✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63164 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
รอตอนจบอยู่น้าาา

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
20
~ ฟ้าหลังฝนของทิชา ~



BEE-BEE's PART





รถ Renge Rover จอดเบรคเอี๊ยดหัวทิ่มหัวตำเมื่อมาถึงอาคารศูนย์ทะเบียนของมหาวิทยาลัย ผมหันไปมองหน้าคนที่ทำให้หัวผมเกือบโขกคอนโซลรถอย่างปลงๆ ด้วยความที่เมื่อกี้ก่อนออกมาก็ยังคุยกันอยู่ดีๆ แค่สิบห้านาทีผ่านไปก็ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ไม่ว่าจะเพราะรถติด โดนมอเตอร์ไซค์แซงซ้ายหรือห่าเหวอะไรก็ช่างเถอะ คนอย่างเฮียรุจ แค่ได้ยินเสียงหมาเห่าตอนกำลังกินข้าวก็เปลี่ยนจากหน้ายิ้มเย็นยะเยือกมาเป็นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้

ผมหยิบแฟ้มใสใส่เอกสารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตรวจดูความเรียบร้อยเพื่อที่จะได้จัดการธุระให้จบๆ ไปโดยไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาอีก รู้สึกหน่วงข้างในอกนิดหน่อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า.... แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะให้มันเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากกลับลำคร่ำครวญให้ใครเขาต้องสมเพชเวทนาในความขี้ขลาดของตัวเองอีก

“ต้องให้ลงไปเป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่ต้อง.... บี๋จัดการเองได้”

เฮียรุจพยักหน้าแกนๆ แล้วดับเครื่องยนต์แทนคำตอบว่าเขาตกลงจะนั่งรออยู่บนรถ ทั้งที่มีป้ายแปะหราว่าห้ามสูบบุหรี่ภายในเขตสถานศึกษาแต่เฮียแกก็ไม่อินังขังขอบต่อคำเตือนและคำขู่ว่าจะปรับเงินใดๆ ทั้งสิ้น คว้าบุหรี่มาจุดสูบหน้าตาเฉย น้ำเสียงห้วนเอ่ยบอกกับผมก่อนที่จะได้เปิดประตูลงไป

“งั้นเสร็จแล้วก็รีบมา หวังว่าเฮียคงไม่ต้องไปตามนะ”

“ล่ามโซ่ฝังไมโครชิปเลยไหมล่ะ?”

“อย่าคิดว่าไม่กล้า”

เพราะเขาพูดแบบนั้น ผมก็เลยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ ก็แค่เปิดประตูรถแล้วปิดกระแทกดังโครม โชคดีที่เจ้าของรถไม่ตามลงมากระชากหัวผมโทษฐานเหวี่ยงไม่ดูตาม้าตาเรือ

ช่วงนี้ตามคณะต่างๆ ส่วนใหญ่สอบไฟนอลและส่งโปรเจกต์กันเรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่เหลือก็เลยดูค่อนข้างบางตากว่าปกติ ผมสูดลมหายใจลึกเข้าขณะก้าวขาขึ้นไปตามบันไดเตี้ยๆ ยกพื้นหน้าอาคาร ในมือยังคงถือเอกสาร ‘แบบคำร้องขอลาออกจากสถานภาพนิสิต’ ซึ่งกรอกรายละเอียดและลงลายมือชื่อเอาไว้เสร็จสรรพ

“ลาออกเทียบโอนหน่วยกิตไปม.อื่นเหรอคะ.... อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับทราบเรียบร้อยแล้วเนอะ?”

“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

ผมนั่งมองพื้นกระเบื้อง เช็คเฟซบุค ไอจีไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องให้.... สิ่งที่ผ่านหน้าฟีดไปก็เรตติ้งละครสงครามคิวท์บอย ความดังของนายแดน เดือนใจหมาแห่งสถาปัตย์กับคู่จิ้นคนใหม่ของมัน โฆษณาอาหารเสริมที่มีแม่เพื่อนเป็นพรีเซ็นเตอร์ สัพเพเหระใต้เตียงดาราและรอบรั้วมหาลัย แต่ที่ทำให้แปลกใจที่สุดในรอบหลายวันมานี้ก็คือไอ้ทิชายอมเปิดไอจีเป็นสาธารณะแล้ว

รูปที่ลงก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขอบคุณแฟนคลับที่ส่งของมาให้ระหว่างที่มันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แล้วก็มีลงรูปน้องมิลค์นิดหน่อยตามประสาคนอวดแมว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันใจแข็งพอจะอ่านคอมเมนท์ชาวเน็ตได้หรือยัง แต่พูดกันตามตรง เพียงแค่มันยอมเปิดตัวเองออกมาสู้กับเสียงด่าไร้สาระจากคนที่ไม่รู้จักกัน ก็แปลว่ามันเข้มแข็งและเติบโตขึ้นเยอะมากทีเดียวเชียวล่ะ

ผิดกับผมที่เลือกจบปัญหาด้วยการล้างไพ่ Set Zero ขอกลับไปเริ่มต้นใหม่เพราะมันน่าจะง่ายกว่าจมอยู่กับความรู้สึกในปัจจุบัน....

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” 

เจ้าหน้าที่คนเดิมเรียกผม ก่อนจะยื่นเอกสารเทียบโอนซึ่งผ่านการรับรองแล้วใส่แฟ้มคืนให้ 

“ไปเรียนที่ใหม่ก็ตั้งใจๆ นะ โชคดีจ้ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมหันหลังเดินออกมาจากฝ่ายทะเบียนนิสิต ถึงจะยังไม่แน่ใจนักว่าคณะใหม่ที่ตั้งใจจะสมัครนั้นจะสามารถใช้วิชาจากภาคอินทีเรียเทียบโอนได้มากน้อยแค่ไหนแต่ก็ยังดีกว่าไปเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานใหม่ทั้งหมด หากยังไม่ทันจะพ้นประตูดีก็มีคนคุ้นหน้าโผล่มาขวางไว้

“เป็นไงบ้าง น้องบี๋?”

“อ้าว พี่แจ็ค.... มาลาออกเหมือนกันเหรอ”

“ไม่ใช่เว้ย!” 

พี่แจ็ครีบย้อนเสียงหลง แต่เขาก็รู้แหละว่าผมแค่ล้อเล่น 

“เห็นเฮียรุจบอกว่าวันนี้น้องบี๋จะมามหาลัย พี่ก็เลยมารอเจอเราที่นี่”

พี่แจ็คไม่ค่อยได้เข้ามาที่เบอร์ลิคตั้งแต่ก่อนสอบไฟนอล เห็นว่ากำลังยุ่งๆ อยู่กับอะไรหลายอย่าง รวมถึงเรื่องเตรียมตัวฝึกงานช่วงปิดเทอมนี้ด้วย เฮียรุจก็เลยไม่ได้เรียกใช้พี่แจ็คบ่อยสักเท่าไรและเริ่มปั้นเด็กปีสองขึ้นมาเป็นลูกน้องคนสนิทแทน ก็เป็นธรรมดาของวงจรเด็กวิศวะฯ ในเบอร์ลิค คนเก่าถึงเวลาปลดระวางก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง งานในร้านก็มีเด็กใหม่ที่กำลังเห่อคลั่งไคล้ระบบเกียร์เข้ามาเสียบ

“เลือกมหาลัยใหม่ได้แล้วเหรอ?”

“ยังเลยพี่ แต่ก็ต้องรีบตัดสินใจแล้วล่ะ”

“อืม.... ก็เลือกดีๆ นะ อุตส่าห์มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้วทั้งที”

ผมผงกหัวรับคำ เฮียรุจบอกว่าจะรับผิดชอบค่าเรียนและค่าใช้จ่ายให้ผมระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งผมก็ตั้งใจจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและทำได้ดีกว่าเรียนออกแบบตกแต่งภายในอยู่แล้ว

“อ้อ มึคนบอกว่าอยากเจอนน้องบีบี๋ด้วยล่ะ พอดีพี่เจอเขาเมื่อวันก่อนก็เลยบอกให้ลองมาดักรอวันนี้ดู”

“ใครเหรอ?” 

พอถามออกไปแล้วถึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนรออยู่ด้านนอกประตูอาคารฝ่ายทะเบียนนิสิต ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะมีเพื่อนในภาคคนไหนอยากเจอผม โดยเฉพาะสองคนนี้ 

“เจนนี่? ฝ้าย?”

“พวกเราเอง............” 

เจนนี่เป็นคนพูดกับผม ในขณะที่ฝ้ายยังคงยืนเงียบหลบอยู่ข้างหลังเพื่อนสนิท 

“บีบี๋สบายดีใช่ไหม?”

“ก็เรื่อยๆ แหละ ไม่เจ็บไม่ไข้”

ผมตอบยิ้มๆ ไปตามมารยาท ตั้งแต่ขาหายเจ็บกลับมาเรียนและได้รู้ความจริงว่าเจนนี่กับฝ้ายเป็นคนเอาเรื่องคลิปไปพูดกลางห้องเรียนจนทำให้เพื่อนหลายคนมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผมก็ถอยห่างออกมาและแทบไม่ได้คุยกับทั้งคู่อีกเลย.... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของไอ้ทิชาก็ตอนนั้นเอง การที่เราไม่ใช่คนผิดแต่กลับต้องโดนเสียงนินทาและสายตาประณามหยามเหยียดทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลามันเป็นยังไง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรใครหรอกนะ ผมเลือกที่จะอดทนจนกว่าจะสอบไฟนอลและส่งงานเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยมาลาออกตอนจบเทอม

“ถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ?” 

อดีตเพื่อนร่วมภาควิชาเอ่ยถามเสียงแผ่ว หน้าตาสลดหดหู่ชวนให้คิดได้ว่าเจ้าหล่อนอาจจะสำนึกผิดจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไปแล้วก็ตาม 

“แล้วบีบี๋จะไปเรียนที่ไหน? มีที่เรียนใหม่แล้วเหรอ?”

“ยังไม่รู้เลย แต่ก็คงม.เอกชนในกรุงเทพฯ นี่แหละ ไม่ไปไหนไกลหรอก”

“บีบี๋ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปนั่นใช่ไหม?” 

คราวนี้ฝ้ายเป็นคนถามขึ้นบ้าง จะเรียกว่าถามเพราะอยากรู้ก็ไม่เชิง อาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปสักนิด แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่าเหตุผลที่ทั้งสองสาวมาดักรอผมก็เพราะอยากแก้ตัวให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงต่างหาก 

“พวกเราหลุดปากคุยกันเรื่องคลิปของบีบี๋กับพี่รุจให้คนอื่นได้ยินก็ใช่ อันนี้เราสองคนยอมรับ แต่เราไม่ได้ปล่อยคลิปเลยนะ.... หลังจบคาบนั้นเจนนี่ก็ลบทิ้ง ไม่ได้ส่งให้ใครเลยจริงๆ”   

“เรากับฝ้ายไม่ได้โกหกนะ ให้เราสาบานเลยก็ได้” 

เจนนี่รีบเสริมก่อนจะอธิบายเบื้องหลังความจริงอีกอย่างซึ่งผมยังไม่รู้ 

“เราขอโทษที่ตอนนั้นทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิด คะนองปากเกินไปจนไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อบีบี๋ยังไงบ้าง.... แต่หลังจากที่ทิชาเข้ามาว่าเรา บอกว่าเราทำตัวไม่สมที่เป็นเพื่อนกับบีบี๋ เราถึงได้รู้สึกตัวว่าทำผิดแล้วก็ลบคลิปไป.............”

ไอ้ทิชาอีกแล้ว.... ขนาดผมทำเรื่องแย่ๆ กับมันจนนับไม่ถ้วน ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่มันก็ยังพยายามปกป้องผมจากขี้ปากคนอื่น

นี่ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเลวของโคตรเลว สมควรจะไปให้ไกลๆ จากมัน แล้วให้ทิชาได้คบเพื่อนที่ดีกว่าไอ้ตัวขี้อิจฉาแบบผม

“ไม่เป็นไร.........” 

ผมยิ้มรับคำขอโทษจากสองสาว ไม่อยากถือโทษโกรธเคืองอะไรใครทั้งสิ้น เพราะถึงยังไงตัวตนของผมในชีวิตของคนเหล่านี้ก็กำลังจะจบลงอยู่แล้ว 

“อันที่จริงเราก็ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปเสียทีเดียวหรอก มันหลายๆ อย่าง หลายๆ เหตุผลรวมกันน่ะ เราไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกัน.... แต่เอาเป็นว่าเจนนี่กับฝ้ายไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรกับเราแล้วล่ะ เราโอเค”

เจนนี่กับฝ้ายเออออตามด้วยความโล่งใจเมื่อผมไม่ได้ต่อว่าถึงอดีตที่ผ่านเลยไปจนแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมกำลังจะเดินจากไปอยู่แล้วแต่พอดีนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญก็เลยต้องหันกลับมา แน่นอนว่าทำเอาสองคนนั้นสะดุ้งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงนึกว่าผมจะย้อนมาเอามีดแทงเรียงตัวล่ะมั้ง

“ยังมีอีกเรื่องที่เราอยากจะขอร้องพวกเธอก่อนไป ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงล่ะก็ พอจะช่วยเราหน่อยได้ไหม?”

“อะ....อะไรเหรอ?”

เจนนี่ย้อนถาม แม้จะหวาดๆ แต่ก็ดูมีวี่แววเต็มใจอยากช่วยอยู่

“เทอมหน้าโน้น ทิชามันน่าจะกลับมาเรียนได้แล้ว พวกเธอก็อย่าไปนินทาหรือพูดอะไรไม่ดีถึงมันอีกเลยนะ.... คือหลายๆ อย่างที่เราเคยเล่าให้เจนนี่กับฝ้ายฟังก็ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด เรายอมรับว่าทำไปเพราะโกรธแล้วก็อิจฉามัน จริงๆ แล้ว ทิชาไม่ได้เป็นคนแบบที่เราว่าหรอก” 

ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ผมจะทำเพื่อไอ้ทิชาได้ ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ขอให้มันได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ฝันมาตลอดก็แล้วกัน 

“ทิชามันเป็นเพื่อนที่ดีนะ เราต่างหากที่เลวใส่มันมาตลอด.............”

“อืม พวกเราเข้าใจแล้ว”

“งั้นก็โชคดีนะ บ๊ายบาย”

ผมโบกมือให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินออกมาจากอาคารศูนย์ทะเบียนนิสิตด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิม ต่อให้มันเทียบกับสิ่งที่ผมเคยทำลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ชดเชยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ให้กับเพื่อนรักบ้าง.... แม้จะไม่ทำให้ผมดูเป็นคนดีขึ้นสักเท่าไร หากก็ช่วยให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวจนเกินไปนัก

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ น้องบี๋” 

คนที่เดินตามผมมาจนเกือบถึงลานจอดรถหน้าตึกก็คือพี่แจ็ค ดูท่าทางเขาเองก็คงมีเรื่องอยากคุยกับผมเหมือนกัน 

“รีบกลับเหรอ เพิ่งมาได้แปบเดียวเองนี่?”

“โน่นไง” 

ผมชี้ให้พี่แจ็คดูว่ารถ Renge Rover สีดำจอดอยู่ข้างหน้าห่างไปไม่กี่สิบเมตร และคนที่รีบก็ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นลูกพี่สุดที่เคารพของเขาต่างหาก

“ประมาณอาทิตย์หน้าพี่ต้องเริ่มไปฝึกงานแล้ว คงไม่ได้ไปที่ร้านบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีอะไรไม่โอเคก็โทรมาหาพี่ได้เสมอนะ”

พี่แจ็คก็ยังคงเป็นพี่แจ็คคนดีคนเดิม คอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งๆ ที่ผมก็สารพัดจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาไม่เว้นแต่ละวัน

“พี่ไปฝึกงานให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้.... บี๋ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ” 

ผมถือวิสาสะตบบ่ารุ่นพี่อย่างปีนเกลียว ยิ้มให้เขาเห็น หัวเราะให้เขาดู พี่แจ็คจะได้ไม่ต้องมากังวลกับตัวภาระซึ่งรังแต่จะคอยสร้างความเดือดร้อนให้เขาเปล่าๆ 

“แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่แจ็คมากนะ พี่แม่งดีกว่าพี่ชายแท้ๆ ของบี๋เสียอีก”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยน่า”

“เฮียรุจก็ใจเย็นลงเยอะแล้ว ไม่ขี้เมาเหมือนแต่ก่อน พอไม่เมาก็ไม่ทะเลาะกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็น่าจะพออยู่ด้วยกันรอดแหละมั้ง” 

ไม่ใช่แค่พี่แจ็คที่ยินดีเมื่อรู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายของผมกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดปริ่มในอกเล็กๆ ไม่ได้เมื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ แล้ววันต่อๆ ไปก็จะต้องดีมากยิ่งขึ้นไปอีก.... ถึงจะฟังดูเพ้อเจ้อไม่ใช่น้อย หากผมก็ต้องพยายามปลอบใจตัวเองเช่นนั้นเอาไว้ก่อน 

“แล้วเดี๋ยวพอจัดการเรื่องที่เรียนใหม่เสร็จ บี๋ว่าบี๋จะลองกลับบ้านดูล่ะ.... ก็ไม่รู้ว่าจะโดนไล่ตะเพิดออกมาหรือเปล่านะ แต่บี๋ก็อยากขอโทษป๊ากับม๊าต่อหน้า เผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น”

“เออ พี่ก็คิดว่ามันจะต้องดีขึ้นแน่.... สู้ๆ นะเว้ย”

ได้ฟังแค่นั้น ผมก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นกอง แต่ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณอีกรอบ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แทบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเจ้าของสายเรียกเข้าคือใคร


‘เสร็จหรือยัง จะยืนคุยกับไอ้ห่าแจ็คอีกกี่ชาติ ห๊ะ!?’


“พ่อโทรตามแล้วว่ะพี่ รอนิดรอหน่อยทำบ่น!”

“งั้นน้องบี๋ก็รีบไปเหอะ.... ใกล้เที่ยงแล้ว สงสัยเฮียแกจะโมโหหิว”

พี่แจ็คพูดกลั้วหัวเราะตามประสาคนที่รู้จักนิสัยใจคอรุ่นพี่ตัวเองดี ก็อย่างที่เขาเคยเตือนผมมาตลอดว่าถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยในเบอร์ลิคก็อย่าไปแหย่รังแตน โดยเฉพาะแตนระดับบอสที่ชื่อรุจ อารมณ์ก็ดีแล้วไป แต่ถ้าอารมณ์เสียเมื่อไรก็ได้ฉิบหายวายวอดกันเป็นแถบๆ

“บี๋ไปนะ ไว้เจอกัน”

หลังจากนั้น ผมก็เดินกลับไปขึ้นรถ ฟังเสียงผู้ชายที่บอกว่าจะดูแลผมบ่นอีกนิดหน่อยก่อนที่รถคันใหญ่สีดำจะเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัย

ผมแอบชำเลืองมองสถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและบทเรียนราคาแพงค่อยๆ ห่างออกไปด้วยความรู้สึกวูบโหวง ราวกับว่าหัวใจถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่.... หัวสมองพลันนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ผมเจอไอ้ทิชาตอนประชุมรวมนิสิตภาคปีหนึ่ง ครั้งแรกที่เริ่มคุยและคบกันเป็นเพื่อนจริงๆ จังๆ ก็ตอนเทอมสองที่ผมจิ๊กยางลบมันไปใช้ระหว่างเรียน ผมกับมันมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันเยอะมากนะ แต่ก็น่าเสียดายตรงที่ผมทำมันพังและไม่สามารถเอากลับคืนมาได้

แต่เพราะชีวิตยังไม่ได้จบแค่นี้ ที่มหาวิทยาลัยใหม่ ผมก็คงจะมีเพื่อนใหม่ และได้เริ่มสร้างความประทับใจและความทรงจำใหม่ๆ ตามมา

ผมรู้แล้วว่ากับคนที่เป็นเพื่อนกัน ควรจะต้องปฏิบัติและรู้สึกต่อกันอย่างไร


.


.


.


ผมสัญญาว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำแบบเดิมอีก....


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ส่งเสียงดังก้องอยู่ในรูหูซึ่งอื้ออึงเพราะความดันอากาศ ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นส่ำนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้องแยกจากลูกสาวสุดซึ่งถูกโหลดเป็นสัมภาระพิเศษอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเจ้านกยักษ์ลำนี้.... จะหาว่าบ้าก็ได้นะ แต่ผมไม่ไว้ใจให้ยัยมิลค์อยู่ตามลำพังโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้เลย ถึงพี่โรมจะพยายามหาข้อมูลแถมยังช่วยปลอบผมว่ายัยมิลค์จะปลอดภัยแน่ๆ สายการบินจะต้องดูแลลูกผมเป็นอย่างดี แต่ใจคนมันห่วงก็พาลวิตกจริตไปร้อยแปด

จะให้พี่โรมขับรถมาจากกรุงเทพฯ ผมก็ดันกลัวไม่กล้านั่งรถออกต่างจังหวัด ครั้นจะให้ทิ้งลูกสาวไว้โรงแรมแมวหลายๆ วัน พี่โรมก็บอกว่าให้พามาเที่ยวด้วยกันดีกว่า ผลสรุปก็คือเราต้องเอายัยมิลค์ขึ้นเครื่องบินมาด้วย

และทันทีที่ออกมาถึงอาคารผู้โดยสารได้ ผมก็รีบดิ่งตรงไปยังห้องรับสัมภาระพิเศษเพื่อเอาตัวยัยมิลค์คืน ข้างในนั้นมีกรงน้องหมาน้องแมววางอยู่มากพอควรเลยทีเดียว.... แสดงว่าคนอื่นๆ เขาก็คงเดินทางกับสัตว์เลี้ยงจนเป็นเรื่องปกติสินะ?

“มิลค์ เป็นยังไงบ้าง? กลัวไหมเนี่ย?” 

ผมมองลอดซี่ประตูกรงเพื่อดูสารทุกข์สุกดิบลูกสาวว่ายังปลอดภัยดีหรือเปล่า พอเห็นดวงตากลมโตใสแจ๋วสีฟ้าจ้องกลับมาถึงได้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง

“ดูท่าทางไม่กลัวเลยนะครับ ส่วนใหญ่เวลามีน้องหมาน้องแมวโหลดขึ้นเครื่องมา ถ้าไม่ได้ให้ยาซึมมาจากต้นทางก็จะตื่นๆ กัน แต่น้องสีขาวตัวนี้นั่งเฉยมาก เก่งเชียว.... พาน้องขึ้นเครื่องบ่อยเหรอครับ?”

“ครั้งแรกครับ จริงๆ ก็เป็นห่วงแทบแย่แต่ก็อยากพามาเที่ยวด้วยกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าน้องแมวสุขภาพดีก็ไม่เคยปัญหาอะไรนะ ผู้โดยสารที่พาน้องไปเที่ยวไกลๆ นั่งเครื่องหลายชั่วโมงก็มีเยอะเลย” 

เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารมาให้ผมเซ็นชื่อ เป็นอันเสร็จขั้นตอนรับตัวสัตว์เลี้ยงออกจากเขตสนามบิน ดูท่าทางเขาเป็นคนรักสัตว์และอัยธยาศัยดีมากทีเดียว ก็สมควรแล้วที่ได้มาทำงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับบรรดาลูกรักต่างสายพันธุ์ของมนุษย์ 

“เสร็จแล้วครับ พาน้องแมวเที่ยวทะเลให้สนุกนะ.... เกาะสมุยยินดีต้อนรับครับ”

ผมยิ้มรับบอกขอบคุณแล้วหิ้วกรงยัยมิลค์เดินออกมา พี่โรมก็จัดการเอากระเป๋าโหลดของพวกเราใส่บนรถเข็นจนครบเรียบร้อยพอดี สัมภาระคนน่ะไม่เยอะเท่าไร แต่ของใช้ส่วนตัวยัยมิลค์ ทั้งอาหาร ชามข้าวชามน้ำและกะบะทรายใหม่เอี่ยมพร้อมถุงทรายสำหรับพอใช้ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก็เล่นเอาแด๊ดดี้สายเปย์ต้องจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มเป็นหลักพันเลยทีเดียว


“คุณโรมครับ.... ทางนี้”

ยืนรออยู่ไม่ถึงสิบนาที ผู้ชายอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างสันทัดผิวเข้มอย่างคนปักษ์ใต้ก็มายืนโบกมือเรียกด้วยสำเนียงทองแดง ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนขับรถของรีสอร์ทที่เรากำลังจะไปพัก แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย

“คุณโรมไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายปี นึกว่าจะจำผมไม่ได้เสียแล้ว”

“จำได้สิครับ.... พี่ป๋องไงจะใครล่ะ”

พี่โรมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ เขาชอบตามป๊าม๊าไปตรวจความเรียบร้อยในรีสอร์ท ก็เลยรู้จักสนิทสนมกับคนงานเก่าแก่ พี่คนนี้ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

“โอ๊ะๆๆ ไม่ต้องครับคุณทิชา เดี๋ยวผมยกกระเป๋าให้เอง.... คุณขึ้นรถเถอะครับ ผมเปิดแอร์แล้วก็เตรียมผ้าเย็นกับน้ำใบเตยเอาไว้ให้แล้ว เชิญครับๆ”

“ทิชา มาทางนี้มา”

ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทส่งผมขึ้นรถนั่งเบาะหลังกับยัยมิลค์ ส่วนตัวเขาอยู่ช่วยพี่ป๋องยกกระเป๋าก่อนแล้วจึงค่อยตามมานั่งด้วยกัน.... ผ้าเย็นกับน้ำใบเตยหอมๆ ทำเอาหายเพลียไปได้มาก บนรถตู้วีไอพีไม่มีแขกคนอื่นนั่งอยู่เลย ผมจึงอนุมานเอาเองว่าป๊าม๊าจัดรถคนนี้มาเพื่อรับผมกับพี่โรมและยัยมิลค์โดยเฉพาะ แถมพี่ป๋องคนขับรถยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามผมเป็นอย่างดีทั้งที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน เรียกได้ว่าบริการทุกระดับประทับใจตั้งแต่เท้าเหยียบเกาะสมุยเลยเชียว

รีสอร์ทของบ้านพี่โรมตั้งอยู่บนหาดเฉวงน้อย ระหว่างทางที่รถวิ่งก็พอมองเห็นทะเลอยู่ไกลๆ ผมแนบหน้าจนแทบจะติดกับกระจกรถเพื่อดูทิวทัศน์ให้เต็มสองตา.... ก็ไม่อยากทำท่าตื่นเต้นเหมือนเด็กเล็กๆ หรอกนะ แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกมาเปิดหูเปิดตาหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายเดือนก่อน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นรีสอร์ทห้าดาวชื่อดังระดับประเทศ ใจมันก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้

“สวยใช่ไหมล่ะ?”

“อื้ม ชาไม่เคยเห็นทะเลสวยแบบนี้มาก่อนเลย”

ที่พูดนี่ไม่ได้โกหกเอาใจใครเลยนะ ด้วยความที่แต่ไหนแต่ไร แม่ไม่เคยว่างพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดเลยสักครั้ง เวลาไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนส่วนมากก็เป็นพวกแคมป์ปิ้งอะไรทำนองนี้ ปิดเทอมถ้าไม่นอนแกร่วอยู่บ้านเฉยๆ ก็ถูกส่งไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์กับออสเตรเลียซึ่งชายหาดก็ไม่ได้สวยเวอร์วังอะไร.... นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมจะได้เที่ยวสัมผัสธรรมชาติ ดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลให้เต็มปอดและลงเล่นน้ำจนตัวเปื่อย

“นี่ยังแค่จิ๊บๆ นะ วิวตรงบ้านพักรีสอร์ทที่เราจะไปสวยกว่านี้อีกหลายเท่า”

ดูดวิวเพลินๆ ได้อีกประมาณยี่สิบนาที รถตู้ก็มาจอดลงตรงบริเวณด้านหน้าอาคารชั้นเดียวเปิดโล่งสไตล์กึ่งโมเดิร์นผสมโคโลเนียล ตัวตึกเป็นสีขาวครีมตัดกับโครงไม้สานเป็นลวดลายสีน้ำตาลให้อารมณ์เหมือนบ้านขุนนางในสมัยอาณานิคม ดูเหมือนว่านี่จะเป็นล็อบบี้สำหรับให้แขกเช็คอินเข้าพัก แต่แค่นี้ก็ทำเอาผมอ้าปากค้างในความสวยอลังการของสิ่งก่อสร้างแล้ว....


นึกถึงที่พี่โรมบอกว่าอยากให้ผมมาช่วยงานออกแบบตกแต่งภายในหลังเรียนจบ เผื่อว่าจะมีรีโนเวตอะไรใหม่ๆ ผมกล้าพูดเลยว่าผมไม่เก่งพอจะทำงานสเกลใหญ่ขนาดนี้ให้เขาได้แน่ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าทีมมัณฑนากรที่ออกแบบงานภายในรีสอร์ทนี้ต้องมีฝีมือและค่าตัวระดับต้นๆ ของเมืองไทย แล้วหิ่งห้อยอย่างผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปแข่งกับแสงอาทิตย์ล่ะ

และถึงพี่โรมจะโม้ให้ฟังว่าเป็นรีสอร์ทห้าดาว หากผมก็ไม่คิดว่ามันจะไฮเอนด์ห้าดาวบวกๆๆๆ เบอร์นี้ แค่มองทะลุจากตรงนี้ออกไปก็เห็นผืนน้ำสีเทอร์ควอยซ์ทอดตัวยาวอยู่เบื้องล่าง ผมก็แทบจะน้ำตาไหลร้องไห้โฮเพราะความงดงามของทะเลใต้อยู่รอมร่อ อยากจะหันไปบอกพี่โรมว่าไม่ต้องเข้าห้องพักก็ได้นะ ให้นอนมองทะเลจากตรงนี้ทั้งวันผมก็ยอม

ยังเหลียวมองสถานที่ได้ไม่ครบสามร้อยหกสิบองศา ใครบางคนซึ่งดูคล้ายจะเป็นผู้จัดการรีสอร์ทก็เดินเข้ามาหาพี่โรมแล้วทักทายอย่างรู้จักมักคุ้นกันดี


“สวัสดีครับ คุณโรม.... ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

“สวัสดีครับ พี่จอม” 

ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแต่กลับต้องเป็นฝ่ายรับไหว้เสียอย่างนั้น แต่ก็เพราะพี่โรมเป็นลูกชายเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ล่ะนะ 

“นี่ทิชา แฟนผมเอง.... ผมตั้งใจจะพาเขามาเที่ยว ยังไงก็ต้องขอรบกวนพี่จอมหน่อยนะครับ”

“ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณทิชา.... แหม แฟนคุณโรมนี่น่ารักไม่ใช่เล่นนะเนี่ย ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะเลย”

“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

ผมว่าไอ้ประโยคเมื่อกี้ ผมน่าจะเป็นคนพูดมากกว่าไม่ใช่เรอะ แต่ไหงพี่โรมดันพูดแทนผมเสร็จสรรพ มิหนำซ้ำยังเอามือโอบไหล่ผมอวดคุณผู้จัดการไปอีก ไหนเพิ่งบอกอยู่แหมบๆ ว่าผมไม่ได้น่ารักไง

“พี่ให้เด็กๆ จัดห้อง Ocean view beach front pool villa A9 ให้คุณโรมกับคุณทิชานะครับ.... ห้องนั้นอยู่ริมสุดของไพรเวทโซนเลย ด้านหน้าบ้านพักมีหาดส่วนตัวด้วย จะได้พาน้องแมวออกมาเดินเล่นได้เต็มที่”

คุณพี่จอมผายมือไปตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ผมก็ชะเง้อมองตามจนมองเห็นหลังคาพูลวิลล่าสุดหรูอยู่ลิบๆ หูก็คอยฟังสิ่งที่ผู้จัดการบรีฟเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรีสอร์ท 

“พวกเรื่องห้องอาหารกับเวลาบริการบุฟเฟ่ต์ คุณโรมคงทราบดีอยู่แล้วเนอะ.... แม่บ้านจะเข้าไปเทิร์นดาวน์ที่นอนให้ตอนประมาณหนึ่งทุ่ม ถ้าอยากจะจองทริปไปดำน้ำ นวดสปาหรือต้องการบริการอะไรเพิ่มเติมก็บอกกับน้องบัตเลอร์ที่ดูแลห้อง A9 ได้เลย หรือโทรมาแจ้งที่ล็อบบี้ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะช่วยดูให้”

“นานๆ ผมจะได้มาเป็นลูกค้าเองสักที ฝากพี่จอมด้วยนะครับ”

“คุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วกำชับมาเป็นพิเศษว่าให้ดูแลทริปนี้ดีๆ รับรองว่าคุณโรมกับคุณทิชาจะต้องประทับใจแน่.... พักผ่อนให้เต็มที่เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

รถกอล์ฟขับพาเราสองคนกับอีกหนึ่งตัวไปส่งบ้านพักโซนไพรเวท แน่นอนว่าความเป็นส่วนตัวที่สุดจะต้องแลกกับการนั่งรถมาจนเกือบสุดอาณาเขตรีสอร์ท.... ผมนั่งตะลึงตื่นตาตื่นใจไปตามประสาคนเรียนทางด้านอินทีเรีย ระหว่างทางต้องผ่านสระว่ายน้ำ ห้องอาหาร ห้องฟิตเนสแล้วก็บ้านพักแบบอื่นๆ ที่ทำให้ผมอดทึ่งในการออกแบบตกแต่งอันสุดแสนจะลงตัวไม่ได้ ข้างนอกยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าห้องที่ผมกับพี่โรมและยัยมิลค์จะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจตลอดหนึ่งสัปดาห์นับจากนี้จะสวยขนาดไหน

“ถึงแล้วครับ.... อีกสักพักกระเป๋าจะตามมา เชิญเข้าข้างในก่อนได้เลยครับ”

ผมแทบอยากร้องกรี๊ดออกมาดังๆ เพราะบ้านพักพูลวิลล่าที่ตัวเองเดินเข้ามานั้นเรียกได้ว่าสวยเนี้ยบเรียบหรูหมดจดทุกตารางนิ้วด้วยสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล ชุดรับแขกเป็นโซฟาหนังสีเข้มพร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงครบชุดอยู่ทางซ้ายมือ ขยับมาหน่อยก็เป็นส่วนเพนทรีครัวกับมินิบาร์ขนาดย่อม ด้านขวาคือห้องน้ำซึ่งกว้างพอๆ กับห้องนอนที่บ้านผม มีอ่างจากุซซี่กับฝักบัวเรนชาวเวอร์กับอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีขาว.... แต่ที่เลิศที่สุดก็คือเตียงนอนคิงไซส์ที่ตั้งอยู่หน้าประตูกระจกซึ่งสามารถเปิดออกสู่ระเบียงด้านนอก มองเห็นทะเลและดูพระอาทิตย์ขึ้นได้จากบนที่นอน แล้ววิวราคาหลักร้อยล้านก็สวยสมกับที่ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทโม้เอาไว้จริงๆ

ผมปล่อยมิลค์ออกจากกรง มันวิ่งปรู๊ดออกมาสำรวจดมตรงนั้นตรงนี้อย่างร่าเริง ดูท่าทางตื่นเต้นพอกันกับผมนี่แหละ ในขณะที่พี่โรมเดินไปเปิดประตูระเบียงรับลมเย็นๆ เจือปนด้วยกลิ่นน้ำทะเลให้พัดเข้ามาในห้องพัก.... พอเดินตามร่างสูงออกไปก็เจอกับสระน้ำไร้ขอบ Infinity Edge Pool ความยาวประมาณเกือบๆ สิบเมตร มีโซฟาแบบเดย์เบดสำหรับนอนพักผ่อนอาบแดดตากลม แล้วก็มีโต๊ะกินข้าวเอาท์ดอร์กับเตาบาร์บีคิวให้ด้วย

ทิวทัศน์ตรงหน้าคือท้องฟ้าสว่างสดใสตัดกับทะเลสีฟ้าอมเขียวเหมือนอัญมณีทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ผมยังคงจ้องมองทุกสิ่งด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะให้มายืนอยู่ที่นี่.... มันสวยมากเสียจนผมกล้าพูดดังๆ เลยว่าโชคดีเหลือเกินที่ไม่เอาชีวิตไปทิ้งข้างถนนเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงได้กลายเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะความเสียดายที่ไม่ได้มาเที่ยวก่อนตายแน่ๆ

“ทิชาชอบที่นี่หรือเปล่า?”

“ไม่ได้แค่ชอบนะ แต่ชอบมากๆ เลยล่ะ.... ชอบที่สุดของที่สุด” 

ผมตอบด้วยน้ำเสียงเพ้อเหมือนกำลังฝันอยู่ 

“ไม่เห็นพี่โรมจะเคยบอกชาเลยว่ารีสอร์ทที่สมุยสวยขนาดนี้ บ้านพักก็สวย ทะเลยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ให้อยู่สักสามเดือนก็ยังได้นะเนี่ย”

“ถ้าทิชาชอบ พี่ก็ดีใจ”

พี่โรมยิ้มพลางยื่นมือมาโอบเอวผม ผมเอนหัวพิงไหล่หนาก่อนที่เราจะไปนั่งซบอิงแอบกันบนเดย์เบดที่ริมระเบียง

เรื่องของเรื่องคือทริปนี้เกิดขึ้นเพื่อฉลองที่พี่โรมเพิ่งฝึกงานเสร็จ เรามีเวลาอีกนิดหน่อยประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะเปิดภาคเรียนอีกครั้ง ป๊ากับม๊าก็เลยแนะนำแกมบังคับให้พี่โรมไม่ต้องกลับบ้านในตัวเมืองสุราษฎร์ แต่ให้มาพักผ่อนที่เกาะสมุยกับผม เหตุผลหลักๆ ก็เพราะเดินทางง่ายมีสนามบินอยู่บนเกาะ ไม่ต้องลำบากนั่งรถต่อเรือเป็นชั่วโมง และตอนนี้ผมก็เดินเหินได้คล่องมากขึ้นแล้วหลังจากทำกายภาพบำบัดตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด สามารถเดินเล่นในรีสอร์ทได้สบาย

พี่โรมเองก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ฝึกงานสองเดือนกว่าแถมยังต้องกลับมาอยู่กับผมทุกวันก็ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย แต่พอรู้ว่าจะต้องมาสมุย เขาก็ยังมิวายทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี จัดนู่นเตรียมนี่เพราะกลัวว่าผมจะเที่ยวไม่สนุก.... ถ้าเป็นตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ผมคงจินตนาการไม่ออกเลยว่ารุ่นพี่วิศวะฯ สายโหดอย่างนายโรม อนุวัฒน์วงษ์จะกลายมาเป็นพ่อบ้านและแฟนหนุ่มเกรดพรีเมียม เขาดูแลผมชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง ทีแรกผมก็แอบระแวงหน่อยๆ ว่ามันเป็นโปรโมชั่นปลอบใจคนเจ็บหรือเปล่า แต่ผ่านมาร่วมครึ่งปีแล้วหลังจากอุบัติเหตุ พี่โรมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงท่าทีไปเลย มีแต่จะยิ่งโอ๋ผมมากขึ้นด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้จะเข้าข้างตัวเองเลยนะ แต่คงไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะบอกว่าพี่โรมเขารักผมจริงๆ น่ะ....?



“สระว่ายน้ำใหญ่ตรงโน้นก็สวยเนอะ สไลเดอร์นั่นเขาให้ผู้ใหญ่เล่นได้หรือเปล่า.... ชาอยากลองเล่นดูจัง”

ผมชี้ชวนให้ร่างหนามองไปอีกฝั่งซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ท เห็นสระว่ายน้ำที่เราเพิ่งนั่งรถผ่านมาเมื่อกี้มีทั้งสไลเดอร์อันใหญ่ สปริงบอร์ด แถมยังมีสระเล็กสำหรับนวดตัวด้วยพลังน้ำอีกต่างหาก อารมณ์อยากเล่นเหมือนเด็กๆ ก็แผ่ซ่านมือไม้สั่นจนต้องรีบหันไปอ้อนขอผู้ปกครองทันที

“แต่ตรงนั้นคนเยอะนะ” 

พี่โรมก็ปฏิเสธกลับมาทันทีเช่นกัน เร็วจนผมสงสัยว่าจะไม่เสียเวลาคิดก่อนตอบสักหน่อยเหรอ 

“ไม่ต้องไปหรอก ถ้าจะเล่นน้ำสระ เล่นหน้าห้องเรานี่แหละ เป็นส่วนตัวดีด้วย”

“ก็ไม่ได้อยากส่วนตัว อยากเล่นสไลเดอร์” 

ผมยังคงง้องแง้งจะเอาให้ได้อย่างใจ เพราะสระหน้าห้องถึงจะมองเห็นวิวทะเลระหว่างแช่น้ำได้แต่มันก็เล็ก แถมไม่มีเครื่องเล่นชวนให้อะดรีนาลีนหลั่งอีกต่างหาก

พี่โรมมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับคุณพ่อหัวโบราณเวลาที่เห็นลูกสาวใส่เสื้อครอปเอวลอยกับกระโปรงสั้นออกไปเที่ยวสยาม ก่อนที่เขาจะยอมคายเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่ยอมให้ผมออกไปเล่นสระว่ายน้ำส่วนกลางของรีสอร์ท

“ก็ถ้าทิชาจะลงสระใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำ พี่ไม่โอเค”

ผมนิ่งไปสิบวิ ทำหน้าเหยเกคล้ายเพิ่งโดนเอาบอระเพ็ดยัดปาก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นตัวเองแก้ผ้า ผมก็ไม่ได้มีหน้าอกตูมๆ กับหอยกาบสามเหลี่ยมตรงหว่างขาสักหน่อย แล้วพี่โรมมาเมาดิบอะไรแถวนี้เนี่ย

“พี่โรม.... ชาเป็นผู้ชายนะ”

“ถึงจะเป็นนายทิชนันท์ แต่นั่นก็แค่ในบัตรประชาชน.... แฟนพี่ตัวเล็ก ขาว สวยด้วย จะไปถอดเสื้อเดินโทงๆ ข้างนอกห้องได้ยังไง พี่ไม่อนุญาต” 

และนั่นก็คือเหตุผลก็ของคนขี้หวง น้ำเสียงดุๆ หน้าตาซีเรียสแบบนี้ก็เท่ากับบอกชัดเจนเลยว่านี่เป็นคำสั่งจากผู้ปกครอง ไม่ใช่การขอร้องซึ่งผมสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ   

“วันที่ไปดำน้ำเที่ยวเกาะก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะ ใส่เสื้อสีขาวบางๆ ก็ไม่ได้.... พี่หยิบเสื้อแขนยาวสีดำมาให้แล้ว ถ้าจะลงทะเลก็ใส่ตัวนั้นแหละ”

“โอ๊ย อยากจะบ้า!”

นอกจากจะอยากเป็นบ้าแล้วยังอยากทึ้งหัวตัวเองเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด ผมขึ้นเสียงสูงอย่างขัดใจพลางเบือนหน้าหันหนีไปอีกทาง แก้มป่องพองลมอมอากาศเหมือนปลาปักเป้าเกยตื้น

“ก็แฟนทิชาขี้หึงไง ขี้หวงด้วย” 

พี่โรมง้อผมด้วยการตามมาหอมแก้มป่องๆ สองแขนแข็งแรงกอดผมแน่นอย่างกับเห็นเป็นหมอนข้าง ก่อนจะยกตัวผมให้ขึ้นมานอนหนุนอกเขา ดวงตาสีเข้มจ้องมองมาในขณะที่กลีบปากหยักได้รูปเผยรอยยิ้มร้ายแต่ก็สุดแสนจะหวานละมุนไปพร้อมๆ กัน 

“พี่อุตส่าห์ทะนุถนอมแม่แมวของพี่มาอย่างดี ไม่อยากแบ่งให้ใครมอง ถ้าเก็บไว้ดูคนเดียวทั้งวันทั้งคืนได้ก็คงทำไปแล้วเนี่ย”

“เวอร์อะ เลี่ยนด้วย”

ถ้าเป็นเวลาอื่น ผมคงจะละลายตายคาอกพี่โรมไปแล้วล่ะ แต่พอดีตอนนี้ผมกำลังหมั่นไส้ที่แฟนขี้หวงบังอาจขัดขวางไม่ให้ผมลงไปเล่นสไลเดอร์

ผมลุกขึ้นยืนมองพี่โรมซึ่งยังคงแผ่หลาเอกเขนกอยู่บนโซฟาเดย์เบด เสื้อยืดตัวโคร่งถูกถอดออกแล้วเหวี่ยงลงพื้น ตามติดด้วยกางเกงขาสามส่วน เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในแบบฮาล์ฟบรีฟ.... ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่ค่อยต่างจากกางเกงว่ายน้ำสักเท่าไรมั้ง

“ไม่ให้ถอดเสื้อข้างนอกห้อง แต่ถ้าถอดตรงนี้ พี่โรมคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

ผมยิ้มยั่วร้ายกว่าที่อีกฝ่ายยิ้มให้ผมเมื่อกี้สักสิบเท่า เห็นพี่โรมมองตาค้างก็ยิ่งแอบสะใจเบาๆ เพราะปกติเขาจะได้เห็นผมแก้ผ้าหมดแค่บนเตียงตอนกลางคืน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าร่างเปลือยท้าแดดท้าลมของผมจะทำให้เขาตื่นเต้นได้มากน้อยแค่ไหน 

“ขาวมากไหม? เห็นแล้วเป็นไงบ้าง?”

บางคนอาจจะชอบหุ่นแบบที่มีกล้ามเนื้อแน่นๆ ผิวสีแทนดูสุขภาพดี แต่ผมรู้ว่าพี่โรมชอบอะไรที่ดูบอบบางให้เขาได้ปกป้องมากกว่า.... แล้วผมก็ดันมีครบทุกอย่างที่เขาชอบเสียด้วยสิ

ยั่วได้ที่แล้วผมก็เดินหนีลงสระ อวดแขนขาเรียวบางผ่านม่านน้ำกระเพื่อมไหว หากก็ยังไม่เลิกส่งสายตาเชิญชวนให้ก็คนที่เอาแต่จ้องจนน้ำลายแทบจะไหล

“เห็นแล้วทำเอาอยากลงไปเล่นน้ำด้วยคนเลย”

แค่นั้นแหละ พี่โรมก็ถอดเสื้อกับกางเกงแล้วกระโดดลงสระตามผมมา แต่แทนที่จะดำผุดดำว่ายไปตามเรื่องก็กลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างผม สบโอกาสเข้าหน่อยก็รวบตัวผมเข้ามุมติดขอบสระ ประกบจูบร้อนแรงยิ่งกว่าแสงแดดยามบ่ายลงมาแบบไม่เว้นจังหวะให้หายใจหายคอ

ปลายลิ้นอุ่นชื้นสอดเข้ามาในโพรงปาก ตะโบมจูบไม่ผ่อนแรงราวกับว่าผมคือน้ำหยดแรกที่เขาได้ดื่มหลังพ้นจากวิกฤตกลางทะเลทราย มือหนาฟอนเฟ้นไปทั่วผิวกายทั่วทุกตารางนิ้วจนเนื้อตัวผมร้อนผ่าวทั้งที่ยังอยู่ใต้กระแสธารเย็นฉ่ำ รสชาติหวานปะแล่มกระจายตัวจากต่อมรับรสพุ่งตรงขึ้นสู่หัวสมองอันอื้ออึงมึนเมา จูบของพี่โรมไม่ต่างจากเหล้าฤทธิ์แรงซึ่งสามารถทำให้ผมสูญเสียสติสัมปชัญญะและการควบคุมตัวเองได้ทุกครั้ง.... ก็รู้ว่ามันยากที่จะต้านทาน เหมือนยาเสพติดซึ่งเมื่อลองแล้วก็ยิ่งอยากเสพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็แข็งใจเวลาที่ถูกเขาหลอกล่อไม่ได้จริงๆ

เมื่อไรที่ปฏิเสธ.... นั่นก็แปลว่าปากไม่ตรงกับใจ

หรือไม่ก็เล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหลายเท่า


“อื้อ.... ไม่เอานะ ไหนว่าจะเล่นน้ำไง”

ผมแกล้งบอกเสียงพร่า ตอนนี้พี่โรมกำลังไซ้ซอกคอผม หัวเข่าสอดเข้ากลางหว่างขาถูไถขึ้นลงอย่างจงใจจะปลุกอารมณ์ แน่นอนว่าผมจะต้องปวกเปียกอ่อนระทวยไปแล้วเพราะความช่ำชองและลามกเก่งของคนตรงหน้า

“เปลี่ยนใจแล้ว เมียพี่น่าเล่นกว่าตั้งเยอะ”

ไม่พูดเปล่า แต่ปลายนิ้วซุกซนยังกดลงบนยอดอกผม คลื่นความเสียวแล่นจี๊ดทำเอาผมสะดุ้งเหมือนปลาที่โดนเบ็ดกระตุกแรงๆ 

“ว่าไง.... จะยอมให้เล่นไหม?”

แล้วผมจะพูดอะไรได้ล่ะ นอกเสียจากพยักหน้ารับก่อนที่พี่โรมจะอุ้มผมขึ้นไปนั่งบนขอบสระ เมื่ออยู่บนบกถึงได้เห็นว่ายอดอกผมบวมเป่งด้วยน้ำมืออีกฝ่าย เช่นเดียวกับส่วนกลางลำตัวซึ่งโป่งนูนจากการถูกเล้าโลม

“เล่นด้วยก็ได้........เบื่อจะแย่ มีแฟนโตแต่ตัว ชอบชวนเล่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้”

“ทิชาไม่เห็นต้องรู้เลยว่าพี่จะเล่นอะไร”  ร่างสูงยิ้มร้ายใส่  “แค่ครางเสียงหวานๆ ให้พี่ฟังอย่างเดียวก็พอ............”


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“อึ้ก.....!”

ไม่ทันขาดคำ มือหนาข้างหนึ่งก็ล็อคเอวผมเอาไว้ ในขณะที่ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นเพื่อที่จะได้ใช้ปากดูดเล่นหัวนมผมได้ถนัด เรียวลิ้นสากชื้นตวัดลิ้นเม็ดเชอร์รี่สีสดซึ่งแข็งเป็นไตอย่างเมามัน ผมรู้สึกเสียวสะท้านจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงเอาไว้ ถึงยังไงผมก็ไม่ชินกับการเมคเลิฟนอกเตียง แต่พี่โรมก็เก่งในทางของเขามากเสียจนผมต้องยอมยกธงขาวตั้งแต่ต้นเกม

“อ๊ะ........พี่โรม.....อย่าเพิ่งเร่งนักสิ.............”

“ก็ใครใช้ให้นมเราหวานน่าดูดแบบนี้ล่ะ?”

ริมฝีปากนุ่มหยุ่นดูดเม้มส่งผ่านความร้อนรุ่มให้แทรกซึมไปตามกระแสเลือด ปลายลิ้นยังคงตวัดเลียตุ่มไตบนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเบื่อ ท่อนแขนแกร่งยังคงกอดเอวผมแน่นไม่ต่างจากเครื่องพันธนาการ.... เส้นผมของพี่โรมถูกขยำในขณะที่เสียงครางแผ่วด้วยความเสียวซ่านลอดออกจากลำคอแห้งผาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตวัดเลียเจ้าเม็ดเล็กที่เขาบอกว่าหวาน ซ้ำยังใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างบิดดึงอย่างกับจะเค้นให้มันหลุดออกมา

“อ๊ะ.....ฮึก...........” 

มันเสียวจนทนไม่ไหว ผมบิวเอวเร่าๆ จนตะคริวแทบกิน แค่เพียงถูกเล่นหน้าอกก็ทั้งสุขสมและทรมานอย่างไม่น่าเชื่อ

รู้เลยว่าคราวนี้พี่โรมเอาจริง เขาตั้งใจจะให้ผมเสร็จตรงนี้....

“พี่โรม.......หื่นจัง...........อ๊ะ..........”

ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ใบหน้าของแฟนหนุ่มยังซุกอยู่บนหน้าอกผม กวาดลิ้นตวัดเลียรอบเม็ดนูนแข็งสลับกับขบเม้มเบาๆ ให้ผมต้องดิ้นเร่าๆ แอ่นหลังโก่งร้องครางเสียงหวานแบบที่เขาชอบ ก่อนที่มือขวาของร่างสูงจะเลื่อนลงต่ำพร้อมกับดึงขอบกางเกงในผมลงตามไปด้วย

ดวงตาคมจ้องมองท่อนเนื้อซึ่งเต้นตุบอยู่ข้างใต้เนื้อผ้า มุมปากหยักยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นสภาพของสิ่งที่เขาอยากจะเล่นเป็นลำดับต่อไป

“สีชมพูสวยเชียว........แฟนใครเนี่ย หัวนมก็สวย ตรงนี้ก็สวย” 

พี่โรมแกล้งแหย่ให้ผมเขินด้วยคำพูด แล้วพอเขินก็ยิ่งทำให้ผมอ่อนไหวต่อทุกสัมผัสที่เขามอบให้ 

“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมพี่ถึงหวง ไม่อยากให้เราไปแก้ผ้าให้คนอื่นเห็น?”

“มะ......ไม่รู้ด้วยหรอก........”

“เพราะคนที่เห็นมันก็คงอยากทำแบบที่พี่กำลังทำอยู่นี่ไง”

กางเกงตัวเล็กจิ๋วถูกถลกลงมาจนถึงต้นขา ยอดอกทั้งสองข้างที่โดนหยอกเย้าสั่นระริกคล้ายกับจะร้องเรียกให้คนตรงหน้าก้มลงมาดูดมันอีกครั้ง.... ผมก้มลงมองสิ่งที่พี่โรมทำค้างเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งยินดีและกระดากอายไปพร้อมๆ กัน ยอดอกแข็งชันสีสดเหมือนผลไม้ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำลายคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าชายคนรักหลงใหลในตัวผมมากแค่ไหน และผมก็เต็มใจให้เขารักได้มากเท่าที่อยากรัก

“จำไว้นะว่าพี่หวงเมียพี่ที่สุด.... ไม่อยากแบ่งใคร แล้วก็ไม่คิดจะแบ่งด้วย.......”

“บ้าแล้ว ใครเขาจะมาแย่งพี่โรม”  ชอบล้อเล่นนัก งั้นให้ผมล้อเล่นกลับบ้างก็แล้วกัน  “ถึงมีคนมาแย่งจริง ชาก็ไม่ไปกับเขาหรอก.... กลัวเขาทำเสียวไม่เก่งเท่าพี่ ต้องกลับมาง้อละเสียฟอร์มแย่”

“เผยตัวจริงออกมาจนได้นะ เด็กลามก!”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ ก่อนที่พี่โรมจะประกบจูบหนักๆ เข้าที่ริมฝีปากผม

มือสากคว้าหมับเข้าที่แก่นกายของผม ลูบไล้มันเบาๆ อย่างทะนุถนอมในคราวแรกแล้วจึงค่อยเพิ่มแรงรูดรั้งขึ้นลงเชื่องช้าแต่หนักหน่วง ถูกเล่นหน้าอกก็ว่าซาบซ่านมากแล้วแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความวาบหวามซึ่งก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่ในท้องน้อยราวกับมรสุมที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าชายฝั่ง.... ผมส่งเสียงครางกระเส่าอย่างสุดกลั้น กระดกสะโพกแอ่นร่างให้พี่โรมล้วงควักได้ตามใจชอบ ก็สมแล้วที่เขาจะบอกว่าผมลามก แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ใครใช้ให้แฟนผมทั้งหล่อทั้งเอาเก่ง แถมยังรู้ใจ จับตรงไหนก็เสียวไปหมด

“จะใส่กันตรงนี้เลยเหรอ?” 

ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่โรมดึงขอบกางเกงในของเขาลงบ้าง ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ซึ่งตื่นตัวเต็มที่ผงาดตั้งลำพร้อมที่จะสอดใส่เข้ามาในตัวผมจนแทบรอไม่ไหว.... ผมน่ะไม่มีปัญหากับการเอาท์ดอร์หรอก ถ้าพี่โรมกล้า ผมก็กล้า ห่วงอยู่ก็แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ

“เดี๋ยวน้ำในสระมันจะเลอะนะ........”

“เลอะก็โทรไปบอกให้เขาถ่ายน้ำใหม่สิ” 

คุณชายโรมแก้ปัญหาได้ชิลล์มาก ก่อนจะรั้งเอวผมให้ขยับมาข้างหน้าจนกระทั่งตรงส่วนนั้นของเราชนกัน มือใหญ่กำรวบท่อนเอ็นทั้งสองเอาไว้ ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มร้าย ความนึกสนุกทะลึ่งทะเล้นฉายชัดอยู่ในแววตาสีเหล็กกล้า 

“แต่จริงๆ แล้วพี่จะชวนเราทำแบบนี้ต่างหาก”

“ทำอะไรเหรอ.........อ๊ะ.........”

ยังถามไม่ทันจบ ผมก็สะดุ้งเฮือกบิดร่างไปมาด้วยความทรมาน ร่างสูงสาวมือรูดรั้งปรนเปรอแกนกายสองอันให้ชุ่มแฉะสุขสมไปพร้อมกัน ผมครางเสียงสั่นหวิว หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดบ่มผิวขาวจัดให้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เรียวขาอ้าออกกว้างยิ่งขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มขยับเข้ามาแนบชิดได้ถนัด ท่อนเนื้อต่างไซส์ต่างขนาดสองอันเต้นตุบตับบดเบียดเสียดสีกันดูหยาบโลนแต่ก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในที

“พะ......พี่โรม.........อื้อ.........!”

“มันส์ดีเนอะ.......เอามารูดด้วยกันแบบนี้น่ะ” 

ขาผมซึ่งจุ่มอยู่ในน้ำสั่นระริกจนน้ำในสระกระฉอกล้น ผมก้มลงมองส่วนไวสัมผัสของเราพลางพยักหน้ารับว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงยิ่งกว่าจริง.... ท่อนเอ็นลำใหญ่ขยายขนาดขึ้นอีกราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่าพี่โรมคือชายเหนือชาย ผมเกี่ยวขาข้างหนึ่งโอบรอบบั้นเอวหนา มองเขาด้วยแววตาปรือปรอยในขณะที่ถูกความเสียวซ่านก่อกวนจนใจจะขาด

 “ดูหน้าเราสิ.... ตอนกำลังจะเสร็จนี่แม่งเซ็กซี่ฉิบหาย”

“อ๊ะ......เซ็กซี่แค่ไหนเหรอ.......?” 

ผมแกล้งถามหลุดเสียงครางกระเส่าไปด้วย

“บอกไม่ถูก.......อืม.........” 

ร่างสูงทำท่านึกโดยที่มือก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวที่เบื้องล่าง 

“ไว้จะพาไปเอาในห้องกระจกก็แล้วกัน.... ทิชาจะได้เห็นเองว่าทำไมพี่ถึงต้องขย่มจนกว่าเราจะหมดแรงทุกที”

“ชาไม่ได้เซ็กซี่หรอก.....อะ.....พี่โรมนั่นแหละ.....หื่นเกินไป.......อา........”

ก็ไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่หื่นกว่ากัน รู้แค่ตอนนี้ผมแทบจะคลั่งตายกับสิ่งที่พี่โรมทำให้อยู่รอมร่อ.... ไม่ใช่เพียงแค่รูดขึ้นลงให้เราทั้งคู่รู้สึกดีไปด้วยกัน แต่เขายังใช้อีกมือบีบคลึงส่วนปลายยอดของผมเล่นเอาเสียวแปลบเข้าไปถึงท้องน้อย ผมเอื้อมแขนข้างหนึ่งกอดร่างหนา ส่วนอีกข้างยันพื้นด้านหลังไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหงายหลังลงไป ทั้งเอวและสะโพกส่ายวนสะบัดด้วยความทรมานอันแสนหวาน

และเมื่อผมใกล้จะเสร็จ พี่โรมก็ก้มลงมาเลียหัวนมซึ่งแข็งเด่นล่อสายตา เดี๋ยวดูดเดี๋ยวกัดจนผมแทบจะตายด้วยน้ำมือเขา

“อ๊ะ.....พี่โรม......แรงอีก.......อ๊า........”

“ซี้ด.........ทิชา......ครางอีก........”

“..........อื๊อ........พี่โรม......พี่จ๋า..........อ๊าง...........”

เมื่อผมส่งเสียงครางหนักขึ้น แฟนหนุ่มก็ยิ่งขยับข้อมือถี่ระรัว เหมือนคลื่นน้ำวนร้อนระอุไหลจากส่วนกลางลำตัว แตกละอองลงสู่ปลายเท้าที่เหยียดเกร็งแล้วแล่นขึ้นสู่ไขสันหลังและพุ่งตรงไปยังประสาทสัมผัสทุกส่วน.... ผมบิดกายด้วยความเสียวกระสันเกินทน สะโพกดีดเด้งกระตุกแรงสอง-สามครั้งก่อนจะผวากอดร่างสูงเอาไว้แน่นแล้วปลอดปล่อยความต้องการให้ปริ่มย้อยออกมาเต็มมือเขา

“อืม.......ทิชา.........ซี้ด............”

ผมเสร็จล่วงหน้าไปแล้วแต่พี่โรมยังไม่หยุดมือ เขาครางเสียงต่ำในลำคอ สันกรามขบจนนูนบ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาของเขาแล้วเช่นกัน อีกไม่กี่ชั่วอึดใจ ท่อนเนื้ออวบหนาซึ่งปูดโปนด้วยเส้นเลือดก็กระตุกไหวอยู่ในอุ้งมือใหญ่ น้ำเชื้อสีขาวขุ่นฉีดพุ่งออกมาเปรอะหน้าท้องและซอกขาผม ใบหน้าหล่อคมแดงซ่านฉายชัดถึงความสุขสุดยอดที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกำยำ

พี่โรมคว้าตัวผมเข้ามากอด ผมเองก็ตวัดขากอดเกี่ยวเขาระหว่างที่กระแสคลื่นแห่งความวามหวามรัญจวนยังไม่เจือจาง หัวใจเต้นถี่ระรัวในยามที่ร่างสูงก้มลงมาป้อนจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเร่าร้อนให้อีก

“ขอตรงนี้ก่อนรอบนึงนะ เสร็จแล้วค่อยไปต่อกันที่เตียง”

“หืม.... แปลว่าพี่โรมจะทำหลายรอบเหรอ?”

“ไม่เห็นต้องถาม พี่เคยทำเรารอบเดียวแล้วพอหรือไงล่ะ?”  คนที่เพิ่งเสร็จด้วยมือตัวเองมาหมาดๆ ย้อนหน้าตาเฉย  “เมื่อกี้ทิชาก็เพิ่งบอกว่าพี่หื่น.... ก็ยอมรับ คราวนี้หื่นจริงอะไรจริง”

“บ้า.............”

คนโดนด่ายิ้มรับไม่สะทกสะท้านก่อนจะเอนตัวผมให้นอนราบลงกับขอบสระ ความเย็นชื้นของกระเบื้องหินอ่อนทำให้ผมเกร็งแผ่นหลังเล็กน้อยหากก็สามารถปรับตัวให้ชินกับพื้นรองรับแข็งๆ ได้ไม่ยาก.... กางเกงชั้นในสีขาวถูกรูดลงจากเรียวขาไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ร่างเปลือยเปล่าขาวจัดของผมตัดกับสีดำของฉากหลังยิ่งทำให้ความเป็นชายของพี่โรมตื่นตัวเร็ว แม้ว่าเราจะสนุกด้วยกันไปแล้วหนหนึ่งก็ตาม

“.......อึก.........พี่โรม........ทำอะไรน่ะ........”

ผมร้องถามเมื่อคนตรงหน้ายังไม่สอดใส่เข้ามาสักที หากกลับใช้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างแหวกเนื้อบั้นท้ายผมให้แยกออกจากกัน ช่องทางด้านหลังสัมผัสโดนลมแรงๆ ซึ่งพัดผ่านมา บังคับให้ผมต้องบิดเอวขมิบปากทางเข้าอย่างไม่ตั้งใจ

“ยังไม่ทันใส่เลย จะรีบตอดไปไหนครับ.... คนสวย?”

“พี่โรมอ้ะ.... ห้ามเล่นแผลงๆ นะ!”

แค่ตั้งท่าจะขัดใจ คุณผู้ชายก็ฟาดมือตีก้นผมเสียงดังเพี้ยะ

“พี่ตามใจทิชาตั้งเยอะแล้ว คราวนี้ขอตามใจพี่บ้างนะ”

“ตามใจยังไง?”

“ขอทำแรงๆ..........” 

พอโรคหื่นขึ้นสมองแล้ว อะไรก็กล้าขอทั้งนั้น.... แต่ผมก็เข้าใจนะ ปกติพี่โรมเขาเป็นพวกเยดุ ถ้ายังใส่ไม่หมดแม็กซ์ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมผ่อนแรงหรือเอาออก แล้วตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล เราก็มีอะไรกันแบบนุ่มนวลมาตลอดเพราะเขากลัวว่าผมจะต้องกลับไปใส่เฝือกอีกรอบ 

“แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ.... พี่ไม่ทำก็ได้ รอจนกว่าเราจะหายดีก่อน”

“ทำเหอะพี่.... ชาก็คิดถึงตอนที่โดนจนลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน”

“หึ แล้วมาว่าพี่หื่น ตัวเองก็พอกันนั่นแหละ”

“อ๊า.........อะ.......พี่โรม.............”

ผมสะดุ้งสุดตัวหวีดร้องเสียงแหบพร่าเมื่อท่อนเนื้อใหญ่พรวดพราดเข้ามาในช่องทางที่ถูกแหวกกว้างทีเดียวจนมิดลำ มุมปากหยักยกยิ้มอย่างพึงใจ ส่วนหัวป้านชี้ชนกับผนังด้านในจนมันเต้นตุบตับให้ผมต้องยิ่งตอดรัดสิ่งแปลกปลอมแรงขึ้น.... ปลายเล็บผมจิกลงบนหัวไหล่หนาโดยไม่เจตนา แต่เพราะความเสียวที่แล่นปรู๊ดปร๊าดไปทั่วร่างไปต่างกับกระแสไฟฟ้าทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ในตอนนี้ผมไม่คิดเรื่องกลั้นเสียงครางแล้ว มีเท่าไรก็ปล่อยออกมาให้หมดนั่นแหละ

“แน่นโคตร......น่ากระแทกให้ยับชะมัด!” 

ร่างสูงกัดฟันกรอด สายตายังคงจับจ้องไปยังรอยจีบตรงปากทางเข้าสีสดซึ่งตอนนี้มีของใหญ่เสียบคาอยู่

“กระแทกเลยสิ.....อ๊ะ.......เร็วๆ”

“อยากได้แบบซอยถี่ๆ รัวๆ หรือแบบหนักๆ เน้นๆ?”

“แบบไหนก็ได้ เอาที่พี่โรมชอบ” 

ผมช้อนตามองเจ้าของท่อนเนื้อซึ่งสั่นกระตุกอยู่ในกาย ก่อนจะอ้าขาให้กว้างขึ้นอีกเป็นการยั่วยวนเชิญชวน 

“ใหญ่ขนาดนี้จะทำแบบไหนก็ชอบทั้งนั้นแหละ.... ชาตามใจพี่โรมอยู่แล้ว”

“น่ารักที่สุด เด็กดีของพี่”

“อื้อ..........”

พี่โรมฟัดแก้มผมทั้งซ้ายขวาแล้วขึ้นคร่อมทับตัวผม จับเอวให้ยกสูงขึ้นเล็กน้อยในระดับที่เขาจะขย่มได้ถนัดแล้วจึงเริ่มโยกเข้า-ออกเป็นจังหวะเนิบนาบแต่หนักหน่วง.... ท่อนเนื้อใหญ่ยาวขยับครูดโดนจุดกระสัน ถูไถโพรงนุ่มนิ่มสอดลึกเข้าไปจนสุดทางเท่าที่มันจะสามารถเข้าได้ ผมร้องครางจนเสียงแห้ง หอบหายใจแรงเมื่อความต้องการปลดปล่อยพุ่งทะยานขึ้นอีกครา

ชายหนุ่มเองก็คงทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาเริ่มเร่งจังหวะจากเนิบช้ามาเป็นกระแทกกระทั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“อะ.....อ๊า.........พี่โรม........พี่จ๋า........อ๊า...............”

มือหนาเค้นคลึงบั้นท้ายผมอย่างกับเห็นมันเป็นก้อนมาร์ชเมลโล บีบเฟ้นไปมาในขณะที่บั้นเอวสอบโยกเข้าใส่สุดกำลัง แก่นกายกำยำผลุบเข้าผลุบออก ถอนออกไปจนสุดความยาวแล้วกระแทกกลับเข้ามาใหม่ทำเอาผมดิ้นพล่านหัวสั่นหัวคลอน แรงกระสันวูบวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนต้องเป็นฝ่ายแอ่นสะโพกเข้าหาคนคุมเกมทางด้านบนเสียเอง

“พี่จ๋า.......ฮึก.......น้องเสียว.......เสียวจะตายอยู่แล้ว...........”

“มิน่าล่ะ แม่แมวถึงตอดพี่รัวจังเลย”

ร่างสูงยิ้มร้ายหากก็ไม่หยุดซอยถี่ๆ เข้ามาในช่องทาง จุดไวสัมผัสซึ่งแฝงเร้นอยู่ลึกสุดโดนกระตุ้นย้ำเร็วระรัว ทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่างด้วยความทรมาน

“ชอบให้ขยี้ตรงนี้แรงๆ เหรอ? โดนแล้วมีความสุขมากเลยใช่ไหม?”

“อื๊อ......อย่าถามสิ......!”

เมื่อพี่โรมหาจุดเสียวของผมเจอ เขาก็บังคับส่วนปลายบานของตัวเองให้ชี้ชนตรงที่เดิมนับครั้งไม่ถ้วน ผมโอบแขนคว้าคอเขาแทนหลักยึดแต่กลับโดนริมฝีปากร้อนผ่าวดูดซอกคอบ้าง ดูดเม้มยอดอกบ้าง เพิ่มความรู้สึกกระสันซ่านให้มากขึ้นไปอีก.... เสียงเนื้อกระทบเนื้อช่วงล่างฟังดูลามกอย่างบอกไม่ถูกแต่ผมก็ชอบที่จะได้ยิน ชอบพอๆ กับการได้ยินพี่โรมจากมุมนี้ เขาหายใจแรงเสียจนแผงอกแน่นๆ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสะท้อนขึ้นลง กล้ามท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนยามเมื่อขยับโยกสอดใส่ สีผิวซึ่งไม่ถึงกับเป็นสีแทนยิ่งเซ็กซี่ขณะชโลมด้วยเม็ดเหงื่อ

พี่โรมบอกว่าผมเซ็กซี่เวลาที่ใกล้เสร็จ เขาเองก็เหมือนกัน....

“เล่นอะไรครับ คนสวย?” 

ร่างหนาเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเลื่อนมือลงไปด้านล่างแล้วกอบกุมท่อนเนื้อของตัวเองเอาไว้

“ชาอยากเสร็จแล้วอะ........” 

ผมสารภาพอย่างไม่อาย

 “เห็นพี่โรมหล่อเซ็กซี่ก็เลยทนไม่ไหว.......อยากปล่อยออกมาตอนนี้เลย........”

“เซี้ยวนักนะเราน่ะ” 

ชายหนุ่มไม่ว่าที่ผมช่วยตัวเองในตอนที่กำลังมีเซ็กซ์กับเขา แต่กลับอมยิ้มขำแล้วหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่

 “พูดจาน่าตีอย่างนี้ เดี๋ยวพี่จะให้ปล่อยน้ำจนแห้งหมดตัวเลย”

“อ๊ะ.......อ๊า........พี่จ๋า..........”

ผมร้องครางในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงสาวรูดท่อนเนื้อตรงหว่างขาตัวเอง ตาก็มองชายหนุ่มซึ่งโจนจ้วงขย่มโยกใส่ช่องทางด้านหลังไปด้วย พี่โรมเองก็ทั้งสอดใส่ร่วมรักและมองผมช่วยตัวเองพร้อมทั้งส่งเสียงครางเรียกเขาเช่นกัน.... มือหนาจับต้นขาผมบีบแรงๆ แล้วยกสูงขึ้นอีก โดยที่ผมส่ายร่อนเอวบิดสะโพกด้วยความเสียวกระสันที่ได้รับจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

เมื่อพี่โรมเอื้อมมืออีกข้างมาบีบยอดอกผมเล่น ผมก็แอ่นอกให้เขาปรนเปรออย่างเต็มใจ เสียงทุ้มเข้มครางต่ำในลำคอบ่งบอกถึงความพึงพอใจจากร่างสูง ผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเผลอขมิบช่องทางตอดรัดท่อนเอ็นใหญ่ไปกี่ครั้งและแรงแค่ไหน ได้ยินแค่พี่โรมกึ่งบนกึ่งครางในทำนองว่าผมยั่วอารมณ์เขาไม่หยุด และเขากำลังจะเอาจริงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้

“อ๊า........พี่โรม.......แรงอีก......เอาแรงๆ เลย..........”

ไหนๆ เขาก็ว่าผมยั่วแล้ว งั้นก็เอาให้ตบะแตกกันไปข้างหนึ่งเลยแล้วกัน

“ได้สิ.... แรงๆ เลยนะ”

พี่โรมไม่เคยปฏิเสธ ถึงอยากปฏิเสธก็คงทำไม่ได้เพราะห้วงอารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่านเกินกว่าจะระงับได้ไหว.... ร่างหนากระแทกแกนกายเข้ามาจนผมสะดุ้งเฮือกกรีดร้องสุดเสียง มือสากฟอนเฟ้นไปทั่วกายเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ตีตราจองเสียจนไม่มีส่วนใดบนร่างกายผมที่ยังไม่ถูกเขาจูบ เสียงหอบหายใจดังฟืดฟาดเหมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหาย และผมก็คือเหยื่อที่ยอมให้เขาฉีกทึ้งกัดกินด้วยความเต็มใจ

ทั้งผมและเขาต่างก็เร่งเร้าจังหวะในส่วนของตัวเอง ไม่นานนักผมก็เหยียดปลายเท้าเกร็งแน่น กระดกเอวขึ้นแล้วปลดปล่อยน้ำรักออกมาเปรอะเปื้อนมือและหน้าท้องแบนราบ ตามติดมาด้วยร่างสูงที่ขยับสะโพกแกร่งอัดเข้ามาจนมิดสุดถึงโคนอีกสาม-สี่ครั้งก่อนจะปลดปล่อยคราบขุ่นคาวให้หลั่งรดทะลักทลายภายในช่องทางรักของผม

“อื้ม............”

“อ่าห์......สุดยอดเลย..............”

ผมนอนอ้าขานิ่งๆ หน่วงเวลาให้ความรู้สึกเบาสบายแต่อิ่มเอมค้างอยู่เช่นนั้นให้นานที่สุด จนกระทั่งสติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมาอีกครั้งถึงได้เห็นพี่โรมค่อยๆ ถอนกายออกอย่างไม่รีบร้อน รู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ในตัวผมนั้นคงไม่ใช่น้อยๆ น้ำรักสีขาวถึงได้ชุ่มแฉะเยิ้มเลอะออกมาถึงต้นขาผมแบบนี้

“เป็นไงล่ะ.... อยู่กับพี่ไม่ต้องไปถึงเสม็ดก็เสร็จได้”

บทรักแรกหลังการเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดบ้านเกิดของชายหนุ่มเพิ่งผ่านพ้นไป พี่โรมทิ้งตัวลงนอนบนพื้นข้างผมก่อนจะจับให้ผมขึ้นมานอนเกยอยู่บนอกกว้าง ปลายนิ้วใหญ่ลูบเส้นผมชื้นสีเข้มซึ่งร่วงลงมาปรกตาออกให้ ส่วนนั้นของเราทั้งคู่ยังเต้นตุบและเสียดสีกับผิวกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย

“มาถึงก็เสร็จเลย.... มาเที่ยวทะเลแทนที่จะได้เล่นน้ำก็กลับกลายเป็นเสียน้ำซะงั้น”

ผมว่าอย่างงอนๆ แต่ก็ปิดรอยยิ้มชอบใจบนใบหน้าเอาไว้ไม่มิด.... ไม่ได้แค่ชอบธรรมดาด้วยนะ แต่ชอบให้พี่โรมกอดมากเป็นชีวิตจิตใจเลยล่ะ

“ขออีกสักสองน้ำไหวไหม?”

เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบถาม หนวดปลาหมึกเริ่มไต่จากแผ่นหลังลงไปถึงบั้นเอวคอด ขาอ่อนแล้ววกกลับมาบีบแก้มก้นผมอย่างมันส์มือ

“ไหว.........” 

ผมตอบแบบไม่ต้องเปลืองเวลาคิด แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้จนคุ้มอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็จำเป็นจะต้องยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับเขานิดหน่อยพอเป็นกระษัย

 “แต่เสร็จแล้วต้องเลี้ยงของอร่อยๆ นะ.... รีสอร์ทป๋ามีบุฟเฟ่ต์แซลมอนให้กินไหมฮะ ผมอยากกินแซลมอน”

“อีแค่แซลมอน จะกินให้หมดทะเลก็ยังได้.... เดี๋ยวป๋าเลี้ยงหนูทิชาเองค่ะ”

หลังจากนั้น พี่โรมซึ่งสถาปนาตัวเองเป็นเสี่ยโรมก็พลิกร่างผมให้กลับมานอนหงายเหมือนเดิม มือซุกซนซึ่งบีบก้นผมอยู่เมื่อกี้ก็ทำหน้าที่ของมันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งลูบไล้และบิดดึงฟอนเฟ้นไปทุกที่ที่มันลากผ่าน โดยที่ผมได้แต่ปล่อยหัวสมองให้โล่ง ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นนอกจากรสชาติหอมหวานของความรักและเซ็กซ์ที่พี่โรมเป็นคนสอนให้ผมได้เรียนรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมาคู่กัน


แน่นอนว่าแซลมอนน่ะเป็นผลพลอยได้ที่เรียกว่าของแถมนะ....

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
DAN's PART



‘ฉลองเรตติ้งตอนจบสูงถึง 6.5 เทียบเท่าได้กับละครหลังข่าวช่องหลัก มีสถานีโทรทัศน์ต่างชาติขอซื้อไปฉายอีกสามประเทศ.... สงครามคิวท์บอยจงเจริญ!’




บรรยากาศงานเลี้ยงหลังจากซีรีส์สงครามคิวท์บอยออนแอร์ตอนสุดท้ายเต็มไปด้วยความชื่นมื่นยินดี ทั้งเรตติ้งและกระแสในโลกโซเชียลต่างก็พุ่งทะลุเป้าเกินความคาดหมายอย่างถล่มทลาย.... อันที่จริงก็เห็นแววตั้งแต่ซีรีส์เริ่มฉายไปได้สอง-สามตอนแล้ว เพราะแฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย ติดเทรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทยข้ามวันข้ามคืน ไหนจะแท็กคู่จิ้นอีกทั้งคู่หลักคู่รอง สปอนเซอร์ที่ตอบปฏิเสธไม่ยอมซื้อโฆษณาในตอนแรกเพราะคิดว่าซีรีส์วายไม่น่าจะโด่งดังอะไรมากมายก็เปลี่ยนใจกลับมาจนแทบไม่เหลือสล็อตเวลาให้ลงกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าไม่เพียงแค่ตัวซีรีส์อย่างเดียวที่โด่งดังเป็นพลุแตก แต่นักแสดงหลักของเรื่องทั้งผม พี่ปาย ไอ้ภัทรและพุดดิ้งก็ได้กระแสไปต่อยอดงานอื่นกันถ้วนหน้า.... เท่าที่รู้คือตอนนี้พี่ปายมีงานละครเรื่องใหม่มาจ่อคิวรออยู่แล้วอีกสามเรื่อง มีเรื่องหนึ่งฟิตติ้งเสร็จเรียบร้อยกำลังจะเปิดกล้องในอีกไม่กี่วัน ไหนจะงานออกอีเวนท์ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ไอ้ภัทรจะกลับไปเน้นเรียนต่อก็เลยขอรับงานน้อยกว่า ส่วนเจ้าพุดดิ้งก็มีละครใหม่กับงานโชว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาไม่ขาดระยะ

เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี....


“น้องแดนคะ ขอสัมภาษณ์กล้องนี้หน่อยค่ะ”

“คร้าบบบบ~~”

ผมยิ้มให้พี่ๆ นักข่าวอย่างเป็นมิตรตามประสาคนอัธยาศัยดี แถมยังมีดีกรีพระเอกหน้าใหม่มาแรงพ่วงท้ายมาด้วย.... นักข่าวหลายคนที่มาร่วมงานฉลองวันนี้ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ส่วนหนึ่งที่ละครประสบความสำเร็จได้ก็เพราะได้พวกเขาช่วยเขียนเชียร์และลงรูปทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในเพจสำนักข่าวอย่างสม่ำเสมอ แม่อิ๋วก็เลยยิ่งกำชับใหญ่เลยว่าพวกเราจะทำตัวไม่น่ารักกับพี่ๆ เขาไม่ได้เป็นอันขาด

“รู้สึกยังไงบ้างคะที่เรตติ้งตอนจบพุ่งแรงจนไม่น่าเชื่อ ว่ากันว่าดีกว่าละครช่องหลักบางช่องที่ออนแอร์เวลาเดียวกันเสียอีก แถมยังสร้างสถิติแฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย ติดเทรนด์อันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ทุกตอนที่ออกฉาย?”

“ก็ดีใจมากเลยครับ ต้องขอบคุณทีมงานผู้สร้าง นักเขียนนิยายต้นฉบับ เพื่อนนักแสดง แล้วก็แฟนๆ ที่คอยติดตามและให้การสนับสนุนด้วย.... ถ้าไม่มีทุกคน ซีรีส์สงครามคิวท์บอยก็คงไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้แน่นอนครับ”

“แล้วหลังจากนี้จะมีผลงานใหม่ต่อเลยไหมคะ? มีโมเดลลิ่งหรือช่องไหนมาทาบทามเซ็นสัญญาหรือยังเอ่ย?”

“ยังก่อนดีกว่าครับ.... คือตอนนี้ผมขึ้นปีสามแล้ว เรียนสถาปัตย์ด้วย งานเยอะมากก็เลยอยากขอกลับไปโฟกัสกับเรื่องเรียนก่อน งานในวงการที่จะรับก็ขอเป็นงานเล็กๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นงานละคร ผมคงยังไม่ค่อยสะดวกครับ” 

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมบอกให้คนอื่นรับรู้ถึงการตัดสินใจถอยห่างออกจากวงการบันเทิงมาก้าวหนึ่ง แน่นอนว่าผมยังคงชื่นชอบการเป็นจุดสนใจและชอบที่จะได้ยินคำชมจากบรรดาแฟนคลับว่าผมหล่อแค่ไหน แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมจะได้มีเวลาอยู่กับดวงดาวแสนสวยของผมมากขึ้น

ไอ้เฮียโรมขึ้นปีสี่แล้ว เห็นว่ามีงานโปรเจกต์ มีไปศูนย์ซ่อมบำรุงยานยนต์ ทำอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ แล้วหมอนั่นก็ขี้ห่วงไม่อยากให้ทิชาอยู่ห้องคนเดียวแต่ก็โรคจิตไม่ยอมปล่อยเมียกลับไปอยู่บ้าน ก็เลยเป็นหน้าที่ที่ผมต้องคอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทน หรือไม่ก็เป็นคนหิ้วของเวลาที่ทิชามันอยากลงไปเซเว่น

แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจทำนะ โคตรของโคตรเต็มใจเลยต่างหากล่ะ

“แล้วน้องแดนคิดยังไงกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลคู่จิ้นแห่งปีคู่กับน้องปายคะ?”

หลังได้ยินคำถาม ผมแอบชำเลืองมองพี่ปายซึ่งกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวอีกกลุ่มหนึ่งอยู่.... จริงอยู่ว่าระหว่างผมกับพี่ปาย เรามีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน สำหรับพี่ปายมันอาจจะชัดเจนมากพอที่ทำให้เขากล้ายอมรับออกมาว่ามันคือความ ‘ชอบ’ หรือ ‘หลงรัก’ หากสำหรับผม ไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันบางเบาเกินไปและยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ผมมีให้ทิชามาโดยตลอด

คู่จิ้นก็ยังคงเป็นได้แค่เพียงคู่จิ้น ยากที่จะกลายเป็นคู่จริงเพราะจนป่านนี้หัวใจผมยังไม่เคยหวั่นไหวเวลาที่เห็นพี่ปายเลยสักครั้ง

มันไม่เหมือนเวลาที่ผมเห็นทิชา

ไม่เหมือนเลยแม้แต่น้อย....

“กับพี่ปาย.... อืม ก็ดีใจแหละครับ สงสัยว่าเราทั้งคู่จะแสดงดี”

“งั้นแปลว่าหลังกล้องก็ไม่มีอะไรสิคะ?”

“เอ๊ะ พูดแบบนี้คืออยากให้มีอะไรเหรอครับ?” 

ผมแกล้งย้อนพี่นักข่าวเรียกเสียงหัวเราะ ก่อนจะกลับมาเข้าสู่โหมดสัมภาษณ์เป็นการเป็นงาน 

“พี่ปายเป็นรุ่นพี่ที่ดีครับ เขาให้คำแนะนำผมเกี่ยวกับเรื่องในวงการหลายอย่าง เวลาเข้าบทก็ได้เขาคอยช่วยไกด์ให้ ที่ซีรีส์ออกมาดีขนาดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่ปายเลยครับ”

ถึงแม้ผมจะตอบเลี่ยงให้ออกมาในแนวความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวเหล่าแดนปายชิปเปอร์ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องรักใคร่ๆ ห่วงใยประทับใจกันตามประสาคนรักได้เอง เพราะฉะนั้น ผมแค่ให้คำตอบกลางๆ แบบนี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ

“แล้วกับน้องทิชาล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้ยังได้เจอกันอยู่ไหม?”

“เจอครับ.... ค่อนข้างบ่อยเลย”

ผมโคตรเกลียดเวลาที่ตัวเองเป็นแบบนี้จริงๆ นะ แต่มันก็ห้ามกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ให้ยกยิ้มเวลาที่มีคนถามถึงทิชาไม่ได้.... อารมณ์แบบมีแดนที่ไหน มีทิชาที่นั่น คิดถึงดรัณภพ คิดถึงทิชนันท์อะไรประมาณนั้น

ฟังดูเพ้อเจ้อฉิบหาย แต่ผมก็เพ้อของผมมาตั้งนานแล้วนี่หว่า

“น้องแดนคิดว่าถ้าซีรีส์สงครามคิวท์บอยไม่ได้มีการเปลี่ยนบบท สลับตัวนักแสดงที่เล่นคู่กันจากน้องทิชามาเป็นน้องปาย ซีรีส์จะดังขนาดนี้ไหมคะ? แล้วคิดว่าจะได้เสนอชื่อเข้าชิงคู่จิ้นแห่งปีหรือเปล่า?”

“ละครก็คงฮิตเหมือนเดิมแหละครับ เพราะว่าเนื้อหาดีและทีมงานทุกคนก็ตั้งใจกันอย่างเต็มที่” 

นี่ผมไม่ได้อวยเวอร์นะ ซีรีส์เขาดีจริง ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า เช่นเดียวกับอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ผมก็ขี้เกียจจะหลอกตัวเองว่ายังมีความหวังอยู่

“แต่รางวัลคู่จิ้นคงยากครับ เพราะทิชาเขาใจร้ายกว่าพี่ปายเยอะ”

เสียงหัวเราะฮาครืนดังขึ้นรอบวงเพราะพวกพี่ๆ นักข่าวคิดว่าผมพูดเล่นติดตลกเหมือนเคย แต่ใครจะรู้ล่ะว่านั่นคือความจริงซึ่งผมต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะยอมรับได้ว่าไอ้ทิชาคงไม่มีวันเป็นดาวที่ร่วงลงมาอยู่ในมือผมอีกต่อไปแล้ว.... แต่ถึงไอ้เดือนสถาปัตย์ใจหมาคนนี้จะไม่ได้ดาวศิลปกรรมมาครอบครอง (ตำแหน่งนี้ผมตั้งให้มันเอง) นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องดับแสงตัวเองแล้วเคลื่อนตัวออกไปจากวงโคจรนอกกาแล็คซี่สักหน่อย

ผมก็จะอยู่ของผมอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หลงรักมันข้างเดียวไปเรื่อยๆ

มองเห็นแต่ไม่ได้ครอบครองคือคอนเสปท์ของผม

ไม่เป็นไรหรอก.... เจ็บบ่อยๆ ก็ค่อยๆ ชินไปเอง

   

เมื่อผู้คนในงานเลี้ยงฉลองเรตติ้งละครเริ่มบางตา ผมก็เดินเข้าไปไหว้ลาพวกผู้บริหารช่อง แม่อิ๋วและพี่ๆ ทีมงานทุกคนเพื่อขอตัวกลับก่อน เพราะพรุ่งนี้ผมต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปขึ้นเครื่องกลับสุราษฎร์ที่สนามบินดอนเมือง.... เทอมที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าโคตรหนักหนาสาหัส มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิตผม ไหนจะได้เข้าวงการบันเทิงที่ใฝ่ฝัน ไหนจะนั่งหลับในตอนตัดโมเดลจะมีดเกือบเฉือนนิ้วขาด ไหนจะอกหักรักคุดหัวใจพังยับเยินไม่มีชิ้นดี เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เหลือเวลาอีกเพียงแค่อาทิตย์กว่าๆ สำหรับการพักผ่อน ผมก็อยากจะนอนนิ่งๆ เป็นผักเปื่อยให้สาแก่ใจ ไม่มีการซักผ้า ไม่มีการทำความสะอาดห้อง อยากกินอะไรก็มีคุณมี๊คอยหามาให้กินถึงเตียง

“แดน....!”

เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง แทบไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยว่าใครคือคนสุดท้ายที่จะได้คุยกับผมก่อนออกไปจากงานคืนนี้ และเมื่อหันกลับไปก็พบว่าร่างโปร่งบางของคู่จิ้นรุ่นพี่กำลังเดินเข้ามาหา ใบหน้าสวยยังคงมีรอยยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจจนอยากยิ้มตามเหมือนเช่นทุกครั้ง

“จะกลับบ้านที่สุราษฏร์พรุ่งนี้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ.... กลับไฟลท์เช้าเลย ผมยังไม่ได้จัดของเลยเนี่ย”

“งั้นก็เดินทางดีๆ นะ เซฟไฟลท์”   

พี่ปายยกมือขึ้นโบกท่าบ๊ายบาย ผมคิดว่าบทสนทนาของเราจะจบลงเพียงเท่านั้นก็เลยบ๊ายบายตอบกลับไปให้ จบงานนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมาเจอกันอีก.... นับจากวันแรกที่เจอกันในวันแคสบท ผมกับพี่ปายก็คุยไลน์กันทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่เริ่มเวิร์คชอปแอคติ้งคลาสยันปิดกล้อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่เจอเขาเลยมั้ง พอมาถึงจุดนี้ก็อดยอมรับในใจไม่ได้ว่าต่อไปคงจะเหงาน่าดู

ถึงจะยังไม่ได้รักไม่ได้ชอบ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธนะว่าพี่ปายคือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตของผม

แต่สำหรับเขา ผมอยากให้เขารีบๆ ลืมผู้ชายเฮงซวยแบบผมไปเสียจะดีกว่า

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่ปายเขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะ

“เอ่อ.... พี่ขอถามอะไรแดนหน่อยนึงได้ไหม?” 

เสียงแหบหวานเอ่ยถามในตอนที่ผมกดสวิทช์ปลดล็อครถคัมรี่คู่ใจ ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าโอเค อยากถามอะไรก็ถามมาได้เลย คนอายุมากกว่าถึงได้กึ่งๆ สารภาพออกมาว่าเขาแอบฟังตอนที่ผมให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วย 

“พี่ได้ยินแดนบอกพี่นักข่าวว่าจะไม่รับงานแสดงแล้ว.... พูดจริงเหรอ? แค่งดรับงานแต่ไม่ได้จะออกจากวงการไปเลยใช่ไหม?”

“ผมแค่จะกลับไปเรียนน่ะ งานไหนที่พอรับไหวก็อาจจะยังรับอยู่ แต่ละครหรืออะไรที่ต้องใช้เวลามากๆ ผมคงไม่ทำแล้วล่ะครับ”   

“เหรอ............”

พี่ปายลากเสียงอ่อยด้วยความเสียดาย เขาเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพยายามฝืนยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มซึ่งเจือปนด้วยความเศร้าก็ตาม

“งั้นเราก็คงไม่ค่อยได้เจอกันจริงๆ แล้วสินะ”

“ก็คงอย่างนั้นแหละครับ”

ผมรู้ว่ามันฟังดูเหี้ยมากที่ตัวเองพูดจาตัดรอนไม่ให้ความหวังพี่ปายเลย หากเขาก็คงรู้เหมือนกันล่ะมั้งว่าถ้าผมไม่ทำงานในวงการแล้ว โอกาสที่เราจะได้เจอกันก็คงน้อยลงเต็มที.... เขาเป็นดารา ในขณะที่ผมเลือกขอกลับไปเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ต่างคนต่างเลือกเส้นทางชีวิตในแบบที่ต้องการ ไม่ต่างอะไรกับเส้นขนานซึ่งไม่มีทางหักเหมาบรรจบกันได้

“พี่ปายก็พยายามเข้านะ ได้ยินมาว่างานเข้าเพียบเลยนี่” 

ผมยิ้มให้เขาพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายแบบไม่แคร์ว่าเขาจะอายุมากกว่า ถึงจะมีอิมแพคต่อใจผมไม่เท่าไอ้ทิชา แต่พี่ปายก็มีความน่ารักในแบบของเขานั่นแหละ 

“ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนเยอะๆ กินข้าว กินผักผลไม้ด้วย ไม่ใช่กินแต่วิตามิน รู้ไหมครับ”

“รู้แล้วน่า.... พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ"

คนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเบะปากใส่ผมทันทีที่ได้ยินคำสั่งกำชับให้ทำในสิ่งที่ไม่ค่อยเต็มใจ.... เห็นอย่างนี้เถอะ ใครจะรู้ว่าพี่ปายคนเก่งของน้องๆ เป็นพวกกินโคตรยาก ไอ้นั่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่กิน ถ้าวันไหนกับข้าวกองถ่ายเน้นผักก็เขี่ยออกหมดจนแทบจะเหลือแต่ข้าวเปล่า พอโดนบังคับเข้ามากๆ ก็แถว่าเดี๋ยวกินวิตามินเสริมเอาก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าโตกว่ากันตั้งหลายปีล่ะก็ ผมคงจับมาตีก้นให้หายดื้อแล้ว

“ไม่เด็กก็ไม่เด็ก........” 

ผมแค่นหัวเราะหึเมื่อเห็นผู้ใหญ่ยืนมองค้อนผมจนตาคว่ำ ใจจริงก็อยากคุยต่ออีกหน่อยแต่เพราะนาฬิกาตรงหน้าอาคารหอประชุมที่จัดงานบอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ซึ่งผมคงจะต้องกลับเสียที 

“พี่ปายก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ.... ผมไปก่อนนะครับ”

แอบเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกอักๆ คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูด ผมก็ไม่คิดว่าระหว่างเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

แต่สุดท้ายพี่ปายก็ตัดสินใจโพล่งความในใจของเขาออกมาจนได้

“ถ้าว่างๆ พี่ขอทักไลน์ไปคุยกับแดนได้ไหม?”

ผมหันกลับมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มจางให้พร้อมกับคำตอบ

“ได้สิครับ”   

“แล้วถ้าว่างๆ.......สมมติว่าถ้าว่างมากๆ เราจะนัดเจอกันได้หรือเปล่า?”

สีหน้าของคนถามแลดูหวาดหวั่นเล็กน้อย เขาเองก็คงจะกลัวคำตอบจากผมว่าจะเป็นไปในทางลบหลังจากที่เคยโดนปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมาแล้ว.... มองพี่ปายก็เหมือนมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา กับไอ้ทิชา ผมก็เป็นแบบนี้เช่นกัน อกหักซ้ำซ้อนไม่มีอะไรเหลือให้หวังแต่ก็ยังดันทุรังเลือกรักคนใจร้ายคนเดิมที่ทำขยันให้เราเจ็บอยู่ได้.... และคงเพราะผมรู้ว่าความเจ็บปวดของการไม่เป็นที่รักนั้นเป็นยังไง ผมถึงได้ไม่อยากทำร้ายน้ำใจเขามากเกินไปกว่าที่เคยทำ

“พี่ปายรู้ว่าผมอยู่ไหนไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากเจอก็มาได้นี่ครับ”

“อื้อ”

พี่ปายยิ้มไม่หุบในตอนที่ผมพยักหน้าให้ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วขับออกมาจากสถานที่จัดงานเลี้ยง.... ก็คิดอยู่ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องหรือเปล่า มันควรแล้วเหรอกับการให้ความหวังพี่ปายทั้งๆ ที่หัวใจผมถูกไอ้ทิชาคว้าไปตั้งแต่งานประชุมเชียร์รวมคณะตอนปีหนึ่งแล้ว แต่เพราะคนบางคนก็มีความสุขกับการได้หวังลมๆ แล้งๆ ถ้าพี่ปายยังอยากจะรอผมต่อไปก็ขอให้เป็นการตัดสินใจของเขาเองก็แล้วกัน



ถนนเพชรบุรียังคงรถติดแน่นขนัดตรงช่วงอาร์ซีเอเหมือนเช่นทุกวัน ผมฮัมเพลงของ Charlie Puth ซึ่งมักจะฟังบ่อยๆ จนกลายเป็นเพลงโปรดในช่วงนี้ไปเรื่อยเปื่อย โทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนเบาะข้างคนขับส่องแสงสว่างวาบแจ้งเตือนว่ามีคนอัพไอจีเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา.... จะเป็นใครที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ไอ้ทิชา ตั้งแต่มันเปิดไอจีส่วนตัวเป็นสาธารณะ ผมก็ตั้งแจ้งเตือนแอคเคาท์มันเอาไว้เพื่อที่จะได้ไม่พลาดกดไลค์และคอมเมนท์แหย่ให้มันเมนชั่นด่ากลับ

เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันอัพรูปซาชิมิแซลมอนจานใหญ่เบิ้มกับรูปน้องมิลค์นั่งเลียขนอยู่บนโซฟาริมทะเล แท็กโลเกชั่นรีสอร์ทไฮโซของแปะใหญ่ที่เกาะสมุย ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มันขึ้นเครื่องไปเที่ยวกับไอ้เฮียโรมแต่เช้า แถมยังพาลูกสาวขนฟูที่น่ารักพอๆ กับแม่ไปด้วย

“จะกินแซลมอนให้หมดทะเลเรอะ.... ไอ้ขี้อวด เดี๋ยวนี้ขิงเก่งจริงเว้ย!”

ผมก็บ่นขิงบ่นข่าไปงั้นเอง ถึงจะหมั่นไส้ทิชาเวอร์ชั่นใหม่ที่ร่าเริงมากขึ้นอีกนิด กล้าเอาตัวเองออกสู่โลกภายนอกมากขึ้นอีกหน่อยแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีให้มันก็คือความยินดีด้วยจากใจจริง.... ถึงตัวเองจะอกกลัดหนองแต่ถ้าไอ้ดาวของผมมันยิ้ม ผมก็ยิ้มไปพร้อมกับมันได้เสมอ แม้ว่าคนที่ทำให้เรื่องราวของมันจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งจะไม่ใช่ผมก็เถอะ มาได้ไกลมากเท่านี้ สำหรับผมก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทุกคนรอบข้างต่างก็มีหนทางที่ต้องไปต่อกันทั้งนั้น บางคนก็ยังอยู่ในช่างก้าวเดินตามล่าความฝัน บางคนโชคดีหน่อยก็อาจจะไปถึงปลายทางแล้ว แต่ไม่มีใครที่จะอยู่ที่เดิมไปตลอดชีวิตได้

แล้วตัวผมล่ะ.... บนถนนที่ปลายทางไม่มีไอ้ทิชารออยู่ ผมจะยังสามารถเจอกับตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนอย่างที่มันเจอเฮียโรมได้หรือเปล่า?

.

.

ผมจะลองเสี่ยงเดิมพันอะไรบางอย่างดูสักครั้งดีไหมนะ....?

.

.

‘ฮัลโหล แดน?’

ผมยังไม่ทันใส่หูฟังบลูธูทเสร็จดี พี่ปายก็กดรับโทรศัพท์ด้วยความเร็วแสง อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเห็นชื่อผมปรากฏขึ้นบนหน้าจอหรือเปล่าถึงได้รีบรับเร็วเหมือนกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจตัดสายทิ้งขนาดนี้

‘มีอะไร? ลืมของไว้ที่งานเหรอ?’

“อาทิตย์นี้พอจะมีเวลาว่างสักสองวันไหมครับ?”

‘เอ๊ะ??’

ปลายสายทำเสียงตกใจกลับมาให้ได้ยิน ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้นักหรอก จากที่ไม่เคยสนใจใยดีแต่อยู่ๆ จู่ๆ ก็โทรมาหาถามว่าว่างไหม เป็นใครก็ต้องตกใจอยู่แล้ว

เพียงแต่เรื่องที่น่าตกใจไม่ได้มีแค่นี้....

“ผมจะชวนพี่ปายไปเที่ยวสมุย.... ไปด้วยกันไหม?”

‘เอ๊ะ!!!!!???’

“ไปนอนเล่นรีสอร์ทของลุงผมสักคืน ย่างกุ้งย่างปูกินให้สะใจไปเลย หรือจะไปดำสน็อกเกิลดูปะการังเกาะข้างๆ อะไรงี้ก็ได้.........”

‘จริงเหรอ?? แดนชวนพี่จริงๆ นะ????’

พี่ปายยังคงทำน้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมว่าผมพอจะนึกหน้าเขาในตอนนี้ออก.... ดวงตาเรียวๆ เบิกกว้าง อ้าปากหวอ หันมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีแบบตื่นๆ ดูแล้วก็คงเหมือนตัวอัลปาก้าหรืออะไรประมาณนั้น

“จริงครับ ชวนพี่ปายคนเดียวด้วย”

‘โอ๊ยยยยย ทำไงดี.... แดนชวนพี่ไปเที่ยวอะ!!’ 

คนถูกชวนกรีดร้องโหยหวนเสียจนผมอดขำไม่ได้ แต่ไอ้ที่คิดว่าดีใจจนเนื้อเต้นขนาดนี้ยังไงก็ต้องตอบตกลงก็กลับกลายเป็นเรือคว่ำกลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศา 

‘แต่อาทิตย์นี้พี่มีคิวงานยาวเลย คงไปไม่ได้แน่ๆ..........’

รอยยิ้มเอ็นดูคนอายุมากกว่าบนใบหน้าผมหายไป แทนที่ด้วยการกระตุกมุมปากเบาๆ เมื่อรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเองก็แพ้เดิมพันหมดหน้าตักอีกเช่นเคย

‘รอแปบนึงนะ พี่จะลองถามพี่โรสดูก่อนว่าขอเลื่อนคิวงานไปสักสองวันได้ไหม.... รอนะ เดี๋ยวพี่โทรกลับไปบอก’

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีงานก็อย่าเลย"

‘พี่อยากไปจริงๆ นะ แดน.............’

อะไรที่มันไม่ได้ก็คือไม่ได้ อะไรที่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มาคิดดูอีกทีแล้ว ผมว่าก็อย่าไปฝืนลากสิ่งที่ไม่ใช่ให้กลายเป็นใช่เลยดีกว่า

“เอาไว้คราวหน้าก็ได้ครับ สมุยกับรีสอร์ทมันก็อยู่ที่เดิม ถ้าคนจะได้ไป เดี๋ยวก็คงได้ไปเอง” 

พี่ปายลากเสียงครางฮือบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเสียดายแทบตายกับโอกาสที่มาถึงแต่คว้าเอาไว้ไม่ได้ หากสำหรับผม ในตอนนี้เกมมันโอเวอร์ไปแล้วล่ะ 

“แค่นี้นะครับ ผมจะขับรถต่อแล้ว”

สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดีหลังจากที่ผมตัดสายพี่ปายทิ้ง รถทุกคันออกตัวไปข้างหน้ามุ่งสู่ปลายทางของแต่ละคน.... ผมเองก็เช่นกัน ในเมื่อความพยายามเปลี่ยนเส้นทางไม่ประสบผลสำเร็จ ชีวิตคนเราก็ดันไม่ใช่บทละครที่นึกจะเขียนตอนจบให้ออกมาดีแค่ไหนก็เขียนได้ตามใจชอบ ก็ได้แต่ปล่อยเท้าเหยียบคันเร่งมือประคองพวงมาลัยเข้าเกียร์เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แม้ว่า ณ สถานที่ตรงนั้นจะไม่มีอะไรที่เป็นของผมอย่างแท้จริงเลยก็ตาม


บางทีฟ้าอาจจะยังไม่เป็นใจให้ผมตัดใจจากไอ้ทิชาจริงๆ ล่ะมั้ง....?




ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME's PART



รีสอร์ทสุดหรูติดชายหาดกับอาหารทะเลสดปิ้งย่างก็ถือว่าดี แต่ไม่มีอะไรดีเท่ากับการได้เห็นทิชากลับมาเดินได้อีกครั้ง กินแซลมอนเยอะเท่าภูเขา กินขนมหวานในไลน์บุฟเฟ่ต์เมื่อวานมากเสียจนผมสงสัยว่ากระเพาะเล็กๆ นั่นขยายใหญ่ได้อีกกี่เท่า ส่งเสียงดุไม่ให้ยัยมิลค์กระโดดขึ้นไปบนเคาท์เตอร์บาร์

ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำว่ารักที่ผมได้ยินจากปากเขาจะไม่ใช่แค่การปลอบใจให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ตัวเองอีกต่อไปแล้ว....


“มิลค์.... หม่ำแซลมอนกัน ปลาสีส้มๆ ไง”

“เมี้ยว~”

ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าสองแม่ลูกเขาคุยกันรู้เรื่องจริงหรือเปล่า แต่ก็เห็นเข้าอกเข้าใจกันดีเมื่อมีซาชิมิแซลมอนชิ้นอวบวางอยู่ตรงหน้า.... ทิชาฉีกเนื้อปลาให้เป็นชิ้นเล็กลงแล้วส่งให้ยัยลูกสาวเคี้ยวหยับๆ เจ้าตัวก็คีบใส่กินปากเองด้วย ระยะหลังมานี้ ทิชากินเก่งขึ้นมาก ขนาดแซลมอนจานไซส์ใหญ่สุดยังกินคนเดียว (กับยัยมิลค์) จนหมดได้ ไหนจะบรรดาขนมนมเนยของโปรดกับน้ำอัดลมอีก แต่ด้วยความที่ปกติแล้วทิชาค่อนข้างจะผอม พอมีแก้มนิดๆ ก็ยิ่งดูสุขภาพดีมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิม ตราบใดที่เขาไม่ได้กินจนผมล้มละลายก็ไม่มีปัญหา

“แม่แมว หันมาหน่อยครับ”

ผมยกเลนส์กล้องส่องไปทางคนที่กำลังเมามันส์อยู่กับปลาดิบ ทำเอาร่างเล็กหันมาโวยวายพร้อมทั้งเอามือบังหน้าตัวเองไม่ยอมให้ถ่ายรูปง่ายๆ

“พี่โรมอะ ชากำลังกินอยู่นะ!”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย แก้มป่องๆ น่ารักจะตาย”

พอชมว่าน่ารักเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยอมให้ถ่ายรูป ถึงจะโดนมองค้อนทิ้งท้ายบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบนักก็เถอะ แต่สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นตอนทิชากิน นอน นั่งเล่นเกมในแลปท็อป เลี้ยงยัยมิลค์หรือทำอะไรก็ตาม ผมก็อยากเก็บภาพเอาไว้แทนความทรงจำทั้งหมดที่เราได้อยู่ด้วยกัน

ลืมบอกไปว่างานอดิเรกในช่วงนี้ของผมก็คือการถ่ายรูป เพิ่งถอยกล้อง Mirrorless ตัวท็อปใหม่เอี่ยมพร้อมเลนส์อีกสอง-สามตัวมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ก็กะจะเอามาถ่ายรูปทิชากับยัยมิลค์นี่แหละ ฝีมือยังไม่เก่งกาจอะไรนัก อาศัยดูรีวิวกับวิธีตั้งค่าในเว็บไซต์ก็ช่วยให้รูปออกมาสวยได้อย่างใจพอสมควร.... แต่จะอวยว่าเป็นเพราะกล้องแพงหรือตากล้องมีพรสวรรค์ก็ไม่ใช่หรอก นายแบบส่วนตัวของผมเขางานดีมาตั้งแต่เกิด ต่อให้เอาโทรศัพท์กากๆ ถ่ายก็ยังน่ารัก แต่ผมก็มีความสุขที่จะได้ถ่ายรูปเขาด้วยกล้องดีๆ ให้รายละเอียดบนภาพที่อัดออกมาเหมือนตัวจริงที่สุด

“หยุดถ่ายได้แล้ว มากินนี่เร็วๆ เลย”

ระหว่างที่กำลังปรับโน่นปรับนี่หลังเปลี่ยนไปใช้เลนส์อีกตัว เผลอแปบเดียวนายแบบกิตติมศักดิ์ก็มานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วคีบมากิซูชิไส้กุ้งใส่ปากผม

ยี่สิบสองปีในชีวิต ผมไม่เคยรู้สึกเสียดายอะไรเท่ากับการเพิ่งได้เจอทิชาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ถ้าสามารถย้อนเวลาไปได้ ผมคงจะไปดักรอจีบตั้งแต่วันแรกที่น้องมาสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย.... ไม่สิ ตามไปจองที่โรงเรียนมัธยมเลยดีกว่า จะได้ไม่มีใครมายุ่งหรือทำให้แม่แมวของผมมีแผลใจจากไอ้พวกชาติชั่วโง่ซ้ำซ้อนที่ไม่รู้ตัวว่าทำเพชรเม็ดงามหลุดมือไป

การมีแฟนน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ แถมยังรักเราคนเดียวมันคือนิพพานสำหรับผู้ชายจริงๆ นะครับ

“พระอาทิตย์จะตกแล้ว ลงไปเดินเล่นชายหาดกัน”

ทิชาพยักหน้าตอบตกลงอย่างว่าง่าย หลังจากที่เรานอนเล่นพักสายตาและพักพุงหลังอิ่มอืดจากอาหารมื้อบ่ายซึ่งผมสั่งให้มาเสิร์ฟถึงห้อง.... เมื่อวานนี้ก็มัวแต่นอนกอดกันจนเพลิน ตื่นมาอีกทีก็ฟ้ามืดสนิทต้องรีบไปกินข้าวก่อนที่จะเลยเวลาห้องอาหารมื้อเย็น พลาดการดูพระอาทิตย์ตกดินในวันแรกที่มาถึงเกาะสมุยไปแบบที่ได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มหน้าแห้งทั้งคู่

ผมใส่สายจูงให้ยัยมิลค์แล้วอุ้มเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จูงมือทิชาให้เขาค่อยๆ เดินลงบันไดหน้าบ้านพักซึ่งทอดยาวสู่ชายหาดส่วนตัวของรีสอร์ทด้วยกัน   .... ไม่อยากจะคุยว่าทั้งสมุยมีบ้านพักติดชายหาดจริงๆ แบบนี้อยู่ไม่กี่หลัง แค่เดินออกจากบ้านไม่กี่สิบเมตรก็สามารถเอาเท้าแตะน้ำทะเลได้แล้ว

“น้ำทะเลยังอุ่นอยู่เลย ดูสิ”

ทิชาลงไปลุยคลื่นตรงที่ความสูงของน้ำประมาณช่วงข้อเท้า ใบหน้าสวยประดับรอยยิ้มร่าเริงชอบใจ ในขณะที่ผมรับหน้าที่จูงลูกสาวเดินเล่นบนพื้นแห้งสลับกับถ่ายรูปแม่แมวลูกแมวด้วยหัวใจที่อิ่มเอมกับภาพแห่งความสุขที่ได้

“พี่โรม”

“ครับ?”

“ขอบคุณที่พาชามาที่นี่นะ.... ชามีความสุขมากเลย” 

ร่างเล็กหันมาหาผม น้ำเสียงหวานกับดวงตากลมโตใสแจ๋วยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายสั่นไหว รู้สึกราวกับว่าตัวจะลอยขึ้นในอากาศอย่างไรก็อย่างนั้น 

“ถ้าไม่มีพี่โรม ชาก็ไม่รู้ว่าชีวิตในตอนนี้จะเป็นยังไง.... อาจจะยังเป็นเด็กมีปัญหา คิดว่าไม่มีใครรักตัวเอง แล้วก็ถูกพวกใจหมาหลอกให้ขึ้นเตียงด้วยซ้ำไปซ้ำมาอยู่ก็ได้มั้ง”

“อย่าไปคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยนะ” 

และนั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทิชาได้รับรู้ 

“เพราะสิ่งที่ทิชาคิดมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว.... ไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้หรือวันไหน ทุกวันของทิชาจะมีพี่อยู่ด้วยเสมอ พี่อาจจะไม่ได้เพอร์เฟก บางทีก็ออกจะทึ่มๆ เรื่องความรักเสียด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ใจได้เลยก็คือพี่จะไม่ทำให้ทิชาเสียใจ”

ผมวางมือจากกล้องถ่ายรูป อุ้มยัยมิลค์เดินเข้าไปหาร่างเล็กซึ่งกำลังรอฟังประโยคที่เหลือจากปากผม

“ขอบคุณที่สอนให้คนอย่างพี่ได้รู้ว่าความรักจริงๆ มันไม่ใช่แค่การคบกัน เจอหน้ากัน โทรศัพท์คุยจีบกัน เลี้ยงข้าว ดูหนังไปเรื่อยเปื่อย แต่มันเป็นอย่างที่เราสองคนเป็นอยู่ในตอนนี้แหละ”

“ถึงจะพูดให้ฟังจนเบื่อแล้ว แต่ขอพูดอีกทีก็แล้วกัน.... พี่รักทิชานะครับ”

“ไม่เห็นพี่โรมจะทึ่มเรื่องความรักตรงไหน.... จีบเก่งจะตาย ขนาดอยู่ด้วยแล้วยังจีบแฟนตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน”

ทิชาพูดขำๆ แต่เขาคงไม่รู้มั้งว่าที่ผมพยายามบอกรักเขาทุกวันก็เป็นเพราะความรู้สึกผิดปนเสียดายที่ตอนรู้จักกัน ผมไม่ได้เป็นฝ่ายจีบหรือทำอะไรดีๆ ให้เขาเลย

นึกย้อนกลับไปทีไรก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ปฏิเสธคำสารภาพรักจากทิชา ผมเลือกมองข้ามเขาเพราะคิดว่าตัวเองรู้สึกดีกับอีกคนมากกว่า อยากได้คนรักที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ กลัวว่าความอ่อนไหวของทิชาจะทำให้ผมอึดอัดใจแล้วต้องบอกเลิกในที่สุด แต่มันไม่ใช่เลยสักนิด ทิชาเสียอีกที่ต้องรับมือกับความขี้ใจอ่อนไม่เอาไหนของผม ถึงจะเคยทำให้ผวาหน่อยๆ ตอนที่รู้ว่าโดนหลอกชิงเกียร์ หากสุดท้ายมันก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดเลยนอกจากทิชารักผม รักมาก รักจนยอมแลกได้ทุกอย่าง

และในวันที่ทิชาเกือบจะต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุ ผมก็ยิ่งตระหนักถึงความจริงที่ว่าผมไม่สามารถขาดคนๆ นี้ได้อีกแล้ว

ผมรักทิชายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แล้วผมก็อยากให้น้องรับรู้ด้วย....



“พระอาทิตย์จะตกแล้ว แสงสวยมากเลย”

“ทิชาหันไปทางนั้นนิดนึงสิ เดี๋ยวย้อนแสงแล้วหน้าดำ”

ผมยังคงหันเลนส์กล้องไปทางคนรัก ใบหน้าจิ้มลิ้มหมดจดเหมือนตุ๊กตาราคาแพงสะท้อนแสงสีส้มทองไม่ต่างจากภาพวาดจากฝีมือจิตกรเอก.... ให้ตายเถอะ ผมจะทำยังไงดี ไม่มีทางที่ไอ้เจ้ากล้องถ่ายรูปตัวละไม่กี่หมื่นจะเก็บรายละเอียดความสวยชวนตะลึงที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้ได้หมดแน่

“พี่โรมไม่ต้องถ่ายแล้ว มาดูด้วยกัน” 

ระหว่างที่กำลังมือสั่นปรับชัตเตอร์สปีดอยู่นั้น ทิชาก็ตรงเข้ามาอุ้มยัยมิลค์ขึ้นจากพื้นทรายก่อนจะดึงมือผมให้มายืนข้างกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ก็จ้องมองออกไปยังท้องน้ำซึ่งกระทบโดนแสงแดดสุดท้ายของวันจะเป็นประกายระยิบระยับ นิ่งค้างอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอียงศีรษะซบลงมาบนหัวไหล่ผม 

“อยู่ด้วยกันมาเกือบปี เพิ่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันครั้งแรกเลยนะ”

“นั่นสินะ...........”

“สวยจัง ต่างจากที่กรุงเทพฯ ลิบลับเลย”

ดูทิชาจะชอบทะเลที่นี่มาก ตั้งแต่เมื่อวานที่มาถึงก็อารมณ์ดีอยู่ตลอด ส่วนผม แค่ได้เห็นทิชากับยัยมิลค์มีความสุขอิ่มหนำสำราญ ผมก็ยิ่งกว่าดีใจแล้ว

“พระอาทิตย์ตกก็สวยนะ แต่สวยไม่เท่าความรักของเราหรอก” 

ผมพูดให้ฟังดูคล้ายทีเล่นทีจริง แต่เราสองคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นความจริงทุกคำ 

“ในสายตาพี่ ทิชาสวยที่สุด.... บอกตามตรงว่าทะเลยังหมองเลย”

ร่างบางหัวเราะร่าพลางเอื้อมมือมาตีแขนผมแก้เขิน

“ทำไมเดี๋ยวนี้หยอดเก่ง จะเป็นวิศวะหรือจะขายขนมครก?”

“เป็นวิศวะที่ขายขนมครกได้ไหม?” 

ผมก้มลงหอมแก้มทิชาอีกฟอด ขณะที่ยัยมิลค์โดนมนุษย์ทาสอุ้มนานเกินไปก็เลยดิ้นจนแม่แมวต้องปล่อยให้ลงยืนเองบนพื้นอีกรอบ ผมก็เลยขยับเข้าไปกอดคนรักเอาไว้ในอ้อมแขนได้เต็มที่ 

“พี่อยากบอกรักทิชาบ่อยๆ บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้.... เราอย่าเพิ่งเบื่อพี่เสียก่อนล่ะ”

“ชาไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย เก็บไว้บอกวันหลังบ้างก็ได้”

“ไม่ชอบให้พี่บอกรักเยอะๆ เหรอ?” 

ผมแกล้งย้อนถาม ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าร่างเล็กก้มหน้างุดอยู่กับอกผม ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเช่นเดียวกับผิวแก้มซึ่งนุ่มนิ่มน่าหอมเป็นที่สุด 

“เขินล่ะสิ.... ใช่ไหม?”

นึกว่าจะโดนกำปั้นเด็กขี้อายทุบแก้เขินเสียแล้ว ผิดคาดตรงที่ผมไม่ได้โดนประทุษร้ายร่างกายตรงไหนเลย หากเจ้าตัวกลับพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เขินสิ..........มากด้วย”

ผมจับคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดู ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายถือสายจูงยัยมิลค์อยู่ ผมคงอุ้มขึ้นมาฟัดให้หนำใจแล้ว.... ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์สีส้มจัดก็เคลื่อนตัวลงจมหายไปกับเส้นขอบฟ้าโพ้นทะเล เหลือทิ้งไว้เพียงรัศมีของมันซึ่งน่าจะคงอยู่ได้อีกชั่วประเดี๋ยว ผมแอบชำเลืองมองไปยังบันไดทางลงจากบ้านพักพูลวิลล่าสู่ชายหาด สิ่งที่เตรียมไว้ถูกพนักงานรีสอร์ทช่วยนำออกมาจัดวางให้อย่างเรียบร้อยตามที่คิดเป๊ะ ผมจึงกระซิบบอกทิชาให้รู้ตัวก่อนจะจูงร่างบางให้หันกลับไปดูว่านอกจากบอกรักทุกวันแล้ว ผมยังทำอะไรเพื่อเขาได้อีก

“เดี๋ยวมีให้เขินยิ่งกว่านี้อีก”

“พี่โรม.....นี่มัน...........??”

แน่นอนว่าแม่แมวของผมจะต้องคิดไม่ถึงว่าจะโดนเซอร์ไพรส์เข้าอย่างจัง ทว่า ภายใต้สีหน้าตกตะลึงนั้น ผมสามารถมองทะลุลงไปเห็นรอยยิ้มได้ไม่ยากเลย

ก็อย่างที่บอกว่าความสุขของทิชาก็คือความสุขของผม


“เหมือนงานแต่งริมทะเลเลยใช่ไหมล่ะ?”


และจากนี้ไป ผมก็จะทำให้เขารู้ว่าเราสองคนก็คือคนๆ เดียวกัน และหัวใจของเราก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกันตลอดไป


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA's PART



เมื่อผมหันหลังกลับไปยังบันไดที่เราเดินลงมาด้วยกันเมื่อกี้ สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่เพียงหาดทรายว่างเปล่าอย่างที่มันควรจะเป็น....


เสาระแนงไม้สีขาวด้านบนมีผ้าพริ้วๆ สีฟ้าพันปล่อยชายให้ไหวไปตามแรงลมคล้ายกับซุ้มประตู กระดิ่งลมโมบายเปลือกหอยแกว่งไกวส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งน่ารักน่าฟัง บนพื้นมีกระถางดอกไม้พันธุ์เล็กแต่สันสดใสวางเรียงเป็นของตกแต่งซึ่งเหมาะกับบรรยากาศริมทะเลอย่างบอกไม่ถูก ตรงกลางซุ้มมีโต๊ะอาหารคลุมด้วยผ้าปูสีขาว บนโต๊ะมีเทียนประดับครอบด้วยโคมแก้วทรงกลมสำหรับกันลมพัด.... เมื่อแสงอาทิตย์หายลับไป ตะเกียงดวงใหญ่ก็ถูกจุดขึ้นให้แสงสว่างแก่บริเวณนั้นแทน ผมก็ยิ่งตื่นเต้นตกตะลึงไปกับความโรแมนติกของสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

“พี่โรม.....นี่มัน...........??”

“เหมือนงานแต่งริมทะเลเลยใช่ไหมล่ะ?”

ร่างสูงยิ้มอวดอย่างภาคภูมิใจในผลงาน จริงอย่างที่พี่โรมพูดนั่นแหละ งานแต่งริมทะเลที่ผมเคยเห็นตามฉากละครทีวีก็คล้ายๆ แบบนี้ หัวใจยิ่งพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาจากอกเมื่อคิดว่าพี่โรมอุตส่าห์เตรียมของพวกนี้เอาไว้ให้ แม้ว่าเราจะแต่งงานกันจริงๆ ไม่ได้ก็เถอะ

“แฟนใครเนี่ย.... จีบเก่งแล้วยังเซอร์ไพรส์เก่งอีก”

ผมไม่รู้เลยว่าพี่โรมแอบเตรียมการไว้ตั้งแต่เมื่อไร แสดงว่าไอ้ที่ชวนผมออกมาดูพระอาทิตย์ตกก็เพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ มิหนำซ้ำยังแอบนัดพี่ๆ พนักงานให้มาจัดของด้วยความเร็วแสงตอนที่เรากำลังหันไปดูทะเลเสียด้วยนะ

พี่โรมกุมมือผมพร้อมกับอุ้มยัยมิลค์ให้เดินเข้าไปยัง ‘งานพรีเวดดิ้ง’ เก้าอี้ถูกเตรียมเอาไว้สามตัว สำหรับผมกับพี่โรมและลูกสาวของเรา แต่เพราะยัยมิลค์ไม่ยอมนั่งนิ่งๆ เราก็เลยต้องผูกสายจูงเอาไว้กับขาเก้าอี้แทนแล้วปล่อยให้มันทำตาลุกวาวกระโจนใส่ปูลมอยู่ที่พื้น.... ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายอกสามศอกจะทำเรื่องมุ้งมิ้งขนาดนี้ได้ จนถึงตอนนี้ผมยังงงอยู่เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาแล้วเขาแอบไปเตี๊ยมกับคนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

“ยังมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ชาอีกไหม?” 

ผมถามทั้งที่หน้ายังบานจนหุบไม่ลง

“ไม่มีแล้วครับ แค่ดินเนอร์เฉยๆ” 

พี่โรมตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปยังรถเข็นแบบสามชั้นด้านข้างซึ่งมีอาหารมื้อค่ำของเราอัดมาจนแน่นขนัด ชั้นบนสุดเป็นถังน้ำแข็งกับเครื่องดื่มสารพัดชนิดทั้งแบบเมาและไม่เมา เขาเปิดสปาร์กลิ้งไวน์กลิ่นผลไม้แบบที่ดีกรีไม่แรงมากให้ผม ส่วนของเขาก็เป็นไวน์ขาวโซวีญง บลองก์ที่เข้ากันได้ดีกับอาหารทะเล 

“ดื่มให้กับทิชาและความรักของเรา........”

“ชาดื่มให้พี่โรม แล้วก็คนบนฟ้าที่ทำให้เราสองคนได้มาเจอกัน”

งานฉลองของเราเริ่มต้นขึ้นแบบธรรมดาๆ ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเกินไปกว่าการดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมทะเล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่โรมทำให้ผมนั้น มันดีจนไม่รู้จะดียังไงได้มากกว่านี้อีกแล้ว.... แค่เขารักผม และช่วยให้ทุกคนรอบๆ ตัวเขารักและยอมรับผมด้วยมันก็ยิ่งกว่าความฝันที่เป็นจริง

“พี่สั่งแต่ของที่ทิชาชอบทั้งนั้นเลยนะ.... มีล็อบสเตอร์บิสค์กับหอยเชลล์ย่างเนยด้วย ล็อบสเตอร์กับหอยลายอบเนยกระเทียม กุ้งเผาปูเผาก็มี แล้วก็อันนี้ขาดไม่ได้ ซาชิมิแซลมอนของโปรดของแม่แมวกับลูกแมว”

“ยัยมิลค์ไม่สนใจแซลมอนแล้ว อยากได้ปูลมจนปากสั่นเลยเนี่ย”

เราคุยกันไปพลาง พี่โรมก็ทยอยเอาอาหารจากรถเข็นวางลงบนโต๊ะจนเกือบเต็มพื้นที่ เยอะเสียจนน่ากังวลว่าถ้ากินกันแค่สองคนหมดนี่มีหวังได้ท้องแตกแหงๆ แต่พูดแบบไม่อวยเลยนะ อาหารที่รีสอร์ทนี้อร่อยเกือบทุกอย่าง ผมพิสูจน์มาแล้วจากมื้อเย็นเมื่อวานและไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้า.... ผมว่าปกติผมเป็นคนกินน้อยนะ พี่โรมยังเคยบ่นเลยว่าผมกินข้าวเหมือนแมวดมและจะไม่พาผมไปร้านบุฟเฟ่ต์หมูกะทะอะไรแบบนี้เป็นอันขาด แต่วันนี้ผมกินมื้อนี้เป็นมื้อที่ห้า ไม่นับรวมขนมกับของว่าง ถ้ากลับกรุงเทพฯ แล้วยังตามใจปากอย่างนี้ต่อไป ผมคงต้องอ้วนเป็นหมูแน่ๆ

“ทิชา เปิดฝาเจ้าตัวนี้ให้พี่หน่อยสิ”

พี่โรมวานผมให้ช่วยแงะเปลือกหอยเชลล์ก่อนจะหันไปรินไวน์เพิ่ม ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะโดยทั่วไปแล้วหอยเชลล์ย่างมักจะเสิร์ฟแบบเปิดฝาด้านบนออกให้แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ

ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งผมมองเห็นแสงสะท้อนโลหะสีเงินกับเสียงก๊อกแก๊กลอดออกมาจากเปลือกหอยที่ปิดฝามาทั้งด้านบนและด้านล่าง



ไหนบอกว่าแค่ดินเนอร์เฉยๆ ไง

ไม่เห็นบอกกันเลยว่าจะเซอร์ไพรส์กันขนาดนี้



“โอย....เล่นแรงเกินไปแล้วนะ..........”

เหมือนหัวใจผมถูกโจมตีอย่างแรงเพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเปลือกหอยเชลล์ไม่ใช่เนื้อหอยทรงกลมเหนียวนุ่มแสนอร่อย หากแต่เป็นแหวนทองคำขาววงเกลี้ยงขึ้นรูปเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายอินฟินิตี้ที่ด้านในสลักคำว่า ‘Today , Tomorrow , Always’ สื่อให้รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ ตลอดมาและตลอดไป ผมจะเป็นคนเดียวที่เขารัก ดูแลและให้ความสำคัญตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ผมเงยขึ้นมองคนเจ้าเล่ห์ช่างคิด ดวงตาสีเข้มฉายชัดถึงความชอบอกชอบใจที่ได้เห็นผมตกใจจนหน้าเหวอมือไม้สั่นไปหมด.... ใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ อยู่ดีๆ ก็มีแหวนแทนใจโผล่มากะทันหันแบบนี้ แถมคนให้ยังยิ้มกริ่มมีความสุขที่แผนการทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดีอีกต่างหาก

“เซอร์ไพรส์เก่งมั้ย แฟนใครเอ่ย?”

“พี่โรมบ้า......โตแล้วนะ ชอบเล่นเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อย...........” 

ผมไม่ได้โกรธพี่โรมเลยสักนิด ออกจะยิ้มไม่หุบกับสิ่งที่เขาทำให้ด้วยซ้ำ แต่ต่อมน้ำตากลับตื้นขึ้นมาเสียอย่างนั้นเมื่อหัวใจถูกสั่นไหวด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่างปะปนกัน 

“พี่โรมอะ.......ฮึก......บ้า.........บ้าที่สุดเลย..............”

“อ้าว ร้องไห้ซะแล้ว.... พี่ไม่ได้รังแกเราเลยนะ” 

ร่างสูงใช้ปลายนิ้วปาดเกลี่ยหยดน้ำอุ่นให้พ้นไปจากหางตาผม น้ำเสียงหยอกเย้านุ่มนวลเช่นเดียวกับทุกการกระทำซึ่งแสดงออกว่าเขารักและใส่ใจผมแค่ไหน 

“ยิ้มหน่อยนะ ทิชาของพี่”

ผมว่าผมก็กำลังยิ้มอยู่แหละ แต่สงสัยว่าแรงสะอื้นจะทำให้ผมหน้าบิดเบี้ยวเหยเกจนพี่โรมมองไม่ออกว่าผมตื้นตันใจจนแทบพูดไม่ออก.... แหวนวงนั้นสงบนิ่งอยู่บนฝ่ามือของผม ข้อความด้านในถูกอ่านซ้ำเป็นครั้งที่ร้อยภายในช่วงเวลาไม่ถึงนาที มันยิ่งกว่าความประทับใจ มากกว่าความตราตรึง มหัศจรรย์จนเกินว่าจะเชื่อได้ว่ามีคนทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อผม.... เพื่อคนที่ถูกโลกทั้งใบหันหลังให้อย่างผม

“พี่โรมรู้ไหมว่านี่มันสำคัญกับชามากเหลือเกิน...........” 

พอรู้ตัวว่าร้องไห้แล้ว น้ำตากลับยิ่งไหลไม่ยอมหยุด ผมมองพี่โรม บอกให้เขาได้ยินว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้กลายเป็นคนรักอย่างสมบูรณ์แบบของเขา 

“สำคัญมากจริงๆ นะ.......ชาไม่คิดมาก่อนเลยว่าชาตินี้จะมีคนทำอะไรแบบนี้ให้.......มันสวยมากเลย........สวยที่สุด..........”

“เกียร์วิศวะฯ ที่ห้อยคอทิชาอยู่มันเป็นของที่ทิชาต้องพยายามเพื่อให้ได้มาครอบครอง แต่แหวนวงนี้ พี่ตั้งใจสั่งทำให้ทิชาโดยเฉพาะ.... และมันจะเป็นของทิชาคนเดียว ไม่มีใครมาแย่งไปได้”

ร่างหนาหยิบแหวนจากมือผมไปถือไว้เองก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า.... เขาบรรจงสวมแหวนให้ผมที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างทะนุถนอม สัมผัสจากเนื้อโลหะซึ่งโอบรอบข้อนิ้วไม่ได้เย็นเฉียบ หากแต่อบอุ่นอ่อนโยนราวกับแสงแดดยามเช้า แหวนวงนี้คือคำสาบานรักที่พี่โรมมีให้ผม ไม่ต้องเก็บความเสียใจเอาไว้แล้วคอยมองอยู่ห่างๆ ไม่ต้องอิจฉาใคร ไม่ต้องทะเลาะแย่งกับใคร ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรือเอาร่างกายเข้าแลกเพื่อให้ได้มันมา

ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากย้ำอีกครั้งและอีกครั้ง

พี่โรมรักผม....


“อันนี้ขอหมั้นไว้ก่อนนะ ไว้เรียนจบแล้วจะขอแต่งแบบเป็นทางการ.... จัดงานในโรงแรม เชิญพ่อแม่ ผู้ใหญ่กับเพื่อนๆ ทั้งฝั่งพี่แล้วก็ฝั่งทิชามาเป็นพยาน เอาให้รู้ไปทั้งโลกเลยว่าเราสองคนรักกัน”

ที่แท้เซอร์ไพรส์ที่พี่โรมเตรียมไว้ก็คืองานหมั้นเล็กๆ ที่มีแค่เรา ถึงแม้ว่าผมจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่อยากเรียกร้องอะไรจากเขาแล้ว แต่พี่โรมก็ช่างรู้วิธีที่จะทำให้ผมรักเขามากยิ่งขึ้นไปอีก

“ว่าแต่ทิชาจะแต่งกับพี่หรือเปล่าเนี่ย?”

“แต่งสิ.... พี่โรมนั่นแหละ พูดจริงหรือแค่อำเล่น?”

“จริงครับ”

“ไม่หลอกกันนะ”

“ไม่หลอกครับ”

พี่โรมกุมมือผมเอาไว้ด้วยสองมือของเขา ยกขึ้นมาประทับจูบเบาๆ ทว่า สั่นสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ แหวนเงินทอประกายล้อแสงจากโคมตะเกียง ระยิบระยับเหมือนดวงดาว.... ข้างในอกอุ่นซ่านและเบาหวิวยามเมื่อบรรยากาศแห่งความสุขอบอวลรายล้อม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหือดแห้งไป เหลือไว้เพียงรอยยิ้มซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าชีวิตอันแสนหดหู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกนั้นจะไม่หวนย้อนกลับมาหลอกหลอนทำร้ายผมอีก

“หมั้นแล้วหมั้นเลยนะ แหวนวงนี้ด้วย เปลี่ยนใจมาทวงคืนทีหลังก็ไม่คืนให้แล้วนะ”

“เด็กบ๊อง พี่ไม่ทวงคืนหรอกน่า” 

พี่โรมหัวเราะให้กับความขี้วิตกจริตของผม แต่ก็อย่างว่า ผมโดนมาเยอะ เจ็บมาเยอะ จะยังจำฝังใจก็ไม่แปลก 

“ให้แล้วให้เลย หัวใจพี่ก็เหมือนกัน”

มือข้างที่ถูกประทับจูบเมื่อกี้เลื่อนไปแตะบนอกซ้ายของร่างสูง ก้อนเนื้อเต้นไหวตุบตับจนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายก็กำลังอิ่มเอมกับช่วงเวลานี้ไม่แพ้กัน

“ทุกอย่างที่เป็นของพี่กลายเป็นของทิชาหมดแล้วนะ.... ห้ามทิ้งพี่ไปไหนด้วย ลูกผู้ชายร้องไห้มันดูไม่เท่เลย เข้าใจใช่ไหม”

“น่าเสียดาย ชายังไม่เคยเห็นพี่โรมร้องไห้เลยอะ”

ผมโถมตัวลงจากเก้าอี้ไปกอดร่างหนาเต็มแรงจนเราทั้งคู่ล้มลงคลุกพื้นทราย สภาพมอมแมมพอๆ กับยัยมิลค์ที่คว้าปูลมมาเหยียบไว้ใต้อุ้งเท้าจนได้.... ริมฝีปากของเราประกบเข้าหากัน แม้จะไม่ดูดดื่มร้อนแรงเหมือนเช่นทุกครั้งหากก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ล้นปริ่มออกมาจากหัวใจ ผมคงจะไม่ได้เห็นพี่โรมร้องไห้หรอกเพราะผมจะไม่มีวันจากเขาไป และเช่นเดียวกัน ผมก็คงจะไม่ได้ร้องไห้อีกแล้วตราบใดที่ยังมีพี่โรมอยู่ตรงนี้

มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท กลุ่มดาวกระจัดกระจายส่องแสงคล้ายมีคนจุดพลุฉลองให้กับการข้ามขั้นจากแฟน คนรัก ไปยังการเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน จากนี้ไปเราจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ซื่อสัตย์ ไม่ทอดทิ้ง เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและใจให้อีกฝ่ายเสมือนว่าเราคือคนๆ เดียวกัน

“พี่โรมว่าคืนนี้ฝนจะตกไหม?” 

ผมกระซิบถามพี่โรมเมื่อลมทะเลพัดมาวูบใหญ่ในตอนที่เรายังคงกอดกัน กลุ่มเมฆเริ่มเคลื่อนตัวหนาขึ้นจนแสงดาวถูกบัดบังไปส่วนหนึ่ง มือใหญ่ลูบหัวผมก่อนจะประคองให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม

“ไม่ตกหรอก พี่ดูพยากรณ์อากาศมาแล้ว”

ชายหนุ่มว่าพลางยกไอโฟนให้ผมดูว่าโอกาสที่ฝนจะตกในคืนนี้มีแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ลองว่าจะจัดงานหมั้นริมทะเลสุดโรแมนติก คนอย่างเขาจะไม่มีทางทำพลาดเพราะฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจเด็ดขาด

“เก่ง”

“แต่ถึงฝนจะตกจริง พี่ก็ไม่ยอมให้ทิชาเปียกหรอกนะ” 

ร่างหนาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปลิวมาปรกหน้าเพราะแรงลมออกให้ เมื่อไม่มีอะไรมาเกะกะสายตา รอยยิ้มแสนอ่อนโยนซึ่งปรากฏบนใบหน้าหล่อคมจึงซึมซับบันทึกลงสู่ห้วงความทรงจำของผมชัดเจนอย่างที่กล้องวิดิโอยี่ห้อไหนก็ทำไม่ได้ 

“พี่จะเป็นร่ม เป็นเสื้อกันฝน เป็นหลังคาที่จะปกป้องทิชาจากสายฝนให้เอง.... เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”

ผมยิ้ม.... ยิ้มสวยที่สุดซึ่งกลั่นออกมาจากหัวใจแล้วพยักหน้า



“ถ้ามีพี่โรมอยู่ด้วย ต่อให้เป็นพายุเฮอร์ริเคน ชาก็ไม่กลัว”


.


.


.


ในที่สุดยัยมิลค์ก็เบื่อปูลมแล้วกระโดดขึ้นมานั่งรออาหารบนเก้าอี้ ผมก็กลับไปฉีกเนื้อปลาป้อนลูกสาวแสนรู้ กินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ป้อนพี่โรมบ้าง พี่โรมป้อนผมบ้าง.... เสียงชัตเตอร์ดังเป็นระยะสลับกับเสียงพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุข เพื่อสร้างอัลบั้มรูปครอบครัวซึ่งมีเราสองคนกับอีกหนึ่งตัวอยู่ภายในนั้น มันจะเป็นอัลบั้มรูปครอบครัวเล่มแรกในชีวิตของผม คือตัวแทนความทรงจำที่บ่งบอกว่าเรื่องของพวกเราจะคงอยู่ต่อไปแบบ  ‘Today , Tomorrow , Always’

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง บอกลาพายุมรสุมซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมเสียน้ำตา หนาวเหน็บและคิดว่าตัวเองคงจะต้องตายจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง

แต่ไม่แล้วล่ะ เพราะท้องฟ้าที่พี่โรมสร้างให้ผมนั้นสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


.

.


.


และไม่ว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้หรือวันไหนๆ

ผมก็คงไม่ต้องหวาดกลัวสายฝนอีกต่อไปแล้ว....



+++++


ขอข้ามคู่สมุยเดือดไปก่อน คู่นั้นเอาไว้ตอนจบแล้วค่อยพูดถึงทีเดียว


อันนี้ก็เป็นฉากสุดท้ายของคู่แดนปาย feat. แดนทิชา ในส่วนของ Downpour

เป็นคู่ที่เราบอกได้เต็มที่เลยว่ายังไม่แฮปปี้ในเวลานี้แน่นอน (แต่หลายๆคนก็คงรู้แล้วว่าแดนกับพี่ปายจะมีบทบาทต่อไป รวมถึงมีตอนพิเศษของตัวเองด้วย) ก็ลองติดตามกันดูนะคะว่าไอ้แดนนรกของทิชากับพี่ปายคนดีจะได้สมรสสมรักกันหรือเปล่า

ขอพูดถึงเนื้อหาในฉากสุดท้ายของคู่นี้อีกนิดนึง

ก็อย่างที่เห็นเนอะว่านายแดนเลือกที่จะไม่ตัดใจจากทิชา ยอมเป็นเบ๊ถือของให้ทิชา นั่งมองเค้าเฉยๆ ดีกว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถแอบรักทิชาได้อีก.... ประมาณว่าถ้าแดนเลือกที่จะคบกับพี่ปาย การแอบรักทิชาก็จะไม่ใช่เรื่องดีอีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องปล่อยทิชาไป ซึ่งตรงนี้นายแดนยังข้ามกำแพงตรงนั้นไปไม่ได้

ที่ชวนพี่ปายไปสมุยด้วยกันก็คือความพยายามจะข้ามกำแพงในใจตัวเอง อยากจะมีความสุขเหมือนคนอื่น ( ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ใครจะอยากเป็นที่2ไปตลอดล่ะเนอะ) แต่จังหวะมันไม่ได้ แดนก็ไม่อยากฝืน เพราะอันที่จริงก็ไม่อยากจะเลิกรักทิชาอยู่แล้ว

พี่ปายก็ไม่ต่างอะไรจากแดน รู้ว่าแดนรักใคร ตัวเองเป็นที่2ก็ได้ ดีกว่าจะให้คนที่เรารักหายไปเลย

ถึงจะเป็นคู่ประกอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะสะท้อนความรักแบบคนกล้าได้ไม่กล้าเสียให้เห็นได้บ้างไม่มากก็น้อยเจ้าค่ะ



สำหรับอัพเดทนี้ก็จบบทบาทของบีบี๋ นังบี๋ หรืออีบี๋ ในเรื่อง Downpour แล้วค่ะ

นี่เป็นฉากสุดท้ายของบีบี๋ เฮียรุจ และพี่แจ็คคนดี

สำหรับพี่แจ็ค อาจจะมีกล่าวถึงต่ออีกนิดหน่อย เนื่องจากพี่เค้าเป็นเพื่อนรักของพี่โรม พี่เลยได้ไปต่อ แต่บีบี๋กับเฮียรุจ บทบาทหลักๆ ของทั้งคู่คือจบเท่านี้ ไม่มีต่อแล้วค่ะ ไม่มีตอนพิเศษ ในภาคต่อๆไปของจักรวาลโซนากีที่เราเคยเกริ่นในทวิตก็ไม่มีบทของบีบี๋กับเฮียรุจ (เท่าที่แพลนไว้ตอนนี้คือไม่มีค่ะ เหตุผลจะได้รู้ในบทส่งท้ายเด้ออออ)

หลายคนอาจจะยังสงสัยความสัมพันธ์ของบีบี๋กับเฮียรุจ.... ถามว่าเป็นแฟนหรือเป็นคนรักกันใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ค่ะ ทั้งสองคนแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ อยู่แบบที่เคยอยู่ เพราะคิดว่าไม่มีใครที่เหมาะกับตัวเองเท่าอีกฝ่ายอีกแล้ว แต่จะเป็นการคบแบบบอกรักกันจี๋จ๋า(แบบพี่โรมกับทิชา) อันนั้นไม่ใช่ค่ะ จุดเริ่มต้นมันไม่ใช่อะเนอะ

แต่ในอนาคต เค้าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันมั้ย ก็ขอให้เป็นจบแบบปลายเปิดแล้วแต่ใจคนอ่านจะจินตนาการแล้วกันเนอะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
~ บทส่งท้าย ~

ท้องฟ้าในวันที่ไม่มีสายฝน




เวลาผ่านไปหกปีกว่าแล้วนับจากพายุฝนลูกใหญ่ซึ่งพัดผ่านเข้ามาในตอนที่ผมอายุยี่สิบ....


เคยมีคนบอกเอาไว้ตามเพจคำคมสวยๆ ว่า บาดแผลในอดีตก็ไม่ต่างกับคราบสกปรกบนเสื้อผ้า มีทั้งซักออกได้และซักให้ตายก็ไม่มีทางออก

อยู่ที่ว่าเราจะเลือกวิธีจัดการกับมันยังไง.... บางคนก็ยังใส่เสื้อตัวเดิมโดยไม่สนใจว่ามันจะไม่สวยเหมือนเก่า ใครจะมองว่าซกมกก็ช่าง ขอแค่ใส่สบายก็พอ บางคนก็ยังใส่เสื้อตัวเดิมโดยที่ตีโพยตีพายไม่หยุดหย่อนว่าเพราะอะไรเสื้อฉันถึงต้องเลอะด้วย ทำไมผงซักฟอกถึงไม่สามารถช่วยขจัดคราบด่างพร้อยพวกนั้นได้หมดแบบในโฆษณา บางคนก็ช่างหัวแม่งทุกอย่างแล้วกำเงินไปซื้อเสื้อตัวใหม่ ทำราวกับว่าตัวเองไม่เคยมีเสื้อเลอะๆ ตัวนั้นมาก่อน

ต่างคนต่างความคิด ต่างกรรมต่างวาระ ไม่มีข้อไหนผิดและไม่มีข้อไหนถูก.... การตัดสินใจขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางความคิด อารมณ์ และการมองโลกในแง่มุมของคนๆ นั้น


แล้วคุณคิดว่า ทิชา ทิชนันท์ จะมองข้ามรอยแผลในหัวใจที่เคยหยั่งรากฝังลึกได้หรือเปล่า....?

.

.

.


“พี่โรม.... เดี๋ยวชาข้ามถนนไปรอฝั่งตรงข้ามก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องยูเทิร์นมา รถมันติด”

(ไม่เอา ถนนกว้างขนาดนี้จะข้ามมายังไง ทิชารอพี่อยู่หน้าตึกนั่นแหละ)

“อย่าเวอร์น่า สะพานลอยก็มี แค่นี้นะ”

ผมตัดบทแล้ววางสายไม่ให้คนขี้ห่วงแย้งอะไรกลับมาได้อีก ก่อนจะหอบข้าวของรวมถึงแปลนสเก็ตช์งานตกแต่งภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชั้นล็อบบี้ของตึกที่ผมเพิ่งเดินออกมาข้ามถนนสี่เลนย่านสุทธิสารไปอีกฝั่ง

ปกติแล้วผมมักจะไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าหรือแท็กซี่ หากเพราะวันนี้มีธุระที่เราทั้งคู่ต้องไปต่อ พี่โรมก็เลยต้องมารอรับหลังเสร็จงาน.... มันเป็นผลกระทบจากอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้ผมเข็ดขยาดหวาดระแวงการขับรถไปเลย ทีแรกแทบไม่กล้านั่งรถยนต์ที่ขับบนทางหลวงด้วยซ้ำ ทว่า หลังจากเข้ารับการบำบัดติดต่อกันเกือบสองปี ผมก็ไม่รู้สึกกลัวการนั่งรถอีกต่อไป แต่ไอ้เรื่องให้หยิบกุญแจมาขับเองให้ตายก็ไม่มีทาง ผมยอมซดน้ำมันเครื่องทั้งแกลลอนดีกว่าจะไปสติแตกทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางถนนก่อนจะจบลงด้วยการฟาดกับเสาไฟฟ้าอีกรอบ

พี่โรมก็เห็นด้วยกับการที่ผมจะไม่ขับรถอีก เขาทำหน้าที่รับส่งผมโดยไม่เคยปริปากบ่น ยิ่งตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการดีลเลอร์อะไหล่รถยนต์นำเข้าเองแล้วก็เลยค่อนข้างมีเวลามากขึ้นกว่าช่วงที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ซึ่งต้องไปหาประสบการณ์ในบริษัทประกอบรถยนต์ญี่ปุ่นที่รุ่นพี่แนะนำให้



ลืมบอกไป.... หลังจากผ่านการฝึกงานอย่างหนักหน่วงจนคว้าใบปริญญามาได้ในที่สุด ผมก็เข้าทำงานในบริษัทอินทีเรียเฮาส์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าของบริษัทเป็นรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยเดียวกันตกลงรับผมเข้ามาในตำแหน่งมัณฑนากรผ่านการฝากฝังจากอาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยปัญหาด้านสุขภาพร่างกายซึ่งเป็นผลพวงจากอุบัติเหตุคราวนั้น ผมจะเจ็บทุกครั้งที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ ส่วนใหญ่เลยมักจะได้รับผิดชอบเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ งานบิลด์อิน จัดวางเลย์เอาท์ ขึ้นแบบสามมิติด้วยโปรแกรมเสียมากกว่า ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ที่ช่วยให้ผมสามารถส่งไฟล์งานผ่านคลาวด์และประชุมกับทีมผ่านทีวีคอนเฟอร์เรนซ์หรือไลฟ์แชทได้ จะมีแค่ช่วงแรกๆ ของโปรเจกต์ที่ต้องเข้ามาดูหน้างานจริงเพื่อวัดขนาดพื้นที่ ถ่ายรูปเก็บข้อมูลไปลงรายละเอียดต่อ แล้วก็เข้าออฟฟิศอย่างมากเดือนละสอง-สามครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เคยอิดออดในหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว

ถึงจะไม่ใช่บริษัทมหาชนใหญ่โตมีชื่อเสียงอะไร แต่เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี รุ่นพี่ก็น่ารัก ผมจึงค่อนข้างแฮปปี้กับชีวิตการทำงานมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีงานเสริมเป็นจ๊อบฟรีแลนซ์เข้ามาให้ทำอยู่เนืองๆ บางทีก็เป็นงานออกแบบตกแต่งคอนโดฯ ร้านเค้กร้านกาแฟของเพื่อนแม่ บางทีก็เป็นงานรีโนเวตห้องพักในรีสอร์ทของทางบ้านพี่โรม หรือบางทีก็ได้งานจากไอ้แดนซึ่งไปลงหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างกับรุ่นพี่สถาปัตย์ มันออกแบบข้างนอก ผมออกแบบข้างใน ทำงานไปด้วยด่ากันไปด้วยก็สนุกไปอีกแบบ

ด้านชีวิตส่วนตัวของผมก็ราบรื่นดี ผมกับพี่โรมย้ายไปอยู่คอนโดฯ แห่งใหม่ฝั่งถนนสุขุมวิทติดสถานีรถไฟฟ้าซึ่งขนาดใหญ่กว่าที่เก่าซึ่งมีแค่หนึ่งห้องนอน แต่ผมก็ยังไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดฯ เหมือนสมัยเรียน เจอแม่บ้าง ไม่เจอบ้างก็แล้วแต่จังหวะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้จะเจอบ่อยขึ้นเพราะแม่รับงานในวงการน้อยลงมาก ไม่มีเดินสายรีวิวสินค้าออกอีเวนท์เรื่อยเปื่อยอะไรทำนองนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่งานละครของช่องป้าอิ๋วกับช่องหลักก็ไม่รับเลย.... ช่วงวันหยุดยาว ผมกับแม่ก็มักจะย้ายสำมะโนครัวไปพักผ่อนกันที่รีสอร์ททะเลภาคใต้ เปลี่ยนไปนอนเล่นน้ำเกาะนู้นทีเกาะนี้ทีแล้วแต่ลูกเขยสุดที่รักของแม่จะจัดให้

ปลายปีนี้เรามีแพลนจะไปเที่ยวยุโรปกันทั้งบ้านผมและบ้านพี่โรม ก็กำลังเลือกอยู่ว่าจะไปกับทัวร์เจ้าไหนดี ครั้งล่าสุดที่คุยกันได้ยินป๊าพี่โรมกำชับมาว่าราคาเท่าไรไม่เกี่ยง แต่ทัวร์ต้องบริการดีที่สุด มีรถรับส่งตลอดทริปเพราะผมเดินเยอะไม่ค่อยไหว ก็เกรงใจท่านอยู่เหมือนกัน แต่ก็แอบดีใจที่ป๊าม๊ายินดีต้อนรับผมเข้าไปเป็นสมาชิกครอบครัวเขาอย่างเต็มตัว

ผมไม่ได้ตกลงเซ็นเอกสารเป็นลูกบุญธรรมของป๊ากับม๊า เพราะไม่อยากให้ญาติๆ ฝั่งเขาหรือใครครหาได้ว่าผมกับแม่หวังจะมีส่วนในสมบัติของบ้านอนุวัฒน์วงษ์ แต่ทันทีที่พวกท่านทราบเรื่องที่บ้านใหญ่ยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้ผมเปลี่ยนนามสกุล ป๊ากับม๊าก็บอกให้ผมเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกับพี่โรมเสียให้หมดเรื่องหมดราว ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ ณ จุดนั้น

สำหรับทางฝั่งบ้านพ่อ ตั้งแต่ผมเปลี่ยนนามสกุลมาใช้อนุวัฒน์วงษ์ พวกเขาก็ไม่ได้มายุ่มย่ามวุ่นวายกับผมอีก ผมมีคอนโดฯ ซอยหลังสวนกับเงินที่พ่อโอนเข้าบัญชีให้เป็นก้อนสุดท้ายก็คือจบ หลังจากนี้ผมกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะเรียกร้องเอาอะไร แม้กระทั่งสิทธิ์ในพินัยกรรม ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเจอกันอีกทีก็คงเป็นงานศพของใครสักคนนั่นแหละ.... ถึงจะเสียใจนิดหน่อยที่พ่อรักผมน้อยเกินกว่าจะทัดทานคำขาดจากญาติๆ ในบ้านใหญ่ซึ่งต้องการให้ผมเปลี่ยนนามสกุลและออกจากตระกูลทิพยศักดิ์เสนาไป แต่ผมก็โตพอที่จะเข้าใจว่าบางครั้งคนเราก็สั่งให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการไม่ได้ ผมจึงเลิกตั้งคำถาม เลิกโทษว่าตัวเองคือต้นเหตุความเฮงซวยของเรื่องราวทั้งหมด และมีความสุขให้มากๆ กับชีวิตในปัจจุบันแทน



“ตากแดดมาร้อนล่ะสิ.... ชามะนาวครับคุณ”

เมื่อผมแทรกตัวเข้ามาในรถ พี่โรมก็ส่งชามะนาวยี่ห้อโปรดแช่เย็นเจี๊ยบที่เขาเพิ่งแวะซื้อจากร้านสะดวกซื้อให้ เป็นความใส่ใจเสมอต้นเสมอปลายที่คนรักมีให้ผม แม้จะผ่านมาเกือบเจ็ดปีที่คบกันแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

“รู้ใจอีกละ” 

ผมยิ้มรับพลางเปิดฝาขวด ยิ่งข้างนอกอากาศร้อนตับแตก มาได้เครื่องดื่มหวานอร่อยเติมน้ำตาลเข้าเส้นเลือดก็ค่อยยังชั่ว

“ไม่รู้ใจทิชาแล้วจะให้พี่ไปรู้ใจใคร”

คนตัวสูงยักคิ้วให้ในทำนองว่ามันแน่อยู่แล้ว ก่อนที่บีเอ็มดับบลิวสีดำจะแล่นฝ่าการจราจรไปยังจุดหมายที่เราสองคนตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า



เมื่อกี้ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่โรมลาออกจากบริษัทที่เข้าไปทำตอนแรกแล้วมาเปิดกิจการดีลเลอร์ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์รายย่อยเป็นของตัวเอง จริงๆ แล้วก็ไม่เชิงว่าเป็นของตัวเองทั้งหมดหรอก แค่พี่โรมเป็นหุ้นใหญ่ มีรุ่นพี่อีกคนลงเงินเป็นหุ้นเล็กและพี่แจ็คลงแรง.... กิจการรีสอร์ทของที่บ้านก็ยังคงมีป๊าม๊าเป็นผู้บริหารหลัก สองแฝดมิลานกับเวนิสจะเริ่มเข้ามารับช่วงต่อหลังเรียนจบปริญญาโท พี่โรมก็แค่ออกความเห็นบ้างแต่ไม่เข้าไปมีบทบาทเยอะเพราะเขารักที่จะทำในสิ่งที่ชอบมากกว่า

บริษัทดีลเลอร์ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ค่อยๆ เติบโตไปทีละก้าวอย่างไม่เร่งรีบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกลูกเศรษฐีเงินหนาที่ชอบเล่นรถแต่ง ซูเปอร์คาร์อะไรเทือกๆ นี้ ซื้อมาขายไปพ่วงบริการช่วยเลือกอะไหล่ออปชั่นที่เฟี้ยวที่สุดในสยามประเทศ ตลอดจนเข้าไปเซอร์วิสช่วยคุมช่างซ่อมบำรุงสากกระเบือยันเรือรบ.... ยิ่งพอลูกค้ารู้แบ็คกราวน์ว่าลูกชายบ้านอนุวัฒน์วงษ์ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่แล้วในวงสังคมเปิดบริษัทนี้ขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองกับเพื่อนๆ คุณชายไฮโซลูกหลานไฮซ้อก็ยิ่งให้ความไว้วางใจที่จะใช้บริการ ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานขั้นแรกพอสมควร

นอกจากนี้ พี่โรมยังมีงานอดิเรกที่ใครรู้ก็ต้องอึ้งทึ่งเสียวอ้าปากค้างไปสิบวิ เพราะเขาคือแอดมินเพจ ‘พ่อบ้านกับสาวน้อย’ อันแสนโด่งดังในโลกโซเชียล ยอดกดไลค์ติดตามกว่าครึ่งล้าน เนื้อหาในเพจก็คือกิจวัตรประจำวันของพี่โรมกับยัยมิลค์ (ซึ่งถ้านับตามอายุแมวก็ควรจะเป็นคุณป้ามิลค์มากกว่าสาวน้อย) ไม่ว่าจะโยนปลาทูแคทนิปใส่กันอยู่ในบ้าน แต่งชุดคอสเพลย์ หรือพากันออกไปเดินเล่นข้างนอก

พี่โรมแกถ่ายรูปถ่ายคลิปอัพเดทให้แฟนคลับยัยมิลค์ได้กรี๊ดกร๊าดวันละสามเวลาหลังอาหาร ถึงจะเคยได้ยินว่าครึ่งหนึ่งของคนที่กดไลค์นั้นอยากติดตามคุณพ่อบ้านมากกว่าแม่สาวน้อยก็เถอะ สาม-สี่เดือนก็มีไปออกอีเวนท์การกุศลช่วยหาเงินบริจาคให้มูลนิธิแมวจรสักครั้งหนึ่ง.... เพราะทำแล้วมีประโยชน์แถมได้ช่วยเหลือสังคม ผมก็เลยไฟเขียวให้สองพ่อลูกสนุกกันได้เต็มที่

.


.


.


เย็นวันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดผู้บริหารช่องเอ็มที่โรงแรมห้าดาวย่านสาทร ดารานักแสดงทุกคน ตลอดจนคนที่เคยร่วมงานกับทางช่องต่างก็ได้รับเชิญให้ไปแสดงความยินดีกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือกัน.... ถึงแม้ผมจะต้องถอนตัวออกจากซีรีส์กลางคันเพราะอุบัติเหตุ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับเข้าวงการบันเทิงอีก แต่ประธานบอร์ดบริหารช่องกับป้าอิ๋วก็ยังให้ความเมตตาเอ็นดูผมอยู่เสมอในฐานะที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน อีกทั้งยังให้เกียรติเชิญมาร่วมงานเป็นตัวแทนแม่นิดาซึ่งวันนี้มีออกกองต่างจังหวัดของละครอีกช่องหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ผมกับพี่โรมก็เลยต้องมาเลือกของขวัญสำหรับแสดงความยินดีในห้างไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดฯ เรา เสร็จแล้วก็แวะหาข้าวกินให้เรียบร้อยก่อนจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปงานในตอนหัวค่ำ

ผมบอกว่าอยากกินสุกี้ พี่โรมก็ตามใจไม่ขัดเลยสักแอะ เมื่อเข้าไปนั่งประจำที่ ผมก็จัดแจงวางถุงของขวัญซึ่งห่อกระดาษติดริบบิ้นอย่างดีไว้ข้างตัว เพียงแต่ภายในถุงไม่ได้มีของเพียงแค่กล่องเดียวแบบที่ควรจะเป็น

“อีกกล่องนึงนั่นอะไร?”

“อ๋อ นี่ของขวัญวันเกิดไอ้บี๋น่ะ.... พอดีอาทิตย์หน้าวันเกิดมัน” 

ผมบอกความจริงตามตรงไม่มีปิดบัง

“ก็แค่เมาส์ปากกาเอาไว้ให้มันใช้ทำงาน ไม่ได้แพงอะไรหรอก”

“แล้วจะเอาไปให้ที่เชียงใหม่เลยเหรอ หรือส่งไปรษณีย์ไป?”

“เดี๋ยวชาถ่ายรูปส่งให้มันดูก่อน ไว้มีโอกาสเจอเมื่อไรค่อยให้ก็ได้”

พี่โรมพยักหน้ารับรู้โดยที่ไม่ขัดผมอีกเช่นเคย เขาคงเข้าใจแหละว่ายังไงผมกับบีบี๋ก็เคยสนิทกันมาก ถึงจะห่างกันไปแล้วนับตั้งแต่มันย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นโดยไม่บอกผมสักคำ แต่ความเป็นเพื่อนก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด และความห่วงใยก็ยังคงมีให้เสมอตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่



พูดถึงบีบี๋.... เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้เจอมันมาเกือบปีแล้วล่ะ

ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของพี่โรมที่ไปพูดใส่หน้ามันตอนผมยังไม่ฟื้นว่าอย่ามายุ่งกับผมอีก เพราะในเวลานั้นทุกคนต่างก็สติแตกโยนกันไปโยนกันมาว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมขับรถชนเสาไฟฟ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้บี๋มันรู้สึกผิดและเสียใจจนไม่กล้าสู้หน้าผม.... นัดเจอก็ไม่ค่อยยอมออกมา ต้องบังคับบ้างอะไรบ้างอยู่เรื่อย แล้วทุกครั้งที่คุยกันมันก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ผมเกือบตาย ถึงรอดมาได้แต่แข้งขาก็ไม่ดีเหมือนเดิม

ผมเองก็เคยโกรธมันนะ เวลาที่ต้องทำกายภาพบำบัดซ้ำๆ หรือเวลาที่ปวดขาก็มักจะแอบคิดอยู่เรื่อยว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาเจอเรื่องบ้าบอห่าเหวพรรค์นี้ด้วย หากสุดท้ายก็ต้องทำใจแล้วลืมๆ มันไปซะ โกรธไปก็เท่านั้น ถึงขาจะเจ็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตผมจะฉิบหายสักหน่อย อย่างน้อยก็มีพี่โรม มียัยมิลค์ มีแม่ แล้วก็ป๊าม๊าที่คอยดูแล แล้วจะเสียใจไปทำไมหนักหนา

กลับมาพูดถึงบีบี๋ต่ออีกนิด.... ตั้งแต่ผมกลับมาพักฟื้นที่คอนโดฯ ผมเข้าใจว่ามันยังไปเรียนตามปกติโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว จนกระทั่งเห็นมันอัพรูปงานที่ทำส่งอาจารย์ลงในไอจี ผมถึงได้ตงิดใจว่านี่มันวิชาอะไรก็เลยส่งข้อความไดเร็คไปถาม มันเลยต้องสารภาพว่าลาออกเทียบโอนหน่วยกิตไปมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง.... ได้ยินพี่แจ็คเล่าให้ฟังว่าพี่รุจเป็นคนส่งเสียให้มันได้เรียนนิเทศศิลป์ สาขามัลติมีเดียอาร์ตอย่างที่ชอบ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของมันแล้วล่ะมั้งที่ไม่ต้องฝืนใจกับอะไรที่ไม่ชอบและไม่ถนัดอีก

มันไม่เคยบอกผมหรือใครๆ ว่าอยู่กับพี่รุจในสถานะไหน แต่ผมคิดว่ามันน่าจะโอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วล่ะ.... ร้านเบอร์ลิคเพิ่งปิดกิจการถาวรไปเมื่อสองปีก่อนหลังจากที่บีบี๋เรียนจบ พวกวิศวะฯ แยกย้ายเปลี่ยนแหล่งชุมนุม ระบบเกียร์และกฏเหล็กกลายเป็นแค่เรื่องเล่าขานกันในหมู่รุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามา ส่วนพี่รุจกับบีบี๋ก็ย้ายไปซื้อบ้านอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ ไม่แน่ใจว่าคราวนี้พี่รุจทำงานอะไร ผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย แต่ไอ้บี๋เพื่อนผมเป็นนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์แล้วก็สอนพิเศษศิลปะให้เด็กๆ หลังเลิกเรียนและในวันเสาร์-อาทิตย์

ตอนจบของนิยายน้ำเน่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่ได้เห็นท้องฟ้าสดใสหลังพายุฝนผ่านพ้นไป ผมคิดว่าบีบี๋ก็คงเป็นเหมือนกัน

ถึงแม้บางสิ่งที่เสียไปจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม แต่เราทั้งคู่ต่างก็เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากบาดแผลที่ทิ้งไว้ให้กันและกัน


และไม่ว่าใครจะพูดว่าร้ายยังไง ไอ้บี๋ก็ยังเป็นคนแรกที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’ อยู่เช่นเดิม

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ตอนที่ผมกับพี่โรมมาถึง ห้องแกรนด์บอลรูมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานของช่องเอ็มก็มีแขกเหรื่อมาจนเรียกได้ว่าคับคั่ง กองทัพนักข่าวยืนออกันอยู่เต็มทางเข้าเพื่อถ่ายรูปดารากับป้ายแบ็คดร็อป กว่าจะเบียดเสียดเข้าไปเซ็นชื่ออวยพรและวางของขวัญได้ก็เหนื่อยเอาการ โชคดีที่ไม่ค่อยมีใครจำผมได้ หลังจากผ่านพิธีแสดงความยินดีตามมารยาทก็สามารถเดินเข้างานได้แบบสบายๆ

“ทิชา ทางนี้!”

คนแรกที่เรียกผมพร้อมทั้งโบกมือให้ก็คือพี่ปาย เขารีบเดินเข้ามาทักทายก่อนจะกอดผมด้วยความคิดถึงตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“ไม่เจอทิชาตั้งหลายปี ยังดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ.... น่ารักเหมือนเดิม”

พี่ปายมองสำรวจพลางจับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาจนพอใจ เสียงแหบหวานเอ่ยชมแล้วชมอีกเสียจนผมต้องรีบส่ายหน้าบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้น บอกตามตรงว่าเวลาโดนคนหน้าตาดีมากๆ แบบเขาพูดชมนี่มันชวนให้รู้สึกจักจี้ยังไงพิกล  ถึงแม้ว่าพี่ปายจะไม่ได้เสแสร้งแกล้งชมตามมารยาทก็เถอะ

“พี่ปายเองก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะครับ ขนาดผมไม่ค่อยได้ดูทีวียังเห็นหน้าพี่แทบทุกวัน”

“ฟังพูดเข้า ก็นิดหน่อยน่า”

เจ้าตัวยิ้มเขิน ยกมือขึ้นเกาต้นคอเก็บอาการปลื้มกับฉายาซูเปอร์สตาร์รุ่นใหม่ของเมืองไทย แต่ก็อย่างที่ผมบอกเมื่อกี้ ไม่ว่าจะเปิดโทรทัศน์ไปช่องไหนก็ต้องได้เห็นพี่ปายทุกชั่วโมง ถ้าไม่ใช่ละครก็โฆษณา เห็นข่าวแว้บๆ ว่าละครเรื่องใหม่พีเรียดฟอร์มยักษ์ของเขาเพิ่งเปิดกล้อง มิหนำซ้ำทุนสร้างยังมากกว่าห้าสิบล้านด้วย

“แล้วนี่พี่ปายมากับใครครับ ภัทรเหรอ?”

ร่างโปร่งบางอมยิ้มก่อนจะปฏิเสธ 

“ไม่ใช่หรอก ภัทรเขามากับพุดดิ้งน่ะ”

“งั้นก็พี่โรส?”

ทีแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวซึ่งดูแลพี่ปายมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ แต่เขาก็ยังปฏิเสธด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ผมก็เลยเดาออกทันทีว่าบุคคลที่ทำให้ดาราเบอร์ต้นของวงการบันเทิงไทยปลื้มปริ่มมีความสุขหัวใจพองโตได้ขนาดนี้คือใคร

“รู้ละ มากับไอ้แดนแน่ๆ”

“ใช่.... วันนี้แดนไปรับพี่ที่บ้านล่ะ”

พี่ปายก็ยังคงเป็นพี่ปาย ถ้าเป็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับไอ้แดนก็ทำเขายิ้มเล็กยิ้มน้อยเหมือนเด็กวัยรุ่นแรกรักได้ตลอด.... ประเด็นคือจนป่านนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ปายกับไอ้แดนก็ยังไม่ชัดเจน แม้กระทั่งผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงทั้งคู่จะเอายังไงกันแน่ แต่ถ้าพี่ปายเขาแฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ ผมก็ไม่บังอาจไปวิจารณ์หรือพูดว่าเขาควรทำแบบไหนอย่างไรหรอก



เล่าเรื่องพี่ปายสักนิด.... ช่วงที่ผมเพิ่งฟื้นหลังจากที่หลับไปห้าวันเต็มๆ เมื่อป๊าพี่โรมช่วยทำเรื่องย้ายตัวผมมารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้ว นอกจากแม่ผมกับครอบครัวพี่โรมและไอ้แดน พี่ปายเป็นหนึ่งในคนที่มาเยี่ยมผมบ่อยที่สุดเลย ตอนนั้นสงครามคิวท์บอยเปิดกล้องแล้ว แต่พี่ปายก็ยังพยายามมาทุกครั้งที่ไม่มีคิวถ่าย.... ตอนแรกผมก็สงสัยปนระแวงว่าเขาจะมาทำไมบ่อยๆ ในเมื่อผมกับเขาก็ใช่ว่าจะสนิทสนมรักใคร่กันมากมาย ทำดีหวังผลหรือเปล่า ทำนองว่าผูกมิตรกับผมเพื่อหาโอกาสใกล้ชิดไอ้แดนอะไรประมาณนี้

แต่เมื่อได้คุยเปิดใจกับเขาจริงจังในฐานะเพื่อน ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลย แล้วผมก็รู้สึกแย่ด้วยที่เผลอคิดกับพี่ปายในแง่ร้าย.... คนๆ นี้เป็นคนดีมาก อ่อนโยนและมีน้ำใจ ดีเสียจนถ้าผมเป็นฝ่ายรุก ผมก็คงจีบเขาเองไปแล้วล่ะ

พูดถึงเรื่องงาน หลังจบสงครามคิวท์บอย พี่ปายก็ดังเปรี้ยงแซงหน้าดารารุ่นเดียวกันและได้รับรางวัลดาวรุ่งในปีนั้นจากทุกสถาบัน คะแนนโหวตทิ้งห่างคู่แข่งชนิดไม่เห็นฝุ่น.... ซึ่งผมว่าก็สมควรแล้วเพราะพี่ปายมุ่งมั่นตั้งใจจะมาทางสายนี้ตั้งแต่แรก ดีกว่าให้ผมแย่งบทที่เขาควรจะได้เล่นไปแล้วก็จบด้วยการหันหลังให้วงการบันเทิง ทิ้งโอกาสที่คนอีกนับแสนนับล้านอยากได้ไปแบบสูญเปล่า

แต่ถึงจะลัคกี้อินเกม ผมกลับไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเมื่อไรพี่ปายจะลัคกี้อินเลิฟกับคนที่เขาทุ่มเทความรักให้อยู่ฝ่ายเดียว....

พี่ปายไม่เคยบอกผมหรอกว่าเขาชอบไอ้แดน ไอ้แดนก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นอะไรที่รู้กันโดยไม่ต้องพูดล่ะมั้ง.... เหมือนเขาไม่กล้าแตะต้องหรือเอาตัวเข้ามามีส่วนในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้แดน เขาไม่เคยแสดงท่าทีโกรธเคืองที่แดนกับผมสนิทกัน ไม่เคยทำท่าน้อยใจเวลาที่แดนให้ความสำคัญกับเรื่องของผมมากกว่าเขา.... ในหลายๆ ครั้ง ผมก็เห็นนะว่าไอ้แดนมันใจร้ายกับพี่ปายแค่ไหน แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อทั้งสองคนพอใจจะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป

ความรักไม่ใช่แค่ฝ่ายหนึ่งเริ่มแล้วอีกฝ่ายจะต้องสนองตอบทันทีเสมอไป บางทีก็ต้องใช้เวลาและความพยายามในการจูนตัวเองเข้าสู่วงโคจรของเป้าหมาย ผมเข้าใจทฤษฎีนี้ดียิ่งกว่าหลักการออกแบบตกแต่งภายในเบื้องต้นเสียอีก

ก็ได้แต่หวังว่าพี่ปายเขาจะโชคดีเหมือนผมในวันใดวันหนึ่งล่ะนะ....




“ทิชา~ ทำไมมึงมาช้าจัง?”

พูดถึงหมา หมาก็รีบเดินหน้าแป้นแล้นมาเชียว....

“กูคิดถึงมึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งห้าวันแล้ว~”

นายแดน ดรัณภพ เดือนสถาปัตย์ในตำนานเดินมากอดล็อกคอผมจากทางด้านหลัง ลากเสียงยานคางอ้อนง้องแง้งไม่ต่างจากสมัยเรียนชวนให้อยากยกเท้าขึ้นถีบต่อหน้าธารกำนัล แต่คงไม่ต้องลำบากถึงผมหรอกเพราะบอดี้การ์ดร่างยักษ์ที่ผมหนีบมาด้วยเขาจัดการกับไอ้เหาฉลามนี่ให้แล้ว

“เฮ้ย ทำอะไรเกรงใจกูด้วย!” 

พี่โรมไม่เตือนแกมขู่แค่ปากเปล่า แต่มือยังกระชากหลังคอเสื้อญาติผู้น้องดึงให้ถอยห่างออกจากผมอย่างไม่ปรานีปราศัย

“เฮียจะมาทำไมเนี่ย.... เคยเป็นดาราเหรอ เขาไม่ได้เชิญสักหน่อย!”

ไอ้แดนก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ ถ้าเป็นเรื่องของผมล่ะก็ มันพร้อมจะกวนตีนพี่ชายได้ตลอด ผ่านมาหก-เจ็ดปีแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา

“ก็มากันมึงออกจากเมียกูไง!” 

ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไร เพราะให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางเล่นด้วย แต่พี่โรมก็มักจะหัวเสียเวลาเห็นไอ้แดนมาเกาะแกะผม เมื่อก่อนเป็นศัตรูหัวใจกันก็เคยต่อยฟาดปากกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผมกับพี่โรมอยู่ด้วยกันแบบเป็นทางการ ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้และเห็นดีเห็นงามด้วยแต่ไอ้แดนก็ไม่ยอมล้มหายตายจากไปไหนสักที.... เขาทั้งสาปแช่ง ทั้งอวยพรให้ไอ้น้องเวรรีบๆ มีเมียเป็นของตัวเองจะได้เลิกติดผม ทว่า ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ 

“หนังหน้ามึงก็ออกจะดี ไม่มีปัญญาหาเมียเองหรือไงวะ มายุ่งกับทิชาอยู่ได้!”

“รอเฮียเผลอไง อย่าเผลอก็แล้วกัน.... ผมขอบัตรคิวเบอร์แรกจากไอ้ทิชาไว้ละ ไม่เชื่อถามมันดูก็ได้นะ”

“หยุดเลย พี่น้องตีกันเองก็ไม่ต้องลากกูเข้าไปเกี่ยว!”

ผมด่าด้วยความเอือมระอา พี่โรมกับไอ้แดนเจอหน้ากันทีไรก็มีอันต้องฮึ่มแฮ่ใส่กันแบบนี้ตลอด ถึงพวกเขาจะไม่เลือดร้อนต่อยกันไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมแบบตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นก็เถอะ แต่ถึงจะเป็นวัยผู้ใหญ่อายุยี่สิบกลางๆ พี่โรมก็ยังคงหึงแรงหวงแรง แล้วไอ้แดนก็ยังเพียรพยายามวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมเช่นเดิม



ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแดนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไร มันยังคงวิ่งตามผมไปทุกหนแห่งแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรกๆ ผมก็เคยถามนะว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะถึงยังไงผมก็ไม่เลิกกับพี่โรมอย่างแน่นอน แถมในตอนนี้ผมก็เปลี่ยนนามสกุลเข้าบ้านอนุวัฒน์วงษ์ไปแล้ว แม้จะไม่มีผลทางกฎหมายแต่ก็เป็นที่รับรู้ในหมู่เครือญาติว่าผมคือพี่สะใภ้ของมัน.... ไอ้แดนก็แค่หัวเราะแล้วบอกว่ารักแรกนั้นแยกยาก ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากไล่มันให้เปลืองน้ำลายเพราะมันไม่คิดจะไปไหน แต่ถ้ามันอยากไปและพร้อมจะไปเมื่อไรมันก็จะไปเอง

ก็อย่างที่เห็นว่าผ่านมาหก-เจ็ดปี นายดรัณภพขี้ตื๊อก็ไม่หายหัวไปไหน ยังอยู่กวนใจให้ผมด่าอยู่เรื่อย แต่ในฐานะเพื่อน เราก็สนิทกันมากและไอ้แดนก็ช่างแสนดีแสนประเสริฐกับผมมากจริงๆ

เรื่องที่ยังไม่ได้เล่าก็คือ ผมต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลถึงสามเดือนเต็ม จากนั้นก็กลับมาพักฟื้นเพื่อทำกายภาพบำบัดต่ออีกร่วมๆ ครึ่งปี เรียกได้ว่าดร็อปเรียนไปหนึ่งปีเต็มเพื่อพักรักษาตัวกว่าจะเดินร่อนไปตามถนนได้เหมือนอย่างคนทั่วไป.... นอกจากพี่โรมแล้วก็มีไอ้แดนนี่แหละที่คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง ไปรับไปส่งเวลาที่พี่โรมติดงาน แบกของหนักๆ ให้ กดลิฟท์ ตึกไหนไม่มีลิฟท์ก็ประคองผมขึ้นบันไดไปส่งถึงหน้าห้องเรียนแล้วก็มารอรับกลับทั้งที่งานคณะมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย เป็นอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบหลักสูตรห้าปีของมันและสี่ปีของผม

พูดถึงงานในวงการบันเทิง ไอ้แดนไม่ได้เซ็นสัญญาต่อกับช่องเอ็มหรือโมเดลลิ่งไหนแม้ว่าละครจะดังมากในระดับหนึ่งก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเน็ตไอดอลอัพเดทชีวิตตัวเองและทักทายแฟนๆ ในอินสตราแกรมอยู่เสมอ นานทีปีหนก็มีรับงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างถ่ายแบบเดินแบบบ้าง ทำแค่พอให้แฟนคลับเห็นหน้าหายคิดถึง ส่วนงานละครซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือน มันก็ไม่ได้รับอีก พอเรียนจบก็ลงหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างกับรุ่นพี่ในคณะและรุ่นพี่วิศวะฯ โยธา เวลาอยากได้อินทีเรียมาช่วยก็จ้างให้ผมทำฟรีแลนซ์ให้มัน

เมื่อมองย้อนกลับไป จากคนที่แค่เห็นหน้าก็อยากเดินหนีไปไกลๆ ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าผมกับไอ้แดนจะมีวันนี้ได้ ถึงมันจะยังคงงี่เง่าเอาแต่ใจ ชอบงอนฟาดหัวฟาดหางเวลาที่สู้พี่โรมไม่ได้ แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสำหรับผม แม้ว่าผมจะไม่เคยตอบแทนอะไรในแบบที่มันต้องการเลยสักครั้งเดียวก็ตาม....



“ทีมสงครามคิวท์บอย เชิญทางนี้หน่อยครับ”

เสียงตากล้องเรียกถ่ายรูปหมู่ดังมาจากอีกมุมหนึ่ง ทั้งพี่ปาย ภัทร แล้วก็คนอื่นๆ ที่ผมรู้จักดีต่างเข้าไปรวมกลุ่มอย่างกระตือรือร้นด้วยความที่ไม่ได้เจอกันมานาน แน่นอนว่าไอ้แดนก็ควรต้องไปถ่ายรูปกับเขาในฐานะพระเอก และผมซึ่งถอนตัวออกไปแล้วจึงถือว่าเป็นคนนอกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับละครเรื่องนี้

แต่ทว่า ไอ้แดนกลับรั้งมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“จะไปไหนวะ ไม่ไปถ่ายรูปด้วยกันเรอะ?”

“กูไม่น่าเกี่ยวมั้ง........” 

ผมบอกอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ถึงแม้พระเอกของเรื่องจะอยากให้ผมไปด้วยกัน หากก็กลัวว่าถ้าโผล่เข้าไปเสนอหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วจะทำให้ใครบางคนรำคาญใจ แต่แล้วคำพูดซึ่งบ่งบอกว่าผมยังมีความหมายสำหรับพวกเขาเสมอก็ดังเข้าหู หัวใจก็เลยพองโตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“แดน ทิชา มาทางนี้เร็ว.... ถ่ายรูปกัน”

“ทิชา มายืนตรงนี้มา พวกเราเว้นที่ข้างหน้าให้แล้วเนี่ย”

“เห็นไหม.... ถึงตัวมึงจะไม่อยู่ แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมเสมอนะ”

พอได้ยินเช่นนั้น ผมถึงได้ใจชื้นแล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับคนคุ้นหน้าคุ้นตา ยิ้มกว้างๆ ให้กับกล้องถ่ายรูปซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยเกลียดนักเกลียดหนา.... คืนนั้น แฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย #แดนทิชา #แดนปาย กลับมาติดเทรนด์อีกครั้งในรอบหลายปี ก็น่าดีใจนะที่มิตรภาพและการกลับมาพบกันของพวกเราทำให้คนจำนวนนับหมื่นนับแสนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมีความสุขนอนหลับฝันดีได้

อีกเรื่องที่ผมได้เรียนรู้เมื่อช่วงเวลาแห่งมรสุมผ่านพ้นไปก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าแย่จนจะเป็นจะตายในตอนนั้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย อาจเพราะทุกคนต่างก็เติบโตขึ้น อารมณ์เกลียดขี้หน้าหมั่นไส้กันแบบเด็กๆ ก็ถูกความเป็นผู้ใหญ่กลืนหายไปจนหมดแล้วก็ได้มั้ง

เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมไม่รู้สึกว่าโดนใครเกลียดหรืออคติตั้งแง่ใส่ด้วยความผิดที่ผมไม่ได้เป็นคนก่ออีกแล้วล่ะ....



“เหนื่อยไหม คนขอถ่ายรูปด้วยเยอะเชียว”

ใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วโมงกว่าที่ผมจะได้กลับมาหาพี่โรมอีกครั้ง เพราะที่นี่ไม่มีชาวมะนาวเสิร์ฟ ร่างสูงก็เลยหยิบน้ำอัดลมเตรียมเอาไว้ให้แทน

“อืม.... หายไปตั้งหลายปี อุตส่าห์คิดว่าจะไม่มีใครจำได้แล้วนะ”

“ทิชา ทิชนันท์ คนดัง แค่เสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอประวัติตั้งแต่เด็กจนโต.... ใครจะไปลืมได้ง่ายๆ กันล่ะ” 

พี่โรมแกล้งล้อผม ถึงผมจะถอนตัวจากซีรีส์และไม่ได้มีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิง แต่พูดก็พูดเถอะ ทุกวันนี้เวลาไปกินข้าวดูหนังในห้างก็ยังมีอดีตแฟนคลับเข้ามาทักทายผมอยู่เรื่อย สงสัยที่พี่โรมพูดว่าพวกเขาลืมผมไม่ลงก็น่าจะจริงล่ะมั้ง

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแขกเหรื่อจะทยอยกลับ แม้จะเป็นงานปาร์ตี้วันเกิดผู้บริหารช่อง แต่ส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นดาราเซเลบริตี้ ไหนจะเอ็นจอยกินดื่มพูดคุยกัน คงต้องรอสักประมาณห้าทุ่ม-เที่ยงคืนถึงจะได้ฤกษ์แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน.... ถ้าเป็นงานทั่วไป ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการรอเวลาหรอก แต่นี่ดันเป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทล โต๊ะเก้าอี้ที่นั่งมีอยู่จำกัด ยืนได้แค่ชั่วโมง-สองชั่วโมง ขาผมซึ่งข้างในมีท่อนเหล็กดามกระดูกก็เริ่มอุทธรณ์ ส่งความปวดเมื่อยนิดๆ มาให้ผมหน้าตึงเปรี๊ยะ ยิ้มไม่ค่อยออกเวลาที่มีคนเดินเข้ามาทักทาย

“ออกไปนั่งพักข้างนอกกันไหม อีกสักพักค่อยกลับเข้ามาใหม่”

“อืม”

พี่โรมสังเกตเห็นว่าผมไม่โอเค เขาจึงชวนให้ออกไปนั่งพักตรงริมสระน้ำด้านนอก ผมตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เพราะขืนให้ยืนต่อไปเรื่อยๆ จนจบงาน มีหวังพรุ่งนี้ได้ร้องโอดโอยลุกขึ้นมาทำงานไม่ไหวแน่


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“เป็นไงบ้าง? รู้สึกสบายขึ้นแล้วเนอะ?”

เมื่อประคองกันออกมาจนถึงสระว่ายน้ำ พี่โรมก็ให้ผมนั่งลง ถอดรองเท้าแล้วพาดขาวางบนหน้าตักเขาก่อนจะบีบนวดผ่อนคลายความปวดเมื่อยให้ตามวิธีที่คุณหมอเคยสอน เพียงไม่นาน อาการที่ทำให้ผมทรมานจนอยากจะทิ้งตัวลงพื้นก็บรรเทาเบาบางลง สีหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษถ่ายเอกสารเริ่มกลับมาซับสีเลือดฝาด ยิ่งได้จิบน้ำแอปเปิ้ลซึ่งหยิบติดมือมาจากในงานก็ยิ่งค่อยยังชั่ว

“ดีขึ้นเยอะเลย” 

ผมตอบทั้งที่ยังเหยียดแข้งเหยียดขาให้เขานวด รู้สึกเป็นบุญหัวตัวเองเหลือเกินที่มีคนรักอย่างเขา 

“จริงๆ แล้วเพราะหมอนวดหล่อ ใส่สูทด้วย หุ่นก็ดี๊ดี ชาก็เลยหายปวดขาเร็ว.........”

“ทิชาจะเต๊าะพี่เหรอ?”

พี่โรมขำพรืด คงคิดไม่ถึงว่าผมจะกล้าเล่นมุกจีบกันเองแบบที่เขาชอบเล่นเป็นประจำ แต่ทิชาคนเรียบร้อยพูดน้อยก็ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่ผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะเต๊าะเขาคืนบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร

“ก็วันนี้พี่โรมหล่อจริงๆ นี่ เมื่อกี้แอบเห็นนะว่ามีแก๊งค์นางแบบจ้องพี่อย่างกับจะจับกินเข้าไป.... แฟนใครก็ไม่รู้ ทั้งหล่อ ทั้งแสนดี แถมยังโคตรเจนเทิลแมน เห็นแล้วอยากได้ เห็นกี่ครั้งก็ยังอยากได้อยู่เหมือนเดิม”

“ก็ได้แล้วนี่ไง ยังจะเอาอะไรอีก หืม”

สงสัยว่าจะเมาน้ำแอปเปิ้ลเลยพูดเยอะไปหน่อย พี่โรมก็เลยยื่นหน้ามาจูบปิดปากผมให้เงียบเสียง.... ตอนแรกก็แค่จูบธรรมดา แต่ทำไปทำมาก็ชักเพลินเลยขยี้ริมฝีปากเข้าหากันแรงขึ้น สลับกับดูดดึงเล็กๆ พอให้มันเขี้ยวอยากขย้ำอีกฝ่ายให้หนำใจเมื่อกลับถึงคอนโดฯ หากเพราะสติสัมชัญญะยังครบถ้วนจึงรู้ตัวดีกันทั้งคู่ว่าจะต้องเก็บอาการเอาไว้บ้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนั่งพิงไหล่กัน มองแสงไฟข้างใต้สระว่ายน้ำในขณะที่ลมเย็นๆ พัดมาช่วยให้ปลอดโปร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

ถึงแม้ว่าเรื่องราวในอดีตจะล่วงเลยมานานมากแล้ว แต่เมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานที่เดิม บรรยากาศคล้ายคลึงกัน มันก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่พี่โรมเคยพูดกับผมในวันที่เรายังไม่ได้รักกันไม่ได้

ถูกแล้ว.... ที่โรงแรมแห่งนี้ ที่ริมสระน้ำแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการตะเกียกตะกายไขว่คว้าความรักซึ่งผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มันมา

“พี่โรม.... จำครั้งแรกที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันได้หรือเปล่า?”

“จำได้สิ”

ร่างสูงตอบพลางเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมไว้ สันจมูกโด่งกดลงตรงข้างขมับอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่รู้ว่าพี่โรมจะเคยนึกเสียใจบ้างไหมที่ความรักของเราไม่ได้เริ่มต้นด้วยความปกติสุขเหมือนเช่นคู่อื่นๆ

“ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ พี่โรมจะยังปฏิเสธคำสารภาพรักของชาอยู่ไหม?”

ผมแค่ถามเล่นไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยนะ แต่พี่โรมดูจะจริงจังกับการตอบมากเลยทีเดียว มือใหญ่บีบต้นแขนผมเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดให้ดี ทันใดนั้น ดวงตาสีเหล็กกล้าที่สุดแสนจะน่าหลงใหลก็ปรากฏภาพใบหน้าของผมเองสะท้อนไหวระริกอยู่ภายใน

“พี่เองก็เคยคิดนะว่าอยากจะย้อนเวลากลับไป อยากเป็นคนแรกที่ได้เจอทิชาก่อนใคร เป็นคนแรกที่ทิชาจะพูดคำว่ารักให้ได้ยิน แต่ถ้าให้คิดอีกที พี่ว่าพี่ไม่ขอเปลี่ยนแปลงอะไรเลยดีกว่า.........”

“ทำไมล่ะ?”

เรียวคิ้วผมขมวดชิดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งพี่โรมใช้ต้องใช้ปลายนิ้วนวดวนให้มันคลายตัวออก แต่กระนั้นก็ยังไม่ช่วยให้ความสงสัยใคร่รู้หายไป

“เพราะว่าเราเคยเจ็บปวด เคยเสียใจ เคยรู้ว่าความผิดหวังและความน่ากลัวจากการที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างมันเป็นยังไง เรื่องเลวร้ายพวกนั้นมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราทะนุถนอมความรู้สึกและให้ความสำคัญต่อกันมากขึ้น.... พี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพี่ได้ทิชามาง่ายๆ ก็จะทิ้งไปง่ายๆ แบบนั้นนะ แต่ก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเราขนาดนี้” 

ถึงจะตัวโตน่ากลัว ดูเป็นผู้ชายหยาบๆ ไม่ค่อยละเอียดอ่อนสักเท่าไร แต่นอกจากผมแล้วคงไม่มีใครรู้ว่าพี่โรมคือคนที่คิดอะไรลึกซึ้งมาก การกระทำของเขาทุกอย่างล้วนมีความหมาย คำพูดก็เช่นกัน 

“ดังนั้น พี่เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย อดีตผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป พี่มีความสุขดีกับการที่มีทิชาอยู่ตรงนี้ ดีใจที่ได้ร่วมสร้างอนาคตไปพร้อมกับทิชา.... แล้วทิชาล่ะ คิดแบบเดียวกันกับพี่ไหมครับ?”

“นั่นสินะ.... ถ้าไม่เคยเจอพายุ แล้วเราเราจะรู้ได้ยังไงว่าฟ้าหลังฝนมันสวย”

จริงอย่างที่พี่โรมว่านั่นแหละ สมมติว่าถ้าผมได้เขามาง่ายๆ หากวันไหนเกิดถูกทิ้งขึ้นมาก็คงลงเอยเหมือนบรรดาแฟนเก่าใจหมาคือลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำร่วมกันมาไปให้หมด ก่อนจะเริ่มต้นมองหาความเจ็บปวดครั้งใหม่ไม่รู้จักจบสิ้นโดยที่ไม่ได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

“แต่เพื่อความสบายใจแล้วก็ถือว่าล้างคำสาปไปในตัว ในสถานที่เดียวกันแห่งนี้ พี่ขอเป็นฝ่ายสารภาพรักกับทิชาก่อนก็แล้วกัน...........”

ยังไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็โน้มตัวลงมาจูบผมอีกครั้ง.... เพียงแค่จูบบางเบา ทว่า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปตามกระแสเลือด นำพาให้หัวใจเต้นแรง เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันในร้านกาแฟ เหมือนครั้งแรกที่เขาออกหน้าปกป้องผมต่อหน้าทุกคน เหมือนครั้งแรกที่เขาถอดเสื้อช็อปยื่นส่งให้ เหมือนครั้งแรกที่เขาชมว่าผมน่ารัก เหมือนครั้งแรกที่เขาขอแอดไอดีไลน์และส่งข้อความแชทมาหา



และเหมือนครั้งแรกที่ผมตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง

เพียงแต่ตอนนี้ ผมไม่ได้รักเขาข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว



“รักนะครับ ทิชาคนดีของพี่”


ผมได้ยินเขาบอกรักชัดเจนมาก และเสียงหัวใจผมก็เต้นดังไม่ต่างไปจากเดิม

เพราะความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นมั่นคงมาตลอด



“อืม.... ชาก็รักพี่โรมเหมือนกัน”







Downpour

~ ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ~



END
[/size][/b]



+++++



TALK



ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำว่า END ลงไปสักที

ก็จบเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับ DOWNPOUR ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน หรือที่ส่วนใหญ่เรียกกันว่า #โซนากีJY ตามชื่อแท็ก



ความรู้สึกตอนที่พิมพ์ประโยคสุดท้ายของเรื่องนี้คือปริ่มมาก อารมณ์แบบในที่สุดก็ส่งน้องทิชาถึงฝั่งเสียที หลังจากที่เรือโคลงเคลงมานาน ก็หวังว่าจะเป็นตอนจบและบทสรุปในแบบที่ผู้อ่านรอคอยเช่นกันนะคะ


อันที่จริงแล้วมีอะไรที่อยากพูดถึงค่อนข้างเยอะเลย แต่พอถึงเวลาที่จะต้องบอกลาจริงๆ กลับนึกไม่ออก แหะๆ


ตัวละครหลักของเรื่องอย่างน้องทิชา เป็นตัวละครแบบที่เราชอบ จะเรียกเป็นนายเอกในอุดมคติของเราก็ได้.... เท่าที่อ่านฟีดแบค เคยเห็นหลายคนคิดว่าน้องเป็นนายเอกสายเยลลี่ นุ่มนิ่มน่ารัก น่ารังแก แต่ถ้าพิจารณาดีๆ แล้ว น้องเป็นคนที่โคตรสู้ รักแรงมาก เกลียดแรงมาก ถ้าไม่สนใจคือไม่อยู่ในสายตาเลย แล้วก็ไม่ใช่ใครจะมารังแกน้องได้ง่ายๆ อันนี้เราว่าเราใส่ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยนะ เวลาทิชาไม่พอใจแล้วด่าเนี่ย 55555+

แต่น้องเป็นคนอ่อนไหวง่ายกับคนที่น้องแคร์ อย่างแม่ พ่อ พี่โรม คือถ้าน้องรักแล้วก็คือรัก ยอมได้ทุกอย่าง (แต่อย่าทำให้โมโห) ในตอนกลางเรื่องก็จะเพิ่มแดนมาอีกคนที่ทิชาแคร์มาก

อาจจะไม่ใช่นายเอกแนวฟีลกู๊ดสักเท่าไร แต่ทิชาก็มีเสน่ห์ในแบบของน้องแหละเนอะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รักน้องมากๆ 55555+


พี่โรม พ่อคนดีศรีสุราษฎร์.... พ่อเป็นพระเอกที่ อืมมมมม จะว่าโง่ก็โง่แหละ แต่เอาจริงๆ เราว่าเราเจอผู้ชายซื่อบื้อแบบพี่เค้าในชีวิตจริงบ่อยมาก ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกแอ๊บแบ๊ว บางทีก็ทันแต่ต้องรักษาภาพก็เลยยังคีปความสัมพันธ์ไว้ ดีกับคนนอกจนหลงลืมคนใกล้ตัว แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เราใส่ภาพพจน์ของผู้ชายแบบพระเอกที่ดีไว้ในอีกด้านนึงของเค้า รักเมีย หลงเมีย ใครร้ายกับเมียพี่ พี่ก็ไม่ทน

ก่อนหน้าที่พี่โรมจะมาเจอทิชากับบีบี๋ เขาก็มีชีวิตเรียบง่ายมาตลอดแหละ เจอมาเจอเพื่อนรักเพื่อนร้ายคู่นี้ พี่ก็มีการอีโวในรูปแบบต่างๆ

ถึงจะไม่ใช่พระเอกที่แสนดีมาตั้งแต่แรก แต่ก็หวังว่าร่างอีโวสุดท้ายในตอนจบของพี่โรมจะสามารถเรียกคะแนนจากแฟนนานุแฟนได้บ้างนะคะ



ตัวละครหลักอื่นๆ อย่าง แดน บีบี๋ เฮียรุจ พี่ปาย ก็พูดถึงไปตั้งแต่ตอนที่แล้วเนอะ ต่างคนก็ไปมีชีวิตของตัวเอง บางคนก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับทิชาและพี่โรมอยู่ แต่บางคนก็ไม่แล้ว คิดว่าบทสรุปในบทส่งท้ายจะทำให้เห็นชีวิตของบรรดาคู่รองทั้งหลายชัดเจนขึ้น



ในเรื่องของการเขียน

อย่างที่เคยบอกเมื่อตอนเริ่มเรื่องใหม่ๆ ว่านี่เป็นผลงานชิ้นแรกของเราที่เขียนให้ตัวละครเป็นคนไทย ดำเนินเรื่องในไทย จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่ชินกับบทสนทนาและมุกแบบไทยๆ สักเท่าไร

ถ้ามีสะดุดตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ เราจะนำไปปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อไปค่ะ ยังได้เจอกันอีกแน่นอน ทั้งจักรวาลโซนากีอีก2เรื่องที่วางแผนไว้ และเรื่องอื่นๆ



ขอบคุณมากเลยนะคะที่ติดตามกันมาจนถึงเอนทรี่นี้ เราดีใจมากทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนท์ หรือได้เห็นทวิตติดแท็ก #โซนากีJY

เสียงตอบรับจากคนอ่านคือกำลังใจชั้นดีของเราจริงๆ ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้ง



สำหรับครั้งสุดท้ายนี้ก็อยากขอแรงทุกคนช่วยคอมเมนท์ส่งท้ายให้นิดนึงนะคะ จะในเล้าหรือในทวิตก็ได้ บอกเราสักหน่อยว่าคุณรู้สึกยังไงกับนิยายทั้ง21ตอนยาวๆ ของเรา

ขอบคุณล่วงหน้าพร้อมไหว้งามๆ เลยค่ะ



อ่าาาาา เรื่องรวมเล่ม รบกวนรอข่าวนิดนึงนะคะ ถ้ามีรายละเอียดที่แน่นอนแล้ว เราจะมาประกาศให้ทราบค่ะ แต่รับรองว่าทุกคนได้เปย์และอ่านตอนพิเศษหวานๆ ชัวร์



ถ้าเป็นเรื่องฟิค เราจะอัพเดทที่แอคทวิตเตอร์ @SweetAlice_KT ค่ะ



ต้องไปแล้ว

ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่อยู่ด้วยกันจนถึงประโยคสุดท้าย ขอบคุณที่รักน้องทิชา ขอบคุณที่รักพี่โรม ขอบคุณที่รักแดน ขอบคุณที่รัก DOWNPOUR ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน



ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆค่ะ



Alice

24 June 2018

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-06-2018 10:14:55 โดย SweetAlice0701 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สนุกมากค่ะ รู้สึกอินไปกับตัวละคร เวลาเศร้าก็เศร้าไปด้วย อยากเอาใจช่วยตลอด ถึงแม้จะแอบคิดว่าอีโวสุดท้ายของพี่โรมจะหาได้ยากมากก็ตามที 5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอบคุณไรท์มากๆเลยนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องอื่นๆนะคะ

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เย้ อบคุณมากๆนะคะ ที่เขียนเรื่องราวของน้องทิชากับพี่โรมออกมาให้ได้อ่านกัน แอบเสียใจที่บี๋กับเฮีคจะไม่มีภาคต่อแต่ในใจเรามโนให้เฮียกลัวน้องบี๋และต้องชดใช้กรรมด้วยการล้างจาน ซักผ้าให้น้องไปแล้วค่ะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รักเรื่องนี้มาก มันจริงดี ตอนแรกก็แอบไม่ชอบทิชา แต่หลังๆนี่หลงแล้วหลงอีก เลยเข้าใจอีพี่โรมเลย ฮ่าๆ จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ ใจหายมากเลย จบแล้ว :katai4: ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ PanGii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หลากหลายอารมณ์สุดๆ เรียกน้ำตาได้หลายลิตรเลยค่ะ
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบ ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย

รักนางมิลค์สุดทั้งเรื่อง อิอิ
ชอบความดาร์คของตัวละครแต่ละตัว เล่าออกมาได้ไม่เกินจริงไม่เว่อร์ไป

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จบแล้วว ดีใจที่ทิชาผ่านฝนหลายๆครั้งมาได้ ทิชาเข้มแข็งมาก เป็นเราเองที่ร้องไห้แทน  ชอบตัวละครทุกคนเลย รู้สึกได้ว่าเราสามารถเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีดี มีร้ายปะปนกันไป ขอบคุณที่เขียนนิยายๆดีมาให้อ่านนะคะ จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปค่ะ #รักยัยมิ้ลค์

ออฟไลน์ evil_kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆดีๆให้อ่านนะคะ
นี่ใช้เวลาอ่าน 2 วันจบ ยาวมากกกก ตอนแรกเห็น20ตอน เลยคิดว่าแป๊บเดียวก็อ่านจบ ที่ไหนได้แต่ละตอนยาวมากกก 555

ส่วนตัวเราชอบคาร์แรกเตอร์ของทิชากับบีบี๋มากเลยนะ 2 คนนี้เหมาะจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายจริงๆนั่นแหละ
ยิ่งอ่านช่วงกลางเรื่ิองไป เรากลับเชียร์ให้บี๋มีความสุขมากกว่าทิชาอีกนะ 555

เราจะรอรวมเล่มเรื่องนี้นะคะ อยากอ่านตอนพิเศษหวานๆของพี่โรมทิชาค่ะ ^_^

ออนไลน์ Nattarat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านทีเดียวรวดเลยค่ะ ชอบตัวละครทิชามาก รักมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง แอบเชียร์ทั้ง โรมทิชา และ แดนทิชาเลย เพราะรู้สึกว่าแดนก้อเหมาะสมกับทิชาดีนะ แต่โรมก้อดีค่ะ แต่ไม่อยากให้แดนคู่กับปายเลย ไม่ชอบตัวละครชื่อปายเลยค่ะ รู้สึกฟิน โรมทิชา กับแดนทิชามากกว่า รักตัวละคร 3 ตัวนี้ค่ะ ทิชา โรม แดน ส่วนเรื่องครอบครัวฝั่งพ่อของทิชา ไม่คิดเลยว่า พ่อจะต้องทำถึงขนาดนี้ ให้เปลี่ยนนามสกุล พยายามตัดทิชาออกจากทุกอย่างเลย เคยคิดสงสารลูกบ้างมั้ย ไม่เห็นว่าบ้านใหญ่จะรับกรรมอะไรบ้างเลยที่ทำแบบนี้กับทิชา แต่ชีวิตจริงก้อมีเรื่องแบบนี้ให้เห็นเยอะแยะเหมือนกันค่ะ แต่จบแบบแฮปปี้แบบนี้ก้อดีมากๆ แล้วค่ะ ตอนอ่านช่วงแรกน้ำตานี่ไหลตลอดเลย คิดหยุ่ว่าตอนจบทิชาจะเป็นอย่างไร แต่ดีใจค่ะ ที่จบแบบว่าทิชาแฮปปี้ ส่วนตัวแล้วไม่ว่าทิชาจะคู่กับเฮียโรม หรือ แดนนรก ก้อได้หมดเลยค่ะ

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
สนุกมากๆค่ะ
อ่านตอนแรกๆเจอนายเอกใช้วิธีแย่ๆแย่งแฟนเพื่อนทั้งที่ผู้ชายเขาบอกแล้วว่าไม่เอา ก็ชักจะไม่ชอบแล้ว มาเจอพระเอกใจโลเลอีก เฮ้ย บายดีกว่ามั้ยเรื่องนี้ แต่การผูกเรื่องยังสนุกเลยอ่านต่อ ไปๆมาๆทั้งพระ-นายดีขึ้น หวานขึ้น ตอนจบจบดีมากประทับใจค่ะ

คู่รุจบี๋ โหด ร้าย ทารุณ หาความหวานไม่เจอ สงสารบี๋มาก บทลงโทษความตอแหลขี้อิจฉาของน้องมันรุนแรงเหลือเกิน แต่อ่านสรุปท้ายเรื่ิองเหมือนว่าฟ้าหลังฝนสมชื่อเรื่องล่ะค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เห้ยย เราพลาดตอนจบเรื่องนี้ไปได้ยังไง ทั้งๆที่เราตามอ่านตามลุ้นอยู่แท้ๆ ตอนที่กดเข้ามาอ่านคือหวังดราม่านายเอกโดนรังแก และพออ่านไปถึงได้เห็นว่าทุกตัวละครมีความร้ายอยู่ในตัวหมดแต่ใครจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับระบบความคิดของคนนั้นๆ ไม่รู้นักเขียนจะลงตอนพิเศษให้มั้ยแต่ก็อยากอ่านความหวานของคู่นี้เยอะๆนะ เพราะกว่าจะลงตัวนี่เห็นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
โอ้ยยยย ช่วงแรกเป็นช่วงที่เราอ่านแล้วดาวน์มาก ดราม่าขั้นสุด อ่านไปถอนหายใจไป น้ำตาคลอ บอกเลยว่าปูฐานของตัวละครได้ดีเลยค่ะ ให้เราค่อย ๆ รู้จัก ตัวละครและปม คือดี o13

ช่วงที่สองนี่เต็มไปด้วยความเกรี่ยวกราด เกลียดทุกตัวละคร อะไรจะขนาดนั้นนน 555  :katai4:

ช่วงหลัง แอบลุ้นให้แดนเทิร์นเป็นพระเอกจริง ๆ ค่ะ เรือผี ก็เป็นเรือผีต่อไป .. ทุกอย่างมันพันกันไปหมด อ่านแล้วรู้สึกเรื่องมันยืด ๆ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครดีค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านไปบุ้นไปเกือบทั้งเรือง คิดแบบอะไรมันจะหน่วงขนาดน้านแต่ก็ชอบอะมันดูมีสตอรี่น่าติดตาม
ดีใจที่จบลงด้วยดี แม้บางทีจะแอบนอกใจไป แดนทิชา บ้างก็ตาม

 :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ weapons_space

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ และสนุกมาก รอติดต่มผลงานนะครับ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ nuch-p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 345
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :m31: เขียนได้ดีมากค่าา ติดตามๆ :3123:

ออฟไลน์ cirrus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง //ไรท์ดูPD101ปะคะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หน่วงมาก แต่ก้อชอบมาก ร้องไห้ไปหลายรอบ ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆ รอเรื่องใหม่จ้า  :pig4:

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด