✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63174 ครั้ง)

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
เพราะความไม่ชินเส้นทางและสภาพถนน ผมขับเจ้ามินิคูเปอร์เลียบช่องซ้ายไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วแค่ประมาณแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง จากที่ฟ้าสว่างแดดเปรี้ยงก็กลายเป็นมืดครึ้มเมฆตั้งเค้ามาแต่ไกล นกฝูงใหญ่บินว่อนกลับรังเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า.... ผมรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยว่าพอฝนตกแล้วจะขับยากแต่ก็ไม่กล้าเร่งความเร็วมากไปกว่านี้ ใจคอไม่ค่อยดียังไงพิกลหากก็พยายามคิดว่ามันคงไม่มีอะไร ระยะทางจากกรุงเทพไปปราณบุรีแค่สองร้อยกว่ากิโลฯ ถ้าไม่หลงทาง อีกสอง-สามชั่วโมงก็น่าจะถึงตัวเมืองแล้ว

“ถึงบายพาสหัวหินแล้วบอกกูด้วยนะว่าเลี้ยวตรงไหน”

“อีกสักพักเลยมึง นี่เพิ่งผ่านวังมะนาวมาเอง”   

ผมถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะหลุดออกจากถนนพระรามสองได้ไม่นาน แสดงว่าหนทางยังอีกยาวไกลนัก และเมื่อเข้าเส้นเพชรเกษมมาได้ไม่ถึงสิบนาที ฝนก็สาดโครมลงมาห่าใหญ่ กระหน้ารถโดนสายน้ำกระแทกเสียงดังปึ้กๆๆๆ แต่ถ้าเทียบกับจังหวะการเต้นของหัวใจจากความเครียดของผมแล้ว ต่อให้พายุมาถล่มลงตรงหน้าก็ยังสู้ไม่ได้หรอก

ลำพังแค่มองถนนผ่านก้านปัดน้ำฝนก็ลำบากพออยู่แล้ว ผมก็เลยตั้งสมาธิจดจ่ออยู่แค่กับเส้นทางเบื้องหน้าเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าใครจะบีบแตรด่าข้อหาขับช้าหรือขับแซงไปบ้าง จนกระทั่งอยู่ดีๆ ไอ้บี๋ก็สะดุ้งเฮือกสุดตัวก่อนจะเหลียวหันไปมองข้างหลังราวกับว่ามีผีกระหังเหาะตามตูดรถผมมา

“อะไรวะมึง?”

“ข้างหลังนั่น.......!” 

เพื่อนตัวเล็กหน้าซีดเผือด น้ำเสียงเครือแสดงถึงอาการตกใจจนลนลานนั่งไม่ติดขณะเอ่ยบอกให้ผมรับรู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น 

“กูว่ารถเฮียรุจว่ะ!”

“เฮ้ย มึงแน่ใจเหรอ?”

ผมเหลือบมองผ่านกระจกส่องหลัง เห็นรถโฟร์วีลสีดำหน้าตาคุ้นๆ ขับตามหลังมาด้วยระยะห่างพอสมควร ประกอบกับฝนตกหนักจนมองทัศนวิสัยภายนอกได้ไม่ถนัด ผมจึงไม่กล้าฟันธงว่าใช่แล้วเร่งความเร็วจนเกิดอันตราย

“ใช่ดิมึง กูแน่ใจ!” 

บีบี๋ร้องบอกน้ำตาคลอ ความกลัวตรงเข้าครอบงำจิตใจพาลให้ปากคอสั่น มือไม้จิกเกร็งแน่นจนเล็บแทบจะฝังลงในเนื้อ 

“ไอ้ชา ทำไงดีวะ.... เฮียรุจแม่งแอบตามมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้.......!?”

“ทำไงได้ล่ะ กูก็ต้องขับหนีสิวะ!”

มาจนถึงตอนนี้ ผมโคตรอยากด่าตัวเองฉิบหายที่มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาที่พัก เตรียมเงินกับข้าวของให้บีบี๋ แต่ดันประมาทลืมคิดไปเสียสนิทว่าตรงปากทางเข้าบ้านตัวเองมีคอมมูนิตี้ปาร์คซึ่งมีลานจอดรถขนาดใหญ่ ถ้าดักรออยู่ตรงนั้นก็สามารถมองเห็นได้ไม่ยากว่ารถคันไหนผ่านเข้า-ออกหมู่บ้านบ้าง.... พี่รุจก็คงจอดซุ่มรอให้ผมเป็นฝ่ายพาบีบี๋ออกมาเอง แล้วก็แอบขับตามมาเงียบๆ โดยที่พวกผมไม่มีใครทันได้สังเกตเลย

เมื่อสถานการณ์จวนตัว ผมก็ตัดสินใจเหยียบคันเร่งให้เต็มเท้าขึ้น เข็มบอกระดับความเร็วซึ่งคงที่ที่ตัวเลขแปดสิบไต่ระดับขึ้นไปถึงร้อยยี่สิบภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่เทียบกับคนทั่วไปแล้วก็คงยังช้าอยู่มาก Range Rover สีดำคันนั้นถึงได้เร่งความเร็วตามแบบไม่ยากเย็นเลย.... เส้นประสาทผมตึงไปหมด สัมผัสได้ถึงความเครียดและความตระหนกของตัวเองในขณะที่ต้องบังคับยาพาหนะฝ่าสายฝนเอาชีวิตรอด ลมแอร์คอนดิทชั่นผสานกับไอความเย็นจากภายนอกอาจทำให้หนาวสั่น ทว่า ฝ่ามือผมซึ่งกำพวงมาลัยรถนั้นชื้นเหงื่อทำให้ยิ่งต้องเกร็งจนตะคริวแทบกิน

“ไอ้บี๋ ข้างหน้ามีทางเลี้ยวบ้างไหมวะ?”

บีบี๋ก้มหน้าลงดูแผนที่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบโหยสิ้นหวัง

“ไม่มีว่ะ.......เส้นเพชรเกษมตรงยาวจนถึงชะอำเลย..........”

“โว้ย กูอยากจะบ้า!”

ผมเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก ตอนนี้เข็มบนหน้าปัดแตะอยู่ที่ร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกเหมือนมินิคูเปอร์กำลังจะเหาะมากกว่าแล่นอยู่บนพื้นถนน.... ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบจวนจะหลุดกระเด็นออกมาอยู่รอมร่อ ถ้ามีโค้งหรือทางเลี้ยวแยกซ้ายขวาให้เลือก ผมก็จะลองเสี่ยงดูเผื่อว่าจะสลัดพี่รุจออกไปได้ แต่ก็อย่างที่ไอ้บี๋เพิ่งบอกเมื่อกี้ว่าทางตรงล้วนๆ จนกว่าจะถึงชะอำ นั่นแปลว่าโอกาสรอดของพวกผมนั้นน้อยมาก

ฉับพลัน โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น สายโทรเข้าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เมมเอาไว้ ผมจึงบอกให้บีบี๋กดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ในรถสีดำข้างหลังพวกเรานั่นแหละที่โทรมา

‘ทิชา จอดรถ!’

ใช่จริงๆ ด้วย.... ก็ไม่รู้ว่าพี่รุจไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน แต่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ผมไม่มีเวลาจะสนใจหรอก

“ไม่จอด!” ผมตะโกนกลับไป  “พี่รุจนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับไอ้บี๋!”

‘อยากจะลองดีกับพี่จริงๆ สินะ!’

น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูคล้ายจะพุ่งตัวผ่านลำโพงมาหักคอผมด้วยมือเปล่า ความกราดเกรี้ยวเดือดดาลชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่ยืนคุยกันหน้าบ้าน ส่งผลให้ทั้งผมและบีบี๋พากันลอบกลืนน้ำลายข่มระงับความกลัว แต่ต่อให้พี่รุจน่ากลัวกว่าเสือ ผมก็จำเป็นจะต้องทำใจกล้าสู้ยิบตาให้ถึงที่สุด

“พี่ก็รับปากก่อนสิว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อนผม.... พี่ทำชีวิตมันพังแล้วยังจะมาเอาอะไรอีก ปล่อยไอ้บี๋มันไปเถอะน่า!”

‘บีบี๋เป็นลูกหนี้ของพี่ ถ้าพี่ไม่ปล่อย ใครก็ห้ามเอาไปไหนทั้งนั้น!’

“หนี้สองล้านนั่นน่ะเรอะ ผมจ่ายแทนให้ก็ได้ แต่พี่ต้องปล่อยเพื่อนผม!”

‘สงสัยว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วมั้ง ทิชา’ 

ความพยายามที่จะต่อรองของผมไม่เป็นผล เพราะสิ่งเดียวที่พี่รุจต้องการไล่ล่าเอากลับคืนให้ได้ก็คือบีบี๋ และเมื่อผมกับเขาทำท่าจะเจรจากันต่อไปไม่รอด เขาก็เปลี่ยนไปข่มขู่ลูกหนี้ซึ่งนั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ 

‘บีบี๋ฟังอยู่หรือเปล่า บอกให้เพื่อนจอดรถเดี๋ยวนี้!’

“ไอ้บี๋ มึงตัดสายไปเลย ยังไงกูก็ไม่จอด!”

“ไอ้ชา..............”

ผมออกคำสั่งเด็ดขาดในขณะที่บีบี๋ลังเลไม่กล้าตัดสายพี่รุจ ยิ่งเปิดโอกาสให้เขากดดันพวกเราทั้งคู่ด้วยคำพูดและความเร็วรถซึ่งจี้ติดขึ้นมาจนแทบจะชนท้ายอยู่รอมร่อ

‘บีบี๋รู้ใช่ไหมว่าพี่เอาจริง.... ถ้าไม่จอด พี่จะปาดหน้ารถทิชา ขับช้าเป็นหอยทากแบบนี้พี่ปาดได้สบายอยู่แล้ว ตายก็ตายแม่งด้วยกันให้หมดนี่แหละ!’

‘จะตายเป็นผีเฝ้าถนนหรือจะกลับไปคุยกันดีๆ เลือกเอาเองเลย!’

“พี่ก็รับปากมาสิว่าจะไม่ทำเหี้ยๆ แบบนั้นกับไอ้บี๋อีก.... ไม่งั้นมันกลับไปกับพี่ มันก็เหมือนกลับไปตายทั้งเป็นอยู่ดี!”

ผมยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาตะโกนมา ผมก็ตะโกนกลับไปก่อนจะกระทืบคันเร่งลงไปอีกจนเกือบมิด ผมสาบานเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ขับรถบนถนนหลวงด้วยความเร็วแตะถึงสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง.... ขอแค่บีบี๋กับผมรอดไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันว่าพอ อย่างอื่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง

“ไอ้ชา.... พอแล้ว จอดรถเถอะ..........”

แต่อยู่ๆ ไอ้บี๋ก็เกิดเปลี่ยนท่าทีขึ้นมากะทันหัน จากที่จะเป็นจะตายกับอีแค่ได้ยินเสียงพี่รุจตะคอกผ่านโทรศัพท์ อยากจะหนีเขามากถึงขนาดต้องบากหน้ามาขอร้องอดีตเพื่อสนิทอย่างผม กลายมาเป็นปลงตกเรียกร้องขอเดินกลับเข้าไปในกรงเสือเสียเอง 

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดว่ะ......กูไม่อยากให้มึงต้องมาเดือดร้อนเพราะกู..........”

“แต่มึงกลับไปก็ตายเปล่า แค่รับปากกับกูว่าจะไม่ทำร้ายมึง พี่รุจแม่งยังไม่ยอมเลย!” 

ถ้าไม่ติดว่าสองมือกำลังเกาะพวงมาลัยกับเกียร์แน่น ผมคงได้โบกหัวไอ้เพื่อนเวรเพื่อนกรรมไปแล้วแน่ๆ แต่เวลานี้ผมทำได้แค่ด่า ด่าทั้งมันแล้วก็ไอ้เชี่ยพี่รุจซึ่งไม่ยอมเลิกราบ้าบอสักที 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เป็นห่าอะไรกันแน่ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญจะเอาตัวไอ้บี๋ไปให้ได้ขนาดนี้.... แต่ถ้าพี่ไม่ทำให้ผมวางใจว่าเพื่อนผมจะปลอดภัย งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ตัวมันไปง่ายๆ!”

“คุณเพื่อน จอดเถอะ กูขอ........!”

“มาขอเหี้ยไรตอนนี้วะ!?”

ไอ้ห่าบี๋แหกปากใส่ผม ผมก็โวยกลับใส่มัน.... ท่ามกลางสายฝนซึ่งโหมกระหน่ำลงมาบนความหวาดหวั่นรักตัวกลัวตายของเราทั้งคู่เริ่มมีความไม่แน่ใจเข้ามาแทรก และก่อนที่ผมจะทันได้คิดตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อดี บีบี๋ก็หันมาทำตาละห้อยร้องห่มร้องไห้ใส่ผม

“กูจะกลับไปอยู่กับเฮียรุจ.......กูไม่ไปกับมึงแล้ว...........”

“ห๊ะ!!??”

ในตอนนั้นผมหันไปมองบีบี๋อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปากสั่นพั่บอยากจะด่ามันแรงๆ ให้สาแก่ใจแต่กลับนึกคำด่าไม่ออกเลยสักคำ.... เพราะมันบอกเองว่าจะไม่คุยกับพี่รุจ กลัวถูกเขาทำร้าย ผมถึงได้คิดแผนการนั่นนู่นี่จับมันยัดขึ้นรถขับออกมาไกลถึงปราณบุรี แล้วนี่แม่งเรื่องอะไรกัน!? คิดว่ามันตลกนักเหรอที่ต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงอันตรายอยู่บนรถซึ่งแล่นฝ่าพายุฝน!!??

ทั้งๆ ที่ผมยอมลงทุนทำเพื่อมัน แต่สุดท้ายก็โดนชิ่งกลางทาง

ถ้ากลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรล่ะก็ รับรองเลยว่าคราวนี้ผมได้เลิกคบถาวร กรวดน้ำคว่ำขันแล้วจะเอาขันเขวี้ยงหัวมันซ้ำให้ด้วย

เอาไว้ให้กลับถึงกรุงเทพฯ ก่อนเหอะ....!



“เฮ้ย!! ไอ้ชา ระวัง!!!!!!!”


“..........!!!!!!!!!!”


“เหยียบเบรคสิมึง!!! เบรค!!!!!”



ขณะที่ผมกำลังจะจอดรถปล่อยบีบี๋ไปตามทางที่มันเลือกเอง ฉับพลัน รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์จากฝั่งขาล่องเข้ากรุงเทพฯ ก็ยูเทิร์นกินเลนมาไกลจนขวางลำอยู่ข้างหน้ารถผม ด้วยความตกใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าผสานกับเสียงร้องตะโกน ผมก็รีบถีบเท้ากระทืบเบรคสุดชีวิต


เอี๊ยดดดดดดดด!!!!!!!!!!


ผมหักพวงมาลัยหนีท้ายรถพ่วงจนตัวเอียง หากเพราะความที่ไม่ค่อยชำนาญเรื่องการขับรถ ความเร็วที่ยังไม่ได้ชะลอบวกกับสภาพถนนลื่นเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย.... ทั้งผมและบีบี๋ต่างก็หวีดร้องจนเสียงหลง ได้ยินเพียงเสียงล้อบดกับยางคอนกรีตดังกึกก้องแสบแก้วหู รถมินิคูเปอร์หมุนคว้างตามแรงเหวี่ยงเหมือนลูกข่างสูญเสียการทรงตัวไปโดยสิ้นเชิง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดนิ่งไปพร้อมกับแรงอัดกระแทกอย่างหนักหน่วงจากฝั่งที่ผมนั่ง   


โครมมมมมมมม!!!!!!!!   



เสียงสุดท้ายที่แทรกเข้ามาในโสตประสาทดังลั่นเหมือนฟ้าผ่า ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นฟ้าผ่าจริงๆ เพราะว่าจนป่านนี้แล้วฝนยังไม่ยอมซาลงเลย....

แรงกระแทกนั้นทำให้ตัวผมกระเด้งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หลุดออกไปไหนเพราะยังมีเข็มขัดกับถุงลมนิรภัยช่วยเซฟเอาไว้.... ผมรู้แล้วล่ะว่าตัวเองขับรถชนอะไรบางอย่างซึ่งน่าจะเป็นเสาไฟฟ้าข้างทาง ประตูฝั่งคนขับยุบเข้ามาจนรถของแม่เหลือแค่ครึ่งคันกว่าๆ กระจกแตกยับร่วงเป็นเศษเล็กเศษน้อยลงมากองอยู่บนหน้าตักผม ส่วนอื่นๆ ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะผมมองไม่เห็น

ห้วงความคิดในเวลานั้น ผมคิดว่าตัวเองไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก สติยังพอมีถึงแม้จะค่อนข้างเลือนรางมากก็ตาม.... ห่วงก็แต่ไอ้บี๋เพราะแขนขามันเข้าเฝือกอยู่ก่อนแล้ว กลัวว่าแรงชนเมื่อกี้จะทำให้กระดูกมันเคลื่อนไปกันใหญ่ แต่เท่าที่เพ่งดูก็เหมือนว่ามันไม่น่าจะเจ็บมากเท่าที่ผมกังวล

มีแต่มันนั่นแหละที่มองผมอย่างตกใจสุดขีด แล้วก็เริ่มส่งเสียงสะอื้น....

“ไอ้ชา.........ฮึก........ไอ้ชา.........!!!!”

ผมพยายามจะบอกมันว่าผมไม่เป็นไร ทว่า เสียงพูดกลับไม่ยอมเล็ดลอดออกจากปากเลย ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าริมฝีปากตัวเองยังขยับได้อยู่หรือเปล่า

“ไอ้ชา.......ฮือ.........มึงอย่าหลับนะ.......ฮึก.......ทำใจดีๆ ไว้............คุณเพื่อน.......อย่าหลับนะ กูขอร้อง..............”

ในใจผมคิดว่าบีบี๋ร้องไห้โวยวายเสียขนาดนั้น ใครมันจะไปหลับลง ที่สำคัญก็คือผมกำลังพามันหนีพี่รุจอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะมีแก่ใจหนีไปนอนกลางวันได้ยังไง

แต่อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว

หรือว่าผมควรจะนอนหลับตรงนี้สักงีบดีนะ....?

“บีบี๋!!!”

ร่างสูงวิ่งฝ่าสายฝนตรงมายังรถของผม มือใหญ่กระชากประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วค่อยๆ ดึงตัวบีบี๋ออกไปข้างนอกตัวรถ.... โชคยังพอเข้าข้างที่แรงกระแทกถูกส่งไปไม่ถึงตัวมันมากนัก บีบี๋ก็เลยมีแค่แผลแตกตรงหางคิ้วซึ่งน่าจะเกิดจากการชนโดนขอบกระจก ผมเห็นพี่รุจประคองร่างเล็กเอาไว้ เลื่อนฝ่ามือลูบไปตามใบหน้ามันอย่างทะนุถนอม บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง พี่รุจมาตามเอาตัวไอ้บี๋คืนก็เพราะเป็นห่วงมัน ถ้าผมเชื่อที่พี่แจ็คบอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว

ผมนี่แม่ง........ไม่น่าขี้เสือกเรื่องชาวบ้านเลยจริงๆ...............

สุดท้ายก็กลายเป็นหมาจนได้...........

“เป็นยังไงบ้าง บีบี๋!?”

“เฮียรุจ เรียกรถพยาบาลที.........ไอ้ชา.....ฮึก............ไอ้ชามันจะตายแล้ว” 

บีบี๋ยังคงสะอื้นแข่งกับเสียงฝน มือข้างที่ไม่มีสายคล้องเฝือกชี้มาที่ผมซึ่งติดอยู่ข้างในตัวรถ 

“นะเฮีย.........บี๋ขอร้องล่ะ........ฮือ.........ช่วยมันที.............”

ผมเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่มันเลวร้ายแค่ไหน จากที่คิดเองเออเองว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมากนั้นเรียกได้ว่าผิดอย่างมหันต์.... ความเจ็บปวดและรสชาติแสบทรวงของพิษบาดแผลเริ่มครอบงำประสาททุกส่วน จากที่ร้องไม่ออกก็เปลี่ยนเป็นส่งเสียงครวญครางด้วยความทรมานแทบขาดใจ ตรงที่กระแทกฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้าทำให้กระดูกแขนขาข้างขวาของผมหักหมด ซีโครงก็คล้ายจะทิ่มโดนอวัยวะบางส่วนอยู่ข้างใน กระจกที่นึกว่าแค่แตกเฉยๆ ก็บาดโดนหน้าผมจนเลือดหยดเป็นทางยาว


งั้นผมก็คงใกล้จะตายอย่างที่ไอ้บี๋บอกจริงๆ สินะ....?


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลือนรางรวดเร็วเหมือนความฝัน หากก็รุนแรงชัดเจนสมกับที่เป็นเรื่องจริง.... สติสัมปชัญญะของผมจวนเจียนจะดับวูบลง ในตอนที่ยังไม่หมดสติก็ยังพอรับรู้ได้ว่าเสียงรถกู้ภัยหรือรถพยาบาลกำลังใกล้เข้ามา มีคนนับสิบร้องตะโกนเอะอะโวยวาย ได้ยินเสียงบีบี๋ร้องไห้ตะโกนขอร้องทุกคนแถวนั้นให้ช่วยเอาตัวผมออกมาจากซากรถ ความวุ่นวายเกิดขึ้นรอบตัวจนผมชักอยากจะหลับไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดตามประสาคนขี้รำคาญ


แต่ผมไม่ได้ยินเสียงพี่โรม

ตอนนี้เขาอยู่ไหน.........ผมอยากได้ยินเสียงเขาจังเลย.........?



คิดไปแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองว่าสุดแสนจะโง่งี่เง่า ก็ผมเป็นคนพูดอยู่กับปากเองว่าจะไม่บอกเรื่องพาบีบี๋หนีให้พี่โรมรู้ ทำซ่าส์วางแผนขับรถมาปราณบุรีไม่ได้บอกอะไรใครเลยสักคำ.... แล้วพี่โรมจะตามมาได้ยังไง


แต่ผมกำลังจะตายอยู่แล้วนะ อย่างน้อยก็ขอฟังเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอ?


ผมพยายามควานมือไปทั่วเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ แต่เจ้าหน้าที่หิ้วผมขึ้นเปลออกมาจากตรงนั้นแล้ว.... บอกตามตรง ผมไม่กล้าคาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปบ้านเลย มันเจ็บมาก เจ็บที่สุด เจ็บไปทั้งตัว เจ็บจนผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองอาจจะขาดใจตายไปในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้านี้

คนเพียงเดียวที่ผมนึกถึง

คนเพียงคนเดียวที่ผมอยากเห็นหน้าเขาในเวลานี้
 


พี่โรม........อยู่ไหน.........?



ถ้าต้องตายก็อยากจะมีโอกาสบอกรักเขาอีกสักครั้ง

ถ้าต้องตายก็อยากจะฟังพี่โรมบอกรักอีกสักครั้ง

แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง....




ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางอยู่แล้วเชียว แต่กลับมาพังป่นปี้หมดโดยที่ผมไม่สามารถโทษใครได้เลย

ก็คงต้องโทษตัวเองล้วนๆ ที่พ่ายแพ้ให้กับพายุฝนจนไม่สามารถมองเห็นสายรุ้งได้อีก

.
   

.


‘ลาก่อนนะ พี่โรม...........’






TO BE CONTINUE



ออฟไลน์ เป็ดSwag

  • สวัสดี เป็ดทั้งหลาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
[quote author=monalism link=topic=63529.msg3759768#msg3759768 date=1514138520

แดนไปฮีลทิชาที ดึงนางกลับมาหน่อยยยยย
[/quote]

จะเอา #แดนทิชา   :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
อื้อหืออออออ
พาร์นี้หน่วง แต่เราว่าหน่วงน้อยกว่าที่ผ่านมาอ่ะ เราโล่งใจหลายๆอย่างเลย
ก่อนหน้านี้ชีวิตทิชานี่อึมครึมสุด เหนื่อยมาก สงสารมาก 5555

ถึงทิชาจะไม่อยู่จริงๆ เราก็ว่าอะไรดีๆหลายอย่างมันถูกเริ่มต้นมาแล้ว
ทั้งความสัมพันธ์กับโรม บ้านโรม รีเทิร์นกับเพื่อนบี๋และจากอุบัติเหตุครั้งนี้ก็น่าจะทำให้ชีวิตบี๋สดใสมากขึ้นอ่ะนะ
แต่ยังไงก็ยังชอบตอนจบแบบแฮปปี้อยู่ดี เพราะงั้นก็จะเชียร์ให้ทิชารอดมามีความสุขกับพี่โรมนะคะ



ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ทำไมเป้นแบบนี้ำปได้นะ ทิชาหนูต้องสู้นะเพื่อกลับไปหาพี่โรม
อย่าเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย แค่นี้แม่ๆก็ใจเสียพอแล้ว
ขอให้ปลอดภัยนะทิชา

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
เดี๋ยวๆๆ มาลาก่อนอะไร หนูต้องไม่เป็นไรนะทิชา ต้องหายนะ มีคนที่รักมากมาย
ชอบตอนทิชาคุยกับแม่ผัว ว่ากันมาตรงๆ เลยค่ะแม่ แต่พ่อผัวคือดี~~
เบื่อเฮียรุจอ่ะ เอาแต่ใจ มาขับรถจี้ ก็รู้ฝนตกอันตรายแม่งน่าเบื่อ เมื่อไรจะคิดได้
บีบี๋ดูกลับใจได้ แต่ก็มาทำให้ทิชาเจ็บอีกแล้ว ไม่โอเคอ่ะ ทีมทิชาพาล

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เฮ้ยยยย ทิชาเธอจะมาลาก่อนไม่ได้ดิ เธอต้องได้กลับมาอยู่กับพี่โรมนะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
18
~ เดินต่อหรือหันหลังกลับ? ~


ROME’s PART




ว่ากันว่า คลื่นลมทะเลมักจะสงบเป็นพิเศษก่อนที่พายุครั้งใหญ่จะโหมกระหน่ำ

ผมควรจะเอะใจสักนิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดูราบรื่นสวยงามเกินไป ควรจะฉุกคิดให้มากๆ ว่าเรื่องระหว่างผมกับทิชาไม่มีทางจบลงอย่างมีความสุขสมหวังง่ายๆ เหมือนในละคร.... และผมก็ควรจะเรียกน้องเอาไว้ ไม่ปล่อยให้กลับออกไปตัวคนเดียว หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นฝ่ายโทรหาน้องทุกชั่วโมง

ผมผิดเองที่วางใจจนเกินไป

ผมผิดเองที่มัวแต่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายสักหน่อย

ผมผิดเองที่ไม่ได้ดูแลทิชาให้ดีเหมือนเช่นที่ปากพูด

ผมผิดเองที่คิดว่าแค่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่เห็นเป็นไร อีกประเดี๋ยวทิชาก็กลับมาแล้ว ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งในสมองเลยที่คิดว่าบางทีน้องอาจจะไม่กลับมาก็ได้

แล้วตอนนี้ ทิชาก็ไม่ได้กลับมาหาผมจริงๆ



ทั้งหมด.... เป็นความผิดของผมเอง




เส้นเลือดตรงหลังมือซ้ายเต้นตุบจนปวดไปหมดหลังจากที่สายน้ำเกลือถูกกระชากออก แม้เลือดจะไหลโกรกหรือใครจะพยายามพูดกรอกหูเรื่องแผลเน่าติดเชื้อ ผมก็ไม่สน เพราะสิ่งเดียวที่ผมสนใจในเวลานี้ก็คือทำยังไงก็ได้เพื่อไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ทิชาถูกส่งตัวไปรักษาโดยเร็วที่สุด

แน่นอนว่าป๊ากับม๊าไม่มีทางยอม แต่พอเห็นผมสติแตกโวยวายจะออกไปหาทิชาให้ได้ พวกท่านก็มีทีท่าอ่อนลงและอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาล โดยที่ท่านจะนั่งรถไปด้วยเพราะเกรงว่าถ้าปล่อยให้ผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วจะยิ่งหุนหันพลันแล่นจนเกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีกคน.... ผมร้อนใจมาก กว่าจะเดินเรื่องเอกสารเสร็จก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมง ข่าวออนไลน์แทบทุกสำนักพาดหัวอัพเดทถึงทิชาว่าสาหัสหรือไม่ก็ปางตายยิ่งทำให้ผมจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง ข้างในอกมันยิ่งกว่ามีไฟสุม ไม่รู้ว่าทิชาไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร ในหัวมีแต่คำถามว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าข่าวที่เห็น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเป็นความจริง

ทุกอย่างรอบตัวมันเบลอ เลือนรางและแตกละเอียดประหนึ่งเศษแก้ว เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่ตัวผมถูกยิงเสียอีก เพราะตอนนั้นผมก็แค่เจ็บ แต่ตอนนี้ผมทั้งเจ็บแล้วก็ทรมาน.... แค่คิดว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะไม่ได้ยินเสียงทิชา จะไม่ได้เห็นน้อง จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างที่ฝันไว้ ผมก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว

กว่าผมจะรู้ใจตัวเองว่ารักใคร ทิชาก็เจ็บจนกระอัก

แล้วพอผมกับทิชาอุตส่าห์ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายแหล่ไปได้ ก็ยังจะมีความเหวห่าบ้าบอของคนอื่นมาทำให้เราต้องแยกจากกัน

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง....?

ทำไมกับอีแค่การที่คนสองคนจะรักกันมันถึงได้ยากขนาดนี้....?



ปี๊นนนนนนนน!!!!!!



“ขวางทางกูอยู่ได้ ไอ้สัตว์เอ๊ย!!”

ผมตบแตรเสียงดังลั่นถนนพร้อมกับตะโกนด่ารถกระป๋องเฮงซวยซึ่งขับช้าขวางหน้าจะไปไหนก็ไม่ไปสักที.... ก็ไม่รู้หรอกว่าฝ่ายนั้นช้าเองจริงๆ หรือผมนั่นแหละที่ใจร้อนมากเสียจนแทบจะจุดไฟเผาถนนไล่ไอ้พวกเต่าคลานไปตายห่าให้หมด

“โรม ใจเย็นๆ ก่อน.........” 

ป๊าเอ่ยเตือนหลังจากได้ยินผมสบถด่ารถทุกคันในบริเวณนั้น ถึงแม้จะเป็นสายใต้เส้นออกต่างจังหวัดแต่เวลาคล้อยบ่ายเกือบเย็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถเร่งความเร็วได้ตามใจ และผมก็หงุดหงิดไล่ปาดไล่แซงชาวบ้านเขาไปทั่วจนน่ากลัวว่าจะไปชนท้ายใครเข้า 

“ขับรถไหวหรือเปล่า.... ถ้าไม่ไหว เปลี่ยนให้ป๊าขับแทนดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

แม้ไม่ได้ถูกว่าตรงๆ แต่คำถามของป๊าก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังจะขาดสติ ผมยังคงยืนกรานว่าจะขับรถเอง พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ทำให้ใจเย็นขึ้น หากพอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทิชาในตอนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน อกข้างซ้ายของผมก็ทำท่าจะระเบิดเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวเละเทะเสียให้ได้

“โรมคบกับทิชามานานแค่ไหนแล้ว? เขาสำคัญกับโรมมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” 

ป๊าถามแต่ผมไม่ยอมตอบในทันที กลัวว่าผู้ใหญ่จะตำหนิที่ผมให้ความสำคัญกับคนรักมากพอๆ กับชีวิตของตัวเอง จนกระทั่งท่านต้องออกตัวว่าจะไม่มีการดุด่าว่ากล่าว ผมถึงวางใจที่จะเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ฟัง 

“ป๊าก็ไม่ได้จะว่าอะไรเราหรอก คิดเสียว่าผู้ใหญ่ชวนคุยเพราะอยากรู้ก็แล้วกันนะ”

“ถ้าให้บอกเป็นระยะเวลา มันอาจจะฟังดูเหมือนไม่นานครับ.... ผมกับน้องเพิ่งคบกันจริงจังได้แค่ประมาณสามเดือนเอง” 

ผมตอบพลางนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่อาจจะกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางในอีกไม่ช้า บางช่วงก็หวานจนเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว บางคราวก็ขมขื่นเฝื่อนคอจนต้องกลืนให้หายไปเร็วๆ แต่เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้ยิ่งตระหนักรับรู้ว่าการมีทิชาอยู่เคียงข้างนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นความรักที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา 

“ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นสามเดือนที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะจนแทบนับไม่ถ้วนเลยครับ.... ทีแรก ผมคิดว่าทิชาก็แค่หน้าตาน่ารักดี แต่ไม่ได้อยากคบด้วย ไม่ได้มองว่าเขาคือคนที่จะมาเป็นแฟนผมเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนที่คบกันใหม่ๆ ผมก็ยังไม่แน่ใจมากนักว่าเราจะไปกันรอดหรือเปล่า หลายๆ อย่างในตัวน้องทำให้ผมกังวลว่าจะดูแลเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมต่างหากที่ควรจะกลัวว่าถ้าวันใดวันหนึ่งทิชาเป็นฝ่ายทิ้งผมไป แล้วผมจะอยู่คนเดียวต่อไปได้ยังไง.............”

ความรักที่ผมได้รับจากทิชา มันทำให้ผมเคยชินกับการมีที่พึ่งทางใจ.... ทิชาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ผมจนเรียกได้ว่าหมดหน้าตัก ผมก็ให้น้องกลับคืนไปจนไม่เหลือเผื่อใจไว้สำหรับวันข้างหน้า เรามีความสุขกับการได้อยู่ร่วมกันในคอนโดฯ ห้องเล็กๆ กลับมาเหนื่อยๆ ก็ได้เห็นหน้ากัน กินข้าวด้วยกัน นอนกอดกัน ซึมซับตัวตนของอีกฝ่ายเข้าไปในหัวใจจนกระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นอีกครึ่งชีวิตของกันและกัน

และถ้าจะต้องเสียทิชาไปในตอนนี้ ผมคงทำใจไม่ได้จริงๆ....

“เมื่อก่อน ผมไม่เคยคิดอะไรไกลเกินกว่าเรื่องของตัวเองเลย.... พรุ่งนี้จะไปไหน จะกินอะไร สอบเมื่อไร จะหาใครมาติวหนังสือให้ แต่พอคบกับทิชา ผมก็เริ่มคิดถึงอนาคตมากกว่าเดิม.... เรียนจบแล้วจะทำยังไงต่อ จะกลับไปเปิดอู่ซ่อมรถในตัวเมืองแล้วก็ช่วยป๊าม๊าดูแลกิจการรีสอร์ทบ้านเราไปด้วย หรือจะหางานทำอยู่กรุงเทพฯ ดี ทิชาจะยอมย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับผมหรือเปล่า จะต้องทำแบบไหนถึงจะมีฐานะมั่นคงมากพอที่จะเลี้ยงน้องได้.... ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเร็วๆ อยากพาทิชาไปปีนเขาเที่ยวรอบโลก ทุกอย่างที่แพลนเอาไว้หลังจากนี้ไม่ใช่เพื่อตัวผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่มันมีทิชาอยู่ในนั้นด้วยครับ.........”

น้ำตาคล้ายจะทะลักออกมาเมื่อห้วงความคิดมาหยุดอยู่ตรงที่ว่าทิชาอาจจะไม่กลับมาอีก ผมรู้สึกละอายใจที่จะแสดงความอ่อนแอให้คนใกล้ตัวเห็น ทว่า ความหวาดหวั่นซึ่งแขวนอยู่กับอนาคตที่มองไม่เห็นก็มีมากเหลือเกิน

“ป๊าจะว่าผมก็ได้นะครับ..........แต่ถ้าทิชาไม่อยู่แล้ว ชีวิตผมก็คงว่างเปล่า.......ไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนต่อ.........”

“คนรักกันก็แบบนี้แหละ ไอ้ลูกชาย” 

นอกจากป๊าจะไม่ว่าอะไรแล้ว ท่านยังเข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายคนโตอย่างผมแสดงออกถึงความต้องการของตัวเอง ไม่รอให้พ่อแม่หรือใครก็ตามมาขีดเส้นเลือกทางเดินให้ว่าต้องไปทางนั้นทางนี้ และเป็นครั้งแรกที่ผมกล้ายอมรับว่าชอบใครสักคนแบบจริงจัง


“ถ้าทิชาได้ยินที่โรมพูดเมื่อกี้ เขาก็คงไม่อยากไปไหนหรอก แต่โรมก็ต้องเข้มแข็งเผื่อในส่วนของเขาด้วยนะ”

“ครับป๊า............”

คำพูดที่ได้ยินช่วยให้ผมฮึดแข็งใจไม่คิดถึงอะไรร้ายๆ หากก็ได้แค่เพียงชั่วครู่แล้วก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม.... ผมรู้ว่าทิชาไม่อยากไปไหนหรอก เด็กขี้เหงาคนนั้นรักผมพอๆ กับที่ผมรักเขานั่นแหละ แต่จะให้วางเฉยนิ่งนอนใจว่าน้องจะอยู่กับผมจนกระทั่งเราแก่ไปด้วยกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ผมคงทำใจให้คิดแบบนั้นไม่ไหว


ผมบอกได้แค่ว่ากลัว....

กลัวมากจริงๆ...........




‘คุณนิดารู้เรื่องลูกชายหรือยังเนี่ย?’

‘รู้แล้ว.... เห็นว่ากำลังออกกองละครอยู่โรงถ่ายแถวๆ ลาดหลุมแก้ว พอมีคนไปบอกว่าน้องทิชารถฟาดกับเสาไฟฟ้า อาการโคม่า นางก็เป็นลมไปเลย’

‘เมื่อกี้พีอาร์กองโทรบอกนักข่าวว่านางฟื้นแล้ว กำลังรีบมาที่นี่’

‘ก็ขอให้ทันดูใจลูกชายแล้วกัน.... ได้ยินข้างในคุยกันว่าอาการน่าเป็นห่วง กระดูกหักแทบทั้งตัวเลย เข้าห้องผ่าตัดไปหลายชั่วโมงแล้ว หน้าก็มีแผลโดนกระจกแตกใส่ ไม่รู้จะเสียโฉมหรือเปล่า แต่ถึงรอดก็คงถ่ายซีรีส์ช่องเอ็มต่อไม่ได้แล้วล่ะ’

‘น่าสงสารนะ ทั้งแม่ทั้งลูกเลย ชื่อเสียงกำลังดีขึ้นอยู่แล้วแท้ๆ.........’



หน้าโรงพยาบาลมีรถนักข่าวจอดเรียงกันเป็นพรืด พ่วงด้วยกองทัพแฟนคลับและขามุงที่ตามมาดูเหตุการณ์หลังรู้ข่าวจากสื่อโซเชียลว่ามีดาราหน้าใหม่ซึ่งเป็นลูกชายของอดีตนางเอกชื่อดังประสบอุบัติเหตุ.... ผมเดินฝ่าคนพวกนั้นเข้าไปจนถึงประตูห้องฉุกเฉิน ทุกประโยคที่ลอยมากระทบหูยิ่งพาลให้หัวใจดำดิ่งไม่ต่างจากซากเรือซึ่งจะต้องนอนจมอยู่ข้างใต้มหาสมุทรไปตลอดกาล มันดูสิ้นหวังและมืดมนจนเกินกว่าจะกู้ขึ้นมา คำถามที่ว่าเรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรยังคงไร้ซึ่งคำตอบ ทว่า เมื่อผ่านเข้าไปด้านในตัวอาคารได้ ผมก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้วว่าใครคือคนที่ควรต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ไอ้เฮียรุจชาติหมา...!!


“ขอโทษนะคะ.... ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณทิชาหรือเปล่าคะ ทางเราไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา...........”

นางพยาบาลคนหนึ่งพุ่งมาขวางทันทีที่เห็นผมแทรกเข้าผ่านกองทัพนักข่าวเข้ามาในอาคารห้องฉุกเฉิน แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าเจ้าหล่อนจะร้องห้ามหรือพูดพล่ามอะไร เพราะสิ่งเดียวที่ผมต้องการในเวลานี้ก็คือจัดการกับไอ้สารเลวที่ทำให้ทิชาเจ็บ.... เอาให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่น้องกำลังเผชิญเป็นร้อยเท่าพันเท่า และถ้าผมฆ่าแม่งให้ตายห่าไปได้เสียเดี๋ยวนี้ ผมก็จะทำ!

“ไอ้เหี้ยรุจ มึงทำอะไรเมียกู!!??” 

กำปั้นลุ่นๆ เหวี่ยงกระแทกใส่สันกรามคนที่ผมเคยนับถือเป็นพี่ชาย ตามติดด้วยแรงหมัดอีกไม่ยั้ง เสียงตะโกนถามดังลั่นท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของทุกคน 

“ทิชาไปทำอะไรให้พวกมึงนักหนา ห๊ะ!!?? มึงมาทำเมียกูทำไม!!??”

เฮียรุจไม่โต้ตอบเลย เขายืนนิ่งให้ผมชกเหมือนกระสอบทราย เลือดไหลออกจมูกหากก็ไม่คิดจะหลบหลีกปัดป้อง แต่สายตาแข็งกร้าวที่จ้องกลับมาก็ห่างไกลจากคำว่าสำนึกผิดหรือขอโทษอยู่หลายปีแสง

“ถ้าแค้นที่กูลาออกจากระบบเกียร์ส้นตีนของมึงนักก็มาลงที่กูสิวะ.... มาลงที่กูคนเดียวนี่!! ทิชาไม่เกี่ยว!!”

“รุ่นน้องหน้าโง่อย่างมึง กูตัดหางปล่อยวัดไปนานแล้ว” 

เฮียรุจแสยะยิ้มสมเพชใส่ผมทั้งที่เลือดกบปาก 

“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่เมียมึงมันก็โง่เหมือนมึงนั่นแหละ เสือกอยากทำตัวเป็นคนดีนัก ก็สมควรแล้วที่จะตายห่าเป็นผีเฝ้าถนน!!”

“ไอ้สัตว์นรก กูจะฆ่ามึง!!!”

ผมกระซวกหมัดใส่รุ่นพี่อีกครั้งแบบไม่คิดชีวิต ถึงจะยังไม่เข้าใจความหมายว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวยังไงแต่ผมก็ทั้งโกรธทั้งแค้นคนตรงหน้าที่มีส่วนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น.... รอบข้างมีเสียงตะโกนเอะอะโหวกเหวกดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ มือของใครต่อใครพยายามแยกผมออกจากห่างไอ้เฮียรุจ หากเพราะแรงโมโหนั้นมีมากจนเกินกว่าจะข่มใจได้ลง จนกระทั่งบุรุษพยาบาลสามคนต้องจับตัวผมล็อคแล้วดึงให้ถอยห่างออกมา แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ความวุ่นวายภายในห้องฉุกเฉินจะคลี่คลาย ผมยังคงจ้องเฮียรุจเขม็งและพร้อมจะตวัดแขนขาฟาดหน้าเขาได้ทุกเมื่อ

“อะไรกันครับคุณ.... ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันสิครับ!”

“ก็ไอ้เลวนี่มันทำทิชา ผมจะฆ่ามัน.....!!”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณคนนี้เขาเป็นคนเรียกรถพยาบาลกับกู้ภัยให้ไปรับตัวคุณทิชา.... แล้วรถเขาก็ไม่ได้ชนรถคุณทิชาด้วย เขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ต่างหาก”

“ไม่จริง ผมไม่เชื่อ!!”

“ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ กรุณาเคารพสถานที่ด้วย!” 

นางพยาบาลคนแรกซึ่งโดนผมชนกระเด็นตามมาต่อว่าเสียยกใหญ่โทษฐานที่ผมก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าไอ้คนที่เป็นฆาตกรทำร้ายทิชามันยืนอยู่โน่น ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องถูกไล่ออกไปจากที่ตรงนี้ก็ควรจะเป็นเฮียรุจ ไม่ใช่ผม 

“แล้วถ้าคุณไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนเจ็บก็เชิญออกไปรอข้างนอกค่ะ จะได้ไม่รบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่.... ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อย่าให้ต้องเรียกรปภ.มาเชิญตัว!”

“คือ......ลูกชายผมเป็นเพื่อนสนิทของเด็กที่ชื่อทิชาน่ะครับ”

ป๊าออกหน้าอธิบายแกมขอร้องแทนผม ถึงขั้นต้องยกมือไหว้คนแปลกหน้าเพื่อช่วยให้ผมไม่ถูกไล่ออกไป 

“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ทำให้ตกใจกัน แต่ให้เขาอยู่รอเพื่อนในนี้เถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้องก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อช่วยดูแลอย่าให้น้องคนนี้ก่อเรื่องอีกนะคะ แค่พวกนักข่าวข้างนอกก็ทำเราปวดหัวมากพออยู่แล้ว”

คงเพราะเห็นว่าผู้ใหญ่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่ขึ้นอีก หญิงสูงวัยในชุดขาวถึงได้ยอมปล่อยผมให้นั่งลงตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด.... ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดเลยว่าการที่ตัดสินใจตัดขาดจากเบอร์ลิค ทรยศรุ่นพี่และเพื่อนร่วมคณะจะส่งผลร้ายต่อคนที่ผมรักได้มากขนาดนี้ นอกจากโกรธไอ้เฮียรุจแล้วผมยังเกลียดตัวเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บางทีถ้าในตอนนั้นผมทวงเกียร์คืนมาจากทิชา ผลักไสเขาออกไปให้พ้นจากอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเบอร์ลิค น้องก็คงไม่เจ็บ

ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกกับการที่เราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม....

“โรม.... ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง ดีนะที่เขาไม่เอาเรื่องเราน่ะ”

“แต่ป๊าครับ........ไอ้หมอนั่น มันเป็นคนทำให้ทิชาเป็นแบบนี้!” 

ผมหมายถึงเฮียรุจที่เพิ่งโดนกระหน่ำชกจนหน้าแหก ด้วยความที่ปักใจเชื่อว่าฝ่ายนั้นเจตนาจะเอาทิชาถึงตายเพื่อแก้แค้นรุ่นน้องนอกคอกอย่างผม 

“มันไม่พอใจที่ผมตีตัวออกห่างจากเพื่อนในคณะเพื่อมาคบกับทิชา.........มันคงแค้นที่เด็กต่างคณะอย่างทิชาเป็นต้นเหตุทำให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชั่วๆ ทุกอย่างที่พวกมันทำ........มันก็เลยหาทางทำร้ายน้องจนเป็นแบบนี้.............”

“เฮียโรม..........”

น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นจากไม่ไกล เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นอดีตแฟนที่คบกันได้เพียงไม่กี่วันใช้ไม้ยันรักแร้เดินกระเผลกเข้ามาหา ผ้าพันแผลรอบศีรษะบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน หากนั่นก็ไม่ทำให้แปลกใจได้มากเท่ากับการที่บีบี๋ย้ายร่างจากโรงพยาบาลใกล้เบอร์ลิคมาอยู่กับทิชาที่นี่

“บีบี๋?”

ผมต้องการจะถามว่าบีบี๋ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เจ้าตัวก็ชิงแก้ต่างแทนใครบางคนและสารภาพทุกสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาก่อน

“เฮียโรมกำลังเข้าใจผิดนะ......เฮียรุจไม่ใช่คนที่ทำให้ไอ้ชาเจ็บ......แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการที่เฮียลาออกจากเบอร์ลิคด้วย...........” 

ร่างเล็กวางไม้ค้ำลงแล้วจึงพยายามนั่งลงบนพื้นต่อหน้าผมอย่างทุลักทุเล ร่องรอยของความรู้สึกผิดและเสียใจฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้าก่อนจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำกระทบลงบนต้นขาของผม แต่ก็อย่างที่เห็นว่าสุดท้ายมันก็แค่ซึมหายไปในเนื้อผ้าสีทึบ 

“คนที่ทำให้ไอ้ชาโคม่าก็คือบี๋เอง.......ฮึก..........เรื่องร้ายๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมันเป็นเพราะบี๋คนเดียว...........”

“งั้นก็อธิบายมาสิ...........” 

กับเฮียรุจ ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าโกรธเขา แต่กับเด็กคนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ ก็คือความสงสารเห็นใจที่เคยมีให้นั้นไม่น่าจะหลงเหลืออยู่อีกแล้ว 

“พูดมาว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมทิชาถึงได้ต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะมีเพื่อนอย่างบีบี๋.... พูดมาให้หมดก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก!”

“โรม ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง”

ถ้าไม่ได้มือพ่อบังเกิดเกล้าคอยรั้งเอาไว้ ต่อให้บาดเจ็บเข้าเฝือกอยู่ บีบี๋ก็คงได้โดนผมเตะม้ามแตกตายตรงนี้แน่

“บี๋ก็แค่อยากจะหนีไปให้พ้นจากเฮียรุจ........ทีแรกบี๋ไปหาไอ้ชาที่บ้าน กะว่าจะขออาศัยอยู่กับมันสักพัก แต่เฮียรุจตามมาเจอ ไอ้ชาก็เลยช่วยหาบ้านพักที่ปราณบุรีให้เป็นที่หลบชั่วคราว.........ระหว่างทางฝนตกหนัก เฮียรุจก็ขับตามมาทันพอดี ไอ้ชาเร่งความเร็วไปถึงร้อยห้าสิบได้มั้ง........ฮึก.........ตอนนั้นพวกเราคุยโทรศัพท์กับเฮียรุจไปด้วย บี๋บอกมันว่าจะกลับไปอยู่กับเฮียรุจเพราะไม่อยากให้มันเดือดร้อนมากไปกว่านี้ มันก็กำลังจะจอดรถอยู่แล้ว..........ฮือ........อยู่ดีๆ รถพ่วงโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไอ้ชาหักหลบเข้าข้างทาง แต่ถนนลื่น รถก็เลยเหวี่ยงไปชนกับเสาไฟฟ้า............”

“ถ้าบี๋ไม่เปลี่ยนใจกลางคัน.......ไม่สิ ถ้าบี๋กลับไปอยู่เบอร์ลิคแต่โดยดี ไม่หนีออกจากโรงพยาบาลมาขอร้องให้ไอ้ชาช่วย......ฮึก.......มันก็คงไม่ต้องเจ็บตัว..............”

มือเล็กสั่นระริกเกาะต้นขาผมเอาไว้แน่น น้ำตายังคงร่วงเผาะเป็นทางยาว มาถึงจุดนี้ผมไม่แปลกใจแล้วว่าเพราะอะไรทิชาที่ขับรถไม่คล่องถึงได้กล้าบ้าบิ่นเอารถออกมาไกลถึงจังหวัดเพชรบุรี.... คำขอร้องจากเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิต ต่อให้ทะเลาะผิดใจกันหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ทิชาจะนิ่งดูดาย ที่ทำลงไปทั้งหมดก็คงเพราะอยากช่วยบีบี๋ตามประสาคนรักเพื่อนนั่นแหละ

ทิชาของผมก็เป็นเสียอย่างนี้.... ชอบปั้นหน้าหยิ่ง ปากแข็ง ทำเป็นไม่แคร์คนที่คิดร้ายกับตัวเอง แต่ข้างในหัวใจกลับบอบบางอ่อนไหวง่ายที่สุด

“เฮียโรม........ฮึก.....บี๋ขอโทษ..........”

“คำขอโทษของบีบี๋มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเฮียแล้วล่ะ.... แล้วถ้าทิชาไม่ได้กลับมา คำพูดพล่อยๆ พวกนั้นก็ไม่ต่างจากขยะดีๆ นี่เอง”

แต่ผมไม่เหมือนกับทิชาหรอกนะ.... ทิชาเริ่มต้นมิตรภาพจากศูนย์ขึ้นไปถึงร้อย ต่อให้ความรู้สึกลดลงจากร้อยแต่ก็อาจจะไม่แย่ถึงขนาดกลับมาเหลือศูนย์ตามเดิม ในขณะที่ผมเริ่มต้นด้วยการให้ทุกคนเต็มร้อยก่อนที่จะลดลงเรื่อยๆ ตามความเหี้ยของคนๆ นั้น.... ซึ่งสำหรับบีบี๋ เวลานี้มันมาอยู่ในจุดติดลบที่ไม่เหลืออะไรดีงามให้ระลึกถึงอีกแล้ว

“มึงจะว่าบีบี๋ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะ ไอ้โรม” 

เฮียรุจดึงตัวบีบี๋ให้ลุกขึ้น คล้ายกับจะตอกย้ำว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ลูกหนี้ของเขาจะต้องมาร้องห่มร้องไห้ให้กับคนที่นอนเจ็บเป็นตายเท่ากันอยู่ข้างในห้องผ่าตัด เพราะทิชาโง่เอง ดีเกินไปเอง ถึงได้ต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนเพราะความรักบัดซบของสองคนนี้ 

“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่ายุ่งกับบีบี๋ เขาเป็นของกูและจะต้องกลับไปอยู่กับกูที่เบอร์ลิคเท่านั้น แต่เมียมึงน่ะไม่ยอมฟังเอง..........”

“พอเถอะ เฮียรุจ..........” 

บีบี๋ว่าเสียงเครือพลางหันไปมองผู้ชายซึ่งเป็นทั้งเจ้าหนี้และเจ้าของชีวิตที่เหลืออยู่ 

“บี๋บอกแล้วไงว่าบี๋ผิดเอง......ฮึก........ถ้าเฮียโรมจะด่าบี๋ก็สมควรแล้ว..........”

ผมแค่นเสียงในลำคอให้กับความทุเรศของเฮียรุจกับบีบี๋ คนหนึ่งโทษว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวเพื่อให้คนของตัวเองไม่ต้องรู้สึกแย่ อีกคนหนึ่งก็พร่ำพูดว่าตัวเองเลวแสนเลวเพื่อที่จะได้รู้สึกผิดน้อยลง นอกจากคำว่า ‘ผีเน่ากับโลงผุ’ ผมก็ไม่รู้แล้วว่ายังจะมีคำไหนที่เหมาะกับคนคู่นี้อีก

“พวกมึงทุกคนแม่งก็ดีแต่ปาก ทำมาพูดว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด.... ใครผิดแล้วยังไงวะ? ทิชาฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหมล่ะ?”

“บี๋เสียใจ..........ถ้าบี๋เปลี่ยนตัวกับไอ้ชาได้ล่ะก็ บี๋ก็ยอมเจ็บแทนมัน.........”

“เงียบเหอะ หุบปากไปเลย!” 

ผมด่าเมื่อเริ่มจะทนฟังถ้อยคำเสแสร้งตอแหลต่อไปไม่ไหว ผมน่าจะเชื่อทิชาตั้งแต่แรกว่าบีบี๋ก็แค่โกหกเพื่อเอาตัวรอด โกหกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่เคยสนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง เรื่องคราวนี้มันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก 

“ที่ทิชาทำพลาดน่ะไม่ใช่เรื่องที่เขายอมช่วยบีบี๋ พากันขับรถออกมาจนเกิดอุบัติเหตุหรอก.... แต่เขาพลาดที่เลือกคบบีบี๋เป็นเพื่อนตั้งแต่แรกต่างหาก!”

“ใช่.......ฮึก......เฮียโรมพูดถูกแล้ว........”

ร่างเล็กสะอื้นปาดน้ำตายอมรับผิด แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อกี้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ผมไม่คิดจะรับคำขอโทษแล้วก็ไม่คิดที่จะให้อภัยด้วย

“งั้นก็ไปซะ.... อย่ามายุ่งกับทิชา ไม่ว่าทิชาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม.... ในฐานะที่เฮียเป็นคนรักของเขา เฮียไม่ต้องการให้มีคนอย่างบีบี๋อยู่ในชีวิตของทิชาอีก!”

ผมพูดแค่นั้นก่อนที่เฮียรุจจะพาบีบี๋พ้นไปจากสายตา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าพวกนั้นจะพากันไปตายโหงตายห่าที่ไหน ห้วงความคิดย้อนกลับไปวนเวียนอยู่กับลมหายใจรวยระรินของคนที่ผมรักที่สุด.... รู้ดีว่าถึงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพาลใส่ใครก็ไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำเพื่อระบายความโกรธแค้นโมโหได้ในเวลานี้ ไม่อย่างนั้น ผมคงต้องเป็นบ้าหรือไม่ก็ต้องวิ่งออกไปให้รถชนเพื่อยุติความอึดอัดทรมานข้างในอกแน่

“ม๊าโทรมา คุยกับม๊าหน่อยไหม?”

“ป๊าคุยเถอะครับ ฝากบอกม๊าด้วยว่าผมไม่เป็นไร”

น้ำเสียงของผมคล้ายคนเหม่อลอย ได้ยินป๊าพูดใส่โทรศัพท์อีกสองสามคำแล้วก็กลับมานั่งลงข้างผมตามเดิม.... รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกทรพีที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงทุกข์ใจไปด้วย ทว่า ตอนนี้ผมฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวจริงๆ

“แผลที่แขนเราเหมือนจะมีเลือดซึมนะ สงสัยแผลจะฉีกตอนที่โรมไปต่อยรุ่นพี่คนนั้น.... เดี๋ยวป๊าเรียกพยาบาลมาดูให้ดีกว่า”

“ปล่อยไว้แบบนี้แหละครับ”

ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ไม่มีกะจิตจะใจจะคิดถึงอย่างอื่น แม้กระทั่งความเจ็บปวดทางกายของตัวเอง 

“เอาไว้ทิชาปลอดภัยแล้วผมค่อยทำ.... แต่ถ้าไม่ก็ช่างมัน ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

“โรมเอ๊ย............”

หยาดน้ำอุ่นไหลรินออกมาทางหางตา แม้ว่าผมจะพยายามเก็บกลั้นมันเอาไว้แล้วก็ตาม.... ถ้าหากผมจะสามารถขอพรได้สักข้อล่ะก็ ผมขอแค่ให้ทิชาฟื้นกลับมาอยู่กับผม ไม่ว่าจะด้วยสภาพไหน จะจำผมและเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ผมพร้อมที่จะดูแลน้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ขอให้ผมได้กอดเขา ได้บอกรักให้เขาได้ฟังและรับรู้อีกสักครั้งก็พอ



......ขอแค่ให้ทิชากลับมา ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว......

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
PAI's PART



‘แก มีคนทวีตว่าทิชาตายแล้วอะ หมอเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจออกเมื่อกี้!’

‘เฮ้ย ข่าวเมคหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ซี้ซั้วพูดไม่ได้นะ’

‘มันก็เป็นไปได้นะ สภาพรถเละขนาดนั้น รอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว’

‘ถ้าทิชาตายจริง แม่อิ๋วก็คงโทรมาบอกพี่ก้อยแล้วล่ะ แล้วพี่ก้อยก็ต้องมาประกาศให้ทุกคนที่นี่รู้ แต่นี่ยังเงียบๆ อยู่เลย ทวิตสำนักข่าวก็ยังไม่อัพเดท’

‘เห็นกันอยู่หลัดๆ เมื่อวันก่อนนี้เอง ไม่น่าเลยเนอะ......’




บรรยากาศภายในสถานีโทรทัศน์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่คนจับกลุ่มพูดคุยถึงข่าวใหญ่ซึ่งถูกแชร์ไปทั่วโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง.... ไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุของทิชาเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วทำไมเจ้าตัวถึงไปอยู่ตรงทางหลวงสายใต้ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นร้อยกิโลเมตรแทนที่จะมาเวิร์คช็อปกับพวกผมตามตารางเช่นทุกวัน แต่ผมก็ไม่มีเวลามากพอจะคิดหาคำตอบ เพราะนอกจากเป็นห่วงทิชาแล้ว ยังมีใครอีกคนหนึ่งซึ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ตั้งแต่มีข่าวทิชาออกมา แดนก็หายตัวไปเลย

ผมเดินหาทั้งในสตูดิโอสำหรับซ้อมแอคติ้ง ทั้งในห้องพักแล้วก็ที่อื่นๆ ในตัวอาคารจนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นเขาเลยแม้แต่เงา

“โทษนะ.... มีใครเห็นแดนบ้างไหม?”

ผมย้อนกลับเข้าไปในสตูดิโออีกครั้ง เห็นกลุ่มรุ่นน้องนักแสดงกำลังล้อมวงไถหน้าจอมือถืออยู่จึงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ผมเพิ่งแวะไปดูที่ลานจอดรถ คัมรี่สีดำของแดนยังคงจอดอยู่ที่ล็อคประจำ ผมเลยเชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่ไปไหน

“แดนเหรอ.......??”

หนึ่งในนั้นทำท่านึกก่อนจะบอกข้อมูลผมแบบไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก 

“เหมือนเมื่อกี้จะเห็นอยู่ตรงบันไดหนีไฟข้างๆ ห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่านะ”

“ขอบใจ”

“เดี๋ยวก่อนดิ พี่ปาย” 

ยังไม่ทันที่ผมจะผลักประตูกระจกออกไป เด็กที่ชื่อเบียร์ก็เรียกรั้งเอาไว้ ผมหันไปมองหน้ารุ่นน้องซึ่งรับบทเป็นตัวประกอบต๊อกต๋อยธรรมดา แทบไม่ต้องอ้าปากก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจใคร่รู้อยากคุยเรื่องอะไร แล้วก็เดาไม่ผิดเสียด้วย 

“พี่รู้เรื่องทิชาแล้วใช่ไหม ที่ว่ามีอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าแถวๆ ชะอำน่ะ?”

“อืม รู้แล้ว” 

ผมพยักหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วพูดจ้อต่อ

“เห็นในทวิตเตอร์บอกว่าทิชาอาการสาหัสมาก อาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้.... แต่ถึงรอดก็คงกลับมาถ่ายละครไม่ได้แล้วล่ะ” 

น้องเบียร์ยิ้มประหนึ่งว่าตัวเองคือผู้รายงานข่าวช่วงเช้าในรายการที่เรตติ้งดีที่สุด หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เพิ่งสำรอกออกจากปากมานั้นกำลังให้ผมสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

“บทของทิชาก็น่าจะเปิดออดิชั่นหาคนใหม่ หรือไม่ก็มีการสลับบทให้คนใดคนหนึ่งในพวกเราไปเล่นแทน คราวนี้พี่ก็อย่าพลาดให้เด็กเส้นที่ไหนมาแย่งบทไปได้อีกนะ”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง?” ผมย้อนถามอย่างเอาเรื่อง  “จะบอกว่าพี่ควรจะดีใจที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับทิชาเหรอ?”

“แหงสิ ถ้าไม่มีทิชาสักคน บทนำของเรื่องก็ต้องเป็นของพี่ปายอยู่แล้ว” 

น้องเบียร์ยักไหล่ ไม่มีทีท่าฉุกคิดเลยสักนิดว่าผมไม่โอเคกับคำพูดที่ฟังดูเหมือนจะด่าทิชาแล้วก็แซะผมไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะเปิดทางให้เด็กอีกคนที่ชื่อแก็ปพูดขึ้นมาบ้าง 

“ไม่ใช่แค่บทนำอย่างเดียวนะ แต่รวมถึงตัวนายแดนด้วย.... ใครๆ ก็ดูออกว่าพี่ปายน่ะชอบแดน แต่แดนหลงรักทิชาหัวปักหัวปำ มารหัวใจหายไปเองโดยที่พี่ไม่ต้องลงมือลงแรงเลยสักแอะก็น่าจะดีใจมากกว่าจะมาย้อนถามพวกเรานะ”

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างเหลืออด รู้อยู่แล้วว่าเด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างอคติกับทิชามาแต่ไหนแต่ไร แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เบียร์ แก๊ปและเพื่อนๆ ตัวประกอบจับกลุ่มนินทานักแสดงตัวหลักเพราะความอิจฉา.... ปกติผมไม่ค่อยอยากสนใจเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไร ใครอยากพูดอะไรก็ให้เขาพูดไป หลังจากจบการถ่ายทำและโปรโมทซีรีส์ คนไหนดีก็คบเป็นพี่เป็นน้องคอยช่วยเหลือกันต่อ คนไหนไม่ดีก็คิดเสียว่าหมดเวรหมดกรรมกันไป หากสำหรับเคสนี้ ผมถือว่าพวกเขาล้ำเส้นมากเกินกว่าที่จะมองข้ามได้

“พี่ก็เข้าใจนะว่าพวกนายไม่ชอบทิชาเพราะเขาใช้เส้นเข้ามาแย่งบทไป แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้สิ นี่ก็โตๆ กันหมดแล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักแยกแยะเอาเสียเลย.... คนกำลังเจ็บ ครอบครัวเขากำลังเสียใจ ไม่ใช่เวลาที่พวกนายจะมาพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้นะ” 

ผมมองหน้าทุกคนในกลุ่มน้องเบียร์แบบเรียงตัว ผมไม่ใช่คนปากร้ายด่าเจ็บ ก็ไม่คิดหรอกว่าคำพูดสั่งสอนเหมือนคนแก่จะสามารถทำให้ใครสะดุ้งสะเทือนได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรดึงสติแล้วคิดให้ได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด อะไรควรเก็บไว้ในใจ.... ที่สำคัญก็คือผมไม่เคยนึกเกลียดทิชา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคู่แข่งทั้งในเรื่องงานและเรื่องความรัก เพราะฉะนั้น อย่าได้เอาผมไปเหมารวมกับพวกตัวเองเป็นอันขาด


“แล้วก็จำเอาไว้เลยนะว่าพี่ไม่ได้ใจแคบเหมือนพวกนาย พี่ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็เอาเขามานินทาเจ้าคิดเจ้าแค้นลับหลัง.... รู้ไว้เสียด้วย!”


.


.


.


“แดน.........!”

ในที่สุดผมก็หาแดนเจอ เขานั่งชันเข่าซบหน้าลงอยู่ตรงมุมข้างบันไดหนีไฟตามที่มีคนให้เบาะแส ผมส่งเสียงเรียกหลายต่อหลายครั้งหากก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะเงยหน้าขึ้นมอง.... เห็นจากไกลๆ แค่นั้น ผมก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีมากพออยู่แล้ว หากเมื่อเข้าไปใกล้จนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดออกมาจากร่างสูง หัวใจของผมก็เหมือนร่วงหล่นลงพื้น

“แดน.... โอเคใช่ไหม? ไม่เป็นไรนะ?” 

ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนักพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง นึกกลัวอยู่แล้วว่าแดนจะต้องเป็นแบบนี้ถึงได้พยายามตามหาเขาจนหัวหมุนไปทั่วตึก แต่ทว่า ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้ากลับย่ำแย่กว่าที่มโนล่วงหน้าเอาไว้มาก

“พี่ปาย..........ทิชา........มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมพี่.......ฮึก............มันจะไม่ตายใช่ไหม..............” 

ดวงตาแดงก่ำชุ่มด้วยหยดน้ำสะท้อนภาพผมวูบไหว ประโยคคำถามซึ่งยังไม่มีใครล่วงรู้คำตอบส่งผ่านเสียงสั่นเครือน่าใจหาย ถ้อยคำปลอบโยนที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ถูกพัดกระเจิงยามเมื่อสองมือของแดนคว้าหมับเข้าที่ไหล่ผมแล้วเขย่าแรงๆ ไม่ต่างจากเด็กชายตัวน้อยที่กำลังขวัญเสีย.... ข้างในลำขอขมเฝื่อนยิ่งกว่าถูกบังคับให้เคี้ยวบอระเพ็ด ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะปลอบโยนคนตรงหน้าอย่างไร เอาจริงๆ แค่เห็นแดนร้องไห้เพราะกลัวทิชาจะจากไป ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว   

“ผม......ฮึก.......ผมผิดเอง.........ฮือ.........เป็นเพราะผมคนเดียว......ทิชามันถึงได้........ฮึก...........”

“เดี๋ยวนะ แดนไปทำอะไร?” 

ผมขมวดคิ้วชะงักไปเล็กน้อย ตลอดช่วงสายๆ จนถึงบ่าย แดนอยู่กับผมและพี่โรสเพื่อคุยกันเรื่องที่เขาจะเซ็นหรือไม่เซ็นสัญญาเข้าโมเดลลิ่ง แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่อยู่ห่างออกไปหลักร้อยกิโลเมตรได้ยังไง

หยาดน้ำอุ่นไหลจากนัยน์ตาสีเข้มซึมผ่านเนื้อผ้าตรงหัวไหล่ผม ร่างสูงยังคงสั่นสะท้านไปทั้งกายขณะบอกเล่าถึงหนึ่งในต้นสายปลายเหตุของข่าวร้ายซึ่งไม่มีใครคาดคิดคาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

“ทิชาขอให้ผมหาบ้านพักให้......ฮึก........มันบอกว่าแม่สั่งให้หา......ผมก็เลยช่วยมัน..........” 

ในตอนนั้นผมเพิ่งนึกออกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่แดนขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ พอกลับมาก็วุ่นวายยุกยิกส่งข้อความอะไรก็ไม่รู้อีกพักใหญ่ ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเป็นทิชา เมื่อได้ยินว่าความหวังดีเต็มใจช่วยเหลือคนที่ตัวเองหลงรักกลับกลายเป็นฆ่าเขาทางอ้อม ผมก็ยิ่งเข้าใจชัดเจนเลยว่าทำไมแดนถึงได้ช็อกและเสียใจฟูมฟายขนาดนี้ 

“......ผมไม่รู้ว่ามันจะขับรถไปเอง.........ฮือ.......ผมไม่รู้ว่ามันโกหก..........ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่ปล่อยให้มันไปตายแบบนี้หรอก...........”

ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุก็ย่อมไม่มีใครตั้งใจให้เกิดอยู่แล้ว ทิชาก็คงไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะต้องเจ็บ แน่นอนว่าแดนก็ไม่มีทางรู้ด้วยเช่นกัน ผมจึงไม่อยากให้เขาโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ส่งโลเกชั่นบ้านพักที่ปราณบุรีให้ทิชา แต่ดูเหมือนว่ามันจะแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ผมผิดเอง.......พี่ปาย.........ทำไมผมถึงไม่ถามมันเลยสักคำ..........ทำไมผมถึงไม่อาสาจะขับรถให้.........ถ้าผมเอะใจสักนิด ทุกอย่างก็คงไม่.....ฮึก..............”

“อย่าโทษตัวเองสิ.... ไม่ใช่ความผิดของแดนหรอกนะ ก็แดนไม่รู้นี่นา”

“ไม่พี่.......ฮึก........ผมผิดเอง..........” 

แดนส่ายหน้าพลางทึ้งหัวตัวเองแรงๆ คล้ายกำลังหาที่ระบายความเจ็บปวดในใจ จนผมต้องจับมือซึ่งจิกเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาเอาไว้ 

“ผมรู้ว่าทิชาขับรถไม่เก่ง แต่ผมก็ยังปล่อยให้มันไป........ฮือ........ผมแม่งโง่ว่ะพี่.......ทั้งโง่ทั้งเหี้ยเลย........คิดแต่จะเอาใจมัน กลัวว่ามันจะโกรธถ้าผมไม่ช่วยตามที่มันขอ.......ฮึก.........ผมแม่ง........!!”

ไม่ทันขาดคำ มือข้างเดียวกันนั้นก็ชกเข้าที่พื้นเต็มแรง ทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบยื้อมือแดนเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ทำร้ายตัวเองอีกรอบ

“แดน ไม่เอาน่า.... อย่าทำอย่างนี้เลยนะ”

หลังจากยื้อยุดกันอยู่ครู่ใหญ่ ร่างสูงก็ยอมสงบลง แต่ก็ได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ความเสียใจและหวาดกลัวว่าทิชาจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับยังคงขยายตัวปกคลุมทุกอณูของห้วงความคิดและหัวใจ ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากจึงมีแต่คำถามซึ่งผมไม่มีวันหาคำตอบที่แท้จริงให้ได้.... ยกเว้นเสียแต่ว่าจะโกหก

“พี่ปาย..........ถ้าไม่มีทิชาแล้วผมจะอยู่ยังไง..........ผมรักมันอะ........ไม่มีมัน ผมก็ไม่อยากอยู่อีกแล้ว.................”

“ทิชา..........ฮึก........มึงอย่าทิ้งกูไปนะ.........อย่าไป..........ฮือ..................”

ผมปลอบโยนแดนไม่ได้ ไม่กล้าพูดจาส่งเดชว่าทิชาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เยียวยาบาดแผลในใจอีกฝ่ายไม่ได้ เหมือนข้างในอกมีเข็มนับร้อยนับพันปักทิ่มจนพรุนไปหมด วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรองรับทุกหยดน้ำตาและกอดแดนเอาไว้จนกว่าเขาจะนิ่งเงียบไปเอง....


แม้กระทั่งเงาของทิชา ผมก็ยังไม่สามารถเป็นให้เขาได้เลย....

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME's PART



“ถ้าไม่นับรวมบาดแผลภายนอก อาการโดยรวมก็ถือว่าค่อนข้างสาหัส กระดูกขาหักสองท่อนกับกระดูกสะโพกแตก ที่น่าห่วงก็คือตรงที่ซี่โครงหักทิ่มปอดสองจุดกับอวัยวะภายในบอบช้ำแล้วก็เสียเลือดมาก หลังผ่าตัด หมอต้องให้เลือดคนเจ็บต่ออีกสักพัก.... ที่ค่อยยังชั่วก็คือคุณทิชาไม่มีอาการบาดเจ็บทางสมอง ไม่มีเลือดคั่งใต้กระโหลกศีรษะ ถ้าภายใน 72 ชั่วโมง อาการยังทรงตัว ไม่มีภาวะช็อกหรือหัวใจล้มเหลวก็มีโอกาสที่จะรอดสูง”

“72 ชั่วโมง......เหรอครับ.........”

เจ้าของน้ำเสียงราบเรียบอธิบายพลางชี้ให้ดูร่องรอยความผิดปกติบนแผ่นฟิลม์เอ็กซเรย์ ผมรับฟังประโยคบอกเล่าเหล่านั้นด้วยสติที่เลื่อนลอย การผ่าตัดซึ่งกินเวลากว่าแปดชั่วโมงดูดเอาพลังงานและความหวังริบหรี่ของผมไปจนแทบไม่เหลือ ทั้งเหนื่อยล้าและไม่เหลือเรี่ยวแรงกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากนั่งรอต่อไป

“หมอเข้าใจนะครับว่าญาติคนเจ็บคงทำใจได้ยาก.... แต่เราก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวคนเจ็บแล้วล่ะว่าเขาจะเข้มแข็งได้มากแค่ไหน” 

ผมรู้ว่าคุณหมอคงทำอะไรให้มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต่อให้ทิชาไม่ฟื้นขึ้นมา ผมก็ไม่โทษทุกคนที่นี่หรอก ทว่า สิ่งที่ผมไม่อยากได้เลยก็คือความหวังลมๆ แล้งๆ ซึ่งมันอาจจะไม่กลายเป็นไปตามอย่างที่เขาพูด 

“แต่ถ้าคุณทิชารู้ว่าทั้งเพื่อน ทั้งคุณแม่เป็นห่วงมากขนาดนี้ เดี๋ยวเขาก็กลับมา.... ตอนนี้เขากำลังเหนื่อยก็เลยขอนอนหลับนานหน่อย แต่อีกไม่นานก็คงตื่นแล้วล่ะ”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ...........”

ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องที่ถูกเรียกเข้าไปคุย เริ่มรู้สึกเจ็บแผลตรงไหล่ซ้ายมากขึ้นหากก็ไม่มีอารมณ์จะจัดการกับมัน แม้กระทั่งจะขอยาแก้ปวดสักเม็ดจากพยาบาลก็ยังไม่อยากเอ่ยปาก.... ในใจคิดถึงเพียงคนที่นอนสวมเครื่องช่วยหายใจ ท่อกับสายยางห่าเหวระโยงระยางเต็มตัวอยู่ในห้องกระจก ถึงจะเป็นความคิดกับคำถามเดิมๆ ไม่ต่างจากเมื่อชั่วโมงที่แล้วแต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้ ผมกลัวว่าทิชาจะไม่กลับมา กลัวว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับผมอีก

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยนึกถึงวันที่ทิชาจะจากไปเลย อย่างมากก็แค่พูดว่าถ้าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ขอให้มีแค่เหตุผลเดียวคือเราไม่ได้รักกันแล้ว เหมือนกับลืมไปว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความตาย’ อยู่

และคำพูดที่ว่า ‘แม้ความตายก็พรากเราจากกันไม่ได้’ ก็เป็นเพียงวาทกรรมน้ำเน่าของพวกโลกสวย ลองมีคนที่คุณรักนอนโคม่าอยู่บ้างสิ จะได้รู้ซึ้งถึงใจเลยว่าความตายซึ่งรอจะเอาตัวคนรักของผมไปมันน่ากลัวขนาดไหน

อยู่คนเดียวก็คงเหมือนตายทั้งเป็น ต่อให้ผมตายตามไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า

เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ผมถึงได้กลัวว่าทิชาจะไม่ฟื้นขึ้นมาจนจับถึงขั้วหัวใจ



คนอื่นๆ ที่ตามมาหลังได้ยินข่าวทิชาทยอยกลับออกไปหาที่พักใกล้ๆ นี้กันหมดแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวางพอที่จะรองรับคนจำนวนมากได้ ทั้งป๊าผม คุณป้าที่เป็นผู้จัดละครและทีมงานต่างก็ถูกขอร้องให้ไปรอฟังข่าวที่โรงแรม บริเวณเก้าอี้หน้าห้องไอซียูจึงเหลือแค่เพียงคุณแม่ของทิชาซึ่งกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่อย่างเกรี้ยวกราด


‘คุณแพทต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉันนะคะ ทิชาเกิดอุบัติเหตุแท้ๆ กล้าเขียนมาได้ยังไงว่าแกเป็นเด็กใจแตกหนีเวิร์คช็อปละครไปเที่ยว.... ลูกชายฉันไม่เคยเป็นแบบนั้น ฉันเลี้ยงมากับมือ แล้วคนอื่นจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไง!!??’

‘ทิชาน่ะ แค่ออกไปเที่ยวกลางคืนยังนับครั้งได้ แอดมินเพจคุณแพทไม่เคยรู้จักทิชาด้วยซ้ำแล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงแกแบบนี้.... ลบโพสต์แล้วให้แอดมินออกมาแถลงข่าวขอโทษต่อหน้าทุกคนเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้อง.... อย่าลืมนะคะว่าจะดีจะชั่ว ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนา คิดเหรอว่าคุณพ่อน้องจะยอม!!’

‘ดีค่ะ.... แล้วก็ฝากเตือนแอดมินเพจสำนักข่าวคุณด้วยนะคะ จะเล่นข่าวใต้เตียงใครก็ทำไป แต่อย่ามายุ่งกับลูกฉัน ไม่งั้นฉันเอาตายแน่!!’



หลังกดวางสาย ผู้หญิงคนเดียวกับที่โวยวายโมโหร้ายใส่นักข่าวเมื่อครู่ก็วางทุกสิ่งทุกอย่างในมือลง เหลือไว้แค่กระดาษทิชชู่สำหรับซับน้ำตาซึ่งไหลออกมาเป็นระยะแม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม.... ผมไม่เคยสนใจเรื่องของพวกดารา ข่าวคราวของ นิดาวัลย์ ธีระอัปสร ที่ผมได้ยินผ่านๆ ก็ไม่ได้จะน่าชื่นชมสักเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมได้รู้ว่าจิตใจของคนเป็นแม่ ไม่ว่าจะดาราหรือคนธรรมดายากดีมีจนที่ไหนก็ไม่ต่างกัน เพื่อลูกของตัวเองแล้ว ต่อให้ต้องสู้รบปรบมือกับคนอีกกี่หมื่นกี่แสน หรือต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกก็ยอม

“คุณแม่จะทานอะไรหน่อยไหมครับ ข้างนอกมีเซเว่น เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ไม่หิว...........”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมก็เลยนั่งลงข้างๆ คุณแม่นิดา.... ข้างในอกยิ่งปวดหน่วงยามที่เห็นว่าอีกฝ่ายก็อิดโรยและเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่เข้าใจเลยว่าพวกคนที่กล่าวหาว่าคุณแม่ไม่ได้รักทิชา ไม่แคร์ลูกตัวเอง หวังแต่จะใช้ลูกชายเป็นเครื่องมือต่อรองกับบ้านสามีนอกสมรสกล้าพูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง

หน้าจอไอแพดสว่างวาบขึ้นมาเพราะข้อความแจ้งเตือน ผมถึงสังเกตเห็นว่าคุณแม่นิดาใช้รูปทิชาตอนเด็กๆ ตั้งเป็นวอลเปเปอร์กับล็อคสกรีน และเหมือนท่านจะรู้ว่าผมแอบเห็นถึงได้ชวนคุยพร้อมกับยื่นรูปนั้นมาให้ดูชัดๆ

“โรมดูสิ รูปนี้ทิชาตอนสามขวบ เพิ่งเข้าอนุบาลวันแรก.... น่ารักใช่ไหมล่ะ” 

เด็กน้อยในชุดเครื่องแบบโรงเรียนอนุบาลอินเตอร์ฯ สีฟ้าอ่อนดูไม่ต่างจากเจ้าตัวในปัจจุบันเลย ตาโตใสแจ๋วเหมือนตุ๊กตา ปากนิดจมูกหน่อยน่าเอ็นดู เพียงแต่ตรงแก้มมีเบบี้แฟตแล้วก็แขนขากลมป้อมตามประสาเด็ก ในขณะที่ทิชาเวอร์ชั่นโตจะผอมบางร่างเล็กไปเลยถ้าเทียบกับคนทั่วไป 

“ทิชาน่ารักแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ เมื่อก่อนมีพวกเอเจนซี่มาติดต่อขอตัวน้องไปถ่ายโฆษณาเยอะมาก แม่ก็เคยพาไปฝากแคสติ้งอยู่หลายครั้ง แต่พอเอาเข้าจริงเจ้าตัวเขากลับไม่ชอบ เวลาเห็นคนเยอะๆ ก็กลัว หรือไม่ก็ร้องไห้งอแงจนต้องพากลับบ้าน.... ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ไอ้โรคเกลียดการเข้าสังคมเนี่ย..........”

คุณแม่เล่าแค่นี้ ผมก็นึกภาพตามได้เลยว่าเด็กชายทิชาตอนงอแงเป็นยังไง เพราะทุกวันนี้เวลาโดนขัดใจ แฟนผมก็ชอบทำตาคว่ำปากเชิดน่าตีอยู่บ่อยๆ

“แม่ยังแปลกใจเลยตอนที่ทิชาบอกว่าจะขอไปแคสติ้งละครเรื่องนั้น คิดว่าเขาก็คงไม่ได้อยากเป็นดาราเหมือนแม่หรอก แต่คงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง.........” 

มาถึงตรงนี้ น้ำเสียงคนพูดก็กลับมาเจือสะอื้นอีกครั้ง 

“........พูดไปก็เท่านั้น ยังไงตอนนี้หน้าทิชาก็คงไม่เหมือนเดิมแล้ว.........”

คุณแม่นิดาคงหมายถึงที่หมอบอกว่าทิชาถูกเศษกระจกร่วงใส่หน้าจนเป็นแผล มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับใครหลายคนเพราะในสถานการณ์แบบนี้แค่จะเอาให้ชีวิตรอดก็ยากแล้ว แต่ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่ว่าเพราะอะไรถึงได้พูดอย่างนั้น

“แม่ผมรู้จักหมอศัลยกรรมเก่งๆ หลายคน เดี๋ยวพอย้ายทิชาเข้าไปรักษาตัวในกรุงเทพฯ แล้วเราค่อยปรึกษาคุณหมอดูว่าจะรักษาน้องยังไง.... ทางบ้านผมก็จะพยายามช่วยเต็มที่ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...........”  ริมฝีปากรูปกระจับคลี่ยิ้มขมขื่นราวกับทำใจแล้วว่าไม่มีใครสามารถช่วยทิชาได้ และคำพูดของผมก็เป็นแค่สายลมเลื่อนลอยที่ฟังดูรื่นหูแต่ไม่อาจจับต้องได้เช่นกัน 

“แต่ถ้าทิชาไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม โรมจะเลิกกับลูกชายแม่หรือเปล่า?”

“ผมจะไม่เลิกกับทิชาครับ”

“ถึงทิชาจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ....?”

คุณแม่นิดาก้มหน้าลง ทิชชู่ที่ถูกขยำจนยับยู่ยี่ถูกใช้ซับน้ำตาอีกครั้งและอีกครั้ง 

“ทิชากับแม่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ถ้าไม่มีหน้าตาดีๆ ไว้ให้คนอื่นมองก็คงไม่มีใครเห็นหัวเราหรอก.... ขนาดทุกวันนี้ทิชาทั้งน่ารัก ทั้งเป็นเด็กดี พ่อเขายังไม่สนใจเลย แล้วถ้าเกิดน้องเสียโฉมขึ้นมา ทุกคนก็คงทิ้งเขาไปหมด..........”

“ผมไม่คิดจะเลิกกับทิชานะครับ คุณแม่.... ไม่ว่าน้องจะเป็นยังไง จะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่เลิก”

“ทิชาโชคดีนะที่ได้มาเจอโรม โชคดีจริงๆ”

“ผมต่างหากที่โชคดีที่ได้มาเจอกับทิชา”

ผู้ใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มนั้นแห้งแล้งอย่างไม่คาดหวังว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังอยากให้คุณแม่นิดาวางใจและเชื่อใจว่าผมแตกต่างจากพวกคนที่เข้ามาแบบฉาบฉวยแล้วก็จากไป

“ขอบใจมากนะ โรม...........”

น้ำตาร่วงหล่นลงบนหน้าจอไอแพด แสงสว่างวาบส่องขึ้นเผยให้เห็นรูปของเด็กผู้ชายตัวเล็กซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของผู้ให้กำเนิด.... ด้วยความที่ต้องดิ้นรนหางานหาเงินมาเลี้ยงลูกชายคนเดียวให้สุขสบายสมกับที่เป็นลูกดารากับนักธุรกิจไฮโซและฟาดฟันกับฝ่ายเจ้าของนามสกุลทิพยศักดิ์เสนา ทิชาเองก็เคยเล่าให้ผมฟังว่าไม่ค่อยได้อยู่กับแม่มากเท่าไร จนบางทีก็รู้สึกว่าแม่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินกับชื่อเสียงในวงการ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้น 

“แม่เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง มัวแต่สนใจอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยนึกถึงจิตใจทิชาเลย.... ก็รู้นะว่าทิชาก็คงเหงา ขาดความอบอุ่น แถมแม่ยังเคยพูดใส่หน้าเขาด้วยว่าน่าจะทำแท้งไปซะ ไม่น่าให้เขาเกิดมาเลย...........”

“ทิชาก็คงเกลียดแม่ล่ะมั้ง.... ถ้าเลือกได้ เด็กดีๆ แบบเขาก็ควรจะไปอยู่ในครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อแม่ลูก ไม่ควรต้องมาอยู่กับดาราตกอับที่มีแต่ข่าวฉาวอย่างแม่.........”

“ไม่หรอกครับ.... ทิชารักคุณแม่มาก ยังไงคุณแม่ก็ดีที่สุดสำหรับน้อง”

“ทิชาเคยพูดเหรอ?”

“ไม่เคยครับ แต่ผมรู้”

“โรมนี่ปลอบใจคนเก่งนะ แม่ฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

คุณแม่นิดาถอนหายใจซ้ำก่อนจะเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ความหวังเลือนรางในหัวใจเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีกหน แม้มันจะยากเย็นและไม่อาจคาดเดาอนาคตในอีก 72 ชั่วโมงข้างหน้าได้ แต่พวกเราทุกคนที่นี่ก็จะยังคงหวังและอธิษฐานต่อไป 

“ยังไงก็ฝากดูแลทิชาด้วยนะลูก.... ก็คงมีแค่โรมคนเดียวที่จะทำให้ทิชามีความสุขได้ เด็กคนนั้นควรจะได้มีคนที่รักเขาอย่างจริงใจเสียที”

อย่างน้อยก็ขอให้ทิชาตื่นขึ้นมารับรู้และได้เห็นกับตาว่าถึงแม้คนที่คอยอยู่เคียงข้างจะมีไม่มาก แต่ความรักที่เขาได้รับก็ท่วมท้นไม่แพ้ใคร

ผมจะรอเขาอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน   

เพราะฉะนั้น กลับมาเถอะนะ


.

.


กลับมาให้ผมได้รักเขา ให้เขาพบเจอว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

......กลับมานะ ทิชา......

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



หนาวจัง.... ที่นี่คือที่ไหน?

แล้วทำไมรอบตัวผมถึงได้มืดไปหมดเลยล่ะ?


.

.

.

สถานที่แปลกประหลาดซึ่งผมไม่เคยย่างกรายเข้ามาชวนให้หวาดหวั่นไม่กล้าขยับตัว ผมเพ่งสายตามองไปรอบๆ จนทั่วทุกด้านแต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ยังไม่สามารถเห็นอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว นอกจากบันไดซึ่งทอดยาวอยู่เบื้องหน้า.... สองเท้าค่อยๆ เหยียบย่างก้าวเดินลงไปด้านล่างทีละขั้นอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าปลายทางจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน ก็มีเสี้ยวหนึ่งในสมองร้องตะโกนว่าอย่าลงไปเด็ดขาด แต่ดูเหมือนร่างกายจะขยับไปเองอย่างที่ไม่อาจควบคุม ไม่ฟังคำเตือนจากจิตใต้สำนึกเอาเสียเลย

จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำรอบข้อมือของผม ฉุดดึงให้นั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งเรียงรายต่อกันเป็นแนวยาว ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ จากแถวหลังเรื่อยลงไปถึงแถวหน้า ในตอนนั้นเองที่เข้าใจว่าผมกำลังอยู่ในโรงหนังที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นใครบางคนซึ่งมานั่งลงข้างกัน


เด็กอะไรหน้าตาเหมือนผมอย่างกับแกะ??

อย่าบอกนะว่านี่คือตัวผมเอง....???




“หวัดดี ทิชา.... เราชื่อทิชานะ”

เจ้าเด็กที่หน้าตาเหมือนผมตอนสามขวบเป๊ะๆ เอ่ยขึ้นในขณะที่ผมยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ดีๆ ก็มีตัวเองอีกคนหนึ่งแต่ไซส์เล็กกว่ามานั่งยิ้มบอกชื่อแนะนำตัวอย่างกับในหนังสยองขวัญ.... ก็คิดอยู่แหละว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้น่าจะเป็นความฝัน แต่ในเมื่อผมยังหาทางตื่นขึ้นไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไง นอกเสียจากตอบรับคำทักทายไปแบบเก้ๆ กังๆ

“อะ.......เออ หวัดดี”

“หมู่นี้เป็นยังไงบ้าง? สบายดีเหรอ?”

เจ้าตัวเปี๊ยกยังคงถามต่อ ท่าทางปีนเกลียวกวนประสาทเสียจนถ้าไม่ติดว่านั่นคือตัวผมเอง ผมคงได้เบิ๊ดกระโหลกไอ้เด็กเปรตนี่ไปแล้ว

“ก็.......คงสบายดีแหละมั้ง........ไม่เจ็บไม่ไข้อะไรนี่.......”

“เหรอ.... แสดงว่านายยังไม่ค่อยแน่ใจชีวิตตัวเองเท่าไรสินะ” 

มินิทิชาพยักหน้าแกนๆ พลางยกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจ นัยน์ตาใสแจ๋วมองหน้าผมคล้ายกับจะบอกว่ายังมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจรออยู่อีกเพียบในโลกของความฝัน 

“งั้นเรามาดูกันก่อนแล้วค่อยเลือกอีกทีก็ได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตของเราเป็นแบบไหน”

ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่ทว่า ปลายนิ้วเล็กจากคนตรงหน้ากลับยื่นมาแตะที่ริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบเสียงลง ทันใดนั้นเอง จอสกรีนขนาดยักษ์ก็เริ่มมีแสงสว่างจ้าเรียกสายตาให้ต้องปล่อยวางความคิดทุกอย่างแล้วหันไปมอง.... ภาพฟิลม์ต้นม้วนหยุดรอเอาไว้ให้คนดูเตรียมพร้อมสำหรับชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ ถึงแม้ว่านอกจากผมกับตัวผมอีกคนแล้ว เก้าอี้เบาะนั่งรอบด้านจะไม่มีใครอื่นอีกเลยก็ตาม

และแล้ว ความทรงจำซึ่งเลือนรางจนบางทีผมก็เผลอคิดไปว่ามันอาจจะเป็นเพียงความฝันก็แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย....



‘พอสักที เงินผมก็ให้ตามที่คุณขอไปแล้ว.... ยังจะมาวุ่นวายอะไรอีก!!??’

‘ก็นี่มันงานวันเกิดคุณแม่ของคุณ ทิชาเป็นหลานของท่านแท้ๆ ทำไมแกถึงจะมากราบญาติผู้ใหญ่ของตัวเองไม่ได้ล่ะคะ!!??’

‘แต่คุณแม่ไม่ได้เรียกให้ทิชามา คุณก็ไม่ควรพาลูกมานะ นิดา!’

‘อะไรกัน.... คนบ้านนี้นี่ยังไง ลูกหลานจะมาเยี่ยมนี่ถึงขั้นต้องรอให้ส่งบัตรเชิญก่อนเหรอคะถึงจะมาได้!?’

‘พาลูกกลับไปซะ อย่ามาสร้างความวุ่นวายในงาน.... เอาไว้ถ้าคุณแม่อยากเจอทิชาเมื่อไร ผมจะให้เลขาโทรไปบอกเอง!'

‘ไม่กลับค่ะ ถ้าคุณวิภาวีกับหนูเกดอยู่ในงานนี้ได้ นิดากับลูกก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน!’

‘แต่ฐานะของคุณวิกับยายเกดไม่เหมือนคุณกับทิชา!’

‘ไม่เหมือนยังไงคะ.... ลำพังตัวฉันไม่ได้จดทะเบียนเป็นเมียแต่ง คุณจะไม่ยอมรับฉันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนาเหมือนหนูเกด คุณเองก็ยอมรับแกให้เป็นลูกใช้นามสกุลเดียวกันแล้ว คนทั้งประเทศเขาก็รู้กันหมดว่าใครเป็นพ่อ.... หรือว่าอยากจะฉาวอีกรอบข้อหากีดกันลูกตัวเองไม่ให้เข้าบ้านล่ะ!?’

‘นิดาวัลย์!!’

‘เอาซี้.... คนอย่างฉันมันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว คนหน้าบางอย่างคุณก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะให้ทิชาเข้าไปหาคุณย่า หรือจะขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายนี้กันให้หมดทั้งตระกูลเลย!!’




ละครน้ำเน่าเรื่องแรกที่ได้ดูก็คือสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองลืมมันไปนานแสนนานแล้ว.... จำได้ว่าตอนนั้นผมน่าจะอายุราวๆ ห้า-หกขวบมั้ง แม่ไปเห็นข่าวว่าบ้านใหญ่ทิพยศักดิ์เสนาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดคุณย่าจากที่ไหนสักที่ ญาติมิตรแขกเหรื่อรวมถึงคู่ค้าทางธุรกิจต่างก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน แต่กลับไม่มีใครสักคนคิดจะโทรมาบอกเราสองแม่ลูก แม่ถึงได้โกรธจัดแล้วก็จับผมขึ้นรถ บุกไปบ้านใหญ่แล้วก็ทะเลาะกับพ่อ ทวงถามถึงสิทธิและการยอมรับซึ่งเราไม่เคยได้จากทุกคนที่นั่น

ด้วยความเป็นเด็ก ผมก็เลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร เอาจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนที่ยืนเถียงกับแม่คือพ่อแท้ๆ ของผมเอง ก็เพราะเขาไม่เคยมาหาผมเลย คำว่าพ่อสำหรับผมตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็เหมือนผี รู้ว่ามีแต่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้

จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องมาอาละวาดใส่พ่อ ไม่เข้าใจว่าบ้านใหญ่สำคัญกับพวกเรายังไง ไม่เข้าใจว่าสายตาของคุณป้าที่ชำเลืองมองมาขณะกำลังหยอกล้อเล่นกับพี่สาวผมนั้นมีความหมายแบบไหน และไม่เข้าใจด้วยว่าถ้อยคำกระทบกระเทียบซึ่งพวกเขาพูดกับผมซึ่งเป็นแค่เด็กไร้เดียงสามันแปลว่าอะไร



‘เด็กคนนี้น่ะเหรอ ลูกชายของแม่นิดาวัลย์?’

‘หน้าตาเหมือนแม่อย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ลูกไม้มันก็คงหล่นไม่ไกลต้นนักหรอก.... ที่มานี่ก็จะมาแบมือขอเงินจากพ่อกาญจน์กับคุณแม่สินะ เดือนหนึ่งได้ไปเป็นแสนๆ แล้วยังไม่รู้จักพอ สงสัยแม่นิดาคงจะเสี้ยมสอนให้ลูกให้รู้จักปอกลอกเอาสมบัติจากพ่อกาญจน์เหมือนตัวเองล่ะมั้ง’

‘นี่เจ้าหนู.... ดีนะที่น้องชายฉันยังพอจะมีเมตตารับเธอเป็นลูก ถ้าหากเป็นคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้เธอกับแม่ได้ไปนอนอยู่ข้างถนนแน่!’

‘แน่ะ ยังจะมายืนมองอยู่อีก.... ขนมพวกนี้พวกฉันเอามาให้ยายเกดแค่คนเดียว หลานนอกไส้อย่างเธอไม่เกี่ยว จะไปไหนก็รีบไปให้พ้นๆ เสียที!’



ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ‘เสี้ยมสอน’ ‘ปอกลอก’ ‘หลานนอกไส้’ หมายความว่ายังไง จนกระทั่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินนั้นคือคำด่า.... แต่กว่าผมจะโตจนรู้ความ ถ้อยคำว่าร้ายเหล่านั้นก็ซึมซับฝังลึกลงในหัวใจและหัวสมองมากจนเกินกว่าจะลบมันออกไป

เรื่องราวในอดีตค่อยๆ พร่างพรูออกมาจากลิ้นชักความทรงจำซึ่งผมพยายามจะปิดตายเอาไว้อย่างสุดกำลัง กี่ครั้งกี่หนที่ผมบอกตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ ก็มันช่วยไม่ได้ หากสุดท้ายรอยแผลที่คิดไปเองว่าหายแล้วก็พร้อมจะอักเสบกลัดหนองขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

ผมตั้งใจว่าจะลุกขึ้นเดินออกจากโรง แต่จอภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนกลับไปเป็นสีขาวโล่งเช่นดังเดิม ก่อนที่ภาพยนตร์ฉากที่สองจะเริ่มต้นขึ้น....


สถานที่ในเรื่องเปลี่ยนจากบ้านทิพยศักดิ์เสนามาเป็นโรงเรียนมัธยมอินเตอร์ฯ ค่าเทอมรายปีเกือบหลักล้าน.... แม่ส่งผมไปเรียนที่นั่นเพราะหวังจะให้เข้าสังคมกับพวกลูกหลานคนมีเงิน ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ จะได้ไม่โตขึ้นมากลายเป็นเด็กแวนซ์ให้แม่อับอายขายขี้หน้า ไอ้การเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ก็ฟังดูเหมือนจะดีอยู่หรอกนะ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วมันก็ฟอนเฟะไม่แพ้โรงเรียนระดับรากหญ้าเลย มีทั้งเด็กที่เสพยา ปาร์ตี้มั่วสุมสารพัด ที่ร้ายที่สุดก็คือการกลั่นแกล้งกัน

โดยเฉพาะเด็กที่มีจุดอ่อนปมด้อยเยอะเป็นพิเศษแบบผม ยิ่งโดนบูลลี่หนักกว่าใครเขาเลยล่ะ....



‘เฮ้ย ทิชา.... กูได้ยินมาว่าแม่มึงเป็นเมียน้อย เรื่องจริงเหรอวะ?’

‘เห็นเงียบๆ แต่จริงๆ แล้วมึงก็ Bitch เหมือนแม่ใช่ปะ?’

‘เย็นนี้ไปปาร์ตี้บ้านไอ้แฟรงก์กับกูมั้ยล่ะ ทิชา.... โม้กให้กูต่อหน้าทุกคนทีนึง เดี๋ยวกูจ่ายมึงห้าหมื่นเลย’

‘อ้าว มึงไม่ได้ขายเหรอวะ.... หรือว่านี่เป็นวิธีโก่งค่าตัว?’

‘โธ่เว้ย ขายก็บอกว่าขายดิวะ ทีแม่มึงยังยอมเป็นเมียน้อยแลกเงินเลย ตัวมึงก็ไม่ได้สูงส่งมาจากไหนหรอก ไอ้ลูกเมียน้อย!’




และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่มีเพื่อนเลย ไม่อยากคบใครและไม่อยากให้ใครมายุ่งกับผมด้วย

เดิมทีผมก็ไม่ใช่ลูกแหง่ติดแม่อยู่แล้ว สองสิ่งที่แม่สนใจก็มีแค่เรื่องพยายามตะเกียกตะกายจะกลับไปเล่นละครหลังข่าวกับเรื่องทวงสิทธิ์ความเป็นลูกหลานของทิพยศักดิ์เสนาให้ผม ผมจึฃไม่เคยเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกบูลลี่ที่โรงเรียนให้แม่ฟังแล้วจัดการกับปัญหาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว.... ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ปฏิเสธการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิง ยิ่งถ้าใครมาร้ายหรือมีท่าทีที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้วางใจ ผมก็พร้อมจะตอบโต้ด้วยอะไรสักอย่างที่จะช่วยให้คนพวกนั้นไม่เข้ามาวุ่นวายกับผมอีก

ผมคิดว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นถูกต้องแล้ว ผมอยู่ตามลำพังจนชิน ตื่นเช้าไปโรงเรียนเจอกับเรื่องเหี้ยๆ ตกเย็นก็กลับบ้านมาฮีลตัวเองด้วยการวาดรูปและเล่นเกมแต่งบ้านที่ผมชอบ.... ผมไม่เคยรู้สึกเหงา ไม่เคยรู้ว่าอารมณ์วูบโหวงในหัวใจยามเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เจอใครอยู่เลยนั้นหมายความว่ายังไง กว่าจะได้คำตอบ ความเหงาก็หยั่งรากฝังลึกลงในใจผมจนไม่สามารถเยียวยาได้เสียแล้ว

เหงามากจนยอมทำอะไรโง่ๆ ตั้งหลายอย่าง

โง่งี่เง่าแบบที่ไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด....



‘พี่ไม่เคยเจอเด็กคนไหนเหมือนทิชามาก่อนเลย.... ถึงเราจะไม่ค่อยยิ้ม คุยไม่เก่ง แต่ก็น่ารักน่าทะนุถนอม แถมอยู่ด้วยแล้วสบายใจอีก’

‘น้องทิชาเป็นของพี่ได้ไหมครับ?’




คนที่พูดประโยคนั้นก็คือพี่ริว....

ผมเจอกับพี่ริวตอนเรียนอยู่เกรดสิบสอง ตอนนั้นผมจำเป็นต้องเรียนติวเพื่อสอบเทียบ IGCSE สำหรับใช้ยื่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม่พี่ริวเป็นเจ้าของสปาที่แม่ผมไปใช้บริการบ่อยๆ ก็เลยแนะนำกันไปแนะนำกันมา แล้วก็ลงเอยตรงที่พี่ริวจะมาเป็นติวเตอร์ให้ผมสัปดาห์ละสองวัน บางครั้งเขาก็มาที่บ้าน แต่ถ้าวันไหนไม่สะดวก ผมก็จะเป็นฝ่ายไปหาเขาที่คอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยแทน

พี่ริวไม่เคยล้อเลียนหรือถากถางผมเหมือนอย่างที่คนอื่นทำ ทีแรกผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะผมอยู่ในฐานะลูกค้าของเขา และแม่ผมก็เป็นลูกค้าแม่เขา หากพอเวลาผ่านไปกว่าสามเดือน ผมก็เริ่มคุ้นเคยและผูกพันกับเขามากขึ้น.... วันที่ไม่มีเรียน ผมก็ยังไปหาเขาที่คอนโดฯ ไม่ได้เจอก็คิดถึง ไม่ว่าจะทำอะไรก็นึกถึงแต่หน้าเขา

ผมไม่รู้หรอกว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าอยู่กับเขาแล้วผมไม่เหงา ผมชอบฟังเวลาที่เขาพูดจาหวานๆ ชอบให้เขากอด ชอบให้เขาหอมแก้ม แล้วก็ชอบให้เขาจูบด้วย

แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธคำขอของเขา

พี่ริวเป็นผู้ชายคนแรกของผม....



‘ขอโทษนะ ทิชา.... แต่พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ’

‘ก็.......พี่คิดว่าเราสองคนไม่น่าจะไปต่อกันได้ ทิชาเด็กเกินไปสำหรับพี่ และพี่ก็ไม่ตื่นเต้นเวลาที่เจอทิชาอีกแล้ว จะบอกว่าไม่ได้ชอบเราแล้วก็คงใช่มั้ง’

‘พี่ไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น ที่ผ่านมาเราก็มีความสุขด้วยกันไม่ใช่หรือไง?’

‘ทิชาเต็มใจนอนกับพี่เองนะ พี่ไม่เคยบังคับเราสักหน่อย’

‘พี่ยอมรับก็ได้ว่ามีแฟนอยู่แล้ว ยังไงพี่ก็ต้องเลือกแฟนพี่.... ได้ยินแบบนี้แล้ว เราจะจบกันได้หรือยัง?’




ละครฉากของผมกับพี่ริวก็จบลงแบบทุเรศๆ อย่างที่เห็น....

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองเดือน พี่ริวก็มาบอกเลิกผม ถึงจะอ้างนู่นอ้างนี่แต่สุดท้ายมันก็จบด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ได้รักผม ไม่เคยรัก ที่ผ่านมาก็แค่เรื่องโกหกตอแหลของผู้ชายขี้เงี่ยนกับไอ้เด็กหน้าโง่ซึ่งหลงคิดไปเองว่าเขารัก ผลก็คือทั้งเสียตัวและเสียใจไปพร้อมๆ กัน

ผมร้องไห้เพราะพี่ริวก็จริง แต่ก็แค่ครั้งเดียวหลังจากที่รู้ว่าโดนคบซ้อนแล้วเขี่ยทิ้งนั่นแหละ.... แค่สอง-สามวัน ผมก็กลับมาเป็นทิชาคนเดิม เงียบ เก็บตัว เกลียดการเข้าสังคม ขี้ระแวง ไม่ชอบยุ่งกับคนแปลกหน้า แล้วก็ขี้เหงาเหมือนเดิมด้วย

เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ หากก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าตัวเองคิดถึงช่วงเวลาที่คบกับพี่ริวมากเหลือเกิน.... ผมยังคงอยากถูกกอด อยากถูกจูบ หรือจะพาผมขึ้นเตียงก็ได้ ก็แค่อยากมีใครสักคนที่คอยแสดงออกว่ารักผมบ้างเท่านั้นเอง

แล้วความอยากผสมกับความกระพร่องกระแพร่งในใจก็ทำให้ผมพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกตามประสาคนโง่ เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ



‘น้องคนนี้ใช่ไหมที่ชื่อทิชา!?’

‘มายุ่งกับแฟนพี่ทำไมคะ.... ไม่รู้เหรอว่าบอสมีแฟนอยู่แล้วน่ะ!? หรือว่ารู้แต่ก็ยังจะหน้าด้านจงใจแย่ง!?’

‘ก็ไม่อยากคิดหรอกนะว่าไปได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร แต่ถามจริงเหอะ คุณแม่ไม่เคยสอนเลยเหรอคะว่าอย่ายุ่งกับแฟนของคนอื่น!?’

‘อ้อ.... ลืมไปเลยว่าคุณแม่น้องก็เป็นเมียน้อยนี่นะ มิน่าล่ะ ได้แม่มาเยอะนี่เองถึงได้คันคะเยอขนาดนี้!’



ไม่มีใครอยากโดนพูดถึงในทางแย่ๆ หรอก ผมเองก็เหมือนกัน

ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาจีบ ผมถามพวกเขาทุกคนแล้วนะว่าโกหกกันหรือเปล่า ไม่ได้หลอกคบซ้อนเหมือนอย่างที่พี่ริวเคยทำกับผมใช่ไหม คำตอบที่ได้รับก็มีแค่ลมปากซึ่งบอกว่าจริงใจ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงกลายเป็นว่าผมคือมือที่สามอยู่ร่ำไป

หนึ่งคนก็แล้ว สองคนก็แล้ว กว่าผมจะรู้ตัวว่าทำพลาดไปเยอะมาก ชื่อของ ทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา ก็ฉาวโฉ่ไปทั่วมหาวิทยาลัยพร้อมๆ กับเสียงก่นด่าและสีหน้ารังเกียจจากคนที่ฟังความข้างเดียวแล้วเชื่อ.... ผมก็เอียนกับการถูกหลอกซ้ำซากอยู่หรอกนะ แต่พอมีคนใหม่เข้ามาทำดีด้วย สัญญาสาบานดิบดีว่าจะรักและดูแลผม ไม่ให้ผมต้องจมอยู่กับความเหงาอีก หัวใจเจ้ากรรมมันชอบก็พุ่งกระโดดลงหลุมกับดักไปก่อนที่ผมจะตามคว้าเอาคืนได้ทัน

เหมือนวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีใครสามารถหยุดได้ แม้กระทั่งตัวผมเอง

หลายครั้งที่ผมแอบคิดว่าไม่มีทางที่จะมีใครรักผมจริง ขนาดพ่อบังเกิดเกล้ากับญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันยังไม่เคยเห็นผมมีตัวตนเลย แล้วใครที่ไหนจะมาให้ค่ากับคนไม่สำคัญแบบผมล่ะ.... นานแค่ไหนแล้วที่วิ่งไล่ไขว่คว้าหาความรักจนเหนื่อย อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วหายไปจากโลกนี้เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด เผื่อว่าจะหลุดพ้นไปจากเขาวงกตซึ่งไม่มีทางออกแห่งนี้สักที

แต่ในความเป็นจริงก็คือผมยังคงวิ่งต่อไป

วิ่งไปเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจที่มีรอยร้าวรอยขีดข่วนเพิ่มมากขึ้น จนน่ากลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องแตกสลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี

ผมควรจะวิ่งต่อไปดีไหมนะ?


หรือมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องหันหลังกลับเพื่อนอนพักไปตลอดกาล?

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ภาพบนจอกลับมามืดสนิทอีกครั้งก่อนที่ผมจะพรูลมหายใจออกมา ความเจ็บร้าวไปตามฝ่ามือถึงได้รู้สึกตัวว่าผมเกร็งจิกปลายเล็บเข้าเนื้อตัวเองตลอดเวลาที่นั่งดูเรื่องราวในอดีตอันแสนน่าสมเพช ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายเต้นแผ่วเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันควรจะหยุดนิ่งไปได้สักที.... น้ำตาซึ่งไหลรินอาบแก้มถูกปาดทิ้งลวกๆ ความสงสัยเกาะกุมอยู่เต็มหัวใจว่าที่ผ่านมาผมต้องอดทนมากขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วผมจะอดทนต่อไปทำไม ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยเห็นจะมีอะไรดีขึ้น


“เจอแต่เรื่องลำบากๆ มาตลอดเลยเนอะ พวกเราน่ะ”

ทิชาร่างสามขวบหันมาถามผม แม้จะเป็นเวอร์ชั่นเด็กแต่กลับทำท่าทางแก่แดดรู้ดีจนน่าหมั่นไส้ แต่ผมก็เห็นด้วยกับที่เจ้าเปี๊ยกพูดทุกคำ

“อืม.... นั่นสิ”

“เหนื่อยขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่หยุดพักสักหน่อยล่ะ?”

“ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าจะหยุด.........” 

น้ำเสียงผมฟังดูคล้ายรำพึงรำพันเปิดใจคุยกับจิตแพทย์ แต่ไม่มีหมอที่ไหนมารักษาผมหรอก ก็มีแต่ตัวผมนี่แหละที่เยียวยารักษาจิตใจตัวเองมาโดยตลอด 

“แต่ทุกครั้งที่คิดว่าไม่เอาแล้ว พอได้แล้ว ใจมันก็แอบหวังทุกทีว่าบางทีอาจจะเป็นคนถัดไป หรือไม่ก็คนถัดไปของคนถัดไป เดี๋ยวก็คงมีคนดีๆ เข้ามาเองแหละ...........”

“แล้วคนๆ นั้นใช่คนที่เรากำลังตามหาอยู่หรือเปล่า?”

จอภาพเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนไหวอีกหน ทันใดนั้นเอง ผู้ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อช็อปคณะวิศวะฯ สีเลือดหมูก็ปรากฏขึ้นบนฉากสีขาว จี้รูปเฟืองสีทองแดงเป็นประกายส่องสว่างอยู่เหนือผืนอกกว้าง.... เส้นผมของเขายาวกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าพี่โรมซึ่งอยู่บนจอภาพยนตร์จะเป็นตอนที่ผมกับเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรก เขาอาจจะไม่ใช่คนหล่อจัดแบบไอ้แดนหรือบรรดาแฟนเก่าใจหมาของผม แถมยังหน้าดุ พูดจาโผงผางมึงมาพาโวย แต่ใครเลยจะรู้ว่าพี่โรมนั้นทั้งอ่อนโยนและใจดีกับผมยิ่งกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้

“คิดว่าใช่นะ” 

ผมตอบพลางเหม่อมองละครฉากที่พี่โรมถอดเสื้อช็อปยื่นส่งให้ผมซึ่งตัวเปียกไปด้วยน้ำโกโก้ข้นคลั่ก มาย้อนภาพดูแบบนี้ถึงได้เห็นชัดว่าผมน่าจะตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ เพียงแต่พี่โรมไม่ได้คิดเหมือนกันกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว 

“ไม่รู้สิ.......ก็แค่อยากให้ใช่..........”

“แต่เขาไม่ได้รักเรานี่นา เราจำได้นะว่าเขาเคยพูดแบบนั้น” 

ทิชาน้อยตอกย้ำความจริงให้ผมฟัง 

“พี่ชายที่ชื่อโรมคนนั้นเขาบอกว่าชอบคนร่าเริงสดใส คุยเก่ง มองโลกในแง่ดี ดูซื่อใสไร้เดียงสา.... แต่พวกเราน่ะมีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ คนเกลียดทั้งมหาลัย มิหนำซ้ำยังนอนกับแฟนชาวบ้านมาไม่รู้ตั้งกี่คน สเป็คของพี่โรมน่ะไม่มีอะไรที่เหมือนเราเลยสักอย่าง เราถึงได้ถูกมองข้ามไง”

ผมนิ่งเงียบระหว่างที่เรื่องราวบนจอดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเห็นตัวเองร้องไห้กระเซอะกระเซิงเพราะถูกพี่โรมปฏิเสธไม่รับรัก เห็นตัวเองขับรถออกจากบ้านไปเบอร์ลิค ดื่มเบียร์ผสมยาปลุกเซ็กส์แม้จะรู้ดีว่ามันจะส่งผลอย่างไร ถูกพี่รุจลากขึ้นไปบนเคาท์เตอร์พร้อมประกาศว่าจะให้รุ่นน้องเขาลงโทษผมข้อหาชิงเกียร์ด้วยการรุมโทรม เห็นพี่โรมพุ่งเข้ามาช่วยก่อนจะอุ้มผมออกมาจากที่นั่นโดยที่ไม่เฉลียวใจเลยว่าน้องทิชาที่เขาเอ็นดูจะโกหกตอแหลเพราะอยากเสียตัวให้ผู้ชายที่แอบชอบ ซ้ำร้ายผู้ชายคนนั้นยังเป็นแฟนของเพื่อนสนิทด้วย

แต่ผมก็เห็นพี่โรมกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนจนถึงรุ่งเช้า เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าของเขายามเมื่อริมฝีปากหยักได้รูปทาบทับลงบนผิวแก้มผม

แล้วอย่างนี้ ผมจะแอบมีความหวังบ้างไม่ได้เลยเหรอ....?

“จะเอาอีกจริงๆ เหรอ.... ถ้าเจ็บขึ้นมาคราวนี้ ต่อให้เราเข้มแข็งแค่ไหนก็คงจะเยียวยาตัวเองไม่ไหวแล้วนะ”

เจ้าตัวเล็กเบะปากเมื่อเห็นผมโผเข้ากอดพี่โรมแล้วร้องไห้จะเป็นจะตาย.... ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่ผมทะเลาะกับแม่เรื่องเปลี่ยนนามสกุลก็เลยเตลิดไปหาพี่โรมที่เบอร์ลิค เขาปลอบใจผมก่อนที่เราจะจูบกันในร้านอาหาร ก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำไมพี่โรมถึงได้เปลี่ยนท่าทีจากไม่ชอบมาเป็นชอบ แถมยังยกเกียร์ที่ผมชิงมาให้ไม่ทวงคืนอีก

ถึงแม้สิ่งที่พี่โรมมอบให้จะเป็นแค่ความสงสาร หากสำหรับผมแล้ว นั่นคือความรัก.... ทั้งรักและหลง รักทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอาจไม่ได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา ถ้าจะเปรียบว่าเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็คงไม่ผิด

ผมยอมเผาตัวเองตายเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

แต่แล้ว ภาพที่พี่โรมนั่งจับไม้จับมือบีบี๋อยู่ที่โรงพยาบาลก็แทรกเข้ามาในประสาทส่วนการมองเห็น ผมลืมตัวกัดปากจนช้ำห้อเลือด หัวใจเจ็บร้าวขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมเมื่อคิดว่าสองคนนั้นเคยชอบกันมาก่อน และผมก็คือมือที่สามซึ่งจ้องจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาให้พังพินาศ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความรักหวานซึ้งจนกระอักเลือดตายไปเองในที่สุด

“ก็รู้นี่ว่าคนชื่อโรมเขาชอบบีบี๋มาตั้งแต่แรกแล้ว.... อย่าเสี่ยงเลยนะ ทิชา อยู่ด้วยกันกับเราที่นี่เถอะ” 

ทิชาเวอร์ชั่นเด็กเกาะแขนผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ลุกขึ้นหนีไปจากความเป็นจริงซึ่งสะท้อนอยู่ตรงหน้า 

“ดูมาตั้งนานยังไม่มีเห็นมีใครรักเราสักคน แล้วเราจะกลับไปเหนื่อยอีกทำไม.... หรือว่าที่ผ่านมาเรายังเสียใจไม่พอ?”

“ฉัน.......พอแล้ว........ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว...........”

“ไม่อยากเสียใจแล้วก็นั่งลงสิ.... นั่งลงแล้วหลับตา หลังจากนั้นเราก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด น้ำตาก็จะไม่ไหลอีกแล้วด้วย” 

ร่างกะจ้อยร่อยเกลี้ยกล่อมผม มือเล็กบีบแขนผมแน่นคล้ายจะบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกระเสือกกระสนออกไปพบเจอกับสิ่งโหดร้ายและความรักที่บิดเบี้ยวอีก 

“หลับซะนะ ทิชา.... แค่เรานอนหลับไป เรื่องทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียงความฝัน และสุดท้ายมันก็จะถูกลืมไปเอง...........”

“แค่หลับก็โอเคแล้วเหรอ?”

“อือ.... ในโลกแห่งความฝัน เราจะทำอะไรก็ได้ จะรักใครก็ได้ หรือจะให้ใครมารักเราก็ได้ ง่ายกว่าวิ่งไปตามคว้าที่ข้างนอกนั่นเยอะเลย”

“ฉันว่าตอนนี้ฉันก็กำลังฝันอยู่นะ.........” 

ผมยิ้มให้ตัวเองในวัยเด็ก ทิชาคนที่อยู่ตรงหน้าพูดทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนว่ามันคือเรื่องธรรมดา ไม่เจ็บปวดไม่เสียใจ แต่ก็คงเพราะว่าเจ้าเปี๊ยกนี่เป็นเด็กนั่นแหละ ถึงได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่เอาเสียเลย 

“แต่วิธีการของนายก็ฟังดูดีไม่เบา ถึงเวลาที่ฉันควรจะพักผ่อนแล้วลืมทุกอย่างได้แล้วล่ะมั้ง.........”

ทิชาตัวน้อยส่งยิ้มตอบกลับมา ในขณะที่เปลือกตาของผมค่อยๆ ปิดลง

ร่างกายเบาหวิวคล้ายถูกยกลอยขึ้นในอากาศ ก้อนหินหนักอึ้งซึ่งทับถ่วงพันธนาการหัวใจผมเอาไว้กับความทุกข์ได้รับการปลดปล่อย

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น....



‘ทิชา......’



ใครบางคนกำลังเรียกผมจากที่ไหนสักแห่ง



‘ทิชา.... อย่าไปไหนนะ กลับมาหาพี่เถอะ คนดี’



นี่คือโลกแห่งความฝันที่เจ้าตัวเล็กพูดถึงเมื่อกี้ใช่หรือเปล่า?

ถ้าใช่.... แล้วทำไมผมถึงยังปวดหน่วงในใจ ไม่หมดความรู้สึกไปสักทีล่ะ?



‘ทิชาไม่รักพี่แล้วเหรอ? ทำไมถึงได้เอาแต่นอนแบบนี้ล่ะ?’

‘ตื่นขึ้นมาเถอะนะ.... ตื่นขึ้นมาดูให้เห็นกับตาว่าผู้ชายคนนี้รักทิชามากแค่ไหน พี่รักทิชานะครับ........รักมากจริงๆ...........’




ผมได้ยินเสียงพี่โรมจากที่ไกลๆ แต่มองไม่เห็นตัวเขา น้ำเสียงปวดร้าวที่ส่งมาถึงตรงนี้บอกให้รู้ว่าเขากำลังเป็นฝ่ายร้องไห้แทนที่จะเป็นผม.... เหมือนร่างกายถูกกระชากอย่างรุนแรงด้วยมือลึกลับ ผมสะดุ้งเฮือกสุดกายลืมตาขึ้นมาเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาต้นเสียง แต่กลับพบว่าผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ฟังถ้อยคำวิงวอนราวกับจะขาดใจของพี่โรมโดยที่ไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้

“พี่โรม.............”

น้ำตาซึ่งควรจะเหือดแห้งไปได้แล้วร่วงเผาะเหมือนทำนบเขื่อนแตก ห้วงความคิดว้าวุ่นสับสน ทั้งไม่อยากกลับไปพบเจอกับโลกอันแสนโหดร้ายแต่ก็ไม่อาจตัดใจจากความรักซึ่งมีคนอุตส่าห์หยิบยื่นให้

“ลังเลอีกแล้ว” 

ทิชาน้อยกุมขมับพลางส่ายหน้าให้กับความไม่เอาไหนของผู้ใหญ่อายุยี่สิบ 

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่โรมไม่ได้รักเรา.... เขาก็แค่พยายามทำตัวเป็นคนดีไปอย่างนั้นเอง นั่นคือความสงสารแต่ไม่ใช่ความรักหรอกนะ ทิชา”

“รักสิ.... พี่โรมเขารักฉัน”

“ไม่ได้รัก”

“รัก!!!”

ผมตะโกนออกไปจนสุดเสียง ทำเอาเด็กชายตัวเล็กนิ่งอึ้งไปก่อนจะมองผมคล้ายจะด่าว่า ‘นายมันบ้าไปแล้ว’ แต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้บ้า ผมแค่เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ รักคนที่ผมอยากรัก และผมก็อยากกลับไปหาเขา

ไม่มีอะไรทำให้ผมหมดรักและตัดใจจากพี่โรมได้ แม้กระทั่งความตาย

ต่อให้ต้องตายไปตอนนี้ ผมก็ยังจะรักเขาอยู่ดี....

“ถ้าหากวันไหนที่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันจะกลับมานั่งดูละครน้ำเน่าอยู่ตรงนี้กับนาย.... ฉันรู้ดีว่าคนเราเกิดมาจะช้าหรือเร็วก็ต้องตาย สุดท้ายก็ไม่มีใครที่จะอยู่กับฉันไปได้ตลอดนอกจากตัวฉันเอง...........” 

ผมกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยความต้องการออกมาอย่างหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำให้ร่างเล็กซึ่งเป็นจิตใต้สำนึกของตัวเองฟัง 

“แต่ในตอนนี้ที่ฉันยังมีทางเลือกอยู่ ฉันก็ขอเลือกที่จะกลับไปหาพี่โรม แล้วหลังจากนี้ ไม่ว่าชีวิตที่เหลือจะเป็นยังไง จะดีจะเลวแค่ไหน ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน.... นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ทิชา?”

“ฉันรู้ว่ามันยาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ.... แต่ฉันก็อยากเชื่อใจพี่โรมว่าเขาจะสามารถทำให้เรามีความสุขได้ และเรื่องราวบนจอที่เราดูด้วยกันเมื่อกี้จะไม่เกิดขึ้นอีก........” 

ผมซับน้ำตาจนแห้ง มองทิชาน้อยอย่างขอร้อง 

“ฉันให้โอกาสพี่โรมแล้ว นายล่ะ จะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งได้หรือเปล่า?”

เจ้าตัวเปี๊ยกทำหน้าบึ้ง แต่แล้ว ริมฝีปากสีสดก็ค่อยๆ ยกมุมขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มในที่สุด

“เฮ้อ.... รู้อยู่แล้วว่าเราน่ะดื้อจะตาย แม่ก็เคยพูดบ่อยๆ ว่าทิชาเป็นเด็กดื้อเงียบ” 

ทันใดนั้นเอง มือล่องหนซึ่งจับล็อคตัวผมเอาไว้ก็คลายออก พร้อมกับที่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงป้าย EXIT ช่วยชี้ทางออกจากโรงหนังแห่งนี้ 

 “ทางออกอยู่ตรงนั้นไง รีบๆ เดินไปสิ”

ผมก้าวออกมาจากแถวที่นั่งแล้วเดินไปตามแสงนำทาง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไอ้เด็กแก่แดดช่างจ้อไม่ได้เดินมากับผมด้วย

“แล้วนายล่ะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ?”

“จะตามไปทำไม ในเมื่อเราเป็นแค่ความทรงจำร้ายๆ ของทิชา” 

ทิชาไซส์มินิบอกผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี

 “เมื่อใดก็ตามที่ทิชามีความสุข ความทรงจำนิสัยไม่ดีอย่างเราก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว”

“พูดบ้าๆ คนเราจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีความทรงจำ”

“ทิชาก็สร้างมันขึ้นมาใหม่สิ.... ใช้เวลาที่ได้อยู่กับพี่โรม กับคนที่รักทิชาสร้างความทรงจำดีๆ ขึ้นมา เอาให้เยอะแยะนับไม่ถ้วน แล้วทิชาก็จะเข้าใจเองว่าความทรงจำแย่ๆ นั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถูกเก็บอยู่ในใจของทิชาเลย”

“เอางั้นเรอะ?”

“อื้อ”

“แน่ใจนะ?”

“แน่ใจสิ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากความทรงจำในจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขาโบกมือให้ผมแทนคำบอกลาก่อนที่ผมจะก้าวพ้นไปจากประตูทางออกและไม่หันกลับมาคร่ำครวญถึงเรื่องราวในอดีตอีก

ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากแสงสีขาวตรงหน้า ผมกระโจนเข้าไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางแสงสว่างนั้นอย่างไม่ลังเล และทันทีที่รัศมีของมันโอบล้อมรอบกายผม จากภาพสถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่าซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลยก็กลับกลายเป็นภาพฝ้าเพดานคาดด้วยเส้นอลูมิเนียมเป็นตารางสี่เหลี่ยม แสงสว่างซึ่งไม่มีที่มาที่ไปก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงจากหลอดไฟนีออนผสานกับแสงจากดวงอาทิตย์อัสดง

ผมยังขยับตัวไม่ได้ก็จริง แต่ประสาทหูยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม



‘ทิชา!!!’



‘ทิชาฟื้นแล้ว..... คุณแม่ครับ น้องฟื้นแล้ว น้องกลับมาหาเราแล้ว!!!’



.


.


.



นั่นคือเสียงของพี่โรม

เสียงที่เรียกหาผมตลอดเวลาที่อยู่ในห้วงความทรงจำ ดึงผมให้ตื่นจากความฝันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง


.


.


.


และใช่.... ผมกลับมาแล้วครับ




TO BE CONTINUE



++++



ใกล้ตอนจบมากขึ้นทุกที เหลือแค่อีก 2ตอนสั้นๆ + 1 บทส่งท้ายก็ได้เวลาจบนิยายเรื่องนี้แล้วค่ะ

อยู่ด้วยกันไปจนจบนะคะ ^__^

ออฟไลน์ Kuayyai

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ดีใจที่ทิชาฟื้น
หวังว่าเรื่องร้ายๆ ไม่มีแล้วนะ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
หมดแล้วใช่มั๊ยยย ฮรือออ ใจบางไปหมดแล้วว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อย่าให้มีพายุฝนกับชีวิตของทิชาอีกเลยนะ ขอให้มีแต่สายรุ้งที่สวยงาม สู้ๆนะทิชา

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ขอบคุณค่ะลงได้ยาวจุใจมาก ทิชากลับมาแล้ว เรื่องบางเรื่องคลี่คายแล้ว เหลือเรื่องใหญ่ๆคือแม่พี่โรม สู้ๆค่ะคนแต่ง เป็นกำลังใจให้ เขียนนิยายได้สนุกมาก

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
ยาวมาก ขอบคุณนะคะ ที่พาน้องกลับมาไม่งั้นมีเครียดค่ะ
ทิชาน่าสงสารเจออะไรทชมาเยอะมาก แต่จากนี้น่าจะดีแล้ว มีพี่โรม มีแม่ก็พอ
รุจนี่น่ารังเกียจจัง เป็นคนที่เลว ไม่มีเหตุผล ไม่ทีหัวใจที่สุดละ ขอให้บี๋ไม่รักไปจนตายเลย
คือบีบี๋เองก็น่าเบื่ออ่ะ แต่ละเรื่อง กรรมใครกรรมมัน ไปใช้กรรมไป

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ทิชาคนเก่ง ดีใจทีหนูกลับมา ขอให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุขนะ ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการซื้อชีวิตใหม่ก็แล้วกัน

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เสียน้ำตาเยอะมาก  :pig4:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คู่ผีเน่ากับโลงผุไปไกลๆๆๆๆ  :fire: :m31: :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เข้ามาอ่านเรื่องนี้เพราะเห็นชื่อเรื่องแล้วสัมผัสได้ถึงความเศร้า เป็นนิยายดราม่าที่หนักหน่วงอีกเรื่องนึงเลยจริงๆ ทุกตัวละครไม่มีใครดีร้อยเปอร์และก็ไม่ได้ร้ายร้อยเปอร์เช่นกัน มีแต่ตัวละครสีเทาๆที่ทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ก็เหมือนชีวิตคนจริงๆที่มักเห็นแก่ตัวเองมากกว่าคนอื่นเสมอ เห็นว่าใกล้จะจบแล้ว เรารออ่านนะคะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
19
~ สถานที่ที่มีไว้เพื่อเรา ~


TISHA’s PART



“มีดอกไม้ส่งมาอีกแล้วคร้าบ คุณทิชา~”

เจ้าของเสียงยิ้มร่าเข้ามาหาผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ในอ้อมแขนมีช่อดอกยิปโซสีขาวห่อด้วยกระดาษคราฟท์ผูกริบบิ้นช่อเบ้อเริ่ม บอกให้รู้ว่าเสียงเคาะประตูเมื่อครู่นี้คงจะเป็นพนักงานส่งจากร้านดอกไม้นั่นเอง.... และทันทีที่กลับมานั่งลงข้างเตียง นายดรัณภพก็จัดแจงทำหน้าที่อ่านข้อความให้เสร็จสรรพโดยไม่ต้องร้องขอ   

“ขอให้ทิชาหายไวๆ นะคะ พวกเรายังรอติดตามผลงานของทิชาอยู่เสมอ.... จาก บ้านคนรักทิชา ณ ดินแดนทวิตภพ”

อ่านเสร็จก็ส่งช่อดอกไม้ให้ผมอุ้มแล้วถ่ายรูปเก็บไว้พอเป็นพิธี เผื่อว่าวันไหนที่ผมพร้อมจะให้ทุกคนเห็นสภาพปัจจุบันของตัวเองแล้วจะได้อัพขอบคุณลงอินสตราแกรม.... ผมพลิกการ์ดอ่านพลางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าแฟนคลับซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาพวกเขาเลยสักครั้งจะทั้งรักและเป็นห่วงผมขนาดนี้ กำลังใจที่ได้รับยิ่งทำให้ผมอยากหายเจ็บไวๆ เผื่อจะได้มีโอกาสพูดคุยและตอบแทนน้ำใจจากทุกคนบ้าง

จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาร่วมหกสัปดาห์แล้วหลังจากอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บของผมฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ สมองไม่มีปัญหาและเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น แต่เพราะกระดูกขาหักสองท่อนและกระดูกสะโพกแตกก็เลยยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้.... หมอบอกว่าผมจะกลับไปหายดีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ก็อาจไม่ถึงขั้นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังไงกระดูกที่หักก็จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของผมไม่มากก็น้อย แต่สำหรับผม ถ้าไม่ถึงขั้นพิการก็โอเค เช่นเดียวกับแผลบนหน้าซึ่งคุณหมอศัลยกรรมบอกว่าคงจะต้องทำเลเซอร์หลายครั้งหน่อยกว่าที่แผลเป็นจะหายไปหมด

นอกจากคนใกล้ตัวก็มีแฟนคลับและคนทั่วไปที่คอยให้กำลังใจผม แฮชแท็ก #PrayForTisha #GetWellSoonTisha ติดเทรนด์นานเป็นสัปดาห์นับตั้งแต่เกิดเรื่อง จนถึงตอนนี้เวลาที่แดนหรือคนในกองซีรีส์สงครามคิวท์บอยมาเยี่ยมผมแล้วอัพเดทความเคลื่อนไหว แฮชแท็กที่ว่าก็จะกลับมาติดเทรนด์ประเทศไทยอยู่เนืองๆ.... น่าขำตรงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีแฟนคลับกับเขาด้วย คิดว่าจะโดนคนทั้งประเทศอคติใส่ตั้งแต่เกิดจนตายเสียอีก

อันที่จริง ผมเองก็สื่อสารกับชาวบ้านไม่ค่อยเก่ง ถ้าไม่มีไอ้แดนช่วยเป็นสะพานเชื่อมผมกับโลกภายนอกก็คงลำบากน่าดู เพราะฉะนั้น เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ผมขอยกเครดิตความดีความชอบให้มันก็แล้วกัน

“นี่เขาเรียกดอกอะไรวะ.... น่ารักดีอะ เหมาะกับมึงมากเลย”

“ดอกยิปโซ” 

ผมตอบคำถาม มือก็จับนู่นพลิกนี่ดูไปเรื่อย

“ตอนเค้าฮิตถือช่อดอกยิปโซถ่ายรูปรับปริญญาลงในไอจีกันก็เฉยๆ นะ แต่พอมาเห็นของจริงแบบนี้ก็เออ สวยดีเหมือนกัน”

“มึงชอบเหรอ??”

เดือนสถาปัตย์ทำตาโตใส่ผม หน้าตาแม่งเหมือนหมาโกลเด้นตัวใหญ่ๆ เวลาเห็นกระดูกยางไม่มีผิด

“อือ.... ก็ได้อยู่”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูซื้อมาให้มึงบ้าง เอาช่อใหญ่กว่านี้สักสามเท่า.... โอ๊ย! ตีกูทำไมเนี่ย!?”

เจ้าหมายักษ์ร้องเสียงหลง คลำต้นแขนตัวเองป้อยๆ ตรงที่โดนผมตีพลางทำมองค้อนขมิบปากด่ามุบมิบ คงคิดในใจว่าในเมื่อสวรรค์อุตส่าห์ให้ผมขาหักแล้ว ทำไมถึงไม่ให้แขนหักไปด้วย จะเหลือไว้ให้ประทุษร้ายมันเพื่ออะไร

“ไม่ต้องซื้อมาเลยนะ!” 

ผมจิกเสียงใส่ไอ้แดนก่อนจะชี้ให้มันดูบรรดากระเช้าของขวัญกับดอกไม้ทั้งแบบช่อและแจกันซึ่งกองพะเนินเต็มมุมรับแขกจนแทบไม่มีที่นั่ง 

“ไอ้ที่อยู่ตรงนั้นน่ะของมึงคนเดียวก็เกินครึ่งหนึ่งแล้วมั้ง.... บอกว่าไม่ต้องซื้อๆๆ ก็ไม่เคยจะฟังกันเลย ห้องก็มีอยู่แค่นี้ ไม่มีที่จะวางแล้ว!”

“งั้นเดี๋ยวกูบอกแปะใหญ่ให้ย้ายมึงไปห้องพรีเมียร์วีไอพีบ่ายนี้เลย จะได้มีที่วางของเยอะๆ”

“ยังจะกวนอีก เดี๋ยวเหอะ”

“ลงโทษที่มึงโกหกกูเรื่องหาบ้านพักให้แม่ไง นอนดมเกสรดอกไม้ไปสักสามเดือนจนกว่าจะออกจากโรงพยาบาลท่าจะดี”

คำพูดนั้นฟังดูคล้ายจะล้อเล่น หากผมก็ดูออกว่าแดนมันงอนจริง แล้วก็คงอยากจะด่าผมมากๆด้วย

แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผมยังไม่ฟื้น ก็มีพี่โรมกับไอ้แดนนรกนี่แหละที่มาเกาะกระจกห้องไอซียูไม่ยอมหลับยอมนอน.... นายดรัณภพร้องห่มร้องไห้แทบจะกราบขอโทษแม่ที่ส่งโลเกชั่นบ้านพักให้ผมโดยไม่ทันคิด มันโทษตัวเองเสียจนทุกคนต้องหันไปปลอบแล้วคอยจับตาดูเพราะกลัวว่ามันจะทำอะไรบ้าๆ ลงไป จนกระทั่งผมฟื้นขึ้นมาแล้วยังพูดจารู้เรื่อง เจ้าหมอนี่ถึงได้กลับมายิ้มร่ากวนประสาทได้เหมือนเดิม

ถึงผมจะรอดมาได้ แต่ก็น่าจะทิ้งแผลเอาไว้ในใจมันไม่มากก็น้อย ต่อให้ไม่พูดออกมาตรงๆ ผมก็พอรู้ว่ามันยังเสียใจและคิดอยู่ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ผมเกือบตาย

“แดน.............”

ผมเอ่ยเรียกคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง พูดก็พูดเถอะ จนป่านนี้แล้วผมก็ยังไม่ได้ขอโทษมันเลยสักคำ 

“กูทำมึงตกใจมากเลยใช่ไหม?”

“ตกใจดิวะ ตอนนั้นกำลังไถโทรศัพท์ไปด้วยดื่มน้ำไปด้วย.... เจอข่าวมึงเด้งมาในหน้าฟีด แก้วหล่นแตกน้ำหกเต็มพื้นเลยมึง”

คนพูดทำเหมือนเป็นเรื่องตลก ทว่า มันคือตลกร้ายซึ่งไม่มีใครหัวเราะออกเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

“กูดีใจนะที่มึงไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นกูคงได้รู้สึกผิดแล้วก็โทษตัวเองไปตลอดชีวิตแน่” 

แดนคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ก่อนจะจับยกขึ้นแนบผิวแก้มสาก หน่วยตาเรียวคมจ้องมองมาอย่างพยายามจะสื่อความในใจซึ่งไม่มีโอกาสได้พูดบ่อยเท่าที่ใจอยาก โดยเฉพาะเวลาที่ญาติผู้พี่อยู่ด้วย

“เวลาที่ซื้อของให้มึงก็เหมือนได้บอกตัวเองว่ามึงยังอยู่ ยังไม่ตายจากไปไหน.... ถึงจะซื้อมาแล้วไม่ถูกใจก็กลับไปซื้อใหม่ได้ ซื้อไปเรื่อยๆ จนกว่ามึงจะบอกว่าชอบ”

รอยยิ้มบนใบหน้าคล้ายสายลมเอื่อยอ่อนทำให้รู้สึกสบายใจว่าผมไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไป.... เอาจริงๆ นะ ผมเคยคิดว่าไอ้แดนก็แค่มนุษย์ฉาบฉวย ทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่เหมือนเด็กๆ พอเวลาผ่านไปผมถึงได้รู้ว่ามองมันผิดมาตลอด ถึงผมจะทำตัวแย่ๆ ใส่มันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไล่ด่าแรงๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้าย ในยามที่ผมกำลังตกที่นั่งลำบากก็มีมันนี่แหละที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ แล้วช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่คนเป็น ‘เพื่อน’ จะทำให้กันได้

“มึงแม่งก็เป็นเสียอย่างนี้..........” 

ผมถอนหายใจยิ้มๆ เกลียดความขี้อ้อนขี้เอาใจของอีกฝ่ายชะมัด ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าผมคงตอบแทนอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

“กูรักมึงจริงๆ นะ ทิชา.... ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ.........”

ความรู้สึกที่มอบให้อาจจะรับเอาไว้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมกับแดนก็รับรู้ว่ามันมีอยู่จริงและจะไม่สูญเปล่า อย่างน้อยเราก็คอยดูแลกันไปในฐานะเพื่อน เป็นมิตรภาพที่ไม่จำเป็นจะต้องหวือหวาสาบานร่วมเป็นร่วมตาย หากก็มั่นคงและยาวนานตราบเท่าที่เราอยากให้มันดำเนินต่อไป

“เดี๋ยวกูต้องไปถ่ายซีรีส์ต่อแล้ว เมื่อไรเฮียโรมจะมาวะ?”

เมื่อเข็มสั้นนาฬิกาแตะถึงเลขสาม ไอ้แดนก็ถามถึงญาติผู้พี่ของตัวเองซึ่งตามปกติจะต้องมาสลับเวรเฝ้าผมอยู่นี่แล้ว

“วันนี้พี่โรมมีเรียนถึงเย็นเลย กว่าจะมาก็คงช่วงค่ำๆ แหละ”

ผมตอบไปตามที่รู้ เห็นว่าเทอมนี้พี่โรมต้องลงวิชาสาขาหลายตัว ซึ่งแต่ละตัวก็มีทั้งเข้าฟังบรรยาย ส่งเล่มเปเปอร์ และไปสอบภาคปฏิบัติที่ศูนย์ซ่อมบำรุงยานยนต์ ไหนจะต้องเทียวไปเทียวมาดูแลผมกับยัยมิลค์ก็ทำเอาหัวหมุนไม่ใช่เล่น....

ฝั่งไอ้แดนเองก็ใช่ย่อย ใกล้จะถึงเวลาต้องส่งไฟนอลวิชา Architectural Design อยู่รอมร่อ ทั้งพรีเซนต์แบบและตัดโมเดลจนมือเป็นระวิง ไปไหนก็ต้องหอบกระดาษกับไม้บัลซ่าไปนั่งตัดชิ้นส่วนโมเดลเตรียมขึ้นงานส่งอาจารย์ให้เป็นที่น่าสงสารเห็นใจ แถมยังมีถ่ายซีรีส์อีกสัปดาห์ละสาม-สี่วัน ถึงมันจะบอกว่าเรียนไหวไม่ต้องดร็อปก็เถอะ แต่เท่าที่เห็นก็ทำเอาเดือนสถาปัตย์แทบรากเลือดเหมือนกัน

“มึงมีคิวถ่ายก็รีบไปเหอะ ขืนไปสายเดี๋ยวคนอื่นเขาจะสาปส่งพระเอกเอา”

“มึงอยู่คนเดียวได้แน่นะ?”

ร่างสูงถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะตอนนี้ผมยังขยับตัวไม่ได้มาก มันก็คงกลัวว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาแล้วจะลำบาก

“อยู่ได้สิ.... เห็นกูเป็นเด็กอนุบาลหรือไง” 

ผมว่าพลางชี้ให้คนขี้ห่วงดูว่าเขามีปุ่มอินเตอร์คอมกดเรียกนางพยาบาลให้ใช้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

“งั้นพรุ่งนี้กูค่อยมาเยี่ยมมึงใหม่ ตอนเช้ากูต้องเข้ามอด้วย จะแวะซื้อข้าวมันไก่เดชโอชามาฝาก”

“โอเค ไว้เจอกัน”

แดนแตะไหล่ผมเบาๆ แทนคำบอกลาชั่วคราว ก่อนจะหอบเอาสมบัตินิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ไปขึ้นรถเพื่อไปสตูดิโอถ่ายทำซีรีส์.... ถึงจะดูยุ่งหัวปั่นจนแทบไม่มีเวลานอนแต่ก็น่าอิจฉามากในความรู้สึกของผม งานที่ตัวเองชอบก็ได้ทำ เรื่องเรียนก็รับผิดชอบแบ่งเวลาได้ดี ไอ้แดนก็คงประสบความสำเร็จได้ทุกอย่างที่มันตั้งใจ ในขณะที่ผมต้องปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับการนอนนิ่งๆ

เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ผมจึงถูกขอให้ถอนตัวออกจากบทนำซีรีส์สงครามคิวท์บอย ป้าอิ๋วคุยกับแม่ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่สปอนเซอร์กับทางช่องเร่งให้เปิดกล้องเพื่อให้ทันฉายตอนแรกในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งยังไงผมก็ไม่มีทางหายทัน ทีมงานปรึกษากันแล้วว่าจำเป็นจะต้องหาคนอื่นมารับบทแทนเพื่อไม่ให้งานสะดุด มันก็เลยเป็นไปตามนั้น

นายเอกใหม่ที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ก็พี่ปายนี่เองที่ถูกสลับให้มาเล่นบทของผม ส่วนบทคู่รองของพี่ปายก็เรียกตัวน้องอีกคนที่ชื่อพุดดิ้งซึ่งไม่ผ่านรอบออดิชั่นคราวแรกเข้ามาเล่น.... มีคนบอกในโซเชียลว่าจริงๆ แล้วนี่แหละคือเซ็ตนักแสดงที่กรรมการตั้งใจเลือกในตอนแรก แต่เพราะผมเข้ามาแทรกก็เลยทำให้ผังตัวละครรวนไปหมด ดังนั้น การที่ผมถอนตัวออกไปก็เท่ากับว่าอะไรๆ ได้กลับคืนสู่สิ่งที่มันควรจะเป็น

และผมก็กลับมาเป็นทิชา ทิชนันท์ คนแสนธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่เคยเป็นมาตลอด....



หลังจากที่แดนกลับไป ผมก็นอนดูทีวีจนเบื่อแล้วก็ผล็อยหลับไปเองในที่สุด ตื่นมาอีกที ท้องฟ้าข้างนอกก็กลายเป็นสีส้มจัดแล้ว ตรงโต๊ะรับแขกมีใครบางคนกำลังนั่งพิมพ์งานใส่แล็ปท็อปเสียงก๊อกแก๊กๆ อยู่ พอเขาเห็นผมขยับตัวก็วางมือจากงานแล้วเดินตรงเข้ามาหา

“ทำไมตื่นเร็วจัง.... พี่นึกว่าเราจะตื่นสักสาม-สี่ทุ่มเสียอีก”

คำถามนั้นมาพร้อมกับน้ำเปล่าแก้วใหญ่ซึ่งพี่โรมยื่นส่งให้ ผมจิบน้ำทีละน้อยจนกระทั่งก้อนหินหนักๆ ในหัวและความแห้งผากในลำคอหายไป

“ชานอนเยอะแล้ว เก็บเอาไว้นอนต่อวันหลังบ้างก็ได้”

ผมพูดติดตลก จริงๆ ก็คือผมนอนจนไม่รู้จะนอนยังไงแล้วต่างหาก 

“พี่โรมมานานแล้วเหรอ?”

“เพิ่งมาได้สักพักเอง พอดีพี่แวะไปดูยัยมิลค์ที่โรงแรมก่อนแล้วค่อยมานี่”

“มิลค์เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็กินเยอะแข็งแรงดี แต่พี่เลี้ยงบอกว่าไม่ค่อยยอมเล่นเท่าไร ถ้าไม่กินก็จะนอนตลอดทั้งวัน.... สงสัยว่าจะคิดถึงบ้าน”

พอได้ยินที่พี่โรมบอก ผมก็ปวดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้เจอลูกสาวมาเป็นเดือนๆ แล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนต้องนอนเตียงเดียวกันทุกคืน ถึงโรงแรมแมวที่เอาไปฝากจะมีกล้อง IP Camera ให้ดูความเป็นอยู่ของยัยมิลค์ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ยัยมิลค์คงไม่รู้ว่าโดนผมส่องอยู่ ไม่ได้ยินเสียง ไม่โดนอุ้ม มันก็คงจะเหงาและคิดว่าโดนมนุษย์ทาสทอดทิ้งไปแล้วล่ะมั้ง

“งั้นสักอาทิตย์หน้าพี่โรมก็ไปรับมิลค์กลับมาอยู่คอนโดฯ ได้แล้วล่ะ มีเครื่องให้น้ำกับอาหารอัตโนมัติแล้วก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก.... พี่โรมก็ค่อยกลับไปเปลี่ยนทรายให้มันวันละครั้งก็ได้ มิลค์ก็คงสบายใจที่จะได้นอนบ้านมากกว่า”

“ได้ครับ แม่แมว เอาตามนั้นเลย”

เราจบเรื่องยัยมิลค์เอาไว้แค่นั้นเพราะได้เวลาที่พยาบาลจะเข้ามาจัดการช่วยผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำธุระส่วนตัว.... อันที่จริงพี่โรมเคยพูดว่าจะดูแลเรื่องพวกนี้ให้ผมเอง แต่ผมบอกเขาว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพยาบาลดีกว่า ถึงเขาจะไม่รังเกียจและคอยเฝ้าอยู่ไม่ไปไหน หากกลับเป็นผมเองที่กลัวว่าพี่โรมจะทนไม่ได้ที่ผมต้องนอนเปลี้ยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกหลายเดือนจนกว่าจะหาย

เวลาที่จิตตกมากๆ ก็มีบ้างที่ผมแอบคิดว่าถ้าไม่ช่วยไอ้บี๋ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถึงรอดมาได้ก็ต้องอยู่ในสภาพกึ่งๆ คนพิการ แถมเรื่องเรียนและเรื่องงานยังพังหมด ความหงุดหงิดเซ็งโลกก็ย่อมมีมากเป็นธรรมดา

“เป็นอะไร เบื่อเหรอ?”

พี่โรมเอ่ยถามเมื่อเห็นผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องเคเบิ้ลทีวีไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะมาหยุดที่ช่องเดิม ถึงจะเบื่อเอียนรายการซ้ำซากพวกนี้มากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้ว ครั้นจะอ่านหนังสือเยอะๆ ก็ปวดสายตาไปอีก

“อืม.... ก็นอนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมาตั้งเดือนกว่าแล้ว”

ผมบ่นพลางถอนหายใจดังเฮือก คิดถึงแบบจำลองเฟอร์นิเจอร์นับร้อยชิ้นกับแปลนสามมิติตกแต่งภายในร้านค้าในพื้นที่อเนกประสงค์ซึ่งทำค้างเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านชะมัด

“จริงๆ ตอนนี้ชาต้องส่งไฟนอลโปรเจกท์ของเทอมแล้วด้วย อุตส่าห์คิดคอนเสปท์เอาไว้ดิบดี สุดท้ายก็ต้องดร็อปหมดทุกตัวเลย”

“ก็เราเจ็บอยู่นี่นา...........” 

ร่างหนาลูบหัวผมอย่างหมายจะช่วยปลอบโยน ทั้งที่เขาควรจะดุผมที่ช่างหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ทำเอาตัวเองและคนรอบข้างพลอยลำบากกันไปหมด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เคยมีคำพูดแรงๆ ให้เจ็บช้ำน้ำใจหลุดมาเลยสักคำ 

“เอาไว้รอให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับไปเรียนใหม่ก็ได้ หมอบอกว่าถ้าร่างกายเราฟื้นตัวเร็ว เดือนหน้าก็ให้กลับไปอยู่บ้านได้แล้ว พอเอาเฝือกออกสักพักก็เริ่มทำกายภาพได้เลย.... อีกเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”

“ทำไมพี่โรมปลอบใจคนเก่งจัง?”

“สงสัยช่วงที่เราหลับไป พี่จะปลอบใจคนอื่นบ่อยจนเชี่ยวล่ะมั้ง”

คนรักของผมบอกยิ้มๆ แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแต่ความรู้สึกหวาดหวั่นอกสั่นขวัญแขวนก็ยังอยู่ในใจของคนใกล้ตัวผมทุกคน 

“ต้องปลอบใจตัวเองด้วยว่าเดี๋ยวทิชาก็ฟื้น วันนี้ยังไม่ฟื้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องฟื้น...........”

“พี่โรม........ชาขอโทษนะ...........”

ก็รู้อยู่หรอกว่าลำพังแค่คำว่าขอโทษคงชดเชยความรู้สึกของพี่โรมที่ต้องเสียใจและกลัวว่าผมจะตายจนกินไม่ลงนอนไม่หลับไม่ได้ ไม่อยากพูดด้วยว่าก็ทำลงไปแล้ว จะให้ย้อนเวลากลับไปยังไง.... ผมเองก็เสียใจไม่น้อยเหมือนกันเมื่อได้ยินว่าพี่โรมต้องออกจากโรงพยาบาลกลางคันโดยที่หมอยังไม่อนุญาตทันทีที่รู้ว่ผมเกิดอุบัติเหตุ ขับรถเป็นร้อยกิโลฯ ทั้งที่แขนเจ็บ อยู่ให้กำลังใจแม่และคอยช่วยเหลือทุกอย่างทั้งที่ตัวเองก็มีภาระที่กรุงเทพฯ อีกเยอะแยะ มันคงเหนื่อยน่าดูที่ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งในขณะที่ข้างในหัวใจอัดแน่นไปด้วยความเครียดขึ้งกังวล

“ชาขอโทษที่ทำอะไรไม่บอกพี่ ไม่รู้จักระวังตัวเองให้ดีกว่านี้.... ทำให้พี่กับใครต่อใครต้องเป็นห่วง............”

“พี่ไม่โทษทิชาหรอก.... ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเราน่ะบ้าระห่ำ ถึงพี่บอกว่าไม่ให้ไป ทิชาก็คงจะยังอยากช่วยบีบี๋อยู่ดี” 

สมกับเป็นคนที่เข้าใจผมดีกว่าใครทั้งหมด ตั้งแต่วินาทีแรกที่ฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่พี่โรมมอบให้ก็มีเพียงความอ่อนโยนทะนุถนอม ราวกับว่าผมคือแก้วแสนเปราะบางซึ่งร่วงหล่นกระแทกพื้นไปแล้วหนหนึ่ง แค่โชคดีที่ยังไม่ถึงกับแตกจนซ่อมแซมไม่ได้ 

“แต่คราวหน้าเวลาจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ทิชาต้องคิดให้เยอะกว่านี้นะ.... ทิชาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราน่ะมีคุณแม่ มีพี่ มียัยมิลค์ เพื่อนๆ กับทีมงานที่กองถ่ายซีรีส์เขาก็เป็นห่วง ถ้าเกิดทิชาเจ็บหนักกว่านี้หรือเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ทุกคนก็เสียใจกันหมด”

ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะปล่อยร่างให้อ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนซึ่งโอบล้อมเข้ามา ไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยช่วยให้จิตใจผมสงบลงอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับสัมผัสจากกลีบปากหยักได้รูปที่แนบลงกลางหน้าผาก แก้มของผมอิงแอบอยู่กับผืนอกกว้างพลางหลับตาลงซึมซับความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่ไม่อาจหาได้จากใครอื่นอีกแล้วให้เต็มที่

“ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้.... ขวัญเอยขวัญมานะ แม่แมวของพี่”

“ตอนที่หลับอยู่ ชาได้ยินเสียงพี่โรมเรียกด้วยล่ะ.........” 

ผมเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงความฝันที่เห็นระหว่างที่ยังไม่ได้สติ น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะปกติแล้วผมมักจะจำเรื่องที่ตัวเองฝันไม่ค่อยได้ ผิดกับเรื่องนี้ที่จำแม่นทุกรายละเอียดประหนึ่งว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 

“ในความฝันมันก็มีอยู่หลายครั้งที่ชาคิดว่าพอแล้ว ไม่อยากสู้ ไม่อยากกลับมาชีวิตอยู่ต่อแล้วเจอกับเรื่องร้ายๆ แบบเมื่อก่อน แต่พอได้ยินเสียงพี่โรมแทรกเข้ามา ความรู้สึกอยากยอมแพ้พวกนั้นก็หายไป.... พูดก็พูดเถอะ ถ้าไม่มีเสียงพี่โรมคอยเรียกเอาไว้ล่ะก็ ชาก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้นะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก เขาเองก็ดูประหลาดใจกับเรื่องความฝันที่ผมเล่าให้ฟัง ผมเชื่อสุดหัวใจเลยว่าพี่โรมพยายามเรียกผมตลอดเวลาที่หลับอยู่ เพียงแต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าผมจะได้ยินจริงๆ และคลำทางกลับมาได้เพราะเขา

“ขอบคุณที่พาชากลับมา ขอบคุณนะที่ไม่ทิ้งกัน..........”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่รักทิชา.... เราสองคนจะอยู่เลี้ยงยัยมิลค์ด้วยกัน พี่ไม่ยอมให้ใครพาทิชาไปไหนง่ายๆ หรอก”

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย”

“จูบสาบานกันเลยไหมล่ะ?”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบโอเค ริมฝีปากของจอมฉวยโอกาสก็ประกบทาบทับลงมา แรงดูดดึงน้อยๆ บังคับให้ผมต้องเปิดปากรองรับรสจูบซึ่งเริ่มหนักหน่วงขึ้นจนแทบหายใจตามไม่ทัน.... เรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวเข้าหาด้วยความคิดถึง ปลดเปลื้องความทุกข์กังวลที่เคยมีให้เลือนรางจางหายไปด้วยจุมพิตหอมหวานซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ผมส่งเสียงครางในลำคออย่างพึงใจ อยากจะให้พี่โรมคอยป้อนจูบอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ติดตรงที่ร่างกายผมมันไม่เอื้ออำนวยเท่าไร มิหนำซ้ำ พออยู่นิ่งไม่ขัดขืน คุณผู้ชายก็ทำท่าว่าจะไม่ยอมหยุดแค่จูบเสียอย่างนั้น

“อื้อ..... พี่โรม ชาเจ็บอยู่นะ!” 

ผมต่อว่าเมื่อร่างสูงเลื่อนริมฝีปากลงมาดูดซอกคอจนขึ้นเป็นรอยแดง พอพูดกันดีๆ แล้วยังไม่ฟัง ผมก็เลยหยิกต้นแขนเขาก่อนที่มือใหญ่จะล้วงเข้าใต้ชายเสื้อแล้วจะยิ่งห้ามยาก ทำเอาเจ้าตัวหน้าเบ้ร้องโอดโอยอย่างกับว่าเนื้อจะหลุดติดนิ้วผมออกมายังไงยังงั้น

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่จูบเอง เดี๋ยวนี้มีลงไม้ลงมือกับแฟนนะ........” 

พี่โรมลูบแขนตัวเองป้อยๆ แก้ตัวตาใสๆ

“ปากเราก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย มาให้พี่จุ๊บต่อเร็ว”

“พอได้แล้วน่า ใจคอจะจูบกันทั้งคืนเลยหรือไง?”

ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับประกายวิบวับในดวงตาสีเข้มแล้วชวนให้รู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล

“ทั้งคืนยังน้อยไป........” 

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย มีหรือที่คนวอแวเก่งอย่างพี่โรมจะยอมรามือไปง่ายๆ กลีบปากของผมถูกประกบแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อกระพือปีกใส่ เสียงทุ้มกระซิบริมหูทำให้หัวใจสั่นไหว ถ้อยคำปฏิเสธเมื่อครู่หายวับไปจากสมองเพียงแค่ได้รับรู้ว่าผมยังเป็นคนรักที่แสนสำคัญสำหรับเขา 

“ขอจูบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำอย่างอื่นได้ก็แล้วกันนะ”

“ถ้าบอกว่าไม่ให้แล้วจะฟังเหรอ?”

“ไม่ฟัง”

“งั้นทีหลังก็ไม่ต้องถาม”

พอบอกว่าไม่ต้องถาม พี่โรมก็จูบเอาๆ ไม่บันยะบันยัง มากกว่าความคิดถึงที่ผมมีให้เขาก็คือความรักที่เขามีต่อผม ถึงแม้จะเกิดมาตัวคนเดียวแต่ในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป.... ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็มีอ้อมกอดของพี่โรมรอให้ผมกลับมาอยู่เสมอ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดอยากจะไปไหนอีกแล้วล่ะ


อยู่นิ่งๆ ให้พี่โรมจูบแบบนี้สบายกว่าตั้งเยอะ....

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

.

อีกประมาณสองอาทิตย์หลังจากนั้นก็มีข่าวดีว่าหมอกำหนดวันออกจากโรงพยาบาลให้ผมคร่าวๆ แล้ว หลังจากที่ต้องนอนพักรักษาตัวนานกว่าสองเดือน.... อาการของผมดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลภายในและแผลฟกช้ำตามร่างกายเริ่มหายเป็นปกติ เหลือแค่พวกกระดูกทั้งหลายแหล่ที่หัก หมอยังไม่เอาเฝือกออกให้แต่จากผลเอ็กซเรย์ครั้งล่าสุดก็เห็นว่ากระดูกเริ่มเชื่อมกันแล้ว รออีกสักพักก็น่าจะเอาเฝือกออกแล้วทำกายภาพบำบัดได้

ในบรรดาคนที่มาเฝ้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่โรมกับไอ้แดน ทีมงานละครก็มีช่วงแรกๆ ที่มาบ่อยแต่พอเปิดกล้องแล้วก็ทยอยหายหน้าหายตาไปเพราะงานยุ่ง แม้กระทั่งแม่ผมยังไม่ค่อยมาเลย สอง-สามวันจะได้ฤกษ์เห็นหน้ากันสักที.... ลูกชายนอนเจ็บอยู่ทั้งคนแต่ดูเหมือนว่าแม่จะรับงานเพิ่ม ละครที่ถ่ายอยู่ก็ยังไม่ปิดกล้อง เรื่องใหม่ก็ตกลงรับเล่น แล้วก็มีงานจิปาถะอะไรไม่รู้อีกเยอะแยะ

ขนาดมาเยี่ยมผมก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่ตลอด เดี๋ยวนัดถ่ายงาน เดี๋ยวนัดช่างหน้าช่างผมออกอีเวนท์ พอผมจะคุยด้วยแปบๆ ก็มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมาอีก



‘ได้ค่ะ คุณเปิ้ล ส่งบรีฟงานกับสคริปท์เข้าไลน์มาได้เลยค่ะ.... อยากให้พูดอะไร ถือครีมท่าไหนหรือต้องเปิดทาโชว์ยังไง นิดาทำให้ได้หมดเลยค่ะ’

‘ค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะที่กรุณาให้งาน.... ยินดีเสมอค่ะ’




“งานอะไรครับแม่.... ฟังดูไม่เหมือนละครเลย?”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้มันไม่น่าใช่งานปกติทั่วไปที่เคยเห็นแม่ทำ

“ก็รีวิวสินค้าไง เหมือนๆ ที่พวกเน็ตไอดอลเขาทำกันน่ะ”

“ขายครีมเหรอ?” 

คราวนี้ผมยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ ก็รู้แหละว่าแม่ก็มีงานพรีเซ็นเตอร์ขายของบ้าง อย่างพวกอาหารเสริมลดความอ้วน คอลลาเจน โสมอัดเม็ดหรือชุดชั้นในกระชับสัดส่วนแบบที่โฆษณาทางทีวีตอนดึกๆ แต่รีวิวสินค้าลงโซเชียลแบบพวกเน็ตไอดอลเนี่ย ผมไม่คิดจริงๆ ว่าแม่จะยอมทำ 

“ครีมอะไร? มีอย.หรือเปล่า? สมัยนี้รีวิวซี้ซั้วไม่ได้นะแม่ เดี๋ยวก็โดนจับไปสอบสวนแบบแก๊งค์ที่เพิ่งเป็นข่าวหรอก”

“เอาเถอะน่า.... เงินดีงานสุจริตแม่ก็ทำ แกเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องยุ่ง”

“แม่จะเอาเงินไปทำอะไรครับ?”

แม่หันมามองผมประหนึ่งว่ามีเขาควายงอกออกมาจากหัวลูกชายตัวเอง

“ถามมาได้ แม่ก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าหมอค่ายาให้แกน่ะสิ ประกันที่ทำไว้มันเคลมได้ไม่เต็มหรอกนะ” 

ให้ตายเถอะ ผมลืมคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวไปเสียสนิท คิดแค่ว่ามีประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตซึ่งทำเอาไว้แล้วก็คงไม่ต้องเป็นห่วง แต่พอย้ายจากโรงพยาบาลท้องถิ่นมาโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพ ผมก็นอนห้องพิเศษที่มีพยาบาลและคุณหมอเฉพาะทางคอยดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อีกเป็นเดือนๆ กว่าจะถอดเฝือกกลับไปอยู่บ้าน.... ไหนจะค่าทำกายภาพบำบัด ไหนจะค่าเลเซอร์ศัลยกรรมลบรอยแผลเป็นบนหน้า ลำพังเงินที่พ่อโอนให้ในแต่ละเดือนคงไม่พอ แล้วแม่ก็คงไม่อยากให้เข้าเนื้อเงินเก็บที่มีอยู่ด้วย 

“จริงๆ แล้วคุณวัฒน์ก็ออกปากจะขอช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย แต่ลำพังแค่เขาช่วยทำเรื่องส่งตัวให้แกมาอยู่โรงพยาบาลเอกชนที่มีอาจารย์หมอแบบนี้ได้ก็เป็นบุญคุณมากแล้ว.... ที่สำคัญคือแกเป็นลูกแม่ จะรบกวนให้คนอื่นมาจ่ายให้ได้ยังไง”

คุณวัฒน์ที่แม่พูดถึงก็คือป๊าพี่โรม เท่าที่ผมรู้ก็คือป๊าช่วยรับเป็นเจ้าของไข้ผมร่วมกับแม่ จัดการหาห้องพิเศษให้แล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง แต่เรื่องที่ป๊าพี่โรมบอกว่าจะช่วยเหลือถึงขนาดจ่ายค่ารักษาให้ ผมก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง

“แม่ครับ ผมขอโทษ.........”

“มาขอโทษอะไรเอาป่านนี้ ทีตอนทำล่ะไม่รู้จักคิด!” 

ผมก้มหน้าสลด ไม่ได้เฟลเพราะถูกแม่ดุ แต่พอคิดได้ว่าตัวเองสร้างภาระให้แม่บังเกิดเกล้ามากแค่ไหน ผมก็รู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญูขึ้นมาทันที จนกระทั่งแม่เดินเข้ามานั่งลงตรงที่ว่างบนเตียงข้างๆ กันแล้วเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากผม ถึงได้ยิ่งเข้าใจว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับแม่เลย เพราะสิ่งที่แม่ต้องการก็มีแค่ขอให้ผมฟื้นขึ้นมาและหายเป็นปกติเท่านั้น 

“หลับไปตั้งห้าวัน ทีแรกแม่นึกว่าแกจะนอนเป็นผักไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก.... โชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาเถียงแม่ฉอดๆ ได้แบบนี้ หา?”

“ผมเปล่าเถียงสักหน่อย” 

ผมไม่ใช่เด็กขี้อ้อนติดแม่ แต่ร้อยวันพันปีจะได้คุยกันนานๆ ก็เลยโถมตัวท่อนบนใส่แม่เต็มแรง กอดชดเชยให้คุ้มกับที่ไม่ได้กอดแม่มาหลายเดือน 

“ก็ผมเป็นห่วง กลัวแม่โดนจับไง.... แม่ไม่อยู่แล้วผมจะอยู่กับใครล่ะ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย อย่างแกน่ะเคยคิดถึงแม่ที่ไหนกัน”

“คิดถึงสิ แค่ไม่ได้บอกให้แม่รู้เอง”

สองมือประสานไหว้ลงบนหัวไหล่ของผู้หญิงที่ดีกับผมที่สุดในโลก ถึงแม้จะโมโหหงุดหงิดใส่กันบ้าง ความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างแต่สิ่งเดียวที่ผมจำใส่ใจไม่เคยลืมก็คือถ้าไม่มีแม่คอยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาจนโต ผมก็คงไม่ได้พบเจอกับความสุขในชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้ 

“ขอบคุณที่เหนื่อยเพื่อผมมาตลอด ผมรักแม่นะครับ.......”

ผมว่าผมแอบเห็นแม่ยิ้มนะ แต่แค่แปบเดียวใบหน้าสวยซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็นต้นฉบับของผมก็กลับไปเริดเชิดตามประสานางเอกละครเก่าเช่นเดิม

“เป็นเด็กขี้อ้อนตั้งแต่ตอนไหน ไม่เห็นแม่จะจำได้เลย”



ก๊อกๆๆๆ
แกร๊ก!


เสียงเคาะและเปิดประตูเรียกพวกเราสองแม่ลูกให้หันไปมองผู้มาเยือน ทีแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่โรมกับที่บ้าน เพราะครั้งสุดท้ายที่คุยไลน์กันเมื่อชั่วโมงก่อน พี่โรมบอกว่าจะไปรับป๊ากับม๊าที่สนามบินดอนเมืองแล้วค่อยมาหาผม ดูจากเวลาที่ไฟลท์ลงก็น่าจะมาถึงที่นี่พอดีๆ

แต่ทว่า คนซึ่งเดินผ่านมุมรับแขกเข้ามากลับทำให้ผมทั้งแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะมา และสงสัยไม่แน่ใจด้วยว่าเขามาทำไม....

“พ่อ..............”

ผมเอ่ยเรียกพลางยกมือไหว้ จากที่ง้องแง้งอ้อนแม่อยู่เมื่อครู่ก็พลันนั่งตัวเกร็งไหล่แข็งขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ นึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันยังค้างเรื่องที่พ่อจะให้ผมเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่เอาไว้ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากคิดเองเออเองไปว่าจะมีความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ในหัวใจของพ่อบังเกิดเกล้า

“เป็นยังไงบ้าง ทิชา?”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

ผมตอบได้แค่นั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงสลัดความคิดที่ว่าพ่อเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมออกไปไม่ได้ ทั้งที่ในตัวผมก็มีเลือดของพ่อไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งแท้ๆ

“พ่อดูในข่าวบอกว่ากระดูกหักเกือบทั้งตัว โดนเศษกระจกบาดด้วย ค่อยยังชั่วนะที่เห็นทิชาไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

“ข่าวคงไม่ได้เขียนสินะคะว่าทิชาผ่าตัดเป็นสิบกว่าชั่วโมง หลับไม่ได้สติไปอีกห้าวันเต็มๆ ที่คุณเห็นตอนนื้คือมันผ่านมาสองเดือนแล้ว!”

สิ่งที่แม่พูดก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมอยากพูด เพียงแต่เพิ่มเลเวลความเกรี้ยวกราดเข้าไปอีกประมาณร้อยเท่า.... ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าพ่อคงไม่สนใจหรอกว่าผมจะเป็นตายร้ายดียังไง แค่เห็นข่าวว่าผมไม่ตายแล้วก็นิ่งเฉยไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้น หากพอเห็นท่านมาเยี่ยมและได้ยินว่าจริงๆ แล้วก็ติดตามดูข่าวอยู่พอสมควร ความสงสัยคลางแคลงใจว่าคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาต้องการอะไรก็ยิ่งมีมากขึ้น 

“ลูกจะออกจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว มาทำอะไรเอาป่านนี้คะ!?”

“ผมมีประชุมเมืองนอก บินไปบินมา อยู่ไทยได้แค่วัน-สองวันก็ต้องบินอีกเพิ่งหาเวลามาเยี่ยมทิชาได้”

“งั้นเหรอคะ ถึงขนาดต้องหาเวลามาเชียว!”

แม่แค่นเสียงประชดใส่พ่อ เพราะสิ่งที่ได้ยินมันก็ชวนให้คิดได้ว่าพ่อยกให้เรื่องงานสำคัญกว่าชีวิตลูกชายนอกสมรสแบบผม มิหนำซ้ำยังมีบ้านใหญ่ค้ำหัวพวกเราอยู่อีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำหรับผู้ชายคนนี้ พวกเราสองแม่ลูกถูกจัดลำดับให้อยู่ที่ตรงไหนกันแน่ แต่มันก็คงป่วยการที่จะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“แม่ครับ...........” 

ผมดึงชายเสื้อแม่เอาไว้เป็นเชิงขอว่าอย่าเพิ่งชวนพ่อทะเลาะเลย ก่อนจะหันไปคุยกับพ่อตามมารยาท ไหนๆ ท่านก็อุตส่าห์มาแล้วนี่นะ 

“ขอบคุณมากนะครับที่พ่อมาเยี่ยมผม”

“จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไร หมอบอกหรือยัง?”

“ใกล้แล้วครับ น่าจะน่าจะสักกลางๆ เดือนหน้า.... คุณหมออยากให้กระดูกขาติดกันมากว่านี้ก่อนแล้วค่อยถอดเฝือก”

“แล้วมหาลัยล่ะ?”

“ก็คงต้องดร็อปไปทั้งปีเลยครับ พอออกจากโรงพยาบาลก็ต้องทำกายภาพต่ออีกหกเดือน ระหว่างนั้นก็คงยังไปเรียนไม่ได้”

“เรียนจบช้าไปปีนึง แต่ก็ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะ” 

พ่อวางมือลงบนไหล่ผมราวกับจะปลอบและให้กำลังใจ หากก็แค่เพียงแตะๆ เท่านั้น ด้วยความที่พ่อไม่เคยเลี้ยงดูผมด้วยวิธีอื่นนอกจากโอนเงินให้ใช้ในแต่ละเดือน ก็ไม่แปลกถ้าเราจะไม่ค่อยสนิทใจที่จะพูดคุยหรือแสดงความรู้สึกต่อกัน.... ผมก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอก แต่ผมคิดจริงๆ นะว่าถ้าพ่อไม่มีใจเป็นห่วงผมเลย ท่านก็คงไม่เสียเวลามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้ ในเมื่อการยกหูโทรศัพท์นั้นมันง่ายกว่ากันเยอะ 

“พวกค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาทิชาให้ส่งบิลไปที่ออฟฟิศพ่อ เดี๋ยวพ่อจะสั่งให้เลขาจัดการให้เรียบร้อยเอง”

“ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ.... ค่ารักษาทิชาคราวนี้คงหลายแสน ประเดี๋ยวพวกญาติๆ คุณจะมาหาว่าลูกผลาญเงินคุณอีก”

“ผมไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับคุณนะ นิดา”

พ่อตัดบท ชิงออกตัวก่อนเลยว่าไม่ต้องการปะทะคารมก่อสงครามน้ำลายใดๆ ทั้งสิ้น 

“เอาเป็นว่าผมจะรับผิดชอบค่ารักษาลูกเอง จะกี่แสนกี่ล้านก็ช่าง ผมบอกว่าจะจัดการให้ก็คือตามนั้น.... คุณอยู่เฉยๆ รับงานให้มันน้อยลงแล้วคอยดูแลทิชาให้ดีก็พอ”

แม่เบะปากใส่เหมือนไม่เชื่อว่าพ่อจะรับผิดชอบอย่างที่พูดจริง แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่ารักษาผมคราวนี้อย่างต่ำๆ ก็อาจมีถึงครึ่งล้าน ไหนพอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดต่ออีกหลายเดือน ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวเบ็ดเสร็จก็คงบานปลายไปอีกมากโข ถ้าพ่อรับอาสาจะซัพพอร์ตให้ แม่ผมก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยรับงานไปทั่วราชอาณาจักรแบบนี้

“พ่อมีงานต้องไปทำต่อ ถ้ามีเวลาจะมาเยี่ยมทิชาใหม่นะ”

“ครับ........”

ผมพยักหน้ารับพร้อมทั้งยกมือไหว้ลา หากยังไม่ทันที่พ่อจะกลับไป แม่ก็ชิงถามถึงธุระสำคัญระหว่างเราสามคนซึ่งยังค้างคาอยู่

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณกาญจน์.... นี่คุณแค่มาเยียมลูกจริงๆ เหรอคะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ คุณคิดว่าผมจะมาทำอะไรล่ะ?”

“ฉันก็คิดว่าคุณจะเอาเรื่องเปลี่ยนนามสกุลอะไรนั่นมาบังคับลูกทางอ้อมเสียอีก” 

แม่เอ่ยเสียงเยาะอย่างรู้ทัน ในขณะที่พ่อนิ่งเงียบไปและมีสีหน้าลำบากใจจนเห็นได้ชัด 

“ได้ข่าวว่าคุณแม่คุณโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตั้งแต่ตอนที่มีข่าวว่าทิชาจะเข้าวงการแล้ว อยากจะไล่หลานออกจากตระกูลใจจะขาด ขนาดฉันบอกแล้วว่าให้รอทิชาสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยมาว่ากันก็ยังส่งเอกสารส่งอะไรมาวุ่นวายไปหมด!”

ผมเห็นว่าพ่อกำลังจะพูดตอบโต้อะไรบางอย่าง แต่ก็พอดีกับที่ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดเข้ามาโดยคนจากข้างนอก บทสนทนาว่าด้วยเรื่องที่ผมกำลังจะถูกบ้านใหญ่ขับไล่ไสส่งอย่างเป็นทางการจึงต้องยุติลงเพียงเท่านั้นก่อน



“อ้าว สวัสดีครับ คุณกาญจน์ คุณนิดา.... อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะครับ”

“คุณวัฒน์ มาได้ยังไงครับเนี่ย??”

ต่างฝ่ายต่างประหลาดใจเมื่อได้พบคู่ค้าทางธุรกิจในสถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่ห้องประชุมของบริษัทหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างผู้บริหารในโรงแรม แต่พ่อของผมดูจะตกใจมากกว่าฝ่ายป๊าม๊าของพี่โรมเยอะ เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้ว่าบ้านอนุวัฒน์วงษ์เข้ามาให้ความช่วยเหลือและดูแลผมมาตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ แล้ว

“พอดีลูกชายของผม เจ้าโรม สนิทกับทิชาน่ะครับ ทางผมก็เลยเสนอตัวมาช่วยรับเป็นเจ้าของไข้ร่วมกับคุณนิดาวัลย์ เผื่อว่ามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันง่ายขึ้น” 

ป๊าช่วยอธิบายคร่าวๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกว่าจริงๆ แล้วผมกับลูกชายท่านสนิทสนมคบหากันในฐานะไหน คงเพราะกิตติศัพท์ความเป็นผู้ดีเก่าของตระกูลฝั่งพ่อผมทำให้ป๊ารู้สึกว่าไม่ขอเข้าไปก้าวก่ายเรื่องที่ผมควรเป็นคนพูดเองด้วยความสมัครใจดีกว่า 

“เรื่องที่ทางครอบครัวผมรับดูแลทิชาอยู่ หวังว่าคุณกาญจน์จะไม่ขัดข้องนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกให้ทราบก่อนหน้านี้ พอดีหลังจากทิชาย้ายโรงพยาบาลเข้ามากรุงเทพฯ แล้ว ผมก็ขึ้นเหนือลงใต้ไปๆ มาๆ อยู่ตลอด เลยยังไม่มีโอกาสเข้าไปหาคุณกาญจน์ที่ออฟฟิศสักที”

“ไม่เป็นไรครับ ทางนี้เสียอีกที่ต้องขอบคุณคุณวัฒน์ที่ช่วยเป็นธุระให้.... ผมเองก็ไม่ค่อยได้เจอลูกบ่อยเท่าไร นี่ก็เพิ่งจะมีเวลามาเยี่ยมแก..........”

ผมแอบเห็นว่าพ่อหน้าเจื่อนไปพอสมควรเมื่อรู้ว่าป๊าพี่โรมเป็นเจ้าของไข้ผมร่วมกับแม่ แทนที่จะเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดก็กลับกลายเป็นคนนอกซึ่งไม่ได้มีความผูกพันทางสายเลือดกับผมเลย ท่านก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วนและละอายใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนอื่นมาทำหน้าที่แทน

ยังไม่ทันที่ผมจะบอกพ่อว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่าสถานภาพครอบครัวเรามันไม่ได้ปกติเหมือนอย่างบ้านอื่น แค่ท่านมีใจจะแวะมาดูอาการผมสักครั้งก่อนออกจากโรงพยาบาลก็ถือว่าดีมากแล้ว พี่โรมก็เดินเข้ามาหาแล้วแอบกระซิบสั่งให้ผมนั่งเฉยๆ ไว้ รอฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน

เพราะป๊าม๊าพี่โรมมา พ่อผมก็เลยจำเป็นต้องอยู่ต่ออีกหน่อยเพื่อรักษามารยาท และเมื่อกาแฟร้อนสั่งเดลิเวอรี่จากร้านข้างล่างขึ้นมาส่งถึงห้อง ผมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่พี่โรมบอกให้รอฟังนั้นคือเรื่องอะไร....

“อันที่จริง ผมตั้งใจมาวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับคุณนิดาวัลย์ แต่คุณกาญจน์อยู่ด้วยก็ยิ่งดีเลย จะได้ขอความเห็นชอบพร้อมๆ กันจากทุกฝ่าย ทั้งคุณแม่แล้วก็คุณพ่อของทิชาเขา.............”

“เรื่องอะไรเหรอคะ คุณวัฒน์?”

ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาผมก็ไม่น่าจะต้องขอความเห็นจากพ่อ เพราะใครๆ ทั้งประเทศต่างก็รู้กันหมดว่าพ่อและพวกญาติๆ ที่บ้านใหญ่ก็แค่ส่งเสียเงินให้แต่ไม่ได้เลี้ยงดูผม ทว่า ป๊าพี่โรมก็ไม่ปล่อยให้พวกเราได้สงสัยนานนัก


“คือผมกับภรรยา เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะขออนุญาตรับทิชาเป็นลูกบุญธรรมน่ะครับ”


ผมตกใจหันไปมองพี่โรมสลับกับป๊า ร่างสูงกุมมือผมเอาไว้ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าผมไม่ได้หูฝาดไปหรอก

“ละ......ลูกบุญธรรมเหรอคะ??”

แม่เองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้เช่นกัน น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจอยู่สอง-สามหน หันมาหาผมคล้ายกับจะถามว่าแม่ฝันไปหรือเปล่า แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเราสองแม่ลูกไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่ และข้อเสนอจากทางบ้านพี่โรมก็เป็นเรื่องจริงที่สุดของที่สุด

“ใช่แล้วครับ คุณนิดาวัลย์ฟังไม่ผิดหรอก” 

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายสูงวัยที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นานบอกถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง 

“ที่ได้ยินจากเจ้าโรม ลูกชายผมยืนยันหนักหนาว่าทิชาเป็นเด็กดีมากๆ ตัวผมก็ค่อนข้างเอ็นดูทิชาอยู่แล้ว ก็อยากขอรับแกเป็นลูกอีกคนหนึ่งเสียเลย.... ยังไงเราสองครอบครัวก็ยังต้องเกี่ยวดองพบเจอกันอยู่เรื่อยๆ มีอะไรก็จะได้ไปมาหาสู่ดูแลกันได้สะดวก.........”

เอาจริงๆ เลยนะ ผมเคยหวังแค่ไม่อยากให้ทางบ้านพี่โรมรังเกียจผม ขอแค่ให้ป๊าม๊ายอมรับให้ผมได้คบกับลูกชายของพวกท่านต่อไปก็พอ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าป๊าจะเอ็นดูผมถึงขนาดนี้.... เด็กที่เกิดมาบนความไม่ต้องการของพ่อ ถูกเลี้ยงให้โตมากับแม่ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในวงการบันเทิง ถูกเกลียด ถูกยัดเยียดอคติจนกลายเป็นแกะดำของสังคมแบบผม นิสัยใจคอหรือความสามารถอะไรก็ไม่ได้ดีเด่นวิเศษกว่าคนทั่วไป มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ที่ได้ยินว่ามีคนอยากรับผมไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา

“จะเป็นแค่ลูกบุญธรรมในนามอย่างเดียวไปก่อนก็ได้ เอาไว้พร้อมเมื่อไรแล้วค่อยจดทะเบียนรับทิชาเข้าบ้านอนุวัฒน์วงษ์อย่างเป็นทางการ หรือจะไม่จดเลยก็แล้วแต่.... ตรงนี้ผมขอยกให้ทางคุณนิดาวัลย์กับคุณกาญจน์ แล้วก็ทิชาเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่า”

“คือ........ดิฉันก็ดีใจนะคะที่คุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วเอ็นดูทิชา” 

แม่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล 

“แต่ดิฉันเกรงว่าจะเป็นการรบกวนทางคุณมากเกินไป ที่สำคัญ คุณสองคนก็เพิ่งรู้จักทิชาได้ไม่นาน แค่ช่วยเหลือเรื่องย้ายโรงพยาบาล ติดต่ออาจารย์หมอเก่งๆ จนลูกดิฉันหายดีขึ้นมากขนาดนี้ก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้วค่ะ”

ผมรู้ว่าเหตุผลที่แม่ไม่กล้าตอบรับคำขอจากทางบ้านพี่โรมคืออะไร ไม่ใช่แค่กลัวว่าจะไปรบกวนป๊าม๊าโดยใช่เหตุ แต่กลัวว่าชื่อเสียงแย่ๆ ที่เรามีจะพลอยทำให้อีกฝ่ายต้องแปดเปื้อนตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน เหยื่อปากกานักข่าวไร้จรรยาบรรณ และเลวร้ายที่สุดก็คือพวกนักเลงคีย์บอร์ดตามเพจบันเทิงที่คิดว่าจะด่าใครก็ได้ตราบเท่าที่โลกนี้ยังมีอินเตอร์เน็ตกับมือถือให้ใช้

แต่แล้ว ม๊าพี่โรมซึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มองผมในแบบที่สังคมส่วนใหญ่มองก็ขอเป็นฝ่ายพูดบ้าง ทั้งๆ ที่ผมแอบคิดว่าม๊าไม่น่าจะเห็นดีเห็นงามกับการรับผมเป็นลูกบุญธรรมสักเท่าไร

“ว่ากันตามตรง ทีแรกดิฉันก็ไม่เห็นด้วยนักหรอกค่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะใจเร็วเกินไปหรือเปล่า ลูกเราก็มีตั้งสี่คนแล้ว........” 

เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ม๊าพี่โรมเคยไม่ชอบผมอย่างไรก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ม๊าไม่ได้ปิดโอกาสที่จะให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองตามที่เคยเอ่ยปากขอเอาไว้ และนี่ก็คือประตูบานแรกที่แง้มเปิดออกให้ผมค่อยๆ ผ่านเข้าไป 

“แต่คุณวัฒน์บอกว่าถูกชะตากับทิชามาก พวกเด็กๆ ที่บ้านก็ดูจะชอบทิชากันทุกคน.... ถ้าสามีกับลูกดิฉันไม่มีปัญหา ดิฉันก็ยินดีที่จะเปิดใจรับแกมาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านเราเช่นเดียวกันค่ะ ค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวกันไป ประเดี๋ยวก็คงเข้ากันได้เอง”

“โอย ตายจริง........” 

แม่ยกมือขึ้นกุมอก น้ำตาร่วงจนต้องคว้าทิชชู่มาซับกันยกใหญ่ 

“ไม่เคยมีใครดีกับลูกชายดิฉันขนาดนี้มาก่อนเลย.... ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ..........”

“คุณนิดาวัลย์เลี้ยงทิชาได้ดีนะครับ แกเป็นเด็กน่ารักมากทีเดียว”

“ดิฉันก็ไม่ได้เป็นแม่ที่ดีนักหรอกค่ะ ออกจะบกพร่องเสียด้วยซ้ำ.... คงต้องบอกว่าทิชาดีได้ด้วยตัวแกเองมากกว่า”

ผมอยากจะบอกว่าถ้าไม่มีแม่ ผมก็คงไม่มีทางเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ อย่างไรผู้หญิงที่ทั้งคลอดและต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งสังคมเมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่ค่อยจะให้การยอมรับก็สมควรจะได้รับการชื่นชมยกย่องและตอบแทนพระคุณ แต่เอาไว้ค่อยบอกให้แม่ฟังทีหลังก็แล้วกัน

“ถ้าคุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วจะเมตตาทิชา ผมก็ไม่มีปัญหาครับ” 

และนั่นก็เป็นความเห็นเดียวที่พ่อจะสามารถให้ได้ เพราะตัวท่านเองก็มีครอบครัวที่บ้านใหญ่อยู่แล้ว 

“ยังไงผมก็ต้องขอฝากคุณวัฒน์ดูแลทิชาเผื่อในส่วนของผมด้วยนะครับ”

ดูเหมือนว่าพวกผู้ใหญ่จะตกลงกันได้แล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมคืออะไร ไม่มีใครคัดค้านหรือคิดว่าการรับลูกบุญธรรมซึ่งบรรลุนิติภาวะไปแล้วจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันราบรื่นสวยงามไปหมด ราวกับว่าพายุฝนที่เคยโหมกระหน่ำใส่ชีวิตผมแบบไม่ลืมหูลืมตาได้ผ่านพ้นไปจนหมดแล้ว

“ถ้าทางผู้ใหญ่ไม่มีใครขัดข้องอะไร งั้นก็เหลือแค่รอคำตอบจากทิชาล่ะนะครับ” 

ป๊าพี่โรมเอ่ยขึ้น หลังจากนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมามองผมซึ่งนั่งฟังเหตุการณ์อยู่บนเตียงอย่างพร้อมเพรียงกัน 

“ว่าไง ทิชา.... อยากจะมาเป็นลูกอีกคนของป๊ากับม๊าหรือเปล่า?”

“ค่อยๆ ตัดสินใจก็ได้นะ ไม่ต้องรีบร้อน”

พี่โรมซึ่งยืนเคียงข้างผมกระซิบบอกพลางบีบมือผมเบาๆ ผมยอมรับว่าดีใจมากที่ได้ยินว่ามีคนรักใคร่เอ็นดูตัวเองโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รักถึงขั้นอยากให้เข้าไปอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน.... แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็กลัวว่าความดีใจจนเกินเหตุจะกลับกลายเป็นทำร้ายความรู้สึกของคนที่เลี้ยงดูผมมาทั้งชีวิต

“แม่ครับ..........”

ผมมองไปยังแม่คล้ายกับจะขออนุญาต ด้วยความที่พวกเราอยู่กันแค่สองคนแม่ลูกมาโดยตลอด ผมจึงไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าโดนทอดทิ้งไปมีความสุขคนเดียว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากจนจบประโยค แม่ก็ชิงยกอำนาจการเลือกทางเดินในอนาคตให้ผมคิดตัดสินใจด้วยตัวเอง

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่ก็ยังอยู่บ้านเหมือนเดิม อยากกลับมาตอนไหนก็กลับมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้แกต้องคิดถึงอนาคตตัวเองให้มากๆ.... เข้าใจที่แม่พูดใช่ไหม ทิชา?”

หัวใจที่เคยตายซาก เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ บัดนี้กลับเต้นไหวระรัวเหมือนของเล่นพังๆ ที่เพิ่งชาร์จไฟเข้าได้สำเร็จ ผมหันไปทางซ้ายทีขวาทีคล้ายกับจะรอให้มีใครสะกิดบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ก็แค่เรื่องล้อเล่นอำกันขำๆ ทว่า ภาพซึ่งสะท้อนปรากฏกลับมาให้เห็นก็มีเพียงแค่รอยยิ้มเอ็นดูและแววตาที่บ่งบอกว่าผมคือคนที่พวกเขาพร้อมจะมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยม

“คือ.......ผมไม่คิดว่าจะมีใครชอบผม...........”

“มีสิ ก็ยืนอยู่ข้างทิชานั่นไง” 

ป๊าชี้ให้ดูผู้ชายตัวสูงซึ่งยืนยิ้มเผล่อย่างภาคภูมิใจอยู่ข้างๆ เตียงผม 

“โรมเป็นคนบอกกับป๊าว่าทิชาเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับความรักจากทุกคน แล้วป๊าก็คิดว่าโรมมองคนไม่ผิดด้วย.... ทิชาเป็นเด็กดี คอยดูแลลูกชายป๊าจนมันหายซ่าส์ไปตั้งเยอะ แถมยังกลับมาเป็นผู้เป็นคนตั้งใจเรียนกว่าเดิม ก็สมควรจะได้อะไรดีๆ ตอบแทนบ้าง”

“มาเป็นลูกชายม๊าอีกคนหนึ่งเถอะนะ ทิชา.... มาเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ คราวนี้ม๊าจะไม่เอาคำพูดคนอื่นมาตั้งแง่กับเราแล้ว แต่จะมองทิชาในแบบที่ทิชาเป็นจริงๆ เหมือนอย่างที่ตาโรมมอง”

สิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนานหล่นมาอยู่ในมือคู่นี้แล้ว และผมก็พยักหน้ารับมันด้วยความเต็มใจ....



“งั้นผมก็ขอฝากตัวกับครอบครัวของป๊าม๊าด้วยนะครับ........”



ไม่เพียงแค่ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น แต่โลกที่ผมเคยคิดว่ามันเงียบเหงา หันมองไปทางไหนก็ไม่เคยเจอใครก็กว้างขึ้นด้วย

ท้องฟ้าของผมเริ่มมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำกับเทาแทรกเข้ามาบ้างแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ผมจะเรียนรู้ได้จนครบว่าสีสันของความสุขมันเป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่ยากนักหรอก เพราะตอนนี้ผมก็พอชะโงกหัวมองเห็นสายรุ้งที่สุดปลายขอบฟ้าบ้างแล้วล่ะ


......ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้......

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสักที หลังจากกินๆ นอนๆ นั่งเปลี้ยเป็นหนอนชาเขียวอยู่ร่วมสามเดือน.... ตอนนี้ไม่มีเฝือกหนาเตอะห่อขาให้ไอ้แดนมาวาดรูปเล่นแล้วแต่ข้างในตัวผมก็ยังมีเหล็กดามกระดูกจนแทบจะเป็นหุ่นยนต์ ก็ถือว่าโอเคตรงที่พอจะลุกเดินเองได้บ้างแล้วโดยที่ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำ บาดแผลทั้งภายในและภายนอกแทบทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เหลือแค่รอยแผลเป็นเล็กๆ ตรงใต้ตาขวาซึ่งทำเลเซอร์แล้วยังไม่ดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ใส่ใจกับมันนักหรอก เพราะทุกคนที่อยู่รอบตัวผมไม่มีใครสนใจว่าผมจะน่ารักไหม จะขี้เหร่หรืออ้วนเผละมากขึ้นกี่กิโล แค่พวกเขารักผมในแบบที่ตัวผมเป็นจริงๆ เท่านั้นก็พอ

บุรุษพยาบาลช่วยเข็นวีลแชร์มาส่งถึงลานจอดรถหน้าตึกผู้ป่วย รถออดี้สีน้ำเงินที่แสนคุ้นตาจอดรออยู่ก่อนแล้ว พี่โรมจัดแจงยกข้าวของสัมภาระต่างๆ ที่ใช้ระหว่างรักษาตัวไปไว้ตรงเบาะด้านหลัง ปรับเบาะข้างคนขับเอนให้อยู่ในระดับที่ผมจะนั่งสบาย ก่อนจะหันมาประคองผมให้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“อันที่จริงให้ทิชากลับไปอยู่บ้านแล้วจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องลำบากโรมด้วย”

เพราะผมยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มที่ แถมอีกไม่นานพี่โรมก็จะเข้าสู่ช่วงฝึกงานแล้ว วันจันทร์ถึงศุกร์ต้องขับรถไป-กลับโรงงานรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมแถวๆ ลาดกระบัง กลัวว่าจะเหนื่อยแล้วก็ต้องการพักผ่อนมากกว่าจะมีเวลามาดูแลผม แม่ก็เลยเสนอความเห็นเผื่อว่าพี่โรมจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่.... ถ้าอยู่บ้านก็ต้องขึ้นๆ ลงๆ บันได ออกไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวก ให้ทิชาอยู่คอนโดฯ ผมน่าจะดีกว่า ยังไงตอนนี้น้องก็พอจะเดินเองได้บ้างแล้ว ตอนเย็นกลับมาผมจะได้ช่วยน้องทำกายภาพตามที่หมอสั่งได้ด้วย” 

พี่โรมตอบยืนยันคำเดิมว่าเขาอยากจะดูแลผมด้วยตัวเอง ไม่ลืมที่จะหยอดคำหวานเอาใจแม่เหมือนเช่นเคย 

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมดูแลน้องให้เอง ถ่ายละครกลับมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อนเต็มที่”

“ลูกเขยแม่ ทำไมถึงเป็นคนดีแบบนี้นะ พ่อคุณเอ๊ย” 

แน่นอนว่าแม่ต้องตกหลุมพรางความใจดีของพี่โรมเหมือนอย่างที่ผมเคยตก จนป่านนี้ยังตะกายหาทางขึ้นไม่เจอ ดูเหมือนอาการจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ 

“ทิชา อยู่กับพี่เขาก็ห้ามทำนิสัยไม่ดีนะ ไอ้ที่ปากคอเราะร้ายชอบเถียงคำไม่ตกฟากก็เก็บๆ เอาไว้บ้าง เข้าใจไหม?”

“แม่อะ เห่อพี่โรมอยู่ได้..........” 

ผมตัดพ้อเบาๆ เมื่อดูท่าทางลูกเขยคนโปรดจะมาแย่งตำแหน่งที่หนึ่งในใจแม่ไปจากผมไปเรียบร้อยแล้ว

“จะไปด้วยกันไหมครับ คุณแม่ เดี๋ยวผมแวะไปส่งที่บ้าน”

พี่โรมยังคงทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าตัวยังสัมฤทธิ์ผลได้ไม่เต็มที่เพราะแม่มีงานที่ต้องไปทำต่อ

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ต้องไปถึงกองถ่ายก่อนเที่ยง นี่ก็นัดให้พีอาร์เขาเอารถมารับแล้ว อีกสักสิบนาทีก็คงมาถึงแล้วล่ะ”

“งั้นผมกับน้องอยู่รอเป็นเพื่อนก็แล้วกันครับ ให้คุณแม่ขึ้นรถก่อนแล้วพวกเราค่อยไป”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วอึดใจ รถตู้กองถ่ายละครก็มาจอดรับแม่ให้ไปทำหน้าที่นางร้ายรุ่นลายครามประจำสถานีโทรทัศน์ทั้งช่องหลักและช่องดิจิตอล พี่โรมจึงหันมาจูงผมให้ค่อยๆ ขึ้นไปบนรถซึ่งปรับเบาะเอนหลังเหยียดขาเตรียมเอาไว้เสร็จสรรพ เมื่อเสียบกุญแจสตาร์ทเครื่อง โรงพยาบาลเอกชนซึ่งเป็นที่หลับนอนรักษาตัวของผมร่วมๆ สามเดือนก็กลายเป็นเพียงฉากหลังในความทรงจำ แม้จะเจ็บปวดทางกายแต่ก็ได้ความสุขทางใจกลับคืนมาอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้

อยู่บนถนนไปได้สักพัก โทรศัพท์ที่วางไว้บนคอนโซลรถก็มีเสียงข้อความเด้งขึ้นมา เรื่องตลกก็คือหลังจากเกิดอุบัติเหตุ มือถือผมยังใช้งานได้ดีไม่มีรอยแตกอะไรเลย แม้กระทั่งรอยขีดข่วนบนฟิล์มหน้าจอสักนิดก็ยังไม่มี ผิดกับเจ้าของมันที่แทบจะเละคาเสาไฟเกือบเอาชีวิตไม่รอด

พอหยิบขึ้นมาดูถึงได้เห็นว่าเป็นข้อความแชทจากคนที่ผมไม่เห็นหน้าและแทบไม่ได้ยินข่าวคราวอีกเลยหลังฟื้นจากโคม่า....



Im_BeeBeE :    ไอ้ชา วันนี้มึงออกจากโรงบาลแล้วใช่ปะ?

               กูไม่ได้ไปเยี่ยมมึงเลย

               ขอโทษนะ



Tisha_950701 :    ไม่เป็นไร

                         ว่าแต่มึงยังสบายดีอยู่ใช่ไหม หายหัวไปเลยเนี่ย

         โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็อ่านไม่ตอบ



Im_BeeBeE :    ไม่สบายก็ต้องสบายแหละวะ จุดนี้ 55555555



ถึงแม้จะเป็นการคุยขำๆ หัวเราะยาวเป็นพรืด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าในเลขห้าของไอ้บี๋มีน้ำตาซ่อนอยู่.... ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ผมก็เคยถามพี่โรมว่ามันหายไปไหน ทำไมถึงไม่มาเยี่ยมผมบ้างเลย กะจะใช้พี่โรมไปตามดูให้ด้วยว่าพี่รุจยังทำร้ายมันอยู่อีกหรือเปล่า แต่พี่โรมก็บอกแค่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ไม่พูดถึงสองคนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมปางตายอีกเลย ผมก็เลยพอเดาออกว่าระหว่างที่ผมยังไม่ฟื้น มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ



Im_BeeBeE :    คือกูมีเรื่องจะสารภาพ

               ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่ใช่ว่ากูจะหนีความผิดนะ แต่กูไม่กล้าสู้หน้ามึงกับเฮียโรมจริงๆ

                        เหมือนกูเป็นเพื่อนเหี้ยๆ ที่ดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้

                        เฮียโรมก็บอกว่าเขาไม่อยากให้กูมายุ่งกับมึงอีก กูก็เลยไม่

                        กล้าไปเยี่ยมมึง ไม่กล้าตอบไลน์มึงด้วย

                        แค่อยากบอกให้มึงรู้ว่ากูเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

                        เสียใจมากๆ

                        แล้วก็อยากขอโทษมึงด้วย

                        ขอโทษ

                        ขอโทษ

                        ขอโทษ



Tisha_950701 :    เฮ้ย อย่าคิดมาก

              เรื่องมันผ่านไปแล้ว กูไม่ติดใจอะไรแล้วว่ะ       

         

Im_BeeBeE :    แต่กูติด....

               มึงไม่ควรมีเพื่อนอย่างกูเลย ขอโทษล้านครั้งก็ยังไม่พอ



Tisha_950701 :    เชี่ยบี๋ อย่าพูดแบบนั้นดิวะ



Im_BeeBeE :    กูไม่ได้พูด กูพิมพ์



Tisha_950701 :    เออ ยังจะกวนตีน 55555555



Im_BeeBeE :    นี่จริงจังนะ



Tisha_950701 :    มึงชื่อจริงจังเหรอ กูทิชา

              ยินดีที่ได้รู้จักนะ จริงจัง *สติ๊กเกอร์*



Im_BeeBeE :    โห กล้าเล่น 5555555



ในตอนนั้น ผมกับไอ้บี๋คุยกันปกติมาก มากเสียจนผมคิดว่าระหว่างเราไม่น่าจะมีหนี้แค้นติดค้างกันแล้ว พอผมทำกายภาพบำบัดจนกลับไปเดินได้ตามปกติก็คงเจอมันที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิม.... เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างที่คนเป็นเพื่อนเขาทำด้วยกัน ผมหวังแบบนั้นจริงๆ นะ



Im_BeeBeE :    กูอยากให้มึงเจอเพื่อนดีๆ นะ ไอ้ชา

                        คนที่ดีกว่ากูอ้ะ....



Tisha_950701 :    มึงก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ จะว่าไป

              แค่ทำกูเกือบตายเอง 5555

         กูโอเคกับทุกอย่างตอนนี้แล้ว มึงเองก็อย่าคิดมาก

                        หายแล้วก็กลับไปเรียนซะ วิชาเล็กเชอร์เทอมหน้าที่กูยังไปเรียนไม่ได้ มึงเก็บชีทไว้ให้กูลอกด้วย

                        ขอบใจล่วงหน้า


รถออดี้ของพี่โรมเลี้ยวผ่านป้อมยามคอนโดฯ ไปแล้วในตอนที่ผมพิมพ์ประโยคนั้นออกไป เพราะเดี๋ยวจะต้องขนของขึ้นห้องแล้วก็ทำอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ ผมก็เลยกะว่าเอาไว้ว่างๆ ค่อยกลับมาคุยกับไอ้บี๋ต่อ



Tisha_950701 :    มีอะไรพิมพ์ทิ้งไว้นะ เดี๋ยวกูมาอ่าน



แต่ทว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีไลน์จากไอ้บี๋ส่งมาอีกเลย....


.

.

.

ความรู้สึกขณะที่เดินผ่านล็อบบี้ชั้นล่าง กดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องที่ผมคาดหวังว่าจะได้กลับมาอีกครั้งโคตรนั้นตื่นเต้นแบบที่สุดของที่สุด หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าวันแรกที่พี่โรมพามาค้างด้วยเสียอีก.... ไม่ได้มาแค่สามเดือนแต่เหมือนจากไปเมืองนอกสักสามปี กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าจากสวนหย่อมด้านนอกโครงการกรุ่นอยู่ในจมูกชะล้างกลิ่นยาเหม็นๆ ไปจนหมดเกลี้ยง ผมเหลียวมองไปรอบตัว ยิ้มให้กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา แม้กระทั่งลูกหมาที่เพื่อนบ้านใส่รถเข็นพาลงมาเดินเล่น

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าอารมณ์ของคนที่ได้กลับบ้าน มีสถานที่ซึ่งเป็นของตัวเองรออยู่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


คิดถึง....

คิดถึงมากๆ........



ในตอนที่กำลังกดรหัสผ่านประตู ผมก็ได้ยินเสียงหล่นตุ้บเหมือนมีของหนักๆ ร่วงข้างในห้องตามมาด้วยเสียงกระพรวนห้อยคอดังกรุ๊งกริ๊ง และทันทีที่บานประตูเปิดออก เจ้าอสูรกายสีขาวขนฟูฟ่องที่ผมรักพอๆ กับพี่โรมก็วิ่งห้อสี่คูณร้อยเข้ามาหาด้วยขาสั้นๆ ส่งเสียงเงี้ยวง้าวระงมด้วยความคิดถึงมนุษย์ทาสสุดใจขาดดิ้น

“เมี้ยวววววววว”

“มิลค์~” 

ผมอุ้มลูกสาวขึ้นมาฟัดให้หนำใจ ชนิดไม่กลัวว่าขนแมวจะเข้าจมูกเข้าปาก 

“เป็นยังไงบ้าง ยัยตัวแสบ.... แด๊ดดี้เอาอะไรให้หนูกินเนี่ย ตัวอ้วนปึ้กอย่างกับแมวซูโม่แน่ะ”

เคยมีคนบอกว่าเวลาเจอผู้หญิงห้ามทักว่าอ้วน แต่ไม่คิดเลยว่าข้อห้ามนี้จะรวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย.... พอหลุดปากไปว่าอ้วนขึ้นหน่อยเดียว ยัยมิลค์ก็ดิ้นพราดถีบผมรัวๆ จนต้องปล่อยมันกลับลงพื้นตามเดิม แผลที่ได้จากอุบัติเหตุอุตส่าห์หายไปหมดแล้วแต่ดันได้แผลแมวข่วนกลับคืนมาให้ดูเล่น แต่ถึงจะเกรี้ยวกราดใส่ทาส แมวขี้รำคาญก็ยังเดินตามมาพันแข้งพันขา บอกให้รู้ว่ามันก็คิดถึงผมนะแต่ไม่ต้องมาอุ้มเยอะ เดี๋ยวขนที่เลียไว้จะเสียทรง

ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหลังกว้าง กลิ้งเกลือกไปมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งราวกับว่าภูเขาที่เคยทับถ่วงอยู่ข้างในอกถูกยกออกไป ซึมซับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและมั่นคงที่ทำให้หัวใจพองฟูเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้.... หมอนใบนี้ ผ้าห่มผืนนี้ ที่ตรงนี้ซึ่งเคยเป็นของผม ไม่ว่าจะเหินห่างไปนานแค่ไหนมันก็ยังเป็นของผมอยู่เช่นเดิม

“นอนสบายกว่าเตียงโรงพยาบาลตั้งเยอะ ดีจังเลยที่ได้กลับมา........”

“ชอบใช่ไหมล่ะ?” 

ร่างสูงวางกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหลายแหล่ไว้บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ก่อนจะมากลิ้งแผ่หราอยู่บนเตียงข้างๆ ผม 

“พี่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนชุดใหม่เลยนะเนี่ย น้ำยาปรับผ้านุ่มหอมฟุ้งเชียว”

เมื่อได้ยินพี่โรมพูดว่าเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผมก็โงหัวขึ้นมามองสำรวจสภาพรอบๆ ห้อง เท่าที่เห็นก็ไม่มีจานชามกองทิ้งอยู่ในอ่าง ไม่มีเสื้อผ้าถอดโยนระเกะระกะตามพื้น สมบัติพัสถานเครื่องใช้จัดวางเป็นระเบียบน่าปลื้มใจ.... ด้วยความที่ปกติแล้ว พี่โรมเป็นพวกงานบ้านงานเรือนไม่เอาอ่าวเลย เวลาอยู่ด้วยกันก็ขยันทำรกให้ผมตามเก็บอย่างเดียว เลยค่อนข้างแปลกใจที่เห็นห้องเรียบร้อยในแบบที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้

“ห้องสะอาดกว่าที่คิดนะเนี่ย ฝุ่นก็ไม่มี.... พี่โรมให้แม่บ้านขึ้นมาทำเหรอ?”

คนถูกถามยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ปลายนิ้วชี้จิ้มลงบนอกกว้างของตัวเองพลางยักคิ้วหลิ่วตาอวดฝีมือการทำความสะอาดอย่างภาคภูมิใจสุดๆ

“ใครบอก พี่เป็นคนทำเองต่างหาก”

“จริงอะ??” 

ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเหมือนกัน คุณผู้ชายที่แยกความแตกต่างของน้ำยาล้างห้องน้ำกับน้ำยาถูพื้นไม่ออกน่ะเหรอจะทำได้ขนาดนี้

“จริงสิ.... เดี๋ยวนี้พี่ใช้เครื่องดูดฝุ่นกับเครื่องซักผ้าเป็นแล้วด้วย เก่งไหมล่ะ?” 

พี่โรมยังไม่เลิกอวดผลงานที่แอบฝึกปรือระหว่างที่ผมพักรักษาตัว แต่ก็น่าอวดอยู่หรอก เพราะนี่มันแทบไม่ต่างจากตอนที่ผมลงมือทำเองเลย แสดงว่าต่อไปนี้มีอะไรก็วางใจให้เขาช่วยทำแทนได้หมดทุกอย่างแล้ว 

“สงสัยเพราะมีแฟนเจ้าระเบียบ รักความสะอาด พี่ก็เลยติดนิสัยมาด้วย.... พอกลับมาเห็นห้องรกๆ มีฝุ่นเกาะแล้วมันทนไม่ได้ ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง”

“ดีมาก ไม่เสียแรงที่เคยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”

เครื่องปรับอากาศเริ่มเย็นได้ที่ ผมกับพี่โรมซุกตัวเข้าใต้ผ้านวมผืนหนาแล้วกอดกันให้หายอยากโดยมียัยมิลค์มาร่วมแจมที่ตรงปลายเตียง.... ถึงแม้ว่าในเวลานี้ผมจะได้รับความรักจากคนรอบข้าง มีแม่ มีป๊าม๊าซึ่งเป็นพ่อแม่บุญธรรม มีเพื่อนและแฟนคลับซึ่งรอให้ผมกลับไปเจอพวกเขาเร็วๆ แต่อ้อมกอดและคำบอกรักจากพี่โรมคือสิ่งที่ผมโหยหามากที่สุด ได้รับมากเท่าไรก็ยังไม่พอ แล้วก็คิดว่าจะไม่มีวันพอด้วย   

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะ ทิชา” 

ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบเบาๆ ที่ข้างขมับ นัยน์ตาสีเข้มสะท้อนภาพเงาของผมไหวระริก บ่งบอกถึงความในใจซึ่งยังไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้

“ห้องว่างๆ ที่ไม่มีทิชาอยู่ด้วยมันเหงามาก.... คนดีอย่าทิ้งพี่ไปอีกนะ”

“ถ้าพี่โรมอยากให้ชาอยู่ที่นี่ ชาก็ไม่ไปไหนแล้วล่ะ” 

ผมเป็นฝ่ายจูบร่างสูงคืนบ้าง ริมฝีปากนุ่มประกบเข้าหากลีบปากหยักได้รูปซึ่งรออยู่ตรงหน้า หยอกเอินเค้นคลึงอย่างออดอ้อนและเอาแต่ใจอยู่ในที โดยที่อีกฝ่ายก็เต็มใจให้ผมออเซาะเขาได้เต็มที่ 

“ที่ตรงนี้มีใครจองเอาไว้แล้วหรือเปล่า? ถ้าไม่มี ชาขออยู่กับพี่โรมแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยได้ไหม?”

“ฟังพูดเข้า ใครจะกล้ามาจองล่ะ.........” 

ร่างหนาหัวเราะหึ ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้เหมือนกอดตุ๊กตาหมี ผิวแก้มทาบทับลงบนผืนอกกว้างตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี ได้ยินเสียงก้อนเนื้อข้างใต้กำลังเต้นตึกตักชัดเจนอยู่ในโสตประสาท เฉกเช่นเดียวกับคำบอกรักซึ่งทำเอาทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนไหวยวบยาบจนอยากจะละลายคาอกชายหนุ่มไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด 

“ที่ตรงนี้มันเป็นของทิชาคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยปากขอ พี่ก็ให้อยู่.... พี่ต่างหากที่ต้องขอเราว่าอย่าหนีไปไหนอีก”

“ไม่ไปหรอก.... ชารักพี่โรม ชาจะอยู่นี่แหละ”

ผมเป็นฝ่ายลากตัวเองขึ้นไปนอนคร่อมทับพี่โรม แต่เขาเป็นคนใช้สองมือประคองศีรษะของผมไว้ในขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่บดเบียดเข้าหากัน รสจูบหวานซ่านแผ่กระจายไปทั่วโพรงปากในยามที่เรียวลิ้นสอดกระหวัดประหนึ่งถ้อยคำบ่งบอกว่าเราต้องการกันและกันมากเพียงใด.... ความร้อนแรงพุ่งทะยานทำเอาผมแทบหายใจไม่ทัน แต่เมื่อเปิดปากออกพยายามจะสูดอากาศ พี่โรมก็ตามรุกไล่เข้ามาอีกราวกับจะต้อนให้ผมจนมุมและต้านทานกระแสคลื่นแห่งความปรารถนาของเขาเอาไว้ไม่ไหว

แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าชอบ.... ชอบทั้งจูบของพี่โรม ชอบทั้งความรู้สึกที่ว่าเขาต้องการผมมากแค่ไหน

“เครื่องร้อนหรือยัง? ต้องวอร์มอัพอีกหน่อยไหม?”

ปลายนิ้วใหญ่เกลี่ยรอบริมฝีปากผมตรงที่เขาจูบเอาๆ จนเกือบช้ำ แน่นอนว่าโดนจูบเร้าขนาดนี้มันก็ต้องมีอารมณ์ตื่นตัวบ้างเป็นธรรมดา แต่คงไม่มากเท่าใครบางคนซึ่งเครื่องสตาร์ทแรงเตรียมแหกโค้งมาแต่ไกล แค่จูบไม่กี่นาทีก็ทำเอาน้องชายที่อยู่ใต้กางเกงยีนโป่งนูนขึ้นมาแบบลามกสุดๆ

“อดอยากมาจากไหนเนี่ย.... แค่จูบนิดจูบหน่อยทำมาแข็งใส่ ทะลึ่ง!”

“ก็มันคิดถึงเมีย.........” 

คนลามก2018 แก้ตัวหน้าตาย ก่อนจะพลิกร่างผมให้กลับมาเป็นฝ่ายถูกขึ้นคร่อม กลีบปากซุกซนยังลงไล้ไปตามผิวแก้มเรื่อยลงมาถึงซอกคอ ผมว่าผมโคตรเอาแต่ใจแล้วนะ แต่ถ้าเทียบกับพี่โรมเวลาหื่นแล้วก็ยังถือว่าน้อย 

“ไม่ได้กอดแม่แมวตัวนุ่มๆ หอมๆ มาตั้งสามเดือน อดทนโลกสวยด้วยมือตัวเองมาตั้งนาน.... ทิชาต้องเห็นใจพี่บ้างสิ”

“เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไม่ใช่เหรอ?” 

ผมแกล้งย้อน อุตส่าห์ซักผ้านวมตากจนกลิ่นหอมฟุ้งน่านอนขนาดนี้ จะรีบทำเลอะมันก็น่าเสียดาย

“งั้นใส่ถุงก็ได้ เดี๋ยวลงไปซื้อ”

คุณพ่อบ้านใจกล้าก็บ้าจี้เอาเรื่อง อยากก็อยากแต่ก็กลัวที่นอนเลอะ ทั้งขำทั้งสงสารจนไม่รู้จะพูดยังไง สุดท้ายก็เลยต้องดึงต้นแขนแกร่งเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งแจ้นลงไปซื้อถุงยางเพื่อการนี้จริงๆ

“ไม่ต้องแล้ว..........” 

ผมบอกพลางหัวเราะคิก จะว่าไปแล้วผมกับพี่โรมก็เหมือนจะไม่เคยใช้ถุงยางกันหรือเปล่า จำได้ว่าครั้งแรกๆ ไม่ได้ใช้ก็เลยไม่มีใครซื้อติดห้องไว้ งั้นก็เลยตามเลยอีกสักครั้งแล้วกัน 

“ปล่อยข้างในคงไม่ค่อยเลอะเท่าไร แต่พี่โรมต้องทำเบาๆ นะ ชายังเจ็บขาอยู่ ไม่อยากกลับไปใส่เฝือกอีก........”

“พี่จะทะนุถนอมทิชาอย่างดีเลย” 

คนรักของผมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น 

“ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง แต่กับทุกๆ เรื่องที่เราจะทำด้วยกัน..... ทิชาคือคนแรกที่พี่จะนึกถึง เป็นคนแรกที่จะต้องมาก่อนและสำคัญกว่าใครทั้งหมด.........”

“อืม.... ชาเชื่อใจพี่โรมนะ”

“รักนะครับ คนดีของพี่”

จบประโยคนั้น ร่างหนาก็โถมทับเข้าหาผมอย่างอ่อนโยนดังเช่นที่รับปาก กลีบปากหยักและปลายจมูกโด่งซุกไซ้ลงที่ข้างแก้มและซอกคอ ฝากรอยประทับลงบนผิวกายของผมราวกับว่ามันคือเครื่องหมายยืนยันความรักของเราทั้งคู่ เพียงไม่นานหลังจากนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่ติดกายก็ถูกโยนหายไปทางไหนไม่รู้

ยัยมิลค์ซึ่งนั่งเลียขนอยู่ตรงปลายเตียงหันมามองแล้วก็กระโดดหนีหายไปเหมือนรู้หน้าที่ จริงๆ มันก็คงอยากด่าผมกับพี่โรมที่ทำอะไรน่ารำคาญอีกแล้ว แต่เอาไว้ค่อยง้อยัยลูกสาวด้วยแซลมอนในน้ำเกรวี่ทีหลังก็แล้วกัน เพราะผมก็เกิดอยากเห็นใจพี่โรมขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้

.

.

.


ที่ตรงนี้ ในห้องนี้.... และอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้เรียกให้ผมต้องกลับมา

ทิชา ทิชนันท์ คนที่ไม่เคยมีใครต้องการ ไม่เคยมีสถานที่ที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นของตัวเอง

แต่ตอนนี้ ผมมีครบทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยวิ่งไล่ไขว่คว้าจนสุดชีวิตแล้ว

ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดวิ่งและมีความสุขกับปัจจุบันของตัวเองเสียที



อีกเรื่องที่คิดได้ก็คือ ผมคงไม่กล่าวโทษอดีตที่แสนขมขื่นเลวร้ายพวกนั้นว่าเป็นจุดด่างพร้อยในความทรงจำอีกแล้วล่ะ เพราะถ้าไม่มีเมฆครึ้มสีเทาหม่น ผมก็คงไม่รู้ว่าสายรุ้งซึ่งจะปรากฏให้เห็นหลังฝนตกนั้นงดงามมากเพียงใด

บางครั้งคนเราก็อาจต้องเรียนรู้ที่จะเจ็บปวดเสียก่อน เพื่อที่จะได้รักษาสิ่งที่มีอยู่ในมือเอาไว้และไม่ทำมันหล่นหายไป



......เรื่องราวของผมก็คงจะเป็นเช่นนั้น......


TO BE CONTINUE



ใกล้จบแล้ว T____T
 :katai2-1:


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ดีใจกับทิชาด้วยนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนแรกแอบหวั่นนึกว่าทิชาจะความจำเสื่อม แต่ดีแล้วที่น้องกลับมาแบบปกติ ตอนนี้ก็ฟ้าหลังฝนแล้วมีความสุขมากๆนะทิชา ว่าแต่บีบี๋นี่ไลน์มาหาทิชาเหมือนสั่งลาเลยนะ ไม่ใช่คิดสั้นอีกใช่มั้ยอะ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ซึ้งมากค่ะ ตามอ่านมาตั้งแต่แรกๆ รู้สึกเหมือนล้มลุกคลุกคลานไปพร้อมๆ กับทิชา  เราซึ้งมากตอนรับลูกบุญธรรม เหมือนในที่สุดก็มีที่ๆ เป็นของเราสักที

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
ดีใจกับทิชาที่ได้พบกับคนดีๆ ชีวิตสดใสขึ้น ครอบครัวโรมน่ารักมาก คุณแม่ทิชาก็น่ารักมาก
พี่โรมยิ่งน่ารักมาก ดีไปหมดเลย ชอบ กว่าจะถึงวันนี้เจ็บกันมาเยอะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ jirap_tu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอให้ทิชาไม่ต้องเจอกับความผิดหวัง เสียใจอีกแล้ว อยากให้เฮียโรมกับทิชาได้สมหวัง รักกันราบรื่นซักที ที่ผ่านมาอึปสรรคเยอะมากเหลือเกิน เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะ จะรอตอนต่อไป  :mew1:

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เหมือนบีบี๋จะฆ่าตัวตายเลย ไม่เอาแบบนี้นะ :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด