้วย มันชอบ
                                 
                                    .

                                    .

                                    เงียบอีกละ T___T

                                    เฮียอ่าาาาาา

                                    .

                                   เฮียตอบบี๋หน่อยจิ

                                   เฮียโรมมมมมมมมมมมมมม

                                   แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง




หลังจากนั้น เฮียโรมก็หายตัวไปจากแชทไม่ตอบผมอีกเลย ถ้าเมื่อกี้บอกว่าไปส่งผมที่บ้านทิชาได้ก็แสดงว่าไม่ได้ติดธุระอื่น แต่ที่เฮียไม่ยอมตกปากรับคำก็คือเรื่องที่จะเข้าไปเยี่ยมเพื่อนผมด้วยกัน.... ปกติแล้วผมเป็นคนที่สัมผัสที่หกจืดจางมาก เป็นพวกที่ถ้าไม่พูดด้วยตรงๆ ก็จะตีหน้ามึนไปได้จนกว่าจะมีคนช่วยชี้ทางสว่างให้ แต่เคสนี้ผมกลับติดใจฉิบหายเลยว่าอยู่ดีๆ เฮียโรมเกิดจะตึงอะไรใส่ไอ้ทิชาขึ้นมา ทั้งที่ตามนิสัยเฮียแกแล้วถ้ารู้ว่าไอ้ทิชาไม่สบายก็น่าจะเป็นห่วงเสียมากกว่า

หรือว่าจะมีเรื่องอะไรระหว่างสองคนนั้นที่ผมยังไม่รู้อีกนะ....?

ห่าเอ๊ย.... ทำไมถึงได้หงุดหงิดหัวใจเว่อวังเบอร์นี้วะเนี่ย!?



TISHA’s PART

   

คุณเคยรู้สึกอยากหลับเพื่อให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ บ้างมั้ย แบบว่าพอตื่นขึ้นมาอีกทีเวลาก็ผ่านไปแล้วสามปี เรื่องราวและความทุกข์ในปัจจุบันถูกฝังกลบไปกับมิติที่สี่ระหว่างที่เรากำลังนอนอยู่.... ปล่อยให้คนรอบข้างและปัญหาทั้งหมดเข้าสู่โหมดเยียวยากันเองโดยที่เราไม่ต้องรับรู้อะไรเลย พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกรีเซ็ตไปหมดแล้ว พร้อมให้เราเริ่มต้นใหม่แบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนอดีตตามมาหลอกหลอน

แต่ชีวิตคนเรามันไม่ใช่เกมเพลย์สเตชั่น รีเซ็ตโหมดก็ไม่มีอยู่จริง ผมก็ทำได้แค่เพ้อเจ้อเรียกร้องหาอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อย

ลำพังตอนนี้แค่จะหลับสักห้านาทียังยากเลย นับประสาอะไรกับนอนสามปี

‘โง่.... ฉิบหาย............’



“โห.... สภาพดูไม่จืดจริงด้วยว่ะ กะแล้วว่าต้องโดนหนัก แต่ไม่คิดว่าเฮียกูจะเล่นเอามึงโทรมขาลากขนาดนี้”


ผมอุตส่าห์หอบสังขารลงมาจากชั้นสามของบ้านเพราะได้ยินเสียงกริ่ง นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าไปรษณีย์ที่ไหนจะมาส่งจดหมายลงทะเบียนเอาตอนบ่ายแก่ๆ เกือบหมดเวลาราชการ ที่แท้ก็สิ่งมีชีวิตร่วมโลกที่แค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมรู้สึกคันฝ่าเท้าขึ้นมาตะหงิดๆ ไหนจะสายตายิ้มเยาะมีเลศนัยกับคำพูดกวนส้นตีนชวนให้หัวร้อนนั่นอีกล่ะ นอกจากจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแล้วยังเสือกทำตัวไม่น่าต้อนรับอีกต่างหาก

“มึงมาบ้านกูได้ยังไง?”

ทั้งน้ำเสียงและอารมณ์ผมไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาฉีกยิ้มตอแหลคุยกับใครด้วย คุยไปด่าไปก็ไม่เอาเหมือนกัน

“ไปซะ ไม่งั้นกูจะเรียกตำรวจแจ้งข้อหาบุกรุก!”

“ที่อยู่บ้านมึงก็ไม่ได้หายากเปล่าวะ แค่กูเกิ้ลชื่อแม่มึงก็เจอแล้ว”

ไอ้แดนตอบกลั้วหัวเราะกลับมา ทำอย่างกับว่าคำถามของผมถูกถามโดยเด็กสามขวบที่ยังไม่รู้ว่าไอโฟนคืออะไร

“ฉลาดแต่เรื่องชั่วๆ นะมึงน่ะ!”

ผมด่า แน่นอนว่ามันไม่สะทกสะท้าน สายตาเจ้าเล่ห์กวาดมองสารรูปพังๆ ของผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงคอซึ่งมีสายสร้อยหนังสีดำห้อยอยู่ นั่นแหละคือธุระที่แท้จริงของแดน ดรัณภพในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการชิงเกียร์พี่โรม แล้วมันก็ตามมาทวงสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ได้เร็วประหนึ่งเจ้ากรรมนายเวร

“ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ามึงหรอก.... เกียร์วิศวะฯ สวยดีนะ ได้มาด้วยวิธีไหนล่ะ?” 

ไอ้แดนยื่นนิ้วข้ามซี่รั้วบ้านมาเกี่ยวสายคล้องเกียร์ที่คอผมขึ้นมาดูชัดๆ จี้สัญลักษณ์รูปเฟืองระบุเลขรุ่นคือตัวแทนชัยชนะของผมและผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เดือนสถาปัตย์จะได้รับ ทว่า พอนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปและผลที่ตามมา ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองแพ้ราบคาบแถมยังน่าสมเพชสิ้นดี

“ถ้าจะคุยเรื่องแคสต์ละครอะไรนั่นเอาไว้วันหลังได้มั้ย ตอนนี้กูไม่พร้อม”

“เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย.... กูรู้ว่ามึงเหนื่อยใช้ร่างกายมาหนัก ไม่ได้จะบรีฟงานมึงเดี๋ยวนี้หรอกน่า”

“งั้นก็กลับไปได้แล้ว กูจะขึ้นไปนอน”

“แล้วมึงแน่ใจเหรอว่าจะหลับลงง่ายๆ?” 

ไอ้แดนย้อนถามผม รอยยิ้มของมันเหมือนรู้ทันว่าใจของผมฟุ้งซ่านเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ ก่อนจะชูสารพัดถุงพลาสติกที่มันหิ้วติดมือมาด้วยให้ดู 

“กูไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไรก็เลยซื้อมาหลายๆ อย่าง เชิญคนป่วยกินทิ้งกินขว้างได้ตามสบาย.... เห็นมั้ยเนี่ยว่ากูเป็นห่วงมึงแค่ไหน เปิดประตูให้หน่อยดิ อย่าใจร้ายใจดำกับคู่จิ้นมึงนักเลย”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 00:13:37 โดย SweetAlice0701 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมจำเป็นจะต้องให้ไอ้แดนเข้ามาในบ้านอย่างเสียไม่ได้ ถ้าไม่นับรวมบีบี๋ที่มาอย่างเป็นมิตร  หมอนี่ก็เป็นมนุษย์คนแรกในรอบหลายปีที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ในฐานะแขกของผม.... ผิดจากที่คิดไปมากเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ผมตั้งใจเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องเป็นพี่โรมเท่านั้น แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากผิดหวังแล้วปล่อยให้ไอ้แดนเข้ามาในเซฟโซนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“บ้านมึงสวยดีนะ มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าบ้านดารา” มันว่าพลางบุ้ยหน้าไปทางบรรดากรอบรูปที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายของแม่สมัยเป็นนางเอก  “พอคิดว่าอีกไม่นานบนกำแพงจะมีรูปมึงตอนเป็นซุปตาร์ดังแล้วด้วยก็ยิ่งตื่นเต้นว่ะ”

“อย่าเพ้อเจ้อ ยังไม่ทันจะไปแคสต์เลย”

ผมวางถุงข้าวถุงก๋วยเตี๋ยวลงบนเคาท์เตอร์ครัว ได้ยินคำพูดคำจาชนิดไม่เผื่อที่ว่างไว้ให้เก็บเศษหน้าตอนตกรอบก็ยิ่งหมั่นไส้

 “อ้อ ข้อตกลงระหว่างเรามีแค่เรื่องที่จะไปออดิชั่นละครด้วยกัน แต่ถ้าไม่ผ่าน อันนั้นอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของกูนะ”

“ถ้าเป็นมึง ไม่มีคำว่าไม่ผ่าน.... ต่อให้มึงจะเล่นแข็งเป็นหุ่นกระบอกน้ำเวียดนาม ยังไงมึงก็ผ่าน”

“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”

“เดี๋ยวมึงก็รู้........”

ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาตรงเข้ามาหาผมซึ่งกำลังโยนทุกอย่างที่อีกฝ่ายซื้อให้ใส่ตู้เย็นอย่างขอไปที เพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ผมไม่ทันระวังตัว มือลึกลับโผล่มาจากที่ไหนสักที่ก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอแล้วเหนี่ยวให้ผมเอนตัวพิงอกกว้างของคนซึ่งฉวยโอกาสมายืนซ้อนหลังพอดิบพอดี.... เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเชื่อจนผมตั้งรับไม่ติด กว่าจะรู้สึกว่าเมื่อกี้ปลายจมูกไอ้แดนเกือบชนโดนแก้มตัวเองอยู่รอมร่อก็ตอนที่มันกดชัตเตอร์กล้องหน้ามือถือไปเรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ย!!!” 

ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นรูปเด๋อๆ ของตัวเองอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นายแดนปรโลก ในขณะที่ตัวมันเอียงมุมเข้ากล้องได้โคตรเป๊ะสมกับที่คิดแผนชั่วเตรียมมาจากบ้าน 

“ไอ้แดน มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“กูจะใส่แฮชแท็กอะไรในไอจีดีน้า~ เอาเป็น #ทิชาหน้าสด หรือ #โนเมคอัพโนฟิลเตอร์ อะไรงี้ดีมะ เหมาะกับหนังหน้ามึงตอนนี้ดี” 

ไอ้แดนแกล้งล้อผม มือก็ชูโทรศัพท์ขึ้นสุดแขนไม่ให้ผมคว้าถึงได้ง่ายๆ เกลียดไอ้พวกสูงเกินร้อยแปดสิบก็ตรงที่แม่งชอบขี้โกงแบบนี้นี่แหละ 

“แต่บังเอิญมันเป็นรูปคู่กูกับมึงว่ะ งั้นใส่แท็กน่ารักๆ เป็น #แดนทิชา ก็แล้วกันเนอะ”

“กูไม่ตลก!”

“เออ ก็มึงไม่ใช่ตลก มึงเป็นนักศึกษา กูด้วย”

เส้นเลือดข้างขมับผมเต้นตุบๆ โคตรเข้าใจความรู้สึกของคนที่บันดาลโทสะคว้าปืนมายิงจิ๊กโก๋ปากมอมเลยว่าคงเหลืออดจริงๆ

สิ่งที่ทำเอาผมแทบเป็นบ้าก็คือไอ้แดนมันกดเข้าไอจี ทำท่าเหมือนจะอัพโหลดรูปเวรเมื่อกี้ให้บรรดาผู้ติดตามของมันดู แล้วระดับเดือนสถาปัตย์ปีสอง เจ้าของความสามารถพิเศษในการสร้างกระแสไวรัลให้ตัวเองเด่นเก่งกว่าสร้างโมเดลบ้านส่งอาจารย์ คุณคิดว่ามันจะมีคนฟอลโลว์แค่สิบยี่สิบพอขำๆ เหรอ ไม่เลย ผมไม่มีทางปล่อยให้ความอัปยศอดสูนี้หลุดรอดออกไปให้คนนับหมื่นหัวเราะเยาะแน่

“ไอ้แดน ห้ามโพสต์นะ!”  ผมโมโหจนมือสั่น ทางเดียวที่จะหายได้ก็คือต้องฟาดหน้าไอ้แดนสักเปรี้ยงให้มันหยุดกวนตีนผมสักที  “ลบรูปออกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะเอาเก้าอี้ฟาดมึง!”

“มึงจะโวยวายทำไมวะ ทิชา.... เดี๋ยวถ้าได้เล่นละครด้วยกัน มึงกับกูยังต้องทำอะไรที่มากกว่าถ่ายรูปคู่อีกเยอะ” 

คนตัวสูงกว่ายังคงโบกมือถือไปมาแบบเจตนาจะยั่วให้ผมประสาทแดก จะเสียเปรียบก็ตรงที่ไอ้แดนมันรู้จุดอ่อนของผมอยู่ก่อนแล้ว มันรู้ว่าผมเครซี่พี่โรมมากถึงขนาดยอมทำอะไรบ้าบออย่างการเข้าไปชิงเกียร์วิศวะฯ ถึงถ้ำเสือ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยากเลยที่มันจะพูดจี้ใจดำให้ผมดิ้นเร่าๆ ด้วยความโมโห 

“แต่ถ้ามึงกลัวเฮียโรมจะมาเห็น กูจะลบออกให้ก็ได้”

“ไม่เกี่ยวกับพี่โรม กูไม่ชอบตรงที่เป็นมึงนั่นแหละ!”

“มึงพูดแรงจนกูน้อยใจเลยว่ะ แต่ก็เข้าใจนะว่ากูมันก็แค่คู่จิ้น จะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้คู่จริงอย่างมึงกับเฮียโรมได้” 

ไอ้แดนล้อเลียนผม สายตาที่มันใช้มองผมซึ่งเนื้อตัวมีแต่ร่องรอยจากกิจกรรมเมื่อคืนนั้นไม่ต่างอะไรกับคำด่าตอกหน้าว่ามึงมันใจง่ายใจร่าน อยู่ดีไม่ว่าดีก็แล่นไปให้ผู้ชายเอาถึงที่จนสารร่างแทบพัง

“ว่าแต่เมื่อคืนนอนคุยกันเป็นไงบ้างสนุกมั้ย? ได้บอกเฮียโรมหรือยังว่ามึงตกลงปลงใจจะแย่งแฟนเพื่อนมาเป็นของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว.... หรือว่ามัวแต่ครางเลยไม่ได้คุย?”

เหมือนมีแมลงกินเนื้อตัวร้ายชอนไชอยู่ข้างในสมอง หัวใจที่อุตส่าห์กล่อมให้สงบไปได้พักใหญ่กลับบีบรัดให้ทรมานเพราะความจริงที่ตนเองไม่อยากรับรู้ขึ้นมาอีก ผมกุมสร้อยคอที่พี่โรมเป็นคนสวมให้กับมือเอาไว้แน่นพลางหลับตาลงผ่อนลมหายใจแล้วเริ่มต้นพิธีกรรมหลอกตัวเองอีกครั้ง....

ผมไม่เคยได้ยินคำพูดร้ายๆ อะไรจากพี่โรมทั้งนั้น พี่โรมปกป้องผมจากพวกคนไม่ดี เรามีความสุขด้วยกันตลอดทั้งคืน เขาเรียกชื่อผม บอกซ้ำไม่รู้ตั้งกี่หนต่อกี่หนว่าผมสวย น่ารักและสามารถทำให้เขาคึกคักหิวกระหายได้มากแค่ไหน เรากอดจูบกัน ปลดเปลื้องเติมเต็มความต้องการให้กันและกันชนิดที่ไม่มีใครจินตนาการออกหรอกว่าทั้งร่างกายและจิตใจของผมนั้นชุ่มฉ่ำยิ่งกว่าอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำเสียอีก

ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันไม่มีอยู่จริง

ผมแค่เหนื่อยมากเกินไปก็เลยหูเพี้ยน คนอ่อนโยนแบบพี่โรมไม่มีทางพูดจาไม่ดีกับคนที่เพิ่งทอดกายให้เขานอนกอดทั้งคืนอย่างผมแน่

คนที่เพ้อเจ้อไร้สาระจนน่าเตะก็คือไอ้แดนต่างหาก....!

“น่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องสินะ มึงถึงได้กลับมานอนหน้าหมองอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้.... ท่าทางพี่ชายกูไม่น่าจะสนใจใยดีพวกวันไนท์สแตนด์สักเท่าไร ไม่อย่างนั้นก็คงมีเมียไปเป็นร้อยแล้ว”

มันแสยะยิ้มน่ารังเกียจใส่ผม เช่นเดียวกับคำพูดแสลงหูในทำนองว่าผมถูกฟันแล้วทิ้ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์ พี่โรมจะไม่มีวันหันมามองผมด้วยสายตาแบบเดิมอีกเพราะว่าผมเป็นได้ข้ามเส้นจากรุ่นน้องที่น่าเอ็นดูไปเป็นคู่นอนคืนเดียวที่ได้มาอย่างง่ายดายเสียแล้ว 

“กูช่วยให้มึงแย่งเกียร์มาได้แล้ว ใส่จนพอใจก็เอาไปคืนเจ้าของเขาเร็วๆ แล้วกัน”


......และพี่โรมก็ขยะแขยงเมียชั่วคราวคนนี้มากด้วย.......


“ไอ้เหี้ย!”

ผมแผดเสียงเกรี้ยวกราดใส่คนตรงหน้า กำปั้นข้างหนึ่งเหวี่ยงทุบเข้ากลางผืนอกหนาเสียงดังปึ้ก ไอ้แดนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ นอกเสียจากหุบรอยยิ้มเมื่อครู่กลับคืนไป นัยน์ตาผมแดงก่ำร้อนผ่าวขณะจ้องมองคู่อริที่ลงมือกรีดปากแผลกลัดหนองของผมอย่างเลือดเย็น ความเจ็บปวดหลั่งไหลพร่างพรูออกมาทันทีที่มาคนเปิดช่องซ้ำเติม

“คนอย่างมึงจะไปรู้อะไร!? ไม่รู้ก็ไม่ต้องมาเสือกเรื่องของกูเลยนะ! หุบปากไปเลย!!”

“กูไม่ได้แย่งใคร พี่โรมเขาชอบกูก่อนไอ้บี๋ เมื่อคืนเขายังพูดอยู่เลยว่ากูสวยกูน่ารักสำหรับเขา มึงได้ยินไหมไอ้แดน พี่โรมชอบกู! เขาชอบกูมาตั้งแต่แรก!! ถ้าไอ้บี๋มันไม่มาปาดหน้าแย่งพี่โรมไป ป่านนี้กูกับเขาก็คงเป็นแฟนกันไปแล้ว!!”

ผมรู้ว่านั่นคือความคิดดื้อรั้นโง่เง่าของผมเพียงฝ่ายเดียว แต่ผมก็เชื่อว่าตัวเองคิดถูกและจะไม่มีสิ่งใดมาล้างถอนเศษแก้วที่ปักลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจพวกนี้ได้ 

“กูก็แค่ทวงสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนมา ก็เหมือนๆที่คนอื่นเคยทำกับกูนั่นแหละ แล้วกูก็จะไม่คืนเกียร์พี่โรมให้ใครทั้งนั้นเพราะมันเป็นของกู!!”

“ตรรกะมึงพังมากนะ ทิชา.... แพ้แล้วพาล ตรรกะลูซเซอร์สุดๆ”

เดือนสถาปัตย์ส่ายหน้าเอือมระอาใส่ผม น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเพลียที่จะต้องมารับมือกับคนบ้าอย่างผมเป็นที่สุด

“ที่เฮียกูบอกว่าชอบมึงน่ะ เขาบอกมึงเองเหรอ.... หรือเขาแค่พูดถึงอดีตที่มึงพลาดโอกาสไปแล้ว?”

ร่างสูงเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อรอดูว่าผมจะเถียงแถต่อไปอย่างไร ไอ้แดนมันมองออกทะลุปรุโปร่งว่าผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแค่กำลังหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองเพื่อที่จะได้หน้าด้านหน้าทนแย่งแฟนเพื่อนสนิทได้อย่างชอบธรรม 

“ที่ทุกคนเขารับรู้กันในปัจจุบันคือเฮียโรมจีบบีบี๋เพื่อนมึง และเขาเป็นแฟนกันแล้ว.... ส่วนมึง ถ้าพวกในเบอร์ลิคยังรักษากฎไม่แพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ถูกเอาไปพูดข้างนอกเมื่อไร มึงก็เตรียมตัวถูกด่าว่าเป็นมือที่สามหรือเมียน้อยได้เลย”

“กูมาก่อนไอ้บี๋.......กูไม่ใช่มือที่สาม......แล้วก็ไม่ใช่เมียน้อยด้วย!” ผมยังคงไม่ยอมแพ้ “ถ้ามึงจะไม่เข้าข้างกูก็กลับไปเลยไป!”

‘มือที่สาม’ ‘เมียน้อย’.... สองคำนี้คือคำต้องห้ามสำหรับผม คือกรอบที่สังคมตราหน้าใส่แม่มาตั้งแต่ผมยังไม่ลืมตาดูโลก ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะซ้ำรอยเดียวกันกับแม่ ผมยอมผิดหวัง ยอมเป็นฝ่ายเดินจากไปแต่โดยดีทุกครั้งที่จับได้ว่าแฟนตัวเองคบซ้อน แต่ในเมื่อผมอุตส่าห์พบเจอคนที่รักผมและผมก็รักเขาแล้ว เราเจอกันก่อนที่จะมีใครกลายเป็นของใคร แล้วทำไมคำๆ นี้ถึงยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่ได้....?

“โอเคจ้ะ ไม่ใช่มือที่สามก็ได้เนอะ แบบนี้สบายใจขึ้นหรือยังจ๊ะ?”

ไอ้แดนคงขี้เกียจเถียงแล้ว มันยัดมือถือลงกระเป๋าหลังกางเกง ถือวิสาสะจัดแจงเปิดตู้เย็นหยิบเอาข้าวที่ซื้อมาให้ผมแกะใส่จานก่อนจะยัดเข้าไมโครเวฟเหมือนอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด.... มันไม่ได้จะกินเองหรอก มันอุ่นข้าวให้ผมกินนั่นแหละ คงคิดล่ะมั้งว่าถ้าหากท้องอิ่มแล้ว ผมอาจจะสงบสติอารมณ์จนหายบ้าและคุยกับมันด้วยตรรกะมนุษย์ทั่วไปได้เข้าใจมากขึ้น

แต่มันยากมากจริงๆ นะ แม้กระทั่งผมก็ยังนึกรำคาญตัวเองเลย....

“พี่โรมน่ะ........เขาชอบกูจริงๆ นะ...........” 

ผมพยายามจะเถียงเอาชนะไอ้แดนให้ได้ ทั้งๆ ที่คำว่า ‘แพ้แล้วพาล’ ยังแปะเด่นหราอยู่กลางหน้าผาก 

“พวกมึงเอาแต่บอกว่าไม่ใช่ก็เพราะว่ามึงไม่เคยเห็นกันไงว่าพี่โรมดีกับกูแค่ไหน.... เมื่อคืนนี้ เขายอมคุกเข่าคลานเป็นหมาต่อหน้ารุ่นพี่เพื่อช่วยกูจากพวกนั้นเชียวนะ ไหนจะคราวก่อนๆ ที่พี่โรมเข้ามาช่วยกูอีกล่ะ.... ถ้าเขาไม่คิดอะไรกับกูเลยสักนิดแล้วทำไมเขาถึงต้องยอมทำขนาดนี้ด้วย.........กูไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย............”

“ทิชา กูรู้ว่าการมโนมันช่วยเยียวยาจิตใจมึงได้ แต่บางครั้งมึงก็ต้องแดกยาสลายมโนแล้วดึงสติตัวเองบ้างนะ”

“กูไม่ได้มโน!  พี่โรมเขากอดกูไว้ทั้งคืน......เขาคิดว่ากูหลับแต่จริงๆ แล้วกูแทบไม่ได้นอนเลยจนเช้า......กูจำทุกอย่างที่เขาทำ จำทุกคำที่เขาพูดกับกูได้หมด......เขาชอบกูจริงๆ.......แค่พวกมึงไม่เคยเห็น..........แค่พวกมึงไม่เคยเห็นแต่ไม่หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่จริง............!!”

“ถ้าเขาชอบมึง แล้วทำไมเขาไม่เลือกมึงล่ะ?”

“.....................”

“ไม่ต้องตอบกูก็ได้นะ ตอบมากูก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด.... คนๆ เดียวที่รู้ดีที่สุดก็คือเฮียโรม มึงก็ไปเล่นปริศนาอะไรเอ่ยกันเองก็แล้วกัน”

แต่สุดท้ายผมก็แพ้ แถมยังเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้พาลต่อไม่ออก ไม่รู้จะดิ้นหนีไปทางไหนเพื่อที่จะได้อยู่กับความเชื่อฝังใจของตัวเอง

ข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่ติดหนังส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้าพร้อมด้วยน้ำซุปฟักตุ๋นมะนาวดองร้อนๆ เดือนสถาปัตย์ลากผมมาที่โต๊ะกินข้าวก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้แล้วบังคับให้นั่ง เริ่มสับสนแล้วว่าที่อยู่ตอนนี้นี่บ้านใครกันแน่ พอๆ กับที่สงสัยว่าไอ้แดนมันรู้ได้ยังไงว่าผมชอบข้าวมันไก่ร้านเดชโอชาหน้ามอ แถมยังสั่งแต่เนื้อน่องล้วนของโปรด ไม่เอาเลือด ไม่เอาแตงกวา ไม่โรยผักชีเหม็นๆ มาให้ด้วย.... ตัวมันก็นั่งลงข้างๆ มองหน้าผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“แต่มึงพูดมาก็ดีแล้วล่ะ ทิชา กูจะได้เข้าใจว่ามึงกำลังฟูมฟายห่าอะไร.... ทีแรกกูก็งงว่ามึงเองก็เคยกิ๊กอยู่ตั้งหลายคน เลิกแล้วก็จบไป คราวนี้จะมาอะไรกับเฮียโรมมันนักหนา ที่แท้ก็เคยมีสตอรี่กันมาก่อนนี่เอง”

“พวกก่อนหน้านั้นแค่มาจีบเพราะเห็นกูเป็นของเล่น กูก็ลองคบเผื่อว่าจะใช่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เคยใช่..........” 

ผมเขี่ยข้าวในจานไปมา ถึงจะชอบแต่ตอนนี้กลับเฝือนคอจนกินไม่ลง 

“แต่กับพี่โรม......กูชอบเขา กูอยากเป็นของเขา........”

“ความรักหนอความรัก น่ากลัวฉิบหาย”

มันว่าก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ 

“ถ้าอยากเก็บเกียร์เอาไว้ก็แล้วแต่มึงเหอะ ชีวิตมึงก็เป็นของมึงนี่เนอะ กูเป็นแค่คู่จิ้นธรรมดาๆ ไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่ผัว....  สำคัญก็คือกูเป็นคนช่วยให้มึงแย่งเกียร์มาได้ กูก็คงไม่มีสิทธิ์พูดว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำแล้วว่ะ”

ผมลืมเรื่องรูปเซลฟี่ทีเผลอเมื่อกี้ไปเสียสนิท มานึกขึ้นได้อีกทีก็ตอนที่ไอ้แดนยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู เวรเอ๊ย! มันอัพโหลดรูปผมในสภาพหน้าตาเหียกสนิทขึ้นสู่โลกออนไลน์ไปเรียบร้อยจนได้ ทีนี้ผมคงจะต้องทนอยู่กับรูปสุดสยองที่จะมีคนเอามารีรันใช้ประกอบการด่าไปตลอดชีวิตแหง พอกำลังจะง้างปากด่า สายตาก็เหลือบไปเห็นคอมเมนท์เสียก่อน....


   ‘แดนกับทิชา???’

   ‘เฮ้ยยยย ทำไมน่ารักอะ??’

   ‘สองคนนี้สนิทกันตั้งแต่เมื่อไรอ้ะ...... น่ารว้ากกกกกกกกก’

   ‘ทิชาใส่ชุดนอนด้วย? อยู่บ้านกันเหรอ? ว้ายยยย เดทป่ะๆๆๆ’

   ‘เราชอบคู่นี้มาตั้งแต่สมัยงานเฟรชชี่แล้ว ขุ่นพระ เรือยังไม่ล่มโว้ย’

   ‘เรือหรือเครื่องบิน ไม่ต้องพายแล้ว /เปิดการ์ดโยนไม้พาย’

   ‘ต๊ายตาย แต่แม่หนูบอกไม่ให้ชิปคู่ที่เป็นแฟนกัน’




“เห็นมั้ย กูบอกแล้วว่าเคมีระหว่างกูกับมึงแม่งระดับทำลายล้าง”

“..........ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน”

“มึงนี่จริงๆ เลยเว้ยเฮ้ย ไอ้ทิชา มีคนชมก็ไม่ชอบ มีคนด่าก็ใจบาง”

ผมไม่ตอบ.... ไม่รู้จะตอบอะไร จะดีใจไปทำไมในเมื่อทั้งหมดที่ไอ้แดนทำไปก็เพราะหวังจะให้ผมไปแคสต์ละครคู่กับมัน และรูปที่โพสต์ในไอจีก็เป็นแค่หนึ่งในแผนการสร้างไวรัลเรียกกระแสให้ตัวเองก่อนถึงวันงานจริง เหมือนๆ กับตอนที่มันหอมแก้มผมในงานเฟรชชี่นั่นแหละ

“ออดิชั่นละครวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เก้าโมงเช้าที่เดอะไบรท์สตูดิโอ อยู่แถวๆ ทาวน์อินทาวน์.... เดี๋ยวกูส่งโลเกชั่นมาให้ แต่ถ้ามึงขี้เกียจขับรถ เดี๋ยวกูมารับมึงที่นี่ก็ได้”

แต่อย่างน้อยไอ้แดนก็ใช้กันตรงๆ ใช้ให้รู้ว่ากูกำลังหวังอะไรจากมึงอยู่ ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมเองก็คงไม่กล้าคาดหวังอะไรจากใครอีกแล้ว....


TO BE CONTINUE


+++++++


ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ
สำหรับตอนที่ผ่านมา รู้สึกได้ถึงเสียงกรีดร้องของผู้อ่านทุกท่าน 5555
ตอนนี้ก็มีคนใหม่ (แต่หน้าเก่า) วนเข้ามาในชีวิตของทิชาอีกครั้ง แต่จะใช่คนที่ตามหาหรือมาแทนที่พี่โรมได้หรือไม่
พี่โรมกับทิชา ทิชากับบีบี๋จะเป็นยังไงต่อไป มาติดตามกันต่อนะคะ

รักชอบ หรือมีอะไรจะติชมก็สามารถทิ้งคอมเมนท์เอาไว้ได้นะคะ หรือจะไปหวีดกันในแท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตก็ได้จ้าาาา
 :hao5:


+++++

// จองที่ไว้ตอบคอมเมนท์คุณ Grey Twilight นิดนึง
ขอบคุณสำหรับบทวิเคราะห์และคำแนะนำที่มีค่ามากๆเลยนะคะ ขอเวลาแต่งเรียงความตอบนะคะ ฮืออออ :katai2-1: //
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 00:21:40 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ ตาหวาน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนแดนจะ
ชอบทิชาตั้งแต่งานเฟรชชี่ที่แกล้งหอมแก้ม เราว่าคงไม่ใช่อยากดังหรอก
และบังคับให้ไปแคสละครด้วยกันอีก
เหมือนพยายามอยากมีตัวตนในสายตาทิชา
แต่มันก็ทะแม่งตอนที่ช่วยทิชาเรื่องเกียร์นี่แหล่ะ
คือถ้าเราชอบใครสักคน คงไม่ยอมให้ทำแบบนี้แน่ เพราะว่าเรารู้ผลจะเป็นยังไง
แต่ก็ข้องใจเรื่องข้าวมันไก่ ถ้าไมาใส่ใจจริงคงจำไม่ได้หรอกว่าชอบกินอะไร จะว่าบังเอิญก็ไม่น่าใช่

โอ้ยยยยย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เอาเป็นว่ารอลุ้นต่อดีกว่า มาต่อไวๆนะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ nuengku.kimjaejoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดเรื่องนี้มากจริงๆ จะรอนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
นี่แอบคิดว่าแดนชอบทิชารึป่าว

ออฟไลน์ ข้าวเหนียวมะม่วง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านแล้วสงสารเลยอ่า สงสารตัวเองเนี่ยยยยย :sad4:

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

กว่าจะไล่ไอ้แดนกลับไปได้ก็เล่นเอาผมแทบหมดแรง ผมกลับขึ้นมาห้องนอนตัวเองที่ชั้นสามเอาตอนเกือบๆ หกโมงเย็น อย่างแรกที่ทำก็คือหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูรูปอัปยศในไอจีว่าโดนคอมเมนท์ถล่มด่าไปไกลถึงไหนแล้ว.... เหตุผลที่ผมไม่เปิดไพรเวทแอคก็เพราะรู้ว่าตัวเองนอยด์ง่ายแล้วก็กลัวคำพูดคนอื่นจนขึ้นสมอง มันออกจะโรคจิตอยู่หน่อยๆ ที่ผมชอบส่องดูว่าใครคิดยังไงกับผมบ้าง ไม่ว่าจะใต้รูปงานกิจกรรมในเพจคณะ เพจคิวท์บอยมหาลัยที่ขยันถ่ายรูปผมไปลงเหลือเกิน แน่นอนว่าครึ่งต่อครึ่งคือโดนด่ายับ แต่ก็เลิกอ่านและเลิกเก็บเอามาคิดมากไม่ได้

แต่ปรากฏว่า แดนมันลบรูปที่ถ่ายคู่กับผมทิ้งไปแล้ว....

ผมไม่รู้หรอกว่ามันลบทำไม อาจจะแค่อยากคุมโทนไอจีเลยลบหน้าโทรมๆ ของผมทิ้งไปซะ แต่ก็ดีแล้วที่จะได้ไม่ต้องเจอคอมเมนท์แย่ๆ จากคนที่ไม่รู้จัก.... ผมไถดูรูปอื่นๆ ในไอจีของแดนก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากโพสต์รูปตัวเองบ้าง รูปแก้วกาแฟ รูป Gadget โชว์ไลฟ์สไตล์ แล้วก็ใส่แคปชั่นเลี่ยนๆ อ้อนแฟนคลับประมาณว่า ‘ที่ทำเป็นไม่ชอบ เพราะรู้ว่าถ้าชอบก็ทำอะไรไม่ได้’ ‘ทิ้งเรื่องไม่ดีในปีเก่า แล้วมาเป็นแฟนเราในปีใหม่’ ‘ทำไมจะไม่แคร์ อยากดูแลด้วยซ้ำ’  เห็นแล้วก็รู้สึกว่าตลกดีที่คนเราแม่งจะต้องพยายามเรียกร้องความสนใจจากคนแปลกหน้าขนาดนี้ด้วย

“มิลค์ มานี่ดิ๊.........”

เรียกครั้งที่หนึ่ง ลูกสาวผมไม่แม้แต่จะชายตาแล

“มานี่หน่อย คุณนายมิลค์.... ไม่มาไม่รักนะเว้ย”

เรียกครั้งที่สอง นอกจากจะไม่หันแล้ว แมวลูกทรพียังเดินหนีไปนอนหน้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะพยายามเรียกหรือแกว่งปลาทูปลอมล่อยังไงก็ไม่ยอมมาหา ขนาดผมมีของโปรดของไอ้มิลค์อยู่ในมือ มันยังไม่สนใจผมเลย.... แต่ก็ช่างเหอะ เพราะผมเองก็ค่อนข้างชินกับการถูกเมินแล้วไม่ว่าจะจากคนหรือสัตว์ก็ตาม


แต่คนพวกนั้นจะรู้บ้างไหมนะว่าผมเริ่มเหนื่อยแล้ว....?


ปกติแล้วผมฝันไม่ค่อยบ่อยนัก คงเพราะวันนี้มีอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในหัวมากเกินไปประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอ คลื่นสมองก็เลยสร้างภาพจากจิตใต้สำนึกขึ้นมาให้ผมมองเห็นเสมือนส่องดูเงาตัวเองจากกระจกบานใหญ่

ในความฝันนั้น ผมยืนอยู่บนขอบสะพานที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพมหานคร เบื้องหน้าคือทิวทัศน์ยามค่ำคืนซึ่งมีแสงไฟจากตึกสูงและบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยานับร้อยนับพันดวงตัดกับความมืดของท้องฟ้า ทว่า เบื้องล่างคือผืนน้ำกว้างใหญ่สีดำมะเมื่อมแสนน่ากลัว สายลมโหมพัดแรงราวกับพายุ กระแสน้ำไหวกระเพื่อมคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างหมุนวนอยู่ข้างใต้ ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีมือปริศนายื่นขึ้นมากวักเรียกผมให้กระโดดลงไปหา 

......ตูม!!......

ร่างของผมถูกโอบล้อมด้วยมวลน้ำที่บีบอัดเข้ามา ความหนาวเหน็บทิ่มแทงสู่ผิวเนื้อเหมือนคมมีด ลมหายใจขาดห้วงเมื่อของเหลวเย็นเยียบทะลักเข้าจมูกและปากจนได้แต่ดิ้นรนตะเกียกตะกายอย่างแสนทรมานอยู่ในความมืดมิด เพียงไม่นาน ผมก็เหนื่อยและหมดแรงลงในที่สุดหากก็ยังไม่ตายเสียที ได้แต่อยู่ในสภาพบวมน้ำจนขึ้นอืดและมองดูตัวเองล่องลอยออกห่างจากใต้สะพานแห่งนั้นออกไปทุกทีๆ

ผมโดดเดี่ยว.... ผมหวาดกลัว....

ตลอดเวลาที่ลอยอยู่ในน้ำ ผมเฝ้าอธิษฐานว่าจะมีใครสักคนผ่านมา ใครก็ได้ที่จะดึงผมขึ้นจากที่ตรงนั้น แม้ว่าร่างกายของผมจะเน่าเปื่อยเละเทะหมดแล้วก็ตาม

แต่ก็ไม่มีเลย.... ไม่มีใครเหลียวแลผม แม้กระทั่งเสียงกรีดร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครได้ยิน

สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายร้องขอที่จะจากไปเอง

ให้ผมตายเถอะ อย่าให้ผมต้องทนอยู่แบบนี้อีกเลย


“ไอ้ชา.........”


ให้ผมตายเถอะนะ ได้โปรด....
   

“ไอ้ชา!”

“ไอ้ชาาาาา ไอ้ทิชาโว้ยยยยยย!!!!”

“ทิชนันท์ เทอมนี้มึงติดเอฟทุกวิชาแล้ว! ตื่นๆๆๆ!!!”

ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำว่าเอฟ รู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองทุรนทุรายขึ้นมาจนพ้นผิวน้ำในสภาพหูตาเหลือก เมื่ออากาศสามารถไหลผ่านเข้าปอดได้ ผมจึงรีบหายใจจนกลายเป็นหอบแฮ่กจนกระทั่งใครบางคนดึงผมให้ลุกขึ้นมานั่ง.... ผมไม่ได้กำลังลอยเน่าอืดอยู่ในแม่น้ำแต่อยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง รอบข้างแห้งสนิทและปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัวจนต้องดิ้นพราดเพื่อเอาชีวิตรอดเลยสักนิด นอกจากคำว่าเอฟที่พุ่งเข้ามากระทบหูเมื่อกี้นี้

นั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อซึมเปียกไปทั่วแผ่นหลังเลยทีเดียว

“เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย เห็นนอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่สักพักละ ฝันร้ายเหรอ?”

เจ้าของมือเอ่ยถามก่อนจะใช้มือเสยผมซึ่งยุ่งเหยิงปรกหน้าออกให้

“ไอ้บี๋....?”

สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาทีละน้อยเช่นเดียวกับจังหวะการเต้นของชีพจรที่ค่อยๆ ผ่อนลงจนอยู่ในระดับปกติ ผมมองคนตรงหน้าที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการหยิบทิชชู่มาช่วยซับเหงื่อตามไรผมให้   

“มึงมาอยู่นี่ได้ไง?”

“ก็วันนี้มึงไม่ไปเรียน โทรหาก็ไม่รับสาย ไลน์ก็ไม่ยอมอ่าน.... กูก็ต้องมาดูสิว่าเพื่อนกูตายไปแล้วหรือยัง” 

บีบี๋ทั้งอธิบายและบ่นใส่ไปพร้อมๆ กัน ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูท่าทางมันคงเป็นห่วงผมมากเลยทีเดียว

 “รถที่จอดขวางหน้ารั้วบ้านนี่ฝีมือมึงใช่มะ กูขอบอกเลยนะว่ามึงจอดรถได้เชี่ยมาก จนป่านนี้แล้วยังขับไม่คล่องอีก ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะ ถอยเข้าบ้านไม่ได้ก็จอดขวางแม่งหน้าประตูซะงั้นเลย.... ที่สำคัญก็คือมึงไม่ได้ล็อกบ้านนะไอ้ชา ประตูกระจกข้างล่างก็เปิดทิ้งเอาไว้ ถ้ากูเป็นโจรนี่คงยกเค้าไปหมดบ้านแถมขึ้นมาฆ่าข่มขืนมึงเรียบร้อยแล้ว อันตรายฉิบหาย!”

ผมได้แต่พยักหน้าเออออยอมให้ไอ้บี๋บ่นโดยไม่เถียง เรื่องจอดรถทิ้งไว้ รอจนกว่ากายใจจะพร้อมแล้วค่อยลงไปถอยกระดึ้บๆ เข้าบ้าน แม่ผมก็บ่นออกบ่อย แล้วก็สงสัยว่าตอนที่ไล่ตะเพิดไอ้แดนออกจากบ้าน ผมคงจะรีบกลับขึ้นห้องจนลืมล็อกประตูกระจกตรงห้องรับแขกล่ะมั้ง....

“ว่าแต่มึงไม่สบายใช่ไหมเนี่ย หน้าแดงๆ ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้เลย?”

ผมพยักหน้ารับ เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับมาบ้านก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ตลอด แต่สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้นอย่าให้พูดถึงเลย 

“อืม.... นิดหน่อย พรุ่งนี้ก็หายแล้ว”

“กะแล้วเชียว ตัวท็อปภาคอย่างมึงเคยโดดเรียนง่ายๆ กับใครเขาเสียที่ไหน” 

ไอ้บี๋ทำหน้าโล่งอกหลังจากได้ยินว่าผมไม่เป็นอะไรมาก ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่หายตัวไปทำให้คนรอบข้างต้องเป็นกังวล ทว่า ผมกลับไม่สามารถยิ้มรับคำพูดที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นได้อย่างสนิทใจอีกแล้ว เพราะผมคือคนที่เอามีดปักกลางหลังเพื่อนรักเข้าเต็มๆ

 “งั้นที่มึงไม่คอลไลน์กลับมาเมื่อคืน ถือว่ากูให้อภัยคนป่วยนะ จะงดด่ามึงเป็นกรณีพิเศษหนึ่งวัน”

“แค่วันเดียวเหรอ?”

“วันเดียวก็ถือว่าเมตตามึงมากละ”

อันที่จริง ผมไม่มีมีหน้าจะไปต่อรองกับบีบี๋เลยด้วยซ้ำ และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องงดเว้นจากการด่าผม.... ยิ่งมันทำดีด้วยแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเติบโตขึ้นในใจเหมือนมะเร็งในระยะกำลังลุกลาม แม้ความเชื่อที่ว่าผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะรักชอบพี่โรมไม่น้อยไปกว่ามันจะยังมีอยู่มากก็ตาม

“แล้วนี่ก็ต้มเลือดหมูเฮียเล็ก ใส่แค่หมูสับ เลือด ผัก ไม่เอาเครื่องใน.... เดี๋ยวกูอุ่นให้นะ”

ไอ้บี๋บอกก่อนจะเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งเป็นเพนทรีครัวเล็กๆ จัดการหยิบชามใบใหญ่ออกมาจากตะแกรงข้างอ่างล้างจานอย่างคุ้นเคย ทำให้ผมนึกถึงแขกไม่ได้รับเชิญที่เพิ่งกลับไปเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่จะให้บอกบีบี๋ว่าข้าวมันไก่ที่ไอ้แดนซื้อมาให้กินยังย่อยไม่หมดเลยก็ใช่ที่

“ขอบใจ แต่มึงใส่ตู้เย็นไว้ก่อนแล้วกัน กูเพิ่งกินข้าวไปเอง”

“ไม่ได้ๆ กูอยากให้มึงกินตอนนี้เลย จะได้กินยาด้วย..... นี่กูอุตส่าห์ให้เฮียโรมจอดรถข้างทางลงไปซื้อให้มึงเชียว คิวก็ยาว สุดท้ายโดนตำรวจไล่ไปวนรถตั้งสองรอบกว่าจะได้เลือดหมูมาให้มึงเนี่ย”

ชื่อของบุคคลที่สามทำเอาผมถึงกับสะอึก ผมไม่ได้สนใจที่มาของต้มเลือดหมูที่ไอ้บี๋กำลังโม้อยู่นี่หรอก แต่ตกใจที่รู้ว่าพี่โรมมากับมันด้วยต่างหาก พอชะโงกไปนอกหน้าต่างถึงได้เห็นว่ามีรถอีกคันจอดซ้อนมินิคูเปอร์ของ(แม่)ผมอยู่ มิน่าล่ะ ไอ้บี๋มันถึงบ่นเรื่องที่ผมไม่ยอมถอยรถเข้าบ้าน

ผมซ่อนเกียร์วิศวะฯ เอาไว้ใต้คอเสื้อระหว่างที่เพื่อนกำลังง่วนอยู่กับไมโครเวฟและแกล้งแหย่ไอ้มิลค์ คิดว่าบีบี๋น่าจะยังไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่ผมยังไม่อยากให้มันเห็น....

“เออ เมื่อตอนเที่ยง ไอ้แดนถาปัดมันมาดักรอเจอมึงที่ใต้ถุนคณะอะ บอกว่ามีธุระจะคุยด้วย” 

เพื่อนตัวเล็กกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดใส่ต้มเลือดหมูกับข้าวเปล่า พ่วงข่าวสารที่ผมรู้แล้วจากปากตัวต้นเหตุ.... แต่นอกจะเป็นการแจ้งเพื่อทราบแล้ว น้ำเสียงของมันยังบอกถึงความสงสัยจนปิดไม่มิด 

“มึงกับไอ้แดนจะคุยกันดีๆ สักครั้งยังแทบไม่เคย แล้วมันมามีธุระอะไรกับมึงได้ยังไง?”

“ไม่มีไรหรอก มันแค่มาชวนกูไปแคสบทละครช่องเอ็มด้วยกัน”  ผมบอกไปตรงๆ เพราะถึงยังไงเรื่องนี้ก็คงปิดเป็นความลับไม่ได้อยู่แล้ว

“ชวนมึงเนี่ยนะ!?” 

แน่นอนว่าไอ้บี๋จะต้องแปลกใจ แม้แต่ผมก็ยังแปลกใจตัวเองเลยที่ทุกสิ่งทุกอย่างเลยเถิดมาจนกลายเป็นแบบนี้ ใครจะไปคาดคิดว่าทิชา คณะสินกำ กับแดน สถาปัตย์ที่หลังจากจบงานเฟรชชี่ไนท์พร้อมกับฉากหอมแก้มสุดแสนอัปยศแล้วแทบจะไม่คุยกันอีกเลยจะกลับมาเผาผีกันอีกครั้ง แถมยังไปไกลถึงกันแคสบทคู่ในละครอีกต่างหาก 

“ไอ้นี่แม่งต้องบ้าแล้วแน่ๆ ก็รู้อยู่ว่ามึงเหม็นขี้หน้ามันจะตาย ขนาดวิชาที่ภาคเราต้องเรียนรวมกับพวกถาปัด มึงยังไม่ยอมทำงานกลุ่มเดียวกับมันเลย”

“นั่นดิ โคตรบ้าเลย”

“เอาไว้ถ้ามันมาตื๊อถามหามึงอีก กูจะปฏิเสธให้เลยก็แล้วกันว่ามึงไม่ทำ”

บีบี๋มันก็รู้เรื่องที่ไอ้แดนพยายามจะใช้ผมสร้างกระแสคู่จิ้น มันรู้ว่าผมไม่สะดวกใจที่จะอยู่ใกล้เดือนสถาปัตย์จอมฉวยโอกาสก็เลยพาลไม่ชอบไอ้แดนไปด้วยกัน ถ้าเป็นสักสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ผมก็คงโอเคที่จะรับความช่วยเหลือไล่นายแดนนรกไปไกลๆ แต่ตอนนี้ผมติดสัญญาทาสต้องตอบแทนเรื่องชิงเกียร์เมื่อคืนก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป

“ไม่ต้องหรอก..........”  บีบี๋มองหน้าผม ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจที่ผมปฏิเสธ  “กูคิดว่ากูอาจจะลองไปแคสดูน่ะ........”

“ไอ้ชา กูว่ามึงดูแปลกไปนะ.... ไข้ขึ้นจนเพี้ยนเหรอ?”

“เพี้ยนห่าอะไรล่ะ กูคิดดีแล้วน่า” 

ผมบอกยิ้มๆ เพิ่งนึกออกว่าบางทีการมีเรื่องออดิชั่นละครกับไอ้แดนแทรกเข้ามาอาจจะช่วยให้ผมทุกข์ใจเรื่องพี่โรมกับไอ้บี๋น้อยลงก็ได้ 

“แม่กูก็เคยพูดเรื่องถ่ายรูปทำพอร์ตเอาไปฝากไว้กับโมเดลลิ่ง เผื่อว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำขำๆ ระหว่างเรียน ก็ไม่แน่นะ กูอาจจะเหมาะกับการเป็นดาราเหมือนแม่มากกว่าทำงานเป็นอินทีเรียก็ได้”

“เหรอวะ?”

สายตาไอ้บี๋บอกชัดเจนว่าไม่ค่อยเชื่อ เพราะทิชาคนที่มันเคยรู้จักนั้นโคตรเกลียดการถ่ายรูปและการเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่มีจำนวนคนเกินห้าคน ขนาดงานโอเพ่นเฮาส์ปีที่แล้ว กว่าผมจะยอมโดนจับแต่งตัวออกไปนั่งเรียกแขกก็ต้องเดือดร้อนตั้งแต่รุ่นพี่ยันอาจารย์มาช่วยกล่อม จนถึงขั้นขู่ว่าจะตัดคะแนนกิจกรรมนิสิตออกนั่นแหละถึงได้ตกลงรับปาก.... แล้วอยู่ดีๆ ไอ้คนหน้าบึ้งยิ้มยาก มนุษยสัมพันธ์ติดลบกลับมาพูดหน้าตาเฉยว่าจะไปออดิชั่นเป็นดารา ข่าวต้นมะม่วงออกลูกเป็นลำไยยังน่าเชื่อกว่าอีก

“โอเค.... งั้นมีอะไรที่มึงยังไม่ได้บอกกูอีกมั้ย?” 

บีบี๋ถอนหายใจ สีหน้ามันดูไม่โอเคเหมือนอย่างที่พูดสักเท่าไร ซึ่งผมก็หวังว่ามันจะแค่เป็นห่วงไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อน 

“ถึงกูจะไม่ได้บอกมึงเรื่องที่กูคุยกับเฮียโรมในตอนแรก แต่สุดท้ายกูก็บอกเพราะไม่อยากมีความลับกับมึงนะ ไอ้ชา.... เพื่อให้แฟร์ๆ กันทั้งสองฝ่าย กูก็อยากให้มึงบอกกูทุกเรื่องเหมือนกัน”

ผมได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนแผลกลัดหนองในหัวใจ ถ้าถามความเห็นผม ผมก็ยังคิดว่าบีบี๋เล่นไม่ซื่อกับผมก่อนด้วยการแอบคุยกับพี่โรมลับหลัง ทั้งๆ ที่คนที่พี่โรมตั้งใจจะเข้ามาหาก็คือผม และถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากได้ยินเรื่องที่ว่าพี่โรมกับบีบี๋กำลังรักกันไปชั่วชีวิตหรอก ผมอยากให้ความจริงเหล่านั้นถูกเก็บเป็นความลับตลอดไป.... ในขณะเดียวกัน เรื่องที่คุณคิดว่าผมคงอยากบอกให้บีบี๋รู้ใจจะขาด มันเองก็คงไม่อยากฟังเหมือนกัน

ดูคล้ายว่าความแฟร์และมิตรภาพระหว่างเพื่อนอะไรนั่นได้ถูกทำลายไปตั้งแต่วันที่พี่โรมก้าวเข้ามาในชีวิตของพวกเราแล้ว.....

“อ้อ กูซีร็อกซ์ชีทวิชาเสงี่ยมที่แจกวันนี้มาให้มึงด้วย”

ไอ้บี๋ว่าพลางล้วงมือลงในกระเป๋าเป้ ค้นกุกกักๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วใส่ผมซึ่งเขี่ยเลือดหมูในถ้วยไปมาเพราะฝืนกินไม่ลง 

“หาไม่เจอ สงสัยกูลืมไว้บนรถเฮียโรมว่ะ”

“งั้นเอาไว้วันหลังค่อยให้ก็ได้”

“ไม่เป็นไรๆ เฮียก็รออยู่ข้างล่างนี่แหละ กะว่าพอเยี่ยมมึงเสร็จแล้วจะไปดูหนังกันต่อแล้วค่อยให้เฮียไปส่งบ้าน” 

คนตัวเล็กโบกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้ผมปฏิเสธ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา 

“ทีแรกกูก็บอกให้เฮียโรมขึ้นมาหามึงด้วยกัน แต่เพราะมึงเสือกไม่ได้ถอยรถเข้าบ้าน พวกกูจะไปจอดหน้าบ้านข้างๆ ก็ไม่กล้า เฮียก็เลยต้องจอดซ้อนคันขวางกลางถนนหมู่บ้านมึงเนี่ย เดี๋ยวมีรถสวนมาก็ต้องขยับให้”

ถนนหมู่บ้านผมกว้างจะตาย จะจอดต่อท้ายหรือซ้อนคันก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิด บ้านอื่นเวลามีงานปาร์ตี้เขาก็ทำกันออกบ่อย ทำไมผมจะไม่รู้ว่านั่นก็คือข้ออ้างที่พี่โรมจะได้ไม่ต้องขึ้นมาหาผม


   ‘เฮียจ๋า เอาแฟ้มสีน้ำเงินที่บี๋วางไว้หน้าคอนโซลขึ้นมาให้หน่อยดิ ชั้นสามนะ.... ขึ้นมาเหอะน่า ไม่เป็นไรหรอก บี๋จะได้ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ไง’

   ‘แค่แปบเดียวเอง ไม่มีใครด่าหรอกน่า.... ไอ้ชามันก็อยากเจอเฮียด้วยนะ’


ไอ้บี๋ออกคำสั่งใส่แฟนผ่านโทรศัพท์ มีการหันมาไซโคให้ผมตอบว่าอยากเจอพี่โรมอีกต่างหาก ดูท่าทางพี่โรมคงจะแพ้แรงอ้อนของไอ้บี๋ด้วยล่ะมั้ง เพราะตอนนี้มันยิ้มแป้นแล้นพูดอวดให้ผมฟังอย่างมีความสุขมากทีเดียว

“เรียบร้อย.... มีแฟนทั้งทีก็ต้องอ้อนไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ดิวะ ให้พี่มันได้ออกกำลังกายบ้าง นั่งอยู่ในรถนานๆ เดี๋ยวตะคริวกินตูด จริงมั้ยคุณเพื่อน?”

ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ เพียงแค่หัวเราะแห้งแอคติ้งว่าเห็นด้วยกลับไปก็พอ ทว่า ใจจริงก็อดนึกสงสารพี่โรมที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ไม่ได้.... ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องที่พี่โรมต้องคอยตามใจรับใช้บีบี๋หรอกนะ แต่สงสารที่เขาจะต้องเจอหน้าผมทั้งๆ ที่เพิ่งตะโกนใส่หน้าว่าขยะแขยงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

เอาเป็นว่า ผมจะยอมหลบให้สักครั้งเพื่อความสบายใจของพี่โรมก็แล้วกัน....

“ถ้าขึ้นมาแล้วฝากวางไว้บนโต๊ะให้ทีนะ กูว่าจะนอนต่อสักหน่อยว่ะ”  ผมพูดก่อนจะกรอกยาลดไข้เข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม  “มึงจะไปดูหนังก็รีบไปเหอะ แถวนี้รถติด กว่าจะไปถึงห้างก็ได้ดูรอบเที่ยงคืนพอดี”

“งั้นเดี๋ยวกูเอาชามเลือดหมูไปล้างให้ ขอเข้าห้องน้ำอีกแปบละกลับเลยนะ”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้า รีบหลับตาลงระหว่างที่หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา

เมื่อการมองเห็นถูกตัดทิ้งไป ประสาทด้านการรับรู้ส่วนอื่นก็ดูจะทำงานได้ดีขึ้น ผมรู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอน และเขาคนนั้นไม่ใช่บีบี๋ที่กำลังล้างจานส่งเสียงก๊อกแก๊กมาจากตรงมุมเพนทรี.... หัวใจของผมเต้นแรงจนเหมือนว่ามันจะหลุดกระเด็นออกมา แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและแกล้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องต่อไป ไม่ใช่แค่เพื่อความสบายใจของพี่โรมเท่านั้น แต่เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวผมเองด้วย เพราะผมคงทนไม่ได้ถ้าหากลืมตาขึ้นแล้วต้องเห็นสายตาซึ่งแสดงออกถึงความโกรธเกลียดจากคนที่ตัวเองหลงรักจนแทบเป็นบ้าอีกครั้ง

“เฮียวางแฟ้มไว้บนโต๊ะที่มีคอมเลย เดี๋ยวบี๋ล้างจานเสร็จแล้วจะเทข้าวให้แมวไอ้ชา เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเราค่อยกลับกัน”

“อืม..........”

ผมรับรู้ได้ว่าพี่โรมเดินไปวางแฟ้มบนโต๊ะทำงานตามที่บีบี๋บอก ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าเดินย่ำกลับมาหยุดอยู่ตรงที่เดิม เสียงน้ำไหลจากก๊อกหยุดไปแล้ว มีเสียงเขย่าถุงอาหารแมวดังแทรกขึ้นมาแทน.... ผมตัดสินใจพลิกตัวตะแคงหันหน้าหนีไปอีกทางก่อนที่จะทนแกล้งหลับต่อไม่ไหว แต่ทว่า ฝ่ามือหนากลับแตะลงบนหน้าผากผมพร้อมกับที่ร่างกายหนักๆ ของชายหนุ่มทำเอาเบาะที่นอนข้างตัวผมยวบลงไป


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“มึงไม่สบายเหรอ ทิชา?”


ผมลืมตาขึ้นมองหน้าพี่โรมในที่สุด....

ทั้งที่อุตส่าห์แกล้งหลับแทบตายแต่ความตั้งใจกลับพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี แววตาคู่นั้นไม่ได้บ่งบอกความรังเกียจขยะแขยงเหมือนอย่างที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน หากแต่ฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่ผมอยากได้แต่ไม่กล้าเรียกร้องจากเขา.... บอกตามตรง ผมนึกว่าประโยคแรกที่พี่โรมจะพูดด้วยหลังเจอหน้าผมก็คือทวงเกียร์ที่ห้อยคออยู่ตอนนี้คืนเสียอีก แต่เขากลับไม่พูดถึงมันเลย ทั้งถ้อยคำและสัมผัสที่มอบให้ล้วนแล้วแต่อ่อนโยนทะนุถนอม ราวกับว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยมีอยู่จริง

แต่ผมควรจะรู้ได้แล้วว่าความอ่อนโยนได้รับนี้คือของปลอม สายตาเกลียดชังและคำพูดตัดรอนไร้เยื่อใยจากปากพี่โรมต่างหากที่เป็นของจริง

“นอนพักผ่อนเยอะๆ ก็แล้วกันนะ จะได้หายไวๆ”

“..................”

“ทิชา?”

ผมไม่เข้าใจความคิดพี่โรมเอาเสียเลย ถ้าเขามาที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าผม มาตอกย้ำให้รู้ว่าคนที่เขาเลือกคือบีบี๋ ไม่ใช่ผมที่เอาแต่มโนเพ้อเจ้อไปเองว่าถูกรักถูกชอบ บางทีผมอาจจะลุกขึ้นแล้วขว้างเกียร์วิศวะฯ แสนเฮงซวยออกนอกหน้าต่างต่อหน้าต่อตาเจ้าของเลยก็เป็นได้

แต่ในเมื่อพี่โรมยังใจดีกับผมอยู่ ผมก็จะยังคงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่มีความเชื่อลมๆ แล้งๆ ว่าเขารักผมมากกว่าบีบี๋ที่เป็นแฟนตัวจริง

ผมเอื้อมมือดึงคอเสื้อร่างสูงให้เขาโน้มตัวลงมาหา สิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดก็พูดออกไปจนหมด.... รู้ดีเชียวล่ะว่ามันคือความเหี้ยและเลือดเย็นอย่างที่สุดของที่สุดที่คนเราจะทำกับเพื่อนสนิทได้ แต่จะให้ผมปล่อยมือจากพี่โรมแล้วลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้เหมือนกัน

“เกียร์น่ะ ชาไม่คืนให้พี่หรอกนะ........ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้คืนให้.........”

“ทิชา.....คือกู.............”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จนกว่าพี่จะบอกเลิกไอ้บี๋แล้วเราค่อยมาคุยกัน”

ผมตัดบทสนทนาด้วยการพลิกตัวคลุมโปงปิดรับคำปฏิเสธ ทุกสิ่งที่ไอ้แดนพูดกรอกหูตลอดเวลาที่มันอยู่ที่นี่ถูกลืมเลือนไปจนหมด สุดท้ายแล้ว ผมก็เป็นได้แค่เพื่อนชั่วที่เห็นแก่ตัวและตอแหลร้ายกาจ แถมยังโง่ถึงขนาดยอมแลกโลกทั้งใบที่มีอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ชายแค่คนเดียว


“ขยะแขยงชามากเลยสินะ? อืม รู้แล้วล่ะ.... ไม่ต้องย้ำหลายรอบก็ได้”



ROME’s PART


สิ่งที่ผมพูดใส่หน้าทิชาเมื่อตอนกลางวันมันเลวร้ายมาก.... ผมเองก็รู้ แต่คำพูดคนเรามันก็เหมือนถ่มน้ำลายลงพื้นนั่นแหละ พูดไปแล้วก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ความรู้สึกของคนฟังก็เช่นกัน

ผมผิดหวังและโกรธหลังจากรู้ความจริงว่าตัวเองโดนหลอก ใครจะไปคิดว่าเด็กรุ่นน้องต่างคณะท่าทางไม่ประสานั่นจะกล้าต้มทั้งผมและรุ่นพี่วิศวะฯ คนอื่นๆ จนเปื่อย.... ทิชาตั้งใจไปที่เบอร์ลิคเพื่อชิงเกียร์ของผม มันรู้กฎเกณฑ์ของร้านมาตั้งแต่แรกและรู้ดีว่าผมประกาศเปิดตัวบีบี๋อย่างเป็นทางการแล้วแต่ก็ยังทำ เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อที่จะแย่งคนรักของเพื่อนสนิท ผมถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าในสมองเล็กๆ นั่นบรรจุความคิดอันตรายแบบนี้เอาไว้ได้ยังไง

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มันแย่ตรงที่ผมโยนให้เป็นความผิดของทิชาเพียงฝ่ายเดียว น้องหาเรื่องใส่ตัวก่อนก็จริง แต่ผมเองก็เลวที่ใจอ่อนให้กับเสน่ห์ความเย้ายวนของมัน.... ทิชาเป็นคนสวยจัด ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้ และใช่ว่าผมจะไม่รับรู้ถึงความเข้ากันได้ของเราทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หลงถึงขนาดกอดร่างผอมบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเช้า

ผมไม่สบายใจเมื่อได้ยินจากบีบี๋ว่าทิชาป่วย แต่ก็ไม่อยากมาสู้หน้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรให้น้องเข้าใจผิดอีก.... ทั้งๆ ที่ผมควรจะหนักแน่น ควรจะตัดความสัมพันธ์ทิ้งให้เด็ดขาดเหมือนกับตอนที่ตะโกนคำพูดด่าทอพวกนั้นออกไป แต่ก็อย่างที่เห็น สุดท้ายผมก็ตัดใจทิ้งทิชาไปไม่ได้


   ‘เกียร์น่ะ ชาไม่คืนให้พี่หรอกนะ........ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้คืนให้.........’
   ‘ทิชา.....คือกู.............’
   ‘ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จนกว่าพี่จะบอกเลิกไอ้บี๋แล้วเราค่อยมาคุยกัน’



เป็นอีกครั้งที่ความใจอ่อนย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเอง

และไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่ยังมีบีบี๋ แฟนคนแรกในรอบหลายปีของผมที่ถูกลากเข้ามาอยู่ในวังวนของความรักและการโกหกหลอกลวงไม่รู้จบ....


ผมกับบีบี๋ตกลงกันว่าจะแวะดูหนังที่ห้างใหญ่แถวสถานีพร้อมพงษ์ก่อนกลับบ้าน สองทุ่มกว่าแล้วแต่รถบนถนนสุขุมวิทก็ยังติดเป็นบ้าเป็นหลัง บนรถมีเสียงเพลงของ Ed Sheeran จากไอพอดและเสียงของบีบี๋ร้องคลอเป็นระยะ ทั้งที่บรรยากาศและสภาพการจราจรชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย แต่คนตัวเล็กก็ยังยิ้มแย้มร่าเริงชวนพูดคุยไม่ให้ผมรู้สึกเบื่อ....

ความสดใสน่ารักคือสิ่งที่ผมชอบในตัวคนๆ นี้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโตในครอบครัวที่มีพี่น้องห้าคน พ่อแม่และคนส่วนใหญ่จึงมักคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นผู้ใหญ่คอยดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นอยู่เสมอ แต่กับบีบี๋ ผมสามารถพูดทุกอย่างที่อยากพูดได้ จะชวนเล่มเกมหรือโวยวายชวนทะเลาะทำตัวเป็นเด็กแค่ไหนก็ไม่เคยว่า บีบี๋จึงเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดในตอนนี้

ในขณะที่ทิชาเป็นเหมือนแก้วบางๆ ซึ่งมีรอยร้าวอยู่เต็มไปหมด ถึงจะเห็นว่าสวยแค่ไหนแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะจับต้องมากเกินไปจนมันแตกคามือ

และสิ่งที่ผมกังวลก็คือการที่บีบี๋จะเปลี่ยนจากหมอนนุ่มนิ่มที่ผมทิ้งตัวลงนอนหนุนได้อย่างสบายใจไปเป็นแก้วอีกใบหนึ่ง....

“เฮียโรม........”  พ้นไฟแดงข้างหน้าก็จะสามารถยูเทิร์นเลี้ยวเข้าห้างได้แล้ว อยู่ๆ บีบี๋ก็เอ่ยเรียกผมขึ้นมา  “บี๋ว่าจะคุยกับเฮียเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานละแต่ดันลืมเสียสนิทเลย”

“อะไรครับ?”

“เรื่องเกียร์วิศวะฯ ของเฮียไง” 

ร่างเล็กพูดก่อนจะหันมาหาผมซึ่งนั่งตัวแข็งทื่อเป็นปลาโดนน็อคน้ำเย็นแล้วแบมือทวงของสำคัญ ใบหน้าอ่อนใสประดับรอยยิ้มกว้างจนแก้มป่องไม่ได้แฝงความดราม่าเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความกดดันผ่านดวงตากลมโตคู่นั้น 

“ส่งมาซะดีๆ อย่าแกล้งลืม”

“...................”

ผมนิ่งไปเพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองควรทำอย่างไร หัวสมองพยายามนึกหาคำโกหกให้วุ่นไปหมด และเมื่อเห็นว่าผมยังเฉยไม่มีวี่แววจะถอดสร้อยคอที่วิศวะฯ ทุกคนต้องสวมติดตัวออกให้ บีบี๋ก็หน้ามุ่ยและเริ่มใช้น้ำเสียงไม่พอใจ

“หมายความว่าไงอะเฮีย? จะไม่ให้บี๋เหรอ?”

“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” 

ผมส่ายหน้า การโกหกคือหนึ่งในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด ผมถึงรับไม่ได้ที่ทิชาเล่นละครหลอกลวงให้ผมตายใจ หากในเวลานี้ผมกลับกลายเป็นคนที่ต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดเสียเอง 

“คือ........เอ่อ........คราวก่อนที่กลับไปบ้านที่สุราษฎร์ เฮียลืมเกียร์เอาไว้น่ะ ไว้จะกลับไปเอามาให้ละกัน”

“หา!?”

บีบี๋ตกใจจนร้องเสียงหลง ดูท่าทางผิดหวังเอามากๆ ที่ไม่ได้เกียร์จากแฟนไปคล้องให้สมฐานะสะใภ้วิศวะฯ

“ทำไงได้ ก็ไม่คิดว่าจะต้องให้ใครนี่หว่า” 

ผมแกล้งหยอกเพื่อให้โทนของบทสนทนาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยบีบี๋ก็ไม่ได้โวยวายจะเอาให้ได้เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ผมก็โล่งอกไปเปราะหนึ่งแล้ว 

“เฮียจะรู้มั้ยว่าอยู่ดีๆ ก็จะมีชิวาว่าอย่างบี๋โผล่มาให้เลี้ยง อุตส่าห์อยู่เป็นโสดมาตั้งหลายปี เตรียมตัวมีแฟนไม่ทันเว้ย”

“งั้นก็แล้วไป นึกว่าแอบถอดใส่ให้คนอื่นไปซะแล้ว” 

เสียงเพลงกลับมาอีกครั้งจนกระทั่งผมจอดรถที่ชั้นโรงหนังของห้างเสร็จเรียบร้อย เราจูงมือกันออกมาดูโปรแกรมหนังที่บอร์ด LED หน้าเคาท์เตอร์ขายตั๋ว หลังจากตกลงกันเรียบร้อยว่าจะดูหนังแอคชั่นแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังดังในช่วงนี้ บีบี๋ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับควงแขนผมไปด้วย 

“วันหยุดยาวครั้งหน้า ให้บี๋ไปเที่ยวบ้านเฮียโรมที่สุราษฎร์ด้วยคนได้มั้ยอะ.... จะไปเอาเกียร์ แล้วก็ถือโอกาสไปไหว้พ่อแม่เฮียด้วยไง”

“อืม ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันนะ”

แค่จะไปเที่ยวบ้านหรือเปิดตัวกับพ่อแม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหาที่แท้จริงก็คือเกียร์ของผมซึ่งทิชาไม่มีทางยอมคืนให้ง่ายๆ ต่างหาก

“แล้วก็โทษฐานที่บี๋เป็นสะใภ้วิศวะฯ แต่ยังไม่มีเกียร์ห้อยคอ ก็เหมือนเฮียมาขอบี๋แต่งงานปากเปล่าแต่ไม่มีสินสอด มันไม่โอเค.... เฮียต้องชดเชยให้บี๋ด้วย”

“ชดเชยยังไงดีล่ะ?”

“เวลาอยู่มอ ถ้าเราเดินด้วยกัน เฮียจะต้องให้บี๋ใส่เสื้อช็อปเฮีย” 

ชิวาว่าน้อยของผมยืนกอดอกแสดงความเอาแต่ใจออกมาจนได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างขัดใจเมื่อผมให้คำตอบช้าเกินไป 

“บี๋อยากแสดงความเป็นเจ้าของ คนอื่นจะได้รู้ไงว่าเฮียโรมเป็นแฟนของบี๋.... อันที่จริง บี๋ก็ไม่ได้ขี้หึงเว่อวังอะไรนักหรอก แต่โดนคนอื่นแย่งแฟนมันก็ไม่สนุกนะ”

“โอเค ตามใจ”

ผมจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังก่อนจะพาไอ้ตัวเปี๊ยกไปซื้อป๊อปคอร์นในถังลายตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องที่เรากำลังจะเข้าไปดูด้วยกัน.... อีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าโรง ผมจึงพาบีบี๋ไปนั่งเล่นรอที่เก้าอี้โซฟาตรงล็อบบี้ด้านบนซึ่งต้องเป็นคนที่ซื้อตั๋วหนังถึงจะขึ้นมาได้ เราทั้งคู่ก็เหมือนคู่รักนักศึกษาทั่วไป คุยกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง ผลัดกันป้อนขนมหรือบางทีต่างคนก็ต่างก้มหน้ากดโทรศัพท์เพื่อจัดการกับธุระออนไลน์ของตัวเอง

แต่ทว่า อยู่ดีๆ มือเล็กก็สะกิดเรียกผมพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา

“เฮียจ๋า.... จุ๊บๆ บี๋หน่อยจิ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อก้มลงมองหน้าคนรักก็เห็นสายตาขี้อ้อนแบบลูกหมากำลังจ้องมองมา มันน่าเอ็นดูจนผมเผลอหลุดยิ้มขำ

“แก่แดดจริง เพิ่งคบกันได้ไม่กี่วัน อยากโดนจูบแล้วเหรอ?”

“จริงๆ ก็อยากโดนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”  เจ้าตัวแสบพูดน้ำเสียงทะเล้น ท่าทางก๋ากั่นจนน่าจับมาตีให้ก้นลาย  “จุ๊บบี๋หน่อยนะ แค่จุ๊บๆ นิดเดียวเอง”

ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่ทำตามที่คนรักตัวเล็กขอร้อง ผมยื่นหน้าเข้าไปหากลีบปากสีสดที่ยื่นนิดๆ รอรับจูบแรกของเราสองคน ใกล้อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะโดนอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับนึกถึงภาพตัวเองที่กำลังประกบจูบบดเบียดริมฝีปากแลกลิ้นกับทิชาอย่างเร่าร้อนขึ้นมา.... ผมเปลี่ยนใจกลางคันก่อนจะถอยปากตัวเองกลับมา แล้วเบี่ยงไปใช้ปลายจมูกฝังลงบนผิวแก้มของบีบี๋แทน

“บี๋ยังเด็ก เอาไปแค่นี้ก็พอ”

“ธ่อววววววว” 

บีบี๋โอดครวญ ทำหน้าตาเสียดายที่โดนผมหลอกให้ยื่นปากรอเก้อแต่กลับได้มาแค่โดนหอมแก้มนิดๆ หน่อยๆ หากพอเจ้าตัวเอามือถือมาเปิดเช็คดูกล้องหน้าที่ตั้งเวลาถ่ายไว้เมื่อครู่ รอยยิ้มระรื่นก็กลับคืนมาเหมือนเดิมแทบจะทันที 

“แต่ไม่เป็นไรก็ได้ รูปออกมาสวยก็พอใจละ”

ไม่พูดเปล่า แต่บีบี๋ยังเปิดไอจีเตรียมจะอัพรูปหอมแก้มเมื่อกี้อวดให้บรรดาฟอลโลเวอร์ได้ร่วมรับรู้ด้วยอีกต่างหาก

“บี๋จะโพสต์ลงไอจีจริงๆ เหรอ?”

“ต้องโพสต์สิ.... ทุกคนจะได้เห็นไงว่าเราสองคนสวีทกันแค่ไหน”

ผมไม่ว่าอะไร ทั้งไม่อยากขัดใจบีบี๋แล้วก็เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของคนสมัยนี้ที่ต้องอัพเดทเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนฝูงรู้เห็นด้วยแบบเรียลไทม์ ผมเองก็มีบ้างเหมือนกันเวลาที่ไปสนามแข่งรถ กลับไปเที่ยวรีสอร์ทของที่บ้าน หรือซื้อของใหม่ๆ ที่ตัวเองถูกใจก็จะโพสต์เอาไว้เป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัวประหนึ่งไดอารี่ คนคอมเมนท์ก็หนีไม่พ้นพวกเพื่อนฝูงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันนั่นแหละ

แต่สำหรับบางคน ประโยชน์ของโซเชียลมีเดียก็มีมากกว่านั้น....

“อ้อ เฮียรู้ปะว่าจริงๆ แล้วไอ้ชามันแอบมีไอจีด้วยนะ บี๋เคยบังเอิญปลดล็อคโทรศัพท์มันได้ก็เลยเอามากดดูเล่น.........” 

บีบี๋พูดไปพลาง กดมือถือตัวเองพิมพ์แคปชั่นให้กับรูปเมื่อกี้ไปพลาง ท่าทางเหมือนแค่ชวนคุยเฉยๆ แก้ปากว่างไม่ได้มีพอยนท์สำคัญอะไร 

“แต่มันตั้งไพรเวทเอาไว้ ไม่เคยลงรูป แถมไม่ฟอลโลว์ใครเลยด้วย น่าจะเอาไว้ส่องชาวบ้านอย่างเดียว”

“แล้วไงเหรอ?”

ผมย้อนถามไปแบบไม่คิดอะไร แค่มีโทรศัพท์มือถือ ใครๆ ก็มีแอคเคาท์อินสตราแกรมเป็นของตัวเองได้ทั้งนั้น แล้วการที่ทิชาจะมีเหมือนอย่างคนอื่นบ้างก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกตรงไหน

“ก็ไม่แล้วไงหรอก........” 

พอพูดจบประโยคนั้น บีบี๋ก็อัพรูปคู่หอมแก้มของเราขึ้นสู่โลกโซเชียลเป็นที่เรียบร้อย ใส่ทั้งโลเกชั่นและแท็กหาผมเสร็จสรรพ

“แค่บางทีบี๋ก็นึกอยากให้มันปลดล็อค จะได้แท็กอะไรที่อยากให้มันเห็นได้สะดวกๆ หน่อย”


        Im_BeeBeE
   รูป : โรมหอมแก้มบีบี๋ที่หน้าโรงหนัง
   แท็กรูป @Do_As_RomanS

   แคปชั่น : ผู้ชายคนนี้ของกู!




TO BE CONTINUE


+++++



TALK

เห่นโร่ววววว

สำหรับอัพเดทคราวที่แล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับกระแส #แดนทิชา จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะเขียนมาให้เป็นคู่แข่งของพี่โรมตามท้องเรื่องนั่นแหละ แต่ไม่คิดเลยนะว่าจะมีคนชอบแดนมากกว่าพี่โรม จ๊ากกกกกก
เอาเป็นว่าให้ทุกคนลุ้นดีกว่าเนอะว่าสุดท้ายใครจะได้น้องทิชาไป 55555+

ขอพูดเรื่องเนื้อหา+การเขียนอีกนิดหน่อย

จะบอกว่าปกติแล้วเราไม่ค่อยเขียนนิยายที่ใช้มุมมองเป็นบุรุษที่1เลย เหมือนนี่จะเป็นเรื่องที่2จากผลงานทั้งหมดเลยมั้ง เพราะเราคิดว่าการเขียนด้วยมุมมองของบุรุษที่3มันจะสามารถบอกสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวรู้สึกนึกคิดได้ครอบคลุมกว่า

พอมาเขียนด้วยบุรุษที่1แล้ว ก็มีจุดที่แบบ เออ.... คนอ่านจะไม่รู้ว่าอีกตัวคิดยังไงจนกว่าจะถึงพาร์ทของคนๆนั้น มันก็ท้าทายดี แต่อีกจุดนึงเราก็กลัวคนอ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง กลัวสื่อไม่ได้ครบทั้งหมด 55555 แต่ก็จะพยายามนะคะ คอมเมนท์ที่ติชมก็จะเอามาปรับปรุงในตอนต่อๆไปค่ะ

แล้วกลับมาพบกันในตอนต่อไปค่ะ

Alice

#โซนากีJY #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน
 :mew1:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แหมมมอิบี๋ ทำมาเป็นแบ๊วนะคะ เค้ากินกันไปถึงไหนต่อไหนล่ะโว้ยยย ผู้เธอก็เต็มใจข่ะะ เบ้ปากใส่กะเลยขี้แอ๊บ

ไม่อยากจะเชียร์ใครเลยคนเขียนพาแหกโค้งตลอด ก็รู้ว่านิยายนะ แต่ ผช โลเลอย่างโรม มันมีค่าให้แย่งขนาดนั้น? เชิ่ดใส่ อินหนัก นี่ทะแม่งๆว่าอิโรมนี่ล่ะพระเอก แดนน่าจะตัวหลอก

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บี๋เริ่มไม่ดีละ แหมมมม ทำมาพูดเขากินกันไปถึงไหนแล้วเธอ
สรุปจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายกันทั้งคู่หรือเปล่าน้าาาาา
แต่บอกตรงๆ เจอประโยคสุดท้ายของบี๋เข้าไปทำให้เกลียดบี๋ขึ้นมาทันที
ยังไงเธอก็มาทีหลังนะน้องบี๋ เผื่อจะลืมตัวคิดว่าพี่โรมเขารักเธอมาก แหมม~

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ในฐานะตัวผู้ ผมคิดว่าในใจลึกๆโรมก็อยากเก็บทิชาไว้ข้างกายขณะที่ยังรักบีบี๋อยู่
ไม่อ้างสันดานตัวผู้นะคับแต่ความเห็นแก่ตัวคนเราย่อมมีกันทุกคนอยู่ที่จะมากจะน้อยแตกต่างกันไป
ตั้งแต่สิงเล้าเป็ดมาเม้นเน้สาระสุดละ :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
ไม่ชอบแดนเลยอะ ไม่ชอบคำพูด

อ่านกี่ตอนก็ไม่ชอบทุกตอนที่แดนออกมา

ออฟไลน์ nuengku.kimjaejoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ้าวอิบี๋!!!!! ทำมาเป็นใสๆ อิขี้แอ๊บ รงๆโรมๆอะไรไม่ต้องไปแย่งเขาลูก ทิชาลูกแม่หาใหม่ค่ะหาใหมมมมมม่  :katai4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บี๋รู้แล้วแน่ๆ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
8
~ เพื่อนรักเพื่อนร้าย ~


“บ๊ายบายทุกคน เลิกเรียนแล้วจะทักไลน์ไปนะ ไว้เจอกันตอนเย็น”



“บาย บีบี๋.... เจอกันๆ”



ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม 3D MAX เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสนิทบอกลาใครก็ไม่รู้ เห็นไอ้บี๋โบกมือหยอยๆ ให้กับผู้หญิงสองผู้ชายหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ดูท่าทางน่าจะเป็นคนจากคณะอื่น ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่เคยได้ยินมันพูดถึงเลยว่ามีเพื่อนอยู่ต่างคณะด้วย



“พวกนั้นใครเหรอ?” ผมเอ่ยถามหลังจากที่บีบี๋นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามในใต้ถุนคณะซึ่งเป็นที่ประจำของผมกับมัน



“อ๋อ แก๊งค์สะใภ้วิศวะฯ น่ะ” 



มันตอบพลางยิ้มสดชื่น



“ผู้หญิงคนที่ผมยาวๆ ชื่อน้ำตาล อยู่นิเทศ ผู้หญิงอีกคนชื่อแก้วแล้วก็ไอ้มิ่งอยู่คณะมนุษย์.... พอดีเมื่อวานมีรุ่นพี่ลากมาให้รู้จักกันในแชทกลุ่มไอจี เขาบอกว่าเป็นสะใภ้วิศวะฯ เหมือนกันก็ให้พยายามเกาะกลุ่มกันเอาไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ไง”



“ฟังดูดีนะ เหมือนสมาคมแม่บ้านทหารเลย”



ผมยิ้มอ่อนไปตามเรื่องตามราว ก็คงเป็นธรรมเนียมประหลาดๆ ของพวกคณะวิศวะฯ ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนตามเคย แต่ก็เป็นอะไรที่เหมาะกับคนอย่างไอ้บี๋ดี.... บีบี๋มันชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่มีสังคมให้อัพเดทข่าวสารพูดคุยตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่ากลุ่มสะใภ้วิศวะฯ อะไรนี่แหละที่จะตอบสนองความต้องการของมันได้ อยู่กับผมมันคงรู้สึกเบื่อแทบตาย แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมมันถึงเลือกคบผมเป็นเพื่อน



“ไอ้ชา เย็นนี้กูกับพวกนั้นจะไปกินบิงซูที่สยาม มึงไปด้วยกันมั้ย?”



“ไม่ดีกว่าว่ะ” 



ผมปฏิเสธ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของพวกสะใภ้วิศวะฯ ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ คนนอกอย่างผมโผล่ขืนไปมีหวังได้ถูกด่าว่าสะเหล่อเสนอหน้าไม่เข้าเรื่องเสียเปล่าๆ



“ไปเหอะน่า ไปนั่งกินขนมเมาท์มอย มึงจะได้รู้จักเพื่อนใหม่กูด้วยไง” 



บีบี๋ยังคงพยายามตื๊อ ดูมันภาคภูมิใจกับการได้เป็นหนึ่งในกลุ่มบรรดาเมียๆ ที่บูชาเกียร์ของผัวยิ่งชีพมากเหลือเกิน เสียงง้องแง้งขอให้ผมไปด้วยกันดังอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงียบลงไปเองโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ผมมองหน้าบีบี๋ก็เห็นมันหัวเราะแหะยิ้มแห้งก่อนจะพูดต่อ 



“แต่คิดดูอีกทีกูว่ามึงอย่าไปเลยดีกว่า ก็อย่างที่บอกอะนะว่ามีแต่พวกสะใภ้วิศวะฯ ด้วยกัน เดี๋ยวมึงจะไม่สนุกเปล่าๆ.... เอาไว้เราค่อยไปกันเองดีกว่าเนอะ”



“อืม กูก็ว่างั้น”



ผมไม่อยากคิดนะว่าบีบี๋มันกำลังขิงอะไรใส่ผมทางอ้อมหรือเปล่า มันคงเกิดหวังดีกะทันหันไม่อยากให้ผมไปแล้วงานกร่อยก็เลยพูดกันซีนออกมา.... ผมเองก็ไม่อยากขัดมัน เพราะมันก็คงไม่รู้ว่าเกียร์ของพี่โรมอยู่กับผม บางทีการไปปาร์ตี้บิงซูกับแก๊งค์สะใภ้วิศวะฯ หนนี้อาจจะเป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้



เมื่อวานนี้ผมสั่งให้พี่โรมบอกเลิกไอ้บี๋แล้ว และผมก็หมายความตามนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คิดเปลี่ยนใจ



เพราะฉะนั้น บีบี๋จะพูดจาขิงข่าให้ผมรู้สึกแย่แค่ไหนก็ได้ ยังไงซะเดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะจบลง แล้วเราทั้งคู่ก็ต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าอย่างไอ้บี๋มันคงไม่เป็นไรมากนักหรอก ไม่ทันข้ามวันก็คงหาเพื่อนใหม่ที่ดีกว่าผมได้



แต่สำหรับผม ให้หาคนอื่นมาแทนที่พี่โรม ผมคงทำไม่ได้....



“เออนี่.... เมื่อวานเฮียโรมเขาชวนกูไปเที่ยวบ้านที่สุราษฎร์ด้วยแหละ” 



ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้ง บีบี๋กำลังจ้องหน้าผมเหมือนมีเรื่องเป็นล้านที่อยากเล่าให้ฟังจนอดใจไม่ไหว น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างกับคนถูกหวยค่อยๆ คายถ้อยคำบาดหูระคายเคืองหัวใจให้ผมร่วมรับรู้ 



“คือหลังจากที่กลับจากบ้านมึงแล้ว เฮียแกก็พูดขึ้นมาว่าปิดเทอมคราวหน้าจะต้องกลับไปบ้าน.... มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าบ้านเฮียโรมเป็นเจ้าของรีสอร์ทบนเกาะสมุย เกาะพงัน เกาะห่าเกาะเหวอะไรแถวนั้นไม่รู้เป็นสิบๆ ที่เลยล่ะ เฮียก็เลยชวนกูไปเที่ยวบ้าน กูจะได้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อแม่เขาด้วยไง”



ผมรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วของตัวเองกำลังขมวดมุ่น เชื้อโกรธก่อตัวจากหัวใจพุ่งตรงขึ้นสู่สมองจนหัวร้อนไปหมด.... ผมว่าผมพูดกับพี่โรมชัดเจนแล้วนะว่าให้บอกเลิกบีบี๋ แล้วทำไมถึงกลายเป็นชวนมันไปเที่ยวบ้านได้? หรือว่าเกียร์จะอยู่ไหนก็ช่างแม่ง ไม่ต้องสนใจกันอีกแล้ว!?



“เฮียบอกว่าถ้ากูไปนะ เขาจะพากูไปขี่เจ็ทสกีเที่ยวแม่งทุกเกาะเลย นอนเล่นสักเกาะละสอง-สามคืนแล้วค่อยเปลี่ยนที่.... น่าสนุกอะ คราวนี้จะได้รู้สักทีว่าปาร์ตี้ฟูลมูนที่พงันมันแซ่บจริงอย่างที่เคยดูรีวิวในเน็ทหรือเปล่า” 



เพื่อนตัวเล็กแจกแจงรายละเอียดแผนเที่ยวที่มันวางเอาไว้ให้ฟัง ซึ่งผมก็ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาด้วยความที่อารมณ์โมโหกำลังคุกรุ่นอยู่ข้างใน จนกระทั่งไอ้บี๋จับมือผมเขย่าแล้วขอร้องด้วยท่าทางน่ารักแอ๊บแบ๊ว 



“ถ้าบอกป๊ากับม้าว่าไปเที่ยวบ้านรุ่นพี่ที่ต่างจังหวัดนานๆ เขาต้องไม่ยอมให้ไปแน่ กูก็เลยกะว่าจะชวนมึงไปด้วยกัน.... ถ้ามีมึงไปด้วยนะ หม่าม้าไม่มีทางว่าอะไรชัวร์ มึงก็รู้ว่าที่บ้านกูเขาปลื้มน้องทิชากันจะตาย”



“จะดีเหรอวะ กูว่าไม่ดีมั้ง”



“ต้องดีสิ.... เอามึงไปด้วยอีกคน เฮียโรมไม่ว่าอะไรหรอกน่า”



“อย่าเลย เขาชวนแค่มึง ไม่ได้ชวนกูสักหน่อย”



ผมสูดหายใจลึกเข้า กระตุกยิ้มให้คนตรงหน้าเห็นทีนึงก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ ทว่า สายตาของผมพร่ามัวไปหมด ตัวอักษรยึกยือเกินกว่าจะตั้งสมาธิได้ บีบี๋ก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะเอาผมไปเป็นหมาให้ได้.... จะเรียกว่าอคติหรือไม่ก็ช่างเหอะ แต่ผมรับรู้ได้ว่าไอ้บี๋กำลังพยายามทำให้ผมรู้สึกแย่ด้วยการเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่โรมมาพูดอวดให้ได้มากที่สุด ผมรู้ว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี อย่างอื่นของมันก็ถือว่าดีทั้งหมด ยกเว้นเรื่องนี้ที่ผมอยากจะถามว่ามันมองไม่รู้ดูไม่ออกจริงๆ เหรอว่าผมคิดยังไงกับพี่โรม



“ทำไมอะ? หรือมึงกลัวว่าจะไปเป็นกขค.ระหว่างกูกับเฮียโรม?”



คำถามกลั้วเสียงหัวเราะคล้ายจะเยาะเย้ยกำลังทำให้ผมประสาทกิน ถ้าผมสันดานเสียมายาททรามกว่านี้อีกนิดเดียวก็คงเอาสันคู่มือ 3D MAX เฉาะหน้าบีบี๋ไปแล้ว 



“โอ๊ย ไอ้ชา.... ถึงกูจะมีแฟนแล้วแต่กูก็ไม่คิดจะทิ้งมึงเลยนะ ไหนๆ ก็จะไปเที่ยวแล้ว กูก็อยากให้เพื่อนสนิทกูไปด้วยกัน มึงเองก็เคยบอกว่าอยากไปทะเลทางใต้แต่ยังไม่มีโอกาสไปเลยไม่ใช่เหรอ ไปเหอะ ถือว่าไปชาร์ตแบตช่วงปิดเทอมด้วยกันไง”



“แต่ถ้ากูกับเฮียโรมจะมีฉากจุ๊บๆ กุ๊กกิ๊กอะไรกันบ้างมึงก็ทนๆ พวกกูหน่อยแล้วกัน แบบว่าเพิ่งคบกันอะเนอะ บางอารมณ์เฮียเขาก็มีเห่อกูนิดหน่อย.... เมื่อวานก็เพิ่งหอมแก้มกูกลางโรงหนัง โคตรอายเลย”



ความอดทนของผมขาดสะบั้น หนังสือเล่มโตปิดกระแทกโต๊ะเสียงดังปึ้งก่อนที่ผมจะจ้องหน้าบีบี๋อย่างไม่คิดจะถนอมน้ำใจกันอีกต่อไป.... จะขิงข่าบ้าบอยังไงก็ช่าง ผมมีอะไรกับพี่โรมแล้ว เกียร์ของเขาก็ห้อยอยู่บนคอผมนี่ อย่ามาโทษที่ผมตัดสินใจแทงข้างหลังเพื่อนตัวเองเลย ถ้าคุณต้องมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับผม บางทีคุณอาจจะทำยิ่งกว่าผมก็ได้



“ไอ้บี๋ กูมีเรื่องจะบอกมึง”



“อะไรเหรอ เพื่อนชา?”



บีบี๋จ้องหน้าผมตอบพลางยกมือขึ้นเท้าคาง แวบหนึ่งที่ผมมองเห็นความยั่วยุท้าทายผ่านแววตาของมัน ประมาณว่า ‘กูรู้ทันมึงทุกอย่าง และกูจะเล่นให้มึงทุรนทุรายจนตายห่าไปเลย’



ผมไม่อยากรอพี่โรมแล้ว ผมจะพูดเองเดี๋ยวนี้....!





“ทิชามันจะบอกมึงว่าปิดเทอมนี้มันไม่ว่าง.........”





ใครคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะได้พลั้งปากพูดออกไป ทั้งผมและบีบี๋หันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน.... ไม่รู้จะด่าด้วยคำว่าอะไรดี ซื้อหวยทำไมไม่เคยถูก (ถ้าพูดให้ถูกก็คือไม่เคยซื้อ) แต่ดันทายถูกทุกครั้งว่าเจ้าของพลังงานเสือกไม่เลือกสถานที่จะต้องเป็นเดือนสถาปัตย์ปีสอง หรือที่พวกผมมักจะสาปส่งลับหลังบ่อยๆ ว่าไอ้แดนนรก



“มึงเป็นผีหรือไง อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลัง!”



“กูยืนฟังพวกมึงสองคนคุยกันตั้งนานแล้ว ไม่ได้อยู่ๆ ก็โผล่มาสักหน่อย”



ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างผมโดยที่ไม่ต้องรอคำเชิญ สำหรับผมก็ไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกระแวงว่าไอ้แดนจะมาไม้ไหนอีก หลังจากที่เพิ่งเสียรู้โดนมันจับถ่ายรูปคู่ทีเผลอไปเมื่อวานก็เลยพยายามจะขยับตัวออกห่าง ในขณะที่บีบี๋จ้องไอ้แดนตาขวาง ทำท่าเหมือนชิวาว่าลืมฉีดวัคซีนโรคกลัวน้ำเตรียมกระโดดงับคนตัวใหญ่กว่าให้จมเขี้ยว



“หมายความว่าไงที่ว่าไอ้ชาไม่ว่าง!?” ความแป้นแล้นของบีบี๋หายไปไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่หมากระเป๋าเห่าเสียงดังจนผมแสบแก้วหูไปหมด  “หรือว่าเรื่องแคสบทละครอะไรนั่น!?”



ไอ้แดนไม่ตอบคำถามบีบี๋แต่กลับหันมาหาผม อุตส่าห์ขยับหนีจนแทบสุดม้านั่งแล้วก็ยังตามมาเบียดจนแทบจะรวมร่างกัน



“ทิชา มึงเล่าให้เพื่อนฟังแล้วสินะ?”



ผมพยักหน้า จังหวะเดียวกับที่ไอ้บี๋โพล่งสวนขึ้นมา



“ทิชาไม่ไปกับมึงหรอก แดน!”



“รู้ได้ไง?”



“ก็ทิชามันไม่ชอบมึง มึงกวนตีน!”



ดวงตากลมโตวาววับเหมือนสัตว์เล็กเวลาจ้องเหยื่อที่เล็กกว่า พูดก็พูดเหอะ ผมก็งงนิดหน่อยว่าทำไมบีบี๋จะต้องมีปฏิกิริยากับอีแค่เรื่องที่ผมจะไปออดิชั่นคู่กับไอ้แดนขนาดนี้ มันเองก็ใช่ว่าจะเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเดือนสถาปัตย์มาก่อนเสียที่ไหน ก็มีแค่ที่ผมบ่นให้ฟังตั้งแต่สมัยงานเฟรชชี่กับเวลาที่ไอ้แดนมาเกาะแกะวุ่นวายในเซคชั่นเรียนรวม



“คิดยังไงมาชวนเพื่อนกูไปแคสละครคู่กับมึงเนี่ย ประสาทกลับเหรอ? หรือว่าตัดโมมากไปเลยเป็นบ้า?”



“ไม่เห็นต้องคิดยังไง.... ทิชามันสวย ดูเหมาะจะยืนข้างกูที่สุดก็แค่นั้น”



นายดรัณภพตอบหน้าตาเฉย ทำเอาบีบี๋เบะปากคล้ายอยากจะอ้วกพุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแก่



“สวยเหรอ ตลกฉิบหาย!” 



ร่างเล็กสบถพลางแค่นหัวเราะราวกับว่าสิ่งที่ไอ้แดนพูดถึงผมเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุดในโลก



“นอกจากสวย บ้านรวยกับมีแม่เป็นดาราแล้ว ไอ้ชามันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรตรงไหนเลย มนุษยสัมพันธ์โคตรแย่แถมยังเกลียดกล้องถ่ายรูปเข้าไส้อีกต่างหาก.... แล้วมึงจะมาชวนมันไปเล่นละครเนี่ยนะ!?”



ไม่ใช่แค่ไอ้แดนที่เงียบไปหลังได้ยินคำพูดพวกนั้น แม้กระทั่งผมเองก็ติดสตันท์ไปหลายวินาที รู้สึกหน้าชาเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ สมองไม่ทันประมวลผลว่าตกลงแล้วบีบี๋มันจะทะเลาะกับไอ้แดนหรือจะหาเรื่องหลอกด่าผมกันแน่.... และถ้าไอ้แดนไม่ตอบโต้ด้วยการย้อนถามกวนประสาท ผมก็คงจะยังพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เพิ่งทะลุเข้ามาในโสตประสาทเมื่อครู่



“โอ้โห.... นอกจากสวย บ้านรวย มีแม่เป็นดาราแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลยเหรอ? มึงกล้าคิดแบบนี้กับเพื่อนตัวเองได้ไงวะเนี่ย บีบี๋?”



ไอ้แดนนรกก็มาจากนรกสมชื่อ เมื่อบีบี๋หลุดว่าร้ายผมออกมา มันก็ง้างตีนขยี้ซ้ำกะให้คู่กรณีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย ส่วนไอ้บี๋ก็ได้แต่ตระครุบปากตัวเองแน่นแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่ามันไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นสายตาว่างเปล่าไม่ยินดียินร้ายจากผมมันก็ยิ่งปากคอสั่นรีบนึกหาข้อแก้ตัวพัลวัน



“มะ.....ไม่ใช่นะ!”



ไอ้บี๋ย้ายฝั่งมานั่งข้างผม มือเล็กเกาะแขนผมเขย่าไปมาอย่างต้องการจะให้ผมเข้าใจเจตนาและไม่ถือสาคำพูดของมัน 



“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้ชา.....คือ......กูแค่จะบอกว่า.......”



“เลิกเถียงกันสักทีเหอะ กูปวดหัว”



ผมตัดบทก่อนจะรวบหนังสือยัดใส่เป้ หยิบข้าวของทุกอย่างแล้วลุกขึ้นโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น



“ไปเรียนแล้วนะ”



“เดี๋ยว ทิชา!”



คนที่เดินตามผมมาติดๆ ก็คือแดน ไม่รู้หรอกว่ามันโผล่หัวมาอยู่ที่คณะผมทำไม จะคุยเรื่องงานแคสละครหรืออยากจะตอกย้ำซ้ำเติมอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่า รู้แค่ว่าตอนนี้ผมไม่มีสติและความอดทนมากพอที่จะฟังใครอีกแล้ว.... ถ้ามีคนพูดไม่เข้าหูหรือสะกิดปมในใจผมอีกเพียงนิดเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงน้ำตาผมจะต้องระเบิดออกมาแน่ๆ



“มีอะไรส่งไลน์มาแล้วกัน กูไม่มีอารมณ์จะคุยตอนนี้” 



ผมบอกเสียงเรียบ ไม่หยุดฝีเท้าและไม่หันไปมองหน้าคู่จิ้นตัวเองด้วยซ้ำ



“อ้อ.... โอเค เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงก็แล้วกัน ไม่คุยก็ไม่คุย” 



เมื่อถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ไอ้แดนก็ไม่ตื๊อให้รำคาญ ร่างสูงยอมถอยกลับไปเว้นระยะห่างให้ผมหายใจหายคอได้สะดวกแต่โดยดี หากก็รับรู้ได้ว่ามันยังยืนมองผมอยู่ตรงที่เดิม จนกระทั่งผมเดินขึ้นตึกเรียนมาเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ มันถึงได้ข้ามถนนกลับฝั่งสถาปัตย์ไป



เหลือเพียงแค่ไอ้บี๋ที่ยังเคลียร์ปัญหากับผมไม่จบ



“ไอ้ชา..........”  เพื่อนตัวเล็กเดินมาจับมือผม น้ำเสียงมันฟังดูเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ  “ที่พูดเมื่อกี้ กูไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้นนะ”



ผมเงียบ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันพูดคำแย่ๆ พวกนั้นออกมา ผมก็คงโกรธแล้วก็อาละวาดด่าคืน หลังจากนั้นจะกลับมาเสียใจทีหลังหรืออะไรก็แล้วแต่.... กับบีบี๋ ผมเองก็อยากโกรธ อยากโวยวายด่าแม่งคืนให้สาแก่ใจเหมือนกัน แต่ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหนือกว่าความโกรธยังมีความจุก ทั้งเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก เพราะไม่คาดคิดเลยว่าคนที่พูดแบบนั้นจะเป็นคนที่ผมเรียกว่าเพื่อนสนิทมาเกือบหนึ่งปีเต็ม



ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับว่าผมเพิ่งเดินเข้าไปในบ้านไอ้บี๋แล้วเจอว่ามันเอารูปผมมากรีดๆๆแล้วซุกไว้ใต้พรมยังไงยังงั้น



เจ็บยิ่งกว่าโดนแย่งผู้ชายอีก



แล้วมันก็ทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าคนที่พยายามแทงข้างหลังเพื่อนไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว เผลอๆ คนที่โดนแทงมานานแล้วแต่เสือกโง่ไม่รู้ตัวก็อาจเป็นผม....



“กูแค่จะบอกไอ้แดนว่ามึงไม่ชอบพวกเรื่องในวงการบันเทิง มันไม่เหมาะกับมึง แล้วไอ้แดนก็ไม่ควรจะมาฝืนใจมึงแบบนี้.... มันคงโกรธที่คราวก่อนกูไม่ยอมให้มันคุยกับมึง แม่งก็เลยมาขยี้กะว่าจะเสี้ยมให้กูกับมึงเข้าใจผิดกัน”



ไอ้บี๋พยายามอธิบาย แต่ก็มาในฟอร์มที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้ว มันไม่มีทางพูดให้ตัวเองดูแย่ไปกว่าเดิมหรอก และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือโบ้ยให้เป็นความผิดของเดือนสถาปัตย์ปีสองซึ่งเคยมีคดีเก่ากับผม 



“ไอ้แดนมันถนัดอะไรแบบนี้อยู่แล้วนี่ ก็เหมือนตอนที่มันหอมแก้มมึงเรียกเรตติ้งให้ตัวเองนั่นแหละ มันคงคิดว่าถ้ากูกับมึงทะเลาะกัน มันก็จะได้เข้ามาตีซี้กับมึงง่ายขึ้นไง”



“อืม กูรู้แล้ว”



ผมไม่เถียง เพราะสิ่งที่บีบี๋พูดมันก็มีมูล ผมไม่มีทางรู้ได้แน่ๆ ว่าใจไอ้แดนกำลังคิดอะไรถึงขั้นไหน แต่มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเข้ามาหาผมเพราะหวังจะสร้างกระแสส่งตัวเองเข้าวงการบันเทิง เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์นักหรอก



“ถ้ามึงรู้ แล้วทำไมถึงยังจะไปกับไอ้แดนอยู่ล่ะ?” 



บีบี๋ถาม มันบีบมือผมแน่นระหว่างที่ส่งสายตาอ้อนวอน ผมหวังจะให้มันรู้ตัวและเลิกจี้จุดอ่อนผมสักทีก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว แต่ดูเหมือนว่าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนจะไม่เคยรับรู้ห่าอะไรเลย   



“อย่าไปยุ่งกับมันเลยนะ.... อยู่กับกู กับเฮียโรมเหอะ กูกับเฮียไม่ทิ้งมึงหรอก ไปไหนก็จะเอามึงไปด้วยทุกที่เลย มึงไม่ต้องกลัวเหงานะ”



“ไอ้บี๋”  น้ำเสียงของผมแห้งแล้งและเย็นเยียบ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดใจหายไม่ได้



“คุณเพื่อน...........”  แววตาลูกหมาของไอ้บี๋ไหวระริก มาเสียใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ เพราะผมจะไม่ทนอีกแล้ว



“เรื่องที่มึงจะไปเที่ยวสุราษฎร์กับพี่โรม ถ้าป๊าม้ามึงไม่อนุญาต กูจะช่วยคุยให้ก็ได้.........แต่เรื่องแคสละครที่กูรับปากกับไอ้แดนไปแล้ว กูขอให้มึงอย่าเข้ามายุ่ง.... กูคิดทบทวนเรื่องนี้มาดีแล้ว และกูก็จะไม่เปลี่ยนใจด้วย”



“มึงชอบไอ้แดนเหรอ?”



“ไม่ใช่”



“แล้วทำไมถึงต้องรับปากมันทั้งๆ ที่ไม่ชอบด้วย?”





“เพราะกูไม่อยากไปนั่งดูมึงกับพี่โรมรักกันไง......”





“อะไรกัน.....?” ทันใดนั้นเอง บีบี๋เปลี่ยนสีหน้าจากอ้อนวอนขอร้องมาเป็นแสยะยิ้มพร้อมทั้งจ้องตาผมเขม็ง “มึงอิจฉากูใช่ไหม?”



ผมกล้าพูดเลยว่ารอยยิ้มของมันเป็นยิ้มที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และนี่ก็คงเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาบีบี๋คงไม่ได้คิดดีหรือจริงใจกับผมเลย ความหวังดีห่วงใยทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยนึกเสียดายล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น



“กูชอบพี่โรม” ผมตัดสินใจพูดออกไปอย่างไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว  “กูชอบเขา.....ชอบมาก่อนที่มึงจะเริ่มคุยกับเขาเสียอีก แล้วกูก็คิดว่ามึงรู้มาตั้งแต่แรกด้วยว่ากูรู้สึกยังไงกับพี่โรม”



“คิดว่ากูปาดหน้าเค้กมึงสินะ?”



“แล้วไม่ใช่หรือไง?”



“ถ้าใช่แล้วมึงจะทำไม? เฮียโรมเขาเลือกกูแล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรได้?”



ไอ้บี๋กระตุกมุมปากใส่ผมอย่างถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ



ในเมื่อบีบี๋กล้าทำร้ายจิตใจผมด้วยการโอ้อวดว่ามันคือคนที่ได้รับความรักจากพี่โรม กล้าที่จะแย่งเขาทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผมต้องการสิ่งที่เรียกความรักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมก็จะทำลายความภาคภูมิใจของมันให้ย่อยยับเหมือนกัน....!





“จะได้หรือไม่ได้ กูก็มีปัญญาชิงเกียร์พี่โรมมาห้อยคอก็แล้วกัน!”





รอบตัวพวกเรามีคนเดินสวนกันไปมาเป็นสิบเนื่องจากใกล้ถึงเวลาเข้าคลาสแล้ว แต่ทว่า ผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงหัวใจตัวเองซึ่งเต้นช้าลงเรื่อยๆ.... บีบี๋มองหน้าผมแล้วก็ขยับปากพูดบางอย่างที่ส่งมาไม่ถึงสมองผม เราทั้งคู่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน กระบอกตาร้อนผ่าวเช่นเดียวกับใบหน้าที่แดงก่ำไปหมดเพราะห้วงอารมณ์ที่เหวี่ยงตัวไปมาอยู่ข้างใน บางสิ่งบางอย่างที่ผมกับบีบี๋ช่วยกันสร้างขึ้นมากำลังแตกสลาย



ผมบอกไม่ได้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน พูดไม่ถูกว่าใครเป็นคนทำมันพัง



แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้ไป ผมกับบีบี๋ก็คงมองหน้ากันไม่ติด เพราะคำว่ามิตรภาพที่เราเคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริงได้พังฉิบหายไปหมดแล้ว





“ไอ้ชา ขอบใจนะที่บอกกูตรงๆ.... ก็แค่นั้นแหละที่กูอยากได้ยินจากมึง”



.



.



ตลอดภาคบ่าย บีบี๋ไม่ได้เข้าห้องเรียนทั้งสองวิชา ผมไม่รู้ว่ามันไปไหนแล้วก็ไม่ได้สนใจจะไลน์ไปถามด้วย.... เกือบสองเทอมเต็มๆ ที่เก้าอี้ข้างผมไม่เคยว่าง ผมไม่ชินกับการได้นั่งเรียนอย่างสงบไม่มีเสียงชวนคุยให้เสียสมาธิ และผมก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เดินลงจากตึกเรียนออกไปสถานีรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านคนเดียวนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร.... ตั้งแต่มีเรื่องพี่โรมเข้ามา ในเมื่อต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ซึ่งกันและกัน ผมก็ทำใจแล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ผมกับไอ้บี๋ก็ต้องแตกหักกันไปข้าง หากพอเอาเข้าจริง ผมก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้



มีบางส่วนในใจของผมที่คิดว่ายังไงไอ้บี๋มันก็เป็นเพื่อน ผมจะตัดใจเรื่องพี่โรมแล้วยอมมันสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ



แต่อีกใจหนึ่งก็ชอบคิดสวนขึ้นมาว่าถ้าไอ้บี๋เห็นผมเป็นเพื่อน แล้วทำไมมันถึงตัดใจจากพี่โรมแล้วยอมให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ



นี่เราเป็นเพื่อนกันประสาอะไร....?


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.



.



“กลับมาแล้วเหรอ ทิชา?”



“หวัดดีครับ แม่”



เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมโคตรดีใจที่กลับมาบ้านแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว ผมยกมือไหว้แม่ก่อนจะวางกระเป๋าเป้และกระบอกใส่ดรอว์อิ้งลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวล้มลงนอนอย่างหมดแรง.... ปกติแล้วผมเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมากนะ ยิ่งเครียดก็ยิ่งอยากอยู่คนเดียว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้อยากเจอแม่นัก ไม่ต้องคุยกันก็ได้ ขอแค่ให้แม่เดินผ่านไปผ่านมาให้ผมเห็นก็พอ



ถ้าจะเปรียบว่าผมเพิ่งทำสะพานเชือกขาดไปฝั่งนึง ก็เลยพยายามจะคว้าอีกฝั่งนึงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปก็คงไม่ผิด



“เมื่อเช้าเขายกกองไปถ่ายกันที่ตลาดน้ำวัดดอนหวาย แม่ซื้อของกินกลับมาให้แกเพียบเลย.... มีพวกขนมไทย ข้าวห่อใบบัว แล้วก็เป็ดพะโล้ด้วย ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนก็มี จะกินเลยมั้ย เดี๋ยวแม่แกะใส่จานให้”



“เอาขนมครับ ขนมอะไรก็ได้”



“ชอบกินแต่ขนมนะเรา ระวังอ้วนเป็นหมู”



ดูคล้ายว่าแม่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผมเดาเอาว่าคงเป็นเพราะละครเรื่องใหม่ซึ่งกำลังถ่ายทำอยู่ที่ช่วยให้แม่กลับไปมีหน้ามีชื่ออยู่บนจอทีวีช่องหลักอีกครั้ง ก็น่าจะบทร้ายแนวคุณหญิงคุณนายเหมือนเดิมแหละ แต่ถ้าแม่แฮปปี้ ผมก็แฮปปี้ด้วย



แปบเดียวขนมทองหยิบทองหยอด แล้วก็พวกขนมโบราณที่ผมไม่รู้จักชื่อก็มาวางอยู่ตรงหน้า ผมคว้าสะเปะสะปะหยิบใส่ปากทั้งที่ยังนอนแหมะพาดยาวเป็นจระเข้อยู่ท่าเดิม พอแม่นั่งลงที่ริมโซฟาใกล้ๆ หัวผม ผมก็ตะกายขึ้นไปนอนหนุนตักแม่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีอีกเช่นกัน



อย่างน้อยผมก็โชคดีที่ยังมีแม่อยู่ ผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ....



“ทิชาจำป้าอิ๋วที่เป็นผู้จัดละครช่องเอ็มได้มั้ย คนที่แม่เคยพาแกไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่เมื่อสักสี่-ห้าปีที่แล้วน่ะ.... วันนี้เขาแวะมาทำธุระกับพีอาร์ที่กอง แม่ก็เลยได้คุยกับเขา เขาถามหาแกด้วยนะ” 



“ถามหาผมเหรอ? ถามทำไม?” 



ผมต้องจำป้าอิ๋วได้อยู่แล้ว เพื่อนแม่ที่ยังเหลืออยู่ในวงการมีแทบจะนับคนได้ ผมหมายถึงเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ นะ ประเภทนายจ้างหรือแค่ยิ้มให้กันตามงานอีเวนท์อะไรพวกนี้ไม่นับ.... และเพราะป้าอิ๋วช่องเอ็มคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือ แม่ผมจึงยังมีงานละครช่องเคเบิลอยู่เนืองๆ จะว่าไปแล้วป้าอิ๋วก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณและน่านับถือคนหนึ่งในความรู้สึกของผม



“เขาก็มาถามว่าแกโตแค่ไหนแล้ว หน้าตาเป็นยังไง ยังน่ารักเหมือนตอนเด็กๆ อยู่หรือเปล่า” 



แม่เล่าให้ฟัง มือเรียวก็สางผมลูกตัวเองเล่นไปด้วย ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าเหตุผลที่ทำให้แม่อารมณ์ดีขนาดนี้คืออะไร



“เห็นว่าตอนนี้ช่องเอ็มกำลังจะสร้างละครซีรีส์อะไรสักอย่าง ป้าอิ๋วแกเลยอยากได้เด็กผู้ชายรุ่นๆ มหาลัยมาแคสบทแล้วก็เทสต์หน้ากล้อง.... ก็ลองถามดูเผื่อว่าแกจะสนใจอยากเข้าวงการ แม่ว่าช่องเอ็มก็งานดี โปรโมทดี ทีมพีอาร์ก็เก่ง ถ้าได้เล่นบทเด่นๆ ก็ต่อยอดงานอย่างอื่นได้สบาย”



“แล้วแม่บอกป้าอิ๋วไปว่าไง?”



“ก็บอกไปว่าทิชาอยู่มหาลัยปีสอง เรียนหนักน่าดู แล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนใจงานทางด้านนี้หรือเปล่า” แม่ส่ายหน้าเชื่องช้า ร่องรอยความเสียดายปรากฏในดวงตาทำเอาผมแปลกใจอยู่พอควร ผมคิดว่าแม่น่าจะรับปากฝ่ายนั้นไปแล้วเสียอีกแต่ก็ไม่ใช่“แต่ถึงแกไม่สน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ.... เข้าใจว่าแกชอบไอ้ที่เรียนอินทีเรียนี่เหลือเกิน เห็นนั่งแต่งบ้านในเกมเดอะซิมส์อะไรนั่นมาตั้งแต่เด็กละ”



ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกไม้ที่หล่นได้ไกลต้นมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีคนมาเลียบๆ เคียงๆ ถามแม่เรื่องจะให้ผมลองถ่ายโฆษณาหรือไปแคสติ้งอยู่บ่อยๆ แม่ก็พยายามบังคับแล้วหากก็ไม่สามารถเอาชนะนิสัยเก็บตัวและขี้ระแวงเกินเหตุของผมได้.... ผมคิดอยู่เสมอว่าไม่อยากเป็นแบบแม่ทั้งด้านหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว ผมทำแต่สิ่งที่แม่ไม่ชอบและไม่เคยทำอะไรที่แม่ชอบเลยสักอย่าง ก็น่าขำอยู่เหมือนกันที่จนแล้วจนรอดผมก็ดูจะเดินตามรอยเท้าแม่ไปเสียทุกอย่าง



“แม่ครับ..........”



ผมเว้นช่วงถอนหายใจ รู้แหละว่าสิ่งที่กำลังจะพูดนั้นถือเป็นข่าวดีสำหรับแม่ แต่พอนึกถึงสาเหตุของเรื่องนี้ก็อดรู้สึกหน่วงๆ ในอกไม่ได้ 



“อันที่จริงก็มีเพื่อนที่มหาลัยมาชวนผมไปแคสละครของค่ายป้าอื๋ววันนี้เสาร์นี้แหละ”



“อ้าว แล้วแกตอบไปว่ายังไง?”



“ผมรับปากเขาว่าจะลองดู.... ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้”



“โธ่เอ๊ย แล้วไม่รู้จักบอกแม่ตั้งแต่เนิ่นๆ!” 



แม่ทำเป็นบ่นแต่ดูก็รู้ว่าดีใจมากแค่ไหน แถมยังกะตือรือร้นจะหยิบเอาโทรศัพท์โทรหาคุณป้าผู้จัดละครเดี๋ยวนั้น



“น้องทิชา ลูกชายของนิดาวัลย์เสียอย่าง.... แม่โทรบอกป้าอิ๋วกริ๊งเดียวเท่านั้นแหละ แกอยากเล่นบทไหนก็ชี้มาได้เลย หน้าตาอย่างเราไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก”



“แต่ผมกลัวนะ......กลัวหลายๆ อย่างเลย........”



“กลัวอะไร?”



“คนอื่นที่เขาไม่รู้จักเรา.......ผมกลัวว่าเขาจะพูดถึงในทางที่ไม่ดี.......” 



ผมสารภาพก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ 



“ตอนที่เห็นหน้ากันครั้งแรกอะไรก็เหมือนจะดีไปหมด แต่พอพวกเขารู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน คนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป......ถ้าผมไปแคสติ้งละครมันก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก......แรกๆ คนก็คงชอบเพราะหน้าตา เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป็นเกลียดผม ด่าผมเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างกับเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน............”



“เรื่องนี้เองหรอกเหรอ แม่ก็นึกว่าแกจะห่วงเรื่องเรียนเสียอีก”



ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองแม่ ที่พูดไปทั้งหมดเป็นความกลุ้มใจของตัวเองล้วนๆ ไม่ได้มีเจตนาจะโทษว่าแม่คือต้นเหตุของความบัดซบในชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย ผมก็แค่อยากรู้ว่าแม่ทนอยู่มาจนทุกวันนี้ได้ยังไง ต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนถึงจะทำเป็นไม่สนไม่แคร์เสียงนินทาด่าทอจากคนทั้งประเทศและเชิดหน้าเรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการมาได้เป็นสิบยี่สิบปี



“คนที่เขาเกลียด ต่อให้เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ออกจากบ้านให้เขาเห็นหน้าไปจนตาย เขาก็ยังจะเกลียดเราอยู่ดีนั่นแหละ”



แม่พูดอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยันนิดๆ แสดงออกชัดเจนว่าบรรดา Haters ทั้งหลายก็เป็นแค่แมลงวันแมลงหวี่น่ารำคาญ กำจัดให้ตายก็ไม่มีทางหมด แต่ถ้าอยากตบให้หายโมโหก็พอไหว 



“ที่สำคัญที่สุดก็คือนอกจากบ้านพ่อแกแล้ว คนที่ด่าแม่ปาวๆ พวกนั้นเขาไม่ได้ให้เงินแม่มาเลี้ยงแกสักหน่อย แล้วจะไปสนใจทำไม.... แม่ฟังเฉพาะคำพูดของคนที่เอางานเอาเงินมาให้ กับคำชมที่จะช่วยให้มีกำลังใจทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วต่อไป”



“คำชมเหรอ?” 



ผมหัวเราะหึ บอกตามตรงว่าจำไม่ได้เลยว่าเคยมีใครชมเราสองแม่ลูกสักครั้งหรือเปล่า แต่ในเมื่อแม่มั่นใจแบบนั้นผมก็ไม่อยากขัดศรัทธา



“ชีวิตคนเรามันสั้นมากนะ ทิชา มัวแต่พิรี้พิไรรอให้ดาวบนฟ้าลอยลงมาอยู่ในมือก็ไม่ทันกินกันพอดี.... อยากได้อะไรก็ต้องคว้าเอง โดนด่าแปบๆ เดี๋ยวก็หายเจ็บ แต่ถ้าสิ่งที่ต้องการโดนคนอื่นแย่งตัดหน้าไปเสียก่อน ถึงตอนนั้นจะเอาคืนก็คงยากแล้ว”



ผมได้แต่นอนกระพริบตาปริบๆ พลางคิดตามสิ่งที่ได้ยิน.... เพราะความคิดแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้แม่พยายามแย่งพ่อมาจากผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไขว่คว้าทุกสิ่งที่อยากได้โดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกนึกคิดอย่างไรขนาดโดนญาติๆ ฝ่ายพ่อสาปส่งทุกครั้งที่เห็นหน้าก็ยังไม่ยอมหยุด แต่ถ้าแม่ไม่ทำ ผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองจะได้เติบโตมาแบบอยู่ดีกินดีมีเงินใช้ไม่ขาดเหมือนทุกวันนี้



โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่งผ่านเหตุการณ์ผิดใจกับไอ้บี๋เพราะพี่โรม ผมก็ยิ่งพูดได้ไม่เต็มปากว่าคนเราควรปล่อยวางแล้วยอมให้คนอื่นได้มีความสุข ทั้งๆ ที่ความสุขนั้นควรจะเป็นของผมมาตั้งแต่แรก



“แม่ดีใจนะที่แกอยากลองออกมาอยู่หน้ากล้อง อยู่ใต้แสงไฟ แสดงละครเป็นดาราเหมือนอย่างที่แม่เป็นดูบ้าง.... แหม ที่เขาว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็คงเป็นเรื่องจริงสินะ พอเห็นแกแบบนี้แล้วค่อยนึกถึงตัวเองสมัยสาวๆ หน่อย ยิ่งใครๆ ก็ชอบบอกว่าทิชาหน้าเหมือนแม่อยู่ด้วย”



“ถ้าแม่ชอบ ผมก็ดีใจ.........”



ถ้าแม่เห็นผมแล้วนึกถึงตัวเอง ในฐานะลูก ผมก็ควรต้องดีใจสิ....



“เมื่อกี้แกบอกว่าแคสบทละครป้าอิ๋ววันเสาร์นี้ใช่ไหม? งั้นก็เลิกกินขนมได้แล้วนะ พวกของเค็มๆ ก็งดไปก่อน เดี๋ยวออกกล้องแล้วหน้าบวม.... น้ำอัดลมก็ห้าม จะดื่มก็ดื่มน้ำเปล่า ผิวจะได้ฉ่ำเด้งมีน้ำมีนวล”



“โอ๊ย แม่ครับ...... ไม่เอาน่า~~”



“ไม่ได้ๆ จะเป็นดาราก็ต้องหัดมีวินัยในการดูแลรูปร่างหน้าตาตัวเองด้วย ขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาที่ห้องแม่ มาเอาครีมไปทา แล้วหลังจากนี้ไปก็อย่าลืมมาร์สกหน้าก่อนนอนทุกคืนล่ะ”



ผมเด้งตัวขึ้นจากโซฟาจะคว้าจานขนมคืน แต่แม่กลับเอาไปกวาดทิ้งลงขยะหน้าตาเฉยไม่ฟังเสียงร้องโหยหวนของลูกชายเลยสักนิด ตามติดมาด้วยคำสั่งยาวเหยียดซึ่งเกี่ยวกับความสวยความงามที่แม่ถนัดล้วนๆ ผมก็เริ่มนึกเสียใจที่หลงไปตกปากรับคำไอ้แดนเรื่องออดิชั่นจนต้องเสียโอเอซิสเล็กๆ ของชีวิตอย่างการนอนกลิ้งเกลือกอยู่บ้านกินขนมหวานเท่าไรก็ได้ตามใจชอบไป



ขณะกำลังวุ่นวายกันตามประสาแม่ลูกที่นานทีปีหนจะคุยกันรู้เรื่องอยู่นั้น รถยนต์ Mercedes Benz Vito สีบรอนซ์เงินก็แล่นมาจอดหน้ารั้วบ้าน ก่อนที่เสียงกริ่งจะดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านใน



“ใครมาเอาป่านนี้เนี่ย?”



“เดี๋ยวผมออกไปดูเองครับ”



ผมเปิดประตูกระจกบานเลื่อนชะโงกมองว่าใครที่กำลังพยายามมองเข้ามา แม้จะมีระยะห่างสิบกว่าเมตรคั่นกลาง แสงไฟด้านนอกมืดสลัวจนทำให้เห็นผู้มาเยือนเป็นเงาตะคุ่ม แต่ผมก็ยังจำได้ดีว่าคนๆ นั้นคือพ่อของผมเอง



“ทิชา เปิดประตูให้พ่อหน่อย”



“พ่อมาทำไม? มีธุระอะไรเหรอครับ?” 



แน่นอนว่าผมจะต้องระแวงเอาไว้ก่อน ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยจะนึกอยากมาหาผมสักครั้ง โทรศัพท์สักสายถามว่าผมเรียนหนังสือเป็นยังไงสบายดีไหมก็ไม่เคย แล้วอยู่ดีๆ กลับโผล่มาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย แล้วจะไม่ให้ผมหวั่นใจว่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีได้เหรอ



“พ่อมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับแก”



“คุย.......? กับผม?”



ผมทวนคำ ด้วยรู้ดีว่าคนอย่างคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนา ไม่มีทางตามหาผมเพราะเป็นห่วงหรืออยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอะไรแบบนั้นแน่



“คุณกาญจน์ มาหาลูกเหรอคะ?” 



พอรู้ว่าใครเป็นใคร แม่ก็กระตือรือร้นรีบตามออกมาทันที พร้อมทั้งดันหลังให้ผมรีบเปิดประตูต้อนรับคนที่ขับไล่ไสส่งผมกับแม่ออกจากงานแต่งพี่เกดอย่างกับว่าเราเป็นขยะเปียกเดินได้อีกต่างหาก 



“ทิชา มัวยืนทำอะไรอยู่เล่า.... รีบเชิญคุณพ่อเข้าบ้านสิ!”



ในเมื่อเป็นคำสั่งของแม่ แล้วผมจะไปพูดอะไรได้ล่ะ....





เหมือนเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้เลยมั้งที่ครอบครัวเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้าน แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ชื่นมื่นคุยกันจ๊ะจ๋าแบบที่เคยเห็นในโฆษณาร้านสุกี้เลยสักนิด.... พ่อนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดี่ยวในฐานะแขก แม่นั่งกอดอกไขว่ห้างประจันหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของสเปิร์มที่ทำให้ผมเกิดมาและเป็นเจ้าของเงินที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนผมก็นั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้างแม่ อยากจะลุกหนีขึ้นไปกบดานบนห้องตัวเองก็ไม่ได้



“นิดา.... ผมขอคุยกับลูกตามลำพังได้ไหม?”



“คุณจะคุยอะไรกับลูก เดี๋ยวฉันก็ต้องรู้อยู่ดี ก็นั่งฟังมันด้วยกันนี่แหละค่ะ”



หลังจากรู้ว่าพ่อไม่ได้แวะมาเยี่ยมเพราะอยากเจอหน้า แม่ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นพร้อมไฝว้ เตรียมจะเรียกร้องตอบโต้ทุกสิ่งที่แม่คิดว่าพ่อสมควรจะต้องชดใช้



“ทิชา.....ปีนี้แกอายุครบยี่สิบแล้วสินะ?”



เมื่อผมพยักหน้ารับ พ่อก็เว้นจังหวะถอนหายใจเหมือนว่าเครียดจัดที่ต้องคุยกับลูกนอกสมรส..... ก็อย่างที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ พ่อไม่เคยเห็นผมมีค่ามากเกินไปกว่าก้อนเลือดน่ารังเกียจที่ถูกแม่ใช้ขูดรีดเอาเงินมาร่วมยี่สิบปี ผมจึงไม่คิดว่าสิ่งที่พ่อพยายามจะบอกผมนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง แค่ขึ้นชื่อว่าทิชา ทิชนันท์ก็รับประกันได้เลยว่าจะไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



“พ่อมีคอนโดตรงซอยหลังสวนอยู่ห้องนึง พี่เกดเขาเคยอยู่ที่นั่นสมัยเรียนมหาลัยแต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ห้องห้าสิบกว่าตารางเมตรใกล้รถไฟฟ้า ราคาก็น่าจะสักสิบห้าล้านได้.... คิดว่าแกน่าจะชอบ ไว้พ่อจะเรียกทนายมาทำเรื่องโอนให้”



“ให้ผมเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”  ผมถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ ถึงแม้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่นี้จะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของผมก็ตาม



“แกโตแล้วก็ควรจะมีสมบัติติดตัวบ้าง อายุขนาดนี้แล้วก็คงไม่คิดจะอยู่บ้านกับแม่แกไปตลอดชีวิตใช่ไหมล่ะ?” พ่อว่าพลางเหลือบสายตามองไปทางแม่ ก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ “อ้อ แล้วก็รถอีกสักคันไว้ขับไปเรียน จะอยากได้เล็กซัส บีเอ็มหรือยี่ห้ออะไรก็ค่อยไปเลือกเอา”



“ผมอยู่บ้านนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว........” 



ผมไม่เชื่อหรอกว่าพ่อจะแค่อยากให้คอนโดกับรถคันใหม่เพียงเพราะว่าผมโตแล้วควรจะมีสมบัติติดตัวอะไรนั่นหรอก ทางบ้านใหญ่เองก็เคยพูดให้ได้ยินทุกครั้งที่เจอหน้าว่าผมกับแม่คือปลิงดูดเลือด แต่ติดตรงที่จะต้องส่งเงินสองแสนให้ผมจนกว่าจะตายกันไปข้างนี่ล่ะถึงยังตัดให้ตายขายให้ขาดไม่ได้ 



“แค่ที่พ่อให้อยู่ทุกเดือนก็พอแล้ว พ่อจะยกของพวกนั้นให้ผมทำไมอีก?”



สีหน้าคนถูกถามยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก ผมเชื่อว่าพ่อคงเตรียมทุกอย่างมาดีแล้วก่อนตัดสินใจจะมาที่นี่ แต่ที่ทำเป็นลำบากใจเหลือเกินก็เพราะกลัวว่าผมจะปฏิเสธเสียมากกว่า ยิ่งตอนนี้มีแม่มาคอยคุมเชิงไม่ยอมให้พ่อทำอะไรก็ตามที่เราสองแม่ลูกจะเสียผลประโยชน์อยู่ด้วย.... แต่ก็เหมือนไม้ขีดไฟถูกหยิบออกจากกลักแล้ว ครั้นจะไม่จุดเผาใครสักคนแถวนี้ก็ใช่เรื่อง



“หลังจากที่พ่อโอนคอนโดกับซื้อรถให้แกแล้วก็ไปเปลี่ยนนามสกุลซะนะ จะใช้นามสกุลแม่แกหรือจะตั้งใหม่ก็แล้วแต่เลย.......” 



ในที่สุดพ่อก็พูดออกมาจนได้ ใบหน้าผมร้อนผ่าววูบขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวราวกับว่าเลือดในกายได้เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว 



“พ่ออยากให้แกออกจากความเป็นทิพยศักดิ์เสนา.... อย่าเรียกพ่อว่าพ่อ เราจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก”



ผมคาดเดาว่าธุระของพ่อต้องไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายถึงขนาดที่จะมาขอตัดพ่อตัดลูกโดยยกทรัพย์สินเงินทองมาฟาดหัวกัน.... ผมช็อคจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งมองผู้ชายตรงหน้าซึ่งเป็นเจ้าของเลือดเนื้อในตัวผมตั้งครึ่งหนึ่งอย่างอับจนถ้อยคำ ก็อยากถามนะว่าทำไมพ่อถึงต้องทำแบบนี้กับผมที่เป็นลูกแท้ๆ คนหนึ่งของเขา ผมกับพี่เกดต่างกันตรงไหน พ่อถึงได้รักแต่ลูกสาวคนโตและไม่เคยเหลียวแลผมบ้างเลย แต่จะถามไปทำไมในเมื่อผมเองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ



“เดี๋ยวก่อนสิคะ นี่มันหมายความว่ายังไง!?” 



เป็นแม่ที่ลุกขึ้นโวยวายเสียงดังลั่น ปลายนิ้วเรียวชี้หน้าพ่อพลางตะโกนถามอย่างเดือดดาล 



“คุณคิดจะเอาชื่อทิชาออกจากบ้านใหญ่งั้นเหรอ!? คุณตั้งใจจะไล่ลูกตัวเองออกจากตระกูลใช่ไหม!?”



พ่อไม่ตอบคำถามแม่ หากกลับล้วงเอากระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางลงตรงหน้าผม มันเป็นเช็คเงินสดมูลค่าหลักล้าน อาจจะดูเยอะในความรู้สึกของใครหลายๆ คน แต่มันก็เป็นแค่เศษเงินที่พ่อใช้เพื่อตัดก้อนมะเร็งร้ายที่ชื่อทิชาให้ออกจากชีวิตของเขา



“เงินนี้พ่อให้แกเอาไว้ก่อน เผื่อไว้ไปเรียนต่อเมืองนอกหรือจะทำอะไรก็ทำ เรื่องรถกับคอนโดจะส่งทนายมาจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”



“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ นิดาไม่ยอมแน่ๆ!” แม่โมโหจนแทบกรีดร้อง  “ทิชาเป็นลูกแท้ๆ ของคุณ คุณจะเอาเงินฟาดหัวไล่แกเหมือนไล่อีตัวแบบนี้ไม่ได้!!”



“ทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอนั่นแหละ นิดา.... คิดเหรอว่าผมอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้!?”



“ถ้าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้แล้วคุณมาทำไม!? เตรียมเช็คเตรียมคำพูดตัดขาดลูกมาอย่างดีแล้วจะมาโทษว่าเป็นเพราะฉันมันไม่ทุเรศไปหน่อยเหรอคะ!?”



ทั้งคู่ทะเลาะกันใหญ่โต ต่างฝ่ายต่างโยนความผิดกล่าวโทษกันไปมาต่อหน้าผมซึ่งอยากจะปิดหูปิดตาแล้วหายตัวไปจากโลกนี้เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน แม่ก็คว้าแขนผมแล้วเหวี่ยงให้ถลาไปยืนอยู่ตรงหน้าพ่อ.... ก็พ่อคนเดียวกับคนที่เพิ่งเอาเงิน คอนโดแล้วก็รถอีกคันมาล่อให้ผมออกไปจากชีวิตของเขานั่นแหละ 



“คุณคิดว่าทิชาเป็นตัวปัญหาสำหรับคุณสินะ..... แน่จริงก็บอกต่อหน้าแกเลยสิว่าคุณไม่เคยอยากให้ทิชาเกิดมาเลย!! กล้าพูดไหมล่ะว่าเมื่อตอนที่คุณรู้ว่าฉันท้อง อย่างแรกที่คุณทำก็คือโยนเงินมาให้ฉันแสนนึงกับเบอร์โทรคลินิกทำแท้งเถื่อน สั่งให้ฉันไปเอาทิชาออกก่อนที่นักข่าวกับแม่และเมียคุณจะรู้.... คุณกล้ายอมรับต่อหน้าแกหรือเปล่า!?”



ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะอ้วกออกมาเลย....



โอเค.... นั่นเป็นข้อมูลใหม่สำหรับผม ผมรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่เกิดมาบนความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ เป็นส่วนเกินที่สังคมและครอบครัวเครือญาติฝ่ายพ่อรังเกียจยิ่งกว่าแมลงสาบ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเหี้ยถึงขั้นที่พ่อเคยพยายามจะฆ่าผมซึ่งยังเป็นแค่ก้อนวุ้นอยู่ในท้อง ก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าทำไมพ่อถึงได้ดูไร้เยื่อใยกับผมนัก ที่แท้ก็เพราะผมเป็นมารหัวขนที่เขากำจัดไม่สำเร็จ แถมยังโตมาสูบเลือดสูบเนื้อไม่รู้จักจบสิ้น ก็คงเบื่อหน่ายเอือมระอากับการส่งเสียลูกชังคนนี้เต็มทีแล้วล่ะมั้ง



ผมเสียใจนะ เสียใจมากเลยด้วย



ถึงตอนนี้จะอายุยี่สิบแล้ว เพิ่งบรรลุนิติภาวะไปหมาดๆ แต่หัวใจผมก็ไม่ได้แข็งแรงขึ้นตามอายุสักเท่าไร.... ผมก็แค่เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อยากให้พ่อแม่รัก อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากกลับมาบ้านแล้วรู้สึกว่ามันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขกายและความสบายใจ



ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พ่อยอมให้เงินให้อะไรต่อมิอะไรผมได้ตั้งมากมาย ทว่า กับสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ พ่อกลับไม่เคยให้ผมเลยสักครั้ง



ผมเอง.... ก็ควรจะเลิกหวังได้แล้วสินะ?



“แค่เปลี่ยนนามสกุลพอแล้วใช่ไหมครับ?”  ผมถามเสียงแผ่ว ข้างในลำคอแห้งผากเหมือนมีถังทรายขวางอยู่  “ถ้าเปลี่ยนแล้ว ทุกอย่างก็จะจบ......ผมกับพ่อก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกถูกไหมครับ?”



พ่อหลบสายตาผมก่อนจะจำใจตอบออกมา  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้............”



ผมพยักหน้ารับรู้พลางเอื้อมมือไปหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมา ฉีกมันจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่ต่างกับก้อนเนื้อในอกซ้ายซึ่งแหว่งวิ่นกลวงโบ๋ไปหมดแล้ว



“ทิชา!?” 



ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ตกใจ ไม่มีใครคิดว่าผมจะกล้าฉีกเงินล้านทิ้งเหมือนฉีกกระดาษทิชชู่ ผมก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆ เผื่อว่าพ่อจะสงสารและยอมเปลี่ยนใจ แต่นิสัยผมก็เป็นแบบนี้แหละ.... ครั้งหนึ่งผมอาจจะเคยอยากให้พ่อรัก อุตส่าห์ทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอดยี่สิบปีเผื่อว่าพ่อจะเหลียวแลลูกชายนอกคอกคนนี้ขึ้นมาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ยังผลักไสผมออกไป และผมก็เหนื่อยจนไม่อยากพยายามแทรกตัวเข้าไปในอ้อมกอดที่ปิดตายไม่เหลือที่ว่างสำหรับนั่นลูกชังคนนี้อีกแล้ว



“ผมใช้นามสกุลแม่ก็ได้ เอาไว้สอบมิดเทอมนี้เสร็จแล้ว ผมจะไปแจ้งเปลี่ยนที่เขตเอง.... ไม่ต้องเดือดร้อนพ่อส่งทนายเอาเอกสารมาให้หรอกครับ”



และนี่ก็คงเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมจะพูดกับพ่อบังเกิดเกล้า ให้มันเจ็บแต่จบในครั้งเดียวไปเลย จากนี้ไป ผมกับคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาก็จะเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แม้กระทั่งเลือดครึ่งหนึ่งในตัวผมก็จะแกล้งทำเป็นลืมๆ ไปซะว่าได้มันมาจากใคร



 “คอนโดกับรถที่พ่อบอกว่าจะให้ ผมก็ไม่เอา.... ถ้าไม่รักผม ไม่เห็นว่าผมเป็นลูกก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมทั้งนั้น ผมไม่อยากได้.......”



ผมยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมจนได้ยินเสียงรถยนต์สตาร์ทเครื่องแล้วแล่นห่างออกไป ความเงียบและบรรยากาศชวนอึดอัดแบบที่ผมเกลียดและทำให้ผมต้องหนีขึ้นไปอยู่บนห้องกลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกหน.... ผมไม่กล้ามองหน้าแม่ หากก็รับรู้ได้ว่าความโกรธแค้น เสียใจและความผิดหวังทั้งหลายแหล่ของแม่จะต้องถูกนำมาโยนใส่กลางหัวผมอย่างแน่นอน





เพียะ!





คุณเชื่อไหมว่าตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา เด็กชายทิชาไม่เคยโดนแม่ตีเลยสักครั้ง ถึงจะเป็นคนโกรธง่ายและอารมณ์ร้อนแค่ไหน แม่ก็จะแค่โวยวายด่ากราดแต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับลูกในไส้ ทว่า คราวนี้ผมถูกตบจนหน้าหันไปอีกข้างเลยทีเดียว



“แกทำแบบนี้ได้ยังไง ทิชา!? ใครใช้ให้แกคิดเองเออเองว่าจะยอมออกจากบ้านใหญ่ ไม่เห็นหรือไงว่าแม่กำลังเจรจากับพ่อแกอยู่ หา!?”



“แม่ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าพ่อไม่ได้ต้องการผม.......เขาคิดจะฆ่าผมตั้งแต่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมหน้าด้านเรียกเขาว่าพ่อต่อไปเพื่ออะไร?”



“พ่อแกไม่อยากได้แกแล้วยังไง แกจำเป็นจะต้องยอมให้เขาได้สมใจงั้นเหรอ.... นามสกุลทิพยศักดิ์เสนาก็เป็นสิทธิ์ที่แกจะใช้ในฐานะลูกแท้ๆ ของเขา ถ้าเปลี่ยนเลือดในตัวแกไม่ได้ก็ไม่มีใครมาจับแกเปลี่ยนนามสกุลได้เหมือนกัน!!” 



ผมรู้ดีว่าตัวเองเพิ่งทำให้แม่ผิดหวัง เพราะการที่ผมยังมีตัวตนอยู่ในบ้านใหญ่ก็เท่ากับตอกย้ำชัยชนะและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครสามารถเฉดหัวนิดาวัลย์และลูกทิ้งไปได้ หากผมกลับใช้กรรไกรที่พ่อหยิบยื่นให้ตัดเชือกที่แม่พยายามยื้อมาโดยตลอดทิ้งไปง่ายๆ 



“ทิชา แกนี่มันโง่จริงๆ เลย.... โง่จนแม่ไม่รู้ว่าควรจะด่ายังไงให้สาสมกับความโง่ของแกแล้ว!!”



แก้มขวาตรงที่ถูกตบเมื่อกี้เริ่มหายชา ความเจ็บแผ่ไปทั่วจนต่อมน้ำตากลับมาทำงานอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่ร้ายกาจเท่าแผลในใจของผมที่เจ็บกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า.... ยิ่งฟังแม่ด่ามากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากจะวิ่งออกไปกระโดดลงรางรถไฟฟ้าให้แม่งตายห่าไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวมากขึ้นเท่านั้น



“ตั้งแต่เกิดมา แกไม่เคยทำอะไรให้ฉันดีใจเลย มีแต่เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้.... เลี้ยงเสียข้าวสุก โตแต่ตัว รู้อย่างนี้ฉันน่าจะเชื่อพ่อแกเสียแต่แรก เอาแกออกซะจะได้ไม่ต้องมีตัวปัญหาน่ารำคาญแบบนี้!!” 



อาการคลื่นไส้กลับมาอีกแล้ว ผมยืนโงนเงนประคองร่างตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ทั้งๆ ที่สายตาพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นภาพตรงหน้า ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดอยากจะขย้อนเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา เสียงด่าทอยังคงทะลวงเข้ามาในโสตประสาทไม่ขาดสาย หัวใจผมบีบรัดแน่นจนปวดไปทั่วทั้งอก 



“ไปให้พ้นเลยนะ จะไปตายที่ไหนก็ไป.... ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก!!”

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมอดทนไต่บันไดขึ้นมาถึงชั้นสาม เข้าไปในห้องน้ำแล้วก็อ้วกออกมาจนหมดท้อง รสชาติน้ำตาตัวเองผสมกับน้ำย่อยคือโคตรของโคตรแย่ แต่มันก็คงไม่แย่เท่ากับการที่ถูกทั้งพ่อและแม่พูดใส่หน้าว่าผมคือส่วนเกินในชีวิตของพวกเขา....



บางอย่างในใจผมแตกสลาย จากที่มันพังอยู่แล้วก็ยิ่งพังฉิบหายย่อยยับมากขึ้นไปอีก ผมนอนร้องไห้อยู่กับพื้นห้องน้ำ มันน่าทุเรศเกินบรรยาย คนปกติเวลาที่เขาร้องไห้เสียใจก็ควรจะมีใครสักคนกอดปลอบไม่ใช่เหรอ แล้วผมแปลกประหลาดกว่าคนอื่นที่ตรงไหน มีสามแขนสี่ขาสิบตาหรือยังไง ถึงได้มีแต่กระเบื้องเย็นๆ รองรับร่างกาย และสิ่งมีชีวิตเดียวที่รับรู้ว่าผมกำลังร้องไห้จะเป็นจะตายก็คือแมวหนึ่งตัว



“มิลค์.... กูเหลือแค่มึงแล้วเนี่ย อย่าทิ้งกูไปไหนนะ.......”



มิลค์ไม่ตอบ.... แน่ล่ะ ก็มันเป็นแมวนี่นา



ผมดึงยัยมิลค์มากอดทันทีที่มันเดินเข้ามาใกล้ ธรรมชาติของแมวสั่งให้มันอยู่นิ่งได้แค่แปบเดียวก็เอาขาหลังถีบผมจนแสบหน้าอกไปหมด ผมถึงต้องยอมปล่อยมันไป ไม่ต่างจากตอนที่ผมตัดสินใจฉีกเช็คใบนั้นทิ้งเพราะจนปัญญาจะรั้งพ่อเอาไว้นั่นแหละ



ทันทีที่ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง วัตถุโลหะสีทองแดงเข้มซึ่งห้อยอยู่ที่คอก็เคลื่อนไหวไปตามแรงโน้มถ่วง.... เกียร์วิศวะฯ อันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของตั้งใจอยากจะให้ผม หากมันกลับกลายเป็นของเพียงชิ้นเดียวที่สามารถฉุดผมขึ้นมาจากฝันร้าย ผมนั่งมองเกียร์ของพี่โรมอยู่อย่างนั้นราวกับว่ามันคือที่พึ่งทางใจสุดท้าย



ใจหนึ่งบอกให้ผมลืมทุกอย่างแล้วกลับไปอยู่เงียบๆ ตามลำพังตามประสาคนที่ไม่มีใครต้องการ แต่อีกใจหนึ่งก็โหยหาไออุ่นจากใครสักคน.... ใครก็ได้ที่เขาจะไม่ผลักไสผมออกไปเหมือนที่พ่อกับแม่ทำ ใครก็ได้ที่จะบอกว่าผมสามารถอยู่กับเขาได้และจะไม่ทิ้งผมไปไหน



มันคงไม่มีคนแบบนั้นหรอกใช่ไหม....?



ผมก็รู้นะ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมหยุดสักที



.



.



.



รถแท็กซี่จอดลงบริเวณฟุตปาธหน้าร้านเหล้าแห่งเดิมที่ผมไม่คิดมาเหยียบอีกโดยไม่จำเป็น เสียงดนตรีดังสนั่นแผดออกมาถึงริมถนนผิดกับหัวใจของผมซึ่งคล้ายกับว่าตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง.... ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ได้ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีใครสักคนเปิดใจรับผม แม้ว่าการมาเยือนเบอร์ลิคจะยิ่งทำให้ผมถูกมองว่าเป็นพวกใจแตก ง่าย ร่าน แล้วก็โคตรเหี้ยที่พยายามจะตื๊อแย่งแฟนคนอื่นให้ได้ก็ตาม



แค่คนแรกที่ผมเจอตรงประตูทางเข้า สายตาสงสัยแกมดูแคลนที่จ้องมองมาก็เหมือนกับจะทวนประโยคเมื่อครู่ให้ฟังอีกรอบ ผมเลือกที่จะทำเป็นเมินแล้วเดินเข้าไปในฐานะลูกค้า แต่เจ้าของร้านกลับไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ



“น้องคนนี้หน้าตาคุ้นๆ นะครับ” 



พี่รุจทักผมก่อนจะเอาตัวมาขวางไว้ไม่ให้ผมหลุดรอดผ่านไปจนเจอบุคคลเป้าหมาย 



“วันนี้ไม่มีเลี้ยงชามะนาวนะอีหนู มีแต่เบียร์ฟรีแบบเดียวกับที่กินไปเมื่อคราวก่อน.... อยากลองอีกรอบไหมล่ะ? หรือจะให้พี่จับกรอกดีจ๊ะ?”



พี่รุจยิ้มมุมปากใส่ผม คงคิดว่าเรื่องคราวก่อนน่าจะขู่ให้ผมกลัวได้ล่ะมั้ง ผมก็แค่กระตุกยิ้มกลับไปให้พร้อมกับดึงสายคล้องเกียร์ออกมานอกปกเสื้อ ให้อีกฝ่ายได้เห็นจี้รูปเฟืองชัดเจนเต็มสองตา



“เก็บเบียร์นั่นเอาไว้ให้เมียพี่กินเองเหอะ อย่ามายุ่งกับผม”



“โอ๊ะ ยังใส่อยู่อีกเหรอ?”  พี่รุจทำหน้าแปลกใจ เขาหรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหัวเราะออกมา “บอกตรงๆ ว่าเซอร์ไพรส์ว่ะ ไม่อยากเชื่อว่าไอ้โรมจะยังไม่ขอเกียร์คืน”



ผิด.... พี่โรมขอคืนแล้วแต่ผมไม่ยอมให้ต่างหาก



“ถ้าพี่รุจลงโทษผมตามกฎของร้านไปแล้ว หวังว่าคราวนี้พี่คงจะแฟร์ๆ กับผม ไม่แหกกฎที่ตัวเองเป็นคนตั้งขึ้นมาเช่นกันนะครับ”



ตราบใดที่ผมยังห้อยเกียร์อยู่ ผมก็คือน้องสะใภ้ของพวกวิศวะฯ ที่พี่รุจจะต้องให้ความคุ้มครองและไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของผมกับพี่โรมที่เกิดขึ้นในเบอร์ลิค ตราบใดที่ยังมีเกียร์อันนี้ พี่โรมก็จะเป็นของผมเพียงคนเดียวและจะไม่มีใครสามารถห้ามผมไม่ให้รักเขาได้ 



“ผมมาหาพี่โรม.... ขอทางด้วยครับ”



“งั้นก็เชิญเลยครับ.... น้องทิชา”



ผมเบียดเสียดผ่านฝูงชนกลางร้านที่กำลังสนุกสนานกับดนตรีเล่นสดจากวงร็อคที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าของผมเองที่ทำให้ภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมด แสงไฟจากเวทีจ้าจนแสบตา เสียงเพลงกระหึ่มจนผมปวดหูเวียนหัวพาลให้อยากจะอาเจียนออกมาอีกรอบ ผมก็แข็งใจกัดฟันเดินวนไปเรื่อยเหมือนหนูติดจั่น สายตากวาดมองหาพี่โรมจนทั่วแต่หาให้ตายยังไงก็ไม่เจอ



ภายในห้วงความคิดสับสนอลหม่าน.... พี่โรมจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า? หรือจะอยู่กับบีบี๋ที่เขาบอกกับผมเองว่าชอบ? จะบอกเลิกไอ้บี๋หรือยัง? พี่โรมจะเกลียดผมไหม? ตอนนี้อยู่ไหน? ทำไมผมถึงหาเขาไม่เจอ? เขาไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมแล้วใช่ไหม?.... ทุกอย่างตีรวนผสมปนเปทำเอาผมแทบคลั่ง ผมแทรกตัวไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างกับคนบ้า ได้ยินเสียงคนด่าผมที่ไม่ยอมหยุดเดินปาดหน้าพวกเขาสักที แต่ก็นั่นแหละ ผมหยุดไม่ได้หรอกจนกว่าจะได้เจอพี่โรม



“เอาไงก็เอาเหอะมึง.... สงสารน้องมัน”



“อืม...........”



ใครบางคนพูดขึ้นในตอนที่ผมหลุดเข้าไปถึงโซนบาร์เหล้า ผมหันควับไปยังต้นเสียงทันที แล้วผมก็เห็นพี่โรมยืนอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง.... สายตาคู่นั้นมองผมด้วยความเห็นใจ สงสาร หรือสมเพชเวทนาก็สุดที่จะรู้ได้



หากสำหรับผมแล้ว เสียงที่ได้ยินนั้นมันเทียบเท่าได้กับมือที่ช่วยดึงผมขึ้นมาจากแม่น้ำในความฝันเมื่อวานเลยทีเดียว....





“ทิชา.... กูอยู่นี่”





ผมโผเข้าไปกอดพี่โรมแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ปล่อยความเก็บกดทุกสิ่งทุกอย่างในใจออกมาโดยไม่อาย.... ผมรู้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่อีกเป็นร้อย พวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างก็ตกใจถามไถ่กันจนวุ่นวายไปหมดว่า ทิชา ทิชนันท์ ซึ่งคนทั้งโลกต่างพากันเกลียดชังและหันหลังให้มายุ่งเกี่ยวกับผู้ชายดีๆ อย่างพี่โรมได้ยังไง



แต่ผมไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นหรอก อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย ผมยอมรับทุกสิ่งที่จะตามมาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมคิดจะชิงเกียร์ของพี่โรมแล้ว



แค่พี่โรมไม่ผลักผมออก ไม่ด่าผมว่าน่ารังเกียจอีกเท่านั้นก็พอ....





“ไม่ต้องร้องไห้นะ ทิชา.... กูอยู่นี่แล้วไง.......”



“เช็ดน้ำตาซะ.... หน้ามึงมอมแมมยังกะลูกแมวตกโคลน......กูสัญญาก็ได้ กูไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก อย่าร้องไห้แบบนี้สิ........”






คุณเห็นหรือยัง.... สิ่งที่คนอย่างผมต้องการก็มีแค่นี้เอง





“พี่โรมสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งชา......สัญญาแล้วจริงๆ นะ..........”



“เออ.... กูสัญญา นิ่งซะนะ เด็กดีของกู”






DAN’s InstraGram Live





“หวัดดีครับ.... แดนนี่ นี่แดนเอง~ ไม่ได้ไลฟ์ไอจีมาสักพักแล้ว ทุกคนสบายดีไหมครับ คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?”



หลังจากทักทายด้วยถ้อยคำเดิมๆ ไปไม่กี่วินาที ตัวเลขคนเข้ามาชมไลฟ์ไอจีของผมก็สูงขึ้นจนแตะหลักพัน คอมเมนท์ทักทายกลับไหลรัวผ่านหน้าจอจนอ่านไม่ทัน ก็สมกับที่ผมไม่ได้เข้ามาไลฟ์นานเกือบเดือน บรรดาแฟนคลับก็ย่อมต้องคิดถึงผมแรงมากเป็นธรรมดา



“ที่มาไลฟ์วันนี้ก็เพราะว่ามีข่าวดีที่อยากบอกให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้.... หลายคนคงเคยได้ยินข่าวเปิดรับสมัครนักแสดงหน้าใหม่ของช่องเอ็มแล้วใช่ไหมครับ ละครที่ช่องเอ็มกำลังจะสร้างเห็นว่าต้นฉบับมาจากนิยายที่ฮอตฮิตสุดๆ ในเน็ตเสียด้วย.... อ๋อ ใช่ครับ มันเป็นนิยายวาย แดนก็ไม่เคยอ่านหรอกนะ แต่เห็นว่าน่าสนใจดี”

   



   ‘พี่แดนนนนน อย่าบอกนะคะว่า..... >///<’

   ‘ตายแล้วๆๆ อิแม่กำพระแน่นมากนะ แดนนี่’

   ‘เหยยย พี่แดนจะไปแคสบทเรื่องสงครามคิวท์บอยจริงอ้ะ???’






“ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบ.... เพื่อนๆ ทุกคนเก่งมาก แดนจะเข้าร่วมการแคสติ้งบทในละครเรื่องสงครามคิวท์บอยที่สตูดิโอของช่องเอ็มในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ถ้าใครว่างก็ตามไปให้กำลังใจกันได้นะครับ” 



ผมอ้อนขอเสียงเชียร์จากแฟนคลับ ขึ้นชื่อว่าเริ่มต้นดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เชื่อเลยว่างานนี้คู่แข่งที่จ้องบทเดียวกับผมต้องมีอีกหลายสิบชีวิต ผมก็เลยต้องชิงลงมือก่อนแถมยังซ่อนอาวุธลับเอาไว้เพียบ 



“ขอบอกเลยว่าในงานแคสติ้ง แดนยังมีเซอร์ไพรส์อีกนิดหน่อยให้เพื่อนๆ ได้แปลกใจเล่นกันด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แดนว่าจะไลฟ์บรรยากาศในสตูดิโอให้ได้ดูกันด้วย เพราะฉะนั้น วันเสาร์เก้าโมงเช้าอย่าลืมเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์นะครับ”





   ‘งั้นพวกเราจะรอดูนะคะ พี่แดน’

   ‘พี่แดนพูดขนาดนี้ หนูว่าหนูต้องตามไปเชียร์ถึงที่แล้วล่ะค่ะ’

   ‘เซอร์ไพรส์อะไรอ้ะ พี่แดนนนน.... อย่ามายั่วให้อยากแล้วจากไปแบบนี้สิคะ’

   ‘แดนนี่แง้มซะเบอร์นี้แล้วก็บอกมาเถอะค่ะ ไม่งั้นคืนนี้เจ้นอนไม่หลับแล้ว’

   ‘แง้~~ พี่แดนจะเซอร์ไพรส์ยังไงก็ได้ แต่อย่าเปิดตัวชะนีนะ หนูไม่โอ’






ผมขำคอมเมนท์สุดท้ายที่เพิ่งโผล่มาบนจอเมื่อกี้ อย่างผมคงไม่เปิดตัวแฟนผู้หญิงเร็วๆ นี้หรอก ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเคยมีกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไว้กินข้าวดูหนังเป็นเพื่อนอยู่เป็นระยะก็ตาม



แต่ทว่า ยัยคอมเมนท์ล่าสุดเนี่ยสิที่ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วชิดกันออกหน้ากล้องโดยไม่รู้ตัว





   ‘พี่แดนลบรูปคู่กับพี่ทิชาออกทำไม หนูแคปทันนะคะ’





จากนั้น คอมเมนท์ติดแฮชแท็ก #แดนทิชา ก็ไหลมาเป็นพรืดจนผมอ่านไม่ทัน ทุกคนล้วนถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงลบรูปที่ถ่ายคู่กับทิชาเมื่อวานทิ้งไป.... ผมก็อยากบอกนะว่ามันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษเลย แค่ทิชาเขาไม่ชอบ ผมก็ไม่อยากทำให้เขาต้องหงุดหงิดเหม็นขี้หน้าผมมากไปกว่านี้ ผมทำพลาดเรื่องทิชามาสองครั้งซ้อนแล้ว และถ้าหากผมจะพลาดครั้งที่สาม ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเพราะรูปคู่ที่ดูแล้วไม่ได้มีสาระห่าเหวอะไรเลย



“รูปบางรูป แดนก็แค่มีสิทธิ์ถ่ายแต่ยังไม่มีสิทธิ์ลง.... เอาไว้ให้คนในรูปเขาโอเคกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงอีกทีดีกว่าเนอะ”





   ‘ทำไมอะค่ะ? พี่ทิชาเขาไม่ได้ชอบพี่แดนเหรอ?’

   ‘พี่แดนอย่าพูดแบบนี้สิ เหมือนพี่กำลังอกหักเลยอ่าาาา T___T’

   ‘อย่าเพิ่งยอมแพ้สิคะกัปตัน เรือแดนทิชาจะล่มไม่ได้นะ’






ผมไม่ได้ตอบคอมเมนท์ผมพวกนั้น ได้แต่อมยิ้มแล้วก็เตรียมบอกลาแฟนคลับไปทำงานส่งอาจารย์ให้เรียบร้อยเมื่อได้เวลาปิดกล้องแล้ว




TO BE CONTINUE



+++++



TALK



ทีมโรมทิชา อัพเดทหน้ามีได้ยิ้มค่ะ :)

ออฟไลน์ ตาหวาน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ไม่ไว้ใจบีบี๋ พี่โรมก็ด้วย
สงสารหนูทิชามากกกกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทำไมรู้สึกว่าพี่โรมดูแปลกๆ ระแวงแล้วเนี่ย ส่วนบี๋ก็ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก แดนก็ดูไม่น่าไว้ใจ สงสารทิชามาก มีพ่อก็โดนตัดทิ้ง มีแม่แต่แม่ก็ไม่เข้าใจ จุดๆนี้ทิชาคงใจสลายมากอ่ะ

ออฟไลน์ nuengku.kimjaejoong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอมาเนิ่นนาน วันนี้ก็มีอัพซักที มาส่องทุกวันเลยค่าาา
สำหรับตอนนี้เค้นหัวใจมากๆ เราเข้าใจทิชานะว่าโหยหาความรัก แต่ก็ไม่ชอบใจอยู่ดีที่ทิชาไปหาโรมอีกแล้ว ฮือออ ขอเรืออื่นด้วยค่าาา แงงงงง
 :ling1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
โห โรมเอาไงเนี่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด