พิมพ์หน้านี้ - ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: SweetAlice0701 ที่ 05-11-2017 22:34:53

หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 05-11-2017 22:34:53
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน
By SweetAlice0701

(https://imgur.com/a/f9Zrs)


ผมเคยมองโลกนี้เป็นสีดำสนิท
เป็นโลกเน่าๆ แสนโสมมที่ไม่มีรักแท้อยู่จริงเหมือนในละคร
ผมจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบที่ไม่ต่างจากรูปปั้น ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก พยายามเฉยเมยเคยชินกับความต่ำทรามที่คนรอบข้างมักทำกับผม
 
จนกระทั่งวันที่เขาคนนั้นเดินเข้ามา
ผมถึงได้รู้ว่าหัวใจที่คิดว่าด้านชาไปนานแล้วมันยังคงมีเลือดเนื้อไหลเวียนอยู่ และมันก็เป็นเลือดชั่วเหมือนอย่างที่ผมชี้นิ้วด่าคนอื่นว่าน่ารังเกียจนั่นละ
 
เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีอะไรสักอย่างบนโลกนี้ที่ผมเกลียดที่สุด
 ....ก็อาจจะเป็นตัวของผมเองล่ะมั้ง....


INDEX

CH 00 (Intro) : จุดเริ่มต้นของฝนกระหน่ำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63529.msg3731748#msg3731748)
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 00 [ 05/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 05-11-2017 22:44:24
0
~ จุดเริ่มต้นของฝนกระหน่ำ ~


EakEak : อีกสิบนาทีถึงร้าน ถ้าทิชามาถึงแล้วเข้าไปนั่งรอเลยนะครับ ^^
Tisha_950701 : ok  *สติ๊กเกอร์*
Eak : รอน้าาาาาา~



ผมเดินเข้ามาในร้านสตาร์บัคหน้าคณะบริหารธุรกิจ ด้วยความที่ข้ามเขตมาไกลจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอีกฟากหนึ่งของมหาวิทยาลัย ผมจึงค่อนข้างประหม่าและรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่มีคนพลุกพล่านอยู่พอควร แต่เพราะพี่เอกบอกว่าจะมารับผมที่นี่เนื่องจากลานจอดรถแถวนี้หาง่ายกว่า ผมถึงได้ยอมออกจากแดนสนธยาที่เรียกว่าคณะศิลปกรรมศาสตร์มาอยู่ในเขตเมืองมนุษย์


แม้ผมจะจำศีลเก็บตัวอยู่แต่ในคณะ แต่บอกได้เลยว่าผู้คนในนี้ส่วนใหญ่รู้จักผมกันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครลุกขึ้นมาทักทายอะไรหรอก แต่ผมบอกได้จากสายตาที่พวกเขามองมาตั้งแต่ตอนที่ผมเปิดประตูร้านแล้ว



อึดอัดฉิบหาย เวรเอ๊ย....!



“ชาเขียวปั่นแก้วเล็กหวานน้อยครับ”

“ใส่วิปครีมไหมคะ?”

“ไม่ครับ”

ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ผมก็เหมือนเด็กบ้านๆ ทั่วไป ขนาดเมนูสตาร์บัคชื่อเรียกยากๆ ฟังดูไฮโซยังสั่งไม่เป็นเลย เคยอ่านกระทู้พันทิปที่มีคนถามวิธีการสั่งก็ยังจำไม่ค่อยได้ จะมา Frappuccino แก้วไซส์ Tall , Venti , Grande มีหวังได้ลิ้นพันกันตายตรงหน้าเคาท์เตอร์พอดี สั่งง่ายๆ เหมือนสั่งน้ำปั่นร้านรถเข็นแหละดีแล้ว

ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็มายืนรอเรียกคิวรับของ ระหว่างนั้นก็คิดอะไรเพลินๆ เกี่ยวกับคู่นัดของตัวเองในวันนี้....

พี่เอก ปีสี่ คณะบริหารธุรกิจ เป็นคนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ก็สักราวๆ สอง-สามเดือนนี้เอง ย้อนกลับไปงานโอเพ่นเฮาส์ของคณะ พวกรุ่นพี่ในภาคจับผมไปแต่งตัวเป็นตุ๊กตานั่งเรียกแขกอยู่หน้าบูธแข่งกับน้องแพรวแห่งภาคแฟชั่นดีไซน์ แล้วน้องของพี่เอกก็ตั้งใจจะสอบเข้าภาคอินทีเรียอยู่แล้วก็เลยลากพี่ชายมาเดินดูงานเป็นเพื่อน.... เพราะงั้นแหละ เราถึงได้เริ่มคุยกัน

พี่เอกเป็นคนหน้าตาดีมาก ดีแบบที่สามารถไปเป็นดารานายแบบได้สบาย (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาคือเดือนคณะปีสี่) ซ้ำยังเป็นคนหล่อที่รู้จักบริหารเสน่ห์ตามประสาพวกที่รู้ว่าตัวเองมีดีตรงไหน.... เขาไม่ลังเลที่จะขอไลน์ผม ส่งข้อความมาขอบคุณที่ผมช่วยแนะนำเรื่องการสอบเข้าให้น้องชาย แล้วก็คอลมาชวนไปกินข้าวในเย็นวันนั้นเหมือนรู้ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางปฏิเสธ ซึ่งมันก็จริง ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมแค่แปบเดียว ผมก็ใจอ่อนยอมตกลงรับนัดเขาอย่างง่ายดาย

บอกอย่างไม่อายเลยว่า ผมรู้สึกชอบเขา.... ชอบที่เขาให้ความสนใจผม (ในทางที่ดี) ทุกครั้งที่คุยกัน เขาจะบอกเสมอว่าผมน่ารักเหมือนลูกแมว ผมคือคนที่เขาตามหามานาน แล้วเขาก็อยากให้ผมเป็นลูกแมวน้อยของเขาคนเดียว

มีครั้งแรกก็ย่อมต้องมีครั้งที่สอง จากแค่นัดกินข้าวก็เริ่มกลายเป็นดูหนัง จากดูหนังก็กลายเป็นไปนอนเล่นที่คอนโดของพี่เอก เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรา จากที่ผมแค่ยอมคุยด้วยก็กลายเป็นยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว ยอมให้จับมือ ยอมให้หอมแก้ม จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่ผมยอมปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างมันเลยเถิดไปอย่างรวดเร็ว.... นั่นคือผมยอมให้พี่เอกมีอะไรด้วย

ก็ถ้าเขาอยากให้ผมเป็นลูกแมวน้อยของเขา ผมก็จะเป็น....

พี่เอกไม่ใช่รักแรกของผมหรอก กว่าจะอยู่รอดมาจนอายุครบยี่สิบ ผมก็โดนมาเยอะเจ็บมาแยะ แต่ถ้าคุณถามว่าผมคาดหวังอะไรจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน.... บางทีผมอาจกำลังหน้าโง่ไขว่คว้าอะไรที่มันไม่น่าจะมีอยู่จริงก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหวังว่าพี่เอกจะสามารถให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้
   

ผม......อยากได้รับจากความรัก........

จากใครสักคนที่รักผมจริง.......

   


“ขอโทษนะคะ”

ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียก ทีแรกผมนึกว่าเป็นพนักงานมาตามให้ไปรับชาเขียวปั่นที่สั่งไว้ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่

คนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นผู้หญิงสวมชุดนักศึกษาแน่นเปรี๊ยะ ผมทองยาวสลวย แต่งหน้าจัดแต่มองแวบเดียวก็เห็นชัดเลยว่าสวยระดับดาวมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าผมไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักผมเป็นอย่างดี

“นี่น้องทิชา ปีสอง คณะสินกำใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ.........”  ผมตอบรับอย่างงงๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนรู้จักเยอะแต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้ามาทักผมตรงๆ โดยเฉพาะกับเพศตรงข้าม

แต่ทันทีที่รุ่นพี่สาวแน่ใจว่าทักถูกคน ไม่ผิดฝาผิดตัว รอยยิ้มนางฟ้าบนใบหน้าสวยก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแสยะน่าเกลียดราวกับแม่มดใจร้ายในนิทาน

“มีนา อย่านะ!!!”

อีกเสียงหนึ่งที่ดังกว่าแทรกเข้ามาในโสตประสาท ทว่า มันกลับหยุดยั้งอะไรไม่ได้เสียแล้ว


ซ่า!!!!


ซิกเนเจอร์ช็อกโกแลตเย็นหนึ่งแก้วใหญ่พร้อมด้วยน้ำแข็งราดลงกลางหัวผมเหมือนฝนห่าใหญ่ เสียงน้ำกระจายตัวดังกลบทุกสิ่งจนสมองของผมอื้ออึงไปหมด แว่วๆ ว่าได้ยินใครตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงหน้าจนฟังไม่ได้ศัพท์.... ผมยังคงยืนนิ่งคล้ายรูปปั้นบนขนมเค้กที่เคลือบด้วยช็อกโกแลตตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งพนักงานและเพื่อนนิสิตต่างช็อกกันทั้งร้านก่อนจะแปรสภาพเป็นไทยมุงเมื่อเหตุการณ์ตื่นเต้นระทึกขวัญยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ

พอได้สติถึงเห็นผู้หญิงที่ชื่อมีนากำลังถูกพี่เอกรั้งเอาไว้จากทางด้านหลังไม่ให้กระโจนเข้ามาข่วนหน้าผม ในขณะที่เจ้าหล่อนกรีดร้องดังลั่นจ้องมองผมเหมือนอยากจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือเปล่า.... ส่วนผมก็ได้แต่ปะติดปะต่อภาพตรงหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สภาพชุ่มน้ำข้นคลั่กยิ่งทำให้ผมรู้สึกหนาวและเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว แต่ในด้านจิตใจนั้น นอกจากตกใจ งุนงง กลัว อายแล้วยังมีอะไรเหลือให้รู้สึกอีกบ้างก็นึกไม่ออกแล้ว


อ้อ.... ยังเหลือ ‘ผิดหวัง’ กับ ‘เสียใจ’ อยู่อีกนี่นะ


“มีนา ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ!!??”

“อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นคนผิดนะ ก็ใครใช้ให้มันมายุ่งกับเอกก่อน!!??”

“แล้วทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย!?” 

เสียงของพี่เอกที่เหมือนจะเอาเรื่องแม่สาวโรคจิตในตอนแรกเริ่มแผ่วความแรงลง เช่นเดียวกับหัวใจของผมซึ่งเบาหวิวเหมือนถูกผลักให้ร่วงหล่นจากที่สูง 

“ไม่อายบ้างหรือไง คนอื่นมองกันเยอะแยะ”

“คนที่ต้องอายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นมันต่างหากล่ะ!!” 

ประโยคนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วเรียวซึ่งชี้หน้าประณามผมต่อหน้าธารกำนัล ดวงตาคู่สวยถลึงมองเหยียดประหนึ่งว่าเห็นผมเป็นขยะสดที่เทศบาลควรรีบๆ มาเก็บไปเสียก่อนที่จะเหม็นโฉ่มากไปกว่านี้ 

“เด็กอะไรหน้าด้าน ไม่มียางอาย เที่ยวมายุ่งกับแฟนชาวบ้านเขาอยู่ได้.... ถ้าไม่มีปัญญาหาผู้ชายเองก็ไปซื้อกินแถวสีลมสิยะ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นแมวขโมยแอบมาขึ้นคอนโดตอนที่เจ้าของตัวจริงเขาไม่อยู่!!”

พี่มีนาประกาศแถมประจานความผิดของผมให้ทุกคนในสตาร์บัคได้ยินกันถ้วนหน้า เสียงซุบซิบด้วยความรังเกียจลอยละล่องวนเวียนอยู่รอบกาย.... ผมหน้าชายิ่งกว่าถูกตบด้วยรองเท้าแตะกลางสี่แยก ข้างในท้องบิดมวนเหมือนอยากจะสำรอกเอาคำโกหกที่พี่เอกเคยใช้กรอกหูผมออกมาให้พี่มีนาได้ดู แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็กลายเป็นมือที่สาม เป็นตัวสร้างความร้าวฉานในสายตาทุกคนมาตั้งแต่แรกแล้ว

“พี่เอก...........”  ผมยิ้มไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เสียงที่เปล่งออกมาระหว่างมองหน้าพี่เอกเพื่อขอความจริงทั้งสั่นและฟังดูน่าสมเพชอย่างบอกไม่ถูก “พี่มีแฟนอยู่แล้วเหรอ?”

แค่เขานิ่งเงียบไป ผมก็รู้แล้วว่าพี่เอกคงกำลังนึกหาข้อแก้ตัวอยู่ เพียงแต่เขาจะเลือกแก้ตัวเพื่อทำให้ฝ่ายไหนรู้สึกแย่น้อยลงก็เท่านั้นเอง

“เอ่อ.......ทิชา........พี่ว่าพี่เคยบอกทิชาเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ไม่เลยครับ.... พี่เอกไม่เคยบอกเหี้ยอะไรทั้งนั้น เรื่องเดียวที่พี่เอกเคยบอกก็คือผมเป็นลูกแมวน้อยของเขาคนเดียว แล้วผมก็หลงเชื่อจนถึงขั้นยอมเขาไปหมดทุกอย่าง ร่างกายก็ให้ไปแล้ว ยังดีที่พอจะเหลือหัวใจเอาไว้กับตัวเองบ้าง

พี่เอกไม่คิดจะเลือกผมนี่ เพราะงั้นตอนนี้เขาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“แกไม่ต้องมาทำแอ๊บแบ๊วเลยนะ คนทั้งมหาลัยนี้มีใครที่ไม่รู้ว่าบ้างว่าเอกบดินทร์กับมีนา ดาวเดือนคณะบริหารฯ เป็นแฟนกันมาสองปีแล้ว!”


มีสิ.... ก็นายทิชนันท์ คนโง่แห่งคณะหลังเขาไงที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้


ผมปล่อยให้พี่มีนาโวยวายด่าทออยู่อักพักใหญ่โดยไม่คิดเถียงสักคำ ในที่สุด เจ้าหล่อนก็สาแก่ใจและยอมออกจากร้านไปโดยมีพี่เอกคอยประกบตามง้อไม่ห่าง.... ส่วนนัดของผมกับพี่เอกในวันนี้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี และในวันพรุ่งนี้หรือวันไหนๆ มันก็จะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ความรู้สึกของผมก็เช่นกัน แตกสลายและยับเยินชนิดที่ต่อให้เอากาวทั้งโลกมาแปะซ่อมก็ยังคงบิดเบี้ยวผิดรูปอยู่วันยังค่ำ


“น้องคะ......ขอโทษทีนะ แต่พี่ขอเก็บตรงนี้นิดนึงเนอะ”

“อะ.....เอ่อ......เชิญครับ..........” 

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่พนักงานผู้หญิงมาสะกิด ในมือหิ้วถุงขยะ ถังน้ำและไม้ม้อบสำหรับถูพื้นมาด้วย และถ้าผมจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อ เธอก็คงจะทำความสะอาดลำบาก

“ถ้ายังไงน้องเข้าไปใช้ห้องน้ำพนักงานตรงนั้นก็ได้นะ ล้างเนื้อล้างตัวก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ขอบคุณครับพี่”

ถึงแม้จะแค่ทำตามหน้าที่ แต่ความมีน้ำใจของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยชีวิตก็ไม่น่าบัดซบจนเกินไป แต่กับคนอย่าง ทิชา ทิชนันท์ ที่ใครต่อใครรู้จักจากข่าวที่คนทั้งประเทศพากันวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นยี่สิบปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จบ มันไม่มีทางเสียหรอกที่พวกเขาจะปล่อยให้ผมออกไปจากที่นี่โดยไม่ถูกปากเหยี่ยวปากกาฉีกทึ้งให้เป็นแผลฉกรรจ์


‘เชี่ยยยย สันดานแม่งโคตรเหมือนแม่มันเลยว่ะ’

‘สุดยอด เชื้อไม่ทิ้งแถว ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นที่แท้ทรู..........’

‘ความร่านนี่มันส่งต่อผ่านดีเอ็นเอได้ด้วยเหรอวะ.... โชคดีของไอ้เอกนะเนี่ยที่มีนามาดึงตัวกลับได้ทัน ไม่งั้นคงได้เสียหายหลายล้านแน่’

‘พวกชอบกินน้ำใต้ศอก ให้โดนศอกเมียหลวงกระแทกปากสักทีก็ดีนะ’




มันเป็นสิ่งที่ผมควรจะเคยชินได้แล้ว แต่ข้างในอกก็ยังบีบรัดคล้ายจะตายเสียให้ได้ทุกครั้งที่เวลาผมทำอะไรไม่ดีไม่งามแล้วจะมีคนคลั่งแกทเชื่อมโยงเอาเรื่องของแม่มาด่าผสมไปด้วย.... คุณคงได้คำตอบแล้วใช่ไหมว่าเพราะอะไรตอนที่ผมเข้ามาในร้าน คนเหล่านั้นถึงได้พากันจ้องมองผม เขาไม่ได้ชื่นชมหน้าตาที่ผมได้รับมาจากแม่บังเกิดเกล้าซึ่งเป็นอดีตดาราชื่อดังหรอก แต่เขามองเพราะรังเกียจไม่อยากให้ตัวเสนียดสังคมที่เกิดจากช่องคลอดของผู้หญิงแพศยาเฉียดเข้าไปใกล้ต่างหาก

ผมน่าจะคิดให้ได้แบบนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มคุยกับพี่เอกนะ

ถ้าดึงสติตัวเองสักหน่อย เจียมตัวให้มากว่าเกิดมาเป็นขยะก็สมควรจะต้องตายไปในกองขยะ เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

แต่ความอ่อนไหวและอ่อนแอกลับเป็นจุดบอดที่ใหญ่จนเกินไป

ผมจึงต้องถูกทิ้งเอาไว้กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้


“พวกมึงก็หยุดปากหมาได้แล้ว!”


ใครคนหนึ่งตะโกนสวนขึ้นมาจากมุมหนึ่งของร้าน กลบเสียงพวกปากหอยปากปูให้เงียบสนิทเหมือนโดนปกคลุมด้วยบรรยากาศมาคุ.... ผมหันหลังกลับไปมองก็เห็นนิสิตชายใส่เสื้อช็อปคณะวิศวะฯ ลุกขึ้นยืนด่ากราดไปทั่วอย่างหงุดหงิด ท่าทางหัวร้อนของเขาทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย ทั้งที่เขากำลังช่วยผมอยู่แท้ๆ

“จะสมน้ำหน้าก็เดินไปสะกิดเรียกแล้วพูดต่อหน้าเขาเลย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นด่าลอยๆ อยู่ข้างหลัง! แต่ถ้าไม่กล้าก็หุบปากไป!”

ดูจากหน้าตาและท่าทีเกรงอกเกรงใจของผู้คนรอบข้าง ฝ่ายนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ปีสามหรือปีสี่ แต่เอาจริงๆ ผมเข้าใจว่าฝ่ายนั้นน่าจะแค่รำคาญพวกขี้แซะที่ไม่ยอมเลิกส่งเสียงรบกวนสักที ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะเดินมาทางนี้

“เฮ้ย นายโอเคหรือเปล่าเนี่ย?”  เขาถามเสียงห้วน

“ผมไม่เป็นไรแล้ว......ขอบคุณมากนะครับ.........” 

ผมก้มหัวลงก่อนจะพูดตอบไป ขาก็เดินไปยังห้องน้ำพนักงานทางด้านหลังตามที่พี่ผู้หญิงคนเมื่อกี้บอก ช่างหัวชาเขียวปั่นที่อุตส่าห์จ่ายเงินร้อยกว่าบาทไปแล้วเถอะ หมดอารมณ์จะแดก ทางที่ดีผมควรจะรีบๆ ล้างหน้าตาเนื้อตัวแล้วไสหัวออกไปจากร้านได้แล้ว

แล้วพี่คนนั้นเดินตามผมมาทำเชี่ยไรเนี่ย.... ไม่กลับโต๊ะตัวเองไปล่ะวะ?

“ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมหรอกนะ แต่ไอ้เอกเนี่ยมันเจ้าชู้จะตายห่า แล้วเมียมันก็ดุยังกับหมาบ้า ไล่ตบรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไปยุ่งกับไอ้เอกจนเกือบหมดทั้งมหาลัยแล้ว นายไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยเรอะ?”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ไอ้ที่บอกว่าไม่อยากจะซ้ำเติมมันก็เหมือนซ้ำไปแล้วด้วยคำถามนั้นแหละ

“ก็ถือว่ายังโชคดีนะที่โดนแค่นี้.... บางคนแม่งเสียตัวไปแล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าโดนมันหลอกฟัน ซวยฉิบหายอะ”

อืม ก็ต้องเรียกว่าซวยฉิบหายจริงๆ เพราะผมเพิ่งนอนกับไอ้เหี้ยพี่เอกไปเมื่อสองวันที่แล้วนี่เอง

ผมเปิดก๊อกวักน้ำล้างคราบน้ำหวานออกจากตัว แทบจะต้องจุ่มหน้าลงไปในอ่างเพราะพี่มีนาเล่นราดช็อกโกแลตใส่จนหัวผมเหนียวเหนอะไปหมด.... ระหว่างที่กำลังล้าง ความคิดมากมายล่องลอยปะปนอยู่ในสมอง หลายครั้งที่ผมพยายามบอกตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ ก็แค่เรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนแหกด่าประจานในที่สาธารณะสักหน่อย แต่ลงท้าย ข้างในใจมันก็ยังรู้สึกเจ็บที่ถูกพี่เอกหลอกอยู่ดี

ผ่านไปเกือบสิบนาที ตอนนี้หัวและหน้าของผมไม่มีคราบช็อกโกแลตเหลืออยู่แล้ว หากพอเห็นเสื้อเชิ้ตนิสิตของตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะมันกลายสภาพจากสีขาวเป็นสีขาวปนน้ำตาลด่าง แถมยังเปียกโชกเหมือนโดนเหวี่ยงลงไปในบ่อโคลนอีกต่างหาก แต่ช่างแม่งอีกครั้ง แค่หาทางตะกายกลับไปคณะตัวเองให้ได้ก็พอ ค่อยไปขอยืมเสื้อช็อปจากเพื่อนในภาคเอาทีหลัง

“เอ้านี่” 

คนที่ยืนอยู่ด้านหลังโยนอะไรบางอย่างมาให้ ผมเอื้อมมือไปรับไว้ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นเสื้อช็อปของคณะวิศวะฯ นั่นเอง 

“จะออกไปทั้งๆ ที่ตัวด่างเป็นหมาหน้าคณะก็คงไม่ดีว่ะ ให้ยืมก่อนแล้ววันหลังค่อยเอามาคืน”

“ไม่ดีมั้งครับ ผมว่าพี่น่าจะต้องใช้เหมือนกัน........” 

เคยได้ยินมาว่าพวกวิศวะฯ หวงเสื้อช็อปอย่างกับอะไรดี แบบว่าฆ่าได้แต่จะแตะเสื้อช็อปกับเกียร์ไม่ได้ ผมก็เลยค่อนข้างลำบากใจที่จะรับความช่วยเหลือถึงแม้ว่าสภาพตัวเองจะดูไม่จืดนัก

“เอาไปเหอะ มึงเอาไปแล้วก็ซักด้วยละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูให้น้องที่รู้จักไปเอาคืน ไม่ให้มึงเก็บไว้นานหรอก” 

ไม่เท่าไรก็เริ่มขึ้นมึงขึ้นกูกันซะแล้ว ผมยังคงยืนกระพริบตาปริบๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ ไม่บังอาจโดดตะครุบเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของพี่เขา แต่เจ้าตัวกลับยัดเยียดให้ผมถือเอาไว้ 

“ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ?”

“ชื่อทิชาครับ ปีสอง สินกำเอกอินทีเรีย”

เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อได้ยินชื่อของผม ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อผมฟังดูนุ่มนิ่มเหมือนชื่อผู้หญิงก็คงเป็นเพราะรู้สึกคุ้นหูว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนล่ะมั้ง

“โอเค มึงชื่อทิชา อยู่ปีสองนะ กูจะได้ตามตัวถูก”

รุ่นพี่วิศวะคนนั้นพูดงึมงำๆ ทวนชื่อผมแล้วกลับออกไปเมื่อพรรคพวกโทรศัพท์มาตาม โอกาสสุดท้ายที่จะผมจะปฏิเสธไม่ขอรับความช่วยเหลือหลุดลอยไปหลังจากที่อีกฝ่ายหุนหันเดินจากไปรวดเร็วยิ่งกว่าพายุ ผมก็เลยจำใจต้องถอดเสื้อเชิ้ตนิสิตสภาพเน่าหนอนออกแล้วสวมเสื้อช็อปโอเวอร์ไซส์ติดกระดุมหน้าแทน....

พอเงยมองกระจก สีแดงเลือดหมูของช็อปวิศวะฯ ตัดกับสีผิวขาวซีดของผม ขนาดร่างกายที่แตกต่างกัน ผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบนิดๆ ในขณะที่พี่เขาสูงร้อยแปดสิบกว่าทำให้ผมดูเหมือนเด็กทโมนที่ขโมยเสื้อพ่อมาใส่เล่นไม่มีผิด

ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นชื่อที่ปักเอาไว้บนอกข้างขวา ถึงได้รู้ว่ารุ่นพี่วิศวะที่โคตรใจดีผิดกับหน้าตามีชื่อว่า ‘ โรม อนุวัฒน์วงษ์ ’

.

.

.

แต่สิ่งที่ผมไม่มีทางรู้เลยก็คือ พี่โรมที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นพายุฝนในวันนี้จะเป็นต้นเหตุของมรสุมที่โหมกระหน่ำจนชีวิตผมแทบไม่เหลือทางไปในวันหน้า

......ไม่รู้เลยจริงๆ......



DOWNPOUR
~START~


✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽


เรื่องใหม่จากมือใหม่ ขอฝากตัว ฝากใจ ฝากนิยายด้วยนะจ๊ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 00 [ 05/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 11-11-2017 19:22:59
1
~ โลกของทิชา ~



เมี้ยว....

เมี้ยว........ เมี้ยว.......



ผมลืมตาตื่นขึ้นในตอนสายของวันศุกร์ โทรศัพท์มือถือยังคงเงียบสนิทไม่ส่งเสียงปลุกเมื่อยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนที่แท้จริง แต่ผมจำใจต้องแหกขี้ตาขึ้นมาเพราะสัมผัสสากชื้นบริเวณแก้มและเสียงเล็กๆ ที่ดังรบกวนไม่หยุด ไอ้จะแกล้งทำหูทวนลมก็ไม่ไหว เพราะไอ้เจ้าผีลูกกรอกในห้องผมมันเริ่มปฏิบัติการมุดเข้ามาในผ้าห่มและงับนิ้วเท้าอย่างเกรี้ยวกราดแทนการเลียประจบ


เมี้ยว....


“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดอดทนหน่อยดิวะ มิลค์"

ผมบ่นไม่จริงจังนักแต่ก็ยอมโงหัวขึ้นจากหมอนแต่โดยดี พอลุกจากเตียง สิ่งมีชีวิตสีขาวก็วิ่งนำหน้าไปนั่งรอไซโคอยู่ตรงชามข้าวที่ผมวางไว้มุมห้อง แค่นั้นก็ระลึกชาติได้ทันทีเลยว่าเมื่อคืนนี้ผมลืมเทอาหารเผื่อเอาไว้นั่นเอง

“อะ เชิญครับเจ้านาย” 

ทั้งอาหารเม็ดพรีเมียมและอาหารเปียกถูกเทลงในชามใบเล็ก หลังจากนั้นเจ้านายก็สะบัดตูดก้มหน้ากินข้าวโดยไม่สนใจมนุษย์ทาสแมวอย่างผมอีกเลย แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แค่เห็นปากเล็กๆ ของเจ้านายเคี้ยวข้าวหงุบๆ ฝนเล็บ เตะหนูปลอม ปีนคอนโด โดดคว้าไม้ตกแมว ฟัดปลาทูยัดไส้แคทนิปได้ก็มีความสุขมากแล้ว

‘มิลค์’ เป็นลูกแมวพันธุ์เปอร์เซียผสมสก็อตติชโฟลด์สีขาวจั๊วะอายุหกเดือน ผมตกหลุมรักมิลค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปที่มีรุ่นพี่ในคณะเอามาติดประกาศหาคนรับเลี้ยง เจ้าของเก่าดูจะแปลกใจนิดหน่อยตอนที่ผมไปขอแต่เขาก็ยอมยกให้แต่โดยดี ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ค่อยชอบสัตว์เท่าไรก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผมตั้งใจจะเลี้ยงระบบปิดในห้องนอนแบบไม่ให้ใครมายุ่งกับมันเด็ดขาด โชคดีที่ห้องส่วนตัวของผมมีทั้งระเบียงและห้องน้ำในตัว จึงสามารถวางกะบะทรายและล้างชามข้าวได้ไม่มีปัญหา

ผมรับมิลค์มาเลี้ยงตอนอายุได้เดือนกว่าๆ ประคบประหงมให้อาหาร พาไปหาหมอ เฝ้าดูมันเติบโตขึ้นทีละนิดๆ.... มิลค์เป็นแมวหยิ่ง ชอบเล่นของเล่นมากกว่าเล่นกับทาส เนื้อตัวผมมีแต่รอยเล็บแมวข่วนเต็มไปหมด แต่บางทีมิลค์ก็ขี้อ้อนให้ทาสใจละลาย ผมเองก็บ้าคอยเฝ้าเอาใจมันทุกอย่างเพราะเพราะอยากเห็นมันอ้อนจนแทบลืมคำว่าเหงาไปเสียสนิท

ถ้าถามว่าในตอนนี้ผมแคร์อะไรมากที่สุด คำตอบก็คงเป็นเจ้ามิลค์ลูกรักแสนซนของผมนี่แหละ

“ไปก่อนนะไอ้แสบ ตอนเย็นเจอกัน” 

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็บอกลาเจ้านายพอเป็นพิธี ไม่รู้หรอกว่ามันสนใจฟังหรือเปล่า แต่ไปลามาไหว้ก็เป็นหน้าที่ของทาสอยู่แล้วนี่นะ

เสียงกุกกักดังมาจากห้องรับแขกชั้นล่าง ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใจก็นึกอยากสร้างบันไดพาดลงจากระเบียงห้องตัวเองไปหน้าบ้านเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดเป็นครั้งที่ร้อย



“ทำไมตื่นสาย? มหาลงมหาลัยไม่ต้องไปแล้วหรือไง?”

เมื่อคืนนี้ผมทำงานดรอว์อิ้งจัดแสงส่งอาจารย์จนเกือบสว่าง เพิ่งจะได้นอนไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่อยากรู้หรอกมั้ง เหมือนแม่จะจำฝังหัวไปแล้วว่าผมเป็นเด็ก จะดีชั่วยังไงก็ต้องตื่นหกโมงเช้าเพื่อไปเข้าแถวเคารพธงชาติให้ทันและกลับถึงบ้านตอนสี่โมงเย็นพอดีเป๊ะ

“วันศุกร์ผมเรียนบ่ายโมง”

“อ้าว งั้นจะรีบออกไปทำไม?” 

ไอ้ที่ออกเช้าก็กะจะเผื่อเวลาไปนั่งเก็บงานใต้ถุนคณะอีกหน่อย แต่อารมณ์ขี้เกียจตอบคำถามก็เลยปล่อยเบลอทำเป็นไม่ได้ยินความย้อนแย้งของแม่ ก่อนจะสะพายกระเป๋ากับกระบอกใส่แบบเตรียมออกไปมหาวิทยาลัย

“เดี๋ยว ชา.... อย่าเพิ่งไป”

“อะไรอีกล่ะ แม่?” 

คราวนี้ผมจิ๊ปากหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ตอนยังไม่ไปก็เร่งให้ไปนัก แต่พอจะไปจริงๆ ก็สารพัดจะเรียกเหลือเกิน

“พี่สาวแกกำลังจะแต่งงาน เพื่อนแม่เพิ่งส่งข่าวในเพจซุบซิบไฮโซมาให้อ่าน” 

หน้าจอไอแพดซึ่งกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของแม่ถูกยื่นมาจนแทบจะชิดหน้าผมอยู่รอมร่อ ในนั้นมีข่าวเกี่ยวกับคนที่ผมรู้จักแต่ไม่ค่อยมักคุ้นเปิดค้างเอาไว้ แวบแรกที่เห็นผมก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่อีนังขังขอบอะไรกับชีวิตส่วนตัวของชาวบ้าน ในขณะที่แม่ดูจะโกรธเอามากๆ ที่ตนเอง (อาจรวมถึงผม) ไม่ได้มีส่วนร่วมในงานมงคลของคุณหนูการะเกด ทิพยศักดิ์เสนา พี่สาวต่างพ่อของผม

“มีอย่างที่ไหนกัน คนในครอบครัวกำลังจะแต่งงานแท้ๆ แต่ไม่มีใครคิดจะบอกเราเลยสักคำ ให้มารู้เองจากข่าวในโซเชียลแบบนี้มันใช้ได้เหรอ!?”

“แล้วเราไปเป็นคนในครอบครัวเขาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ?”

“ถึงแม่ไม่ใช่แต่แกใช่นะ ชา.... อย่าลืมสิว่าแกกับหนูเกดใช้นามสกุลเดียวกัน ถ้าไม่เรียกว่าพี่น้องแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?”

พี่น้องที่เจอหน้ากันไม่ถึงห้าครั้งในรอบยี่สิบปี บอกตามตรงว่าผมเองก็ขี้เกียจจะหาคำนิยามว่าควรเรียกว่าสถานะน้องนอกไส้พรรค์นี้ว่าอะไรดี

เรื่องอื่นอย่างเช่นงานประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียน งานวันแม่ งานวันเกิด ผลการเรียนของผมอาจไม่ใช่เรื่องที่แม่นึกอยากใส่ใจนัก แต่เรื่องพยายามยัดเยียดผมให้เข้าไปมีตัวตนในบ้านใหญ่ของทิพยศักดิ์เสนา แม่กลับไม่เคยยอมท้อถอยเลย แม้ว่าจะถูกฝ่ายนั้นตอกหน้าหงายกลับมาทั้งแม่ทั้งลูกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“งานจะจัดที่โรงแรมแกรนด์เพรสทีค วันที่เก้าเดือนหน้า ใครจะว่ายังไงไม่รู้ละ แต่แกจะต้องไปงานนี้ในฐานะน้องชายของเจ้าสาว”

“ผมไม่ไปงานที่ไม่มีบัตรเชิญหรอกนะ”

“ไม่เห็นต้องมีบัตรเชิญ พ่อแกกับพ่อเจ้าสาวก็คนเดียวกัน ก็ใช้ดีเอ็นเอในตัวแกนั่นแหละเป็นบัตรเชิญเข้างาน”

‘เกลียดคำพูดแบบนี้ฉิบหาย......’ 

ผมได้แต่คิดพลางกลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างหน่ายๆ ออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่ใช่ลูกอกตัญญูอะไรขนาดนั้นหรอก ผมก็รักแม่อย่างที่ควรจะรักนั่นแหละ เพียงแต่ในบางครั้งหรืออาจจะหลายๆ ครั้ง ผมก็แค่อยากปกป้องความรู้สึกของตัวเองมากกว่าทำตามใจแม่โดยไม่มีขอบเขต

“งั้นแม่ก็หยิบใบเกิดผมไปใช้แทนบัตรเชิญแล้วกัน ผมไม่เอาด้วย”

“ทิชา!”

เมื่อไม่ได้ดั่งใจ แม่ก็เริ่มขึ้นเสียง.... ทำเป็นโกรธหน้าดำหน้าแดงแผดเสียงแสบแก้วหูเหมือนในละครเรื่องหลังๆ สมัยที่แม่ถูกปลดระวางจากบทนางเอกไปเป็นนางอิจฉาท้ายแถวไม่มีผิด

“ผมไปมหาลัยก่อนนะ หวัดดีครับแม่” 

ผมยกมือไหว้แม่บังเกิดเกล้าแล้วก็ออกจากบ้านมา ไม่คิดจะสนใจคำด่าที่ดังไล่หลังสนั่นซอยแม้แต่น้อย




เรื่องของผมกับแม่ และคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตามกฎหมายมันก็ไม่ได้ซับซ้อนเกินเข้าใจนักหรอก แต่มันอยู่ในขั้นเหี้ยจนไม่รู้จะเหี้ยยังไงเลยดีกว่า....

ย้อนกลับไปเมื่อสักยี่สิบสองปีที่แล้ว แม่เคยเป็นดารานักแสดงชื่อดังของวงการบันเทิงไทย ผมเองก็จินตนาการไม่ค่อยออกว่าสมัยก่อนแม่ดังมากแค่ไหน รู้แค่ว่าแม่เคยเล่นละครบทนางเอกสิบกว่าเรื่อง มีงานโฆษณากับงานถ่ายแบบเป็นร้อย มีชื่ออยู่ในอันดับความนิยมสวนดุสิตโพลมาตลอด และพ่อผมก็เป็นนักธุรกิจชื่อดังวัยสามสิบกว่า เป็นหนุ่มเนื้อหอมในวงสังคมชั้นสูง.... พ่อกับแม่ได้เจอกันในงานการกุศลของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง แบบว่าแม่เป็นตัวแทนนางเอกช่องมาเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม พ่อก็เป็นเสี่ยสายเปย์ทุ่มเงินบริจาคให้หลักล้าน

หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ มีนัดดูหนังรอบดึก ดินเนอร์ในโรงแรมหรู.... ความรักของนางเอกสาวกับนักธุรกิจหนุ่มคงไปได้สวย แต่มันเชี่ยตรงที่ว่าฝ่ายชายเขาแต่งงานมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว

สุดท้ายพอถูกนักข่าวจับได้ เรื่องของพ่อกับแม่ก็เลยโป๊ะแตก (ผมอ่านเจอว่าจริงๆ แล้วเมียหลวงของพ่อเป็นคนจ้างนักสืบแล้วก็ส่งต่อให้นักข่าวที่รู้จักกันช่วยแฉ แต่ก็ช่างเถอะ โป๊ะก็คือโป๊ะอยู่ดี) ถึงจะสาวและสวยแค่ไหนแต่แม่ก็โดนพ่อเททิ้งทันที พ่อบอกทุกคนว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดและไม่เคยรู้จักแม่มากเกินไปกว่าดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ที่ไปดินเนอร์กันตอนดึกๆ น่ะเรื่องงานล้วนๆ

ถึงจะเป็นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่ประชาชนเขาก็ไม่ได้โง่เนอะ เพราะเรื่องนี้นี่แหละ แม่ผมถูกปลดออกจากบทนางเอก สินค้าทุกชิ้นประกาศปลดพรีเซนเตอร์ ร้ายที่สุดก็คือสถานีโทรทัศน์ที่แม่สังกัดแถลงข่าวฉีกสัญญากะว่าไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดกันเลย.... ชีวิตของแม่เหมือนร่วงจากฟ้าลงมาคลุกดิน ผู้จัดการที่เคยสนิทกันก็ทิ้ง เพื่อนในวงการก็ปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือ จะกลับบ้านนอกก็ไม่สมศักดิ์ศรีนางเอก แต่คิดว่าคนอย่างแม่จะยอมแพ้ง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง ถ้าไม่มีความร้ายอยู่ในตัว แม่ไม่มีทางฝ่าฟันขึ้นมาเป็นเบอร์ท็อปในวงการบันเทิงที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดได้หรอก

หลังจากหายหน้าจากจอโทรทัศน์ไปเกือบๆ ครึ่งปี ช่วงเวลาที่ใครต่อใครคิดว่าเรื่องเงียบไปแล้ว แม่ผมก็คัมแบ็คสเตจด้วยการอุ้มผมที่เพิ่งคลอดไปหานักข่าวพร้อมบีบน้ำตาประกาศว่าผมคือลูกชายของคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนา

แล้วคุณคิดว่าบ้านทิพยศักดิ์เสนาจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง.... แน่นอนว่าเขาก็ต้องปฏิเสธไม่ยอมรับเอาไว้ก่อน แม่ผมก็เล่นใหญ่แจกดราม่าเรื่องผู้หญิงตัวคนเดียวตั้งท้องคลอดลูกในขณะที่คนทำให้ท้องไม่เคยเหลียวแล กระแสสังคมตีกลับไปกลับมาจนงงไปหมด ระหว่างนั้นคนทั้งประเทศก็รู้จักน้องทิชา ทิชนันท์ ในฐานะลูกนอกสมรสของคุณกาญจน์ (เรียกอย่างบ้านๆ ก็ลูกเมียน้อย) เรื่องเลยเถิดไปจนถึงขั้นตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูก ผลก็อย่างที่เห็นแหละว่าผมคือลูกของพ่อ แต่เป็นลูกที่เขาไม่อยากได้และไม่คิดว่าจะมีด้วย

ข้อเสนอของแม่มีอยู่ว่า พ่อจะต้องจดทะเบียนรับรองบุตร ให้ผมใช้นามสกุลทิพยศักดิ์เสนา พร้อมส่งเสียค่าเลี้ยงดูหลักแสนต่อเดือน.... ในตอนนั้นฝั่งบ้านใหญ่ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักเพราะพ่อโดนสังคมรุมประณามจนเละพอๆ กับที่แม่โดน ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ใช้นามสกุลพ่อ แต่ก็โดนคนในบ้านใหญ่มองว่าเป็นกาลกิณี ไม่ให้เข้าบ้าน ไม่นับญาติด้วยแม้ว่าจะร่วมสายเลือดกันครึ่งหนึ่งก็ตาม

รายละเอียดการตีกันระหว่างแม่กับบ้านทิพยศักดิ์เสนา คุณหาอ่านเอาในกูเกิ้ลก็ได้ ทุกวันนี้ยังมีคนจัดอันดับให้เป็นดราม่าน้ำเน่าอันดับแรกๆ ของวงการบันเทิงอยู่เลย รับรองว่ามันส์สะใจและจะได้เห็นหน้าเห็นชื่อผมอยู่ในทุกเว็บข่าวอีกด้วย

ผมเติบโตมาอย่างเซเลป ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก แม่พยายามให้ผมมีทุกอย่างเทียบเท่าพี่สาว เรียนโรงเรียนอนุบาลแพงๆ เรียนประถม-มัธยมอินเตอร์ แต่ชีวิตผมก็ยังบิดเบี้ยวอยู่ดี.... ผมไม่ค่อยมีเพื่อน พ่อแม่เพื่อนและครูมักจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงจะมีเงินแต่ผมก็ยังเป็นผลผลิตของผู้ชายมักมากกับผู้หญิงไร้ยางอายที่ฉาวโฉ่ไปทั้งประเทศอยู่ดี และถึงแม้ว่าแม่จะสู้กับบ้านใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กับพวกผู้ปกครองด้วยกัน แม่กลับหน้าบางไม่เคยปกป้องผมในแบบที่ควรจะเป็นเลยเพราะแม่ทนไม่ได้ที่จะถูกใครนินทาซึ่งหน้า

พ่อไม่เคยมาหาผม มีแต่เงินสองแสนที่โอนเข้าบัญชีมาให้ใช้ทุกเดือน ทุกครั้งที่เจอกันคือแม่บังคับพาไปเจอตามงานต่างๆ ของบ้านใหญ่.... แม่อยากให้ผมมีตัวตนสมกับเป็นหลานชายของทิพยศักดิ์เสนา ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่สายตาเย็นชาและคำพูดตัดรอนที่ว่า

‘พวกคนชั้นต่ำ อย่าสะเออะโผล่มาเหยียบบ้านนี้อีกเป็นอันขาด!’




“กูว่ากูมาเร็วแล้วนะ ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะมาเร็วกว่า”

ผมเงยขึ้นจากกระดาษดรอว์อิ้งและข้าวกล่องเซเว่น เห็นไอ้เพื่อนเลิฟแบกข้าวของพะรุงพะรังพอกันเดินตรงมานั่งลงตรงข้ามผม หน้าตามันดูแปลกใจไม่น้อยเพราะรู้ดีว่าปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบฉายเดี่ยวในที่ชุมนุมชนสักเท่าไร

“ทีแรกก็กะว่าจะกินข้าวที่บ้านก่อนออกมา แต่ฤกษ์แดกไม่ค่อยดี กูเลยชิ่งออกมาก่อน”  ผมตอบทั้งที่สองตายังมองดูการบ้านตัวเองว่าต้องเก็บดีเทลตรงไหนอีกบ้าง มือขวาก็ตักข้าวกะเพราหมูสับเข้าปากไปด้วย

“ทะเลาะกับแม่มึงอีกแล้วดิ?”

“ไม่ถึงกับทะเลาะหรอกว่ะ กูแค่เบื่อเวลาแม่เล้าหลือ ขี้เกียจเถียง”

ถ้าเป็นคนอื่นได้ยินคงด่าผมว่าลูกทรพี แต่ ‘บีบี๋’ หรือ ‘ไอ้บี๋’ เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมเล่าปัญหา บ่นขิงบ่นข่าในชีวิตทุกอย่างให้ฟังได้โดยที่มันไม่หัวเราะเยาะหรือเอาไปเล่าต่อ แล้วผมก็ชอบตรงที่มันไม่ตั้งตนเป็นจิตแพทย์ส่วนตัว ทำเป็นรู้ดีเกินเบอร์คอยแนะนำนู่นนี่ให้ผมด้วย

ผมเพิ่งรู้จักกับบีบี๋ตอนปีหนึ่งเทอมสอง หลังจากที่พวกเราเริ่มแยกย้ายกันไปเรียนวิชาภาคนั่นแหละ ทั้งที่ผมต้องทนเจอกับสายตาแปลกๆ จากคนรอบข้างมาโดยตลอด แต่บีบี๋กลับเลือกมานั่งข้างผม จิ๊กยางลบผมไปใช้ ชวนพูดคุยลากไปกินข้าวที่แคนทีนคณะด้วยกันจนกระทั่งสนิทกันมากขึ้นอย่างทุกวันนี้

บีบี๋เป็นคนคุยเก่ง พูดเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ได้ตลอดเวลา แต่ก็แปลกที่ผมไม่ยักกะนึกรำคาญความขี้เมาท์ของมัน แถมยังตัวเล็กๆ ตากลมโต แก้มป่องน่ารักแบบที่ใครๆ ก็ชอบ พอมาอยู่ข้างผมแล้วยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพลังงานบวกโคตรๆ.... คนหนึ่งสว่างสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งหมองหม่นอมทุกข์พ่วงมีประวัติเหม็นเน่าฉาวโฉ่แปะอยู่กลางหน้าผาก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนดีๆ ส่วนใหญ่จะเลือกเข้าหาบีบี๋มากกว่ามายุ่งกับตัวปัญหาอย่างผม

พอจะนึกคอนเสปท์ออกไหม.... แบบว่าแปดสิบเปอร์เซนต์ของคนที่เข้ามาจีบบีบี๋คือพวกพระเอกที่หลุดออกมาจากในนิยาย จริงใจ ให้เกียรติ ยอมที่จะค่อยๆ คุยทำความรู้จักกันจนกว่าไอ้บี๋จะตกลงปลงใจด้วย แต่พวกที่เข้ามาจีบผม ร้อยละเก้าสิบเก้าคือความจัญไรของสังคม ถ้าไม่รักแท้หวังฟันจนออกนอกหน้าก็ตัวเหี้ยที่มีเมียอยู่แล้วแต่เสือกไม่รู้จักพอ อย่างไอ้พี่เอกที่ทำให้ผมโดนช็อกโกแลตทั้งแก้วราดหัว ซ้ำยังโดนชาวบ้านด่าไปสามบ้านแปดบ้านว่าคิดจะแย่งผัวชะนีมีนา

แต่เอาเถอะ.... ผมเองก็ไม่ได้ขี้งอแงอะไรขนาดนั้น ก็แค่อยู่ในช่วงทำใจว่าคงเพราะตัวเองเหี้ยก็เลยดึงดูดแต่คนเหี้ยๆ ให้เข้ามาล่ะมั้ง

“น้องบี๋ครับ”

“อ้าว พี่อาร์ท” 

ข้าวยังไม่ทันหมดกล่อง เรดาร์มนุษยสัมพันธ์ดีของไอ้บี๋ก็ทำงานอีกครั้ง คราวนี้มันยิ้มกว้างเชียวเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋หล่อสะอาดเดินเข้ามาทัก

“มาทำไมเนี่ย ก็ไหนบอกว่าค่อยเจอกันตอนเลิกเรียนไง?”

“อยากเจอหน้าบี๋ก่อนเจอหน้าอาจารย์ไง นี่พี่อุตส่าห์เดินมาจากตึกคณะวิทย์เชียวนะ”

โอ้ว.... จีบแบบให้โลกรู้ว่ากูจีบอยู่ รายนี้ก็แน่พอตัวเว้ยเฮ้ย

“เลี่ยนว่ะพี่ หัดอายปากบ้างเหอะ เพื่อนบี๋นั่งหัวโด่อยู่เนี่ย!”

ไอ้บี๋ยู่ปาก ทำเป็นด่าอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองหน้าแดงเถือกไปถึงหู มิหนำซ้ำยังดึงผมเข้ามามีเอี่ยวด้วยอีก

“ชื่อทิชาใช่ไหม?”

หนุ่มตี๋มองหน้าผมก่อนจะยิ้มให้ ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มทักทายตามมารยาทหรืออะไรก็ช่างแม่งเหอะ แต่ช่วยมองไปที่ไอ้บี๋คนเดียวเถอะ อย่ามายุ่งกับผมเลย

“คุ้นๆ ว่าเคยเห็นในงานโอเพ่นเฮาส์น่ะ”

“ครับ”

“ตอนนั้นเขาให้แต่งเป็นเจ้าชายใช่ปะ? น่ารักดีนะ.... ไม่ดิๆ ต้องบอกว่าหล่อดีถึงจะถูกเนอะ”

“ครับ”

ผมยังคงประหยัดถ้อยประหยัดคำ วางตัวเหินห่างเย็นชาสุดฤทธิ์ มันไม่คุ้มกันหรอกนะถ้ามีคนเห็นผมยิ้มให้คนที่เข้ามาจีบบีบี๋แล้วโดนเอาไปนินทาลับหลังว่าพยายาม ‘ยั่วเย’  ว่าที่แฟนเพื่อน

แต่ไอ้เชี่ยบี๋ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผมกำลังปกป้องความรู้สึกของมันอยู่ เพราะความที่มันดีกับผมมาก ผมจึงไม่อยากให้มันได้ยินอะไรก็ตามที่จะสามารถทำลายความเป็นเพื่อนระหว่างเราแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ทว่า บางครั้งความแบ๊วผิดที่ผิดเวลาของมันนี่ก็น่าโมโหฉิบหาย

“เฮ้ย ไอ้ชา.... คนนี้ชื่อพี่อาร์ท อยู่วิทย์เคมีปีสาม กูเพิ่งรู้จักพี่เขาตอนที่ไปเลี้ยงสายกับพี่นุ่นเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว”

ทูตสันถวไมตรีประจำมหาวิทยาลัย (ประชด!) พูดเสียงใสเจื้อยแจ้วไปเรื่อย มาถึงขั้นนี้แล้วผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งหัวเราะเจื่อนตามน้ำไปกับมัน 

“พอดีคุยกับพี่เขาถูกคอน่ะเลยแลกไลน์กันไว้”

“แค่คุยถูกคออย่างเดียวเองเหรอวะ?”

“เออน่า มึงก็อย่าขี้จับผิดนักดิ!” ปกติไอ้บี๋ก็ตาโตแก้มป่องอยู่แล้ว ยิ่งเวลาเขินหน้าแม่งยิ่งกลมเหมือนจะระเบิดได้เลยว่ะครับ  “ไปได้แล้วพี่ เอาไว้ค่อยเจอกันตอนเย็น”

“โอเค งั้นเอาไว้พี่ไลน์หาน้องบี๋อีกทีนะครับ”

“อื้อ ไปเลย แล้วไม่ต้องมาหาบี๋ที่คณะอีกนะ”

พอโดนโบกมือไล่ พี่อาร์ทก็ถอยทัพกลับไปอย่างสุภาพ ไม่มีการตื๊อให้น้องบี๋ลำบากใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพื่อนผมนี่สิ เมื่อกี้ก็ทำเป็นตะโกนแว้ดๆ ไล่ให้พี่เขากลับไปแบบว่าน้องรำคาญ น้องไม่ชอบให้ใครมาเฝ้า แต่คล้อยหลังรุ่นพี่หนุ่มตี๋ปีสามได้ไม่ทันไร ไอ้บี๋ก็กลายเป็นบ้า นั่งคิกคักตาเยิ้มตามประสาคนกำลังแฮพพรี่~สุดๆ

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นะมึง”  เห็นมันบิดซ้ายบิดขวาน่าหมั่นไส้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอแซ็วสักหน่อย

“เชี่ย ไม่ต้องมาขยี้กูเลย เพราะมึงคนเดียวเลยเนี่ย ไอ้กากชา!”

“อารายยยย กูไปทำอะไรให้มึง.... พูดเองเออเองแล้วก็เขินเองทั้งนั้น”

“ก็แค่ลองคุยๆ ดูก่อน ไม่ได้คิดอะไรจริงจังตอนนี้หรอก”

คำพูดของบีบี๋ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจนัก เพราะกับหลายคนที่ผ่านมาก็ลงเอยคล้ายๆ กันหมดคือลองคุยแล้วเข้ากันไม่ได้ ต่อให้ในระยะเริ่มแรก ไอ้บี๋จะระริกระรี้กระดี๊กระด๊าอยากมีแฟนมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันแค่เผื่อเลือกจนกว่าจะเจอคนที่ชอบจริงๆ หรือชอบหมดทุกคนที่คุยกันแน่

“อันที่จริงกูว่ามึงจะมีแฟนก็ไม่เสียหายตรงไหนนะ” ผมพูดไปตามที่รู้สึก “คนชอบมึงออกจะเยอะแยะ เลือกที่ถูกใจสักคนสิ”

“ก็เพราะมันยังไม่เจอที่ถูกใจนี่ไงถึงต้องคุยไปเรื่อยๆ ก่อน แบบว่ากูก็ยังไม่อยากปิดโอกาสตัวเองด้วยการลงหลักปักฐานกับคนๆ เดียวอะ” 

ไอ้บี๋ส่ายหน้าพลางเบะปากอย่างกับว่ากลัวการถูกผูกมัดด้วยการตกเป็นของผู้ชายเพียงคนเดียวนักหนา ทั้งที่ตัวมันเองก็กำลังรอคอยเวลาที่จะโดนใครสักคนผูกมัดใจจะขาด 

“ถึงเวลาเจอคนที่กูคิดว่าใช่ เดี๋ยวกูก็หยุดเองแหละ แต่ถ้าไม่ใช่ อะไรก็หยุดวิญญาณคนร่าน2017 ในตัวกูไม่ได้”

“เฉียบมาก กูขอยืมไปลงเพจคำคมได้มั้ยวะ” 

ผมขำพรืดจนแทบจะพ่นหมูสับออกมาทางจมูก คนห่าอะไรวะ แซะตัวเองแรงๆ ก็ได้ แต่โชคดีนะที่คนพูดคือไอ้บี๋ ถ้าเป็นผมพูดล่ะก็รับรองว่าต้องมีคนคิดว่าจริงแหง

ภาวะเดดแอร์เกิดขึ้นเมื่อผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี สายตาจึงกลับมาจดจ้องยังกระดาษงานบนโต๊ะสลับกับข้าวกล่องที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่คำ แล้วอยู่ดีๆ ไอ้บี๋ก็เอื้อมมือมาตบบ่าผมแบบไม่มีสาเหตุ

“มึงเองก็เหมือนกันนะ ไอ้ชา”

“อะไรวะ?”

ผมขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะย้อนถามเพราะคำพูดที่โคตรจะไม่มีที่มาที่ไปของเพื่อนสนิท แต่แล้วมันก็ยิ้มน่ารักอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำพ่วงด้วยคำปลอบใจสไตล์มนุษย์โลกสวย

“ไม่ต้องรีบร้อน คนที่เขารักมึงจริงๆ ยังไงก็ต้องมีอยู่แน่”

“รอให้มีคนรักกู สู้รอให้หมาตัวผู้ออกลูกยังง่ายกว่า”

ผมแค่นยิ้มตอบติดตลกออกไปเหมือนไม่คิดมากกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงก็รู้กันดีอยู่แล้ว ตราบใดที่เมืองไทยยังปลูกดอกลาเวนเดอร์ที่สวนหลังบ้านไม่ได้ ผมก็คงไม่มีที่วิ่งเล่นท่ามกลางแสงเดือนแสงดาวรอจนกว่าจะมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิตหรอก

แต่ถ้าเป็นพวกผู้ชายกะหลั่วเฮงซวยที่เรียกสายฟ้าสายฝนผ่าลงกลางหัวแบบพี่เอกล่ะก็จะไม่แปลกใจเลย....




“ไอ้ชา~”

ทันทีที่อาจารย์บอกเลิกคลาส บีบี๋ก็ถลาเข้ามาเกาะแขนผมแน่นยิ่งกว่าหอยทากเกาะกำแพงหลังจากที่มันเอาแต่แอบจิ้มโทรศัพท์ตลอดคาบบ่าย ยิ่งมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ ไม่ต้องอ้าปากก็เห็นยันลิ้นไก่ไส้ติ่งแล้วว่ามันต้องการอะไร

“เดี๋ยวมึงจะไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“กูว่าจะกลับบ้านเลยว่ะ”

ผมว่าพลางยัดหนังสือภาษาอังกฤษใส่ในเป้ ยังปวดหัวไม่หายกับคำศัพท์ห่าเหวที่อาจารย์พ่นมาตลอดสองชั่วโมงเต็ม ไม่อยากเชื่อว่าอุตส่าห์หนีมาเรียนอินทีเรียแล้วจะยังต้องเจออะไรแบบนี้อยู่ แต่ถึงผมจะพูดแบบนั้นก็ใช่ว่าจะช่วยให้ไอ้บี๋ยอมปล่อยมือจากผมง่ายๆ 

“มีอะไร? ชวนแดกหมูกระทะเหรอ?”

“ปล่าวววววว”

เพื่อนตัวเล็กยืนบิดไปบิดมา ทำท่าเขินทั้งๆ ที่หน้าผมก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายเหมือนบรรดาคนคุยของมันเลยสักนิด กว่าจะพูดออกมาได้ก็ต้องรอจนกว่าดอกพิกุลจะร่วงจากต้นนั่นละ 

“แบบว่า พี่อาร์ทเขาชวนกูไปเบอร์ลิค กูไม่กล้าไปคนเดียวก็เลยจะชวนมึงไปเป็นเพื่อนหน่อย”

“ชวนมึงไปเบอร์ลิคเนี่ยนะ?”

แค่ได้ยินชื่อสถานที่นัดหมาย ผมก็ส่ายหน้าไม่เอาด้วยทันที ถ้าเป็นร้านนั่งเล่นกินดื่มอย่างเคียงมอค่อยว่าไปอย่าง 

“ไม่เอาว่ะ วันนี้กูไม่ได้ให้ข้าวไอ้มิลค์เผื่อไว้ด้วย ไม่อยากกลับดึก เดี๋ยวแม่งร้องแล้วแม่กูจะมาวุ่นวายเรื่องเลี้ยงแมวอีก”

“โห่วววว ไอ้ชา มึงห่วงน้องมิลค์มากกว่ากูอีกเหรออออ”

“เออ”

“น่านะ เพื่อนชา.... กูไม่อยากปฏิเสธพี่อาร์ทว่ะ เขาอุตส่าห์จะแนะนำกูกับเพื่อนๆ แต่จะให้ไปคนเดียวมันก็ยังไงอยู่ มึงไปกับกูสักครั้งไม่ได้เหรอ น้า~~~”

บีบี๋ทำเสียงกระเง้ากระงอดเกาะแขนผมแน่นกว่าเดิม ในตอนนี้เพื่อนคนอื่นเริ่มหันมามองเหมือนอยากจะถามว่าผมกับไอ้บี๋กำลังเบี้ยนกันหรืออย่างไรไม่ทราบ เอาจริงๆ เลยนะ เหตุผลที่ผมไม่อยากไปข้อแรกก็เพราะกิตติศัพท์ของร้าน เหตุผลข้อสองก็คือเซนส์จับสันดานชั่วของผมมันกำลังบอกว่าเรื่องนี้แม่งโคตรมีเงื่อนงำ คำชวนของพี่อาร์ทจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

“เมื่อเช้ามึงบอกว่าแค่ลองคุยๆ กันไปก่อน แต่พอตกเย็นบอกว่าจะเปิดตัวมึงกับเพื่อนเนี่ยนะ ไม่คิดว่ามันฟังดูประหลาดเกินไปหน่อยเรอะ ไอ้บี๋?”

“ก็แบบ......ถ้าจะคบกันมันก็ไม่ใช่แค่กูกับเขาไง แต่ยังมีเพื่อนเขา สังคมของเขาที่กูยังต้องเรียนรู้อีก......ก็เลยแบบ......แบบ...........”

เชี่ยบี๋พยายามแถ แถหน้าด้านๆ แถจนสีข้างถลอกปอกเปิกจนผมกลายเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเองก่อนจะตัดสินใจถามมันตรงๆ

“แบบว่ามึงแค่อยากไปแรดเบอร์ลิค ว่างั้นเหอะ”

“อ้ะ รู้ใจกู~”

โดนจับไต๋ได้แทนที่จะสลดสักนิดก็ไม่มี ยังจะมายิ้มระรื่นทำงุ้งงิ้งใส่ผมได้อีก

ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก็เข้าใจแหละว่าอาการอินเลิฟมันสามารถทำให้คนเราหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นกับดักหลุมพรางตรงปลายเท้าตัวเอง.... ผมก็เป็นออกบ่อย ครั้งสุดท้ายก่อนจะหายโง่ก็คือตอนที่มีเรื่องเพราะพี่เอกนั่นไง แล้วผมก็คงเสียใจถ้าหากพลังบวกของจักรวาลอย่างบีบี๋จะต้องมัวหมองด้วยน้ำมือของพวกตัวผู้ที่มีสมองอยู่ตรงหว่างขาและไม่เคยคิดเหี้ยอะไรนอกจากเรื่องใต้สะดือเลย

“ไปก็ได้ แต่กูไม่หารเหล้ากับมึงนะ กูแดกแต่มิกเซอร์กับเอ็นข้อไก่ทอด”

ผมรู้จักนิสัยขี้ตื๊อของบีบี๋ดี เห็นมันน่ารักง้องแง้งอย่างนี้แต่ก็ห่ามกว่าที่คิด ต่อให้ผมไม่ไปด้วยจริงๆ แต่มันก็คงเลือกจะไปอยู่ดี ก็สู้ตามไปนั่งเฝ้าระวังภัยให้มันสักครั้งคงไม่ถึงกับตาย

“โอเคร้~ กูเลี้ยงเฟรนช์ฟรายกับกุ้งแช่น้ำปลามึงด้วยเลย”

“หมูมะนาวด้วย”

“ได้จ้ะ ไอ้เชี่ยคุณเพื่อน”

“งั้นก็ดีล”

ก็หวังว่ามันจะเป็นแค่การเปิดตัวคนคุยในหมู่เพื่อนฝูงอย่างที่ไอ้บี๋มั่นใจ ไม่ใช่อะไรก็ตามที่จะทำให้ผมต้องจมอยู่กับคำครหาที่ว่าชอบแย่งแฟนชาวบ้านเหมือนแม่อีกก็แล้วกัน


TO BE CONTINUE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 01 [ 11/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 13-11-2017 09:39:11
ชอบสำนวนการเขียนคครับ และเนื้อเรื่องก็น่าติดตาม :L2: :L1:
กอดให้กำลังใจคนเขียนครับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 01 [ 11/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 16-11-2017 20:30:29
2
~ เรื่องบังเอิญครั้งที่สอง ~


บรรยากาศร้านเบอร์ลิคไม่ใช่อะไรที่ผมปลื้มสักเท่าไร เพราะมันเต็มไปด้วยสารพัดอบายมุขเท่าที่จะหาได้ในประเทศสารขัณฑ์แห่งนี้ แม้ภายนอกจะดูเป็นผับขายเหล้าเคล้าดนตรีเล่นสดเอาไว้ให้เพื่อนฝูงเฮฮาสังสรรค์กันธรรมดา แต่ก็เป็นที่ที่คุณสามารถสั่งยาไอซ์มาซี้ดเข้าจมูกไปพร้อมกับซดน้ำต้มข่าไก่ได้ ยังไม่รวมของเด็กๆ อย่างพวกบุหรี่ยัดไส้กัญชาหรือแม้แต่จะซื้อ-ขายบริการทั้งผู้หญิงผู้ชายอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อโคจรชนิดที่ผมกับบีบี๋ไม่ควรจะเฉียดเข้ามาเลยด้วยซ้ำ


ขึ้นชื่อว่าสถานที่แย่ๆ บรรดาคนที่มาเที่ยวแม่งก็ต้องฮาร์ดคอร์ตามไปด้วย ผมถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าไอ้พี่อาร์ทมันกล้านัดบีบี๋มานั่งในร้านแบบนี้ได้ยังไง.... ไอ้สายตาลวนลามน่ะผมรู้จักดี ชินแล้วด้วย แต่ถ้ามันมาพร้อมกันทุกทิศทางก็ยากเกินกว่าที่ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและควบคุมสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติได้


เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าบึ้งสนิท อารมณ์ก็บูดเช่นกัน....


“ยินดีต้อนรับว่าที่สะใภ้กลุ่มหน่อยเว้ย.... เอ้า ดื่มๆๆๆ” 


หนึ่งในเพื่อนพี่อาร์ทซึ่งผมขี้เกียจจะจำชื่อแหกปากตะโกนแข่งกับเสียงเพลง เหล้าสีเต็มแก้วทยอยแจกจ่ายไปรอบวงเป็นสัญญาณว่าพร้อมเมาฉลองคืนวันศุกร์เต็มที่

“น้องบี๋ เอาเรดหรือเอาเบียร์ดีครับ?” รุ่นพี่หนุ่มตี๋คนเดิมเอียงหน้ามาถามไอ้บี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างผม ยังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงโห่แซ็วขึ้นมาสำทับอีกระลอก

“หรือจะเอาพี่อาร์ทดีครับ ฮ่าๆๆๆ”

“เอาเบียร์ก็ดีกว่าครับ” บีบี๋ยิ้มเขิน ถ้าไฟในร้านสว่างกว่านี้อีกนิดรับรองว่าคงได้เห็นหน้ามันแดงไปถึงหูทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มสักแอะ

“งั้นรวดเดียวเลยนะ” 

พี่อาร์ทยุส่งก่อนจะส่งเบียร์สดหนึ่งแก้วเต็มๆ ให้คนตัวเล็ก ท่ามกลางความมืดที่มีเอ็นข้อไก่ทอดกับขวดชามะนาวขวางอยู่ตรงหน้า ผมพยายามส่งซิกพร้อมทั้งเตะขาเพื่อนให้รู้สึกตัว อย่าได้หลงคารมผู้ชายที่ส่อเจตนาจะมอมเหล้ามันแบบเนียนๆ อย่างเด็ดขาด

“บีบี๋ อย่าดื่มเยอะ”

“เออน่า กูไม่เป็นไรหรอก.... เห็นงี้แต่กูคอแข็งนะเว้ย”

กัลยาณมิตรอุตส่าห์เตือนด้วยความเป็นห่วงแต่เจ้าตัวกลับอยากจะโชว์พาวอวดผู้ ผมก็เลยไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้มันกระดกเบียร์ลงคอเอาอย่างที่สบายใจเลย

ถ้านี่เป็นบททดสอบความเข้ากันได้ระหว่างกลุ่มเพื่อนกับว่าที่แฟน ผมกล้าบอกเลยว่าไอ้บี๋คงผ่านฉลุยทุกด่าน เพราะนอกจากจะดื่มสารพัดแอลกอฮอลล์ที่พี่อาร์ทแอนด์เดอะแก๊งค์ประเคนให้แก้วแล้วแก้วเล่า มันยังพูดคุยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับเขาได้ทุกเรื่อง ทั้งผลบอลเมื่อคืน วิเคราะห์สาวไซด์ไลน์ วิจัยอาบอบนวด  หลีหญิงโต๊ะข้างๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งหน้าเป็นตูดและดูเป็นอะไรที่โคตรไม่เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่เสี้ยวกระผีก

“เฮ้ย มึงมีน้ำแข็งป่ะ เอามาแบ่งกูหน่อย”

“สัส แพงนะเว้ย.... เอาไปแล้วก็ซื้อมาคืนกูด้วย”

“เออน่า!”

และแล้วสิ่งที่ผมกังวลก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเพื่อนพี่อาร์ทส่งยาให้กันต่อหน้าต่อตาทุกคน ไม่มีหลบซ่อน ไม่มีความละอาย ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังทำผิดกฎหมาย ทำอย่างกับว่าผงสีขาวในซองซิปล็อคคือผงโอวัลตินใครกินก็อร่อยยังไงยังงั้น

“ไอ้โจ มึงเบาๆ ดิวะ.... เดี๋ยวก็ช็อกตายห่าคาร้านเขาหรอก”  พี่อาร์ทเตือน แต่เพื่อนที่ชื่อโจก็เอาหลอดตักยาสูดเข้าจมูกรวดเดียวไปแล้วเรียบร้อย

ผมไม่โอเคกับสิ่งที่เห็น การเสพยาไม่ใช่อะไรที่ผมอยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย จากที่ค่อนข้างนอยด์สภาพแวดล้อมอยู่แล้วก็เลยยิ่งแผ่รังสีมาคุมากกว่าเดิม.... ผมไม่ได้เกลียดการสังสรรค์และก็ยังมองว่าการที่ผู้ชายกินเหล้านั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ผมอยู่ในสถานะที่ต้องระมัดระวังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะถ้าหากผมเมา เล่นยาหรือก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ปลายทางมันจะไม่ได้จบแค่ถูกพ่อแม่ด่าเหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไป

“น้องทิชาอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วจะไม่ดื่มกับพวกพี่สักหน่อยเหรอ?”

“ไม่ล่ะครับ”  ผมตอบปฏิเสธเพื่อนพี่อาร์ทอีกคนซึ่งนั่งตรงข้ามกัน เห็นมาสักพักแล้วล่ะว่าเขาทั้งแปลกใจแล้วก็ขำที่ผมเอาแต่กินกับแกล้มเคล้าเลมอนไอซ์ที

“นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอกน่า.... ดื่มด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เต้ชงเรดให้”

“ชื่อทิชาแล้วยังกินแต่ชามะนาว น่ารักหน่อมแน้มยังกะเด็กม.ต้นแน่ะ”

“ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมสะดวกแบบนี้”

ถ้าชวนอย่างสุภาพก็ยังพอทน แต่ไอ้คนชื่อโจที่สูดไอซ์ไปเมื่อกี้ดันปากหมาแซ็วไม่ดูสี่ดูแปดจนผมแอบง้างตีนรออยู่ใต้โต๊ะ กะว่าถ้ามึงปากดีใส่กูอีกคำเดียวล่ะก็โดนแน่ จะผิดก็เพื่อนเวรของผมนี่แหละที่ดันผสมโรงไปกับพวกนั้นด้วย

“ทิชามันคออ่อนน่ะพี่ พวกพี่ที่คณะนัดไปก๊งกันทีไรมันก็กินได้แต่มิกเซอร์กับกับแกล้ม โคตรเปลืองเลย”

“เอาจริงดิ ไม่น่าเชื่อ”

“กูก็ว่างั้น.... ดูเรียบร้อยไม่เหมาะกับหน้าน้องมันเลยว่ะ”

“แล้วหน้าผมมันเป็นไงเหรอ?”

ผมทิ้งส้อมลงในจานเสียงดังแคร๊ง จากที่นั่งปั้นหน้านิ่งมาได้ตั้งนานก็เริ่มจะเหวี่ยงออกทางสายตาและคำพูด

“จะบอกว่าหน้าตาดูแรดไม่เหมือนคนไม่ชอบกินเหล้างั้นสิ?”

ผมไม่ได้ตะคอก แต่น้ำเสียงเย็นเฉียบก็ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบสนิทเหมือนโดนคำสาปลิ้นแข็ง พี่อาร์ทกับเพื่อนมองผมคล้ายอยากถามว่าเป็นเหี้ยอะไรมากไหมแต่ก็ไม่กล้า.... บีบี๋มันไม่ได้เมาหรือตั้งใจจะแซะเพื่อนหรอกแต่พอเหล้าเข้าปากแล้วดันพูดมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่ควรถือสา ทว่า ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางก็มีมากพอๆ กับความไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับรสนิยมส่วนตัว


โดยเฉพาะที่พวกแม่งคล้ายจะจี้ใจดำผมทางอ้อม ว่าหน้าตาเหมือนแม่ ก็ต้องชอบทำอะไรแย่ๆ อย่างที่แม่เคยทำ....!


“เหี้ยชา.... พี่เขาแค่หยอกเล่นเว้ย อย่าหัวร้อนง่ายดิมึง” 

บีบี๋หัวเราะแห้งหันมาลูบหัวผมหวังจะให้อารมณ์เย็นลง ตอนนี้มันคงรู้แล้วล่ะว่าสถานการณ์ระหว่างเพื่อนตัวกับเพื่อนว่าที่ผัวอาจบานปลายกลายเป็นสงครามในไม่ช้า ฑูตสันถวไมตรีจึงพยายามปล่อยมุขเรี่ยราดเกลี้ยกล่อมให้ผมสงบลง 

“อ้ะนี่ ไก่ทอดของโปรดมึง.... กินไก่ให้ใจเย็นๆ โนะคุณเพื่อน หรือมึงจะลากไปกินในน้ำก็ได้”

แต่ผมไม่ขำ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าขำตั้งแต่มีคนควักยาไอซ์มาดูดเล่นบนโต๊ะแล้ว 

“ไอ้บี๋ ปาร์ตี้เปิดตัวของมึงจบแล้ว.... กลับ!”

“ไอ้ชา มึงโกรธที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ.... กูขอโทษ”

คนตัวเล็กเสียงอ่อย สีหน้าเจื่อนสนิทเพราะเข้าใจว่าผมไม่ชอบที่มันเอาเรื่องวีรกรรมตัวจกกับแกล้มมาแฉกลางวงเหล้า มันเองก็ดื่มไปเยอะ สมองจะตกๆ หล่นๆ จนไม่ได้ยินอะไรไปบ้างก็ช่างเหอะ

“กูไม่ได้โกรธมึงเว้ย บี๋... แต่เชื่อกูเถอะว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่เหมาะกับมึงอยู่หรอก”

ประโยคหลังผมเน้นทั้งน้ำเสียงและสายตาไปทางพี่อาร์ทเต็มๆ ตั้งแต่รู้ว่านัดกันมาร้านนี้ ผมก็คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันไม่มีทางจบสวยได้แน่ๆ ซึ่งถ้าผมไม่สังหรณ์ใจในทางร้ายจนยอมตามมาเฝ้าบีบี๋ รับรองว่าต้องมีหมาตัวไหนสักตัวเทไอซ์ใส่แก้วเพื่อนผมแล้วลากมันไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนก็ไม่รู้

“เดี๋ยวสิครับ ทิชา”  พอผมดึงบีบี๋ให้ลุกขึ้น พี่อาร์ทก็ลุกตามทันที เขาดูโกรธจัดทีเดียวแต่ก็ยังมีสติมากพอจะคุยอย่างสุภาพชน  “พี่เป็นคนชวนน้องบี๋มา แล้วอยู่ดีๆ ทิชาจะมาบังคับให้เพื่อนกลับแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

“คราวหน้าพี่อาร์ทก็ชวนมันไปที่ดีๆ สิครับ ไม่ใช่พามันมานั่งร้านมั่วที่มีแต่เหี้ยนั่งดูดไอซ์กันหน้าสลอน” 

กลุ่มเพื่อนพี่อาร์ททำเป็นสะดุ้งโหยงกันทั้งโต๊ะ แต่ไหนๆ ก็พูดกันขนาดนี้แล้วก็คงไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจไว้หน้ากันอีกแล้วมั้ง

 “ถ้าพี่ไม่ดูดด้วยก็แล้วไป แต่เพื่อนขี้ยาแบบนี้เลิกคบได้ก็เลิกเหอะนะ ไม่พากันไปแก่ตายในคุกก็คงได้โอเวอร์โดสตายห่าเข้าสักวัน!"

“อ้าว ไอ้สัดนี่.... พูดงี้อยากเจ็บเหรอวะ!?”

"กูอุตส่าห์ไม่เล่นแม่งเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเมียมึงนะ ไอ้อาร์ท!”

โจกับเต้ (ในที่สุดก็จำชื่อได้) ลุกขึ้นชี้หน้าผม ในตอนนี้โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามองทางเรากันแล้ว แน่นอนว่าฤทธิ์เหล้าของฝั่งนั้นและความโกรธของผมทำให้ไม่มีใครหน้าบางยอมถอยกันสักคน

“ทิชา น้องพูดเกินไปแล้วนะครับ”

พี่อาร์ทยกมือเป็นเชิงบอกเพื่อนให้ยั้งตีนเอาไว้ก่อน แต่สีหน้าท่าทางและคำพูดคำจาวางมาดข่มขู่ขัดกับลุคพ่อพระที่เจ้าตัวพยายามพรีเซนต์เสียเหลือเกิน 

“ขอโทษเพื่อนพี่ซะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องกัน”

“ไอ้ชา........”  บีบี๋ดึงชายแขนเสื้อผมคล้ายว่าอยากให้ขอโทษพวกเชี่ยนั่นเหมือนกัน

“ก็แล้วแต่มึงนะบี๋ กูถือว่ากูเตือนมึงแต่แรกแล้ว” 

ไม่ว่าใครจะขอร้อง ผมก็ไม่สนทั้งนั้น ในเมื่อผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไอ้ขี้ยาสองตัวนั่นต่างหากที่เสียมารยาทวิจารณ์หน้าตาผม แล้วทำไมผมจะต้องยอมลดศักดิ์ศรีขอโทษเพื่อให้เรื่องจบด้วย

แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังเตรียมออกจากร้าน พี่อาร์ทก็รั้งผมไว้ด้วยคำถามที่ชวนให้เส้นเลือดในสมองเต้นตุบด้วยความโมโห

“อย่างน้องทิชายังมีอะไรให้เตือนคนอื่นได้ด้วยเหรอ? เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหมครับ?”

“อยากจะด่าอะไรก็ด่ามาตรงๆ เลยดิ!” 

ผมแหวใส่ รู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะเอาประเด็นไหนมาดิสเครดิตผม แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อไอ้พี่เต้กับไอ้พี่โจช่วยกันขุดเรื่องอับอายขายขี้หน้าของผมออกมาล้อเลียนกันสนุกปาก

“ไอ้อาร์ท มึงก็พูดไปเลยว่าใครๆ เขาก็รู้สันดานไอ้เด็กห่านี่กันหมดทั้งมหาลัยแหละว่ามันชอบเป็นเมียน้อยชาวบ้านเหมือนแม่มันอะ.... ถุย! ทำเป็นแอ๊บแดกเหล้าไม่เป็น รังเกียจพวกเล่นยา แต่กับผัวคนอื่นนี่ถึงไหนถึงกันเลยใช่ปะ”

“คดีล่าสุดมึงนี่อะไรนะ ใช่ไอ้เอก คณะบริหารหรือเปล่า.... ได้ยินว่าโดนเมียมันตามไปด่าประจานกลางสตาร์บัคเลยนี่ ฮ่าๆๆ”

ผมโกรธจัดจนหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายจะกลายเป็นน้ำเดือด.... คุณเคยโมโหอะไรสักอย่างมากๆ จนอยากรวบรวมเอาคำด่าหยาบๆ ทั้งโลกไปปาใส่หน้าคู่กรณี แต่ในความเป็นจริงกลับนึกคำพวกนั้นไม่ออก ทำได้แค่กำหมัดแน่นตัวสั่นแล้วก็น้ำตาคลอเพราะความเจ็บใจไหม นั่นละคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้

และระหว่างที่ยืนนึกหาทางตอบโต้อยู่นั้น ไอ้หมาขี้ยาก็ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดตัวผม

“ไอ้เหี้ย จับอะไรของมึงวะ!?”  ผมร้องโวยวายเมื่อหนึ่งในสองใช้มือขยำก้นผมเต็มๆ

“โห จับแค่นี้ทำหวงเว้ย” พวกมันหัวเราะ ทำราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขำฉิบหายที่ผมไม่เต็มใจให้ล่วงละเมิดทางเพศ 

“หรือกูเปิดเผยไปมึงเลยไม่ชอบวะ ต้องแอบๆ จับเหมือนที่ทำกับไอ้เอกสินะ มึงถึงจะยอม?”

“ปล่อย อย่ามาโดนตัวกู!!”

เหตุการณ์ยิ่งเลยเถิดเมื่อไอ้สองคนนั้นลากตัวผมเข้ามุมโซฟาได้สำเร็จ ผมดิ้นรนอยู่บนตักของคนชื่อเต้โดยที่มือของมันล็อกเอวไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนหนี ส่วนไอ้เหี้ยโจซึ่งกำลังดีดได้ที่เพราะน้ำแข็งที่เสพเข้าไปตามมาประกบทางด้านหน้า ฤทธิ์เหล้ายาผสมผสานกับสันดานเลวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดทำให้พวกมันดูถูกผมจนเกินกว่าที่จะให้อภัยได้

“เฮ้ย ทิชา.... ให้กูเอาทีนึงดิ เดี๋ยวกูจ่ายสดมึงสองหมื่นเลย โอเคปะน้อง?”

“กูด้วย ให้สามหมื่นเลย ถ้ายอมให้ปล่อยในกูจ่ายห้าหมื่น สนมั้ย?”

“ไอ้สัด! ไอ้พวกใจหมา! กูไม่ใช่กะหรี่โว้ย!!”

ผมทั้งตะโกนด่าทั้งดิ้นสุดแรงเกิด หากก็ไม่สามารถหยุดยั้งมือสากสกปรกที่สอดล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อได้ ผมขนลุกเกรียวด้วยความรังเกียจ ขยะแขยงเสียงหัวเราะและลมหายใจที่เป่ารดลงมาโดนผิวเนื้อ.... น้ำตาไหลไม่ใช่จากความหวาดกลัวว่าจะถูกรังแก แต่เป็นเพราะโกรธเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้ผมถูกมองว่าเป็นตัวร่าน เป็นของเล่นที่ใครจะเหยียดยามทำเหี้ยใส่ยังไงก็ได้

“พี่อาร์ท!!” บีบี๋หันไปโวยใส่คนคุยของมันเมื่อเหตุการณ์ดูท่าจะไปกันใหญ่ “บอกให้เพื่อนพี่ปล่อยไอ้ชาเดี๋ยวนี้เลยนะ.... ล้อเล่นอะไรกัน บี๋ไม่ตลกด้วยหรอก บี๋จะกลับแล้ว!!”

“นี่มันเรื่องของไอ้เต้กับไอ้โจ พี่ห้ามมันไม่ได้หรอก.... แล้วพี่ก็บอกให้เพื่อนบี๋ขอโทษพวกมันแล้วนะ แต่เขาไม่ยอมทำตามเองก็ช่วยไม่ได้”

ไอ้พี่อาร์ททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะดึงบีบี๋ให้นั่งลงตามเดิม แต่คราวนี้เพื่อนผมแม่งไม่ยอม มันสะบัดมือพี่อาร์ททิ้งพร้อมทั้งสบถเสียงลั่น

“โธ่เว้ย!”

ภาพที่ผมเห็นก็คือไอ้บี๋คว้าขวดชามะนาวบนโต๊ะตรงดิ่งมาทางนี้ หน้ามันดูโมโหมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่อาร์ทพยายามจะตามมาคว้าตัวเพื่อนผมให้ถอยกลับไปแต่ก็ช้าเกินไปแล้ว.... ขวดแก้วในมือบีบี๋เงื้อสูงขึ้นในอากาศ ในตอนนั้นผมคิดว่ามันจะต้องฟาดลงบนหัวไอ้เต้หรือไอ้โจคนไหนสักคนแน่

แต่ทว่า....



โครม!!!



“โอ๊ย!!!!”

มีเสียงของหนักหล่นกระแทกพื้นอยู่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ผมรีบตะกายตัวลุกขึ้นทันทีที่หลุดจากพันธนาการ เพื่อนรักของผมยังคงยืนถือขวดชามะนาวค้างอยู่ตรงที่เดิม หน้าตาดูเหวอหนักมากก่อนที่มันจะรีบเข้ามาคว้าตัวผมให้ออกมาจากมุมโซฟาตรงนั้น

แล้วเราก็ได้ยืนดูไอ้ขี้ยาสองตัวชดใช้กรรมด้วยกัน....

“เฮ้ย มึงมาเสือกอะไรด้วยวะ!!??”

“มึงกล้าถีบกูเหรอ ไอ้สัด!”

อ้อ ที่แท้เสียงหล่นตุ้บจากโซฟาเมื่อกี้เพราะโดนตีนอัดเข้าเต็มๆ นี่เอง

“เออ กูกล้า” 

หนึ่งในพลเมืองดีตอบหน้าตาย แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมก็เห็นสายตาคมปลาบของคนที่ยืนหน้าสุดมองพวกเพื่อนพี่อาร์ทอย่างเอาเรื่อง ฝูงชนรอบข้างที่แดนซ์กระจายลืมตายกันอยู่เมื่อครู่แตกฮือเพราะกลัวโดนลูกหลง เปิดทางให้เจ้าถิ่นตัวจริงและพรรคพวกเข้ามาประจัญหน้ากับทีมพี่อาร์ท 
“แล้วถ้ามึงสองตัวยังไม่หยุดทำอะไรชั่วๆ ล่ะก็ รับรองว่ากูไม่ทำแค่ถีบมึงหน้าหงายแบบตะกี้แน่!”

“พวกมึงอยู่วิดวะใช่มั้ย?” 

พี่อาร์ทก้าวออกมาขวางหน้าเพื่อน ใช้ความเป็นหัวโจกของแก๊งค์เจรจากับคู่กรณีซึ่งดูเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน

“ที่ร้านนี้มีกฎว่าเรื่องของใครของมัน ห้ามมาก้าวก่ายข้ามโต๊ะ กูว่าพวกมึงกลับไปที่ของตัวเองจะดีกว่า”

“ตอนแรกกูเห็นสองคนนี้มากับมึง กูก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แต่เด็กมันลุกจากโต๊ะมึงแล้ว เพื่อนมึงต่างหากที่ไปลากเขากลับมาปล้ำน่ะ”

“ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”

“แล้วแบบไหนวะถึงจะเรียกว่าเข้าใจถูก? จะบอกว่าไอ้เจ้านี่มันเต็มใจให้พวกเพื่อนมึงข่มขืนกลางร้านรุ่นพี่กูงั้นดิ?” 

ผู้ช่วยเหลือยักไหล่กวนตีนกลับเมื่อฝั่งพี่อาร์ทปฏิเสธหน้าตายว่าที่ไอ้เต้กับไอ้โจทำเมื่อกี้ก็แค่ล้อเล่นกันขำๆ สะเก็ดดาวในหมู่พี่น้อง ก่อนที่ร่างสูงจะหันมาหาผมเพื่อถามย้ำว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่   

“ว่าไง ตกลงว่ามึงสมยอมพวกมันหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้า อันที่จริงแค่สภาพหัวยุ่งเหยิง เนื้อตัวมีรอยช้ำจากการถูกฉุดกระชากแรงๆ ก็เป็นยิ่งกว่าหลักฐานอยู่แล้ว

“งั้นกูว่าก็น่าเคลียร์ได้แล้วมั้ง หรือมึงอยากให้คนทั้งมหาลัยรับรู้เรื่องที่เพื่อนมึงทำล่ะ?”

“แล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรพวกกูได้?”

“ไสหัวไปดีๆ เหอะว่ะ พวกมึงสามตัวเรียนวิทยาไม่ใช่เหรอ.... ถ้าคิดจะเรียนด้วยเงินพ่อมึงแม่มึงก็แล้วไป แต่ถ้าจะต่อโทแล้วเกิดอยากได้ทุนวิจัยขึ้นมา กูว่าคดีล่วงละเมิดทางเพศกับเสพยาอาจจะทำให้พวกมึงอยู่ยากสักหน่อยนะ”

“มึงขู่กูเหรอ?”

“ถ้ามึงจะไม่เอาทุนก็ไม่เห็นต้องกลัว” 

พอโดนต้อนเข้าหน่อย ไอ้พี่อาร์ทก็หน้าเสียไปเหมือนกัน สงสัยเงินที่เอามาเที่ยวเปย์ไอ้บี๋ก็คงกู้กยศ.มาแหง  ไอ้พี่เต้ก็เงียบสนิทเหมือนมีคนส่งส้นเท้าให้อม เหลือแต่ไอ้พี่โจที่ยังห้าวเป้งท้าคนตรงหน้าเหยงๆ คงเพราะยาไอซ์ที่ซี้ดเข้าไปทำให้มองเห็นช้างตัวเท่ามด

“บ้านกูรวยเว้ย!” มันว่าก่อนจะชี้หน้าผม ทำท่าคล้ายจะดึงตัวผมกลับไปที่เดิมให้ได้  “แล้วกูก็ยังไม่จบธุระกับไอ้เด็กเหี้ยนี่ด้วย อุก..........!!”

ยังไม่ทันขาดคำ ฝ่าเท้าหุ้มด้วยรองเท้าไนกี้ Air Max Zero ก็ยันโครมเข้าให้ที่กลางอก ส่งมนุษย์ขี้ยาให้ลงไปนอนกองเป็นหมาตายคาพื้น รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าของตีนขณะเดินเข้าไปกระทืบท้องซ้ำไม่ให้ลุกขึ้นมาซ่าส์ได้อีก

“อ้อ กูลืมเตือนมึงอีกอย่างนึงว่ะ” 

มือใหญ่กระชากคอเสื้อไอ้พี่โจทั้งที่แม่งกำลังสำลักจุกดิ้นทุรนทุราย พี่อาร์ทกับลูกสมุนอีกตัวก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปช่วยเพราะเจ้าของเสียงห้วนประกาศกร้าวว่าถ้ายังกล้าเปรี้ยวตีนอีก รับรองไม่ได้ขับรถกลับหอแบบครบสามสิบสองแน่ 

“นอกจากจะต้องระวังเรื่องทุนแล้ว อีกอย่างนึงก็มึงควรระวังก็คือคณะวิศวะ เพราะพวกกูน่ะโคตรจะสามัคคีกันเลยเวลายำตีนไอ้ขี้ยาคณะวิทย์ฯ หวังว่ามึงคงไม่โง่!”


เรื่องที่เคยได้ยินมาอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับร้านเบอร์ลิคก็คือ หุ้นส่วนของร้านเป็นรุ่นพี่คณะวิศวะ ฯ ที่จบไปนานแล้วแต่เบื่อจะทำงานกับเครื่องยนต์เลยหันมาเอาดีทางขายอบายมุขแทน พวกรุ่นน้องในสายก็เลยค่อนข้างจะมีสิทธิ์เข้านอกออกในประหนึ่งเจ้าถิ่น....

ปกติแล้ว ก็อย่างที่ไอ้พี่อาร์ทมันบอกนั่นแหละว่าทุกคนที่มาเที่ยวที่นี่จะไม่ก้าวก่ายข้ามโต๊ะกัน ใครอยากดื่มเหล้า อยากแดนซ์ อยากพี้ยา หรือจะทำอะไรก็เชิญ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตัวร้านก็จะไม่มีใครมาขวาง แต่คราวนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแก๊งค์วิศวะซึ่งน่าจะรับสืบทอดหน้าที่เฝ้าเบอร์ลิคถึงมาเช็คบิลเก็บโต๊ะพี่อาร์ทกับเพื่อนแบบนี้

ผมกับบีบี๋ออกมานอกร้านได้อย่างปลอดภัยก็เพราะได้พวกวิศวะฯ คุ้มกันประหนึ่งบอดี้การ์ด พอได้แสงไฟด้านหน้าบวกกับระยะสายตาที่กำลังพอเหมาะ ร่างสูงใหญ่ที่เป็นคนวอร์กับไอ้พี่อาร์ทและถีบไอ้เชี่ยพี่โจจนกลิ้งไม่เป็นท่าก็หันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วแน่น แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

“กูว่ามึงนี่หน้าตาคุ้นๆ.......”  เขาพูดแบบไม่ค่อยแน่ใจ  “มึงใช่ทิชาที่อยู่สินกำมั้ยวะ?”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะย้อนถามบ้างตามมารยาท  “ใช่พี่โรมที่เคยเจอกันเมื่อตอนนั้นหรือเปล่าครับ?”

“เออ กูเอง”

แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมจำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างในแล้ว....

“ทำไมกูต้องมาเจอมึงตอนกำลังมีเรื่องตีกับชาวบ้านเขาอยู่ทุกทีเลยวะเนี่ย?”

“ไม่รู้ดิพี่ สงสัยดวงสมพงษ์กันมั้ง” 

ผมหัวเราะพลางตอบทีเล่นทีจริง แต่จะว่าไปแล้วก็คงต้องบอกว่าผมตอบจริงมากกว่า เพราะการที่ผมจะได้รับความช่วยเหลือจากคนๆ เดียวกันถึงสองครั้งสองคราวมันไม่น่าจะใช่แค่ความบังเอิญเพียงอย่างเดียว มันจะต้องมีผีผลักหรือไม่ก็บุพเพอาละวาดร่วมด้วยช่วยกันชัวร์

“ไอ้ชา มึงรู้จักพี่เขาด้วยเหรอ?”

ไอ้บีบี๋แอบกระซิบถาม ดูท่าทางมันออกจะหวาดๆ พี่โรมอยู่นิดหน่อย ซึ่งผมคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะพี่โรมเป็นคนตัวใหญ่ไซส์หมีกรีซลีย์ พูดจาโผงผางท้าตีท้าต่อยตามประสาพวกวิศวะฯ ทั่วไป แตกต่างจากหนุ่มตี๋เจ้าสำอางแบบพี่อาร์ทที่มันชอบชนิดฟ้ากับเหว (แน่นอนว่าไอ้เชี่ยพี่อาร์ทต้องเป็นเหว)

“พี่โรม คนที่ให้กูยืมเสื้อตอนที่มีเรื่องกับเมียพี่เอกน่ะ”

“อ้อ.... เจ้าของเสื้อช็อปภาคเครื่องกลคนนั้นนี่เอง~”

คราวนี้ไอ้บี๋ตื่นเต้นตาโตขึ้นมาเชียว จากที่หลบอยู่ข้างหลังผมก็โผล่มามองพี่โรมและพรรคพวกอย่างสนอกสนใจ

ผมได้ยินพี่โรมคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่ยังอยู่ข้างในร้าน ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะบังคับไอ้พี่อาร์ทกับเพื่อนชั่วของแม่งออกไปทางด้านหลังเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าตอนนี้ผมกับบีบี๋ปลอดภัยดีทั้งคู่ ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนดักตีหัวที่ลานจอดรถอย่างที่พวกหมาลอบกัดชอบทำกัน.... ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเรียกอูเบอร์ก่อนจะเดินออกไปรอรถตรงทางเข้า พี่โรมยังคงเดินตามติดผมทุกฝีก้าวจนแทบจะขึ้นมาขี่คอเป็นผีชัตเตอร์อยู่รอมร่อ ปากก็บ่นยืดยาวไปเรื่อยยิ่งกว่าครูฝ่ายปกครองสมัยมัธยม

“กูจะไม่ถามนะว่ามึงไปรู้จักกับไอ้ห่าสามตัวนั่นได้ยังไง มหาลัยแม่งก็มีกันอยู่แค่นี้ แต่มึงเห็นชื่อร้านนี้แล้วทำไมถึงยังกล้าเหยียบตีนเข้ามาอีก.... ได้ยินที่ไอ้หน้าปลาจวดนั่นพูดไหมว่าคนที่นี่เขาไม่เสือกเรื่องชาวบ้านกัน ถ้าพวกกูไม่อยู่แล้วไอ้ขี้ยานั่นมันจะข่มขืนมึงจริงๆ ก็ไม่มีใครเขาช่วยมึงได้หรอก”

ผมโดนด่าเต็มๆ ก็ยอมรับแหละว่าที่โดนไปนั้นครึ่งหนึ่งเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะความแรดของไอ้เชี่ยบี๋ที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ

“ทีพวกพี่ยังมาได้เลย.......”  ผมเถียง ไม่รู้จะเถียงไปทำไมแต่ก็ยังอยากจะเถียงอยู่ดี

“กูมาช่วยรุ่นพี่กูเปิดแผ่นโว้ย แล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย”

“ผมก็ผู้ชายนะ”

“แต่มึงเป็นผู้ชายที่โดนผู้ชายด้วยกันจับตูดแล้วปล้ำได้”

ผมอ้าปากค้างเถียงไม่ออก แสดงว่าไอ้พี่โรมแม่งเห็นเหตุการณ์ที่ผมโดนกลุ่มพี่อาร์ทลวนลามมาตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า

เจ้าของมือใหญ่ขยี้หัวผม เรียกสายตาผมให้แหงนขึ้นมองใบหน้าคมในระยะประชิด.... ครั้งแรกที่เจอกัน ผมยอมรับว่ามันคือความประทับใจบวกซาบซึ้งที่พี่โรมอุตส่าห์ช่วยเหลือรุ่นน้องต่างคณะผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากคืนเสื้อช็อปไปแล้ว ผมก็แทบไม่ได้นึกถึงวีรกรรมฮีโร่ของพี่โรมอีกเลย อย่างเดียวที่สลักฝังแน่นอยู่ในความทรงจำก็คือหน้าตาหมีๆ ของผู้ชายปากร้ายใจดีซึ่งขึ้นมึงขึ้นกูใส่ผมตั้งแต่คุยกันได้ยังไม่ถึงสองนาที

ให้ตายเถอะ ผมจำหน้าพี่โรมได้ก็จริง แต่ไม่ยักกะจำได้เลยว่าเขาจะเป็นมนุษย์หมีที่หล่อขนาดนี้

สัดเอ๊ย.... หล่อฉิบ!


“เห็นมึงเจ็บแล้วกูก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมนะ ทิชา แต่มึงน่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยดิวะ.... คราวก่อนก็โดนไอ้เหี้ยเอกหลอกให้เสียหมา คราวนี้ก็โดนรังแกอีก นั่นเพราะคนอื่นเขามองออกว่าจุดอ่อนของมึงคืออะไรไง มึงก็ต้องอย่าเอาตัวเองไปอยู่ใจจุดที่เขาจะเอาเปรียบมึงได้ง่ายๆ สิ”

ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดใส่หน้าแบบนี้ ผมคงสวนกลับไปแล้วว่า ‘แล้วมึงเสือกไรด้วย?’ แต่พอดีว่านี่คือพี่โรมที่ผมกำลังจ้องหน้าเขาจนตาค้างอยู่ ผมก็เลยโกรธไม่ลง.... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพราะพี่โรมเขาดูคล้ายจะเป็นห่วงผมจริงจังมาก ผมก็เลยไม่คิดจะเหวี่ยงใส่ต่างหาก

“หูย เท่จัง.......”

บีบี๋ตบมือเปาะแปะ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะชมพี่โรมจริงๆ หรือแกล้งปากมอมด้วยอารมณ์หมั่นไส้กันแน่ แต่พี่โรมละสายตาจากผมไปแยกเขี้ยวใส่มันทันที

“มึงก็ด้วย ไอ้ตัวเล็ก.... กูเห็นนะว่ามึงจะเอาขวดลิปตันอันเท่าฝ่ามือไปเพ่นกบาลไอ้ขี้ยานั่น ตัวเท่าข้าวสารแต่เปรี้ยวตีนฉิบหาย!”

“ก็บี๋จะช่วยเพื่อนอะ!”

“ก็แล้วถ้ามันหันมาเล่นงานมึง มึงว่ามึงกับเพื่อนจะรอดมั้ย หรือจะพากันตายห่าทั้งคู่!?”

เอาเป็นว่าทั้งผมและไอ้บี๋ ไม่มีใครเถียงสู้พี่โรมได้สักคน แต่ก็อย่างว่าแหละ มันผิดตั้งแต่พวกเราสองคนก้าวเท้าเข้ามาในเบอร์ลิค สถานที่โคตรอโคจรของชาวกรุงเทพ สถานที่ที่สามารถทำให้ชีวิตของใครบางคนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในชั่วข้ามคืน

และมันก็เป็นสถานที่ที่ผมจะมาเจอพี่โรมได้ทุกเมื่อที่อยากเจอ....

“รถมึงมาแล้วใช่มั้ย?”  พี่โรมถามหลังจากที่ผมเพิ่งกดวางสายคนขับ รถที่จะมารับอยู่ห่างออกไปแค่ห้าสิบเมตรนี่เอง

“งั้นผมไปก่อนนะครับพี่ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องในร้านเมื่อกี้ด้วย”  ผมยกมือไหว้ทั้งบอกลาและขอบคุณไปพร้อมกันแบบทูอินวัน

อูเบอร์ที่ผมเรียกจอดเทียบริมฟุตบาท ผมเปิดประตูให้บีบี๋ขึ้นไปนั่งเบาะหลังก่อนแล้วตัวเองค่อยตามไป แต่ก่อนที่จะดึงประตูปิดเป็นสัญญาณให้พี่คนขับซิ่งได้ พี่โรมก็เรียกผมซะเสียงดังลั่นถนน

“เดี๋ยวเด่ะ ทิชา!” 

ผมรีบชะโงกหน้าออกมาด้วยความตกใจ นึกไปเองว่าไอ้พวกพี่อาร์ทมันย้อนกลับมา ทว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือโทรศัพท์ไอโฟนของพี่โรมพร้อมกับคำพูดที่ว่า 

“.....กูขอแอดไลน์มึงหน่อย”

“แอดไม?” 

ผมทั้งอึ้งแล้วก็งงหน่อยๆ ออกแนวตั้งตัวไม่ติด ไม่คิดว่าคนอย่างพี่โรมจะอยากคุยอะไรกับผมมากไปกว่าที่บังเอิญพบกันสองครั้ง

“ก็กูเป็นคนส่งมึงขึ้นรถ กูก็ต้องเช็คว่ามึงถึงบ้านไหมวะ?”  เขาว่าก่อนจะยัดเยียดมือถือให้ผมพิมพ์ไอดีไลน์เพื่อแอดไว้ในเฟรนด์ลิสต์  “เดี๋ยวมึงแคปหน้าจออูเบอร์ที่มันมีโชว์ทะเบียนรถส่งให้กู พอถึงบ้านแล้วก็ทักมาบอกด้วย”

“พี่เป็นพ่อผมหรือไงเนี่ย?”  ผมทำเป็นบ่นแต่ก็ยอมให้พี่โรมแอดไลน์โดยดีไม่มีขัดขืน

ทว่า ประโยคที่ได้ยินต่อจากนี้แม่งเป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ


“ให้มีลูกดื้ออย่างมึงนี่กูไม่เอาด้วยหรอก แต่ถ้าเป็นเมียก็คงพอไหว......”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 16-11-2017 21:12:49
เขินโรมอ่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 17-11-2017 00:00:11
พูดเล่น พูดหยอกหรือรุกจีบ--
ทิชาซวยติดๆกันเลย โอ๋เอ๋นะ เอฟซีพี่โรม?!!
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 17-11-2017 00:52:33
เอาเลยค่ะพี่ จะทำอะไรก็ทำ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 17-11-2017 08:58:16
ดราม่าหนักแน่ๆ

เอาจริงนะ บี๋นี่ควรจะคิดให้ใากกว่านี้ ความแรดมันเป็นภัยต่อตัวมากๆ

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Annkhanista ที่ 17-11-2017 17:17:43
โรมโคตรเท่ 
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 18-11-2017 21:07:36
ต่อจากข้างบนอีกนิดนะคะ

+++++++++++


สติผมโคตรเบลอ ตัวแข็งทื่อเหมือนปลาช่อนที่โดนทุบหัวเข้าอย่างจัง จับใจความแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่พี่โรมพูดเมื่อกี้มันคืออะไรและหมายความว่าอย่างไร เพราะกว่าสมองจะประมวลผลเสร็จ รถคัมรี่ที่มารับผมกับบีบี๋ก็เคลื่อนตัวออกมาจากถนนด้านหลังมหาวิทยาลัยแล้ว

ผมแคปหน้าจออูเบอร์ส่งให้พี่โรมในไลน์ตามคำสั่ง เขากดอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ไอ้บี๋ก็ดังขึ้นมาพอดี เห็นเป็นชื่อพี่อาร์ท มันก็ทำหน้าแหยงแล้วกดบล็อคเบอร์ทันที ก่อนจะตามไปบล็อกไลน์ ไอจี เฟซบุค เรียกได้ว่าตัดขาดทุกช่องทางไม่คิดจะเผาผีกันอีกเลย

“ไม่คุยแล้วเหรอวะ?”  ผมถาม

“ไม่แล้วอะ”

คำตอบของมันทำให้ผมต้องพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกปนรู้สึกผิด

“กูขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไร?”  บีบี๋หันมามองหน้าผม ร่องรอยชองความประหลาดใจพุ่งทะลุออกมาจากนัยน์ตากลมโต

“ไม่รู้ดิ.... กูก็แค่อยากขอโทษมึงเรื่องพี่อาร์ท กูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทำให้เรื่องของมึงกับเขาพัง ถึงเพื่อนแม่งจะโคตรเชี่ยเลยก็เหอะ”

ไอ้บี๋หัวเราะก๊ากหลังได้ยินคำสารภาพแสนซื่อจากผม

“กูจะบอกว่า ถึงมึงจะไม่มีเรื่องกับเพื่อนพี่อาร์ท กูก็ไม่คิดจะคุยกับเขาต่ออยู่แล้วล่ะ........” 

คราวนี้ผมเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง ทั้งที่คิดว่าบีบี๋จะต้องมีผิดหวังบ้างเพราะก่อนหน้านี้เห็นมันกระดี๊กระด๊าเพ้อถึงพี่อาร์ทอยู่ค่อนวัน แต่บทจะตัดก็ตัดในฉับเดียวแบบเลือดเย็นผิดกับหน้าตาบ้องแบ๊วของมันสุดๆ 

“มึงคงคิดว่ากูเอาแต่นัวกับพี่อาร์ทจนมองไม่เห็นสิ่งที่มึงเห็นล่ะสิ.... กูเห็นแล้วว่าไอ้สองตัวนั่นมันเล่นยา กูก็ไม่โอเคในใจแหละ แล้วกูก็คิดด้วยว่าคนจะคบกันเป็นเพื่อนได้ ศีลแม่งต้องเสมอกันในทางใดทางหนึ่งแน่นอน.... แต่จะให้โวยวายตอนนั้นมันก็ใช่เรื่องมั้ยวะ ไหนๆ กูก็แต่งตัวเสียค่ารถออกมาแล้ว กูก็ต้องกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยชิ่งนิ่มๆ ดิ”

“ไอ้บี๋ มึงมันงูพิษ!”  กลายเป็นผมที่ต้องอ้าปากค้างเพราะคิดไม่ถึงว่าเพื่อนตัวเองจะร้ายกาจล้ำลึกหลายมิติขนาดนี้

“แต่มึงรู้มั้ยไอ้ชา สิ่งที่กูรับไม่ได้มากที่สุดไม่ใช่เรื่องยาหรอก.... แต่กูไม่ชอบที่พวกนั้นพูดจาดูถูกมึง แถมยังทำเชี่ยใส่มึงอีก” 

บีบี๋พูดก่อนจะหันมามองหน้าผม ท่ามกลางความมืดที่มีแต่แสงไฟจากถนนในเมืองหลวงและท้ายรถคันหน้า ผมกลับเห็นความห่วงใยจากเพื่อนสนิทชัดเต็มสองตา 

“ที่กูบอกให้มึงขอโทษไอ้พี่โจกับไอ้พี่เต้ก็เพราะกูไม่อยากให้มึงโดนเล่น ไม่ใช่เพราะว่ากูหลงพี่อาร์ทจนไม่อยากมีเรื่องกับเขาอย่างที่มึงคิดนะ”

ผมว่าผมรู้แหละ รู้ตั้งแต่ตอนที่ไอ้บี๋คว้าขวดชามะนาวจะหวดเอาเลือดชั่วไอ้พี่โจกับไอ้พี่เต้เพื่อปกป้องผมแล้ว

“ขอบใจนะ ไอ้บี๋”

ยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ในมือผมก็เด้งข้อความไลน์ขึ้นมาบนหน้าจอ เมื่อคนที่ผมเพิ่งทักไปไม่กี่นาทีก่อนพิมพ์ตอบกลับมา



Do_As_RomanS : ใกล้ถึงบ้านยัง

Do_As_RomanS : ถึงบ้านมึงแล้วถ่ายรูปส่งมายืนยันด้วย
                    น้องกูก็ไม่ใช่ ทำไมกูต้องห่วงมึงด้วยเนี่ย

Tisha_950701 : *สต๊กเกอร์หน้างง*

Do_As_RomanS : วันนี้ร้านคนแน่นชิบหาย กูไปทำงานต่อละ

Tisha_950701 : เคครับ



บางทีโลกของผมมันอาจจะไม่ได้มืดมิดขนาดนั้นก็ได้มั้ง

อย่างน้อย ผมก็คิดว่าตัวเองพอจะหาแสงสว่างเจอบ้างแล้วล่ะ....




TO BE CONTINUE

+++++

ในที่สุดก็เริ่มมีคนเม้นให้แล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: hellfire ที่ 18-11-2017 21:36:19
มาเม้นนนนนน เป็นกำลังใจให้ทิชาและคนเขียนค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 19-11-2017 21:59:10
3
~ ขั้วบวกปะทะขั้วลบ ~


“ไอ้ชา~ มึงช่วยกูหน่อยดิ~~”

ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ เสียงโหยหวนจากผู้มาอาศัยค้างคืนก็พุ่งเข้ามาเขย่าแก้วหู ตามติดด้วยกายหยาบวิ่งมาเกาะแขนผมซึ่งกำลังเช็ดหัวเปียกๆ แน่นหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแก ครั้นจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ชี้นิ้วไปที่อสูรกายสีขาวซึ่งนั่งหน้าเชิดอยู่บนเตียงนอนพร้อมร่างคำฟ้องใส่แมวเป็นเรื่องเป็นราว

“น้องมิลค์ไม่ยอมเล่นกับกูอะ กูต้องทำยังไงกับลูกสาวมึงเนี่ย?” 

บีบี๋โวยตามประสาคนที่เลี้ยงหมามาตลอดและไม่ชินกับการถูกแมวเมิน รอบข้างมีไม้ตกแมว มีปลาทูหนูปลอมกระจายอยู่ทั่ว บ่งบอกถึงความพยายามที่จะก่อกวนความสงบสุขในยามเช้าของเจ้านายผม

“ไอ้มิลค์มันไม่ชอบให้ใครมาแย่งที่นอน มันไม่ยอมญาติดีกับมึงง่ายๆ หรอก”

“โธ่ววววว”

ผมเดาสาเหตุได้ไม่ยาก มิลค์มันก็นิสัยคล้ายๆ ผมนั่นแหละ หวงที่หวงของและไม่ชอบยุ่งกับคนแปลกหน้า ในขณะที่บีบี๋เป็นพวกชอบที่จะได้รับความรักความสนใจมากกว่าคนปกติ แต่ผมก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าแม้แต่กับสัตว์มันก็ยังไม่ละเว้น

ระหว่างรอให้ผมแห้ง ผมก็เดินเก็บเสื้อผ้ากับของเล่นแมวที่ตกเกลื่อนอยู่ตามซอกมุมไปโยนให้เข้าที่ ส่วนไอ้บี๋ก็สำรวจดูข้าวของในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น.... ถึงจะเคยแวะมาแปบๆ อยู่สอง-สามครั้ง แต่เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่มันนอนค้างก็เลยได้เห็นไลฟ์สไตล์และชีวิตความเป็นอยู่ของผมแบบเต็มๆ และดูท่าทางมันจะชอบห้องส่วนตัวซึ่งกินพื้นที่ชั้นสามของทาวน์โฮมย่านทองหล่อทั้งชั้น มีห้องน้ำและเพนทรีครัวเล็กๆ ในตัวเหมือนอยู่คอนโดไม่น้อย

“จะว่าไปแล้วห้องมึงนี่ก็สุดยอดเลยเนอะ ถ้ากูมีแบบนี้ที่บ้านบ้าง วันหนึ่งๆ คงไม่ออกไปไหนละ โคตรสบาย”

มันว่าก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ทั้งสายตาและสองมือยังคงจับนู่นดูนี่ไปเรื่อย ปากก็เอาแต่พร่ำบอกว่าผมโชคดีแค่ไหนที่เกิดมารวย อยากได้อะไรก็แค่ดีดนิ้ว ประเดี๋ยวคุณแม่ผู้ไม่เคยยอมให้ลูกน้อยหน้าใครก็หาซื้อมาให้ทุกอย่างแล้ว 

“ขนาดโต๊ะเขียนแบบยังโคตรอลังการงานสร้าง อุปกรณ์อย่างครบ ปากกาโคปิกมีเป็นร้อยสี ไหนจะเครื่องแมคอีก.... ถ้าพ่อแม่กูเปย์ให้สักครึ่งหนึ่งของที่มึงมีอยู่ ชีวิตกูคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้”

“พ่อแม่เปย์ที่ไหนล่ะ นี่คุณย่ากูส่งมาให้ตั้งแต่ตอนแอดมิชชั่นติด”

พูดไปแล้วก็ขำ แต่เพราะแม่ผมนี่แหละที่โทรไปวอแวกับทางบ้านใหญ่ว่าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ อนาคตจะต้องเป็นมัณฑนากรมือเยี่ยมมาช่วยดูแลกิจการเรียลเอสเตทที่พ่อทำอยู่ คนอื่นในบ้านใหญ่ก็ไม่เห็นจะมีใครยินดียินร้ายอะไรด้วย แต่คุณย่าคงรำคาญมั้ง ก็เลยส่งของพวกนี้มาเพื่อให้แม่หุบปากเสียที

มาแต่ของขวัญ ในขณะที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะพูดกับผมสักคำ.... ถึงได้บอกไงว่ามันเป็นความตลกร้ายที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ถึงงั้นก็เหอะ ยังไงมึงก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี”  บีบี๋ยังพร่ำเพ้อไม่เลิก ทำให้ผมเข้าใจว่าสถานการณ์คนในอยากออก คนนอกอยากเข้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง

“งั้นมึงมาเป็นลูกบ้านนี้มั้ย เดี๋ยวกูกับมิลค์ไปทดลองเป็นลูกยี่ปั๊วร้านอุปกรณ์ก่อสร้างแทนมึงเอง”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวแม่กูรักมึงมากกว่ากู”

อันที่จริงไอ้บี๋มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ เพียงแต่มันมาจากครอบครัวคนจีนที่ยังใช้ระบบกงสีอยู่ เวลาจะใช้เงินนอกเหนือจากเรื่องเรียนก็เลยต้องเกรงใจอาเฮียอาเจ้ที่ทำงานแล้วถ้าอยากจะฟุ่มเฟือยก็ต้องไปทำงานรับจ้างสอนพิเศษ แต่ก็ทำได้ไม่บ่อยเพราะลำพังงานวิชาในภาคก็แทบจะทับหัวตายอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บีบี๋มันไม่ค่อยปฏิเสธเวลาที่มีพวกรุ่นพี่อาสาจะเปย์มัน

“ชา ปกติเวลามึงอยู่บ้านก็แต่งตัวงี้เหรอ?”

อยู่ดีๆ ไอ้บี๋ถามขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บห้องตัวเอง อันที่จริงก็มีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้สัปดาห์ละครั้งนะ แต่ผมก็ชอบที่จะลงมือทำเองมากกว่า

“แล้วมึงคิดว่ากูจะใส่อะไรวะ จะให้ใส่สูทเดินไปเซเว่นหรือไงเล่า?” 

ผมงงคำถามเพื่อนนิดหน่อยว่ามันแปลกตรงไหน หรือคนอื่นเขาไม่ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเวลาอยู่บ้านกันวะ

“ม่ายช่ายยยย คือแบบว่า.......”

บีบี๋ส่ายหน้า มันจ้องมองผมด้วยแววตาเป็นประกาย มีเส้นคั่นบางๆ เพียงนิดเดียวระหว่างความปลาบปลื้มชื่นชมกับความหื่น 

“เวลามึงใส่เสื้อยืดคอกว้างๆ แล้วดูเซ็กซี่ดีว่ะ แล้วหุ่นมึงก็ผอม เอวเอส แขนขายาวแต่มีก้นเด้งๆ.... ถ้ากูเป็นรุกแล้วมีเมียแบบมึงนี่คงฟินตายวันละสามหน”

ผมหันไปยิ้มหน้าปูเลี่ยนๆ ใส่บีบี๋

“ไอ้บี๋ ถ้ามึงจะเทิร์นรุกเมื่อไรก็บอกกูล่วงหน้านะ”

“ทำไมอะ? มึงจะยอมเป็นเมียกูเหรอ?”

“เปล่า กูจะเลิกคบมึง”

“ง่อวววว ทำไมมึงใจร้าย! ทำไมมึงไม่ทะนุถนอมใจกู!!!”



“อ้าว ทิชาพาเพื่อนมาค้างเหรอ?”

แม่ผมซึ่งแต่งตัวสวยเป๊ะพร้อมออกจากบ้านกำลังนั่งใส่ต่างหูอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขกชั้นล่าง พอเห็นว่าผมไม่ได้ลงบันไดมาคนเดียวจึงหันมาทักด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“บีบี๋ไงครับแม่.... คราวก่อนที่มาก็เคยเจอกันแล้ว” 

ผมแนะนำ แม่ทำหน้านึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะร้องอ๋อ เพื่อนที่ผมสนิทด้วยจนยอมให้เข้ามาบ้านก็มีแค่บีบี๋คนเดียว แม่เลยค่อนข้างประทับใจเด็กหนุ่มตัวเล็กคนนี้เป็นพิเศษ

“หวัดดีครับ คุณแม่”  ไอ้บี๋ยกมือไหว้ ยิ้มโชว์แก้มกลมๆ น่าหมั่นเขี้ยว

“สวัสดีจ้ะ”

แม่ผมรับไหว้ แจกรอยยิ้มสดชื่นที่มีไว้ใช้กับนักข่าวและพวกผู้จัดละครโดยเฉพาะกลับคืนไปให้ ซึ่งนั่นแปลว่าแม่ถูกใจเพื่อนผมมากและอยากให้มาบ่อยๆ 

“ขอบใจมากนะที่คอยดูแลทิชาอยู่เรื่อยเลย อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ยังไงแม่ก็ขอฝากลูกชายกับน้องบีบี๋ด้วยนะคะ”

ทั้งผมและไอ้บี๋แอบขำกันอยู่ในใจ เพราะผมต่างหากที่เป็นฝ่ายคอยดูแลมัน แล้วไซส์น้องบีบี๋ก็ตัวเท่าเมี่ยง จะเอาปัญญาที่ไหนมารับฝากลูกชายแม่

“แล้วนี่กินอะไรกันหรือยัง? จะให้แม่โทรเรียกพี่สายใจเข้ามาทำให้ไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกับไอ้บี๋จะออกไปหาไรกินในห้าง”

“งั้นทิชาก็ซื้อมื้อเย็นกลับมาด้วยเลยนะ วันนี้แม่มีงาน น่าจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้เลย.... ตอนกลางคืนก็ปิดบ้าน เปิดสัญญาณกันขโมยให้เรียบร้อยแล้วค่อยขึ้นห้องล่ะ แล้วแม่จะโทรมาเช็คอีกที”

ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง เห็นแบบนี้แต่แม่ผมก็ยังเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบกลางๆ ที่ดูอ่อนกว่าอายุจริง แถมยังดูแลรูปร่างหน้าตาอย่างพิถีพิถัน ถึงชื่อเสียงสมัยสาวรุ่นจะยับเยินป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแต่ก็ยังมีงานประเภทรีวิวสินค้าเพื่อสุขภาพอาหารเสริม ยาลดความอ้วน คลินิกศัลยกรรม รวมถึงละครบทร้ายตัวรองๆ เข้ามาให้ทำอยู่เรื่อย ผมก็เลยชินกับการอยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่เด็กแล้ว

“ละครเรื่องใหม่เหรอครับคุณแม่?”  บีบี๋ถามด้วยความอยากรู้ สงสัยอยากจะอินไซด์วงการบันเทิงกับเขาบ้าง

“ใช่จ้ะ.... ถึงจะเป็นบทร้ายรุ่นแม่แต่ยังได้ลงช่องหลัก ไม่ใช่ละครช่องเคเบิลแล้วนะ พอออนแอร์แล้วน้องบีบี๋ก็อย่าลืมดูนะคะลูก”

“ได้เลยครับ แล้วผมจะรอดูคุณแม่ในทีวีน้า~”

“น้องบีบี๋นี่น่ารักจริงๆ ทิชาเขาไม่เคยเห็นจะดีใจเวลาแม่ได้ออกทีวีเลย”

แม่หัวเราะร่าอย่างชอบใจก่อนจะกดโทรศัพท์รับสายคนดูแลคิวงาน ผมเลยหันไปกระซิบกับไอ้บี๋ซึ่งยังสนใจงานอาชีพดาราของแม่ผมไม่เลิก 

“กูบอกละ มึงน่าจะมาเป็นลูกบ้านนี้แทนกูว่ะ”

ผมใส่รองเท้าเตรียมจะออกจากบ้าน แต่ก็เช่นเคยว่าจะต้องถูกแม่รั้งตัวเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยว ทิชา.... อย่าเพิ่งไป” แม่เรียกก่อนจะเดินตามมาพูดธุระ  “ไหนๆ ก็จะไปห้างแล้ว ก็แวะไปร้านคุณนุชที่แกลอรี่ชั้นใต้ดินห้าง M เลยสิ”

“ร้านคุณนุช?” ผมทวนคำเพื่อความแน่ใจ เพราะร้านคุณนุชที่รู้จักก็มีอยู่แค่ที่เดียวซึ่งผมคิดว่าตัวเองไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปที่นั่น  “ร้านตัดชุดออกงานที่ประจำของแม่น่ะเหรอ?”

แม่ไม่ถนัดตอบคำถามจากคนที่ไม่ได้ถือไมค์สำนักข่าว กับลูกในไส้ที่ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ แม่ถนัดแต่ออกคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น

“แม่จะโทรไปบอกคุณนุชให้เขาเลือกชุดที่เหมาะกับทิชาเอาไว้ให้ เดี๋ยวไปแล้วก็ลองหาตัวที่ชอบแล้วก็วัดไซส์อะไรให้เรียบร้อยนะ เผื่อต้องใช้เวลาแก้ จะได้ไม่ฉุกละหุกเอาใกล้ๆ วันงาน”

“งานอะไรครับแม่?”

“เอ้า ก็งานแต่งพี่เกดไง.... เพิ่งคุยกันเมื่อวาน ลืมแล้วเหรอ?”

คิ้วผมขมวดด้วยความขัดข้องเคืองใจทันที ผมไม่ได้ลืม เพียงแต่ผมรู้สึกว่าตัวเองพูดออกไปชัดเจนแล้วนะว่าจะไม่ไปงานนี้เป็นอันขาด

“แม่.......ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ไป...........”

“หยุดเลยนะ อย่าเถียงแม่” 

น้ำเสียงกระด้างทำลายบรรยากาศชื่นมื่นตอนเช้าวันเสาร์ไปในพริบตา

“แม่บอกว่าไปก็คือต้องไป แล้ววันนี้แกก็ต้องลองชุดให้เสร็จด้วย ไม่อย่างนั้นแม่ก็จะตามให้คุณนุชส่งคนมาวัดตัวแกถึงบ้านเลย!”

ผมถอนหายใจแรงๆ แสดงออกให้รู้เลยว่าไม่พอใจมากที่แม่ยังคงดื้อดึงที่จะเข้าไปยุ่งกับทางบ้านใหญ่ไม่เลิก ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้างแต่ก็ยังขยันจะหาเรื่องโผล่หน้าไปให้เขาด่าเสียๆ หายๆ.... แต่ขึ้นชื่อว่าผ่านคำด่าจากคนทั้งประเทศมาได้จนทุกวันนี้ มีหรือว่าแม่จะแคร์กับแค่อีแค่สายตาขุ่นเคืองจากลูกชาย ซ้ำยังดึงเพื่อนลูกไปเข้าพวกหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“น้องบีบี๋ แม่ฝากพาทิชาไปร้านตัดชุดด้วยนะลูก.... ถ้าเขาไม่ยอมไป หนูรีบโทรมาบอกคุณแม่เลยนะคะ”

“คะ........ครับ.........”  เพราแม่ผมจัดแจงเอานามบัตรมายัดใส่มือมัน ไอ้บี๋ก็เลยตกปากรับคำไปแบบงงๆ

“ไปกันเหอะมึง” 

ผมรีบดึงเพื่อนออกจากบ้าน ไม่สนใจแล้วว่าแม่จะพูดยังไง ได้ยินเสียงแสบแก้วหูดังไล่หลังมาแต่ก็พยายามทำเป็นไม่แยแส ในเมื่อไม่มีใครบังคับแม่ให้หยุดเรียกร้องเอานู่นเอานี่ไม่รู้จบได้ ก็ไม่มีใครบังคับผมให้ต้องไปโดนญาติฝ่ายพ่อสาปส่งเหมือนไม่ใช่ลูกใช่หลานพวกเขาได้เหมือนกัน

รอกูเรียนจบก่อนเหอะ กูแจ้งเปลี่ยนนามสกุลแน่!


“พี่เกดที่แม่มึงพูดถึง คือพี่สาวคนละแม่ของมึงเหรอ?”

“อืม”

“แล้วมึงไม่เคยคุยกับเขาเลยเหรอ?”

“จะคุยทำไมวะ? ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันนี่” 

ผมตอบไปตามความจริง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณหนูการะเกด ทิพยศักดิ์เสนาก็มีแค่ฝ่ายหนึ่งเป็นลูกเมียหลวง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกเมียน้อย ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมาแบบเดียวกับบีบี๋ เฮียบิ๊กและเจ้แบมของมันสักหน่อย 

“แล้วงานแต่งเขาก็ไม่มีประเด็นห่าอะไรที่กูควรต้องไปเลยด้วย เขาอยู่กันมาได้เป็นยี่สิบปีโดยที่ไม่มีกู คงไม่อยากได้ลายเซ็นกูในสมุดอวยพรให้ต้องลำบากไปฉีกทิ้งทีหลังหรอกมั้ง”

“สรุปว่ามึงจะขัดใจแม่?” 

ไอ้บี๋ถามย้ำด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกังวลอะไรนักหนา แต่กลายเป็นว่าจากที่ผมมั่นใจว่าจะไม่สนไม่แคร์ใดๆ ก็เกิดลังเลขึ้นมาเพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ทีหลัง

“.................”

“อย่าหาว่ากูอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ไอ้ชา”

ไอ้บี๋พูดพลางใช้ตะเกียบที่คีบทงคัตสึชี้หน้าผม วางท่าเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนด้านการมีพี่สาว ย่อมรู้ใจผู้หญิงดีกว่าคนที่โตมาแบบเหงาๆ อย่างผมแน่นอน 

“งานแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตผู้หญิง.... อย่างน้อยเขาก็พี่สาวมึง สังคมเขาก็รับรู้ว่ามึงเป็นลูกบ้านนั้น จะไม่ชอบกันยังไงก็ควรไปแสดงความยินดีตามมารยาทนะ ถ้ามึงหายหัวไปสิจะยิ่งมีคนจุดประเด็นว่าทำไมมึงถึงไม่ไป พี่น้องไม่ถูกกันเหรอไรงี้”

“อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น?”  ผมถาม ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยคิดในมุมนั้นเลยนะ คงเพราะผมยึดเอาความสบายใจของตัวเองเป็นหลักล่ะมั้ง

“เอาน่า.... ก็แค่งานแต่ง ไปแปบๆ เดี๋ยวก็กลับแล้ว ไปให้แม่มึงเขาสบายใจหน่อยเถอะ” 

บีบี๋พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเดินเข้าไปแล้วกลับออกมาโดยไม่บุบสลาย แต่มันก็รู้ดีว่าเหตุผลที่ผมไม่อยากไปนั้นไม่ใช่เพราะขี้เกียจ ถึงได้พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยการมองโลกให้สวยเข้าไว้ 

“แค่เอาซองไปให้แล้วก็แว้บเข้างานไปหาอะไรกิน กินเสร็จแล้วก็กลับ.... งานระดับพี่สาวมึงเขาจัดในโรงแรมใหญ่โต แขกผู้มีเกือกมากันเยอะแยะ ไม่มีใครว่างออกมาด่ามึงต่อหน้าคนเป็นร้อยให้ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลหรอก”

ผมยิ้มขณะมองดูเพื่อนสนิทเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ หลังจากร่ายทุกสิ่งทุกอย่างมาจนจบ  “ไอ้บี๋ กูพูดจริงๆ เลยนะ............” 

“ว่า?”

“มึงไปเป็นลูกแม่กูแทนกูทีเหอะ”

หลังจากนั้นเราก็หัวเราะกันเสมือนว่ามันเป็นแค่เพียงมุขตลกร้ายประจำวันที่อีกไม่นานก็ถูกลืมไป....
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 19-11-2017 22:03:43
“สวัสดีค่ะ น้องทิชา”

ทันทีที่ผลักประตูห้องเสื้อที่เรียกกันติดปากว่าเป็นแกลอรี่โชว์รูมของดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งวงการบันเทิงไทย เสียงสาวข้ามเพศรุ่นใหญ่ซึ่งหลายๆ คนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาจากทางโทรทัศน์ก็ลอยมากระทบโสตประสาท ตามมาด้วยร่างสูงชะลูดของคุณนุชออกมารับไหว้ผมตามประสาคนคุ้นเคยกัน

“ไม่เจอกันตั้งนาน ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะเราน่ะ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักหลังจากใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเอ็นดู

“สวัสดีครับ คุณป้านุช”

“ว้าย ป้าเป้ออะไรกัน.... เรียกพี่นุชสิคะ เดี๋ยวพี่ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย”

อย่างที่บอกว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของแม่ ไม่ว่าจะชุดออกงานหรือชุดอะไรก็ตามที่ค่อนข้างเป็นทางการหน่อย แม่ก็มักจะมาที่นี่เสมอ และในตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แม่ก็กระเตงผมใส่รถเข็นมาด้วย คนที่นี่ก็เลยได้เห็นผมตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งผมโตพอที่จะอยู่บ้านคนเดียวได้นั่นแหละถึงได้ห่างหายไป

“คุณนิดาโทรมาบอกพี่แล้วล่ะว่าคุณน้องจะแวะมาลองชุด พี่ก็เลยเลือกชุดออกงานที่เหมาะกับเด็กหนุ่มๆ เอาไว้ให้.... มีทั้งสูท เชิ้ตแล้วก็กางเกงเลย ยังไงก็ค่อยๆ ลองดูเนอะว่าชอบตัวไหน คับไปหลวมไปแก้ไซส์เอาทีหลังได้ค่ะ”

พี่พนักงานคนหนึ่งลากราวแขวนชุดแบบมีล้อเลื่อนออกมาให้ ในนั้นมีสารพัดเสื้อผ้าที่คุณนุชคัดไว้ให้แล้วว่าน่าจะเหมาะกับลูกชายคุณนิดา

“มามะ ไอ้ชา.... กูช่วยมึงเอง”  คนที่ดูตื่นเต้นกว่ากลับกลายเป็นบีบี๋ มันตรงเข้าไปหยิบโน่นหยิบนี่มาทาบกับตัวเองแล้วส่องกระจกอย่างร่าเริง

“ดูท่าทางจะสนุกนะมึง”

“สนุกดิวะ.... กูเลือกให้มึงก็เหมือนกูได้ชอปปิ้งด้วยเงินมึงอะ” เพื่อนตัวเล็กพูดติดตลกก่อนจะยัดเยียดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกรมท่ากับสูทเข้าชุดกันมาให้  “อ้ะ กูว่าตัวนี้น่าจะโอเค ไหนไปลองมาให้ดูหน่อยเด๊ะ”

มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินใจเลือกให้มันจบๆ ไป จะได้กลับบ้านไปปั่นงานวิชา Conceptual Thinking ต่อ.... ผมแอบถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังมุมด้านข้างของร้านซึ่งจัดไว้เป็นห้องกระจกสำหรับลองชุด ยังไม่ทันเกี่ยวผ้าม่านก็ได้ยินเสียงกริ่งเปิดประตู ตามติดมาด้วยเสียงวี้ดว้ายของพวกป้าๆ ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยลูกค้ารายใหม่จะต้องเป็นหนุ่มหล่อล่ำน่าหม่ำแหงแซะ

“สวัสดีค่า คุณน้อง มีอะไรให้ร้านพี่นุชรับใช้ดีคะ~”

“หวัดดีครับ คือผมมาหาชุดสำหรับใส่ไปงานแต่ง”

“อ๋อ ได้เลยค่ะ.... งั้นเชิญเลือกแบบที่ชอบๆ ทางนี้เลยนะคะ เดี๋ยวพี่นุชช่วยดูไซส์ให้ ปรับขนาดได้ แก้ทรงได้ พี่นุชไม่คิดเงินเพิ่มค่า~”

“อ้าว พี่คนที่เจอกันเมื่อคืนนี่หว่า โผล่มาได้ไงเนี่ย?”

“กูก็ขับรถมาจอดแล้วก็เดินมาสิวะ ไอ้ตัวเปี๊ยก.... ถามแปลกนะมึง!”

“ไม่ได้หมายความว่าแบบน้านนน~ แล้วนี่ก็ไม่ได้ชื่อไอ้ตัวเปี๊ยกด้วย ชื่อบีบี๋ เข้าใจป่าว?”

“ไม่เข้าใจเว้ย!”

“ไอ้บี๋ มึงคุยกับใครน่ะ?” 

ผมชะโงกหน้าออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนตัวเองคุยกับใครบางคนเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แล้วก็ได้เห็นบีบี๋กำลังยืนเถียงหน้าดำหน้าแดงกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจำได้แม่นว่าเขาคือใคร

“อ้าว ไอ้ชา.... ทำไมมึงยังไม่เปลี่ยนชุดอีกล่ะ? เดี๋ยวยังต้องลองอีกเพียบเลยนะ กูอุตส่าห์คัดในคัดเอาไว้ให้แล้วเนี่ย”

ผมได้ยินที่ไอ้บี๋ถามนะ แต่เหมือนสมองผมมันไม่ยอมประมวลผลคิดคำตอบ อย่างเดียวที่สามารถหลุดรอดออกมาเป็นคำพูดได้ก็คือชื่อของคนตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มหล่อระยับจับจิตมาให้

“พี่โรม..........”

“ทิชา”  เชาว่าก่อนจะเดินเข้ามาหาผม  “มึงมาซื้อเสื้อผ้าเหมือนกันเหรอ?”

ผมพยักหน้ารับ พยายามปั้นสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอยิ้มออกไปหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าข้างในอกมันเหมือนมีระเบิดลูกใหญ่ เปรี้ยงปร้างตูมตามจนหัวใจสั่นสะเทือนไปหมด

“ทีงี้ล่ะจำชื่อแม่นเชียว ไม่เห็นมีเรียกไอ้ตัวเปี๊ยก ไอ้แห้ง ไอ้ถั่วงอกไรงี้บ้างเล้ยยย~ สองมาตรฐานว่ะ!”

บีบี๋โวยวายแต่ก็เรียกร้องได้แค่นิ้วกลางจากพี่โรม ทำเอาเจ้าตัวโมโหงอนจนตาพองแก้มป่องคล้ายปลาทองไม่มีผิด

“ว่าแต่มึงจะลองชุดไปไหนเนี่ย งานบวช งานแต่งหรือทอดผ้าป่าสามัคคี?”

“งานแต่งครับ......” 

ผมตอบพี่โรมเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าก้อนเนื้อในอกซ้ายจะดีดระรัวมากยิ่งกว่าเดิม.... ให้ตายเถอะ จากที่เมื่อวานก็คิดว่าพี่เขาหล่อฉิบหายวายป่วงมากอยู่แล้ว พอมาเจอเวอร์ชั่นคุณชายเดินห้างแบบนี้ก็เล่นเอานายทิชนันท์ ผู้เติบโตมาในแวดวงดาราไปไม่เป็นเหมือนกัน

“เหรอวะ กูก็ไปงานแต่งเหมือนกัน”  เขาบอกยิ้มๆ ก่อนที่บีบี๋จะถามแทรกขึ้นมาเผื่อว่ามีเซอร์ไพรส์

“ไม่ใช่ว่าพี่โรมจะไปงานเดียวกันกับไอ้ชานะ?”

“งานวันที่เก้าเดือนหน้า โรงแรมแกรนด์เพรสทีค ใช่ที่เดียวกับมึงหรือเปล่าล่ะ?”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมเริ่มคิดจริงจังแล้วนะว่าระหว่างผมกับพี่โรมจะต้องถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์วางกับดักเอาไว้แน่ เป็นไปได้ยังไงที่คนๆ เดียวจะมาช่วยเหลือตอนที่ผมกำลังเดือดร้อนถึงสองครั้งสองคราว อยู่ในสถานที่เดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย มาลองชุดร้านเดียวกัน เวลาเดียวกัน แถมยังจะไปงานแต่งงานเดียวกันอีก

“บางทีโลกแม่งก็กลมไปนะพี่”  ผมทำได้แค่หัวเราะเบาๆ ทั้งที่ในใจนั้นยิ้มกว้างไปถึงไหนต่อไหน

“พอดีว่าพ่อเจ้าบ่าวเขาเป็นเพื่อนกับพ่อกู ก็พวกนักการเมืองท้องถิ่นระดับภาคอะไรทำนองนั้นแหละ แต่พ่อแม่กูไม่ว่างขึ้นมากรุงเทพฯ ก็เลยส่งกูไปแทน” 

พี่โรมอธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องไปงานแต่งของพี่เกดกับว่าที่สามีก่อนจะเปลี่ยนมาสนใจเรื่องของผมบ้าง

 “แล้วมึงเป็นญาติฝ่ายไหนของใครวะ ทิชา?”

“ญาติห่างๆ ฝ่ายเจ้าสาวน่ะ”

“โอเค เก็ทละ”

ผู้ช่วยคุณนุชลากราวเข็นชุดอีกอันหนึ่งสำหรับพี่โรมออกมาพอดี เป็นอันว่าหมดเวลาทักทายชั่วคราวเมื่อต่างคนต่างคนจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อย

“มัวแต่คุยกันอยู่นั่นล่ะ ไอ้ชา ไปเปลี่ยนชุดออกมาให้ดูได้แล้ว”

ถึงไอ้บี๋ไม่ไล่ ผมก็ต้องกลับเข้าไปลองชุดอยู่แล้วเพราะตอนนี้พี่โรมกำลังถูกรุมล้อมด้วยแก๊งค์คุณนุชจนน่าเวียนหัวแทน

ผมเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงยีนแนวสตรีทที่ชอบใส่เป็นประจำมาเป็นชุดสูทเต็มยศอย่างที่บีบี๋จัดแจงเลือกให้ รู้สึกแปลกๆ กับเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกอยู่ไม่น้อย.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรอยเลือดฝาดสีชมพูบนแก้มทั้งสองข้าง ผมมั่นใจว่าในร้านนี้ปรับอุณหภูมิแอร์คอนดิทชั่นเอาไว้จนอยู่ในระดับแอบหนาวเล็กๆ ดังนั้น แก้มของผมจึงไม่ได้ซับสีระเรื่อนี้จากอากาศร้อนอย่างแน่นอน แล้วมันจะมาจากไหนได้ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเมื่อกี้นี้ ‘ผมเขินพี่โรม’


แล้วอาการเขินมันจะมาได้ยังไง นอกเสียจากว่าผมจะชอบเขา....?


“ไอ้ชา ทำไมมึงเปลี่ยนชุดนานขนาดนี้วะ..... ตอนกูมารอเจ้แบมชอปปิ้งอีฟแอนด์บอยยังไม่นานเท่ามึงลองเสื้อผ้าชุดเดียวเลยเนี่ย!”

เพราะได้ยินเสียงไอ้บี๋โวยวายดังลอดผ้าม่านเข้ามา ผมก็เลยต้องยอมออกจากที่หลบภัยชั่วคราว บอกใครไม่ได้เลยจริงๆ ว่าไอ้ที่หายเงียบอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าน่ะคือยืนรอให้รอยเลือดฝาดบนแก้มมันจางลงต่างหาก ลำพังแค่เปลี่ยนชุดอย่างเดียวนั้นเสร็จไปเป็นชาติแล้ว.... แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่ายิ่งคิดว่าพี่โรมยังอยู่ข้างนอก หน้าผมก็ยิ่งแดงขึ้นทุกทีๆ

“มึงว่าเป็นไงมั่ง?”  ผมถามอย่างขาดความมั่นใจ ยิ่งเห็นพี่โรมมองมาทางนี้ ผมก็ยิ่งวางมือวางไม้ไม่ถูกไปกันใหญ่

“กูว่าทรงสูทตัวนอกมันหลวมไปว่ะ มึงใส่แบบที่มันเข้ารูปหน่อยดีกว่า” 

บีบี๋แนะนำตามประสาคนแต่งตัวเก่ง ถึงแม้ว่ามันกับผมจะคนจะสไตล์กันโดยสิ้นเชิงก็ตาม 

“กางเกงก็เลือกแบบทรงสลิมฟิต เน้นเอวเน้นขาหน่อย.... มึงผอมจะตาย ใส่โอเวอร์ไซส์ตัวโคร่งๆ ยังกะพวกแร็พเปอร์เกาหลี”

“ไม่เอา ทรงสลิมมันรัดไป!”

“รัดเหี้ยไร.... มีอยู่อันเท่านี้ก็ใส่ๆ ไปเหอะ ไม่โป๊หรอกน่า!” 

ไม่พูดเปล่า แต่ไอ้ห่าบี๋ยังเสือกมองต่ำมาตรงเป้ากางเกงผมอีก เรียกเสียงขำพรืดจากคนที่กำลังลองเสื้อสูทแบบสวมทับเสื้อยืดอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อนตัวเล็กของผมหันควับไปแยกเขี้ยวใส่เหมือนชิวาว่าขู่โจรทันที 

“พี่โรมหัวเราะไร นี่ไม่ขำนะ!”

“ก็พวกมึงสองคนแม่งตลก.... ไอ้คนเรียบร้อยแม่งก็ยังกะแม่พลอยสี่แผ่นดิน ไอ้คนแรดแม่งก็แรดน่าตีฉิบหาย”

“พูดมากว่ะพี่ ไปเลือกของตัวเองเหอะไป๊!” 

ผมแกล้งทำเป็นไม่พอใจกลบเกลื่อนไปงั้น แต่อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้ายังไงดีตอนที่พี่โรมบอกว่าผมเรียบร้อยเหมือนแม่พลอยสี่แผ่นดิน.... จะยิ้มดีใจก็ไม่ใช่ จะด่ากลับก็ไม่เชิง เพราะพี่แม่งชมหรือด่าก็ยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

“กูเลือกเสร็จแล้วโว้ย จะให้เลือกไรอีก”

“ห๊ะ เลือกเสร็จแล้ว!?”

“เออ ก็ใส่นี่อยู่ไง” 

ร่างสูงว่าก่อนจะหมุนตัวฟูลเทิร์นโชว์ให้ดูหนึ่งรอบ เชี่ยเอ๊ย พระเจ้าโคตรไม่ยุติธรรม สมควรแล้วเรอะที่คนๆ หนึ่งจะมีทั้งหน้าตา ส่วนสูง ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อและแขนขายาวสมส่วนครบสมบูรณ์ในร่างเดียว.... ยิ่งตอนเขายิ้มแบบมั่นหน้าผสมกวนตีนนี่ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก 

“ก็กูผู้ชายแมนๆ แค่สูทสีดำตัวเดียวก็โอเคแล้ว”

นั่นเป็นทฤษฎีใหม่ที่ผมเพิ่งรู้วันนี้เลยนะเนี่ย แค่สูทดำอย่างเดียวก็พอ....

“ไอ้บี๋ งั้นกูก็เอาแค่สูทสีดำแล้วกัน”

“ไม่ได้!”

พี่โรมกับบีบี๋แทบจะประสานเสียงพร้อมกัน

“มึงไม่ใช่คนหล่อ เพราะฉะนั้นจะมาสูทตัวเดียวแล้วจบกันไม่ได้!”

“อะไรวะ!?”  ผมย้อนถามอย่างงงๆ ผสมหงุดหงิด  “ถ้ากูหน้าเหี้ยนัก งั้นใส่อะไรแม่งก็เหมือนกันแหละ จะเรื่องเยอะกับกูไปทำไม?”

พอได้ยินผมเหวี่ยง มนุษย์กวนตีนสองตัวก็พากันหัวเราะก๊ากไว้อาลัยให้กับความมองโลกในแง่ร้ายของผมสิบวินาที

“โน้วววว~ มึงหยุดทำหน้าบูดเดี๋ยวนี้ กูกับพี่โรมไม่ได้หมายความว่างั้นว้อย”

“แล้วมึงหมายความว่าไง?”


“กูหมายความว่ามึงเป็นคนสวย........”


หางคิ้วของผมกระตุกเหมือนโดนดึงก่อนจะหันไปมองยังต้นเสียงที่พูดประโยคเมื่อครู่ออกมา หัวใจซึ่งอุตส่าห์สงบไปได้พักใหญ่ก็พลันอเลิร์ทหนักขึ้นมาอีกรอบจนมีเสียงตึกตักโครมครามดังก้องอยู่ในหัวจนเกือบไม่รับรู้อย่างอื่น.... ท่ามกลางหัวสมองที่กำลังเบลอแดกได้ที่ ผมเห็นพี่โรมเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มหน้าลงสบสายตากับผมซึ่งวิญญาณออกจากร่างตายห่าไปแล้ว เจ้าของเสียงทุ้มบอกพลางใช้ปลายมือตีแก้มผมเบาๆ คล้ายกับจะหยอกเล่น

“แล้วคนสวยๆ อย่างมึงจะมาแต่งตัวลวกๆ ขอไปทีไม่ได้เว้ย....  มีของดีอะไรก็ต้องโชว์ดิ”

“สวยบ้าอะไรวะพี่ ผู้ชายนะ..........” 

ผมเถียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ จากที่แค่รู้สึกร้อนวูบวาบก็ยิ่งร้อนหนักเหมือนโดนจับโยนลงไปในกองไฟ

แล้วไอ้พี่โรมมันคิดจะปรานีผมบ้างไหม.... คำตอบคือไม่เลย อย่างกับว่าพอจับได้ว่าผมกำลังเขินเพราะคำพูดหวานๆ นั่น เขาก็กระหน่ำโจมตีจุดอ่อนของผมราวกับจะเอาให้เข่าทรุดลงไปนอนตายเสียตรงนี้ให้ได้

“เหอะน่า กูใช้เซนส์แฟชั่นทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อมึงคนเดียวเลยนะ ไอ้ทิชา.... มึงควรจะซาบซึ้งน้ำใจกูสิ ไม่ใช่มาทำหน้างอใส่อยู่ได้ ชาติที่แล้วมึงเกิดเป็นปลาทูแม่กลองหรือไงวะ?” 

ร่างสูงเอ่ยก่อนจะหันไปเลือกเสื้อผ้าจากราวของผมแล้วยื่นส่งให้ 

“ผิวมึงขาวยังกะไข่ปอก ใส่เสื้อเชิ้ตตัวในสีอ่อนคู่กับสูทสีน้ำเงินกรมท่าดีกว่า กางเกงก็เลือกให้มันตัวเล็กหน่อย ใส่ขาใหญ่ๆ แม่งโคตรเหมือนพวกลุงอบต. เวลามาหาเสียงแถวบ้านกูโน่น”

“บ้านพี่โรมอยู่ไหนอะ? ทำไมมีอบต.ด้วย?”  ต่อมเสือกไอ้บี๋กำเริบอีกแล้ว มันยื่นหน้าเข้ามาถามแทรก แสดงความต้องการใส่ใจเรื่องชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

“บ้านกูอยู่สุราษฎร์”

“หูววว หนุ่มใต้นี่หว่า”

“เออ แต่กูแหลงใต้ไม่เป็นนะเว้ย พอดีมาเรียนกรุงเทพตั้งแต่เด็ก”

จบช่วงสส.โรมตอบคำถามประชาชนเพียงเท่านั้น หนุ่มวิศวะเครื่องกลซึ่งประทับองค์อาจารย์ภาคแฟชั่นดีไซน์หันมามองผมที่ยืนลังเลไม่กล้าเปลี่ยนชุดที่เจ้าตัวเลือกให้.... เพิ่งคิดอยู่เมื่อกี้นี้เองว่าไอ้พี่โรมแม่งต้องรู้ว่าจุดอ่อนของผมอยู่ตรงไหน เขาถึงได้มั่นหน้าและมั่นใจว่าแค่ใช้รอยยิ้มกับคำพูดกล่อมนิดหน่อย ใจผมก็ปวกเปียกยวบยาบราวกับขี้ผึ้งลนไฟ

“ไหนลูกทีมคนสวยไปลองชุดให้เมนเทอร์พี่โรมดูหน่อยสิว่าจะพาไปเดินไฟนอลวอล์คได้ไหม..........”

หลังจากนั้นก็เหมือนหูผมดับสนิท ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงขำก๊ากชอบใจของบีบี๋ที่มีให้กับมุขตลกดัดแปลงจากรายการเรียลิตี้ชื่อดัง กว่าจะประคองตัวกลับเข้ามาในห้องลองเสื้อได้ก็ต้องกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้แน่น เพราะไม่รู้ว่าหัวใจมันจะหลุดกระเด็นออกมาประจานเจ้าของให้ได้อายเมื่อไร
   

สวยเหรอ?

ก็ใช่ว่าจะเพิ่งเคยได้ยินคำชมแบบนี้เป็นครั้งแรก ทุกคนที่เข้ามาจีบผมต่างก็ใช้คำนี้กันทั้งนั้น.... ทิชาสวย ทิชาน่ารัก สารพัดจะขุดหามาชมเพื่อให้ผมใจอ่อน

คงเพราะผมรู้ตั้งแต่แรกล่ะมั้งว่าคำพูดเลื่อนลอยพวกนั้นก็แค่พูดเพื่อหวังผลก็เลยค่อนข้างมีภูมิต้านทาน

ขอแค่กล่อมให้ผมยอมขึ้นเตียงด้วยได้ คำพูดพวกนั้นมันก็แค่ลมปากที่ไม่สามารถหวังเอาสาระความจริงอะไรได้เลย

ยกเว้นครั้งนี้ที่ผมเกิดใจเต้นขึ้นมาจริงๆ


......ใจเต้นจนเจ็บไปหมดทั้งอกแล้ว......



 
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 02 [ 16/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 19-11-2017 22:10:23
“เฮ้ย มึงตายห่าไปแล้วเรอะ?”

“พี่เข้ามาทำไมเนี่ย!?” 

ผมแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ไอ้เชี่ยพี่โรมก็แหวกม่านกั้นประตูเข้ามาส่องทั้งที่ผมยังไม่ได้ติดกระดุมกางเกงเลย ทำเอาผมเซถลาไปชนกำแพงอีกด้านก่อนจะส่งเสียงไล่ทั้งที่ปากคอสั่นพั่บ 

“ดะ.....เดี๋ยวเสร็จแล้วผมออกไปเอง.....ไม่ต้องเข้ามาเลยนะ.....!!”

“ก็กูรอมึงอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมึงออกไปสักที ก็เลยต้องเข้ามาดูไงว่าเป็นลมอยู่ในนี้ไปแล้วหรือเปล่า”

ไม่พูดเปล่า แต่มือใหญ่นั่นปลดตะขอเกี่ยวผ้าม่านแล้วฉวยโอกาสเบียดตัวเข้ามาอยู่ในห้องแคบๆ กับผมอย่างหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมนึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดเมื่อต้องมาอยู่ใกล้คนที่ตัวเองชอบชนิดที่อกแทบชนอกกันอยู่รอมร่อ

ว่าแต่อะไรนะ.... เมื่อกี้ผมบอกว่า ‘คนที่ตัวเองชอบ’ งั้นเหรอ?

“เออว่ะ มึงเหมาะกับเสื้อผ้าแบบนี้จริงๆ ด้วย” 

พี่โรมพูดพลางกวาดสายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าประหนึ่งว่าผมคือผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ก่อนจะมาหยุดด้วยการมองหน้าจ้องตาที่ทำเอาใจผมยิ่งเต้นแรงเป็นบ้าเป็นหลัง 

“กูบอกแล้วว่ามึงเป็นคนหน้าตาดี.... แต่อาศัยแค่เสื้อผ้าเพอร์เฟกที่กูเลือกให้มันยังไม่พอหรอกนะ มึงต้องหัดยิ้มให้มันเยอะๆ หน่อย จะได้น่ารักมากขึ้นไปอีกไง”

“พี่แม่งต้องเมาดิบแน่ๆ.... เห็นไหมเนี่ยว่าผู้ชายทั้งแท่ง ไม่สวย ไม่น่ารัก แล้วก็ไม่มีนมด้วย!” 

เถียงทั้งที่ก้มหน้างุด ไม่อยากให้พี่โรมเห็นว่าตอนนี้เขินจะตายห่าตายโหงอยู่แล้วเว้ยยยยยยย

“มึงนี่ดื้อฉิบหาย ต้องให้กูรูดก้านมะยมมาตีขามั้ยวะ?”

ยิ่งมาพูดเรื่องดื้อ ผมยิ่งคิดถึงคำพูดกำกวมที่ได้ยินเมื่อคืนนี้ ที่ว่ามีลูกดื้ออย่างผมเอาน่ะไม่เอา แต่ถ้าให้เป็นเมียก็พอไหวอะไรนั่น.... แล้วผลจากการถูกแหย่ซ้ำซากกระทบจุดอ่อนไหวเดิมๆ มันจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่ว่าในตอนนี้ทั้งหน้าตาและเนื้อตัวของผมนั้นแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศ

“ทิชา.... มึงแม่งโคตรขาวเลยว่ะ ร้อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ตัวแดงแล้ว”

“พี่ก็ออกไปสักทีดิ มาแย่งอากาศหายใจอยู่ได้!”


กว่าจะปรับสภาพจิตใจให้กลับเป็นปกติแล้วโผล่หน้าออกไปข้างนอกได้ก็กินเวลาอีกพักใหญ่ ผมส่งเสื้อเชิ้ต สูท กางเกงและเข็มขัดที่พี่โรมเป็นคนเลือกให้ให้ผู้ช่วยของคุณนุชเป็นเชิงบอกว่าผมตัดสินใจเอาตัวนี้แหละ.... บัตรเครดิตเสริมที่แม่ออกไว้ให้ถูกใช้รูดไปร่วมๆ ห้าหมื่นบาทในวันเดียว ผมแอบกลืนน้ำลายด้วยความเสียดายเงิน แต่พอคิดว่าเดี๋ยวเดือนหน้าพ่อก็โอนเงินมาให้ผลาญอีกสองแสนแลกกับการที่เขาไม่สนใจใยดีผมแล้วก็ได้แต่ช่างหัวมันเถอะ

“พี่โรมแม่งเอาแต่ฟาร์มอะ ไม่เห็นมาช่วยตีป้อมเลย.... ชอบฟาร์มนักก็ไปเล่นเกมปลูกผักเลยไป ไม่ต้องมาเล่น ROV แล้ว!”

“ฟาร์มห่าไร กูตีป้อมอยู่มุมซ้ายบนแมป มึงนั่นแหละขาสั้นเดินมาไม่ถึงเอง!”

“ยังจะมาพูดอีก ทีมแพ้แล้วเนี่ย ไม่เล่นด้วยแล้ว!”

“เออ หน้าอย่างมึงไปวิ่งคุกกี้รันคนเดียวเลยไป๊!”

สองคนที่ผมปล่อยให้อยู่ด้วยกันกำลังทะเลาะกันเรื่องเกมออนไลน์ในมือถือ ดูท่าทางดุเดือดเหมือนจะก่อสงครามโลกครั้งที่สามกันในร้านคุณนุช จนกระทั่งไอ้บี๋เห็นว่าผมเสร็จธุระแล้วถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นจากจอ

“ไอ้ชา เลือกได้แล้วเหรอ?”

“อืม”  ผมตอบพลางบุ้ยหน้าให้มันดูว่าที่เคาท์เตอร์กำลังจัดการห่อชุดของผมใส่ในที่แขวนเสื้อแบบมีพลาสติกอย่างดีคลุมให้อยู่

“ตกลงว่าเลือกตัวไหน ใช่ตัวที่เมนเทอร์โรมเลือกให้ปะ?”

“ตัวนั้นแหละ”

“ถ้าไอ้ชาใส่ออกมาแล้วดูสะเหล่อนะ ผมจะโทษพี่!” 

บีบี๋หันไปเบะปากใส่พี่โรมอย่างเอาเรื่อง ไม่รู้แม่งจะกัดกันอีกนานไหมทั้งๆ ที่ก็เห็นว่านั่งเล่นเกมด้วยกันอยู่ พี่โรมเองก็ใช่ย่อย ตัวใหญ่เท่าหมีควายแต่ดันลดไซส์ลงไปทะเลาะกับหมาชิวาว่าอยู่ได้

“มึงไม่ได้โทษกูแน่นอน ไอ้เปี๊ยก เพราะทิชามันสวย ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้นแหละ ยิ่งกูเป็นคนเลือกให้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”  พี่โรมหันมายักคิ้วให้ผมคล้ายกับจะหาพวกเข้าข้าง  “เนอะ ไอ้ทิชา”

“แหวะ~”  บีบี๋แกล้งทำท่าอ้วกใส่ ก่อนที่พี่โรมจะหันมาดีดหน้าผากมันเสียงดังเป๊าะ เร่งเสียงโวยวายทะเลาะกันง้องแง้งให้ดังขึ้นไปอีก

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหน่วงแปลกๆ แต่ก็พยายามจูนสมองและความคิดของตัวเองให้ไปอยู่ในฝั่งขั้วบวก.... เป็นเพื่อนกันมาเกือบปี ผมย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าบีบี๋มันเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม เข้ากับคนง่าย คุยกับใครแปบๆ ก็สนิทกับเขาไปหมดแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และพี่โรมก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ยิ่งมีเรื่องเกมให้คุยกันถูกคออยู่แล้วด้วย

“มึงกับพี่โรมดูสนิทกันเร็วดีนะ.........” 

แต่แล้ว ผมก็กลับห้ามปากตัวเองไม่ได้ โชคดีที่ผมเป็นคนเก็บสีหน้าเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ถึงซ่อนความรู้สึกไม่ชอบใจนิดๆ เอาไว้ภายใต้คำพูดกลั้วหัวเราะได้อย่างแนบเนียน

“สนิทกะผีน่ะสิ พี่โรมแม่งแกล้งกูอยู่ได้!” 

ไอ้บี๋ปฏิเสธสวนกลับมาทันควันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด “นิสัยแย่ แถมยังชอบเรียกกูว่าไอ้เปี๊ยกมั่ง เตี้ยมั่ง ขาสั้นมั่ง..... ทีกับมึงไม่เห็นพูดอะไรไม่ดีใส่บ้างเลย!”

“ก็มึงเตี้ยจริงนี่หว่า ไอ้สเมิร์ฟ!”  พี่โรมด่ากลับ  “แล้วไอ้ทิชาก็น่ารักกว่ามึงตั้งเยอะ กูจะเสียเวลาไปแกล้งมันทำซากไรวะ”

“โอ๊ย เบื่ออออออ.... ไม่มีใครอ่อนโยนกับกูเล้ยยยยย!!”

เชี่ยบี๋ยังคงบ่นงุ้งงิ้งตัดพ้อของมันไปเรื่อย ผมหันไปรับบัตรเครดิตคืนพร้อมสลิปและชุดที่อยู่ในห่อเรียบร้อยจากคุณนุช หลังยกมือไหว้ขอบคุณร่ำลากับเจ้าของร้านซึ่งเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกเป็นหลานเสร็จแล้วก็ได้เวลาที่ผมจะต้องรีบกลับบ้านไปสะสางงานของตัวเองเสียที

“พวกมึงเสร็จธุระแล้ว งั้นกูขอตัวก่อนนะ”  พี่โรมพูดกับผม “ถ้าไม่บังเอิญเจอกันแถวมหาลัยอีกก็เจอกันที่งานแต่งเลยแล้วกัน”

“ครับพี่............”

“หวังว่ากูจะไม่เจอมึงที่เบอร์ลิคนะเว้ย”

“ไม่เจอแล้วน่า”

เจ้าของมือใหญ่ขยี้หัวผมแล้วยิ้มให้แบบเดียวกับที่ทำเมื่อคืนนี้ การกระทำยังคงเหมือนเดิม แต่ทว่า เมื่อความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งกลับเตลิดไปไกลเหมือนลูกโป่งอัดแก็สที่ถูกทำหลุดมือ มันจึงช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะเผลอตีความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นแบบเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะพี่โรมก็คงมีใจให้ผมไม่มากก็น้อย


แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมจะคิดอะไรตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า....?


“ส่วนมึง ไอ้เปี๊ยก คืนนี้เจอกูในเกมตอนสี่ทุ่ม”

“ไหนเมื่อกี้พี่โรมไล่ให้บี๋ไปเล่นคุกกี้รันคนเดียวไง?”

“กูบอกให้ออนก็ออน ทำมาเป็นงอน เดี๋ยวปั๊ดตบกะโหลกยุบเลยมึงนี่!”

“โว้ย เผด็จการฉิบหาย!”

เมื่อความคิดขั้วลบแทรกเข้ามาในห้วงความคิด ผมก็พยายามยิ้มแล้วก็ใช้พลังบวกมาหักลบกลบหนี้ให้สิ่งเหล่านั้นหายไป.... ผมลองเปรียบเทียบลักษณะภายนอกระหว่างพี่โรมกับพี่อาร์ทที่ไอ้บีบี๋มันกรี๊ดแทบเป็นแทบตายก่อนจะพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเหมือนกันเลย พี่โรมแม่งมึงมาพาโวย คุยกันสองคำก็เป็นอันต้องทะเลาะกันให้เห็น ในขณะที่พี่อาร์ทและผู้ชายคนก่อนๆ ที่เคยคุยกับเพื่อนผมจะดูสุภาพเวอร์วังเหมือนพวกเจ้าชายอะไรทำนองนั้น

ในเมื่อพี่โรมไม่ใช่ไทป์แบบที่ไอ้บี๋ชอบ ผมก็ไม่ควรจะต้องกังวลนี่นา....

หลังจากแยกย้ายกันไปได้ครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้ามา ผมรีบหยิบออกมาดูก่อนจะพบว่ามันเป็นข้อความจากพี่โรม

หัวใจพองโตเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้....


   Do_As_RomanS : กูว่าจะบอกมึงเมื่อกี้แต่กูลืม
                                  ถ้าไม่อยากให้คอโล่งตอนใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุม
                                  มึงน่าจะหาสร้อยเงินใส่สักเส้นนะ



“ไอ้ชา.... เดี๋ยวมึงจะกลับบ้านเลยมั้ย”  บีบี๋หันมาถามผม ทางเชื่อมที่จะออกไปสถานีรถไฟฟ้านั้นอยู่แค่ตรงหน้านี้เอง

“กูกะว่าจะแวะร้านเครื่องประดับสักหน่อยว่ะ มึงจะกลับไปก่อนก็ได้นะ”

“หืม มึงจะซื้อไรวะ?”

ท่าทางมันดูงงๆ คงเพราะตอนที่เดินออกจากร้านผมเพิ่งบ่นให้มันฟังเองว่าแค่เสื้อผ้าชุดเดียวแต่ต้องจ่ายเงินถึงครึ่งแสนนั้นมันมากเกินไป แต่ยังไม่ทันขาดคำผมก็กลับหาเรื่องจะผลาญตังค์เพิ่มอีกเสียอย่างนั้น

“สร้อยเงินสักเส้นมั้ง.........” 

ผมบอก ในใจก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าบ้าไปแล้วที่ปล่อยให้พี่โรมเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจได้เร็วขนาดนี้

“อ้อ งั้นเดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนมึงแล้วกัน.... เชี่ย!” 

ยังพูดไม่จบดี ไอ้บี๋ก็สะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อโทรศัพท์ของมันมีสายเรียกเข้า เพื่อนสนิทผมทำหน้ามุ่ยคล้ายลังเลว่าควรจะกดรับสายดีหรือไม่ แต่แล้วมันก็เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยิ้มแหยๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพย 

“สงสัยกูคงไปกับมึงไม่ได้แล้วว่ะ ไอ้ชา.... ถ้ามึงเลือกไม่ได้ก็ถ่ายรูปส่งเข้าไลน์มานะ เดี๋ยวกูช่วยดูให้”

“เออ ไปเหอะ บายๆ”

ผมโบกมือให้ก่อนจะเดินแยกออกมาเพื่อลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง ส่วนไอ้บี๋เดินออกไปทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า ในตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นป๊าม้าหรือไม่ก็อาเฮียอาเจ้ของมันโทรมาตามให้กลับบ้านได้แล้ว

แต่แวบหนึ่งที่ผมได้ยินเสียงแว่วมา ซึ่งผมคิดมาตลอดว่าตัวเองคงจะเพียงแค่หูฝาดไป


“โทรมาหาบี๋ทำไมเนี่ย ไอ้พี่โรม... เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงสิบนาทีเลยนะ!”


TO BE CONTINUE



✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽


ดราม่าหรือไม่ ติ๊กต่อกๆๆๆ /ยิ้มชั่ว  :katai2-1: :katai3:
 
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 03 [ 19/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: godofhill ที่ 20-11-2017 00:37:26
ไม่อยากให้ดราม่าเลย สงสารทิชา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 03 [ 19/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 20-11-2017 06:54:47
ไม่ดราม่าน้าาาา //กอดทิชา
แล้วพี่โรมโทรหาบี๋ทำไมมม
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 03 [ 19/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 23-11-2017 19:18:59
4
~ คำขอที่ไม่เคยเป็นจริง ~


“ไหนลองหันมาให้แม่ดูหน่อยสิ ทิชา”

ผมหมุนตัวจากหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องรับแขกชั้นล่างไปทางด้านหลังตามคำสั่ง รู้สึกประหม่าอย่างแรงกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ขัดแย้งกับความเป็นตัวเองและทำให้ผมดูเหมือนตุ๊กตาจนน่าใจหาย แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่แม่ชอบและอยากให้ผมเป็นมาโดยตลอด ผมจึงเงียบและอดทนให้เวลาผ่านไปเร็วๆ

“แต่งตัวแบบนี้ค่อยดูเข้าท่าหน่อย” 
แม่พูดพลางยิ้มชอบใจ ดวงตาคู่สวยที่ถ่ายทอดมาให้ผมเหมือนเคาะออกมาจากเครื่องซีร็อกซ์กวาดมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายหน 

“ทีแรกให้ไปลองชุดเอง แม่ก็กลัวอยู่ว่าจะได้อะไรก็ไม่รู้กลับมา เห็นแบบนี้แล้วโล่งใจจริงๆ ที่แกยังพอจะเลือกเสื้อผ้าเป็นกับเขาบ้าง”

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เพราะอันที่จริงแล้วนี่เป็นชุดที่รุ่นพี่คณะวิศวะฯ เลือกให้ต่างหาก....

อยู่ๆ แม่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแล้วฉีดสเปรย์ใส่ดังฟื้ด ทำเอาผมต้องย่นจมูกเบ้ปากเพราะไม่ชินกับกลิ่นฉุนกึกของน้ำยาจัดแต่งทรงผม แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละว่าแม่ชอบให้ผมดูดีในแบบที่แม่คิดว่าดี แล้วผมจะไปบ่นว่าอะไรได้

“แค่นี้ก็หล่อแล้ว”

“หล่อเหรอครับ?”  ผมย้อนถามแบบขำๆ สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อพลังอวยของแม่แม้แต่น้อย

“ก็ใช่น่ะสิ” แม่ทำหน้างงผสมไม่พอใจที่โดนผมขัดคอ  “ก็เราเป็นผู้ชายนี่ ชมว่าหล่อก็ถูกแล้ว จะให้บอกว่าสวยเหมือนแม่หรือไง?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย..........”

ถึงจะทำเป็นหงุดหงิดมองบนไปเรื่อยเปื่อย ทว่า สมองกลับนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้.... ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกอีกครั้ง ก็ยังไม่ชินกับสภาพแปลกตาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสักเท่าไรนัก ผิวขาวซีดที่ผมไม่เคยนึกชอบมันเอาเสียเลยโดนแม่จับประโคมด้วยอะไรต่อมิอะไรจนเหมือนมีแสงออร่าเปล่งออกมา เสื้อผ้าขนาดพอดีตัวที่ทำให้อึดอัดในตอนแรกกลับช่วยเน้นรูปร่างผอมบางให้เด่นขึ้น เส้นผมถูกเสยขึ้นให้เห็นช่วงคิ้วและหน้าผากเกลี้ยงมน ถึงได้รู้สึกว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผมมันเหมือนมีดาวระยิบระยับอยู่ข้างในนั้น

เป็นครั้งแรกที่ผมละสายตาไปจากตัวเองไม่ได้ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด

บางทีผมอาจจะ ‘สวย’ เหมือนอย่างที่พี่โรมบอกก็ได้มั้ง....?

“จะว่าไปแล้ว เอาไว้ว่างๆ แม่โทรนัดคุณเจตน์ ช่างภาพนิตยสารรันเวย์ให้มาถ่ายรูปทิชาทำพอร์ตเผื่อไว้ดีกว่า”

“ทำพอร์ต?”  ผมทวนคำแม่ด้วยความสงสัย  “ทำไปทำไมครับ?”

“ก็เผื่อว่าจะมีงานโฆษณา งานถ่ายแบบเข้ามาให้ทำไงล่ะ” 

แม่อธิบายเสมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน 

“ทีแรกแม่ก็ไม่คิดถึงเรื่องนี้หรอกนะ เพราะว่าแกน่ะตัวเล็กเกินไป เป็นพระเอกก็ไม่ได้ เดินแบบก็ไม่น่าจะไหว แต่เดี๋ยวนี้เขากำลังฮิตเทรนด์ผู้ชายหน้าสวยกันไม่ใช่เหรอ.... ถ้าได้งานปังๆ สักสอง-สามชิ้น บางทีแกอาจจะดังกว่าแม่สมัยสาวๆ ก็ได้นะ”

“ผมไม่เอาด้วยหรอก”  แค่ได้ยินก็ทำเอาผมขนลุกขนพองไปทั้งตัว หากเป็นไปได้ก็ขอให้แม่รีบๆ ลืมความคิดไปเสียเถอะ

“แกก็เป็นแบบนี้ทุกที อะไรที่ไม่ชอบหรือไม่เคยทำก็เอาแต่ปฏิเสธไปหมด ถ้าไม่รู้จักลองเสี่ยงดูบ้างแล้วจะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้ยังไง”

ในตอนนั้น ผมไม่เข้าใจความหมายคำพูดของแม่เท่าไร ผมคิดแค่ว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็ดีเกินพอแล้วสำหรับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง.... ผมไม่อดอยาก มีบ้านอยู่ มีเงินใช้ มีที่เรียน เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีพอเรียนจบก็คงมีงานทำเหมือนอย่างคนทั่วไป ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องไปไขว่คว้าทำตัวให้เด่นดังแบบที่แม่ต้องการเลยสักนิด

เรื่องอะไรผมจะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แล้วได้ผลลัพธ์เป็นความอับอายหรือคำด่าประณามจากลมปากคนอื่นด้วยล่ะ?

แค่เท่าที่ผ่านมาก็ควรจะหลาบจำได้แล้ว....


นานทีปีหน ผมถึงจะยอมจับพวงมาลัยขับรถสักครั้ง กว่าจะถอยเจ้ามินิคูเปอร์ (ที่แม่รักมากกว่าผม) เข้าซองจอดได้สำเร็จก็เล่นเอาแม่หงุดหงิดใส่ไปหลายยก แต่ความหรูหราอลังการของโรงแรมห้าดาวย่านสาทรก็ช่วยให้บุพการีผมใจเย็นลงได้ไม่ยาก.... แม่ส่องกระจกเติมลิปสติกสำรวจความเรียบร้อยทั้งของตัวเองและของผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะควงแขนผมตรงเข้าไปยังห้องแกรนด์บอลรูมสถานที่จัดงาน แสงไฟสว่างไสวจากโคมไฟแชนเดอเลียทอดยาวอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างจากแสงสปอร์ตไลท์ที่แม่หลงรักมันเป็นชีวิตจิตใจ

แม่ของผมกรีดยิ้มสวยและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ท่อนขาเรียวเดินเยื้องย่างในชุดราตรียาวเหมือนนางพญา ในขณะที่ผมพยายามก้มหน้าหลบแสงไฟแสงแฟลชให้มากที่สุด หากก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าทุกสายตาในบริเวณนั้นกำลังจับจ้องมายังเราสองแม่ลูก.... แต่จะเป็นสายตาแบบไหนนั้นผมเองก็ไม่กล้ารับประกันหรอกนะ

“สวัสดีค่ะ.... คุณพี่กัลยา คุณพี่กวินตรา” 

แม่จูงผมตรงเข้าไปหาผู้หญิงสูงวัยสองคนซึ่งยืนคุยกันอยู่ตรงโต๊ะรีเซฟชั่นเสมือนว่าล็อกเป้าหมายเอาไว้แล้ว ก่อนจะยกมือไหว้และเอ่ยทักทายเสียงหวาน 

“ไม่เจอกันเสียนาน ดูสาวขึ้นเยอะเลยนะคะ.... มีร้านหมอร้อยไหมดีๆ ก็แนะนำให้น้องรู้จักบ้างสิคะ”

“นิดาวัลย์ เธอมาทำอะไรที่นี่!?”  คนถูกทักหน้าตึงไปทันที ไม่รู้ว่าตึงเพราะโบท็อกซ์หรือตึงเพราะเห็นแม่ผมกันแน่

“แหม~ คุณพี่ทั้งสอง งานแต่งงานหนูเกดก็เหมือนงานรวมญาติไม่ใช่เหรอคะ แล้วนิดาจะไม่มาได้ยังไงกัน?”

“ใครเขานับญาติกับเธอ!?”

“เท่าที่จำได้ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้นับเธอเป็นน้องสะใภ้นะ.... อย่าสำคัญตัวผิด!”

และแล้ว สิ่งที่ผมคิดว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ก็เกิดขึ้นจริง แถมยังมาเร็วชนิดที่ผมยังไม่ทันได้หาที่หลบภัยเลยด้วยซ้ำ แต่แม่ผมก็โนสนโนแคร์ใดๆ ยังคงเชิดหน้าใส่ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วทอดเสียงกลั้วหัวเราะราวกับว่าท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เหล่านั้นเป็นเรื่องตลก

“เอาล่ะค่ะ ถึงนิดาไม่ถูกนับรวมเป็นญาติ แต่ทิชาก็เป็นหลานแท้ๆ ของคุณพี่ทั้งสอง จะพูดอะไรก็ถนอมน้ำใจสายเลือดทิพยศักดิ์เสนาด้วยกันหน่อยเถอะค่ะ”

แม่พูดพลางดึงมือผมให้มายืนรับแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังด้วยกัน 

“ทิชา มานี่มา.... จำคุณป้ากัลกับคุณป้าเก๋ได้ใช่ไหมลูก รีบไหว้พวกคุณป้าเขาเสียสิ”

“สวัสดีครับ” 

ผมยกมือไหว้ตามคำสั่ง แต่ก็อย่างที่เห็น คนเขาไม่ได้รักไม่ได้เอ็นดูมาตั้งแต่แรก จะมาหวังให้เขาลูบหัวหยิกแก้มคุยกันจี๋จ๋าก็คงไม่ใช่

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” 

ป้าคนซ้ายรับไหว้ตามมารยาท ทว่า สายตาที่ใช้มองผมก็กระด้างนัก จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจะด่าอะไรก็รีบๆ ด่าออกมาเถอะ

“หน้าตาดีนะเรา”  ป้าคนขวาพูดขึ้นบ้าง แต่ก็ออกแนวประชดประชันแดกดันพอกันนั่นแหละ  “เสียดายนะที่หน้าเหมือนแม่เกินไป โบราณว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เด็กนี่ก็คงไม่ต่างจากแม่นิดาวัลย์นักหรอกกระมัง”

ถ้านี่เป็นฉากในละครเคเบิล บางทีเราอาจจะได้เห็นแม่ผมถลาเข้าไปตบหน้าแล้วจิกหัวมนุษย์ป้าทั้งสองต่อหน้าคนนับร้อย แต่พอดีว่านี่คือชีวิตจริง การฟาดฟันจึงจำกัดอยู่เพียงแค่แสยะยิ้มมุมปาก เหยียดหยามดูแคลนผ่านสีหน้า และทำอะไรก็ได้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามหัวร้อนประสาทเสียมากที่สุด

“เอาซองช่วยงานไปให้ที่โต๊ะตรงนั้นนะ ทิชา.... อย่าลืมเซ็นอวยพรให้พี่เกดด้วยล่ะ”

“เอาเงินที่ปอกลอกจากพ่อมาใส่ซองคืนให้ลูกสาวเขา ช่างหน้าไม่อาย อัฐยายซื้อขนมยายแท้ๆ”

“ใจจริงนิดากับลูกก็อยากใส่ซองให้งานคุณพี่ทั้งสองนะคะ แต่น่าเสียดาย อุตส่าห์รอมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีโอกาสได้ใส่เลย ชาตินี้ก็คงไม่มีหวังจะได้ใส่แล้ว  ถึงต้องรีบมาใส่งานหนูเกดนี่ล่ะค่ะ.... อย่าว่ากันเลยนะคะ”

“นังนิดาวัลย์ แก.....!!”

ผมรีบดึงแม่ให้ถอยหลังออกมา ก่อนที่ซองช่วยงานแต่งจะกลายเป็นซองช่วยงานศพ แน่นอนว่าสงครามน้ำลายเมื่อครู่ไม่มีทางรอดพ้นความขี้เสือกของคนแถวนั้นไปได้ ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องมือถือต่างหันมาเตรียมพร้อมบันทึกภาพลงโซเชียลทันทีหากเกิดเหตุพี่ผัวกับสะใภ้นอกคอกพุ่งเข้าตบกันชนิดลืมแก่

ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างกำลังฮึมแฮ่วัดเชิงสกิลฝีปากใส่กันอยู่นั้น ผู้ชายที่ผมรู้จักดีก็เดินเข้ามา สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตกใจและไม่พอใจที่เห็นผมกับแม่ยืนประจัญหน้าอยู่กับคุณป้ากัลคุณป้าเก๋

“นิดา เธอมาทำอะไรที่นี่?”

“คุณกาญจน์” 

แม่เปลี่ยนเป้าหมายจากสองป้าไปหาชายคนนั้น น้ำเสียงลากยาวยียวนเมื่อครู่ยิ่งฟังระคายหูมากกว่าเดิม 

“ถามแบบนี้อีกคนแล้ว.... นิดามางานแต่งงานก็ต้องมาอวยพรให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวสิคะ ยิ่งเป็นลูกสาวคุณยิ่งพลาดไม่ได้”

“ไม่ต้อง กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“ไม่กลับค่ะ”

“แม่ครับ เรากลับกันเถอะ.........” 

เพราะคนที่ว่าคือพ่อของผมเอง การที่ต้องมาเห็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าทำสงครามประสาทใส่กันไม่ใช่เรื่องสนุก มันน่าอายแล้วก็เจ็บปวดที่ต้องถูกตอกย้ำว่าตัวผมคือลูกที่เกิดมาบนความไม่ตั้งใจ แต่เป็นเครื่องมือที่แม่มีเพื่อใช้เอาชนะพ่อที่ไม่ยอมหย่ากับเมียหลวงต่างหาก

“คุณกาญจน์คะ คุณไม่ได้เจอทิชามาหลายปีแล้วนะคะ.... จะทักทายลูกสักคำยังไม่มี แล้วยังจะมาไล่แกกลับทั้งๆ ที่แกอุตส่าห์มาหาคุณถึงที่อีก”

“ผมจะเจอทิชาที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

“แล้วเจอลูกที่นี่กับที่อื่นมันต่างกันตรงไหนคะ? ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนาคนหนึ่งเหมือนกัน จะเข้ามาในงานแต่งของพี่สาวตัวเองแล้วมันจะเสียหายยังไง?”

แทนที่แม่จะอายกล้องและเสียงซุบซิบนินทาที่หนาหูมากขึ้นทุกขณะ แม่กลับเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้นจนผู้คนรอบข้างได้ยินกันทั่ว เรียกแสงแฟลชสะท้อนวูบวาบอยู่รอบตัวพวกเรา ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะตอนนี้พ่อแสดงออกชัดเลยว่าอยากจะแทรกแผ่นดินหนีนักข่าวมากแค่ไหน 

“ทิชาเป็นลูกของคุณไม่ได้แตกต่างจากหนูเกดสักนิด แต่ถ้ามันจะต่างก็คงเป็นตรงที่คุณไม่เคยสนใจใยดีแกเลยนั่นละ!!”

“คุณกับทิชาได้ไปมากเกินพอแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก!?”

“นิดาต้องการให้ลูกได้อยู่ในงานนี้ค่ะ”  แม่พูดย้ำชัดถึงความต้องการ ไม่แยแสสีหน้าเหมือนคนเพิ่งกินของขมเข้าไปของพ่อแม้แต่น้อย  “.......อย่างเท่าเทียมกับญาติๆ ทุกคนที่มาที่นี่ด้วย!”

พ่อไม่ยอมรับปาก ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห คงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยทีเดียวที่จะไม่ตะเพิดผมกับแม่ออกไปอย่างหมูอย่างหมา

“คุณแม่คะ.... ทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะ อย่าให้เรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย”

ผมได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนซึ่งยืนอยู่กับหญิงชราเอ่ยขึ้น เธอมองมาทางผมและแม่อย่างเย็นชาและเกลียดชัง.... ก็แน่ละ คงไม่มีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายคนไหนจะชอบขี้หน้าเมียและลูกนอกสมรสอยู่แล้ว ยิ่งมาสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ด้วย 

“วันนี้เป็นวันสำคัญของยายเกด วิสงสารลูก”

“คุณย่า.........”  ผมยกมือไหว้หญิงชราในชุดผ้าไหมสีเข้ม ท่านชำเลืองมองผมเล็กน้อยแล้วก็ผ่านเลยไปหยุดอยู่ตรงพ่อกับแม่

“ถ้าแม่นิดาวัลย์เขาต้องการแบบนั้นก็ตามใจเถอะ” 

คุณย่าพูดประโยคนั้นกับพ่อ ก่อนจะหันไปมองหน้าแม่แล้วพูดส่วนที่เหลือให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกัน 

“ฉันอนุญาตให้คนที่เป็นทิพยศักดิ์เสนาอยู่ในงานนี้ได้ ส่วนคนที่เหลือ ถ้าไม่มีบัตรเชิญหรือไม่มีหน้าที่ในงานนี้ก็กลับออกไปให้หมด!”

แม้แต่คนที่โง่ที่สุดฟังแล้วก็ยังรู้เลยว่าคุณย่าจงใจจะไล่แค่แม่คนเดียว ใครต่อใครต่างก็คิดว่าแม่จะโกรธที่ถูกฉีกหน้า แต่เปล่าเลย เพราะแม่ผมคลี่รอยยิ้มสะใจใส่พวกญาติฝ่ายพ่อที่สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาปฏิเสธความมีตัวตนของผม

“เข้าไปสิ ทิชา..... คุณย่าอนุญาตแล้วลูก”

“แม่............” ผมลังเล ไม่ยอมเดินเข้าไปตามคำสั่ง แต่แม่ก็ฉวยเอากุญแจรถจากผมแล้วกำชับสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จสรรพ

“เข้าไปอวยพรพี่เกดแล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้หลายๆ กล้องนะลูก จะได้ออกข่าวเยอะๆ.... แล้วขากลับให้ลีมูซีนของโรงแรมไปส่งที่บ้าน อย่านั่งแท็กซี่กลับเอง มันอันตราย เข้าใจนะ ทิชาของแม่?”

ผมไม่ตอบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือยืนนิ่งปั้นหน้าไม่ถูก พอรู้ตัวอีกที แม่ก็ไปแล้ว

“ทิชา เข้าไปในงานแล้วก็อยู่เฉยๆ อย่าคิดจะก่อความวุ่นวายเหมือนแม่แกเป็นอันขาด!”


นั่นเป็นคำพูดแรกที่พ่อพูดกับผมในรอบห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน

บอกตามตรง ผมรู้สึกประทับใจเหี้ยๆ เลยล่ะครับ....

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 03 [ 19/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 23-11-2017 19:22:43
ผมไม่ค่อยได้มางานแบบนี้บ่อยนักหรอก งานแต่งงานที่เคยไปก็ประมาณว่างานของคนในวงการบันเทิงที่เขาไม่ถือสาข่าวฉาวของแม่และยังให้เกียรติเชิญอยู่ ผมก็เลยไม่ค่อยคุ้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหลบไปมุมไหนดี.... ผมส่งไลน์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้บีบี๋ฟัง ซึ่งมันก็บอกให้ผมสงบสติอารมณ์ด้วยแซลมอนและขนมหวาน กวาดทุกอย่างลงท้องจนกว่าจะอิ่มแล้วก็กลับบ้านไปแบบไม่ต้องคิดมาก

และผมก็เชื่อว่าแซลมอนกับช็อกโกแลตจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ผมก็เลยหยุดตัวเองอยู่ตรงมุมซูชิ กินสลับกับเค้กช็อกโกแลตกานาชของโปรด ใครจะมองยังไงก็ช่างแม่งเหอะ เพราะผมก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากกินอยู่แล้วนี่

“มึงตายอดตายอยากมาจากไหนวะเนี่ย?”

เสียงทักลอยมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับมือหนาที่ฟาดลงบนไหล่ผมดังป้าบ

“อุ๊บ......พี่โรม!” 

ผมหันไปมอง แทบจะสำลักพ่นเอาแซลมอนออกทางจมูกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่ผมตั้งใจอยากจะมาเจอ แต่พอเจอดราม่าก็ดันลืมไปเสียสนิทว่าเขาจะมางานนี้ด้วย

“ไม่ได้กินข้าวมาจากบ้านเรอะ กูเห็นมึงกินเอาๆ อยู่สักพักแล้ว” 

ร่างสูงพูดขำๆ บอกให้ผมรู้ตัวว่าเขาสังเกตผมอยู่นานแล้วก่อนจะเดินเข้ามาหา ทำเอาใจผมสั่นระรัวเพราะแอบคิดไปไกลแล้วว่าพี่โรมคง ‘ชอบ’ ที่จะมองผม

“ก็.......เปล่า.........”

“กูส่งไลน์หามึง ทำไมไม่อ่านเลยวะ?”

“พอดีก่อนเข้ามาผมยุ่งๆ อยู่น่ะ แทบไม่ได้จับโทรศัพท์เลย”

“อะไร คนจีบเยอะหรือไงมึง?” 

พี่โรมแกล้งหยอก นัยน์ตาคมสีเข้มมองชุดสูทเข้ารูปที่เขาเป็นคนเลือกให้เองกับมืออย่างภาคภูมิใจ แล้วจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมซึ่งค่อนข้างแปลกตาไปจากเวลาปกติพอสมควร ซึ่งผมคิดว่าที่พี่โรมจ้องเอาๆ ขนาดนี้คงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์คูชั่นและสารพัดเครื่องประทินโฉมที่แม่กระหน่ำโปะลงบนผิวผมนั่นแหละ แต่สุดท้ายพี่แกก็เคลมเอาว่าเป็นความดีความชอบของตัวเองทั้งหมด

“กูบอกแล้วว่าเชื่อฝีมือกูได้เลย.... เป็นไงล่ะ เจมส์จิก็เจมส์จิเหอะ เจอทิชา ลูกทีมกูหน่อยเป็นไง”

ผมหัวเราะความมั่นหน้าในแบบฮาๆ ของพี่โรม ถึงจะบ้าบอไปหน่อยแต่ก็เป็นเรื่องแรกในรอบสัปดาห์ที่ผมรู้สึกว่ามันตลกจริงๆ

“ตกลงวันนี้มีใครมาจีบมึงหรือยัง?”

“บ้าแล้วพี่ อยู่ดีๆ ใครมันจะมาจีบ........” 

ผมส่ายหน้าถลึงตาใส่คนถาม เกลียดสายตากรุ้มกริ่มเหมือนมีเลศนัยแปลกๆ ที่พี่โรมใช้มองผมชะมัดยาด เพราะมันกำลังทำให้ผมหน้าร้อนผ่าว เสียงสั่น แล้วก็เริ่มจะควบคุมสติไม่ค่อยอยู่ 

“ละ......แล้วผมก็ผู้ชายด้วย พี่แม่งชอบพูดเหมือนผมเป็นผู้หญิงอีกแล้ว”

“อ้าว ก็ลูกทีมกูสวย กูก็ต้องหวงของกูดิ”

‘จะหวงได้ก็ต้องเป็นเจ้าของก่อนไม่ใช่เหรอวะ.........’

ผมแอบคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา สมองของผมไม่ต่างจากรถที่ติดอยู่ในหล่มโคลน แม้จะพยายามเร่งเครื่องยนต์จนล้อฟรีก็ยังตะกายขึ้นมาจากกับดักของคำว่า ‘พี่โรมหวงผม’ ไม่ได้ หากดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกเลยว่าคำพูดกำกวมของเขาจะทำให้ผมคิดเยอะเกินไปกว่าความจริงที่เป็น

“ว่าแต่มึงมางานนี้คนเดียวเหรอ..... กูนึกว่ามึงจะมากับพ่อแม่ไรงี้เสียอีก?”

ผมยังไม่ทันตอบ คนกลุ่มใหญ่ก็ยกโขยงเข้ามาใกล้ เหมือนจะเป็นช่วงบ่าวสาวเข้ามาทักทายแขกเหรื่อในงานก่อนขึ้นเวที ผมตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทางให้พ้นรัศมีตากล้องและสายตาบรรดาญาติฝ่ายพ่อ แต่ทว่า ไอ้เชี่ยพี่โรมกลับไม่ยอมไปไหน ซ้ำยังดึงผมให้ยืนอยู่ข้างกันอีกต่างหาก

“ไอ้โรมใช่มั้ยนั่น?”

“เออ ผมเอง พี่ธันวา”  พี่โรมเข้ามาจับมือและกอดทักเจ้าบ่าวแบบแมนๆ คุยกัน  “ยินดีด้วยนะพี่ เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาได้เสียที พ่อแม่ผมฝากมาอวยพรด้วย”

“ขอบใจมาก ฝากความคิดถึงไปให้พวกคุณอาด้วย”

ผมเพิ่งนึกออกว่าพ่อพี่โรมกับพ่อเจ้าบ่าวเป็นเพื่อนกัน รุ่นลูกก็เลยพลอยนับถือกันเหมือนเป็นพี่น้องไปด้วย ทั้งคู่พูดคุยทักทายกันอย่างสนิทสนม มีเรื่องสารทุกข์สุกดิบและเรื่องธุรกิจรีสอร์ทที่สุราษฎร์แพล่มมาให้ได้ยินประปราย เหลือแค่ผมกับเจ้าสาวที่ยืนเงียบอยู่ข้างคนของฝ่ายตัวเองโดยไม่พูดอะไร

“แล้วน้องคนนั้นเพื่อนเอ็งเหรอ?”  อยู่ดีๆ เจ้าบ่าวหันมาสนใจผม พี่โรมก็เลยโอบไหล่ผมคล้ายกับจะโชว์ให้ทุกคนเห็นชัดๆ ว่าผมเป็นลูกทีมเขา

“อ๋อ.... ทิชาเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยน่ะ เห็นบอกว่าเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวก็เลยนัดมาเจอกันที่งานพอดี”

“ญาติเกดเหรอ?”  เจ้าบ่าวกระซิบถามเจ้าสาว แต่ก็ยังเสียงดังมากพอที่จะทำให้ผมได้ยิน

“ไม่รู้สิคะ เกดไม่รู้จัก” 

เธอปรายหางตามองผมผ่านๆ ประหนึ่งมองเศษฝุ่นเศษผงที่เปื้อนรองเท้าก่อนจะตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ 

“สงสัยนามสกุลพ่อเกดคงจะฟังดูเพราะมากล่ะมั้งคะ เลยมีพวกสัมภเวสีหน้าด้านหน้าทนอยากมาขอใช้ด้วยเยอะเสียจนจำไม่ได้แล้วว่ามีใครบ้าง........”

ช่องท้องผมปั่นป่วนขึ้นมาทันที อยากจะสำรอกเอาทุกอย่างที่กินเข้าไปเมื่อกี้ออกมา.... ถ้าเป็นคนอื่นพูด ผมก็คงทำเป็นหูทวนลมแอบกรวดน้ำคว่ำขันให้ในใจได้ไม่ยาก แต่บังเอิญว่าผู้หญิงที่พูดประโยคเมื่อครู่เป็นพี่สาวของผม แม้จะเกิดจากคนละแม่ อาศัยอยู่กันคนละบ้าน แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายพี่เกด ไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวด้วย ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เกดถึงต้องใจร้ายกับผมขนาดนี้

“ไปทางอื่นกันทางเถอะค่ะ ธันวา.... ยังมีแขกอีกตั้งเยอะแน่ะ เดี๋ยวทักทายไม่ครบแล้วจะกลายเป็นเสียมารยาทเอา”

“ไอ้โรม พี่ไปก่อนนะเว้ย เอาไว้ค่อยนัดเจอกัน”

“ได้เลยพี่”

คู่บ่าวสาวและกองทัพผู้ติดตามจากไปแล้ว เหลือทิ้งเอาไว้เพียงบาดแผลในใจผมที่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งรอย.... ผมพยายามบอกตัวเองว่าคำด่ามันทำให้เจ็บอยู่แค่ชั่วประเดี๋ยวแต่ไม่ถึงกับตาย อีกไม่นานผมก็ยิ้มได้กินข้าวอร่อยเหมือนเดิม แม้จะรู้ดีว่าแผลใจพวกนี้จะไม่มีวันแห้งสนิทก็ตาม

“ทิชา.............”

มันเหี้ยตรงที่พี่โรมดันได้ยินพี่เกดด่าผมนี่แหละ แล้วก็คงสงสัยมากด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ เจ้าสาวซึ่งสมควรจะมีความสุขที่สุดในงานถึงได้กล้าจิกญาติฝั่งตัวเองจนเหวอะต่อหน้าแขกเบอร์นี้

“มึงโอเคใช่ไหม?”

ผมไม่ได้ตอบด้วยคำพูด เพียงแต่ยิ้มเป็นเชิงบอกว่ามันไม่มีอะไรหรอก ก็แบบเดียวกับตอนที่ผมโดนเมียพี่เอกตามมาแหกกลางสตาร์บัคนั่นแหละ ผมเจ็บจนชิน เจ็บแล้วก็หาย แล้วก็กลับไปเจ็บใหม่จนเป็นเรื่องปกติ.... แต่พี่โรมคงมองออกว่ารอยยิ้มของผมมันก็แค่ยิ้มกลบเกลื่อน ยิ้มเหมือนแมวโดนกระตุกหนวด เขาถึงได้กุมมือผมเอาไว้แน่นราวกับจะปลอบโยน

“พี่โรม.........”  บ้าฉิบหาย เสียงผมสั่นอย่างกับจะร้องไห้  “เรา........ออกไปนั่งคุยกันข้างนอกกันไหม?”

“ให้กูไปส่งมึงที่บ้านดีกว่าหรือเปล่า?”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ในนี้แอร์มันเย็นเกินไป..........” 

ผมยังคงเสแสร้งแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ถ้าควักหัวใจผมออกมาดูก็คงเห็นว่ามันยับเยินไปหมดแล้ว 

“ผมยังกลับบ้านไม่ได้จนกว่างานจะเลิก.... พี่โรมออกไปนั่งเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย แค่แปบเดียวเอง?”

หากเกิดเรื่องขึ้นที่มหาวิทยาลัย ผมคงพูดขออะไรใครแบบนี้ไม่ได้ ทุกคนจะรุมด่ารุมกล่าวหาทันทีว่าผมมันขี้อ่อย ชอบทำเป็นสำออยให้ผู้ชายสงสาร ผมถึงได้รักษาระยะห่างและระมัดระวังท่าทีของตัวเองมาโดยตลอด.... แต่ในตอนนี้ ผมคงอยู่คนเดียวไม่ไหวแล้วจริงๆ

“ไปสิ.... มึงก็อย่าคิดมากนะ ทิชา เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง..........”



ROME’s PART


ครั้งแรกที่ผมเห็นทิชามีเรื่องกับเมียไอ้เอก ผมก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่มันคิดว่าตัวเองเป็น

ครั้งที่สองที่เห็นมันโดนพวกขี้ยาคณะวิทย์รังแก ผมก็ยิ่งเข้าใจว่ามันไม่ได้เก่งกล้าอะไรอย่างที่พยายามแสดงออกเลยแม้แต่น้อย

ผมเองก็ไม่ใช่พวกฮีโร่ หลงใหลคลั่งไคล้ความยุติธรรมอะไรนักหรอก แต่พอเห็นไอ้ทิชาทำท่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก เป็นส่วนเกินที่ถูกทุกคนทิ้งเอาไว้ข้างหลังก็กลับรู้สึกว่าแม่งโคตรผิดพลาด.... คนอย่างมันก็เป็นแค่เหยื่อของความเห็นแก่ตัว ความมักมากและสันดานเหี้ยๆ ของหมาตัวผู้บางตัว แต่การที่มันจะต้องมารับคำด่าและบทลงโทษจากสังคมก็เป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน

ทิชาเป็นเด็กแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน รุ่นน้องในคณะผมก็ไม่มีใครที่เป็นเหมือนอย่างมัน.... ผมเป็นฝ่ายเลือกเข้าหาทิชาในตอนแรก จะว่าด้วยความสงสารก็คงใช่แหละมั้ง แล้วผมก็ได้รู้ว่าไอ้ทิชาก็แค่เด็กซื่อบื้อธรรมดาๆ ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ขี้เหงา แต่ก็ขี้ระแวง กลัวว่าตัวเองจะโดนคนรอบข้างทำร้ายถึงได้เอาแต่หนีอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ถ้ามันรู้จักยิ้ม รู้จักคุยได้สักครึ่งหนึ่งของไอ้บีบี๋เพื่อนมัน โลกก็อาจจะไม่โหดร้ายกับมันมากถึงขนาดนี้ก็ได้

ผมถึงอยากให้ทิชายิ้มเยอะๆ หัวเราะเยอะๆ

แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดน้อยเกินไปหน่อย....


ผมพาทิชามานั่งตรงริมสระน้ำด้านหลังห้องแกรนด์บอลรูม ในเวลาเกือบสามทุ่มไม่มีแขกลงมาใช้งานแล้ว บริเวณนี้จึงมีแค่ผมกับมันนั่งพิงไหล่กันอยู่ท่ามกลางความมืด แววตาสีน้ำตาลเข้มของร่างเล็กสะท้อนภาพผืนน้ำไหวกระเพื่อมตามแรงลม.... แวบหนึ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะร้องไห้แต่ก็ไม่เห็นมีน้ำตาไหลออกมาเลย

แต่ถ้าผมมองดูให้ชัดอีกนิดก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าทิชามันกำลังร้องไห้อยู่ในใจต่างหาก....

พี่โรม”

“หืม?”

“สงสัยใช่ปะว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น........” 

ทิชาถามผม น้ำเสียงมันกลั้วหัวเราะแห้งๆ อีกแล้ว ซึ่งผมไม่ชอบเลย เพราะฟังดูเหมือนมันกำลังแค่นหัวเราะสมเพชตัวเองยังไงยังงั้น

 “ลองเสิร์ชกูเกิ้ลชื่อ ทิชา ทิชนันท์ ดูดิพี่”

“กูเกิ้ลเลยเหรอวะ”

“อือ รับรองว่าโคตรแซ่บ”

ผมทำตามอย่างที่ทิชาบอก หยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชชื่อเจ้าตัวดูว่าจะมีอะไร แล้วผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อข่าวของอดีตดาราระดับนางเอกที่ชื่อนิดาวัลย์ปรากฏขึ้นมาจนเต็มหน้าจอไปหมด.... ผมเองก็เคยได้ยินข่าวเหตุการณ์ระหว่างเจ้าหล่อนกับตระกูลทิพยศักดิ์เสนามาบ้าง มันก็เรื่องชู้สาวที่ดังฉาวโฉ่ระดับประเทศ ขนาดเวลาผ่านไปเป็นยี่สิบปีแล้วก็ยังมีประเด็นให้คนพูดถึงอยู่เป็นระยะ ซึ่งผมมองว่ามันก็แค่เรื่องชิงรักหักสวาทไร้สาระที่มีทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายชายเข้ามากระพือให้ไฟยิ่งโหมหนักมากขึ้น

แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือ ลูกชายของดาราหญิงคนนั้นซึ่งผมเคยเห็นแวบๆ ในข่าวหลายต่อหลายครั้งจะมานั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้....

“สนุกมั้ย.... นิยายน้ำเน่าที่ให้อ่านนั่นอะ?”

ไอ้ทิชายังคงหัวเราะงี่เง่าตามสไตล์ของมัน อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสมือนว่าเป็นเรื่องตลกที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน

“ทีนี้พี่ก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วนะถ้าอยู่ดีๆ จะมีใครมาด่าผมประมาณว่าแรดร่าน หาผู้ชายเองไม่ได้ สันดานเมียน้อย หรือชอบเกาะผู้ชายรวยๆ อะไรทำนองนี้น่ะ”

ผมพอจะปะติดปะต่อคำบอกเล่าของทิชากับสิ่งที่เคยเห็นได้รางๆ หลังจากที่โดนเมียไอ้เอกด่าสาดเสียเทเสียกลางร้านกาแฟก็มีคนพูดแบบนี้ ตอนที่ทิชามีเรื่องกับพวกคณะวิทย์ก็ถูกด่าประมาณนี้เหมือนกัน

“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วย?” 

ถ้าถามผม ผมก็มองว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ข่าวที่ลงก็มีแต่ความขัดแย้งกันของพ่อแม่มัน ตามหลักแล้ว เด็กไม่ควรจะต้องถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วยสักหน่อย

“ใครเขาสนกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หรือของเด็ก.... สิ่งที่คนแถวนี้ตัดสินก็มีแค่ว่าแม่มันเลว ลูกออกมาก็ต้องเลวเหมือนแม่” 

ทิชาบอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มในขณะที่ดวงตาไหวระริกจนฝืนปิดบังความเศร้าเอาไว้ไม่มิด 

“แต่ผมก็ถูกด่าจนชินแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก.... ที่ให้พี่โรมอ่านก็เพราะอยากให้รู้ความจริง พี่จะได้ตัดสินใจถูกไงว่าจะยังอยากคุยกับผมอยู่หรือเปล่า”

“มึงก็ส่วนมึง แม่มึงก็ส่วนแม่มึงสิวะ.... เอามารวมกันได้ไง”

“นอกจากไอ้บี๋ก็มีแค่พี่โรมนี่แหละที่พูดแบบนี้”

ทิชาซบหน้าลงบนไหล่ของผมอีกครั้ง ความอุ่นชื้นรินรดผ่านผ้าตัดสูทเนื้อดีจนกระทั่งผมสามารถรับรู้ได้ถึงปริมาณความหนักหนาสาหัสของมัน ไม่มีเสียงสะอื้นฟูมฟาย มีเพียงสัญลักษณ์ความอ่อนแอของมนุษย์ที่หลั่งออกมาเมื่อความเข้มแข็งมาถึงขีดจำกัด.... ผมจึงพาดแขนโอบร่างผอมบางนั้นเอาไว้แล้วปล่อยให้ทิชาได้อยู่เงียบๆ จนกว่ามันจะสงบลง

“ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยมีใครพูดกับชาดีๆ เลย.... พอมีคนทำดีด้วยสักครั้ง ชาก็มารู้เอาทีหลังตลอดว่าพวกเขาก็แค่หว่านพืชหวังผล ตอนที่เข้ามาจีบแรกๆ ก็สารพัดจะเอาใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอนอนด้วยกันแล้ว คนพวกนั้นก็ทิ้งชาไปกันหมด..........” 

นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยิน ทำไมคนที่ทั้งสวยน่ารักและใสซื่ออย่างไอ้ทิชาถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันถูกหลอกอยู่ฝ่ายเดียว

 “แบบไอ้เหี้ยพี่เอกไง.......แต่ไม่ได้มีแค่คนเดียว.......ชาเจอเรื่องแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..............”


ทว่า สิ่งที่ผมไม่ทันคิดก็คือแล้วเพราะอะไรทิชาถึงไม่ยอมหยุด?

ทำไมมันถึงยังพยายามจะไขว่คว้าเรียกร้องหาสิ่งที่ทำให้มันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น....?

                                                                                                                             

“แล้วพี่โรมล่ะ พี่ทำดีกับชาขนาดนี้.... ต้องการอะไรหรือเปล่า?”

เสียงแหบแห้งนั้นฟังดูเหมือนใจจะขาด ผมสงสารมันจนแทบทนฟังต่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในขณะที่ผมคิดว่าตัวเองควรทำอย่างไรเพื่อให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ดีขึ้น ทิชาก็โผเข้ามาซุกอกผม สายตาที่มันช้อนมองคล้ายจะเว้าวอนขออะไรบางอย่างมากกว่าจะอยากได้คำตอบให้กับสิ่งที่เพิ่งถามออกมา

“มึงถามว่ากู.....ต้องการอะไรงั้นเหรอ.....?”   

“อืม แล้วพี่โรมอยากได้อะไรล่ะ?”  ปลายนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นมาแตะสันกรามผม.... สีหน้าและน้ำเสียงของมันช่างเย้ายวนจนน่ากลัว  “พี่อยากนอนกับชามั้ย?”

“ทิชา.......มึง..........”

“ถ้าพี่จะเอา ชาก็ให้ได้นะ.... ให้ได้จริงๆ...........”

และกว่าที่ผมจะทันรู้ตัว กลีบปากนุ่มหยุ่นก็ประกบเข้ากับริมฝีปากผม ไม่เพียงแค่สัมผัสออดอ้อนเรียกร้องความสนใจ หากกลับร้อนเร่าเสียจนสติสัมปชัญญะของเราทั้งคู่กระเจิดกระเจิงไปไกล
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 23/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TNM ที่ 23-11-2017 19:29:45
เห็นชื่อเรื่องก็กดเข้ามาเลยเพราะชอบioi
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 23/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-11-2017 20:47:08
ฮือออ มาต่อออ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 23/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 23-11-2017 22:07:38
สงสารน้องงงง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 23/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 26-11-2017 21:04:52
TISHA’s PART



พี่โรมไม่ปฏิเสธผม....


ไม่ว่าจะด้วยความเหงา กลัวว่าจะถูกทิ้งหรืออะไรก็ช่าง ผมไม่อยากจะหยุดหัวใจตัวเองเอาไว้กับความผิดหวังเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ผมเคยเสียใจแล้วก็ยังแกล้งยิ้มระรื่นทำเป็นไม่รู้สึกเจ็บปวด

ความเข้มแข็งที่ไม่เคยมีอยู่จริงนั้นไม่ช่วยอะไร นอกเสียจากช่วยให้ผมจมอยู่กับความโดดเดี่ยวไปจนตาย

แต่ตอนนี้ผมต้องการพี่โรม

ผมอยากได้เขา.... อยากให้เขามาเป็นของผมคนเดียว.......




ครั้งแรกในชีวิตที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน ขอบคุณประสบการณ์เหี้ยๆ ในอดีตที่ทำให้ผมไม่เหลือความไร้เดียงสาและยางอายอยู่อีกแล้ว.... ผมเบียดตัวเข้าหาพี่โรมจนกระทั่งตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาจนได้ สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าราวกับสายฝนซึ่งพร่างพรมลงมาในวันที่แสนอบอ้าว เรียวลิ้นชื้นซึ่งเกี่ยวกระหวัดตอบรับกลับมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม เหมือนกำลังงถูกกอด เหมือนกำลังได้รับความรัก ผมจึงย้ำจูบอยู่อย่างนั้นคล้ายกับจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ให้เป็นของพี่โรม

หัวใจของผมอบอุ่นขึ้นแล้ว


พี่โรม.......เขาก็ชอบผมเหมือนกัน..........



“อืม......ทิชา...........”

เสียงทุ้มครางออกมาเป็นชื่อผม ร่างหนาขยับคล้ายกับจะถอยออกห่างแต่ผมก็ยังไม่หยุด ผมอาจจะไม่ได้หอมหวานบริสุทธิ์อย่างที่ใครๆ ต้องการ แต่ร่างกายนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมมีเหลืออยู่

“........พอก่อน.......มึง.............”

หูผมอื้อจนไม่ได้ยินเสียงร้องห้าม แต่ถึงได้ยิน ผมก็ไม่คิดที่จะทำตาม.... ผมยังเฝ้ากดริมฝีปากป้อนจูบที่เต็มไปด้วยความโหยหาใส่คนตรงหน้า หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ยกเว้นแต่จะให้พี่โรมอยากได้ผมเหมือนอย่างที่ผมอยากได้เขา

ทว่า มือหนาคู่นั้นกลับไม่ได้โอบกอดผมเอาไว้ มีเพียงแรงผลักไสเหมือนนึกรังเกียจที่ทำเอาผมแทบล้มหน้าหงาย

“กูบอกให้พอก่อนไง.....!”

พี่โรมหอบหายใจแรง มือของเขายันอกผมไว้เป็นเชิงห้ามไม่ให้ขยับเข้าไปหา ใบหน้าฉายชัดถึงความตกใจ สับสน......แล้วก็ไม่พอใจมาก..........



ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าพี่โรมมีความสุขที่ได้จูบกับผมเลย



“ทำไมล่ะ?”  ผมแอ๊บทำเป็นถามใสๆ ทั้งที่ในใจนั้นรู้แล้วว่าตัวเองคงทำพลาดครั้งใหญ่  “ชาจูบไม่เก่งเหรอ? งั้นขอเริ่มใหม่ได้มั้ย?”

“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!”

โอเค.... พี่โรมยิ่งดูหัวเสียเมื่อผมแกล้งโง่ใส่เขา ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงยอมแพ้แล้วก็ปล่อยให้เขาเดินจากไป แต่เพราะว่าอีกฝ่ายคือพี่โรมที่ดีกับผมมากเหลือเกิน ความดื้อรั้นในตัวจึงร้องบอกให้ผมพยายามยื้อจะเอาให้ได้.... ในเมื่อเขาทำดีกับผมขนาดนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่พี่โรมจะไม่คิดอะไรกับผมเลย

“แล้วมันยังไงล่ะ?”

พี่โรมดูลำบากใจกับรอยยิ้มของผม.... ทั้งที่เมื่อคราวก่อน เขาเป็นคนบอกให้ผมยิ้มเยอะๆ เองไม่ใช่เหรอ ผมก็อุตส่าห์ยิ้มแล้วไง แล้วทำไมตอนนี้เขากลับทำคล้ายกับว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีกเสียอย่างนั้น

“กู.......ไม่ได้อยากได้มึง.........”

ใจผมกระตุกร่วงหล่นลงสู่ปลายเท้า เย็นวาบหนึบชายิ่งกว่าตอนที่ถูกพี่มีนาราดช็อกโกแลตลงกลางหัว.... ผมหายใจแรงขึ้นเมื่อก้อนแข็งขมปร่าแล่นขึ้นมาจุกลำคอ แต่ผมก็ฝืนกลืนมันลงไปแล้วปั้นยิ้มหน้าระรื่นเสมือนไม่รู้สึกรู้สมกับอะไรทั้งสิ้น

“พี่โรมไม่ชอบที่ชาเคยนอนกับคนอื่นมาก่อนใช่ไหม?” 

ผมกอดพี่โรมเอาไว้ พยายามอ้อน พยายามใช้น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเสมือนว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยซื่อใสไร้เดียงสา รุ่นพี่กี่คนๆ ที่เคยคบมาก็ชอบให้ผมทำแบบนี้กันทั้งนั้น พี่โรมเองก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก 

“แต่เวลาคบ ชาก็คบทีละคนนะ แล้วก็ไม่เคยยอมให้ใครสดด้วย.... พี่โรมใจดีกับชามากยิ่งกว่าคนพวกนั้นอีก ชาไม่กล้าทำให้พี่เดือดร้อนหรอกน่า”

“เป็นห่าอะไรของมึงวะเนี่ย ทิชา......!?”

“นะ.....เปิดห้องกัน........เดี๋ยวชาอมของพี่ให้ก็ได้ รับรองว่าพี่โรมต้องติดใจแน่”

“ไอ้ทิชา.... ตั้งสติหน่อยสิวะ!” 

พี่โรมจับตัวผมเขย่าจนหัวคลอน เขาคงคิดว่าผมเมาหรือไม่ก็เสียใจจนเป็นบ้า ถึงได้พูดคำพูดน่ารังเกียจเมื่อกี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว 

“มึงอย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินอีกนะ อมเอิมเหี้ยไร.... พูดอย่างกับจะเอาตัวเข้าแลกให้กูเป็นผัวมึงอยู่ได้!”

“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ? พี่โรมไม่ได้ทำดีกับชาเพราะว่าอยากนอนด้วยหรอกเหรอ?”

“ห่าเอ๊ย.....มึงนี่แม่งประสาทแดกชัดๆ!” 

จากที่แค่โกรธกลับกลายเป็นรังเกียจ พี่โรมลุกขึ้นยืนมองหน้าผมเหมือนเห็นเป็นตัวประหลาด.... ข้างในอกผมลั่นเปรี๊ยะคล้ายแผ่นน้ำแข็งที่แตกออก อารมณ์ว่าแตกสลายอยู่ข้างในแต่น้ำตาเจ้ากรรมเสือกจะไหลออกมาประจานกันให้ได้ รอยยิ้มจอมปลอมซึ่งเป็นเกราะกำบังของผมหายไปแล้ว เหลือเพียงเนื้อในที่โคตรอ่อนแอและโคตรน่าสมเพชเมื่อต้องมาร้องขออะไรก็ไม่รู้จากคนที่เขาไม่มีจะให้

“งั้นพี่โรมมาคุยกับชาทำไม?” 

ผมลุกขึ้นตามคาดคั้นเอาเรื่อง เสียงผมยิ่งสั่นเมื่อข่มก้อนสะอื้นให้กลับลงไปไม่ได้ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวจากหยดน้ำที่แห่กันมากระจุกรวมอยู่ตรงหัวตา 

“สงสารเหรอ? หรืออยากสมน้ำหน้า? หรือแค่อยากเห็นกับตาว่าไอ้ทิชาที่คนอื่นเขาพูดถึงกันมันร่าน มันใจง่ายจริงหรือเปล่า.... หรือว่ามันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย พี่แค่ทำเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง?”

“กูชอบมึงนะ ทิชา แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเข้าใจอะไรผิดๆ เหมือนกัน” 

คำว่าชอบที่มาพร้อมกับสีหน้าอึดอัดใจก็ไม่ต่างอะไรกับคำว่ารำคาญ ผมรู้ว่าพี่โรมก็แค่ใจอ่อนเพราะเห็นผมร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้อ่อนมากพอที่จะยอมตามใจผมสักครั้ง

“กูชอบมึงแบบน้องชาย มึงเข้าใจมั้ยว่ามันเป็นแค่ความเอ็นดู กูแค่อยากดูแลมึงในฐานะพี่.... ไม่ได้อยากเอามึงมาทำอย่างว่าแบบนั้น”

“แต่ชาไม่ได้อยากเป็นน้องพี่โรมนี่!”

เมื่อความผิดหวังและเสียใจกำลังครอบงำสติสัมปชัญญะ ผมในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ลงไปดิ้นพราดกับพื้นเพราะพ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้.... ผมรู้ดีว่าผมงี่เง่า ผมงอแง และผมกำลังโมโหพาลโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะคนรอบข้างต่างหากที่คิดจะทำร้ายผม แต่ไม่เคยย้อนกลับมาดูเลยว่าผมเอามีดที่มองไม่เห็นทิ่มหัวใจตัวเองไปกี่ครั้งแล้ว

“เลิกทำตัวเป็นพระเอกเหอะพี่ พี่น้องห่าไรใครจะโง่เชื่อวะ ไม่มีใครเข้าหาชาโดยไม่หวังอะไรหรอก....”

ผมแค่นยิ้มประชดทั้งน้ำตา เชื่อฝังใจแล้วว่าสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นอีหรอบเดิม 

“ไหนๆ เรื่องระหว่างเรามันก็ฉิบหายขนาดนี้แล้ว บอกมาสิว่าพี่โรมต้องการอะไรกันแน่!”

พี่โรมไม่ตอบ เขาเอาแต่ยืนนิ่งมองหน้าผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ.... มันไม่เหมือนกับตอนที่ผมจับได้ว่าโดนพี่เอกคบซ้อน เพราะนั่นคือพี่เอกเงียบไปเพื่อนึกหาข้อแก้ตัวให้พ้นผิด ในขณะที่พี่โรมมีเหตุผลรองรับการกระทำของตัวเองและเขาก็ไม่ต้องการที่จะโกหกเพื่อปัดสวะให้พ้นตัว

เพียงแต่เขาก็ไม่อยากบอกให้ผมรู้ความจริงด้วยเช่นกัน....


Tlu…. Tlu…. Tlu….


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายความเงียบที่แสนกระอักกระอ่วน ร่างสูงก้มลงมองชื่อบนหน้าจอไอโฟนสลับกับใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของผมแล้วก็กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจที่มีมากขึ้นไปอีก.... ลางสังหรณ์ตะโกนลั่นอยู่ในหัวว่าสายเรียกเข้าที่ดังไม่หยุดกับปัญหาที่ผมและพี่โรมยังเคลียร์ไม่จบน่าจะเกี่ยวข้องกัน ผมจึงบอกให้พี่โรมรีบรับสายให้มันเสร็จๆ ไป

แววตาสีเข้มคู่นั้นมองมาราวกับจะพูดว่า ‘มึงบังคับกูเองนะ ทิชา.....’ ก่อนที่พี่โรมจะสไลด์หน้าจอรับสายและจงใจคุยให้ผมได้ยินชัดๆ



“โทษที บีบี๋......ตอนนี้พี่ไม่ค่อยสะดวกคุยว่ะ เดี๋ยวพี่โทรกลับนะ........”

“อืม.....ก็อยู่กับไอ้ทิชานั่นแหละ.....งานยังไม่เลิกเลย แต่อีกสักพักก็คงกลับแล้วล่ะ”

“......โอเค เดี๋ยวกลับแล้วจะโทรหานะ.....คิดถึงเหมือนกัน ไอ้ตัวเล็ก”




ผมว่าเมื่อกี้ผมยืนคุยกับพี่โรมอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนไหน.... น้ำตาไหลจนมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกแล้วนอกจากเสียงสะอื้นของตัวเอง หัวใจของผมเจ็บเสียจนคล้ายว่ามันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เลือดในตัวร้อนจัดเหมือนน้ำเดือด พาลให้ผมทุรนทุรายราวกับจะตายลงไปตรงนี้เสียให้ได้

ผมดื้อเค้นจะเอาคำตอบให้ได้เพราะคิดว่ายังไงตัวเองก็รับความจริงไหว ผมคิดว่าตัวเองเก่งมากพอที่จะยิ้มเยาะเชิดใส่ความต่ำตมของทุกคนบนโลกนี้ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ผมกลับทนไม่ได้แม้แต่จะฟังคำพูดพวกนั้นจนจบ

“พี่โรมมาคุยกับชาก็เพราะไอ้บี๋สินะ.........” 

เสียงของผมแหบพร่าและขาดห้วงเพราะแรงสะอื้น 

“เพราะพี่ชอบไอ้บี๋ก็เลยใช้เรื่องของชาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันแต่ก็ทำทีว่าเป็นห่วงเป็นใยนักหนา......อึก......ที่แท้ก็เข้ามาคุยด้วยเพื่อที่จะได้เนียนไปจีบเพื่อนชา.... ความจริงมัน.....ฮึก....เป็นอย่างนี้ใช่ไหม......?”

“กูยอมรับว่ากูชอบบีบี๋”  พี่โรมตอบ 

“แต่กูเพิ่งมาชอบมันหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว.... กูเข้าไปคุยกับมึงก็เพราะเป็นห่วงมึงจริงๆ เรื่องระหว่างกูกับบีบี๋มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น และมันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมึงเลยนะ ทิชา”

“พี่แม่งเหี้ยว่ะ.... โคตรเหี้ยเลยอะ!!”

ผมแผดเสียงก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นทุบอกคนตรงหน้าระบายความโกรธ ยิ่งโมโหเจ็บใจและสมเพชตัวเองที่ใจง่ายหวั่นไหวหลงคิดว่าจะได้รับความรักความจริงใจจากพี่โรมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอาละวาดตัดพ้อต่อว่าเขามากเท่านั้น

“พี่โรมทำแบบนี้กับชาได้ยังไง.... ชาเคยไปทำอะไรให้พี่งั้นเหรอ!? พี่เอาความรู้สึกของชามาล้อเล่นได้ยังไง!!??”

“ทิชา.....กูขอโทษ.........”

พี่โรมยืนนิ่งไม่โต้ตอบ เขายอมให้ผมทุบตีได้จนกว่าจะพอใจ หากก็แลกกับการที่ผมต้องทนฟังคำพูดที่ว่าเขาไม่เคยนึกชอบผมเลยสักนิด มีแต่ผมนั่นแหละที่คิดไปเอง 

“กูขอโทษจริงๆ........กูก็ไม่คิดว่ามึงจะชอบกู.........”

“พอแล้ว.....ฮึก......ไม่ต้องมาพูดดีเลย.....!!”

“ทิชา มึงอย่าเป็นแบบนี้สิวะ......กูไม่ได้คิดจะหลอกอะไรมึงเลยนะ” 

พี่โรมกอดผมที่กำลังฟูมฟายไร้สติเอาไว้ เขาพยายามปลอบ พยายามประคับประคองหัวใจแตกๆ ร้าวๆ ของผมให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่มันสายเกินไปแล้วเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่มันพังฉิบหายไปหมดแล้ว

“กูยังดูแลมึงในฐานะน้องได้นะเว้ย......มีอะไรมึงก็คุยกับกูได้.........”

มาถึงตอนนี้ คุณคงคิดใช่ไหมว่าผมผ่านผู้ชายคนอื่นมาได้ตั้งเยอะ แล้วจะเป็นจะตายอะไรหนักหนากับอีแค่พี่โรมคนเดียว?

ความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่าคนพวกนั้นเข้าหาผมเพราะหวังจะได้นอนกับผม แต่พี่โรมเข้าหาผมเพราะหวังจะได้สานสัมพันธ์กับบีบี๋.... ผมรู้ว่าใครๆ ก็ชอบคนน่ารักสดใสมากกว่าคนที่มีประวัติเน่าๆ แปะอยู่กลางหน้าผากอยู่แล้ว แต่คุณเข้าใจไหมว่ามันเป็นความเสียหน้า เหมือนโดนมองข้ามหัว เหมือนโดนบอกว่ามึงน่ะมันเฮงซวย ไร้ค่า ไม่สำคัญมากพอที่ใครเขาจะมารักมาชอบ แม้แต่ให้เอาฟรีๆ เขายังไม่อยากเอาเลย

และความแตกต่างอีกข้อก็คือผมไม่เคยชอบคนพวกนั้น แต่ผมชอบพี่โรม....

ผมชอบเขา........ชอบมากจริงๆ...........



“ถ้าให้ทั้งหมดไม่ได้ งั้นก็เอาคืนไปให้หมด.... ไอ้เศษๆ หัวใจที่แบ่งมาเพราะความสงสารพรรค์นั้นน่ะ ชาไม่อยากได้!!”

“ชาเกลียดพี่โรม....ฮึก.....เกลียดฉิบหายเลย.....ไสหัวไปให้พ้น.....!!”




ผมเช็ดน้ำตาซมซานออกมาหน้าโรงแรมเพื่อเรียกแท็กซี่ ไม่สนใจแล้วว่าพี่โรมแม่งจะกลับเข้าไปในงาน กลับบ้าน โทรคุยกับบีบี๋หรือจะไปตายห่าตายโหงที่ไหน เพราะผมเพิ่งแหกปากไล่เขาอย่างกับคนบ้า ถึงแม้ว่าพี่โรมจะพยายามขอไปส่งผมที่บ้าน ปากก็บอกว่าห่วงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้พูดจริงหรอก.... ก็แค่รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ใช้ผมเป็นสะพานทอดไปหาสิ่งที่ต้องการ ก็เลยอยากจะทำดีชดเชยเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเหี้ยจนเกินไปนัก

เห็นไหมว่าทิชา ทิชนันท์เก่งแค่ไหน แปบเดียวก็อ่านเกมออกแล้วว่าพี่โรมก็แม่งก็ผู้ชายใจหมาที่แค่เอาตีนเขี่ยๆ ตามกองขยะก็เจอ

มึงจะไม่ตายเว้ย ทิชา

จำเอาไว้ว่ามึงเก่ง มึงเข้มแข็ง และจะไม่มีใครทำอะไรมึงได้ทั้งนั้น


เป็นยังไงบ้างครับ.... ผมหลอกตัวเองเก่งใช่ไหมล่ะ?


TO BE CONTINUE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 26-11-2017 23:03:09
พี่โรมมม ชอบบี๋จริงเหรอ ฮรือออ วายยยย
สงสารทิชา ไม่ร้องนะหนู ใจเย็นนะ ; __ ;
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 26-11-2017 23:55:35
ตอนล่าสุดทำให้เรารู้สึกว่าว้าวมากๆเลย เราไม่โอเคกับพี่โรมเลย แบบฮืออออ มาต่อเถอะนะคะ อยากอ่านต่อแล้ว frist impression เราให้พี่โรมไปหมดแล้วไหงทำกับทิชางี้ แล้วแบบเหมือนพี่โรมกับบี๋แอบคุยกันเลย จะคุยทำไมไม่บอกทิชาก่อนล่ะ โอ้ยยยยย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-11-2017 02:07:24
ร้าวมากกก ฮือออ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Shizuru ที่ 02-12-2017 15:31:03
หน่วงมากกกก แต่ชอบมากกกกกเช่นกัน ตอนเมื่อใดตอนใหม่จะมาาาาาาาาาาาาาาาา :katai4: :katai4:  รออยู่น้าา เป็นกำลังใจให้คนแต่ง อิอิ o13 o13
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 02-12-2017 15:46:35
พี่โรมสรุปเอาทิชาเป็นสะพานทอดไปหาบีบี๋
ความสงสารมีเส้นแบ่งบางๆระหว่างความรักให้เข้าใจผิดได้นะคับ ทิชาอย่าทำตัวให้ไร้ค่าก็พอเข้มแข็งแบบนี้ถูกแล้วคับเดินหน้าต่อ
ผมเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคับสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 03-12-2017 10:41:55
หน่วงมากกกกกกกก :ling3:
เราไม่ใช่สายมาม่านะ แต่นิยายที่เราติดทำไมเริ่มม่าเกือบทุกเรื่องแล้วอ่ะ :hao5:
ไรท์มาต่อเถอะนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 03-12-2017 14:34:56
5
~ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ~



“ไอ้ชา~!”

เมื่อได้ยินเสียงเรียก แทนที่ผมจะหยุดฝีเท้าแล้วหันไปทักเพื่อนสนิทอย่างที่ควรจะเป็นก็กลับเร่งความเร็วเหมือนจะหนีให้พ้น แต่ระเบียงทางเดินตึกคณะก็กว้างแค่นี้ จะแกล้งทำหูทวนลมยังไงก็คงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายหันกลับไปปั้นหน้าเหรอหราราวกับเพิ่งสังเกตเห็นบีบี๋ที่โดนทิ้งอยู่ทางด้านหลัง

พอไอ้บี๋คว้าแขนผมเอาไว้ได้ ใบหน้าน่ารักนั้นก็งอง้ำ ทำเป็นงอนจนแก้มป่องแล้วก็ตัดพ้อต่อว่าผมเสียยกใหญ่

“ทำไมมึงออกมาไม่รอกูเลยอะ แล้วเดินก็โคตรเร็ว จะรีบไปไล่ควายที่ไหนวะเนี่ย เรียกตั้งนานก็ไม่ยอมหัน?"

“อ้าว โทษที กูนึกว่ามึงออกมาก่อนแล้ว” 

ผมตอบหน้าตาย พยายามฝืนยกมุมปากตัวเองไม่ให้คว่ำลง แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่โคตรปลอมแต่ก็จำเป็นต้องทำ

“เชี่ยละ กูจะเดินออกมาคนเดียวไม่รอมึงได้ไงล่ะ?”

เพื่อนตัวเล็กยังคงฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด คงจะฉุนหน่อยๆ ที่เช้าวันนี้ผมรีบมาเข้าห้องสอบย่อยโดยไม่รอมัน แถมพอหมดเวลาควิซ ผมก็เดินจ้ำเอาๆ เหมือนว่ามันไม่มีตัวตน

ผมรู้ว่านี่เป็นการกระทำที่เหี้ยมาก เหมือนเด็กไม่ได้ดังใจแล้วก็พาลฟาดหัวฟาดหางใส่คนรอบข้างไปเรื่อย แต่พอเห็นหน้าบีบี๋ ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา.... พี่โรมสารภาพความจริงออกมาแล้วว่าเขาชอบบีบี๋ ไม่ได้ชอบผม และทั้งสองคนก็แอบคุยกันมาตลอดปล่อยให้ผมบ้าบออยู่ฝ่ายเดียวว่าที่พี่โรมเข้ามาคุยด้วยเพราะว่าเขามีใจให้ ทั้งข้อความในไลน์ที่พี่โรมส่งหาผม ความห่วงใยที่แสดงออกไม่มีความหมายอะไรเลย พี่โรมแค่ทำดีกับผมก็เพราะผมเป็นเพื่อนของไอ้บี๋เท่านั้นเอง

ความเหี้ยของเรื่องนี้ก็คือผมถูก ‘อ่อย’ หนักเสียจนยังตัดใจจากพี่โรมไม่ได้

ผมจึงไม่พร้อมจะมองหน้าไอ้บี๋ในตอนนี้ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอดราม่าใส่มันหรือทำนิสัยขี้อิจฉาน่ารังเกียจออกไป....

“แล้วมึงเป็นอะไรวะ ตาบวมเชียว?”  บีบี๋ถามพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นดูรอยแดงช้ำใต้ตาผมให้ชัดๆ

“กูนอนดึกน่ะ อ่านควิซนี่แหละ”

“เหรอ.... กูนึกว่ามึงตาบวมเพราะร้องไห้เสียอีก”

รอยยิ้มสุดเฟคของผมตึงเปรี๊ยะ เช่นเดียวกับเส้นความอดทนที่คล้ายจะขาดสะบั้นออก เหมือนมีเข็มแหลมพุ่งเข้าทิ่มแทงหัวใจพาลให้ตัวชายิ่งกว่าโดนน้ำเย็นจัดสาดเข้าใส่ แวบหนึ่งที่ผมแอบคิดว่าบีบี๋กำลังถากถางผมเรื่องพี่โรม และผมก็เกือบพลั้งปากตอบโต้ออกไปแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ทำแบบนั้น

“เสียงนกเสียงกาน่ะมึง ผู้ใหญ่เขาจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาเพ้อเจ้อไป คนไหนดีเราก็กลับไปกตัญญูตอบแทนบุญคุณ คนไหนที่แม่งแย่ๆ ไม่น่าเคารพก็คิดซะว่าชีวิตเขาเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี มึงก็ทำบุญทำทานกรวดน้ำให้เขาไป”

“เออ กูกรวดน้ำคว่ำขันไปแล้ว เอาขันปาหัวญาติกูแถมไปด้วย”

“มึงแม่งตลกว่ะ”

ไอ้บี๋ควงแขนผมหัวเราะร่า มันยังคงคิดว่าสาเหตุความเครียดของผมมาจากพวกญาติๆ ซึ่งไม่เคยลงรอยกับแม่และไม่ยอมรับผมให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล.... มือเล็กเอื้อมมาลูบหลังผมระหว่างที่เดินลงจากตึกคณะด้วยกัน เป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนขมคอจนอยากอ้วกออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด บีบี๋เป็นห่วงกลัวว่าผมจะคิดมากที่ถูกญาติผู้ใหญ่และพี่สาวฉีกหน้ากลางงาน มันชวนพูดชวนคุยหน้าซื่อเสียงแบ๊วไม่รู้เรื่องรู้ราว  ในขณะที่ใจผมกำลังเกรี้ยวกราดเดือดดาลจนสลัดความคิดที่ว่าไอ้บี๋แย่งพี่โรมไปออกจากหัวสมองไม่ได้

“วันนี้ไปกินร้านเจ้สวยข้างมอกันนะ กูอยากกินผัดซีอิ๊ว”

“อืม.... ก็ไปดิ”

ร้านเจ้สวยที่ว่าอยู่ตรงข้ามประตูทางออกฝั่งคณะวิศวะฯ เป็นร้านอาหารตามสั่งยอดนิยมของพวกห้อยเกียร์สวมเสื้อช็อป นานทีปีหนผมถึงจะยอมเดินไปสักครั้งเพราะทำเลอยู่ค่อนข้างไกลจากคณะศิลปกรรมพอสมควร.... เข้าทำนองว่าอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ผมรู้ได้ในทันทีว่าเหตุผลที่ไอ้บี๋ชวนผมเดินฝ่าแดดตอนเที่ยงไปถึงร้านเจ้สวย ไม่ใช่แค่ว่ามันอยากกินผัดซีอิ๊วหรอก ในเมื่อแคนทีนทุกคณะก็ร้านตามสั่งเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น

แต่เพราะมันนัดพี่โรมเอาไว้ต่างหาก....



บีบี๋ดูมีความสุขกับเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วของมันมาก ในขณะที่ผมเขี่ยหมูกระเทียมในจานไปมา สายตาจับจ้องไปยังเพื่อนตัวเล็กซึ่งเล่นโทรศัพท์พร้อมกินมื้อเที่ยงไปด้วย เห็นคิกคักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ท่าทางคงกำลังคุยกับคนที่คุณก็รู้ว่าใครอยู่แหง

“ยิ้มอะไรของมึงวะ?”  ในที่สุดผมก็ห้ามปากเอาไว้ไม่อยู่ แกล้งทำเป็นถามให้แผลกลัดหนองเล่นทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว “คนคุยใหม่เหรอ?”

“ก้อออออ บรั่บแว่~~~”

ไอ้บี๋หน้าแดงบิดตัวไปมา มือขวาม้วนเส้นใหญ่ในจานจนเป็นเกลียวตามระดับความเขิน และถึงผมจะหมั่นไส้แกมโมโหมันแค่ไหนก็ทำได้เพียงกระตุกยิ้มเฝื่อนตอบกลับไป 

“ถ้าพูดภาษาคนดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่านะ”

พอเห็นว่าผมไม่ค่อยอยากฟังเรื่องของมันสักเท่าไร ไอ้บี๋ก็เปลี่ยนท่าทีมาซีเรียสจริงจังมากขึ้น.... มันมองหน้าผมพลางกลืนน้ำลายเหมือนลำบากใจ แววตาบอกอารมณ์ประมาณว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีทำให้ผมนึกถึงตอนที่พี่โรมไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ ว่าใช้ผมเป็นสะพานทอดไปหาบีบี๋ แต่ความอยากอวดผู้ใหม่มันคงคับอกคับใจมากก็เลยทนเก็บความลับเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“คืองี้ ไอ้ชา.... มึงต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่โกรธกู............”

“กูไม่สัญญา”

ผมไม่อยากรับปากในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ เชื่อเถอะว่าไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวมันก็อดใจไม่อยู่ ต้องคายสิ่งที่มันแอบไปทำลับหลังผมออกมาให้รู้เห็นจนได้ 

“เพราะมึงจะพูดหรือไม่พูดตอนนี้ สุดท้ายกูก็ต้องรู้อยู่ดีแหละ”

เพื่อนสนิทผมนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่มันจะสารภาพความจริงที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกินในความรู้สึกของผม



“คือ.......ตอนนี้กูคุยๆ กับพี่โรมอยู่นะ”



“มึงไม่เซอร์ไพรส์เลยเหรอ?”  ไอ้บี๋ถามหน้าจ๋อยเมื่อเห็นว่าผมไม่หือไม่อือกับความลับของมัน

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงอยากอาละวาดแล้วก็คว้าอะไรสักอย่างใกล้มือปาใส่มันให้หายโกรธ ผมไม่ได้โลกสวยและความคิดของผมก็เหี้ยมากซะด้วย ผมอิจฉา ผมตีหน้าซื่อแต่แอบเกรี้ยวกราดใส่มันอยู่ในใจ ทว่า ในตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยคาดหวังนั้นพังฉิบหายไปหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือฝืนยิ้มตอแหลต่อไปเพื่อประคับประคองมิตรภาพระหว่างเพื่อนให้อยู่รอด

“ก็กูรู้อยู่แล้ว”

“รู้แล้ว?? ใครบอกมึง? พี่โรมบอกเหรอ??”

ไอ้บี๋ทำตาโต กะว่าจะได้เซอร์ไพรส์ผมเต็มที่แต่กลับกลายเป็นมันที่โดนเซอร์ไพรส์เสียเอง 

“โว้ยยยย กูอุตส่าห์ขอพี่แม่งแล้วนะว่ากูจะเป็นคนบอกมึงเอง แล้วมาหักหลังกูแบบนี้ได้ไงเนี่ย!?”

“พี่โรมไม่ได้บอกอะไรกูหรอก”

ผมโกหก ไม่ได้อยากปกป้องพี่โรมนักหรอกแต่เป็นเพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมร้องไห้อ้อนวอนขอความรักจากพี่โรมอย่างน่าสมเพช ซ้ำยังถูกตอกหน้ากลับมาด้วยคำว่าเขาชอบคนอื่นอีกต่างหาก 

“ก็วันที่ไปเลือกชุดไปงานแต่งพี่สาวกูด้วยกัน ตอนแยกกันขากลับ กูได้ยินมึงรับโทรศัพท์แล้วเรียกชื่อพี่โรม.... กูก็สงสัยอยู่แล้วล่ะว่าพี่เขาน่าจะชอบมึง มึงเองก็ดูเอ็นจอยกับเขาดี จะคุยกันถูกคอก็ไม่แปลก”

จะว่าไป ผมก็น่าจะระแคะระคายเรื่องพี่โรมกับบีบี๋ตั้งนานแล้วนี่นา ไม่น่าเชื่อว่าความเพ้อเจ้อของผมจะทำให้ผมลืมสิ่งที่ได้ยินในวันนั้นไปเสียสนิท

“มึงสงสัยแต่ก็ไม่เคยถามเลยนะ ปล่อยให้กูคิดมากอยู่คนเดียวตั้งนาน” 

เพื่อนตัวเล็กพรูลมหายใจยาว สีหน้าแสดงความโล่งอกที่นอกจากจะไม่โดนผมโกรธแล้ว ผมยังเงียบเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้มันกับพี่โรมจีบกันเสียด้วย

“คิดมากเรื่องไร?”

“ก็.......ทีแรกกูคิดว่ามึงจะไม่โอเค........”

ไอ้บี๋พูดเสียงอ่อย แต่ดูจากรอยยิ้มบนใบหน้า เชื่อขนมกินเถอะว่ามันไม่ได้เครียดหรอก ก็แค่เขินที่ต้องเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น นายโรมคนดังแห่งคณะวิศวะฯ มาจีบมันได้ยังไงเสียมากกว่า

“คือกูเห็นมึงคุยกับพี่โรมก่อน แล้วเฮียแกก็เข้ามาทักเพราะกับรู้จักกับมึงใช่ไหมล่ะ.... ทีนี้ ถ้ากูกับพี่โรมเกิดจะสนิทกันขึ้นมาโดยที่มึงไม่รู้เห็นด้วย มันก็เหมือนว่ากูแอบทำอะไรข้ามหน้าข้ามตามึง ตอนที่พี่เขาขอเบอร์กับไลน์ไป กูลำบากใจฉิบหายเลยอะ พอให้ไปแล้วก็เสือกโทรมาจริงๆ อีก ไลน์ก็ส่งมาแทบจะทุกชั่วโมงเลยเนี่ย........”

มันพูดก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดู ข้อความแชทในไลน์ยาวเป็นพรืดที่พี่โรมส่งหามันกระแทกตาทะลุหัวใจผมเข้าเต็มๆ.... คิดถึงตัวเล็กอย่างนั้น อยากเจอตัวเล็กอย่างนี้ ทั้งนัดกินข้าวดูหนัง เอามาขิงใส่ให้ผมตาร้อนเล่น

แต่ที่กวนใจผมมากกว่าแชทจีบกันพวกนั้นก็คือคำพูดของบีบี๋ที่คล้ายจะยอมรับกลายๆ ว่าตั้งใจจะปาดหน้าเค้กคุยกับพี่โรมลับหลังผม

“หมายความว่าถ้ากูชอบพี่โรมแล้วมึงจะไม่คุยกับเขาเหรอวะ?”  ให้ตายเถอะ ผมพลั้งปากกึ่งถามกึ่งแซะมันไปอีกแล้ว ชาติก่อนผมแม่งเกิดเป็นชาวอำเภอท่าแซะหรือไงกันนะ

ที่เหี้ยเหนือกว่าการแซะของผมก็คือไอ้บี๋เสือกพยักหน้ารับเนี่ยสิ 

“แต่เห็นมึงเงียบๆ ไป ไม่เคยพูดถึงพี่โรมให้กูได้ยินอีกเลย กูก็เลยคิดว่ามึงไม่น่าจะอะไรกับพี่เขาใช่ปะล่ะ”

ผมเพิ่งรู้ซึ้งถึงความโง่งี่เง่าของตัวเองเอาเดี๋ยวนี้ เพราะผมไม่พูด ไม่ออกไปแหกปากตะโกนบอกชาวบ้านกลางสี่แยกว่าผมชอบพี่โรม คนอื่นก็เลยทึกทักคิดเองว่าผมไม่อยากได้พี่เขา.... แต่ถ้าผมบอกว่าชอบแล้วไอ้บี๋ยอมหลีกทางให้ นั่นก็หมายความว่ามันไม่ได้คิดจริงจังกับพี่โรมเลยสักนิด พอคิดว่ามันไม่ได้ชอบพี่โรมมากเท่าที่ผมชอบแต่กลับได้เขาไปครอบครอง ในขณะที่ผมได้แต่หัวใจสลายผิดหวังซ้ำซาก ความโมโหก็เลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนเส้นเลือดข้างขมับเต้นเสียงดังตุบตับ

แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกเสียจากยิ้มรับความสุขของเพื่อนที่งอกงามขึ้นจากคราบน้ำตาและความน่าสมเพชเวทนาของผม

“เดี๋ยวบ่ายมีเรียนประวัติศาสตร์’ถาปัต มึงจะกลับคณะพร้อมกูเลยไหม?”

กินข้าวเสร็จ นาฬิกาบนหน้าจอไอโฟนก็บอกเวลาเกือบบ่ายโมง วิชาต่อไปต้องไปเรียนรวมที่ตึกสถาปัตย์ซึ่งอยู่ข้างตึกคณะศิลปกรรม ผมก็เลยกะว่าจะไปนั่งทำงานรอที่ใต้ถุนคณะตัวเองก่อน

“เรียนตั้งบ่ายสาม มึงอย่าเพิ่งรีบไปเลย”

“แล้วจะให้กูอยู่นี่ทำด๋อยไร?”

ผมสังเกตเห็นว่าใครบางคนกำลังข้ามถนนมาจากประตูฝั่งคณะวิศวะฯ ท่าทางตกใจไม่น้อยที่เห็นผมนั่งอยู่กับบีบี๋ รอยยิ้มของผมยังคงค้างอยู่บนหน้า ในขณะที่สองตาร้อนผ่าวจนแทบไหม้ รู้สึกเหมือนของเหลวบางอย่างทำท่าจะระเบิดตัวทะลักออกมาอยู่รอมร่อ

“มึงนัดใครไว้ก็ไปหาเขาไป แล้วค่อยเจอกันในห้อง.... อย่าสายแล้วกัน กูไม่เช็คชื่อแทนให้หรอกนะ”

“งั้นกูฝากมึงจองที่ด้วยก็แล้วกัน”

ผมผงกหัวเป็นเชิงรับปาก เตรียมจะออกไปจากร้านเจ๊สวยให้เร็วที่สุด ไม่อยากรู้เห็นว่าสองคนนั้นจะคุยกันยังไง หวานชื่นแค่ไหน แล้วก็ไม่อยากให้พี่โรมเซ็งที่จนป่านนี้แล้วผมยังมองเขาตาละห้อยอยู่อีก แต่ไอ้บี๋กลับตามมาคว้ามือผมเอาไว้ก่อนจะกระโดดกอดจนแทบล้มลงไปนอนคลุกฝุ่นกันทั้งคู่

“ไอ้ชา...........”  บีบี๋ซบหน้าลงบนไหล่ผม เสียงของมันสั่นนิดๆ ราวกับว่าต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อพูดในสิ่งที่อยากพูด

“หืม?”

“ขอบใจนะที่ไม่ด่ากูเรื่องพี่โรม.... บอกตามตรง กูโคตรกลัวว่ามึงจะโกรธเลย คิดอยู่ตั้งนานว่าจะบอกมึงยังไงดี......”

คำสารภาพที่ได้ยินเหมือนยกภูเขาออกจากอกไอ้บี๋แล้วย้ายมาทับหัวผมแทน ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองควรตอบอย่างไร ควรจะพูดว่ายินดีกับความรักของเพื่อนหรือควรแช่งชักหักกระดูกขอให้มันกับพี่โรมรีบๆ เลิกกันไปซะ แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่เปลี่ยน.... พี่โรมเลือกแล้วว่าบีบี๋คือคนน่ารักสำหรับเขา ส่วนผมก็เป็นได้แค่น้องชายนอกไส้ที่ต้องรอจนกว่าเขาจะว่างโยนเศษเสี้ยวความสงสารมาให้

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก.... มึงรีบไปเหอะ อย่าให้เขารอนานเลย”

ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินข้ามถนนสวนกับพี่โรมที่มาถึงฝั่งนี้พอดี ผมเห็นว่าเขามองผม พยายามเอ่ยเรียกแต่ผมก็ไม่คิดจะหยุดฟัง

ก็อย่างที่บอกว่าถ้าเขาไม่ยอมให้ผมทั้งหมด งั้นผมก็ขอไม่รับอะไรจากเขาเอาไว้เลย แม้แต่เศษใจที่อุตส่าห์แบ่งมาให้ก็ไม่อยากได้....




‘อยากบอกเธอคำเดียวเสียใจ เสียใจเหลือเกิน ที่บังเอิญไว้ใจ สองคนเขาและเธอ…. แต่จะเป็นไรไป อย่างน้อยก็เพื่อนกัน แด่ความหลังที่พ้นผ่าน ที่คบกันมานาน ผู้ชายคนนั้น ฉันให้เธอ’



เสียงเพลงลอยมากระทบหูทันทีที่ผมข้ามกลับมาถึงฝั่งมหาวิทยาลัย เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นว่าคนที่กำลังยืนพิงรั้วร้องเพลงด้วยท่าทางกวนประสาทคือเดือนคณะสถาปัตย์ชั้นปีเดียวกับผม.... ผมกับไอ้หมอนี่รู้จักกันก็จริงแต่ห่างไกลจากคำว่าสนิทสนมไปประมาณล้านปีแสง อันที่จริงต้องเรียกว่าผมไม่ชอบขี้หน้ามันเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเพลงที่ได้ยินเมื่อกี้ก็เป็นการกวนตีนในรูปแบบหนึ่ง

“ถ้าไม่ชอบเพลงนี้ก็ยังมีเพลงอื่นอีกนะ”

“จำไม่ได้ว่าเราสนิทกันถึงขนาดจะมาร้องเพลงให้ฟังนะ”

“อุตส่าห์เรียนรวมเซคชั่นเดียวกันมาตั้งหลายวิชาแล้ว มาสนิทกันเอาไว้ก็ไม่เสียหายนี่นา”

โจทก์เก่าของผมสูงประมาณร้อยแปดสิบนิดๆ ไหล่กว้างตัวหนาขัดกับใบหน้าหล่อที่ชอบทำเป็นยิ้มระรื่นไร้สาระได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่ผมกำลังอารมณ์บูดอย่างเห็นได้ชัดอยู่นี่ มันก็ยังกล้ายื่นหน้ายื่นตาเข้ามายั่วให้สวนกำปั้นกระแทกดั้งสักครั้ง 

“ไหนๆ เพื่อนนายก็ไปสนิทกับรุ่นพี่วิศวะฯ แล้ว จะรับเพื่อนใหม่เพิ่มอีกสักคนไม่ได้เลยเหรอ ตอนนี้ตำแหน่งเพื่อนรักน่าจะกำลังว่างนะ?”

ไอ้ตัวครึ่งคนครึ่งหมีพูดพลางชี้ให้ผมดูพี่โรมกับบีบี๋เดินจูงมือกันที่อีกฝั่งถนน ใจของผมเจ็บแปลบเมื่อเห็นภาพบาดตา มือเผลอกำแน่นเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวก่อนจะสะดุ้งโหยงเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึจากคนตรงหน้า.... เชี่ยเอ๊ย เป็นตายร้ายดียังไงก็จะให้ไอ้เวรนี่รู้ว่าผมชอบพี่โรมไม่ได้เด็ดขาด

“ถึงจะไม่มีเพื่อนแต่กูก็ไม่คิดจะคบมึงหรอกนะ แดน”

“เหยดดดด เซเลบมหาลัยจำชื่อกูได้ด้วย รู้สึกเป็นเกียรติฉิบหายเลย ทิชา”

“ก็รู้สึกเป็นเกียรติฉิบหายเหมือนกันที่เดือนสถาปัตย์ใจหมาอย่างมึงมาเรียกกูว่าเซเลบ”

“ถึงกับใจหมาเลยเหรอวะ? กูแค่หอมแก้มมึงไปทีเดียวเองนะ”

ไอ้เชี่ยแดนปล่อยขำก๊ากเมื่อเห็นว่าผมยังผูกใจเจ็บอาฆาตมันด้วยเรื่องโบราณตั้งแต่สมัยยังเป็นเฟรชชี่ด้วยกันทั้งคู่ เมื่อต่างคนต่างเป็นตัวแทนคณะออกไปทำกิจกรรมแล้วไอ้แดนนรกนี่เสือกมาขโมยหอมแก้มผมต่อหน้าคนเป็นพัน 

“ก็ตอนนั้นมึงแม่งโคตรน่ารักอะ.... เด็กปีหนึ่งตัวเล็กๆ ดูใสๆ ไร้พิษสง ผิวขาวจั๊วะ แถมแก้มมึงยังฟูน่ากัดอย่างกับโมจิสุพรรณ รุ่นพี่สินกำก็ดันรู้เห็นเป็นใจส่งมึงมายืนข้างกูพอดี กูก็แค่หอมนิดๆ หน่อยๆ เซอร์วิสพวกรุ่นพี่เขาไง”

เป็นความซวยระดับพรีเมียมที่คณะศิลปกรรมกับคณะสถาปัตย์เป็นเหมือนคณะพี่น้องกัน ตึกคณะอยู่ใกล้กัน วิชาที่ชั้นปีต้นๆ ต้องเรียนรวมด้วยกันก็มีเยอะ เวลาทำกิจกรรมก็มักจะถูกจัดแถวให้อยู่ติดกันไปโดยปริยาย.... การเอาผมไปยืนข้างไอ้แดนก็ไม่ต่างจากส่งเนื้อเข้าปากหมา ผมตัวเล็กกว่ามันเป็นคืบแถมยังผอมกว่าจะไปขัดขืนอะไรได้มากมาย ถึงตอนนี้ยังจำได้ดีว่าเสียงโห่เสียงกรี๊ดในวันนั้นมันเลวร้ายมากแค่ไหน แล้วการที่ผมถูกล้อถูกปล่อยข่าวลือว่าเสียตูดให้ไอ้แดนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ถูกเรียกลับหลังว่าเป็นเมียมันก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ได้รับมรดกจากแม่ของผมยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

“เซอร์วิสเหี้ยไร มึงก็แค่จะเอากูไปใช้เรียกคะแนนให้พวกผู้หญิงโหวตมึงเป็นเดือนคณะ!”

ถ้าจะถามว่ามันทำไปเพื่ออะไร นี่แหละคือคำตอบสุดท้าย เหมือนตอนนั้นพวกสถาปัตย์จะอยู่ในช่วงเลือกดาวเดือนคณะปีหนึ่ง ไอ้แดนมันก็มีคู่แข่งที่ความหล่อสูสีกันอยู่หลายคน มันก็เลยสิ้นคิดเลือกสร้างกระแสให้ตัวเองเป็นที่พูดถึงด้วยการใช้ผมเป็นบันไดเหยียบขึ้นไปให้ถึงเป้าหมาย

“หึ ไวรัลมึงได้ผลมากนะ.... ทุกวันนี้กูยังได้ยินคนพูดว่า แดน ดรัณภพ เดือนปีสองคณะสถาปัตย์ นัวหญิงก็ได้ คั่วชายก็ดีอยู่เลย”

มันยักไหล่ไม่ถือสาก่อนจะเอาคืนผมบ้าง

“โอ๊ย คนพูดถึงกูไม่เยอะเท่า ทิชา ทิชนันท์ จอมเสียบแฟนชาวบ้านหรอก”

ผมหน้าชาเหมือนถูกตบเข้าอย่างจัง รู้อยู่แล้วล่ะว่าไอ้ห่านี่โคตรห่างไกลจากคำว่าสุภาพบุรุษ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเหี้ยได้โล่ขนาดนี้

“ดูปากกูนะ แดน”  ผมแกล้งยิ้มเย็น แต่แววตาเหี้ยมเกรียมคล้ายจะจับมันถลกหนังด้วยมือเปล่าก่อนจะด่ากลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ  “ไอ้! สัด! เอ๊ย!”

“เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้ทิชา.... กูขอโทษเว้ย กูล้อมึงเล่นแรงไปหน่อย อย่าเพิ่งหัวร้อนดิวะ”

“ล้อเล่นเหรอ.... หน้ากูเหมือนเพื่อนเล่นมึงนักหรือไง!?” 

ทั้งที่อุตส่าห์เดินหนีแสดงท่าทางไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย หากไอ้แดนก็ยังไม่ละความพยายามที่จะวอแวผม.... ตอนบ่ายสามผมกับมันมีเรียนวิชาเดียวกัน จะเดินไปทางเดียวกันก็ไม่แปลก แต่ที่เชี่ยสุดก็คือมันถือวิสาสะมาเดินข้างๆ ซ้ำยังจับมือผมไว้แล้วแย่งเอากระเป๋าผมไปถือเองอีก

“มึงจะเอาไงวะเนี่ย มีธุระห่าอะไรกับกูอีก!?”

ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห แม้จะไม่ทำให้ไอ้แดนรู้สึกกลัว แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะรู้ได้แล้วว่าผมไม่ใช่สาวๆ ที่จะมาทำเล่นเป็นหมาหยอกไก่ด้วยได้

“อันที่จริงแล้ว กูมีเรื่องจะขอให้มึงช่วยน่ะ......”

ไอ้แดนผู้ซึ่งยึดกระเป๋าผมไว้เป็นตัวประกันยื่นแท็บเล็ตมาให้ บนหน้าจอเป็นออฟฟิเชียลแฟนเพจเฟซบุคของค่ายละครแห่งหนึ่งที่ผมพอจะเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง โพสต์นั้นคือข่าวรับสมัครออดิชั่นนักแสดงที่จะมารับบทในละครซีรีส์ที่สร้างจากนิยายวายชื่อดังในอินเตอร์เน็ต.... ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เชื่อมโยงไม่ถูกว่าข่าวที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้อ่านนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเองยังไง แล้วใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าผมไม่ชอบออกสื่อ ไม่ชอบถ่ายรูป ยิ่งวงการบันเทิงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“อยากเป็นดาราก็ไปสมัครสิ เอามาให้กูทำไม?”

“ก็เพราะว่ากูจะไปสมัครนี่แหละถึงได้มาบอกมึงก่อน”

“ถ้ามึงคิดว่าแม่กูเป็นดาราเลยจะมีเส้นสายช่วยดันมึงเข้าวงการได้ล่ะก็ มึงคิดผิดแล้วล่ะ”

ไอ้แดนนรกมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่คุณครูอนุบาลใช้มองลูกศิษย์

“กูไม่รบกวนไปถึงแม่มึงหรอกน่า”  มันว่าพลางยิ้มจนตาหยีก่อนจะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริง  “กูอยากให้มึงไปแคสต์บทคู่กับกูต่างหาก”

“ห๊ะ!?”

ผมหยุดเดินหันไปจ้องหน้าไอ้แดนว่ามันคิดจะมาไม้ไหนอีก น้ำเสียงและสายตาผมบ่งบอกถึงความประหลาดใจผสมหวาดระแวง แต่สีหน้าของเดือนสถาปัตย์ก็ไม่ได้สะทกสะท้านหรือฉายแววหยอกล้อกวนตีนเล่น หากแต่จริงจังจนน่าขนลุกเช่นเดียวกับมือของมันที่ไม่ยอมปล่อยผมไปเสียที

“ทิชา กูคิดจริงๆ นะเว้ยว่าในบรรดาผู้ชายทั้งหมดที่กูเคยคุยด้วย มึงเป็นคนที่เคมีเข้ากับกูมากที่สุด.... แล้วถ้ากูจะต้องเล่นละครบทที่ได้ผู้ชายเป็นเมีย กูก็อยากให้มึงมาเป็นนายเอกของกูไง” 

คำพูดนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปกติผมค่อนข้างชอบเวลาที่มีคนพูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อมนะ แต่กับไอ้แดนปรโลกนี่คงเป็นข้อยกเว้นเพราะตอนนี้ผมโคตรอยากจะจับหัวมันโขกเสาไฟคอนกรีตฉิบหาย 

“รูปที่กูหอมแก้มมึงตอนปีหนึ่ง จนป่านนี้เพจคิวท์บอยมหาลัยเรายังเอามารีโพสต์ซ้ำอยู่เลย รู้หรือเปล่าว่ามึงกับกูน่ะเป็นคู่จิ้นกันนะเว้ย”

“ปลื้มเหี้ยๆ โดนโพสต์รูปให้ชาวบ้านคอมเมนท์ด่าเล่นเนี่ย!”

“โธ่ มึงก็ใจบางเหลือเกิน”

คนชอบก็คงมี แต่คนไม่ชอบผมนั้นมีมากกว่า แล้วผมก็เบื่อจะถูกใครต่อใครรุมด่าในโซเชียลเต็มทีถึงได้ปิดแอคเคาท์เฟซบุคไปตั้งแต่ปีก่อน อยู่ดีๆ จะรนหาที่เสนอหน้าไปทำตัวเด่นดังให้คนด่าอีกรอบก็ใช่เรื่อง

“อะไรก็ช่าง กูขอปฏิเสธมึงตรงนี้เลยก็แล้วกัน”

“จะไม่เอากลับไปคิดสักหน่อยเหรอวะ?”

“ไม่.... กูอยากรีบๆ เรียนให้จบ อย่างอื่นกูไม่สนใจ”

“ทิชา มึงเป็นคนสวยนะ เสียแต่ว่ามึงแม่งขี้อายฉิบหาย”

“กูไม่ได้ขี้อาย!” 

ผมชักจะหมดความอดทนเมื่อไอ้แดนไม่ยอมเลิกตื๊อ แค่มันอ้าปาก ผมก็เห็นไปถึงลิ้นปี่แล้วว่ามันคิดจะใช้ผมสร้างกระแสเรียกคะแนนความสนใจจากมหาชนเหมือนอย่างตอนโหวตเดือนคณะ อาศัยฐานแฟนคลับคู่จิ้นเดิมที่มีอยู่แล้วต่อยอดความนิยมขึ้นไปอีก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ตอแยเบอร์แรงขนาดนี้ 

“แดน กูรู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอร้องเหอะว่ะ ชีวิตกูทุกวันนี้แม่งก็จัญไรมากเกินพอแล้ว คนที่เขายินยอมพร้อมใจจะเล่นบทเมียมึงคงมีอีกเป็นสิบเป็นร้อย อย่าให้กูต้องโดนเกลียดขี้หน้ามากไปกว่านี้เลย.... ถ้ามึงกลัวว่าจะไม่มีคนช่วยดันเข้าวงการ เอาไว้กูจะลองขอให้แม่ช่วยหาโมเดลลิ่งดีๆ ให้มึงก็แล้วกัน”

“กูบอกแล้วไงว่าไม่คิดจะรบกวนถึงแม่มึง........”

ผมถอนหายใจใส่ก่อนจะพยายามแย่งกระเป๋าคืนเมื่อเห็นว่าคงจะคุยกันด้วยภาษาคนไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้แดนนรกมันไม่ยอมถอย แถมยังไขว้แขนเอากระเป๋าผมไปไว้ด้านหลังไม่ส่งคืนให้ง่ายๆ

“โอเค ไวรัลในแบบของกูอาจจะทำให้มึงอึดอัดไปบ้าง แต่กูไม่ขอให้มึงช่วยฟรีๆ หรอก” 

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยหงุดหงิดความสูงของตัวเองเท่าวันนี้เลย เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเสียเปรียบเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างให้ไอ้เวรนี่รังแกอยู่ได้ ทั้งถูกแย่งกระเป๋า ถูกคุกคามด้วยข้อเสนอแปลกๆ ซึ่งผมทำเชี่ยอะไรไม่ได้เลยนอกจากวิ่งเต้นไปตามที่มันต้องการ 

“เรื่องที่มึงยังไม่รู้ก็คือ พี่โรม ปีสามวิศวะฯ เครื่องกลที่เดินไปกับเพื่อนเลิฟมึงเมื่อกี้น่ะเป็นลูกพี่ลูกน้องของกูเอง”

“แล้วยังไง?”

“ก็ไม่ยังไง.... แค่จะบอกว่า สิ่งที่มึงอยากได้ กูจะช่วยมึงสอยมาเอง”

ผมติดสตันท์ไปห้าวิ มือที่ไล่ตามคว้าเอากระเป๋าคืนหยุดการทำงานไปเสียดื้อๆ ทีแรกคิดว่าตัวเองน่าจะหูฝาดแต่รอยยิ้มแฝงเลศนัยของคนตรงหน้าก็บอกให้รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันไม่ได้แค่ล้อเล่น.... แต่ที่ทำให้ผมตกใจมากกว่าเงื่อนไขหยิบยื่นความช่วยเหลือก็คือไอ้แดนยมโลกมันรู้ได้ยังไงว่าผมชอบพี่โรม ผมแน่ใจว่าไม่เคยบอกใครและเหตุการณ์ที่ริมสระน้ำโรงแรมก็ไม่น่ามีคนอื่นรู้เห็นด้วย

“แดน มึงพูดอะไรของมึงวะ.......?”  ผมแกล้งทำไขสือทั้งที่หน้าเริ่มซีด ร่างสูงก้มลงมาพยายามสบสายตาผมที่หลุบต่ำหนีการจับพิรุธ

“แค่เห็นสายตาที่มึงมองญาติผู้พี่กู กูก็รู้เหมือนกันว่ามึงคิดอะไร”

ไอ้แดนเอียงหน้าเข้ามาจนปลายจมูกเกือบจะชนแก้มผม ลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะเข้ามาบังคับให้ต้องรีบดีดตัวออกห่างเพื่อความปลอดภัยแต่ติดตรงที่มันยังฉวยข้อมือของผมเอาไว้.... ระหว่างที่คิดว่าตัวเองกำลังตกเป็นเบี้ยล่างให้มันเอาเปรียบ เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้นตรงริมหูกับข้อความที่ทำให้ผมตัวชาเหมือนโดนจับฝังใต้กองหิมะทั้งเป็น


“สองคนนั้นแม่งไม่เห็นเหมาะสมกันเลย พี่โรมควรจะเป็นของมึงมากกว่า.... กำลังคิดชั่วๆ แบบนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ?”


หัวสมองผมอื้ออึงคล้ายโดนฟาดด้วยไม้หน้าสาม ปากชาลิ้นแข็งจนเปล่งเสียงพูดออกมาไม่ได้ เดือนสถาปัตย์ปีสองยิ้มเยาะอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะยอมปล่อยมือผมแล้วตบบ่าเบาๆ เป็นเชิงเรียกสติให้ แต่ผมกลับอ่อนแรงตัวแข็งทื่อเกินกว่าจะเดินหนี

“ตอนนี้มึงอาจจะกำลังสับสนอยู่.... แน่ล่ะ ความรู้สึกอยากแย่งผัวเพื่อนแม่งไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยอมรับกับตัวเองง่ายๆ นี่หว่า” 

แม้ผมจะช็อคจนโต้ตอบด้วยคำพูดไม่ได้ แต่ทุกประโยคของไอ้แดนนรกภูมิทะลุเข้าทิ่มแทงหัวใจผมเหมือนห่าฝนลูกธนู 

 “เอาเป็นว่าถ้ามึงโอเคกับข้อเสนอของกูก็ค่อยมาคุยกัน.... รู้อยู่แล้วเนอะว่าจะเจอกูได้ที่ไหน”


“ขอแค่มึงเอ่ยปาก.... กูช่วยมึงได้จริงๆ นะ ทิชา”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 26/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 03-12-2017 14:40:33
.

.

.

ผมรู้ว่ามันเหี้ยมากที่จนป่านนี้แล้ว ผมยังสลัดคำพูดของคู่อริออกไปจากห้วงความคิดไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผมควรจะคิดว่ามันแค่กวนตีนเล่นแล้วก็รีบๆ ลืมไปซะ

เพราะถ้าผมยังลังเลและเก็บข้อเสนอของมันเอาไว้ในใจอยู่อย่างนี้ คนที่น่ากลัวที่สุดจะไม่ใช่ไอ้แดน ดรัณภพที่จ้องจะใช้ผมสร้างกระแสเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่จะกลายเป็นผมเองที่ยอมลดศักดิ์ศรีลงไปทำสัญญาณซาตานเพื่อที่จะแย่งผู้ชายซึ่งกลายเป็นคนรักของเพื่อนสนิทไปแล้ว


ร่วมมือกับศัตรูถาวรเพื่อทำร้ายมิตรแท้

ไอ้ห่าเอ๊ย.... ตอนเด็กๆ ผมคงดูหนังจีนมากไปแล้วมั้งเนี่ย.......



“มิลค์ อย่ากัดสายชาร์จโทรศัพท์สิ!”

ผมลุกขึ้นไปอุ้มลูกสาวออกมาจากดงปลั๊กไฟข้างโต๊ะทำงานเมื่อมือถือที่เสียบชาร์จไฟทิ้งไว้เกือบร่วงกระแทกพื้น  ชีวิตส่วนตัวก็พังพินาศ งานที่ต้องปั่นส่งอาจารย์ก็ไร้ความคืบหน้าเพราะสมองฟุ้งซ่านเกินไป อะไรก็พลอยขวางหูขวางตาไปหมด 

“ถ้าไฟช็อตปากมึง กูจะสมน้ำหน้าให้”

มิลค์มองหน้าผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘หนูจะเล่น พ่อจ๋าอย่าเสือก!’ แล้วก็เข้าไปวุ่นวายแถวรางปลั๊กอีก ผมก็เลยต้องวางมือจากงานชั่วคราวเพื่อแกว่งไม้ตกแมวก่อนที่อุปกรณ์ไฟฟ้าห้องผมจะฉิบหายวายวอดหมด.... มือข้างหนึ่งก็ทำหน้าที่ทาสไป อีกข้างหนึ่งก็ฉวยโทรศัพท์มากดดูโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

อยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงอินสตราแกรมของตัวเองขึ้นมา....

ผมเลิกเล่นเฟซบุคไปนานมากแล้วเพราะทนไม่ได้ที่ถูกแท็กคอมเมนท์กระหน่ำด่า ทุกคนก็เลยเข้าใจว่าผมไม่เล่นโซเชียล คนที่จะคุยกับผมได้ก็คือต้องแอดไลน์กันเท่านั้นซึ่งผมก็ไม่รับแอดมั่วซั่ว.... ก็มีแค่อินสตราแกรมนี่แหละที่ไม่มีใครรู้ว่าผมแอบสร้างไพรเวทแอคเคาท์เอาไว้ ไม่ฟอลโลว์ใคร ไม่ให้ใครฟอลโลว์และไม่เคยลงรูปอะไร แค่เอาไว้ส่องคนที่อยากส่องเท่านั้นเอง

และคนที่ผมอยากส่องในตอนนี้ก็คือบีบี๋....

ผมพิมพ์ชื่อแอคเคาท์ที่จำได้ขึ้นใจลงในช่องเสิร์ช รูปดิสเพลย์ที่แสนจะคุ้นตาก็โผล่ขึ้นมา ไอ้บี๋ไม่เคยล็อคแอคเคาท์เพราะมันยินดีจะให้ทุกคนที่เข้ามาได้รับรู้ชีวิตดี๊ดีย์~ของมันอยู่แล้ว และมันก็เป็นพวกโพสต์อวดทุกเรื่อง อัพทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยว อาหาร กาแฟ ขนม หรือว่าคนที่กำลังคบกัน



   Im_BeeBeE
   รูป : บีบี๋ใส่เสื้อช็อปวิศวะเครื่องกล ถ่ายคู่กับพี่โรมที่ป้ายหน้าคณะวิศวะฯ
   แท็กรูป @Do_As_RomanS
   แคปชั่น : วันแรกก็พามาฝากตัวเป็นสะใภ้วิศวะแล้ว~




ผมยิ้มขื่นๆ ให้กับภาพบนหน้าจอ ยอมรับเลยว่าเป็นรูปคู่เปิดตัวที่น่ารักมาก ไอ้บี๋เป็นคนหน้าตาน่าเอ็นดูอยู่แล้ว ส่วนพี่โรมก็หล่อเถื่อนๆ ตามสไตล์พวกวิศวะฯ เครื่องกล เป็นความแตกต่างที่เรียกได้ว่าลงตัวสุดๆ

แต่จะน่ารักกว่านี้ถ้าเสื้อช็อปที่มันใส่ขิงชาวบ้านไม่ใช่ตัวที่ผมเคยใส่มาก่อน



   ‘ว้ายยยย มีความเปิดตัววววว’

   ‘ยินดีด้วยจ้าน้องบี๋ แฟนหล่อแซ่บพริกสิบเม็ดมากมาย’

   ‘ไม่น่าเชื่อ เฮียโรมยอมลงจากคานแล้วโว้ย!’

   ‘ยินดีด้วยนะคะ เหมาะสมกันมากเลย’

   ‘พี่โรมน้องบี๋น่ารักมว้ากกกกกก’

   ‘คืนนี้เจอกันที่ร้านนะเฮีย ขอดื่มฉลองหน่อย’




ขนาดบรรดาขามุงยังคิดเหมือนกับผมเลย ไม่มีใครปฏิเสธได้หรอกว่าพี่โรมกับบีบี๋เป็นเหมือนเพอร์เฟคแมทช์ที่หลุดออกมาจากโลกนิยายวาย ยิ่งอ่านคอมเมนท์ชื่นชมสองคนนั้นมากเท่าไรก็ยิ่งบั่นทอนจิตใจมากเท่านั้น ต่อให้เป็นผมที่ได้คบกับพี่โรมก็เชื่อเถอะว่าไม่มีคนตามอวยแบบนี้หรอก สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้แล้วเลียแผลตัวเองอย่างเงียบๆ ตามเดิม

ผมย้ายมือถือไปชาร์จต่อที่โต๊ะเล็กข้างเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก พลางคิดในใจว่าการได้โพสต์รูปติดแคปชั่นบอกคนอื่นว่าเราเป็นที่รักของใครบางคนมันจะทำให้รู้สึกดีแค่ไหน.... รอยยิ้มของไอ้บี๋ในรูปดูมีความสุขมาก มากเสียจนผมเกลียดตัวเองที่คิดอิจฉามัน อยากจะแย่งรอยยิ้มแบบเดียวกันนั้นให้มาประดับหน้าตัวเองบ้าง

ข้อเสนอของไอ้แดนผุดขึ้นมาในสมองอีก พร้อมๆ กับที่โทรศัพท์ของผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความไลน์เข้า



      Do_As_RomanS : เรื่องเมื่อวันก่อน กูต้องขอโทษมึงจริงๆ

                             บีบี๋บอกกูว่ามันคุยกับมึงแล้ว จากนี้ไปกูกับมันก็คงจะคบกันแบบเปิดเผย

                                ถ้ามันทำให้มึงรู้สึกแย่ กูก็ต้องขอโทษด้วย

                                มึงอาจจะเกลียดที่กูเอาแต่ขอโทษ แต่มันเป็นอย่างเดียว ที่กูจะทำให้มึงได้ในตอนนี้

                                เอาไว้กูจะไปหามึงที่คณะนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย




จอโทรศัพท์มือถือดับไปแล้วเมื่อผมไม่คิดจะพิมพ์อะไรตอบกลับไป หัวใจของผมกระตุกตอนอ่านข้อความแรก หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งไปเสียเฉยๆ มีเพียงหยดน้ำที่รื้นออกมาจุกอยู่ตรงหัวตา ทำเอากระบอกตาผมปวดหนึบไปหมด.... มันเหมือนถูกตบหัวแล้วลูบหลัง จากนั้นก็ย้อนกลับไปตบหัวใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอยากจะเป็นบ้าไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด


ขณะที่มีคนมากมายเข้ามาอวยพรขอให้พี่โรมรักกับบีบี๋ไปนานๆ แต่เจ้าตัวกลับส่งไลน์หาผม ให้ความหวังพร้อมๆ กับกระทืบผมให้กระอักเลือดตายไปด้วย



ผมอยากรู้จริงๆว่าเขาทำหน้ายังไงตอนที่พิมพ์คำพูดโหดร้ายพวกนี้ออกมา

ในเมื่อเขาใจร้ายกับผมขนาดนี้ แล้วถ้าผมจะเอาคืนเขาบ้างล่ะ.... ทุกคนคงหันมาสาปแช่งให้ผมตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิดเลยสินะ?




“ทิชา ดึกป่านนี้แล้วจะออกไปไหน?”


“ไปหาเพื่อนแปบนึงครับ........”  ผมตอบคำถามแม่ก่อนจะคว้ากุญแจรถที่แขวนอยู่เหนือชั้นวางรองเท้า


“ไปหาเพื่อน? ตอนเกือบสี่ทุ่มเนี่ยนะ??”  แม่ละสายตาจากบทละครที่อ่านค้างไว้แล้วลุกขึ้นมามองสารรูปผมให้ชัดๆ “แต่งตัวแบบนี้คงจะไปเที่ยวล่ะสิ”


เสื้อยืดหลวมโพรกกับกางเกงขาสั้นสำหรับใส่อยู่บ้านเปลี่ยนมาเป็นเสื้อเชิ้ตพับแขนปลดกระดุมโชว์ไหปลาร้ากับกางเกงสกินนี่ฟิตพอดีตัว ซึ่งเป็นอะไรที่ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษจริงๆ หรือนัดเดทกับใครก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นผมใส่.... แม่เองก็รู้จักนิสัยผมดีถึงได้ไม่ห้ามปราม ออกจะดูโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่ลูกชายอย่างผมยอมออกจากบ้านไปมีสังคมกลางคืนเหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้าง 


“เอาเถอะ วัยแกก็แบบนี้แหละ.... เอารถไปก็ขับดีๆ ถ้าเมาก็นั่งแท็กซี่กลับมา ถ้าโดนจับตรงด่านเป่า พ่อแกคงได้โทรมาแหกอกแม่อีก”


ผมพยักหน้ารับแล้วออกไปเปิดประตูรั้วเตรียมสตาร์ทรถ ไอโฟนที่ยัดไว้ในกระเป๋าด้านหลังกางเกงส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าอีกครั้ง



            Im_BeeBeE : เพื่อนชาาาาาาาาา         

                     จะนอนยัง กูอยากคอลเรื่องพี่โรมให้มึงฟังง่า *สติ๊กเกอร์*




มุมปากผมกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะรัวนิ้วพิมพ์ตอบไป



          Tisha_950701 : กูเก็บขี้แมวอยู่ มีอะไรพิมพ์ทิ้งไว้ก่อน

                                 เดี๋ยวว่างแล้วจะคอลกลับไปเอง




หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นนิดหน่อยในตอนที่โยนมือถือไว้เบาะตรงเบาะนั่งข้างคนขับ เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้ายังคงดังอย่างต่อเนื่องบอกให้รู้ว่าไอ้บี๋คงอดทนรอไม่ไหวเลยรัวส่งไลน์เล่าเรื่องพี่โรมมาแล้ว แต่มันคงไม่รู้หรอกว่านอกจากผมจะไม่กดอ่านแล้ว ต่อให้มันนั่งรอทั้งคืน ผมก็จะไม่คอลกลับตามที่รับปากด้วย

ผมใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีก็เซ็ทอัพแผนที่บนหน้าจอเนวิเกชั่นเสร็จเรียบร้อย และตอนนี้รถมินิคูเปอร์ก็กำลังแล่นออกจากซอยไปยังจุดหมายปลายทาง



‘เบอร์ลิค เอกมัย.... ระยะทาง 0.8 กิโลเมตร’



TO BE CONTINUE


✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽

TALK

ระหว่างที่เขียนตอนนี้ อยู่ดีๆก็นึกถึงคำพูดในฟิคเรื่องเก่าของตัวเอง
คนที่ผ่านช่วงมัธยมจนเข้ามหาลัยมาได้ ไม่มีหรอกคำว่าซื่อใสไร้เดียงสา อยู่ที่ว่าจะเทามาก เทาน้อยหรือเป็นสีดำสกปรกซักไม่ออกไปเลย
ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ ^___^  :katai4:

ขอบคุณสำหรับการติดตามเจ้าค่ะ ดีใจมากๆเลยที่มีคนเข้ามาอ่าน  :mew1:

Alice
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 03-12-2017 16:02:17
 มันเทาเข้มมากๆค่ะ เราถอนคะแนนพี่โรมเป็นติดลบเลยค่ะ ต่อให้มาทำดีขนาดไหนแต่เล่นใช้ทิชาเป็นสะพานทอดไปหาบีบี๋แบบนี้มันใจร้ายมาก พี่โรมจะถอดหน้ากากคนดีออกก็ได้นะ ทิชาจะได้ตาสว่างเร็วๆ แดนก็มาวอแวกับทิชาเพราะผลประโยชน์ ทั้งพี่ทั้งน้องพอๆกัน :angry2: :m16:

ปล. เราอยากเห็นภาพที่คนเขียนเอามาประกอบอ่ะค่ะแต่มันไม่ขึ้น :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 03-12-2017 17:10:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 03-12-2017 17:56:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 03-12-2017 19:34:54
พี่โรมใจร้ายยยยยย //กอดทิชา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 03-12-2017 21:54:54
เทาได้ใจมากค่ะ

อ่านไปอ่านมา คนไม่รักเรา ไม่ใช่ว่าเค้าจะผิด
เค้ามีสิทธิที่รู้สึกรักจะรักจะชอบใคร

แต่เค้าก็ไม่มีสิทธิมาทำให้เราเป็นสะพานไปหาคนอื่นแบบเน๊
ไม่มีสิทธิมาทำให้เราเจ็บช้ำเพื่อให้ตัวเองสมหวังในรัก
ทังพี่โรมและบีบี็

แต่ในใจก็อยากให้น้องเป็นนายเอกสวยใส
ไม่ต้องไปย่งใครมาคืน แต่จะต้องดูดี เลิศ เชิด และเป็นคนที่ดี
และประสบความสำเร็จจนทุกคนต้องมาง้องอน

นี้อินมากกก
รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ

นั่งอินต่อ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-12-2017 00:33:22
ฮือออ เมื่อคนดีๆจะเข้ามาในชีวิตทิชาบ้าง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 05-12-2017 16:17:44
 :sad4: :sad4: :sad4:ฮืออออ อยากอ่านต่อแล้วค่ะ เราชอบนายเอกแนวนี้เลย ไม่ดีเกินไป ไม่ร้ายเกินไป น้องชาสู้ๆนะลูก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 05-12-2017 17:04:37
รอติดตามอยู่นะคับทิชาจะเดินหน้าต่อไปยังไง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 05-12-2017 17:27:26
 :sad4: :sad4: รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: prmino ที่ 05-12-2017 21:25:18
ชอบมาก ชอบทุกอย่างเลย ชอบตัวละครแบบนี้จังดูเหมือนจะเข็มแข็งแต่ก็ดูอ่อนไหวง่าย ทิชาดูมีแต่เรื่องเสียใจมาให้เจอสงสารอ่าาาาา ตอนนี้ยังไม่เชียร์ใครทั้งนั้น ขอเบิกตัวละครใหม่ได้มั้ยคะ55555555 รอติดตามนะคะะะะะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 05-12-2017 22:31:25
6
~ นกน้อยหลงฝูง ~


เบอร์ลิคในคืนวันจันทร์ไม่ได้คนแน่นมากเหมือนตอนที่มาคราวก่อน ผมจึงเดินเข้าไปถึงหน้าบาร์ได้ไดยไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร.... สายตาสอดส่ายมองหาเป้าหมายที่ผมรู้จากการส่องคอมเมนท์ในไอจีว่าเขาจะมาร้านวันนี้ ก็เป็นธรรมเนียมประหลาดๆ ของคณะวิศวะฯ ที่ว่ารุ่นน้องในสายของเจ้าของร้านจะต้องผลัดกันมาช่วยคุมร้าน ทั้งคุมกฎและสร้างกฎของพวกตัวเองขึ้นมาทำให้เบอร์ลิคถูกเรียกว่าเป็นแดนสวรรค์สำหรับพวกห้อยเกียร์

ที่อื่นลูกค้าอาจเป็นพระเจ้า แต่ที่นี่คนนอกเป็นได้แค่พลเมืองชั้นสอง

อะไรก็ตามที่เป็นผลผลิตมาจากคณะฯ วิศวะ คือชนชั้นพิเศษที่มีอำนาจปกครองและจะได้รับความคุ้มครองด้วยกฎเกณฑ์ของที่นี่

ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมจะแสดงให้ดู....


“น้องครับ........” 

ใครบางคนที่ไม่รู้จักเรียกผมจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองทางนั้นก็ทำแววตากรุ้มกริ่มใส่ คงจะมั่นใจในเบ้าหน้าของตัวเองอยู่ไม่น้อย

 “มาคนเดียวเหรอ? ไปนั่งด้วยกันทางโน้นไหม?”

คนแปลกหน้าผายมือให้ผมเห็นว่าเขามากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ยึดครองโซฟามุมวีไอพีที่อยู่บนชั้นลอยเกือบทั้งแถบ ก็เหมือนจะดีนะ เสียแต่ว่าที่คอของหมอนี่โล่งโจ้งไม่มีสิ่งที่ผมต้องการห้อยอยู่นี่สิ 

“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า.... โต๊ะพวกพี่มีของให้เล่นเพียบเลยนะ สวยๆ แบบน้องเดี๋ยวพี่แบ่งให้ฟรีเลย” 

อีกฝ่ายยังคงตื๊อแถมยังทำท่าจะจับมือถือแขนลากผมไปโดยที่ยังไม่ยินยอมพร้อมใจ

“ผมก็อยากลองนะ แต่แฟนผมคงไม่ยอมให้เล่นด้วย........”  ผมแกล้งหลิ่วตาไปทางโซฟาด้านหลังเวทีไลฟ์สด อันเป็นที่รู้กันว่าเป็นที่นั่งของบรรดารุ่นน้องเจ้าของร้าน  “ถ้าพี่จะไปขออนุญาตแฟนผมให้ ผมก็โอเค”

ทั้งที่ผมอุตส่าห์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรสุดๆ แต่เขากลับทำหน้าแหยงขนลุกขนพองอย่างกับว่าผมเป็นเชื้อโรคยังไงยังงั้นก่อนจะเดินหนีไปเลย

“เด็กของพวกวิศวะฯ นี่หว่า.... เชี่ยเอ๊ย เกือบซวยแล้วกู!”

นั่นคือประโยคสุดท้ายจากคนๆ นั้นที่ลอยมากระทบหู ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างที่เป็นผลผลิตจากคณะวิศวะฯ รวมถึงพวก ‘สะใภ้’ จะได้รับความคุ้มครองจากกฎเหล็กของที่นี่ พวกที่มาจากคณะอื่นก็เลยไม่กล้าเสี่ยงยุ่งกับผมถ้าไม่อยากโดนกระทืบฟรี ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าผมตอแหลแอบอ้างหรือเปล่าก็เถอะ


ผมเดินไปยังโซฟาข้างเวที เดาเอาว่าพี่โรมน่าจะอยู่ตรงนั้นเลยคว้าขวดชามะนาวทำเป็นผ่านไปห้องน้ำที่อยู่หลังประตูใกล้ๆ กัน คนเดินสวนกันไปมาไม่มีใครผิดสังเกตว่ามีนกหลงฝูงอยู่แถวนี้ ผมเจอพี่โรมนั่งอยู่กับพี่อีกคนซึ่งน่าจะเป็นศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว ท่าทางเครียดจัดเหมือนมีปัญหาหนักอก ผมก็เลยเนียนหลบเข้าไปใต้บันไดทางลงจากเวที.... เพราะวันนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งมีดนตรีเล่นสดแค่ช่วงหัวค่ำถึงสี่ทุ่ม ไม่ได้เล่นยาวไปจนถึงตีสองเหมือนคืนวันศุกร์-เสาร์ เสียงรอบข้างไม่ดังเท่าไร ผมจึงได้ยินสิ่งที่พี่โรมคุยกับเพื่อนโดยที่ไม่ต้องพยายามเงี่ยหูฟังมากนัก


   ‘ไงวะไอ้โรม ได้ข่าวว่ามีแฟนแล้วนี่.... ทำไมหน้ามึงยังกะเสียบอลหมดตูด’

   ‘มีเรื่องนิดหน่อยว่ะพี่’

   ‘เรื่องเรียนหรือชีวิตส่วนตัว’

   ‘ชีวิตส่วนตัว..........’



พี่โรมพูดค้างไว้แค่นั้นแล้วก็เงียบไปแปบหนึ่ง ก่อนจะต่อความให้จบ


   ‘พูดตามตรงแม่งไม่ใช่เรื่องของผมด้วยซ้ำ แต่ก็....เออ.....นั่นแหละพี่’

   ‘เรื่องเหี้ยไรไหนมึงว่ามาดิ เผื่อกูช่วยได้..... เฮ้ย ไอ้กอล์ฟ หยิบโคโรน่ามาให้กูกับไอ้โรมคนละขวด ถ้าเฮียเม้งมาคุยเรื่องโต๊ะบอลก็บอกไปว่ากูยังไม่ว่าง ให้รอก่อน’

   

ผมตัวลีบจนแทบจะแนบไปกับกำแพงใต้บันไดเมื่อลูกน้องที่ชื่อกอล์ฟเดินผ่านไปมาเพื่อเอาเบียร์มาให้พี่คนนั้นตามคำสั่ง.... ผมมองเห็นหน้าเขาแค่แวบเดียวเมื่อกี้ แต่ฟังจากคำพูดแล้วน่าจะใช่พี่รุจ เจ้าของร้านเบอร์ลิคที่ร่ำลือกันว่าเป็นตำนานของพวกวิศวะฯ เครื่องกลที่จบออกมาแล้วไม่ทำงานตามสายที่เรียน แต่เสือกได้ดิบได้ดีเพราะอบายมุขทุกรูปแบบ


   ‘เรื่องที่ผมคุยกับน้องบี๋ มันทำให้ใครคนนึงไม่สบายใจ......’

   ‘ใครวะ?’

   ‘มีเด็กสินกำอีกคนที่ผมรู้จักก่อนจะจีบบีบี๋ เขาเป็นเพื่อนสนิทของน้องมัน’




ผมสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นแรงจนลมหายใจติดขัด

พี่โรม.... กำลังพูดถึงผม??



   ‘ผมว่าผมก็คุยกับทิชาแบบปกตินะ น้องมันน่าเห็นใจน่ะพี่ ไปไหนก็ชอบโดนคนอื่นมองในแง่ร้ายทั้งๆ ที่มันต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกรังแก ผมเลยอยากดูแลมันเหมือนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่น้องมันคงเข้าใจผิดว่าผมคุยด้วยเพราะจะจีบมั้ง เอาเป็นว่ามันชอบผมก็แล้วกัน.... ทีนี้พอไอ้ทิชารู้ความจริงว่าผมจีบบีบี๋เพื่อนสนิทมันก็เลยสติแตก.... ทิชาคิดว่าผมใช้มันเป็นสะพานเพื่อไปจีบบีบี๋ หาว่าผมล้อเล่นกับความรู้สึกมันแล้วก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร.......ผมแม่ง......เฮ้อ......รู้สึกแย่ฉิบหายเลยพี่’



   คำพูดของพี่โรมก็เหมือนค้อนที่ทุบเข้ากลางใจผม.... ใช่สิ ผมแม่งเพ้อเจ้อที่คิดไปเองว่าพี่โรมมาจีบ คิดว่าพี่โรมจะเป็นคนดีไม่เหมือนกับพวกเหี้ยที่ทำร้ายผม

   พูดแบบไม่อายเลยนะ ผมโคตรสะใจเลยที่ได้ยินว่าพี่โรมรู้สึกแย่แค่ไหนกับสิ่งที่ทำเอาไว้กับผม....!



   ‘อ้อ กูพอจะเข้าใจละ.... เด็กที่ชื่อทิชามาร้องห่มร้องไห้ใส่มึง มึงก็เลยมีความสุขได้ไม่เต็มที่เพราะว่ามีคนเจ็บปวดจากความรักของมึงสินะ’

   ‘ประมาณนั้นแหละพี่’

   ‘แล้วมึงจะแคร์ทำไมวะ ในเมื่อคนที่มึงอยากคบคือน้องบี๋ ไม่ใช่เพื่อนเขา…. ถ้ามึงรู้ว่าเขาชอบมึงก่อนหน้านี้แล้วมึงจะไม่จีบบีบี๋หรือไง?’

   ‘........................’

   ‘เหี้ยโรม กูว่ามึงคิดเยอะจนสมองเจ๊งแล้ว.... มึงชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของมึงที่จะจีบคนนั้น การที่มึงยอมผิดหวังเพื่อถนอมน้ำใจคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกับมึงเลยเนี่ย กูว่าแม่งไร้สาระฉิบ!’

   ‘ผมก็ว่างั้นว่ะ.....แต่ที่เหี้ยก็คือทิชามันเคยใส่ช็อปผมแล้วนะ’

   ‘อะไรนะ!? แล้วมึงให้ไอ้เด็กนั่นใส่ช็อปมึงซี้ซั้วได้ไงวะ!!??’

   ‘ครั้งแรกที่เจอกัน......ผมชอบมัน.......’

   ‘เชี่ยละ ไอ้โรมเอ๊ย!’

   ‘แต่พอผมเจอบีบี๋ ผมก็คิดว่าบีบี๋แม่งใช่ในสิ่งที่ผมมองหามากกว่า สุดท้ายผมก็มองข้ามไอ้ทิชาไป.........’




คุณคงคิดว่าผมใจเต้นหน้าแดงเพราะประโยคที่ว่าพี่โรมเคยชอบผมสินะ?

ไม่เลย.... ข้างในอกผมเดือดพล่านปวดแสบปวดร้อนเหมือนมีน้ำกรดไหลเวียนอยู่

เขาไม่ผิดหรอกที่ไม่เคยรู้ว่าผมมีปมในใจเรื่องที่ไม่เคยเป็นที่ต้องการสำหรับใคร แม้กระทั่งกับพ่อบังเกิดเกล้าและพี่สาวของตัวเอง เขาไม่ผิดที่ไม่รู้ว่าผมเคยถูกหลอกให้รักและถูกทำให้ผิดหวังซ้ำซาก.... แต่ตอนที่พี่โรมชอบผม เขาก็อ่อนโยนด้วยจนผมหวั่นไหว ทว่า ทันทีที่เขาคิดว่าชอบคนอื่นมากกว่า เขาก็เปลี่ยนใจจากผมไปหาไอ้บี๋ง่ายๆ เสแสร้งทำเหมือนว่าเรื่องที่เขาอ่อยผมไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม่งเหี้ย.... เหี้ยที่สุดของที่สุด!

ผมหยิบมือถือออกมาเปิดไลน์ แค่นหัวเราะใส่ข้อความหลอกเด็กที่พี่โรมส่งมาหาก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
   


Tisha_950701 : ชาก็ต้องขอโทษพี่เหมือนกันที่เอาแต่ใจ
                       ไม่โกรธพี่โรมแล้วก็ได้



ไม่ถึงสามวินาที ผมก็ได้ยินเสียงไลน์เด้งมาจากมุมโซฟาที่พี่โรมนั่งอยู่


‘เฮ้ย พี่รุจ.... น้องมันยอมตอบไลน์ผมแล้วว่ะ’

‘น้องไหน? นกน้อยที่ชอบมึงน่ะเหรอ?’

‘ทิชามันโอเคแล้ว มันบอกว่าไม่โกรธผมแล้วก็ได้’

‘เออ ไอ้ห่า เห็นมึงบอกว่าแม่งร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่บทจะหายโกรธก็เสือกหายง่ายๆ เด็กหนอเด็ก’

‘แบบนี้ก็ดีแล้วพี่.... ไอ้ทิชาเวลาคุยปกติน่ะน่ารักจะตาย แต่ตอนมันโกรธนี่ทำเอาผมโคตรใจเสียเลย’

‘งั้นมึงคงสบายใจแล้ว เดี๋ยวกูออกไปคุยกับเฮียเม้งก่อนนะ.... วันนี้ไอ้เต๊ดไม่มา มึงช่วยเฝ้าแถวๆ บาร์ให้กูด้วย อย่าให้ไอ้พวกลูกน้องพม่าเม้มเงินกูได้ล่ะ ขี้เกียจลากมากระทืบให้เหนื่อย’

‘โอเคครับพี่’




พี่รุจคนนั้นเดินออกมาก่อน จากนั้นผมถึงเห็นพี่โรมเดินไปที่บาร์น้ำตามคำสั่ง และก่อนที่ผมจะโผล่ออกมาจากใต้บันไดก็มีข้อความเด้งเข้ามาในมือถือ
                         

Do_As_RomanS : ดีใจนะที่มึงยอมคุยกับกูแล้ว
               กลับมาเป็นเด็กดีของกูเหมือนเดิมนะ *สติ๊กเกอร์*



ผมไม่รู้หรอกว่า ‘เด็กดี’ ในความหมายของพี่โรมมันเป็นยังไง.... เขาอาจจะอยากให้ผมสงบปากสงบคำอยู่เฉยๆ ไม่เข้ามาขวางทางรักของเขากับบีบี๋ อยากให้ผมเป็นแค่น้องชายที่แค่ลูบหัวแวะคุยด้วยนิดหน่อยก็พอ หรืออาจจะไม่ได้ต้องการอะไรเลย แค่พิมพ์ไปเรื่อยเพื่อความสบายใจของตัวเองก็เท่านั้น


แล้วผมต้องแคร์ว่าพี่โรมคิดอะไรยังไงด้วยเหรอ? ไม่จำเป็นมั้ง?


ในเมื่ออยากทำให้ผมรัก ผมก็จะรักเขาให้ขาดใจตายไปเลย.... ผมจะไม่ไปไหนแล้วเขาก็จะเขี่ยผมทิ้งเหมือนเศษขยะไม่ได้ด้วย

ผมก็เป็นคนประเภทนั้นแหละ!



“พี่โรม!”

ผมพุ่งตรงไปยังเคาท์เตอร์บาร์ทันทีที่พี่โรมว่างจากคุมคนงานจัดชุดเหล้ากับมิกเซอร์ให้ลูกค้า ร่างสูงกำลังก้มๆ เงยๆ จัดการกับลังเบียร์เปล่าก่อนจะเงยขึ้นมองเจ้าของเสียงเรียกชื่อซึ่งถีบตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้สตูลทรงสูง พอเห็นว่าเป็นผมก็เบิ่งตาโตทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ

“ทิชา....!” ลังเปล่าในมือพี่โรมหล่นลงพื้น  “มึงมาอยู่นี่ได้ไง!?”

“เห็นข้อความแล้วคิดถึงพี่ก็เลยอยากมาหา” 

ผมยกมือขึ้นเท้าคางพลางส่งยิ้มให้ในแบบที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยิ้มตาม แต่คงไม่ใช่กับคนในวิศวะฯ ที่รู้ดีที่สุดว่าเบอร์ลิคแตกต่างจากร้านอื่นตรงไหน และที่นี่ก็ไม่ควรจะมีเหล่านกน้อยมานั่งคุยกันจุ๊กจิ๊กเหมือนอย่างร้านนมปั่นแถวมอด้วย

“แต่กูเคยบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ามาที่นี่!?”

“คนอื่นเขาก็มากันได้ตั้งเยอะ แล้วทำไมชาจะมาไม่ได้ล่ะ?” ผมทำลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยึดหลักว่าในเมื่อลูกค้าที่เป็นนิสิตคณะอื่นยังนั่งอยู่ได้เต็มร้าน ผมก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน “มีคนแอบบอกว่าพี่โรมจะอยู่นี่ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ คราวหน้าชาก็จะมาหาพี่อีก”

“กลับบ้านซะ เดี๋ยวกูเรียกรถให้”

“ไม่กลับ”

“ทิชา มึงก็รู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับคนอย่างมึง.... กลับไปเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงพี่โรมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว นี่แหละโลกของความเป็นจริงที่ผมต้องเจอ.... แชทในไลน์ก็แค่ตัวอักษร อาศัยแค่สมอง นิ้วพิมพ์และสันดานตอแหลอีกนิดหน่อยก็สามารถทำให้หัวใจของใครบางคนพองโต เพื่อที่จะได้เหยียบขยี้มันด้วยฝ่าเท้าเมื่อถึงเวลาที่พบหน้ากัน

“จริงๆ แล้วพี่โรมก็แค่ไม่อยากเจอหน้าชาสินะ?”

รอยยิ้มระรื่นบนใบหน้าผมเลือนหายไป สายตาหลุบต่ำลงมองมือของตัวเองซึ่งบีบแน่นประสานกันอยู่บนตัก ปลายจมูกแดงขึ้นนิดหน่อยเมื่อต้องสูดหายใจลึกดับความร้อนไม่ให้กลั่นตัวออกทางกระบอกตา 

“งั้นที่บอกในไลน์ว่าจะไปหาที่คณะก็คงโกหกตามเคย........”

พี่โรมสบถเบาๆ ดูเขาไม่ค่อยพอใจนักที่ผมตัดพ้อประชดประชัน แต่คงเพราะความรู้สึกผิดในใจที่ทำให้ผมร้องไห้ล่ะมั้ง เขาถึงได้แต่เสยผมแรงๆ ระบายความหงุดหงิด ถอนหายใจอีกสองเฮือกแล้วก็หยิบเลมอนไอซ์ทีจากตู้แช่มาให้ผม

“งั้นมึงก็นั่งตรงนี้ ห้ามไปไหนโดยไม่บอกกูเด็ดขาด.... เข้าใจไหม?”

ผมรับชามะนาวมาจิบ รสสัมผัสหวานอมเปรี้ยวเย็นเจี๊ยบกับมือหนาที่ลูบหัวผมเรียกรอยยิ้มให้กลับมาอีกครั้ง “อื้ม ก็ชาเป็นเด็กดีของพี่โรมไง ไม่กล้าดื้อหรอก”

“ไม่กล้าห่าไร มึงน่ะตัวแสบเลย”

ทีแรกผมก็คิดว่าเสี่ยงเกินไปที่จะเข้ามาในเบอร์ลิค กฏบางอย่างของที่นี่ทำให้ผมหวั่นใจ แต่ถ้าอยู่ที่มหาลัย ก็ไม่มีทางที่ผมจะได้ใกล้ชิดพี่โรมแบบนี้ แล้วคนเราถ้าไม่ยอมเข้าถ้ำเสือก็อย่าหวังเลยว่าจะได้พ่อเสือไปทำพันธุ์

เรื่องดีอีกอย่างคือผมรู้แล้วว่าถ้าผมดึงดันจะเอาให้ได้ พี่โรมก็ไม่กล้าขัดใจ


‘เฮ้ย เด็กนั่นแฟนไอ้โรมเหรอ?’

‘ที่เห็นในไอจี ไม่ใช่คนนี้นะเว้ย.... น้องสินกำสะใภ้เราชื่อบีบี๋’

‘อ้าว แล้วนี่มานั่งอ้อล้อไอ้โรมได้ไงเนี่ย?’

‘กูว่าหน้าแม่งคุ้นๆ ด้วย’

‘อ้อ.... กูว่ากูรู้แล้วว่าใคร!’




“นี่เราน่ะ ชื่อทิชาใช่ไหม?”

“ครับ...?”

ผมตอบรับผู้หญิงสองคนที่เข้ามาทักอย่างงๆ เพราะฟังจากน้ำเสียงชวนหาเรื่องนั้นดูเหมือนพวกเธอน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมเป็นใครพอเห็นโลหะรูปเฟืองอันเล็กที่ห้อยอยู่บนคอของสาวรุ่นพี่ทั้งสอง ผมก็พอจะเดาสาเหตุของการถามไถ่อย่างไม่เป็นมิตรนี้ได้รางๆ

“มานั่งนี่ได้ยังไง? น้องเป็นอะไรกับไอ้โรมเหรอ?”

“อยากรู้ก็ไปถามพี่โรมเองสิครับ”

“น้องคะ พวกพี่อุตส่าห์พูดด้วยดีๆ นะ!” 

เห็นที คำว่า ‘ดี’ ในพจนานุกรมของผมกับพวกวิศวะฯ น่าจะต่างกันแบบฟ้ากับเหว ผมก็แค่ไม่อยากเสวนากับคนที่ไม่รู้จัก แต่สิ่งที่พวกเธอทำมันคือการข่มขู่คุกคามชัดๆ 

“ถ้าได้ยินมาไม่ผิด เราน่ะเป็นเพื่อนน้องบี๋ แฟนไอ้โรมไม่ใช่เหรอ.... แล้วนี่คิดจะทำอะไร? จงใจมาอ่อยแฟนเพื่อนตัวเองหรือไง!?”

“ผมนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” 

กับคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ผมไม่เห็นจำเป็นจะต้องแคร์ แรงมาก็แรงกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับไม่โกงอยู่แล้ว 

“ถ้านั่งเฉยๆ อยู่คนเดียวแปลว่ามาอ่อยผู้ชาย งั้นผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชายเป็นฝูงจะแปลว่าอะไร.... สวิงกิ้งหรือเวียนเทียนล่ะ?”

“หนอย อีเด็กเปรตนี่!!”

“แม่งก็ร่านเหมือนแม่มันนั่นแหละ.... ตัวแม่ก็แย่งผัวชาวบ้าน ตัวลูกก็แย่งผัวเพื่อน ดอกทองฉิบหาย!”

ผู้หญิงสองคนนั้นชี้หน้าตะโกนด่าผมปาวๆ แต่ละคำที่พ่นออกมาก็สุดแสนจะคลาสสิกโอลด์สคูลมาก อย่างเช่น แรด ร่าน คัน ดอก ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นี้.... ในสถานการณ์ปกติ ผมคงหัวร้อนที่อยู่ดีๆ ก็โดนชะนีไม่มีหัวนอนปลายเท้าจิกด่า แต่วันนี้ผมไม่ได้โมโหเท่าไรแล้วก็ไม่คิดที่จะโต้ตอบมากไปกว่าที่ด่าคืนไปแล้ว

เพราะผมรู้ว่าจะมีใครบางคนจัดการกับเรื่องน่ารำคาญใจนี้ให้....


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 05-12-2017 22:34:31
“ไอ้เมย์ ไอ้รสา.... พวกมึงมาโวยวายห่าอะไรวะเนี่ย!?”

พี่โรมรีบวางมือจากงานแล้วพรวดพราดเข้ามาขวางกลางไม่ให้หนึ่งในสองคนนั้นฟาดมือใส่หน้าผม แน่นอนว่าสองสาวรุ่นพี่จะต้องไม่พอใจที่พี่โรมปกป้องผม แต่มันก็เป็นอย่างที่เห็นคือพี่โรมไม่ยอมให้ใครแตะต้องผมได้แม้แต่ปลายเล็บ

“คนนี้กูขอเหอะ พวกมึงอย่ายุ่งกับน้องมันเลย”

“ไอ้โรม กูรู้ว่ามึงเป็นคนดี เป็นพระเอกของเรื่องนี้ แต่มึงต้องแหกตาดูด้วยว่าอีเด็กทิชานี่มันไม่ใช่กระต่ายน้อย แต่มันเป็นงูพิษ!”

“มึงเปิดตัวน้องบีบี๋เป็นสะใภ้วิศวะฯ แล้วนะ มึงไม่ควรยุ่งกับคนอื่น.... อย่างน้อยก็ต่อหน้าพวกกูทุกคนที่นี่!”

“ห่าเอ๊ย พวกมึงคิดกันไปถึงไหนแล้ววะ ทิชามันเป็นน้องกูนะ”

“น้องบ้าอะไร มองมึงยังกับจะแดกเข้าไปอยู่ละ.... มึงก็เป็นซะแบบนี้!”

ผมนั่งจิบชามะนาวไปพลาง ดูพี่โรมเถียงกับผู้หญิงสองคนไปพลาง มันก็ตลกดีที่ฝ่ายหนึ่งพยายามเรียกร้องอะไรก็ไม่รู้แทนน้องบีบี๋ที่ป่านนี้คงนอนเล่นคุกกี้รันอยู่บ้าน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เอาแต่ปฏิเสธว่าผมเป็นแค่น้อง.... แต่ก็เป็นน้องที่พี่โรมเอาเคยเสื้อช็อปให้ใส่เหมือนเป็นสะใภ้วิศวะไม่มีผิด

“ให้เด็กมึงกลับไปซะก่อนที่จะมีเรื่องดีกว่า ไอ้โรม.... กูขอเตือนมึงในฐานะเพื่อนนะ”

“ไม่ต้องไปเตือนหรอก เมย์.... ขอให้แม่งโดนสักทีเหอะ กูจะหัวเราะให้!”

ดูท่าทางสงครามน่าจะสงบแล้ว รุ่นพี่สาวสองคนเดินกลับไปยังที่นั่งของพวกเธออย่างฉุนเฉียวตามประสามนุษย์เมนส์ พี่โรมเองก็ดูโมโหมากเช่นกัน.... ไม่รู้หรอกนะว่าโมโหที่เพื่อนถือวิสาสะมาไล่ผมหรือโมโหที่โดนด่าว่าทำเหมือนจับปลาสองมือ แค่พี่โรมไม่ได้หงุดหงิดแล้วพาลใส่ผมก็ถือเป็นอันว่าใช้ได้


“ทิชา มึงโอเคใช่มั้ย?”

“อืม ชาไม่เป็นไรหรอกพี่”

ผมทำเป็นฝืนหัวเราะให้คนตรงหน้าเห็น เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความน่าสงสารก็เป็นอาวุธชั้นดีอย่างหนึ่ง อยู่ที่ว่าผมจะกล้าหยิบมันขึ้นมาใช้หรือเปล่า 

“โดนด่าแบบนี้จนชินแล้ว ใครอยากพูดอะไรก็ช่างเขาเหอะ”

พี่โรมแตะมือลงบนบ่าผม.... มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าคนอื่นจะพูดว่ายังไง จะมองผมด้วยสายตาแบบไหน สำหรับผมในตอนนี้ขอแค่พี่โรมรับรู้ว่าผมเคยเจ็บมาก่อน ผมเปราะบางและอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อด้วยน้ำมือเขา ผมก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่สมควรได้ไม่น้อยไปกว่าบีบี๋เลย

“มึงชอบชามะนาวเหรอ เห็นกินแต่ไอ้นี่ทุกที?”

“ไม่ได้ชอบหรอก.... แต่พี่โรมหยิบให้ก็ดื่มได้หมดแหละ"

“งั้นนั่งจนหมดขวดนี้ก็กลับได้แล้วนะ พรุ่งนี้มึงมีเรียนเช้านี่”

“รู้ได้ไง?”

“ก็บีบี๋มันเรียนสิบโมง มึงก็น่าจะลงเรียนวิชาเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”

ผมยักไหล่เป็นเชิงว่า ‘ขอบใจนะ พูดได้ดีมาก’ ก่อนจะพยายามทำหัวให้โล่งแล้วจิบชามะนาวต่อไปเรื่อยๆ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดดูนาฬิกา ตัวเลขบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว งานผมที่ทำค้างไว้ก็ยังไม่เสร็จ ไหนจะสารพัดข้อความจากไอ้บี๋ที่กระหน่ำส่งมาเป็นร้อยนั่นอีก.... บางทีคืนนี้ผมอาจจะต้องยอมถอยกลับไปตั้งหลัก


“เอ้านี่ บริการฟรีจากพี่”

ขวดคราฟท์เบียร์ยี่ห้อไม่คุ้นตาถูกวางให้ตรงหน้า ผมจำได้ว่าคนที่กำลังยักคิ้วหลิ่วตาอยู่นี้คือพี่รุจ เจ้าของร้านซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้พี่โรม.... กับคนๆ นี้ผมรู้ว่าไม่ควรหยาบคายหรือคิดลองดีกับเขา ผมจึงเพียงแค่ยิ้มกลับไปตามมารยาทและตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ

“ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”

“มาเบอร์ลิคทั้งที น้องเล่นกินแต่มิกเซอร์ชามะนาวเนี่ย เสียชื่อร้านพี่หมดดิวะ” 

พี่รุจหัวเราะลั่น พยายามยัดเยียดขวดน้ำเมาสีเขียวเข้มมาให้ผมถือให้ได้ 

“แค่จิบนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก อีกสิบนาทีจะมีดีเจมาเปิดแผ่น กรึ่มเบียร์นิดนึง จะได้นั่งฟังเพลงเพลินๆ ไง”

“ผมขับรถมาครับ ขี้เกียจโดนจับเป่า”

“โอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง.... เดี๋ยวพี่ให้ไอ้โรมไปส่งบ้านก็ได้”

“ไม่รบกวนขนาดนั้นดีกว่าครับ ผมแค่อยากมานั่งเฉยๆ”

“พูดจริงนะเว้ย พี่เป็นทวดรหัสมัน ถ้าพี่สั่งให้มันไปส่งน้องถึงบ้าน ไอ้โรมมันก็ต้องไป”

เจ้าของร้านอวดอ้างใช้อิทธิพลเต็มที่ไม่เว้นแม้กระทั่งกับรุ่นน้องตัวเอง จะว่าไปก็เหมาะแล้วที่จะเจริญรุ่งเรืองในธุรกิจสีเทา

“พี่หาคนขับรถให้น้องแล้ว ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธแล้วนะ”

สัญชาตญาณของผมเตือนให้รู้สึกถึงนัยยะบางอย่างจากการกระทำของอีกฝ่าย เขาน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่โรมเพิ่งเปิดตัวบีบี๋และผมก็ไม่ใช่สะใภ้วิศวะฯ แต่เพราะคำพูดคำจาที่ฟังดูเป็นกันเองกับท่าทางสบายๆ ไม่ได้คุกคามน่ากลัวอะไร ผมก็เลยฝังกลบสัญญาณอันตรายนั้นเอาไว้ก่อน

ของเหลวสีอำพันไหลลงลำคอไปอย่างยากลำบาก ผมหน้าเบ้เกือบสำลักเพราะไม่ชินกับกลิ่นฉุนกึกและรสชาติขมจัด

“ปกติไม่ดื่มเหรอ?”

“ไม่เลยครับ” 

ผมว่าพลางกระดกชามะนาวคู่ชีพลงไปอึกใหญ่ หวังจะให้รสเปรี้ยวอมหวานช่วยล้างความขมออกไปจากลิ้นและคอให้หมด เข้าใจถ่องแท้เลยว่าของที่ไม่ชอบ ให้ตายยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจมาชอบได้ 

“ถ้าผมเมานอกบ้านแล้วเกิดมีเรื่องไม่ค่อยดีขึ้นมา พ่อแม่จะลำบากกับอะไรหลายๆ อย่าง ผมก็เลยตัดปัญหาด้วยการไม่ดื่ม.... พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นพวกคออ่อนดื่มเหล้าไม่เป็นไปแล้ว”

“ฟังดูน่ารักดีว่ะ โคตรคุณหนูเลย”

น้ำเสียงพี่รุจฟังดูเหมือนเอ็นดูผมอยู่พอควร ผมเองก็คิดแบบนั้นจนกระทั่งเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้พอได้ยินกันแค่สองคน


“แต่ถ้าน้องคิดจะมาชิงเกียร์ที่มีเจ้าของแล้วที่นี่.... พี่ว่าน้องควรจะหัดดื่มเอาไว้จะได้รู้ว่ารสเบียร์แต่ละยี่ห้อจริงๆ มันเป็นยังไง แล้วก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดเองให้ได้ด้วย”


อยู่ดีๆ ข้างในท้องก็ร้อนวูบเหมือนโดนไฟลวก ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่ามันไม่ใช่แค่ท้องแต่เหมือนว่าอวัยวะทุกส่วนถูกนาบด้วยเตาย่าง จังหวะชีพจรเร่งเร็วขึ้นจนได้ยินเสียงตึกตักดังออกมาจากอก เลือดสูบฉีดไปทั่วกายอย่างบ้าคลั่งราวกับมีปีนฉีดน้ำแรงดันมหาศาลซ่อนอยู่ภายในร่าง เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามไรผมและแผ่นหลังจนชื้นแฉะ.... อากาศรอบข้างอบอ้าวจนแทบทนไม่ได้ ผมร้อนและเริ่มเวียนหัวหายใจไม่ออก อาการเหมือนคนกำลังจะเป็นลมแต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ บางทีมันอาจเป็นอะไรที่แย่กว่านั้น

ผมพลิกข้างขวดคราฟท์เบียร์ขึ้นมาดู บนฉลากเขียนชัดเจนว่ามีแอลกอฮอล์อยู่แค่ 4.7% ต่อให้ผมเป็นไก่อ่อนยังไงก็ไม่น่าจะมึนเร็วขนาดนี้

ยกเว้นเสียแต่ว่าที่ผมเพิ่งดื่มเข้าไปมันจะไม่ใช่แค่เบียร์....!!

“จิบๆ แค่นิดเดียวเอง เมาแล้วเหรอน้อง?”  พี่รุจเอ่ยถาม พยายามก้มหน้ามองผิวแก้มของผมที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงจัด “ไม่ต้องอายน่า.... เบียร์ที่พี่เอาให้ใครกินก็เมาหัวทิ่มทั้งนั้นแหละ ไหนมาดูอาการหน่อยสิ”

ทันทีที่มือสากแตะโดนแก้ม ผมก็สะดุ้งเฮือกราวกับโดนไฟชอร์ต ความร้อนถาโถมเข้าสู่บริเวณท้องน้อยปั่นป่วนเหมือนมีคลื่นน้ำวนอยู่ข้างใน แขนขาอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงและครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ โดยเฉพาะตรงช่วงล่างที่ปวดหนึบจนต้องเกร็งต้นขาหนีบแน่นเอาไว้.... ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่จะเข้าใจว่าตัวเองป่วยไข้ขึ้นกะทันหัน ผมรู้ดีว่าอาการแบบนี้คืออะไร

แล้วก็รู้ด้วยว่าผมตัดสินใจผิดมหันต์ที่ไม่เชื่อสัญชาตญาณระวังภัยของตัวเองตั้งแต่ทีแรก....!

“สงสัยผมจะเมาแล้ว ขอตัวไปห้องน้ำแปบนึงนะครับ” 

พูดเสียงสั่นขณะพยายามยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้สตูล คอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายถี่ยิบ คิดในใจแค่ว่าจะต้องรีบล้วงคออาเจียนเอาสิ่งที่ดื่มเข้าไปออกมา

“ปวดฉี่เหรอ?”  พี่รุจปีนออกมาจากด้านหลังเคาท์เตอร์ ดึงแขนผมไว้ไม่ยอมให้หนีไปไหนได้ “ถ้าไม่ได้ปวดฉี่จริงก็ไม่ต้องไปห้องน้ำหรอก.... เสียดายของ”

“อย่าจับ........ฮึก.......!”

แค่ถูกแตะเนื้อต้องตัว อารมณ์ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ก็ยิ่งเตลิดไปไกลและรวดเร็ว กางเกงชั้นในของผมเริ่มเปียกเพราะบางสิ่งซึ่งขยับขยายปล่อยน้ำหล่อลื่นอยู่ภายใต้ร่มผ้า.... ร่างกายผมตื่นตัวรุนแรงจนไวต่อสัมผัสไปหมดทุกส่วน ผมตั้งสติให้มั่นเผยอปากสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด แต่มันไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นเลย ผมยังคงร้อนรุ่มไปทั้งกายและอยากปลดปล่อยความอัดอั้นบริเวณหว่างขาออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่า พี่รุจกลับตรงเข้ามาลากตัวผม รวบเอวแล้วจับโยนขึ้นไปนั่งบนเคาท์เตอร์บาร์ให้ทุกคนในร้านได้เห็นสภาพน่าอับอายนี้ชัดๆ

“เฮ้ย พวกมึงทุกคนฟัง!”  เสียงห้วนประกาศกร้าว  “คืนนี้เรามีนกน้อยบินหลงฝูงมาเว้ย!!”

สายตาสารพัดรูปแบบจากทุกมุมร้านจับจ้องมายังผมซึ่งถูกล็อกตัวเอาไว้บนบาร์เหมือนสินค้าประมูล ทั้งแปลกใจ สนใจ สงสัย ขบขัน สมน้ำหน้า เยาะเย้ย และสมเพชเวทนา ผมมองไปรอบๆ ไม่ต่างจากสัตว์เล็กที่ตื่นกลัวคมเขี้ยวของผู้ล่า.... พี่รุจกระชากคอเสื้อผมจนกระดุมหลุดหายไปสองเม็ด สาบเสื้อร่วงลงมาจากไหล่ให้คนพวกนั้นได้เห็นผิวขาวจัดที่โดนบ่มด้วยฤทธิ์เหล้าและยาจนเป็นสีชมพูระเรื่อ

ผมมองหาพี่โรม แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหนของร้าน....

“มีคนบอกว่ามันจะมาชิงเกียร์ที่มีเจ้าของแล้ว อยากมีผัววิศวะฯ จนต้องแรดมาหาแดกถึงถิ่นกู.... พวกมึงคนไหนเกียร์ยังอยู่ที่คอตัวเองช่วยมาสงเคราะห์มันหน่อยเด๊ะ!”

เสียงโห่ฮาเป่าปากดังขึ้นรับคำสั่งจากพี่รุจ.... ผมรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร เพราะผมไม่ใช่สะใภ้วิศวะฯ ตัวจริง เกียร์ของพี่โรมไม่ใช่ของผม ดังนั้น การมาหาพี่โรมก็ไม่ต่างจากมาขึ้นเขียงให้พวกนี้จับเชือด

“พี่โรม........ฮึก......พี่โรม..............”

“ไม่ต้องกลัวนะน้อง เคสแบบน้องเนี่ยมีมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แหละ ไม่ใช่คนแรกหรอก” 

พี่รุจบอกผมซึ่งนั่งตัวสั่นอยู่บนที่สูงก่อนที่เขาจะล้วงมือลงมาปลดกระดุมกางเกงยีนแล้วดึงลงจนทุกคนได้เห็นขาอ่อนผม... ผมดิ้นรนขัดขืน บอกตัวเองว่านี่คือการเข้าถ้ำเสือที่ผมตัดสินใจเลือกเอง อย่าร้องไห้ต่อหน้าคนพวกนี้เป็นอันขาด แต่ไอ้น้ำตาไม่รักดีก็เสือกไหลออกมาจนได้

“กติกาคือให้รุ่นน้องพี่ผลัดกันเอา.... โดนเอาน้ำนึงก็ได้เกียร์ไปคล้องคอหนึ่งวัน อยากคล้องกี่วันก็อ้าขารอได้ตามใจเลยนะ น้องทิชาคนสวย”



“แต่หลังจากนั้น ถ้าโดนเรียกว่ากะหรี่ห้อยเกียร์ก็ช่วยไม่ได้นะอีหนู”



✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽




ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะงงกันมั้ย แต่กฎของเบอร์ลิคจะมีขยายความให้เข้าใจเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยในพาร์ทของพี่โรม (ในฐานะคนใน 5555)
ฉากที่บางท่านรอคอยก็คัมมิ่งซูน ฮริๆ

ส่วนผู้อ่านท่านไหนจะทีมใคร อันนี้ก็ขอเว้าซื่อๆในฐานะคนเขียนว่าอย่าเพิ่งทีมใครเลย ตัวละครที่คุณรักในวันนี้ คุณอาจจะเกลียดเข้าไส้ในวันหน้า และตัวละครที่คุณเกลียดในวันนี้ อาจจะทำให้คุณรักในวันหน้าเช่นกัน  :hao5:
อ่านแบบเราเป็นพระเจ้า เฝ้าดูเหตุการณ์บนโลกมนุษย์น่าจะดี ^___^

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์+การติดตาม เจอกันคราวหน้าคะ่  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 06-12-2017 00:15:38
สงสารชาาาาา อ่านแล้วก็น้ำตาซึม อิพี่โรมคนดีบ้าไร
คนแต่งอย่าใจร้ายกะชานักเลย ฮือออออออ #ไม่ทีมใครขอให้ชาเจอคนดีๆบ้าง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-12-2017 00:20:26
โอ้ยยยย จะร้องอ่ะ ทำไมทิชาต้องเกิดมาเจอแต่เรื่องแย่ๆแบบนี้ แต่ก็ยังดื้อที่จะมาเบอร์ลิคอ่ะ  :sad4: นี่คือที่มาของมรสุมรึป่าว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-12-2017 00:58:36
ฮืออออ ทำไมเป็นแบบนี้ มาช่วยน้องด้วยยย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 06-12-2017 00:58:56
##ขอใช้ภาษาไม่สุภาพนะคะ###
อย่าไปตามมันเลยลูกปล่อยอิพี่โรมไปตายไหนก็ไป โอ้ยยยย ที่อิพี่โรมคุยกับเพื่อนแล้วหงุดหงิด ไม่ชอบเลยการแอบคุยกันของเพื่อนกับผัวเพื่อนเนี่ย แล้วแบบแฮปปี้จ้าาาาา ปาดหน้าเค้กกันเห็นๆ ไหนวะเพื่อนรัก โอเคอยากมันต้องมีใจอยากได้อยู่ด้วยแหล่ะวะมันถึงไม่บอกเพื่อนสนิทเนี่ย จริงๆทิชาอย่าไปตามอิพี่โรมกับบี๋เยอะคือ ปล่อยมันไปเป็นคู่รักสวีทวี๊ดวิ้วเหอะ เราก็สวยๆเริดๆ แบบเอ้ากูแรดเหรอ ก็แรดให้มันจบมันสิ้นสมใจคนปล่อยข่าวเลย บี๋ก็ให้ไปอยู่กับอิพี่โรมสึดรักไป เนี่ยแบบทิชาเกือบจะฉลาดแล้วลูกถ้าไม่ไปวิ่งตามอิพี่โรมมัน  สู้ๆค่ะคนแต่งคืออ่านแล้วทำให้เราอินมาก แต่งเก่งมากๆค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอโทษเรื่องภาษาไม่สุภาพด้วยค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Acrokate ที่ 06-12-2017 02:40:49
ลุ้นในการกระทำทุกตัวละครเรยคะ แต่ก้อย่างได้แบบชื่อเรื่องน้าขอให้พนไม่มีสายฝน อยากให้ทิชาเจอฟ้าหลังฝนบ้าง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 06-12-2017 06:42:05
 :sad4:
สงสารทิชาอ่าาา พวกนั้นทำเกินไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ravyy ที่ 06-12-2017 12:04:42
โอ้ยยยยยยยมหัวจัยยยยย สงสารน้อง ใครจะว่าน้องเหี้ยยังไงพิก็จาอยุทีมหนู!!!!!!!
อิเหี้.ยพี่รุจนี่เสือกไมอะ รำคาญ!! ยังผญสองคนเหมือนกัน พวกคณะวิดวะในร้านนั่นก็เหมือนกัน
มีสิทธิ์ไรมาทำแบบนี้วะ อยากเข้าไปจิกหัวตกเรียงตัว พวกมึ.งไม่พอใจนั่นก็เป็นอารมณ์ที่ต้องรับผิดชอบเองอะ ทำไมต้องไปทำร้ายย่ำยีคนๆนึงถึงขนาดนั้น!!
ทีมน้องชา! แก้แค้นมันให้หมดเลยรู้กกกกกกกก #ความแค้นบังตา จะมีใครที่ดีกะชาบ้างแบบ ไม่ต้องนิสัยดีอะแต่แค่ไม่ต้องมาทำร้ายใจทิชาอีกแล้ว จะมีไหมอะ ขนาดพ่อแม่แท้ๆของน้องยังหวังพึ่งไม่ได้เลย
 :m31: :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 06-12-2017 16:35:57
สรุปแล้วรอบตัวน้องแม่งเลวระยำทุกคน :m31: :z6:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: prmino ที่ 06-12-2017 18:53:00
โอ้ยน้องงงงงงงงงงงงง สงสารอะช่วยน้องด้วยยยยย คือแบบยิ่งอ่านยิ่งเทาอะ ละแบบจะมีใครดีกับน้องจริงๆบ้างมะ แงงงรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 06-12-2017 21:42:52
สรุปรอบตัวทิชาจะมีแต่คนเหี้ยๆเลยใช่ไหม
แล้วเรื่องนี้อย่าบอกนะว่าพี่โรมกับแดนรู้เห็เป็นนใจด้วย
ถ้ายังงั้นทิชาหนูไม่ต้องหาใครแม่งละ
อยู่คนเดียวเถอะ ดีกว่าหาไปเรื่อยเจ็บไปเรื่อยแบบนี้
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kmdew98 ที่ 07-12-2017 16:15:19
สงสารทิชา โกรธพี่โรม โกรธบีบี๋ โกรธแดน โกรธทุกคน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 07-12-2017 18:05:45
ขอให้มีพระเอกตัวจริงมาช่วยไม่ใช่ท่าดีทีเหลวแบบโรมคนโลทำเป็นช่วยให้ความหวังพอเจออีบี๋แล้วเปลี่ยนใจง่ายๆแถมยังคอยวนเวียนเหยียบย่ำควารู้สึกทิชาอีบี๋ก็เลวพอกันตั้งแต่ทีแรกที่พาทิชาไปที่แบบนั้นจนเกือบโดปล้ำทำอะไรเห็นแก่ตัวรู้อยู่ที่แบบนั้นไม่ดีแต่ก็รั้นจะไปเพื่อนกันเขาไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก บางทีรู้สึกเหมือนบี๋คบทิชาไว้เพื่อให้ตัวเองดูดีกว่ายิ่งมีเรื่องโรมมาเกี่ยวยิ่งรู้สึกเหมือนทำเป็นพูดว่าห่วงความรู้สึกเพื่อนถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงถามทิชาก่อนที่จะไปคบกับโรมไม่ใช่แอบคบกันไปแล้วถึงมาบอกมาถามความรู้สึกเจอแบบนี้โคตรเสียคววามรู้สึกอ่ะเหมือนคนๆนี้พร้อมแทงเราข้างหลังตลอดเวลา :z6:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-12-2017 22:23:37
ROME’s PART

   

                Do_As_RomanS : ดีใจนะที่มึงยอมคุยกับกูแล้ว
                                    กลับมาเป็นเด็กดีของกูเหมือนเดิมนะ *สติ๊กเกอร์*




ผมแม่งต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตอบทิชาไปแบบนั้น

รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำของตัวเองก็เป็นการให้ความหวังน้องมัน ผมควรจะตัดขาด เลิกยุ่งและโฟกัสที่ความรักของผมกับบีบี๋ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันนี้

แต่สิ่งที่พิมพ์ไปทั้งหมดก็เป็นความรู้สึกจริงๆ ของผม ยิ่งนึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ผมก็ยิ่งเสียดาย.... เวลาที่ไอ้ทิชายิ้มหรือแม้แต่เวลาที่มันเขินเพราะโดนผมแกล้งหยอก มันน่ะโคตรของโคตรแห่งความน่ารักเลย ในขณะที่น้ำตาของมันทำให้ผมจุกในอกอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถึงทิชาจะไม่ใช่คนที่ผมเลือก แต่ผมก็ไม่อยากเห็นมันร้องไห้และพาลคิดว่าตัวเองไร้ค่าไม่คู่ควรกับความรักจากใคร



‘จริงๆ แล้วพี่โรมก็แค่ไม่อยากเจอหน้าชาสินะ? งั้นที่บอกในไลน์ว่าจะไปหาที่คณะก็คงโกหกตามเคย........’

‘งั้นมึงก็นั่งตรงนี้ ห้ามไปไหนโดยไม่บอกกูเด็ดขาด.... เข้าใจไหม?’

‘อื้ม ก็ชาเป็นเด็กดีของพี่โรมไง ไม่กล้าดื้อหรอก’

‘ไม่กล้าห่าไร มึงน่ะตัวแสบเลย’




จากเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ผมเริ่มเรียนรู้ว่ากับทิชาจะใช้ไม้แข็งด้วยไม่ได้ หัวใจของมันก็เปรียบเหมือนแก้วที่มีรอยร้าวขีดข่วนและใกล้จะแตกเต็มที ผมพยายามใจเย็น พูดด้วยดีๆ ประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้มันรู้สึกว่าผมแค่ใช้มันเป็นทางผ่านไปหาบีบี๋ จะเรียกว่าผมกำลังหาทางรับมือกับทิชาก็คงไม่ผิดนัก

ก็ได้แต่หวังว่าทิชาจะรับรู้และยอมรับสถานะน้องชายที่ผมมอบให้ ผมพร้อมจะดูแลเอาใจใส่มันไม่ต่างจากน้องแท้ๆ พ่อแม่เดียวกันที่บ้านผมเลย



‘มึงชอบชามะนาวเหรอ?’

‘ไม่ได้ชอบหรอก…. แต่พี่โรมหยิบให้ก็กินได้หมดแหละ’




ทิชาแม่งยิ้มน่ารักจริงๆ ครับ

ในฐานะพี่ชาย ผมก็อยากให้มันเจอใครสักคนที่ดีกว่าผม คนที่สามารถสร้างรอยยิ้มประดับหน้าสวยๆ ของมันได้ตลอดไป



แต่ให้ตายเถอะ ทำไมมันถึงได้ยุ่งอย่างนี้วะ!?



“เฮียโรม เด็กที่นั่งคุยกับเฮียที่เคาท์เตอร์ตะกี้ใครอะ?”

ไอ้ป๋วย รุ่นน้องปีสองภาคเดียวกันกับผมเดินเข้ามาหลังร้านในตอนที่ผมกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บค่าต๋งจากสาวไซด์ไลน์แถวรัชดาที่เข้ามาหาลูกค้าในเบอร์ลิค สีหน้ามันดูเหวอๆ นิดหน่อยแต่ผมก็คิดว่ามันแค่ถามเล่นเพราะอยากเสือกเรื่องชาวบ้านไปตามประสา

“ทิชา น้องกูเอง.... มีไรเปล่าวะ?”

“ใช่น้องจริงเหรอ?”

“ทำไมมึงถามงี้?”

ผมหันไปเลิกคิ้วใส่มัน เข้าใจว่าไอ้ทิชามันสวยสะดุดตาออกขนาดนั้น ไอ้ป๋วยจะแอบปิ๊งก็ไม่แปลก ที่ผมสงสัยก็คือมันดูติดใจเรื่องสถานะระหว่างผมกับทิชามากเป็นพิเศษ 

“มึงไปอยู่ไหนมา ไม่เห็นที่แฟนกูแท็กในไอจีหรือไงวะ.... เขารู้กันหมดทั้งภาคแล้วว่าวันนี้กูหาเปิดตัวสะใภ้วิศวะคนใหม่ให้พวกมึงชื่นชม”

“เรื่องนั้นอะผมรู้แล้ว.... ถ้าเฮียบอกว่าทิชาอะไรนั่นเป็นน้อง งั้นที่เจ้เมย์กับเจ้รสาไปคุยกับเฮียรุจว่าเขามาชิงเกียร์ก็ไม่จริงอะดิ”

“เมย์กับรสาเรอะ?” 

คราวนี้เป็นผมเองที่ต้องทำหน้าเหวอ แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าไม่น่าจะมีอะไรเพราะผมเองก็เพิ่งคุยกับเมย์และรสาไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ถึงแม้ว่าทั้งสองสาวจะไม่ค่อยโอเคกับสิ่งที่ผมพยายามอธิบายนักก็เถอะ ส่วนเฮียรุจ ผมก็บอกเฮียแกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทิชาคือน้องต่างคณะที่ผมเอ็นดู ถึงมันจะชอบผมแต่ก็ไม่มีเกินเลยมากกว่านั้น 

“กูบอกสองคนนั้นไปแล้วว่าทิชาเป็นน้อง เฮียรุจก็รู้แล้วว่ากูกับทิชาไม่มีอะไรกัน.... น้องมันแค่แวะมาคุยด้วยเฉยๆ เดี๋ยวมันก็จะกลับแล้วเนี่ย”

ไอ้ป๋วยทำท่าเหมือนคนโดนเอาขยะเปียกยัดปาก เสียงอึกทึกโห่ฮาปาเถื่อนจากข้างในดังลอดออกมาทั้งที่วันนี้ไม่มีฉายบอลคู่สด

“งั้นผมว่าเฮียรีบออกไปเคลียร์เหอะ ที่คุยๆ ไว้นั่นอะ ไม่น่าจะมีใครเข้าใจตรงกันกับเฮียสักคน”

มันว่าพลางชี้นิ้วไปทางบาร์น้ำที่ผมปล่อยทิชานั่งอยู่ตามลำพัง ดูมันค่อนข้างกลัวที่จะเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่มันจะเดินออกมาตรงนี้ 

“แล้วผมก็เห็นเฮียรุจเข้าไปคุยกับทิชาแล้วด้วย..........”

“เหี้ยเอ๊ย!”

ผมรีบวิ่งกลับเข้ามาในร้านทันทีที่รู้ว่าเหตุการณ์กำลังจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีน ไม่มีเวลาหยุดคิดเลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมรู้แค่ว่าผมบอกกับทุกคนไปแล้วว่าทิชาคือน้อง.... แต่ทำไมเฮียรุจถึงได้เอากฎที่ใช้กับคนนอกมาลงโทษมัน!?


‘กติกาคือให้รุ่นน้องพี่ผลัดกันเอา.... โดนเอาน้ำนึงก็ได้เกียร์ไปคล้องคอหนึ่งวัน อยากคล้องกี่วันก็อ้าขารอได้ตามใจเลยนะ น้องทิชาคนสวย’


ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือเฮียรุจกับรุ่นพี่ปีสี่กำลังรุมจับร่างเล็กบนเคาท์เตอร์บาร์แก้ผ้า แม้จะอยู่ไกลแต่ก็รู้โดยอัตโนมัติว่าทิชาโดนมอมยาจนหมดสภาพ แม้จะยังพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็อ่อนแรงเกินกว่าจะปัดป้องมือผู้ชายที่มาถูกเนื้อต้องตัวมัน ร่างผอมบางสั่นเทิ้มด้วยความกลัวสุดชีวิต


‘แต่หลังจากนั้น ถ้าโดนเรียกว่ากะหรี่ห้อยเกียร์ก็ช่วยไม่ได้นะอีหนู’


มันเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่นักเที่ยวว่าเบอร์ลิคเป็นสถานที่ที่ถูกคุมด้วยกฎประหลาดหลายข้อที่เฮียรุจตั้งขึ้น นิสิตคณะวิศวะฯ และบรรดาเขยสะใภ้ที่เปิดตัวแล้วก็ถือเป็น ‘คนใน’ จะได้รับการคุ้มครองทั้งร่างกายและจิตใจในแบบที่พวกเราไม่สามารถหาได้จากโลกภายนอก.... โดยเฉพาะกับเรื่องชู้สาวซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว ที่เบอร์ลิคก็มีกฎเหล็กว่า ‘เกียร์อยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่นั่น’ ชาววิศวะฯ ที่เปิดตัวแฟนแล้วจะไม่นอกใจหรือเอาใครก็ตามที่ไม่มีเกียร์มากกที่นี่ ต่อให้เป็นแค่เขยหรือสะใภ้ แต่ถ้าได้คล้องเกียร์แล้ว เฮียรุจก็จะไม่ยอมให้น้องๆ ของแกต้องเจ็บเป็นอันขาด

ผู้หญิงหรือผู้ชายที่อยู่ในหมวด ‘คนนอก’ ถ้าอยากได้ลิ้มรสบรรยากาศความเป็นคนในที่นี่ก็สามารถเสนอตัวเองแลกกับเกียร์ได้ ส่วนมากคนที่ทำแบบนี้คือพวกรักสนุกหรือไม่ก็แค่อยากมีสิทธิพิเศษซื้อขนมกับน้ำแข็งได้ในราคาถูกกว่าปกติ ไม่ได้สนใจว่าจะมาเป็นผัวใครเมียใครนักหรอก.... แต่ถ้าเป็นคนนอกที่ถูกลงความเห็นว่ามาเพื่อ ‘ชิงเกียร์ที่มีเจ้าของแล้ว’ ก็จะถูกจับมอมยาแล้วลากขึ้นมาประจานโทษฐานที่ทำให้ครอบครัวชาววิศวะฯ สั่นคลอน

ที่นี่ไม่ลงโทษคนใน แต่กับคนนอกคือไม่มีความปรานีใดๆ ทั้งสิ้น....


“เฮียรุจ อย่าครับ!” 

ผมแทรกตัวเข้าไปถึงบาร์จนได้ เสียงโห่ร้องยังคงดังลั่นไม่ขาดสายเมื่อตอนนี้ไอ้ทิชาเปลือยไปครึ่งตัวแล้ว ตัวผู้เป็นฝูงรุมกันเข้ามาขอให้ได้จับเนื้อขาวๆ ของมันเหมือนซอมบี้ในหนังไม่มีผิด

“น้องมันแค่แวะมาหาผมจริงๆ นะพี่ ไม่ได้มีอะไรเลย.... พี่อย่าเอาเรื่องมันนะครับ ผมขอ!”

ผมถอดแจ็กเก็ตยีนที่สวมอยู่ห่มร่างบนเคาท์เตอร์เอาไว้พลางดึงตัวทิชามากอดแน่นไม่ให้ใครแตะต้องมันได้อีก เสียงครางสะอื้นดังแผ่วอยู่ในอ้อมอกผม เช่นเดียวกับที่เสียงก่นด่าดังขรมอยู่รอบตัว

“ไอ้โรม อย่าปัญญาอ่อนไปหน่อยเลยน่า.... มึงคิดว่าเด็กนี่แค่อยากคุยกับมึงจริงๆ น่ะเหรอ?”

เฮียรุจเองก็มองผมด้วยสายตาคาดโทษผสมด่าว่าไอ้หน้าโง่

“มึงบอกกูเองนี่ว่าทิชามันหลงมึงมาก เพ้อเจ้อว่ามึงจะเอามันทำเมียจนสติแตก มันกล้ามาเหยียบที่นี่ก็เพราะจ้องจะจับมึงทำผัวนั่นแหละ”

ใช่... ผมพูดเอง

และคงเพราะพวกรุ่นพี่ที่นี่ลงความเห็นกันแล้วว่ามันสมควรโดน สิ่งนี้ถึงได้เกิดขึ้น

แต่ทิชามันบอกผมว่าแค่อยากมาหา อยากเจอหน้าผม เราสองคนเข้าใจกันดีแล้วในฐานะพี่ชายกับน้องชาย และอีกแค่แปบเดียวหลังจากที่ผมเก็บเงินเสร็จ ผมก็จะออกไปส่งมันขึ้นรถกลับบ้านอยู่แล้ว

“วันนี้มึงเปิดตัวน้องสะใภ้ให้พวกกูรู้จักแล้ว อีเด็กทิชานี่ก็เท่ากับพยายามชิงเกียร์ที่มีเจ้าของ.... กูต้องจัดการมันตามกฎ” 

เฮียรุจคีบบุหรี่ขึ้นสูบ พูดกับผมที่ทั้งโกรธทั้งกลัวแทนน้องอย่างไม่ยี่หระ

 “กูอุตส่าห์ให้เมย์กับรสาเข้าไปไล่มันแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกด้วยนะว่ามึงเป็นแฟนน้องบีบี๋เพื่อนมัน.... แต่มึงก็ยังปล่อยให้มันนั่งอยู่ในร้านกู ถ้าน้องบีบี๋รู้ว่ามึงโอ๋ไอ้ทิชาขนาดนี้ก็คงไม่สบายใจ ซึ่งกูคงยอมให้น้องสะใภ้กูเสียใจไม่ได้ ถึงกูจะยังไม่เคยเจอน้องบีบี๋ตัวเป็นๆ ก็เหอะ”

“ทิชามันยังเด็กนะเฮีย...... กฎอะไรของเรา มันก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก.....ผมไหว้ล่ะ เฮียอย่าทำมันเลย!” 

ผมประสานมือไหว้เฮียรุจทั้งที่ยังกอดทิชาไว้

“ฮึก.........พี่โรม.........ช่วยชาด้วย.........ฮือ............” 

“ไม่ต้องร้องหาผัวคนอื่นหรอก อีหนู.... คืนนี้มึงได้มีผัวเป็นของตัวเองสมใจแน่ แต่จะกี่คน กูไม่รับประกัน!” 

แค่ได้ยินทิชาร้องหาผม พี่รุจก็ตรงเข้าไปกระชากหัวมันแล้วลากกลับขึ้นมาบนเคาท์เตอร์บาร์ เสียงร้องไห้สะอื้นอย่างขวัญเสียแผดดังขึ้นในขณะที่มือเล็กพยายามรั้งชายเสื้อของผมเอาไว้ ผมรีบตามไปคว้าตัวทิชากลับมา แต่พวกพี่ปีสี่เข้ามารุมจับแขนผมไพล่หลังแล้วเตะข้อพับด้านหลังเข่าให้ลงไปกองกับพื้น พี่รุจมองผมสลับกับนกน้อยด้วยสายตาไม่ยินดียินร้ายก่อนจะสั่งการต่อ 

“ไอ้ออฟ มึงหิ้วไอ้เด็กนี่ขึ้นไปข้างบนเลย.... ส่วนพวกมึงทุกคน ใครที่ยังมีเกียร์อยู่กับตัวแล้วอยากเสียบแม่งก็ตามไอ้ออฟขึ้นไป!”

“พี่โรม! พี่โรม.......ช่วยด้วย...........!!!”

ร่างเล็กหวีดเสียงจนคอแทบแตก ทั้งดิ้นรนและขัดขืนอย่างน่าสงสาร น้ำตาไหลอาบแก้มร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนกับตะโกนอยู่คนเดียวกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้นเลยนอกจากผม และไม่มีใครคิดจะวางมือจากของฟรีเกรดพรีเมียมด้วย

“จะต้องให้ผมทำไงวะเฮีย..... จะทำก็มาทำผมนี่ ผมผิดเองที่ไม่ไล่มันไป!”

“โทษทีว่ะ แต่กูไม่มีนโยบายซ้อมคนกันเอง”

ผมคลานเข้าไปหาเฮียรุจ ก้มหัวจนติดพื้นขอร้องแทนทิชา คิดจริงๆ ว่าต่อให้เฮียสั่งลูกน้องพม่ากระทืบผม ผมก็ยอม 

“เด็กมันเจอเรื่องแย่ๆ จากที่อื่นมาเยอะแล้ว.... เฮียสงสารมันเถอะ ยกโทษให้มันสักครั้ง.........”

“มันจะคุยกับมึงที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่.... มึงเลือกน้องบีบี๋แล้ว มึงก็ห้ามยุ่งกับมันต่อหน้าพวกกูทุกคน!” 

เฮียรุจตอกย้ำความผิดของผมด้วยกฎที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ.... ใช่แล้ว  ผมผิดที่ไม่ใจแข็งไล่มันกลับบ้านไปให้จบๆ ผิดที่มัวแต่กลัวว่ามันจะเสียใจเพราะเรื่องเล็กน้อยจนมองข้ามไปว่ายังมีเรื่องที่ร้ายแรงกว่า และถ้าไอ้ทิชามันเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของผมคนเดียว

ในตอนนั้นเอง เฮียรุจก็สั่งให้ไอ้ออฟลากตัวทิชากลับมาโยนไว้ตรงหน้าผม เร็วเกินกว่าจะรับเอาไว้ได้ทัน ร่างผอมบางกึ่งเปลือยจึงกระแทกพื้นเสียงดังโครม  ร่างเล็กทั้งเจ็บทั้งจุกจนตัวงอร้องไม่ออก ก่อนที่ผมจะเอาตัวเองเข้าไปบังไม่ให้ใครเห็นสภาพน่าอายของมัน

แน่นอนว่าทุกอย่างบนโลกนี้ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ความปลอดภัยของนกน้อยหลงฝูงที่ชื่อทิชาก็ต้องมีราคามหาศาลเช่นกัน

“ไอ้โรม ถอยออกมาเดี๋ยวนี้.... มึงจะเย่อของส่วนรวมไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามึงจะเปลี่ยนใจยกเกียร์ให้มันใส่!”

คนรอบข้างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประกาศล่าสุดจากเฮียรุจ เงื่อนไขนั้นคือทางรอดเดียวของทิชา แต่มันต้องแลกมาด้วยการที่ผมจะต้องทรยศบีบี๋ ทรยศแฟนของผม ทรยศสะใภ้ของชาววิศวะฯ.... ต่อหน้าทุกคน!

“โรม มึงคิดให้ดีๆ นะเว้ย.... ทิชาแม่งก็ไม่ได้เวอร์จิ้นป่าววะ มีผัวมาแล้วกี่คนก็ไม่รู้ ไม่คู่ควรกับเกียร์มึงหรอก”

ผมยังไม่ได้ถอดเกียร์ให้บีบี๋เก็บเอาไว้ เพราะตั้งใจว่าจะเอาไปเปลี่ยนสายใหม่ก่อนแล้วค่อยให้ตอนฉลองครบรอบหนึ่งเดือน ดังนั้น เกียร์ซึ่งเปรียบได้ดั่งหัวใจของผมจึงยังคล้องอยู่ที่คอตัวเอง.... เพื่อนคนหนึ่งพยายามห้ามผม แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้อาจไม่เป็นความลับ ผมอาจจะต้องสูญเสียบีบี๋ไปเพราะทิชา บอกลาความรักที่ผมเพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงวันเดียวไปตลอดกาล

แต่ผมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและทิ้งให้ทิชาจมอยู่กับความทุกข์ไปจนชั่วชีวิตไม่ได้เหมือนกัน

รอยยิ้มของทิชาน่ารักมาก และผมก็อยากให้มันยิ้มเยอะๆ

เชี่ยเอ๊ย ผมพูดแบบนี้กี่ครั้งแล้วนะ....?



“ไอ้โรม เอาจริงเหรอวะ!?”

“กว่ามึงจะเจอคนถูกใจแบบน้องบีบี๋นี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะเว้ย มึงคิดดูอีกทีเหอะ”

ผมตัดสินใจถอดเกียร์ที่ห้อยคออยู่คล้องให้ทิชา ช้อนตัวมันอุ้มแล้วออกไปทางหลังร้านซึ่งมีบันไดขึ้นไปยังห้องพักชั้นสอง.... เพื่อนคนเดิมยังคงตะโกนห้ามผมไม่ให้คิดสั้นทำอะไรโง่ๆ ทิชาอาจจะเป็นแค่ของเล่นแสนสวยแต่ไม่มีค่าในความรู้สึกนึกคิดของใครต่อใคร แต่สำหรับผม ทิชาก็เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจ ขี้เหงา และต้องการความรักมากเป็นพิเศษก็เท่านั้นเอง

ท่ามกลางสายตาที่มองมาเหมือนรุมประณาม ประโยคเดียวที่ผมพูดได้ก็มีแค่....


“ผมขอโทษครับเฮีย.... แต่ผมทิ้งไอ้ทิชาไม่ลงจริงๆ”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 05/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-12-2017 22:29:25
.

.

.

“พี่โรม........ฮือ.......ช่วยด้วย..........”

“อดทนอีกหน่อยนะ ทิชา.... เดี๋ยวมึงก็หายแล้ว..........”

นอกตัวร้านมีโกดังสองชั้นที่เฮียรุจทำไว้ที่พักสำหรับพวกผม เอาไว้มาสุมหัวกินเหล้า ปั่นงาน อ่านหนังสือสอบ หรือแม้แต่มั่วหญิงพี้ยา.... ทิชากระสับกระส่ายส่งเสียงสะอื้นมาตลอดทางที่อยู่ในอ้อมแขนผม ฤทธิ์ยาทำให้เนื้อตัวมันร้อนเหมือนเป็นไข้ ผิวขาวจัดเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม ริมฝีปากบางเผยอหอบหายใจจนอกเปลือยเปล่ากระเพื่อมไหว คล้ายว่าผมจะได้ยินเสียงหัวใจมันเต้นเหมือนกับจะหลุดออกมา

ผมถีบประตูห้องน้ำให้เปิดออกแล้ววางทิชาลงบนพื้นตรงที่อาบฝักบัว ความเย็นจากผนังกระเบื้องทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งสุดแรง ร่างผอมบางไม่ได้สวมกางเกง เหลือเพียงแค่เสื้อเชิ้ตซึ่งขาดรุ่งริ่งจนแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้.... ไอ้ทิชานั่งชั่นเข่า พยายามหนีบเรียวขาขาวเข้าหากันไม่ให้ใครเห็นบางสิ่งที่เต็มตึงอยู่ใต้กางเกงชั้นใน บ่งบอกถึงสภาพร่างกายที่ไม่อาจต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมได้

“อื้อ.......ยะ.....เย็น....!!”

ผมคว้าฝักบัวเปิดน้ำใส่ไอ้ทิชา กะว่าอุณหภูมิเย็นจัดน่าจะช่วยดับร้อนและเรียกสติอีกฝ่ายกลับมาได้บ้าง แต่สิ่งที่เห็นก็คือคนตรงหน้ายิ่งร้องครวญครางน่าสงสาร เนื้อตัวเปียกปอนสั่นสะท้าน หยดน้ำเกราะพราวไปทั้งร่าง โดยเฉพาะกับตรงบริเวณนั้นที่แฉะจนแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะน้ำฝักบัวหรือน้ำอะไรกันแน่

“พี่โรม...........ฮึก............” 

นัยน์ตาคู่สวยหรี่ปรือขณะเรียกหาผม เส้นผมเปียกชื้นแนบลู่ตัดกับผิวแก้มขาวเนียน

“........พี่โรม.......พี่ต้องช่วยชานะ.....ฮึก......พี่โรม......อย่าทิ้งชาไว้คนเดียว..........”

น้ำเสียงและสายตาเว้าวอนมองตรงมายังผม ใบหน้าหวานฉายชัดถึงความต้องการที่มากกว่าแค่ได้รับการปกป้อง ไม่ว่าใครก็ตามที่โดนยานางรำของเฮียรุจเข้าไป อย่างต่ำๆ ก็ต้องสามชั่วโมงถึงจะหาย แต่ถ้าเป็นเด็กน้อยประเภทเหล้ายาไม่เคยแตะ บางคนก็โดนยันเช้ากว่าอาการจะทุเลาลง

“กูอยู่นี่แล้วไง.... ไม่ได้ทิ้งมึงไปไหนสักหน่อย”

“ไม่จริงหรอก........อึก.........เดี๋ยวพี่โรมก็เห็นคนอื่นน่ารักกว่าชาอีก..........”

ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าทิชาเป็นคนสวย แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือความเซ็กซี่เย้ายวน แม้จะเป็นผู้ชายเต็มตัวแต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายด้วยกันให้อยากเข้าหา มันมีทั้งความน่าทะนุถนอมแล้วก็ความน่าฉีกทึ้งทำลายอยู่ในคนๆ เดียวกัน ไม่ต่างจากดอกไม้กลีบอ่อนแสนบอบบางซึ่งมีเกสรล่อแมลงตัวผู้ให้หลงเข้าไป

แม้แต่ผมก็ยังกลัวว่าตัวเองจะติดกับ....

“พี่โรม........พี่โรมของชา.........”   

ร่างเล็กดึงให้ผมนั่งลงแล้วเบียดตัวเข้าหาจนกระทั่งเราทั้งคู่เปียกไปด้วยกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองหน้าผมอย่างร้องขอ กลีบปากสีระเรื่อเอาแต่เสียงออดอ้อนขานชื่อผมไม่เว้นวาง 

“ให้ชาเป็นของพี่โรมนะ......ฮึก......ชาอยากเป็นของพี่จนทนไม่ไหวแล้ว...........”

“ตั้งสติหน่อยมึง......เชื่อกูนะ ทนอีกนิดเดียว.......”

ผมบอกให้ทิชาอดทน แต่เอาจริงๆ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมกำลังบอกมันหรือบอกตัวเองกันแน่

ทิชาส่ายหน้าก่อนจะยิ่งขยับตัวเข้ามา ในที่สุดมันก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนตักผมจนได้ แววตามันหยาดเยิ้มชวนให้นึกถึงน้ำผึ้งเดือนห้า.... แม่งโคตรยั่วน้ำลาย แค่เห็นก็เปรี้ยวปาก ใจของผมเองก็คล้ายถูกเขย่ารุนแรงจนเสียศูนย์

“มัน......ฮึก......มันไม่หาย.....ตรงนี้มันปวดเหมือนจะระเบิดอยู่แล้ว........”

ทิชาจับมือผมไปซุกไว้ตรงหว่างขา ผมตกใจจะชักมือออกแต่มันกลับยิ่งกดให้สัมผัสแนบแน่นกว่าเดิม.... ผมรับรู้ได้ทุกอณูความเต็มตึงที่นูนเน้นอยู่ภายใต้กางเกงชั้นใน ราวกับปลาตัวน้อยที่เพิ่งถูกปล่อยลงแม่น้ำ เพียงแค่สัมผัสจากภายนอกผ่านเนื้อผ้า ดอกไม้งามก็ทำท่าจะชูช่อออกมาจากผืนดินเสียให้ได้ 

“........ชาอยากได้พี่โรมจังเลย......อยากได้ทุกอย่างของพี่............”

ริมฝีปากนุ่มคลอเคลียที่ข้างแก้มผม เสียงแหบหวานกระซิบเชิญชวนในขณะที่เจ้าตัวสอดมือผมลงไปแตะต้องเนื้อแท้ใต้ร่มผ้า.... จิตใต้สำนึกตะโกนสั่งให้ผมถอยออกมา อย่าถลำลึกไปกับคนที่ตัวเองบอกว่าไม่รักมากไปกว่านี้ แต่ทว่า ร่างกายกลับไปยอมเชื่อฟังคำสั่งจากสมองเอาเสียเลย

ทิชาจูบผมก่อนจะเงยหน้าให้ผมได้เห็นความปรารถนาในแววตา

เกียร์หรือหัวใจของผมก็กำลังทิ้งตัวแกว่งไกวอยู่บนอกขาวๆ ของมัน
   

“คืนนี้.........ให้ชาเป็นเมียพี่โรมนะ...........?”


ราวกับสติสัมปชัญญะถูกกระชากหลุดหายไปในอากาศ ผมบดขยี้ริมฝีปากช่างยั่วให้สาสมกับที่ทิชาวอนขอ ลิ้นอุ่นแทรกเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มหยอกล้อละเลงความใคร่กับเรียวลิ้นเล็กซึ่งตั้งรับตอบสนองเป็นอย่างดี ผมตักตวงรสหวานตรงหน้าอย่างตะกละตะกลามจนอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองไปอดอยากมาจากไหน ทว่า เรื่องนั้นมันคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วในเมื่อทั้งผมและทิชา เราต่างก็มีสิ่งที่อยากได้จากอีกฝ่าย

กางเกงชั้นในของร่างเล็กถูกผมรูดลงไปเกี่ยวอยู่ตรงข้อเท้าระหว่างที่เรากำลังจูบแลกลิ้นกัน ผมตรงเข้ากอบกุมแก่นกายที่เต้นตุบตับรอคอยที่จะถูกครอบครอง เสียงครางในลำคอของทิชายิ่งยั่วอารมณ์ผมไม่ต่างจากน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ.... ผมรูดมือขึ้นลงตามคำเรียกร้อง ส่งความรัญจวนให้แล่นพล่านไปทั่วร่างบนตักเสมือนถูกจี้ด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ทิชาสั่นไปทั้งตัว อ้าขาออกกว้างรับการปรนเปรอจากผมอย่างลืมอาย แก้มใสซุกซบถูไถกับอกผมพลางจิกมือตัวเองระบายความเสียวซ่าน อาศัยเพียงฤทธิ์ยาที่ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด แทบไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรเลย ไม่นานเอวคอดกิ่วก็บิดเกร็งแอ่นโค้งราวคันศร

“อ๊ะ.......อาาาาาาา...............”

เมื่อเกลียวคลื่นแห่งความหฤหรรษ์ระลอกแรกผ่านพ้นไป ทิชาหวีดเสียงกระเส่าปล่อยคราบไคลสีขาวพุ่งจากปลายยอดแก่นกายเล็กออกมาชโลมมือผมจนชุ่มแฉะ นัยน์ตากลมโตฉ่ำด้วยหยาดน้ำฉายชัดถึงความสุขสมปนทรมาน.... มือเล็กยังคงกุมมือผมให้คาอยู่ตรงที่เดิม ไม่ให้ยกออกแม้ว่ามันจะเสร็จนำไปก่อนแล้วก็ตาม

“มือพี่โรม......อุ่นดีจัง........” 

รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าสวยเมื่อผมกับมันทำลายคำว่า ‘ดูแลกันแบบพี่น้อง’ จนย่อยยับ และจากเสียงออดอ้อนของนกน้อยปีกหักตัวนี้กับสันดานดิบตามประสาผู้ชายในตัวผม บาปของเราทั้งคู่ก็คงจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ 

“ชักอยากรู้แล้วสิว่าอย่างอื่นของพี่จะอุ่นแบบนี้ด้วยหรือเปล่าน้า........?”

ผมพอเดาออกว่าทิชากำลังจะทำอะไร.....

“เฮ้ย ไม่ต้องก็ได้นะ.... กูทำให้มึงดีกว่า” 

บางส่วนในสามัญสำนึกผมบอกว่าแค่ใช้มือกับดูดปากกันนี่ก็เหี้ยมากแล้ว ถ้าผมปล่อยให้ทิชาซึ่งโดนยาปลุกเซ็กส์มาบริการอย่างว่าให้ คำว่าใจหมาที่น้องมันเคยด่าผมก็เห็นทีจะเบาไป

“ก็พี่โรมดูไม่ค่อยมีอารมณ์นี่......ชากลัวพี่จะไม่สนุก........” 

ร่างบางขยับตัวลงจากหน้าตักผมก่อนจะตวัดลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง กลีบปากสีสดบวมเจ่อนิดหน่อยหลังจากที่ถูกผมบดเข้าใส่แรงๆ แต่มันกลับยิ่งทำให้ไอ้ทิชาดูเซ็กซี่มากยิ่งขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวชาอมของพี่โรมให้นะ......เราจะได้มีความสุขด้วยกันไง..........”

“กูเคยบอกแล้วไงว่าอย่าพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินอีก” 

ผมดุมัน รู้ทั้งรู้ว่าน้องพูดไปเพราะไม่ได้สติ หากผมก็ไม่สบายใจที่มันกล้าพูดจาเสนอตัวง่ายๆ อย่างนี้ให้กับผู้ชายที่ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่ดี

แต่ประโยคต่อมาที่ได้ยินก็ทำเอาผมด่าไม่ออก

“เพราะรักนะ.....ถึงอยากทำให้”

ดวงตาสุกใสราวแก้วเจียระไนราคาแพงคู่นั้นกำลังสะท้อนภาพของผม ชั่วแวบหนึ่งที่ผมเผลอคิดว่ามันไม่ได้พูดเพราะขาดสติ แต่มันพูดเพราะอยากให้ผมรู้ว่ามันยอมแลกแม้กระทั่งศักดิ์ศรีเพื่อให้ได้ผมมา 

“ไม่ได้ทำให้ทุกคน........มีแค่คนที่ชาคิดว่ารักเท่านั้นถึงจะอยากทำให้...........”

“ชาแค่อยากรักพี่โรมในแบบของชา อย่าห้ามกันเลยนะ......”

ผมไม่ตอบ.... ก็อย่างที่บอกว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ริมสระน้ำโรงแรมเมื่อคราวก่อน ผมก็ไม่กล้าขัดใจทิชาอีกแล้ว

ผมกลัวว่าแก้วร้าวใบนี้จะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา....


ทิชาถอดกางเกงผมอย่างรีบร้อน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้มันหน้ามืดตามัวจนยอมทำทุกอย่างขนาดนี้

คนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยก็คือผม

คนที่รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังปล่อยให้มันดำเนินต่อไป

ก็คือผม....


มือเล็กขยำเข้ากับความเป็นชายของผมผ่านบ็อกเซอร์ ลูบไล้จนกระทั่งมันตั้งลำผงาดเต็มความยาวถึงค่อยดึงเอาสิ่งปกปิดออก ผมเห็นมันจ้องมองแกนกายที่กำลังพองขยายไม่ต่างจากสัตว์ดุร้ายซึ่งต้องการอาละวาดล่าเหยื่อ ดวงตาคู่สวยฉายแววซุกซนเหมือนเด็กที่ถูกตาต้องใจของเล่นชิ้นใหม่ก่อนที่ปลายลิ้นอุ่นชื้นจะตวัดเลียไล้เล็มท่อนเอ็นซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายหนุ่มทีละน้อย

กลีบปากบางหยัดมุมขึ้นระหว่างที่เจ้าตัวเหลือบสายตาแพรวพราวยั่วเย้า 

“เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้วเนอะ......?”

ทิชาครอบปากลงมายังแก่นกายร้อนรุ่ม ดูดเม้มเลียรอบความเป็นชายของผมอย่างสุดความสามารถ เรียวลื้นเล็กตวัดหยอกเย้าส่วนปลายในขณะที่มือก็ไม่อยู่นิ่ง หยอกเย้าเค้นคลึงไปทั่วทุกส่วนที่คิดว่าจะทำให้ผมสนุกถึงใจได้มากที่สุด....  เลือดหนุ่มในตัวผมสูบฉีดแรงขึ้นตามแรงกระตุ้น เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ผมหยุดคิดว่าทิชามันต้องผ่านเรื่องพรรค์นี้มามากแค่ไหน ผิดหวังมาแล้วกี่ครั้ง เปลืองตัวเปลืองใจมาเท่าไรกว่าที่จะมาจบลงตรงนี้กับผม

“อืม............”

ท่อนเนื้อกำยำขยายยาวจนทิชารับมันเอาไว้ในโพรงปากแทบไม่ไหว ร่างเล็กดูหายใจลำบากคล้ายจะสำลักเพราะความใหญ่โตจนคับคอ ทว่ายังคงพยายามโลมเลียต่อเนื่องไม่ให้เสียจังหวะ ห้วงอารมณ์ของผมปะทุแรงราวกับลาวาร้อนใต้ภูเขาไฟ เสียงสูดน้ำลายดังสลับกับเสียงดูดดึง รวมถึงปลายนิ้วเล็กซึ่งหยอกเย้าถุงเนื้อกลมกลึงที่อยู่ต่ำลงไปอีกกำลังทำให้ผมคลั่ง

ในที่สุด ทิชาก็ปล่อยท่อนเนื้อร้อนรุ่มซึ่งถูกเล้าโลมด้วยริมฝีปากจนแข็งตั้งชันให้เป็นอิสระ ก่อนจะผลักผมให้นั่งเอนหลังพิงผนังห้องน้ำแล้วขยับกายขึ้นคร่อม.... ความงดงามและอ้อนแอ้นบอบบางปรากฏชัดสู่ประสาทส่วนการมองเห็นของผม ไอ้ทิชาแม่งสวยไปหมดทุกส่วน สวยจนผมแทบลืมหายใจ แม้กระทั่งส่วนนั้นของมันซึ่งเสียดสีอยู่กับหน้าท้องผมก็ยังเป็นสีชมพูเข้ม....สวยฉิบหาย........

“อื้อ.......อ๊ะ........”

สองมือเล็กยันอกผมเอาไว้ระหว่างที่เจ้าของช่องทางอ่อนนุ่มแสนเร่าร้อนจะยกสะโพกครอบครองตัวตนของผมจากทางด้านบน.... ความกระสั่นซ่านแล่นริ้วสู่ขั้วหัวใจของเราทั้งคู่ ใบหน้าอ่อนใสบิดเบี้ยวเหยแกเมื่อความใหญ่โตค่อยๆ สอดแทรกรุกคืบเข้าไป ผมส่งมือหนาไปช่วยปลอบโยนมันทางด้านหน้า สาวรูดแกนกายเล็กซึ่งฉ่ำเยิ้มอย่างเมามัน โน้มตัวมาดูดดึงสะกิดติ่งไตบนผืนอกเนียบเรียบกระทั่งร่างเล็กรับเอาเนื้อหนุ่มอวบอัดเข้าไปได้จนมิดถึงโคน

“อ๊ะ.....อื้อ........พี่โรม......”

ทิชาเริ่มขยับโยกขึ้นลงเหมือนควบม้า ส่งเสียงครวญครางระงมไปทั่วห้องน้ำแคบๆ ร้องหาผมที่กำลังแผลงฤทธิ์ดุร้ายอยู่ในตัวมัน

“.....ทิชา.......อืม.....มึงนี่แม่ง.......”

ผมเองก็เสียวสนุกเร้าใจไม่แพ้กัน.... ว่ากันตามประสาผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีคนสวยระดับนี้ทั้งใช้ปาก ทั้งขึ้นขี่ให้.... ผมทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง มองหน้าทิชาอย่างหลงใหล มันกำลังเสียวร้อนร่านเหมือนจะขาดใจ กำลังมีความสุขที่ได้เอากับผม เราเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากัน ไม่มีใครยอมปล่อยมือตัวเองจากอีกฝ่าย ผมเองก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากทุกส่วนของทิชาที่ผมสามารถครอบครองได้ในยามนี้

“พะ.....พี่โรม......พี่โรมของน้อง.....อ๊ะ......!”

ไอ้ทิชาครางแล้วครางอีก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มันเรียกแทนตัวเองว่าน้อง รู้แค่ว่าผมฟังแล้วตื่นตัวยิ่งกว่าเดิม อยากจะจับร่างขาวๆมาฟัดขย้ำให้หายมันเขี้ยว

ทิชายังคงควบคุมเกมรักเอง ขึ้นสุดลงสุดสะใจ ขย่มตัวอยู่บนหน้าตักผมตามแรงอารมณ์คุกรุ่นซึ่งมีผมช่วยโหมกระพือ.... ผมเข้าไปได้ลึกมาก ส่วนปลายท่อนเอ็นกระแทกโดนจุดอ่อนไหวในตัวมันนับครั้งไม่ถ้วน ผนังนุ่มก็ขมิบตอดรัดผมให้ต้องซี้ดปากอยู่เป็นระยะ

“......ทิชา เบาหน่อยมึง เดี๋ยวก็ตายคาอกกูพอดี....”

“อื้อ....พี่โรม......พี่จ๋า.....”

แน่นอนว่าทิชามันไม่ฟังผมหรอก เด็กดื้อยังเรียกร้องเอาแต่ใจทั้งๆที่ตัวมันหอบแฮ่กคล้ายจะตายเพราะความเสียดเสียวให้ได้ 

“......อ๊ะ.....มือพี่โรม.....แรงอีก....รูดให้น้องแรงๆ.....”

ร่างเล็กอ้อนขอให้ผมเล่นกับแกนเนื้อน่ารักทางด้านหน้าให้หนักหน่วงขึ้น ทิชาหน้าแดงจัด ตาปรือเหมือนล่องลอยอยู่ในห้วงภวังค์ที่มีแต่เรื่องกามารมณ์ ยิ่งผมปรนเปรอให้มันมากเท่าไร มันก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักให้ผมกระแทกเข้าไปข้างในแรงขึ้นเท่านั้น.... เราทั้งคู่ช่วยกันขับเคลื่อนความปรารถนามาจนเกือบถึงปลายทาง ทั้งจุก ทั้งเจ็บ ทั้งเสียวซ่านและสุขสมอย่างที่ไม่มีใครคาดถึง

“อะ.....”

“พี่โรม....อีกนิด......อ๊า...............!”

หน้าท้องแบนราบหดเกร็ง ช่องทางรักตอดผมแรงๆ ทิ้งท้ายก่อนที่ทิชาจะหวีดร้องลั่นแล้วปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาจนเต็มหน้าท้องผม ผมเองก็กัดฟันแน่นก่อนจะปล่อยน้ำรักเข้าไปข้างในตัวน้อง.... โพรงถ้ำอ่อนนุ่มยังคงเต้นตุบเสียดสีเบาๆ ไม่ยอมให้ผมถอดถอนออก ทิชาทิ้งตัวลงซบบ่าผมคล้ายจะหมดแรง เราสองคนหอบหายใจส่งท้ายเซ็กส์มันส์สุดเหวี่ยง ท่อนบนชื้นเหงื่อและน้ำจากฝักบัวที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนท่อนล่างก็แฉะด้วยคราบคาวของกันและกัน

“พี่โรม......จูบน้องหน่อยสิ......”

ไม่ทันไร ไอ้ทิชาก็อ้อนผมอีก ผมไม่เสียเวลาอิดออด ส่งมือข้างหนึ่งจับท้ายทอยคนตัวเล็กให้ประกบจูบแลกลิ้นกันดูดดื่ม.... แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่ผิด แค่ดูดปากเนื้อชนเนื้อไม่ถึงนาที ท่อนเนื้อของผมที่ยังคาอยู่ในตัวน้องก็ตื่นขึ้นมาอีก เช่นเดียวกับที่แก่นกายเล็กสั่นระริกชี้ชันถูไถกับกล้ามแข็งเป็นลอนซึ่งผมสุดแสนจะภาคภูมิใจ

แทบไม่ต้องเล้าโลมให้มากความ เราทั้งคู่ก็พร้อมจะเริ่มต้นเกมรักที่สอง ทว่าหนนี้ ดูท่าทางคนสวยของผมจะไม่มีแรงขึ้นนำแบบเมื่อกี้เสียแล้ว ร่างเล็กยังคงซบหน้าอยู่กับบ่าผมพลางกระซิบเสียงพร่า

“อยากได้พี่โรมอีกจัง.....แต่น้องขึ้นเองไม่ไหวแล้วอะ........”

“เหนื่อยแล้วเหรอ?” 

ผมหอมแก้มทิชาไปฟอดใหญ่ก่อนจะไซ้ซอกคอให้มันจักจี้เล่น ซึ่งมันก็ร้ายฉิบหาย นอนแผ่ลงไปกับพื้นให้ผมตามไปขึ้นคร่อมระดมจูบตรงนั้นตรงนี้ได้สะดวก

“ปกติน้องก็มีแรงขึ้นไหวแค่รอบเดียวแหละ ที่เหลือชอบอ้อนให้พวกผู้ชายทำให้......”

เป็นอีกครั้งที่ผมนึกขึ้นได้ว่าทิชามันเพิ่งโดนยาปลุกมา มันไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังพูดอะไร

แล้วตัวผมล่ะ.... ไปโดนอะไรมาตั้งแต่ตอนไหน? ทำไมถึงโคตรไร้สติจนกลายเป็นไอ้หื่นกามจอมฉวยโอกาสแบบนี้?

“แล้วทุกทีผู้ชายที่มึงว่ามันทำให้กี่ครั้ง?”

ผมถามทั้งที่ยังลากมือไปตามจุดที่ทำให้ร่างเล็กส่งเสียงครางเรียกหาแต่ ‘พี่โรม.....พี่โรม......พี่จ๋าของน้อง.......’

“จำไม่ได้.....อื้มมมม....ไม่หนึ่งก็สองเองมั้ง........”

“งั้นมึงก็ลืมไอ้พวกนั้นไปได้แล้ว กูว่ากูให้มึงได้มากกว่า”

ผมยกขาไอ้ทิชาข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า สอดแทรกกระทั้นความใหญ่โตของตัวเองเข้าออกช่องทางรักแสนหวานอย่างเร่าร้อนแทบลืมหายใจ.... ในสมองของผมมีแต่เสียงร้องของทิชา มันครางบอกจนหมดเปลือกว่ารักผมหลงผมและต้องการผมมากแค่ไหน มันอ้าขากว้างรับทุกสิ่งที่ผมมอบให้อย่างยินดี แม้ว่ามันจะรุนแรง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดจนน้ำตาซึม ถูกจับพลิกเปลี่ยนท่าไปมาราวกับตุ๊กตายาง แต่ทิชาก็ยังยิ้มเหมือนมีความสุขทุกครั้งที่ผมเสร็จกิจข้างในตัวมัน

ไม่รวมครั้งแรกที่น้องมันออนท็อปเอง ผมเสร็จไปประมาณสี่ครั้ง ส่วนทิชาน่าจะมากกว่านั้น....

โชคดีที่คืนนี้ไม่มีใครแวะมาใช้ห้อง.... เกือบเช้ากว่าผมจะอุ้มทิชาออกมาจากห้องน้ำ เอาเสื้อยืดที่เก็บไว้ที่นี่ใส่ให้มันแล้วเอาไปนอนกอดบนเตียง เราจูบกันบ้าง ใช้มือให้กันอีกนิดหน่อยแล้วจึงเคลิ้มหลับไปเมื่อร่างกายมาถึงขีดจำกัด

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะปิดลงก็คือเกียร์วิศวะฯ ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของตัวเองคล้องอยู่ที่คอไอ้ทิชา

ผมเอื้อมมือไปตั้งใจจะถอดออก แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมถึงได้ปล่อยให้มันห้อยอยู่ต่อไปแบบนั้น


ผมนี่แม่ง ก็แค่ผู้ชายใจหมาอย่างที่น้องมันด่าจริงๆ นั่นแหละ....



TO BE CONTINUE



++++++


เพิ่งเห็นว่ามีคนตั้งแท็กนิยายเรื่องนี้ให้ในทวิตเตอร์ ขอบคุณมากเลยนะคะ เขียนมา 5 ตอนไม่ได้รู้เลยว่ามีฟีดแบคอยู่ในทวิตด้วย
ถ้าใครเล่นทวิตก็สามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ที่แท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ได้นะคะ
เราเช็คทวิตทั้งวัน จะได้เมาท์มอยกันค่ะ  :katai2-1:

ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและคอมเมนท์นะคะ
ถึงฟิคเรื่องนี้จะทำให้ปวดตับ แต่เราจะพยายามให้ทุกคนปวดตับอย่างเป็นสุขค่ะ 5555555
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 08/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 09-12-2017 00:10:57
สงสารใครดีละทีนี้ บีบี๊ ทิชา หรือคนอ่านเอง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 08/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 09-12-2017 08:02:54
ลุ้นใจหายใจคว่ำกับตอนจบคืนนี้
โชคดีที่มีรุ่นน้องมาถามพี่โรมอ่ะระ
พี่โรมก็คงเอ็นดูน้องมากจริงๆ ถึงยอมปกป้อง
แต่เปิดตัวแฟนไปแล้ว และถลำถลึกไปแล้ว ที่เหลือคือตกลงว่าจะยังไงต่อแหละ
ดูท่าจะติดใจแอบป๊ะกันนอกรอบอีกแหม
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 08/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 09-12-2017 08:31:26
เอาล่ะเว่ย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 08/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 10-12-2017 20:47:10
TISHA’s PART



ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยอย่างแสนสาหัส อุปทานว่าได้ยินเสียงกระดูกตัวเองลั่นเปรี๊ยะเหมือนเวลาบิดน้ำแข็งออกจากถาด บ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดเมื่อคืนนี้เกินคำว่าขีดจำกัดไปมาก.... พูดก็พูดเหอะ ตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดที่นอนกับแฟนคนแรกจนถึงเมื่อวาน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะโดนเล่นจนแขนขาเปลี้ยแทบอยากอยู่นิ่งๆ เป็นผักไปอีกสักสามวันขนาดนี้

ผมยันร่างลุกขึ้นมานั่งสะลึมสะลือต่ออีกสักพัก นอกจากจะปวดหัวปวดตัวแล้วยังรู้สึกเหมือนเป็นไข้อีกต่างหาก แต่ช่างแม่งก่อนเหอะ.... ห้องที่ผมอยู่ตอนนี้สภาพเหมือนหอพักรวมราคาถูกยังไงชอบกล มีทั้งเตียงและฟูกวางอยู่ปนๆ กัน ตู้เสื้อผ้าแบบตู้ล็อกเกอร์ตั้งชิดผนัง ข้าวของ หนังสือ เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์กีฬาวางระเกะระกะเกลื่อนไปหมด ผมเจอโทรศัพท์มือถือตัวเองวางอยู่ข้างหมอน พร้อมด้วยกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตที่ใส่มาเมื่อคืนซึ่งปัจจุบันคงต้องเรียกว่าเศษผ้าถึงจะถูก

แต่แลกเสื้อผ้าหนึ่งชุดกับศักดิ์ศรีอีกนิดหน่อยก็ถือว่าคุ้ม

เพราะในที่สุด ผมก็ได้เกียร์ของพี่โรมมาแล้ว....

ดีที่มือถือยังมีแบตเหลืออยู่พอควร ผมเปิดกล้องหน้าไอโฟนแล้วสำรวจสภาพตัวเอง.... หน้าผมยังโอเคอยู่ถึงจะตาบวมนิดหน่อย ปากที่โดนขยี้จูบซ้ำๆ ยังเจ็บอยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อตัว รอยฟันรอยดูดเต็มไปหมดจนแทบไม่เหลือที่ว่าง.... ผมว่าผมคุ้มแล้วนะแต่บางทีพี่โรมอาจจะคุ้มกว่า เพราะเฮียแกแม่งทั้งจับทั้งจูบไปทั่วตัวผมไม่เว้นแม้กระทั่งซอกขา

แต่ไม่ต้องถามนะว่าชอบหรือเปล่า ผมถ้าไม่ชอบผมก็คงไม่เซลฟี่สารรูปตัวเองเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรอก ถ้าโพสต์ขิงลงไอจีก็คงใส่แคปชั่นประมาณว่า....


‘โดนพี่โรมเอาครั้งแรก.... รู้สึกดีชะมัด!’


ผมได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมาจึงรีบวางมือถือแล้วนอนลงตามเดิม พอดีกับที่ประตูเปิด พี่โรมเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำขวดและข้าวต้มร้านสะดวกซื้อ

ผมแกล้งทำเป็นงัวเงียเพิ่งตื่น ส่งเสียงครางงึมงำเหมือนไอ้มิลค์เวลาบิดขี้เกียจก่อนจะหันไปทำตาปรือใส่เจ้าของเกียร์.... มันเป็นท่าทางแบบที่ผมมักจะทำบ่อยๆ เวลาตื่นนอนหลังจากมีเซ็กส์ ผู้ชายทุกคนชอบให้ผมทำเพราะคิดว่ามันดูน่ารัก ซึ่งผมก็หวังว่าพี่โรมจะคิดไม่ต่างจากคนอื่น

“ทิชา มึงเป็นไงบ้าง?”  พี่โรมนั่งลงบนที่ว่างด้านข้างก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ “จะบ่ายสองแล้วเนี่ย มึงหลับยาวซะจนกูนึกว่าจะไม่รอดแล้ว”

“ก็ไม่น่าจะรอดอะพี่ ระบมทั้งตัวเลย..........” 

ว่าพลางขยับแขนขาให้อีกฝ่ายเห็นว่ามันบอบช้ำแค่ไหน ดูจากสายตาพี่โรมก็พอเห็นว่าเขาค่อนข้างละอายใจที่หงี่จนทำเอาผมแทบปางตาย แต่ผมจะไม่บอกเขาหรอกว่านานๆ ครั้งเจอคนเยดุๆ สักทีก็สนุกดีเหมือนกัน

“ว่าแต่เรื่องเมื่อคืน........มึงจำได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?” 

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนพยายามเค้นความทรงจำจากสมองเบลอๆ ทั้งพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าคล้ายยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรกันแน่

“หมายความว่ายังไงวะ?”

ผมก้มลงมองมือตัวเองที่จิกเข้าหากันอยู่บนตัก เม้มปากเป็นเชิงว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี แต่ผมก็คงต้องพูดแหละ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม 

“ก็.......ชาจำได้ว่ามาหาพี่โรม เราคุยกันอยู่แปบนึงแล้วพี่โรมก็ออกไปธุระข้างนอก......มีผู้ชายที่เป็นเจ้าของร้านเข้ามาคุยกับชา เขาเอาเบียร์มาให้ดื่ม........หลังจากนั้น ชาก็จำอะไม่ได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีก็เห็นพี่โรมที่นี่แล้ว............”

ผมถอนหายใจเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก แค่นยิ้มให้กับสภาพน่าทุเรศทุรังของตัวเอง ร่างกายช่วงล่างยังเจ็บระบมจนต้องเบ้ปาก คราบรักของพี่โรมยังแห้งเกรอะกรังอยู่ในช่องทาง จะให้ทำแบ๊วถึงขนาดไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าโดนผู้ชายเอาก็ออกจะเกินเบอร์ไปหน่อย

“สงสัยชาคงเมาแล้วก็โดนใครสักคนแถวๆ นั้นหิ้วไปสินะ......แย่จัง........ถ้าชารีบกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนที่พี่โรมบอกก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้..........”

เห็นทีที่พวกปากหอยปากปูชอบด่าผมกันว่า ‘เลือดแม่มันแรง’ คงไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องชอบแย่งแฟนชาวบ้านแล้วมั้ง เพราะเรื่องเล่นละครตอแหลให้ตัวเองดูน่าสงสารก็ ผมทำได้ดีเช่นกัน

น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงเหมือนสั่งได้ ยิ่งพี่โรมทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผมก็ยิ่งบิ้วท์อารมณ์เศร้าได้ง่ายขึ้น

“เมื่อคืนนี้......กี่คนเหรอ?”

“อะไรของมึง?”

“ที่ชานอนด้วยน่ะ กี่คนเหรอ? ใช่เพื่อนพี่โรมหรือเปล่า?”

ผมใช้หลังมือปาดน้ำตา ถามเสียงสั่นพยายามกลั้นแรงสะอื้นเอาไว้ พี่โรมรีบดึงตัวผมไปกอดแล้วลูบหัวลูบหลังปลอบเป็นการใหญ่ ผมทิ้งตัวเองให้ร้องไห้กระซิกอยู่ในอ้อมอกพี่โรมอย่างไม่อาย.... ที่ตรงนี้มันอบอุ่นมากเหลือเกิน ลำพังแค่ท่อนแขนที่โอบรอบร่างกายผม ผมก็รู้สึกว่าได้รับการปกป้องทะนุถนอมและจะไม่มีสายตาหรือคำพูดใครสามารถทำร้ายผมได้อีก

แล้วมันผิดตรงไหนถ้าผมจะอยากเก็บพี่โรมเอาไว้คนเดียว?

“มึงไม่ได้โดนใครหิ้วไปหรอก.....ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ........”

เสียงทุ้มเอ่ยบอกผม มือหนาที่ลูบหลังสั่นเล็กน้อยระหว่างที่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของเราทั้งคู่

“......แค่กูคนเดียวที่ได้มึง ทิชา.........”

“พี่โรม............”  ผมผละตัวออกจากอ้อมอกกว้าง ใช้แววตาแดงก่ำชุ่มน้ำตามองร่างสูงราวกับว่าเขาคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต “พี่พูดจริงเหรอ?”

ในขณะที่พี่โรมมองผมประหนึ่งว่าผมคือคนที่ดับแสงสว่างในชีวิตเขา....

“กูขอโทษ”

ปลายนิ้วใหญ่ลูบแก้มชื้นของผมก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกให้ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ผมต้องการ แม้ผมจะเป็นเด็กเวร เป็นตัวซวยที่ทำให้เขาต้องเจอเรื่องยุ่งยากกับพวกเพื่อนและรุ่นพี่วิศวะฯ แต่พี่โรมก็ไม่ได้ใจร้ายกับผมเหมือนอย่างที่กลัวเลยสักนิด

“อันที่จริงกูก็ไม่รู้ว่ากูต้องขอโทษมึงมั้ย หรือใครต้องขอโทษใครกันแน่.... ห่าเอ๊ย”

พี่โรมสบถก่อนจะเสยผมตัวเองแรงๆ คล้ายว่ากำลังจัดระเบียบความคิดเสียใหม่ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไร จะกำลังคิดถึงความสัมพันธ์ของเราหลังจากนี้หรือคิดจะบอกเลิกบีบี๋ด้วยวิธีไหน ผมไม่เห็นแคร์ สิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้ก็มีแค่ผลลัพธ์ที่ตัวเองจะได้เท่านั้นแหละ 

“มึงไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วกินข้าวเหอะ..... กูเอามือถือกับกุญแจรถมึงขึ้นมาให้แล้ว เดี๋ยวกูขับไปส่งบ้าน ยังไงวันนี้ก็ไปเรียนไม่ทันแล้ว”

ผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลุกขึ้นจากเตียง แต่ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น อาการเจ็บจี๊ดจากช่องทางด้านหลังก็เล่นเอาผมเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งแหมะพร้อมกับเสียงร้องอุทธรณ์ลั่น

“โอ๊ย..........!”

“เฮ้ย ถึงขนาดเดินไม่ไหวเลยเหรอวะ?”

พี่โรมเข้ามาประคองผมให้ลุกขึ้นยืน พอเห็นว่าไม่น่าจะไหวเขาก็ทำท่าจะอุ้มผมไปที่ห้องน้ำเอง แต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อบางสิ่งบางอย่างไหลย้อยออกมาเปรอะต้นขาด้านในของผม

“พี่โรม..........”  ผมมองหน้าเจ้าของคราบรักสีขาวที่เป็นหลักฐานว่าผมกับเขาได้เสียกันแล้ว  “เมื่อคืน.....พี่ปล่อยข้างในตัวชาเหรอ?”

ผมแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะด่า ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายแฮปปี้กับการเอากันครั้งแรกของเรา แต่พี่โรมกลับทำท่าเหมือนโคตรรู้สึกผิดและไม่ค่อยสบายใจนัก ผมก็เลยอยากช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นหน่อย

“มันล้างออกยาก ปกติชาไม่ยอมให้ใครสดหรอก ต่อให้ขอยังไง ถ้าไม่ใส่ถุงก็ไม่ต้องมายุ่งกัน.......” 

ผมกระซิบบอกในตอนที่พี่โรมอุ้มผมเดินไปยังห้องน้ำที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันกว่าครึ่งค่อนคืน เสียงครางในลำคอด้วยความกระสันของพ่อเสือร้ายยามที่กำลังขย่มโยกอย่างดุเดือดใส่ลูกกวางน้อยแบบผมยังแล่นอยู่ในหัวชัดยิ่งกว่าดูหนังโรงไอแม็กซ์ และผมก็แน่ใจด้วยว่าพี่โรมไม่ได้รังเกียจสิ่งที่เราทำร่วมกัน 

“พี่โรมเป็นคนแรกเลยนะที่ได้ปล่อยข้างใน..........”

“โทษทีว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจ”

“จะขอโทษทำไม?” 

ผมหัวเราะก่อนยกจะแขนขึ้นคล้องคอชายหนุ่ม ยิ้มหวานออดอ้อนพลางเอียงคอซบเจ้าของอ้อมแขนอย่างมีความสุขที่สุด 

“ไม่ต้องขอโทษชาหรอก.... แค่ช่วยเอาของตัวเองออกให้หมดก็พอแล้ว”


ผมยืนซุกหน้ากับอกกว้างเกาะต้นแขนพี่โรมเอาไว้แล้วปล่อยให้เขาจัดการกับตัวผมได้ตามใจชอบ น้ำจากฝักบัวกระทบเข้ากับผิวเนื้อช่วงล่างที่เปลือยเปล่า ความเย็นไหลซึมผ่านปากแผลบังคับให้ผมต้องนิ่วหน้าจิกปลายนิ้วเข้ากับเสื้อยืดของร่างสูง มันทั้งเจ็บแล้วก็แสบจนไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถึงขั้นได้เลือดหรือเปล่า พอนิ้วยาวสอดล้วงเข้าไปข้างในรอยแยกทางด้านหลัง ผมก็รู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้

“อื้อ....!”

“เจ็บมากมั้ยวะ ทิชา?” พี่โรมถามพลางชะงักการเคลื่อนไหวที่ทำให้ผมเหงื่อซึมขาสั่นระริก “ถ้าไม่เอาออกเดี๋ยวมึงจะไม่สบาย กูจะพยายามเบามือนะ........”

“ไม่เป็นไร......พี่โรมทำต่อเถอะ...........”

ผมกลั้นหายใจฮึบไว้ระหว่างที่ปลายนิ้วแกร่งสอดแทรกเข้าไปชำระล้างคราบรักที่ตกค้างมาหลายชั่วโมง พี่โรมก็ทำอย่างที่พูดจริงนั่นแหละ เขาโคตรอ่อนโยนแล้วก็ทะนุถนอมผมผิดกับความร้อนแรงที่โถมเข้าใส่จนหัวสั่นหัวคลอนเมื่อคืนนี้.... ถึงจะเจ็บน้ำตาคลอแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่ชอบ จะหาว่าบ้าก็ได้มั้ง แต่ขอแค่เขาดีกับผมแบบนี้ ต่อให้เจ็บมากกว่านี้อีกสิบเท่าร้อยเท่า ผมก็ทนได้

แต่ถ้าเขาใจร้ายเมื่อไร ผมก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างฉิบหายไปด้วยกัน....

“พี่จ๋า.....ให้น้องจูบพี่หน่อยนะ.......”

ผมโน้มคอพี่โรมให้เขาก้มลงมาหา แตะริมฝีปากเข้ากับสันคางได้รูป ผิวแก้มสากก่อนจะไปหยุดตรงที่ปากรูปกระจับที่ผมคิดว่ามันเซ็กซี่แบบไม่ไหวแล้ว ผมยั่วพี่โรมให้จูบตอบแล้วก็ได้สมใจอยาก

จากที่เพียงแค่ประกบปากเข้าหากันก็กลายเป็นจูบหนักหน่วงฉกชิงลมหายใจคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อทักทายให้พี่โรมกระหวัดเกี่ยวตอบรับกลับมา เสียงครางครึมในลำคออีกฝ่ายยั่วเย้าให้ผมยิ่งตื่นเต้น จากที่แค่ขอให้พี่โรมจูบปลอบให้ลืมความเจ็บก็เลยเถิดเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ.... ผมอยากได้พี่โรมขึ้นมาอีกแล้ว

“พี่โรม.... ตรงนี้ของน้องมันบอกว่าอยากได้พี่ล่ะ.......” 

ผมอ้อนเสียงหวานพลางเบียดตัวเข้าหาพี่โรมจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้อากาศแทรกผ่าน ส่วนกลางลำตัวซึ่งตื่นขึ้นเพราะรสจูบวาบหวามเมื่อครู่ชี้ชนกับหน้าขาชายหนุ่มบ่งบอกว่าผมยินยอมพร้อมใจจะให้เขาทำเลอะแค่ไหนก็ได้ 

“แต่ไม่เอาที่นี่นะ ไปบ้านน้องกัน.... ที่ห้องน้องมีอ่างอาบน้ำด้วยล่ะ”

แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพี่โรมเองก็อยากได้ผมเหมือนกัน

พี่โรมไม่ใช่คนใจแข็ง มีแต่ไอ้นั่นอย่างเดียวแหละที่แข็งใส่ผม....!

ผมยิ้มกริ่มเมื่อเอื้อมมือไปแตะต้องโดนความเป็นชายของคนตรงหน้าภายใต้กางเกงบอล ผมชอบอ้อนและเขาก็ชอบตามใจ ดูท่าทางเราสองคนจะเข้ากันได้ดีทุกเรื่อง ผมยังคงคิดเพ้อฝันถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าพี่โรมจะเป็นคนรักที่แสนวิเศษแค่ไหน.... เขาเป็นคนแรกที่ผมชวนไปเล่นด้วยกันที่บ้าน อยากให้เขารู้จักผมให้มากขึ้นว่าทิชา ทิชนันท์คนนี้จริงๆ แล้วเป็นยังไง และเพราะอะไรผมถึงได้ต้องการความรักจากเขามากถึงขนาดนี้

แต่พี่โรมกลับดึงมือผมออก ก่อนจะก้าวถอยหลังไปจนกระทั่งไม่มีส่วนไหนของเราสัมผัสถูกกันอีก

“ทิชา..........” น้ำเสียงทุ้มฟังดูห่างเหินชะมัด ผมไม่ชอบเลย “กูว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันให้เคลียร์ว่ะ”

“มีอะไรเหรอ พี่จ๋าของน้อง?”

มุมปากผมยกยิ้มบ้าบอก็จริง แต่ในใจเริ่มรับรู้ว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด.... พี่โรมมองหน้าผมแล้วก็เงียบไป เอาตรงๆ เลยนะ ผมว่าเขาก็ไม่อยากพูดถึงความอัปรีย์จัญไรของเพื่อนฝูงพี่น้องของตัวเองนักหรอก ใช้กฎหมู่จับเด็กต่างคณะมามอมยาแล้วผลัดกันลงแขกนี่แม่งนอกจากจะไม่เท่แล้ว ยังบ่งบอกความฟอนเฟะเลวสัดหมาของพวกวิศวะฯ อีกต่างหาก

ถ้ามันพูดยากนักก็ไม่ต้องพูดสิ แกล้งลืมมันไปก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องนั้นสักคำ.... แค่กอดผมแล้วก็มีความสุขด้วยกันเท่านั้นมันยากนักหรือไง?

“มึงไม่ได้เมาหรอก เบียร์ที่เฮียรุจเอาให้มึงกินเมื่อคืนนี้มันใส่ยานางรำลงไป.... พวกเพื่อนๆ พี่ๆ กูเขาคิดว่ามึงตั้งใจจะมาชิงเกียร์ก็เลยจับมึงมอมยาแล้วแก้ผ้าประจานกลางบาร์เหล้า ถ้ากูไม่ถอดเกียร์ให้มึงใส่แล้วลากขึ้นมาบนนี้ มึงก็คงโดนรุมโทรมไปแล้ว” 

ในที่สุด พี่โรมก็สารภาพโชว์สันดานเห็นแก่ตัวออกมาจนได้ แน่นอนว่าผมไม่โอเคที่จะรับฟังความจริง เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนว่าพี่โรมไม่ได้ชอบผม เขาแค่เอาเล่นขำๆ ก็เพราะเห็นว่าผมโดนยาแล้วร่านผู้ชายจนน่าสมเพช และเมื่อฤทธิ์ยาหายไป เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องรับผิดชอบอะไรในตัวผมอีก

“เรื่องเมื่อคืน กูทำไปก็เพราะจะช่วยมึง เพราะฉะนั้นกูขอให้มันจบแค่นี้ เราจะไม่ถลำลึกไปไกลกว่าที่เป็นอยู่และเราจะไม่พูดถึงมันอีก.... มึงเข้าใจกูใช่ไหม ทิชา?”

“ชาไม่เข้าใจ” 

ผมส่ายหน้ามองพี่โรมด้วยแววตาตัดพ้อ ทว่าข้างในอกร้อนรุ่มโกรธจัดที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเขี่ยผมทิ้งหลังจากได้กันแล้ว 

“ชารู้แค่ว่าเมื่อคืนเราสองคนมีอะไรกัน แล้วพี่โรมก็ชอบมากด้วย”

“กู......ไม่ได้ชอบ” 

เขาปฏิเสธไม่เต็มปาก ในดวงตาสีเข้มมีร่องรอยของความไม่แน่ใจในคำพูดตัวเอง

“ไม่จริงสักหน่อย” 

ผมจ้องตาพี่โรม รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่เหมือนเดิมในขณะที่แววตาเริ่มฉายชัดถึงอารมณ์ขุ่นเคือง 

“พี่โรมมีอะไรกับชาก็เพราะว่าชอบ อย่ามาอ้างเหตุผลอื่นเลย ชาไม่อยากทะเลาะกับพี่เหมือนคราวก่อนนะ”

“กูมีอะไรกับมึง ก็เพราะว่ามึงโดนยา!”

“แล้วยังไงล่ะ.... ถึงชาจะโดนมอมยา แต่พี่โรมไม่ได้โดนด้วยสักหน่อย!” 

พี่โรมขึ้นเสียงใส่ผม ผมก็เลยขึ้นเสียงคืนใส่เขาบ้าง ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังคิดจะเขี่ยผมทิ้ง.... บอกแล้วนี่นะว่าถ้าเขาใจร้ายกับผมเมื่อไร ผมก็พร้อมจะดึงเขาให้เจ็บไปกับผมด้วย ในเมื่อชอบพูดความจริงนักก็ขอให้ทุกคนแม่งตายห่าไปกับความจริงสุดสกปรกโสโครกให้หมด 

“เมื่อคืนนี้พี่โรมคนดี๊คนดีเย่อน้องทิชาที่พี่พูดนักพูดหนาว่าไม่ได้รักไปกี่ครั้ง? แตกในใส่คนที่ตัวเองบอกว่าเป็นได้แค่น้องชายไปกี่หน? ได้นับบ้างหรือเปล่าล่ะ หรือว่าเอามันส์จนความจำเสื่อมสมองเจ๊งจำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย?”

“...................”

“ต้องไล่ให้ฟังตั้งแต่แรกเลยมั้ยว่าพี่จ๋าทำอะไรกับน้องบ้าง.... ทีแรกพี่ก็บอกว่าไม่เอาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นพูดอะไรปล่อยให้ชาอมของพี่จนเกือบเสร็จ ตอนชาขึ้นข้างบนให้ พี่โรมก็ดูแฮปปี้ออกจะตาย.... อ้อ แล้วยังมีตอนที่พี่โรมหอมแก้มชาอีกนะ เราเล่นกันตั้งหลายท่า พี่โรมจับน้องพลิกไปพลิกมาอย่างกับตุ๊กตายาง เย่อเอาๆ จนนึกว่าตายอดตายอยากมาจากไหน พอจะนึกออกบ้างหรือยังครับ.... หื้ม พี่โรมคนดี พี่จ๋าสุดหล่อของน้อง?”

“ทิชา!?”

พี่โรมดูตกใจยิ่งกว่าโดนผีหลอกที่ผมจดจำรายละเอียดทุกอย่างได้แม่น เขามองผมอย่างไม่อยากเชื่อก่อนที่แววตาคู่นั้นจะแสดงออกถึงความผิดหวัง   

“ที่แท้มึงก็..........เชี่ยเอ๊ย!”

ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่โรมผิดหวังเรื่องอะไร ผิดหวังที่ผมไม่ได้น่ารักใสซื่อหลอกง่ายแบบที่เขาคิดว่าผมเป็น ผิดหวังที่ตัวเองไม่สามารถเยแล้วทิ้งได้อย่างที่ตั้งใจ หรือผิดหวังที่กลายเป็นฝ่ายเสียหมาโดนผมกินเรียบตั้งแต่หัวจรดหาง.... แต่ก็ได้ตรงตามคอนเสปท์ที่วางเอาไว้เป๊ะ ถ้าจะสุขก็สุขด้วยกัน ถ้าจะฉิบหาย คนที่คิดจะรังแกผมก็ต้องฉิบหายกันให้หมดทุกตัว....!

“เบียร์ใส่ยาปลุกเซ็กส์นั่นน่ะ ชาแค่จิบๆ ไปนิดหน่อยจะให้เมาเป็นหมาตัวเมียขนาดนั้นก็คงไม่ใช่มั้ง.... สมน้ำหน้าแล้ว คิดว่าพวกตัวเองเจ๋งมากนักงั้นสิจะมาหลอกคนอย่างทิชา พวกไอ้เหี้ยพี่รุจนั่นแหละที่หน้าโง่! โง่ยิ่งกว่าควาย! โดนชาหลอกมาตั้งแต่แรกยังไม่รู้ตัวกันสักคน!”

“โอเค ไอ้ทิชา.........” 

พี่โรมสูดหายใจลึกจนอกกระเพื่อมแรง เขาเองก็คงโกรธไม่แพ้กันแต่ก็ยังพยายามแสดงความเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม 

“ที่มึงพูดเมื่อกี้ กูจะถือว่ามึงพูดเพราะโกรธที่กูปฏิเสธมึง กูจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”

เขาลูบหัวผมปลอบให้ใจเย็นลง ทั้งที่ใจจริงคงอยากจะชกผมให้ตายคามือก่อนจะเลื่อนลงมาดึงสายสร้อยสีดำที่มีจี้รูปเฟืองโลหะ

“เอาเกียร์กูคืนมาได้แล้ว..........”

“ไม่คืน!” 

ผมกุมจี้ที่ซ่อนอยู่ข้างในคอเสื้อเอาไว้แน่น แววตาเกรี้ยวกราดไม่ต่างจากแม่เสือที่กำลังปกป้องลูกอ่อนเมื่อตัวพ่อคิดจะแย่งมันไป

“แต่มันไม่ใช่ของมึง.... เกียร์กูเป็นของบีบี๋ มึงเองก็รู้ดี!”

“ของไอ้บี๋แล้วไง ในเมื่อพี่โรมเป็นคนใส่ให้ชาเองกับมือ.... ตอนนี้มันเป็นของทิชา ไอ้ทิชาที่ได้เสียตัวเป็นเมียพี่โรมตัดหน้าไอ้บี๋คนนี้นี่แหละ!”

ในหัวผมมีแค่คำว่ากูไม่ยอมๆๆๆ ลอยวนเวียนราวกับแผ่นเสียงตกร่อง.... ผมก้าวเข้ามาในเบอร์ลิคทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอันตรายและผู้ชายใจหมานับสิบ แต่ผมก็เลือกที่จะเสี่ยงเข้ามาเพื่อของเล็กๆ แต่มีคุณค่าทางใจมหาศาลชิ้นนี้ ผมไม่สนหรอกว่าก่อนหน้านี้พี่โรมจะเปิดตัวบีบี๋เป็นสะใภ้วิศวะฯ เอาไว้กับใครบ้าง ผมรู้แค่ว่าในเมื่อพี่โรมสวมเกียร์ให้ผมแล้ว ผมก็คือเมียเขา และผมก็มีสิทธิ์ที่จะหวงทั้งเกียร์และทั้งผัวของตัวเองด้วย

ก็เหมือนๆ กับที่พี่มีนา เมียพี่เอกเคยทำกับผม แต่หนนี้มันถึงคราวที่ผมจะทำกับคนอื่นบ้าง.... คอยดูเถอะ ผมจะเอาคืนแม่งให้หมดทั้งโลกเลย!

“ตกลงว่ามึงตั้งใจจะมาชิงเกียร์จริงๆ สินะ?”

“ก็แล้วแต่จะคิด...........”

ผมยักไหล่โนสนโนแคร์ คุณคงอยากด่าว่าผมหน้าด้านแย่งได้แม้กระทั่งแฟนเพื่อนสินะ แต่นี่มันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่บีบี๋ทำกับผมสักเท่าไร มันปาดหน้าเค้กผมด้วยการแอบคุยกับพี่โรมทั้งที่ก็รู้ว่าผมอาจจะชอบพี่เขา ผมก็แค่ปาดคืนด้วยการแอบชิงเกียร์ของพี่โรมมาซะก็เท่านั้น 

“ถ้าพี่โรมอยากเอาเกียร์ให้ไอ้บี๋มากขนาดนั้น พี่ก็คงให้ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ที่ยังไม่ให้ก็เพราะพี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองรักมันจริงหรือเปล่าใช่ไหมล่ะ?”

เรื่องผัวๆ เมียๆ แบบนี้ตบมือข้างเดียวให้ตายก็ไม่มีทางดัง ถ้าหากพี่โรมเอาเกียร์ให้ไอ้บี๋ไปแล้วหรือถ้าหากเขาไม่ได้มีใจให้ผมเลยสักนิด มีหรือว่าผมจะแย่งเกียร์มาได้ง่ายๆ....?

“เราสองคนเข้ากันได้ดีจะตาย.... พี่โรมให้ชาเก็บเกียร์พี่เอาไว้ดีกว่าน่า เราจะได้เอากันได้ทุกเมื่อโดยที่ไม่มีใครมาเสือกไง” 

ผมเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มพี่โรม น้ำเสียงระรื่นบ่งบอกถึงชัยชนะเล็กๆ ของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำความผิดพลาดของพี่โรมไปด้วย

“มึงนี่แม่งบ้าชัดๆ!”  พี่โรมผลักผมออก แรงจนผมกระเด็นหัวโขกเข้ากับผนังห้องน้ำอย่างจัง “ต้องให้ย้ำกี่ครั้งวะว่ากูไม่ได้ชอบมึง!?”

ความเจ็บแล่นร้าวเข้าไปข้างในกะโหลกศีรษะ ทำเอาผมตาพร่ามองไม่เห็นภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ เจ็บฉิบหาย เจ็บจนน้ำตาเล็ดอยากจะแหกปากร้องออกมาดังๆ ผมยกมือแตะสำรวจตรงที่กระแทกโดนก่อนจะพบว่ามันไม่ได้เป็นแผลแตกอย่างที่อยากให้เป็น.... น่าเสียดาย ถ้าพี่โรมมือหนักกว่านี้อีกนิด ผมจะได้เล่นบทเด็กน้อยผู้อ่อนแอและน่าสงสารได้สะดวกใจขึ้นหน่อย

แต่ก็เอาเถอะ เพราะถึงยังไง ผมก็จะให้พี่โรมรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับผมอยู่ดี....

“ไม่ได้ชอบเหรอ.... แต่ชาได้ยินที่พี่โรมพูดกับพี่รุจหมดแล้วนะ พี่โรมชอบชาก่อนที่จะชอบไอ้บี๋ และถ้าพี่ไม่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจไปหามัน เราก็คงได้รักกันไปแล้ว!”

“ทิชา มึงฟังกูนะ..........”

“ไม่ฟัง แล้วพี่โรมก็ไม่มีสิทธิ์จะมาด่าชาด้วย ถ้าจะด่าก็ด่าตัวเองเหอะที่เที่ยวให้ความหวังคนอื่นเขามั่วซั่ว!”

ผมตะโกนสุดเสียง ความทรงจำแสนหวานกับสัมผัสแสนอ่อนโยนที่ได้รับเมื่อคืนภายในห้องแคบๆ แห่งเดียวกันนี้กลายเป็นเหมือนความฝันที่หลุดลอยไปไกลจนเกินเอื้อมมือคว้า

“ชารักพี่โรมไปแล้ว รักๆๆๆๆๆๆ รักพี่โรมมากกว่าไอ้บี๋ล้านเท่า! รักมากกว่าใครทั้งหมด เข้าใจมั้ย!?”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ทิชา!”

“ชาไม่หยุด.... ชาจะไม่เปลี่ยนใจจากพี่โรมเด็ดขาด แล้วก็จะไม่ยอมผิดหวังด้วย ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้ คนๆ นั้นต้องไม่ใช่ทิชา!! คนที่ร้องห่มร้องไห้เจียนตายเพราะถูกทิ้งจะต้องไม่ใช่ทิชาอีกต่อไป!!!”

“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ มึงถอดเกียร์คืนกูมาซะ”

“ไม่!”

“ทิชา มึงอย่าบังคับกู.........”

“ไม่คืน! ให้ตายก็ไม่คืน!!”

ผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวยิ่งกว่าโดนทอร์ชพ่นไฟใส่ ลมหายใจหอบหนักจนสั่นโยกไปทั้งตัว อาการของคนที่กำลังจะขาดใจตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง.... ทรมานสัดๆ ทรมานเหี้ยๆ ทว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่ทรุดลงไปก็คือความหวังว่าพี่โรมจะกลับมากอดผมอีกครั้ง เขาต้องรู้สิว่าผมก็แค่เด็กงอแงเอาแต่ใจและผมไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการทะนุถนอมจากพี่โรม แม้ว่าผมจะเป็นคนขยี้ความหวังของตัวเองจนพังย่อยยับไปพร้อมกับหัวใจดวงนี้ก็ตาม

พี่โรมกำมือแน่นก่อนจะเงื้อมือขึ้นคล้ายจะตบหน้าผม แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ทำอะไร.... เขาไม่ทำร้ายร่างกายผมแล้ว ไม่แตะต้อง ไม่กอด ไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่ตัวเองสวมเกียร์ให้กับมือเพื่อปกป้อง

มีเพียงคำพูดร้ายกาจที่สามารถฆ่าผมให้ตายเป็นทั้ง....!
   

“บางที เหตุผลที่ทุกคนเขาทิ้งมึงไปหมดอาจจะไม่ใช่เพราะเขาแค่อยากฟันมึงแล้วทิ้งก็ได้.... แต่เป็นเพราะเขาขยะแขยงคนอย่างมึงต่างหาก ทิชา”
 
“ทีแรกกูก็คิดนะว่ามึงก็ส่วนมึง แม่มึงก็ส่วนแม่มึง.... แต่ตอนนี้กูเริ่มคิดแล้วว่ามึงกับแม่ก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก.....”

“พ่อกับพี่สาวมึงเขายังรังเกียจเลย ก็สมควรแล้วที่จะไม่มีใครรักมึง!”

“อยากได้เกียร์กูนักก็เอาไป.... พอใจแล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้ามึงอีก!”


.

.

.

ผมเดินลงมาจากห้องพักโกโรโกโสนั่นด้วยสภาพที่เหมือนศพไร้วิญญาณ โชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้างเพราะจากที่ตรงนี้สามารถเดินทะลุไปลานจอดรถได้โดยไม่ต้องย่างกรายเข้าไปข้างในตัวร้านซึ่งมีพวกนักดนตรีมาทดลองซาวน์เช็คเตรียมขึ้นเล่นสดตอนหัวค่ำ.... น้ำตาผมแค่คลออยู่ตรงเบ้าตาแต่ไม่ไหลออกมา มันเหมือนโดนตีหัวจนหมดความรู้สึกไปแล้ว ผมช็อกหนักมาก ช็อกรุนแรงจนคิดว่าตัวเองอาจจะขับรถพุ่งอัดเสาไฟฟ้าแถวนี้เพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไปเสียก็ได้

อุตส่าห์ได้เกียร์ของพี่โรมมาแล้ว แต่หัวใจกลับถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่

ผมพยายาม ‘บอก’ ตัวเองว่ามันคุ้มแล้ว มาถูกทางแล้ว อย่าเสียใจไปเลย

อา.... ไม่ใช่บอกตัวเองสิ

ต้องเรียกว่าพยายาม ‘หลอก’ ตัวเองถึงจะถูก....


โทรศัพท์มือถือผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้า ผมยังไม่มีแก่ใจจะหยิบมันขึ้นมาอ่านในตอนนี้ แต่ผมก็พอรู้แล้วว่าคนที่ส่งข้อความมาคือใคร

และแน่นอนว่าผมจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอีกมาก เช่นเดียวกับที่พี่โรมยังต้องชดใช้ให้ผม


   Mr.Dan :  ได้ข่าวว่าชิงเกียร์สำเร็จแล้วนี่ ยินดีด้วยนะ

             กูบอกแล้วว่าพี่ชายกูแม่งเป็นคนดี เสียแต่โง่ไปหน่อย

                        ยังไงก็ไม่มีทางที่เฮียโรมจะปล่อยให้คนสวยๆ อย่างมึงโดนยำหรอก

              แล้วก็อย่าลืมข้อตกลงเรื่องออดิชั่นละครของเราล่ะ

                        กูรอวันที่มึงจะมาเป็นเมียกูอยู่นะ *สติ๊กเกอร์จุ๊บ*

   


TO BE CONTINUE


พบกันได้ที่แท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตเตอร์นะคะ ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ตาหวาน ที่ 10-12-2017 22:29:33
ร้ายมากกกกกกโอ้ยยลูกสาวฉันทำไมทำตัวไม่น่ารักแบบนี้ล่ะลูก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-12-2017 22:55:22
ทำไมทิชาทำแบบนี้ :sad4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 11-12-2017 00:05:40
โอ้ยย สงสารทิชามากเลยนะ

อยากให้ทิชาได้เจอคนที่รักทิชาจริงๆซักที

ทำไมเรื่องนี้ถึงหม่นได้ถึงขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-12-2017 01:38:13
เราไม่อยากจะคิดว่าเพราะมันฝังในสายเลือดนะ
เกลียดอะไรกลับทำตัวแบบนั้น
สิ่งที่เลวร้ายกว่าคนอื่นไม่เห็นค่า คือกระทั่งเรายังไม่เห็นค่าตัวเอง
การที่ชีวิตน่าสงสารไม่ได้หมายถึงจะทำอะไรก็ได้นะ
ถ้าทิชาอดทนรออีกนิดเราเชื่อว่าจะมีคนที่จริงใจโผล่มาแน่นอน

เห้ออออ สุดท้ายแล้วทิชาคงไม่เสียใครซักคน

เราสงสารทิชานะแต่อยากให้ได้รับบทเรียน

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 11-12-2017 07:10:33
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 11-12-2017 09:37:50
ไม่ค่อนชอบทิชาเลย แรกๆก็เชียร์นะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 12-12-2017 15:47:16
โอ้ยยยยยยยยยย ทิชา อย่าทำตัวอย่างนี้ลู๊กกกกกกกกกกกก :katai4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 12-12-2017 22:31:37
โอ้โห แม่งแบบ เรียลจริงๆ (ปล. ปกติผมไม่ค่อยใช้คำหยาบนะครับ แต่เคสนี้สุดๆจริงๆ /หัวเราะ)

คุณสวีทอลิซเขียนเรื่องได้สมจริงดีมากครับ ต้องชมเลย คือตอนแรกผมว่าผมประทับใจปมของทิชามากแล้วนะ เจอเคสของโรมล่าสุดเข้าไปนี่แบบ โอ้โห คือแต่ละคนนี่คาแรกเตอร์สมจริงจริงๆเลยครับ มีวุฒิภาวะสมกับวัยดีมาก ทำให้ตัวละครมันเด่นและสมจริงในบริบทของเขาอย่างมากครับ มีเรื่องอยากพูดหลายอย่างมาก และเป็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์เชิงตัวละครล้วนๆ แต่ขอพูดถึงเรื่องการเขียนนิดเดียวก่อนนะครับ

สำหรับเทคนิคการเขียนของเรื่องนี้ ผมคิดว่าค่อนข้างดีมากๆแล้ว การบรรยายก็ไม่อ้อยสร้อยมาก ตรงประเด็น มีมุมบรรยายให้เห็นภาพของฉากประกอบและตัวละครได้ชัดเจน พล็อตเขียนบรรยายได้มีมิติ ส่งผ่านความรู้สึกของตัวละครให้คนอ่านรับรู้ได้ชัดเจน ฉากความคิดภายในตัวละครก็สมจริงและน่าสนใจดีครับ ผมชอบลอจิกของแต่ละคนที่ชัดเจนด้านเทาๆหมดเลยนะครับ ทั้งนิดาวัลย์ ทิชา แต่ผมค่อนข้างชอบความตรงไปตรงมาของบีบี๋กับโรมนะครับ ลอจิกดูมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ไม่พยายามจะให้ร้ายเกินไปหรือดีเกินไป เทาๆสวยๆดี

ทีนี้มาพูดถึงวิเคราะห์ตัวละคร อาจจะเพราะว่าผมเรียนมาทางนี้ เลยจะสามารถแนะนำการแก้ปัญหาเชิงสังคมได้ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่การที่เด็กจะยอมรับได้หรือเปล่า อันนี้ก็จะขึ้นกับวิธีการนำเสนอของผู้ใหญ่หรือผู้ที่บำบัดเด็กเองน่ะนะครับ

สำหรับทิชา ปมของเขาชัดเจนมากคือเรื่องของการกดดันทางสังคม รวมถึงการพยายามจะ ‘มีตัวตน’ มีตัวตนในความหมายของผมคือการมี existence ที่มีนัยยะสำคัญ หมายความว่ายังไง? ปกติแล้วถ้าเด็กพยายามจะมีตัวตน ก็หมายความว่าเขาอยากได้รับการใส่ใจ ทิชาขาดตรงนี้ไปอย่างชัดเจนมาก พ่อไม่ได้รัก แม่เองก็ไม่ได้รัก ทิชาเป็นเครื่องที่มือที่จะทำให้นิดาวัลย์แก้แค้นคนที่ทำให้เธอตกอับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รักทิชา นิดาวัลย์รักทิชา แต่ความรักนั้นไม่เต็มเนื่องจากความเกลียดและศักดิ์ศรีของเธอนั้นสูงเกินกว่าความรักของเด็กคนนึงจะเอาชนะได้ การแสดงออกจึงเหมือนว่าไม่ได้สนใจทิชาสักเท่าไหร่ สนแค่การที่ทิชาจะได้การยอมรับและเป็นหนามยอกอกตระกูลสามีด้วยหลักฐานที่เป็นความจริง ส่วนบิดาก็ไม่ต้องพูดถึง ทิชาไม่เคยเป็นสิ่งที่ครอบครัวทางพ่อต้องการอยู่แล้ว แต่ถามว่าผิดไหม? มันพูดยากนะครับ ผมคิดว่าคนผิดก็มีแค่พ่อของทิชาคนเดียวนี่แหละ ที่ตัดสินใจจะก้าวผิดเอง และที่ผิดมากขึ้น คือไม่รู้จักรับผิดชอบอย่างมีสติเมื่อลูกแบบผิดๆขึ้นมา สักแต่ใช้อำนาจตัดให้มันจบๆไป โดยไม่คาดว่าจะทำให้ใครได้รับผลกระทบบ้าง แถมครอบครัวทางนั้นคงปฏิเสธที่จะมองเห็นความผิดนี้ เพราะว่าเป็นลูกชายคนเดียวเสียด้วย

เมื่อเป็นดังนั้น ทิชาจึงต้องการแค่คนที่จะรักเขาอย่างจริงใจ ทิชาคิดว่าความรักเป็นผลตอบแทนของการสนองความต้องการอะไรก็ได้ตามแต่ที่อีกฝ่ายจะร้องขอ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ ความรักอย่างจริงใจจะเกิดได้จากสายสัมพันธ์ของเพื่อนที่จะเห็นได้ชัดในยามลำบาก จะเกิดได้จากสายสัมพันธ์ของครอบครัวยามที่เราหมดที่พึ่งและอ้างว้าง และเกิดจากสายสัมพันธ์ของคนรักที่เข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในทุกมุมมองของสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น หรือสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น

จะเห็นว่าทิชาไม่เข้าใจจุดนี้ และคงต้องมีคนที่ทำให้เขาเข้าใจสักหน่อย ไม่งั้นเรื่องก็จะยิ่งยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัว ถ้ามองเรื่องบุคลิกและมุมมองความคิด ผมว่าเดือนสถาปัตย์กับทิชานี่ก็เข้ากันได้ดีนะครับ เหมาะคู่เหมือนกัน (หัวเราะ) นิสัยห่ามๆพอกัน เอาจริงๆผมว่าทิชาเป็นคนแรงพอตัวนะ น่าจะซึมซับจากแม่ แต่ที่อยู่เงียบๆเพราะว่าไม่อยากจะกะเทาะแผลใจตัวเองมากขึ้น และถ้ามีคนรัก ด้วยปมข้างบนคงจะค่อนข้างหวงคนรักพอสมควร แต่จะแก้ไขยังไงก็คงต้องว่ากันต่อไป (ผมรู้สึกว่าทิชาค่อนข้างหยาบคายกับคนแปลกหน้าระดับหนึ่งนะครับ ไม่รู้คุณสวีทอลิซจงใจหรือเปล่า แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ บีบี๋ที่แม้จะใช้คำหยาบมากกว่า ยังรู้สึกว่ามีความสดใสและมองโลกในแง่ดีมากกว่าเสียอีก) ดังนั้นสำหรับเรื่องคู่หลัก ผมมองเมนเดือนสถาปัตย์กับทิชานะครับ หวังว่าผมน่าจะได้เห็นอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น

ส่วนบีบี๋กับโรม ถ้าสองคนนี้คู่กัน ผมว่าผมสงสารเขานะครับ สงสารทั้งโรมและบีบี๋เลย คือเคมีมันเข้ากันได้นะ แต่ว่าปัญหาคือการมองโลกในแง่ดีและพยายามยิ้มเข้าไว้น่ะแหละ โรมเป็นคนดีและจริงใจ เป็นคนซื่อสัตย์อย่างที่ทิชาเคยบอกว่าเป็นสไตล์คนที่จะมาชอบบี๋เลยแหละครับ เขาไม่สามารถปล่อยมือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องช่วยให้ได้ แต่ข้อเสียคือโรมคิดน้อยเกินไป การเป็นคนดีที่จริงใจบางครั้งมันกลายเป็นเครื่องมือที่ทำร้ายใจคนที่รอ อย่างเคสมีเซ็กซ์กับทิชาเนี่ย ผมโคตรสงสารโรมเลยอะ คือผมสงสารอนาคตเขา ตอนทำกันยังไม่เท่าไหร่ แต่พอทำเสร็จ คิดว่าบี๋รู้แล้วจะพอใจเหรอครับ? บี๋เองก็คงจะมองว่าทิชาแย่ไปส่วนหนึ่ง และทิชาเองก็คงจะตอกกลับบี๋เหมือนกัน มันจะทำให้สองคนมองหน้ากันไม่ติด แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะเกิดด้วยการพลาดของทั้งสองคนจริงๆ และโรมเองก็ไม่ได้คิดกับทิชาในแง่ความรักชู้สาวขนาดนั้น แต่ผลของการกระทำที่เกิดจากความดีของโรม ซึ่งผมก็โคตรประทับใจ ในการที่ยอมคลานเข่าไปหาเจ้าของร้าน เพื่อที่จะให้เค้าปล่อย ฉากนี้ทำให้ผมเห็นว่าโรมแคร์ทิชาเหมือนกับน้องชายตัวองจริงๆ มันมีคนที่เราปล่อยไปไม่ได้จริงๆนะครับ เพราะถูกชะตาและเหมือนอยากเห็นเขามีความสุข ยิ้ม หัวเราะได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะจากใครก็ตาม ซึ่งมันแตกต่างจากความรู้สึกที่มีต่อ ‘คนที่ใช่’ สำหรับเรา

สำหรับคนที่ใช่ เอาจริงๆนะครับ ผู้ชายทุกคนเป็น คือพอเจอคนที่รู้สึกว่าใช่แล้ว มันรู้สึกดีจริงๆนะ คือเราพร้อมทิ้งคนที่เราเคยชื่นชมทุกคนเพื่อขอแค่ให้เห็นรอยยิ้มหรือความสุขของเขาน่ะ แต่เราจะอยากให้รอยยิ้มคือความสุขนั้น ‘เกิดจากเรา’ ไม่ใช่เกิดจากคนอื่น นี่คือความรักบริสุทธิ์ในแง่หนุ่มสาว

ดังนั้นการที่โรมยอมทิ้งศักดิ์ศรีขนาดนั้น ผมซูฮกในความหนักแน่นของเขานะครับ แต่เรื่องอื่นยังตอบไม่ได้ ส่วนตัว ผมว่าโรมแก้ปัญหาไม่เก่ง ดังนั้นเรื่องระหว่างโรมกับบี๋มันต้องดราม่าซับซ้อนเพิ่มไปมากกว่านี้แน่ บี๋เองก็ไม่ใช่คนที่ยอมคนขนาดนั้น ถึงจะแรดเงียบ แต่ผมเชื่อว่าบี๋เป็นคนดีครับ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะมันมีไม่กี่คนที่ ‘ไม่ตัดสินคน’ จากเสียงเล่าลือ บี๋ยอมที่จะทิ้งคำครหาหรือการถูกแบนจากกลุ่มเพื่อน เพื่อคบทิชา แถมบี๋เองยังเป็นคนที่สดใส มองโลกในแง่บวก ข้อเสียของบี๋คือการที่มองอะไรไม่ลึกมากพอ พอมันมาเป็นเรื่องของตัวเอง นี่เป็นนิสัยของนางเอกกึ่งร่วมสมัยกึ่งโบราณที่ผมไม่เคยเจอ (และเอาจริงๆ ผมอยากเห็นมานานแล้วนะครับ) คือบี๋ไม่ใช่คนโง่ เขาตาไว สังเกตหลายเรื่องได้ชัดเจน แก้ปัญหาได้อย่างสบายใจและทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้ม แต่ข้อเสียคือบี๋เองก็เห็นความสุขส่วนตัวสำคัญระดับหนึ่ง อย่างเรื่องพี่โรม บี๋เองถ้าหยุดสักนิด (อย่างที่เห็นว่าพอตกลงคุยไปแล้ว แล้วมาสังเกตเพื่อนตัวเองดีๆ บี๋เองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน) ก็จะเห็นว่าทิชามีอาการแปลกๆกับโรม แต่ผมคิดว่าเนื่องจากบี๋ไม่อยากปิดโอกาสที่ตัวเองจะมีความสุข บี๋เลยคิดเอาเองว่าการที่ทิชาไม่ได้พูดอะไร คือไม่ได้มีอะไรต่อพี่โรม (ซึ่งความจริง ถ้ามุมมองคนนอก มันก็ใช่แหละ แต่คุณเป็นเพื่อนรักเขาไง คุณควรสังเกตเขาดีกว่านี้)

ถ้าคุณสวีทอลิซมีปมซ้อนเรื่องของบี๋ มันจะทำให้พล็อตของโรมกับบี๋ลงตัวดีกว่านี้นะครับ เพราะว่ามันมีอะไรให้เล่นมากกว่าแค่เรื่องของโรมคนเดียว ส่วนตัวผมค่อนข้างไม่เชียร์โรมกับทิชาเลย ผมว่ามันแก้ปัญหากันแบบแปลกๆซึ่งส่งผลให้เรื่องยุ่งขึ้น แต่การแก้ปัญหาแบบนี้ มันก็ ‘เรียล’ จริงๆสำหรับเด็กวัยวุฒิยี่สิบนิดน่ะครับ เป็นดรามาของผลการกระทำที่ผมรับได้ ไม่เหมือนนิยายน้ำเน่าหรือละครที่การกระทำตัวละครที่แปลกด้วยลอจิกพื้นฐาน (หัวเราะ)

ตัวละครที่ผมชอบสุดในเรื่อง ก็คงไม่พ้นพี่รุจ (ฮา) คือเป็นตัวละครที่แม่งแบดจริง แต่ก็เท่จริง คนแบบนี้นี่แหละที่คุมคนอยู่ มีสติและแก้ปัญหาได้ถูกจุด แม้จะเถื่อนไปหน่อยก็เถอะ อาจจะเพราะนิสัยตัวละครแบบพี่รุจเป็นสไตล์คาแรกเตอร์ที่ผมชอบมั้งครับ คือกฎมี อย่าแหกถ้ามึงไม่แน่จริง แต่ถ้าแน่จริง แก้ปัญหาให้ได้ และถ้าใครมายุ่งกับน้องกู กูไม่เอาไว้ทั้งนั้น ผมว่าพี่รุจดูออกว่าทิชาคิดยังไง แล้วสายตาเขาไม่ธรรมดาเลยครับ มองหลายอย่างออกไวมาก ตอนแก้ปัญหาตอนแรกก็อุตส่าห์ส่งเบาะๆไปเตือนแล้ว แต่ถ้ายังกล้า ก็ต้องกล้ารับกรรม แหม่ น่าเป็นแฟนจริงๆครับ ผมชอบคนแบบนี้อะ (หัวเราะ) แต่พี่รุจโหดไปหน่อยนะครับ ทิชามันไม่รู้กฎบ้านี่สักหน่อย มันคงแฟร์กว่านี้ถ้ารุจให้น้องเขารู้กฎก่อนเข้ามาเล่นเกมนา

สำหรับตัวละครสนับสนุน ผมชอบนะครับ คือมีบทแบบสนับสนุนให้เราเห็นมุมมองตัวละครหลักมี มีบทแบบไม่เจือจาง แต่ก็ไม่เด่นจนดึงความสนใจของคนอ่านไป ส่วนตัวละครที่เป็นหลัก คุณสวีทอลิซก็ใส่ความเด่นเข้ามาจนเราเห็นจริงๆ (อย่างเดือนสถาปัตย์นั่น มาฉากเดียวก็รู้เลยว่าตัวหลัก ส่วนพวกบรรดาพี่น้องคุณพ่อของทิชา เปิดมาฉากเดียวแต่ก็รู้เลยว่าตัวละครสนับสนุนน่ะครับ)

ก็รอติดตามครับผม น่าสนใจดีมากๆ ผมอยากรู้จริงๆว่าใครจะทำให้ทิชาคิดได้ เพราะเท่าที่ดู ลำพังแค่เด็กๆแก้ปัญหากันเองคงดึงลากเรื่องยาวแน่ๆ ดีไม่ดีจะอีรุงตุงนังจนมีปัญหาอีก ผมอยากเป็นตัวละครเสริมให้เรื่องนี้จริงๆสิครับ! (หัวเราะ) เพราะแต่ละคนมีปัญหาส่วนตัวที่ต้องค่อยๆแก้ผ่านคนรอบข้างทั้งนั้น ปัญหาของทิชาไม่สามารถให้จิตแพทย์มาพูดแล้วแก้ได้เลยนะครับ ต้องหาทางทำให้เขายอมรับก่อนว่าเขามีปัญหาอะไร ตรงไหน ส่วนการจะทำให้เขาเห็นความจริงว่าความรักบริสุทธิ์เป็นยังไง จิตแพทย์ทำไม่ได้ ต้องให้คนรอบข้าง คนที่สนับสนุนเขา พิสูจน์ให้เขาเห็นเองต่างหาก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 13-12-2017 23:42:45
7
~ แพ้แล้วพาล ~




BeeBee’s PART



   @12.10 PM
   Im_BeeBeE : เฮียยยยย T____T

                 อยู่ไหนอ่าาาาาา

                 วันนี้ไอ้ชาไม่มาเรียน เฮียไปกินข้าวเป็นเพื่อนบี๋หน่อยจิ
                 .

                 .

                *Called*

                 เงียบ.....

                เฮียตอบบี๋หน่อยจิ T___T

   

วันนี้มันวันห่าอะไรวะเนี่ย....?

ผมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอย่างหงุดหงิดเมื่อจนแล้วจนรอดเฮียโรมก็ไม่ยอมอ่านข้อความ คอลไปก็ไม่รับ เงียบหายเหมือนตายจาก พอๆ กันกับไอ้ทิชาเพื่อนสนิทผมที่ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปตกกะบะขี้แมวอยู่แถวไหนถึงได้ไม่มาเรียน เมื่อคืนที่บอกว่าจะคอลกลับมาก็ไม่คอล ปล่อยให้ผมวิ่งคุกกี้รันอยู่คนเดียวทั้งคืน

ข้ามเรื่องเฮียโรม แฟนใหม่ป้ายแดงของผมไปก่อน เพราะเอาจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ตารางเรียนเฮีย รู้แค่ว่าปีสามแล้วงานหนักโคตร ทั้งใช้แรงงานทาสเฝ้าเบอร์ลิคสัปดาห์ละสามวัน เห็นว่ากำลังยุ่งๆ เรื่องยื่นขอฝึกงานเทอมหน้าที่บริษัทของรุ่นพี่ในภาคอยู่ด้วย เฮียแกอาจจะบีซี่มากจนไม่มีเวลาอ่านไลน์ก็ได้

แต่ไอ้ทิชา เพื่อนบังเกิดเกล้าของผมนี่สิ....


Im_BeeBeE :  ไอ้ชา ไม่สบายเหรอ? ไมไม่มาเรียนอ้ะ?

           กูเช็คชื่อวิชาเสงี่ยมแทนมึงไปแล้ว

           ให้กูไปหาที่บ้านมั้ย อยากกินอะไรป่าว?

           ตอบกูหน่อย เพื่อนใจบ่ดีเด้ออออ



ที่ว่าใจคอไม่ค่อยดีนั่นน่ะ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ นะ....

ตั้งแต่เมื่อวานตอนที่บอกมันไปว่าเฮียโรมจีบผมแล้วเราก็กำลังจะเปิดตัวว่าคบกันอย่างเป็นทางการ อันที่จริงผมไม่จำเป็นจะต้องแคร์ก็ได้ แต่เพราะว่าไอ้ชาเป็นเพื่อนก็เลยอยากให้มันรู้คนแรก ให้มันรู้จากผมเองดีกว่าที่จะไปรู้จากปากคนอื่น.... ผลก็คือไอ้ชาซึมเป็นส้วมไปเลย มันจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะพุ่งข้ามโต๊ะร้านเจ้สวยมาตบสักร้อยฉาด ถึงตอนหลังมันจะพยายามแอ๊บว่าไม่มีอะไรแต่ผมก็ดูออกว่าจริงๆ แล้วคุณเพื่อนแม่งงอนแรงมาก

ผมก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก ปกติไอ้ชาไม่ค่อยคุยกับใครง่ายๆ มันโดนหลอกมาเยอะเจ็บมาแยะก็เลยค่อนข้างขี้ระแวง ใครที่คิดจะจีบมันส่วนมากก็มักจะถอดใจไปก่อนเพราะความพารานอยด์ผสมปากร้ายของแม่งนี่แหละ แต่ถ้ามันยอมลดกำแพงลงให้แล้วก็ถือว่าแจ็คพ็อตแตกนะ ไอ้ชามันเป็นประเภทไม่ขัดใจผัว ถ้ากล่อมให้มันเชื่อได้ว่ารักจริงหวังแต่ง จะเอาเดือนเอาดาวบ้าบอคอแตกยังไงมันก็ยอม

ผมถึงได้แปลกใจนี่ไงว่าทำไมมันยอมคุยกับเฮียโรมทั้งๆ ที่เฮียก็ไม่ได้ทรีตอะไรมันเป็นพิเศษสักหน่อย เฮียแกยืนยันกับผมเองเลยว่าไม่ได้จีบไอ้ชา แค่เห็นว่ามันโดนคนอื่นรังแกมาก็เลยปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้ มันเองก็ไม่เห็นพูดสักคำว่าชอบเฮียโรมหรือคนนี้กูจองแล้วนะ ก็เห็นทำหน้าเฉยๆ แล้วใครจะไปเดาใจมันถูกวะ

ในเมื่อเฮียโรมไม่ได้เล่นกับมัน ไอ้ทิชาก็ไม่ได้กำลังแอ๊วเฮียอยู่ แล้วสิ่งที่ผมเจอเมื่อวานนี้มันคืออะไร ใครช่วยบอกน้องบี๋ที....?

หรือบางทีไอ้ทิชามันอาจจะกลัวว่าผมจะทิ้งมันไปติดเฮียโรมมากกว่า ได้ผัวแล้วลืมเพื่อนไรงี้ แล้วมันจะเหงาไม่มีคนไปกินข้าวดูหนังด้วย?
 
โธ่ คุณเพื่อน.... ถึงกับไม่ยอมมาเรียน กูซงซานมึงแรงเวอร์~



“บีบี๋.........”

ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกผมจากทางด้านหลังระหว่างที่ผมเดินออกมาจากใต้ถุนคณะ น้ำเสียงไม่คุ้นทำเอาต้องพยายามมองหาจนคอแทบหมุนรอบก่อนที่จะบึนปากอย่างแรง เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้คือเดือนสถาปัตย์ชั้นปีเดียวกันซึ่งทั้งผมและไอ้ทิชาไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไร

“ยี้~ ไอ้แดน!”

“ไม่สนิทกันสักหน่อย ถึงกับขึ้นไอ้เลยเหรอ?”

นายแดนนรกยักคิ้วกวนตีนใส่ผม ถึงผมจะรีแอคชั่นแรงไปหน่อยแต่เชื่อเหอะคนอย่างหมอนี่ไม่เจ็บไม่ปวดกับอีแค่โดนเรียกนำหน้าว่าไอ้หรอก 

“แล้วก็ไม่ต้องยี้ด้วย กูเป็นคนไม่ใช่แมลงสาบ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”

“กูให้โอกาสมึงคิดใหม่ทำใหม่.... ถ้ากูเป็นแมลงสาบ เฮียโรมญาติกูก็ต้องเป็นแมลงสาบด้วย แล้วมึงก็จะเป็นว่าที่เมียแมลงสาบเนอะ”

สมกับที่เป็น แดน ดรัณภพ ผู้ซึ่งปากหมาและมีเครือข่ายคอนเน็คชั่นกว้างขวางไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เซอร์ไพรส์ตรงที่มันรู้ข่าวว่าผมกับพี่โรมเปิดตัวคบกัน ที่โพสต์ลงไอจีหราขนาดนั้นก็เพราะหวังให้คนทั้งโลกมาร่วมเป็นสักขีพยานนี่แหละ เรื่องที่มันมีญาติอยู่วิศวะฯ ผมก็เคยได้ยินมานานมากแล้ว เพียงแต่โคตรเซ็งบ้านบึ้มที่ในอนาคตผมจะต้องกลายเป็นสะใภ้ร่วมตระกูลกับมันเนี่ยสิ

“มีธุระอะไรก็ว่ามา”  ผมถามตัดบท เผื่อว่ามันจะได้รีบไปให้พ้นหน้าสักที

“กูมีธุระกับทิชา ไม่ใช่กับมึง”

อ้าว ไอ้เวรนี่มองข้ามหัวผมหน้าตาเฉย ไม่ได้ข้ามเพราะผมตัวเตี้ยขาสั้นนะ แต่ข้ามเหมือนจะบอกว่ามึงมันมดปลวกเกินกว่าที่เดือนคณะจะมาคุยด้วย

“เพื่อนมึงอยู่ไหน?”

“วันนี้ไอ้ชาไม่มาเรียน.... มีอะไรก็บอกกูไว้นี่แหละ เดี๋ยวกูไปบอกมันให้เอง”

ผมแอบแถมในใจให้อีกหน่อยว่าต่อให้ไอ้ชามาเรียนก็ไม่ได้แปลว่ามันจะยอมคุยกับไอ้แดนง่ายๆ วิธีเดียวที่ไอ้แดนจะคุยกับทิชาได้ก็คือบอกผ่านผม ยังไงผมกับทิชาก็ไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว

ทว่า ไอ้แดนกลับยิ้มมุมปากด้วยท่าทางกวนโอ๊ยกว่าเดิม ถ้ายืนใกล้กันกว่านี้อีกสักยี่สิบเซน รับรองว่าผมจะโดดโหม่งเอาหัวโขกปากแม่งให้แตกเลย

“ถึงกับไม่มาเรียนเลยเหรอ?”

“อะไร? หัวเราะอะไร!?”

ผมถามขู่ฟ่อ นอกจากไอ้แดนจะไม่ยอมบอกเหตุผลที่มันทำเป็นยิ้มกลั้วหัวเราะแบบมีวาระซ่อนเร้น มิหนำซ้ำ ธุระที่มันว่าอยากคุยกับทิชาก็ยังไม่ยอมเปิดช่องให้ผมได้ใส่ใจ(เสือก)อีกต่างหาก

“ขอบใจมากนะ แต่ธุระของกูกับทิชาสำคัญมาก เอาไว้กูคุยกับมันเองดีกว่า” 

ไอ้แดนบอกผม ใช้สายตาเหมือนเวลามองพวกมดปลวกลูกกระจ๊อกอีกแล้ว

“บ๊ายบายบีบี๋ แล้วก็ยินดีต้อนรับสู่ตำแหน่งว่าที่สะใภ้บ้านอนุวัฒน์วงษ์นะครับมึง”

ประโยคท้ายสุด นั่งฟังนอนฟังตะแคงฟังยังไงก็รู้ว่าแม่งประชดกันชัดๆ ก่อนหน้านี้มันเคยหาทางเข้ามาตีสนิทไอ้ชาอยู่หลายรอบแต่ก็โดนผมไล่กลับไป แม่งก็คงผูกใจเจ็บอยู่ลึกๆ นั่นแหละถึงได้พูดจาล่อตีนใส่ขนาดนี้ จะเรียกกลับมาด่าก็ไม่ทันแล้วเพราะมันชิงเดินข้ามฟากกลับคณะไปเสียก่อน

ว่าแต่ธุระที่ไอ้แดนจะคุยกับทิชานี่มันมีอยู่จริงใช่ไหม....?


บ่ายสามโมงกว่าแล้ว ผมนั่งหาวหวอดตาปรืออยู่ในวิชา Computer for Architectural Practice รู้สึกเหมือนน้ำลายกำลังจะบูดเพราะได้พูดน้อยมาก เมาท์กับเพื่อนในภาคคนอื่นๆ ก็ไม่สนุกเท่าเมาท์กับไอ้ชา ยิ่งตอนนี้กำลังฮอร์โมนวัยว้าวุ่นเพราะเฮียโรมหายหัวไป ผมก็ยิ่งต้องการที่ปรึกษามารับฟังทุกสิ่งที่ผมอยากบ่น


   @3.42PM
         Do_As_RomanS : โทษทีนะบี๋ วันนี้เฮียยุ่งๆ อยู่น่ะ ไม่ได้แตะมือถือเลย

                               กำลังจะเข้ามอแล้ว บี๋กินข้าวหรือยัง



โอ๊ย เหมือนสวรรค์มาโปรด ในที่สุดเฮียโรมก็ตอบข้อความผม


   Im_BeeBeE : บี๋กินแล้ว กินคนเดียวด้วย *สติ๊กเกอร์ร้องไห้*

   Do_As_RomanS : โอ๋ๆ ขอโทษนะครับ

                        เดี๋ยวเฮียพาไปกินนมปั่นก็แล้วกันนะ

        Im_BeeBeE : วันนี้เฮียเข้าร้านมั้ยอะ?

        Do_As_RomanS : ไม่ครับ

                        บี๋อยากไปไหนหรือเปล่า?

          Im_BeeBeE : ไอ้ชาไม่มาเรียน ไม่ตอบไลน์ด้วย สงสัยว่าจะไม่สบาย

                         บี๋จะเข้าไปหามันที่บ้านหน่อยอะ จะเอาของกินไปให้

                              ช่วงนี้แม่มันติดถ่ายละคร ไม่น่ามีใครอยู่บ้าน

                              เฮียไปเป็นเพื่อนบี๋แปบนึงนะ



ผมเงี่ยหูฟังที่อาจารย์สอน ตาก็ยังจ้องโทรศัพท์รอคำตอบจากเฮียโรมอยู่ จริงๆ แล้วจะไปรถไฟฟ้าเองก็ง่ายกว่าเพราะบ้านไอ้ชาอยู่หมู่บ้านกลางซอยทองหล่อที่รถติดฉิบหายวายวอด แต่เรื่องของเรื่องคือผมอยากนั่งรถ Audi A5 Coupe’ สุดเท่ของเฮียไปอวดมัน รับรองว่ามันต้องร้องกรี๊ดแทบตายในใจแน่

อนิจจา.... เฮียแม่งเงียบใส่ผมอีกละ

                      Im_BeeBeE : เฮีย

                                     แง่ว ไม่ตอบ

                                          เฮียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

                              Do_As_RomanS : เดี๋ยวเฮียไปส่งบี๋ที่บ้านทิชาแล้วกัน

                                   Im_BeeBeE : แค่ส่งเฉยๆ เองอ่อ?

                                                     ไปเยี่ยมมันด้วยกันจิ



แล้วเฮียก็เงียบไปอีกพักใหญ่ สงสัยจะไม่ว่างจริงจังเลยล่ะมั้ง


                              Do_As_RomanS : อย่าเลย เฮียไม่ได้รู้จักกับเขาขนาดนั้น


ผมเลิกคิ้วสงสัย.... หมายความว่าไงวะที่ว่าไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้น ที่ผ่านมาก็เห็นคุยกันเป็นวรรคเป็นเวรนี่หว่า ตอนที่ไปงานแต่งเมื่อวันเสาร์ เฮียโรมก็บอกเองว่าอยู่กับไอ้ชา แล้วอย่างไอ้ชา ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คงไม่ยอมให้แอดไลน์ง่ายๆ หรอก นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เฮียโรมช่วยเลือกเสื้อผ้าให้มันด้วยนะ


                       Im_BeeBeE : โอ๊ย เฮียอย่าคิดเยอะ ไอ้ชาไม่ว่าไรหรอก

                               บี๋ว่ามันโอเคกับเฮียจะตาย

                                   ไปนะ แวะซื้อต้มเลือดหมูไปฝากมันด้วย มันชอบ
                                 
                                    .

                                    .

                                    เงียบอีกละ T___T

                                    เฮียอ่าาาาาา

                                    .

                                   เฮียตอบบี๋หน่อยจิ

                                   เฮียโรมมมมมมมมมมมมมม

                                   แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง




หลังจากนั้น เฮียโรมก็หายตัวไปจากแชทไม่ตอบผมอีกเลย ถ้าเมื่อกี้บอกว่าไปส่งผมที่บ้านทิชาได้ก็แสดงว่าไม่ได้ติดธุระอื่น แต่ที่เฮียไม่ยอมตกปากรับคำก็คือเรื่องที่จะเข้าไปเยี่ยมเพื่อนผมด้วยกัน.... ปกติแล้วผมเป็นคนที่สัมผัสที่หกจืดจางมาก เป็นพวกที่ถ้าไม่พูดด้วยตรงๆ ก็จะตีหน้ามึนไปได้จนกว่าจะมีคนช่วยชี้ทางสว่างให้ แต่เคสนี้ผมกลับติดใจฉิบหายเลยว่าอยู่ดีๆ เฮียโรมเกิดจะตึงอะไรใส่ไอ้ทิชาขึ้นมา ทั้งที่ตามนิสัยเฮียแกแล้วถ้ารู้ว่าไอ้ทิชาไม่สบายก็น่าจะเป็นห่วงเสียมากกว่า

หรือว่าจะมีเรื่องอะไรระหว่างสองคนนั้นที่ผมยังไม่รู้อีกนะ....?

ห่าเอ๊ย.... ทำไมถึงได้หงุดหงิดหัวใจเว่อวังเบอร์นี้วะเนี่ย!?



TISHA’s PART

   

คุณเคยรู้สึกอยากหลับเพื่อให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ บ้างมั้ย แบบว่าพอตื่นขึ้นมาอีกทีเวลาก็ผ่านไปแล้วสามปี เรื่องราวและความทุกข์ในปัจจุบันถูกฝังกลบไปกับมิติที่สี่ระหว่างที่เรากำลังนอนอยู่.... ปล่อยให้คนรอบข้างและปัญหาทั้งหมดเข้าสู่โหมดเยียวยากันเองโดยที่เราไม่ต้องรับรู้อะไรเลย พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกรีเซ็ตไปหมดแล้ว พร้อมให้เราเริ่มต้นใหม่แบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนอดีตตามมาหลอกหลอน

แต่ชีวิตคนเรามันไม่ใช่เกมเพลย์สเตชั่น รีเซ็ตโหมดก็ไม่มีอยู่จริง ผมก็ทำได้แค่เพ้อเจ้อเรียกร้องหาอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อย

ลำพังตอนนี้แค่จะหลับสักห้านาทียังยากเลย นับประสาอะไรกับนอนสามปี

‘โง่.... ฉิบหาย............’



“โห.... สภาพดูไม่จืดจริงด้วยว่ะ กะแล้วว่าต้องโดนหนัก แต่ไม่คิดว่าเฮียกูจะเล่นเอามึงโทรมขาลากขนาดนี้”


ผมอุตส่าห์หอบสังขารลงมาจากชั้นสามของบ้านเพราะได้ยินเสียงกริ่ง นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าไปรษณีย์ที่ไหนจะมาส่งจดหมายลงทะเบียนเอาตอนบ่ายแก่ๆ เกือบหมดเวลาราชการ ที่แท้ก็สิ่งมีชีวิตร่วมโลกที่แค่เห็นหน้าก็ทำให้ผมรู้สึกคันฝ่าเท้าขึ้นมาตะหงิดๆ ไหนจะสายตายิ้มเยาะมีเลศนัยกับคำพูดกวนส้นตีนชวนให้หัวร้อนนั่นอีกล่ะ นอกจากจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแล้วยังเสือกทำตัวไม่น่าต้อนรับอีกต่างหาก

“มึงมาบ้านกูได้ยังไง?”

ทั้งน้ำเสียงและอารมณ์ผมไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาฉีกยิ้มตอแหลคุยกับใครด้วย คุยไปด่าไปก็ไม่เอาเหมือนกัน

“ไปซะ ไม่งั้นกูจะเรียกตำรวจแจ้งข้อหาบุกรุก!”

“ที่อยู่บ้านมึงก็ไม่ได้หายากเปล่าวะ แค่กูเกิ้ลชื่อแม่มึงก็เจอแล้ว”

ไอ้แดนตอบกลั้วหัวเราะกลับมา ทำอย่างกับว่าคำถามของผมถูกถามโดยเด็กสามขวบที่ยังไม่รู้ว่าไอโฟนคืออะไร

“ฉลาดแต่เรื่องชั่วๆ นะมึงน่ะ!”

ผมด่า แน่นอนว่ามันไม่สะทกสะท้าน สายตาเจ้าเล่ห์กวาดมองสารรูปพังๆ ของผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงคอซึ่งมีสายสร้อยหนังสีดำห้อยอยู่ นั่นแหละคือธุระที่แท้จริงของแดน ดรัณภพในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการชิงเกียร์พี่โรม แล้วมันก็ตามมาทวงสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ได้เร็วประหนึ่งเจ้ากรรมนายเวร

“ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ามึงหรอก.... เกียร์วิศวะฯ สวยดีนะ ได้มาด้วยวิธีไหนล่ะ?” 

ไอ้แดนยื่นนิ้วข้ามซี่รั้วบ้านมาเกี่ยวสายคล้องเกียร์ที่คอผมขึ้นมาดูชัดๆ จี้สัญลักษณ์รูปเฟืองระบุเลขรุ่นคือตัวแทนชัยชนะของผมและผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เดือนสถาปัตย์จะได้รับ ทว่า พอนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปและผลที่ตามมา ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองแพ้ราบคาบแถมยังน่าสมเพชสิ้นดี

“ถ้าจะคุยเรื่องแคสต์ละครอะไรนั่นเอาไว้วันหลังได้มั้ย ตอนนี้กูไม่พร้อม”

“เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย.... กูรู้ว่ามึงเหนื่อยใช้ร่างกายมาหนัก ไม่ได้จะบรีฟงานมึงเดี๋ยวนี้หรอกน่า”

“งั้นก็กลับไปได้แล้ว กูจะขึ้นไปนอน”

“แล้วมึงแน่ใจเหรอว่าจะหลับลงง่ายๆ?” 

ไอ้แดนย้อนถามผม รอยยิ้มของมันเหมือนรู้ทันว่าใจของผมฟุ้งซ่านเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ ก่อนจะชูสารพัดถุงพลาสติกที่มันหิ้วติดมือมาด้วยให้ดู 

“กูไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไรก็เลยซื้อมาหลายๆ อย่าง เชิญคนป่วยกินทิ้งกินขว้างได้ตามสบาย.... เห็นมั้ยเนี่ยว่ากูเป็นห่วงมึงแค่ไหน เปิดประตูให้หน่อยดิ อย่าใจร้ายใจดำกับคู่จิ้นมึงนักเลย”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 06 [ 10/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 13-12-2017 23:43:34
ผมจำเป็นจะต้องให้ไอ้แดนเข้ามาในบ้านอย่างเสียไม่ได้ ถ้าไม่นับรวมบีบี๋ที่มาอย่างเป็นมิตร  หมอนี่ก็เป็นมนุษย์คนแรกในรอบหลายปีที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ในฐานะแขกของผม.... ผิดจากที่คิดไปมากเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ผมตั้งใจเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องเป็นพี่โรมเท่านั้น แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากผิดหวังแล้วปล่อยให้ไอ้แดนเข้ามาในเซฟโซนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“บ้านมึงสวยดีนะ มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าบ้านดารา” มันว่าพลางบุ้ยหน้าไปทางบรรดากรอบรูปที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายของแม่สมัยเป็นนางเอก  “พอคิดว่าอีกไม่นานบนกำแพงจะมีรูปมึงตอนเป็นซุปตาร์ดังแล้วด้วยก็ยิ่งตื่นเต้นว่ะ”

“อย่าเพ้อเจ้อ ยังไม่ทันจะไปแคสต์เลย”

ผมวางถุงข้าวถุงก๋วยเตี๋ยวลงบนเคาท์เตอร์ครัว ได้ยินคำพูดคำจาชนิดไม่เผื่อที่ว่างไว้ให้เก็บเศษหน้าตอนตกรอบก็ยิ่งหมั่นไส้

 “อ้อ ข้อตกลงระหว่างเรามีแค่เรื่องที่จะไปออดิชั่นละครด้วยกัน แต่ถ้าไม่ผ่าน อันนั้นอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของกูนะ”

“ถ้าเป็นมึง ไม่มีคำว่าไม่ผ่าน.... ต่อให้มึงจะเล่นแข็งเป็นหุ่นกระบอกน้ำเวียดนาม ยังไงมึงก็ผ่าน”

“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”

“เดี๋ยวมึงก็รู้........”

ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาตรงเข้ามาหาผมซึ่งกำลังโยนทุกอย่างที่อีกฝ่ายซื้อให้ใส่ตู้เย็นอย่างขอไปที เพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ผมไม่ทันระวังตัว มือลึกลับโผล่มาจากที่ไหนสักที่ก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอแล้วเหนี่ยวให้ผมเอนตัวพิงอกกว้างของคนซึ่งฉวยโอกาสมายืนซ้อนหลังพอดิบพอดี.... เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเชื่อจนผมตั้งรับไม่ติด กว่าจะรู้สึกว่าเมื่อกี้ปลายจมูกไอ้แดนเกือบชนโดนแก้มตัวเองอยู่รอมร่อก็ตอนที่มันกดชัตเตอร์กล้องหน้ามือถือไปเรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ย!!!” 

ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นรูปเด๋อๆ ของตัวเองอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นายแดนปรโลก ในขณะที่ตัวมันเอียงมุมเข้ากล้องได้โคตรเป๊ะสมกับที่คิดแผนชั่วเตรียมมาจากบ้าน 

“ไอ้แดน มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“กูจะใส่แฮชแท็กอะไรในไอจีดีน้า~ เอาเป็น #ทิชาหน้าสด หรือ #โนเมคอัพโนฟิลเตอร์ อะไรงี้ดีมะ เหมาะกับหนังหน้ามึงตอนนี้ดี” 

ไอ้แดนแกล้งล้อผม มือก็ชูโทรศัพท์ขึ้นสุดแขนไม่ให้ผมคว้าถึงได้ง่ายๆ เกลียดไอ้พวกสูงเกินร้อยแปดสิบก็ตรงที่แม่งชอบขี้โกงแบบนี้นี่แหละ 

“แต่บังเอิญมันเป็นรูปคู่กูกับมึงว่ะ งั้นใส่แท็กน่ารักๆ เป็น #แดนทิชา ก็แล้วกันเนอะ”

“กูไม่ตลก!”

“เออ ก็มึงไม่ใช่ตลก มึงเป็นนักศึกษา กูด้วย”

เส้นเลือดข้างขมับผมเต้นตุบๆ โคตรเข้าใจความรู้สึกของคนที่บันดาลโทสะคว้าปืนมายิงจิ๊กโก๋ปากมอมเลยว่าคงเหลืออดจริงๆ

สิ่งที่ทำเอาผมแทบเป็นบ้าก็คือไอ้แดนมันกดเข้าไอจี ทำท่าเหมือนจะอัพโหลดรูปเวรเมื่อกี้ให้บรรดาผู้ติดตามของมันดู แล้วระดับเดือนสถาปัตย์ปีสอง เจ้าของความสามารถพิเศษในการสร้างกระแสไวรัลให้ตัวเองเด่นเก่งกว่าสร้างโมเดลบ้านส่งอาจารย์ คุณคิดว่ามันจะมีคนฟอลโลว์แค่สิบยี่สิบพอขำๆ เหรอ ไม่เลย ผมไม่มีทางปล่อยให้ความอัปยศอดสูนี้หลุดรอดออกไปให้คนนับหมื่นหัวเราะเยาะแน่

“ไอ้แดน ห้ามโพสต์นะ!”  ผมโมโหจนมือสั่น ทางเดียวที่จะหายได้ก็คือต้องฟาดหน้าไอ้แดนสักเปรี้ยงให้มันหยุดกวนตีนผมสักที  “ลบรูปออกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะเอาเก้าอี้ฟาดมึง!”

“มึงจะโวยวายทำไมวะ ทิชา.... เดี๋ยวถ้าได้เล่นละครด้วยกัน มึงกับกูยังต้องทำอะไรที่มากกว่าถ่ายรูปคู่อีกเยอะ” 

คนตัวสูงกว่ายังคงโบกมือถือไปมาแบบเจตนาจะยั่วให้ผมประสาทแดก จะเสียเปรียบก็ตรงที่ไอ้แดนมันรู้จุดอ่อนของผมอยู่ก่อนแล้ว มันรู้ว่าผมเครซี่พี่โรมมากถึงขนาดยอมทำอะไรบ้าบออย่างการเข้าไปชิงเกียร์วิศวะฯ ถึงถ้ำเสือ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยากเลยที่มันจะพูดจี้ใจดำให้ผมดิ้นเร่าๆ ด้วยความโมโห 

“แต่ถ้ามึงกลัวเฮียโรมจะมาเห็น กูจะลบออกให้ก็ได้”

“ไม่เกี่ยวกับพี่โรม กูไม่ชอบตรงที่เป็นมึงนั่นแหละ!”

“มึงพูดแรงจนกูน้อยใจเลยว่ะ แต่ก็เข้าใจนะว่ากูมันก็แค่คู่จิ้น จะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้คู่จริงอย่างมึงกับเฮียโรมได้” 

ไอ้แดนล้อเลียนผม สายตาที่มันใช้มองผมซึ่งเนื้อตัวมีแต่ร่องรอยจากกิจกรรมเมื่อคืนนั้นไม่ต่างอะไรกับคำด่าตอกหน้าว่ามึงมันใจง่ายใจร่าน อยู่ดีไม่ว่าดีก็แล่นไปให้ผู้ชายเอาถึงที่จนสารร่างแทบพัง

“ว่าแต่เมื่อคืนนอนคุยกันเป็นไงบ้างสนุกมั้ย? ได้บอกเฮียโรมหรือยังว่ามึงตกลงปลงใจจะแย่งแฟนเพื่อนมาเป็นของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว.... หรือว่ามัวแต่ครางเลยไม่ได้คุย?”

เหมือนมีแมลงกินเนื้อตัวร้ายชอนไชอยู่ข้างในสมอง หัวใจที่อุตส่าห์กล่อมให้สงบไปได้พักใหญ่กลับบีบรัดให้ทรมานเพราะความจริงที่ตนเองไม่อยากรับรู้ขึ้นมาอีก ผมกุมสร้อยคอที่พี่โรมเป็นคนสวมให้กับมือเอาไว้แน่นพลางหลับตาลงผ่อนลมหายใจแล้วเริ่มต้นพิธีกรรมหลอกตัวเองอีกครั้ง....

ผมไม่เคยได้ยินคำพูดร้ายๆ อะไรจากพี่โรมทั้งนั้น พี่โรมปกป้องผมจากพวกคนไม่ดี เรามีความสุขด้วยกันตลอดทั้งคืน เขาเรียกชื่อผม บอกซ้ำไม่รู้ตั้งกี่หนต่อกี่หนว่าผมสวย น่ารักและสามารถทำให้เขาคึกคักหิวกระหายได้มากแค่ไหน เรากอดจูบกัน ปลดเปลื้องเติมเต็มความต้องการให้กันและกันชนิดที่ไม่มีใครจินตนาการออกหรอกว่าทั้งร่างกายและจิตใจของผมนั้นชุ่มฉ่ำยิ่งกว่าอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำเสียอีก

ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันไม่มีอยู่จริง

ผมแค่เหนื่อยมากเกินไปก็เลยหูเพี้ยน คนอ่อนโยนแบบพี่โรมไม่มีทางพูดจาไม่ดีกับคนที่เพิ่งทอดกายให้เขานอนกอดทั้งคืนอย่างผมแน่

คนที่เพ้อเจ้อไร้สาระจนน่าเตะก็คือไอ้แดนต่างหาก....!

“น่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องสินะ มึงถึงได้กลับมานอนหน้าหมองอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้.... ท่าทางพี่ชายกูไม่น่าจะสนใจใยดีพวกวันไนท์สแตนด์สักเท่าไร ไม่อย่างนั้นก็คงมีเมียไปเป็นร้อยแล้ว”

มันแสยะยิ้มน่ารังเกียจใส่ผม เช่นเดียวกับคำพูดแสลงหูในทำนองว่าผมถูกฟันแล้วทิ้ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์ พี่โรมจะไม่มีวันหันมามองผมด้วยสายตาแบบเดิมอีกเพราะว่าผมเป็นได้ข้ามเส้นจากรุ่นน้องที่น่าเอ็นดูไปเป็นคู่นอนคืนเดียวที่ได้มาอย่างง่ายดายเสียแล้ว 

“กูช่วยให้มึงแย่งเกียร์มาได้แล้ว ใส่จนพอใจก็เอาไปคืนเจ้าของเขาเร็วๆ แล้วกัน”


......และพี่โรมก็ขยะแขยงเมียชั่วคราวคนนี้มากด้วย.......


“ไอ้เหี้ย!”

ผมแผดเสียงเกรี้ยวกราดใส่คนตรงหน้า กำปั้นข้างหนึ่งเหวี่ยงทุบเข้ากลางผืนอกหนาเสียงดังปึ้ก ไอ้แดนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ นอกเสียจากหุบรอยยิ้มเมื่อครู่กลับคืนไป นัยน์ตาผมแดงก่ำร้อนผ่าวขณะจ้องมองคู่อริที่ลงมือกรีดปากแผลกลัดหนองของผมอย่างเลือดเย็น ความเจ็บปวดหลั่งไหลพร่างพรูออกมาทันทีที่มาคนเปิดช่องซ้ำเติม

“คนอย่างมึงจะไปรู้อะไร!? ไม่รู้ก็ไม่ต้องมาเสือกเรื่องของกูเลยนะ! หุบปากไปเลย!!”

“กูไม่ได้แย่งใคร พี่โรมเขาชอบกูก่อนไอ้บี๋ เมื่อคืนเขายังพูดอยู่เลยว่ากูสวยกูน่ารักสำหรับเขา มึงได้ยินไหมไอ้แดน พี่โรมชอบกู! เขาชอบกูมาตั้งแต่แรก!! ถ้าไอ้บี๋มันไม่มาปาดหน้าแย่งพี่โรมไป ป่านนี้กูกับเขาก็คงเป็นแฟนกันไปแล้ว!!”

ผมรู้ว่านั่นคือความคิดดื้อรั้นโง่เง่าของผมเพียงฝ่ายเดียว แต่ผมก็เชื่อว่าตัวเองคิดถูกและจะไม่มีสิ่งใดมาล้างถอนเศษแก้วที่ปักลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจพวกนี้ได้ 

“กูก็แค่ทวงสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนมา ก็เหมือนๆที่คนอื่นเคยทำกับกูนั่นแหละ แล้วกูก็จะไม่คืนเกียร์พี่โรมให้ใครทั้งนั้นเพราะมันเป็นของกู!!”

“ตรรกะมึงพังมากนะ ทิชา.... แพ้แล้วพาล ตรรกะลูซเซอร์สุดๆ”

เดือนสถาปัตย์ส่ายหน้าเอือมระอาใส่ผม น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเพลียที่จะต้องมารับมือกับคนบ้าอย่างผมเป็นที่สุด

“ที่เฮียกูบอกว่าชอบมึงน่ะ เขาบอกมึงเองเหรอ.... หรือเขาแค่พูดถึงอดีตที่มึงพลาดโอกาสไปแล้ว?”

ร่างสูงเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อรอดูว่าผมจะเถียงแถต่อไปอย่างไร ไอ้แดนมันมองออกทะลุปรุโปร่งว่าผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแค่กำลังหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองเพื่อที่จะได้หน้าด้านหน้าทนแย่งแฟนเพื่อนสนิทได้อย่างชอบธรรม 

“ที่ทุกคนเขารับรู้กันในปัจจุบันคือเฮียโรมจีบบีบี๋เพื่อนมึง และเขาเป็นแฟนกันแล้ว.... ส่วนมึง ถ้าพวกในเบอร์ลิคยังรักษากฎไม่แพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ถูกเอาไปพูดข้างนอกเมื่อไร มึงก็เตรียมตัวถูกด่าว่าเป็นมือที่สามหรือเมียน้อยได้เลย”

“กูมาก่อนไอ้บี๋.......กูไม่ใช่มือที่สาม......แล้วก็ไม่ใช่เมียน้อยด้วย!” ผมยังคงไม่ยอมแพ้ “ถ้ามึงจะไม่เข้าข้างกูก็กลับไปเลยไป!”

‘มือที่สาม’ ‘เมียน้อย’.... สองคำนี้คือคำต้องห้ามสำหรับผม คือกรอบที่สังคมตราหน้าใส่แม่มาตั้งแต่ผมยังไม่ลืมตาดูโลก ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะซ้ำรอยเดียวกันกับแม่ ผมยอมผิดหวัง ยอมเป็นฝ่ายเดินจากไปแต่โดยดีทุกครั้งที่จับได้ว่าแฟนตัวเองคบซ้อน แต่ในเมื่อผมอุตส่าห์พบเจอคนที่รักผมและผมก็รักเขาแล้ว เราเจอกันก่อนที่จะมีใครกลายเป็นของใคร แล้วทำไมคำๆ นี้ถึงยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่ได้....?

“โอเคจ้ะ ไม่ใช่มือที่สามก็ได้เนอะ แบบนี้สบายใจขึ้นหรือยังจ๊ะ?”

ไอ้แดนคงขี้เกียจเถียงแล้ว มันยัดมือถือลงกระเป๋าหลังกางเกง ถือวิสาสะจัดแจงเปิดตู้เย็นหยิบเอาข้าวที่ซื้อมาให้ผมแกะใส่จานก่อนจะยัดเข้าไมโครเวฟเหมือนอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด.... มันไม่ได้จะกินเองหรอก มันอุ่นข้าวให้ผมกินนั่นแหละ คงคิดล่ะมั้งว่าถ้าหากท้องอิ่มแล้ว ผมอาจจะสงบสติอารมณ์จนหายบ้าและคุยกับมันด้วยตรรกะมนุษย์ทั่วไปได้เข้าใจมากขึ้น

แต่มันยากมากจริงๆ นะ แม้กระทั่งผมก็ยังนึกรำคาญตัวเองเลย....

“พี่โรมน่ะ........เขาชอบกูจริงๆ นะ...........” 

ผมพยายามจะเถียงเอาชนะไอ้แดนให้ได้ ทั้งๆ ที่คำว่า ‘แพ้แล้วพาล’ ยังแปะเด่นหราอยู่กลางหน้าผาก 

“พวกมึงเอาแต่บอกว่าไม่ใช่ก็เพราะว่ามึงไม่เคยเห็นกันไงว่าพี่โรมดีกับกูแค่ไหน.... เมื่อคืนนี้ เขายอมคุกเข่าคลานเป็นหมาต่อหน้ารุ่นพี่เพื่อช่วยกูจากพวกนั้นเชียวนะ ไหนจะคราวก่อนๆ ที่พี่โรมเข้ามาช่วยกูอีกล่ะ.... ถ้าเขาไม่คิดอะไรกับกูเลยสักนิดแล้วทำไมเขาถึงต้องยอมทำขนาดนี้ด้วย.........กูไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย............”

“ทิชา กูรู้ว่าการมโนมันช่วยเยียวยาจิตใจมึงได้ แต่บางครั้งมึงก็ต้องแดกยาสลายมโนแล้วดึงสติตัวเองบ้างนะ”

“กูไม่ได้มโน!  พี่โรมเขากอดกูไว้ทั้งคืน......เขาคิดว่ากูหลับแต่จริงๆ แล้วกูแทบไม่ได้นอนเลยจนเช้า......กูจำทุกอย่างที่เขาทำ จำทุกคำที่เขาพูดกับกูได้หมด......เขาชอบกูจริงๆ.......แค่พวกมึงไม่เคยเห็น..........แค่พวกมึงไม่เคยเห็นแต่ไม่หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่จริง............!!”

“ถ้าเขาชอบมึง แล้วทำไมเขาไม่เลือกมึงล่ะ?”

“.....................”

“ไม่ต้องตอบกูก็ได้นะ ตอบมากูก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด.... คนๆ เดียวที่รู้ดีที่สุดก็คือเฮียโรม มึงก็ไปเล่นปริศนาอะไรเอ่ยกันเองก็แล้วกัน”

แต่สุดท้ายผมก็แพ้ แถมยังเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้พาลต่อไม่ออก ไม่รู้จะดิ้นหนีไปทางไหนเพื่อที่จะได้อยู่กับความเชื่อฝังใจของตัวเอง

ข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่ติดหนังส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้าพร้อมด้วยน้ำซุปฟักตุ๋นมะนาวดองร้อนๆ เดือนสถาปัตย์ลากผมมาที่โต๊ะกินข้าวก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้แล้วบังคับให้นั่ง เริ่มสับสนแล้วว่าที่อยู่ตอนนี้นี่บ้านใครกันแน่ พอๆ กับที่สงสัยว่าไอ้แดนมันรู้ได้ยังไงว่าผมชอบข้าวมันไก่ร้านเดชโอชาหน้ามอ แถมยังสั่งแต่เนื้อน่องล้วนของโปรด ไม่เอาเลือด ไม่เอาแตงกวา ไม่โรยผักชีเหม็นๆ มาให้ด้วย.... ตัวมันก็นั่งลงข้างๆ มองหน้าผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“แต่มึงพูดมาก็ดีแล้วล่ะ ทิชา กูจะได้เข้าใจว่ามึงกำลังฟูมฟายห่าอะไร.... ทีแรกกูก็งงว่ามึงเองก็เคยกิ๊กอยู่ตั้งหลายคน เลิกแล้วก็จบไป คราวนี้จะมาอะไรกับเฮียโรมมันนักหนา ที่แท้ก็เคยมีสตอรี่กันมาก่อนนี่เอง”

“พวกก่อนหน้านั้นแค่มาจีบเพราะเห็นกูเป็นของเล่น กูก็ลองคบเผื่อว่าจะใช่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เคยใช่..........” 

ผมเขี่ยข้าวในจานไปมา ถึงจะชอบแต่ตอนนี้กลับเฝือนคอจนกินไม่ลง 

“แต่กับพี่โรม......กูชอบเขา กูอยากเป็นของเขา........”

“ความรักหนอความรัก น่ากลัวฉิบหาย”

มันว่าก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ 

“ถ้าอยากเก็บเกียร์เอาไว้ก็แล้วแต่มึงเหอะ ชีวิตมึงก็เป็นของมึงนี่เนอะ กูเป็นแค่คู่จิ้นธรรมดาๆ ไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่ผัว....  สำคัญก็คือกูเป็นคนช่วยให้มึงแย่งเกียร์มาได้ กูก็คงไม่มีสิทธิ์พูดว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำแล้วว่ะ”

ผมลืมเรื่องรูปเซลฟี่ทีเผลอเมื่อกี้ไปเสียสนิท มานึกขึ้นได้อีกทีก็ตอนที่ไอ้แดนยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดู เวรเอ๊ย! มันอัพโหลดรูปผมในสภาพหน้าตาเหียกสนิทขึ้นสู่โลกออนไลน์ไปเรียบร้อยจนได้ ทีนี้ผมคงจะต้องทนอยู่กับรูปสุดสยองที่จะมีคนเอามารีรันใช้ประกอบการด่าไปตลอดชีวิตแหง พอกำลังจะง้างปากด่า สายตาก็เหลือบไปเห็นคอมเมนท์เสียก่อน....


   ‘แดนกับทิชา???’

   ‘เฮ้ยยยย ทำไมน่ารักอะ??’

   ‘สองคนนี้สนิทกันตั้งแต่เมื่อไรอ้ะ...... น่ารว้ากกกกกกกกก’

   ‘ทิชาใส่ชุดนอนด้วย? อยู่บ้านกันเหรอ? ว้ายยยย เดทป่ะๆๆๆ’

   ‘เราชอบคู่นี้มาตั้งแต่สมัยงานเฟรชชี่แล้ว ขุ่นพระ เรือยังไม่ล่มโว้ย’

   ‘เรือหรือเครื่องบิน ไม่ต้องพายแล้ว /เปิดการ์ดโยนไม้พาย’

   ‘ต๊ายตาย แต่แม่หนูบอกไม่ให้ชิปคู่ที่เป็นแฟนกัน’




“เห็นมั้ย กูบอกแล้วว่าเคมีระหว่างกูกับมึงแม่งระดับทำลายล้าง”

“..........ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน”

“มึงนี่จริงๆ เลยเว้ยเฮ้ย ไอ้ทิชา มีคนชมก็ไม่ชอบ มีคนด่าก็ใจบาง”

ผมไม่ตอบ.... ไม่รู้จะตอบอะไร จะดีใจไปทำไมในเมื่อทั้งหมดที่ไอ้แดนทำไปก็เพราะหวังจะให้ผมไปแคสต์ละครคู่กับมัน และรูปที่โพสต์ในไอจีก็เป็นแค่หนึ่งในแผนการสร้างไวรัลเรียกกระแสให้ตัวเองก่อนถึงวันงานจริง เหมือนๆ กับตอนที่มันหอมแก้มผมในงานเฟรชชี่นั่นแหละ

“ออดิชั่นละครวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เก้าโมงเช้าที่เดอะไบรท์สตูดิโอ อยู่แถวๆ ทาวน์อินทาวน์.... เดี๋ยวกูส่งโลเกชั่นมาให้ แต่ถ้ามึงขี้เกียจขับรถ เดี๋ยวกูมารับมึงที่นี่ก็ได้”

แต่อย่างน้อยไอ้แดนก็ใช้กันตรงๆ ใช้ให้รู้ว่ากูกำลังหวังอะไรจากมึงอยู่ ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมเองก็คงไม่กล้าคาดหวังอะไรจากใครอีกแล้ว....


TO BE CONTINUE


+++++++


ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามค่ะ
สำหรับตอนที่ผ่านมา รู้สึกได้ถึงเสียงกรีดร้องของผู้อ่านทุกท่าน 5555
ตอนนี้ก็มีคนใหม่ (แต่หน้าเก่า) วนเข้ามาในชีวิตของทิชาอีกครั้ง แต่จะใช่คนที่ตามหาหรือมาแทนที่พี่โรมได้หรือไม่
พี่โรมกับทิชา ทิชากับบีบี๋จะเป็นยังไงต่อไป มาติดตามกันต่อนะคะ

รักชอบ หรือมีอะไรจะติชมก็สามารถทิ้งคอมเมนท์เอาไว้ได้นะคะ หรือจะไปหวีดกันในแท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตก็ได้จ้าาาา
 :hao5:


+++++

// จองที่ไว้ตอบคอมเมนท์คุณ Grey Twilight นิดนึง
ขอบคุณสำหรับบทวิเคราะห์และคำแนะนำที่มีค่ามากๆเลยนะคะ ขอเวลาแต่งเรียงความตอบนะคะ ฮืออออ :katai2-1: //
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ตาหวาน ที่ 14-12-2017 00:56:24
ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนแดนจะ
ชอบทิชาตั้งแต่งานเฟรชชี่ที่แกล้งหอมแก้ม เราว่าคงไม่ใช่อยากดังหรอก
และบังคับให้ไปแคสละครด้วยกันอีก
เหมือนพยายามอยากมีตัวตนในสายตาทิชา
แต่มันก็ทะแม่งตอนที่ช่วยทิชาเรื่องเกียร์นี่แหล่ะ
คือถ้าเราชอบใครสักคน คงไม่ยอมให้ทำแบบนี้แน่ เพราะว่าเรารู้ผลจะเป็นยังไง
แต่ก็ข้องใจเรื่องข้าวมันไก่ ถ้าไมาใส่ใจจริงคงจำไม่ได้หรอกว่าชอบกินอะไร จะว่าบังเอิญก็ไม่น่าใช่

โอ้ยยยยย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เอาเป็นว่ารอลุ้นต่อดีกว่า มาต่อไวๆนะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 14-12-2017 15:05:11
ติดเรื่องนี้มากจริงๆ จะรอนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-12-2017 23:49:47
นี่แอบคิดว่าแดนชอบทิชารึป่าว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวเหนียวมะม่วง ที่ 16-12-2017 15:58:37
อ่านแล้วสงสารเลยอ่า สงสารตัวเองเนี่ยยยยย :sad4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 16-12-2017 22:10:43
.

.

กว่าจะไล่ไอ้แดนกลับไปได้ก็เล่นเอาผมแทบหมดแรง ผมกลับขึ้นมาห้องนอนตัวเองที่ชั้นสามเอาตอนเกือบๆ หกโมงเย็น อย่างแรกที่ทำก็คือหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูรูปอัปยศในไอจีว่าโดนคอมเมนท์ถล่มด่าไปไกลถึงไหนแล้ว.... เหตุผลที่ผมไม่เปิดไพรเวทแอคก็เพราะรู้ว่าตัวเองนอยด์ง่ายแล้วก็กลัวคำพูดคนอื่นจนขึ้นสมอง มันออกจะโรคจิตอยู่หน่อยๆ ที่ผมชอบส่องดูว่าใครคิดยังไงกับผมบ้าง ไม่ว่าจะใต้รูปงานกิจกรรมในเพจคณะ เพจคิวท์บอยมหาลัยที่ขยันถ่ายรูปผมไปลงเหลือเกิน แน่นอนว่าครึ่งต่อครึ่งคือโดนด่ายับ แต่ก็เลิกอ่านและเลิกเก็บเอามาคิดมากไม่ได้

แต่ปรากฏว่า แดนมันลบรูปที่ถ่ายคู่กับผมทิ้งไปแล้ว....

ผมไม่รู้หรอกว่ามันลบทำไม อาจจะแค่อยากคุมโทนไอจีเลยลบหน้าโทรมๆ ของผมทิ้งไปซะ แต่ก็ดีแล้วที่จะได้ไม่ต้องเจอคอมเมนท์แย่ๆ จากคนที่ไม่รู้จัก.... ผมไถดูรูปอื่นๆ ในไอจีของแดนก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากโพสต์รูปตัวเองบ้าง รูปแก้วกาแฟ รูป Gadget โชว์ไลฟ์สไตล์ แล้วก็ใส่แคปชั่นเลี่ยนๆ อ้อนแฟนคลับประมาณว่า ‘ที่ทำเป็นไม่ชอบ เพราะรู้ว่าถ้าชอบก็ทำอะไรไม่ได้’ ‘ทิ้งเรื่องไม่ดีในปีเก่า แล้วมาเป็นแฟนเราในปีใหม่’ ‘ทำไมจะไม่แคร์ อยากดูแลด้วยซ้ำ’  เห็นแล้วก็รู้สึกว่าตลกดีที่คนเราแม่งจะต้องพยายามเรียกร้องความสนใจจากคนแปลกหน้าขนาดนี้ด้วย

“มิลค์ มานี่ดิ๊.........”

เรียกครั้งที่หนึ่ง ลูกสาวผมไม่แม้แต่จะชายตาแล

“มานี่หน่อย คุณนายมิลค์.... ไม่มาไม่รักนะเว้ย”

เรียกครั้งที่สอง นอกจากจะไม่หันแล้ว แมวลูกทรพียังเดินหนีไปนอนหน้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะพยายามเรียกหรือแกว่งปลาทูปลอมล่อยังไงก็ไม่ยอมมาหา ขนาดผมมีของโปรดของไอ้มิลค์อยู่ในมือ มันยังไม่สนใจผมเลย.... แต่ก็ช่างเหอะ เพราะผมเองก็ค่อนข้างชินกับการถูกเมินแล้วไม่ว่าจะจากคนหรือสัตว์ก็ตาม


แต่คนพวกนั้นจะรู้บ้างไหมนะว่าผมเริ่มเหนื่อยแล้ว....?


ปกติแล้วผมฝันไม่ค่อยบ่อยนัก คงเพราะวันนี้มีอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในหัวมากเกินไปประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอ คลื่นสมองก็เลยสร้างภาพจากจิตใต้สำนึกขึ้นมาให้ผมมองเห็นเสมือนส่องดูเงาตัวเองจากกระจกบานใหญ่

ในความฝันนั้น ผมยืนอยู่บนขอบสะพานที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพมหานคร เบื้องหน้าคือทิวทัศน์ยามค่ำคืนซึ่งมีแสงไฟจากตึกสูงและบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยานับร้อยนับพันดวงตัดกับความมืดของท้องฟ้า ทว่า เบื้องล่างคือผืนน้ำกว้างใหญ่สีดำมะเมื่อมแสนน่ากลัว สายลมโหมพัดแรงราวกับพายุ กระแสน้ำไหวกระเพื่อมคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างหมุนวนอยู่ข้างใต้ ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีมือปริศนายื่นขึ้นมากวักเรียกผมให้กระโดดลงไปหา 

......ตูม!!......

ร่างของผมถูกโอบล้อมด้วยมวลน้ำที่บีบอัดเข้ามา ความหนาวเหน็บทิ่มแทงสู่ผิวเนื้อเหมือนคมมีด ลมหายใจขาดห้วงเมื่อของเหลวเย็นเยียบทะลักเข้าจมูกและปากจนได้แต่ดิ้นรนตะเกียกตะกายอย่างแสนทรมานอยู่ในความมืดมิด เพียงไม่นาน ผมก็เหนื่อยและหมดแรงลงในที่สุดหากก็ยังไม่ตายเสียที ได้แต่อยู่ในสภาพบวมน้ำจนขึ้นอืดและมองดูตัวเองล่องลอยออกห่างจากใต้สะพานแห่งนั้นออกไปทุกทีๆ

ผมโดดเดี่ยว.... ผมหวาดกลัว....

ตลอดเวลาที่ลอยอยู่ในน้ำ ผมเฝ้าอธิษฐานว่าจะมีใครสักคนผ่านมา ใครก็ได้ที่จะดึงผมขึ้นจากที่ตรงนั้น แม้ว่าร่างกายของผมจะเน่าเปื่อยเละเทะหมดแล้วก็ตาม

แต่ก็ไม่มีเลย.... ไม่มีใครเหลียวแลผม แม้กระทั่งเสียงกรีดร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครได้ยิน

สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายร้องขอที่จะจากไปเอง

ให้ผมตายเถอะ อย่าให้ผมต้องทนอยู่แบบนี้อีกเลย


“ไอ้ชา.........”


ให้ผมตายเถอะนะ ได้โปรด....
   

“ไอ้ชา!”

“ไอ้ชาาาาา ไอ้ทิชาโว้ยยยยยย!!!!”

“ทิชนันท์ เทอมนี้มึงติดเอฟทุกวิชาแล้ว! ตื่นๆๆๆ!!!”

ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำว่าเอฟ รู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองทุรนทุรายขึ้นมาจนพ้นผิวน้ำในสภาพหูตาเหลือก เมื่ออากาศสามารถไหลผ่านเข้าปอดได้ ผมจึงรีบหายใจจนกลายเป็นหอบแฮ่กจนกระทั่งใครบางคนดึงผมให้ลุกขึ้นมานั่ง.... ผมไม่ได้กำลังลอยเน่าอืดอยู่ในแม่น้ำแต่อยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง รอบข้างแห้งสนิทและปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัวจนต้องดิ้นพราดเพื่อเอาชีวิตรอดเลยสักนิด นอกจากคำว่าเอฟที่พุ่งเข้ามากระทบหูเมื่อกี้นี้

นั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือความฝัน แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อซึมเปียกไปทั่วแผ่นหลังเลยทีเดียว

“เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย เห็นนอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่สักพักละ ฝันร้ายเหรอ?”

เจ้าของมือเอ่ยถามก่อนจะใช้มือเสยผมซึ่งยุ่งเหยิงปรกหน้าออกให้

“ไอ้บี๋....?”

สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาทีละน้อยเช่นเดียวกับจังหวะการเต้นของชีพจรที่ค่อยๆ ผ่อนลงจนอยู่ในระดับปกติ ผมมองคนตรงหน้าที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการหยิบทิชชู่มาช่วยซับเหงื่อตามไรผมให้   

“มึงมาอยู่นี่ได้ไง?”

“ก็วันนี้มึงไม่ไปเรียน โทรหาก็ไม่รับสาย ไลน์ก็ไม่ยอมอ่าน.... กูก็ต้องมาดูสิว่าเพื่อนกูตายไปแล้วหรือยัง” 

บีบี๋ทั้งอธิบายและบ่นใส่ไปพร้อมๆ กัน ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูท่าทางมันคงเป็นห่วงผมมากเลยทีเดียว

 “รถที่จอดขวางหน้ารั้วบ้านนี่ฝีมือมึงใช่มะ กูขอบอกเลยนะว่ามึงจอดรถได้เชี่ยมาก จนป่านนี้แล้วยังขับไม่คล่องอีก ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะ ถอยเข้าบ้านไม่ได้ก็จอดขวางแม่งหน้าประตูซะงั้นเลย.... ที่สำคัญก็คือมึงไม่ได้ล็อกบ้านนะไอ้ชา ประตูกระจกข้างล่างก็เปิดทิ้งเอาไว้ ถ้ากูเป็นโจรนี่คงยกเค้าไปหมดบ้านแถมขึ้นมาฆ่าข่มขืนมึงเรียบร้อยแล้ว อันตรายฉิบหาย!”

ผมได้แต่พยักหน้าเออออยอมให้ไอ้บี๋บ่นโดยไม่เถียง เรื่องจอดรถทิ้งไว้ รอจนกว่ากายใจจะพร้อมแล้วค่อยลงไปถอยกระดึ้บๆ เข้าบ้าน แม่ผมก็บ่นออกบ่อย แล้วก็สงสัยว่าตอนที่ไล่ตะเพิดไอ้แดนออกจากบ้าน ผมคงจะรีบกลับขึ้นห้องจนลืมล็อกประตูกระจกตรงห้องรับแขกล่ะมั้ง....

“ว่าแต่มึงไม่สบายใช่ไหมเนี่ย หน้าแดงๆ ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้เลย?”

ผมพยักหน้ารับ เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับมาบ้านก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ตลอด แต่สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้นอย่าให้พูดถึงเลย 

“อืม.... นิดหน่อย พรุ่งนี้ก็หายแล้ว”

“กะแล้วเชียว ตัวท็อปภาคอย่างมึงเคยโดดเรียนง่ายๆ กับใครเขาเสียที่ไหน” 

ไอ้บี๋ทำหน้าโล่งอกหลังจากได้ยินว่าผมไม่เป็นอะไรมาก ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่หายตัวไปทำให้คนรอบข้างต้องเป็นกังวล ทว่า ผมกลับไม่สามารถยิ้มรับคำพูดที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นได้อย่างสนิทใจอีกแล้ว เพราะผมคือคนที่เอามีดปักกลางหลังเพื่อนรักเข้าเต็มๆ

 “งั้นที่มึงไม่คอลไลน์กลับมาเมื่อคืน ถือว่ากูให้อภัยคนป่วยนะ จะงดด่ามึงเป็นกรณีพิเศษหนึ่งวัน”

“แค่วันเดียวเหรอ?”

“วันเดียวก็ถือว่าเมตตามึงมากละ”

อันที่จริง ผมไม่มีมีหน้าจะไปต่อรองกับบีบี๋เลยด้วยซ้ำ และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องงดเว้นจากการด่าผม.... ยิ่งมันทำดีด้วยแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเติบโตขึ้นในใจเหมือนมะเร็งในระยะกำลังลุกลาม แม้ความเชื่อที่ว่าผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะรักชอบพี่โรมไม่น้อยไปกว่ามันจะยังมีอยู่มากก็ตาม

“แล้วนี่ก็ต้มเลือดหมูเฮียเล็ก ใส่แค่หมูสับ เลือด ผัก ไม่เอาเครื่องใน.... เดี๋ยวกูอุ่นให้นะ”

ไอ้บี๋บอกก่อนจะเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งเป็นเพนทรีครัวเล็กๆ จัดการหยิบชามใบใหญ่ออกมาจากตะแกรงข้างอ่างล้างจานอย่างคุ้นเคย ทำให้ผมนึกถึงแขกไม่ได้รับเชิญที่เพิ่งกลับไปเมื่อไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่จะให้บอกบีบี๋ว่าข้าวมันไก่ที่ไอ้แดนซื้อมาให้กินยังย่อยไม่หมดเลยก็ใช่ที่

“ขอบใจ แต่มึงใส่ตู้เย็นไว้ก่อนแล้วกัน กูเพิ่งกินข้าวไปเอง”

“ไม่ได้ๆ กูอยากให้มึงกินตอนนี้เลย จะได้กินยาด้วย..... นี่กูอุตส่าห์ให้เฮียโรมจอดรถข้างทางลงไปซื้อให้มึงเชียว คิวก็ยาว สุดท้ายโดนตำรวจไล่ไปวนรถตั้งสองรอบกว่าจะได้เลือดหมูมาให้มึงเนี่ย”

ชื่อของบุคคลที่สามทำเอาผมถึงกับสะอึก ผมไม่ได้สนใจที่มาของต้มเลือดหมูที่ไอ้บี๋กำลังโม้อยู่นี่หรอก แต่ตกใจที่รู้ว่าพี่โรมมากับมันด้วยต่างหาก พอชะโงกไปนอกหน้าต่างถึงได้เห็นว่ามีรถอีกคันจอดซ้อนมินิคูเปอร์ของ(แม่)ผมอยู่ มิน่าล่ะ ไอ้บี๋มันถึงบ่นเรื่องที่ผมไม่ยอมถอยรถเข้าบ้าน

ผมซ่อนเกียร์วิศวะฯ เอาไว้ใต้คอเสื้อระหว่างที่เพื่อนกำลังง่วนอยู่กับไมโครเวฟและแกล้งแหย่ไอ้มิลค์ คิดว่าบีบี๋น่าจะยังไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่ผมยังไม่อยากให้มันเห็น....

“เออ เมื่อตอนเที่ยง ไอ้แดนถาปัดมันมาดักรอเจอมึงที่ใต้ถุนคณะอะ บอกว่ามีธุระจะคุยด้วย” 

เพื่อนตัวเล็กกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดใส่ต้มเลือดหมูกับข้าวเปล่า พ่วงข่าวสารที่ผมรู้แล้วจากปากตัวต้นเหตุ.... แต่นอกจะเป็นการแจ้งเพื่อทราบแล้ว น้ำเสียงของมันยังบอกถึงความสงสัยจนปิดไม่มิด 

“มึงกับไอ้แดนจะคุยกันดีๆ สักครั้งยังแทบไม่เคย แล้วมันมามีธุระอะไรกับมึงได้ยังไง?”

“ไม่มีไรหรอก มันแค่มาชวนกูไปแคสบทละครช่องเอ็มด้วยกัน”  ผมบอกไปตรงๆ เพราะถึงยังไงเรื่องนี้ก็คงปิดเป็นความลับไม่ได้อยู่แล้ว

“ชวนมึงเนี่ยนะ!?” 

แน่นอนว่าไอ้บี๋จะต้องแปลกใจ แม้แต่ผมก็ยังแปลกใจตัวเองเลยที่ทุกสิ่งทุกอย่างเลยเถิดมาจนกลายเป็นแบบนี้ ใครจะไปคาดคิดว่าทิชา คณะสินกำ กับแดน สถาปัตย์ที่หลังจากจบงานเฟรชชี่ไนท์พร้อมกับฉากหอมแก้มสุดแสนอัปยศแล้วแทบจะไม่คุยกันอีกเลยจะกลับมาเผาผีกันอีกครั้ง แถมยังไปไกลถึงกันแคสบทคู่ในละครอีกต่างหาก 

“ไอ้นี่แม่งต้องบ้าแล้วแน่ๆ ก็รู้อยู่ว่ามึงเหม็นขี้หน้ามันจะตาย ขนาดวิชาที่ภาคเราต้องเรียนรวมกับพวกถาปัด มึงยังไม่ยอมทำงานกลุ่มเดียวกับมันเลย”

“นั่นดิ โคตรบ้าเลย”

“เอาไว้ถ้ามันมาตื๊อถามหามึงอีก กูจะปฏิเสธให้เลยก็แล้วกันว่ามึงไม่ทำ”

บีบี๋มันก็รู้เรื่องที่ไอ้แดนพยายามจะใช้ผมสร้างกระแสคู่จิ้น มันรู้ว่าผมไม่สะดวกใจที่จะอยู่ใกล้เดือนสถาปัตย์จอมฉวยโอกาสก็เลยพาลไม่ชอบไอ้แดนไปด้วยกัน ถ้าเป็นสักสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ผมก็คงโอเคที่จะรับความช่วยเหลือไล่นายแดนนรกไปไกลๆ แต่ตอนนี้ผมติดสัญญาทาสต้องตอบแทนเรื่องชิงเกียร์เมื่อคืนก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป

“ไม่ต้องหรอก..........”  บีบี๋มองหน้าผม ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจที่ผมปฏิเสธ  “กูคิดว่ากูอาจจะลองไปแคสดูน่ะ........”

“ไอ้ชา กูว่ามึงดูแปลกไปนะ.... ไข้ขึ้นจนเพี้ยนเหรอ?”

“เพี้ยนห่าอะไรล่ะ กูคิดดีแล้วน่า” 

ผมบอกยิ้มๆ เพิ่งนึกออกว่าบางทีการมีเรื่องออดิชั่นละครกับไอ้แดนแทรกเข้ามาอาจจะช่วยให้ผมทุกข์ใจเรื่องพี่โรมกับไอ้บี๋น้อยลงก็ได้ 

“แม่กูก็เคยพูดเรื่องถ่ายรูปทำพอร์ตเอาไปฝากไว้กับโมเดลลิ่ง เผื่อว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำขำๆ ระหว่างเรียน ก็ไม่แน่นะ กูอาจจะเหมาะกับการเป็นดาราเหมือนแม่มากกว่าทำงานเป็นอินทีเรียก็ได้”

“เหรอวะ?”

สายตาไอ้บี๋บอกชัดเจนว่าไม่ค่อยเชื่อ เพราะทิชาคนที่มันเคยรู้จักนั้นโคตรเกลียดการถ่ายรูปและการเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่มีจำนวนคนเกินห้าคน ขนาดงานโอเพ่นเฮาส์ปีที่แล้ว กว่าผมจะยอมโดนจับแต่งตัวออกไปนั่งเรียกแขกก็ต้องเดือดร้อนตั้งแต่รุ่นพี่ยันอาจารย์มาช่วยกล่อม จนถึงขั้นขู่ว่าจะตัดคะแนนกิจกรรมนิสิตออกนั่นแหละถึงได้ตกลงรับปาก.... แล้วอยู่ดีๆ ไอ้คนหน้าบึ้งยิ้มยาก มนุษยสัมพันธ์ติดลบกลับมาพูดหน้าตาเฉยว่าจะไปออดิชั่นเป็นดารา ข่าวต้นมะม่วงออกลูกเป็นลำไยยังน่าเชื่อกว่าอีก

“โอเค.... งั้นมีอะไรที่มึงยังไม่ได้บอกกูอีกมั้ย?” 

บีบี๋ถอนหายใจ สีหน้ามันดูไม่โอเคเหมือนอย่างที่พูดสักเท่าไร ซึ่งผมก็หวังว่ามันจะแค่เป็นห่วงไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อน 

“ถึงกูจะไม่ได้บอกมึงเรื่องที่กูคุยกับเฮียโรมในตอนแรก แต่สุดท้ายกูก็บอกเพราะไม่อยากมีความลับกับมึงนะ ไอ้ชา.... เพื่อให้แฟร์ๆ กันทั้งสองฝ่าย กูก็อยากให้มึงบอกกูทุกเรื่องเหมือนกัน”

ผมได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนแผลกลัดหนองในหัวใจ ถ้าถามความเห็นผม ผมก็ยังคิดว่าบีบี๋เล่นไม่ซื่อกับผมก่อนด้วยการแอบคุยกับพี่โรมลับหลัง ทั้งๆ ที่คนที่พี่โรมตั้งใจจะเข้ามาหาก็คือผม และถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากได้ยินเรื่องที่ว่าพี่โรมกับบีบี๋กำลังรักกันไปชั่วชีวิตหรอก ผมอยากให้ความจริงเหล่านั้นถูกเก็บเป็นความลับตลอดไป.... ในขณะเดียวกัน เรื่องที่คุณคิดว่าผมคงอยากบอกให้บีบี๋รู้ใจจะขาด มันเองก็คงไม่อยากฟังเหมือนกัน

ดูคล้ายว่าความแฟร์และมิตรภาพระหว่างเพื่อนอะไรนั่นได้ถูกทำลายไปตั้งแต่วันที่พี่โรมก้าวเข้ามาในชีวิตของพวกเราแล้ว.....

“อ้อ กูซีร็อกซ์ชีทวิชาเสงี่ยมที่แจกวันนี้มาให้มึงด้วย”

ไอ้บี๋ว่าพลางล้วงมือลงในกระเป๋าเป้ ค้นกุกกักๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วใส่ผมซึ่งเขี่ยเลือดหมูในถ้วยไปมาเพราะฝืนกินไม่ลง 

“หาไม่เจอ สงสัยกูลืมไว้บนรถเฮียโรมว่ะ”

“งั้นเอาไว้วันหลังค่อยให้ก็ได้”

“ไม่เป็นไรๆ เฮียก็รออยู่ข้างล่างนี่แหละ กะว่าพอเยี่ยมมึงเสร็จแล้วจะไปดูหนังกันต่อแล้วค่อยให้เฮียไปส่งบ้าน” 

คนตัวเล็กโบกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้ผมปฏิเสธ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา 

“ทีแรกกูก็บอกให้เฮียโรมขึ้นมาหามึงด้วยกัน แต่เพราะมึงเสือกไม่ได้ถอยรถเข้าบ้าน พวกกูจะไปจอดหน้าบ้านข้างๆ ก็ไม่กล้า เฮียก็เลยต้องจอดซ้อนคันขวางกลางถนนหมู่บ้านมึงเนี่ย เดี๋ยวมีรถสวนมาก็ต้องขยับให้”

ถนนหมู่บ้านผมกว้างจะตาย จะจอดต่อท้ายหรือซ้อนคันก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิด บ้านอื่นเวลามีงานปาร์ตี้เขาก็ทำกันออกบ่อย ทำไมผมจะไม่รู้ว่านั่นก็คือข้ออ้างที่พี่โรมจะได้ไม่ต้องขึ้นมาหาผม


   ‘เฮียจ๋า เอาแฟ้มสีน้ำเงินที่บี๋วางไว้หน้าคอนโซลขึ้นมาให้หน่อยดิ ชั้นสามนะ.... ขึ้นมาเหอะน่า ไม่เป็นไรหรอก บี๋จะได้ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ไง’

   ‘แค่แปบเดียวเอง ไม่มีใครด่าหรอกน่า.... ไอ้ชามันก็อยากเจอเฮียด้วยนะ’


ไอ้บี๋ออกคำสั่งใส่แฟนผ่านโทรศัพท์ มีการหันมาไซโคให้ผมตอบว่าอยากเจอพี่โรมอีกต่างหาก ดูท่าทางพี่โรมคงจะแพ้แรงอ้อนของไอ้บี๋ด้วยล่ะมั้ง เพราะตอนนี้มันยิ้มแป้นแล้นพูดอวดให้ผมฟังอย่างมีความสุขมากทีเดียว

“เรียบร้อย.... มีแฟนทั้งทีก็ต้องอ้อนไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ดิวะ ให้พี่มันได้ออกกำลังกายบ้าง นั่งอยู่ในรถนานๆ เดี๋ยวตะคริวกินตูด จริงมั้ยคุณเพื่อน?”

ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ เพียงแค่หัวเราะแห้งแอคติ้งว่าเห็นด้วยกลับไปก็พอ ทว่า ใจจริงก็อดนึกสงสารพี่โรมที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ไม่ได้.... ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องที่พี่โรมต้องคอยตามใจรับใช้บีบี๋หรอกนะ แต่สงสารที่เขาจะต้องเจอหน้าผมทั้งๆ ที่เพิ่งตะโกนใส่หน้าว่าขยะแขยงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

เอาเป็นว่า ผมจะยอมหลบให้สักครั้งเพื่อความสบายใจของพี่โรมก็แล้วกัน....

“ถ้าขึ้นมาแล้วฝากวางไว้บนโต๊ะให้ทีนะ กูว่าจะนอนต่อสักหน่อยว่ะ”  ผมพูดก่อนจะกรอกยาลดไข้เข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม  “มึงจะไปดูหนังก็รีบไปเหอะ แถวนี้รถติด กว่าจะไปถึงห้างก็ได้ดูรอบเที่ยงคืนพอดี”

“งั้นเดี๋ยวกูเอาชามเลือดหมูไปล้างให้ ขอเข้าห้องน้ำอีกแปบละกลับเลยนะ”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้า รีบหลับตาลงระหว่างที่หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา

เมื่อการมองเห็นถูกตัดทิ้งไป ประสาทด้านการรับรู้ส่วนอื่นก็ดูจะทำงานได้ดีขึ้น ผมรู้สึกได้ว่ามีใครคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอน และเขาคนนั้นไม่ใช่บีบี๋ที่กำลังล้างจานส่งเสียงก๊อกแก๊กมาจากตรงมุมเพนทรี.... หัวใจของผมเต้นแรงจนเหมือนว่ามันจะหลุดกระเด็นออกมา แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและแกล้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องต่อไป ไม่ใช่แค่เพื่อความสบายใจของพี่โรมเท่านั้น แต่เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวผมเองด้วย เพราะผมคงทนไม่ได้ถ้าหากลืมตาขึ้นแล้วต้องเห็นสายตาซึ่งแสดงออกถึงความโกรธเกลียดจากคนที่ตัวเองหลงรักจนแทบเป็นบ้าอีกครั้ง

“เฮียวางแฟ้มไว้บนโต๊ะที่มีคอมเลย เดี๋ยวบี๋ล้างจานเสร็จแล้วจะเทข้าวให้แมวไอ้ชา เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเราค่อยกลับกัน”

“อืม..........”

ผมรับรู้ได้ว่าพี่โรมเดินไปวางแฟ้มบนโต๊ะทำงานตามที่บีบี๋บอก ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าเดินย่ำกลับมาหยุดอยู่ตรงที่เดิม เสียงน้ำไหลจากก๊อกหยุดไปแล้ว มีเสียงเขย่าถุงอาหารแมวดังแทรกขึ้นมาแทน.... ผมตัดสินใจพลิกตัวตะแคงหันหน้าหนีไปอีกทางก่อนที่จะทนแกล้งหลับต่อไม่ไหว แต่ทว่า ฝ่ามือหนากลับแตะลงบนหน้าผากผมพร้อมกับที่ร่างกายหนักๆ ของชายหนุ่มทำเอาเบาะที่นอนข้างตัวผมยวบลงไป

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 13/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 16-12-2017 22:14:22
“มึงไม่สบายเหรอ ทิชา?”


ผมลืมตาขึ้นมองหน้าพี่โรมในที่สุด....

ทั้งที่อุตส่าห์แกล้งหลับแทบตายแต่ความตั้งใจกลับพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี แววตาคู่นั้นไม่ได้บ่งบอกความรังเกียจขยะแขยงเหมือนอย่างที่เห็นเมื่อตอนกลางวัน หากแต่ฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่ผมอยากได้แต่ไม่กล้าเรียกร้องจากเขา.... บอกตามตรง ผมนึกว่าประโยคแรกที่พี่โรมจะพูดด้วยหลังเจอหน้าผมก็คือทวงเกียร์ที่ห้อยคออยู่ตอนนี้คืนเสียอีก แต่เขากลับไม่พูดถึงมันเลย ทั้งถ้อยคำและสัมผัสที่มอบให้ล้วนแล้วแต่อ่อนโยนทะนุถนอม ราวกับว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นแค่ความฝันที่ไม่เคยมีอยู่จริง

แต่ผมควรจะรู้ได้แล้วว่าความอ่อนโยนได้รับนี้คือของปลอม สายตาเกลียดชังและคำพูดตัดรอนไร้เยื่อใยจากปากพี่โรมต่างหากที่เป็นของจริง

“นอนพักผ่อนเยอะๆ ก็แล้วกันนะ จะได้หายไวๆ”

“..................”

“ทิชา?”

ผมไม่เข้าใจความคิดพี่โรมเอาเสียเลย ถ้าเขามาที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าผม มาตอกย้ำให้รู้ว่าคนที่เขาเลือกคือบีบี๋ ไม่ใช่ผมที่เอาแต่มโนเพ้อเจ้อไปเองว่าถูกรักถูกชอบ บางทีผมอาจจะลุกขึ้นแล้วขว้างเกียร์วิศวะฯ แสนเฮงซวยออกนอกหน้าต่างต่อหน้าต่อตาเจ้าของเลยก็เป็นได้

แต่ในเมื่อพี่โรมยังใจดีกับผมอยู่ ผมก็จะยังคงติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่มีความเชื่อลมๆ แล้งๆ ว่าเขารักผมมากกว่าบีบี๋ที่เป็นแฟนตัวจริง

ผมเอื้อมมือดึงคอเสื้อร่างสูงให้เขาโน้มตัวลงมาหา สิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดก็พูดออกไปจนหมด.... รู้ดีเชียวล่ะว่ามันคือความเหี้ยและเลือดเย็นอย่างที่สุดของที่สุดที่คนเราจะทำกับเพื่อนสนิทได้ แต่จะให้ผมปล่อยมือจากพี่โรมแล้วลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้เหมือนกัน

“เกียร์น่ะ ชาไม่คืนให้พี่หรอกนะ........ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้คืนให้.........”

“ทิชา.....คือกู.............”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จนกว่าพี่จะบอกเลิกไอ้บี๋แล้วเราค่อยมาคุยกัน”

ผมตัดบทสนทนาด้วยการพลิกตัวคลุมโปงปิดรับคำปฏิเสธ ทุกสิ่งที่ไอ้แดนพูดกรอกหูตลอดเวลาที่มันอยู่ที่นี่ถูกลืมเลือนไปจนหมด สุดท้ายแล้ว ผมก็เป็นได้แค่เพื่อนชั่วที่เห็นแก่ตัวและตอแหลร้ายกาจ แถมยังโง่ถึงขนาดยอมแลกโลกทั้งใบที่มีอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ชายแค่คนเดียว


“ขยะแขยงชามากเลยสินะ? อืม รู้แล้วล่ะ.... ไม่ต้องย้ำหลายรอบก็ได้”



ROME’s PART


สิ่งที่ผมพูดใส่หน้าทิชาเมื่อตอนกลางวันมันเลวร้ายมาก.... ผมเองก็รู้ แต่คำพูดคนเรามันก็เหมือนถ่มน้ำลายลงพื้นนั่นแหละ พูดไปแล้วก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ความรู้สึกของคนฟังก็เช่นกัน

ผมผิดหวังและโกรธหลังจากรู้ความจริงว่าตัวเองโดนหลอก ใครจะไปคิดว่าเด็กรุ่นน้องต่างคณะท่าทางไม่ประสานั่นจะกล้าต้มทั้งผมและรุ่นพี่วิศวะฯ คนอื่นๆ จนเปื่อย.... ทิชาตั้งใจไปที่เบอร์ลิคเพื่อชิงเกียร์ของผม มันรู้กฎเกณฑ์ของร้านมาตั้งแต่แรกและรู้ดีว่าผมประกาศเปิดตัวบีบี๋อย่างเป็นทางการแล้วแต่ก็ยังทำ เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อที่จะแย่งคนรักของเพื่อนสนิท ผมถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าในสมองเล็กๆ นั่นบรรจุความคิดอันตรายแบบนี้เอาไว้ได้ยังไง

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มันแย่ตรงที่ผมโยนให้เป็นความผิดของทิชาเพียงฝ่ายเดียว น้องหาเรื่องใส่ตัวก่อนก็จริง แต่ผมเองก็เลวที่ใจอ่อนให้กับเสน่ห์ความเย้ายวนของมัน.... ทิชาเป็นคนสวยจัด ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้ และใช่ว่าผมจะไม่รับรู้ถึงความเข้ากันได้ของเราทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หลงถึงขนาดกอดร่างผอมบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเช้า

ผมไม่สบายใจเมื่อได้ยินจากบีบี๋ว่าทิชาป่วย แต่ก็ไม่อยากมาสู้หน้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรให้น้องเข้าใจผิดอีก.... ทั้งๆ ที่ผมควรจะหนักแน่น ควรจะตัดความสัมพันธ์ทิ้งให้เด็ดขาดเหมือนกับตอนที่ตะโกนคำพูดด่าทอพวกนั้นออกไป แต่ก็อย่างที่เห็น สุดท้ายผมก็ตัดใจทิ้งทิชาไปไม่ได้


   ‘เกียร์น่ะ ชาไม่คืนให้พี่หรอกนะ........ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้คืนให้.........’
   ‘ทิชา.....คือกู.............’
   ‘ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จนกว่าพี่จะบอกเลิกไอ้บี๋แล้วเราค่อยมาคุยกัน’



เป็นอีกครั้งที่ความใจอ่อนย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเอง

และไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่ยังมีบีบี๋ แฟนคนแรกในรอบหลายปีของผมที่ถูกลากเข้ามาอยู่ในวังวนของความรักและการโกหกหลอกลวงไม่รู้จบ....


ผมกับบีบี๋ตกลงกันว่าจะแวะดูหนังที่ห้างใหญ่แถวสถานีพร้อมพงษ์ก่อนกลับบ้าน สองทุ่มกว่าแล้วแต่รถบนถนนสุขุมวิทก็ยังติดเป็นบ้าเป็นหลัง บนรถมีเสียงเพลงของ Ed Sheeran จากไอพอดและเสียงของบีบี๋ร้องคลอเป็นระยะ ทั้งที่บรรยากาศและสภาพการจราจรชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย แต่คนตัวเล็กก็ยังยิ้มแย้มร่าเริงชวนพูดคุยไม่ให้ผมรู้สึกเบื่อ....

ความสดใสน่ารักคือสิ่งที่ผมชอบในตัวคนๆ นี้ ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโตในครอบครัวที่มีพี่น้องห้าคน พ่อแม่และคนส่วนใหญ่จึงมักคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นผู้ใหญ่คอยดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นอยู่เสมอ แต่กับบีบี๋ ผมสามารถพูดทุกอย่างที่อยากพูดได้ จะชวนเล่มเกมหรือโวยวายชวนทะเลาะทำตัวเป็นเด็กแค่ไหนก็ไม่เคยว่า บีบี๋จึงเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดในตอนนี้

ในขณะที่ทิชาเป็นเหมือนแก้วบางๆ ซึ่งมีรอยร้าวอยู่เต็มไปหมด ถึงจะเห็นว่าสวยแค่ไหนแต่ก็กลัวว่าตัวเองจะจับต้องมากเกินไปจนมันแตกคามือ

และสิ่งที่ผมกังวลก็คือการที่บีบี๋จะเปลี่ยนจากหมอนนุ่มนิ่มที่ผมทิ้งตัวลงนอนหนุนได้อย่างสบายใจไปเป็นแก้วอีกใบหนึ่ง....

“เฮียโรม........”  พ้นไฟแดงข้างหน้าก็จะสามารถยูเทิร์นเลี้ยวเข้าห้างได้แล้ว อยู่ๆ บีบี๋ก็เอ่ยเรียกผมขึ้นมา  “บี๋ว่าจะคุยกับเฮียเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานละแต่ดันลืมเสียสนิทเลย”

“อะไรครับ?”

“เรื่องเกียร์วิศวะฯ ของเฮียไง” 

ร่างเล็กพูดก่อนจะหันมาหาผมซึ่งนั่งตัวแข็งทื่อเป็นปลาโดนน็อคน้ำเย็นแล้วแบมือทวงของสำคัญ ใบหน้าอ่อนใสประดับรอยยิ้มกว้างจนแก้มป่องไม่ได้แฝงความดราม่าเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความกดดันผ่านดวงตากลมโตคู่นั้น 

“ส่งมาซะดีๆ อย่าแกล้งลืม”

“...................”

ผมนิ่งไปเพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองควรทำอย่างไร หัวสมองพยายามนึกหาคำโกหกให้วุ่นไปหมด และเมื่อเห็นว่าผมยังเฉยไม่มีวี่แววจะถอดสร้อยคอที่วิศวะฯ ทุกคนต้องสวมติดตัวออกให้ บีบี๋ก็หน้ามุ่ยและเริ่มใช้น้ำเสียงไม่พอใจ

“หมายความว่าไงอะเฮีย? จะไม่ให้บี๋เหรอ?”

“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” 

ผมส่ายหน้า การโกหกคือหนึ่งในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด ผมถึงรับไม่ได้ที่ทิชาเล่นละครหลอกลวงให้ผมตายใจ หากในเวลานี้ผมกลับกลายเป็นคนที่ต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดเสียเอง 

“คือ........เอ่อ........คราวก่อนที่กลับไปบ้านที่สุราษฎร์ เฮียลืมเกียร์เอาไว้น่ะ ไว้จะกลับไปเอามาให้ละกัน”

“หา!?”

บีบี๋ตกใจจนร้องเสียงหลง ดูท่าทางผิดหวังเอามากๆ ที่ไม่ได้เกียร์จากแฟนไปคล้องให้สมฐานะสะใภ้วิศวะฯ

“ทำไงได้ ก็ไม่คิดว่าจะต้องให้ใครนี่หว่า” 

ผมแกล้งหยอกเพื่อให้โทนของบทสนทนาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยบีบี๋ก็ไม่ได้โวยวายจะเอาให้ได้เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ผมก็โล่งอกไปเปราะหนึ่งแล้ว 

“เฮียจะรู้มั้ยว่าอยู่ดีๆ ก็จะมีชิวาว่าอย่างบี๋โผล่มาให้เลี้ยง อุตส่าห์อยู่เป็นโสดมาตั้งหลายปี เตรียมตัวมีแฟนไม่ทันเว้ย”

“งั้นก็แล้วไป นึกว่าแอบถอดใส่ให้คนอื่นไปซะแล้ว” 

เสียงเพลงกลับมาอีกครั้งจนกระทั่งผมจอดรถที่ชั้นโรงหนังของห้างเสร็จเรียบร้อย เราจูงมือกันออกมาดูโปรแกรมหนังที่บอร์ด LED หน้าเคาท์เตอร์ขายตั๋ว หลังจากตกลงกันเรียบร้อยว่าจะดูหนังแอคชั่นแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังดังในช่วงนี้ บีบี๋ก็พูดขึ้นมาพร้อมกับควงแขนผมไปด้วย 

“วันหยุดยาวครั้งหน้า ให้บี๋ไปเที่ยวบ้านเฮียโรมที่สุราษฎร์ด้วยคนได้มั้ยอะ.... จะไปเอาเกียร์ แล้วก็ถือโอกาสไปไหว้พ่อแม่เฮียด้วยไง”

“อืม ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันนะ”

แค่จะไปเที่ยวบ้านหรือเปิดตัวกับพ่อแม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหาที่แท้จริงก็คือเกียร์ของผมซึ่งทิชาไม่มีทางยอมคืนให้ง่ายๆ ต่างหาก

“แล้วก็โทษฐานที่บี๋เป็นสะใภ้วิศวะฯ แต่ยังไม่มีเกียร์ห้อยคอ ก็เหมือนเฮียมาขอบี๋แต่งงานปากเปล่าแต่ไม่มีสินสอด มันไม่โอเค.... เฮียต้องชดเชยให้บี๋ด้วย”

“ชดเชยยังไงดีล่ะ?”

“เวลาอยู่มอ ถ้าเราเดินด้วยกัน เฮียจะต้องให้บี๋ใส่เสื้อช็อปเฮีย” 

ชิวาว่าน้อยของผมยืนกอดอกแสดงความเอาแต่ใจออกมาจนได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างขัดใจเมื่อผมให้คำตอบช้าเกินไป 

“บี๋อยากแสดงความเป็นเจ้าของ คนอื่นจะได้รู้ไงว่าเฮียโรมเป็นแฟนของบี๋.... อันที่จริง บี๋ก็ไม่ได้ขี้หึงเว่อวังอะไรนักหรอก แต่โดนคนอื่นแย่งแฟนมันก็ไม่สนุกนะ”

“โอเค ตามใจ”

ผมจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังก่อนจะพาไอ้ตัวเปี๊ยกไปซื้อป๊อปคอร์นในถังลายตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องที่เรากำลังจะเข้าไปดูด้วยกัน.... อีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าโรง ผมจึงพาบีบี๋ไปนั่งเล่นรอที่เก้าอี้โซฟาตรงล็อบบี้ด้านบนซึ่งต้องเป็นคนที่ซื้อตั๋วหนังถึงจะขึ้นมาได้ เราทั้งคู่ก็เหมือนคู่รักนักศึกษาทั่วไป คุยกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง ผลัดกันป้อนขนมหรือบางทีต่างคนก็ต่างก้มหน้ากดโทรศัพท์เพื่อจัดการกับธุระออนไลน์ของตัวเอง

แต่ทว่า อยู่ดีๆ มือเล็กก็สะกิดเรียกผมพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา

“เฮียจ๋า.... จุ๊บๆ บี๋หน่อยจิ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อก้มลงมองหน้าคนรักก็เห็นสายตาขี้อ้อนแบบลูกหมากำลังจ้องมองมา มันน่าเอ็นดูจนผมเผลอหลุดยิ้มขำ

“แก่แดดจริง เพิ่งคบกันได้ไม่กี่วัน อยากโดนจูบแล้วเหรอ?”

“จริงๆ ก็อยากโดนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”  เจ้าตัวแสบพูดน้ำเสียงทะเล้น ท่าทางก๋ากั่นจนน่าจับมาตีให้ก้นลาย  “จุ๊บบี๋หน่อยนะ แค่จุ๊บๆ นิดเดียวเอง”

ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่ทำตามที่คนรักตัวเล็กขอร้อง ผมยื่นหน้าเข้าไปหากลีบปากสีสดที่ยื่นนิดๆ รอรับจูบแรกของเราสองคน ใกล้อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะโดนอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับนึกถึงภาพตัวเองที่กำลังประกบจูบบดเบียดริมฝีปากแลกลิ้นกับทิชาอย่างเร่าร้อนขึ้นมา.... ผมเปลี่ยนใจกลางคันก่อนจะถอยปากตัวเองกลับมา แล้วเบี่ยงไปใช้ปลายจมูกฝังลงบนผิวแก้มของบีบี๋แทน

“บี๋ยังเด็ก เอาไปแค่นี้ก็พอ”

“ธ่อววววววว” 

บีบี๋โอดครวญ ทำหน้าตาเสียดายที่โดนผมหลอกให้ยื่นปากรอเก้อแต่กลับได้มาแค่โดนหอมแก้มนิดๆ หน่อยๆ หากพอเจ้าตัวเอามือถือมาเปิดเช็คดูกล้องหน้าที่ตั้งเวลาถ่ายไว้เมื่อครู่ รอยยิ้มระรื่นก็กลับคืนมาเหมือนเดิมแทบจะทันที 

“แต่ไม่เป็นไรก็ได้ รูปออกมาสวยก็พอใจละ”

ไม่พูดเปล่า แต่บีบี๋ยังเปิดไอจีเตรียมจะอัพรูปหอมแก้มเมื่อกี้อวดให้บรรดาฟอลโลเวอร์ได้ร่วมรับรู้ด้วยอีกต่างหาก

“บี๋จะโพสต์ลงไอจีจริงๆ เหรอ?”

“ต้องโพสต์สิ.... ทุกคนจะได้เห็นไงว่าเราสองคนสวีทกันแค่ไหน”

ผมไม่ว่าอะไร ทั้งไม่อยากขัดใจบีบี๋แล้วก็เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของคนสมัยนี้ที่ต้องอัพเดทเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนฝูงรู้เห็นด้วยแบบเรียลไทม์ ผมเองก็มีบ้างเหมือนกันเวลาที่ไปสนามแข่งรถ กลับไปเที่ยวรีสอร์ทของที่บ้าน หรือซื้อของใหม่ๆ ที่ตัวเองถูกใจก็จะโพสต์เอาไว้เป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัวประหนึ่งไดอารี่ คนคอมเมนท์ก็หนีไม่พ้นพวกเพื่อนฝูงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันนั่นแหละ

แต่สำหรับบางคน ประโยชน์ของโซเชียลมีเดียก็มีมากกว่านั้น....

“อ้อ เฮียรู้ปะว่าจริงๆ แล้วไอ้ชามันแอบมีไอจีด้วยนะ บี๋เคยบังเอิญปลดล็อคโทรศัพท์มันได้ก็เลยเอามากดดูเล่น.........” 

บีบี๋พูดไปพลาง กดมือถือตัวเองพิมพ์แคปชั่นให้กับรูปเมื่อกี้ไปพลาง ท่าทางเหมือนแค่ชวนคุยเฉยๆ แก้ปากว่างไม่ได้มีพอยนท์สำคัญอะไร 

“แต่มันตั้งไพรเวทเอาไว้ ไม่เคยลงรูป แถมไม่ฟอลโลว์ใครเลยด้วย น่าจะเอาไว้ส่องชาวบ้านอย่างเดียว”

“แล้วไงเหรอ?”

ผมย้อนถามไปแบบไม่คิดอะไร แค่มีโทรศัพท์มือถือ ใครๆ ก็มีแอคเคาท์อินสตราแกรมเป็นของตัวเองได้ทั้งนั้น แล้วการที่ทิชาจะมีเหมือนอย่างคนอื่นบ้างก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกตรงไหน

“ก็ไม่แล้วไงหรอก........” 

พอพูดจบประโยคนั้น บีบี๋ก็อัพรูปคู่หอมแก้มของเราขึ้นสู่โลกโซเชียลเป็นที่เรียบร้อย ใส่ทั้งโลเกชั่นและแท็กหาผมเสร็จสรรพ

“แค่บางทีบี๋ก็นึกอยากให้มันปลดล็อค จะได้แท็กอะไรที่อยากให้มันเห็นได้สะดวกๆ หน่อย”


        Im_BeeBeE
   รูป : โรมหอมแก้มบีบี๋ที่หน้าโรงหนัง
   แท็กรูป @Do_As_RomanS

   แคปชั่น : ผู้ชายคนนี้ของกู!




TO BE CONTINUE


+++++



TALK

เห่นโร่ววววว

สำหรับอัพเดทคราวที่แล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับกระแส #แดนทิชา จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะเขียนมาให้เป็นคู่แข่งของพี่โรมตามท้องเรื่องนั่นแหละ แต่ไม่คิดเลยนะว่าจะมีคนชอบแดนมากกว่าพี่โรม จ๊ากกกกกก
เอาเป็นว่าให้ทุกคนลุ้นดีกว่าเนอะว่าสุดท้ายใครจะได้น้องทิชาไป 55555+

ขอพูดเรื่องเนื้อหา+การเขียนอีกนิดหน่อย

จะบอกว่าปกติแล้วเราไม่ค่อยเขียนนิยายที่ใช้มุมมองเป็นบุรุษที่1เลย เหมือนนี่จะเป็นเรื่องที่2จากผลงานทั้งหมดเลยมั้ง เพราะเราคิดว่าการเขียนด้วยมุมมองของบุรุษที่3มันจะสามารถบอกสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวรู้สึกนึกคิดได้ครอบคลุมกว่า

พอมาเขียนด้วยบุรุษที่1แล้ว ก็มีจุดที่แบบ เออ.... คนอ่านจะไม่รู้ว่าอีกตัวคิดยังไงจนกว่าจะถึงพาร์ทของคนๆนั้น มันก็ท้าทายดี แต่อีกจุดนึงเราก็กลัวคนอ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง กลัวสื่อไม่ได้ครบทั้งหมด 55555 แต่ก็จะพยายามนะคะ คอมเมนท์ที่ติชมก็จะเอามาปรับปรุงในตอนต่อๆไปค่ะ

แล้วกลับมาพบกันในตอนต่อไปค่ะ

Alice

#โซนากีJY #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 16-12-2017 22:44:34
แหมมมอิบี๋ ทำมาเป็นแบ๊วนะคะ เค้ากินกันไปถึงไหนต่อไหนล่ะโว้ยยย ผู้เธอก็เต็มใจข่ะะ เบ้ปากใส่กะเลยขี้แอ๊บ

ไม่อยากจะเชียร์ใครเลยคนเขียนพาแหกโค้งตลอด ก็รู้ว่านิยายนะ แต่ ผช โลเลอย่างโรม มันมีค่าให้แย่งขนาดนั้น? เชิ่ดใส่ อินหนัก นี่ทะแม่งๆว่าอิโรมนี่ล่ะพระเอก แดนน่าจะตัวหลอก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 17-12-2017 00:13:39
บี๋เริ่มไม่ดีละ แหมมมม ทำมาพูดเขากินกันไปถึงไหนแล้วเธอ
สรุปจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายกันทั้งคู่หรือเปล่าน้าาาาา
แต่บอกตรงๆ เจอประโยคสุดท้ายของบี๋เข้าไปทำให้เกลียดบี๋ขึ้นมาทันที
ยังไงเธอก็มาทีหลังนะน้องบี๋ เผื่อจะลืมตัวคิดว่าพี่โรมเขารักเธอมาก แหมม~
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 17-12-2017 00:40:05
ในฐานะตัวผู้ ผมคิดว่าในใจลึกๆโรมก็อยากเก็บทิชาไว้ข้างกายขณะที่ยังรักบีบี๋อยู่
ไม่อ้างสันดานตัวผู้นะคับแต่ความเห็นแก่ตัวคนเราย่อมมีกันทุกคนอยู่ที่จะมากจะน้อยแตกต่างกันไป
ตั้งแต่สิงเล้าเป็ดมาเม้นเน้สาระสุดละ :laugh:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pa'veaw ที่ 17-12-2017 00:54:10
ไม่ชอบแดนเลยอะ ไม่ชอบคำพูด

อ่านกี่ตอนก็ไม่ชอบทุกตอนที่แดนออกมา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 17-12-2017 01:23:13
อ้าวอิบี๋!!!!! ทำมาเป็นใสๆ อิขี้แอ๊บ รงๆโรมๆอะไรไม่ต้องไปแย่งเขาลูก ทิชาลูกแม่หาใหม่ค่ะหาใหมมมมมม่  :katai4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-12-2017 01:39:56
บี๋รู้แล้วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 24-12-2017 20:32:36
8
~ เพื่อนรักเพื่อนร้าย ~


“บ๊ายบายทุกคน เลิกเรียนแล้วจะทักไลน์ไปนะ ไว้เจอกันตอนเย็น”



“บาย บีบี๋.... เจอกันๆ”



ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือคู่มือการใช้โปรแกรม 3D MAX เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสนิทบอกลาใครก็ไม่รู้ เห็นไอ้บี๋โบกมือหยอยๆ ให้กับผู้หญิงสองผู้ชายหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ดูท่าทางน่าจะเป็นคนจากคณะอื่น ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่เคยได้ยินมันพูดถึงเลยว่ามีเพื่อนอยู่ต่างคณะด้วย



“พวกนั้นใครเหรอ?” ผมเอ่ยถามหลังจากที่บีบี๋นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามในใต้ถุนคณะซึ่งเป็นที่ประจำของผมกับมัน



“อ๋อ แก๊งค์สะใภ้วิศวะฯ น่ะ” 



มันตอบพลางยิ้มสดชื่น



“ผู้หญิงคนที่ผมยาวๆ ชื่อน้ำตาล อยู่นิเทศ ผู้หญิงอีกคนชื่อแก้วแล้วก็ไอ้มิ่งอยู่คณะมนุษย์.... พอดีเมื่อวานมีรุ่นพี่ลากมาให้รู้จักกันในแชทกลุ่มไอจี เขาบอกว่าเป็นสะใภ้วิศวะฯ เหมือนกันก็ให้พยายามเกาะกลุ่มกันเอาไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ไง”



“ฟังดูดีนะ เหมือนสมาคมแม่บ้านทหารเลย”



ผมยิ้มอ่อนไปตามเรื่องตามราว ก็คงเป็นธรรมเนียมประหลาดๆ ของพวกคณะวิศวะฯ ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนตามเคย แต่ก็เป็นอะไรที่เหมาะกับคนอย่างไอ้บี๋ดี.... บีบี๋มันชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่มีสังคมให้อัพเดทข่าวสารพูดคุยตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่ากลุ่มสะใภ้วิศวะฯ อะไรนี่แหละที่จะตอบสนองความต้องการของมันได้ อยู่กับผมมันคงรู้สึกเบื่อแทบตาย แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมมันถึงเลือกคบผมเป็นเพื่อน



“ไอ้ชา เย็นนี้กูกับพวกนั้นจะไปกินบิงซูที่สยาม มึงไปด้วยกันมั้ย?”



“ไม่ดีกว่าว่ะ” 



ผมปฏิเสธ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของพวกสะใภ้วิศวะฯ ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ คนนอกอย่างผมโผล่ขืนไปมีหวังได้ถูกด่าว่าสะเหล่อเสนอหน้าไม่เข้าเรื่องเสียเปล่าๆ



“ไปเหอะน่า ไปนั่งกินขนมเมาท์มอย มึงจะได้รู้จักเพื่อนใหม่กูด้วยไง” 



บีบี๋ยังคงพยายามตื๊อ ดูมันภาคภูมิใจกับการได้เป็นหนึ่งในกลุ่มบรรดาเมียๆ ที่บูชาเกียร์ของผัวยิ่งชีพมากเหลือเกิน เสียงง้องแง้งขอให้ผมไปด้วยกันดังอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงียบลงไปเองโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ผมมองหน้าบีบี๋ก็เห็นมันหัวเราะแหะยิ้มแห้งก่อนจะพูดต่อ 



“แต่คิดดูอีกทีกูว่ามึงอย่าไปเลยดีกว่า ก็อย่างที่บอกอะนะว่ามีแต่พวกสะใภ้วิศวะฯ ด้วยกัน เดี๋ยวมึงจะไม่สนุกเปล่าๆ.... เอาไว้เราค่อยไปกันเองดีกว่าเนอะ”



“อืม กูก็ว่างั้น”



ผมไม่อยากคิดนะว่าบีบี๋มันกำลังขิงอะไรใส่ผมทางอ้อมหรือเปล่า มันคงเกิดหวังดีกะทันหันไม่อยากให้ผมไปแล้วงานกร่อยก็เลยพูดกันซีนออกมา.... ผมเองก็ไม่อยากขัดมัน เพราะมันก็คงไม่รู้ว่าเกียร์ของพี่โรมอยู่กับผม บางทีการไปปาร์ตี้บิงซูกับแก๊งค์สะใภ้วิศวะฯ หนนี้อาจจะเป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้



เมื่อวานนี้ผมสั่งให้พี่โรมบอกเลิกไอ้บี๋แล้ว และผมก็หมายความตามนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คิดเปลี่ยนใจ



เพราะฉะนั้น บีบี๋จะพูดจาขิงข่าให้ผมรู้สึกแย่แค่ไหนก็ได้ ยังไงซะเดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะจบลง แล้วเราทั้งคู่ก็ต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าอย่างไอ้บี๋มันคงไม่เป็นไรมากนักหรอก ไม่ทันข้ามวันก็คงหาเพื่อนใหม่ที่ดีกว่าผมได้



แต่สำหรับผม ให้หาคนอื่นมาแทนที่พี่โรม ผมคงทำไม่ได้....



“เออนี่.... เมื่อวานเฮียโรมเขาชวนกูไปเที่ยวบ้านที่สุราษฎร์ด้วยแหละ” 



ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้ง บีบี๋กำลังจ้องหน้าผมเหมือนมีเรื่องเป็นล้านที่อยากเล่าให้ฟังจนอดใจไม่ไหว น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างกับคนถูกหวยค่อยๆ คายถ้อยคำบาดหูระคายเคืองหัวใจให้ผมร่วมรับรู้ 



“คือหลังจากที่กลับจากบ้านมึงแล้ว เฮียแกก็พูดขึ้นมาว่าปิดเทอมคราวหน้าจะต้องกลับไปบ้าน.... มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าบ้านเฮียโรมเป็นเจ้าของรีสอร์ทบนเกาะสมุย เกาะพงัน เกาะห่าเกาะเหวอะไรแถวนั้นไม่รู้เป็นสิบๆ ที่เลยล่ะ เฮียก็เลยชวนกูไปเที่ยวบ้าน กูจะได้ไปฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อแม่เขาด้วยไง”



ผมรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วของตัวเองกำลังขมวดมุ่น เชื้อโกรธก่อตัวจากหัวใจพุ่งตรงขึ้นสู่สมองจนหัวร้อนไปหมด.... ผมว่าผมพูดกับพี่โรมชัดเจนแล้วนะว่าให้บอกเลิกบีบี๋ แล้วทำไมถึงกลายเป็นชวนมันไปเที่ยวบ้านได้? หรือว่าเกียร์จะอยู่ไหนก็ช่างแม่ง ไม่ต้องสนใจกันอีกแล้ว!?



“เฮียบอกว่าถ้ากูไปนะ เขาจะพากูไปขี่เจ็ทสกีเที่ยวแม่งทุกเกาะเลย นอนเล่นสักเกาะละสอง-สามคืนแล้วค่อยเปลี่ยนที่.... น่าสนุกอะ คราวนี้จะได้รู้สักทีว่าปาร์ตี้ฟูลมูนที่พงันมันแซ่บจริงอย่างที่เคยดูรีวิวในเน็ทหรือเปล่า” 



เพื่อนตัวเล็กแจกแจงรายละเอียดแผนเที่ยวที่มันวางเอาไว้ให้ฟัง ซึ่งผมก็ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาด้วยความที่อารมณ์โมโหกำลังคุกรุ่นอยู่ข้างใน จนกระทั่งไอ้บี๋จับมือผมเขย่าแล้วขอร้องด้วยท่าทางน่ารักแอ๊บแบ๊ว 



“ถ้าบอกป๊ากับม้าว่าไปเที่ยวบ้านรุ่นพี่ที่ต่างจังหวัดนานๆ เขาต้องไม่ยอมให้ไปแน่ กูก็เลยกะว่าจะชวนมึงไปด้วยกัน.... ถ้ามีมึงไปด้วยนะ หม่าม้าไม่มีทางว่าอะไรชัวร์ มึงก็รู้ว่าที่บ้านกูเขาปลื้มน้องทิชากันจะตาย”



“จะดีเหรอวะ กูว่าไม่ดีมั้ง”



“ต้องดีสิ.... เอามึงไปด้วยอีกคน เฮียโรมไม่ว่าอะไรหรอกน่า”



“อย่าเลย เขาชวนแค่มึง ไม่ได้ชวนกูสักหน่อย”



ผมสูดหายใจลึกเข้า กระตุกยิ้มให้คนตรงหน้าเห็นทีนึงก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ ทว่า สายตาของผมพร่ามัวไปหมด ตัวอักษรยึกยือเกินกว่าจะตั้งสมาธิได้ บีบี๋ก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะเอาผมไปเป็นหมาให้ได้.... จะเรียกว่าอคติหรือไม่ก็ช่างเหอะ แต่ผมรับรู้ได้ว่าไอ้บี๋กำลังพยายามทำให้ผมรู้สึกแย่ด้วยการเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่โรมมาพูดอวดให้ได้มากที่สุด ผมรู้ว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี อย่างอื่นของมันก็ถือว่าดีทั้งหมด ยกเว้นเรื่องนี้ที่ผมอยากจะถามว่ามันมองไม่รู้ดูไม่ออกจริงๆ เหรอว่าผมคิดยังไงกับพี่โรม



“ทำไมอะ? หรือมึงกลัวว่าจะไปเป็นกขค.ระหว่างกูกับเฮียโรม?”



คำถามกลั้วเสียงหัวเราะคล้ายจะเยาะเย้ยกำลังทำให้ผมประสาทกิน ถ้าผมสันดานเสียมายาททรามกว่านี้อีกนิดเดียวก็คงเอาสันคู่มือ 3D MAX เฉาะหน้าบีบี๋ไปแล้ว 



“โอ๊ย ไอ้ชา.... ถึงกูจะมีแฟนแล้วแต่กูก็ไม่คิดจะทิ้งมึงเลยนะ ไหนๆ ก็จะไปเที่ยวแล้ว กูก็อยากให้เพื่อนสนิทกูไปด้วยกัน มึงเองก็เคยบอกว่าอยากไปทะเลทางใต้แต่ยังไม่มีโอกาสไปเลยไม่ใช่เหรอ ไปเหอะ ถือว่าไปชาร์ตแบตช่วงปิดเทอมด้วยกันไง”



“แต่ถ้ากูกับเฮียโรมจะมีฉากจุ๊บๆ กุ๊กกิ๊กอะไรกันบ้างมึงก็ทนๆ พวกกูหน่อยแล้วกัน แบบว่าเพิ่งคบกันอะเนอะ บางอารมณ์เฮียเขาก็มีเห่อกูนิดหน่อย.... เมื่อวานก็เพิ่งหอมแก้มกูกลางโรงหนัง โคตรอายเลย”



ความอดทนของผมขาดสะบั้น หนังสือเล่มโตปิดกระแทกโต๊ะเสียงดังปึ้งก่อนที่ผมจะจ้องหน้าบีบี๋อย่างไม่คิดจะถนอมน้ำใจกันอีกต่อไป.... จะขิงข่าบ้าบอยังไงก็ช่าง ผมมีอะไรกับพี่โรมแล้ว เกียร์ของเขาก็ห้อยอยู่บนคอผมนี่ อย่ามาโทษที่ผมตัดสินใจแทงข้างหลังเพื่อนตัวเองเลย ถ้าคุณต้องมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับผม บางทีคุณอาจจะทำยิ่งกว่าผมก็ได้



“ไอ้บี๋ กูมีเรื่องจะบอกมึง”



“อะไรเหรอ เพื่อนชา?”



บีบี๋จ้องหน้าผมตอบพลางยกมือขึ้นเท้าคาง แวบหนึ่งที่ผมมองเห็นความยั่วยุท้าทายผ่านแววตาของมัน ประมาณว่า ‘กูรู้ทันมึงทุกอย่าง และกูจะเล่นให้มึงทุรนทุรายจนตายห่าไปเลย’



ผมไม่อยากรอพี่โรมแล้ว ผมจะพูดเองเดี๋ยวนี้....!





“ทิชามันจะบอกมึงว่าปิดเทอมนี้มันไม่ว่าง.........”





ใครคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะได้พลั้งปากพูดออกไป ทั้งผมและบีบี๋หันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน.... ไม่รู้จะด่าด้วยคำว่าอะไรดี ซื้อหวยทำไมไม่เคยถูก (ถ้าพูดให้ถูกก็คือไม่เคยซื้อ) แต่ดันทายถูกทุกครั้งว่าเจ้าของพลังงานเสือกไม่เลือกสถานที่จะต้องเป็นเดือนสถาปัตย์ปีสอง หรือที่พวกผมมักจะสาปส่งลับหลังบ่อยๆ ว่าไอ้แดนนรก



“มึงเป็นผีหรือไง อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างหลัง!”



“กูยืนฟังพวกมึงสองคนคุยกันตั้งนานแล้ว ไม่ได้อยู่ๆ ก็โผล่มาสักหน่อย”



ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างผมโดยที่ไม่ต้องรอคำเชิญ สำหรับผมก็ไม่มีอะไรนอกจากความรู้สึกระแวงว่าไอ้แดนจะมาไม้ไหนอีก หลังจากที่เพิ่งเสียรู้โดนมันจับถ่ายรูปคู่ทีเผลอไปเมื่อวานก็เลยพยายามจะขยับตัวออกห่าง ในขณะที่บีบี๋จ้องไอ้แดนตาขวาง ทำท่าเหมือนชิวาว่าลืมฉีดวัคซีนโรคกลัวน้ำเตรียมกระโดดงับคนตัวใหญ่กว่าให้จมเขี้ยว



“หมายความว่าไงที่ว่าไอ้ชาไม่ว่าง!?” ความแป้นแล้นของบีบี๋หายไปไหนก็ไม่รู้ เหลือแต่หมากระเป๋าเห่าเสียงดังจนผมแสบแก้วหูไปหมด  “หรือว่าเรื่องแคสบทละครอะไรนั่น!?”



ไอ้แดนไม่ตอบคำถามบีบี๋แต่กลับหันมาหาผม อุตส่าห์ขยับหนีจนแทบสุดม้านั่งแล้วก็ยังตามมาเบียดจนแทบจะรวมร่างกัน



“ทิชา มึงเล่าให้เพื่อนฟังแล้วสินะ?”



ผมพยักหน้า จังหวะเดียวกับที่ไอ้บี๋โพล่งสวนขึ้นมา



“ทิชาไม่ไปกับมึงหรอก แดน!”



“รู้ได้ไง?”



“ก็ทิชามันไม่ชอบมึง มึงกวนตีน!”



ดวงตากลมโตวาววับเหมือนสัตว์เล็กเวลาจ้องเหยื่อที่เล็กกว่า พูดก็พูดเหอะ ผมก็งงนิดหน่อยว่าทำไมบีบี๋จะต้องมีปฏิกิริยากับอีแค่เรื่องที่ผมจะไปออดิชั่นคู่กับไอ้แดนขนาดนี้ มันเองก็ใช่ว่าจะเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเดือนสถาปัตย์มาก่อนเสียที่ไหน ก็มีแค่ที่ผมบ่นให้ฟังตั้งแต่สมัยงานเฟรชชี่กับเวลาที่ไอ้แดนมาเกาะแกะวุ่นวายในเซคชั่นเรียนรวม



“คิดยังไงมาชวนเพื่อนกูไปแคสละครคู่กับมึงเนี่ย ประสาทกลับเหรอ? หรือว่าตัดโมมากไปเลยเป็นบ้า?”



“ไม่เห็นต้องคิดยังไง.... ทิชามันสวย ดูเหมาะจะยืนข้างกูที่สุดก็แค่นั้น”



นายดรัณภพตอบหน้าตาเฉย ทำเอาบีบี๋เบะปากคล้ายอยากจะอ้วกพุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแก่



“สวยเหรอ ตลกฉิบหาย!” 



ร่างเล็กสบถพลางแค่นหัวเราะราวกับว่าสิ่งที่ไอ้แดนพูดถึงผมเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุดในโลก



“นอกจากสวย บ้านรวยกับมีแม่เป็นดาราแล้ว ไอ้ชามันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรตรงไหนเลย มนุษยสัมพันธ์โคตรแย่แถมยังเกลียดกล้องถ่ายรูปเข้าไส้อีกต่างหาก.... แล้วมึงจะมาชวนมันไปเล่นละครเนี่ยนะ!?”



ไม่ใช่แค่ไอ้แดนที่เงียบไปหลังได้ยินคำพูดพวกนั้น แม้กระทั่งผมเองก็ติดสตันท์ไปหลายวินาที รู้สึกหน้าชาเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ สมองไม่ทันประมวลผลว่าตกลงแล้วบีบี๋มันจะทะเลาะกับไอ้แดนหรือจะหาเรื่องหลอกด่าผมกันแน่.... และถ้าไอ้แดนไม่ตอบโต้ด้วยการย้อนถามกวนประสาท ผมก็คงจะยังพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เพิ่งทะลุเข้ามาในโสตประสาทเมื่อครู่



“โอ้โห.... นอกจากสวย บ้านรวย มีแม่เป็นดาราแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลยเหรอ? มึงกล้าคิดแบบนี้กับเพื่อนตัวเองได้ไงวะเนี่ย บีบี๋?”



ไอ้แดนนรกก็มาจากนรกสมชื่อ เมื่อบีบี๋หลุดว่าร้ายผมออกมา มันก็ง้างตีนขยี้ซ้ำกะให้คู่กรณีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย ส่วนไอ้บี๋ก็ได้แต่ตระครุบปากตัวเองแน่นแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่ามันไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นสายตาว่างเปล่าไม่ยินดียินร้ายจากผมมันก็ยิ่งปากคอสั่นรีบนึกหาข้อแก้ตัวพัลวัน



“มะ.....ไม่ใช่นะ!”



ไอ้บี๋ย้ายฝั่งมานั่งข้างผม มือเล็กเกาะแขนผมเขย่าไปมาอย่างต้องการจะให้ผมเข้าใจเจตนาและไม่ถือสาคำพูดของมัน 



“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้ชา.....คือ......กูแค่จะบอกว่า.......”



“เลิกเถียงกันสักทีเหอะ กูปวดหัว”



ผมตัดบทก่อนจะรวบหนังสือยัดใส่เป้ หยิบข้าวของทุกอย่างแล้วลุกขึ้นโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น



“ไปเรียนแล้วนะ”



“เดี๋ยว ทิชา!”



คนที่เดินตามผมมาติดๆ ก็คือแดน ไม่รู้หรอกว่ามันโผล่หัวมาอยู่ที่คณะผมทำไม จะคุยเรื่องงานแคสละครหรืออยากจะตอกย้ำซ้ำเติมอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่า รู้แค่ว่าตอนนี้ผมไม่มีสติและความอดทนมากพอที่จะฟังใครอีกแล้ว.... ถ้ามีคนพูดไม่เข้าหูหรือสะกิดปมในใจผมอีกเพียงนิดเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงน้ำตาผมจะต้องระเบิดออกมาแน่ๆ



“มีอะไรส่งไลน์มาแล้วกัน กูไม่มีอารมณ์จะคุยตอนนี้” 



ผมบอกเสียงเรียบ ไม่หยุดฝีเท้าและไม่หันไปมองหน้าคู่จิ้นตัวเองด้วยซ้ำ



“อ้อ.... โอเค เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงก็แล้วกัน ไม่คุยก็ไม่คุย” 



เมื่อถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ไอ้แดนก็ไม่ตื๊อให้รำคาญ ร่างสูงยอมถอยกลับไปเว้นระยะห่างให้ผมหายใจหายคอได้สะดวกแต่โดยดี หากก็รับรู้ได้ว่ามันยังยืนมองผมอยู่ตรงที่เดิม จนกระทั่งผมเดินขึ้นตึกเรียนมาเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ มันถึงได้ข้ามถนนกลับฝั่งสถาปัตย์ไป



เหลือเพียงแค่ไอ้บี๋ที่ยังเคลียร์ปัญหากับผมไม่จบ



“ไอ้ชา..........”  เพื่อนตัวเล็กเดินมาจับมือผม น้ำเสียงมันฟังดูเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ  “ที่พูดเมื่อกี้ กูไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้นนะ”



ผมเงียบ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันพูดคำแย่ๆ พวกนั้นออกมา ผมก็คงโกรธแล้วก็อาละวาดด่าคืน หลังจากนั้นจะกลับมาเสียใจทีหลังหรืออะไรก็แล้วแต่.... กับบีบี๋ ผมเองก็อยากโกรธ อยากโวยวายด่าแม่งคืนให้สาแก่ใจเหมือนกัน แต่ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหนือกว่าความโกรธยังมีความจุก ทั้งเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก เพราะไม่คาดคิดเลยว่าคนที่พูดแบบนั้นจะเป็นคนที่ผมเรียกว่าเพื่อนสนิทมาเกือบหนึ่งปีเต็ม



ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับว่าผมเพิ่งเดินเข้าไปในบ้านไอ้บี๋แล้วเจอว่ามันเอารูปผมมากรีดๆๆแล้วซุกไว้ใต้พรมยังไงยังงั้น



เจ็บยิ่งกว่าโดนแย่งผู้ชายอีก



แล้วมันก็ทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าคนที่พยายามแทงข้างหลังเพื่อนไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว เผลอๆ คนที่โดนแทงมานานแล้วแต่เสือกโง่ไม่รู้ตัวก็อาจเป็นผม....



“กูแค่จะบอกไอ้แดนว่ามึงไม่ชอบพวกเรื่องในวงการบันเทิง มันไม่เหมาะกับมึง แล้วไอ้แดนก็ไม่ควรจะมาฝืนใจมึงแบบนี้.... มันคงโกรธที่คราวก่อนกูไม่ยอมให้มันคุยกับมึง แม่งก็เลยมาขยี้กะว่าจะเสี้ยมให้กูกับมึงเข้าใจผิดกัน”



ไอ้บี๋พยายามอธิบาย แต่ก็มาในฟอร์มที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้ว มันไม่มีทางพูดให้ตัวเองดูแย่ไปกว่าเดิมหรอก และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือโบ้ยให้เป็นความผิดของเดือนสถาปัตย์ปีสองซึ่งเคยมีคดีเก่ากับผม 



“ไอ้แดนมันถนัดอะไรแบบนี้อยู่แล้วนี่ ก็เหมือนตอนที่มันหอมแก้มมึงเรียกเรตติ้งให้ตัวเองนั่นแหละ มันคงคิดว่าถ้ากูกับมึงทะเลาะกัน มันก็จะได้เข้ามาตีซี้กับมึงง่ายขึ้นไง”



“อืม กูรู้แล้ว”



ผมไม่เถียง เพราะสิ่งที่บีบี๋พูดมันก็มีมูล ผมไม่มีทางรู้ได้แน่ๆ ว่าใจไอ้แดนกำลังคิดอะไรถึงขั้นไหน แต่มันก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเข้ามาหาผมเพราะหวังจะสร้างกระแสส่งตัวเองเข้าวงการบันเทิง เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์นักหรอก



“ถ้ามึงรู้ แล้วทำไมถึงยังจะไปกับไอ้แดนอยู่ล่ะ?” 



บีบี๋ถาม มันบีบมือผมแน่นระหว่างที่ส่งสายตาอ้อนวอน ผมหวังจะให้มันรู้ตัวและเลิกจี้จุดอ่อนผมสักทีก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว แต่ดูเหมือนว่าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนจะไม่เคยรับรู้ห่าอะไรเลย   



“อย่าไปยุ่งกับมันเลยนะ.... อยู่กับกู กับเฮียโรมเหอะ กูกับเฮียไม่ทิ้งมึงหรอก ไปไหนก็จะเอามึงไปด้วยทุกที่เลย มึงไม่ต้องกลัวเหงานะ”



“ไอ้บี๋”  น้ำเสียงของผมแห้งแล้งและเย็นเยียบ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดใจหายไม่ได้



“คุณเพื่อน...........”  แววตาลูกหมาของไอ้บี๋ไหวระริก มาเสียใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ เพราะผมจะไม่ทนอีกแล้ว



“เรื่องที่มึงจะไปเที่ยวสุราษฎร์กับพี่โรม ถ้าป๊าม้ามึงไม่อนุญาต กูจะช่วยคุยให้ก็ได้.........แต่เรื่องแคสละครที่กูรับปากกับไอ้แดนไปแล้ว กูขอให้มึงอย่าเข้ามายุ่ง.... กูคิดทบทวนเรื่องนี้มาดีแล้ว และกูก็จะไม่เปลี่ยนใจด้วย”



“มึงชอบไอ้แดนเหรอ?”



“ไม่ใช่”



“แล้วทำไมถึงต้องรับปากมันทั้งๆ ที่ไม่ชอบด้วย?”





“เพราะกูไม่อยากไปนั่งดูมึงกับพี่โรมรักกันไง......”





“อะไรกัน.....?” ทันใดนั้นเอง บีบี๋เปลี่ยนสีหน้าจากอ้อนวอนขอร้องมาเป็นแสยะยิ้มพร้อมทั้งจ้องตาผมเขม็ง “มึงอิจฉากูใช่ไหม?”



ผมกล้าพูดเลยว่ารอยยิ้มของมันเป็นยิ้มที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และนี่ก็คงเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาบีบี๋คงไม่ได้คิดดีหรือจริงใจกับผมเลย ความหวังดีห่วงใยทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยนึกเสียดายล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น



“กูชอบพี่โรม” ผมตัดสินใจพูดออกไปอย่างไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว  “กูชอบเขา.....ชอบมาก่อนที่มึงจะเริ่มคุยกับเขาเสียอีก แล้วกูก็คิดว่ามึงรู้มาตั้งแต่แรกด้วยว่ากูรู้สึกยังไงกับพี่โรม”



“คิดว่ากูปาดหน้าเค้กมึงสินะ?”



“แล้วไม่ใช่หรือไง?”



“ถ้าใช่แล้วมึงจะทำไม? เฮียโรมเขาเลือกกูแล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรได้?”



ไอ้บี๋กระตุกมุมปากใส่ผมอย่างถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ



ในเมื่อบีบี๋กล้าทำร้ายจิตใจผมด้วยการโอ้อวดว่ามันคือคนที่ได้รับความรักจากพี่โรม กล้าที่จะแย่งเขาทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผมต้องการสิ่งที่เรียกความรักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมก็จะทำลายความภาคภูมิใจของมันให้ย่อยยับเหมือนกัน....!





“จะได้หรือไม่ได้ กูก็มีปัญญาชิงเกียร์พี่โรมมาห้อยคอก็แล้วกัน!”





รอบตัวพวกเรามีคนเดินสวนกันไปมาเป็นสิบเนื่องจากใกล้ถึงเวลาเข้าคลาสแล้ว แต่ทว่า ผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงหัวใจตัวเองซึ่งเต้นช้าลงเรื่อยๆ.... บีบี๋มองหน้าผมแล้วก็ขยับปากพูดบางอย่างที่ส่งมาไม่ถึงสมองผม เราทั้งคู่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน กระบอกตาร้อนผ่าวเช่นเดียวกับใบหน้าที่แดงก่ำไปหมดเพราะห้วงอารมณ์ที่เหวี่ยงตัวไปมาอยู่ข้างใน บางสิ่งบางอย่างที่ผมกับบีบี๋ช่วยกันสร้างขึ้นมากำลังแตกสลาย



ผมบอกไม่ได้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน พูดไม่ถูกว่าใครเป็นคนทำมันพัง



แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้ไป ผมกับบีบี๋ก็คงมองหน้ากันไม่ติด เพราะคำว่ามิตรภาพที่เราเคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริงได้พังฉิบหายไปหมดแล้ว





“ไอ้ชา ขอบใจนะที่บอกกูตรงๆ.... ก็แค่นั้นแหละที่กูอยากได้ยินจากมึง”



.



.



ตลอดภาคบ่าย บีบี๋ไม่ได้เข้าห้องเรียนทั้งสองวิชา ผมไม่รู้ว่ามันไปไหนแล้วก็ไม่ได้สนใจจะไลน์ไปถามด้วย.... เกือบสองเทอมเต็มๆ ที่เก้าอี้ข้างผมไม่เคยว่าง ผมไม่ชินกับการได้นั่งเรียนอย่างสงบไม่มีเสียงชวนคุยให้เสียสมาธิ และผมก็แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เดินลงจากตึกเรียนออกไปสถานีรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านคนเดียวนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร.... ตั้งแต่มีเรื่องพี่โรมเข้ามา ในเมื่อต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ซึ่งกันและกัน ผมก็ทำใจแล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ผมกับไอ้บี๋ก็ต้องแตกหักกันไปข้าง หากพอเอาเข้าจริง ผมก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้



มีบางส่วนในใจของผมที่คิดว่ายังไงไอ้บี๋มันก็เป็นเพื่อน ผมจะตัดใจเรื่องพี่โรมแล้วยอมมันสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ



แต่อีกใจหนึ่งก็ชอบคิดสวนขึ้นมาว่าถ้าไอ้บี๋เห็นผมเป็นเพื่อน แล้วทำไมมันถึงตัดใจจากพี่โรมแล้วยอมให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ



นี่เราเป็นเพื่อนกันประสาอะไร....?

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 24-12-2017 20:34:19
.



.



“กลับมาแล้วเหรอ ทิชา?”



“หวัดดีครับ แม่”



เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมโคตรดีใจที่กลับมาบ้านแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว ผมยกมือไหว้แม่ก่อนจะวางกระเป๋าเป้และกระบอกใส่ดรอว์อิ้งลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวล้มลงนอนอย่างหมดแรง.... ปกติแล้วผมเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมากนะ ยิ่งเครียดก็ยิ่งอยากอยู่คนเดียว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้อยากเจอแม่นัก ไม่ต้องคุยกันก็ได้ ขอแค่ให้แม่เดินผ่านไปผ่านมาให้ผมเห็นก็พอ



ถ้าจะเปรียบว่าผมเพิ่งทำสะพานเชือกขาดไปฝั่งนึง ก็เลยพยายามจะคว้าอีกฝั่งนึงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปก็คงไม่ผิด



“เมื่อเช้าเขายกกองไปถ่ายกันที่ตลาดน้ำวัดดอนหวาย แม่ซื้อของกินกลับมาให้แกเพียบเลย.... มีพวกขนมไทย ข้าวห่อใบบัว แล้วก็เป็ดพะโล้ด้วย ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนก็มี จะกินเลยมั้ย เดี๋ยวแม่แกะใส่จานให้”



“เอาขนมครับ ขนมอะไรก็ได้”



“ชอบกินแต่ขนมนะเรา ระวังอ้วนเป็นหมู”



ดูคล้ายว่าแม่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผมเดาเอาว่าคงเป็นเพราะละครเรื่องใหม่ซึ่งกำลังถ่ายทำอยู่ที่ช่วยให้แม่กลับไปมีหน้ามีชื่ออยู่บนจอทีวีช่องหลักอีกครั้ง ก็น่าจะบทร้ายแนวคุณหญิงคุณนายเหมือนเดิมแหละ แต่ถ้าแม่แฮปปี้ ผมก็แฮปปี้ด้วย



แปบเดียวขนมทองหยิบทองหยอด แล้วก็พวกขนมโบราณที่ผมไม่รู้จักชื่อก็มาวางอยู่ตรงหน้า ผมคว้าสะเปะสะปะหยิบใส่ปากทั้งที่ยังนอนแหมะพาดยาวเป็นจระเข้อยู่ท่าเดิม พอแม่นั่งลงที่ริมโซฟาใกล้ๆ หัวผม ผมก็ตะกายขึ้นไปนอนหนุนตักแม่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีอีกเช่นกัน



อย่างน้อยผมก็โชคดีที่ยังมีแม่อยู่ ผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ....



“ทิชาจำป้าอิ๋วที่เป็นผู้จัดละครช่องเอ็มได้มั้ย คนที่แม่เคยพาแกไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่เมื่อสักสี่-ห้าปีที่แล้วน่ะ.... วันนี้เขาแวะมาทำธุระกับพีอาร์ที่กอง แม่ก็เลยได้คุยกับเขา เขาถามหาแกด้วยนะ” 



“ถามหาผมเหรอ? ถามทำไม?” 



ผมต้องจำป้าอิ๋วได้อยู่แล้ว เพื่อนแม่ที่ยังเหลืออยู่ในวงการมีแทบจะนับคนได้ ผมหมายถึงเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ นะ ประเภทนายจ้างหรือแค่ยิ้มให้กันตามงานอีเวนท์อะไรพวกนี้ไม่นับ.... และเพราะป้าอิ๋วช่องเอ็มคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือ แม่ผมจึงยังมีงานละครช่องเคเบิลอยู่เนืองๆ จะว่าไปแล้วป้าอิ๋วก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณและน่านับถือคนหนึ่งในความรู้สึกของผม



“เขาก็มาถามว่าแกโตแค่ไหนแล้ว หน้าตาเป็นยังไง ยังน่ารักเหมือนตอนเด็กๆ อยู่หรือเปล่า” 



แม่เล่าให้ฟัง มือเรียวก็สางผมลูกตัวเองเล่นไปด้วย ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าเหตุผลที่ทำให้แม่อารมณ์ดีขนาดนี้คืออะไร



“เห็นว่าตอนนี้ช่องเอ็มกำลังจะสร้างละครซีรีส์อะไรสักอย่าง ป้าอิ๋วแกเลยอยากได้เด็กผู้ชายรุ่นๆ มหาลัยมาแคสบทแล้วก็เทสต์หน้ากล้อง.... ก็ลองถามดูเผื่อว่าแกจะสนใจอยากเข้าวงการ แม่ว่าช่องเอ็มก็งานดี โปรโมทดี ทีมพีอาร์ก็เก่ง ถ้าได้เล่นบทเด่นๆ ก็ต่อยอดงานอย่างอื่นได้สบาย”



“แล้วแม่บอกป้าอิ๋วไปว่าไง?”



“ก็บอกไปว่าทิชาอยู่มหาลัยปีสอง เรียนหนักน่าดู แล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนใจงานทางด้านนี้หรือเปล่า” แม่ส่ายหน้าเชื่องช้า ร่องรอยความเสียดายปรากฏในดวงตาทำเอาผมแปลกใจอยู่พอควร ผมคิดว่าแม่น่าจะรับปากฝ่ายนั้นไปแล้วเสียอีกแต่ก็ไม่ใช่“แต่ถึงแกไม่สน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ.... เข้าใจว่าแกชอบไอ้ที่เรียนอินทีเรียนี่เหลือเกิน เห็นนั่งแต่งบ้านในเกมเดอะซิมส์อะไรนั่นมาตั้งแต่เด็กละ”



ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกไม้ที่หล่นได้ไกลต้นมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีคนมาเลียบๆ เคียงๆ ถามแม่เรื่องจะให้ผมลองถ่ายโฆษณาหรือไปแคสติ้งอยู่บ่อยๆ แม่ก็พยายามบังคับแล้วหากก็ไม่สามารถเอาชนะนิสัยเก็บตัวและขี้ระแวงเกินเหตุของผมได้.... ผมคิดอยู่เสมอว่าไม่อยากเป็นแบบแม่ทั้งด้านหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว ผมทำแต่สิ่งที่แม่ไม่ชอบและไม่เคยทำอะไรที่แม่ชอบเลยสักอย่าง ก็น่าขำอยู่เหมือนกันที่จนแล้วจนรอดผมก็ดูจะเดินตามรอยเท้าแม่ไปเสียทุกอย่าง



“แม่ครับ..........”



ผมเว้นช่วงถอนหายใจ รู้แหละว่าสิ่งที่กำลังจะพูดนั้นถือเป็นข่าวดีสำหรับแม่ แต่พอนึกถึงสาเหตุของเรื่องนี้ก็อดรู้สึกหน่วงๆ ในอกไม่ได้ 



“อันที่จริงก็มีเพื่อนที่มหาลัยมาชวนผมไปแคสละครของค่ายป้าอื๋ววันนี้เสาร์นี้แหละ”



“อ้าว แล้วแกตอบไปว่ายังไง?”



“ผมรับปากเขาว่าจะลองดู.... ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้”



“โธ่เอ๊ย แล้วไม่รู้จักบอกแม่ตั้งแต่เนิ่นๆ!” 



แม่ทำเป็นบ่นแต่ดูก็รู้ว่าดีใจมากแค่ไหน แถมยังกะตือรือร้นจะหยิบเอาโทรศัพท์โทรหาคุณป้าผู้จัดละครเดี๋ยวนั้น



“น้องทิชา ลูกชายของนิดาวัลย์เสียอย่าง.... แม่โทรบอกป้าอิ๋วกริ๊งเดียวเท่านั้นแหละ แกอยากเล่นบทไหนก็ชี้มาได้เลย หน้าตาอย่างเราไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก”



“แต่ผมกลัวนะ......กลัวหลายๆ อย่างเลย........”



“กลัวอะไร?”



“คนอื่นที่เขาไม่รู้จักเรา.......ผมกลัวว่าเขาจะพูดถึงในทางที่ไม่ดี.......” 



ผมสารภาพก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ 



“ตอนที่เห็นหน้ากันครั้งแรกอะไรก็เหมือนจะดีไปหมด แต่พอพวกเขารู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน คนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป......ถ้าผมไปแคสติ้งละครมันก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก......แรกๆ คนก็คงชอบเพราะหน้าตา เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป็นเกลียดผม ด่าผมเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างกับเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน............”



“เรื่องนี้เองหรอกเหรอ แม่ก็นึกว่าแกจะห่วงเรื่องเรียนเสียอีก”



ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองแม่ ที่พูดไปทั้งหมดเป็นความกลุ้มใจของตัวเองล้วนๆ ไม่ได้มีเจตนาจะโทษว่าแม่คือต้นเหตุของความบัดซบในชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย ผมก็แค่อยากรู้ว่าแม่ทนอยู่มาจนทุกวันนี้ได้ยังไง ต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนถึงจะทำเป็นไม่สนไม่แคร์เสียงนินทาด่าทอจากคนทั้งประเทศและเชิดหน้าเรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการมาได้เป็นสิบยี่สิบปี



“คนที่เขาเกลียด ต่อให้เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ออกจากบ้านให้เขาเห็นหน้าไปจนตาย เขาก็ยังจะเกลียดเราอยู่ดีนั่นแหละ”



แม่พูดอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงเจือแววเย้ยหยันนิดๆ แสดงออกชัดเจนว่าบรรดา Haters ทั้งหลายก็เป็นแค่แมลงวันแมลงหวี่น่ารำคาญ กำจัดให้ตายก็ไม่มีทางหมด แต่ถ้าอยากตบให้หายโมโหก็พอไหว 



“ที่สำคัญที่สุดก็คือนอกจากบ้านพ่อแกแล้ว คนที่ด่าแม่ปาวๆ พวกนั้นเขาไม่ได้ให้เงินแม่มาเลี้ยงแกสักหน่อย แล้วจะไปสนใจทำไม.... แม่ฟังเฉพาะคำพูดของคนที่เอางานเอาเงินมาให้ กับคำชมที่จะช่วยให้มีกำลังใจทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีแล้วต่อไป”



“คำชมเหรอ?” 



ผมหัวเราะหึ บอกตามตรงว่าจำไม่ได้เลยว่าเคยมีใครชมเราสองแม่ลูกสักครั้งหรือเปล่า แต่ในเมื่อแม่มั่นใจแบบนั้นผมก็ไม่อยากขัดศรัทธา



“ชีวิตคนเรามันสั้นมากนะ ทิชา มัวแต่พิรี้พิไรรอให้ดาวบนฟ้าลอยลงมาอยู่ในมือก็ไม่ทันกินกันพอดี.... อยากได้อะไรก็ต้องคว้าเอง โดนด่าแปบๆ เดี๋ยวก็หายเจ็บ แต่ถ้าสิ่งที่ต้องการโดนคนอื่นแย่งตัดหน้าไปเสียก่อน ถึงตอนนั้นจะเอาคืนก็คงยากแล้ว”



ผมได้แต่นอนกระพริบตาปริบๆ พลางคิดตามสิ่งที่ได้ยิน.... เพราะความคิดแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้แม่พยายามแย่งพ่อมาจากผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไขว่คว้าทุกสิ่งที่อยากได้โดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกนึกคิดอย่างไรขนาดโดนญาติๆ ฝ่ายพ่อสาปส่งทุกครั้งที่เห็นหน้าก็ยังไม่ยอมหยุด แต่ถ้าแม่ไม่ทำ ผมก็ไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองจะได้เติบโตมาแบบอยู่ดีกินดีมีเงินใช้ไม่ขาดเหมือนทุกวันนี้



โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่งผ่านเหตุการณ์ผิดใจกับไอ้บี๋เพราะพี่โรม ผมก็ยิ่งพูดได้ไม่เต็มปากว่าคนเราควรปล่อยวางแล้วยอมให้คนอื่นได้มีความสุข ทั้งๆ ที่ความสุขนั้นควรจะเป็นของผมมาตั้งแต่แรก



“แม่ดีใจนะที่แกอยากลองออกมาอยู่หน้ากล้อง อยู่ใต้แสงไฟ แสดงละครเป็นดาราเหมือนอย่างที่แม่เป็นดูบ้าง.... แหม ที่เขาว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็คงเป็นเรื่องจริงสินะ พอเห็นแกแบบนี้แล้วค่อยนึกถึงตัวเองสมัยสาวๆ หน่อย ยิ่งใครๆ ก็ชอบบอกว่าทิชาหน้าเหมือนแม่อยู่ด้วย”



“ถ้าแม่ชอบ ผมก็ดีใจ.........”



ถ้าแม่เห็นผมแล้วนึกถึงตัวเอง ในฐานะลูก ผมก็ควรต้องดีใจสิ....



“เมื่อกี้แกบอกว่าแคสบทละครป้าอิ๋ววันเสาร์นี้ใช่ไหม? งั้นก็เลิกกินขนมได้แล้วนะ พวกของเค็มๆ ก็งดไปก่อน เดี๋ยวออกกล้องแล้วหน้าบวม.... น้ำอัดลมก็ห้าม จะดื่มก็ดื่มน้ำเปล่า ผิวจะได้ฉ่ำเด้งมีน้ำมีนวล”



“โอ๊ย แม่ครับ...... ไม่เอาน่า~~”



“ไม่ได้ๆ จะเป็นดาราก็ต้องหัดมีวินัยในการดูแลรูปร่างหน้าตาตัวเองด้วย ขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมาที่ห้องแม่ มาเอาครีมไปทา แล้วหลังจากนี้ไปก็อย่าลืมมาร์สกหน้าก่อนนอนทุกคืนล่ะ”



ผมเด้งตัวขึ้นจากโซฟาจะคว้าจานขนมคืน แต่แม่กลับเอาไปกวาดทิ้งลงขยะหน้าตาเฉยไม่ฟังเสียงร้องโหยหวนของลูกชายเลยสักนิด ตามติดมาด้วยคำสั่งยาวเหยียดซึ่งเกี่ยวกับความสวยความงามที่แม่ถนัดล้วนๆ ผมก็เริ่มนึกเสียใจที่หลงไปตกปากรับคำไอ้แดนเรื่องออดิชั่นจนต้องเสียโอเอซิสเล็กๆ ของชีวิตอย่างการนอนกลิ้งเกลือกอยู่บ้านกินขนมหวานเท่าไรก็ได้ตามใจชอบไป



ขณะกำลังวุ่นวายกันตามประสาแม่ลูกที่นานทีปีหนจะคุยกันรู้เรื่องอยู่นั้น รถยนต์ Mercedes Benz Vito สีบรอนซ์เงินก็แล่นมาจอดหน้ารั้วบ้าน ก่อนที่เสียงกริ่งจะดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านใน



“ใครมาเอาป่านนี้เนี่ย?”



“เดี๋ยวผมออกไปดูเองครับ”



ผมเปิดประตูกระจกบานเลื่อนชะโงกมองว่าใครที่กำลังพยายามมองเข้ามา แม้จะมีระยะห่างสิบกว่าเมตรคั่นกลาง แสงไฟด้านนอกมืดสลัวจนทำให้เห็นผู้มาเยือนเป็นเงาตะคุ่ม แต่ผมก็ยังจำได้ดีว่าคนๆ นั้นคือพ่อของผมเอง



“ทิชา เปิดประตูให้พ่อหน่อย”



“พ่อมาทำไม? มีธุระอะไรเหรอครับ?” 



แน่นอนว่าผมจะต้องระแวงเอาไว้ก่อน ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยจะนึกอยากมาหาผมสักครั้ง โทรศัพท์สักสายถามว่าผมเรียนหนังสือเป็นยังไงสบายดีไหมก็ไม่เคย แล้วอยู่ดีๆ กลับโผล่มาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย แล้วจะไม่ให้ผมหวั่นใจว่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีได้เหรอ



“พ่อมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับแก”



“คุย.......? กับผม?”



ผมทวนคำ ด้วยรู้ดีว่าคนอย่างคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนา ไม่มีทางตามหาผมเพราะเป็นห่วงหรืออยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอะไรแบบนั้นแน่



“คุณกาญจน์ มาหาลูกเหรอคะ?” 



พอรู้ว่าใครเป็นใคร แม่ก็กระตือรือร้นรีบตามออกมาทันที พร้อมทั้งดันหลังให้ผมรีบเปิดประตูต้อนรับคนที่ขับไล่ไสส่งผมกับแม่ออกจากงานแต่งพี่เกดอย่างกับว่าเราเป็นขยะเปียกเดินได้อีกต่างหาก 



“ทิชา มัวยืนทำอะไรอยู่เล่า.... รีบเชิญคุณพ่อเข้าบ้านสิ!”



ในเมื่อเป็นคำสั่งของแม่ แล้วผมจะไปพูดอะไรได้ล่ะ....





เหมือนเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้เลยมั้งที่ครอบครัวเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้าน แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ชื่นมื่นคุยกันจ๊ะจ๋าแบบที่เคยเห็นในโฆษณาร้านสุกี้เลยสักนิด.... พ่อนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดี่ยวในฐานะแขก แม่นั่งกอดอกไขว่ห้างประจันหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของสเปิร์มที่ทำให้ผมเกิดมาและเป็นเจ้าของเงินที่เราใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนผมก็นั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้างแม่ อยากจะลุกหนีขึ้นไปกบดานบนห้องตัวเองก็ไม่ได้



“นิดา.... ผมขอคุยกับลูกตามลำพังได้ไหม?”



“คุณจะคุยอะไรกับลูก เดี๋ยวฉันก็ต้องรู้อยู่ดี ก็นั่งฟังมันด้วยกันนี่แหละค่ะ”



หลังจากรู้ว่าพ่อไม่ได้แวะมาเยี่ยมเพราะอยากเจอหน้า แม่ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นพร้อมไฝว้ เตรียมจะเรียกร้องตอบโต้ทุกสิ่งที่แม่คิดว่าพ่อสมควรจะต้องชดใช้



“ทิชา.....ปีนี้แกอายุครบยี่สิบแล้วสินะ?”



เมื่อผมพยักหน้ารับ พ่อก็เว้นจังหวะถอนหายใจเหมือนว่าเครียดจัดที่ต้องคุยกับลูกนอกสมรส..... ก็อย่างที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ พ่อไม่เคยเห็นผมมีค่ามากเกินไปกว่าก้อนเลือดน่ารังเกียจที่ถูกแม่ใช้ขูดรีดเอาเงินมาร่วมยี่สิบปี ผมจึงไม่คิดว่าสิ่งที่พ่อพยายามจะบอกผมนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง แค่ขึ้นชื่อว่าทิชา ทิชนันท์ก็รับประกันได้เลยว่าจะไม่มีทางมีเรื่องดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



“พ่อมีคอนโดตรงซอยหลังสวนอยู่ห้องนึง พี่เกดเขาเคยอยู่ที่นั่นสมัยเรียนมหาลัยแต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ห้องห้าสิบกว่าตารางเมตรใกล้รถไฟฟ้า ราคาก็น่าจะสักสิบห้าล้านได้.... คิดว่าแกน่าจะชอบ ไว้พ่อจะเรียกทนายมาทำเรื่องโอนให้”



“ให้ผมเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”  ผมถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ ถึงแม้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่นี้จะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของผมก็ตาม



“แกโตแล้วก็ควรจะมีสมบัติติดตัวบ้าง อายุขนาดนี้แล้วก็คงไม่คิดจะอยู่บ้านกับแม่แกไปตลอดชีวิตใช่ไหมล่ะ?” พ่อว่าพลางเหลือบสายตามองไปทางแม่ ก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ “อ้อ แล้วก็รถอีกสักคันไว้ขับไปเรียน จะอยากได้เล็กซัส บีเอ็มหรือยี่ห้ออะไรก็ค่อยไปเลือกเอา”



“ผมอยู่บ้านนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว........” 



ผมไม่เชื่อหรอกว่าพ่อจะแค่อยากให้คอนโดกับรถคันใหม่เพียงเพราะว่าผมโตแล้วควรจะมีสมบัติติดตัวอะไรนั่นหรอก ทางบ้านใหญ่เองก็เคยพูดให้ได้ยินทุกครั้งที่เจอหน้าว่าผมกับแม่คือปลิงดูดเลือด แต่ติดตรงที่จะต้องส่งเงินสองแสนให้ผมจนกว่าจะตายกันไปข้างนี่ล่ะถึงยังตัดให้ตายขายให้ขาดไม่ได้ 



“แค่ที่พ่อให้อยู่ทุกเดือนก็พอแล้ว พ่อจะยกของพวกนั้นให้ผมทำไมอีก?”



สีหน้าคนถูกถามยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก ผมเชื่อว่าพ่อคงเตรียมทุกอย่างมาดีแล้วก่อนตัดสินใจจะมาที่นี่ แต่ที่ทำเป็นลำบากใจเหลือเกินก็เพราะกลัวว่าผมจะปฏิเสธเสียมากกว่า ยิ่งตอนนี้มีแม่มาคอยคุมเชิงไม่ยอมให้พ่อทำอะไรก็ตามที่เราสองแม่ลูกจะเสียผลประโยชน์อยู่ด้วย.... แต่ก็เหมือนไม้ขีดไฟถูกหยิบออกจากกลักแล้ว ครั้นจะไม่จุดเผาใครสักคนแถวนี้ก็ใช่เรื่อง



“หลังจากที่พ่อโอนคอนโดกับซื้อรถให้แกแล้วก็ไปเปลี่ยนนามสกุลซะนะ จะใช้นามสกุลแม่แกหรือจะตั้งใหม่ก็แล้วแต่เลย.......” 



ในที่สุดพ่อก็พูดออกมาจนได้ ใบหน้าผมร้อนผ่าววูบขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวราวกับว่าเลือดในกายได้เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว 



“พ่ออยากให้แกออกจากความเป็นทิพยศักดิ์เสนา.... อย่าเรียกพ่อว่าพ่อ เราจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก”



ผมคาดเดาว่าธุระของพ่อต้องไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายถึงขนาดที่จะมาขอตัดพ่อตัดลูกโดยยกทรัพย์สินเงินทองมาฟาดหัวกัน.... ผมช็อคจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งมองผู้ชายตรงหน้าซึ่งเป็นเจ้าของเลือดเนื้อในตัวผมตั้งครึ่งหนึ่งอย่างอับจนถ้อยคำ ก็อยากถามนะว่าทำไมพ่อถึงต้องทำแบบนี้กับผมที่เป็นลูกแท้ๆ คนหนึ่งของเขา ผมกับพี่เกดต่างกันตรงไหน พ่อถึงได้รักแต่ลูกสาวคนโตและไม่เคยเหลียวแลผมบ้างเลย แต่จะถามไปทำไมในเมื่อผมเองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ



“เดี๋ยวก่อนสิคะ นี่มันหมายความว่ายังไง!?” 



เป็นแม่ที่ลุกขึ้นโวยวายเสียงดังลั่น ปลายนิ้วเรียวชี้หน้าพ่อพลางตะโกนถามอย่างเดือดดาล 



“คุณคิดจะเอาชื่อทิชาออกจากบ้านใหญ่งั้นเหรอ!? คุณตั้งใจจะไล่ลูกตัวเองออกจากตระกูลใช่ไหม!?”



พ่อไม่ตอบคำถามแม่ หากกลับล้วงเอากระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางลงตรงหน้าผม มันเป็นเช็คเงินสดมูลค่าหลักล้าน อาจจะดูเยอะในความรู้สึกของใครหลายๆ คน แต่มันก็เป็นแค่เศษเงินที่พ่อใช้เพื่อตัดก้อนมะเร็งร้ายที่ชื่อทิชาให้ออกจากชีวิตของเขา



“เงินนี้พ่อให้แกเอาไว้ก่อน เผื่อไว้ไปเรียนต่อเมืองนอกหรือจะทำอะไรก็ทำ เรื่องรถกับคอนโดจะส่งทนายมาจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”



“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ นิดาไม่ยอมแน่ๆ!” แม่โมโหจนแทบกรีดร้อง  “ทิชาเป็นลูกแท้ๆ ของคุณ คุณจะเอาเงินฟาดหัวไล่แกเหมือนไล่อีตัวแบบนี้ไม่ได้!!”



“ทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอนั่นแหละ นิดา.... คิดเหรอว่าผมอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้!?”



“ถ้าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้แล้วคุณมาทำไม!? เตรียมเช็คเตรียมคำพูดตัดขาดลูกมาอย่างดีแล้วจะมาโทษว่าเป็นเพราะฉันมันไม่ทุเรศไปหน่อยเหรอคะ!?”



ทั้งคู่ทะเลาะกันใหญ่โต ต่างฝ่ายต่างโยนความผิดกล่าวโทษกันไปมาต่อหน้าผมซึ่งอยากจะปิดหูปิดตาแล้วหายตัวไปจากโลกนี้เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน แม่ก็คว้าแขนผมแล้วเหวี่ยงให้ถลาไปยืนอยู่ตรงหน้าพ่อ.... ก็พ่อคนเดียวกับคนที่เพิ่งเอาเงิน คอนโดแล้วก็รถอีกคันมาล่อให้ผมออกไปจากชีวิตของเขานั่นแหละ 



“คุณคิดว่าทิชาเป็นตัวปัญหาสำหรับคุณสินะ..... แน่จริงก็บอกต่อหน้าแกเลยสิว่าคุณไม่เคยอยากให้ทิชาเกิดมาเลย!! กล้าพูดไหมล่ะว่าเมื่อตอนที่คุณรู้ว่าฉันท้อง อย่างแรกที่คุณทำก็คือโยนเงินมาให้ฉันแสนนึงกับเบอร์โทรคลินิกทำแท้งเถื่อน สั่งให้ฉันไปเอาทิชาออกก่อนที่นักข่าวกับแม่และเมียคุณจะรู้.... คุณกล้ายอมรับต่อหน้าแกหรือเปล่า!?”



ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะอ้วกออกมาเลย....



โอเค.... นั่นเป็นข้อมูลใหม่สำหรับผม ผมรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่เกิดมาบนความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ เป็นส่วนเกินที่สังคมและครอบครัวเครือญาติฝ่ายพ่อรังเกียจยิ่งกว่าแมลงสาบ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเหี้ยถึงขั้นที่พ่อเคยพยายามจะฆ่าผมซึ่งยังเป็นแค่ก้อนวุ้นอยู่ในท้อง ก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าทำไมพ่อถึงได้ดูไร้เยื่อใยกับผมนัก ที่แท้ก็เพราะผมเป็นมารหัวขนที่เขากำจัดไม่สำเร็จ แถมยังโตมาสูบเลือดสูบเนื้อไม่รู้จักจบสิ้น ก็คงเบื่อหน่ายเอือมระอากับการส่งเสียลูกชังคนนี้เต็มทีแล้วล่ะมั้ง



ผมเสียใจนะ เสียใจมากเลยด้วย



ถึงตอนนี้จะอายุยี่สิบแล้ว เพิ่งบรรลุนิติภาวะไปหมาดๆ แต่หัวใจผมก็ไม่ได้แข็งแรงขึ้นตามอายุสักเท่าไร.... ผมก็แค่เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อยากให้พ่อแม่รัก อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากกลับมาบ้านแล้วรู้สึกว่ามันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขกายและความสบายใจ



ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พ่อยอมให้เงินให้อะไรต่อมิอะไรผมได้ตั้งมากมาย ทว่า กับสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ พ่อกลับไม่เคยให้ผมเลยสักครั้ง



ผมเอง.... ก็ควรจะเลิกหวังได้แล้วสินะ?



“แค่เปลี่ยนนามสกุลพอแล้วใช่ไหมครับ?”  ผมถามเสียงแผ่ว ข้างในลำคอแห้งผากเหมือนมีถังทรายขวางอยู่  “ถ้าเปลี่ยนแล้ว ทุกอย่างก็จะจบ......ผมกับพ่อก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกถูกไหมครับ?”



พ่อหลบสายตาผมก่อนจะจำใจตอบออกมา  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้............”



ผมพยักหน้ารับรู้พลางเอื้อมมือไปหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมา ฉีกมันจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่ต่างกับก้อนเนื้อในอกซ้ายซึ่งแหว่งวิ่นกลวงโบ๋ไปหมดแล้ว



“ทิชา!?” 



ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ตกใจ ไม่มีใครคิดว่าผมจะกล้าฉีกเงินล้านทิ้งเหมือนฉีกกระดาษทิชชู่ ผมก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆ เผื่อว่าพ่อจะสงสารและยอมเปลี่ยนใจ แต่นิสัยผมก็เป็นแบบนี้แหละ.... ครั้งหนึ่งผมอาจจะเคยอยากให้พ่อรัก อุตส่าห์ทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอดยี่สิบปีเผื่อว่าพ่อจะเหลียวแลลูกชายนอกคอกคนนี้ขึ้นมาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ยังผลักไสผมออกไป และผมก็เหนื่อยจนไม่อยากพยายามแทรกตัวเข้าไปในอ้อมกอดที่ปิดตายไม่เหลือที่ว่างสำหรับนั่นลูกชังคนนี้อีกแล้ว



“ผมใช้นามสกุลแม่ก็ได้ เอาไว้สอบมิดเทอมนี้เสร็จแล้ว ผมจะไปแจ้งเปลี่ยนที่เขตเอง.... ไม่ต้องเดือดร้อนพ่อส่งทนายเอาเอกสารมาให้หรอกครับ”



และนี่ก็คงเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมจะพูดกับพ่อบังเกิดเกล้า ให้มันเจ็บแต่จบในครั้งเดียวไปเลย จากนี้ไป ผมกับคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาก็จะเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน แม้กระทั่งเลือดครึ่งหนึ่งในตัวผมก็จะแกล้งทำเป็นลืมๆ ไปซะว่าได้มันมาจากใคร



 “คอนโดกับรถที่พ่อบอกว่าจะให้ ผมก็ไม่เอา.... ถ้าไม่รักผม ไม่เห็นว่าผมเป็นลูกก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมทั้งนั้น ผมไม่อยากได้.......”



ผมยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมจนได้ยินเสียงรถยนต์สตาร์ทเครื่องแล้วแล่นห่างออกไป ความเงียบและบรรยากาศชวนอึดอัดแบบที่ผมเกลียดและทำให้ผมต้องหนีขึ้นไปอยู่บนห้องกลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกหน.... ผมไม่กล้ามองหน้าแม่ หากก็รับรู้ได้ว่าความโกรธแค้น เสียใจและความผิดหวังทั้งหลายแหล่ของแม่จะต้องถูกนำมาโยนใส่กลางหัวผมอย่างแน่นอน





เพียะ!





คุณเชื่อไหมว่าตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา เด็กชายทิชาไม่เคยโดนแม่ตีเลยสักครั้ง ถึงจะเป็นคนโกรธง่ายและอารมณ์ร้อนแค่ไหน แม่ก็จะแค่โวยวายด่ากราดแต่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับลูกในไส้ ทว่า คราวนี้ผมถูกตบจนหน้าหันไปอีกข้างเลยทีเดียว



“แกทำแบบนี้ได้ยังไง ทิชา!? ใครใช้ให้แกคิดเองเออเองว่าจะยอมออกจากบ้านใหญ่ ไม่เห็นหรือไงว่าแม่กำลังเจรจากับพ่อแกอยู่ หา!?”



“แม่ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าพ่อไม่ได้ต้องการผม.......เขาคิดจะฆ่าผมตั้งแต่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมหน้าด้านเรียกเขาว่าพ่อต่อไปเพื่ออะไร?”



“พ่อแกไม่อยากได้แกแล้วยังไง แกจำเป็นจะต้องยอมให้เขาได้สมใจงั้นเหรอ.... นามสกุลทิพยศักดิ์เสนาก็เป็นสิทธิ์ที่แกจะใช้ในฐานะลูกแท้ๆ ของเขา ถ้าเปลี่ยนเลือดในตัวแกไม่ได้ก็ไม่มีใครมาจับแกเปลี่ยนนามสกุลได้เหมือนกัน!!” 



ผมรู้ดีว่าตัวเองเพิ่งทำให้แม่ผิดหวัง เพราะการที่ผมยังมีตัวตนอยู่ในบ้านใหญ่ก็เท่ากับตอกย้ำชัยชนะและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครสามารถเฉดหัวนิดาวัลย์และลูกทิ้งไปได้ หากผมกลับใช้กรรไกรที่พ่อหยิบยื่นให้ตัดเชือกที่แม่พยายามยื้อมาโดยตลอดทิ้งไปง่ายๆ 



“ทิชา แกนี่มันโง่จริงๆ เลย.... โง่จนแม่ไม่รู้ว่าควรจะด่ายังไงให้สาสมกับความโง่ของแกแล้ว!!”



แก้มขวาตรงที่ถูกตบเมื่อกี้เริ่มหายชา ความเจ็บแผ่ไปทั่วจนต่อมน้ำตากลับมาทำงานอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่ร้ายกาจเท่าแผลในใจของผมที่เจ็บกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า.... ยิ่งฟังแม่ด่ามากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากจะวิ่งออกไปกระโดดลงรางรถไฟฟ้าให้แม่งตายห่าไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวมากขึ้นเท่านั้น



“ตั้งแต่เกิดมา แกไม่เคยทำอะไรให้ฉันดีใจเลย มีแต่เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้.... เลี้ยงเสียข้าวสุก โตแต่ตัว รู้อย่างนี้ฉันน่าจะเชื่อพ่อแกเสียแต่แรก เอาแกออกซะจะได้ไม่ต้องมีตัวปัญหาน่ารำคาญแบบนี้!!” 



อาการคลื่นไส้กลับมาอีกแล้ว ผมยืนโงนเงนประคองร่างตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ทั้งๆ ที่สายตาพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นภาพตรงหน้า ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดอยากจะขย้อนเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา เสียงด่าทอยังคงทะลวงเข้ามาในโสตประสาทไม่ขาดสาย หัวใจผมบีบรัดแน่นจนปวดไปทั่วทั้งอก 



“ไปให้พ้นเลยนะ จะไปตายที่ไหนก็ไป.... ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก!!”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 07 [ 16/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 24-12-2017 20:36:46
ผมอดทนไต่บันไดขึ้นมาถึงชั้นสาม เข้าไปในห้องน้ำแล้วก็อ้วกออกมาจนหมดท้อง รสชาติน้ำตาตัวเองผสมกับน้ำย่อยคือโคตรของโคตรแย่ แต่มันก็คงไม่แย่เท่ากับการที่ถูกทั้งพ่อและแม่พูดใส่หน้าว่าผมคือส่วนเกินในชีวิตของพวกเขา....



บางอย่างในใจผมแตกสลาย จากที่มันพังอยู่แล้วก็ยิ่งพังฉิบหายย่อยยับมากขึ้นไปอีก ผมนอนร้องไห้อยู่กับพื้นห้องน้ำ มันน่าทุเรศเกินบรรยาย คนปกติเวลาที่เขาร้องไห้เสียใจก็ควรจะมีใครสักคนกอดปลอบไม่ใช่เหรอ แล้วผมแปลกประหลาดกว่าคนอื่นที่ตรงไหน มีสามแขนสี่ขาสิบตาหรือยังไง ถึงได้มีแต่กระเบื้องเย็นๆ รองรับร่างกาย และสิ่งมีชีวิตเดียวที่รับรู้ว่าผมกำลังร้องไห้จะเป็นจะตายก็คือแมวหนึ่งตัว



“มิลค์.... กูเหลือแค่มึงแล้วเนี่ย อย่าทิ้งกูไปไหนนะ.......”



มิลค์ไม่ตอบ.... แน่ล่ะ ก็มันเป็นแมวนี่นา



ผมดึงยัยมิลค์มากอดทันทีที่มันเดินเข้ามาใกล้ ธรรมชาติของแมวสั่งให้มันอยู่นิ่งได้แค่แปบเดียวก็เอาขาหลังถีบผมจนแสบหน้าอกไปหมด ผมถึงต้องยอมปล่อยมันไป ไม่ต่างจากตอนที่ผมตัดสินใจฉีกเช็คใบนั้นทิ้งเพราะจนปัญญาจะรั้งพ่อเอาไว้นั่นแหละ



ทันทีที่ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง วัตถุโลหะสีทองแดงเข้มซึ่งห้อยอยู่ที่คอก็เคลื่อนไหวไปตามแรงโน้มถ่วง.... เกียร์วิศวะฯ อันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของตั้งใจอยากจะให้ผม หากมันกลับกลายเป็นของเพียงชิ้นเดียวที่สามารถฉุดผมขึ้นมาจากฝันร้าย ผมนั่งมองเกียร์ของพี่โรมอยู่อย่างนั้นราวกับว่ามันคือที่พึ่งทางใจสุดท้าย



ใจหนึ่งบอกให้ผมลืมทุกอย่างแล้วกลับไปอยู่เงียบๆ ตามลำพังตามประสาคนที่ไม่มีใครต้องการ แต่อีกใจหนึ่งก็โหยหาไออุ่นจากใครสักคน.... ใครก็ได้ที่เขาจะไม่ผลักไสผมออกไปเหมือนที่พ่อกับแม่ทำ ใครก็ได้ที่จะบอกว่าผมสามารถอยู่กับเขาได้และจะไม่ทิ้งผมไปไหน



มันคงไม่มีคนแบบนั้นหรอกใช่ไหม....?



ผมก็รู้นะ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมหยุดสักที



.



.



.



รถแท็กซี่จอดลงบริเวณฟุตปาธหน้าร้านเหล้าแห่งเดิมที่ผมไม่คิดมาเหยียบอีกโดยไม่จำเป็น เสียงดนตรีดังสนั่นแผดออกมาถึงริมถนนผิดกับหัวใจของผมซึ่งคล้ายกับว่าตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง.... ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ได้ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีใครสักคนเปิดใจรับผม แม้ว่าการมาเยือนเบอร์ลิคจะยิ่งทำให้ผมถูกมองว่าเป็นพวกใจแตก ง่าย ร่าน แล้วก็โคตรเหี้ยที่พยายามจะตื๊อแย่งแฟนคนอื่นให้ได้ก็ตาม



แค่คนแรกที่ผมเจอตรงประตูทางเข้า สายตาสงสัยแกมดูแคลนที่จ้องมองมาก็เหมือนกับจะทวนประโยคเมื่อครู่ให้ฟังอีกรอบ ผมเลือกที่จะทำเป็นเมินแล้วเดินเข้าไปในฐานะลูกค้า แต่เจ้าของร้านกลับไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ



“น้องคนนี้หน้าตาคุ้นๆ นะครับ” 



พี่รุจทักผมก่อนจะเอาตัวมาขวางไว้ไม่ให้ผมหลุดรอดผ่านไปจนเจอบุคคลเป้าหมาย 



“วันนี้ไม่มีเลี้ยงชามะนาวนะอีหนู มีแต่เบียร์ฟรีแบบเดียวกับที่กินไปเมื่อคราวก่อน.... อยากลองอีกรอบไหมล่ะ? หรือจะให้พี่จับกรอกดีจ๊ะ?”



พี่รุจยิ้มมุมปากใส่ผม คงคิดว่าเรื่องคราวก่อนน่าจะขู่ให้ผมกลัวได้ล่ะมั้ง ผมก็แค่กระตุกยิ้มกลับไปให้พร้อมกับดึงสายคล้องเกียร์ออกมานอกปกเสื้อ ให้อีกฝ่ายได้เห็นจี้รูปเฟืองชัดเจนเต็มสองตา



“เก็บเบียร์นั่นเอาไว้ให้เมียพี่กินเองเหอะ อย่ามายุ่งกับผม”



“โอ๊ะ ยังใส่อยู่อีกเหรอ?”  พี่รุจทำหน้าแปลกใจ เขาหรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหัวเราะออกมา “บอกตรงๆ ว่าเซอร์ไพรส์ว่ะ ไม่อยากเชื่อว่าไอ้โรมจะยังไม่ขอเกียร์คืน”



ผิด.... พี่โรมขอคืนแล้วแต่ผมไม่ยอมให้ต่างหาก



“ถ้าพี่รุจลงโทษผมตามกฎของร้านไปแล้ว หวังว่าคราวนี้พี่คงจะแฟร์ๆ กับผม ไม่แหกกฎที่ตัวเองเป็นคนตั้งขึ้นมาเช่นกันนะครับ”



ตราบใดที่ผมยังห้อยเกียร์อยู่ ผมก็คือน้องสะใภ้ของพวกวิศวะฯ ที่พี่รุจจะต้องให้ความคุ้มครองและไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของผมกับพี่โรมที่เกิดขึ้นในเบอร์ลิค ตราบใดที่ยังมีเกียร์อันนี้ พี่โรมก็จะเป็นของผมเพียงคนเดียวและจะไม่มีใครสามารถห้ามผมไม่ให้รักเขาได้ 



“ผมมาหาพี่โรม.... ขอทางด้วยครับ”



“งั้นก็เชิญเลยครับ.... น้องทิชา”



ผมเบียดเสียดผ่านฝูงชนกลางร้านที่กำลังสนุกสนานกับดนตรีเล่นสดจากวงร็อคที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะความอ่อนล้าของผมเองที่ทำให้ภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมด แสงไฟจากเวทีจ้าจนแสบตา เสียงเพลงกระหึ่มจนผมปวดหูเวียนหัวพาลให้อยากจะอาเจียนออกมาอีกรอบ ผมก็แข็งใจกัดฟันเดินวนไปเรื่อยเหมือนหนูติดจั่น สายตากวาดมองหาพี่โรมจนทั่วแต่หาให้ตายยังไงก็ไม่เจอ



ภายในห้วงความคิดสับสนอลหม่าน.... พี่โรมจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า? หรือจะอยู่กับบีบี๋ที่เขาบอกกับผมเองว่าชอบ? จะบอกเลิกไอ้บี๋หรือยัง? พี่โรมจะเกลียดผมไหม? ตอนนี้อยู่ไหน? ทำไมผมถึงหาเขาไม่เจอ? เขาไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมแล้วใช่ไหม?.... ทุกอย่างตีรวนผสมปนเปทำเอาผมแทบคลั่ง ผมแทรกตัวไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างกับคนบ้า ได้ยินเสียงคนด่าผมที่ไม่ยอมหยุดเดินปาดหน้าพวกเขาสักที แต่ก็นั่นแหละ ผมหยุดไม่ได้หรอกจนกว่าจะได้เจอพี่โรม



“เอาไงก็เอาเหอะมึง.... สงสารน้องมัน”



“อืม...........”



ใครบางคนพูดขึ้นในตอนที่ผมหลุดเข้าไปถึงโซนบาร์เหล้า ผมหันควับไปยังต้นเสียงทันที แล้วผมก็เห็นพี่โรมยืนอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง.... สายตาคู่นั้นมองผมด้วยความเห็นใจ สงสาร หรือสมเพชเวทนาก็สุดที่จะรู้ได้



หากสำหรับผมแล้ว เสียงที่ได้ยินนั้นมันเทียบเท่าได้กับมือที่ช่วยดึงผมขึ้นมาจากแม่น้ำในความฝันเมื่อวานเลยทีเดียว....





“ทิชา.... กูอยู่นี่”





ผมโผเข้าไปกอดพี่โรมแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ปล่อยความเก็บกดทุกสิ่งทุกอย่างในใจออกมาโดยไม่อาย.... ผมรู้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่อีกเป็นร้อย พวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้างก็ตกใจถามไถ่กันจนวุ่นวายไปหมดว่า ทิชา ทิชนันท์ ซึ่งคนทั้งโลกต่างพากันเกลียดชังและหันหลังให้มายุ่งเกี่ยวกับผู้ชายดีๆ อย่างพี่โรมได้ยังไง



แต่ผมไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นหรอก อยากพูดอะไรก็พูดไปเลย ผมยอมรับทุกสิ่งที่จะตามมาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมคิดจะชิงเกียร์ของพี่โรมแล้ว



แค่พี่โรมไม่ผลักผมออก ไม่ด่าผมว่าน่ารังเกียจอีกเท่านั้นก็พอ....





“ไม่ต้องร้องไห้นะ ทิชา.... กูอยู่นี่แล้วไง.......”



“เช็ดน้ำตาซะ.... หน้ามึงมอมแมมยังกะลูกแมวตกโคลน......กูสัญญาก็ได้ กูไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก อย่าร้องไห้แบบนี้สิ........”






คุณเห็นหรือยัง.... สิ่งที่คนอย่างผมต้องการก็มีแค่นี้เอง





“พี่โรมสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งชา......สัญญาแล้วจริงๆ นะ..........”



“เออ.... กูสัญญา นิ่งซะนะ เด็กดีของกู”






DAN’s InstraGram Live





“หวัดดีครับ.... แดนนี่ นี่แดนเอง~ ไม่ได้ไลฟ์ไอจีมาสักพักแล้ว ทุกคนสบายดีไหมครับ คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?”



หลังจากทักทายด้วยถ้อยคำเดิมๆ ไปไม่กี่วินาที ตัวเลขคนเข้ามาชมไลฟ์ไอจีของผมก็สูงขึ้นจนแตะหลักพัน คอมเมนท์ทักทายกลับไหลรัวผ่านหน้าจอจนอ่านไม่ทัน ก็สมกับที่ผมไม่ได้เข้ามาไลฟ์นานเกือบเดือน บรรดาแฟนคลับก็ย่อมต้องคิดถึงผมแรงมากเป็นธรรมดา



“ที่มาไลฟ์วันนี้ก็เพราะว่ามีข่าวดีที่อยากบอกให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้.... หลายคนคงเคยได้ยินข่าวเปิดรับสมัครนักแสดงหน้าใหม่ของช่องเอ็มแล้วใช่ไหมครับ ละครที่ช่องเอ็มกำลังจะสร้างเห็นว่าต้นฉบับมาจากนิยายที่ฮอตฮิตสุดๆ ในเน็ตเสียด้วย.... อ๋อ ใช่ครับ มันเป็นนิยายวาย แดนก็ไม่เคยอ่านหรอกนะ แต่เห็นว่าน่าสนใจดี”

   



   ‘พี่แดนนนนน อย่าบอกนะคะว่า..... >///<’

   ‘ตายแล้วๆๆ อิแม่กำพระแน่นมากนะ แดนนี่’

   ‘เหยยย พี่แดนจะไปแคสบทเรื่องสงครามคิวท์บอยจริงอ้ะ???’






“ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบ.... เพื่อนๆ ทุกคนเก่งมาก แดนจะเข้าร่วมการแคสติ้งบทในละครเรื่องสงครามคิวท์บอยที่สตูดิโอของช่องเอ็มในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ถ้าใครว่างก็ตามไปให้กำลังใจกันได้นะครับ” 



ผมอ้อนขอเสียงเชียร์จากแฟนคลับ ขึ้นชื่อว่าเริ่มต้นดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เชื่อเลยว่างานนี้คู่แข่งที่จ้องบทเดียวกับผมต้องมีอีกหลายสิบชีวิต ผมก็เลยต้องชิงลงมือก่อนแถมยังซ่อนอาวุธลับเอาไว้เพียบ 



“ขอบอกเลยว่าในงานแคสติ้ง แดนยังมีเซอร์ไพรส์อีกนิดหน่อยให้เพื่อนๆ ได้แปลกใจเล่นกันด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แดนว่าจะไลฟ์บรรยากาศในสตูดิโอให้ได้ดูกันด้วย เพราะฉะนั้น วันเสาร์เก้าโมงเช้าอย่าลืมเฝ้าหน้าจอโทรศัพท์นะครับ”





   ‘งั้นพวกเราจะรอดูนะคะ พี่แดน’

   ‘พี่แดนพูดขนาดนี้ หนูว่าหนูต้องตามไปเชียร์ถึงที่แล้วล่ะค่ะ’

   ‘เซอร์ไพรส์อะไรอ้ะ พี่แดนนนน.... อย่ามายั่วให้อยากแล้วจากไปแบบนี้สิคะ’

   ‘แดนนี่แง้มซะเบอร์นี้แล้วก็บอกมาเถอะค่ะ ไม่งั้นคืนนี้เจ้นอนไม่หลับแล้ว’

   ‘แง้~~ พี่แดนจะเซอร์ไพรส์ยังไงก็ได้ แต่อย่าเปิดตัวชะนีนะ หนูไม่โอ’






ผมขำคอมเมนท์สุดท้ายที่เพิ่งโผล่มาบนจอเมื่อกี้ อย่างผมคงไม่เปิดตัวแฟนผู้หญิงเร็วๆ นี้หรอก ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเคยมีกิ๊กเล็กกิ๊กน้อยไว้กินข้าวดูหนังเป็นเพื่อนอยู่เป็นระยะก็ตาม



แต่ทว่า ยัยคอมเมนท์ล่าสุดเนี่ยสิที่ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วชิดกันออกหน้ากล้องโดยไม่รู้ตัว





   ‘พี่แดนลบรูปคู่กับพี่ทิชาออกทำไม หนูแคปทันนะคะ’





จากนั้น คอมเมนท์ติดแฮชแท็ก #แดนทิชา ก็ไหลมาเป็นพรืดจนผมอ่านไม่ทัน ทุกคนล้วนถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงลบรูปที่ถ่ายคู่กับทิชาเมื่อวานทิ้งไป.... ผมก็อยากบอกนะว่ามันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษเลย แค่ทิชาเขาไม่ชอบ ผมก็ไม่อยากทำให้เขาต้องหงุดหงิดเหม็นขี้หน้าผมมากไปกว่านี้ ผมทำพลาดเรื่องทิชามาสองครั้งซ้อนแล้ว และถ้าหากผมจะพลาดครั้งที่สาม ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเพราะรูปคู่ที่ดูแล้วไม่ได้มีสาระห่าเหวอะไรเลย



“รูปบางรูป แดนก็แค่มีสิทธิ์ถ่ายแต่ยังไม่มีสิทธิ์ลง.... เอาไว้ให้คนในรูปเขาโอเคกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงอีกทีดีกว่าเนอะ”





   ‘ทำไมอะค่ะ? พี่ทิชาเขาไม่ได้ชอบพี่แดนเหรอ?’

   ‘พี่แดนอย่าพูดแบบนี้สิ เหมือนพี่กำลังอกหักเลยอ่าาาา T___T’

   ‘อย่าเพิ่งยอมแพ้สิคะกัปตัน เรือแดนทิชาจะล่มไม่ได้นะ’






ผมไม่ได้ตอบคอมเมนท์ผมพวกนั้น ได้แต่อมยิ้มแล้วก็เตรียมบอกลาแฟนคลับไปทำงานส่งอาจารย์ให้เรียบร้อยเมื่อได้เวลาปิดกล้องแล้ว




TO BE CONTINUE



+++++



TALK



ทีมโรมทิชา อัพเดทหน้ามีได้ยิ้มค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ตาหวาน ที่ 24-12-2017 23:42:17
ไม่ไว้ใจบีบี๋ พี่โรมก็ด้วย
สงสารหนูทิชามากกกกก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-12-2017 23:47:00
ทำไมรู้สึกว่าพี่โรมดูแปลกๆ ระแวงแล้วเนี่ย ส่วนบี๋ก็ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก แดนก็ดูไม่น่าไว้ใจ สงสารทิชามาก มีพ่อก็โดนตัดทิ้ง มีแม่แต่แม่ก็ไม่เข้าใจ จุดๆนี้ทิชาคงใจสลายมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 25-12-2017 00:16:24
รอมาเนิ่นนาน วันนี้ก็มีอัพซักที มาส่องทุกวันเลยค่าาา
สำหรับตอนนี้เค้นหัวใจมากๆ เราเข้าใจทิชานะว่าโหยหาความรัก แต่ก็ไม่ชอบใจอยู่ดีที่ทิชาไปหาโรมอีกแล้ว ฮือออ ขอเรืออื่นด้วยค่าาา แงงงงง
 :ling1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 25-12-2017 00:30:42
โห โรมเอาไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 25-12-2017 01:02:00
นอกจากแดนแล้วก็ไม่รู้สึกไว้ใจใครอีกเลย

แดนไปฮีลทิชาที ดึงนางกลับมาหน่อยยยยย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 27-12-2017 12:08:14
ฮึมมม มีอยู่สองสามข้อที่อยากพูดนะครับ แต่คุณสวีทอลิซยังติดตอบเมนท์ที่แล้วผมอยู่นะ (หัวเราะ)

ข้อแรก ผมไม่ถนัดอ่านพล็อตรักสามเส้า นั่นแปลว่าผมไม่ชอบพล็อตตบตีแย่งชิงผู้ชาย เพราะตามมาตรฐานสังคม นั่นเป็นพล็อตนิยายน้ำเน่า ถ้าระวังได้หน่อยก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากถลำลึกของความรู้สึกในฝ่ายที่มันไม่ควรจะมี มันเป็นพล็อตพื้นฐานที่คนส่วนมากมักจะเขียนกันได้ ยกเว้นถ้ามันนำไปสู่การแก้ปมชีวิตส่วนตัวของคน (แก้ปมชีวิตส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่นำไปสู่จุดจบของพล็อตหลัก ประมาณว่านางร้ายตาย อันนั้นก็พื้นฐานน้ำเน่าเหมือนกัน) อันนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจ ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าเวลาเราเขียนไปแล้ว เราตามแก้สิ่งที่เขียนไปแล้วไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพิถีพิถันเรื่องฉากสื่ออารมณ์ ไม่ให้หลุดหรือสื่อไปอย่างผิดๆ

ข้อสอง การที่ทิชาจะโดนแบบที่พ่อกับแม่ทำ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ พูดในทางสังคมมาตรฐานเลยนะครับ ไม่ใช่แนวโน้มที่เข้าข้างตัวเอก ในชีวิตจริง ถ้าคุณมีแฟนนอกสมรสที่ดันคุยกันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทางแก้ปัญหา มนุษย์ส่วนมากก็มักจะแก้ปัญหาโดยให้มันจบๆไปซะ ทิชาควรเรียนรู้ได้แล้วว่าข้อผิดพลาดมันไม่กำเนิดความรัก (อย่างที่ผมอธิบายไปในคอมเมนท์ที่แล้ว) ความรักเชิงชู้สาว ไม่ใช่ผลตอบแทนของความสงสาร ข้อนี้สำคัญ

ข้อสาม ผมคิดว่าผมงงกับการนำเสนอคาแรกเตอร์บี๋นะครับ ยังงงๆว่าตกลงจะเป็นยังไง โดยรวม ผมคิดว่าเนื้อหาในบทพูดของบีบี๋ในบทที่ 8 นี่ค่อนข้างเป็นปรปักษ์เห็นชัดนะครับ แถมยังแก้ปัญหาแบบมนุษย์ปกติทั่วไป คือพยายามทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูดี มันสื่อถึงพื้นฐานนิสัยที่แย่และดูเอาแต่ใจตัวเอง ไร้การอบรมในมารยาทสังคม แล้วมาตัดอารมณ์ตรงประโยคสุดท้ายที่เหมือนจะตัดพ้อ เลยทำให้ผมงงๆ รบกวนเช็คนิดนึง

ถ้าค่อนไปทางนิสัยดี ไอ้ประโยคประชดหลอกด่าทิชานั่นก็ไม่ควรจะมี  (โอเค ผมยอมรับได้ว่าการพูดจาไปตามอารมณ์ และการแก้ปัญหาแบบดูแลภาพลักษณ์ตัวเอง มัน ‘เรียล’ สำหรับเด็กปีสอง ผมโอเคกับการแก้ปัญหา แต่ไม่โอเคตรงเนื้อความครับ เนื้อความไม่ควรจะเหยียดขนาดนั้นถ้านิสัยค่อนไปทางดี เพราะเนื้อความนี้สื่อถึงความอิจฉาริษยาหรือแอบเกลียดชัง) หรือถ้าค่อนข้างไปทางนิสัยแย่ ไอ้ประโยคสุดท้ายที่เหมือนจะตัดพ้อว่าให้พูดมาตรงๆ นั่นก็ไม่ควรจะมีครับ เนื้อความควรจะชัดแบบแย่ไปเลยว่าไม่ได้ต้องการจะคบเพื่อความสัมพันธ์ฉันมิตรแต่แรก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 27-12-2017 20:46:00
รู้สึกทุกคนมีความเทา ดูเรียลมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-12-2017 23:34:56
ROME’s PART



   Im_BeeBeE : เฮียจะทำแบบนี้กับบี๋ไม่ได้นะ

                 เราจะคุยกันไม่ได้เลยเหรอ?

                 บี๋ต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายโกรธเฮียไม่ใช่หรือไง? เฮียเป็นคน

                           นอกใจบี๋ก่อนนะ อย่าเอาเรื่องที่บี๋กับไอ้ชาทะเลาะกันวันนี้

                           มาอ้างได้ปะ

                  *Called*

                  *Called*

                        เฮียตอบบี๋หน่อยดิ

                   ไหนเฮียบอกว่าชอบบี๋ไง แล้วมาหัวร้อนอะไรแทนไอ้ชามันเนี่ย?

                        เฮียเป็นคนเลือกบี๋เองนะ

                           ไอ้ชาจะชอบหรือไม่ชอบเฮียก็ไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย ก็เฮียไม่ได้

                           ชอบมันนี่

                           เฮียชอบบี๋ บี๋คบกับเฮียมันก็แค่นั้น จะเอาเรื่องคนอื่นมาเกี่ยว

                           ทำไม?

                           หรือเฮียแคร์ไอ้ชามากกว่าบี๋ล่ะ?

                          *Called*

                          ไอ้ชามันบอกอะไรเฮีย? แล้วมันเอาเกียร์ของเฮียไปได้ยังไง?

                          เฮียถอดให้มันเหรอ? ที่ไหน? มันแอบไปหาเฮียที่เบอร์ลิคเหรอ?

                          มันบอกให้เฮียเลิกกับบี๋ใช่มะ?

                          เฮียก็รู้ว่ามันเป็นพวกชอบแย่งแฟนชาวบ้าน  ตอแหลเก่งจะตาย

                          มันทำคนอื่นเขาทะเลาะกันมาไม่รู้ตั้งกี่คู่แล้ว

                 เฮียเชื่อมันลงได้ยังไงอะ?

                 *Called*

                         เฮียใจร้ายว่ะ ไม่รักบี๋แล้วเหรอ?

                         บี๋ไม่โกรธที่เฮียเอาเกียร์ให้ไอ้ชาแล้วก็ได้ มันอยากได้นักก็ยกให้

                         มันไปเลย แต่เฮียรับคอลบี๋หน่อยนะ

                *Called*

                *Called*

                เฮียโรม บี๋ขอโทษก็ได้ แต่เราอย่าเลิกกันเลยนะ




ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ไม่สนใจคำตัดพ้อแก้ตัวของบีบี๋เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เพราะยังโกรธแล้วก็เสียความรู้สึกไม่หายที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองกลายเป็นไอ้หน้าโง่ให้เด็กเมื่อวานซืนตาใสๆ หลอกมาโดยตลอด.... เสียแรงที่ผมอุตส่าห์นึกชอบ คิดว่าบีบี๋นี่แหละคือคนแบบที่ตามหามานาน เปลือกนอกซึ่งเต็มไปด้วยความร่าเริงมองโลกในแง่ดีทำให้ผมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ที่แสนน่ารัก ก่อนจะมาตาสว่างเมื่อพบว่าสุดท้ายสิ่งที่เห็นอาจเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด

บีบี๋ที่ผมรู้จักคนนั้นรักเพื่อนที่ชื่อทิชายิ่งกว่าใคร ทุกครั้งที่คุยกันจะต้องมีเรื่องของทิชามาเล่าอวดให้ผมฟังเสมอ.... ทิชาดีอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ถ้าไม่มีทิชาคอยช่วยเหลือก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนรอดมาจนถึงปีสองได้หรือเปล่า แล้วสิ่งที่ผมเห็นจากคลิปวิดิโอที่รุ่นน้องในศิลปกรรมส่งมาให้คืออะไร? เรื่องไหนที่เป็นความจริงและใครกันแน่ที่เป็นคนโกหก?


‘กูชอบพี่โรม....กูชอบเขา.....ชอบมาก่อนที่มึงจะเริ่มคุยกับเขาเสียอีก แล้วกูก็คิดว่ามึงรู้มาตั้งแต่แรกด้วยว่ากูรู้สึกยังไงกับพี่โรม’

‘คิดว่ากูปาดหน้าเค้กมึงสินะ?’

‘แล้วไม่ใช่หรือไง?’

‘ถ้าใช่แล้วมึงจะทำไม? เฮียโรมเขาเลือกกูแล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรได้?’




ใช่.... บีบี๋พูดถูก ผมเลือกไปแล้วว่าจะคบกับบีบี๋ และทิชาก็คงไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก

ผมรู้สึกแย่ฉิบหายที่เป็นต้นเหตุให้รุ่นน้องสองคนที่เป็นเพื่อนรักกันต้องผิดใจกัน พอๆ กับที่คิดว่าตัวเองเหี้ยแสนเหี้ยที่ไม่รู้จักหักห้ามใจจนกระทั่งเลยเถิดกับทิชาไปถึงขั้นนั้น.... มันเป็นเพราะความอ่อนแอของผมเอง ทันทีที่สำนึกผิดชอบชั่วดีกลับคืนมา ผมด่าตัวเองไปแล้วเป็นล้านครั้ง ผมเกลียดตัวเองที่ทรยศความไว้ใจของบีบี๋ ผมโทษว่ามันเป็นความผิดของทิชาที่จงใจเข้ามาชิงเกียร์ที่เบอร์ลิค และผมก็พยายามจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นด้วยการขอเกียร์คืน

แต่ที่ผมทำลงไปไม่ใช่เพื่อจะได้มาเจออะไรแบบนี้....


‘อ้อ.... ที่บอกว่าปาดหน้านั่น หมายความว่าที่บี๋ทำเป็นคุยกับเฮียตอนแรก แค่เพราะรู้ว่าทิชาชอบเฮียก็เลยอยากจะแกล้งเพื่อนสินะ?’

‘เฮียก็ได้ยินที่มีคนมาฟ้องแล้วนี่ จะมาถามบี๋อีกทำไม?’

‘แล้วถ้าทิชาไม่ได้ชอบเฮีย บี๋ก็คงจะไม่คุยกับเฮียด้วยใช่ไหม?’

‘........ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ’




สิ่งที่ได้ยินหลังจากนั้นแทบไม่ผ่านเข้าหู ตลอดสองชั่วโมงที่คุยกันในตอนบ่ายจนไม่มีใครได้เข้าเรียนเต็มไปด้วยคำถามว่าเพราะอะไรและทำไม.... บีบี๋ที่ผมชอบกับบีบี๋ที่ผมคุยด้วยตอนนี้ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า หรือแค่เสแสร้งทำตัวให้ผมรักเพื่อที่จะได้แกล้งปาดหน้าทิชาง่ายๆ หากผมก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ถึงได้คำตอบมาก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องโกหกที่สอง ที่สาม ที่สี่ ตามมาอีกไหม

บีบี๋ไม่ได้รักผมเลยสักนิด และผมก็นอกใจแฟนตัวเองไปมีอะไรกับทิชา งั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องยื้อในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ทำผิดต่อกัน

ผมด่าทิชาเสียๆ หายๆ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรเลยนอกจาก 'รักพี่โรม'

แต่กับอีกคนหนึ่งที่ผมเลือก ผมกลับไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้อีกบ้าง

ผมน่าจะรู้ความจริงให้เร็วกว่านี้ อย่างน้อยสักวัน-สองวันก็ยังดี

ทิชาที่รักผมจะได้ไม่ต้องมาทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างการชิงเกียร์วิศวะฯ และผมก็คงไม่ต้องผลักไสไล่ส่งน้องมันไปแบบนั้น



.


.


แม้ป้ายตรงหน้าเขียนว่า Point of no return แต่ผมก็รั้นที่จะหันหลังกลับด้วยความหวังว่ามันจะยังไม่สายจนเกินไป....

.


.


ดึกป่านนี้แล้ว สถานที่ที่จะไปได้ก็คงมีอยู่ไม่มาก ผมขับรถออกจากเบอร์ลิคมาถึงร้านเบอร์เกอร์เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงแถวซอยโรงแรมเดวิส เวลาล่วงเลยมาจนเที่ยงคืนกว่า ในร้านจึงมีลูกค้าอยู่ไม่กี่คน มีแค่แขกต่างชาติอีกโต๊ะกับพนักงานซึ่งไม่ได้สนใจจะต้อนรับพวกเรานัก.... ผมสั่งน้ำกับของกินอีกนิดหน่อยก่อนจะพาทิชาไปนั่งด้วยกันที่โซฟามุมด้านในสุดซึ่งค่อนข้างลับตาคน ร่างเล็กไม่ได้สะอื้นฟูมฟายแล้วแต่ก็ยังมีน้ำตาไหลอยู่ตลอด ผมปล่อยให้น้องซบไหล่ร้องไห้จนกว่าจะพอ

“เป็นยังไงบ้าง? สบายใจขึ้นหรือยัง?”  ผมถามขณะส่งทิชชู่ให้ทิชา

มันพยักหน้าตอบ ตาแดงจมูกแดงเหมือนกระต่าย ผมยื่นหลอดดูดน้ำอัดลมให้เผื่อว่ารสหวานๆ เย็นๆ จะช่วยให้มันสมองโล่งและอารมณ์ดีขึ้น

“ชาขอโทษนะที่มารบกวนพี่โรมอีกแล้ว.......” 

เจ้าของเสียงแหบอู้อี้เอ่ยพลางปาดน้ำตาลวกๆ ด้วยทิชชู่ที่ผมให้ แม้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทิชาร้องห่มร้องไห้เตลิดเปิดเปิงออกจากบ้านกลางดึกกลางดื่นคืออะไร แต่ดูท่าทางน้องคงจะกระอักกระอ่วนลำบากใจไม่น้อยทีเดียวกับการแบกหน้ามาหาผม 

"ทั้งๆ ที่ชาทำไม่ดีกับพี่ จะโดนด่าแบบนั้นก็สมควรแล้ว......เมื่อวานที่พี่อุตส่าห์มาที่บ้าน ชาก็ยังทำให้พี่โรมเสียความรู้สึกเรื่องเกียร์อีก........"

“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างแม่งเหอะ” 

ผมลูบหัวปลอบทิชา บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผมเองก็พลาดเหมือนกันที่ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจมัน แล้วก็เข้าใจด้วยว่าที่น้องมันงอแงไม่ยอมคืนเกียร์ให้ก็เพราะกลัวว่าจะมาหาผมไม่ได้อีกนั่นแหละ 

“ที่จริงไม่ว่าเรื่องไหน กูก็ไม่ควรโกรธมึงเลย.... ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากูเปลี่ยนใจจากมึงไปหาอีกคน โลเลไปมา เรื่องทั้งหมดแม่งก็คงไม่เกิด”

ทิชากอดผมแล้วซุกตัวอยู่อย่างนั้นอีกครู่ใหญ่ สภาพมันไม่ต่างจากลูกนกบาดเจ็บที่อยากหารังพักฟื้นรักษาจนกว่าแผลที่ปีกจะหายดี น้ำตาเริ่มแห้งไปแล้วพร้อมกับจังหวะการหายใจที่กลับมาเป็นปกติ.... ถ้าเปรียบความทุกข์ให้เป็นเหมือนทะเล ผมก็คงเป็นเรือชูชีพที่ช่วยประคองไม่ให้ทิชาจมน้ำตาย มือเล็กเกาะผมเอาไว้แน่นราวกับว่าผมคือที่พึงแห่งเดียวและแห่งสุดท้ายที่มันพอควานหาได้ในเวลานี้ และผมก็เต็มใจจะให้เป็นแบบนั้นเพื่อคนที่ต้องการผมมากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมแนบริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียน โอบแขนรอบร่างผอมบางรั้งให้จมเข้ามาในอกกว้าง ถึงจะรู้ว่าทิชามันไม่ได้ใสซื่อ ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อะไรนัก มันทั้งดื้อและร้ายอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถเป็นได้ ประวัติครอบครัวก็ไม่ค่อยดี ที่สำคัญคือมันเคยมีแฟนแล้วก็น่าจะเคยทำอย่างว่ากับไอ้พวกนั้นทุกคนด้วย

แต่จะผิดไหมถ้าหากผมจะทำให้ทิชาเชื่อว่าผมคือคนสุดท้ายของมัน....?


“พี่โรมรู้หรือเปล่า.... นอกจากพี่ ชาก็ไม่เหลือใครอีกแล้วนะ........”

ทิชาบอกเสียงแผ่ว ดูต้องใช้ความพยายามมากที่ที่จะกลั้นไม่ให้ตัวเองปล่อยโฮออกมาอีกรอบ 

“แม่กับพ่อ......ไม่มีใครรักชาเลยสักคน......ชาเพิ่งรู้จากปากพวกเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองว่าจริงๆ แล้วพ่อไม่ได้อยากให้ชาเกิดมาเลย พ่อสั่งให้แม่ไปทำแท้งเอาชาออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าท้อง แต่เพราะแม่อยากเก็บชาเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพ่อ ชาถึงได้รอดมาจนทุกวันนี้.........”

“พ่อแม่บ้านอื่นเขาพูดกับลูกตัวเองกันแบบนี้เหรอ....ด่าว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก ไล่ให้ไปเปลี่ยนนามสกุล ไล่ให้ไปให้พ้นหน้า ไล่ให้ไปตาย......โยนเงินมาให้ก้อนหนึ่งแล้วก็บอกตัดขาดกันเหมือนเอาหมาไปปล่อยวัดเลย......ชาอุตส่าห์เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ลำบากใจเลยสักครั้ง แต่ถ้าจะทำกันขนาดนี้ก็ไม่ต้องให้ชาเกิดมาก็ได้นะ..........”

ตอนที่ทิชาเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟังครั้งแรกที่ริมสระน้ำของโรงแรม ผมก็รับรู้แค่ว่าน้องมันเป็นเด็กที่ค่อนข้างขาดความรัก เรื่องแย่ๆ ที่เคยพบเจอส่งผลให้ทิชายิ่งโหยหาในสิ่งที่อยากได้จนบางครั้งก็ถึงขนาดยอมเสี่ยงทำให้ตัวเองเจ็บ แต่ถ้าคนเป็นพ่อแม่ยังขยันกรีดแผลใจให้ลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่อยากคาดเดาเลยว่าหากทิชายังอยู่ตัวคนเดียว เด็กคนนั้นจะพาตัวเองไปจบลงที่ไหน

“ขนาดพ่อแม่แท้ๆ ยังคิดแบบนี้เลย นับประสาอะไรกันคนอื่นล่ะ....เนอะ?” 

ทิชาทำเป็นหัวเราะติดตลกทั้งที่น้ำเสียงฟังดูเหมือนอยากร้องไห้ต่อมากกว่า มันเงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาโดยที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม มันกล้าปรับทุกข์เล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังก็เพราะว่าผมเป็นคนนอก แต่กับเรื่องที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทิชาเองก็คงไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มต้นยังไง

“.........ไม่รู้ว่าพี่โรมรู้หรือยัง แต่ชากับไอ้บี๋ไม่คุยกันแล้วนะ”

“อืม กูรู้แล้วล่ะ”

“รู้ได้ยังไง? ใครบอก?”  มันถามเสียงเศร้าๆ “ไอ้บี๋เล่าให้ฟังแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่บีบี๋หรอก”

“แล้วคนๆ นั้นเขาเล่าทุกอย่างมั้ย? เขาบอกหรือเปล่าว่าไอ้บี๋.............”

“กูได้ยินทุกอย่างเหมือนที่มึงได้ยินนั่นแหละ” 

ผมบอกพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความเกรี้ยวกราดของทิชาตอนที่ตัดสินใจมาชิงเกียร์ขึ้นมาบ้างแล้ว เวลาถูกหลอกใช้ความรู้สึก ถูกทำให้คิดว่าใช่แต่กลับไม่ใช่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง 

“ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวหรอกนะที่เสียใจ ทิชา กูเองก็เหมือนกัน”

ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องบีบี๋หรือเรื่องที่เคยให้ความหวังทิชาแล้วชิ่ง แต่หมายความรวมถึงการตัดสินใจที่แสนเฮงซวยของตัวเองด้วย


ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมรอบกายเราสองคนอีกครั้ง มีเพียงเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ดังมาจากหน้าเคาท์เตอร์สั่งอาหาร.... ผมยังคงกอดทิชาเอาไว้พลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่เจอทิชาพร้อมกับบีบี๋ ทุกสิ่งคล้ายจะสลับทิศทางและบิดเบี้ยวไปหมดจนพวกเราแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนคือผิดถูก อันไหนคือความรักและอันไหนเป็นแค่ความหลงใหลชั่ววูบ ผมไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้ทิชาแม้ว่าจะเลือกเดินหน้าจีบอีกคน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าจะให้ปล่อยมือจากทิชาไปเลย ผมก็ทำไม่ได้

“พี่โรม...........”

“หืม?”

“พี่จะคิดว่าชาเป็นพวกหน้าด้าน แย่งได้แม้กระทั่งแฟนเพื่อนหรือเปล่า?” 

ทิชาถามผม ความรู้สึกหวาดหวั่นปรากฏชัดเจนในน้ำเสียง ฟังก็รู้ว่ามันกลัวคำตอบที่จะได้รับจากผมมากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดก็ยังมีอิทธิพลมากกว่าความกลัว 

“ก่อนจะไปชิงเกียร์พี่โรมที่เบอร์ลิค ชาก็คิดอยู่แล้วแหละว่าต้องโดนพี่โรมเกลียดเอาแน่ๆ แต่ชาไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง......ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เข้าใจก็ช่าง ถ้าเกียร์ที่ได้มามันช่วยให้พี่โรมกอดชาเอาไว้แบบนี้ ชาก็จะไม่นึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไปเลย”

“ชาชอบพี่โรมจริงๆ นะ......ชอบมาก่อนที่ไอ้บี๋จะเข้ามาในชีวิตพี่ด้วยซ้ำ.........”

“กูเชื่อว่ามึงชอบกู ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพราะชอบกู.... ตอบแค่นี้โอเคยัง?”

“แล้ววันพรุ่งนี้กับวันต่อๆ ไป พอพี่โรมกลับไปเจอไอ้บี๋แล้ว พี่จะยังกอดชาแบบนี้อยู่อีกไหม?” 

คำถามนั้นมาพร้อมกับอาการสั่นน้อยๆ และแรงกดจากปลายนิ้วที่แทบจะจิกลงไปบนหลังของผม

“ชายอมให้พี่โรมคบไอ้บี๋ต่อก็ได้นะ แต่ขอให้ชาได้เจอพี่โรมบ้าง.... จะที่เบอร์ลิคหรือที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ก็ได้ มีแค่ชาคนเดียวที่รู้ว่ายังมีพี่โรมให้รักก็พอแล้ว”

“พูดอะไรของมึงเนี่ย?”

“ฟังดูเหมือนขอเป็นเมียน้อยเลยใช่ไหม....?” 

ทิชาเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มของมันดูน่าเศร้าจนใจหาย 

“ถ้าเลือกได้ ชาก็อยากตัดใจจากพี่เหมือนกัน......แต่พี่โรมเป็นคนเดียวที่ไม่ไล่ชาไปไกลๆ และชาก็คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่............”

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงนะ เขาอาจจะคิดว่าผมกำลังจับปลาสองมือหรือเอาแต่สปอยล์ให้ทิชายิ่งถลำลึกกับความรักลงไปอีกอยู่ได้.... มันคงเป็นความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นแหละ มีใครบ้างล่ะที่ไม่ต้องการความรัก มีใครบ้างที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนสำคัญ ในเมื่อตัวผมเองก็ยังต้องการเลย

“ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกนะ.......” 

ผมดุทิชาก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มแดงๆ ที่มีแต่รอยคราบน้ำตาเกรอะกรังนั่น 

“ก็กูสัญญาแล้วว่าจะไม่ทิ้งมึง.... ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้หรือตอนไหนๆ กูก็หมายความตามนั้นแหละ”

“พี่โรม?”

ทิชามองผมอย่างประหลาดใจ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกต่างกันนัก

แต่ขอให้รู้เอาไว้เถอะว่าผมไม่ได้พูดพล่อยๆ เพื่อให้ใครรู้สึกดี ผมคิดทบทวนและตัดสินใจตั้งแต่ตอนที่เห็นทิชากลับเข้ามาในเบอร์ลิคคืนนี้ บางทีเกียร์ของผมอาจจะมีคุณค่ามากกว่าถ้ามันอยู่บนคอของทิชา ไม่ใช่บีบี๋....

ผมเกี่ยวสายหนังที่คล้องคอทิชาขึ้นมา เอาจริงๆ ก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าจี้รูปเฟืองซึ่งได้รับมาหลังงานรับน้องกับวาทกรรมชาววิศวะฯ ที่ว่า ‘เกียร์อยู่ทีไหน ใจอยู่ที่นั่น’ จะสำคัญต่อใครคนหนึ่งขนาดนี้

“กูไม่เอาเกียร์คืนจากมึง ในเมื่อใส่แล้วก็รักษาให้ดีๆ แล้วกัน”

“พูดจริงเหรอ?” 

ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ มองผมเหมือนไม่อยากเชื่อ ทิชาในตอนนี้ไม่ต่างจากดอกไม้ที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากมีคนรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ จากที่หม่นหมองราวกับว่าโลกนี้จะไม่มีแสงสว่างให้เห็นอีกแล้วก็เริ่มมีเค้าลางที่จะสดใสขึ้น 

“พี่โรมยกเกียร์อันนี้ให้ชาจริงๆ เหรอ? ไม่เอาคืนแล้วจริงๆ นะ?”

“กูรู้ว่าเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่กูก็ยังอยากจะย้อนมันกลับไปอยู่ดี.... กลับไปวันที่กูกับมึงเพิ่งเจอกัน ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเรา กูคงจะไม่เสียเวลา เสียความรู้สึกไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่มึงอีกแล้ว..........”

มันคงจะดีกว่านี้ถ้าในตอนที่ทิชาสารภาพรักกับผม ผมไม่ได้ทำร้ายจิตใจมันด้วยการบอกว่าชอบคนอื่น และมันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าหากผมกล้ายอมรับกับตัวเองและบีบี๋ตั้งแต่เมื่อวานว่าทั้งเกียร์และส่วนหนึ่งในหัวใจผมนั้นอยู่กับทิชามาแต่แรกแล้ว

“งั้นจากนี้ไป ชาก็ไปหาพี่โรมได้ทุกที่ที่อยากไป.....คุยกับพี่ได้ทุกเมื่อที่อยากคุย......จะไม่มีใครสามารถห้ามไม่ให้ชารักพี่โรมได้แล้วใช่ไหม?”

“อืม มึงอยากทำอะไรก็ทำได้เลย.... เป็นทั้งเมียแล้วก็เจ้าของเกียร์กูแล้วนี่” 

ผมบอกก่อนจะกดจูบลงไปบนแก้มนุ่มหอมของร่างเล็กตรงหน้า

“แต่คราวหน้า ขอให้กูได้เห็นมึงในสภาพปกติบ้างเหอะนะ.... เด็กอะไรขี้แยฉิบหาย ถ้ามึงร้องไห้มาอีก กูจะตีซ้ำแล้ว”

“ก็ถ้าพี่โรมไม่ดุ ไม่ใจร้ายก่อน ใครมันจะไปร้องไห้ง่ายๆ ล่ะ”

“อ้าว โทษกูอีก”

เราทั้งคู่หัวเราะให้กับคำพูดของกันและกัน ก็ไม่ได้ขำบ้าอะไรนักหรอกแต่มันคงเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เราหลีกหนีจากสายฝนที่รออยู่ในวันพรุ่งนี้ได้

“กูไม่คิดว่าเรื่องของเรามันจะง่ายหรอกนะ ทิชา.... แต่กูจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อมึง” 

ผมบอกกับทิชาที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ณ จุดนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมก็คือคนที่นอกใจแฟนและทิชาก็คือคนที่แย่งแฟนเพื่อนสนิท มันไม่ง่ายที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจการกระทำและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเรา แต่ผมก็ยังเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป 

“จะหาว่ากูชอบให้ความหวังก็ได้นะ แต่กูไม่อยากโกหกมึง.... กูบอกไม่ได้ว่ากูรักมึงในแบบที่มึงต้องการแล้วหรือยัง แต่กูเต็มใจที่จะให้มึงอยู่ที่ตรงนี้ แล้วกูก็ไม่อยากให้มึงหายไปจากชีวิตกูด้วย”

ทิชาพยักหน้ารับรู้ แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว....

ริมฝีปากของเราแตะกัน สัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนและความปรารถนาที่เอ่อล้นขึ้นมา ข้างในอกหวามไหวยามเมื่อทิชาส่งเสียงครางเบาๆ ตอบรับ ผมยิ่งรุกหนักขึ้น ดันร่างเล็กจนชิดผนังมุมโซฟาแล้วจูบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนคืนแรกที่เราได้กัน.... ที่เขาว่าตบมือข้างเดียวไม่มีทางดังน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ว่าทิชาจะตั้งใจชิงเกียร์ ตั้งใจอ้อนหรือยั่วผมหรือไม่ก็ตาม ท้ายที่สุด คนซึ่งทำให้ความผิดของเราสองคนครบถึงร้อยเปอร์เซนต์ก็คือผมเอง


ทั้งร่างกายและหัวใจไม่มีการต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย มันคือความรู้สึกที่บอกว่าใช่

ทิชาต่างหากที่ควรเป็นของผม....


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-12-2017 23:40:01
BeeBee’s PART



     Im_BeeBeE : เฮียขี้โกงอะ บี๋ยังพูดไม่จบเลยนะ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง

                   บี๋บอกว่าที่คุยกับเฮียเพราะอยากแกล้งไอ้ชาก็ใช่ ก็บี๋ไม่

                        อยากให้มันได้คบกับเฮียนี่

                   เพราะไอ้ชาเป็นเพื่อน บี๋ก็เลยต้องหลีกทางให้มันเหรอ

                        บี๋ต้องตามใจไอ้ชาทุกอย่างใช่มั้ย เฮียถึงจะพอใจน่ะ?

                        มันก็ชนะบี๋มาทุกเรื่องแล้ว จะแพ้สักหน่อยไม่ได้หรือไง

                   ตอนนี้บี๋ก็ชอบเฮียเหมือนกันแล้วไง

                       ถึงบี๋จะมาเจอเฮียทีหลังมัน แต่ในเมื่อเฮียเลือกบี๋ก่อน

                       แล้วทุกอย่างที่บี๋ทำมันผิดตรงไหนล่ะ

                  บี๋ไม่มีสิทธิ์หวงเฮีย แต่ไอ้ชาหวงได้งั้นเหรอ?

                      *Called*

                      เฮียงอนบี๋ ก็เลยจะหันไปโอ๋ไอ้ชาประชดบี๋ใช่มั้ย?

                      กลับมาคุยกันดีๆ เถอะนะ

                      บี๋ขอโทษก็ได้.....




“โธ่เว้ย!”

ผมกระหน่ำส่งไลน์ไปเป็นร้อย มีตัวหนังสือขึ้นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วแค่ข้อความแรกๆ หลังจากนั้นก็เหมือนว่าผมบ้าพูดอยู่คนเดียวโดยที่เฮียโรมไม่สนใจจะอ่านและตอบเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากจะคิดเลยว่าบางทีแฟนผมอาจจะกดปิดรับการแจ้งเตือนเพื่อตัดรำคาญไปแล้วก็ได้.... ให้ดิ้นตายเหอะ ไม่รู้ว่าเฮียโรมแกล้งทำเมินใส่ผมได้ยังไง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ปล่อยให้ผมร้อนรนขนาดนี้

ถ้าผมจะทำอะไรผิดก็คงมีแค่เรื่องที่ไปพูดตอกหน้าทิชาให้ไอ้ห่าแดนได้ยิน แล้วก็หลุดปากเรื่องเฮียบนตึกเรียนจนมีคนถ่ายคลิปไปฟ้องเจ้าตัวได้นั่นแหละ

ก็แล้วยังไง มันก็เป็นสิทธิ์ของผมที่จะอวดไม่ใช่เหรอ.... เหตุผลแรกก็คือผมอยากให้ทิชารีบตัดใจจากเฮียโรมให้ได้เร็วๆ ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ผมก็ไม่อยากใช้ผู้ชายร่วมกับใคร แล้วผมก็ไม่ชอบเอามากๆ ด้วยกับสายตาโหยละห้อยที่มันใช้มองตามหลังแฟนผม แต่อีกเหตุผลหนึ่งของการขิงก็คือโคตรสะใจเวลาที่ทิชามันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังอิจฉา เพราะนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ผมสามารถเอาชนะทิชาได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย

ทั้งที่ผมอุตส่าห์คิดว่าปิดจ็อบได้แล้วเชียวนะ แต่ไอ้ทิชามันกลับร้ายกว่าที่คิด เผลอแปบเดียวก็ไปคว้าเอาเกียร์พี่โรมมาห้อยคอ แถมยังมาทำหน้าแบ๊ววางท่าเป็นเพื่อนที่แสนดีใส่ผมอีก.... สมแล้วที่โดนชาวบ้านด่าว่าเลือดแม่มันแรง เก่งนักเรื่องอ้าขาให้ผู้ชาย คบกี่คนๆ ก็เสนอตัวให้เขาเอาไปเสียหมดจนทุกคนเขาเหม็นชื่อกันไปทั้งมหาลัย

ก็มีแต่พี่โรมนั่นแหละที่ไม่เคยรู้ห่ารู้เหวอะไรกับใครเขาเลย....



“อาบีบี๋ ดึกป่านนี้แล้ว ลื้อจะออกไปไหน?”

“บี๋มีธุระกับเพื่อนนิดหน่อยน่ะ หม่าม้า.... ออกไปแปบเดียวเอง”

ซวยจริงเว้ย เห็นข้างล่างปิดไฟมืดสนิทก็นึกว่าหม่าม้าเข้านอนไปแล้วเสียอีก แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน หม่าม้าก็โผล่ออกมาจากห้องเก็บของหลังร้านแล้วจ๊ะเอ๋เข้ากับผมที่กำลังจะใส่รองเท้าอยู่พอดิบพอดี

“ไม่เอาๆ ลื้อกลับขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้เลย เพื่อนที่ไหนจะมานัดเจอกันเที่ยงคืนตีหนึ่งแบบนี้ ม้าไม่อนุญาตให้ออกไปนะ” 

ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นผม ป๊ากับม้าเป็นอันต้องโบกมือห้ามเอาไว้ก่อน ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าเหตุผลคืออะไรและจำเป็นแค่ไหนที่ผมจะต้องทำ 

“อาบีบี๋ ลื้อเอาแต่หนีเที่ยวทำตัวเหลวไหล ไม่สงสารป๊ากับม้าที่หาเงินส่งเสียให้ลื้อเรียนหนังสือแพงๆ บ้างเลยหรือไง.... ทำไมไม่เอาอย่างอาเฮียกับอาเจ้ลื้อบ้าง เรียนหมอกันทั้งคู่ อีกหน่อยป๊าม้าก็สบาย ไม่ต้องมาเปิดร้านขายของงกๆ ทุกวันอย่างนี้ ลื้อไม่เรียนหมอ อยากเรียนวาดรูปแต่งบ้าน ปาป๊าลื้อก็อุตส่าห์ไม่ว่าอะไรแล้ว ยังจะไม่ตั้งใจเรียนอีก...........”

แล้วก็กลับมาวนลูปเดิมๆ ทุกครั้งที่ผมทำอะไรไม่ได้ดั่งใจป๊ากับม้า มันเป็นความซวยของผมเองด้วยมั้งที่มีพี่ชายกับพี่สาวเรียนเก่งและว่านอนสอนง่าย พอลูกคนเล็กจะแตกแถวไม่เดินตามรอยเท้าพี่อย่างที่พ่อแม่หวังเข้าหน่อยก็เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ 

“เห็นอาเจ้แบมบอกว่าคราวก่อนถ้าไม่ได้อาทิชาเพื่อนลื้อมาช่วยทำงานส่งจนเช้า ลื้อก็เรียนตก ต้องไปเรียนวิชาเดิมใหม่อีกรอบ.... ไม่ไหวเลยนะอาบีบี๋ ลื้อไม่เรียนหมอ หม่าม้าก็เก็กซิมพอละ อย่างน้อยก็น่าจะดูอาทิชาไว้บ้างว่าทำยังไงถึงจะวาดรูปเก่งๆ แบบเขา”

“ม้าเลิกเปรียบเทียบบี๋กับไอ้ชาสักทีได้ปะ?”

ทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตเพื่อนจากปากบุพการีในทำนองชื่นชมนักหนา ผมก็ของขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“ถ้าไอ้ชามันดีนัก ม้าไปขอมันมาเป็นลูกแทนบี๋เลยมั้ยล่ะ!?”

“ไอ้บี๋ แกกล้าพูดแบบนี้กับหม่าม้าได้ไง ขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

พี่สาวผมตามลงมาเจอเอาตอนที่ผมเถียงหม่าม้ากลับ รู้เลยว่ามงกุฎตำแหน่งลูกทรพีดีเด่นประจำปีนี้จะต้องเหวี่ยงโครมลงบนหัวผมอย่างแน่นอน.... แต่ใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของผมล่ะ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจคนบ้านนี้สักอย่าง เดี๋ยวก็ว่าโง่ เดี๋ยวก็ว่าขี้เกียจสันหลังยาว ถูกเปรียบเทียบกับพี่น้องตัวเองมาทั้งชีวิตก็เหี้ยเกินพออยู่แล้ว ยังจะลากคนนอกมาเหยียบย่ำซ้ำเติมผมอยู่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน

“บี๋ออกข้างนอกนะเจ้ คืนนี้ไม่กลับ!”

“บีบี๋ ก็หม่าม้าบอกว่าไม่ให้ไปไง!”

พอเปิดประตูได้ ผมก็ก้าวเท้าฉับๆ เดินออกไปโบกแท็กซี่ ไม่สนใจเสียงม้ากับเจ้ที่ตะโกนโหวกเหวกไล่หลังมา ขืนมัวแต่ชักช้าจนป๊ากับเฮียบิ๊กลงมาเจอ มีหวังผมถูกเตะจนเละเป็นต้นกล้วยหลังค่ายมวยแหง

ก็อย่างที่เห็นว่าผมโตมาในครอบครัวคนจีนหัวเก่า ป๊ากับม้าเป็นรุ่นที่สองของตระกูลที่อพยพจากซัวเถามาอยู่เมืองไทย เป็นยี่ปั๊วเปิดร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแต่ก็เชื่อฝังหัวว่าถ้ารุ่นลูกไม่ทำมาค้าขายก็ต้องเป็นหมอหรืออาจารย์ถึงจะมีเกียรติ.... พี่ชายพี่สาวผมก็เรียนหมอตามที่ป๊ากับม้าต้องการ แต่ผมเรียนไม่เก่ง ไม่รอดตั้งแต่ตอนขึ้นม.ปลายเลือกสายวิทย์-คณิตแล้ว ผมชอบวาดการ์ตูนแต่ป๊าไม่ยอมให้เรียนพวกจิตรกรรมหรือไม่ก็นิเทศศิลป์ กลัวจบไปแล้วหางานทำไม่ได้ เฮียกับเจ้ช่วยเจรจาให้เลยมาตกลงกันได้ที่วิชาเอกอินทีเรีย ผมสอบติดก็จริง แต่ดรอว์อิ้งตกแต่งภายในมันก็ไม่ได้เหมือนกับวาดรูปสไตล์มังงะ พอผมทำได้ไม่ดีก็กลายเป็นว่าไม่ตั้งใจเรียนในสายตาพวกเขาไปอีก

ผมไม่เคยชนะใครเลย มีชีวิตอยู่ในฐานะลูกโง่ที่ไม่ได้เรื่องมาตลอด

แต่อีกอย่างที่ผมทำได้ดีไม่แพ้วาดรูปก็คือการอ่านสถานการณ์และเดาว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร คงเพราะว่าผมต้องคอยระวังตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อกับพี่ชายล่ะมั้งก็เลยมีสกิลนี้ติดตัวมาแต่เด็ก.... จึงไม่ใช่เรื่องยากที่คนอื่นๆ จะรู้สึกสนิทใจด้วยเพราะว่าผมสามารถตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการได้ ผมรู้ว่าจังหวะไหนควรเข้าหาและจังหวะไหนที่ควรเว้นระยะห่าง ไม่อย่างนั้นผมก็คงตีสนิทไอ้ทิชาซึ่งโคตรขี้ระแวงจนกลายเป็นเพื่อนซี้เพียงคนเดียวของมันไม่สำเร็จหรอก

การเป็นเพื่อนสนิทของทิชา ทิชนันท์ ก็เหมือนพาตัวเองไปอยู่ใต้สปอตไลท์นั่นแหละ.... ไปไหนก็มีคนมอง ไปไหนก็มีแต่คนสนใจ แรกๆ คนพวกนั้นก็อาจจะมองไอ้ทิชาก่อนเพราะว่ามันหน้าตาสวยและเป็นเซเลปมหาลัย แต่พอได้เข้ามาคุยแล้ว ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเปลี่ยนมาชอบผมมากกว่า ก็อย่างที่บอกว่าผมมักจะเดาถูกเสมอว่าใครต้องการอะไร และความสดใสโพสิทีฟก็ย่อมชนะฝั่งเนกาทีฟอยู่วันยังค่ำ

อ้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะยุ่งกับทุกคนที่เข้าหาไอ้ทิชานะ ผมก็เลือกแต่คนดีๆ เอาไว้ ส่วนพวกที่สืบจนรู้มาว่ามีเมียแล้วหรือไม่ผ่านเกณฑ์ก็ปล่อยให้จีบทิชาต่อไป เวลาที่มันผิดหวัง ผมก็คอยปลอบตามประสาเพื่อนที่ดีนะ แต่ใจจริงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะที่คนเพอร์เฟคอย่างมันด้อยกว่าผมในเรื่องนี้

เรื่องอื่นจะเป็นไอ้ขี้แพ้ก็ช่าง แต่นี่คือความสุขเล็กๆ ของผม....

กับเฮียโรมก็เหมือนกัน ผมจับได้ว่าเขาชอบเด็กน่ารักขี้อ้อนสไตล์น้องชายข้างบ้าน นิสัยสบายๆ ไม่เรื่องมาก เป็นคนที่เขาจะทำตัวชิลล์ๆ ด้วยได้เวลาที่อยู่ด้วยกันซึ่งตรงข้ามกับความเปราะบางเรื่องเยอะของไอ้ทิชาโดยสิ้นเชิง ผมก็แค่เล่นไปตามน้ำจนกระทั่งพี่โรมเกิดชอบผมขึ้นมาจริงๆ.... ผมเองก็ชอบที่เขาเทคแคร์ดี เขาให้ได้ทุกอย่างที่ผมไม่เคยมี ผมอยากกินข้าวดูหนังที่ไหนอะไรยังไงก็ได้ แถมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าบ้านเฮียโรมเป็นเศรษฐีรีสอร์ททางใต้ ผมก็ยิ่งปล่อยให้เขาหลุดมือไปไม่ได้ ต่อให้ไอ้ทิชาไม่เอา ผมก็จะเอาอยู่ดี

แต่ตอนนี้ไอ้ทิชาที่คิดว่านอนร้องไห้ตรอมใจตายห่าไปแล้วเสือกเล่นไม่ซื่อ แอบมาชิงเกียร์ลับหลังผมซะงั้น ผมก็ต้องจัดการให้มันกลับไปอยู่ในรูตามเดิม

ผมจะแพ้ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่มัน

ผมยอมเป็นเบี้ยล่างให้ ทิชา ทิชนันท์ ได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้....!


ร้านเหล้าเบอร์ลิคซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยคือแดนสวรรค์ของชาวคณะวิศวะฯ และบรรดาเขยสะใภ้ เป็นสถานที่ที่ผมใฝ่ฝันว่าจะก้าวเข้ามาโดยได้รับการพะเน้าพะนอมีคนล้อมหน้าล้อมหลังในฐานะสะใภ้ที่มีเกียร์ห้อยคอ แต่วันนี้อะไรๆ ก็ผิดแผนไปเสียหมดเมื่อเกียร์ซึ่งควรจะเป็นของผมถูกคนอื่นชิงไป เฮียโรมก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ถึงขนาดโกหกผมเพื่อปิดบังความเหี้ยของไอ้ทิชา.... ไหนว่าคิดกับมันแค่น้องชาย ถึงจะเอ็นดูแต่ก็ไม่ถึงขั้นจะจีบ พี่น้องท้องชนกันน่ะสิ ไม่รู้เฮียไปโดนมันยั่วอีท่าไหนถึงได้กลับมาหลงหัวปักหัวปำจนทำท่าจะเลิกกับผมง่ายๆ

ห่าเอ๊ย ทำไมผมถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ....!?

บุคคลแรกที่ผมเห็นยืนสั่งงานเด็กยกลังเบียร์อยู่ตรงประตูก็คือพี่รุจ เจ้าของร้าน ผมรู้จักเขาดีผ่านทางเสียงลือเสียงเล่าอ้างในโซเชียลแม้ว่าจะเพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรกก็ตาม.... พี่รุจที่ผมเคยได้ยินคนพูดถึงนั้นเป็นคนมีน้ำใจกับพวกพ้อง แต่ก็เลวสัดหมากับคนนอก เหมือนจะเฟรนลี่แต่ก็เหลี่ยมจัดมากพอที่จะอยู่รอดในวงการธุรกิจสีเทาตั้งแต่อายุยี่สิบกลางๆ ตามปกติแล้วผมไม่ค่อยยุ่งกับคนที่ตัวเองยังอ่านท่าทีได้ไม่ขาด แต่กับพี่รุจ อย่างน้อยฐานะแฟนของเฮียโรมที่เปิดตัวแล้วก็น่าจะช่วยผมเอาไว้ได้บ้าง

“ขอโทษนะครับ พี่รุจใช่ไหม?” 

ผมเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางบ้องแบ๊วอย่างที่ใช้เป็นประจำกับคนแปลกหน้า เขาหันมามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไรเปิดทางให้ผมได้แจกรอยยิ้มไร้เดียงสา 

“ผมชื่อบีบี๋นะครับ.... เป็นแฟนของเฮียโรม รุ่นน้องสายเดียวกับพี่รุจ.........”

“อืม แล้วยังไงครับ น้องบีบี๋?”

“คือว่าบี๋แวะมาหาเฮียโรม แต่พอดีโทรหาแล้วเฮียไม่รับสายเลย.... วันนี้แฟนบี๋เขามาที่ร้านหรือเปล่าครับ?”

พี่รุจกระตุกยิ้มหัวเราะหึ สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นลางไม่ค่อยดีเท่าไร

“เป็นแฟนกันแต่ต้องมาถามหาไอ้โรมเอากับพี่เนี่ยนะครับ?” เขาถามก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมแบบเต็มตัว  “โทรหาเอาเองเถอะ ทำไมต้องให้คนอื่นช่วยตามหาให้ด้วยล่ะ”

“คือตอนนี้บี๋กับเฮียโรมมีปัญหากันนิดหน่อย.......” 

ผมตีหน้าเศร้าทำเป็นพูดจาเสียงอ่อยน่าสงสาร แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้ามีเหตุการณ์ชิงเกียร์เกิดขึ้นภายในร้าน ยังไงพี่รุจก็ต้องรู้เรื่อง ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมบอกผมหรือเปล่า 

“ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เฮียโรมดูแปลกๆ ไป เกียร์ที่ห้อยคอก็ไม่อยู่ บี๋ถามว่าหายไปไหนก็ไม่ยอมบอก แล้ววันนี้ยังทำตัวติดต่อไม่ได้อีก.... บี๋ไม่สบายใจก็เลยอยากมาเคลียร์ให้มันจบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่ พี่รุจช่วยบี๋หน่อยได้ไหมครับ.........”

“ปกติแล้วพี่ไม่อยากยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ ของพวกน้องๆ ที่เป็นคนในหรอกนะ แต่เพราะพี่เห็นใจน้องบี๋ก็เลยจะยอมบอกก็ได้........” 

คำพูดคำจาฟังดูเหมือนมีความเมตตา ทว่า สายตากับรอยยิ้มมุมปากกลับสื่อความหมายในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ผมเดาใจพี่รุจไม่ออกว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ความคิดที่ว่าเขาน่าจะนึกเอ็นดูผมลดลงจากร้อยไปหาศูนย์ 

“ไอ้โรมเข้าร้านมาแล้ว แล้วก็เพิ่งออกไปเมื่อสักชั่วโมง-สองชั่วโมงก่อนนี่เอง”

“อ้าว ไปไหนล่ะครับ? แล้วจะกลับมาไหม?”

“ไปไหนไม่รู้ มันไม่ได้บอก.... ส่วนจะกลับมาไหมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน” 

ผมรู้ได้ในทันทีว่าข้อมูลที่พี่รุจบอกมาเมื่อกี้ก็แค่ออเดิร์ฟ ส่วนเมนคอร์สน่ะคือประโยคต่อจากนี้ต่างหาก 

“พอน้องคนที่ห้อยเกียร์มันมาที่ร้าน ไอ้โรมก็พาขึ้นรถออกไปด้วยกันเลย.... นี่ก็ตีหนึ่งแล้ว พี่ว่าคืนนี้มันกับน้องคนนั้นคงไม่กลับมาแล้วล่ะมั้ง”

หน้าผมยังคงชาวาบเหมือนถูกตบแม้จะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว แสดงว่าระหว่างที่ผมส่งไลน์ร้อยกว่าข้อความไปง้อเฮียโรม อดีตเพื่อนเลิฟตัวดีของผมก็ดอดมาคาบแฟนผมไปแดกลับหลังอีกจนได้.... ผมว่าผมร้ายแล้วนะที่ไปแบ๊วใส่เฮียโรมปาดหน้าเค้กมัน แต่ทิชามันเสือกร้ายยิ่งกว่าที่มาอ่อยผู้ชายของเพื่อนซ้ำสองชนิดไม่สนเหี้ยสนห่าอะไรเลย ผมโคตรโมโหเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกขึ้นกลางหัว แล้วก็เดือดพล่านมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเฮียโรมนั่นล่ะที่กลับคำพูดลงไปเกลือกกลั้วกับของมือสอง มือสาม มือสี่ มือห้าอย่างไอ้ทิชา

“ไอ้ทิชา.............!”

“บิงโก เก่งมากน้องบีบี๋”

เจ้าของร้านเบอร์ลิคแกล้งทำท่าถูกต้องนะคร้าบบบบ เลียนแบบพิธีกรชื่อดังใส่ผม แม้ผมจะเดาใจไอ้พี่รุจไม่ออกแต่ก็มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเห็นความเดือดเนื้อร้อนใจของผมเป็นสิ่งบันเทิง 

“ได้ยินว่าทิชาเป็นเพื่อนสนิทเรานี่.... แล้วตอนนี้ล่ะ ยังสนิทกับเพื่อนรักอยู่หรือเปล่า?”

“..........มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับพี่?”

“แหม จะให้ลงดีเทลขนาดนั้นมันก็ยากนะ” 

พี่รุจยิ้มเหมือนลำบากใจ แต่สายตากรุ้มกริ่มจ้องมองผมราวกับคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาสนุกๆ 

“แต่เอาเป็นว่าไอ้โรมมันเป็นคนถอดเกียร์ให้น้องทิชาเขาเองกับมือ ใครห้ามก็ไม่ฟัง.... พวกพี่เองก็พูดอะไรไม่ได้มาก กฎก็ย่อมเป็นกฎ ในเมื่อไอ้โรมมันเลือกน้องทิชาแถมยังไม่ขอเกียร์คืนสักที ทิชาเขาก็ยังมีสิทธิ์เข้านอกออกในมาหาไอ้โรมที่ร้านพี่ได้อยู่”

นั่นมันเกินกว่าที่ผมคิดไปมากเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าทิชาเป็นฝ่ายอ่อยแล้วเฮียโรมก็แค่หลงผิดคล้อยตาม จนกระทั่งมาโดนพี่รุจเบิกเนตรว่าอันที่จริงแล้วแฟนผมต่างหากที่ยังเหลือใจให้ทิชา.... โคตรโกรธ โคตรเสียหน้า โคตรของโคตรของโคตรจนไม่รู้จะพูดยังไง รู้แค่ว่าผมจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด

“แล้วบี๋ควรต้องทำยังไงต่อ........?”  ผมถามเสียงเย็น ข้างในหัวมีเสียงเต้นตุบๆ คล้ายเส้นเลือดกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ “จะยังมีทางไหนที่บี๋จะเอาเกียร์พี่โรมคืนมาได้บ้างครับ พี่รุจ?”

“ก็ต้องให้ไอ้โรมมันบังคับเอาจากทิชามาคืนให้บี๋นั่นแหละ” 

พี่รุจบอกเนิบๆ อย่างกับว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายพอๆ กับปอกกล้วยเข้าปาก จนผมนึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อยว่าที่เบอร์ลิคมีคดีเมียหลวงเมียน้อยแย่งเกียร์กันบ่อยแค่ไหน คนตรงหน้าถึงได้ดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร้านตัวเองเอาเสียเลย

“หรือไม่อย่างนั้น น้องบี๋ก็ไปหาเกียร์ใหม่ที่ดีกว่ามาใส่ก่อน แล้วค่อยหาทางกดดันจนทิชายอมคืนเกียร์ให้ไอ้โรมเอง”

มือหนาล้วงเข้าไปใต้คอปกเสื้อตัวเองก่อนจะชูสายสร้อยเงินซึ่งมีจี้รูปเฟืองสีทองแดงเขรอะๆ ออกมาให้ผมเห็นชัดเต็มสองตา

“อย่างเช่นเกียร์อันนี้.... รุ่น32 ส่วนของไอ้โรมน่ะรุ่น36”

ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เกียร์ของพี่รุจ เจ้าของร้านเบอร์ลิคที่แสนจะโด่งดัง ที่สำคัญก็คือตัวเลขรุ่นที่มาก่อนเฮียโรมถึงสี่ปีเต็มๆ ถ้าผมสามารถเอามาห้อยคอได้ อย่าว่าแค่เฮียโรมเลย คณะวิศวะฯ ทั้งหมดที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยตอนนี้จะต้องมาอยู่ข้างผมอย่างแน่นอน

“แต่บอกเอาไว้ก่อนเลย เกียร์ของพี่น่ะไม่ฟรีนะน้อง.... จ่ายแพงด้วย”

แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายอ่านใจพี่รุจ แต่กลับกลายเป็นพี่รุจที่มองผมออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าอยากได้เกียร์รุ่น32 ของเขามากแค่ไหน.... แต่ขึ้นชื่อว่าที่นี่คือเบอร์ลิค ไม่มีทางที่ผมจะได้อะไรมาง่ายๆ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งของดีก็ยิ่งต้องจ่ายแพง มันเป็นกฏเบสิคของโลกนี้ที่ผมต้องยอมรับให้ได้

“บี๋ไม่มีเงินหรอก.......”

ผมสูดหายใจลึกพลางคิดถึงใบหน้าของทิชาเพื่อนรัก.... ผมยอมรับก็ได้ว่าใจหนึ่งก็ยังรักมันอยู่ ความทรงจำดีๆ ที่เรามีร่วมกันก็เยอะแยะนับไม่ถ้วน แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ผมทำมัน มันทำผมคืน แล้วผมก็ทำมันกลับไปอีก แตกหักฉิบหายกันถึงเบอร์นี้แล้ว ต่อให้ผมล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านไปก็ใช่ว่าวันพรุ่งนี้เราจะกลับมานั่งยิ้มกินข้าวโต๊ะเดียวกันได้อีก

ก็เหลือแค่ไปให้สุด แล้วหยุดตรงที่ว่าระหว่างผมกับทิชา ใครมันจะร้ายและเลวได้มากกว่ากัน....



“แต่ถ้าบี๋จะขอจ่ายค่าเกียร์ด้วยร่างกาย พี่รุจจะว่าไงครับ?”



TO BE CONTINUE

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-12-2017 23:40:42
ขออนุญาตตอบกลับคุณ Grey Twilight ที่ความเห็นนี้นะคะ

ก่อนอื่นเลย เราต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ของเรา ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนฟิคมาบ้างแต่กับ Downpour เป็นิยายวายออริจินัลคาแร็กเตอร์เรื่องแรกของเราเลย หลายๆอย่างก็อาจจะค่อนข้างประดักประเดิดนิดนึง
แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ตอบช้า อันที่จริงก็ตั้งใจว่าจะตอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วค่ะ แต่คิดว่ามันมีบางประเด็นที่ถ้าเราพูดไปก็จะกลายเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่อง เลยคิดว่าจะเก็บเอาไว้จนกว่าจะผ่านเนื้อเรื่องช่วงนั้นไปแล้วค่อยมาตอบดีกว่า

ในส่วนของคาแร็คเตอร์ทิชา + โรม + แดน
ที่คุณ Grey Twilight วิเคราะห์มา ค่อนข้างตรงกับความความตั้งใจของเราค่ะ 80%เลย
ทิชาเป็นคนที่โตมากับความคิดที่ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ น้องมองโลกในแง่ร้าย คิดว่าคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี และพยายามจะบอกตัวเองว่าไม่แคร์สังคม แต่ก็เหมือนกับพวกองุ่นเปรี้ยวแหละค่ะ จริงๆแล้วตัวเองก็อยากได้ อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เขาไม่ต้อนรับ พอมีคนที่ผ่านเข้ามาแล้วเหมือนจะตอบสนองความต้องการได้ ทิชาก็กระโดดเข้าหาทันที
เหมือนจะเคยเขียนอธิบายไว้ในตอนก่อนหน้านี้แล้วว่า กับพวกผู้ชายคนก่อนๆ เช่นพี่เอก ทิชาไม่ได้รัก แค่ยอมก็เพราะคิดว่าคนพวกนั้นจะมาเติมเต็มให้ตัวเองได้ แต่พอไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ทิชาก็เลยทำใจได้เร็ว ส่วนหนึ่งเพราะตัวละครอย่างพี่เอกก็แค่เข้ามาจีบ แต่ไม่ได้เห็นทิชาลำบาก ไม่เคยช่วยเหลือ ไม่ได้ทำอย่างที่พี่โรมทำ
มันก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมทิชาถึงได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องพี่โรมมากว่าจะเสียเขาไปไม่ได้

มาถึงพี่โรม
เอาจริงๆ ก่อนหน้าที่จะลงนิยายเรื่องนี้ เราก็คิดอยู่แล้วแหละค่ะว่าพี่โรมจะต้องถูกคนอ่านด่าแน่ ไม่มีใครชอบพระเอกโลเล ไม่ได้รักนายเอกคนเดียวนักหรอก แต่เราก็เลือกที่จะให้เป็นแบบนี้ ผลก็อย่างที่เห็นอะค่ะ ไม่มีใครเชียร์เลย 5555+
พี่โรมเป็นพระเอกที่น่าเบื่อค่ะ เรายอมรับเลย แต่ถ้ามองให้ทะลุความน่าเบื่อของฮี พี่โรมเป็นคนแบบที่เราอยากได้ในชีวิตจริงนะ
เขาเป็นคนที่ไม่ดูดายต่อความเดือดร้อนของคนอื่น ตอนที่เห็นทิชาเป็นน้อง ก็พยายามขีดเส้นแล้วว่านี่คือน้อง เขาโฟกัสความสนใจไปที่บีบี๋ ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง.... แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่การกระทำของคนๆหนึ่งไม่มีทางที่จะถูกต้อง / ถูกใจทุกคน การเอาใจใส่ ถ้าไปทำกับคนอื่นก็อาจจะไม่มีอะไร แต่พอมันไปกระทบโดนคนที่จิตใจบิดๆเบี้ยวๆ อย่างทิชา มันก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา

มาพูดถึงตัวละครอย่างบีบี๋
เราเข้าใจว่าคุณ Grey Twilight มีบีบี๋เป็นตัวละครโปรด เลยอาจจะคาดหวังกับบีบี๋เยอะกว่าตัวละครอื่นนิดนึง ( แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ)
เราตั้งใจจะให้บีบี๋เป็นตัวร้ายของเรื่องตั้งแต่แรกแล้วค่ะ
แต่ความร้ายของบีบี๋ มันไม่ใช่ความร้ายที่คงเส้นคงวา
อันนี้ทั้งบีบี๋และทิชาเลย ด้วยความที่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาเกือบปี คนเราถึงจะอิจฉาเพื่อนแค่ไหน แต่ถ้าลองว่าคบกันมาได้ แสดงว่ามันก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่คลิกกัน
มิตรภาพของบีบี๋และทิชาจึงเป็นเรื่องจริงค่ะ ที่บีบี๋เสียใจที่ทิชาแย่งพี่โรมก็เป็นเรื่องจริง บีบี๋ตั้งใจจะทำร้ายทิชาก่อนแต่พอทิชาจะเอาคืน ตัวเองก็ค่อนข้างรับไม่ได้ อารมณ์ว่าตัวเองเคยชนะทิชาเรื่องผู้ชายมาตลอดเลยโกรธและอยากจะเอาคืนบ้าง แต่ในความโกรธนั้นมันก็มีความรู้สึกที่ว่า ทำไมทิชาไม่ยอม เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ทำไมให้กันไม่ได้ในเมื่อแกก็ชนะฉันทุกอย่างอยู่แล้ว
เราอาจจะยังสื่อในพาร์ทของบีบี๋ได้ไม่ดีมากพอ อันนี้ต้องขอโทษด้วยค่ะ
จะพยายามปรับปรุงให้มันตรงประเด็นมากขึ้นนะคะ

ส่วนที่บอกว่าให้หลีกเลี่ยงพล็อตรักสามเส้า อันนี้เราคิดหนักเลยค่ะ 5555555
เราก็ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงยังไง เพราะธีมของเรื่องมันมาจากชีวิตบัดซบของน้องทิชา ซึ่งมีความรักกับพี่โรมที่แย่งมาจากบีบี๋เป็นฐาน แต่จะพยายามไม่ให้กลายเป็นรักน้ำเน่านะคะ แล้วเนื้อเรื่องช่วงรักสามเส้าก็จะพยายามไม่ให้ยืดเยื้อด้วย หวังว่าการเข้ามาของตัวละครที่ 4- 5 อย่างแดนกับพี่รุจจะพอช่วยได้ 55555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เข้ามาอ่านและช่วยคอมเมนท์ให้
เราดีใจมากเลยค่ะที่มีคนติดตาม เรายังใหม่มากๆ กับการครีเอทตัวละครขึ้นใหม่หมด ไม่ได้อ้างอิงบุคคลิก+นิสัยใจคอจากบุคคลที่มีอยู่แล้ว
ยังไงก็ติดตามต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อเลยนะ

ขอบคุณค่า~~

Alice
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-12-2017 00:25:48
เรายังลงเรือโรมทิชาละกันค่ะ
อย่างน้อยขอให้ทิชาสมหวัง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 29-12-2017 06:34:24
อวสานโมเอะ เหลือแต่แรดล้วนๆ มอบให้บีบี๋นะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-12-2017 08:16:57
บี๋มันร้าย มันไม่จริงใจกับทิชาตั้งแต่แรกแล้ว มีเพื่อนแบบบี๋นี่อันตรายสุดๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Acrokate ที่ 29-12-2017 09:54:07
บี๋โคดร้ายย คือถ้าไม่อยากเปนเพื่อนกะทิชาทำไมไม่เลิกคบตั้งแต่แรก มาทำร้ายกันทำไม ยิ่งทำตัวเองแบบนี้คนรอบข้างยิ่งจะเกลียดบี๋นะเอาจิงๆ กลับกันกะทิชาเสียเพราะข่าว แต่ถ้าคนได้รุ้จักจิงๆน้องทิชาน่ารักกก จิงมะ? คดีจะพลิกอีกมะ? ทิชาคงไม่ลุกขึ้นมาร้ายมั้ง? เหลือประเด็นแดนไทอีก นางจะมาไม้ไหน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 29-12-2017 10:18:12
ปมอะไรเยอะแยะน่ารำคาญของเธอถามหน่อยว่าความผิดของทิชาหรอนังบี๋แรดเงียบ ถ้าเกลียดกันจะคบกันจะทำร้ายกันไปทำไม
ส่วนโรมเลวมากค่ะไอ้คนเลโลหลายใจ  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 29-12-2017 10:25:34
บี๋โคตรร้ายย แต่ความสัมพันธ์ทั้งสาทคนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ไม่โอเท่าไหร่ อยากใฟ้พี่โรมจบเรื่องจบราวซักที แต่เห็นจำนวนตอนแล้วน่าจะอีกนานเลย 5555 ขอบคุณคนแต่งมากๆค่ะ รอตอนต่อไปปป สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 02-01-2018 22:11:39
9
~ ปลาตัวที่สอง ~


เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ที่ผมตื่นขึ้นมาในสถานที่ซึ่งไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง ผ้านวมผืนหนาติดกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ กับกลิ่นโคโลญจน์ผู้ชายเรียกให้ผมหลับตาลงอีกครั้งโดยที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย.... ผมยังจำความรู้สึกตอนที่พี่เอกพาผมขึ้นคอนโดเพื่อมาทำอย่างว่าได้ ผมเต็มใจและคิดไปเองว่าการมีเซ็กซ์คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่พี่โรมทำให้ผมเข้าใจว่ายังมีสิ่งที่ดีกว่านั้น แค่นอนกอดกันเฉยๆ ก็สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ดีกว่าถึงจุดสุดยอดสิบครั้งรวดเสียอีก

จนกระทั่งตอนนี้ พี่โรมก็ยังกอดผมไม่ยอมปล่อยอยู่เลย....

“..........ตื่นแล้วเหรอ?”  เพราะผมขยับตัวก็เลยปลุกพี่โรมซึ่งนอนก่ายผมแทนหมอนข้างให้ตื่นขึ้นมาด้วย  “อืม.....วันนี้มึงมีเรียนกี่โมง.......?”

ให้ตายเถอะ ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่โรมตอนเพิ่งตื่นแม่งโคตรหล่อใสๆ เลย จากปกติที่ผมเคยเห็นเขาในมาดเถื่อนมึงมาพาโวย ดูอันตรายนิดๆ ตามสไตล์พวกวิศวะฯ เครื่องกล แต่สิ่งที่สะกดสายตาอยู่ตรงหน้ากลับเป็นชายหนุ่มในฝันจำพวกพรีเซนเตอร์ครีมโกนหนวดอะไรทำนองนั้น แล้วใจผมก็เต้นเป็นบ้าเป็นหลังกับพี่โรมโหมดละมุนปนเซ็กซี่แบบไม่ตั้งใจ

“ชามีเรียนเก้าโมง แต่คงเช็คชื่อไม่ทันแล้วมั้ง”

พี่โรมคว้ามือสะเปะสะปะไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่เสียบชาร์จค้างไว้มาดู ก็ตามที่ผมเดาไว้นั่นแหละ ตอนนี้เก้าโมงนิดๆ แล้ว เป็นอันว่าสายแน่นอน

“กลายเป็นกูพามึงโดดเรียนอีก.........”  ร่างหนาอมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวเสยผมให้หายงัวเงียเมาขี้ตา  “แต่ตอนบ่ายมึงต้องไปเรียนนะ กูไม่ให้โดด”

“รู้แล้วน่า.... แด๊ดดี้ของน้อง”

ผมดีดตัวขึ้นไปกอดพี่โรมแล้วรั้งให้กลับลงมานอนด้วยกันอีกรอบ ยังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าเรียน ผมจึงอยากตักตวงช่วงแห่งเวลาแห่งความสุขของเราเอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ให้มันต้องเสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว.... เตียงนอนคิงไซส์แสนนุ่มสบาย ผ้าห่มอุ่นๆ กับผู้ชายรูปหล่อแสนดีอีกหนึ่งคน ต่อให้เอาเกรดเอทุกวิชามาล่อก็ใช่ว่าผมจะยอมตื่นจากความฝันนี้ง่ายๆ

“เกเรเหมือนกันนะมึงน่ะ ไหนว่าเป็นเด็กดี?”

“ไม่ได้เกเรสักหน่อย.......” 

ผมยิ้มยั่วขณะโน้มคอชายหนุ่มให้แนบชิดเข้ามาใกล้ แล้วยื่นปากไปจุ๊บที่สันคางได้รูปอย่างช่างอ้อน 

“แค่อยากได้มอร์นิ่งคิสจากเจ้าของเกียร์อันนี้ แล้วจะตั้งใจเรียนตลอดเทอมเลย”

“แน่ใจนะว่าแค่มอร์นิ่งคิสแล้วจะพอ?”

เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบถามพลางขบเข้าที่ติ่งหูผม เลื่อนไปดูดเบาๆ ที่ซอกคออย่างเจตนาจะยั่วอารมณ์ไม่แพ้กัน.... ผมกับพี่โรมก็เหมือนไฟกับน้ำมัน แค่เรามองตากันก็คล้ายจะปลุกความต้องการทางกายขึ้นมาได้ทันที ผมอยากได้พี่โรมมากพอๆ กับที่พี่โรมอยากได้ผม ไม่ได้อยากเพ้อเจ้อแต่เช้าหรอกนะ แต่เขาเหมือนคู่แท้ที่ฟ้าประทานมาให้คนขาดๆ เกินๆ อย่างผมเลย

“จูบก่อนไง แล้วถ้าอะไรๆ มันจะตามมาก็ค่อยว่ากันอีกที”

ผมกระดกตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อมือหนาสอดเข้าไปข้างใต้เสื้อยืดตัวโคร่ง แค่ถูกสัมผัสหยอกแผ่วผ่าน เนื้อตัวก็ดูจะร้อนรุ่มอึดอัดกระสับกระส่าย โดยเฉพาะกับตรงส่วนไวสัมผัสกลางหว่างขาซึ่งตื่นตัวแข็งชันขึ้นมาราวกับรู้หน้าที่ 

“........ที่เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ชอบมีอารมณ์อย่างว่าตอนเช้านี่แม่งโคตรจริง.......ถ้าพี่โรมไม่ทำให้ สงสัยชาคงออกไปเรียนไม่ได้แล้วมั้งเนี่ย..........”

ผมพลิกตัวขึ้นนั่งบนตักหันหน้าเข้าหาพี่โรม จงใจให้ตรงนั้นของตัวเองเสียดสีกับต้นขาชายหนุ่มบอกให้เขารู้ว่าผมไม่อยากจะอดทนรออีกแล้ว หากก็เหมือนจะโดนแกล้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จูบแก้มจูบหน้าผากหลอกเด็กไปเรื่อย

“เชี่ยจริง กูเคยคิดว่ามึงเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ได้ไงวะ?”

“กับคนแปลกหน้าน่ะเรียบร้อยจริง........”

กางเกงผ้าร่มขาสั้นกุดที่ผมสวมอยู่เริ่มแฉะเพราะน้ำหล่อลื่นที่ปริ่มออกมา พี่โรมยังคงแกล้งทำเป็นจับตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยสลับกับหอมแก้มผมจนแทบช้ำ ผมรู้ว่าเขาเองก็กำลังเครื่องร้อนแล้วเหมือนกันแต่ที่ยังอ้อยอิ่งก็คงเพราะอยากให้ผมบริการให้มากกว่า ซึ่งผมก็ยินดีทำให้พี่โรมมีความสุขอยู่แล้ว 

“แต่กับคนที่ชอบก็ถึงไหนถึงกัน คงไม่มีใครอยากเอากับท่อนไม้หรอกใช่ไหม?”

ผมถอยลงจากตักพี่โรมแล้วเอื้อมมือไปจับความเป็นชายของเขา มันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะขยายขนาดตอบรับการหยอกล้อจากฝ่ามือผม แน่นอนว่าผมไม่ลังเลที่จะช่วยให้พี่โรมหายอึดอัดแลกกับที่เขาจะได้ให้ความรักผมมากขึ้น.... ผมเลียริมฝีปากตัวเองพลางออกแรงดึงขอบกางเกงนอนของคนตรงหน้าลง ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนฝืนใจอะไร มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วล่ะมั้งว่าผมจะต้องทำแบบนี้ให้กับคู่นอน ทว่า มือใหญ่กลับห้ามเอาไว้ไม่ให้ไปไกลกว่านั้น

“เดี๋ยวชาทำให้เอง พี่โรมอยู่เฉยๆ ก็ได้.......”

คราวนี้ร่างสูงไม่ยอม เขาจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วปัดมือซึ่งยังเฝ้าจะวุ่นวายกับส่วนพึงสงวนของเจ้าตัวออก.... ผมงงจนนิ่งไปหลายวินาทีเพราะไม่เคยถูกใครปฏิเสธในเวลากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ ทั้งที่อุตส่าห์แน่ใจแล้วเชียวว่าพี่โรมก็น่าจะกำลังอยาก แต่สงสัยว่าผมจะใจร้อนรุกเร็วเกินไป.........

“ผู้ชายคนเก่าอาจจะชอบให้มึงเป็นฝ่ายเอาใจ แต่นั่นไม่ใช่แนวกูว่ะ” 

พี่โรมบอกก่อนจะจับผมให้นอนหงายลงตามเดิม เขาพลิกขึ้นคร่อมด้านบนในขณะที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ หากเมื่อใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มทีเล่นทีจริง ผมก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าพี่โรมต้องเป็นจ่าฝูงประเภทนักล่า มากกว่าจะเป็นจ่าฝูงที่รอให้ตัวเมียคาบเหยื่อมาป้อนถึงรัง 

“กูไม่ชอบให้เมียกูเหนื่อย.... เก็บแรงไว้เหอะ แค่โดนกูขึ้นตอนเช้าก็กลัวมึงจะไปเรียนไม่ไหวแล้วเนี่ย”

“เอาโหดขนาดนั้นเชียว?” 

ผมทำเป็นถามเหมือนไม่เชื่อ ทั้งๆ ที่ยังจำได้แม่นว่าสภาพตัวเองหลังผ่านคืนแรกกับพี่โรมมานั้นเรียกได้ว่ายับเยินดูไม่จืด ไอ้ที่นอนซมไข้ขึ้นอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ออมแรงให้เลยนี่แหละ

“เดี๋ยวมึงก็รู้..........”

พูดแบบนี้ผมยิ่งตื่นเต้น เขาเลื่อนมือลงต่ำบีบก้นผมอย่างหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากหยักได้รูปคลอเคลียอยู่ตรงใบหู แสดงออกชัดเจนว่าเขาอยากขย้ำผมลงท้องมากกว่าจะให้ผมค่อยๆ ไล้เล็มกินเขา

“ถ้ากูอยากให้มึงใช้ปากเมื่อไรแล้วกูจะบอกเอง ถ้าไม่ได้บอกให้ทำก็ไม่ต้อง เข้าใจไหม?”

“ทำไมล่ะ? ครั้งก่อนที่ทำให้ไม่ชอบเหรอ?”

“ชอบสิ แต่เพราะมึงเป็นเมียกูแล้ว.... กูควรจะเป็นฝ่ายทำให้มึงมีความสุขมากกว่า ถ้ามึงยังไม่เสร็จ กูก็จะไม่เอาเปรียบมึงเด็ดขาด.........”

“งั้นพี่โรมก็รีบๆ ทำให้ชาเสร็จสิ เราจะได้มีความสุขด้วยกันไง”

ผมโน้มคอร่างสูงให้ก้มลงมารับจูบซึ่งเตรียมรออยู่นานแล้ว ริมฝีปากหนาดูดกลีบปากล่างของผมจนเกิดเสียง กลิ่นบุหรี่ไลท์เมนทอลคละคลุ้งไปทั่วโพรงปากผสานกับรสหวานซึ่งตลบอบอวลในห้วงอารมณ์.... การเป็นฝ่ายไล่ตามกับฝ่ายได้รับมันแตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ปลายลิ้นที่สอดกระหวัดเข้ามาคล้ายว่าจะทั้งบังคับและเว้าวอนให้ผมรีบสนองตอบ จูบของพี่โรมดูดดื่มร้อนแรง สลับหวานและขมจนแทบหายใจไม่ทันได้แค่ส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอ สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางล่องลอยแล้วแต่ว่าคนข้างบนจะพาผมไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ทว่า ความรู้สึกในหัวใจยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมรักพี่โรม

รักคำพูด รักความคิด รักทุกการกระทำที่บ่งบอกว่าเขากำลังทะนุถนอมและให้ความสำคัญกับคนที่ไม่มีใครเอาอย่างผม


“อือ..........” 

ผมร้องครางเหมือนเสียดายในตอนที่พี่โรมถอนจูบออก หากยังไม่ทันจะได้สูดหายใจเต็มปอด มือหนาก็เกี่ยวขอบกางเกงขาสั้นที่ผมสวมอยู่แล้วรูดลงรวดเดียวจนถึงข้อเท้า เวลานี้ผมเหลือเพียงเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ซึ่งยืมจากเจ้าของห้องมาใส่นอน.... กางเกงผ้าร่มตัวเล็กจิ๋วร่วงไปกองอยู่บนพื้นข้างเตียง ก่อนที่มือข้างเดียวกันนั้นจะคว้าเข้าที่ส่วนอ่อนไหวเบื้องล่างของผมและเริ่มหยอกเย้าเค้นคลึง

“อ๊ะ.......พะ......พี่โรม..........”

เจ้าของชื่อกระตุกยิ้มมุมปากขณะเข้าครอบงำตัวตนของผมอย่างไม่ปราณี ความเสียวสะท้านจากกลางลำตัวแล่นไหลไปทั่วร่างประหนึ่งกระแสไฟฟ้า แข้งขาผมอ่อนเปลี้ยไร้แรงต้านจนพี่โรมสามารถล้วงควักไปทั่วได้ตามใจชอบ ยิ่งซาบซ่านมากเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเท่านั้น ผมพยายามหายใจทางปากแต่ทุกครั้งก็จะมีเสียงครางกระเส่าลอดออกมาด้วย

“.......อื้อ......พี่โรม......มะ......ไม่ไหวแล้ว........” 

ผมร้องบอกเสียงพร่า จังหวะการปรนเปรอที่กลางลำตัวเดี๋ยวก็หนักเดี๋ยวก็เบาคล้ายว่าจะยั่วให้ผมร้อนร่านเจียนคลั่ง แผ่นอกหยัดขึ้นสูง สะโพกส่ายวนไปมาอย่างลืมอาย ปากก็วอนขอร้องสั่งเมื่อแรงกระสันรุกหนักจนทนไม่ไหว 

“เร็วอีก.......อ๊ะ.......แรงๆ เลย.......”

“ถ้าแรงกว่านี้ ของมึงได้หลุดคามือกูออกมาแน่” 

พี่โรมล้อผม แต่ก็ใช่ว่าจะขัดใจไม่ทำให้ เขาเร่งจังหวะขึ้นอีก สาวรูดขึ้นลงถี่ยิบเสียจนแผ่นหลังผมแอ่นโค้งไม่ติดเตียงพลางหวีดเสียงครางราวกับจะขาดใจตาย ผมเห็นพี่โรมเลียฝีปากพลางกวาดสายตามองท่อนล่างเปลือยเปล่าของผม ตรงนั้นของเขาแข็งดันกางเกงบ็อกเซอร์จนโป่งนูน

“มึงแม่งโคตรเซ็กซี่เลย ทิชา.... น่ากินฉิบหาย”

ไม่พูดเปล่า พี่โรมหยอกล้อกับร่างกายผมเสมือนว่าเป็นของเล่นชิ้นโปรด เขาเลิกชายเสื้อยืดผมขึ้นจนสูงเหนืออก ในขณะที่ผมกำลังทรมานกับการถูกรังแกที่ช่วงล่าง ริมฝีปากร้อนก็เคลื่อนมาครอบครองเม็ดเชอร์รี่สีสวย เริ่มจากแตะทักทายด้วยปลายลิ้นและค่อยๆ ละเลียดดูดดึงมันเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขบเม้ม กัดแล้วปล่อย โลมเลียหนักหน่วงจนมันบวมเป่งคาปาก มืออีกข้างหนึ่งที่เหลือก็ช่วยบดขยี้อย่างกับตั้งใจจะฆ่าผมให้ตายด้วยความเสียวซ่านที่ได้รับ

สติผมเตลิดไปไกลเกินกว่าจะดึงให้กลับมา ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากสัมผัสวาบหวามที่พี่โรมมอบให้อย่างถึงใจ มือหนาเปียกลื่นด้วยน้ำคัดหลั่งที่เยิ้มย้อยจากปลายแกนกาย กอบกุมความเอาแต่ใจของผมรูดขึ้นลงเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย กลีบปากจูบพรมไปทั่วทุกส่วน ดูดซอกคอประทับรอยแสดงความเป็นเจ้าของ ตีตราว่าผมคือตุ๊กตาที่ขยับไปตามการชักนำของเขา

“อื้อ.......พี่โรม........อะ......อีกนิด.......พี่..........”

แกนกายของผมร้อนมากขึ้นทุกที มันแผลงฤทธิ์อยู่ในมือชายหนุ่มแล้วก็ถูกเขากำราบจนได้ ผมรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนบริเวณท้องน้อยที่จวนเจียนจะระเบิด ผมบิดเอวหวีดร้องลั่นก่อนจะปลดปล่อยวามปรารถนาออกมาจนหมดเปลือก

“อ๊า...............!!”

พี่โรมยังไม่หยุดมือแต่ชะลอจังหวะให้ผ่อนช้าลงในตอนที่ผมเหยียดขาแอ่นสะโพกเมื่อห้วงอารมณ์ไต่ไปถึงจุดสุดยอด ความซาบซ่านรัญจวนเล่นงานผมจนสมองขาวโพลน ผมดีดดิ้นเกร็งกระตุกไปทั้งร่าง ข้างในอกสั่นรัว ตรงส่วนนั้นยังคงไหวระริกหลั่งรดคราบรักที่พี่โรมเป็นคนเอาออกให้เปื้อนเต็มมือเขา.... เนื้อตัวผมแฉะชื้นเต็มไปด้วยรอยดูด รอยแต้มสีแดงตัดกับสีผิวขาวจัดเหมือนกุหลาบซึ่งถูกเด็ดกลีบโรยบนหิมะ และทันทีที่พี่โรมส่งปลายนิ้วที่เลอะคราบรักมาจ่อตรงหน้า ผมก็ไม่ลังเลที่จะเลียมันเพื่อตอบแทนและเอาใจเขาที่ทำให้ผมอิ่มเอม

ให้ตาย ผมไม่เคยเสร็จด้วยมือแล้วมีความสุขเท่านี้มากก่อนเลย....

“มองกูตาเยิ้มเชียว.... พร้อมจะโดนกินจริงๆ หรือยัง?”

ผมยังหอบแฮ่กอยู่เลย แต่มองจากสายตาพี่โรม เขาคงเห็นผมเป็นเหยื่อที่อ่อนแรงหมดทางหนีและพร้อมให้เขาขย้ำเต็มแก่.... ร่างสูงไม่ถอดเสื้อผมออกแต่ทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้น เขาบอกว่าสภาพหมิ่นเหม่กึ่งเปลือยกับเสื้อหลวมๆ โชว์กระดูกไหปลาร้าแบบนี้ทำให้ผมดูเซ็กซี่น่าเอามากขึ้นไปอีก

“ถ้ากูใจบาปกว่านี้อีกนิดเดียว อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ มึงไม่ได้ไปเรียนแน่”

“ถ้าพี่จะโดด เดี๋ยวชาโดดเป็นเพื่อนเอามั้ย?”

ผมรู้ว่าเขาแค่พูดเล่น แต่ถ้าเอาจริง ผมก็พร้อมนะ

“ไม่เคยขี้เกียจเรียนขนาดนี้มาก่อนเลยจนกระทั่งมาเจอพี่โรมเนี่ย..........”

“อย่าเลย กูว่าแค่สักสามรอบ มึงก็ต้องร้องขอชีวิตแล้ว”

ไม่ทันขาดคำ มือใหญ่ก็จับขาทั้งสองข้างของผมแยกออกจากกันก่อนจะพาดข้างหนึ่งไว้บนไหล่กว้าง เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โน้มตัวลงจูบไล้หน้าท้องผม ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดลงมาทำเอาขนลุกเกรียวทั้งตัว เตรียมจะต้องหาที่ยึดเกาะเมื่อห้วงอารมณ์ซึ่งเพิ่งคลายความเขม็งเกลียวลงกลับปะทุขึ้นอีกหน.... ที่ว่าผมต้องร้องขอชีวิตนั่นก็ดูท่าจะจริง เมื่ออยู่ๆ โพรงปากนุ่มก็ครอบครองส่วนอ่อนไหวซึ่งชูชันราวกับก้านดอกไม้ยามเช้า รูดขึ้นลงสลับกับดูดเลียหนักหน่วงจนผมต้องแอ่นกายขึ้นและส่งเสียงครางอย่างสุดที่จะอดกลั้น

“อ๊ะ......พะ......พีโรม..............อ๊า...............”

การเป็นฝ่ายถูกเอาใจมันดีแบบนี้ ผมเองก็เพิ่งรู้....

เหมือนว่าผมถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง ประสาทส่วนการรับรู้มีเพียงพี่โรมคนเดียวเท่านั้นที่แทรกผ่านเข้ามาได้ ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้เมื่อความกระสันซ่านพุ่งทะยานไปทั่วร่างหากเสียงครางก็ยังหลุดรอดออกมาไม่ขาดระยะ.... ภาพที่ผมเห็นในเวลานี้ก็คือศีรษะที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงกลางหว่างเขายิ่งเร้าอารมณ์ เรียวขาผมทั้งสั่นและเกร็งอยู่บนบ่าของพี่โรม

“ชอบเหรอ?”  เขาถามผมพลางเอื้อมมือมาดึงมือที่ปิดปากไว้ออก “ถ้าชอบก็ร้องออกมาเลย ห้องนี้เก็บเสียง ไม่มีใครได้ยินหรอก นอกจากกู”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วยาวลากเลื้อยไปถึงช่องทางด้านหลัง ส่งผลให้ผมต้องบิดเอวร้องครางด้วยความทรมาน มือข้างหนึ่งจิกผ้าปูเตียงจนยับย่น อีกข้างหนึ่งคว้าไหล่หนาแล้วบีบแน่นเพราะอาการเจ็บปลาบเสียวสะท้านที่จู่โจมเฉียบพลัน.... จากจำนวนที่พี่โรมใส่เข้าไป ผมคิดว่าน่าจะสักสามนิ้วได้ เขาชักมันเข้าออกไม่ยั้ง จุดไวสัมผัสภายในถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง บังคับให้ผมต้องยกสะโพกตอบรับพร้อมทั้งส่งเสียงกระเส่าขอร้องก่อนที่จะขาดใจตายไปจริงๆ

“......อื้อ.....พี่จ๋า.......น้องไม่ไหวแล้ว.......อ๊ะ.........ฮึก........” 

ในตอนนี้ผมไม่นึกถึงอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่ตรงนั้นของพี่โรม.... ผมต้องการมัน ต้องการความร้อนแรงที่จะฝังเข้ามาในตัวผมอย่างหิวกระหาย

 “.......ไม่เอานิ้วแล้ว......เอาไอ้นั่นของพี่......อื้อ.......รีบใส่เข้ามาเถอะ......”

พี่โรมไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อ เขาจุดยิ้มมุมปากที่ดูยังไงก็หล่อแบดเร้าใจเหลือเกินก่อนจะหยัดกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อดึงกางเกงบ็อกเซอร์ลง เจ้าเสือร้ายของเขาพองตัวโตผงาดเต็มลำราวกับจะขู่ให้ผมกลัว.... ผมหลับตาลงเฝ้าคอยช่วงเวลาที่ตัวเองจะถูกขย้ำกลืนกิน แต่เสียงพลาสติกกรอบแกรบน่ารำคาญก็เบรคอารมณ์ให้ผมลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังใช้ปากฉีกซองถุงยางอนามัย

“ไม่ต้องใช้ถุงหรอก.........” ผมเร่งด้วยน้ำเสียงและสายตางอแงเต็มที่ เมื่อร่างสูงทำท่าเหมือนจะไม่ให้ผมได้ในแบบที่อยากได้  “เข้ามาทั้งอย่างนี้เลย เร็วๆ”

“จะให้กูสดหรือไง?” 

พี่โรมเลิกคิ้วถามเป็นเชิงว่าแน่ใจแล้วเหรอ ผมรู้ว่าเขาเองก็อยากสดเหมือนกันนั่นแหละแต่ที่ยอมใส่ถุงก็เพราะกลัวเลอะข้างในแล้วผมจะไม่สบายตัว

“ใส่ถุงแล้วมันหนืด.... ชาอยากได้ของพี่โรมแบบเต็มๆ มากกว่า”

“ฟังพูดเข้า มึงจะน่ารักไปไหนวะ”

พี่โรมก้มลงมาจูบหลังจากได้ยินผมอ้อน เป็นอันว่าเขายอมตามใจผมแบบไม่อิดออด แต่ขอให้ได้แกล้งแหย่สักหน่อยก่อนที่เราจะมีความสุขโดยที่ทุกส่วนในร่างกายแนบชิดกันอย่างถึงใจ 

“ชอบให้กูปล่อยใน ถ้ามึงเกิดท้องขึ้นมาแล้วจะทำไง กูไม่มียาคุมฉุกเฉินให้มึงนะ?”

“บ้า.... ก็เห็นอยู่ว่ามีไอ้นี่ จะท้องได้ไง........” 

ผมจับมือพี่โรมให้แตะลงบนแกนกายซึ่งยังคงบวมแดงร้อนร่านไม่หาย เขายิ้มแล้วก็จูบผมอีก กลีบปากล่างโดนดูดดึงจนผมแทบอยากบอกอีกฝ่ายให้รีบๆ กินผมจริงๆ สักที

“มึงน่ารักขนาดนี้ กูก็อยากเอาไปเรื่อยๆ จนกว่ามึงจะท้องได้น่ะสิ”

พี่โรมโยนซองถุงยางไปไหนไม่รู้ เขาขยับตัวให้อยู่ในตำแหน่งที่ใช่ก่อนจะสอดท่อนเนื้อกำยำเข้าไปในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมด้วยนิ้วทั้งสามของเขาเอง ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นขึ้นจากปลายเท้าผ่านกระดูกสันหลังจี๊ดไปถึงสมอง ผมผวาเฮือกพลางคว้าหลังคอร่างสูงเอาไว้มั่น แอ่นบั้นท้ายรับการรุกรานเข้ามาในรวดเดียวอย่างเต็มอกเต็มใจ

ชายหนุ่มโถมแรงใส่ผมอย่างกับจะเอาให้เตียงพัง ผมได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางสลับกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงหลังใหญ่.... ขนาดที่รุกล้ำเข้ามาก็ไม่ได้เล็กเลย มันฟิตเต็มตึงอยู่ภายในตัวผมจนเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะระเบิดออกมา ส่วนหัวสอดลึกเข้าไปกว่าที่ผู้ชายคนก่อนๆ เคยได้แตะถึง และยิ่งเมื่อพี่โรมกระทั้นเข้ามาซ้ำๆ บดขยี้โดนจุดเสียวด้านในถี่ยิบ ผมก็ปล่อยเสียงครวญครางอยู่ใต้ร่างเขาราวกับว่าพร้อมจะขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดได้ทุกเวลา

“.....อ๊ะ.......อ๊า.........พะ.......พี่โรม........ได้โปรด.......อ๊ะ..........”

“อืม.......ทนหน่อย......อย่าเพิ่งเสร็จ........”

ตอนที่ผมเกร็งต้นขาทำท่าคล้ายจะแอ่นตัวขึ้นรับจุดสุดยอด พี่โรมจับแกนกายเล็กของผมไว้ บีบตรงโคนเบาๆ ไม่ยอมให้มันกระตุกปล่อยน้ำรักออกมา

“ถ้ามึงเสียวก็จิกหลังกูไว้.......จะได้เสร็จพร้อมกัน...........”

“........พี่โรม........อ๊ะ.....อึก.......นะ......น้อง......ไม่ไหวจริงๆ......” 

ผมหอบครางก่อนจะจิกปลายนิ้วลงกับแผ่นหลังกว้างตามที่พี่โรมสั่ง แต่มันก็ไม่ไหวแล้วในเมื่อบั้นเอวหนายังคงนำพาท่อนเนื้ออวบอัดเข้ามารังแกผมไม่หยุดหย่อน มันทั้งหนักหน่วงและร้อนแรงกว่าที่เคยได้รับจากใคร พอผมฝืนขมิบตอดรัดหน่วงจังหวะให้ช้าลง พี่โรมก็ยิ่งสอดใส่ดุดันขึ้นจนผมสู้ไม่ไหว พ่ายแพ้ให้เขาทุกประตูแบบนี้ 

“ให้น้องเสร็จเถอะนะ......อื้อ.......อ๊ะ..........แล้วพี่จ๋าจะทำต่ออีกหลายๆ รอบเลยก็ได้..........”

“มึงยั่วเก่งฉิบหายเลย ทิชา.... แค่ฟังเสียงมึงอ้อน กูก็จะเสร็จตามอยู่แล้ว”

มือหนาจับต้นขาผมแยกออกว้างและยกสูงขึ้นอีก สายตาที่จ้องมองมาไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ที่หลอมละลายน้ำแข็งในหัวใจของผมให้หายไป.... พี่โรมคือคนในแบบที่ผมเฝ้าฝันถึงมาตลอดชีวิต เขาทั้งอบอุ่น ร้อนแรง และมีกลิ่นของความเซ็กซี่อย่างเหลือเฟือที่จะทำให้ผมหลงรักไปได้ตลอดชีวิต

“อ๊า.....อ๊ะ.........พะ.....พี่จ๋า.....ฮึก...........!!”

“.......อืม.......ทิชา.........รัดกูอีก......แน่นๆ เลย........”

ผมครางจนเสียงหลงไม่คิดจะอดกลั้นเอาไว้อีกแล้วเมื่อพี่โรมเร่งจังหวะให้ถี่กระชั้นมากขึ้น เหงื่อเม็ดโตผุดซึมตามไรผมสีเข้มผสานกับเสียงคำรามในลำคอบ่งบอกว่าเขาเองก็ใกล้จะถึงปลายทางเต็มทีเช่นกัน แรงกระแทกจากช่องทางด้านหลังสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายและจิตใจ ผมทั้งเสียวซ่านและสุขสมที่ถูกพี่โรมกอด ส่วนกลางลำตัวของผมเหมือนมีคลื่นใต้น้ำไหลวนอยู่ภายใน มันร้อนผ่าวประหนึ่งลาวาและจวนจะปะทุออกมาอยู่รอมร่อ

“อ๊า.............”

ผมเกาะไหล่พี่โรมเอาไว้แน่น ฉันพลันร่างผมก็กระตุกอย่างแรง รู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง อาการเสียวข้างในท้องน้อยพุ่งทะยานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกสิ่งเบื้องหน้าจะสว่างจ้าระยิบระยับยิ่งกว่ากลุ่มดาวในคืนเดือนมืด น้ำขุ่นขาวกลั่นตัวออกมาจากปลายแกนกายบวมเป่ง ผมพ่ายแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงปล่อยทุกส่วนของร่างกายให้ร่วงหล่นลงบนเตียงกว้าง พี่โรมยังคงขยับโยกอยู่ข้างบนอีกหลายครั้งกว่าที่เขาจะปล่อยของเหลวอุ่นๆ ทะลักเข้ามาในตัวผม ความรู้สึกซาบซ่านทำเอาแขนขาคล้ายเป็นอัมพาต มาขยับได้อีกครั้งก็ตอนที่ร่างสูงถอนแก่นกายร้อนออกไป

เขาปล่อยตัวลงมาทาบทับ ใบหน้าหล่อซุกลงตรงซอกคอผมแล้วดูดผิวเนื้อขาวชื้นเหงื่อจนมันขึ้นเป็นรอยแดงอีกรอย ผมครางอืออย่างเคลิบเคลิ้มพลางสอดมือเข้ากับกลุ่มผมหนาของพี่โรม.... ก็จริงอย่างที่พี่โรมเตือน แค่หนเดียวก็เล่นเอาผมเปลี้ยจนอยากโดดเรียนนอนพักเอาแรงแล้ว ถ้ามีต่อรอบสองรอบสามอีกล่ะก็ เห็นทีว่าแขนขาผมคงได้มีหลุดกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ แน่

“เป็นเมียกูน่ะ งานหนักนะ.... ไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม?”

“อืม..........”

อย่าถามเลยนะว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงตอบหรือเสียงคราง ทันทีที่พี่โรมเปลี่ยนที่ลงมานอนอยู่ด้านข้าง ผมก็เบียดตัวเข้าไปในอ้อมอกกว้างของเขาพลางหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขที่สุด.... พี่โรมเอื้อมมือมาลูบแก้มผม เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าออกให้แล้วเราก็สบตากัน กลีบปากหยักกดจูบหนักๆ ที่กลางหน้าผากก่อนที่เราจะนอนอิงแอบกันแบบนั้นอยู่อีกพักใหญ่จนกว่าจะถึงเวลาต้องลุกไปอาบน้ำ

ส่วนคำถามเมื่อกี้ ผมคงไม่จำเป็นต้องพูดหรอกนะว่าเต็มใจแค่ไหน....


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 28/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 02-01-2018 22:14:47
.



.

ผมยกชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาวางบนโต๊ะกินข้าวขนาดกะทัดรัด กลิ่นหอมฉุยจากน้ำมันและผงเครื่องปรุงเรียกน้ำย่อยให้ทำงานได้ชะงัดนักหลังจากที่เราทั้งคู่เพิ่งออกกำลังกายยามเช้ากันแบบไม่ยั้ง ขึ้นชื่อว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกันตาย รสชาติมันก็โอเคอยู่หรอก แต่มันจะดีว่านี้อีกหลายเท่าเลยถ้าหากจะมีแฮม ไส้กรอก ไข่หรือผักให้ใส่ลงไปบ้าง

ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดกันว่าอยู่แบบผู้ชายๆ มันเป็นแบบไหน เวลาผมอยู่บ้านก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะมีอะไรผิดแปลกไปจากชาวบ้านชาวช่อง เพิ่งมารู้ก็ตอนที่เห็นห้องพี่โรมนี่แหละ.... มันก็ไม่ถึงกับสกปรกหรอกนะเพราะพี่โรมจ้างแม่บ้านจากส่วนกลางคอนโดฯ ให้เข้ามาทำความสะอาดสัปดาห์ละสองครั้ง พวกพื้นและข้าวของเครื่องใช้ก็เลยค่อนข้างสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะ จะมีก็แต่พวกเสื้อผ้าที่คุณชายถอดแล้วก็โยนเรี่ยราด หนังสือฟุตบอลกับแผ่นบลูเรย์วางเกลื่อนอยู่บนโซฟา แล้วก็ตู้เย็นโล่งโจ้งแทบไม่มีของกินอยู่เลยนอกจากน้ำเปล่ากับเบียร์กระป๋องห้าแพ็ค

ถึงเจ้าของห้องจะยังไม่อนุญาตก็เถอะ แต่ต่อมเจ้าระเบียบของผมก็เริ่มวางแผนเอาไว้ในหัวเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดการยังไงกับสภาพรกรุงรังตรงหน้า....

“ทำไมพี่โรมไม่ซื้อของกินติดตู้เย็นเอาไว้บ้างเลย ข้าวสารก็ไม่มี เห็นมีแต่เบียร์กับอะไรก็ไม่รู้เนี่ย........”

“ปกติกูโทรสั่งร้านข้าวข้างล่างให้ขึ้นมาส่ง หรือถ้าดึกหน่อยก็ออกไปเซเว่น”

“อยู่ตัวคนเดียวก็ลำบากแย่เลยเนอะ......” 

ผมไม่เชิงบ่น พยายามทำความเข้าใจอยู่ว่าอีกฝ่ายคงเคยชินกับชีวิตง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากตามประสาหนุ่มโสด แต่ถ้าพี่โรมเป็นแฟนผมแล้ว ผมก็แค่อยากให้เขากินดีอยู่ดีขึ้นอีกหน่อย 

“เอาไว้ชาจะซื้อของสดมาทิ้งไว้นะ จะได้ทำกับข้าวกินเองได้”

“กูไม่ทำกับข้าว เจียวไข่เองยังไหม้เลย”

“ก็เดี๋ยวชาทำให้ไง”

“ทำเป็นเหรอ?”  พี่โรมเงยหน้าขึ้นจากชามบะหมี่ หน่วยตาคมหรี่ลงมองหน้าผมคล้ายจะถามว่าล้อเล่นหรือเปล่า

“แม่ปล่อยให้ชาอยู่บ้านคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก แค่ทำกับข้าวกินเองนี่สบายมาก พี่โรมอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็รีเควสต์มาได้เลย”

“งั้นกูยกครัวให้มึงเลยก็แล้วกัน”

คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากผมได้ไม่ยาก ถึงจะเป็นแค่มุมเคาท์เตอร์ครัวเล็กๆ ในคอนโดขนาดสามสิบกว่าตารางเมตร.... แน่นอนว่าผมดีใจมากเชียวล่ะ มันก็เหมือนกับว่าพี่โรมยินดีจะให้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าถ้าขอมากกว่านั้นแล้วเจ้าตัวจะว่ายังไง

“พี่โรม..........”

“หืม?”

“อาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่ชาขอมาอาศัยอยู่กับพี่สักพักนึงได้มั้ย”

ผมเอ่ยปากออกไปตามตรง ถึงพี่โรมจะดูค่อนข้างตามใจและเราสองคนก็เข้ากันได้ดีพอสมควร แต่ถ้าหากถึงขั้นขอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ผมว่าใครหน้าไหนก็คงไม่มีทางยอมง่ายๆ 

“ไม่ถึงกับมาค้างที่นี่ทุกวันหรอก แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านน่ะ.......ชาไม่อยากเจอแม่...........”

ประโยคหลังนั่นแหละที่เป็นเหตุผลหลักของบทสนทนา พี่โรมเองก็เงียบไปครู่ใหญ่จนผมชักหวั่นใจว่าไม่น่าจะรอด ก็อย่างว่าแหละ เราเพิ่งจะคุยกันดีๆ ได้ไม่กี่ครั้งและเพิ่งมีอะไรกันแค่สองหน มันคงยังไม่มากพอที่จะช่วยให้เขารู้สึกสนิทใจพอที่จะยอมรับผมได้มากเท่าที่คาดหวัง

“ถ้ามึงมาอยู่นี่แล้วแม่จะไม่เป็นห่วงเหรอ? เขาจะหาว่ากูลักพาตัวมึงหรือเปล่า?”

“ไม่หรอก..........” 

ผมส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าจะอยากเล่นบทดราม่าเรียกร้องความสงสาร ผมรู้ดีว่าความอ่อนไหวของตัวเองมันน่ารำคาญมากแค่ไหน แต่พอผมนึกถึงเรื่องที่พ่อกับแม่คุยกันเมื่อวาน เรื่องที่พ่อไม่ต้องการผม เรื่องที่แม่ไล่ผมให้ไปตาย ผมก็ดูคล้ายว่าจะกลายเป็นเด็กขี้แยเจ้าน้ำตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งถ้าพี่โรมไม่ตอบตกลง ผมว่าผมคงได้ร้องไห้ต่อหน้าเขาอีกแหง

“ตัวกูเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ไม่อยากให้มึงทะเลาะกับแม่นานๆ ยังไงมึงก็เป็นลูก อุตส่าห์เลี้ยงมาจนโตป่านนี้แล้ว โกรธกันให้ตายยังไง ถ้ามึงหายไป เขาก็ต้องเป็นห่วงอยู่ดี” 

พี่โรมยิ้มให้ก่อนจะเอื้อมมือมาตีแก้มผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าเลิกทำหน้าเครียดแล้วรีบๆ กินบะหมี่ซะก่อนที่มันจะอืด ไม่รู้ว่าจะด้วยความสงสารเห็นใจหรืออะไรก็ช่าง หากว่ามันช่วยให้พี่โรมไม่ปฏิเสธคำขอจากผม ก็ไม่เห็นว่ามันจะเลวร้ายตรงไหน 

“เดี๋ยวกูให้คีย์การ์ดเข้าตึกกับกุญแจสำรองไว้ก็แล้วกัน มาอยู่กับกูก็ยังดีกว่าเตลิดไปอยู่ที่อื่นล่ะวะ”

“ขอบคุณนะ”  ผมยืดตัวข้ามโต๊ะไปหอมแก้มพี่โรมเป็นการตอบแทน ดูท่าทางเขาชอบเวลาที่ผมอ้อนมากทีเดียว  “แล้วพี่โรมแพ้ขนแมวหรือเปล่า? ชาพามิลค์มาอยู่นี่ด้วยได้ไหม?”

“มิลค์??”  ร่างสูงทำหน้านึกอยู่พักหนึ่ง  “อ้อ.... แมวตัวขาวๆ นั่น”

“ปกติชาไม่เคยทิ้งมิลค์ให้อยู่ตัวเดียวข้ามคืนเลย แต่อาทิตย์นี้ออกมาค้างข้างนอกสองหนแล้วเนี่ย.... เดี๋ยวมันโกรธ”

พี่โรมไม่ได้ว่าอะไร มีเพียงเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอที่บ่งบอกว่าเขาโอเคก่อนจะเอ่ยถามติดตลก 

“สรุปว่ากูต้องเลี้ยงทั้งแม่แมวลูกแมวเลยสินะ?”

“ก็เพราะพี่โรมเป็นแด๊ดดี้ไง”

ผมลงมือจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันด้วยหัวใจที่พองโต ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองสามารถยิ้มกว้างอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้.... เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังจมอยู่กับความสิ้นหวังและคิดว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าเศษขยะที่หายใจได้อยู่เลย แต่นี่เหมือนกับว่ามีใครบางคนช่วยดึงผมขึ้นมาก่อนที่จะจมน้ำตาย มันเป็นความซาบซึ้งและชื่นชมบูชาอย่างที่สุดของที่สุด และพี่โรมก็คงเป็นคนๆ เดียวบนโลกนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้


เราตกลงกันว่าพี่โรมจะพาผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเอากระเป๋าที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน.... บอกตามตรงว่าผมยังแอบหวั่นใจอยู่นิดหน่อยแต่ไม่กล้าพอที่จะถามออกไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ผมยังไม่ได้เช็คไอจีเลยตั้งแต่เมื่อวานจึงไม่รู้ว่าบีบี๋โพสต์อะไรเกี่ยวกับที่เราทะเลาะกันเมื่อวานบ้างหรือเปล่า ผมได้ยินแค่จากพี่โรมเพียงฝ่ายเดียวว่าเขาไม่ต้องการจะคุยกับไอ้บี๋อีกแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนมากพอที่จะทำให้หายกังวล

ถ้าพี่โรมจบแต่ไอ้บี๋ไม่ยอมจบ แล้วผมจะทำยังไงต่อ....?

แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าการที่ตัวเองห้อยเกียร์เอาไว้มันจะช่วยอะไรในโลกแห่งความเป็นจริงนอกเบอร์ลิคหรือเปล่า แต่ในเมื่อพี่โรมสัญญาแล้วว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน ผมก็ไม่ควรจะต้องกลัวใช่ไหม?


พี่โรมกดปุ่มเรียกลิฟท์ระหว่างที่หัวสมองของผมจมจ่อมอยู่กับเรื่องของอดีตเพื่อนสนิท มือใหญ่ที่กุมมือของผมเอาไว้ช่างอบอุ่มจนผมไม่อยากจะปล่อยให้เขาจากไปเลยแม้สักเพียงเสี้ยววินาที.... ผมทนไม่ได้หรอกนะถ้าหากพี่โรมจะกลับไปคุยกับไอ้บี๋ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ถึงใครจะชี้หน้าด่าว่าผมมันขี้แย่งของๆ ชาวบ้าน แต่ผมรักพี่โรมแล้วและผมก็หวงเขามากด้วย

“ไงวะ แดน.......” 

เสียงเอ่ยทักทายกับชื่อที่แสนคุ้นหูเรียกให้ผมออกจากภวังค์ เมื่อหันไปมองก็เห็นใครคนหนึ่งในชุดนิสิตชายเดินมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่งเพื่อรอลงลิฟท์เหมือนกัน 

“หมู่นี้ไม่ค่อยเจอกันเลยนะ สบายดีใช่มั้ยมึง?”

“ก็เรื่อยๆ แหละเฮีย” 

บุคคลที่สามตอบกลับญาติผู้พี่ ทว่า สายตากลับจ้องมองมายังผมซึ่งยืนอยู่ข้างพี่โรมเหมือนมีคำถามอยู่ในใจเป็นล้าน แต่ท้ายที่สุดก็พูดออกมาได้แค่ประโยคเดียว 

“แล้วนั่น........ทิชามาอยู่นี่ได้ไง?”

“ทิชามาค้างกับกูเมื่อคืนน่ะ”

“ค้าง?”

น้ำเสียงไอ้แดนฟังดูประหลาดใจมากในคราวแรก เช่นเดียวกับสีหน้าของมันซึ่งแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากเชื่อ แต่แค่ชั่วแวบเดียวที่ผมสังเกตเห็นมันทำท่าคล้ายว่าผิดหวังก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าเออออไปกับพี่ชายอย่างรวดเร็ว



TO BE CONTINUE



+++++



TALK




สวัสดีปีใหม่ 2018 ค่ะ ^___^

คิดถึงน้องทิชากันมั้ยเอ่ยยยยย อัพเดทแรกของปีใหม่ เราให้พักดราม่าตอนนึงแล้วไปอุฮิๆๆๆกับฉากฮอตๆ ของพี่โรมกับน้องทิชาเนอะ ส่วนฉากดราม่าเราค่อยมาว่ากันในวาระต่อไป

ขอให้ทุกท่านโชคดี ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดก็ได้สมปรารถนาทุกอย่างนะคะ แล้วอย่าลืมติดตามผลงานของเก๊าด้วยน้าาาาาา /ไหว้รอบทิศ

นิยายเรามีแท็ก #ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ ถ้าอยากคอมเมนท์หรือคุยกันก็เข้าไปทวิตติดแท็กไว้ได้จ้า

พบกันใหม่อัพเดทหน้าค่ะ



ALICE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 02 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 07-01-2018 00:24:28
ไม่มีใครดูน่าไว้ใจสักคน พระเอกก็ยังดูโลเลอ่ะ ไม่รู้สิ สำหรับเราแค่นี้ยังไม่พอให้เชื่อใจเลย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 02 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-01-2018 02:28:36
จะไว้ใจใครได้บ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 02 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: JanLec ที่ 07-01-2018 05:17:33
แค่คิดว่าบี๋คิดอย่างงี้ตลอดที่เป็นเพื่อนกัน ก็รู้สึกแย่มากๆคะ ในใจมีแต่ความริษยาอยู่ตลอดเนี้ยนะ
ไม่อยากจะบอกว่า คิดว่าบี๋นี่แหละตัวปัญหาหลักๆของทิชา ตั้งแต่อ่านตอนแรกๆเลย คิดว่าต้องเป็นตัวละครที่มีอะไรในใจชัว ละก็เดาไม่ผิดเลวจริงๆ เข้าใจว่าไรต์อยากจะสื่อว่าระหว่างนั้นมิตรภาพมันมีจริงๆนะ  แต่พอมาพาทของบี๋แล้ว เฮ้อมมม คิดแต่เรื่องเอาชนะทิชาอยู่ตลอดเนี้ยนะ ไม่เคยหวังดีเลยคอนแต่จะรอซ้ำเติม จะเอาแต่สิ่งดีๆเข้าตัว ละโยนขี้ให้เพื่อน
บอกเลยเกียจ ขยะแขยงเพื่อนแบบนี่ที่สุด
ปูมาแบบนี้แล้ว ชาหน้าสงสารขนาดนี้แล้ว ก็ขอให้ตอนจบสาสมนะคะ ไม่เอาครึ่งๆกลางๆเพราะความใจอ่อน เราเกียดตัวละครตัวนี้มากบอกเลย ( เราเสียน้ำตาไปเยอะนะขอเถอะ)
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 02 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-01-2018 09:42:46
 o13
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 02 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 07-01-2018 18:39:45
สัญญาณไฟหน้าลิฟท์โดยสารกระพริบขึ้น พี่โรมจูงมือผมเข้าไปยังด้านในตามติดมาด้วยเดือนสถาปัตย์ ทันทีที่ประตูเหล็กเลื่อนปิดและลวดสลิงกำลังค่อยๆ หย่อนเราจากชั้นยี่สิบสามลงสู่พื้นดิน บรรยากาศความสดชื่นระหว่างผมกับพี่โรมหายวับไปเมื่อมีนายดรัณภพโผล่มาเป็นก้างขวางคอ.... ผมเกลียดแววตาเจ้าเล่ห์ที่ดูเหมือนจะรู้เท่าทันความคิดผมไปเสียทุกอย่าง ผมยังจำคำพูดของไอ้แดนในตอนที่มันบุกไปถึงบ้านได้แม่น มันหาว่าผมแพ้แล้วพาล เป็นลูซเซอร์แล้วก็ขี้มโนขั้นสุดที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะแย่งพี่โรมมาจากบีบี๋ มันเตือนแล้วว่าถ้าผมไม่ยอมหยุดก็ให้เตรียมตัวถูกด่าว่าเป็นมือที่สามหรือเมียน้อยได้เลย

ถึงตอนนี้พี่โรมจะอยู่ข้างผม เรียกผมว่าเมียเต็มปากเต็มคำ ทว่า ความรู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนได้ยินเสียงไอ้แดนกระซิบด่าอยู่ตลอดเวลาว่าผมทำอะไรโคตรสิ้นคิดกลับชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ

“ว่าแต่พวกมึงรู้จักกันด้วยเหรอ.... อยู่คนละคณะนี่?” 

อยู่ดีๆ พี่โรมก็โพล่งถามขึ้นทำลายความเงียบ ทำเอาผมตอบไม่ถูกเลยทีเดียว จะให้บอกว่าเพิ่งมาคุยกันตอนบอกข้อมูลชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคก็คงไม่ใช่

“ถาปัดกับสินกำอินทีเรียมีวิชาที่ต้องเรียนรวมก็เลยรู้จักกันน่ะ” ไอ้แดนตอบ แต่แทนที่จะมองญาติผู้พี่ตัวเองก็กลับมาจ้องหน้าผมอยู่ได้  “แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอกเนอะ ทิชาเนอะ”

ผมไม่ตอบ ก็แค่อมยิ้มเจื่อนกลับไป ในใจก็สาปแช่งไอ้แดนนรกขุมที่สิบแปดไปด้วยจนกระทั่งลงมาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน อยากจะเดินแยกไปขึ้นรถใจจะขาด จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าแป้นแล้นกวนประสาทไม่เข้ากับสถานการณ์ของใครบางคน พี่โรมก็เกิดจะมาอยากสามัคคีในหมู่เครือญาติอะไรกันตอนนี้

“ช่วงนี้ทิชามันอาจจะมาห้องกูบ่อยๆ ยังไงพวกมึงคุยๆ กันเอาไว้บ้างก็ดี เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

คนข้างกายผมภูมิใจนำเสนอ ในขณะที่ไอ้แดนทำเป็นห่อปากร้องอู้หูล้อเลียนผม แต่ก็นั่นแหละ พี่โรมก็ยังคงเป็นพี่โรม ความรู้สึกโคตรช้าและซื่อบื้อในเรื่องที่ไม่ควรซื้อบื้อจนผมต้องแอบถอนหายใจด้วยความเซ็งสุดขีด 

“แดนมันเป็นลูกพี่ลูกน้องกู โดนพ่อแม่ถีบออกจากสุราษฎร์ขึ้นมาเรียนกรุงเทพเหมือนกัน คอนโดฯ นี่ก็พ่อกูกับพ่อมันก็ซื้อพร้อมกัน เผื่อวันไหนกูไม่อยู่ห้องแล้วเกิดมีอะไรติดขัดก็ไปหามันได้ มันอยู่ห้องสุดมุมอีกฝั่งเลย”

“แล้วผมต้องคุยกับทิชาในฐานะอะไรเนี่ย? ใช่พี่สะใภ้หรือเปล่า?”

“เออน่า.........”

ถ้าเป็นคนอื่นมาพูด ผมก็คงเขินไปตามประสาคนกำลังมีความรัก แต่พอเป็นไอ้แดนพูด ผมกลับหน้าตึงเปรี๊ยะเพราะรู้ดีว่ามันกำลังแซะมากกว่าจะแซ็ว

“พี่โรม เรารีบไปกันเถอะ.... สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว” 

ผมดึงแขนเสื้อพี่โรม แกล้งทำเป็นกดโทรศัพท์ดูนาฬิกาเนียนๆ ส่วนหนึ่งก็กลัวว่าจะสายจริง อีกส่วนหนึ่งก็อย่างที่เห็น ผมกลัวว่าตัวเองจะหลุดกระโดดถีบไอ้แดนต่อหน้าญาติผู้พี่มัน

“งั้นกูกับทิชาไปก่อนนะ”

พี่โรมโอบไหล่ผมแล้วพาเดินไปยังล็อกที่จอดรถประจำ แน่นอนว่าไอ้แดนก็ต้องเดินมาที่รถของมันซึ่งอยู่ถัดไปสาม-สี่ล็อก แม้จะไม่หันไปมองแต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาจากด้านหลัง และก่อนที่ผมจะยัดตัวเข้าไปในรถออดี้สีน้ำเงินเข้ม เสียงเรียกที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินนักก็ดังขึ้น

“ทิชา........”

“อะไร?”

“ที่นัดกันวันเสาร์ มึงอย่าลืมนะ”

“รู้แล้ว กูพูดคำไหนคำนั้นน่ะ”

ผมตอบโดยที่ไม่มองหน้าไอ้แดนเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่ามันขับรถออกไปตอนไหนอะไรยังไง รู้แค่ว่าพอประตูรถปิดลง พี่โรมก็เอี้ยวตัวมาคาดสายเบลท์ให้พร้อมกับขโมยหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่.... ใช่เลย มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเกินคาดที่ได้เห็นว่าพี่โรมเองก็เห่อผมพอๆ กับที่ผมเห่อเขา

อ้อ รถคัมรี่สีบรอนซ์เงินที่เพิ่งแล่นผ่านหน้าเราไปมีไอ้แดนเป็นคนขับ มันคงเห็นที่พี่โรมหอมแก้มผมเมื่อกี้แล้ว แต่ก็ช่างเหอะ มันเป็นคนช่วยส่งผมมาอยู่จุดนี้แลกกับเรื่องแคสละครเอง จะด่าอะไรผมก็เข้าตัวหมดแหละ

“มึงเรียนคลาสรวมกับแดนนี่กูไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร แต่ไม่คิดว่าจะรู้จักกันถึงขนาดมีนัดนอกรอบกันวันหยุดนะ”

กะแล้วเชียวว่าพี่โรมต้องสงสัย พาลให้ผมอยากจะวิ่งไปเคาะกระจกรถไอ้เดือนสถาปัตย์จอมปากสว่างแล้วด่ามันให้สาแก่ใจ

“ก่อนหน้านี้แดนมาชวนไปแคสละครด้วยกัน ชาก็รับปากมันไปแล้ว”

“มึงนี่มีอะไรให้กูเซอร์ไพรส์เรื่อยเลยนะ ทิชา”  พี่โรมหัวเราะนิดๆ  “ตอนแรกกูนึกว่ามึงจะเรียบร้อยแต่พอเอาเข้าจริงก็โคตรดื้อเงียบ นี่กูนึกว่ามึงเกลียดการเข้าสังคมก็ดันจะไปเป็นดาราซะงั้น”

ไม่ใช่แค่เกลียดการเข้าสังคมหรือเป็นโรคขี้ระแวงคนแปลกหน้าชนิดแก้ยังไงก็ไม่หาย ขนาดเซลฟี่ยังนานๆ จะมีอารมณ์ถ่ายสักครั้งเลย

“ก็ตอนนั้นชาเบื่อๆ ไง.... พี่โรมก็ไม่รัก ชีวิตบัดซบจนไม่ค่อยมีสติน่ะ”

“แล้วตอนนี้มึงยังคิดจะไปอยู่เหรอ?”

“ชาสัญญากับแดนไว้แล้ว........” 

ใจจริงผมก็อยากเทงานออดิชั่นแทบตาย ยังไม่รู้เลยด้วยว่าตัวเองจะทำใจยืนฉีกยิ้มตอแหลต่อหน้าคนเป็นสิบได้ยังไง แต่ลางสังหรณ์ส่วนตัวก็บอกแรงมากว่าถ้าหากผมกล้าเบี้ยวไอ้แดน มันต้องไม่เอาผมไว้แน่ ที่สำคัญก็คือผมไม่อยากให้มันพูดเรื่องข้อตกลงของเราให้ใครรู้ โดยเฉพาะพี่โรม 

“ก็แค่ไปแคสนิดเดียว.... พี่คิดว่าอย่างชาจะเป็นดารากับใครเขาได้เหรอ หน้าไม่รับแขกแบบนี้ ไม่มีผู้จัดที่ไหนตาบอดเลือกหรอก”

“แต่ถ้ากูเป็นผู้กำกับ กูเลือกมึงนะ.... ไม่ต้องมีบทพูดก็ได้ แค่เดินผ่านกล้องน่ารักๆ ให้ละครออกมาดูดีก็พอ”

“บ้าแล้ว ยังกะเอ็กซ์ตร้าค่าตัววันละสามร้อย”

ผมอุตส่าห์ขำแต่พี่โรมกลับทำหน้าซีเรียสขึ้นมา เขาจ้องตาผมราวกับเจตนาจะเขย่าหัวใจให้สั่นระรัว ผมบอกไม่ถูกว่ามองเห็นอะไรในแววตาสีเข้มตรงหน้า.... บางทีผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนพี่โรมยังปฏิเสธไม่รับรักผมอยู่เลย แล้วอยู่ดีๆ ความรักความหลงจากเขาก็ถาโถมเข้ามาจนผมตั้งรับแทบไม่ทัน แต่เพราะผมกำลังมีความสุขในแบบที่อาจจะหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตก็เลยอยากจะปล่อยเบลอความตะขิดตะขวงใจของตัวเองไปบ้าง

“ถ้าละครที่มึงไปแคสมีฉากจูบ ฉากเปลืองตัว กูไม่ให้เล่นนะ”

“ถ้ามโนเก่งกว่านี้อีกหน่อย ชาจะคิดว่าพี่โรมหวงแล้วนะ”

“กูก็ควรจะหวงมั้ยวะ เมียทั้งคนนะเว้ย”

พี่โรมจูบผมอีกแล้ว และผมก็ไม่ปฏิเสธ.... ริมฝีปากของเขาแตะกัน จากที่ผิวแผ่วคล้ายหยอกล้อก็ค่อยๆ บดเบียดดูดดื่มยิ่งขึ้น ก็เหมือนกับเวลาที่ราดน้ำมันลงบนกองไฟ ความร้อนแรงของพี่โรมดูจะเข้ากันได้ดีกับรูโหว่ในหัวใจของผม เป็นความต้องการซึ่งเติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ลมหายใจที่เป่ารดลงมาทำเอาข้างในอกสั่นไหวราวกับมีผีเสื้อกระพือปีกอยู่ในร่าง ได้ยินเสียงชีพจรเต้นตึกตักแทรกสลับกับเสียงครางในลำคอของพวกเรา กว่าพี่โรมจะถอนจูบออกก็เล่นเอาผมแทบละลายติดเบาะรถอยู่แล้ว

“กลับขึ้นห้องกันไหม? หรือจะไปเบาะหลังดี?”

“ไหนว่าไม่ให้โดดเรียนไง.......”

“นานๆ โดดที ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

ผมอมยิ้มขำแต่ก็ไม่ว่าอะไร วันนี้ไม่มีส่งงานแถมที่ผ่านมาผมไม่เคยหยุดเรียนก็เลยยังมีโควต้าพอให้โดดได้ หากพอทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยกลับขึ้นห้องกันจริงๆ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์พี่โรมก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกสิ่งให้หยุดกลางคัน


   ‘อะไรวะ?’

   ‘ที่ร้าน? ตอนนี้เลยเหรอ? มีเรื่องเหี้ยไรกันแน่วะเนี่ย??’

   ‘เออ.... รู้แล้ว เดี๋ยวกูรีบไป’


“มีธุระด่วนเหรอ?” 

ผมถามเสียงอ่อยหลังจากที่พี่โรมวางสาย ฟังจากที่คุยกันดูเหมือนจะเป็นธุระสำคัญพอควร ก็เลยแน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายโดนเทแน่

“โทษทีว่ะ ทิชา.... สงสัยต้องเปลี่ยนแผน”

พี่โรมบอกอย่างเซ็งๆ ดูเขาค่อนข้างหัวเสียอยู่นิดหน่อย 

“เดี๋ยวกูพามึงไปส่งบ้านก่อน แต่คงต้องไปมหาลัยเองนะ.... พอดีที่ร้านมีเรื่อง เพื่อนกูมันโทรตามให้รีบกลับไปเคลียร์น่ะ"

“ถ้ารีบมาก พี่จะไปร้านเลยก็ได้นะ เดี๋ยวชาเรียกแท็กซี่กลับบ้านเอง”

“ไม่เป็นไร ให้กูไปส่งมึงก่อนดีกว่า”

จากนั้นเราสองคนต่างก็เงียบไป ผมลอบสังเกตสีหน้าพี่โรมระหว่างขับรถ เขาดูเครียดจัดจนผมไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร ได้แต่กดโทรศัพท์ดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง แน่นอนว่าคราวนี้ผมไม่ลืมที่จะเข้าไปเช็คอินสตราแกรมของบีบี๋ แต่มันก็ไม่ได้อัพเดทตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีการเมนชั่นตอบใครด้วย ซึ่งผมคิดว่าผิดปกติเอามากๆ สำหรับคนติดโซเชียลอย่างมัน

รถออดี้จอดส่งผมที่หน้าบ้าน พี่โรมปลดสายเบลท์ให้ก่อนจะหอมแก้มผมเบาๆ คล้ายปลอบใจที่เขาต้องผิดคำพูด

“ถึงคณะแล้วไลน์บอกกูด้วยนะ”

“อืม.... พี่โรมก็เหมือนกัน ขับรถดีๆ นะ”

ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วรออยู่ตรงนั้นจนกระทั่งพี่โรมเลี้ยวออกจากซอยในหมู่บ้านผมไปเรียบร้อย.... ธุระที่ร้านก็คงจะหมายถึงเบอร์ลิค ผมไม่รู้หรอกว่าร้านเหล้าที่เชี่ยและอันตรายที่สุดในแดนสยามจะต้องการแรงงานตอนกลางวันแสกๆ ในวันที่มีเรียนไปทำไม แต่ถึงขนาดเจาะจงว่าเป็นพี่โรม ผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้ว่าธุระนั้นจะเกี่ยวข้องกับคนที่หายไปตั้งแต่เมื่อวาน

ผมถอนหายใจพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้ปลายเดือนตุลาคมแล้วแต่ฝนก็ยังตกอยู่ประปราย ก้อนเมฆสีเทาลอยตัวลงต่ำปกคลุมท้องฟ้าให้มืดครึ้มชวนหดหู่ ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าฤดูฝนจะผ่านไปเร็วๆ เสียที....



ROME’s PART


ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากลานจอดรถข้างเบอร์ลิคมายังโกดังด้านหลังร้านแล้วขึ้นไปยังชั้นสองตามที่เพื่อนสนิทโทรมาบอก....

ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ใจของผมพะวงคิดไปไกลถึงความร้ายแรงของสิ่งที่เกิดขึ้น ไอ้แจ็คเพื่อนสนิทไม่ยอมบอกให้ฟังผ่านโทรศัพท์ว่าเกิดอะไรขึ้น มันย้ำแค่ว่าผมควรรีบมาที่ร้านเพื่อเห็นและรับฟังทุกอย่างด้วยตัวเอง.... นอกจากผลัดกันเฝ้าร้านขำๆ ตามธรรมเนียมของสาย เฮียรุจไม่เคยเรียกผมหรือว่าใครก็ตามให้ไปที่เบอร์ลิคโดยไม่จำเป็น ผมจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ผมรู้จัก หรือถ้าเชี่ยกว่านั้นก็คงต้องใครสักคนที่มีความสำคัญกับผม

กลุ่มเพื่อนในคณะที่สนิทกันก็เข้าออกเบอร์ลิคเป็นว่าเล่น แต่ละคนก็ดูแลตัวเองกันได้ทั้งนั้น ถ้ามีเรื่องเดือดร้อน เฮียรุจก็ต้องออกหน้าให้อยู่แล้ว

ทิชาก็อยู่กับผมตลอดคืน แล้วก็เพิ่งเข้าบ้านไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

เหลืออยู่อีกคนที่เป็นไปได้ก็คือบีบี๋ซึ่งผมตัดขาดการติดต่อไปตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งเดินหนี ไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ และไม่ให้โอกาสแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

ผมโกรธบีบี๋ก็จริง แต่ขออย่าให้ใช่เจ้าตัวเลย....


“ไอ้แจ็ค กูเอง”  เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็เห็นเพื่อนยืนกำลังยืนรออยู่หน้าประตูห้องที่พวกเราใช้เป็นที่สุมหัว มันเองก็ดูกระสับกระส่ายร้อนใจไม่แพ้กัน  “ตกลงมีเรื่องเหี้ยอะไรกันวะ?”

“มึงเข้าไปข้างในเลย ไอ้โรม เฮียรุจกำลังรอเจอมึงอยู่”

“เฮียรุจ....?”

ผมย้อนถามทั้งที่ใจจริงก็พอเดาเหตุการณ์ได้ลางๆ หากในตอนนี้ก็คงทำได้เพียงแค่คิดว่าขอให้ไม่ใช่อย่างที่กังวล ทว่า โชคกลับไม่เข้าข้างผมเอาเสียเลย


“เออ ก็เฮียรุจนั่นแหละ แล้วก็น้องบีบี๋ของมึงด้วย.........”


มือผมชะงักคาลูกบิดประตูแต่มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อแผ่นไม้หนาถูกเปิดออกเต็มบานส่งผลให้ผมเห็นสภาพภายในห้องอย่างชัดเจนเต็มสองตา.... เฮียรุจในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นไม่ติดกระดุมยืนพิงหน้าต่างสูบบุหรี่สบายอารมณ์ ไร้วี่แววของความเดือดเนื้อร้อนใจแบบที่ไอ้แจ็คเกริ่นไว้ แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับตอนที่ผมกวาดสายตามองไปยังเตียงโครงเหล็กซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง เตียงเดียวกับที่ผมเพิ่งอุ้มทิชามานอนกอดเมื่อไม่กี่คืนก่อน ผมแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นร่างเล็กที่ผมรู้จักดีนั่งอยู่บนนั้นด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่ต่างจากเฮียรุจสักเท่าไร

บีบี๋กับเฮียรุจเล่นตลกห่าเหวบ้าบออะไรกัน....???

“โผล่หัวมาสักทีนะมึง ช้าฉิบหาย” 

เจ้าของเบอร์ลิคแค่นเสียหัวเราะหึก่อนจะพ่นควันสีเทาขาวออกมาทางปาก หน้าตาของเขาดูขบขันมากกว่าจะซีเรียสหรือรู้สึกผิด ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนราดลงกลางหัวเมื่อต้องมาพบเจอกับเรื่องเชี่ยๆ พรรค์นี้....!

“นี่มันหมายความว่าไงครับเฮีย?”

น้ำเสียงผมเย็นเฉียบผิดกับใบหน้าซึ่งร้อนผ่าว.... โอเค ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะด่าหรืออาละวาดโมโหใครในเมื่อผมเองก็มีความสัมพันธ์เกินคำว่าพี่น้องกับทิชา แต่การที่พวกเขาจงใจเรียกให้ผมมาเห็นตำตาว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้นคือสิ่งที่บัดซบเกินกว่าจะเข้าใจเหตุผลได้ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นการเอาคืนของบีบี๋ซึ่งมีเฮียรุจเข้ามาร่วมวงด้วย 

“ว่ายังไง บีบี๋?”

“ก็ไม่ว่ายังไงหรอก ไอ้โรม”

สีหน้าของเฮียรุจคล้ายจะบอกว่า ‘มึงกับกูก็ใจหมาพอกัน สันดานนักล่าอยู่ในสายเลือดก็อย่ามาทำตัวเหมือนเป็นเหยื่อที่โดนรังแกหน่อยเลย’ และนี่ก็คือสิ่งที่ผมสมควรจะต้องพบเจอและชดใช้โทษฐานที่ปล่อยให้ทิชาครองเกียร์ของตัวเองเอาไว้นานจนเกินไป 

“พอดีว่าน้องบีบี๋จะต้องไปเข้าเรียนช่วงบ่าย กูติดงานไม่ว่างไปส่ง น้องเขาก็เลยจะวานให้มึงพาเขาไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้วพาไปส่งที่คณะก็เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไม.......ถึงเป็นเฮียรุจ.......?”

ผมรู้ว่าบีบี๋ไม่ได้นึกชอบผมจริง ทุกอย่างระหว่างเราเป็นแค่เกมปั่นหัวที่บีบี๋เล่นเพื่ออยากเอาชนะเพื่อนสนิท.... แน่นอนว่าผมต้องการจะบอกเลิกบีบี๋อยู่แล้ว เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะอะไรรุ่นพี่ซึ่งผมให้ความเคารพและเกรงใจถึงได้ยอมลดตัวลงมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของรุ่นน้องที่เขาบอกอยู่เสมอว่าเป็น ‘คนในปกครอง’

“อยากพูดเองมั้ย บี๋? หรือจะให้เฮียช่วยอธิบายให้?”

เฮียรุจหันไปถามความเห็นแฟนซึ่งกลายเป็นอดีตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปของผม ไม่มีอีกแล้วความใสซื่อร่าเริง มองโลกในแง่ดีที่ผมเคยนึกเอ็นดู คนที่นั่งจุดบุหรี่อยู่บนเตียงตรงนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มแปลกหน้าซึ่งแสยะยิ้มมุมปากได้น่าขนลุกเป็นที่สุด และผมก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้บีบี๋กลายเป็นแบบนี้

“ทำไมจะต้องอธิบายด้วยล่ะ?”

ร่างเล็กขยี้มวนบุหรี่แล้วยัดลงไปในกระป๋องน้ำข้างเตียงก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ท่อนขาเรียวก้าวเข้ามาหาผมโดยที่ใบหน้าน่ารักยังคงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยชนิดที่ผมไม่เคยเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำได้.... หรือบางที บีบี๋อาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแค่ผมยังไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เท่านั้น 

“เมื่อวานนี้ บี๋พยายามจะอธิบายให้เฮียโรมฟังตั้งหลายเรื่องแต่เขาก็ไม่เห็นจะอยากฟังสักอย่าง งั้นก็ปล่อยให้ไม่เข้าใจต่อไปนี่แหละ.... สนุกดี”

สายสร้อยสีเงินพาดตัดกับลำคอขาว ผมจ้องมองต่ำลงจนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ตรงจี้รูปเฟืองสีทองแดง ด้วยความที่สัญลักษณ์เกียร์ของแต่ละชั้นปีจะมีลักษณะที่แตกต่างกันพร้อมสลักเลขรุ่นเอาไว้ด้านหลัง ผมจึงรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอบีบี๋คือของที่ได้รับมาจากใคร

“เมื่อคืนนี้บี๋มาชิงเกียร์เฮียรุจใช่ไหม?”

“เฮอะ ทีงี้ล่ะเข้าใจง่ายเชียว!”

“บี๋ทำแบบนี้ทำไม?”

“เฮียโรมควรถามใจตัวเองมากกว่านะว่าเพราะอะไรบี๋ถึงต้องทำแบบนี้ หรือว่าตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วนอกจากเรื่องเอากับไอ้ชา.... เป็นไงบ้าง ลีลามันคงเด็ดถึงใจมากเลยใช่ไหม ได้กันไปกี่น้ำแล้วล่ะ เฮียถึงได้หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น เอาเกียร์ที่ควรจะเป็นของบี๋ไปให้มัน!?”

“อ้อ ถึงภายนอกมันจะสวยน่าเอาแค่ไหนแต่เฮียโรมก็ควรระวังเอาไว้บ้างนะ เนื้อในแม่งผ่านมาไม่รู้กี่ดุ้นต่อกี่ดุ้นแล้ว แหล่งเชื้อโรคชัดๆ ระวังจะได้ของแถมกลับไปไม่รู้ตัว!”

บีบี๋เงยหน้าเหยียดมุมปากประชดใส่ผม ซึ่งผมก็ไม่คิดเถียงว่าตัวเองเป็นฝ่ายนอกใจก่อน แต่บีบี๋ก็ควรจะรู้ด้วยว่าเพราะอะไรเรื่องของเราถึงต้องจบลง.... ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมอบให้ไม่สมควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือกดหัวกลั่นแกล้งของใคร ยิ่งผมรักคนโกหกอย่างบีบี๋มากเท่าไร คนที่รักผมจริงอย่างทิชาก็จะเจ็บมากขึ้นเท่านั้น เรื่องระหว่างเราสามคนมันเลยจุดที่เรียกว่ารักสามเส้าไปไกลแล้วเมื่อจุดเริ่มต้นของคนๆ หนึ่งมีคำว่า ‘ไม่จริงใจ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับบีบี๋ ผมกับทิชาก็เป็นแค่ตัวหมากในเกมสงครามประสาทเท่านั้น

“แสดงว่าที่คุยกันเมื่อวาน บี๋ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด.........” 

ผมอยากไม่ตอบโต้อดีตแฟนด้วยการเอาชนะกันไปเอาชนะกันมาเพื่อความสะใจ สิ่งเดียวที่ผมมีให้บีบี๋ก็คือความจริงและความผิดพลาดที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ 

“ถ้าบี๋คิดว่าจะเอาเกียร์ของเฮียรุจมาคล้องคอเพื่อกดดันให้พี่กลับไปเล่นเกมบ้าๆ นั่นด้วย พี่ก็ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าบี๋คิดผิดแล้ว!”

ผมหันมาหาเฮียรุจ แม้ความผิดหวังจะในตัวรุ่นพี่ที่เคารพนับถือเสมือนเป็นพี่ชายจะมีมากเหลือเกิน แต่ผมก็ยังคาดหวังว่าเขาจะยังพอมีเหตุดีๆ ที่จะช่วยให้มิตรภาพระหว่างพี่น้องร่วมสายยังคงอยู่

“ผมไม่เชื่อนะว่าอย่างเฮียจะมองเจตนาร้ายของบีบี๋ไม่ออก ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเฮียถึงช่วย.........”

“เห็นกูเป็นพระเจ้าหรือไง กูอ่านใจคนไม่ออกนะเว้ย”

“ตอนที่ทิชามาชิงเกียร์ เฮียยังดูออกเลยนี่ว่ามันเจตนา ทั้งๆ ที่น้องมันก็บอกไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าเปล่า”                                                                                                                                   

“อย่าพาลกูแบบนี้สิวะ ไอ้โรม.... มึงเองก็รู้กฎดี” 

เฮียรุจขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์นักขณะตอบผม เขาต้องไม่พอใจแน่ถ้าผมคิดจะต่อต้านกฎเหล็กของเบอร์ลิคซึ่งเปรียบเสมือนกฎในทางลับของคณะชาววิศวะฯ ทุกคน 

“ถ้ามึงคล้องเกียร์ให้น้องทิชาแล้วหิ้วออกจากร้านไปกกได้ กูก็คล้องเกียร์ให้น้องบีบี๋แล้วรับเขาเป็นสะใภ้วิศวะฯ ได้เหมือนกัน.... และการที่มึงไม่ทวงเกียร์คืนก็หมายความว่ามึงตกลงเลือกปกป้องน้องทิชา แล้วมันผิดตรงไหนล่ะถ้าหากน้องบีบี๋จะพยายามหาทางจัดการกับคนที่ทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า ก็อุตส่าห์ลากกันไปถ่ายรูปเปิดตัวลงไอจีซะใหญ่โตขนาดนั้น”

“บีบี๋ยอมเสียหน้าไม่ได้ แต่ผมกับทิชาเสียความรู้สึกได้งั้นสิ?”

“ได้หรือไม่ได้ อันนี้มันก็เป็นเรื่องของมึงกับน้องทิชานะ กูตอบแทนพวกมึงไม่ได้หรอก” 

เฮียรุจหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ ทุกประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เผาไหม้สมองและหัวใจของผมให้มีสภาพไม่ต่างจากเศษขี้เถ้าติดไฟ เพราะสุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาตรงที่ว่าผมเป็นฝ่ายตัดสินใจผิดเองที่เลือกบีบี๋ก่อน แล้วก็ทำผิดซ้ำสองด้วยการเปลี่ยนไปหาทิชา

 “เอาล่ะ ได้เวลาที่น้องบี๋จะต้องไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้ว กูไม่อยากให้เมียกูเข้าเรียนสายนะ”

“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะครับ..........”

“มึงหมายถึงเรื่องไหน? ไม่ไปส่งบีบี๋หรือไม่ยอมรับเรื่องที่กูยกเกียร์ให้น้องไป” 

เฮียรุจหยัดมุมปากขึ้นเล็กน้อยขณะย้อนถามผม ด้วยความที่รู้จักกันมาตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง ทำไมเฮียรุจจะไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนจึงจะกดดันผมได้สำเร็จ

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน มึงก็ควรคิดให้เยอะๆ หน่อยนะ.... กูว่ากูเคยบอกมึงเรื่องสถานที่ฝึกงานเทอมหน้าไปแล้วนี่ ศูนย์ซ่อมบำรุงซูเปอร์คาร์อิตาเลียนที่พี่อ๊อดทำอยู่เขาตกลงรับมึงเป็นเทรนนี่แล้ว หรือมึงอยากเสียเวลาไปยื่นเรื่องเองใหม่ทั้งหมด? คงรู้ใช่ไหมว่าจะฝึกงานที่นี่น่ะไม่ใช่เรื่องขี้ๆ ถ้าไม่มีกูช่วยพูดให้ พี่อ๊อดแม่งก็ไม่ยอมรับรุนน้องไปเป็นลูกมือแกง่ายๆ หรอก”

ผมจุกในอกจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าเฮียรุจกับบีบี๋จะเล่นแรงถึงขนาดเอาอนาคตทางการเรียนมาขู่เพราะเรื่องอะไรทำนองนี้.... ที่ผมเลือกเรียนสาขาย่อยยานยนต์ก็เพราะหวังจะได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับซูเปอร์คาร์ที่ตัวเองชอบ ผมไม่ได้อยากให้ความฝันต้องพังลง แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครใช้ประโยชน์จากความตั้งใจของผมด้วยเช่นกัน

บีบี๋ยิ้มร่าก่อนจะเดินมากอดแขนผมเสมือนว่าเรายังคบกันอยู่ กลิ่นและร่องรอยของผู้ชายอื่นที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี ทว่า เจ้าตัวก็ยังลอยหน้าลอยตาราวกับว่าเห็นความอึดอัดใจของผมเป็นเรื่องขบขัน

“ทำตัวดีๆ พาบี๋ไปเปลี่ยนชุดที่บ้านแล้วพาไปส่งที่คณะ แล้วบี๋จะไม่โกรธเรื่องที่เฮียโรมตั้งใจจะชิ่ง.... โอเคไหม?”

“.................” 

ผมไม่ตอบ อีกทั้งยังไม่ยอมมองหน้าบีบี๋ด้วย ได้แต่กำหมัดแน่นระงับความโกรธเอาไว้ หากนั่นยิ่งทำให้ร่างเล็กหัวเราะคิกคักชอบใจเพราะนอกจากผมจะทิ้งอดีตแฟนไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังกลับกลายเป็นถูกผูกมัดด้วยเงื่อนไขของเกียร์และการช่วยเหลือกันในหมู่พี่น้องวิศวะฯ อีกต่างหาก

“ว้า ลืมตัวอีกแล้ว.... บี๋ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต้องขอร้องเฮียโรมแล้วนี่เนอะ” 

เสียงแหลมเล็กฟังดูทั้งเสแสร้งและสะใจ เช่นเดียวกับแววตาเย้ยหยันซึ่งมาปรากฏอยู่ในประสาทส่วนการมองเห็นของผมจนได้ 

“เอาเป็นว่าบี๋สั่งเฮียโรมให้พาบี๋ไปเปลี่ยนชุด ไปส่งที่คณะ แล้วก็รอรับบี๋กลับบ้านด้วย ตามนี้แหละ”

“เซี้ยวๆ แบบนี้ดิวะค่อยสมกับที่กูยกเกียร์ให้หน่อย”

เฮียรุจดูคล้ายจะชอบใจที่ได้ยินบีบี๋ออกคำสั่งกับผม เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วทำท่าปรบมือชื่นชมให้กับความแสบสันของสะใภ้ใหญ่แห่งร้านเบอร์ลิค ก่อนจะหันมามองหน้าผมซึ่งกลายเป็นทาสที่บีบี๋จงใจจะเลือกใช้พลางโบกมือเป็นเชิงขอให้โชคดี 


“ฝากด้วยนะ ไอ้โรมน้องเฮีย.... เวลาถือปลาสองตัวในมือพร้อมกันมันก็เหนื่อยแบบนี้ล่ะ”



TO BE CONTINUE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 07-01-2018 19:14:04
กฎบ้าบอ เจริญล่ะเรื่องแค่นี้เอาเรื่องการเรียนมาขู่ นิยายเรื่องนี้ต่างก็เป็นนักศึกษา แต่ทุกคนทำตัวเหมือนคนไม่มีการศึกษา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 08-01-2018 03:20:01
โว้ยย อ่านแล้วหัวร้อนมากกกก คืออีพี่โรมนี่ไม่ไหวจริง หาคนอื่นเถ้อะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ ไม่งั้นก็ไม่จบวงเวียนชีวิตนี่หรอก :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 08-01-2018 08:03:20
เอาจริงๆนะ มั่วกันไปใหญ่ กูกินแล้วมึงกินต่อ แต่หลงลำพองคิดว่าตังเองมีค่า เกมบ้าๆ กฎบ้าๆ ไร้ซึ่งมิตรภาพที่แท้จริงและความจริงใจ เลิกโง่ซะทีพระเอก ออกจากวงจรอุบาทว์นี่เถอะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-01-2018 15:54:20
เราว่ารุจนี่ไร้สาระมากอ่ะ เอาเรื่องเรียนมาขู่กันได้ยังไง บี๋ก็เลวไม่แพ้กัน เฮียโรมก็อย่าไปยอมง่ายๆนะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 09-01-2018 19:57:32
เราว่ามันไปกันใหญ่แล้ว มันต้องถึงขนาดนี้เลยหรอกับเรื่องแบบนี้ เป็นนักศึกษากันเเล้วทำไมไม่ใช้สมองกันให้มากๆหน่อยล่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 13-01-2018 21:18:32
TISHA’s PART



“ทิชนันท์”

“ครับ อาจารย์?”

ผมขานรับอาจารย์ผู้สอนวิชาสุนทรียศาสตร์เบื้องต้นซึ่งยืนอยู่บริเวณโพเดียมหลังจากที่เช็คชื่อนิสิตเสร็จเรียบร้อย สายตาคมดุหลังแว่นตากรอบหนามองมายังที่นั่งว่างข้างๆ ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมชวนให้นึกถึงอาจารย์ฝ่ายระเบียบสมัยประถมที่ผมกลัวฝังใจมาจนทุกวันนี้

“นายบงกช เพื่อนคุณเขามาสายหรือขาดเรียน?” น้ำเสียงดุไม่เชิงว่าถามเพื่อเอาคำตอบ แต่เป็นการแจ้งให้ทราบเสียมากกว่า “วันนี้อาจารย์จะมีควิซย่อยท้ายชั่วโมงนะ ถ้าบงกชไม่มาก็เท่ากับว่าไม่มีคะแนนเก็บในส่วนนี้ บอกเขาด้วย”

“.........ครับ” 

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับคำ เมื่ออาจารย์กับผู้ช่วยกำลังเตรียมฉายสไลด์เนื้อหาที่จะสอน ผมก็หันไปถามถึงคนที่หายตัวไปจากเพื่อนสาวร่วมภาควิชาซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก 

“เก๋ คลาสอาจารย์สมนึกเมื่อเช้า บีบี๋มันเข้าเรียนหรือเปล่า?”

“เราไม่เห็นนะ น่าจะขาดเหมือนกันแหละ”

ความกังวลของผมยิ่งก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างหนาทับอยู่ในจิตใจเมื่อไม่มีใครรู้ว่าบีบี๋อยู่ที่ไหน ถ้าเมื่อเช้ามันไม่ได้มาเรียนก็เท่ากับว่าไอ้บี๋หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่ายเมื่อวานหลังจากที่ทะเลาะกับผม.... ผมรู้ว่าเราต่างคนต่างโกรธ ต่างแรงใส่กัน ผมกับบีบี๋ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเป็นคนที่โดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียว และต่อให้ผมจะโกรธเกลียดโมโหมันเรื่องพี่โรมแทบตาย แต่อยู่ๆ จู่ๆ เพื่อนซึ่งเคยตัวติดกันเป็นตังเมกลับมาหายไปเสียเฉยๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเป็นห่วงกันทั้งนั้น

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่รู้ว่าบีบี๋มันบล็อกไลน์ผมไปแล้วหรือยังแต่ที่แน่ๆ ก็คือผมไม่ได้บล็อกมัน.... ปลายนิ้วผมเคลื่อนไปตามแป้นตัวอักษร พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะใช้คำพูดแบบไหนดี ควรจะใช้คำพูดสนิทสนมเหมือนเดิม? ใช้คำพูดห่างเหินให้สมกับที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว? หรือควรจะอยู่นิ่งๆ ตั้งใจเรียนไปและไม่ต้องสนใจมันอีก?

แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะคุยกับมันแบบปกติเหมือนว่าเราไม่ได้กำลังทะเลาะกันอยู่....


   Tisha_950701 : ท้ายคาบนี้มีควิซนะ มึงจะมาเรียนมั้ย?


“ขอโทษครับ อาจารย์” 

ยังไม่ทันที่ผมจะกดปุ่มส่งข้อความ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเล็คเชอร์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าไอ้บีบี๋มันโผล่หัวมาเรียนจนได้

“พอดีผมไม่ค่อยสบายนิดหน่อย.... อาจารย์เช็คสายก็ได้ แต่อนุญาตให้ผมเข้าห้องเถอะนะครับ~”

“งั้นก็รีบๆ เข้ามาแล้วนั่งที่ซะ นิสิต ยิ่งคุณช้าจะยิ่งเป็นการรบกวนเพื่อนคนอื่นเขา”

ผมกดลบข้อความที่ยังไม่ได้ส่งทิ้งก่อนจะทำเป็นสนใจเนื้อหาบนแผ่นสไลด์ซึ่งทีเอเพิ่งวางลงไป.... สงสัยว่ามันคงจะไม่พร้อมตอบคำถามจากเพื่อนคนอื่นล่ะมั้งถึงได้มานั่งเก้าอี้ว่างข้างๆ ผมซึ่งเป็นที่ประจำของพวกเราสองคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้คุยกันเลยสักคำ ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ล่องหนไร้ตัวตน ผมจดเล็คเชอร์และทำควิซตามลำพัง ไอ้บี๋ก็ไม่ได้สะกิดเรียกเพื่อขอลอกแบบที่เคยทำจนกระทั่งหมดชั่วโมงและถึงเวลาต้องแยกย้าย


ผมเดินออกมาจากห้องในตอนที่บีบี๋มันโบกมือบ๊ายบายเพื่อนคนอื่นๆ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็คล้ายว่ามันจะเดินตามหลังผมมา ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก ระเบียงทางเดินตึกเรียนก็มีอยู่แค่นี้ ถ้ามันไม่เดินตามมาแล้วจะให้ไปทางไหน

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมหยุดเดินแล้วหลบเข้าข้างทางปล่อยให้บีบี๋เดินผ่านหน้าลงบันไดไปโดยไม่เอ่ยเรียก แวบหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันแอบหันมามองคล้ายกับจะถามว่าผมคุยไลน์กับใคร แต่แล้วมันก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าก่อนที่จะหายลับไปจากสายตาผมอีกครั้ง

ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำให้ผมแทบกลั้นยิ้มไม่ไหว ก็กลัวชาวบ้านชาวช่องจะหาว่าเป็นบ้าอยู่เหมือนกันแต่ให้ทำไงได้ ในเมื่อความรู้สึกว่ามีคนคอยเทคแคร์เป็นห่วงมันทำหัวใจผมพองโตยิ่งกว่าบอลลูนกรมอุตุฯ เสียอีก


                    Do_As_RomanS : เลิกเรียนยัง?

                    Tisha_950701    : ชาเพิ่งเลิกเมื่อกี้เอง

                                              พี่โรมล่ะ ไม่ได้เข้าสายใช่ไหม?

                    Do_As_RomanS : วันนี้กูไม่ได้เข้าเรียนว่ะ




หัวคิ้วผมจรดเข้าหากันเมื่อพี่โรมบอกว่าเขาไม่ได้มาเรียนตามที่คุยกันในตอนแรก ผมกำลังจะถามกลับไปว่าเพราะธุระที่เบอร์ลิคหรืออะไรยังไง แต่เขาก็สวนกลับมาเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน



                    Do_As_RomanS : เดี๋ยวมึงลงมาข้างล่างตึกเรียนแล้วยังไม่ต้องออกมา

                                                ข้างหน้านะ ไปรอที่ซุ้มม้าหินหลังใต้ถุนคณะเลย

                                           กูฝากเพื่อนชื่อแจ็คเอาของไปให้

                                                แค่ยืนรอเฉยๆ ก็พอ แจ็คมันรู้จักมึง เดี๋ยวมันเข้าไปทัก




หลังจากนั้น พี่โรมก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ผมส่งข้อความกลับไปหาอีกหลายประโยคแต่ก็ไม่ขึ้นว่าอ่านสักทีจนผมขี้เกียจคอยไปเอง

ผมยืนรอเพื่อนพี่โรมที่ชื่อแจ็คอยู่ตรงบันไดทางลงไปซุ้มม้าหินซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวคณะศิลปกรรม เสียงตะโกนโหวกเหวกหัวเราะลั่นของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องไม่ใช่บรรยากาศที่ผมคุ้นชินสักเท่าไร แม้หลายๆ คนในนั้นจะรู้จักผมและผมก็รู้จักเขาตอนที่ทำงานโอเพ่นเฮาส์ด้วยกัน หากก็ไม่มีใครสักคนที่จะโบกมือทักทายหรือเรียกใหไปร่วมโต๊ะ...

เดาว่าข่าวฉาวตั้งแต่สมัยโดนพี่มีนาเอาช็อกโกแล็ตราดหัวยังคงแผลงฤทธิ์อยู่จนทุกวันนี้ ทุกคนก็เลยไม่อยากยุ่งกับผมสักเท่าไร แต่ก็ช่างเหอะ ช่างแล้วช่างอีก ช่างแม่งครั้งที่ล้าน ถ้าพวกเขาจะตัดสินคนแค่เพียงจากสิ่งที่ได้ยินก็ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่ใช่ประเภทที่จะไปสะกิดร้อง ‘นี่ๆๆๆ เธอฟังเราสิ’ กับคนไม่สนิทกันอยู่แล้ว


“ทิชา.........”

ไม่นานนัก ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมเสื้อช็อปวิศวะก็เดินเข้ามาหา เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพผิดกับพวกวิศวะฯ มึงมาพาโวยที่เคยเห็นจนเป็นภาพชินตา 

“พี่ชื่อแจ็ค ไอ้โรมมันบอกไว้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ พี่แจ็ค”  ผมยิ้มให้น้อยๆ ตามมารยาทก่อนจะยกมือไหว้รุ่นพี่ เพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าพี่แจ็คคือคนที่ยืนอยู่ข้างพี่โรมที่เบอร์ลิคเมื่อคืน

มือใหญ่ยื่นของบางอย่างมาให้ ทีแรกก็งงอยู่ว่ามันคืออะไร แต่พอเห็นโลโก้แบรนด์คอนโดมิเนียมซึ่งผมไปขออาศัยมาสดๆ ร้อนๆ ก็เข้าใจได้ในทันที

“ไอ้โรมมันฝากกุญแจกับคีย์การ์ดคอนโดมาให้ บอกว่าถ้าน้องจะไปห้องมันก็ไปได้เลย แต่คืนนี้มันอาจจะกลับดึกหน่อยนะ”

“แล้วตอนนี้พี่โรมเขาอยู่ไหนครับ?”

ก็ดีใจอยู่หรอกที่พี่โรมทำตามที่รับปาก เพียงแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แถมยังต้องฝากผ่านเพื่อนมาให้อีกในขณะที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ความกังวลจึงต้องมีมากกว่าความกระดี๊กระด๊าเป็นธรรมดา

“เมื่อตอนกลางวันเห็นว่ามีเรื่องที่เบอร์ลิค ร้ายแรงมากเลยเหรอ?”

“อืม.... เรื่องนั้นเอาไว้ให้มันมาเล่าเองดีกว่า”

พี่แจ็คบอกแค่นั้นเป็นสัญญาณว่าเขาไม่สะดวกใจที่จะเล่า ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้จึงได้แต่บอกขอบคุณเรื่องที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ข้ามฟากมหาวิทยาลัยเพื่อเอาของมาให้ ทว่า ก่อนที่ผมจะกลับบ้านไปเก็บข้าวของเตรียมย้ายไปอยู่กับพี่โรมชั่วคราว พี่แจ็คก็เรียกรั้งเอาไว้ด้วยคำถามเงินล้าน

“ทิชา แล้วระหว่างเรากับไอ้โรม ตกลงมันเป็นยังไง? สรุปว่าคบกันเป็นแฟนหรือยัง?”

ภายในช่วงเวลาไม่กี่เสี้ยววินาที สมองของผมประมวลผลราวกับเครื่องจักรซึ่งหมุนจนรอบจะไหม้.... ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง การที่พี่โรมยอมให้ผมอยู่ด้วยก็เกือบๆ จะเหมือนคู่รักที่ทดลองอยู่ก่อนแต่ง แต่ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองเลย พี่โรมก็ไม่เคยบอกสักคำว่าเขารักผม

หลังจากที่ผิดหวังมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมควรจะรู้ได้แล้วว่าคำว่า ‘น่ารัก’ กับคำว่า ‘รัก’ มันแตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

และผมก็ไม่ควรทึกทักไปเองว่า การที่พี่โรมแค่พูดว่าผม ‘น่ารัก’ จะหมายถึงเขา 'รัก’ ผมเสมอไป


“ยังครับ.........”  ผมตัดสินใจพูดไปตามความจริง ทั้งจากสิ่งที่ได้ยินและท่าทีของพี่โรม “ดูเหมือนพี่โรมเขาจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย”

“งั้นเหรอ?”

พี่แจ็คพยักหน้ารับรู้ ดูภายนอกเขาค่อนข้างเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่พอสมควร อย่างน้อยผมก็ไม่เห็นร่องรอยของความรังเกียจหรือสมน้ำหน้าอยู่ในสายตาที่จ้องมองมา น้ำเสียงที่ใช้คุยกับผมก็ไม่แฝงแววดูถูกเหยียดหยาม

“แต่ถ้าทิชาคิดจะจริงจังกับไอ้โรมก็ต้องเข้มแข็งหน่อยนะ.... ไอ้โรมมันเป็นคนดี ก็ตามสไตล์พี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้องๆ ทั้งบ้านนั่นแหละ แม่งก็เลยขัดใจใครไม่ค่อยเป็น ทำดีกับชาวบ้านเขาไปทั่ว ดีจนดูเหมือนโง่ในความรู้สึกของหลายๆ คน มันก็เลยมีพวกที่จ้องจะใช้ประโยชน์จากความใจดีของมันอยู่เรื่อย”

พี่แจ็คอธิบายพลางถอนหายใจ เขาเองก็คงลังเลที่จะพูดเรื่องส่วนตัวของเพื่อน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ดูเครียดจัดแทนพี่โรมขนาดนี้

“พี่ดูออกว่ามันเป็นห่วงทิชามากกว่าคนอื่น ถ้าถึงขนาดยอมให้ถือกุญแจห้องแล้วก็นะ.... ถึงตอนนี้จะยังไม่มีสถานะ แต่ทิชาก็คงจะเชื่อใจไอ้โรมเหมือนอย่างที่คนเป็นแฟนกันเขาเชื่อใจกันใช่มั้ย?”

“พี่แจ็คอยากบอกอะไรผมหรือเปล่า....?”

“ก็ที่พูดไปเมื่อกี้ไงที่พี่อยากบอก”

ยังไม่ทันที่ถ้อยคำทั้งหมดจะซึมเข้าหัวผมจนครบ พี่แจ็คก็เป็นฝ่ายขอตัดบทแล้วเดินกลับออกไปจากบันไดทางเข้าซุ้มม้านั่งหิน


“ไปก่อนนะ ไว้คุยกันใหม่”

แล้วก็ทิ้งผมเอาไว้กับคีย์การ์ดคอนโด กุญแจห้อง และความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่โรมกันแน่....?

.


.


.

ผมกลับมาบ้านในตอนเย็นเพื่อเก็บเสื้อผ้า คอมพิวเตอร์โน้ตบุค อุปกรณ์การเรียนและของใช้อื่นๆ ที่จำเป็นทั้งของตัวเองและมิลค์ ข้างในบ้านมืดสนิทไม่เปิดไฟเลยสักดวงยกเว้นข้างหน้ารั้วบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ แม่ผมก็คงมีถ่ายละครทั้งวันตามเคย.... ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามว่าจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ไหน แล้วก็ไม่ต้องขออนุญาตเอารถมินิคูเปอร์สุดรักสุดหวงของแม่ออกไปขับโดยพลการด้วย ไว้เรียบร้อยแล้วค่อยขับกลับมาจอดคืน

“ย้ายบ้านกันชั่วคราวนะ มิลค์.... ไปอยู่กับแด๊ดดี้เราไง”

มิลค์ทำหน้าตาคล้ายจะเข้าใจก่อนจะดีดดิ้นยิ่งกว่าตอนโดนจับอาบน้ำเมื่อผมพยายามยัดตัวมันเข้าไปในกรง หลังเสร็จสิ้นภารกิจจับแมวด้วยความทุลักทุเล ผมก็เคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขนไปได้ไปไว้เบาะหลังรถแล้วขับออกมาจากบ้าน.... มาถึงจุดนี้ ผมโคตรเบื่อตัวเองที่เป็นพวกใจแข็งได้ไม่นาน ตัดอะไรก็ไม่ค่อยขาด เมื่อวานน้อยใจแม่จะเป็นจะตายแต่พอถึงเวลาย้ายไปอยู่กับคนอื่นจริงๆ ผมก็ดันห่วงว่าแม่จะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า

แต่แม่เป็นคนไล่ให้ผมไปตายเองนี่นะ แม่ก็คงไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วล่ะ....

ผมแวะจอดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงซึ่งตั้งอยู่หน้าคอนโดพี่โรม ทั้งที่คิดว่าทำเลบ้านตัวเองนั้นคือดีของโคตรดีแล้วนะ แต่อย่างว่าแหละ ถึงจะใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินถึงแต่ก็อยู่ในหมู่บ้าน แล้วหมู่บ้านทาวน์โฮมย่านทองหล่อราคาแปดหลักมันคงจะมีใครเปิดร้านขายของชำหน้าบ้านอยู่หรอก ถ้าไม่สั่งเดลิเวอรี่ก็ต้องเดินออกมาหน้าถนนใหญ่ ไม่เหมือนของพี่โรมที่แค่ลงมาจากตึกก็เจอซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ข้าวตามสั่งและของกินอย่างอื่นละลานตา

“เป็นเด็กดีนะ ห้ามงอแง แล้วจะซื้อขนมแมวเลียให้เยอะๆ เลย”

ผมทิ้งแมวมิลค์ลูกรักไว้ในรถแล้วลงไปซื้อของ ภาพตู้เย็นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่ากับเบียร์ยังหลอนผมไม่หาย และผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ด้วยการสั่งข้าวกิน มาม่าหรืออาหารแช่แข็งทุกมื้อได้.... เอาเป็นว่าผมจะรับหน้าที่ซื้อของกินเข้าห้อง ทำอาหารเพื่อสุขภาพของพี่โรมและความสบายปากท้องของตัวเองก็แล้วกัน

ปัญหาก็คือผมยังไม่รู้ว่าพี่โรมชอบกินอะไรนี่สิ....


“เฮียโรมชอบอาหารฝรั่ง.......”

เสียงที่เริ่มจะคุ้นหูขึ้นมาบ้างเอ่ยบอกเหมือนพรายกระซิบ ผมหันควับไปมองก็เห็นเดือนสถาปัตย์ปีสองกำลังยืนส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นรอยยิ้มที่ดูกวนส้นตีนมากกว่าจะเป็นมิตรเหมือนเช่นเคย

“พวกพาสต้า เบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ทอด หรือไม่ก็ข้าวผัดง่ายๆ ไรงี้.... พริกขี้หนู กระเทียม มะนาว ผักชี ต้มหอมน่ะ มึงวางคืนไปเลย เฮียแม่งไม่กินเผ็ดเว้ย”

“มึงอีกแล้วเหรอเนี่ย.... ทำไมอยู่ดีๆ ก็ชอบโผล่มาจังวะ?” 

ผมเบะปากใส่คนตรงหน้าอย่างไม่พยายามจะเก็บอาการ เพราะนับตั้งแต่มีเรื่องข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลชิงเกียร์กับการไปแคสบทละคร ไอ้แดนก็คล้ายว่าจะเฮี้ยนหนักขึ้นทุกที ขยันปรากฏตัวให้เห็นยิ่งกว่าวิญญาณในหนังเรียลลิตี้ตั้งกล้องถ่ายผีเสียอีก

“กูมาของกูก่อนเหอะ มึงต่างหากที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา”

มันย้อนผมหน้าตาเฉย ก่อนจะถือวิสาสะหยิบของในรถเข็นที่ผมเลือกไว้ขึ้นมาพลิกดู

“คิดจะเป็นแม่ศรีเรือนทำกับข้าวมัดใจแฟนเหรอ?” 

ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มชั่ว เปิดเผยเจตนาชัดเจนว่าไอ้เวรนี่กำลังหาเรื่องแซะผมอีกแล้ว ไหนจะสายตากรุ้มกริ่มที่เอาแต่จ้องรอยกัดรอยดูดที่พี่โรมทิ้งเอาไว้เต็มซอกคอผม เอาคอนซีลเลอร์โบกปิดให้ตายยังไงก็ไม่เนียนนั่นอีกล่ะ 

“เซ็กซ์ดี อาหารเด็ด เดี๋ยวเฮียโรมก็ไปไหนไม่รอดหรอก”

“งั้นเหรอ?” 

เมื่อเถียงไม่ได้ ผมก็ใช้วิธีเดิมๆ คือกวนตีนมา กวนตีนกลับไม่โกงอยู่แล้ว 

“ขอบใจมึงมากนะที่อุตส่าห์บอกว่าพี่โรมชอบอะไร.... กูเลยว่าจะทำข้าวผัดอเมริกันกับไก่ทอดชุดใหญ่ แล้วถ้าเขาจะกินกูเป็นของหวานด้วยก็โอเคตามนั้น”

ผมเดินไปหยิบพวกผักที่ใช้กับอาหารฝรั่งใส่ลงรถเข็น จะมีแต่ข้าวกับเนื้อสัตว์ก็กระไรอยู่ ผมก็เลยจะตักสลัดบาร์ไปด้วยแล้วค่อยมิกซ์น้ำสลัดสูตรของตัวเองที่เคยทำกินแล้วรู้สึกว่าอร่อย แต่ก็ยังมิวายที่ไอ้แดนจะเดินตามติดผมไม่เลิก จนผมกำลังจะหันไปถามอยู่แล้วว่าสัมภเวสีอย่างมันคิดจะเข้าสิงร่างผมหรือไง

ผมถลึงตาใส่ในขณะที่มันยิ้มอ้อนชวนอ้วกกลับมา....

“กูชอบกินอาหารไทยนะ ทิชา.... ต้มยำ ผัดกะเพรา ไข่เจียวหมูสับ แกงป่า ต้มโคล้ง หมูกระเทียม เนื้อน้ำมันหอย”

“บอกกูทำไม ไปบอกเมียมึงโน่น”

“เมียไม่มี มีแต่คู่จิ้นคือมึงไง”

“งั้นมึงก็ไปซื้อกินเอา”

เมื่อผมตัดรอนไม่สนใจใยดี ไอ้แดนก็ยิ่งกวนประสาทหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ถึงขั้นเกาะแขนผมส่งเสียงง้องแง้งบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ทำเอาผมเหม็นเบื่อขี้หน้ามันขั้นสุดแต่ก็ทำได้แค่โทษเวรโทษกรรมที่ฟ้าส่งผมลงมาเกิดแล้วดันส่งนายดรัณภพลงมาเป็นไม้เบื่อไม้เมาตัวท็อป

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มึงช่วยกูหน่อยดิ” 

คำพูดคำจาอาจฟังดูเหมือนกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร แต่ท่าทีคุกคามชนิดถึงเนื้อถึงตัวชวนให้นึกถึงเจ็ดทรชนแก๊งค์รุมโทรมในละครที่เคยเปิดเจอ เพียงแค่เป็นเวอร์ชั่นที่หน้าตาดีขึ้นมาหน่อย

“อยากกินซุปไก่แก้หวัดแบบในโฆษณาอะ แต่กูหยิบของไม่ถูก”

“มึงมีปัญญาเล่นไอจีได้ ทำไมใช้กูเกิ้ลไม่เป็น?”

“ก็ใช้มึงหยิบให้มันง่ายกว่านี่”

“กูละเกลียดมึงจริงๆ เลย!”

แทนที่จะสลดแต่ไอ้แดนกลับหัวเราะร่า สงสัยเป็นโรคจิตประเภทถูกด่าแล้วมีความสุข.... ผมตักสลัดบาร์ให้ตัวเองกับพี่โรมก่อนแล้วค่อยย้อนกลับไปตรงตู้แช่เย็นเพื่อเลือกผักทำต้มซุปไก่มันฝรั่งให้ไอ้แดน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมนูทำยากอะไร หากกับคนที่ถึงขั้นแค่หยิบผักยังหยิบเองไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญญาทำออกมาแล้วมีสภาพเป็นอาหารมนุษย์ได้ง่ายๆ หรอก

“มึงต้องต้มไก่ มันฝรั่งกับแครอทให้สุกก่อนแล้วค่อยใส่อย่างอื่นตามลงไปนะ อย่าใส่ลงไปพร้อมกันหมดทีเดียว มะเขือเทศกับหอมใหญ่มันสุกง่ายเอาไว้หลังสุด ไม่งั้นมันจะเละ.... น้ำซุปก็ใช้แบบถุงสำเร็จรูปที่กูหยิบให้นี่แหละ แล้วก็ใส่ซุปก้อนเอา ถ้ามึงต้องโขลกรากผักชีปรุงรสเองหมด กูว่าไม่น่ารอดมั้ง”

“รู้แล้วจ้ะ เมียจ๋า”

“เหี้ยละ ใครเมียมึง!?” 

ผมชูกำปั้นขึ้นร่ำๆ ว่าจะต่อยแม่งสักเปรี้ยงให้หยุดปากมอม ถ้าเป็นพี่โรมพูดผมจะไม่ว่าเลย แต่พอเป็นไอ้แดนนรก นอกจากหัวใจจะไม่รู้สึกจักจี้แล้วยังกลายเป็นสะกิดต่อมหัวร้อนง่ายอีกต่างหาก

พลันสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงวัยมัธยมปลายสองคนยืนแอบอยู่ตรงสุดทางเดิน พวกเธอพากันหัวเราะคิกคักพร้อมทั้งส่องกล้องโทรศัพท์มือถือมาหาผมกับแดน ผมรีบกระโดดหลบหลังร่างหนาด้วยความตกใจเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้.... อย่างมากสุดที่เคยเจอก็แค่นินทาระยะเผาขนให้ได้ยิน ผมไม่รู้จักพวกเธอและพวกเธอก็ไม่น่าจะรู้จักผมหรอก แล้วอยู่ดีๆ จะมาถ่ายรูปถ่ายคลิปไปเพื่ออะไร

แต่พอเห็นว่าผมทำท่าจะไม่โอเคกับการโดนปาปาราซซี่มือสมัครเล่นตาม สองสาวก็ยิ้มเจื่อนๆ โบกไม้โบกมือมาให้ไอ้แดนแล้วก็หายแว้บไป ผมจึงตรัสรู้ได้ทันทีว่าที่แท้ก็แฟนคลับเดือนสถาปัตย์นี่เอง

“แค่ถ่ายรูปไกลๆ เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”  ไอ้แดนบอกยิ้มๆ พยายามกล่อมไม่ให้ผมตามไปเอาเรื่องเด็ก  “น้องเขาก็คงจะถ่ายเก็บไว้ฟินกันนั่นแหละ มึงอย่าโมโหเลยนะ”

“ต้องโมโหสิ ฟินห่าไรล่ะ!” 

ผมยังคงกระฟัดกระเฟียดอ่ย่างไม่ชอบใจ ทั้งเรื่องที่โดนแอบถ่ายและเรื่องที่น้องผู้หญิงสองคนนั้นกำลังจินตนาการบรรเจิดว่าผมกับไอ้แดนเป็นแฟนกัน

“แฟนคลับมึง แทนที่มึงจะห้ามนะ แดน.... ถ้าน้องมันเอารูปที่แอบถ่ายเมื่อกี้ไปอัพลงเฟซ ลงไอจี กูจะตามไปถลกหนังมึงแล้วเอามาแขวนตากแห้งหน้าตึกสถาปัตย์เลย!”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า กูเคยบอกแล้วไงว่าเคมีคู่จิ้นกูกับมึงแม่งไม่ใช่ระดับไก่กา.... ใครเห็นเขาก็ต้องคิดว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน ต่อให้มึงมีเฮียโรมอยู่แล้วก็ห้ามคนแจวเรือไม่ได้หรอกเว้ย คลื่นลมมันแรง เรือมันจะแล่นก็งี้”

ชื่อแม่งเลยจริงๆ ถูกผมขู่ขนาดนี้แล้วยังจะมายิ้มระรื่นอยู่ได้.... ไอ้แดนเข็นรถซึ่งมีวัตถุดิบทำซุปไก่แก้หวัดตามหลังผมไปยังแคชเชียร์ ยังคงมีเสียงทุ้มห้าวคอยแยงรูหูให้รำคาญไม่ได้ขาด สัญญาเลยว่ามีเวลาว่างหลังสอบเมื่อไร ผมจะตระเวนทำบุญเก้าวัด กรวดน้ำคว่ำขันแล้วเอาขันปาหัวไอ้แดนซ้ำเผื่อว่าเกิดชาติหน้าฉันท์ใดจะได้ไม่ต้องมาพบมาเจอคนอย่างมันอีก



“ตึกเอ ห้อง 2310 ครับ”

“รถไม่มีสติ๊กเกอร์ รบกวนจอดลานด้านนอกอาคารนะครับ”

ผมเลี้ยวรถผ่านป้อมยามแล้วตรงมายังลานกว้างซึ่งเป็นที่จอดรถสำหรับแขก ถือว่าโชคดีที่รถไม่ค่อยเยอะเท่าไร ผมก็เลยสามารถถอยเข้าซองได้แบบไม่รู้สึกกดดันมาก ทว่า รถคัมรี่สีบรอนซ์เงินที่เห็นเมื่อเช้ากลับเลี้ยวตามมาจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแทนที่จะขึ้นไปจอดบนตึกซึ่งเป็นล็อกที่ประจำสำหรับลูกบ้านคอนโดฯ.... ทำเอาผมต้องพรูลมหายใจยาวด้วยความเอือมระอา เมื่อจนแล้วจนรอดก็ยังสลัดไอ้แดนออกไปจากสายตาไม่ได้

และแน่นอนว่ามันจะต้องเดินมาหาพร้อมกับรอยยิ้มเก๊กหล่อแบบเดิมๆ....

“กูช่วยถือให้มั้ย?” 

แดนเสนอตัวระหว่างที่ผมกำลังทยอยลำเลียงสมบัติพัสถานส่วนตัวลงจากเบาะหลังรถมินิคูเปอร์ มันก็ไม่เยอะแยะอะไรหรอก แค่กระเป๋าเดินทางใส่เสื้อผ้า กระเป๋าโน้ตบุค กระบอกใส่แบบ กล่องอุปกรณ์ทำงาน ตะกร้าแมว ตะกร้าใส่ของใช้มิลค์ ผมจึงส่ายหน้าปฏิเสธไม่ขอรับความช่วยเหลือ 

“ยังไงก็จะไปชั้นเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากรบกวนใคร” 

ผมถือภาษิตว่าขนมาเองได้ก็ต้องแบกขึ้นเองได้ อย่างดีก็แค่เดินสองรอบ ดีกว่าจะให้ใครเห็นว่าผมขึ้นคอนโดฯ พร้อมมันเป็นไหนๆ

“ไม่อยากรบกวนหรือกลัวว่าใครจะมาเห็นแล้วเอาไปเมาท์ว่ามึงมานอนค้างห้องกู?”

“รู้ดี!”

ผมกระแทกเสียงใส่ ยอมรับแหละว่ามันเดาเหตุผลได้แม่นมาก ยิ่งตอนนี้ผมมีพี่โรมอยู่แล้วด้วย ก็ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดเอาไปพูดได้ว่าคิดจะจับปลาสองมือ

“แต่ถึงยังไงทุกคนเขาก็รู้กันอยู่แล้วว่ากูกับมึงเป็นคู่จิ้นกัน ถึงมึงจะขึ้นห้องพร้อมเฮียโรม คนที่เขารู้ว่ากูอยู่คอนโดฯ นี้ก็ต้องคิดว่ามึงมาหากูกันทั้งนั้นแหละ” 

ประโยคมั่นหน้าเล่นเอาผมอ้าปากค้างที่สุดท้ายไอ้แดนก็หาข้ออ้างมาวุ่นวายกับข้าวของของผมจนได้ และกว่าจะทันรู้ตัว มันก็หยิบเอากระเป๋าเดินทาง ซ้อนด้วยกล่องใส่อุปกรณ์การเรียนเตรียมจะแบกขึ้นตึกให้เสร็จสรรพ

“เอาตัวอะไรมาด้วยน่ะ.... แมวเหรอ?” 

ไอ้แดนถามอย่างสนอกสนใจเมื่อผมหิ้วตระกร้าใส่สัตว์เลี้ยงออกมา ดวงตารีเบิกกว้างแสดงความตื่นเต้นระหว่างที่มันย่อตัวลงดูสิ่งมีชีวิตข้างในให้ชัดๆ

“อืม”

“ชื่อไรวะ?”

“มิลค์”

“ไง น้องมิลค์ขา.... นี่พี่แดนนะคะ คนสวย~” 

เดือนคณะสถาปัตย์ตัวเท่าหมีดัดเสียงสองคุยกับลูกสาวผมพลางโบกไม้โบกมืองุ้งงิ้งง้องแง้งปัญญาอ่อนสิ้นดี แต่ที่สะดุดหูผมก็คือสรรพนามที่มันใช้เรียกมิลค์นี่แหละ

“รู้ได้ไงว่าตัวเมีย?”

“ก็มันน่ารัก กูก็คิดไว้ก่อนว่าตัวเมีย.... ถ้ากูถูกใจนะ ถึงลูกมึงเป็นตัวผู้ กูก็มองให้เป็นตัวเมียได้”

“คนห่าอะไร หม้อใส่กระทั่งแมว!”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 13-01-2018 21:22:13
คืนนี้พี่โรมน่าจะกลับดึกตามที่พี่แจ็คบอก เมื่อไขกุญแจเข้ามาก็เจอกับห้องมืดๆ ที่ไม่มีใครอยู่ ไอ้แดนช่วยยกของเข้ามาจนครบก่อนจะโดนผมไล่กลับห้องตัวเองไปหลังเสร็จธุระ.... ผมปล่อยมิลค์ออกมาเดินเล่นสำรวจห้องพี่โรม มันทำจมูกฟุดฟิดเดินดมนู่นนี่เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ตามประสาแมว ในขณะที่ผมจัดแจงเอาของใช้ส่วนตัวไปสิงสถิตย์ตามมุมต่างๆ และเริ่มทำความสะอาดเก็บไอ้พวกที่รกๆ อยู่ตามโซฟาและให้มีสภาพพอที่ผมจะเอาโน้ตบุคไปวางได้

ของสดที่ซื้อมาถูกหั่นเตรียมไว้รอเจ้าของห้องกลับมาก่อนแล้วค่อยปรุงลงกะทะ ไม่น่าเชื่อว่าคนไม่ทำอาหารอย่างพี่โรมจะมีอุปกรณ์ทำกับข้าวที่จำเป็นๆ ครบ ผมเดาว่าพ่อแม่พี่โรมคงจะซื้อเผื่อวันไหนลูกชายจะมีผีพ่อบ้านเข้าสิง แต่หารู้ไม่ว่าสุดท้ายข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงพวกนั้นจะกลายสภาพเป็นซากฟอลซิลอยู่ในตู้ ขนาดหม้อหุงข้าว ผมยังเพิ่งจะแกะออกมาจากกล่องสดๆ ร้อนๆ เลยด้วยซ้ำ ถ้าพี่โรมไม่ได้บอกไว้ว่ายกครัวให้ผมใช้ได้ตามสบาย ผมคงไม่กล้ายุ่งกับของที่เจ้าตัวยังไม่เคยแตะหรอก

ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็เอางานมานั่งทำที่โต๊ะหน้าโซฟาพร้อมทั้งเปิดโทรทัศน์ให้พอมีเสียงแก้เหงา ยัยมิลค์ที่ยังไม่ชินกับบ้านใหม่ก็ตามมานั่งเลียขนอยู่ข้างกัน.... วิชาออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นอะไรที่ผมทำได้ค่อนข้างดี แถมผมยังเคยสร้างสกินของแต่งบ้านสำหรับใช้ในเกมเดอะซิมส์เองด้วย ตอนสอบสัมภาษณ์เข้ามาเรียนก็ใช้เจ้านี่เป็นพอร์ตประกอบการพิจารณา วาดๆ ลบๆ อยู่สักพัก ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้บอกพี่โรมเลยว่าผมมาถึงแล้วและกำลังใช้ห้องของเขาอย่างโคตรจะแฮปปี้

ข้อความที่ส่งไปเมื่อตอนบ่ายก็ยังไม่ขึ้นว่าอ่านเหมือนเดิม สงสัยว่าพี่โรมคงจะยุ่งจริง.... ล่ะมั้ง?



   Tisha_950701 : ชาอยู่ห้องพี่โรมแล้วนะ

                          มิลค์ก็มาด้วย *แนบรูป*

                          เตรียมของทำข้าวผัดอเมริกันเอาไว้ให้แล้ว รับรองว่าอร่อย

                           รีบๆ กลับมานะ :)




นั่งทำงานไปด้วย ดูรายการเกมโชว์นักร้องไปด้วยอีกพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมตกใจนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าถ้าเป็นแขกของพี่โรมแล้วตัวเองจะเปิดรับดีหรือเปล่า แต่ถ้าจะทำเฉยไม่หือไม่อือก็เกรงว่าจะไม่เหมาะเช่นกัน.... หากพอลุกขึ้นไปส่องดูตาแมวที่ประตู ผมก็ต้องเบ้ปากพลางถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง เพราะคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างนอกก็คือนายดรัณภพ เดือนสถาปัตย์เจ้าเก่าเจ้าประจำ

“อะไรของมึงอีกเนี่ย?”

“โทษที............” 

ไอ้แดนทำหน้าเหมือนหมายักษ์โดนดุ ตาละห้อย หูตก หางตก แต่ไม่ได้น่าเอ็นดูสักนิดในสายตาทีมคนรักแมวอย่างผม 

“คือ.....กูปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นว่ะ........ทิชา มึงช่วยหน่อยดิ นะๆๆๆ”

ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดูก็คือมันฝรั่งที่โดนเฉือนเปลือกจนเนื้อแหว่งหาย หน้าตาขรุขระอุบาทว์สิ้นดี มิหนำซ้ำมือคนปอกยังเต็มไปด้วยพลาสเตอร์ยา บ่งบอกชัดว่าลูกชายบ้านอนุวัฒน์วงศ์ถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยจับงานบ้านงานครัวกันเลยสักคน

“ทำก็ไม่เป็น แล้วจะดันทุรังทำกินเองทำไมเนี่ย?”

“ก็กูอยากกินอะ..........”  คนตรงหน้าพูดเสียงอ่อย 

“เคยสั่งร้านข้างล่าง แล้วมันไม่อร่อยเหมือนที่แม่กูเคยทำให้ กูเลยต้องทำเองไง”

ผมกลอกตามองบนก่อนจะนึกได้ว่าหมอนี่ก็คล้ายๆ กับพี่โรมคือโดนพ่อแม่เตะโด่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตามลำพัง ถึงจะไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร แต่ก็คงเป็นความรู้สึกประมาณว่าต้องพึ่งพาตัวเองตลอดเวลา ไม่ได้มีพ่อแม่มาสปอยล์หรือคอยทำโน่นทำนี่ให้ บางทีมันอาจจะแค่อยากให้มีคนคอยเอาใจเหมือนเวลาอยู่บ้านล่ะมั้ง

“กูอยู่ตัวคนเดียวลำบากจะตาย พ่อแม่กูไม่ยอมจ้างแม่บ้านให้แบบห้องเฮียโรมนี่หว่า เขาบอกว่ากลัวกูอยู่สบายเกินไปแล้วจะเป็นง่อย เรียนถาปัดตัดโมจนมือแหกก็ยังต้องทำความสะอาดห้อง แบกผ้าลงไปซัก ข้าวก็ต้องหากินเอง ซื้อกินก็ไม่ถูกปาก ทำเองก็แดกไม่ได้ จานก็ต้องล้าง ป่วยก็ไม่มีคนดูแล........”

“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องดราม่า เดี๋ยวกูทำให้ก็ได้!”

ผมรีบตัดรำคาญก่อนที่ไอ้แดนมันจะเล่นใหญ่มากไปกว่านี้ แค่นั้นแหละ ร่างสูงตรงหน้าก็ยิ้มสมใจ หูตั้งหางกระดิกเหมือนหมาไม่มีผิด.... ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกจากบ้านมา แทนที่จะได้อยู่สบายๆ ดูแลพี่โรมแค่คนเดียวก็กลับมีเหาฉลามตามเกาะไม่ยอมปล่อย ผมเดินกลับเข้าไปปิดโทรทัศน์และหยิบกุญแจห้อง พร้อมทั้งอุ้มอสูรกายสีขาวบนโซฟามาด้วย ไม่อย่างนั้น บ้านใหม่ของพวกเราคงได้พินาศภายในคืนนี้แน่
 
 “แต่กูต้องเอามิลค์ไปด้วยนะ มันยังไม่คุ้นห้องพี่โรม เดี๋ยวลูกกูกัดสายไฟฉิบหายหมดพอดี”



ผมเข้าขั้นแปลกใจเลยทีเดียวที่ห้องไอ้แดนดูสะอาดกว่าที่คิดไว้ จากที่แอบสยองว่าสภาพห้องน่าจะรกรุงรังและเต็มไปด้วยเศษไม้อัดทำโมเดลเกลื่อนพื้นหรืออะไรทำนองนั้น แต่เอาจริงๆ ความรกก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่บนโต๊ะทำงาน ส่วนข้าวของอย่างอื่นถูกจัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในตู้บิลด์อิน....

จะว่าไปแล้ว ห้องนี้ก็ดูคล้ายๆ กับห้องผมที่บ้านเลย แถมยังมีโต๊ะเขียนแบบรุ่นเดียวกันด้วย เพียงแต่ว่าผมไม่ได้มีหนังสือรวมภาพพวกขบวนการฮีโร่ญี่ปุ่น หุ่นกันดั้มกับของสะสมพรีเมียมแล้วก็วิดีโอเกมคอนโซลแบบมัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนอย่างไอ้แดนก็มีความเป็นโอตาคุอยู่ในตัวกับเขาด้วย นึกว่าจะแค่หลงตัวเองอย่างเดียวเสียอีก

เพียงไม่กี่นาที ผมก็หั่นวัตถุดิบทั้งหมดและทยอยใส่ลงไปในหม้อตามสูตร หมอนี่ก็พอกันกับพี่โรมเลย เป็นพวกไม่ทำอาหารที่มีอุปกรณ์การทำอาหารครบเซ็ตจนอดรู้สึกเสียดายของแทนไม่ได้.... ระหว่างที่ผมกำลังวุ่นวายอยู่ตรงเคาท์เตอร์ครัว ไอ้แดนก็กลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่กลางห้องกับมิลค์พร้อมด้วยเชือกฟางซึ่งมันเอามาใช้แทนไม้ตกแมว เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มิลค์ยอมญาติดีกับไอ้แดนง่ายๆ เพราะขนาดไอ้บี๋ที่เคยไปบ้านผมตั้งหลายครั้ง มิลค์มันยังเชิดใส่ไม่ยอมให้จับตัวอุ้มเล่นแบบนี้เลย

“ทิชา กูขอถ่ายรูปกับน้องมิลค์ได้ปะ?”

“อืม”

“ลงไอจีได้ปะ?”

“เอาที่มึงสบายใจเลย”

เมื่อผมอนุญาต เน็ตไอดอลก็จัดการเปิดกล้องหน้ามือถือแล้วเอาลูกผมไปเป็นพร็อพ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาคุยกับสัตว์เลี้ยง คนส่วนใหญ่ถึงต้องใช้เสียงสองเหมือนที่ไอ้แดนกำลังทำ แต่ก็เอาเถอะ มิลค์เองก็ดูร่าเริงดี คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันมากเท่าไรด้วย

“ทิชา มึงรู้ปะว่ากูโคตรอยากเลี้ยงแมวเลย แต่ที่บ้านกูมีแต่คนชอบหมา พี่น้องกูทุกคนก็เลี้ยงหมากันหมด กูเลยไม่กล้าเอาแมวมาเลี้ยง.... มึงเข้าใจอารมณ์พวกหมาเฝ้าสวนปะ แต่ละตัวแม่งดุฉิบหาย ขืนเอามาเลี้ยงก็กลัวเวลากลับบ้าน แมวกูจะโดนไอ้พวกแก๊งค์เขี้ยวฟัดตายห่า”

“อ้อ เหรอ”

ทว่า พอรู้สึกตัวอีกที ไอ้คนที่เซลฟี่กับแมวอยู่เมื่อกี้กลับมายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ซ้ำยังยื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาจนปลายจมูกเกือบจะชนแก้มอยู่รอมร่อ.... คิดว่าผมจะใจเต้นงั้นเหรอ? ไม่เลย ผมหันควับไปมองตาขวางเป็นเชิงบอกว่าถ้ามันหอมโดนแก้มผมทับรอยพี่โรมเมื่อไรล่ะก็ ผมจะจับหัวมันจุ่มลงในหม้อซุปที่กำลังต้มอยู่นี่แหละ

ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าผมไม่เล่นด้วย แต่เสียงทุ้มก็ยังกระซิบอ้อนตีนไม่หยุดหย่อน จนผมชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วนะว่าไอ้แดนมันเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า ถึงได้ขยันทำตัวเองให้โดนผมด่าขนาดนี้

“แล้วถ่ายรูปกับมึงได้ปะ?”

“ไม่ได้”

“เมื่อเช้าเฮียโรมบอกให้เราสองคนสนิทสนมกันเอาไว้ไง ลืมแล้วเหรอ?”

“กูอุตส่าห์มาทำกับข้าวให้มึงถึงนี่ก็เกินพอแล้ว”

ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด

“หัดรู้ตัวบ้างว่ามึงทำชีวิตกูผิดแผนไปหมด เข้าใจไหมว่ากูจัด Priority ให้พี่โรมมาเป็นอันดับหนึ่ง.... แต่บ้านกู มึงก็ไปก่อนพี่โรม พอกูตั้งใจจะทำอาหารให้เขากินเป็นคนแรก มึงก็โผล่มาตัดหน้าอีก!”

เพราะผมยืนหันหน้าเข้าหาเตาไฟฟ้าเพื่อช้อนฟองที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำซุปทิ้งไปก็เลยไม่รู้ว่าในตอนนั้นไอ้แดนมีปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่ผมพูด ผมเองก็แค่อยากให้มันรับรู้เสียทีว่าตัวมันยังไม่ใช่คนที่ผมยินดีจะให้เข้ามาในชีวิต ยิ่งดันทุรังล้ำเส้นเข้ามามากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกต่อต้านและเหม็นขี้หน้ามากขึ้นเท่านั้น.... แต่มันก็คงไม่เจ็บปวดอะไรนักหรอกมั้ง ก็ยังได้ยินเสียงมันหัวเราะเสมือนว่าเรื่องของผมกับพี่โรมเป็นเรื่องตลกอยู่เลยนี่

“ทิชา.... จะว่ากูเสือกก็ใช่แหละ แต่กูขอถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ย?” 

เดือนสถาปัตย์ย้ายที่ตัวเองไปยืนกอดอกพิงอ่างซิงค์ น้ำเสียงที่ฟังดูซีเรียสขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางซึ่งปราศจากความกวนตีนบอกให้ผมเข้าใจได้โดยนัยว่ามันคงอยากรู้คำตอบจริงๆ 

“เหตุผลที่ทำให้มึงรักเฮียโรมมากขนาดนี้คืออะไรวะ? มึงเองก็เพิ่งรู้จักพี่ชายกูได้ไม่นาน มึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฮียโรมและเฮียแม่งก็ไม่ได้รู้จักมึงมากไปกว่าที่เห็นเลย แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่ามึงกับเขาควรจะได้กัน?”

ผมชะงักมือแล้วหันไปมองคนถาม อันที่จริงแล้วผมคิดว่าผมควรจะโมโหที่ไอ้แดนพูดจาเหมือนดูถูกว่าความรักของผมเป็นแค่ความรู้สึกฉาบฉวยชั่ววูบ แต่ทว่า สายตาและสีหน้าที่มันแสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้ผมกลืนคำพูดต่อว่าลงคอไป

“ที่กูบอกให้มึงลองไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค กูก็แค่บอกไปงั้นๆ เผื่อว่ามึงจะกลัว เห็นว่ามันยากแล้วยอมตัดใจจากเขา.... กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำจริง กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้ชายคนเดียว แถมยังทำสำเร็จอีก..............”

“มึงเกิดมาในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ มีญาติ มีพี่น้อง พอเข้ามหาลัยก็ได้เป็นถึงเดือนคณะ.... คนชอบมึงมีเป็นร้อยเป็นพัน ไปไหนมาไหนก็มีแฟนคลับคอยให้กำลังใจ เพราะฉะนั้น มึงไม่มีทางเข้าใจความเป็นลูซเซอร์ของกูหรอก แดน”

ผมพยายามเลี่ยงที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมาตลอด มันไม่เคยมีประโยชน์เลยกับการมานั่งคิดถึงสิ่งที่คนอื่นมีแต่ตัวเองขาด หากในหลายๆ ครั้งผมก็ห้ามสมองไม่ให้คิดไปในทางลบไม่ได้.... ไม่มีใครที่อยากจมอยู่ในความมืดตลอดไป แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังออกมาในที่สว่าง อยากยิ้ม อยากหัวเราะ อยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง และพี่โรมก็คือคนที่เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ดวงแรกในชีวิต

“วันแรกที่กูเจอพี่โรมน่ะเป็นความเหี้ยที่สุดของที่สุดในชีวิตที่กูเคยเจอมาเลย เพิ่งรู้ความจริงว่าโดนหลอกคบซ้อน แถมยังโดนเมียเขาตามมาแหก ราดช็อกโกแลตทั้งแก้วใส่หัว คนทั้งร้านหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าใส่กู  พี่โรมจะไม่ยุ่งกับกูเลยก็ได้ แค่หัวเราะตามเพื่อนๆ ไปก็จบแล้ว แต่พี่โรมกลับเดินเข้ามาช่วยทั้งๆ ที่สภาพกูเละเทะขนาดนั้น........”

“คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะช่วยเหลือกัน แต่สำหรับกูมันมากกว่านั้น.... ชีวิตกูไม่ได้เจอคนอย่างพี่โรมง่ายๆ และกูก็ไม่อยากรออีกแล้ว.......”

เพราะไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากทนกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมทุ่มชนิดไม่รักตัวกลัวตายเพื่อให้ได้ความรักจากพี่โรมกลับมาก็ได้

“เฮียโรมโชคดีเนอะ.... เป็นคนที่ใช่ เข้ามาในเวลาที่มึงต้องการพอดี........ทีกูแม่ง”

ไอ้แดนรำพึงรำพัน เหมือนมันจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงได้ยึดติดกับพี่โรมนัก แต่ประโยคหลังที่มันสบถถึงตัวเอง ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันเกี่ยวกันยังไง

“เขามีทุกอย่างที่กูตามหาอยู่ในคนๆ เดียวเลยว่ะ.... เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย แล้วก็เป็นคนรักแบบที่กูอยากได้ด้วย”

“โอ้โห ไอ้ทิชา.... มึงนี่หลงพี่กูหนักมากนะ”

มันว่าพลางแค่นหัวเราะในลำคอใส่ ก็คงรู้สึกขำที่ผมยัดเยียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองขาดไว้ในตัวพี่โรมคนเดียวแบบ All-in-one และในตอนที่มันเข้ามาประชิดตัวผม รอยยิ้มกวนตีนแบบที่เห็นจนเริ่มชินตาก็กลับมาอีกครั้ง 

“จะรักจะหลงยังไงก็แล้วแต่ เวลาไปแคสบทด้วยกันก็ช่วยยึดคอนเสปท์ #แดนทิชา หน่อยก็แล้วกัน”

“ก็ได้ แต่แค่งานเดียวนะ..........”  ผมตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนพูด

“หืม?”

“บอกตามตรง กูไม่คิดว่าตัวเองจะแคสผ่านหรอก แต่ถึงผ่าน กูก็จะทำงานนี้แค่งานเดียวเท่านั้น.... ไม่รับงานพ่วง ไม่มีลากยาวไปกว่านี้ ตกลงไหม?”

เพราะมีแม่ทำงานในวงการบันเทิง ผมจึงรู้ดีว่าถ้าหากอยู่ในช่วงน้ำขึ้นเมื่อไร ก็จะมีผู้คนมากมายซึ่งได้ผลประโยชน์ร่วมพยายามเข้ามาบังคับให้ดาราคนนั้นกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสต่อไป ยังไงซะ ผมก็ไม่คิดจะเซ็นสัญญาผูกมัดกับทางช่องเอ็มหรือโมเดลลิ่งเจ้าไหนอยู่แล้ว.... แล้วก็จะยินดีมากด้วยถ้าไอ้แดนจะแฟร์ๆ กับผมด้วยการไม่เข้ามาวุ่นวายอะไรอีกหลังจากจบงานนี้

“ตามใจมึงดิ ขอแค่ได้เข้าวงการ กูก็พอใจแล้ว”

ซุปไก่แก้หวัดที่ไอ้แดนอยากกินเสร็จพอดี ผมปิดเตาไฟฟ้าแล้วโรยคื่นช่ายกับต้นหอมตบท้ายให้ก่อนจะไปอุ้มแมวมิลค์ซึ่งนอนแผ่อยู่ใต้โต๊ะทำงานเตรียมกลับห้องพี่โรม.... แดนมันก็เซ้าซี้บอกให้ผมอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนมันแล้วค่อยกลับก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ที่ที่ผมอยากอยู่มากเท่าห้องของพี่โรม ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าของห้องก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา


ถึงแม้ว่าในคืนนั้น ไอ้แดนจะอัพรูปลูกแมวสีขาวกับซุปหนึ่งหม้อลงไอจีพร้อมติดแฮชแท็ก #แดนทิชา ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปสักเท่าไร....



ROME’s PART



“เฮียโรมไม่กินเหรอ.... บี๋ว่าน้ำแข็งไสชาไทยร้านนี้อร่อยนะ อร่อยกว่าบิงซูร้านเกาหลีอีก”

เกือบสามทุ่มแล้วแต่ร่างเล็กตรงหน้าผมก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมกลับบ้าน หลังจากลากผมเข้ามาในคาเฟ่แฟรนไชส์ขนมหวานซึ่งกำลังเป็นที่นิยม รอยยิ้มร่าเริงและเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วนั้นไม่เข้ากับบรรยากาศที่แท้จริงระหว่างเราเลยแม้แต่น้อย.... สำหรับผมแล้ว ท่าทางร่าเริงน่ารักของบีบี๋มันก็แค่ภาพลวงตา อาจจะดูสวยงามในตอนแรกแต่พอทิ้งไว้นานเข้าก็เห็นเนื้อในกากกลวงเป็นโพรง ไม่ต่างจากบิงซูที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนานั่นแหละ หน้าตาก็ดูน่ากินดีแต่ใครๆ ก็คงรู้ว่าพอมันละลายก็เละเทะหมดราคาแทบจะทันที

ไม่เหมือนกับทิชาที่ถูกทุกคนรุมตั้งแง่เพราะความเข้าใจผิด ทั้งที่ความจริงแล้วเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรน่ารังเกียจเลยสักนิด....

“หรือเฮียอยากกินโทสต์มากกว่า? เอานูเทลล่าดีมั้ย เดี๋ยวบี๋ไปสั่งให้?”

“ไม่ต้องหรอก........”  ผมตอบทั้งที่ก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ เปิดแอพอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะได้คุยกับ ‘เมียของรุ่นพี่’ ให้น้อยที่สุด

“งั้นก็เลิกทำหน้าซังกะตายสักที” 

บีบี๋ออกคำสั่ง แน่นอนว่าเจ้าชิวาว่าแสนเจ้าเล่ห์จะต้องปั้นหน้ายิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่าใส่ผม หากฟังจากคำพูดและน้ำเสียงกระแทกแดกดันนิดๆ เชื่อเถอะว่าบีบี๋คงต้องใช้ความอดทนมากเลยทีเดียวที่จะไม่ปรี๊ดแตกใส่ผม 

“บี๋อุตส่าห์ชวนเฮียโรมมาเดทนะ เอาแต่หน้าบึ้ง แถมยังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้ สั่งอะไรมากินก็ไม่อร่อยหรอก”

“ถ้าบี๋ไม่ชอบ งั้นจะกลับเลยไหมล่ะ?”  ผมถามพลางขยับเก้าอี้พร้อมลุกออกจากร้านได้ทุกเมื่อ ทำเอาเด็กหนุ่มร่างเล็กเผลอตัวตวัดเสียงห้วนอย่างเอาแต่ใจ

“ไม่กลับ!”

เพราะเสียงเมื่อครู่ สาวออฟฟิศกลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะอีกฟากกับเด็กนักเรียนมัธยมอีกกลุ่มจึงหันมามองเรากันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิต้องนัดหมาย โชคดีที่เวลานี้แขกในร้านค่อนข้างบางตา เราก็เลยไม่ต้องเผชิญกับความอับอายขายขี้หน้ามากนัก.... บีบี๋เองก็ดูจะรู้ตัวอยู่ว่าผมโคตรไม่ชอบอะไรแบบนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีมาเป็นบ้องแบ๊วขี้อ้อนรวดเร็วราวกับกดสวิทช์สลับโหมด คงเห็นว่าผมโง่สมองปลาทองล่ะมั้ง ถึงคิดว่าแค่กลับมาทำตัวแบบเดิมแล้วผมจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน

 “เฮียโรมไม่อยากกินขนมก็ไม่เป็นไร งั้นเราไปดูหนังกันก็ได้.... บี๋กำลังอยากดูคิงส์แมนภาคใหม่อยู่พอดี”

เริ่มต้นจากข่มขู่ เปลี่ยนเป็นเอาแต่ใจ แล้วก็มาจบที่ออดอ้อนออเซาะ.... หากเป็นเมื่อสักสอง-สามวันก่อน ผมอาจจะคิดว่าบีบี๋กำลังอารมณ์แปรปรวนเพราะเครียดเรื่องเรียนกับเรื่องที่บ้านแล้วก็คงไม่ถือสา หากตอนนี้ สิ่งที่บีบี๋ต้องการคงไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าแค่ความพยายามจะเอาชนะ หวังจะให้ผมไปทวงเกียร์คืนจากทิชาแล้วเอามาคล้องคอให้

“จะกินก็รีบกินเหอะ เฮียจะกลับแล้ว มีงานต้องทำ”  ผมตัดบท รู้ตัวดีว่าใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไป และผมก็เหนื่อยกับเกมข้ารับใช้หมากระเป๋างี่เง่านี่เต็มทีแล้ว....

“รีบอะไรนักหนาล่ะ เฮียโรมเป็นคนบอกบี๋เองนะว่างานเทอมนี้ไม่หนักมาก โปรเจ็กต์กลุ่มใกล้เสร็จแล้ว เปเปอร์ก็ให้พี่แจ็คช่วยเขียนเล่มให้ เรียนชิลล์ๆ ไม่ใช่เหรอ?”

“ก็ยังมีวิชาอื่นที่ต้องทำงานส่ง” 

ผมว่าพร้อมทั้งหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจงใจจะตำหนิ ถ้าเขาเป็นคนรักหรือน้องชาย ผมก็คงจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้บีบี๋เห็นความสำคัญของการมีใบปริญญาและการทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดจาอ่อนโยนถนอมน้ำใจเขาไปทำไม

“บีบี๋ก็ควรจะใส่ใจเรื่องเรียนให้เท่าๆ กับเรื่องอยากเข้ามาเป็นสะใภ้วิศวะฯ นะ ถ้าเลิกคบกับทิชา ก็ไม่น่าจะมีเพื่อนคนไหนยอมไปช่วยบี๋ปั่นงานส่งอาจารย์ยันเช้า ติวสอบ หรือกินแรงเวลาทำงานกลุ่มอีกแล้วนี่”

เพียงเท่านั้น แก้มกลมๆ ก็พองขึ้นและกลายเป็นสีแดงจัดด้วยความโมโห

“บอกแล้วไง เวลาอยู่กับบี๋ห้ามพูดชื่อไอ้ชา!”

“เลิกเล่นเป็นเด็กๆ เสียทีเถอะ โกรธใครก็ไม่อยากได้ยินชื่อคนนั้น”

เพราะรู้ว่ายิ่งต่อความยาวก็ยิ่งเหมือนจุดไฟ ในเมื่อความรู้สึกของเราทั้งคู่มันพังพินาศไปหมดแล้วก็สู้ให้มันฉิบหายแล้วรีบๆ จบกันไปเสียดีกว่า 

“ทิชาเขายังไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”

“อย่าเอาบี๋ไปเปรียบเทียบกับมันนะ!”

ช้อนเงินกระทบกับโต๊ะเสียงดังแคร๊ง คนทั้งร้านหันมามองเราแทบจะเป็นตาเดียวกันอีกครั้ง ร่างเล็กโกรธจัดจนตัวสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นเสมือนว่าอยากจะตบหน้าผมเต็มแก่.... โทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสว่างวาบเพราะมีไลน์เข้า ผมมองเห็นชื่อเจ้าของข้อความแต่ยังไม่ทันจะได้อ่าน มือของบีบี๋ที่ทำท่าจะตบผมอยู่เมื่อกี้ก็พุ่งเข้ามาฉวยเอาไอโฟนของผมไปแล้วถือวิสาสะกดเปิดอ่านต่อหน้า

“บีบี๋!”  แน่นอนว่ามันเป็นไลน์ที่ส่งมาจากทิชา บีบี๋ถึงได้จงใจจะแย่งไปเพื่อยั่วโมโหผมกลับ  “เอามือถือเฮียคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“อะไรกัน.... นี่เฮียถึงขนาดยอมให้มันขึ้นคอนโดฯ เลยเหรอ?” 

น้ำเสียงที่ได้ยินมีทั้งความประหลาดใจระคนสมเพช และความโมโหน้อยใจที่ผมไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยชวนบีบี๋ไปห้องในตอนที่ยังคบกัน.... ด้วยความอิจฉาที่มีอยู่เป็นทุนเดิม จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของทิชา ไม่มีการฉุกคิดเลยว่าที่ผมไม่ต้องการจะไปต่อกับบีบี๋ ที่จริงแล้วสาเหตุเป็นเพราะใคร   

“หึ กะแล้วเชียวว่าไอ้ชาต้องเก่งเรื่องอย่างว่าแน่ๆ เฮียโรมถึงได้ติดใจมันนัก.... ที่ยอมให้มันอยู่ด้วยก็คงกะว่าพอเกิดหงี่ขึ้นมาเมื่อไรก็เอาได้ทันทีสินะ ของฟรีก็ง่ายแบบนี้แหละ สมแล้วที่คนในเบอร์ลิคเขาเรียกกันว่ากะหรี่ห้อยเกียร์!”

“บี๋ก็ไม่ได้ดีไปกว่าทิชานักหรอกนะ”

ผมตอบโต้ สายตามองต่ำลงไปยังเกียร์รุ่น 32 ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เปลืองตัวแย่งมาพลางกระตุกมุมปากใส่

“เกียร์ของเฮียรุจที่ห้อยคออยู่นั่นก็ประจานความต่ำตมในตัวบี๋ได้ดีพอๆ กับคำพูดว่าร้ายคนอื่นเชียวล่ะ”

“แต่บี๋ไม่ได้ชิงเกียร์ใคร.... เฮียรุจเขายังโสด แล้วเขาก็เต็มใจจะยกเกียร์ให้บี๋ด้วย!”

ชิวาว่าแยกเขี้ยวขู่แฟ่ดเมื่อถูกผมด่าด้วยสายตาว่าใครกันแน่ที่เป็นกะหรี่ห้อยเกียร์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเชิดหน้าท้าทายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกียร์ที่ตัวเองห้อยอยู่นั้นแพงกว่าเกียร์ของผมที่ยกให้ทิชาหลายเท่านัก และบีบี๋ก็ลงทุน ‘จ่าย’ ไปเยอะทีเดียวกว่าจะได้มาครอบครอง 

“เฮียโรมนั่นแหละที่ควรจะรู้ฐานะตัวเองได้แล้วนะ.... เฮียรุจเขาก็พูดออกจะชัดเจนขนาดนั้น หน้าที่ของทุกคนในสายก็คือดูแลบี๋ให้สมกับที่เป็นสะใภ้ใหญ่แห่งเบอร์ลิค แล้วตอนนี้บี๋ก็ต้องการให้เฮียโรมพาบี๋ไปดูหนัง”

ในตอนแรก ผมก็ยังคิดอยู่ว่าที่บีบี๋ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการประชดที่ผมนอกกายไปมีอะไรกับทิชา ก่อนจะตามมาด้วยการนอกใจเมื่อสุดท้ายผมก็ไม่ได้ทวงเกียร์กลับคืนมา แต่ถ้าบีบี๋รักผมจริง เขาจะเล่นแรงถึงขนาดเอาอนาคตและความอยู่รอดในหมู่พี่น้องวิศวะฯ ของผมลงมาแลกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้เชียวหรือ.... ผมไม่ได้อยากเปรียบเทียบบีบี๋กับทิชาหากมันก็อดไม่ได้ ทิชาไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากความรักจากผม ในขณะที่บีบี๋ก็แค่ต้องการตัวผมเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าตัวเองอยู่เหนือทิชา และเมื่อผมปฏิเสธ เขาก็ไม่ลังเลที่เปลี่ยนมาทำลายกัน

ผมถึงมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้ว เด็กร้ายกาจคนนี้ก็คงจะไม่มีวันรักและคิดถึงใครนอกจากตัวเอง....

เสียงเรียกเข้ามือถือของบีบี๋ดังขึ้น ทำเอาเจ้าตัวรีบหันไปมองชื่อบนหน้าจอ แต่คราวนี้ผมไม่พลาดอีกแล้ว และก่อนที่ร่างเล็กจะได้ขยับเขยื้อน ผมก็ชิงตัดหน้าคว้าโทรศัพท์สัญชาติเกาหลีมาถือแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายเพิ่งทำกับผมเมื่อกี้นี้

“เฮียโรมจะทำอะไร เอาโทรศัพท์บี๋คืนมา!?”

“ทีเมื่อกี้ บี๋ยังดูไลน์เฮียได้เลยนี่”  ผมจงใจจุดยิ้มกวนประสาทใส่คนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา  “แย่จริงๆ ต้องให้หม่าม้าลำบากโทรตามกลับบ้านอีกแล้วเหรอ?”

“อย่ารับเชียวนะ!”

มีหรือว่าผมจะฟัง ผมรู้ว่าเรากำลังเอาคืนกันไปเอาคืนกันมาอย่างกับเด็กอนุบาล แต่คนที่ทำให้บีบี๋กลัวจนขึ้นสมองได้ก็มีแค่พ่อกับพี่ชาย และผมก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวจะได้อบรมสั่งสอนลูกชายคนเล็กหลังจากห่างเหินมานาน

“สวัสดีครับ คุณแม่ของบีบี๋ใช่ไหมครับ?”

“เฮียโรม!!”

“ครับ บีบี๋อยู่กับผมที่ห้างแถวๆ สยามครับ.... เปล่าครับ วันนี้น้องเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายๆ แล้ว...... อ๋อ ไม่ใช่เลยครับ ไม่ได้อยู่ทำงานดึกอะไรเลย ทิชาเขาก็กลับบ้านไปตั้งนานแล้วด้วยครับ” 

ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่อนแขนเล็กเอื้อมข้ามโต๊ะมาพยายามจะแย่งมือถือคืน แน่นอนว่าต้องไม่สำเร็จเมื่อผมไม่คิดจะอ่อนข้อให้ 

“บีบี๋ไม่ยอมรับสายคุณแม่น่ะครับ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกว่าอยากไปดูหนังต่อ ดูเหมือนจะไม่อยากกลับบ้านสักเท่าไร.... ว่าไงนะครับ? คุณพ่อกับพี่ชายโกรธมาก สั่งให้บีบี๋กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ.......”

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่.... ผมรู้จักทางไปบ้านบีบี๋ จะพยายามพาเขาไปส่งให้ได้เลยครับ ฝากบอกคุณพ่อกับพี่ชายบีบี๋ด้วยนะครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง สวัสดีครับ”

ผมกดวางสายก่อนจะสไลด์มือถือกับโต๊ะส่งคืนให้เจ้าของ บีบี๋โมโหจนหน้าแดงจัดแก้มพองตาพองไปหมด ผมมองหน้าร่างเล็กสลับกับบิงซูในถ้วยซึ่งเริ่มละลายเละเทะเต็มถาดเมื่อไม่มีใครสนใจจะกินก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“เล่นบ้าอะไรของเฮีย บี๋ไม่ขำนะ!”

“ก็ไม่ได้จะให้ขำสักหน่อย” ผมว่า “ดูเหมือนคุณพ่อกับพี่ชายจะโกรธใหญ่แล้วนะ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้เพิ่งก่อเรื่องไว้ก่อนจะหนีออกมาข้างนอกไม่ใช่เหรอ? แน่ใจนะว่ายังอยากจะหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มอีก?”

“บี๋จะดูหนัง!”

“ก็ตามใจ เชิญขึ้นไปจองตั๋วดูคนเดียวก็แล้วกัน”

ผมไม่คิดจะห้ามบีบี๋อีกแล้ว เพราะถึงยังไง เจ้าตัวก็คงจะรั้นยื้อแย่งในสิ่งที่ทำหลุดมือไปกลับคืนไม่ได้ หมดเวลาเล่นเกมแล้ว อยากทำบ้าบอห่าเหวอะไรก็เชิญ.... และอย่างเดียวที่ผมจะสามารถมอบให้อดีตแฟนในตอนนี้ก็คือตั๋วกลับบ้านเที่ยวเดียว ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างคนต่างอยู่และไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก 

“แต่ถ้าบี๋จะตามมาก็มีตัวเลือกเดียวคือกลับบ้าน.... ก็เลือกเอานะว่าอยากนั่งรถกลับสบายๆ ออกไปโบกแท็กซี่ที่แม่งรับแต่ฝรั่ง หรือจะโหนรถไฟฟ้าต่อรถเมล์กลับบ้านเอง!”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 13-01-2018 21:25:12
ผมเปิดประตูออกไปยังลานจอดรถ พุ่งตรงไปหารถออดี้สีน้ำเงินของตัวเอง พยายามอดกลั้นไม่สนใจเสียงตะโกนแสบแก้วหูของบีบี๋ซึ่งทั้งก่นด่าและบังคับขู่เข็ญให้ผมยอมทำตามใจ.... แต่ก็อย่างที่เห็น ผมจบแล้ว จบทุกประเด็นและทุกสิ่งทุกอย่างกับ และผมก็ไม่อยากเอาตัวเข้าไปเป็นหมากเบี้ยหรือสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องเพื่อตอบสนองชีวิตบิดเบี้ยวขาดๆ เกินๆ ของใครอีก

“เฮียโรม!” 

บีบี๋คว้าแขนผมเข้าจนได้ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและท่าทางก้าวร้าวนั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชิวาว่าซึ่งผมเคยหลงคิดไปเองว่ามันคือความน่ารักของโลกใบนี้ 

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเฮียไม่มีสิทธิ์ขัดใจบี๋.... บี๋สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำสิ ยังอยากมีที่ฝึกงานอยู่ใช่ไหม!?”

ผมหันไปมองร่างเล็กอย่างเย็นชา เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าพอกันที ผมก็พร้อมโยนทุกอย่างทิ้งแบบไม่เสียดาย ถึงผมจะเสียรุ่นพี่ที่เคารพ เสียเพื่อนฝูง เสียงานที่ควรจะได้ทำ เสียเวลาและเสียความรู้สึก แต่อย่างน้อยผมก็ยังหลงเหลือความเป็นตัวเองและศักดิ์ศรีอยู่บ้าง

“ก็แค่หาที่ฝึกงานใหม่เอง บี๋คิดว่าเฮียแคร์เรื่องนั้นจริงๆ หรือไง?”

ในที่สุดก็ได้พูดอย่างที่คิดเสียที มันเหมือนระเบิดความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นคำพูด แถมยังเป็นระเบิดลูกโซ่ที่จะไม่หยุดปะทุง่ายๆ หลังจากที่ผ่านระลอกแรกไปแล้วเสียด้วย 

“เฮียไม่ได้กระจอกถึงขนาดจะต้องพึ่งพาเบอร์ลิคไปซะทุกอย่างหรอกนะ ที่ยอมเป็นลูกน้องเฮียรุจอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะไม่อยากแหกคอกให้พวกรุ่นพี่เขารู้สึกว่าเสียการปกครอง การช่วยเหลือกันในหมู่วิศวะฯ ก็มีข้อดีของมันอยู่.... แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นความเหี้ย กลายเป็นเครื่องมือให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างบี๋มาสนตะพาย บีบบังคับแบบนี้ เฮียก็จะตัดทิ้งแม่งให้หมด! ”

บีบี๋ดูช็อกไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน แปลว่าเขาเข้าใจถูกแล้วว่าผมต้องการจะบอกอะไร.... จากนี้ไปก็ช่างหัวเบอร์ลิค ช่างหัวระบบเกียร์ ช่างหัวคณะวิศวะฯ ก็ให้มันรู้กันไปว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งเฮียรุจ คอยพะเน้าพะนอเอาใจบีบี๋ซึ่งไม่เคยจริงใจกับใครเลยแล้วคนอย่างไอ้โรมจะตายห่าอยู่ต่อไม่ได้

“เฮียโรมไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ หรอก.......เฮียก็แค่กำลังหลงไอ้ชา......คิดดูดีๆ สิว่าถ้าเฮียคบกับมันแล้วจะเป็นยังไง........”

“ก็บอกแล้วนี่ว่าเฮียไม่แคร์!”

“ต้องแคร์สิ.... เฮียจะยอมทิ้งเพื่อน ทิ้งรุ่นพี่เพื่อไอ้ชาไม่ได้นะ!”

“แต่ทิชาเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเฮีย ไม่เหมือนบี๋ที่พยายามทำลายเฮียเพื่อให้ได้ทุกอย่างสนองความอยากของตัวเอง!”

 ผมสูดลมหายใจลึกเข้า ในเมื่อผมเองที่เป็นคนเริ่มทำให้เรื่องยุ่งยากด้วยการหลงชอบบีบี๋ ผมก็จะขอจบความฉิบหายและความสัมพันธ์ที่มีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวงเอาไว้เพียงแค่นี้ 

“ถ้ามีเรื่องไหนสักเรื่องที่เฮียรู้สึกเสียใจ ก็คงเป็นเรื่องที่เฮียเคยมองพลาด คิดว่าบี๋เป็นเด็กน่ารักจิตใจดี ไม่เคยคิดร้ายกับใครนี่แหละ”

“ก็ถ้าเฮียโรมไม่นอกใจก่อน บี๋ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก!”

“เลิกพูดเรื่องนอกใจเหอะ บี๋เองก็ใช่ว่าจะรักเฮียจริง........”

ประเด็นสำคัญระหว่างเรามันอยู่ตรงนี้ ผมมันโง่เองที่มองไม่ออกตั้งแต่ทีแรก 

“แล้วนิสัยบี๋ก็คงจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว เป็นมาก่อนที่เราจะรู้จักกันเสียอีก”

น้ำตาที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำ จะเพราะความโกรธก็ดี หรือจะเป็นความเสียใจก็ช่าง ทว่า เชือกที่ถูกตัดขาดแล้วย่อมไม่มีวันประสานกลับมาเป็นดังเดิม แม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อด้วยการผูกปลายสองฝั่งเข้าด้วยกัน สุดท้ายมันก็จะเหลือปุ่มปมน่าเกลียดไว้เป็นหลักฐานอยู่วันยังค่ำ

“ถ้าบี๋เป็นเมียเฮียรุจไปแล้วก็ไปให้เขาปลอบใจก็แล้วกัน จะถือเสียว่าเราต่างคนต่างมีแฟนใหม่ก็แล้วแต่ จบกันแค่นี้.........”

“ไม่นะ บี๋ไม่จบ!” 

บีบี๋โผเข้ามากอดผม รั้งเยื่อใยบางๆ เอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีและเสียงสะอื้นน่าสงสาร 

“.....ฮึก.........ไหนเฮียเคยบอกว่าชอบบี๋ไม่ใช่เหรอ.......ถ้าชอบแล้วจะมาจบกันง่ายๆ ได้ยังไง.........คนใจร้าย........”

“ถ้าอย่างเฮียเรียกว่าใจร้าย แล้วที่บี๋ทำกับเฮีย กับทิชาล่ะ จะเรียกว่าอะไร?”

“เฮียก็แค่ใจอ่อนเพราะสงสารไอ้ชา......ฮือ........ไม่รู้หรือไงว่ามันชอบเรียกร้องความสนใจน่ะ มันไม่ได้รักเฮียโรมของบี๋สักหน่อย บี๋ต่างหากที่รักจริง...........” 

ร่างเล็กยังคงโทษว่าเป็นความผิดของทิชา ไม่อยากเชื่อว่าจนป่านนี้แล้ว บีบี๋ก็ยังก้าวข้ามกำแพงความอิจฉาที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมาไม่ได้ 

“เฮียอยากให้บี๋ทำตัวน่าสงสารเหมือนอย่างไอ้ชามั้ยล่ะ......ก็แค่ทำหน้าอมทุกข์แล้วก็มั่วกับผู้ชายทุกคนที่ขวางหน้า........ถ้าเฮียโรมอยากให้เป็นแบบนั้น บี๋ก็ทำให้ได้เหมือนกันนั่นแหละ!”

“บีบี๋ เราน่ะรู้อะไรไหม?”

ผมมองหน้าอดีตแฟนด้วยสายตาว่างเปล่า แน่นอนว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า และสิ่งนี้ก็คงเป็นเสมือนปมในใจของเจ้าตัวมาโดยตลอด แต่ผมก็รู้สึกว่าบีบี๋ควรจะเรียนรู้และโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว


“ระหว่างบี๋กับทิชาจะยังไงนี่ไม่รู้นะ เฮียรู้แค่ว่าตั้งแต่ทะเลาะกัน ทิชามันไม่เคยด่าเพื่อนอย่างบี๋ให้เฮียฟังเลยสักคำ.... แม้กระทั่งหลังจากที่บี๋สารภาพว่าตั้งใจคุยกับเฮียเพื่อปาดหน้ามัน ทิชาก็ยังไม่เคยว่าร้ายบี๋แม้แต่น้อย.....”

“ไม่ต้องพยายามทำตัวน่าสงสาร ไม่ต้องพยายามทำอะไรเพื่อเฮียอีกแล้ว.... ต่อให้เฮียทวงเอาเกียร์คืนจากทิชาแล้วกลับมาคบกับบี๋ แต่สักวันนิสัยจริงๆ ของบี๋ก็ต้องโผล่ออกมาและเราก็ไม่มีทางไปกันรอดหรอก สู้เลิกไปเสียตอนนี้ดีกว่า บางทีเฮียกับบี๋อาจจะยังเหลือเรื่องดีๆ ให้พอนึกถึงอยู่บ้าง”


“มันผิดมากเลยเหรอที่บี๋จะทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองรู้สึกมีค่าบ้าง.........” 

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่บีบี๋กำลังพูดอยู่ตอนนี้คือการตัดพ้อหรือแค่ต้องการหาความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่ารูโหว่ในหัวใจมันใหญ่เกินกว่าที่ผมหรือใครจะช่วยเยียวยาให้ได้ และบีบี๋เองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกรีดปากแผลด้วยการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

“ไอ้ชาก็มีครบทุกอย่างอยู่แล้ว ชีวิตมันดีออกจะตายไป.......แม่มันเป็นดารา บ้านมันก็รวย ใครๆ ก็ชอบมองแต่มันคนเดียว........แค่แบ่งความสนใจจากคนพวกนั้นมาให้บี๋นิดๆ หน่อยๆ ไม่ทำให้มันตายหรอกน่า..........”

เจ้าของท่อนแขนเล็กเกาะบั้นเอวผมเอาไว้แน่น พยายามเบียดตัวเข้ามาซุกหน้ากับอกเสื้อ น้ำเสียงปนสะอื้นนั้นสั่นเครือขณะเอ่ยถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผมยอมรับว่ามันดูน่าสงสาร แต่ถ้าถามหาความเห็นใจและความรัก ผมคิดว่าผมคงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว

“เฮียโรมก็เหมือนกัน........ถึงเฮียคบกับบี๋ต่อไป ไอ้ชามันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย......เดี๋ยวก็มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาจีบมันแล้ว.........”


“ตอนที่เฮียเคยบอกว่าชอบบี๋นั่นน่ะ เฮียชอบที่นิสัยนะ.... เรื่องหน้าตาฐานะพวกนั้นไม่ได้มีส่วนเลย คนอื่นๆ เขาก็คงคิดแบบเดียวกัน” 

ผมตอบพลางแกะมือของบีบี๋ออก ก่อนจะจ้องมองดวงตากลมโตซึ่งเป็นไปด้วยหยาดน้ำอุ่น.... ไม่มีใครที่ไม่เคยทำเรื่องโง่ๆ มาก่อนในชีวิต บางเรื่องก็ยังสามารถแก้ไขได้ แต่บางเรื่องก็สายเกินไปแล้ว เช่นเดียวกับความรู้สึกของคนเราที่หากถูกทำลายไปแล้ว ก็ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม 

“สิ่งที่ทำให้บี๋มีคุณค่าก็คือนิสัยร่าเริงน่ารักที่แสดงออกตอนเรารู้จักกันใหม่ๆ นั่นแหละ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามันออกมาจากความจริงใจ ไม่ใช่เพราะความอิจฉาเพราะคิดไปเองว่าเพื่อนอยู่เหนือกว่าก็เลยพยายามจะทำลายเขา.........”

จนถึงเมื่อกี้ ผมก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าหากบีบี๋ไม่เอาเกียร์ของเฮียรุจมาห้อยคอ ผมก็อาจจะไม่ตัดขาดหมดเยื่อใยขนาดนี้ ถึงจะโกรธและผิดหวังแค่ไหน ผมก็ไม่ลืมความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้ระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สัปดาห์นั้น

แต่ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างมันจบแล้ว....


“บี๋ลองไปทบทวนตัวเองก่อนดีกว่าว่าพร้อมจะรักใครจริงๆ แล้วหรือยัง.... ไม่งั้นก็ลองไปคุยกับเฮียรุจดูก็ได้ ได้กันแล้ว ยังไงเฮียเขาก็คงไม่ทิ้งบี๋หรอก.........”


.


.


.


‘ครับเฮีย.... เรื่องฝึกงานที่ศูนย์ซูเปอร์คาร์กับพี่อ๊อด ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกแล้ว.............’

‘แล้วผมก็คงจะไม่เข้าไปที่เบอร์ลิคอีก......คิดว่าสักพักแหละครับ.......แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เข้าไปอีกเลย............’

‘ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ต้องวุ่นวายด้วย......’


นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับรุ่นพี่ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค

เฮียรุจไม่ได้ว่าอะไรแล้วก็ไม่ได้ห้ามผมด้วย แม้ฟังจากน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นจะเจือปนด้วยความเสียดายและผิดหวังที่ผมเห็นแก่เรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่และเลือกหันหลังให้กับพี่น้องชาววิศวะฯ แต่เขาเองก็ต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าเหตุผลส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เขายอมให้บีบี๋ใช้เกียร์รุ่น 32 มากดดันผม.... ก็คงเป็นศักดิ์ศรีและอีโก้งี่เง่าๆ ระหว่างลูกผู้ชายด้วยล่ะมั้ง บีบี๋กลายเป็นเด็กเฮียรุจไปแล้ว จะให้ผมทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วทับรอยรุ่นพี่ที่ตัวเองเคารพก็คงไม่ใช่

ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้รักบีบี๋มากถึงขนาดยอมรับได้ทุกอย่าง ก็สู้ยกให้เฮียรุจดูแลในแบบที่เห็นสมควรก็น่าจะดีกว่า....


“ทิชา..............”

ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องตัวเอง ภาพแรกที่เห็นก็คือทิชาซึ่งกำลังนอนขดตัวหลับอยู่บนโซฟาหน้าทีวีจอยักษ์ มีตัวอะไรขาวๆ ขนยาวๆ กระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งหางตั้งด้วยความเร็วสูงไปแอบอยู่ตรงซอกข้างตู้บิลด์อิน ผมคิดว่าคงเป็นแมวที่ชื่อมิลค์ซึ่งทิชาอ้อนขอพามาอยู่ด้วย

โทรทัศน์ยังคงเปิดอยู่แต่คนดูดันหลับไปแล้ว แม็คบุคโปรกางอยู่บนโต๊ะพร้อมด้วยสมุดแบบสเก็ตช์ภาพเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชนิด สงสัยว่าแม่แมวจะทำงานรอผมจนเผลอหลับไปล่ะมั้ง

“ทิชา มานอนตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” 

ผมเขย่าตัวปลุกร่างผอมบางให้ตื่นขึ้น แต่ดูท่าทางเจ้าตัวน่าเพลียเอาการ ไหนจะเรื่องออกกำลังกายเมื่อเช้า ไหนจะขนข้าวของมาจากบ้าน ทำความสะอาดห้องให้ผมแล้วยังต้องทำการบ้านตัวเองอีก ถึงได้ส่งเสียงครางงำงึมแล้วพลิกตัวหนีจนน่ากลัวว่าจะหล่นจากโซฟาเข้าจนได้ 

“ลุกเร็วๆ อย่างอแงสิ ไปนอนบนเตียงไป”

พอโดนสะกิดหนักขึ้น เปลือกตาหนักอึ้งนั่นก็กระพริบเปิดอย่างเสียไม่ได้ ทิชานิ่วหน้าเมื่อแสงไฟจากเพดานแยงตาก่อนจะมองเห็นรับรู้ว่าผมกลับมาแล้ว

“พี่โรม.......นี่กี่โมงแล้วอะ.......?”

“เพิ่งห้าทุ่มเอง”

ทิชาพยักหน้าหงึกหงักพลางสะบัดหัวให้หายงัวเงีย แต่ก็ยังตาปรือจนเกือบจะลืมไม่ขึ้นอยู่ดี ถึงกระนั้น สิ่งที่เด็กดื้อของผมนึกถึงเป็นอย่างแรกก็หนีไม่พ้นสัญญาที่เขาให้ไว้กับผมในตอนที่เราตกลงว่าจะอยู่ร่วมห้องกัน

“แล้วพี่โรมกินข้าวมาหรือยัง........ชาเตรียมของไว้ทำมื้อเย็นให้พี่ด้วย..........”

“ไม่เป็นไร มึงง่วงก็นอนเหอะ.... ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยกินก็ได้”

อันที่จริงตอนอยู่กับบีบี๋ ผมแทบกินอะไรไม่ลงเลย แต่ก็ไม่อยากทรมานคนง่วงและไม่อยากเห็นทิชาสัปหงกจนหัวทิ่มลงไปในกะทะด้วย

ผมช้อนตัวอุ้มทิชาไปวางไว้บนเตียงที่เรานอนด้วยกันเมื่อคืนนี้ แอบเห็นเจ้าแมวเด็กทำตาวาวมองเหมือนอยากถามว่าผมจะเอาแม่มันไปไหน แต่พอผมจะเข้าไปอุ้มมันบ้างก็กลับแยกเขี้ยวหูตั้งหางพองไม่ยอมให้จับตัว จะถามทิชาว่าควรต้องทำยังไงกับลูกมิลค์ของเราดี แม่มันก็หลับรอบสองไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย.... ผมทำอะไรกับเจ้าก้อนขนฟูฟ่องสีขาวนั่นไม่ได้ก็เลยยกตะกร้าใส่ของเล่นแมวไปไว้ตรงโซฟา เผื่อว่ามันจะได้ขึ้นไปนอนบนนั้น ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำแล้วกลับออกมานอนกอดร่างเล็กเอาไว้ด้วยหัวใจที่สงบลงกว่าเดิม

“พี่โรม..........”  ทิชาขยับตัวเล็กน้อยในอ้อมกอดผมก่อนจะส่งเสียงออกมาเหมือนละเมอ  “ที่เบอร์ลิค.......เสร็จธุระแล้วใช่ไหม.........?”

“อืม”  ผมตอบพลางจูบหน้าผากเนียน  “มันจบแล้วล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว”

“งั้นก็ฝันดีนะ”

“มึงด้วย ฝันดีนะ......”


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวสมอง จนตอนนี้ก็ยังงงอยู่เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ผมบอกเลิกบีบี๋ ตัดขาดจากศาลเตี้ยและกฎเหล็กของเบอร์ลิค ปลดแอกตัวเองจากระบบเกียร์ที่ชาววิศวะฯ ยึดถือกันจนเป็นธรรมเนียม หันหลังให้กับเพื่อนฝูงพี่น้อง.... เพื่อทิชาและเพื่อตัวผมเอง

แม้ว่าเวลานี้ ผมจะยังพูดไม่ได้เต็มปากว่าโล่งใจ แต่ผมก็รู้ว่าในวันพรุ่งนี้และวันต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะผมไม่ได้จับปลาสองมืออย่างที่เฮียรุจว่าเอาไว้

ทิชาคือปลาตัวแรกและตัวเดียวของผม ผมก็แค่พลั้งมือไปหยิบตัวที่สองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่สุดท้ายผมก็ปล่อยปลาตัวที่สองนั้นกลับสู่ที่ที่มันควรอยู่


......ผมเองก็เหลือแค่ทิชาคนเดียวเหมือนกัน......


TO BE CONTINUE








TO BE CONTINUE

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 13-01-2018 22:03:39
รู้สึกว่าบี๋ไม่น่ายอมแค่นี้เเน่ ฮือออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 13-01-2018 22:06:13
ผมเองก็เหลือแค่ทิชาคนเดียวเหมือนเดิม ถ้าประโยคเป็นแบบนี้นะ  พี่โรมจะแมนมากกกกกกกก ถึงขาเราก้าวนึงจะลงเรือแดนทิชาอยู่แล้วแต่ก็เอาใจช่วยโรมนะถ้าเป็นไปได้ขอสามพีได้มั้ยอ๊ากกกกสงสารลูกแดนของม๊าาาาา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2018 23:05:46
นี่จะปันใจไปให้แดนแล้วนะถ้าพี่โรมยังไม่จัดการเรื่องบี๋ให้เด็ดขาด ถ้าพี่โรมทำทิชาเสียใจจะเชียร์แดนแล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าบี๋มันจะคิดได้ สำนึกได้ไหม จะยอมหยุดรึป่าวก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 14-01-2018 01:04:03
ประโยคสุดท้ายของพี่โรมคือหล่อมากก ขอให้มีเเต่เรื่องดีๆเข้ามาเด้อต่อจากนี้ไป
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 17-01-2018 20:01:42
10
~ สิ่งมีชีวิตที่ถูกลืม ~


“พี่โรม วันนี้มีเรียนหรือเปล่า?”

หลังจากแต่งตัวเตรียมออกไปมหาวิทยาลัยเสร็จ ผมก็ย้อนกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อปลุกเจ้าของสถานที่ พี่โรมยังคงหลับไม่รู้เรื่องอยู่แต่ถึงยังไงผมก็ต้องบอกฝากฝังธุระให้เรียบร้อยก่อน

“วันศุกร์ชาเรียนสิบโมง ถ้าพี่จะนอนต่อ งั้นเดี๋ยวชาออกไปก่อนนะ ต้องเอารถไปคืนแม่ด้วย”

พอได้ยินเสียงผมในระยะประชิด ร่างสูงก็ส่งเสียงงึมงำรับรู้พลางขยับตัวเหมือนจะตื่น เคยได้ยินมาว่าคนกำลังงัวเงียนี่สะกดจิตง่ายนักล่ะ ไหนขอลองพิสูจน์ดูสักตั้งก็แล้วกัน 

“ข้าวผัดอเมริกันไส้กรอกไข่ดาวอยู่บนโต๊ะ กินแล้วต้องล้างจานเลย ห้ามดองไว้ในอ่างนะ.... แล้วก็ฝากดูแลมิลค์ด้วย มันชอบเล่นไม้ตกแมวอันที่มีหนูสีชมพูอยู่ตรงปลายน่ะ แต่ถ้าดื้อมากๆ พี่จะเอาปลาทูไส้กัญชาให้มันฟัดก็ได้”

ที่ไหนได้ พอสั่งงานเสร็จปุ๊บ พี่โรมก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งปั๊บ....

“กัญชา?”  พ่อแมวหัวฟูทวนคำทั้งที่ยังไม่ตื่นดี ก่อนจะเอ่ยถามผมเสียงแหบห้วน  “เดี๋ยวนะ.... นี่มึงให้ลูกดูดเนื้อด้วยเหรอ?”

“ชาหมายถึงแคทนิป ที่เขาเรียกกัญชาแมวน่ะ” 

ดูท่าทางพี่โรมจะยังจูนสมองไม่เสร็จถึงได้คิดไปไกลถึงดาวพลูโต แต่ดูจากสีหน้าอมยิ้มขำของเจ้าตัวกับประโยคต่อมาแล้ว ท่าทางว่าจะเป็นมุขเมาขี้ตาเสียมากกว่า

“ไม่ได้ๆ กูไม่ชอบให้ลูกเรายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด”

“พี่โรมก็อย่าเอาบ้องเข้าบ้านแล้วกัน มิลค์จะได้ดูดไม่เป็น”

ผมเล่นมุขคืนก่อนจะตามไปอุ้มลูกสาวขนฟูซึ่งนอนตัวกลมอยู่ตรงพื้นหน้าซิงค์ล้างจานมาให้พี่โรม หากยังไม่ทันที่แด๊ดดี้จะได้จับถูกตัว มิลค์ก็ทั้งดิ้นทั้งร้องกางเล็บใส่ผมด้วยความไม่พอใจสุดขีด แถมเล็บเท้าหลังมันยังข่วนโดนมือผมเข้าเต็มๆ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อยที่เจ้าลูกทรพีไม่ยอมเชื่อฟัง

“มิลค์ อย่าดื้อสิ!”

ผมอุตส่าห์ไปอุ้มแมวอกตัญญูมาอีกรอบแต่มันก็ร้องโวยวายแล้วหนีไปอีก คราวนี้ผมเริ่มห่วงขึ้นมาจริงๆ แล้วนะว่าถ้ามิลค์ไม่ยอมเป็นเด็กดี เราทั้งคู่มีหวังได้โดนพี่โรมเนรเทศกลับไปอยู่บ้านแหงแซะ

“สงสัยมันไม่ชอบหน้ากูแน่เลย เมื่อคืนจะอุ้มก็ขู่น่ากลัวเชียว”

“ไม่รู้เพราะพี่โรมมีกลิ่นบุหรี่หรือเปล่า แมวมันจมูกไวกว่าคนอยู่แล้ว.........” 

ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจจะออกคำสั่งให้พี่โรมเลิกบุหรี่นะ ติดจะกลัวว่าเขาจะรำคาญด้วยซ้ำ ก็แค่ลองสันนิษฐานไปตามที่เห็นเท่านั้น

“เมื่อวานนี้กับแดนยังไม่มีปัญหาเลย เล่นกันซะอย่างกับรู้จักกันมาสักสิบปี”

พี่โรมหยุดบิดขี้เกียจเมื่อผมเอ่ยถึงบุคคลที่สาม เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย

“ไอ้แดนเหรอ?”

“อืม.... แดนมาขอให้ชาช่วยปอกเปลือกมันฝรั่งทำซุปให้ ชาก็เลยไปห้องมัน แล้วก็พามิลค์ไปด้วย” 

ผมเล่าให้ฟังแบบไม่คิดอะไรมากระหว่างที่พี่โรมกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ในห้องน้ำ นึกถึงหน้าตาเหมือนหมาหงอยของเดือนสถาปัตย์แล้วก็รู้สึกตลกดี เจอทีไรก็เห็นชอบเก๊กยิ้มมุมปากโชว์ว่าตัวเองหล่อเสียเต็มประดา ใครจะไปคิดว่าคนอย่างนายดรัณภพจะปัญญาอ่อนได้เบอร์นั้น

“ไอ้หมอนี่ก็พิลึกคนเนอะ อยากทำกับข้าวกินเองแต่ดันทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง.... พี่รู้ไหม เมื่อวานชาเจอมันในซูเปอร์มาร์เก็ตข้างล่าง ขนาดคื่นช่ายกับผักชีมันยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นอันไหน ชาบอกให้มันไปซื้อเขากินง่ายกว่า มันก็เรื่องเยอะ บอกว่าไม่อร่อยงู้นงี้”

“เดี๋ยวนะ.... ที่พูดถึงนั่นใช่ไอ้แดนน้องกูจริงเหรอ?”

พี่โรมชะงักมือจากมีดโกนหนวด สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยที่มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

“อื้ม ใช่สิ” 

ผมพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ แต่ทว่า ญาติผู้พี่ของไอ้แดนกลับส่ายหน้าเสมือนว่าไม่ผมก็เขา ต้องมีใครสักคนที่เมากัญชาแมวไปแล้วแน่ๆ

พี่โรมรับผ้าขนหนูที่ผมยื่นส่งให้ซับหน้า ประเด็นปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นของไอ้แดนยังไม่จบเมื่อชายหนุ่มเริ่มเล่าให้ฟังในสิ่งที่เขารู้เห็นมาตั้งแต่เด็กบ้าง

“เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่สุราษฎร์ ไอ้แดนมันเป็นเชฟประจำบ้านเลยนะ.... เวลามีงานรวมญาติ เด็กผู้ชายคนอื่นเขาเตะบอลเล่นเกมกันอยู่ข้างนอก ก็มีแต่มันนี่แหละที่เข้าครัวไปเป็นลูกมือพวกป้าๆ ขนาดน้ำจิ้มซีฟู้ดมันยังลงมือตำเอง ไม่ยอมไปซื้อแบบขวดสำเร็จรูปกินเลย แล้วจะแยกผักชีกับคื่นช่ายไม่ออกได้ไง”

“เอ๊ะ??”

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ผมว่าพี่โรมคงไม่ได้ล้อเล่นเพราะเขาเองก็ดูงงพอๆ กับที่ผมงง แต่สุดท้ายพี่โรมก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขาแค่หัวเราะเบาๆ คล้ายว่ามันเป็นเรื่องตลกเข้าใจผิดกันธรรมดาก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหารซึ่งมีมื้อเช้าฝีมือผมเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ปล่อยให้ผมคิดเอาเองว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเมาแคทนิป

“ว่าแต่ดูท่าทางกูคงต้องเลิกบุหรี่แล้วมั้ง ถ้าลูกมิลค์ไม่ยอมเล่นกับพ่อเนี่ย”

เพราะพี่โรมไม่พูดถึงเรื่องนั้นต่อ ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เขารำคาญ.... ผมใช้เวลาช่วงเช้าที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยสอนพี่โรมใช้ไม้ตกแมวเล่นกับมิลค์ สอนวิธีป้อนขนมแมวเลีย ให้มันคุ้นเคยและยอมให้พี่โรมจับตัว เมื่อวางใจได้แล้วถึงค่อยคว้ากระเป๋าและกระบอกใส่แบบดรอว์อิ้งไปขึ้นรถ ทว่า ในใจก็ยังนึกถึงแต่หน้ากับคำพูดที่ว่า ‘ทิชา มึงช่วยหน่อยดิ นะๆๆๆ’ ของใครอีกคน

แต่แน่นอนว่า ผมกับไอ้เดือนสถาปัตย์เฮงซวยนั่นยังมีเรื่องให้ต้องเคลียร์กันอีกเยอะเลย....!

.


.


.


“บงกช”

“นายบงกช.... มาเรียนหรือเปล่า?”

“โอเค งั้นอาจารย์เช็คขาดนะครับ ใครเป็นเพื่อนก็ฝากบอกเขาด้วย”


คาบเช้าวันนี้ บีบี๋ก็ไม่มาเรียนอีกแล้ว....

ทั้งที่เมื่อวานตอนบ่ายมันมาเรียนได้ ผมจึงคิดเอาเองว่าสถานการณ์ฝั่งไอ้บี๋น่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้วแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้คุยกันก็ตาม ไอจีของมันก็ยังคงนิ่งสนิทไร้ความเคลื่อนไหวจนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้เลยว่ามันแค่ไม่สบายเหมือนอย่างที่บอกอาจารย์ก่อนเข้าเรียนเมื่อวานหรือมีอะไรมากกว่านั้น.... บอกตามตรง ถ้ามันอัพรูปคำคมหรือรูปชูนิ้วกลางด่าสาปส่งผมกลางโซเชียลแบบที่เคยทำกับคนอื่นๆ บางทีผมอาจจะไม่กังวลมากเท่านี้ก็ได้

“ทิชา ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

“หืม?”

คนที่เรียกผมคือเพื่อนสาวร่วมภาควิชาที่ชื่อจอย เธอจัดการย้ายที่นั่งมาอยู่ข้างผมซึ่งปกติแล้วจะเป็นที่ประจำของไอ้บี๋พลางกระซิบถามถึงคนที่หายไป

“ทำไมสอง-สามวันนี้ บีบี๋ขาดเรียนบ่อยจัง.... มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

ปัญหาน่ะมีแน่ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าตัวเองควรจะพูดเยอะเพราะตัวละครในเรื่องไม่ได้มีแค่ผมกับบีบี๋ คนนอกซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราก็คงแค่อยากถามเอาข้อมูลไว้นินทาเมาท์มอยเท่านั้นแหละมั้ง

“โทษทีนะ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน.........”

“คืองี้นะ ทิชา.........”

จอยขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก่อนจะลดเสียงให้เบาลงเมื่ออาจารย์กำลังอธิบายถึงสิ่งที่อยากให้นิสิตใส่ลงในชิ้นงานที่กำลังจะสั่ง เรื่องเรียนก็สำคัญแต่เรื่องเพื่อนก็อยากรู้ ผมจึงต้องแยกประสาทรับฟังทั้งสองฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

“เมื่อวันก่อน น่าจะสักประมาณคืนวันพุธละมั้ง เราไปร้านเหล้าเบอร์ลิคแถวๆ เอกมัยกับเพื่อนคณะอื่นแล้วเจอบีบี๋ที่นั่น ทีแรกก็นึกว่าเขาคงไปหาแฟนที่อยู่วิศวะฯ แต่เพื่อนเราดันเห็นว่าบีบี๋เดินออกไปหลังร้านกับพี่รุจที่เขาว่ากันว่าเป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค”

ทันทีที่ได้ยินชื่อเบอร์ลิคกับพี่รุจ เสียงของอาจารย์ก็หายไปจากโสตประสาททันที แต่เมื่อนึกถึงไทม์ไลน์ให้ดีๆ คืนวันพุธ ผมเองก็ไปที่เบอร์ลิคและกลับออกมาพร้อมพี่โรม....

“จอยเห็นแค่นั้นเหรอ?”

“แค่นั้นก็เกินพอแล้วไหมล่ะ” 

จอยถอนหายใจ เธอมองหน้าผมเป็นเชิงบอกว่านายมันช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เพื่อนตัวเองอยู่ในปากเสือปากจระเข้แท้ๆ ยังจะมานั่งหน้าแบ๊วไม่หือไม่อืออยู่ได้ 

“ทิชาไม่เที่ยวกลางคืนก็อาจจะไม่รู้เรื่องพวกนี้มากเท่าไร แต่พี่รุจที่ว่านั่นน่ะมีข่าวลือไม่ค่อยดีเพียบเลย ก็พวกธุรกิจสีเทาแบบโต๊ะบอล ปล่อยกู้นอกระบบ กินค่านายหน้าเด็กไซด์ไลน์อะไรพวกนี้แหละ.... แต่ที่น่ากลัวก็คือพี่รุจไม่เคยพาใครออกไปหลังร้านมาก่อน เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่าตรงนั้นมันจะมีทางขึ้นชั้นสอง เป็นห้องที่พวกวิศวะฯ ชอบหิ้วพวกคนนอกที่มาชิงเกียร์ไปนอนด้วย ก็เป็นไปได้นะว่าบีบี๋กับพี่รุจจะ...........”

จอยเว้นช่วงไว้ให้ผมคิดต่อเอง ผมกลืนน้ำลายเหนียวคอเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับเบอร์ลิคที่อีกฝ่ายให้มานั้นถูกต้องเกินแปดสิบเปอร์เซนต์ เพียงแต่ผมไม่คิดว่าบีบี๋จะกล้าเข้าไปยุ่งกับบุคคลอันตรายแบบพี่รุจ

แต่คนขี้ขลาดอย่างผม เมื่อถึงเวลาจนตรอกกลัวว่าพี่โรมจะกลายเป็นของไอ้บี๋ก็ยังกล้าบุกไปชิงเกียร์ได้ แล้วจะเอาอะไรมารับประกันได้ล่ะว่าไอ้บี๋จะไม่เกิดหน้ามืดตามัวขาดสติขึ้นมาบ้าง....?

“อีจอย มึงก็พูดเวอร์เกินไปแล้ว”

เพื่อนสาวข้ามเพศซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังพูดแทรกขึ้นมา ดูเหมือนเจ้าหล่อนก็น่าจะเข้าออกเบอร์ลิคบ่อยพอตัวอยู่เหมือนกัน แถมยังอยู่ในประเภทบูชาเกียร์ของพวกวิศวะฯ เสียด้วย 

“น่ากลัวบ้าอะไร กูว่าพี่รุจก็ดูฮอตดีออก ถ้าบีบี๋มันได้เขาจริงก็ถือว่าแต้มบุญมันสูงมาก.... สะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคเชียวนะ เป็นเมียพี่รุจก็เหมือนตำแหน่งนางพญาแห่งวิศวะฯ ดีๆ นี่เอง แม่เอ๊ย! ผู้ชายคณะนั้นได้เดินตามรับใช้มันเป็นพรวนแน่”

“แต่บีบี๋มันมีแฟนแล้วนะ.... จำชื่อได้ละ พี่โรม เครื่องกลปีสามไง”

ผมหันไปมองหน้าจอย ก็ไม่ผิดหรอกที่เธอจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่กับพี่โรมคือผม ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์จะป่าวประกาศแสดงความเป็นเจ้าของ เอาจริงๆ คือพี่โรมเลิกเด็ดขาดกับไอ้บี๋หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย....

“ถ้าเป็นกูนะ ต่อให้มีแฟนแล้วก็เหอะ ถ้าพี่รุจจีบกู กูก็ยอมทิ้งพี่โรม”

“บีบี๋น่ะเหรอจะทิ้งพี่โรม เปิดตัวลงไอจีซะเวอร์วังขนาดนั้น?”

“นี่พวกแก เมาท์มอยมั่วซั่วมากเกินไปแล้ว”

คราวนี้ เจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาร่วมแจม วงสนทนาที่ควรจะมีแค่ผมกับจอยขยายใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับความตึงเครียดในใจซึ่งมักจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมโดนคนอื่นด่าประณามว่าเป็นมือที่สาม 

“ยัยจอย ที่แกกับเพื่อนเจอบีบี๋ที่ร้านเบอร์ลิคน่ะมันคืนวันพุธใช่ไหม แต่เมื่อวานนี้หลังเลิกวิชาบ่าย ฉันกับอีฝ้ายยังเห็นพี่โรมเอารถมาจอดรอบีบี๋ตรงหน้าคณะอยู่เลย.... ฉันว่ามันกับพี่โรม วิศวะฯ ยังคบกันอยู่นะ ไม่มีทางที่มันจะไปได้กับพี่รุจอะไรนั่นหรอก สงสัยแกน่าจะเมาจนตาฝาดแล้วมั้ง”

ผมรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาคิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อวานพี่โรมมารับบีบี๋ที่หน้าคณะงั้นเหรอ? แล้วที่เขาไลน์มาบอกให้ผมไปเอากุญแจกับคีย์การ์ดคอนโดฯ จากพี่แจ็คล่ะ ไม่ใช่ว่าจงใจจะเลี่ยงให้ผมไปด้านหลังคณะเพื่อที่จะได้ไม่เห็นว่าเขามารับบีบี๋หรอกใช่ไหม?

แล้วแบบนี้ ที่บอกว่าธุระด่วนของพี่โรมก็คงจะหมายถึงบีบี๋ด้วยสินะ....?

“อ้าว ตกลงยังไงกันแน่เนี่ย?”  จอยร้องถามเสียงหลงเมื่อโดนแย้งจากพยานอีกฝั่งหนึ่ง

“หรือบีบี๋จะคั่วทั้งสองผู้เลย?” 

เพื่อนสาวสองตั้งข้อสันนิษฐาน แต่แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธเองเสร็จสรรพ 

“เป็นไปไม่ได้ พวกวิศวะฯ ถือเรื่องนี้กันจะตาย พี่โรมไม่มีทางยอมมีเมียคนเดียวกับพี่รุจหรอก.... เท่าที่กูรู้มาพี่โรมนี่คือรุ่นน้องสายตรงของพี่รุจเลยด้วย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางใช้นังบี๋ร่วมกันแน่”

“ทิชาไม่รู้อะไรเลยจริงดิ เรื่องใหญ่ขนาดเพื่อนหายไปทั้งคนเนี่ยนะ?”

เมื่อหาคำตอบไม่ได้ กลุ่มของเจนนี่กับฝ่ายก็หันมาคาดคั้นเอากับผม สายตาของพวกเธอไม่ได้มีแค่ความอยากรู้ตามประสาผู้หญิงขี้นินทาอย่างเดียว แต่มันมีเจตนาต้องการจับผิดพ่วงมาด้วยอย่างไม่ปิดบัง 

“แสดงว่าวันก่อนที่เราเห็นทิชาทะเลาะกับบีบี๋ พวกนายก็ยังไม่กลับมาคุยกันอีกเลยงั้นสิ?”

“อืม..........” 

ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับ วันนั้นเราสองคนก็พลาดเองที่มาเถียงกันตรงระเบียงทางเดินตึกเรียนซึ่งมีคนผ่านไปมา คนเห็นเหตุการณ์ก็ย่อมต้องมีอยู่พอควร บางคนก็คงฟังตั้งแต่ต้นจบจบว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับบางคน อคติที่มีอยู่แต่เดิมก็อาจทำให้เขาตัดสินไปแล้วว่าผมเป็นฝ่ายผิดอยู่คนเดียว

“มิน่าล่ะ ทิชาถึงดูไม่ค่อยเป็นห่วงเพื่อนเท่าไร ขนาดจอยมันเมาท์ว่าบีบี๋นอกใจพี่โรม ทิชายังไม่ช่วยพูดปกป้องบีบี๋เลยสักคำ”

กลับกลายเป็นว่าทุกคนที่คุยกันอยู่เมื่อครู่หันมามองผมเหมือนกับจะปาหินใส่ ผมก็เลยเลี่ยงไม่พูดก่อนจะหันไปสนใจเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนต่อ.... ทว่า ห้วงความคิดกลับมีแต่ความสับสนว้าวุ่น เรื่องเดียวที่ผมทำผิดต่อบีบี๋ก็คือการชิงเกียร์พี่โรม แต่นอกเหนือจากนั้นผมไม่เคยคิดไม่ดีกับมันเลย เมื่อวานนี้ผมก็ยังจะส่งไลน์หามันอยู่ แม้กระทั่งเมื่อกี้ก่อนที่จอยจะมาคุยด้วย ก็ผมไม่ใช่เหรอที่เข้าไปเช็คไอจีของบีบี๋เพื่อดูว่ามันกลับมาแล้วหรือยัง

แต่เอาเถอะ.... ขึ้นชื่อว่าเป็น ทิชา ทิชนันท์ พูดให้ตายก็คงไม่มีใครเชื่อ




“กินข้าวคนเดียวอร่อยไหม?”

ผมชะงักมือจากช้อนตักข้าวหมดอารมณ์กินต่อทันทีที่ใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เป็นอันว่าตอนนี้ผมเริ่มคุ้นกับน้ำเสียงยียวนของเดือนสถาปัตย์แล้วล่ะ เพราะแทบไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมามองก็รู้ได้ทันทีว่าคู่จิ้นจากแดนยมโลกกำลังตามมาหลอกลอนผมอีกจนได้

“ดูจากหน้าตาแล้วไม่น่าจะอร่อยเนอะ.... งั้นกูขอนั่งด้วยคนนะ” 

พูดเองเออเองไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำ ไอ้แดนก็ขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามยัดเยียดตัวเองมานั่งโต๊ะเดียวกับผมเสร็จสรรพ

“ตึกสถาปัตย์ไม่มีแคนทีนเหรอ ทำไมต้องถ่อมากินถึงนี่?”

“แคนทีนน่ะมี แต่ไม่มีคนชื่อทิชา..........” 

ประโยคนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มทีเล่นทีจริงตามเคย แต่พอผมยกส้อมขึ้นขู่จะจกลูกตาคนพูดออกมา ไอ้แดนก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อนโบกมือโบกไม้เป็นเชิงบอกว่าอย่าถือสาคนจิตไม่ว่างอย่างมันเลย   

“ปล๊าววว~ กูล้อเล่น กูหมายถึงก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ต่างหาก ร้านตามสั่งคณะมึงทำคั่วไก่อร่อยกว่าที่ถาปัด กูก็แค่แวะมากิน”

“ให้มันจริงเหอะ!”

“ก็ต้องจริงสิ”

พูดถึงเรื่องจริงไม่จริง ผมก็นึกถึงประเด็นร้อนที่คุยกับพี่โรมเมื่อเช้านี้ขึ้นมาได้ ผู้ต้องสงสัยยังคงยิ้มหน้าระรื่นเป็นลูกหมายักษ์พลางจ้วงเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก อันที่จริงผมก็ไม่ได้โมโหหัวร้อนมากมายนักหรอก ก็แค่ไม่เข้าใจว่าไอ้หมอนี่กำลังพยายามเล่นตลกอะไรกันแน่.... อีกอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิดก็คือ ไอ้แดนมันชอบวางท่าเหมือนว่าดูผมออกไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าผมจะพูดหรือทำอะไรก็คล้ายว่าอยู่ในสายตามันตลอดเวลา มีแต่ผมนี่แหละที่ดูมันไม่ออกเลย แม้แต่จะเดาว่ามันคิดอะไรอยู่ก็ยังมืดแปดด้าน

“แล้วเรื่องปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นน่ะจริงหรือเปล่า? มึงคงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม?” 

แค่ถามออกไปน้ำเสียงเย็นๆ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ถ่อมากินถึงสินกำก็ทำท่าจะเคี้ยวฝืดคอไม่อร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

“พี่โรมบอกกูว่ามึงทำอาหารเก่งมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่สุราษฎร์ก็เข้าครัวทำกับข้าวเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องอยู่เรื่อย.... ไม่มีทางที่มึงจะแยกผักชีกับคื่นช่ายไม่ออก แล้วก็ไม่มีทางที่มึงจะปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็นด้วย”

“เฮ้ย.......ไม่ใช่กูหรอก......เฮียแม่งจำผิดคนแล้วมั้ง........”

“ใครมันจะโง่จำญาติตัวเองผิดคนล่ะ?”

ผู้ร้ายปากแข็งปฏิเสธในตอนแรก หากพอผมย้อนกลับให้รู้ว่าไม่มีอารมณ์จะขำด้วย มันก็เปลี่ยนจากยืนกระต่ายขาเดียวมาเป็นหมอบกระแต ยกมือยอมแพ้เมื่อสกิลความตอแหลเดินมาถึงทางตัน

“แย่จัง ความแตกเร็วฉิบหาย.... ไม่คิดว่าจะโดนจับได้นะเนี่ย พอเป็นเรื่องมึงทีไร ทำไมกูไม่เคยมีดวงบ้างเลยวะ”

“แล้วอยู่ดีๆ มึงมาหลอกกูทำไม? ว่างมากนักเรอะ?”

“ก็นิดนึง.........” 

ก็อย่างที่บอก ถ้าจะให้ช่วยเหลือกันด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้ ต่อให้เป็นคนที่ผมเกลียดขี้หน้าก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ปัญหาก็คือผมไม่รู้ว่าไอ้แดนมันทำไปเพื่ออะไร ตอนนี้รู้แค่ว่าโมเมนท์สำคัญๆ ในชีวิตที่ผมเตรียมเอาไว้ให้พี่โรมนั้นโดนมันชิงตัดหน้าไปหมดแล้ว.... ถ้าไม่ได้ตั้งใจก็ไม่อยากว่ากัน แต่พอมารู้ทีหลังว่าตอแหล มันก็เหมือนเอารองเท้าแตะเน่าๆ มาตบหน้าผมกลางสี่แยกนั่นล่ะ

“มึงต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยเหอะ อย่ามาโกหกกันแบบนี้ กูไม่ชอบ”

“ถึงกูพูดตรง มึงก็ไม่ชอบหรอก.......”

“อย่ากวนตีนได้ไหม?”

อุตส่าห์คิดว่าจะไม่โกรธอยู่แล้วเชียว แต่ไอ้แดนกลับมาทำมองตาคว่ำใส่ผมอยู่ได้ ดูท่าทางจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนผิดที่มาหลอกผมก่อน

“ก็กูไม่เหมือนเฮียโรมนี่ แค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องดิ้นรน มึงก็เข้ามาคุยด้วย”

อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นว่ามันมาตัดพ้อผมเฉยเลย แถมยังลากพี่โรมเข้ามาเกี่ยวด้วยอีกต่างหาก ทำเอาผมมึนตึบจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความถึงเรื่องอะไร แล้วพี่โรมเกี่ยวข้องยังไงกับการที่มันมาโกหกผมว่าเลือกผักไม่ถูก ปอกเปลือกมันฝรั่งไม่เป็น

“จะใจร้ายกับกูไปถึงไหนวะ ทิชา.... ทุกวันนี้แค่กูเฉียดเข้าใกล้หน่อย มึงก็ตั้งการ์ดซะอย่างกับกูจะมาดักฉุด..........”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 13 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 17-01-2018 20:04:39
“พี่แดนนนน~ พี่ทิชาาาา~”

เสียงแปดหลอดทะลุแก้วหูดังมาแต่ไกล ก่อนที่เด็กสาวคนหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดตรงมายังโต๊ะที่ผมกับแดนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน ดูจากสภาพภายนอกแล้วผมเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งเพราะใส่กระโปรงพลีทยาวถึงหน้าแข้งกับรองเท้าผ้าใบสีขาว และก่อนที่จะได้มีใครถามอะไร คุณน้องก็ยกกล้อง DSLR ขึ้นจ่อหน้าพวกเราสองคนแบบไม่ให้เวลาตั้งตัวเตรียมใจ

“รูปเมื่อวานที่มีคนถ่ายลงในแท็ก #แดนทิชา มันไม่ค่อยชัดเลยค่ะ ขอหนูถ่ายชัดๆ สักใบนะคะ แล้วจะตั้งใจเรียนตลอดชีวิตเลยค่ะ”

“เฮ้ย น้อง.....ดะ.....เดี๋ยว..........!”

ไม่ทันแล้ว ผมได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นเต็มสองรูหู

“ขอบคุณมากนะคะ พี่สองคนน่ารักมากเลยอ้ะ เหมาะสมกันที่สุดเลย.... ขอให้รักกันไปนานๆ จนแก่เฒ่าเลยนะคะ พวกหนูจะคอยเชียร์พวกพี่เอง~”

และแล้ว รุ่นน้องคนนั้นก็ใส่เกียร์หมาแล้ววิ่งจากไปเร็วพอๆ กับตอนขามา เส้นเลือดในสมองผมตึงเปรี๊ยะเมื่อประมวลผลได้ว่ายัยเด็กนั่นจะต้องเป็นหนึ่งในพวกที่เคยคอมเมนท์ใต้รูปผมกับไอ้แดนในเพจคิวท์บอยมหาลัยแน่.... ผมไม่เคยชอบการถูกยัดเยียดจับคู่กับใครก็ไม่รู้แบบนี้เลย ยิ่งตอนนี้ผมมีพี่โรมอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีก ถึงจะอ้างว่าผมกับไอ้แดนเคมีเข้ากันมากขนาดไหนก็เถอะ

“ใจเย็นน่านะ ทิชานะ.........”

“เย็นบ้าเย็นบออะไรอีก กูใจเย็นกับแฟนคลับมึงมาหลายรอบแล้วนะ!”

“แฟนคลับมึงด้วย”

มันว่าเสียงอ่อย ประมาณว่าอยากกวนประสาทกลับแต่ก็กลัวว่าผมจะวีนแตก เลยได้แต่เถียงอ้อมแอ้มพลางม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากไปด้วย

“น้องเขาก็ชอบมึงเหมือนกันไง”

“เขาชอบมึง แต่ที่เขามาวุ่นวายกับกูก็เพราะไอ้แท็กแดนทิชาที่มึงชอบปั่นนั่นแหละ!” 

ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่พอใจมันอยู่ดี เรื่องไปแคสบทด้วยกันก็มากเกินพอแล้ว แต่อันนั้นถือว่าเป็นข้อตกลงที่ผมทำเอาไว้เองก็ยกผลประโยชน์ให้จำเลยไป.... ปัญหาก็คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือสัญญาของเรา ผมไม่เต็มใจจะเป็นเมียไอ้แดน ไม่ว่าจะในโลกจริงหรือในโลกมโนของใครก็ตาม และไอ้แดนก็ควรจะหยุดลากผมไปเป็นคู่จิ้นเพื่อเอาใจบรรดาแฟนคลับของมันได้แล้ว 

“กูเข้าใจนะแดนว่าที่มึงทำไปทั้งหมดก็เพื่อจะสร้างกระแสแบบเดียวกับตอนที่มึงประกวดเดือน แต่มึงช่วยเลิกปั่นให้คนอื่นเข้าใจว่ากูกับมึงเป็นอะไรๆ กันได้ไหมวะ.... ถ้าพี่โรมมาเห็นแล้วเขาจะรู้สึกยังไง เขาจะไม่คิดว่ากูแอบกิ๊กกับมึงทั้งๆ ที่นอนอยู่ห้องเขาเตียงเขาเหรอ?”

เดือนสถาปัตย์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นทีว่าข้าวเที่ยงของเราน่าจะเป็นม่ายกันทั้งคู่ เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อ ทีแรก ผมคิดว่าแดนมันก็คงจะแค่หัวเราะกวนประสาทกลับมาเหมือนเดิม แต่ทว่า เสียงหึในลำคอกับแววตาซึ่งจ้องมองมาก็บอกให้รู้ว่าผมอาจคิดผิด

มันโกรธผม....

“โธ่เอ๊ย ที่แท้มึงก็ห่วงว่าเฮียโรมจะเข้าใจผิดนี่เอง”

นายดรัณภพใช้เสียงสูงผิดปกติแถมยังกระแทกแดกดันใส่จนออกนอกหน้า หน่วยตาเรียวซึ่งมักฉายแววขี้เล่นอยู่เสมอแปรเปลี่ยนเป็นชำเลืองมองผมอย่างท้าทาย

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นมึงไม่ต้องกลัวหรอก เอาไว้ถ้าเฮียโรมโกรธที่มึงมาเล่นชู้กับกูเมื่อไร กูจะเป็นคนอธิบายให้เขาฟังเองว่ามึงน่ะเกลียดขี้หน้ากูจะตายห่า มึงยอมกัดลิ้นตายเสียยังจะดีกว่าเป็นเมียกู.... แบบนี้โอเคยัง?”

เมื่อได้ยินคำพูดคำจาคล้ายจะโทษว่าผมต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด ผมเองก็โมโหเหมือนกัน แต่ภายในความโมโหนั้นยังมีจุดเล็กๆ ที่เว้นเอาไว้สำหรับความใจหาย.... ไม่สิ อย่าเรียกว่าใจหายเลย ผมก็แค่คาดไม่ถึงว่าไอ้แดนจะตอบกลับมาแรงแบบนี้

“ประชดเหรอ?”

“ไม่ได้ประชด พูดจริง”  ไอ้แดนตอบ ในตอนนี้มันไม่ยอมมองหน้าผมแล้ว “ก็มึงเกลียดกูจริงๆ นี่”

“ตัวก็โต เสือกทำเป็นขี้น้อยใจ”

“ใช่ว่ากูจะเป็นแบบนี้กับทุกคนเสียเมื่อไร........”

มื้อกลางวันของผมเริ่มต้นแบบขมๆ ก่อนจะจบลงด้วยรสชาติเต่าถุย ถึงจะงอนห่าเหวบ้าบอด้วยสาเหตุที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องอะไร แต่ไอ้แดนก็ไม่ยอมไปไหนจนกระทั่งผมลุกขึ้นจากโต๊ะ มันเดินตามผมไปซื้อชานมปั่นที่ซุ้มข้างวงเวียนหน้าคณะ อ้างว่าอยากกินเหมือนกัน สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมอยู่กับมันตลอดทั้งช่วงพักเที่ยงก่อนจะแยกย้ายกันไปตึกเรียนของตัวเองเมื่อวิชาภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้น



ในตอนบ่ายของวันเดียวกันนั้น ปรากฏว่าไอ้บี๋มันกลับมาเรียนแล้ว....

(อดีต)เพื่อนสนิทผมนั่งอยู่ตรงมุมห้องด้านหลังสุด มีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่คุยด้วยเมื่อเช้านี้รุมล้อมอยู่ ผมไม่อยากคิดเยอะแล้วเครียดไปเองว่าบีบี๋กับพวกจอย เจนนี่ ฝ้ายกำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็เหมือนจะเดาออกอยู่รางๆ เมื่อหนึ่งในกลุ่มนั้นรีบสะกิดบอกให้คนอื่นๆ รู้ตัวทันทีที่เห็นผมก้าวเข้ามาในห้อง.... ผมพยายามไม่หันไปมองทางนั้น นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ในที่ประจำของตัวเอง หยิบสมุดออกมาวาดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยและทำสมองให้โล่งเข้าไว้ หากสุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้เมื่ออาจารย์ยื่นกระดาษเซ็นเช็คชื่อมาให้ผมเป็นคนแรกแล้วบอกให้ช่วยส่งต่อให้เพื่อนด้วย

พอเดินไปแถวที่นั่งด้านหลังถึงได้เห็นว่าบีบี๋มันใส่มาร์สกปิดหน้าอยู่ ในตอนนั้นผมนึกว่ามันคงไม่สบาย แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามเพราะดูท่าทางมันจะได้เพื่อนใหม่คอยช่วยดูแลเป็นที่เรียบร้อย

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์หามันจนได้....



Tisha_950701 : มึงไม่สบายเหรอ?

                      ไปหาหมอหรือยัง?



ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ข้อความที่ผมส่งไปก็มีตัวหนังสือเล็กๆ ขึ้นบอกว่าอีกฝ่ายกดอ่านแล้ว ทว่า รออยู่เป็นชั่วโมงจนเลิกเรียนก็ไม่มีวี่แววว่าบีบี๋จะตอบกลับ

โอเค.... เอาเป็นว่ามันคงไม่อยากคุยกับผมแล้วล่ะมั้ง

ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เพราะถ้าตัวผมอยู่ในสถานะเดียวกับมัน ถูกแย่งพี่โรมไปทั้งๆ ที่ตกลงคบและเปิดตัวกันไปแล้ว ผมก็คงสาปส่งไม่อยากคุยกับเพื่อนเหี้ยพรรค์นี้เหมือนกัน

ผมเองก็รู้ดีตั้งแต่ก่อนไปชิงเกียร์พี่โรมแล้วว่ามันต้องได้อย่างเสียอย่าง หรือไม่ก็เสียหมดหน้าตัก ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คือสิ่งที่ผมควรต้องยอมรับสภาพ

ขว้างก้อนหินใส่คนอื่นแล้วคิดเหรอว่าเขาจะโปรยข้าวตอกดอกไม้กลับมาให้.... ไม่มีทางเสียหรอก

.


.


.


ผมเดินสะโหลสะเหลลงบันไดตึกเรียนมาจนถึงหน้าคณะ เหนื่อยทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวสมองของผมมีแต่เรื่องไอ้บี๋กับเรื่องเล่าเมาท์มอยที่พวกสาวๆ พูดกับผมเมื่อเช้านี้ รวมถึงสายตาไม่เป็นมิตรซึ่งจ้องมองมาในตอนบ่ายจนแทบไม่มีสมาธิกับเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่เลย มาจับใจความได้อีกทีก็ตอนที่อาจารย์โยนแปลนห้องต่างๆ ภายในบ้านมาให้สามชุดแล้วบอกว่าต้องการให้นิสิตส่งงานทั้งหมดภายในศุกร์หน้า

แค่นี้ทิชนันท์ก็เห็นแววโต้รุ่งโดยมีขวดเอ็มร้อยอยู่เป็นเพื่อนลอยมาแต่ไกล

“มาสักที.... มิลค์ แม่อยู่นั่นไง ไปหาแม่กันเร็ว”

แทบไม่ต้องมองหา เจ้าของเสียงทุ้มที่เรียกชื่อลูกสาวผมก็โผล่มาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตสีขาวซึ่งถูกล่ามปลอกคอกับสายจูงใหม่เอี่ยม ทำเอาผมอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าจะเจอเซอร์ไพรส์ลูกใหญ่เท่าระเบิดปรมาณูหล่นใส่หัวกลางมหาวิทยาลัย.... บ้าไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าคนที่ทำท่าเหมือนจะไม่ค่อยถูกโรคกับแมวอย่างพี่โรมจะลากลู่ถูกังยัยมิลค์มาหาผมถึงหน้าคณะ....!

“พี่โรม ทำอะไรน่ะ!?” 

ผมถามเสียงดังจนเกือบกลายเป็นตะโกนในขณะที่วิ่งไปอุ้มมิลค์ขึ้นจากพื้น มันกลัวเสียงรถเสียงคนจนปีนป่ายขึ้นไหล่ขึ้นหัวผมวุ่นวายไปหมด กว่าจะปลอบให้อยู่นิ่งๆ ได้ก็แทบแย่

“กูซื้อไอ้นี่ให้มิลค์เอง น่ารักใช่ไหมล่ะ?” 

พี่โรมตอบพลางเสยผมแล้วยิ้มอวดชาวบ้านอย่างอารมณ์ดี ดูเจ้าตัวจะภูมิใจกับสายจูงสีเหลืองดอกทานตะวันที่ซื้อให้ลูกสาวมาก ทำให้นึกถึงตอนที่พี่โรมช่วยเลือกชุดไปงานแต่งพี่เกดให้ผมขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะคุยกันในตอนนี้ 

“ทิชา ปกติมึงไม่พามิลค์ออกมาเดินเล่นนอกบ้านเลยเหรอ? กูเห็นมึงมีของใช้ทุกอย่างเลยยกเว้นสายจูง แถมยัยตัวแสบนี่ก็ฤทธิ์มากฉิบหาย กว่าจะจับใส่สายจูงได้ก็เล่นเอามือไม้กูแหกหมดแล้วเนี่ย”

ว่าแล้วก็ยื่นมือให้ผมดู รอยเล็บแมวข่วนเต็มไปหมดอย่างที่พี่โรมว่าจริงๆ

“มิลค์มันเป็นแมวนะพี่ ไม่ใช่หมา.... แล้วชาก็เลี้ยงระบบปิดให้อยู่แต่ในบ้านด้วย ไม่ต้องพาออกมาเดินเล่นหรอก”

“อ้าว กูไม่รู้”

“เวลาพาไปหาหมอหรือร้านอาบน้ำก็แค่เอาใส่ตะกร้า ไม่ใช้สายจูง” 

ถ้าฟังจากที่ไอ้แดนเล่า บ้านพี่โรมที่สุราษฎร์ไม่น่าจะมีใครเลี้ยงแมวเลยเหมือนกัน ก็คิดเสียว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ถึงแม้ว่าพี่โรมจะเด๋อได้น่าเขกกะโหลกมากก็ตาม

“ว่าแต่พี่โรมพามิลค์ออกมาทำไม? มันกัดสายไฟที่ห้องเหรอ?”

“เปล่า.... กูกะว่าจะพามึงไปทำธุระด้วยกันหน่อย ก็เลยไม่อยากทิ้งลูกไว้ที่ห้องตัวเดียว”

“ไปไหน??”

คำว่าการบ้านกับแปลนห้องสามห้องที่อาจารย์เพิ่งให้มาเมื่อกี้ลอยเข้ามาในห้วงความคิดทันที ผมอ้าปากส่ายหัวเตรียมจะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ก็ยังช้ากว่าพี่โรมที่ดึงเอากระเป๋าสะพายและกระบอกใส่แบบดรอว์อิ้งของผมไปถือไว้เอง ก่อนจะเดินนำไปที่รถซึ่งจอดไว้ตรงลานกว้างฝั่งตรงข้ามคณะ ให้ผมอุ้มยัยมิลค์เดินตามไปแต่โดยดีห้ามหือห้ามอืออะไรทั้งสิ้น

“เร็วๆ ดิวะ ทิชา.... ถ้ามึงเดินช้า กูจะอุ้มทั้งแม่ทั้งลูกไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย”

เสียงพี่โรมก็ไม่ได้เบาเลย ผมสังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งแอบมองผมกับพี่โรมอยู่ห่างๆ พร้อมทั้งป้องปากซุบซิบกันไปด้วย.... ผมบอกตัวเองว่าอย่าไปแคร์ ไม่ต้องไปสนใจ คนที่เขาเกลียดผม ไม่ว่าผมจะทำดีหรือทำเลว เขาก็ยังจะเกลียดผมอยู่วันยังค่ำ สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การใส่ใจในเวลานี้คือจุดหมายปลายทางที่พี่โรมจะพาผมไปกับแรงดิ้นมหาศาลของอสูรกายสีขาวที่ผมกำลังอุ้มอยู่นี่ต่างหาก


ซึ่งผมก็คงทำได้แหละ ถ้าหากหนึ่งในกลุ่มคนที่จ้องมองไล่หลังผมนั้นไม่ได้มีบีบี๋รวมอยู่ด้วย


TO BE CONTINUE


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 17 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-01-2018 21:50:30
ใจนึงก็อยากก้าวลงเรือแดนทิชา แต่ก็ยังอยากเชียร์พี่โรมอยู่ดี ท่าทางบี๋คงไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 17 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 20-01-2018 23:52:49
BEE-BEE’s PART



“อะไรกันน่ะ.... ทำไมพี่โรมถึงไปกับทิชา? เขาเป็นแฟนบีบี๋ไม่ใช่เหรอ?"

เจนนี่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยปนไม่พอใจเมื่อเห็นทิชาเดินตามเฮียโรมไปขึ้นรถ

เวลานั้นผมรู้สึกเหมือนโดนจิกหัวไถลไปกับพื้นคอนกรีตแล้วให้รถทั้งมหาลัยเหยียบซ้ำ จากที่เฮียโรมเคยบอกว่าผมน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เห่อผมจะเป็นจะตายต้องโทรหาไลน์คุยกันแทบทุกชั่วโมง กลับกลายเป็นว่าเขาทั้งโกรธทั้งเกลียดผมเข้ากระดูกดำ แล้วเอาสิ่งควรจะเป็นของผมไปทุ่มเทให้ทิชาแทน.... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเฮียโรมจะยอมตัดขาดจากเบอร์ลิค ออกจากสายของเฮียรุจถึงแม้ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นแหล่งผลประโยชน์และคอนเน็คชั่นชั้นยอดของพวกวิศวะฯ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขายอมตัดทิ้งหมดทุกอย่าง ทั้งๆ ที่แค่กระชากเกียร์ออกจากคอไอ้ชามาคืนให้ผมก็จบเรื่องแล้ว


‘เร็วๆ ดิวะ ทิชา.... ถ้ามึงเดินช้า กูจะอุ้มทั้งแม่ทั้งลูกไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย’


เมื่อต้นสัปดาห์ ผมยังต้องบอกทางเฮียโรมอยู่เลยว่าบ้านไอ้ชาเลี้ยวทางไหนไปยังไง แต่ตอนนี้ เขากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมันอย่างเต็มตัว เหมือนว่ารักกันมาตั้งแต่แรก เหมือนว่าผมไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

มันเป็นความผิดพลาดของผมเองที่คิดว่า ถ้าไอ้ชาได้เห็นผมกับเฮียโรมรักกันแล้วมันจะรู้สึกพ่ายแพ้และยอมหลีกทางไป.... ผมประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ทิชาจะเสียไปไม่ได้ คิดไปเองว่ามันจะต้องหุบปากเงียบและยอมให้ผมอยู่เหนือกว่าเช่นทุกครั้ง คิดไปเองว่าเฮียโรมชอบผมมากกว่าใครทั้งหมด คิดไปเองว่าผมรู้เท่าทันทุกๆ คนในทุกๆ เรื่อง แต่พอรู้ตัวอีกที สองคนนั้นก็ไปไกลเกินกว่าที่ผมจะร้องแรกแหกกระเชอวิ่งตามทันแล้ว

“ตามไปคุยให้รู้เรื่องเถอะ บีบี๋.... ทำแบบนี้มันเหมือนจงใจหักหน้ากันชัดๆ!”

“ไม่ต้องตามไปหรอก”  ผมส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่สายตายังมองตามรถออดี้สีน้ำเงินที่ตัวเองเคยนั่ง  “เฮียโรมไม่ใช่แฟนเราแล้ว......”

“เอ๊ะ เลิกกันแล้วเหรอ??”

“อืม”

เอาจริงๆ นะ ผมไม่เคยเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกมาก่อนเลย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าการโดนทิ้งมันจะไม่ได้แค่เจ็บหรือเสียใจธรรมดา แต่มันยังมีความรู้สึกอับอายเสียหน้าพ่วงมาด้วยเมื่อทุกคนเอาแต่รุมซักไซ้ว่าเพราะอะไรเฮียโรมถึงไม่รักผมแล้ว

“ทิชาอีกแล้วสินะ?” 

เจนนี่แค่นเสียงขึ้นจมูก ในขณะที่ฝ้ายและคนอื่นๆ พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าต้องใช่อย่างที่คิดแน่ 

“ก็รู้อยู่หรอกนะว่าเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะกล้าทำแม้กระทั่งกับเพื่อนตัวเอง”

“บีบี๋อุตส่าห์เลือกคบทิชาเป็นเพื่อนแท้ๆ ทำไมยังทำได้ลงคอ!?”

“ก็ไม่อยากจะว่าถึงพ่อถึงแม่ แต่คนเรามันเติบโตมาในสภาพแบบนั้น ก็คงเห็นแม่ตัวเองทำจนชินก็เลยคิดจะเอาอย่างบ้างล่ะมั้ง”

ผมควรจะรู้สึกดีที่อย่างน้อยพวกเพื่อนผู้หญิงในภาคเดียวกันก็เลือกที่จะเข้าข้างผมมากกว่า เรื่องนี้จะมาว่ากันไม่ได้ในเมื่อตัวไอ้ชาเองนั่นแหละที่มีชนักปักหลังกับประวัติเน่าๆ ติดตัวมาก่อน พอเกิดเหตุซ้ำรอยเดิมๆ ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะหันมีดใส่มันทันที.... ผมเหยียดมุมปากพยายามจะยิ้มแต่เสือกเจ็บฉิบหาย เจ็บทั้งแผลที่มีมาร์สกปิดอยู่แล้วก็เจ็บที่หัวใจ เจ็บเสียจนผมคิดว่างั้นก็อย่าไปยิ้มแม่งเลย ถึงยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว

“อย่าไปว่าทิชามันเลย....” 

เกลียดชะมัดที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แต่ ‘ความจริง’ มันก็เห็นกันอยู่ตำตาจนหาทางแถเข้าข้างตัวเองไม่ไหว ทิชาชิงเกียร์ของเฮียโรมไปก็ใช่ แต่ถ้าแฟนผมไม่ยอมให้เสียอย่าง ต่อให้มีสักร้อยทิชาก็คงแย่งเอาไปไม่ได้

“ของอย่างนี้ตบมือข้างเดียวมันดังเสียที่ไหน เฮียโรมเขาชอบทิชามากกว่าเรา เขาก็ต้องเลือกคนที่เขาเห็นว่าดีกว่าสิ”

“พี่โรมเขาจะรู้ตัวไหมเนี่ยว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แทนที่จะได้แฟนดีๆ ก็ดันไปคว้าเอาคนร่าน 2018 มาทำแฟนซะงั้น!”

“ก็คงศีลเสมอกันแหละถึงจะคบกันได้.... อย่าไปเสียดายเลย ถือว่าฟาดเคราะห์ทำทานให้เพื่อนใจหมาไปก็แล้วกันนะ บีบี๋”


เพื่อนใจหมางั้นเหรอ?

หมายถึงใครกันล่ะ.... ผมหรือทิชา?




ผมบอกพวกเจนนี่ว่ามีธุระที่ต้องไปทำต่อก่อนจะขอแยกตัวออกมา การปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนและสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับผมอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ผมเหนื่อยแล้วก็เพลียเกินกว่าจะยิ้มประจบและปั้นเสียงสองให้กับทุกคนที่เข้ามาพูดคุยด้วย.... ถือเป็นโชคดีที่ผมมีมาร์สกบังอยู่ครึ่งหน้า ก็เลยไม่มีใครสังเกตเห็นเวลาที่ผมเบะปาก แค่นยิ้ม กัดริมฝีปากซ้ำวนเวียนไปมาอย่างกับคนเป็นโรคจิต ผมไม่ชอบความรู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้เลยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

เสียงข้างในหัวร้องบอกว่าผมเครียดมากเกินไปแล้ว หากผมก็ยังหาทางลงให้กับปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นไม่ได้....

“น้องบีบี๋รอนานหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ครับ บี๋เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เอง”

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคือพี่แจ็ค คู่แฝดในสายรหัสรุ่น 36 ของเฮียโรมซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ตัวคนเดียวแล้ว.... ผมเคยเจอเขาแล้วหนหนึ่งในตอนที่ไปถ่ายรูปเปิดตัวกับเฮียโรมที่ป้ายหน้าตึกวิศวะฯ ก็ไม่คิดนะการเจอกันครั้งที่สองจะเป็นเพราะพี่แจ็คต้องมาทำหน้าที่แทนแฝดรหัสซึ่งชิงตัดสายลาออกไปแล้ว

“ใส่หน้ากากทำไม เป็นหวัดเหรอ?”

“ไม่สบายนิดหน่อยครับ” 

ผมตอบพี่แจ็คเหมือนอย่างที่ตอบทุกคนในวันนี้ เขาดูกระอักกระอ่วนลำบากใจอยู่เหมือนกันแต่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมามันค้ำคอเกินกว่าจะแสดงความเห็นใจต่อคนป่วยทั้งกายและใจแบบผม

“เฮียรุจสั่งให้พี่มารับน้องบีบี๋ไปที่ร้าน คงรู้แล้วสินะ?” 

ร่างสูงโปร่งยื่นมือมาช่วยผมแบกเป้และกระบอกใส่ดรอว์อิ้ง 

“เฮียบอกว่าถ้าน้องบีบี๋อยากกินอะไรก็ให้ซื้อเข้าไปเลย เพราะกว่าเฮียรุจจะว่างไปส่งที่บ้านอีกทีก็คงดึกๆ โน่น.... เดี๋ยวเราแวะห้างใกล้ๆ นี้ก่อนก็แล้วกันนะ”

“ไม่ต้องแวะหรอก” 

ผมเอ่ยเสียงเรียบ พี่แจ็คหันมามองผมด้วยความสงสัย แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดอยากจะไดเอ็ท แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะเสนอหน้าไปเบอร์ลิคในสถานการณ์แบบนี้ด้วย 

“บี๋ต้องกลับบ้านเร็ว.... มีการบ้านอินทีเรียต้องทำ แล้วป๊ากับม้าก็โทรตามแล้วด้วย พี่แจ็คช่วยบอกเฮียรุจให้ทีสิว่าวันนี้บี๋ไม่ค่อยสะดวก”

ผมรู้ว่ามันฟังดูเหมือนข้ออ้าง แม้ว่าทั้งหมดที่พูดไปเมื่อกี้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม และมันไม่คงไม่ง่ายที่คนไม่สนิทกันอย่างพี่แจ็คจะยอมขัดคำสั่งรุ่นพี่เพื่อช่วยเด็กเมื่อวานซืนที่ทำให้แฝดรหัสของเขาทิ้งสายไปดื้อๆ

“มีงานอะไรก็เอาไปทำที่ร้านได้ ถ้าอยากกลับเร็วก็ลองคุยกับเฮียรุจดู.... ถ้าน้องบีบี๋มีเหตุผล เฮียเขาก็คงไม่ว่ามั้ง” 

พี่แจ็คพูดอย่างกับว่าเฮียรุจเป็นพี่ชายใจดีที่ผมจะเข้าไปออดอ้อนขอนั่นขอนี่ได้ง่ายๆ แต่ก็เอาเถอะ เพราะถ้าเขาออกหน้าช่วยผม เขาเองก็คงต้องเดือดร้อน 

“คุณพ่อน้องบีบี๋โกรธก็คงไม่น่ากลัวเท่าเวลาเฮียรุจโกรธหรอก.... เชื่อพี่แล้วไปด้วยกันดีๆ เหอะ อย่างน้อยก็ให้เฮียแกเห็นว่าน้องบีบี๋ไม่ได้คิดจะเบี้ยวหนี้ แล้วอย่างอื่นก็ค่อยว่ากันทีหลัง”

ในเมื่อพี่แจ็คพูดแบบนั้นแล้ว ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ....?



เมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นสองของโกดังหลังร้าน ปรากฏว่าเฮียรุจมานั่งรออยู่แล้ว เขาแกล้งทำเป็นแปลกใจที่เห็นผมก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่กับกรอบหน้าต่างแล้วเดินเข้ามาโอบไหล่ แม้จะสวมมาร์สกปิดช่วงจมูกกับปากเอาไว้แต่ผมก็ยังได้กลิ่นบุหรี่ DUNHILL กล่องแดงผสมกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟอย่างชัดเจน.... ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงรู้สึกตื่นเต้นไปกับกลิ่นและรังสีความอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเฮียรุจ ทว่า ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากหนีไปอ้วกมากกว่า

“นึกว่าเราจะไม่ไปเรียนเสียอีก”

“อย่ามาพูดเลย.......” 

ผมไม่ได้อยากจะหาเรื่องใส่ตัวด้วยการกวนตีนเจ้าของเบอร์ลิคหรอกนะ แต่พอเห็นเขาเสแสร้งทำเสมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ ผมก็อดพาลหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ 

“ที่ส่งคนไปเฝ้าหน้าตึกสินกำตลอดทั้งบ่ายก็เพราะรู้ว่าวันนี้บี๋จะมาเรียนไม่ใช่หรือไง?”

“เฝ้าเฝิ้วอะไรกัน น้องบีบี๋ก็พูดเกินไป.... เขาเรียกว่าไหว้วานรุ่นน้องให้ช่วยเป็นหูเป็นตา คอยดูแลความเรียบร้อยให้ต่างหาก”

“หรือเรียกอีกอย่างว่าคุมนักโทษไม่ให้หนี ถูกไหมครับเฮีย?”

เฮียรุจหัวเราะเบาๆ เหมือนชอบใจที่ผมกล้าย้อนเขา  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“บี๋ไม่กล้าเบี้ยวหนี้เฮียรุจหรอก แต่ตอนนี้บี๋ยังไม่พร้อม.......”

“พร้อมหรือไม่พร้อม เฮียเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่หน้าที่ของน้องบีบี๋”

รอยยิ้มแฝงเลศนัยของ ‘เจ้าหนี้’ กระแทกสายตาผมเข้าเต็มๆ แม้น้ำเสียงของเฮียรุจจะไม่ได้กรรโชกหรือพยายามขู่ให้ผมกลัวจนขี้ขึ้นสมองเหมือนกุ้ง ทว่า ไอ้คำพูดเปิดทางคล้ายจะให้ผมได้เป็นฝ่ายเลือกเองนี่แหละคือความน่ากลัวที่แท้จริง ก็คล้ายๆ กับเกมรัสเซียนรูเล็ต ถ้าเลือกถูกก็รอด แต่ถ้าเลือกผิดก็ถึงที่ตายในครั้งเดียว.... ซึ่งผมก็เลือกที่จะเล่นกับไฟมาตั้งแต่แรก และตอนนี้ก็กำลังจะโดนไฟคลอกตาย

ผมถอดมาร์สกออกแล้วโยนทิ้งลงกับพื้น ให้อีกฝ่ายเห็นสภาพแก้มช้ำยับเยินและรอยแผลแตกตรงมุมปาก ถ้าคำขอร้องของลูกหนี้อย่างผมมันไร้ความหมายนัก ก็เชิญทวงคืนสิ่งที่ผมทำฉิบหายเอาไว้ได้ตามใจชอบเลย

“งั้นเฮียจะเอายังไงก็มาว่าเลย.....”

“หืม? โดนใครตีมาน่ะ?”

เหตุผลที่ผมต้องใส่หน้ากากมาเรียนไม่ใช่เพราะเป็นหวัด แต่เพราะต้องปิดรอยแผลที่โดนป๊าฟาดด้วยฝ่ามือและกำปั้นเมื่อคืนนี้ ก็รู้ตัวอยู่แล้วล่ะว่าถ้ากลับไปบ้านต้องโดนแน่ ในเมื่อเฮียโรมอุตส่าห์ขุดหลุมระเบิดเตรียมเอาไว้ให้เสียขนาดนั้น

“จะใครก็ช่าง ไม่สำคัญสักหน่อย.... โอ๊ย!!”

ผมร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ดีๆ เฮียรุจก็ขยี้ริมฝีปากลงมาชนแผลเต็มๆ ความเจ็บแล่นริ้วไปถึงเส้นประสาทก่อนจะขยายตัวย้อนลงมาทั่วซีกแก้มจรดปลายคาง แผลซึ่งเริ่มแห้งไปบ้างแล้วถูกบดจนเลือดซึมกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้งอยู่ในลมหายใจ ผมนิ่วหน้าพยายามจะดีดตัวถอยหลังให้พ้นจากความเจ็บปวดแต่ติดตรงที่ท่อนแขนหนาคอยรั้งเอวของผมไว้ไม่ให้ขยับหนี ในขณะที่กลีบปากหนาบดเบียดมอบความทรมานแสบสันต่อเนื่องจนน้ำตาผมแทบเล็ด

“ก็คงไม่สำคัญหรอก ถ้าจูบโดนแล้วน้องบีบี๋ไม่แหกปากร้องขนาดนี้” 

ทำผมเจ็บจนสะใจแล้ว เฮียรุจก็ถอนจูบออกพลางกระตุกยิ้มเหี้ยมใส่ บ่งบอกให้รู้ว่านี่ก็แค่น้ำจิ้ม เทียบไม่ได้เลยกับของจริงที่กำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า 

“ไอ้อ้น มึงอยู่ข้างนอกหรือเปล่าวะ.... เอากล่องยาเข้ามาให้กูหน่อย!”

“กล่องยาไรครับเฮีย?”  คนข้างนอกตะโกนถามกลับมา

“ก็กล่องที่เวลามึงไปมีเรื่องกับพวกแมงดาคุมเด็กไซด์ไลน์แล้วต้องใช้ไงวะ ไอ้โง่!”

ไม่ถึงนาที ลูกจ้างของเฮียรุจก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลหน้าตาสมบุกสมบันประหนึ่งว่าเพิ่งผ่านสงครามในซีเรียมา ท่อนแขนแข็งแรงฉุดผมไปที่เตียงแล้วบังคับให้นั่งลง.... ผมไม่ได้วอรี่ตรงที่มันเป็นเตียง เพราะบนเตียงเดียวกันนี่แหละที่ผมจ่ายหนี้งวดแรกให้เฮียรุจเหมือนวางเงินดาวน์เมื่อไม่กี่คืนก่อน เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะให้เขาเก็บดอกเบี้ย ไม่พร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ.... ไม่พร้อมเลยจริงๆ.........

“อยู่นิ่งๆ”  เสียงทุ้มห้าวออกคำสั่งเมื่อผมเบี่ยงตัวหนีไม่ยอมให้มือใหญ่ประคองใบหน้าให้อยู่ภายใต้การควบคุม

“บี๋ทำเองได้ เฮียไม่ต้องยุ่ง.....” 

ผมปฏิเสธพลางหลบนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมา ผมไม่ได้เขิน แต่ไม่อยากให้เฮียรุจอ่านสายตาออกว่าผมกำลังคิดอะไรต่างหาก

“แล้วน้องบี๋มองเห็นปากตัวเองหรือไง เฮียบอกให้อยู่นิ่งๆ ก็อยู่เถอะ”

ผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง ทั้งที่ใจต่อต้านสุดพลังหากแขนขากลับหยุดนิ่งเหมือนเป็นอัมพาต.... หลังจากล้างแผลด้วยน้ำเกลือแล้ว คอตตอนบัตชุบด้วยยาเหลืองก็ไล้ไปตามแผล เฮียรุจไม่ได้เบามือกับผมนักหรอก ดูเขาจะชอบใจเสียด้วยซ้ำทุกครั้งที่ผมสะดุ้งทำหน้าเหยเก แน่ล่ะ ก็นอนด้วยกันมาแล้วหนหนึ่ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะมีความสุขได้ด้วยเรื่องแบบไหน

“มีอะไรอยากเล่าให้เฮียฟังไหม?” 

เฮียรุจถามผมหลังทำแผลเสร็จ

“เมื่อวานนี้เฮียฟังความข้างไอ้โรมไปแล้ว ทีนี้ก็เลยอยากลองฟังความข้างน้องบี๋ดูบ้าง?”

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” 

ผมตอบอย่างไม่แคร์ ราวกับว่าการเข้ามาและจากไปของเฮียโรมก็เหมือนฝุ่นเข้าตาซึ่งถูกน้ำล้างออกไปแล้ว 

“เฮียโรมเขาเอาเกียร์คืนจากทิชาไม่ได้เพราะเขาชอบมัน เขาไม่ได้ชอบบี๋แล้วก็เท่านั้น.... อ้อ ไม่สิ ต้องพูดว่าเฮียโรมไม่เคยชอบบี๋จริงๆ จังๆ มาตั้งแต่แรกถึงจะถูก...........”

“ฟังดูไม่ค่อยเฮิร์ทเท่าไรเลยนะ”

“ก็ไม่เฮิร์ท.... แค่ไม่คิดว่าเฮียโรมจะฉลาดน้อย”

เจ้าของเบอร์ลิคหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นจุดสูบ ควันสีเทาลอยฟุ้งในอากาศทำให้ผมรู้สึกแสบจมูกนิดหน่อย แต่ผมก็แสร้งทำเป็นว่าไม่สะทกสะท้าน ก็แบบเดียวกับที่แสร้งทำเป็นว่าตัวเองยังคงเป็นผู้ชนะอยู่และฝ่ายที่ทำพลาดก็คือเฮียโรมกับทิชา.... ผมคือบีบี๋ นโยบายของผมก็คือรอยยิ้มกับความน่ารัก ไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะมานั่งบีบน้ำตากอดแข้งกอดขาเฮียโรมขอให้เขากลับมาเหมือนอย่างที่ไอ้ชามันทำ

ปลายนิ้วยาวเกี่ยวสายสร้อยที่ผมสวมอยู่ หน่วยตาคมสะท้อนภาพเกียร์รุ่น 32 สลับกับใบหน้าเฉยเมยของผม.... เวรเถอะ ผมอุตส่าห์พยายามแทบตายที่จะทำเป็นว่าไม่ได้ผิดหวังสักเท่าไร ทว่า เฮียรุจก็ยังดูออกว่าอันที่จริงแล้วผมโคตรเจ็บ โคตรโมโห แล้วก็โคตรอยากแช่งชักหักกระดูกทุกคนที่ยัดเยียดเขียนคำว่า ‘ไอ้ขี้แพ้’ เอาไว้กลางหน้าผากผม

ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีตัวผมเองรวมอยู่ด้วย....

“จริงๆ แล้ว เฮียก็ไม่ได้อยากใจร้ายซ้ำเติมน้องบีบี๋นะ.... แต่ถึงจะเอาเกียร์ไปใช้แล้วยังคว้าน้ำเหลว หนี้ก็ยังคงเป็นหนี้อยู่ ดอกเบี้ยก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน เข้าใจใช่ไหมครับ?” 

คนเป็นเจ้าหนี้พูดจาเสียงนุ่มอย่างกับเห็นผมเป็นเด็กสามขวบที่โง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจเรื่องหนี้สิน.... ถูกแล้ว ผมยืมของๆ เฮียรุจมาใช้โดยตกลงว่าจะขอจ่ายด้วยร่างกาย เขาเองก็บอกแล้วว่าราคามันแพงมากจนไม่มีทางจ่ายจบในครั้งเดียวแต่ผมก็ยังรั้นจะเอาให้ได้เพราะคิดว่ายังไงก็คุ้ม ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเฮียโรมจะกล้าตัดขาดจากเบอร์ลิคและตัวผมจะต้องมาลงเอยอยู่กับหนี้หัวแตกซึ่งไม่รู้ว่าชาติไหนจะจ่ายหมด 

“แล้วหนี้ของน้องบีบี๋ก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้นด้วย เพราะไอ้โรมมันจะไม่กลับมาที่ร้านอีกแล้ว.... รู้ใช่ไหมว่าบ้านไอ้โรมมันค่อนข้างกว้างขวางแถวๆ สุราษฎร์ ชุมพร อะไรพวกนี้ ที่พ่อแม่มันเปิดรีสอร์ทได้ในแทบจะทุกเกาะก็เพราะมีคนใหญ่คนโตกับนักการเมืองท้องถิ่นคอยหนุนหลัง นี่เท่ากับว่าเฮียต้องเสียรุ่นน้องมือดีไปเพราะน้องบีบี๋คนเดียวเลยเนี่ย”

“แต่เฮียรุจเป็นคนบอกให้บี๋กดดันเขาเรื่องฝึกงานเองนะ.........”

“ใช่ เฮียเป็นคนบอก” 

ร่างสูงพยักหน้ารับ ทว่า รอยยิ้มที่ปรากฏบนเค้าหน้าคมเข้มกลับไม่ให้ช่วยให้ผมหายใจได้ทั่วท้องสักเท่าไร 

“แต่สุดท้ายคนที่ทำพังก็คือน้องบีบี๋ และเมื่อทำของเสียหายก็ต้องชดใช้คืนเป็นเรื่องธรรมดาถูกไหมครับ?”

“โอเค.... ที่นี่คือเบอร์ลิคนี่นะ ยังไงก็ต้องใช้กฎของเฮียรุจอยู่แล้ว” 

ป่วยการจะเถียงให้เหนื่อย ในเมื่อเข้าถ้ำเสือมาแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอด หรือไม่ก็โดนขย้ำตายคากรงเล็บตั้งแต่ยังไม่ทันได้หาทางหนี 

“จะเอาเปรียบกันยังไงก็ว่ามาเลย!”

“ฟังพูดเข้าสิ.... ใครจะไปกล้าเอาเปรียบน้องบีบี๋กันล่ะ?”

ผมแค่นเสียงในลำคอใส่คนซึ่งเคลมว่าตัวเองไม่กล้าเอาเปรียบ.... คุณคิดเหรอว่าคนที่เปิดร้านเหล้าบังหน้าแต่เบื้องหลังทำธุรกิจแทบทุกอย่างที่เป็นสีเทาถึงดำ ปกครองรุ่นน้องด้วยกฎเกณฑ์และศาลเตี้ยที่อุปโลกน์ตั้งขึ้นมา นิยามให้สวยหรูว่าเบอร์ลิคคือสวรรค์ของพวกวิศวะฯ โดยรุ่นพี่คณะวิศวะฯ เพื่อรุ่นน้องคณะวิศวะฯ จะมีความแฟร์กับคนนอกอย่างผมเหมือนๆ กับที่เขาแฟร์กับพวกน้องๆ ของตัวเอง?

คำตอบก็คือไม่มีทาง....

“จากหนี้เดิมหนึ่งล้าน จ่ายดาวน์มาแล้วแสนนึงด้วยการให้เฮียเปิดซิง เหลือเก้าแสน เพิ่มหนี้ที่ทำให้ไอ้โรมตัดสายออกจากเบอร์ลิคไปอีกหนึ่งล้าน เท่ากับว่าหนี้ของน้องบีบี๋ตอนนี้มีอยู่หนึ่งล้านเก้าแสนบาทถ้วน” 

ผมฟังอีกฝ่ายพูดถึงตัวเลขด้วยหัวสมองว่างเปล่า เงินเยอะขนาดนี้ต่อให้แอบเอาทองในตู้เซฟที่บ้านไปขายก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้หมดหรือเปล่าเลย 

“ถ้าหาเงินสดมาจ่ายไม่ได้ก็ให้จ่ายด้วยร่างกายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้ถ้าไม่ได้ไปนอนกับใคร เฮียจะให้ครั้งละสองหมื่น แต่ถ้าน้องบี๋ไปผ่านมือคนอื่นมาหรือเกิดหาผัวใหม่ได้กลางทาง ราคาก็จะตกลงไปอีก.... และทุกครั้งที่เฮียเรียกให้มานอนด้วย ถ้าน้องบี๋ปฏิเสธไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามจะต้องเสียดอกเบี้ยเป็นค่าปรับอีกครั้งละหนึ่งแสน”

เฮียรุจแจกแจงเงื่อนไขให้ฟังอีกครั้งหลังจากที่ผมทำให้ยอดหนี้เพิ่มมาอีกเป็นเท่าตัว ดูเขาจะมีความสุขมากทีเดียวที่ได้เห็นผมจนตรอกสิ้นฤทธิ์ ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ถ้าได้ครั้งละสองหมื่นก็แค่เก้าสิบห้าครั้งเอง แปบเดียวก็หมดหนี้แล้ว”

“แล้วถ้าบี๋ตายก่อนล่ะ?”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ.... แต่ถึงน้องบี๋ตาย เฮียก็ยังมีทางเก็บหนี้ต่อจนกว่าจะครบจำนวนเงินอยู่ดี” 

เฮียรุจว่าก่อนจะชูโทรศัพท์มือถือซึ่งเขาใช้ถ่ายวิดิโอตอนผมเสียตัวครั้งแรกให้ดู รู้ทันทีว่าถ้าหากผมคิดจะเบี้ยวหนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม คลิปจัญไรนั่นจะต้องปลิวว่อนไปทั่วอย่างแน่นอน ต่อให้ผมตาย เฮียรุจก็คงใช้มันไปเรียกเอาเงินจากป๊ากับม้าจนได้

“ไม่ต้องห่วงนะ ระหว่างนี้รุ่นน้องเฮียจะคอยดูแลน้องบีบี๋เป็นอย่างดี มีรถรับส่งไปกลับบ้าน-มหาลัยแล้วก็มาที่นี่ อยากได้อะไรก็บอก อยากกินอะไรก็ได้กินทุกอย่าง.... แต่เอาเท่าที่ร้านเดลิเวอรี่จะมาส่งให้ได้นะ”

และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ยังใช้หนี้หนึ่งล้านเก้าแสนไม่หมด ผมก็คือสัตว์เลี้ยงของเฮียรุจ....

ผ้าขนหนูเยินๆ ถูกโยนมาให้พร้อมกับคำสั่งที่ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามอย่างว่าง่าย

“ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วออกมานี่ เดี๋ยวพี่ๆ ที่โรงพักจะแวะมาคุยกับเฮียเรื่องค่าเปิดโต๊ะบอลเพิ่ม.... เสร็จเร็วก็ได้กลับบ้านเร็ว แต่ถ้าน้องบี๋ทำเฮียลงไปคุยงานสายจะให้นอนเฝ้าร้านอยู่บนนี้ทั้งคืนเลย”

ผมจัดการตัวเองที่ใต้ฝักบัวในห้องน้ำเล็กๆ ด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที เมื่อกลับออกมาอีกครั้งเฮียรุจก็ถอดเสื้อรออยู่แล้ว รอยสักรูปปีกนกอินทรีกางเต็มแผ่นหลังให้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ว่าเขาคือผู้นำของเบอร์ลิคและเป็นผู้ล่าโดยสัญชาตญาณ.... และยามเมื่อผมนอนอยู่ใต้ล่างระหว่างที่เขาจิกทึ้งเนื้อหนัง ผมก็ไม่ต่างอะไรกับนกหนูตัวเล็กๆ ซึ่งมักตกเป็นเหยื่อและลงท้ายด้วยความตายอย่างโดดเดี่ยว

ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดแล่นไปยังทุกส่วนของร่างกาย ความโกรธเกรี้ยวแค้นเคืองในใจผมก็ยิ่งเดือดพล่านตามไปด้วย.... ผมนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาแล้วเฝ้าตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าทิชายอมรับว่าตัวเองแพ้แต่แรกแล้วไม่เข้ามาแย่งเฮียโรม ถ้ามันถ้ามันจะยอมอยู่เงียบๆ แล้วให้ผมได้เป็นฝ่ายมีความสุขบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้

แต่แล้วความคิดของผมก็หยุดชะงักลงเมื่อเฮียรุจตอกย้ำกลับมา

“อย่างน้อยจนกว่าจะหมดหนี้ น้องบีบี๋ก็ยังได้อยู่ในฐานะสะใภ้วิศวะฯ สมใจอยาก แถมยังเป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคด้วย.... จำเอาไว้ ทีหลังก็อย่าไปอิจฉาใครเขาพร่ำเพรื่อนักล่ะ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทตัวเอง.........!”


......ไม่ใช่เพราะทิชาหรอก คนที่ทำให้ผมเจ็บก็คือตัวผมเองต่างหาก......
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 17 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 20-01-2018 23:58:37
TISHA’s PART



รถ Audi A5 Coupe’ เลี้ยวเข้ามายังลานจอดของวิลล่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งติดกับชายหาดบางแสนแค่ถนนกั้น ผมก้าวลงมาจากรถแล้วสูดอากาศไอทะเลจนเต็มปอดอยู่ด้านนอกอาคารระหว่างที่พี่โรมเข้าไปติดต่อทำเรื่องเช็คอินเข้าห้องพัก.... ยังงงไม่หายว่าอยู่ดีๆ ตัวเองมาโผล่อยู่แถวนี้ได้ยังไง เพราะเท่าที่จำได้ พี่โรมบอกว่ามีธุระสำคัญที่ต้องทำและอยากให้ผมมาด้วยกัน แต่พอขึ้นรถ ผมก็มัววุ่นวายอยู่กับการจับยัยมิลค์ใส่ตะกร้าแล้วปลอบให้มันเงียบจนเหนื่อย ผมว่าผมเผลอหลับไปแค่แปบเดียว หากพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็มองเห็นถนนเลียบชายทะเลอยู่ลิบๆ แล้ว

“บ้านเราอยู่ข้างหน้าฝั่งโน้นเลย.... ไปกันเถอะ”

ไม่ถึงสิบนาที พี่โรมก็กลับมาพร้อมกุญแจบังกะโลที่จองเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เขาพาผมตรงไปยังบ้านพักสไตล์รีสอร์ทสีขาวหลังใหญ่ที่สุดแต่ก็ตั้งอยู่ในโซนที่ไกลที่สุดเช่นกัน.... เห็นได้ชัดว่าพี่โรมแอบจัดการเรื่องนี้ในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ แถมยังอุตส่าห์หยิบเสื้อผ้าของผม รวมถึงของใช้ของมิลค์มาให้เสร็จสรรพ จนถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าคุณผู้ชายของผมกำลังอารมณ์ไหน ถึงได้หอบลูกหอบเมียออกจากกรุงเทพฯ มาบางแสนแบบไม่มีแพลนล่วงหน้าเลยสักนิด

ถึงจะกังวลเรื่องงานที่อาจารย์สั่ง แต่ผมก็ยังอยากชื่นชมดื่มด่ำบรรยากาศบังกะโลซึ่งเราจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนคืนนี้.... ก็บ้านพักสไตล์รีสอร์ทหนึ่งห้องนอนทั่วไปนั่นแหละ เปิดประตูเข้ามาก็เป็นห้องนั่งเล่นตกแต่งอย่างดี มีครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหาร มีห้องน้ำและระเบียงสำหรับรับลมชมวิวทะเลทางด้านหน้าหาด ถึงจะอยู่ค่อนข้างไกลจากรีเซฟชั่นและห้องอาหารแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวมาทดแทน และบ้านหลังนี้ยังเป็นหลังเดียวของวิลล่าที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วย

เห็นพี่โรมบอกว่าปกติแล้วจะมีร้านขายอาหารทะเลสดๆ อยู่ตรงแหลมแท่นในตอนเช้า แต่เพราะวันนี้เรามาถึงช่วงเกือบหัวค่ำแล้ว เขาก็เลยพาผมออกไปซื้อกุ้งหอยปูปลาจากเพิงเล็กๆ แถวอ่างศิลาแทน.... วิลล่าที่เข้าพักมีเตาบาร์บิคิวพร้อมอุปกรณ์ปิ้งย่างให้ ดูท่าทางไม่น่าจะใช้ยาก เราเลยตกลงกันว่าจะซื้อแค่กุ้งกับปูกลับไปทำเอง ส่วนพวกข้าวผัดกับของกินอย่างอื่นก็สั่งจากร้านแถวนั้นเอา


“นี่ไง เวลาจุดไฟก็เอาเศษไม้มาสุมให้เป็นกระโจมตรงกลางเตาก่อน พอไฟติดแล้วค่อยเอาถ่านก้อนเล็กๆ ลงไปสุมเพิ่ม พอไฟติดจนทั่วก็เทถ่านก้อนใหญ่ที่เหลือลงไปได้เลย ง่ายจะตายไป”

พี่โรมสาธิตวิธีจุดเตาให้ดูเพราะผมบอกว่าทำไม่เป็น ถึงแม้ว่าที่ทางวิลล่าเตรียมเอาไว้ให้จะเป็นเตาบาร์บิคิวแบบฝรั่งซึ่งเปิดช่องลมด้านล่างได้ แต่ก็ยังต้องอาศัยการเผาถ่านไม้อยู่ดี ร่างสูงทำไปอธิบายไปใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจก็จุดไฟจนเสร็จเรียบร้อย ทำเอาผมอึ้งอ้าปากค้างเพราะแค่ตัวเองจะใช้ไฟแช็คแบบหมุนๆ ให้ไม่ร้อนนิ้วยังยากเลย

“ทำไมพี่โรมเก่งจัง?”

“เก่งตรงไหนวะ.... มึงไม่เคยเข้าค่ายลูกเสือหรือไง?”

“ไม่เคยอะ ชาเรียนอินเตอร์.... เคยแต่ไปแคมป์ขี่ม้าที่เมืองกาญ ไม่งั้นก็ไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์หรือไม่ก็ออสเตรเลียโน่นเลย”

“อ้อ ลืมไปว่าคนที่กูพามาด้วยคือคุณหนูทิชา”

เขาแกล้งแหย่ผมก่อนจะหยิบพวกของสดที่ซื้อมาไปทยอยปิ้งอย่างรู้งาน ปล่อยให้ผมจัดการแกะพวกอาหารปรุงสุกจากร้านใส่จานไปตามเรื่องตามราว.... ผมไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้มาก่อน เวลาไปทริปกับโรงเรียนส่วนมากก็พักในโรงแรมสี่ดาวอัพตลอดเลยไม่ค่อยได้สมบุกสมบันมากนัก ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นเวลาพี่โรมทำอะไรที่ดูเหมือนว่าผมจะสามารถฝากชีวิตเอาไว้กับเขาได้

ผมกับพี่โรมจากคนละขั้วกันโดยสิ้นเชิง เราถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมคนละแบบ ผมคิดอย่างหนึ่งในขณะที่พี่โรมคิดอีกอย่าง เรื่องที่เขาถนัดมักจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่เรื่องที่ผมทำได้ดีก็เป็นเรื่องที่พี่โรมทำไม่ได้เลย.... ผมชอบที่เขาดูพึ่งพาได้แล้วก็มีมุมแปลกๆ ซึ่งผมคาดไม่ถึงแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เห็น อย่างเรื่องซื้อสายจูงมาให้มิลค์ พอเอาเข้าจริงมันก็ใช้ได้แฮะ ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องขังลูกเอาไว้ในบ้านพักระหว่างที่เราสองคนกินข้าวอยู่ข้างนอก

“กินเยอะๆ นะลูกสาว กินแล้วก็รักพ่อจ๋าให้มากๆ ด้วยล่ะ”

พี่โรมแกะเปลือกกุ้ง ยีเนื้อจนละเอียดแล้วเอาไปให้ยัยมิลค์ซึ่งโดนผูกสายจูงเอาไว้กับเสาข้างบันไดทางขึ้นบ้านใกล้ๆ กับตรงที่เรานั่ง ให้มันวิ่งเล่นตะปบนู่นนี่ตามประสาแมวแต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตาที่ผมมองเห็นและคอยดูแลได้

“พอได้แล้ว พี่โรม.... อย่าตามใจมิลค์มันมากนักสิ” 

ผมรีบห้ามเมื่อคุณผู้ชายทำท่าจะเอากุ้งอีกจานไปเติมให้แมวหลังจากที่มันเพิ่งกินเซ็ตแรกหมดไป ปกติแล้วผมไม่กล้าเลี้ยงมิลค์ด้วยอาหารคนเลย ในคู่มือเลี้ยงแมวที่อ่านจากอินเตอร์เน็ตเคยบอกเอาไว้ว่ามันจะทำให้แมวติดนิสัยขโมยอาหารบนโต๊ะ อีกอย่างคือกลัวว่าพอลำไส้มันย่อยลำบากแล้วจะไม่สบายด้วย

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มิลค์ชอบก็ให้มันกินเยอะๆ เหอะ.... กินแล้วเดี๋ยวมันก็วิ่งเบิร์นจับคางคก ไม่อ้วนหรอก”

“ชาไม่ได้กลัวแมวอ้วน แต่ให้มันกินอาหารคนมากๆ มันจะนิสัยเสีย อีกหน่อยมีหวังได้ปีนขึ้นโต๊ะกินข้าวเราแน่ๆ”

“ปีนก็ปีนสิ กูอนุญาตซะอย่าง”

“พูดขนาดนี้แล้วยังจะสปอยล์แมวอีก........”

“กูก็สปอยล์ทั้งแม่แมวลูกแมวนั่นแหละ.... ขยับมานั่งนี่เลย กูแกะปูเอาไว้ให้แล้ว เลิกบ่นแล้วก็กินซะ” 

กลายเป็นว่าผมโดนพี่โรมดุซะงั้น ก่อนที่ก้ามปูกับเนื้อกรรเชียงย่างสุกแกะเปลือกทิ้งเรียบร้อยจะถูกยื่นส่งมาให้

 “กินเข้าไปเยอะๆ เวลากอดจะได้มีเนื้อมีหนังนุ่มๆ หน่อย ผอมจะแย่อยู่แล้ว”

“ผอมตรงไหน.... เขาเรียกว่าหุ่นลีนต่างหาก”

“ลีนบ้าบออะไรล่ะ อย่างมึงน่ะเขาเรียกเด็กขาดสารอาหาร”

หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่ได้เถียงอะไรอีกเพราะพี่โรมไม่เปิดโอกาสให้พูด แค่อ้าปากก็โดนสารพัดของกินยัดทะนานใส่จนเคี้ยวกลืนไม่ทัน ซ้ำยังโดนบ่นอีกว่ามัวแต่เคี้ยวเอื้องกินช้าแถมกินน้อยอีก.... เอาเป็นว่าไม่ต้องถามหาความคุ้ม พี่โรมจะไม่พาผมไปกินร้านไหนก็ตามที่เป็นบุฟเฟ่ต์อย่างแน่นอน

พอกินมื้อเย็นและเก็บกวาดดับเตาย่างเสร็จ ผมก็ปลดสายจูงแล้วอุ้มยัยมิลค์ที่ทั้งกินและเล่นจนเหนื่อยไปไว้ในห้องนอน คิดในใจว่าพอกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องรีบพามันไปร้านอาบน้ำให้ไวที่สุด เพราะในตอนนี้สี่เท้าของลูกสาวตัวดีกลายเป็นสีเทาดำสกปรกไปหมด.... แต่ถึงจะหน้ามุ่ยงอแงเรื่องพี่โรมทำแมวผมตัวเหม็น ผมก็แฮปปี้มากนะที่เขาเอ็นดูมิลค์ แถมยังเรียกตัวเองว่าพ่ออีก มันเหมือนกับว่าในที่สุดผมก็เจอโอเอซิสของตัวเองเสียทีหลังจากที่ระหกระเหินอยู่ในทะเลทรายมานาน และผมก็อยากหยุดช่วงเวลาที่มีแต่เรื่องดีๆ เอาไว้แบบนี้ตลอดไป

“ทิชา.... ลูกหลับแล้วเหรอ?”

“อืม มันกินอิ่มพุงกางขนาดนั้น วิ่งเล่นไม่ไหวแล้วล่ะ”

“งั้นก็ปล่อยมิลค์นอนในห้องนี่แหละ ส่วนมึงออกมาข้างนอกนี่มา”



หาดบางแสนอยู่ห่างจากที่พักเราแค่ข้ามถนน เวลาตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วจึงไม่มีพวกเก้าอี้ผ้าใบ ร่มหลากสีสันและรถเข็นขายของแน่นขนัดจนรกหูรกตาเหมือนอย่างช่วงเย็นที่ผ่านมา มีแค่แสงไฟจากโคมริมถนนส่องพอให้เห็นทางเดินและภาพทะเลยามค่ำคืน นอกจากพวกผมแล้วยังมีลูกค้าจากวิลล่าอีกสอง-สามคนเดินเล่นอยู่ไม่ไกล ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัวของกันและกัน.... พี่โรมจูงมือผมแล้วพาเดินไปยังหาดทราย น้ำกำลังขึ้นได้ที่พอดีและลมทะเลก็ค่อนข้างแรงพอสมควร ผมรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่พี่โรมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตติดมือมาด้วย เขาก็เลยใช้เสื้อตัวนั้นคลุมไหล่ให้ผม

“ที่บอกว่าอยากให้มาด้วยกันคือมาเที่ยวทะเลเนี่ยเหรอ?”

พี่โรมพยักหน้า ระหว่างที่คลื่นเล็กๆ ลูกหนึ่งม้วนตัวมาโดนข้อเท้าของเรา แล้วจึงกลับคืนสู่ผืนน้ำตามวัฏจักรของมัน

“แล้วนึกยังไงอยู่ดีๆ ถึงพาชากับมิลค์มาล่ะ?”

“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากมา........”

“ไม่ยักรู้ว่าคนเรียนวิศวะฯ ก็มีอารมณ์ติสท์กับเขาเหมือนกัน”

ผมแกล้งหยอกเขาบ้างก่อนจะหันไปมองใบหน้าหล่อจัดของคนที่ผมหลงรักจนหมดหัวใจ ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ มองเผินๆ อาจดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่า ภายในแววตาสีเข้มกลับปิดบังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ไม่มิด.... แน่นอนว่าผมไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะนั่นมันขึ้นอยู่กับว่าผมจะสำคัญมากพอที่พี่โรมจะยอมแชร์ความรู้สึกให้ฟังด้วยหรือเปล่า

“เวลาคิดถึงบ้านที่สุราษฎร์แต่ยังกลับไปไม่ได้ กูก็ชอบมาบางแสนนี่แหละ เอาแค่มีบรรยากาศทะเลคล้ายๆ กันก็พอใจแล้ว”

“งั้นตอนนี้พี่ก็กำลังคิดถึงบ้าน?”

“ไม่เชิงว่ะ.......” 

แรงกระชับจากฝ่ามือใหญ่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทว่า มันกลับทำให้ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายของผมสั่นสะเทือนรุนแรง 

“กูแค่อยากพักผ่อนสมอง ช่วงนี้แม่งรู้สึกล้าๆ เพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้ สงสัยจะเหนื่อยเกินไป”

ถึงแม้พี่โรมจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นก็คือผมเอง.... นับตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันในงานแต่งพี่เกด คำสารภาพรักที่น่าอึดอัดซึ่งมาพร้อมกับความผิดหวังที่ผมไม่อาจทำใจยอมรับ ท้ายที่สุดมันก็เถิดกลายเป็นการชิงเกียร์ ผมทำให้พี่โรมถูกคนอื่นตราหน้าว่านอกใจแฟน ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่แอบมีใจให้ผม ทว่า การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงด่าเสียงนินทาจากผู้คนรอบข้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยนักหรอก

ผมเบียดตัวเข้าไปกอดพี่โรม ประสานมือตัวเองไว้ด้านหลังบั้นเอวของร่างสูงพลางซบหน้าลงบนผืนอกกว้าง....

“ชาขอโทษนะที่ทำให้พี่โรมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป..........” 

สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นตราบาปอยู่ในใจทั้งผมและเขา ไม่ว่าในอนาคตเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเช่นเวลานี้หรือไม่ แต่ถึงยังไงความผิดที่ผมก่อเอาไว้ก็จะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้ 

“ชารู้ว่าตัวเองก็ทำไม่ถูก ทั้งเรื่องเข้าไปชิงเกียร์พี่โรมที่เบอร์ลิค ทั้งเรื่องที่พูดขู่ว่าจะไม่ยอมคืนเกียร์เพื่อบังคับให้พี่โรมเลิกกับไอ้บี๋.... ถึงจะอ้างว่าทำไปเพราะรัก แต่มันก็คือความเห็นแก่ตัวของชานั่นแหละ แล้วชาก็เสียใจที่ทำให้พี่โรมต้องถูกคนอื่นๆ มองไม่ดีไปด้วย.........”

“กูไม่ได้พูดเพื่อเอาใจมึงนะ ทิชา แต่กูไม่สนหรอกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้จักกู และกูก็ไม่เคยรู้จักเขาจะคิดยังไง” 

พี่โรมกอดผมตอบ แผ่นอกหนากระเพื่อมไหวยามเมื่อชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนแบบเดิมๆ ที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนแล้วหนเล่า 

“คนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.... กูขอยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยนะว่าจริงๆ แล้วกูดีใจฉิบหายเลยที่มึงคิดว่ากูคือคนที่มีค่าน่าแย่งขนาดนั้น”

ร่างหนาพูดติดตลกก็จริง ทว่า น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของเขากลับแฝงความจริงจังยิ่งกว่าตอนกำลังพูดถึงโปรเจกต์ที่ต้องทำส่งเทอมนี้เสียอีก

“มึงคือความเหนื่อยที่กูเต็มใจรับเอาไว้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”

ทำยังไงดี.... ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรักพี่โรมมากขึ้นจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด จะเปรียบเทียบว่ามันมากกว่ำนวนเม็ดทรายทั้งหาด มากกว่าน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรก็ไม่รู้ว่าจะฟังดูเวอร์ไปไหม แต่ที่แน่ๆ ก็คือความรักมันล้นท่วมหัวใจผมจะไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ตรงไหนแล้ว

“แล้วมึงล่ะ ทิชา.... ที่มหาลัยยังโอเคอยู่ใช่ไหม?”

“ไม่ถึงกับไม่โอเคหรอก แต่ก็ชินแล้ว.........” 

ผมนึกถึงคำพูดของเจนนี่ และเพื่อนกลุ่มใหม่ของบีบี๋ นึกถึงข้อความไลน์ที่ตัวเองส่งไปหาอดีตเพื่อนแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมตอบกลับมา.... ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ใครๆ ก็คงรู้ว่าโกหก แต่ผมก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเท่านั้น ก็อย่างที่บอกว่าผมเองก็ขว้างก้อนหินใส่บีบี๋มันเหมือนกัน แล้วจะกล้าหวังให้มันยิ้มรับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง 

“ถึงไอ้บี๋มันจะสารภาพว่าจงใจจะคบกับพี่โรมเพราะรู้ว่าชาชอบพี่ แต่ถ้ามองจากมุมของมัน ชาก็คือคนหน้าด้านที่แย่งแฟนเพื่อนมาเป็นของตัวเอง.... ถ้าไอ้บี๋มันหายโกรธแล้วยอมกลับมาเป็นเพื่อนชาเหมือนเดิมก็ดี แต่ถ้ามันไม่หาย หรือความโกรธของมันกลายเป็นความเกลียด ชาก็คงได้แต่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั่นล่ะ”

“กูขอโทษนะ ทิชา........” 

อยู่ๆ คำขอโทษซึ่งผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินก็หลุดจากปากร่างสูงซึ่งกอดผมเอาไว้แน่น เสียงหัวใจของพี่โรมเต้นแรงจนผมได้ยินเสียงตึกตักเป็นจังหวะก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อนเอ่ยความในใจออกมาบ้าง 

“อันที่จริง กูน่าจะบอกเลิกบีบี๋ตั้งแต่จบคืนแรกที่เรามีอะไรกันแล้ว ไม่ควรรอจนกระทั่งมึงสองคนต้องมาทะเลาะผิดใจกันเลย.... ตอนนั้นกูแม่งเป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ มัวแต่คิดว่าเพราะตัวเองขอคบกับบีบี๋ไปแล้วก็ไม่ควรเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน กูรู้ตัวว่าใจกูเอียงไปหามึงแต่ก็เสือกปอดแหกเกินกว่าจะยอมรับว่าหลงรักคนที่ตัวเองขีดเส้นเอาไว้ให้แค่น้องชาย แถมกูยังเคยพูดปฏิเสธเองกับปากว่าไม่ได้รักมึง............”

“ตอนแรก กูยังแอบคิดด้วยนะว่าที่มึงจงใจเข้ามาชิงเกียร์ก็เพราะอยากแก้แค้นที่กูไม่รับรักมึง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพราะมึงแค่ต้องการให้กูกับบีบี๋เลิกกันเพื่อความสะใจ แต่หลังจากที่เห็นมึงร้องไห้เรื่องที่บ้าน ความคิดของกูก็กลับตาลปัตรชนิดร้อยแปดสิบองศาเลย............”

หัวใจผมเต้นแรงไม่แพ้ของพี่โรม เผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บไปหมดเมื่อความรู้สึกนึกคิดของชายหนุ่มถาโถมเข้ามา.... ผมไม่กล้าหวังว่าพี่โรมจะบอกรัก ผมไม่กล้าคิดว่าคนที่ถูกทอดทิ้งและเหยียบย่ำมาตลอดชีวิตอย่างผมจะกลายเป็นคนสำคัญสำหรับใครได้ ขอแค่เขารู้ว่าผมรักเขามากเหลือเกินก็พอแล้ว


“มึงก็แค่ต้องการความรักจากกู และกูเองก็เริ่มหลงรักมึงเข้าแล้ว.........”



“พี่โรม.......?” 

ให้ตายเถอะ ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย นี่ถึงขั้นต้องกัดปากตัวเองแรงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังละเมอฝันอยู่ด้วยซ้ำ 

“พี่พูดจริงเหรอ?? พี่ไม่ได้แกล้งโกหกให้ชาดีใจเล่นใช่ไหม??”

“มาหาว่าโกหกซะงั้น นี่มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย?” 

พี่โรมคลายอ้อมกอดออกเพื่อที่จะได้สบสายตามองหน้าผมให้ชัดๆ แม้ความมืดรอบด้านจะโรยตัวจนแสงโคมไฟริมถนนซึ่งส่องอยู่ลิบๆ นั้นเกือบฉายมาไม่ถึงพวกเรา หากผมก็เห็นความจริงใจผ่านดวงตาของพี่โรมชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

“ความผิดที่มึงพูดถึงเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ของมึงแค่คนเดียวแล้วนะ ในฐานะที่กูเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีบทลงโทษอะไรก็ขอให้กูเป็นคนรับมันเอาไว้ก็แล้วกัน.........”

“ไม่ได้หรอก แบ่งกันคนละครึ่งสิ” 

ผมว่าก่อนจะโดนปลายนิ้วยาวดีดหน้าผากใส่ดังโป๊ะจนต้องนิ่วหน้า

“คิดว่าเป็นไอติมหรือไง จะมาขอแบ่งกันคนละครึ่งน่ะ?”

เวลาแบบนี้ พี่โรมยังมีแก่ใจจะทำให้ผมหัวเราะได้อีก.... เขาจับมือผมแล้วเราก็ออกเดินด้วยกันอีกครั้ง สายลมจากทะเลพัดขึ้นชายฝั่งยังคงหนาวเย็นทะลุผ่านเสื้อผ้ากระทบโดนผิวกาย แต่ทว่า มันกลับทำอันตรายต่อหัวใจที่ถูกโอบกอดจนอบอุ่นของผมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“จากนี้ไป กูก็เหลือแค่มึงแล้วนะ ทิชา”

อยู่ดีๆ พี่โรมก็พูดขึ้นมา เขาตัดสินใจที่จะเล่าให้ผมฟังว่าธุระสำคัญซึ่งทำให้เขาหายหน้าไปตลอดวันเมื่อวานนี้คืออะไร ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือยังมีอะไรที่ผมควรจะรู้อีก แต่เพียงแค่นี้มันก็มากพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าพี่โรมจริงจังกับความสัมพันธ์ของเราสองคน 

“เมื่อคืนนี้กูบอกเลิกบีบี๋ ขอลาออกจากสายของเฮียรุจและจะไม่เข้าไปที่เบอร์ลิคอีก”

“ลาออกจากเบอร์ลิคด้วยเหรอ.....?”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ กูโอเคหรอกน่า”

“แต่ชาไม่อยากให้พี่โรมมีปัญหา............” 

ผมเว้นคำว่า ‘โดยเฉพาะกับพี่รุจ’ เอาไว้ แต่ดูเหมือนพี่โรมจะรู้ว่าผมหมายความถึงใคร

“ไม่มีปัญหาหรอก ต้องเรียกว่ากูตัดปัญหาออกไปจากชีวิตเสียมากกว่า” 

ร่างสูงบอกพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวลทั้งนั้น 

“เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง.... กูก็แค่เลือกที่จะอยู่กับมึงไง”

ถ้าถามว่าพี่โรมเก่งเรื่องไหนมากที่สุด ผมคงต้องขอตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าเขาเก่งเรื่องการทำให้หัวใจผมละลาย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผมคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียหมด

“ชาไม่ได้ดีขนาดนั้นสักหน่อย........” 

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่าจะดีใจแต่ก็อดคิดถึงชื่อเสียงเน่าๆ ของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยังกลัวว่าพี่โรมจะต้องมาโดนรุมเกลียดเหมือนอย่างที่ผมโดนอยู่เป็นประจำ

“มึงมีดีมากกว่าที่ใครๆ รู้” 

พี่โรมบอกพลางโอบไหล่ผมราวกับจะปกป้องไม่ให้ถ้อยคำว่าร้ายกล้ำกรายผ่านมาให้ได้ยินอีก และนับจากนี้ไป ผมก็ควรที่จะฟังเพียงความจริงจากเขาคนเดียวเท่านั้น 

“ไอ้พวกนั้นมันโง่ต่างหากที่มองไม่เห็นความน่ารักของมึง.... ซึ่งจะว่าไปก็ดีแล้วแหละ เพราะไม่อย่างนั้น มึงก็คงมีแฟนไปนานแล้วและไม่มีทางเหลือรอดมาจนถึงมือกูแน่”

เจ้าของมือใหญ่เกลี่ยปอยผมที่ปรกตรงหน้าผากและข้างแก้มออกให้ ก่อนที่กลีบปากหยักจะแนบประทับลงมาเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงให้ผมได้รับรู้.... หัวใจของเราเต้นประสานกันท่ามกลางเสียงคลื่นสาดซัด กลิ่นอายความรักอบอวลเคล้าไปกับไอทะเลยามค่ำคืน และสิ่งเหล่านี้จะถูกสลักลงในห้วงความทรงจำของผมไปตราบจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่

“ขอบใจมากนะที่คืนนั้นมึงมาชิงเกียร์ของกูไป.... เพราะถ้ามึงไม่ทำ เราสองคนก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างในตอนนี้”

“พี่โรม....ชาจะร้องไห้อยู่แล้วนะ..........” 

เสียงผมสั่นเครือ ก้อนสะอื้นไหลขึ้นมาจุกลำคอเมื่อข้างในอกมันพองโตไปหมด ต่อมน้ำตาซึ่งหมู่นี้ตื้นบ่อยเหลือเกินก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องจนอยากจะมอบเหรียญดีเด่นให้

“ก็ร้องไปดิ.... แต่ให้ร้องครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ เพราะจากนี้ไป กูจะไม่ยอมให้มึงเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว”   

พี่โรมแกล้งหยิกแก้มเปียกชุ่มของผมบิดไปบิดมาราวกับเห็นเป็นก้อนมาร์ชเมลโล่ เราสบตากันอีกครั้งเพื่ออำลาอดีตที่ผ่านเลยไป และสัญญาว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาหลังจากนี้ด้วยกัน ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม 

“ไม่สิ.... ต้องพูดว่า ‘จากนี้ไป พี่จะไม่ยอมให้ทิชาเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว’ ต่างหาก”

พี่โรมเปลี่ยนคำแทนตัวที่ใช้คุยกัน บ่งบอกว่าผมไม่ใช่คนที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้เป็นเพียงแค่น้องชายอีกแล้ว....


“เราสองคนเป็นคนรักกันแล้วนะครับ ทิชา”


คำพูดนั้นมาพร้อมกับจูบหวานๆ ซึ่งแนบลงบนริมฝีปาก

พยานรักของเราก็คือหมู่ดาวบนท้องฟ้า สายลม เกลียวคลื่นและหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข.... จูบของพี่โรมในคราวนี้มีเพียงกลีบปากซึ่งแตะลงมาอย่างแผ่วเบา ไม่ร้อนแรงชนิดที่ทำให้เข่าอ่อนยืนไม่อยู่ ไม่สอดลิ้นปลุกอารมณ์เพื่อหวังจะให้ปลายทางไปจบลงที่เตียง เขาจูบผมอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม จูบเพียงเพื่อให้ผมได้รับรู้ว่าเขาเองก็รักผมจนหมดหัวใจเช่นเดียวกัน

......และผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ......

.

.

.

“พี่โรม.... ปิดไฟเหอะ”

“ไม่เห็นต้องอายเลย ยังไงพี่ก็เคยเห็นของเราหมดทุกส่วนแล้ว” 

คนรักของผมแกล้งหยอกหลังจากที่เขาลอกคราบถอดเสื้อผ้าผมออกหมด และสายตาเจ้าชู้ซึ่งกวาดมองไปทั่วร่างเปลือยเปล่าก็กำลังทำให้ผมเขินจนอยากจะเอาหมอนกดหน้าตัวเองหนีอายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด 

“เมื่อวานเราก็ทำกันตอนเช้า สว่างโล่งโจ้ง เห็นชัดกว่าเปิดไฟดวงส้มๆ นี่อีก”

เหมือนเมื่อกี้ผมจะบอกว่าเราแค่จูบกันเฉยๆ ไม่ได้กะจะมาจบกันด้วยเรื่องบนเตียงใช่ไหม.... ทีแรกมันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ทั้งผมและพี่โรมก็ยังหนุ่มยังแน่นเป็นวัยรุ่นตอนปลาย จูบกันไปจูบกันมา ฮอร์โมนก็เริ่มทำงานจนหมดอารมณ์จะเดินเล่นริมทะเล แต่อยากจะเล่นอย่างอื่นที่สนุกกว่าเอาเท้าแช่น้ำแช่ทรายแทน

แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง ผมก็เลยรู้สึกขัดๆ เขินๆ ยังไงชอบกล มิหนำซ้ำในห้องนี้ก็ไม่ได้มีแค่ผมกับพี่โรมด้วย....

“ก็มิลค์มันมองอยู่...........”

ผมพูดถึงดวงตาวาวๆ ของยัยลูกสาวซึ่งสะท้อนแสงไฟกลับมาเป็นจุดกลมๆ สองจุดจากตรงปลายเตียง

“โธ่ ที่แท้แม่แมวก็อายลูก” 

พี่โรมหัวเราะลั่น ดูท่าทางเขาคงจะไม่เคยเจอใครที่เรื่องเยอะแถมยังชอบคิดอะไรประหลาดๆ อย่างผมแหง 

“แมวมันมองเห็นในที่มืดได้ดีไม่ใช่เหรอ ถึงพี่ปิดไฟให้แต่ลูกมิลค์ก็ยังเห็นแม่มันโดนปล้ำอยู่ดี”

“แต่ชามองไม่เห็นมันไง”

“ถ้าอายนัก งั้นก็คลุมโปงเอาไว้ก็ได้” 

ว่าแล้วมือใหญ่ก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมร่างของเราทั้งคู่จนมิด ตัดจากโลกภายนอกให้เหลือเพียงแค่ผมกับพี่โรมซึ่งแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน.... แน่นอนว่าทัศนวิสัยยังคงชัดเจนเพราะไม่ว่าจะพูดยังไง พี่โรมก็ไม่ยอมปิดสวิทช์ไฟตรงหัวเตียง 

“เมียพี่ทั้งขาวทั้งหอมขนาดนี้ รับรองเลยว่าอีกไม่นานยัยมิลค์ได้มีน้องแน่”

“พูดแบบนี้อีกแล้ว ก็บอกว่าท้องไม่ได้ไง”

“ก็ไม่แน่.... เผื่อว่าทำบ่อยๆ วันละหลายๆ รอบแล้วจะฟลุค”

ผมเบะปากใส่ร่างสูงซึ่งคร่อมทับอยู่ด้านบน ขี้เกียจจะเถียงกับแฟนที่มีตรรกะความคิดแปลกพอๆ กันให้เหนื่อย เพราะไม่ว่าเขาจะทำยังไง จะอยากกอดอยากจูบผมเอาไว้นานหรือบ่อยครั้งแค่ไหน ผมก็ไม่คิดจะขัดขืนบ่ายเบี่ยงอยู่แล้ว

ความสุขของพี่โรมก็คือความสุขของผม

และผมก็คงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า ถ้าคนที่ทำให้พี่โรมรู้สึกมีความสุขได้ก็คือตัวของผมเอง

.

.

.

คืนนั้น พี่โรมกอดผมและมอบความรักให้จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึง ผมเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากทอดกายให้เขาได้เชยชม และรองรับความรู้สึกเบาหวิวสลับหนักหน่วงที่คนรักมอบให้จนต้องกรีดเสียงครางเป็นระยะ ในที่สุดก็ผลอยหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งและช่วงล่างตรงหว่างขาก็แฉะชื้นไปหมด

อย่าว่าแต่อ่านข้อความเลย ผมไม่มีแรงแม้กระทั่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าแบตหมดไปแล้วหรือยังด้วยซ้ำ

ซึ่งถ้าผมมีสติเหลือพอสักนิด ผมก็คงเห็นไลน์ที่ใครบางคนส่งมาหาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน


   Mr.Dan :  ที่จะไปแคสละครด้วยกันพรุ่งนี้ มึงไปรถกูเลยก็ได้นะ

                      เดี๋ยวกูไปรับมึงที่ห้องเฮียโรมตอนแปดโมง

            อย่าลืมแต่งตัวน่ารักๆ นะ 


            *สติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม*



TO BE CONTINUE

 :katai1:

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 21-01-2018 04:14:43
สงสารบี๋มากจริงๆนะหวังว่าชีวิตจะดีกว่านี้นะ ให้มันเป็นบทเรียนเเล้วกัน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 21-01-2018 12:17:30
อยากให้หวานกันแบบนี้ไปนานๆ อย่าพึ่งมีเรื่องอะไรเข้ามาเลย
ส่วนบีบี๋นี่คิดว่าคงไม่จบกับทิชาง่ายๆหรอก เสียไปซะขนาดนั้น
แล้วนายแดนนี่คิดกับทิชาเกินเพื่อนใช่มั้ย อย่ามาสร้างปัญหาให้โรมกับทิชานะ
#ทีมโรมทิชา นะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-01-2018 14:51:17
อ้าว ทิชาลืมนัดแดนไปซะแล้ว
ทิชากับเฮียโรมเปิดใจคุยกันแบบนี้ก็ดีนะ หวานกันไปนานๆนะ อย่าเพิ่งดราม่าเลย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-01-2018 16:35:18
ยังไงก็โรมทิชาค่ะ สงสารแดนก็จริงแต่เราว่าต้องมาม่าเพราะแดนแน่ๆเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 22-01-2018 01:54:30
แอบเชียร์บี๋กะพี่รุจนะ ดูร้ายๆเข้ากันดีอ้ะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 22-01-2018 14:38:25
แดนเป็นจุดเปลี่ยนเหตุการณ์ ในเรื่อง ทิชาจะทำยังไงจะโดนแดนทำอะไรบ้าง ยังไงทิชาก็ต้องรีบผิดชอบสัญญาที่ให้ไป งานนี้ทิชาได้ทานมาม่าชามโตเลยป่าวเนี่ย  :mew2:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 27-01-2018 21:45:02
11
~ ไม่รัก... ไม่ต้อง ~


DAN's PART



“สวัสดีตอนเช้า แดนนี่ นี่แดนเอง~ ตอนนี้กำลังจะออกจากคอนโดฯ แล้วครับทุกคน ไว้เจอกันที่สตูดิโอน้า~~”

“แล้วก็ที่แดนเคยบอกเอาไว้คราวก่อนว่าวันนี้มีเซอร์ไพรส์ รับรองว่าเพื่อนๆ จะต้องร้องว้าวแน่ อย่าลืมติดตามไลฟ์ออดิชั่นได้ทางเพจเฟซบุคของซีรีส์เรื่อง ‘สงครามคิวท์บอย’ นะคร้าบบบบ~~”


ผมกดปุ่มโฮมปิดหน้าจอไอจีหลังจากที่ไลฟ์ทักทายแฟนคลับยามเช้าเสร็จเรียบร้อย ฟีดแบ็คยอดวิวและจำนวนหัวใจที่ได้รับยังคงทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนเช่นทุกครั้ง.... เคยมีคนบอกว่าผมน่ะเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ อันนี้คงต้องขอแก้ข่าวนะ เพราะอันที่จริงแล้วผมก็ทำแค่เรื่องที่ตัวเองชอบ แต่ผมแชร์ความชอบของตัวเองให้โลกรับรู้ด้วยก็เท่านั้น ผมไม่เคยฝืนทำอะไรเพื่อเอาใจใคร บรรดาคนที่มาติดตาม เขาก็แค่ชอบไลฟ์สไตล์และการแสดงออกของผมเท่านั้นเอง ไม่เห็นเกี่ยวกับที่ว่าผมเป็นโรคชอบเรียกร้องความสนใจตรงไหน

พูดก็พูดเถอะ การจะเรียกตัวเองว่าเน็ตไอดอลได้ ผมก็ต้องมั่นใจในรูปร่างหน้าตาตัวเองพอสมควร อันนี้ตำแหน่งเดือนสถาปัตย์ปีสองก็พอจะการันตีได้อยู่.... ปกติแล้ว ผมชอบแต่งตัวเซอร์ๆ ให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจแต่ง แต่ความจริงคือโคตรตั้งใจและใช้เวลาอยู่หน้ากระจกนานกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก โดยเฉพาะวันนี้ที่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อเซ็ตผม โกนหนวดให้เนี้ยบเรียบกริบและลองเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรื่อยจนกว่าจะเจอชุดที่เข้าท่าที่สุด ซึ่งมันก็เป็นไอ้ชุดเดิมชุดแรกที่ผมรีดแขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละ

ให้ตายเถอะ ขนาดวันประกาศผลโหวตเดือนคณะตอนปีหนึ่ง ผมยังไม่เห็นตื่นเต้นแบบนี้เลยสักนิด....


ผมหยิบกระเป๋าพร้อมด้วยแฟ้มรูปถ่ายและเอกสารประกอบการสมัครก่อนจะเดินไปรับตัวต้นเหตุของความตื่นเต้นที่แท้ทรู.... ก็ไม่ได้หวังหรอกว่าทิชาจะลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืดเหมือนผม ดีไม่ดีจะเจอมันเพิ่งตื่นหน้ามุ่ยอารมณ์เสียแล้วก็บ่นเสียงงุ้งงิ้งตลอดเวลาแบบตอนที่มาทำซุปไก่แก้หวัดให้ แต่ขึ้นชื่อว่าเบ้าหน้าพรีเมียมระดับตัวท็อปของมหาวิทยาลัย วิชวลในวิชวลอย่างไอ้ทิชา ต่อให้ใส่เสื้อยืดย้วยๆ กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะหนีบ ผมก็คงจะยังคิดว่ามันน่ารักที่สุดในกาแล็กซี่อยู่ดี

และถึงมันจะเกลียดขี้หน้าผมยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด สำหรับผม ไม่ว่ายังไง ทิชา ทิชนันท์ ก็คือสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘ความรัก’

“ทิชา...........”

ผมลองเคาะประตูห้องเฮียโรมพลางเอ่ยเรียกคู่นัดเมื่อกดกริ่งไปแล้วสองรอบแต่ไม่มีเสียงตอบ และไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูด้วย

“เฮ้ย ทิชา ตื่นหรือยังวะเนี่ย?”

ผมทั้งเคาะประตูและเร่งเสียงเรียกให้ดังขึ้น แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก.... ห้องเฮียโรมก็เป็นคอนโดฯ หนึ่งห้องนอนขนาดเท่ากับของผม ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าถ้าโดนกระหน่ำเคาะเบอร์แรงขนาดนี้ ให้เมาหัวทิ่มหลับเป็นตายยังไงก็ไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินเสียงเลย

ห่าเอ๊ย ไอ้ตัวท็อปมหาลัยแม่งเล่นผมแล้วไหมล่ะ....!?

“รับสายสิวะ ทิชา......ขอร้องล่ะ มึงอย่าแกล้งกู.......”

ผมคอลไลน์ไปเป็นสิบครั้งแต่ทิชาก็ไม่รับ พอเอะใจเลื่อนหน้าจอลงมาดูข้อความที่ตัวเองส่งไปเมื่อคืน ปรากฏว่ามันยังไม่อ่านเลยด้วยซ้ำ

ความเครียดก่อตัวมืดครึ้มหนักอึ้งอยู่เหนือหัวเหมือนเมฆฝน การถูกเบี้ยวนัดเอาดื้อๆ ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของผมเลย แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทิชาไม่ได้เต็มใจจะไปออดิชั่นเป็นนักแสดง ขนาดผมส่งตากล้องสโมสรนิสิตไปตามถ่ายรูปมันในงานโอเพ่นเฮาส์เทอมที่แล้ว มันยังเดินหนีไม่ยอมให้ถ่ายเลย.... แต่เหนือกว่าความไม่เต็มใจก็คือเราสัญญากันแล้ว ไม่ใช่แค่สัญญาธรรมดาแต่เป็นเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนที่มันจะต้องทำตาม ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ และทิชาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเล่นไม่ซื่อกับผมแบบนี้เลยด้วย

ผมยังคงกดกริ่งต่อไป ในขณะที่กดโทรศัพท์ต่อสายหาทิชาและแนบหูกับบานประตูห้องเฮียโรมเพื่อฟังเสียงว่ามีใครอยู่หรือไม่ ทว่า ข้างในห้องเงียบกริบคล้ายไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แม้แต่น้องมิลค์ก็ไม่น่าจะอยู่เช่นกัน

“เหี้ยจริง..............”

ผมเปลี่ยนมาโทรหาญาติผู้พี่ของตัวเอง โทรเข้าเบอร์ติดแต่ไม่มีคนรับสายก็เลยโทรซ้ำอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เก้าโมงเกือบครึ่ง งานออดิชั่นแคสบทละครเริ่มไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ผมอ่านกำหนดการรับสมัครผ่านทางหน้าเฟซบุคของสถานีอีกครั้ง โต๊ะลงทะเบียนผู้สมัครจะปิดรับตอนเที่ยงและหลังจากนั้นจะเป็นการเรียกเข้าเทสต์หน้ากล้อง.... ยังพอมีเวลาให้รอได้อยู่ และผมก็เลือกที่จะรอจนกว่าทิชาจะมา


'พี่แดนอยู่ไหนค้าาาาา T__T'

'พี่แดนมองเห็นป้ายไฟไหมอะ พวกเราทุกคนมาให้กำลังใจพี่นะคะ'

'น้องแดนนี่อยู่ไหนแล้วคะ? ยังไม่มาอีกเหรอ?'

'ไหนพี่บอกว่าออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่แปดโมงแล้วไงคะ ยังมาไม่ถึงเหรอ?'

'พี่แดน นี่มันจะสิบเอ็ดโมงแล้วนะคะ ตกลงพี่จะมาจริงไหมเนี่ย?'



ผมอ่านข้อความที่ถล่มเข้ามาในไอจีอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มีคนแท็กภาพบรรยากาศสถานที่ออดิชั่นมาให้ดู แฟนคลับของผมหลายสิบชีวิตไปยืนถือป้ายไฟรอเชียร์บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ แรกๆ พวกเขาก็ยังดูร่าเริงกันดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป แดดร้อนมากขึ้นและผมก็ยังไม่โผล่หน้าไปให้เห็นสักที ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องอารมณ์เสียเป็นธรรมดา

แต่ถ้าไม่มีทิชา ผมก็ไม่อยากไปแล้ว....


'พี่แดนจะไม่โกหกพวกหนูใช่ไหมคะ?'

'อย่าทำให้พวกเราใจเสียแบบนี้สิ.... รีบๆ มาเถอะนะ พี่แดน'

'โดนหลอกให้รอเก้อนี่มันไม่สนุกนะ น้องแดน'

'พี่อุตส่าห์โดดงานมา......'

'พวกหนูโดดเรียนพิเศษมาเพื่อพี่......'




ผมรู้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้ตั้งใจจะกดดันหรือใช้คำพูดตัดพ้อต่อว่าผมหรอก เขาก็แค่ทวงถามในสิ่งที่ผมบอกออกจากปากตัวเองว่าจะทำ แต่ผมก็ยังเกลียดการถูกไซโคจากทั่วทุกสารทิศแบบนี้อยู่ดี

สุดท้ายก็ต้องยอมเคลื่อนตัวออกจากคอนโดและบึ่งรถไปถึงสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็มย่านทาวน์อินทาวน์ก่อนจะไม่ทันเวลา.... ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บใจและโกรธมากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่แฟนคลับซึ่งอุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้ผมต้องมาร่วมรับผิดชอบและผิดหวังไปด้วย ผมยังคงเป็นไอ้แดนคนเดิมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผมรักแฟนคลับผมพอๆ กับที่รักหน้าตาของตัวเอง และต่อให้ข้างในจะพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี ผมก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับรู้และซึมซับมลพิษจากความนกซ้ำซ้อนของผม

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่คนอย่างแดน ดรัณภพต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

และสาเหตุของความฝืนใจก็มาจากไอ้สิ่งเล็กๆ หน้าสวยๆ แต่ใจร้ายฉิบหายที่เรียกว่า ‘ความรัก’ นั่นเอง....

.

.

.

หลังจากขึ้นทางด่วนและขับปาดหน้าชาวบ้านจนโดนสรรเสริญบุพการีมาตลอดทาง ผมก็มาถึงสตูดิโอช่องเอ็มเอาตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบพอดิบพอดี รถคัมรี่สีดำของผมแทรกตัวจอด (แน่นอนว่าซ้อนคัน) เสร็จเรียบร้อย สองขายาวๆ ก็รีบบึ่งมายังด้านหน้าอาคารซึ่งถูกกั้นไว้เป็นสถานที่ยืนรอสำหรับแฟนคลับ.... อันที่จริง ผมจะเดินเข้าตึกทางด้านหลังไปเลยก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่คนใจร้าย ถึงไอ้ทิชาจะใจร้ายกับผมแต่ผมก็จะไม่ทำกับคนอื่นหรอก เพราะความใจร้ายเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลกับบุคคล ไม่ใช่โรคติดต่อสักหน่อย

“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับ ทุกคน”

ทันทีที่เห็นหน้าผม ใบหน้าซึ่งบูดบึ้งเพราะความร้อนแผดเผาผสมกับความโมโหและเหน็ดเหนื่อยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง พร้อมๆ กับที่เสียงกรีดร้องดังสนั่นประหนึ่งว่ากำลังดูคอนเสิร์ตอยู่ในอิมแพ็คอารีน่า

“พี่แดนนนนนน!!!”

“อร๊ายยยยย พี่แดนมาแล้ววววววว!!!!!”

“ฮืออออออ หนูนึกว่าพี่จะไม่มาซะแล้วอะค่ะ”

“พอดีมีธุระด่วนนิดหน่อยก็เลยมาช้า แต่ก็มาแล้วนะ.... คนเก่งของพี่แดนไม่ร้องไห้นะครับ”

ผมยกมือไหว้รอบทิศเป็นการขอโทษแล้วส่งทิชชู่เช็ดน้ำตาให้แฟนคลับวัยมัธยมที่ค่อนข้างคุ้นหน้า น้องคนนี้เข้ามาเมนชั่นคุยในไอจีผมแทบทุกวันจนจำได้ ก็อย่างที่บอกว่าคนพวกนี้ก็เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง ผมทนเห็นพวกเขาผิดหวังและเดินจากไปโดยที่มีความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับนายแดน ดรัณภพไม่ได้หรอก

“แค่เห็นพี่แดนมา พวกเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ”

มีแฟนคลับขอไฮทัชก่อนที่ผมจะเข้าไปยื่นใบสมัคร ผมก็ตามใจแตะมือกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมีน้องคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา

“ว่าแต่เซอร์ไพรส์ที่พี่แดนบอกในไลฟ์ตั้งแต่คราวก่อนมันคืออะไรเหรอคะ?”

“เอ่อ.........”

คำถามนั้นทำเอาผมนิ่งชะงักไป ถึงตัวผมจะมาที่นี่ได้ทันเวลาแต่เซอร์ไพรส์ที่ว่านั่นกลับไม่รู้หายหัวไปอยู่ไหน.... คิดสิคิด ไอ้แดน มึงจะโชว์ยัดกำปั้นเข้าปากหรือโชว์กินป๊อกกี้แนวขวางก็ได้ หรือไม่ก็ตะโกนออกไปเลยว่าเรือแดนทิชาแม่งล่มไปแล้ว เพราะไอ้ทิชามันบังอาจมองข้ามหัวมึง แถมยังได้พี่ชายมึงเป็นผัวเบอร์ล่าสุด รับรองว่าเซอร์ไพรส์ยาวตั้งแต่เบตงไปถึงแม่สายแน่

“น้องผู้ชายคนนั้นจะมาสมัครแคสบทหรือเปล่าคะ.... ถ้าใช่ก็รีบๆ มาทางนี้เลยค่ะ ทีมงานจะเก็บโต๊ะ ทยอยเรียกแคนดิเดทเข้าเทสต์หน้ากล้องทีละคนแล้ว”

โชคดีที่ได้ระฆังหมดยกช่วย รอยยิ้มหล่อใสแบบเดียวกับที่ชนะใจเพื่อนสาวทั้งสถาปัตย์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ผมแอ๊บทำท่าเสียดายใจจะขาดที่ถูกพี่สต๊าฟเรียกก่อนจะยกมือไหว้รอบทิศอีกหนเหมือนกำลังหาเสียงลงสมัครอบต. ท่ามกลางเสียงร่ำร้องของบรรดาแฟนานุแฟนซึ่งยืนชูป้ายไฟจนแน่นขนัดเต็มหน้าสถานี

“งั้นแดนขอตัวก่อนนะครับทุกคน.... แยกย้ายกันไปพักทานน้ำทานข้าวก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วเรามาถ่ายรูปกัน ต้องขอโทษอีกทีนะครับที่วันนี้แดนมาช้า”

เมื่อเข้ามาด้านในอาคาร ผมก็ยื่นเอกสารและรูปถ่ายที่เตรียมมาให้ทีมงานก่อนจะถูกบอกให้ไปนั่งรอพร้อมด้วยหมายเลขติดเสื้อ.... รอบข้างผมเต็มไปด้วยผู้ชายวัยนักศึกษาหน้าตาดีจำนวนหลักร้อย มีทั้งหล่อคมเข้มแบบหนุ่มบ้านไร่ภูธร หล่อสำอางลุคคุณชายไฮโซ หล่ออันตรายสไตล์เพลย์บอย หล่อทะเล้นยิ้มสดใสแบบน้องชายข้างบ้าน หล่อล่ำหุ่นหมีเหมือนนักบาสเอ็นบีเอ เรื่อยไปจนถึงหนุ่มหน้าสวยไทป์เดียวกับทิชา หรือแม้กระทั่งพวกตัวเล็กน่ารักชิวาว่าหมากระเป๋า(แต่นิสัยอาจ.....)อย่างบีบี๋ ถ้าถามว่ากลัวไหมก็บอกเลยว่าไม่กลัว เพราะผมมั่นใจในศักยภาพเบ้าหน้าและวาทะศิลป์ของตัวเองว่าไม่เป็นสองรองใครแน่

เพียงแต่ตอนนี้ผมโคตรไม่มีอารมณ์จะสู้ แม้แต่แจกยิ้มโปรยไปทั่วยังลำบากเลย....



“ทำไมดูซีเรียสจัง ไม่เห็นร่าเริงยิ้มเก่งเหมือนตอนคุยกับแฟนคลับที่ข้างนอกเมื่อกี้เลย.... ตื่นเต้นเหรอ? งานนี้คงงานแรกสินะ?”

ใครคนหนึ่งมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะคล้ายว่าจะทักทายไปในตัว ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์แล้วมองอีกฝ่ายก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน แต่หันไปดูซ้าย-ขวาก็ไม่มีคนอื่นนั่งอยู่ตรงนี้เลยนอกจากผม

“คุณ......พูดกับผมเหรอครับ?”  ผมชี้นิ้วเข้าตัวเองแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“ก็ใช่น่ะสิ”  คนแปลกหน้ายิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะถามต่อ  “แอบได้ยินสต๊าฟเรียกนายว่าแดน ตกลงว่าชื่อแดน ไม่ผิดใช่ไหม?”

“ครับ”

“อายุเท่าไร? เรียนอยู่ปีไหน?”

“สิบเก้าย่างยี่สิบครับ อยู่ปีสอง”

“งั้นฉันก็เป็นพี่” 

หลังจากถามจนได้ข้อมูลจนเป็นที่น่าพอใจ คนซึ่งเพิ่งเคลมว่าเป็นฝ่ายอายุมากกว่าก็บอกชื่อเสียงเรียงนามพร้อมที่มาที่ไปให้ผมได้รับรู้บ้าง 

“พี่ชื่อปาย สังกัดอยู่โมเดลลิ่งของพี่โรส.... น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างเนอะ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ.... อันนี้ไม่ได้โกหกนะ ผมเคยได้ยินทั้งชื่อของเจ้าตัวและชื่อโมเดลลิ่งที่เขาสังกัดอยู่ด้วยจริงๆ

‘พี่ปาย’ หรือ ‘ปวีณ สุวัฒนา’ เป็นเน็ตไอดอลรุ่นพี่ซึ่งตอนนี้เข้าวงการบันเทิงแบบเต็มตัวมาได้สักพักแล้ว งานส่วนใหญ่ของเขาที่เคยเห็นผ่านตาก็จะเป็นถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาและเล่นมิวสิกวิดิโอ ช่วงนี้ยิ่งเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเพราะโฆษณาน้ำอัดลมตัวใหม่ล่าสุดซึ่งเพิ่งออนแอร์ไป ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะมาสมัครแคสละครเพื่อขยายฐานแฟนและเพิ่มขอบข่ายงานให้กับตัวเอง

“พอดีว่าพี่โรสกำลังดูแลน้องในโมอีกคนหนึ่งที่แกพามาด้วย.... พี่ไม่รู้จะไปอยู่ไหนดี ขอนั่งกับนายก็แล้วกันนะ”

“ตามสบายเลยครับ”

ผมคุยกับพี่ปายฆ่าเวลาระหว่างที่รอเรียกคิวตามหมายเลขอยู่ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าผมสองปี จริงๆ ตอนนี้ต้องเรียนปีสี่ที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งและอยู่ในช่วงทำโปรเจกต์จบ แต่เจ้าตัวขอดร็อปมาทำงานก่อนหลังจากที่ถ่ายแบบลงแม็กกาซีนออนไลน์แล้วปรากฏว่าปังมากในชั่วข้ามคืน

ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วก็สมควรจะปังอยู่ พี่ปายเป็นผู้ชายที่หน้าสวยอย่างกับหลุดออกมาจากการ์ตูนลายเส้นแบบญี่ปุ่น ดวงตาค่อนออกไปทางทรงเมล็ดอัลมอนด์มากกว่าจะกลมโต อารมณ์เหมือนตาสองชั้นหลบในรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากบาง ผิวขาวจัดตามแบบฉบับคนภาคเหนือ แขนขาเพรียวยาวสมส่วน หุ่นผอมสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบปลายๆ ถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แอบดูหยิ่งๆ ไฮแฟชั่นเข้าถึงยากอะไรทำนองนั้น แต่พอได้ยินน้ำเสียงและการพูดจา รวมถึงวิธียิ้ม คนๆ นี้กลับให้ความรู้สึกเป็นมิตรและมีเสน่ห์เฉพาะตัวมากเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้วก็โคตรคล้ายทิชาตรงที่หน้าสวย เพียงแต่พี่ปายดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามากและนิสัยของทั้งคู่ก็ผิดกันลิบลับ....


“อ๊ะ แปบนึงนะครับพี่”

ผมเอ่ยขอตัวเมื่อสายเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนจะลุกเดินออกมาเพื่อไม่ให้พี่ปายได้ยิน เพราะชื่อที่ชึ้นบนหน้าจอคือญาติผู้พี่ของผมเอง.... ความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนคลื่นไส้ราวกับมีแมลงสาบตีปีกอยู่ในกระเพาะกลับมาอีกหน ปลายนิ้วผมค้างอยู่เหนือปุ่มสไลด์กดรับในตอนที่ความลังเลถาโถมเข้ามา มองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงกว่า มันสายเกินไปแล้ว สัญญาระหว่างผมกับทิชามันพังแล้ว และถึงเฮียโรมจะโทรมา เขาก็คงช่วยอะไรผมไม่ได้ทั้งนั้น

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็กดรับสาย....



‘อะไรของมึงวะ ไอ้แดน มิสคอลมึงคนเดียวเป็นร้อยสายเลยมั้งเนี่ย?’

“เฮียอยู่ไหนอะ เมื่อเช้าผมไปเรียกที่ห้องแล้วไม่เจอ?”

‘กูอยู่บางแสน วันพรุ่งนี้เย็นๆ ถึงจะกลับ.... มึงมีธุระอะไรวะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะโทรหากู?’

“ทีแรกก็มีแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว......” 

อันที่จริง ผมว่าควรจะวางสายได้แล้ว แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากถามให้ได้ยินจากปากเฮียโรม แม้จะคิดว่าตัวเองก็รู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้วก็เถอะ 

“แล้วทิชาล่ะ อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?”

‘เมียกู ถ้าไม่อยู่กับกูแล้วจะให้อยู่กับใครวะ’

ผมสะอึกแบบไม่มีเสียง ข้างในคอมันตีบตันขมปร่าไปหมด แต่ก็ยังอุตส่าห์เค้นเสียงหัวเราะแห้งๆ กับคำพูดแก้เก้อออกมาจนได้

“ก็เผื่อว่าทิชามันจะอยู่เลี้ยงแมวที่ห้องไง”

‘ไม่ต้องเผื่อเว้ย กูเอามิลค์มาเที่ยวด้วย.... นี่กูก็ตื่นมาให้ข้าวแล้วก็เล่นกับมิลค์ก่อน ลูกจะได้คุ้นกับกูสักที แม่มันยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เลย’

“เที่ยงกว่าแล้วนะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?”

พอถามไปแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองในใจ ผมจะถามในสิ่งที่รู้แล้วก็เจ็บไปทำไม จะบอกว่าเพราะเป็นมาโซคิสม์ก็คงไม่ใช่ เพราะผมโคตรไม่ชอบความรู้สึกเหมือนโดนถีบยอดหน้าด้วยรองเท้าสตั๊ดแบบนี้เลย

‘เออ ยังไม่ตื่น พอดีเมื่อคืนหลายน้ำไปหน่อยว่ะ.... ทิชาแม่งทั้งขาวทั้งหอม ตั้งแต่หัดขึ้นครูสมัยมัธยมยันเข้ามหาลัย คนนี้ของกูน่ารักที่สุดแล้ว กูก็ฟัดซะเพลินเลย พอรู้ตัวอีกทีก็ฟ้าเหลืองละ’

“โห.... เอากันยันเช้าเลยเหรอ?” 

สัดเอ๊ย ข้างในอกผมร้อนอย่างกับโดนไฟเผา ร้อนจนไฟจะลุกท่วมออกตาอยู่แล้ว 

“ทีหลังเฮียก็เพลาๆ หน่อยแล้วกัน ใช้งานหนักมากเดี๋ยวพังเร็ว ไม่ก็ถ้าเมียทนไม่ไหวแล้วจะหนีไปซะก่อน”

‘ไม่มีทาง กูถนอมของกูอย่างดี แล้วกูก็หวงมากด้วย’

ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ พลางท่องประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาว่าเฮียโรมมีสิทธิ์เต็มร้อยที่จะพูดแบบนั้น ในเมื่อทิชามันยินยอมพร้อมใจให้เขาเอาเอง.... ผมรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าสองคนนั้นมีอะไรกันไปถึงไหน ก็ผมเองที่เป็นคนบอกให้ทิชาไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค ผมเองที่ช่วยทิชาขนของเข้าห้องตอนที่ย้ายมาอยู่กับเฮียโรม ผมนี่แหละที่เปิดทางให้ทุกสิ่งทุกอย่างลงเอยเอาอีหรอบนี้ แล้วจะมาหัวร้อนกับคำพูดตามประสาผัวๆ เมียๆ ที่กำลังเห่อข้าวใหม่ปลามันไปทำไม

“เดี๋ยวผมต้องวางสายก่อนนะเฮีย ธุระยังไม่เสร็จน่ะ”

‘เออๆ ไว้กูซื้อข้าวหลามหนองมนกลับไปฝากเว้ย’

แม้จะแอบคิดในใจว่า ‘ข้าวหลามพ่องสิ!’ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ ผมบอกลาพี่ชายแล้วกดวางสายทั้งที่รอยยิ้มจอมปลอมยังค้างอยู่บนหน้า.... ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเผชิญกับความรู้สึกขมขื่นกลืนไม่เข้าไม่คายไม่ออก แต่แม่งเอ๊ย กี่ครั้งก็ยังไม่ชินครับคุณ ทุกครั้งที่เห็นกับตาหรือได้ยินข่าวว่าทิชาคบผู้ชายใหม่ อารมณ์สีเทาอึมครึมคล้ายว่าฝนจะตกอยู่ตลอดเวลาก็มักจะเข้ามาเยือนหัวใจผมอยู่เสมอ

เพียงแต่หนนี้เจ็บหนักเป็นพิเศษ เพราะผมคิดไปเองว่ามันใกล้มาก

มากเสียจนคิดว่าอาจจะเอื้อมมือคว้าดาวเอาไว้ได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เอาตัวเข้าไปใกล้มันได้มากกว่าที่เคย แต่ทว่า สุดท้ายระยะห่างซึ่งทิชามอบให้ไอ้แดนนรกอย่างผมก็ยังไกลแสนไกลเท่าเดิมอยู่ดี



“หน้าเครียดอีกแล้วนะ แดน” 

พี่ปายเอ่ยทักอีกรอบเมื่อผมกลับมานั่งลงที่เดิม เขายิ้มพลางเอื้อมมือมาจับๆ นวดๆ ตรงหว่างคิ้วผม.... ดูเหมือนว่าพี่ปายจะเป็นพวกชอบสกินชิพ หรือไม่ก็ไม่ถือสาเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวคนแปลกหน้าล่ะมั้ง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าผมเผลอไปทำแบบนี้กับไอ้ทิชาแล้วจะโดนมันด่าพ่อล่อแม่ขนาดไหน 

“ถึงจะหล่อแค่ไหน แต่ถ้าคิ้วผูกโบตลอดเวลาก็ดูน่ากลัวไม่ใช่เล่นนะ อย่างกับพวกฆาตกรกำลังวางแผนจะฆ่าใครอยู่ในใจแน่ะ”

“หน้าผมดูเป็นแบบนั้นจริงเหรอครับ?”

ผมแกล้งย้อนถามเจือหัวเราะแห้ง ไม่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วก็แอบคิดอยู่เหมือนกัน ฆ่าได้ฆ่า ใครตายช่างมันก็ฟังดูดีไม่หยอก แต่ไม่รู้จะเลือกฆ่าใครดีระหว่างเฮียโรมกับทิชา หรือว่าผมควรจะฆ่าแม่งทั้งคู่เลย...?

“แหงสิ” 

คนอายุมากกว่ากอดอกเอียงคอมองหน้าผม วางท่าประหนึ่งว่าเป็นผู้ใหญ่กำลังสอนเด็กตัวเล็กๆ ทั้งที่ผมน่าจะตัวสูงกว่าเขาเกือบคืบ 

“พี่จะบอกว่างานแบบนี้เขาไม่ได้ดูแค่หน้ากล้องอย่างเดียวนะ ยิ่งเราเป็นเด็กใหม่ในวงการ เขาจะดูแอตทิจูดหลังกล้องประกอบด้วยว่าจะทำงานร่วมกับทีมงานและนักแสดงคนอื่นได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้านายอยากได้งานนี้ล่ะก็ทำหน้ายิ้มๆ หน่อย ที่เดินอยู่แถวนี้ก็กรรมการทั้งนั้นแหละ เจอใครก็ไหว้ทักทายไปเถอะ ไม่เสียหลายหรอก”

“ทำไมพี่ปายใจดีกับผมจัง?”

เจ้าตัวไม่ยอมตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วก็ชวนคุยต่อ

“เมื่อกี้ยังพูดไม่จบ คือพี่จะถามว่าวันนี้แดนมาคนเดียวเองเหรอ? ไม่มีผู้จัดการโมมาด้วย?”

“ผมยังไม่ได้สังกัดโมไหนครับ ที่มาก็แค่อยากลองดูว่าเป็นยังไง”

“อ้อ งี้นี่เอง.....”  รุ่นพี่หน้าสวยผงกหัวหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ “ก็หวังว่าเราจะโชคดีได้ร่วมงานกันนะ”

‘คนต่อไป หมายเลข 12 น้องปาย ปวีณ สุวัฒนา.... เชิญข้างในห้องเทสต์หน้ากล้องค่ะ’

“เขาเรียกแล้ว งั้นพี่ไปก่อนนะ”

ร่างโปร่งบางลุกขึ้นโบกมือบ๊ายบายให้ผม ก่อนจะเดินตามทีมงานที่มาประกาศเรียกไปด้วยท่าทางมั่นใจ

ทันใดนั้นเอง ผมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้....

“เดี๋ยวครับ พี่ปาย!”

“หืม?”

ผมเรียกเน็ตไอดอลรุ่นพี่เอาไว้ก่อนที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายจะลับสายตาไป เมื่อเขาหันมาก็พบกับนายดรัณภพ เวอร์ชั่นยิ้มละไมหล่อน่ารักพิเศษใส่ไข่สองฟอง

“ขอเซลฟี่รูปคู่ได้ไหมครับ เผื่อพี่ออกมาแล้วเราไม่เจอกัน”

“อ๋อ ได้สิ”

แค่นั้น พี่ปายก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาจนแก้มเขาแทบจะชนโดนแก้มผม จนกระทั่งภาพถ่ายของเราทั้งคู่ถูกบันทึกลงเมโมรี่ผ่านกล้องหน้าไอโฟนเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อพี่ปายจากไป ผมก็กลับมานั่งเงียบๆ ตามลำพังอีกครั้ง ข้างในหัวสมองและหัวใจเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานาทั้งดีและร้าย.... ป่านนี้ทิชามันจะตื่นหรือยัง? มันจะรู้ตัวบ้างไหมว่าผิดสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้ว? หรือจะว่าไม่รู้สึกห่าเหวอะไรเลย เพราะมัวแต่พลอดรักกับเฮียโรมอย่างมีความสุขแล้วคืนนี้ก็คงจะเอากันยันเช้าเหมือนเดิมอีก?

ที่สำคัญ ทิชามันจะรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่าถ้าหากผมบอกว่า 'กูไม่ต้องการคู่จิ้นอย่างมึงอีกต่อไปแล้ว' ?


Instragram @Mr.Dan

รูป : รูปคู่พี่ปาย


แคปชั่น : เซอร์ไพรส์!


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 27-01-2018 21:49:09
TISHA’s PART



เพียงแค่พยายามจะขยับตัวลุกขึ้น สะโพกผมก็อุทธรณ์ส่งความเจ็บแล่นปรี๊ดไปทั่วร่างจนต้องขอนอนนิ่งๆ ต่ออีกสักพัก แม้ว่าจะหายงัวเงียไปได้ครู่ใหญ่แล้วแต่ดันไม่มีแรงจะโงหัวขึ้นจากหมอน ได้แต่นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนเพราะยังจำได้ดีว่าความรักของพี่โรมนั้นหวานแค่ไหน และบทรักของเขาในฐานแฟนหนุ่มของทิชานั้นร้อนแรงมิรู้ลืมเพียงใด

ก็ไม่ได้อยากจะอวยให้ใครหมั่นไส้นะ แต่เท่าที่ผมเคยเจอมา พี่โรมคือคนที่สุดเหวี่ยงกับเรื่องบนเตียงมากที่สุด เซ็กซ์ของเขาเหมือนรถไฟเหาะที่เค้นเอาอะดรีนาลีนของผมให้หลั่งออกมาทุกหยาดหยด ผมสำลักความสุขจนแทบไร้สติ แม้ในเวลาที่คิดว่าสุขมากแล้วแต่พี่โรมก็ยังทำได้มากกว่านั้นและมากขึ้นไปอีกคล้ายว่าออกัสซั่มของเราไม่มีจุดสิ้นสุด.... เขาทั้งดุดันแล้วก็อ่อนโยน ชอบใช้กำลังบังคับแต่ก็ปลอบประโลมตามใจ ราวกับรู้ไปหมดว่าต้องทำยังไงผมถึงจะหลงรักเขาหัวปักหัวปำ แต่อันที่จริง ถึงเขาไม่ทำอะไรเลย ผมว่าผมก็คงจะหลงรักความใจดีของพี่โรมอยู่ดี

ระหว่างที่กำลังนอนใช้ความคิดเพลินๆ พื้นเตียงที่ว่างด้านข้างผมก็ยุบตัวลง มีทั้งยุบเบาๆ จากน้ำหนักแมวและยวบลงไปแรงมากจากน้ำหนักคน

“ตื่นแล้วได้ครับ ที่รัก”

แด๊ดดี้ของผมกับมิลค์กระซิบบอกก่อนจะยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“ชาตื่นแล้ว........”  ผมลากเสียงอ้อนแล้วจุ๊บแก้มพี่โรมคืนในตอนที่เขาดึงผมเข้าไปกอด  “แต่ลุกไม่ไหว ขาไม่มีแรงเลย.... ไม่รู้โดนใครแกล้งเนี่ย.........”

“ใครแกล้ง? ลูกมิลค์แกล้งแม่เหรอ?”

คนตัวสูงทำหน้าเหรอหรา โบ้ยความผิดไปให้ลูกสาวตัวฟูซึ่งนั่งเลียขนทำความสะอาดเท้าอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง ดูจากสภาพทรายเปรอะเต็มตัวแล้ว สงสัยพี่โรมคงจะจับมิลค์ใส่สายจูงแล้วพาไปเดินเล่นชายหาดกันสองพ่อลูกแน่ๆ

“พี่โรมนั่นแหละ ไม่ต้องไปโทษแมวเลย”  ผมแกล้งว่าเข้าให้  “กลับกรุงเทพแล้วพี่ต้องพามิลค์ไปร้านอาบน้ำให้ด้วย ตัวเลอะขนาดนี้ติดหมัดมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“แม่มันก็เลอะทั้งตัว โดยเฉพาะตรงนี้ พี่ต้องพาไปร้านอาบน้ำด้วยไหม?” 

มือหนาล้วงเข้ามาใต้ผ้าห่ม จับโดนขาอ่อนด้านในของผมซึ่งเต็มไปด้วยคราบอย่างว่าแห้งเกรอะกรัง

“ทะลึ่ง.......”

“ก็ใครใช้ให้ทิชาของพี่น่ารังแกขนาดนี้ล่ะ.... จับโดนตรงไหนก็ครางเสียงหวานๆ ให้ได้ยินอยู่เรื่อย นี่พี่อุตส่าห์ออมแรงให้ตั้งเยอะแล้วนะ”

“พี่โรมขี้โม้อะ”

ผมว่าพี่โรมแก้เขินไปอย่างนั้น ใจจริงก็รู้แหละว่าระดับนี้แล้วไม่น่าจะเกินความสามารถเขาหรอก ถ้านับรวมครั้งแรกที่เบอร์ลิคเข้าไปด้วย นี่ก็ครั้งที่สองแล้วที่เรามีเซ็กซ์กันจนฟ้าสาง.... เสร็จรอบหนึ่งก็พักหายใจได้นิดๆ หน่อยๆ ประเดี๋ยวคุณผู้ชายก็ตามมาขึ้นคร่อมจูบผมอีกแล้ว และก็อย่างที่เห็นว่าเราสองคนนั้นโคตรเหมือนแม่เหล็กขั้วต่าง ถ้าไม่หมดแรงจริงๆ ก็ไม่มีหรอกที่จะยอมผละออกจะจากกันง่ายๆ

“อยากลองของจริงไหมล่ะ.... ถ้าทิชายอมให้พี่ขึ้นตอนนี้ พี่ก็พร้อมนะ”

ไม่ทันขาดคำ คนตัวใหญ่เท่าหมีป่าก็เด้งขึ้นมาทับร่างเปลือยใต้ผ้าห่มของผม เกลียดสายตากับคำพูดเหมือนจะถามความสมัครใจแต่จริงๆ แล้วก็คือขอร้องแกมบังคับชะมัด แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะกล้าขัดใจพี่โรมในเมื่อเขาอุตส่าห์แสดงออกว่าต้องการผมขนาดนี้

“ไอ้นั่นของพี่แข็งก่อนที่จะชาบอกว่ายอมอีก........” 

ผมแกล้งชันหัวเข่าขึนสำรวจความพร้อมอีกฝ่ายว่าแค่ราคาคุยหรือเอาจริง ปรากฏว่าตรงนั้นของพี่โรมน่ะพร้อมยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก

“สงสัยเจ้าตัวโตมันจะคิดถึงเนื้อนิ่มๆ ของทิชาแน่เลย”

“คิดถึงอะไร เพิ่งจะเอาออกไปไม่ถึงครึ่งวัน” 

เท่าที่จำได้ ผมว่าผมผลอยหลับไปทั้งที่ส่วนนั้นของพี่โรมยังค้างอยู่ข้างในช่องทาง ก็เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถอนกายออกไปหลังเสร็จกิจหรือหลับไปด้วยกันทั้งแบบนั้น

“แล้วจะไม่ตามใจพี่เหรอ?”

“ตามใจสิ” 

ถึงพี่โรมจะไม่ทำเสียงอ่อย มองหน้าผมคล้ายจะตัดพ้อว่ามีเมียใจร้าย ผมก็ไม่คิดจะทำให้เขาต้องผิดหวังอยู่แล้ว.... กว่าจะได้รักกับเขามันช่างยากแสนยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็ไม่อยากให้พี่โรมขุ่นเคืองใจในตัวผมทั้งนั้น 

"แต่ชายังแสบข้างล่างอยู่เลย.... รอบนี้พี่จ๋าอย่าเพิ่งใส่เข้าไปได้ไหม?”

“อ้อนเก่งนักนะ......” 

ร่างสูงยิ้มหล่อบาดจิตก่อนจะขยับตัวออกให้ผมลุกขึ้นจัดท่าทางได้ตามสะดวก จะนอนคว่ำนอนหงายหรือขึ้นบนลงล่างก็แล้วแต่ผมชอบเลย 

“พี่ก็ตามใจทิชาเหมือนกัน ยังไงก็ได้ ขอแค่ได้กอดเมียก็พอแล้ว”

เมื่อพี่โรมพูดแบบนั้น ผมจึงจัดการให้เขาเป็นฝ่ายนอนราบลงแทนแล้วขึ้นคร่อมด้านบน เราจูบแลกลิ้นกันเพื่อปลุกอารมณ์รักให้ยิ่งพุ่งพล่าน ผมเบียดร่างเปลือยเปล่าเข้าหาให้ชายหนุ่มลูบไล้ทั่วทุกตารางนิ้ว ซึ่งพี่โรมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาทั้งลูบทั้งคลำตรงที่ผมชอบ.... ก็อย่างที่เคยบอกว่าเขาชอบเอาใจผมให้มากๆ ก่อน เพียงแต่วันนี้ผมอยากจะลองเอาใจเขาคืนบ้าง

ผมดึงขอบยางกางเกงขาสั้นของร่างสูงโดยที่เจ้าตัวก็ยินยอมพร้อมใจให้ลงมือได้เต็มที่ แค่พริบตาเดียวปราการซึ่งปกปิดความเป็นชายก็ถูกเหวี่ยงหายไปทางไหนก็ไม่รู้ ส่วนกลางลำตัวแข็งขืนปรากฏสู่สายตา สีเข้มคล้ำฉ่ำเยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฮอร์โมนเพศดึงดูดสายตาผมให้จ้องเขม็งพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างใคร่จะได้ลิ้มรสชาติของมัน.... ท่อนเอ็นร้อนรุ่มนั้นกระตุกเบาๆ เมื่อสัมผัสโดนฝ่ามือ ส่วนปลายยอดสั่นระริกราวกับกำลังรอคอยอย่างเต็มที่ ผมเหลือบสายตามองใบหน้าหล่อของแฟนหนุ่ม แน่นอนว่าดวงตาคมดุคู่นั้นจ้องกลับมาด้วยความปรารถนาอยากจะให้ผมรีบๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปเสียที

“อืม......ทิชา.......อย่างนั้นล่ะ.........”

เพียงแค่เริ่มใช้มือ เสียงทุ้มก็ครางต่ำในลำคอด้วยความพอใจ.... ผมประคองท่อนเนื้อกำยำเอาไว้ด้วยอุ้งมือแล้วขยับรูดขึ้นลงเบาๆ ให้มันขยายความยาวจนเต็มที่ ของเหลวสีขุ่นปริ่มปรอยจากปลายยอดในขณะที่หน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเกร็งแน่น.... ผมกระเถิบตัวคุกเข่าอยู่ตรงกลางหว่างขาพี่โรม ก้มหน้าลงแตะลิ้นแยงรูเล็กที่ส่วนหัวก่อนจะไล้วนเลียไปรอบๆ รอยหยัก ยิ่งชอบใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแอบสะดุ้งกลั้นลมหายใจเพื่อระงับไม่ให้อารมณ์เตลิดไปเร็วนัก แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้วิธีเร่งเร้าความอยากของคู่นอนเสียเมื่อไร

“ดี.....เก่งมาก......แมวน้อยของพี่........”

พอผมรัวลิ้นเลียตรงจุดที่ต่ำกว่าเดิม พี่โรมก็คล้ายจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง เขาเลื่อนมือมาขยำท้ายทอยผมแล้วกดให้หน้าแนบลงกับส่วนกลางลำตัวมากขึ้นไปอีก.... ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายที่คบด้วยทำแบบนี้ให้ผม ผมถึงได้รู้ดีว่าถ้าโดนเลียตรงนี้แล้วล่ะก็มันจะเสียวแปลบไปทั้งร่างยิ่งกว่าโดนไฟชอร์ตเสียอีก

“พี่โรมชอบแบบนี้ไหม.......?”  ผมหยุดลิ้นชั่วคราวแล้วเงยหน้าขึ้นถาม  “อยากให้ชาใช้ลิ้นเลียต่อหรืออมของพี่เข้าไปเลยดี?”

“เด็กอะไร ขี้อ้อนแถมยังยั่วเก่ง.........” 

พี่โรมไล้ปลายนิ้วที่ริมฝีปากผม ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยแรงกำหนัดที่มากเกินจะต้านทาน และเขาก็คงเหนื่อนที่จะอดกลั้นหน่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์เต็มทีแล้ว 

“อมให้พี่ เอาเข้าไปให้สุดแล้วดูดตรงปลายแรงๆ........”

“ถ้าอมให้ แล้วพี่โรมจะรักชามากขึ้นหรือเปล่า?”

“ตอนนี้พี่ก็รักทิชาอยู่แล้วนี่”

“งั้นพี่จ๋าของน้องก็เตรียมตัวไว้เลย รับรองว่าเสียวสะใจแน่”

ผมรู้สึกเบิกบานในใจที่ได้ยินพี่โรมบอกว่ารัก ก็เลยอยากตอบแทนเขาด้วยความสุขให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้

ผมเปลี่ยนจากใช้ลิ้นฉกแรงๆมาเป็นเลียจากโคนขึ้นไปถึงปลายยอด ทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งศีรษะของร่างสูงหงายสะบัดไปด้านหลังเพราะความเสียวซ่านซึ่งปั่นป่วนประสาททุกส่วน ผมดูดปลายแกนเนื้อแข็งขึงตามคำขอของพี่โรมก่อนจะค่อยๆ กลืนกินมันด้วยโพรงปากอันอ่อนนุ่มอย่างเชื่องช้าทีละน้อย ในที่สุดมันก็หายมิดเข้าไปทั้งลำ

ท่อนเอ็นร้อนรุ่มตั้งผงาดอวดความแข็งแรง ผมรูดริมฝีปากขึ้นลงเสียดสีต่อมรับความรู้สึกที่ฝังตัวอยู่รอบอวัยวะเพศชาย เจ้าตัวโตของพี่โรมมันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะเอาเข้าปากทั้งผมได้นานๆจึงต้องสลับระหว่างรูดรั้งด้วยปากและโลมเลียด้วยปลายลิ้นและใช้มือหยอกเย้าเค้นคลึงส่วนฐานไปพร้อมกัน.... เสียงผ่อนลมหายใจและอาการสั่นเกร็งจากร่างสูงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางในลำคอ ชอบปลายนิ้วของเขาซึ่งขยำหัวผมีราวกับจะระบายความเสียวซ่าน พี่โรมหลับตาแน่นขยับสะโพกหนารับกับจังหวะการใช้ปากตามสัญชาตญาณ

“ทิชา........อืม......เมียพี่............”

เมื่อพี่โรมใกล้จะเสร็จ ผมก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นจนแทบหืดขึ้นคอ หยาดน้ำใสปริ่มออกมาจากส่วนหัวของแท่งร้อนปะปนกับน้ำลายผม เสียงดูดเลียดังจนได้ยินชัดกันทั้งคู่.... ผมปรนเปรอพี่โรมอย่างเต็มที่กะว่าจะให้เขาสำลักความสุขตายให้ได้ ขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น รับตัวตนของคนรักเข้าไปให้ลึกที่สุดจนมันแตะถึงผนังคอหอย ก่อนที่ร่างหนาจะซี้ดปากแล้วกระตุกสะโพกแกร่งใส่ผมอย่างแรง

“........ทิชา..........ทิชา...............!”

ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกชื่อผมขณะที่น้ำกามชาวขุ่นหลั่งรดปลดปล่อยออกมาทั้งที่ผมยังไม่ถอนริมฝีปากออก กล้ามท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนคลื่นสวยงามชัดเจน พี่โรมกดหัวผมให้กลืนกินห้วงอารมณ์ของเขาเข้าไปทุกหยาดหยด ท่อนเนื้อที่เครียดขึ้งเขม็งเกลียวอยู่เมื่อครู่เริ่มคลายตัว.... ท่อนแขนแกร่งดึงตัวผมขึ้นมาประกบจูบ แบ่งปันรสชาติความรักที่เขาเพิ่งมอบให้ด้วยกัน เนิ่นนานจนกระทั่งกลีบปากผมบวมเจ่อจากการถูกดูดเม้มแรงๆ พี่โรมจึงเปลี่ยนมาไซ้ซอกคอและหอมแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยวแทน

“ชอบล่ะสิ.... อยากให้ชาทำอีกบ่อยๆ หรือเปล่า?”

“น่ารักฉิบหาย.... ทำไมเมียพี่ถึงได้น่ารักขนาดนี้วะเนี่ย” 

พี่โรมกระซิบเสียงพร่าพลางเลื่อนสายตาลงมองท่อนล่างซึ่งไม่มีสิ่งใดปกปิดของตัวเองที่ได้รับจากดูแลจากผม แล้วจึงเอื้อมมือมาลูบคลำกระตุ้นของผมบ้าง 

“แล้วเราล่ะ อยากให้พี่บอกรักด้วยวิธีไหนดี?”

“ยังไงก็ได้.......ถ้าเป็นพี่โรม ชารับได้หมดทุกอย่างเลย........”

ผมเองก็เริ่มมีอารมณ์ตั้งแต่ตอนที่ทำให้พี่โรมแล้ว ก็เลยไม่ปฏิเสธเมื่อมือหนาสอดล้วงลูบไล้ไปทั่วหว่างขาของผม

“เด็กดี มานั่งตักพี่มา........”

ผมทำตามที่พี่โรมบอกอย่างว่าง่าย ขึ้นไปนั่งซ้อนบนตักกว้างโดยที่หันข้างให้เขา เรียวขาสองข้างแยกออกกว้างโดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องสั่งเลยด้วยซ้ำ ผมหน้าแดงก่ำระหว่างที่มือใหญ่กอบกุมเข้าที่กลางลำตัว สัมผัสอุ่นร้อนที่ได้รับทำให้ผมต้องกระดกสะโพกขึ้นสูงบิดเอวกระสับกระส่ายเมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วขยี้แรงๆ ตรงปลาย

“อ๊ะ......พี่โรม..........”

ผมร้องเสียงกระเส่ายามเมื่อร่างสูงขยับรูดแก่นกายเล็กอย่างเนิบนาบในตอนแรก และทันทีที่อารมณ์ผมเริ่มเตลิดพุ่งทะยาน เขาก็เร่งความเร็วรัวขึ้นลงไม่ยั้ง กลีบปากหยักดูดซอกคอจนขึ้นเป็นรอยแดงนับไม่ถ้วน มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ขยี้ยอดอกผมจนมันตึงแข็งชูชันไม่แพ้ข้างล่าง

“อื้อ............” 

เพราะนี่เป็นตอนกลางวัน ผมได้ยินเสียงแขกจากบ้านหลังอื่นอยู่ไกลๆ ก็เลยพยายามกลั้นเสียงครางด้วยการอ้อนขอให้พี่โรมจูบปิดปากผม แต่หนนี้เขากลับไม่ยอมตามใจง่ายๆ

“ครางเสียงหวานๆ ให้ฟังหน่อยสิครับ.... พี่ชอบฟังทิชาทำเสียงเซ็กซี่นะ......”

เอาอีกแล้ว ทำไมพี่โรมถึงได้ชอบแกล้งให้ผมสติหลุดอยู่เรื่อยเลยนะ?

 “อ๊ะ.....พี่โรม.......อ๊า......พี่จ๋า...............” 

ผมร้องออกมาด้วยความเสียวซ่านเมื่อพี่โรมใช้นิ้วโป้งบดขยี้ลงมาตรงส่วนหัว รู้สึกเสียววูบบริเวณท้องน้อยเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ สติการรับรู้และสายตาเริ่มพร่ามัวเพราะความกระสันปั่นป่วนภายในร่างกายจวนเจียนจะระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟ

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น พี่โรมก็ส่งผมขึ้นสวรรค์ด้วยมือของเขา ผมแอ่นกายขึ้นสูง จิกปลายเท้ากับเตียงทั้งที่ยังอยู่บนตักกว้าง ปลดปล่อยความร้อนรุ่มจนเต็มมือชายหนุ่มพร้อมด้วยเสียงครางกระเส่าอย่างลืมอาย ก่อนจะทิ้งตัวลงแบบไร้เรียวแรงโดยที่พี่โรมยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวดี.... และเมื่อแน่ใจว่าผมได้รับความสุขสมจนถึงที่สุดแล้ว เขาก็หยุดมือแล้วเปลี่ยนมาจูบเคลียเบาๆ ที่ผิวแก้มชื้นเหงื่อ

ผ้าปูที่นอนเลอะเทอะเต็มไปด้วยคราบรักของทั้งผมและพี่โรมคู่ จนผมเริ่มเครียดแล้วว่าพนักงานทำความสะอาดเขาจะด่าเราไหมตอนเก็บไปซัก หรือว่าจะเผาทิ้งไปเลยดี?

“หืม.... ทำไมเจ้าตัวเล็กถึงยังไม่ยอมสงบอีกล่ะ พี่ทำให้จนเสร็จแล้วนี่?” 

พี่โรมแกล้งพูดแหย่เมื่อตรงส่วนนั้นของผมยังคงตั้งตรงและทำท่าว่าจะขยายตัวออกอีกรอบ ก็เพราะเขานั่นแหละที่ยังไซ้คอผมไม่เลิกสักที 

“ถ้ายังเจ็บข้างล่าง งั้นให้พี่เอานิ้วใส่ให้ไหม?”

“ไม่เอานิ้ว.....”  ผมอ้อน  “จะเอาเจ้าตัวโตของพี่โรม ใส่เข้ามาเร็วๆ เลย”

ผมว่าพลางขยับลงจากตักแฟนไปนอนบนเตียง จงใจอ้าขาออกกว้างแล้วยกก้นขึ้นเชิญชวนตามประสาคนยังไม่หาย......ร้อน............

“ไหนว่าเจ็บ.... เซ็กซ์จัดเอาเรื่องนะเราเนี่ย”

คุณผู้ชายทำเหมือนบ่นแต่ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธ เขาตามมาขึ้นคร่อมทับผมแล้วใช้มือปลุกท่อนเอ็นกำยำให้ตื่นขึ้นพร้อมเล่นเกมรักอีกครั้ง

“ถ้าพี่ทำเบาๆ ชาก็ไม่เจ็บหรอก”

“แย่จัง ไม่รู้ว่าพี่จะทำเบาๆ ได้หรือเปล่านี่สิ........”

รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ คนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองอุตส่าห์ออมแรงให้ผมเมื่อคืนตอนนี้กำลังบดเบียดถูไถเจ้าตัวโตที่แสนเกเรเข้ากับเจ้าตัวเล็กแสนดื้อของผม และตอนนี้เราก็ถูกครอบงำด้วยความหลงใหลและปรารถนาในกันและกันอย่างที่สุด 

“แต่ถ้าทำให้เสียวน่ะรับรองว่าได้แน่”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมจับใจความได้ ก่อนที่พี่โรมจะสอดใส่เข้ามาแล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากเสียงครางกระเส่าของตัวเอง.....

.

.

.

“พี่โรม ขอยืมสายชาร์จโทรศัพท์หน่อยสิ.... มือถือชาแบตหมดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้”

“อยู่ในช่องหน้ากระเป๋าสีดำน่ะ หยิบเอาเลยครับ”

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมถึงนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจมือถือเลยตั้งแต่เย็นเมื่อวาน พอหยิบขึ้นมาดูอีกทีก็ปรากฏว่าจอดับสนิทไปเรียบร้อย.... ผมเสียบสายชาร์จทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงในห้องนอนก่อนจะออกไปกินข้าวมื้อบ่ายสองที่พี่โรมสั่งมาจากห้องอาหารของทางวิลล่า

เป็นการมาเที่ยวทะเลที่โรแมนติกแต่ก็บัดซบไปพร้อมๆ กัน เพราะวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปซื้ออาหารทะเลสดที่แหลมแท่นตอนเช้าอีกแล้วเนื่องจากไม่มีใครตื่น เลยคุยกับพี่โรมว่าตอนเย็นค่อยออกไปซื้อของจากร้านเดิมแล้วก็ทำกินเองง่ายๆ แบบเมื่อวานก็แล้วกัน.... ซึ่งก็ดีแหละ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง ผมกะว่าจะออกไปเดินเล่นซื้อไก่ย่างเหลืองๆ จากรถเข็นตรงชายหาดแล้วกลับมาสเก็ตช์ไอเดียการบ้านทั้งหลายแหล่ในรอบสัปดาห์ ระเบียงบ้านพักลมโกรกนั่งสบายน่าจะช่วยให้ความคิดแล่นดี พอกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วค่อยร่างลงคอมกับกระดาษจริง

นอกจากการบ้านแล้ว ผมว่าผมยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องทำอยู่อีก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก....

“เออนี่.... เมื่อเช้าไอ้แดนมันโทรมาหาพี่ด้วย”

ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว รสชาติในปากที่เคี้ยวอยู่เพลินๆ กลายเป็นเฝือนปะแล่มทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

“โทรมาเกือบร้อยมิสคอลตั้งแต่เช้า แต่เรากับพี่หลับกันทั้งคู่ ไม่มีใครได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเลย” 

ความรู้สึกเย็บวาบแล่นลงจากหัวจรดเท้าเหมือนโดนน้ำแข็งทั้งถังราดเข้าใส่ ตอนนี้ผมนึกออกแล้วว่าสิ่งที่ลืมไปสนิทใจคืออะไร 

“แต่พอพี่โทรกลับไปตอนเที่ยงกว่าๆ มันดันบอกว่าไม่มีอะไรซะงั้น.... สงสัยจะมาขอยืมของที่ห้องมั้ง วันหลังถ้าทิชาอยู่ห้องคนเดียวแล้วเจอมันมาเคาะประตูก็ทำใจหน่อยนะ ไอ้นี่มันเป็นพวกอยากได้อะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้นเลย เอาใจยาก......”

ผมไม่อยู่ฟังพี่โรมพูดจนจบ พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมนัดงานแคสละครที่ตกลงรับปากกับไอ้แดนไว้ก็ทิ้งช้อนส้อมกระแทกจานเสียงดังแคร๊งแล้วรีบวิ่งเข้าไปยังห้องนอนซึ่งตัวเองชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้.... เมื่อเปิดเครื่องก็เห็นข้อความแจ้งเตือนจากไลน์ยาวเหยียด ล้วนแล้วแต่ถูกส่งมาจากเดือนสถาปัตย์ ทั้งคอลไลน์และข้อความที่มันส่งมาเตื่อนเรื่องเวลานัดตั้งแต่เมื่อคืน ผมไม่ได้อ่านเลย ไม่ได้เอะใจหรือฉุกคิดเลยสักนิดว่านอกจากเรื่องเรียน เรื่องที่บ้าน ยัยมิลค์และพี่โรมแล้ว ผมยังมีคนอื่นอยู่ในชีวิตอีก

ทั้งที่ไม่น่าจะลืมได้ แต่ผมก็ลืม.....

“เป็นอะไรไปน่ะ ทิชา?”

“พี่โรม ทำไงดี.........” 

ผมหันไปบอกพี่โรมซึ่งเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง รู้สึกได้เลยว่าเสียงตัวเองสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ 

“วันนี้ชามีนัดต้องไปแคสละครกับแดนตอนเก้าโมง แต่ชาไม่ได้ไป..........”

พี่โรมเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมจำได้รางๆ ว่าเคยบอกเขาเรื่องมีนัดแคสละครวันเสาร์ตอนเช้าไปแล้ว แต่ก็นั่นแแหละ ผมเองก็มัวแต่สนใจพี่โรมแค่คนเดียว พี่โรมก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องที่เบอร์ลิคและความสัมพันธ์ของเราสองคน สุดท้ายก็ลืมไอ้แดนกันทั้งคู่

“เรากลับกรุงเทพกันเลยได้ไหม?”

“กลับไปตอนนี้จะทันเหรอ?” 

พี่โรมย้อนถามอย่างไม่แน่ใจ ดูเขาแปลกใจอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมผมถึงต้องปั้นหน้าเหมือนคนโดนบังคับให้เคี้ยวบอระเพ็ดแล้วห้ามคายทิ้งขนาดนั้น 

“ตอนโทรกลับไปหาไอ้แดน พี่ก็ถามแล้วนะว่ามันมีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า แต่ไม่เห็นมันจะพูดอะไรเลย ไม่ได้บอกพี่ด้วยว่ามีนัดกับทิชา.....”

ผมยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่จิกมือตัวเองอยู่อย่างนั้นด้วยรู้ดีว่าที่ไอ้แดนไม่ยอมบอกพี่โรมว่ามีนัดกับผมก็เพราะมันโกรธ.... ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจเหมือนตอนที่คุยให้มันฟังว่าพี่โรมสำคัญกับชีวิตผมมากแค่ไหน ผมยังจำสีหน้าคล้ายว่าอยากพูดตัดพ้อแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ของมันได้อยู่เลย แม้จะไม่เข้าใจว่ามันจะมาตัดพ้อผมทำไมก็ตาม

พี่โรมเดินเข้ามากอดผมก่อนจะลูบหัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบว่าไม่ต้องคิดมาก

“แดนมันก็คงรู้แหละว่าจริงๆ แล้วทิชาไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้ก็เลยไม่อยากตื๊อ” 

ผมพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วยแต่ก็ยังสลัดความกังวลออกไปไม่ได้ ร่างสูงจึงยื่นโทรศัพท์ซึ่งเปิดหน้าไอจีของญาติผู้น้องให้ผมดู.... สิ่งที่เห็นก็คือรูปเซลฟี่ของเดือนสถาปัตย์คู่จิ้นผมกับใครอีกหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าหน้าตาดีถึงดีมาก แถมออร่าดารายังพุ่งสุดๆ ทั้งสองคนยิ้มร่าแก้มแนบแก้มชนิดที่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสนิทสนมถูกชะตากันเหลือเกิน 

“ทิชาเห็นไหมว่าไอ้แดนน่ะแฮปปี้จะตาย มันไม่คิดอะไรเยอะแยะกับเราหรอก”

“อืม........”

ผมส่งเสียงตอบรับออกมาได้แค่นั้น ในขณะที่มือเลื่อนอ่านคอมเมนท์ที่บรรดาแฟนคลับไอ้แดนเข้ามาหวีด ผมไม่เห็นแฮชแท็ก #แดนทิชา อีกแล้ว เพราะสิ่งที่กำลังอินเทรนด์อยู่ในเวลานี้คือ #แดนปาย ต่างหาก

คู่จิ้นใหม่ของไอ้แดนคงชื่อปายสินะ....?

“เอาไว้ถ้ามันโกรธ เดี๋ยวพี่จะช่วยคุยให้ก็แล้วกัน.... ก็พี่เป็นคนบังคับพาเรามาเที่ยวแบบไม่บอกล่วงหน้านี่นะ ทิชาไม่ผิดสักหน่อย” 

ร่างสูงบอกพลางจับมือผมแล้วพากลับออกไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวตรงระเบียงบ้านด้วยกัน เขาก้มลงมาจูบหน้าผากเสมือนหวังว่ามันจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผลจริงแหละ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น 

“ออกไปกินข้าวกันต่อเถอะ ทิ้งยัยมิลค์ไว้ข้างนอกตัวเดียวตั้งนานแล้ว.... เดี๋ยวมันจะโกรธเอานะ”



ทริปบางแสนกะทันหันของผมกับพี่โรมจบลงในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ โดยที่เราสองคนไม่ได้คุยกันเรื่องที่ผมผิดนัดไอ้แดนอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมไปว่าตัวเองนั้นน่าโดนด่าแค่ไหน

ผมบอกให้พี่โรมแวะร้านของฝากที่ตลาดหนองมน ซื้ออะไรต่อมิอะไรมากมายด้วยความรู้สึกผิด และทันทีที่กลับถึงคอนโดฯ ผมก็หอบของกินทั้งหมดที่ซื้อมาไปยืนกดกริ่งหน้าประตูห้องไอ้แดน.... ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีวี่แววว่ามันจะมาเปิดประตูให้ทั้งๆ ที่ผมเห็นจากช่องใต้ประตูว่ามีแสงไฟลอดออกมา สุดท้ายผมก็เลยต้องเอาถุงของฝากจากบางแสนแขวนให้กับลูกบิดประตูหน้าห้อง แต่ที่เหี้ยที่สุดก็คือพอเช้าวันต่อมา ผมเอาขยะไปทิ้งตรงจุดทิ้งขยะของคอนโดฯ ก่อนจะออกไปเรียน ปรากฏว่าขนมของกินที่ผมตั้งใจซื้อมาให้ไอ้แดนถูกทิ้งอยู่ในนั้นทั้งถุง

ผมส่งไลน์ไปถามพร้อมแนบรูปที่ถ่ายไว้เป็นหลักฐาน ก็แค่อยากรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงต้องลงกับข้าวของแบบนี้ มันกดอ่านแต่ไม่ยอมตอบ

แน่ละ ก็คราวนี้มันโกรธผมจริงๆ นี่....

.


.


.
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 10 [ UPDATED 21 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 27-01-2018 21:51:49
บ่ายวันจันทร์มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมซึ่งต้องเรียนรวมกับพวกคณะสถาปัตย์ ผมคิดว่าจะขอเคลียร์กับไอ้แดนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงแม้พี่โรมจะบอกว่าไม่เป็นไรและให้ผมแกล้งทำลืมๆ ไปซะ เอาไว้พอสถานการณ์ดีขึ้นแล้วเขาจะช่วยคุยกับน้องชายให้เอง อันที่จริงผมก็อยากทำตามที่พี่โรมว่า แต่เสี้ยวหนึ่งในใจผมกลับกระสับกระส่ายทนไม่ได้ที่จะต้องรอนานขนาดนั้น

อย่างน้อย ผมก็ควรขอโทษมันต่อหน้า ไม่ใช่แค่ส่งข้อความไปทิ้งไว้เหมือนคนขี้ขลาดและไร้ความรับผิดชอบ.... ถูกไหม?

ตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องบรรยาย ไอ้แดนนรกนั่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผมจำได้ว่าคนสวยๆ ที่นั่งอยู่ติดกับมันคือดาวคณะสถาปัตย์ปีสองชื่อเบลล์ ทั้งกลุ่มกำลังคุยกันอย่างออกรสส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่นและไม่สนใจคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกพ้องของตนเองเลย

พอเห็นมันมีผู้คนรายล้อมเป็นเดือนเด่นแบบนี้ ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วนายดรัณภพเป็นคนดังประจำมหาวิทยาลัยมาแต่ไหนแต่ไร แค่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่มันมาเกาะติดผมก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไร้ญาติขาดมิตร ต่อให้มันไม่มีผมก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นจะตายเสียหน่อย

มีแต่ผมนี่แหละที่จะเป็นจะตายเพราะถูกมันเมินใส่....

“แดน”

ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาแดนก่อน ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายเต้นแรงจนจะหลุดออกมาเพราะความกดดันล้วนๆ ไม่ได้มีความตื่นเต้นเขินอายเจือปนแบบเวลาเข้าหาพี่โรมเลยสักนิด แล้วมันก็แย่อย่างที่คิดเมื่อผมรู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่คล้ายจะจ้องมองพุ่งตรงมาเหมือนลูกธนู ทั้งจากเพื่อนๆ มันและคนอื่นที่อยู่ในห้อง

“แดน.........”

ผมเรียกครั้งที่สองแล้วแต่เจ้าของชื่อก็ยังเฉย

“แดน.......................!”

เสียงผมดังขึ้นไปอีก คราวนี้มั่นใจแล้วว่ามันต้องได้ยินแน่ๆ แต่เล่นตัวไม่ยอมหันมา จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งซึ่งไม่น่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยสะกิดบอกให้มันดูว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือ ทิชา ทิชนันท์ มันถึงได้เปิดปากทักตอบอย่างเสียมิได้

“มีอะไรเหรอ ทิชา?”

“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”  ผมเอ่ยถามพลางชี้หัวแม่โป้งไปทางประตูห้อง เป็นเชิงบอกให้มันตามออกมาคุยกันข้างนอก  “แค่แปบเดียว ไม่กี่นาที คงไม่รบกวนเวลามึงมากนักหรอก”

“ถ้าอยากคุยก็คุยตรงนี้เลย.... อาจารย์จะเข้าแล้ว เราขี้เกียจลุก”

น้ำเสียงเย็นชากับคำเรียกแทนตัวที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้ว่าคงหมดหวังที่จะให้ไอ้แดนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว.... ถึงผมกับมันจะไม่ใช่เพื่อน ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ผมเป็นฝ่ายตัดบทรำคาญและหลบลี้หนีหน้าก็ยังดีกว่าการต้องมาตามปรับความเข้าใจกับคนที่ตัวเองเคยบอกว่าเกลียดเช่นนี้

“ระ......เราอยากคุยเรื่องเมื่อวันเสาร์.........” 

ผมพูดตะกุกตะกัก ปากคอยิ่งสั่นเข้าไปใหญ่เพราะต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนนับสิบ แน่นอนว่าผมเถียงไม่ได้และไม่มีสิทธิ์ทำฮึดฮัดฟัดเหวี่ยงไม่พอใจด้วยในเมื่อหนนี้มันเป็นความผิดของผมจริงๆ 

“ขอโทษที่ผิดนัด.......คือว่าวันนั้น............”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษก็ได้” 

ไอ้แดนชิงพูดขึ้นก่อนที่ผมจะขอโทษจบ มันโคลงหัวไปมาแล้วก็ยิ้มอ่อนเหมือนไม่อยากถือสาหาความกับคนโกหกไม่รักษาสัญญา ทว่า แววตาสีเข้มซึ่งจ้องมองมานั้นก็สื่อความนัยชัดเจนว่ามันไม่ได้อภัยให้ผมจริงดังปากกว่า 

“เฮียโรมบอกเราแล้วว่าทิชาเพลียมาก หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี.... เราเข้าใจนายนะ ผัวเมียข้าวใหม่ปลามันก็เหนื่อยเพราะเรื่องแบบนี้ทุกคู่แหละ”

“ข้าวใหม่ปลามันเหนื่อยเรื่องอะไรวะ?” 

เพื่อนอีกคนหนึ่งแกล้งถามชงขึ้นมา ผมถึงกับหน้าร้อนวูบเพราะรู้ดีว่ากำลังจะถูกล้อเลียนให้ได้อับอาย

“ก็โดนผัวจับเยจนลุกไม่ขึ้นไง.... ไอ้ห่า ถามมาได้นะมึง!”

ถ้าเป็นคนอื่นตอบ ผมก็อาจจะไม่อะไรเท่าไร แต่เพราะคนที่พูดประโยคนั้นออกมาต่อหน้าธารกำนัลคือไอ้แดน ผมก็เลยยิ่งรู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดเข้ากลางแสกหน้าอย่างจัง.... ทั้งๆ ที่เคยพูดให้มันฟังแล้วว่าชีวิตผมต้องพบเจอกับความบัดซบแบบไหนมาบ้าง ทั้งๆ ที่คิดว่ามันน่าจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเกาะติดพี่โรม แต่ในความเป็นจริงก็คือไอ้แดนไม่ได้เข้าใจผมเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังซ้ำเติมด้วยการทำให้ทุกคนรุมจ้องผมด้วยสายตาซึ่งมีคำพูดห้อยท้ายว่า  ‘อ้อ ที่แท้ก็เพิ่งไปนอนให้ผู้ชายเอามานี่เอง..........’


“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ยังไงก็ขอโทษอีกทีแล้วกัน.............”

ผมเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินออกมาจากห้องบรรยาย หนีเข้าไปหลบพักสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำเมื่อรู้ว่าสภาพตัวเองในขณะนี้ไม่พร้อมที่จะนั่งกางหนังสือจดเล็คเชอร์ตามปกติได้แน่.... เสียงหัวเราะครืนไล่หลังจากกลุ่มสถาปัตย์ยังคงหลอนอยู่ในโสตประสาท ผมกวักน้ำล้างหน้าแรงๆ พยายามปลอบใจตัวเองซ้ำๆ ว่าแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก หนักกว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว อีกไม่นานทุกคนก็จะลืม อีกเดี๋ยวเหตุการณ์พวกนี้มันก็จะผ่านไป......

ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว

ผมมีพี่โรม.... แล้วผมก็เข้มแข็งขึ้นมากแล้วด้วย.........



“ทิชา.....!”

ผมสะดุ้งโหยงจนมือไม้สั่นเมื่อเสียงห้าวเดิมๆ ซึ่งได้ยินบ่อยจนกลายเป็นเสียงคุ้นหูดังขึ้นตรงหน้า โทรศัพท์มือถือที่กำลังจะต่อสายหาพี่โรมเกือบร่วงหล่นลงกระแทกพื้นห้องน้ำ.... คนที่ตามผมออกมาจากห้องบรรยายก็คือไอ้แดน ฟังจากน้ำเสียง สังเกตจากแววตาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้ตามมาง้อหรือขอโทษที่แหกผมต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นปีถึงสองคณะ หกภาควิชาเมื่อกี้นี้

“ลืมบอกไป สัญญาที่มึงให้ไว้กับกูนั่นน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ กูจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น.... กูจะไม่บอกเฮียโรมว่ามึงหลอกเอาข้อมูลชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคจากกูแล้วก็ถีบหัวส่ง ถึงแม้ว่ามึงจะตั้งใจเบี้ยวกูแบบเนียนๆ ตั้งแต่แรกก็เหอะ!”

“แดน....กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ............” 

ผมพูดออกไปแล้วก็นึกได้ว่าป่วยการเปล่าที่จะมาขอโทษในสิ่งที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ผมทำร้ายความรู้สึกไอ้แดนไปแล้ว สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในเวลานี้ก็คือการแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ตีหน้าเศร้าแล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป 

“มึงจะให้กูชดเชยยังไงก็บอกมา ถ้าหากกูทำได้...........”

“มึงไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังกูเลย ทิชา!”

ไอ้แดนตวาดผม ใบหน้ามันแดงก่ำอย่างคนโกรธจัดก่อนจะเอื้อมมือมาผลักไหล่ผมให้เซถลาไปชนผนังข้างอ้างล่างหน้า

“กูผิดเองแหละที่โง่เชื่อใจคนตอแหลจัญไรอย่างมึงมากจนเกินไป กูแม่งเหี้ยเองที่ยัดเยียดให้มึงทำในสิ่งที่มึงเกลียดนักเกลียดหนา!” 

ร่างหนาเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้สองแขนยันกำแพงด้านหลังเอาไว้ กักขังตัวผมไม่ให้ขยับเขยื้อนหนีไปทางไหนได้ ต้องฟังคำด่าทอสาปส่งซึ่งนายดรัณภพใช้ถากถางกรีดหัวใจผมเต็มสองรูหูทุกคำ 

“ถ้ามึงไม่มีใจจะทำก็ไม่ต้อง เอาเวลาไปปรนนิบัติดูแลเรื่องเซ็กซ์ให้เฮียโรมเหอะ.... งานถนัดมึงอยู่แล้วนี่ เอาใจผัวทุกคนด้วยการอ้าขาให้เขาเสียบน่ะ!”

ถูกด่าแบบนี้แม่งเจ็บยิ่งกว่าถูกต่อยอีก.... น้ำตาผมไหลออกมาทันทีที่ไอ้แดนพูดจบ จะเช็ดหรือกระพริบตาถี่ๆ ให้มันย้อนกลับเข้าไปก็ไม่ได้ ปมด้อยของผมถูกขยี้จนเละคาฝ่าเท้าคนตรงหน้า ผมไม่ได้อยากถูกด่าว่าร่าน ไม่ได้อยากถูกตราหน้าว่าดีแต่ใช้เรื่องอย่างว่ามัดใจผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต.......แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วจะมีคนรักผมเหรอ.......จะมีจริงๆ เหรอ............

“พี่ชายกูเขาแค่เอามึงเล่นๆ เพราะมึงมันง่ายไง เดี๋ยวพอเขาเบื่อ เขาก็เฉดหัวมึงทิ้งแล้ว.... ไม่มีใครรักคนอย่างมึงจริงหรอก ร่านเอ๊ย!”

“แดน.........” 

น้ำเสียงผมแหบแห้ง ต่างจากใบหน้าซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำตาและหัวใจช้ำเลือดช้ำหนอง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตนเองกำลังเอ่ยเรียกอยู่ด้วยซ้ำ 

“กูรู้ว่ามึงโกรธมาก......แต่มึงต้องพูดกับกูแรงขนาดนี้เลยเหรอ..........”

“ทีเวลามึงด่ากูว่าไอ้แดนนรก ทำท่ารังเกียจกูต่อหน้าคนทั้งมหาลัย กูยังไม่เคยว่ามึงกลับเลยสักคำ!”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่แดนทิ้งเอาไว้ก่อนที่มันจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมซึ่งทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

โชคดีที่คาบเรียนภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว ระเบียงทางเดินจึงไม่มีคนเดินสวนกันไปมามากนัก ผมพยายามประคองตัวเองออกมาตรงบันไดหนีไฟตึกแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้กลับไปห้องบรรยายที่ต้องเรียนรวมกับพวกคณะสถาปัตย์.... ผมนึกทบทวนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งผ่านไป แต่ไม่ว่าจะหาทางเข้าข้างตัวเองอย่างไร ห้วงความคิดก็วกกลับมายังจุดที่ว่าผมเป็นคนไม่ดี ผมเป็นคนโกหกหลอกลวง ผมเป็นคนมักมากเรื่องเซ็กซ์และหมกมุ่นกับความรักที่มีให้พี่โรมราวกับคนบ้า

ผมไม่ได้คิดว่ามันผิด แต่มันก็ยังคงเป็นความผิด

ผมคิดว่าสิ่งที่มอบให้พี่โรมคือความรัก ในขณะที่ไอ้แดนและทุกคนบนโลกนี้ตัดสินว่ามันคือความร่าน

แต่ถ้าผมสามารถแก้ไขความผิดครั้งนี้ได้ ความรักของผมก็จะยังคงเป็นความรักได้อยู่ใช่ไหม?

จะไม่มีใครบอกว่าพี่โรมก็แค่อยากเอาผมเล่นๆ พอเขาเบื่อแล้วก็จะทิ้งผมไปเหมือนอย่างที่คนก่อนๆ เคยทิ้งผมใช่หรือเปล่า.....?



ไอโฟนในมือผมยังขึ้นหน้าจอที่กดเบอร์พี่โรมค้างเอาไว้ แต่ผมไม่ได้โทรไปหาเขาแล้วเล่าทุกอย่างที่ไอ้แดนพูดให้ฟัง ปลายนิ้วผมสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นซึ่งขับเคลื่อนมาจากข้างในอกก่อนจะยกโทรศํพท์ขึ้นแนบหู.... รอคอยอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งปลายสายส่งเสียงตอบรับกลับมา


‘ฮัลโหล ทิชา.......?’

‘ตอนนี้แกอยู่ไหน? ไปเรียนหนังสือบ้างหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมไม่กลับบ้านตั้งหลายวันแล้วไม่โทรบอกแม่เลยสักคำ.... แล้วนี่เอาแมวไปด้วยใช่ไหม?’



“แม่ครับ..........ช่วยผมด้วย...........’



TO BE CONTINUE



 :hao7: :katai5: :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mod40 ที่ 27-01-2018 22:17:05
ว่าแล้ว ว่ามันจะต้องลงเอยอย่างนี้ ทิชากินมาม่าไปตามระเบียบ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 27-01-2018 22:43:33
แดนก็นะ ถึงมันจะจริงทุกคำพูดก็เหอะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-01-2018 23:13:59
เฮ้ออออ สงสาร
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-01-2018 04:31:37
 :katai1:

จะกินมาม่าอีกแล้ว ฮือ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 28-01-2018 10:18:05
แดน นี่คือคำพูดของคนที่บอกว่าทิชาคือความรักงั้นเหรอ
แกพูดทำร้ายจิตใจเค้าแบบนี้ทั้งๆที่รู้ว่าทิชาต้องเจออะไรมาบ้าง
ขอให้ทิชาเกลียดแกไปเลยแล้วหลังจากนี้ถ้ารู้สึกผิดขึ้นมา
ก็ขอให้ทิชาไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่แกพูดกับทิชาอีกเลย
#ไอ้แดนนรกเอ้ยยยย!!!!
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 29-01-2018 14:12:15
สะเทือนใจแทนทิชา ก็เข้าใจแดนได้ว่าทั้งผิดหวังทั้งเสียความรู้สึก แต่เวลามันก็ผ่านมาข้ามวัน น่าจะบรรเทาลงบ้าง คำพูดที่พูดไปมันเอากลับคืนมาไม่ได้นะ ถ้าจะไม่มาเสียใจทีหลังก็แล้วไป
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lowmantic ที่ 29-01-2018 15:52:05
อ่านไป 4 ตอนแรก ทนอ่านต่อไม่ไหว มันหน่วงๆมันเทาๆมันอึมครึม จนต้องขอรอให้เรื่องนี้อัพจบแล้วค่อยขอกลับมาอ่าน คือ คนเขียนแต่งดีค่ัะ ดีมากเลยอะ ที่จริงเราได้อ่าน 4 ตอนแรกเมื่อวานนะ แต่จนถึงตอนนี้ความรู้สึกหม่นๆหน่วงๆของทิชามันยังติดอยู่ในใจเราเลยอะ จนต้องหาเวลาว่างเข้ามาเมนท์เป็นกำลังใจให้คนเขียนหน่อย ขอบคุณคนเขียนนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-01-2018 16:49:56
 :a5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-01-2018 22:09:59
ROME’s PART



หลังแจ้งขอลาออกจากเบอร์ลิคกับเฮียรุจอย่างเป็นทางการ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลับเข้ามาที่คณะวิศวะฯ.... ปกติแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายในเบอร์ลิคจะไม่ถูกนำมาพูดข้างนอก แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่ามันจะรวมถึงวีรกรรมแหกคอกไม่เดินตามรอยรุ่นพี่ของผมด้วยหรือเปล่า เพราะตั้งแต่จอดรถจนกระทั่งเดินมาถึงตรงนี้ ต่อให้ไม่ได้ยินชัดเต็มสองหู ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนมองและนินทาห่าเหวอะไรก็ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา

ตราบใดที่คำพูดพวกนั้นไม่ได้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผม ผมก็ไม่อยากสนใจนักหรอก.... คนพวกนั้นไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ได้ให้เงินผมใช้ ไม่เคยเลี้ยงข้าว แล้วก็ไม่ได้มาช่วยผมทำโปรเจ็กส่งอาจารย์ แต่ถ้ากล้ามาพูดให้ฟังต่อหน้าแล้วคิดว่ารับได้ตอนโดนผมกระทืบเละคาส้นตีน อันนี้ก็เอาที่สบายใจเลย

“เฮ้ย ไอ้แจ็ค.... เอาการบ้านไดนามิคมาลอกหน่อยดิวะ” 

ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ในห้องภาคเครื่องกลก่อนจะเอ่ยปากขอลอกงานเพื่อนแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ

หากแทนที่ไอ้แจ็คมันจะเออออยกการบ้านให้ผมลอกแต่โดยดี แต่มันกลับดึงชีทเอาไว้แน่นแล้วส่งสายตาคาดโทษซึ่งมีคำด่าเป็นล้านแฝงอยู่มาให้แทน

“เชี่ยโรม มึงหายหัวไปไหนมาทั้งเสาร์-อาทิตย์?”

“ไปเที่ยวทะเลพักผ่อนสมองนิดหน่อย”

“กับใคร?”

“นี่มึงเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อกูกันแน่วะเนี่ย?” 

ผมย้อนถามอย่างงงๆ ถึงแม้ว่าระหว่างผมกับไอ้แจ็คจะไม่ได้มีความลับอะไรต่อกัน แต่เท่าที่คบกันมา มันเองก็ไม่เคยเห็นจะถามซอกแซกเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของผมอย่างกับเป็นผู้ปกครองขนาดนี้ 

“ไปกับทิชา.... อ้อ แล้วก็ลูกสาวกูด้วย ชื่อมิลค์”

อุตส่าห์นึกว่ามันจะถามต่อว่าลูกสาวผมคือตัวอะไรมาได้ยังไง เตรียมจะเปิดรูปในมือถือให้ดูอยู่แล้วเชียว ทว่า ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าก็ยังไม่รับมุข แถมยังดึงดราม่าด้วยการเปิดประเด็นคุยเรื่องซีเรียสแทน

“ตกลงว่ามึงเลือกแล้วสินะ?” 

แจ็คถามน้ำเสียงเครียด ไม่ต้องขอให้ขยายความก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันกำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“ก็อย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ” 

ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แม้จะพอรู้อยู่ว่าการตัดสินใจทิ้งบีบี๋และหันหลังให้เบอร์ลิคอาจทำให้ผมถูกมองว่าเป็นพวกใจหมาที่ทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของรุ่นพี่และนอกใจแฟนตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความรักจากทิชา ชีวิตเรียบง่ายในคอนโดฯ ที่มีเพียงแค่ผม แฟนผมกับแมวที่เราสองคนเรียกว่าลูกสาวอีกหนึ่งตัว ซึ่งผมก็พอใจมากด้วยที่เรื่องราวมันจบลงแบบนี้ 

“กูกับทิชาใจตรงกันแล้ว ถึงตอนเริ่มต้นจะไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่ตอนนี้กูรู้สึกว่าน้องมันน่ารักแล้วก็จริงใจกับกูที่สุด.... เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้ทิชามีความสุขได้ กูก็อยากทำให้ทุกอย่างเท่าที่จะทำไหว........”

“ในฐานะเพื่อนและแฝดรหัส กูดีใจนะที่ได้ยินว่ามึงลาออกจากเบอร์ลิคเพราะรักน้องทิชาจากใจจริง ไม่ใช่ว่าใช้น้องมันเป็นข้ออ้างบังหน้าในการลาออกเพราะมึงเบื่อที่จะต้องอยู่ภายใต้ระบบเกียร์กับคำสั่งของเฮียรุจ”

“อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น?”

เรียวคิ้วผมขมวดเป็นปมแน่นหลังได้ยินสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดออกมา

“กูไม่ได้คิด........”

ไอ้แจ็คส่ายหน้า ก่อนจะบอกให้ผมรู้ว่าโลกรอบๆ ตัวนั้นหมุนไปถึงไหนแล้วระหว่างที่ผมนอนกอดทิชาอยู่บางแสน 

“แต่คนอื่นเขาคิดกันว่ามึงไม่ได้รักน้องทิชา แต่ที่ไม่ยอมเล่นตามเกมเฮียรุจก็เพราะอย่างที่บอกไปเมื่อกี้”

“เหี้ยจริง มีปากแม่งก็พูดไป!”

“ก็ถ้ามึงรักกับน้องเขาเงียบๆ มันก็คงไม่มีใครปากมากได้หรอก แต่มึงเล่นจูงแมวไปยืนรอน้องทิชาถึงหน้าตึกสินกำ เปิดตัวหักหน้าแฟนเก่าขนาดนั้นจะไม่ให้ใครพูดถึงเลยก็คงไม่ใช่แล้ว” 

ผมนิ่งไปเมื่อเพื่อนสนิทติงกลับมาว่าตัวผมเองนี่ล่ะคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พวกที่ไม่เคยรู้สี่รู้แปดอะไรด้วยพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของผมกับทิชาสนุกปาก ตบท้ายด้วยประเด็นเดิมๆ เกี่ยวกับอดีตที่ไม่ค่อยสวยงามนักของแฟนผมซึ่งจนป่านนี้แล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่อีก 

“อย่าโกรธนะที่กูต้องพูดตรง แต่ส่วนหนึ่งมันก็มาจากชื่อเสียงในทางแย่ๆ ของน้องทิชาเองด้วย.... เกือบทุกคนที่รู้ว่ามึงเลิกกับบีบี๋ไปคบทิชาก็คิดเหมือนกันหมดว่ามึงแค่คบไว้ฟันเล่นๆ ไม่จริงจัง หรือไม่ก็อยู่ในช่วงหลงเพราะน้องมันสวยแล้วก็ท่าทางจะพาขึ้นเตียงได้ง่าย พอเบื่อเดี๋ยวมึงก็คงเลิกแล้วกลับมาหาน้องบีบี๋ กลับเข้าเบอร์ลิคเหมือนเดิม”

“ไอ้แจ็ค ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกู กูคงต่อยปากมึงไปแล้ว”

“กูบอกแล้วไงว่ากูแค่พูดตรงๆ จากมุมมองของคนนอกที่มึงเองก็ควรรู้ไว้ แต่ถ้ามึงจะไม่ใส่ใจก็ไม่ต้องแคร์ ปล่อยผ่านไป”

“พูดตรงกับปากหมาแม่งก็ใกล้เคียงกันแหละวะ”

ไอ้ปล่อยน่ะ ผมปล่อยแน่ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าทิชาจะพร้อมปล่อยวางเรื่องในอดีตแล้วเชื่อใจผมคนเดียวอย่างที่เราเคยคุยกันได้จริงหรือเปล่า

ผมรู้ว่าน้องมันค่อนข้างกลัวแล้วก็คิดมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ยิ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผมทิ้งบีบี๋มาหาทิชา และทิชาก็ได้ชื่อว่าแย่งแฟนเพื่อนตัวเอง ความระแวงว่าจะถูกผมทิ้งก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว.... แค่สองวันเต็มๆ ที่อยู่ด้วยกัน ผมกลับสังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่างในตัวเด็กคนนั้น ทิชาไม่กล้าขัดใจผมเลยไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม ถึงจะแกล้งทำเป็นเถียงบ้างแต่สุดท้ายก็แค่ยิ้มแล้วปล่อยให้ผมเป็นคนกำหนดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาหารการกิน เวลาที่เราจะออกไปเดินเล่นด้วยกัน ของที่จะซื้อ หรือแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง

เรื่องผิดนัดไอ้แดนก็เหมือนกัน พอผมบอกว่าอย่ากลับเลย ทิชาก็ไม่กลับและไม่แม้แต่จะพูดถึงอีก

และสิ่งที่ผมพอจะทำเพื่อคนรักของตัวเองได้ในเวลานี้ก็คงมีแค่ปกป้องและประคองหัวใจซึ่งเหมือนแก้วร้าวดวงนั้นให้อยู่ต่อไปให้ได้

“กู........ไม่อยากให้ทิชาได้ยินเรื่องพวกนี้...........”

“อ่อนแอก็แพ้ไป มาบอกกูก็คงช่วยอะไรไม่ได้ว่ะ”

“ยกเว้นบีบี๋ ทิชาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลยนะ.... มีแต่พวกเหี้ยๆ อย่างไอ้เอก กับไอ้กุ๊ยที่เรียนวิทยาฯ สอง-สามตัวนั้นแหละที่จ้องจะเอาเปรียบทิชา พอไม่ได้อย่างใจก็สร้างข่าวลือหมาๆ ใส่ร้ายโยนความผิดให้น้องมันรับไปคนเดียว!”

“มึงเชื่อแบบนั้นก็ดีแล้วนี่”

“อะไรวะ.... นี่มึงหลอกด่ากูอยู่หรือไง?” 

ผมชักจะฉุนขึ้นมาเมื่อไอ้เพื่อนเวรไม่ยอมช่วยคิด แถมยังพูดจากำกวมคล้ายจะบอกว่าผมเป็นมนุษย์โลกสวยและใสซื่อที่เชื่อสนิทใจว่าทิชาคือเหยื่อที่ถูกคนรอบข้างทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว

“เปล่า กูกำลังชมมึงต่างหาก.... เพราะมึงคงเป็นคนเดียวที่มองข้ามกำแพงอคติและข่าวลือที่กีดกันน้องเขาออกจากสังคม จนกระทั่งเข้าไปเจอตัวตนจริงๆ ของน้องทิชาได้ ไม่ว่ามันจะเป็นรักแท้ หรือเป็นแค่ความหลงชั่วครู่ชั่วคราว แต่กูก็นับถือใจมึงในจุดนี้”

แจ็คแก้ความเข้าใจให้ผมใหม่ แม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางของมันจะดูไม่ค่อยยินดีกับความรักของผมกับทิชานัก ผมคิดว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างซึ่งยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ถึงอย่างนั้น มันก็ยังอุตส่าห์ทำหน้าที่ที่ปรึกษาที่ดี ให้คำแนะนำไปตามเรื่องตามราวอย่างที่ควรจะเป็น 

“อันที่จริงปัญหาของมึงกับทิชาแม่งก็ไม่ได้ยากเลยนะ.... มึงรักน้อง น้องรักมึง งั้นพวกมึงสองคนก็รักกันต่อไปสิ แค่มึงไม่ทิ้งทิชาไปกลางคันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความรักของพวกมึงสองคนน่ะของจริง อยู่ที่ว่าตัวมึงเองจะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่าก็เท่านั้น”

ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของแจ็คก็ดังขึ้น มันหยิบขึ้นมารับโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

“ครับ เฮีย”

“สี่โมงเย็นใช่ไหมครับ.... ได้ครับ ผมจะพาบีบี๋ไปที่ร้านเอง”

สั้นๆ แค่นั้นแล้วก็วางสาย แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมมีคำถามตามมา

“เฮียรุจ........เขาดูแลบีบี๋ดีหรือเปล่าวะ?”

ผมยังจำคำพูดตัวเองในตอนที่โทรไปขอลาออกจากสายกับเฮียรุจได้ดี หนึ่งในสิ่งที่ผมเอ่ยปากกับจากรุ่นพี่ที่นับถือก็คือขอให้เขาดูแลบีบี๋ ในเมื่อเฮียรุจมีอะไรกับอดีตแฟนผม ยอมยกเกียร์ให้ใส่ ผมก็คิดว่ามันคือความรับผิดชอบของเฮียรุจแบบเดียวกับที่ผมรับผิดชอบความรู้สึกของทิชา

“มึงลาออกจากเบอร์ลิคไปแล้ว เรื่องในร้าน กูไม่ควรเล่าให้มึงฟัง”

แน่นอนว่าแจ็คต้องปฏิเสธ มันทำตามกฎของเบอร์ลิคที่ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นภายในร้านให้คนนอกรู้

“กูลาออกจากเบอร์ลิค ออกจากระบบเกียร์ แต่กูไม่ได้ลาออกจากการเป็นเพื่อนมึงนะ ไอ้แจ็ค”

ผมย้อนให้มันคิดและตัดสินใจเลือกว่าสำหรับมันแล้ว มิตรภาพยังมึความสำคัญอยู่หรือเปล่า หรือว่าพอผมตัดขาดจากเบอร์ลิคแล้วมันจะตัดผมออกจากการเป็นเพื่อนด้วย

“แต่ถ้ามึงจะไล่กูออกหรือลดตำแหน่ง ก็แล้วแต่มึงละกัน”

แจ็คถอนหายใจยาว มันอาจจะแอบด่าว่าผมเป็นเพื่อนเหี้ยที่มากดดันง้างปากให้มันแหกกฎเหล็กของเฮียรุจตาม แต่เอาวะ ถึงจะเป็นเพื่อนเหี้ยแต่อย่างน้อยก็ยังมีคำว่าเพื่อนอยู่ในนั้น

“............สองล้าน”

“อะไรสองล้าน?”

“น้องบีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน” 

ผมตกใจเผลอแหกปากร้องห๊ะออกมาทันที ในขณะที่ไอ้แจ็คกลอกตาทำหน้าเอือมๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องคาดไม่ถึงกับสิ่งที่มันกำลังจะเล่าต่อไปนี้แน่ 

“หนึ่งล้านแรกเป็นค่ายืมเกียร์รุ่น 32 เอาไปใช้บังคับให้มึงทิ้งทิชาแล้วกลับมาคบกับน้องบีบี๋ต่อ ก็ที่เฮียรุจแกขู่ว่าจะไม่ให้มึงไปฝึกงานกับพี่อ๊อดถ้ามึงไม่ยอมเป็นทาสรับใช้น้องบีบี๋นั่นแหละ.... แต่สุดท้ายมึงก็เลือกตัดสายแล้วลาออกจากเบอร์ลิคไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่าน้องบีบี๋เสียค่าโง่สร้างหนี้ให้ตัวเองฟรีๆ หนึ่งล้านโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง”

“แล้วล้านที่สองล่ะ?” 

ผมรีบถามต่อ ข้างในหัวสมองยิ่งว้าวุ่นขณะพยายามจับต้นชนปลายปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอดีตแฟน

“เงินล้านที่สองเป็นค่าชดใช้ความเสียหาย.......” 

น้ำเสียงไอ้แจ็คฟังดูไม่เชิงว่าจะกล่าวโทษผม แต่เนื้อหาใจความนั้นบ่งบอกชัดว่าผมคือหนึ่งในต้นสายปลายเหตุของหนี้สิ้นท่วมหัวซึ่งบีบี๋จำเป็นจะต้องจ่ายให้เจ้าของเบอร์ลิค

“เพราะมึงลาออกจากเบอร์ลิค เท่ากับทำให้เฮียรุจเสียรุ่นน้องที่แกไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งไป ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าเฮียรุจกะจะปั้นให้มึงเป็นหัวหน้าคอยช่วยดูแลเด็กๆ ในสายรุ่นต่อไป แล้วเฮียรุจก็หวังว่าจะใช้เส้นสายทางบ้านมึงไปเปิดร้านเหล้าบนเกาะพงันด้วย แต่พอมึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ เฮียแกก็เลยไปเพิ่มค่าเสียหายจากน้องบีบี๋ที่เป็นตัวต้นเหตุ”

“บีบี๋ก็ยอมจ่ายง่ายๆ งั้นเรอะ........?”

“กูไม่รู้รายละเอียดว่าตอนนี้น้องมันจ่ายอะไรยังไง แต่จะยอมหรือไม่ยอมแล้วยังไงวะ ถ้าเฮียรุจบอกว่าจะเอาสองล้านให้ได้ อย่างกับว่าน้องบีบี๋จะมีทางอื่นให้เลือกงั้นล่ะ”

ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าข้างในคอมันขมไปหมด.... ถึงแม้บีบี๋จะร้ายกาจกับผมและทิชา หลอกใช้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมอบให้เพื่อทำร้ายเพื่อนตัวเอง ผมรับการกระทำและนิสัยแบบนี้ไม่ได้ถึงบอกเลิก แต่ถ้าหากจะว่ากันตรงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอาฆาตแค้นอะไรน้องขนาดนั้น ผมยังคงมีความเป็นห่วงเป็นใยให้ตามประสาคนเคยนึกชอบเอ็นดูกัน

แจ็คคงเห็นว่าผมเงียบไปเหมือนลังเลเป็นเดือดเป็นร้อนแทนบีบี๋ มันจึงพูดสวนขึ้นมาให้ผมคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำบางสิ่งบางอย่างลงไป

“ไอ้โรม กูขอเตือนเอาไว้อย่างนึงนะ.... ถ้าหากมึงไม่ได้รักน้องบีบี๋ และมีความสุขดีกับน้องทิชาอยู่แล้ว มึงก็ไม่ต้องเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” 

มันว่าพลางจ้องหน้าผมเขม็ง 

“ความเป็นคนดีและความขี้ใจอ่อนง่ายของมึงจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่ง ในเมื่อตัดสินใจเดินออกไปแล้วก็ไม่ต้องหันหลังกลับมา”

“แต่บีบี๋กับเงินสองล้าน.... น้องมันจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่าย.....!?”

ก็อย่างที่รู้ว่าฐานะทางบ้านบีบี๋ ถึงจะไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรวยถึงขนาดเห็นเงินสองล้านบาทเป็นเรื่องเล็ก ผมถึงแน่ใจว่าน้องมันคงไม่มีทางรับผิดชอบหนี้ที่เฮียรุจยัดเยียดให้จ่ายได้หรอก.... แต่ประเด็นก็คือมันเป็นหนี้ที่บีบี๋ควรต้องจ่ายจริงหรือว่าเฮียรุจกำลังต้องการอะไรอย่างอื่นที่มากกว่าเงิน?

“หรือมึงจะจ่ายแทนล่ะ?”

คนเป็นเพื่อนถามกลับสั้นๆ แต่ตอกย้ำยาวเหยียดถึงสิ่งที่ผมควรชั่งน้ำหนักว่าอย่างไหนสำคัญกว่า 

“ไม่ว่าจะเอาเงินสองล้านไปให้เฮียรุจหรือเดินกลับเข้ามาเบอร์ลิคเพื่อช่วยลดหนี้ครึ่งหนึ่งให้น้องบีบี๋ มึงลองคิดดูให้ดีๆ นะว่าถ้าทิชารู้เรื่องนี้แล้วเขาจะยิ้มออกหรือเปล่าที่มึงยังเดือดเนื้อร้อนใจเหลือเยื่อใยให้แฟนเก่า”

ไอ้แจ็คพูดถูก.... ถ้าผมทำอะไรลงไปตอนนี้ คนที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจเต็มๆ ก็คือทิชา ถึงเจ้าตัวจะตามใจผมทุกอย่างโดยไม่ดื้อไม่เถียง แต่ผมก็ไม่คิดว่าน้องมันจะเข้าใจและยอมรับได้ง่ายๆ แล้วที่ผมพยายามบอกทิชาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้เชื่อใจ ให้เชื่อมั่นในตัวผมว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหนก็คงพังทลายไม่เหลือชิ้นดี

“จะบอกว่าน้องบีบี๋สมควรได้รับบทเรียนแล้วก็คงใช่.... มึงเองก็มีความสุขกับชีวิตรักใหม่กับน้องทิชาไปเถอะ ไม่รักเขาแล้วก็ไม่ต้องไปยุ่ง แค่นั้น”



ผมรู้.... ผมเข้าใจ....

ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อรู้แล้ว ผมจะทำนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้บีบี๋จ่ายค่าเกียร์กับหนี้ค่าตัวผมต่อไปได้อีกนานแค่ไหนนี่สิ


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-01-2018 22:14:13
DAN’s PART



‘กูไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไรนะเว้ย แดน.... มึงก็น่าจะรู้ว่าทิชามันไม่ได้เหมือนคนอื่น ถ้าจะจีบเล่นๆ เอามันส์ กูขอร้องมึงในฐานะญาติเลยว่าปล่อยทิชาไปเถอะ’

‘เห็นแก่ที่มึงเป็นน้อง เรื่องชวนไปแคสละครอะไรนั่น กูเองก็ไม่อยากว่ามึงเยอะ.... ถ้าหากมึงแค่อยากเป็นเพื่อนกับทิชา กูก็ยินดีต้อนรับเสมอ แต่ถ้าหวังมากกว่านั้น กูคงยอมให้มึงไม่ได้เหมือนกัน’


‘ทิชาเป็นของกูแล้ว และกูก็ไม่คิดจะแชร์เมียกับใครด้วย.... คิดว่ามึงคงเข้าใจนะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร!’



เฮียโรมไปหาผมที่คณะตอนเช้าวันจันทร์หลังกลับจากบางแสน พอนึกถึงคำพูดพวกนั้นทีไร ความโมโหเกรี้ยวกราดในหัวใจมันก็พุ่งทะลุปรอทยิ่งกว่าไฟนรก

ทั้งที่เฮียโรมแม่งเป็นคนปฏิเสธทิชาแล้วไปขอคบบีบี๋เองแท้ๆ แต่ในตอนนี้เขากลับมาพูดจาเสมือนว่าตัวเองเป็นพระเอกผู้แสนดี แล้วชี้หน้าด่าว่าผมคือตัวเหี้ยซึ่งจะมาแก่งแย่งทำลายคนรักของเขา

ผมไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากทำความเข้าใจด้วย

ทำไมคนบางคนถึงไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแต่กลับได้สิ่งๆ นั้นมาครอบครองอย่างง่ายดาย ในขณะที่คนปิดทองหลังพระแบบผมถึงไม่เคยได้รางวัลปลอบใจอะไรกับใครเขา แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี

เพียงแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ ที่จะทำให้ผมได้ใกล้ชิดทิชาในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังถูกละเลย มิหนำซ้ำยังกลับกลายเป็นว่าผมคือตัวอันตรายที่จะมายุแยงตะแคงรั่วให้ผัวเมียเขาแตกแยก

ถามหน่อยเหอะ.... เห็นผมเป็นคนเชี่ยแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

ถามหน่อยเหอะ.... แค่ผมเริ่มต้นผิดหนเดียว มันแปลว่าผมจะต้องเหี้ยไปหมดทุกอย่างจริงๆ หรือไง?

.

.


‘ชีวิตกูไม่ได้เจอคนอย่างพี่โรมง่ายๆ และกูก็ไม่อยากรออีกแล้ว....’

‘เขามีทุกอย่างที่กูตามหาอยู่ในคนๆ เดียวเลยว่ะ.... เป็นทั้งพ่อ พี่ชาย แล้วก็เป็นคนรักแบบที่กูอยากได้ด้วย’


แล้วกูล่ะ ทิชา.... แค่มึงเอ่ยปากมาคำเดียว กูก็เป็นทุกอย่างให้มึงได้เหมือนกันนั่นแหละ

อ้อ ลืมไป มึงไม่ยอมคุยกับกูนี่เนอะ

เพราะมึงโกรธที่กูหอมแก้มมึงในงานเฟรชชี่ ทำให้มึงโดนถ่ายรูปลงเพจแล้วมีคนไปคอมเมนท์ด่า....  โอเค กูมันสิ้นคิดเองที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่นั่นก็เพราะกูยังไม่รู้จักมึงนี่หว่า กูพลาดที่ไม่รู้ว่ามึงอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ กูก็แค่อยากให้มึงจำกูได้เท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นไม่ว่ากูจะพยายามยังไง สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือมึงเหม็นขี้หน้ากู ไม่อยากคุยด้วย เอาแต่เดินหนี ไม่เคยเปิดโอกาสให้กูอธิบายหรือแก้ตัวสักนิด

ทั้งๆ ที่กูเป็นถึงเดือนสถาปัตย์ แต่สภาพก็ไม่ต่างอะไรก็หมามองเครื่องบิน ขนาดเวลาเห็นเครื่องบินตกก็ยังเข้าไปเก็บซากใกล้ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เหี้ยไหมล่ะ.... ครั้งแรกที่มึงยอมคุยกับกูเกินสามประโยคก็คือตอนที่กูจับได้ว่ามึงแอบชอบเฮียโรม ถ้าไม่มีข้อมูลเรื่องชิงเกียร์ไปแลกเปลี่ยน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้มึงไปแคสละครด้วยกัน มึงก็ยังคงเป็นดาวบนฟ้าที่กูคว้าไม่ถึงอยู่แบบนั้น

แล้วทำไมดาวอย่างมึงถึงต้องร่วงลงมาอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่กูอยู่เรื่อย?

.


.


‘กูรู้ว่ามึงโกรธมาก......แต่มึงต้องพูดกับกูแรงขนาดนี้เลยเหรอ..........’


สัดเอ๊ย.... อย่ามาถามกูเลย อย่ามาร้องไห้ให้กูเห็นด้วย

ไปถามเจ้าของมึงโน่นว่าทำไมต้องมาย้ำใส่กูหนักหนาว่าได้แดกมึงแล้ว ตัวมึงขาว ตัวมึงหอม เอามึงทำเมียแล้วมีความสุขสุดยอดแค่ไหน

ไปถามเฮียโรมซะว่าทำไมต้องพูดจาหมาๆ กับกู ทั้งๆ ที่ถ้าไม่มีกูคอยช่วยก็ไม่มีทางหรอกที่พวกมึงจะได้มาเป็นคนรักของกันและกันแบบนี้!



กูไม่ได้อยากอิจฉาเลยนะ ทิชา....

กูก็อยากอวยพรให้มึงกับเฮียโรมรักกันไปนานๆ อยากให้มึงเจอคนที่สามารถดูแลและเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปให้มึงได้ตลอดชีวิต แต่สุดท้ายกูก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะ ถึงกูจะทำดีกับมึง แต่จริงๆ กูก็ไม่ได้เป็นพ่อพระขนาดนั้น

กูโคตรอยากให้มึงกับเฮียโรมเลิกกันฉิบหายเลย

จะเกลียดกูไปเลยก็ช่าง แต่กูขอให้เฮียโรมเห็นมึงเป็นตุ๊กตายางเอาไว้สำเร็จความใคร่....

ขอให้เฮียโรมคิดกับมึงเหมือนที่คนเก่าๆ ของมึงคิด....

ขอให้เฮียโรมทิ้งมึง....

ขอให้เฮียโรมไม่รักมึง....



ไอ้เหี้ยแดน.... นั่นทิชานะ มึงคิดอะไรของมึงอยู่วะเนี่ย....?


.

.

.


ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วหลังจากผมคุยกับทิชาในห้องน้ำที่คณะ.....

ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีข้อความไลน์ส่งมาถึงผมอีกนับจากวันนั้นเพราะผมเป็นฝ่ายบล็อกทิชาก่อน อารมณ์ฉุนเฉียวและบาดแผลที่ได้รับเริ่มเจ็บน้อยลงตามลำดับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่หายดี แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยากเปิดวอร์สู้รบปรบมือกับพี่ชายตัวเอง ไม่ได้อยากเข้าไปวอแวเรียกร้องความสนใจให้ใครบางคนด่าเล่น ผมยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคำสัญญาซึ่งทิชาทั้งให้และเอาคืนก็เปรียบเสมือนสายฝนที่ตกลงมาเพียงชั่วครู่ชั่วคราวก่อนจะซึมหายไปในผืนดินไม่เหลือร่องรอยเมื่อยามดวงอาทิตย์ส่องแสงอีกครั้ง

ผมยังคงเจอทิชาอยู่เรื่อยๆ ตามคลาสเรียนรวมสองคณะบ้าง เจอตอนซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าคอนโดบ้าง บางทีก็เดินสวนกันตรงโถงลิฟท์ชั้นล่าง.... มันก็ยังคงเป็นทิชาที่แสนน่ารักคนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นแฟนเฮียโรมอย่างเต็มตัว ตอนนี้ผมไม่ได้แช่งชักหักกระดูกนับวันรอให้มันเลิกกับเฮียโรมแล้ว แต่ถ้าถามว่าเชียร์ให้รักกันไหม คำตอบก็ยังคงเป็น ‘ไม่’ อยู่เหมือนเดิม

แต่ถ้าลองเปลี่ยนคำถามเป็นว่าผมยังไม่ตัดใจจากทิชาอีกเหรอ

คำตอบก็อาจยังคงเป็น ‘ใช่’ อยู่เช่นกัน



Paweeny_PaiPai :  แดนเป็นยังไงบ้าง?

                           วันนี้รอลุ้นผลแคสด้วยกันนะ :)




ระยะนี้ผมคุยกับพี่ปายราวๆ หกชั่วโมงต่อวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ คุยเฟซไทม์กันบ้าง คุยผ่านแชทบ้าง บางทีก็แค่โทรศัพท์ธรรมดา.... ทั้งหมดเริ่มจากตอนที่เขามาคอมเมนท์รูปคู่ในไอจีผมแล้วผมก็ตอบกลับ จากที่หยอดกันต่อหน้าให้บรรดาแฟนคลับฮือฮาเล่นก็ขยับเป็นคุยไพรเวทกัน จนกระทั่งเขาขอแอดไลน์แลกเบอร์โทรและเราทั้งคู่ก็กลายเป็นคนรู้จักสนิทสนมกันในที่สุด

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแคปชั่น ‘เซอร์ไพรส์!’ ที่ผมใส่เอาไว้ กระแสคู่จิ้นใหม่ #แดนปาย ก็เลยเป็นที่พูดถึงอยู่ในโลกโซเชียลเวลานี้ พี่ปายเป็นคนอัธยาศัยดีพอๆ กับหน้าตา ช่างคุยช่างตอบแล้วก็ช่างเซอร์วิสตามประสาเน็ตไอดอลมืออาชีพ แฟนๆ ของผมก็ยิ่งชอบเพราะสกิลการชงของกัปตันช่วยให้น้ำเชี่ยวพายเรือสนุก ชื่อของผมกับพี่ปายติดไทยแลนด์เทรนด์แทบจะทุกวัน ในขณะที่แฮชแท็ก #แดนทิชา ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงจนหายเกลี้ยงไปจากไทม์ไลน์

ผมดูออกว่าพี่ปายค่อนข้างมีใจให้ เขาเองก็ตรงตามสเป็คที่ผมชอบพอดี.... ผู้ชายหน้าสวยตามสมัยนิยม เอวบางร่างผอมแต่ไม่ใช่คนตัวเตี้ย ผิวขาว แต่งตัวเก่ง รสนิยมดี แถมนิสัยก็ดี พูดเพราะ เทคแคร์เก่ง แถมพูดจารู้เรื่องไม่งี่เง่าเอาแต่ใจด้วยเพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว

พอพูดถึงพวกที่คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ผมก็ดันนึกถึงใครบางคนขึ้นมาอีก

ใครบางคนที่ผมทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ คุยด้วยดีๆ ก็หาว่ากวนตีน ไม่เดินหนีก็ด่ากลับ โมโหมากหน่อยก็วีนใส่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

บ้าชะมัด.... จนป่านนี้แล้วยังจะคิดถึงอยู่ได้

หรือเพราะที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดถึงใครนอกจากทิชา ก็เลยติดเป็นความเคยชินว่าจะต้องมีมันอยู่ในหัวสมองตลอดเวลา....?



Paweeny_PaiPai  : ตื่นเต้นอ้ะ ใกล้ถึงเวลาประกาศผลแล้ว

Mr.Dan  :            โห ระดับพี่ปายต้องตื่นเต้นอีกเหรอ?

Paweeny_PaiPai : ก็คราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งนี่

                          ขอให้พี่ได้บทที่อยากได้ด้วยเถอะ สาธุ /ไหว้




ผมรอดูประกาศผลแคสบทผ่านทางเฟซบุคไลฟ์ มือถือก็เอาไว้แชทคุยกับพี่ปายไปพร้อมกัน.... คอมเมนท์ซึ่งกระหน่ำเข้ามาทางด้านล่างจอภาพคือกำลังใจจากบรรดาแฟนคลับและเสียงเชียร์ให้ผมกับพี่ปายได้รับบทนำคู่กัน ทีแรกผมก็แอบกังวลอยู่หน่อยๆ เมื่อคิดว่าจะต้องมีคิสซีน (หรืออาจรวมถึงเลิฟซีน....) กับคนที่ไม่ใช่ทิชา แต่เอาจริงๆ พี่ปายก็ไม่ได้แย่นักในความรู้สึกปัจจุบันของผม

บทตัวประกอบเบอร์ห้า เบอร์สี่ เบอร์สามถูกประกาศเรียงไปตามลำดับความสำคัญ จนกระทั่งมาถึงคู่รองของเรื่องซึ่งเพิ่งประกาศฝ่ายพระเอก (อ่า ต้องเรียกว่าพระรองสินะครับ) ไปเมื่อกี้.... คนที่ได้บทนี้ไปชื่อภัทร ไอ้หน้าหล่อจากมหาลัยเอกชนแถวชานเมืองซึ่งผมแอบลงความเห็นว่ามันคือคู่แข่งตัวฉกาจ เท่ากับว่าตัวเต็งที่จะได้บทพระเอกคู่หลักก็เหลือแค่ผมคนเดียว ส่วนตัวเต็งฝั่งนายเอกก็เหลือพี่ปายกับน้องพุด รุ่นน้องปีหนึ่งตัวเล็กน่ารักซึ่งมาจากโมเดลลิ่งเดียวกันกับพี่ปาย


Paweeny_PaiPai  : บทนายเอกคู่รองจะต้องเป็นของพุดแน่เลย

                     พี่เคยอ่านนิยายมาแล้ว คาแร็คเตอร์พุดเหมาะมาก

          เหมือนวันนั้นนักเขียนเจ้าของเรื่องเขาก็ปลื้มพุดเป็น

                    พิเศษด้วยนะ เห็นเขาคุยกับพี่โรสว่าพุดเหมือนหลุด

                    ออกมาจากนิยายต้นฉบับเลย




พี่ปายบอกแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเก็งผลกันเล่นๆ แล้ว ผมไม่ได้อ่านนิยายมาก่อนแต่ก็มีอ่านบรีฟโครงเรื่องและอิมเมจตัวละครมาบ้างเลยเห็นด้วยสุดลิ่มทิ่มประตูว่าบทนี้สมควรจะเป็นน้องพุด.... อารมณ์แบบว่าเด็กตัวเล็กๆ ยิ้มสดใส อยู่ด้วยแล้วชวนให้รู้สึกว่าโลกเป็นสีชมพูอะไรทำนองนั้น


‘มาถึงบทนายเอกคู่รองแล้วนะคะ ตัวละครตัวนี้ก็มึความสำคัญไม่แพ้คู่หลักเลย และคณะกรรมการของก็เราลงความเห็นกันแล้วว่าคนที่เหมาะที่สุดก็คือ......’

เสียงทีมงานสาวสวยซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ประกาศฟังดูตื่นเต้นไม่แพ้พวกเรา แม้กระทั่งในตอนที่เธอเปิดซองใส่ผลการออดิชั่นต่อหน้ากล้อง ผมก็ยังคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรพลิกโผหรือมีเซอร์ไพรส์ค้านสายตาโผล่มาให้โลกจำ

แต่ทว่า....


 ‘นักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกและจะได้รับบทนายเอกคู่รองได้แก่ หมายเลข 12.... น้องปาย ปวีณ สุวัฒนา ค่า!’


“เฮ้ย!”

ผมตะลึงกับผลการคัดเลือกจนเผลอตะโกนออกมา เพราะนี่มันเรียกได้ว่าหักปากกาเซียนคว่ำกระดานทิ้งกันเลยทีเดียว ผมรัวนิ้วส่งข้อความไปหาพี่ปาย ถามว่าเขาได้ยินเหมือนอย่างที่ผมได้ยินหรือเปล่า แต่พี่ปายไม่ตอบกลับมา ผมจึงเข้าใจว่าเขาเองก็คงใจช็อกกับบทที่ตัวเองได้รับเช่นเดียวกัน

สถานการณ์ในช่องแชทยิ่งกว่ามีสงครามกลางเมือง เมื่อกลุ่มแฟนคลับของพี่ปายและผู้ศรัทธาลัทธิแดนปาย ต่างพร้อมใจกันด่าทอสาปส่งคณะกรรมการผู้ทรงเกือกและสาดอิโมจิหน้าโกรธฟลัดเต็มหน้าจอ ทำเอาทีมงานหญิงที่เป็นคนประกาศถึงกับหน้าเสียเลยทีเดียว.... แต่เดอะโชว์มัสโกออนฉันท์ใด การประกาศผลออดิชั่นก็จำเป็นจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะไล่รายชื่อนักแสดงหลักจนครบ


‘พระเอกของเรา.... ชนวนเหตุสำคัญของความรักสุดแสนฟรุ้งฟริ้งแต่ร้อนแรง แน่นอนว่าหนุ่มหล่อกร๊าวใจที่จะมารับบทนี้ก็มีรอยยิ้มพิฆาตถอดแบบมาจากอิมเมจที่คุณชาดา ผู้แต่งเรื่องสงครามคิวท์บอยจินตนาการเอาไว้ทุกอย่าง.......’

‘และเขาคนนั้นก็คือหมายเลข 79.... แดน ดรัณภพ อนุวัฒน์วงษ์ ค่ะ!’


แม้จะได้ยินเสียงแหลมๆ ประกาศเรียกชื่อตัวเอง แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะโฟกัสกับเสียงปรบมือเปาะแปะซึ่งดังลอดลำโพงคอมพิวเตอร์อีกแล้ว

ถ้าบทนายเอกที่คู่กับผมไม่ใช่พี่ปายแล้วจะเป็นใครไปได้?

อย่างน้องพุดก็คงไม่น่าจะใช่....



‘เอาล่ะค่ะ เวลาที่แฟนๆ ทุกท่านรอคอยก็มาถึงแล้วนะคะ’

‘บทบาทที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามคิวท์บอยที่สุดแสนจะวุ่นวายแต่โรแมนติกฟินเวอร์จนต้องจิกหมอนกลั้นยิ้มไปตั้งแต่ต้นจนจบ.... เรื่องราวหลักๆ ของเราจะถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครตัวนี้ และนักแสดงที่คณะกรรมการและทีมงานเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสมที่สุดก็คือ............’


มือของผมกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ รู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะกระเด็นหลุดออกมาจากอกซ้าย เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบจนเสียงของมันดังก้องอยู่ข้างในโสตประสาท.... ลมหายใจผมจุกอยู่ตรงลำคอ ท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายว่าอยากจะสำรอกเรื่องเหี้ยๆ และเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้รับเชิญทิ้งไปให้หมด

ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดนิ่งแล้วหมุนคว้างเมื่อพิธีกรสาวประกาศชื่อดวงดาวแสนสวยซึ่งไม่เคยเป็นของผมออกมา



‘หมายเลข 116.... น้องทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา คือผู้ที่จะมารับบทนำในซีรส์สงครามคิวท์บอยของเราค่ะ~!”


TO BE CONTINUE


 :katai4: :katai3:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Indy555 ที่ 29-01-2018 22:47:45
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด :m3: :m3: :m3:
ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เราโคตรรักไรท์มากกกกกกกกกกก
ของมากที่สุดอ่ะ  :m1: :m1: :m1:
ทีม #แดนทิชา ตบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ปล. เชื่อมั้ยว่าไม่คิดจะก้าวขาขึ้นเรือ #โรมทิชา เลยตั้งแต่อ่านมา บั่บพระเอกโลเลตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังโลเล เราเท!!!! พระเอกแนวนี้อ่ะ
 :m16: :m16: :m16:
เชิญโรมไปช่วยเมียเก่าอย่าบีบี๋ตามสบายเลยนะ  :z6:
 ของสตาร์ทเรือแดนทิชาแพร๊บ!!!  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-01-2018 22:58:44
จะแดนทิชาจริงๆหรอคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: bekeyyy ที่ 29-01-2018 23:19:43
อ่านแล้วมันบีบคั่นหัวใจซะเหลือเกิน :hao5:
ทำไมน้องทิชาไม่ได้เกินบนเส้นทางที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบซักทีว้อยยยย
โรมก็ใจโลเลซะเหลือเกิน อยากจะฟาดๆๆแล้วถามว่าคิดอะไรอยู่
เลิกเป็นคนดีซักทีแล้วช่วยแคร์คนที่ควรแคร์มากๆด้วย :z3: :z3:
++แดนอย่าพึ่งทิ้งทิชาเลยนะ อยากให้มีคนรักน้องเยอะๆ
ขอให้หลังจากนี้มีโมเมนท์แดนทิชาเยอะๆเลยนะค่า จากหัวใจแม่ยกแดนทิชา :katai3:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 30-01-2018 17:11:11
คุณแม่สุดยอดดดด!!! บันดาลทุกสิ่งให้ทิชาได้จริงๆ
แต่จุดประสงค์ที่ทิชาต้องการคืออะไรนะ
ถึงต้องเข้าไปอยู่ในจุดนั้น ยังคงสงสัย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Indy555 ที่ 03-02-2018 14:50:08
รอนะคะ ยังรอไรท์อยู่ที่ท่าเล้าเป็ดเสมอออ :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 04-02-2018 22:58:48
12
~ วาระซ่อนเร้น ~


BEE-BEE’s PART



“ช่วงนี้บีบี๋ดูผอมลงนะ ไดเอ็ทอยู่เหรอ?”

“นั่นสิ.... เราว่าเราไม่ค่อยเห็นบีบี๋กินอะไรเลย ต้องแอบฟิตหุ่นอยู่แน่ๆ”

ระหว่างที่กำลังตักข้าวกลางวันแสนจืดชืดที่เอามาจากบ้านเข้าปาก เจนนี่กับฝ้าย สองเพื่อนสาวคนสนิทกลุ่มใหม่ก็เอ่ยทักขึ้น ผมแปลกใจนิดหน่อยก่อนจะก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตัวเอง ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันแหละว่าน้ำหนักน่าจะเริ่มลดลงไปบ้าง แต่ถ้าถามว่าตั้งใจจะไดเอ็ทหรือเปล่า อันนั้นผมคงต้องบอกว่าไม่ใช่

“เปล่านี่......”  ผมตอบยิ้มๆ ทั้งที่ในใจอยากจะแหวะสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไปเต็มแก่.... ให้ตายเถอะ เบื่อเกียมฉ่ายผัดไข่ฝีมือหม่าม้าชะมัด! “.......เราก็เอาข้าวมาเองไง”

“ก็จริงอยู่ว่ากินข้าว แต่บีบี๋ไม่กินขนมเลย ชานมก็ไม่กิน เดี๋ยวนี้ชวนไปกินไก่ทอดเกาหลีกับเฟรนช์ฟรายราดชีสหลังเลิกเรียนด้วยกันก็ไม่ยอมไป บอกว่าติดธุระบ้างอะไรบ้าง งานชุกยิ่งกว่านักธุรกิจพันล้าน ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ นี่แทบไม่ต้องชวนเลย ยังไงก็ไปแน่”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เบื่อๆ น่ะ”

ผมอุตส่าห์ไม่คิดถึงชีวิตอันแสนสุขแล้วพยายามหลอกตัวเองว่าเอ็นจอยดีกับอาหารต้นตำหรับบรรพบุรุษจากซัวเถาซึ่งเป็นอย่างเดียวที่แม่ผมสามารถทำได้ แต่พอเจนนี่พูดถึงฟาสต์ฟู้ดของโปรดให้ได้ยิน หัวใจของผมก็เจ็บแปลบยิ่งกว่าโดนมีดเสียบ ท้องไส้ที่กินแต่กับข้าวแต้จิ๋วสไตล์มาร่วมครึ่งเดือนก็ร้องอุทธรณ์ส่งเสียงโครกคราก ซึ่งผมก็ทำได้แค่คุมโทนหน้านิ่ง ไม่สน ไม่อยากเพราะจะให้ใครรู้ไม่ได้เชียวว่าผมตั้งใจจะใช้เงินให้น้อยเข้าไว้ หรือถ้าไม่ใช้ได้เลยยิ่งดี

“แหม คงไม่ใช่ว่าลดน้ำหนักเปลี่ยนลุคให้คนเก่าเสียดายเล่นหรอกนะ” 

ฝ้ายสันนิษฐานไปไกลถึงดาวพลูโต แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องหนี้เบอร์ลิคเข้ามา ผมก็แทบไม่ได้นึกถึงคนเก่าที่กำลังถูกพาดพิงอีกเลย

“บ้า บีบี๋ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำแบบนั้นสักหน่อย.... น่ารักอยู่แล้ว เดี๋ยวก็มีคนใหม่เข้ามาจีบเองแหละ” 

เจนนี่ช่วยเสริม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้อวยผมสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนพูดทุกอย่างนะ แต่เพราะฟังแล้วรื่นหูดีก็เลยไม่อยากขัดต่างหาก

“อย่างพี่โรม ถึงจะหล่อจะรวยแต่ดันซื่อบื้อเห็นดอกหน้าวัวเป็นดอกบัวถวายพระ อย่าไปนึกถึงเลย ปล่อยให้ไปที่ชอบๆ พร้อมกับทิชานั่นแหละดีแล้ว”

ผมหัวเราะแห้งประหนึ่งว่าชอบใจที่เจนนี่ช่วยด่าเฮียโรมกับอดีตเพื่อนซี้ แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้นะว่าสองคนนั้นคือความด่างพร้อยที่เจ็บแสบที่สุดในชีวิตผม และไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะปล่อยวางได้ง่ายๆ

ผมยังจำเหตุการณ์ซึ่งกลายมาเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ศิลปกรรมเมื่อไม่นานมานี้ได้ดี เฮียโรมที่เลี้ยงหมามาตลอดตอนอยู่สุราษฏร์อุ้มน้องมิลค์ ลูกรักของไอ้ชามาเซอร์ไพรส์เหล่าขาเผือกถึงหน้าคณะ ในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเขาบอกเลิกผมแล้ว ผมเองก็ไม่ได้บอกใครเพราะคิดว่ายังไงก็จะพยายามง้อ ยื้อเอาเขากลับมาให้ได้ แต่บอกตามตรงว่าใจผมฝ่อทันทีเมื่อเห็นเฮียโรมจูงมือทิชาไปขึ้นรถแบบไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น.... ทั้งๆ ที่มันผ่านแฟนเก่ามาไม่รู้กี่มือต่อกี่มือ ทั้งๆ ที่ชื่อเสียงมันฉาวโฉ่ชนิดใส่ตะกร้าล้างน้ำอีกรอบก็ไม่หมดกลิ่นคาว แต่เฮียโรมก็ยังคิดว่าทิชาดีกว่าผม

ผมรู้สึกพ่ายแพ้ หดหู่ แล้วก็เกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกครั้งที่มีคนเข้ามาถามว่า ‘เลิกกับพี่โรมแล้วใช่ไหม?’ ‘ถูกทิชาแย่งแฟนไปเหรอ?’ หรือ ‘ทำไมเขาถึงไปชอบทิชาได้ล่ะ?’ เพราะมันโคตรตอกย้ำเลยว่าผมก็เป็นได้แค่ไอ้บีบี๋ เบี้ยล่างกระจอกงอกง่อยที่คอยเดินตามทิชาต้อยๆ และไม่มีวันขึ้นมาเทียบเท่ามันได้

เรื่องระหว่างผมกับเฮียโรมมันมากกว่าแค่คบแล้วเลิก ไม่ใช่แค่อกหักรักไม่สมหวัง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงหนี้สองล้านที่เฮียรุจเอามาโยนใส่หัวผม....

ผมไม่เชื่อหรอกว่าเฮียโรมจะไม่รู้เรื่องนี้เลย ถึงจะเป็นกฎของเบอร์ลิคแต่ก็ไม่มีทางที่พี่แจ็คจะไม่เล่าให้เพื่อนฟัง.... ผมแน่ใจว่าเฮียโรมรู้ทุกอย่างแต่ไม่สนใจ ก็เขาไม่ชอบผมแล้วนี่ เผลอๆ อาจจะนึกสมน้ำหน้าผมด้วยซ้ำที่คิดจะใช้อำนาจเฮียรุจบีบบังคับเขาก่อน

ป่านนี้เขาก็คงมีความสุขอยู่กับไอ้ชาสมใจอยากล่ะมั้ง.... ผมก็คงไม่หัวร้อนเท่าไรนักหรอก ถ้าหากว่าเฮียโรมไม่เคยบอกว่าชอบผมมาก่อน เสร็จแล้วก็มาทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น


“เออ ว่าแต่เมื่อไรบีบี๋จะแนะนำให้พวกเรารู้จักพี่ปีสามคนนั้นสักทีล่ะ คนที่ตัวสูงๆ ผิวเข้มๆ ที่ชอบมาหาบ่อยๆ หลังเลิกเรียนน่ะ”

“หืม พี่แจ็คน่ะเหรอ?”

อยู่ดีๆ เจนนี่ก็ถามขึ้นมา คนที่มาหาผมช่วงนี้ก็มีแค่พี่แจ็คคนเดียวนั่นแหละ แค่งงว่าทำไมผมถึงต้องแนะนำคนรู้จักให้เพื่อนด้วย ตอนอยู่กับทิชา ไม่เห็นมันจะเซ้าซี้ขอให้ผมแนะนำคนรู้จักให้เลย หรือว่านี่จะเป็นความคิดแบบผู้หญิงๆ กันนะ

“ก็ไม่มีอะไรนี่ เขาชื่อพี่แจ็ค ปีสามภาคเครื่องกลก็แค่นั้น”

“ไม่มีอะไรจริงเหรอจ๊ะ?”  ฝ้ายช่วยแซ็วสมทบ ที่แท้สองคนนี้ก็สงสัยว่าพี่แจ็คจะมาจีบผมนี่เอง

“กับพี่แจ็คน่ะไม่มีหรอก...........”

เพราะเขาแค่มีหน้าที่ขับรถรับ-ส่งให้ผม ส่วนคนที่มีจริงๆ น่ะคือตัวร้ายซึ่งผมไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อโดยไม่จำเป็น

“งั้นก็แนะนำได้น่ะสิ” 

สองสาวมองผมตาเป็นประกาย ถึงจะไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปหลงอะไรคนหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาอย่างไอ้พี่แจ็ค แต่เพื่อนสัมพันธภาพอันดีกับเพื่อนใหม่ ผมก็ยินดีขายทอดตลาดเบ๊กิตติมศักดิ์ด้วยความเต็มใจ

“ได้อยู่แล้ว ถ้าพวกเธออยากได้ไลน์พี่แจ็ค เดี๋ยวเราแชร์คอนแท็คให้เลย”



“น้องบีบี๋เสร็จธุระหรือยังครับ?”


ยังไม่ทันที่ผมจะควักโทรศัพท์ออกมา น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งเฮือกมือไม้สั่นโดยอัตโนมัติ แล้วก็ยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อหันไปเจอว่าคนที่มารับผมไปเบอร์ลิคในวันนี้ไม่ใช่ไอ้พี่แจ็คหน้าเหม็นบูดเหมือนเช่นเคย

หากแต่เป็นเจ้าหนี้ คนที่ผมเพิ่งบอกว่าไม่อยากเอ่ยถึงโดยไม่จำเป็น....!

“ฮะ.....เฮียรุจ!” 

เวรเอ๊ย ทำไมผมต้องสั่นไปยันลูกกระเดือกด้วยเนี่ย แถมอยู่ต่อหน้าเจนนี่กับฝ้าย โดนทักประชิดถึงตัวขนาดนี้ จะวิ่งหนีหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็ไม่ได้ 

“แล้วพี่แจ็คล่ะ?? พี่แจ็คไปไหน ทำไมต้องมาเอง??”

“ไอ้แจ็คมันก็ต้องมีเรียนหนังสือบ้างสิ ใครจะมาว่างคอยตามรับ-ส่งน้องบีบี๋ได้ตลอดเวลาล่ะครับ?” 

เฮียรุจพูดอย่างกับว่าผมเป็นเด็กอนุบาลติดพี่เลี้ยง ในขณะที่ตัวเขาคือผู้ปกครอง ทั้งน้ำเสียงและสายตาราวกับจะตอกย้ำว่าคนที่ผมควรต้องเชื่อฟังและเดินตามคือเขา ไม่ใช่พี่แจ็คซึ่งแค่ทำหน้าที่ขับรถให้ 

“ถ้ากินข้าว คุยกับเพื่อนเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ.... วันนี้หน้ามอรถติดตั้งแต่หัววันเชียว พี่ต้องกลับถึงร้านก่อนบ่ายสามด้วย พอดีนัดคุยกับพวกนักดนตรีเอาไว้”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเรียนรู้แบบจำฝังหัวว่าทุกคำที่เฮียรุจพูดไม่ใช่การขอร้องหรือถามความเห็น แต่มันคือคำสั่งที่ผมจะต้องปฏิบัติตามเท่านั้น และถ้ายังไม่อยากโดนซ่อมจนน่วม ผมก็ไม่ควรอ้อยสร้อยจนเขาต้องพูดซ้ำสอง

“ไปก่อนนะ เจนนี่ ฝ้าย.... ไว้เจอกัน บาย”

ผมเก็บข้าวกล่องที่หอบมาจากบ้านทั้งที่เพิ่งกินไปได้แค่สอง-สามคำแล้วรีบหยิบข้าวของเตรียมไปขึ้นรถ เฮียดูค่อนข้างพอใจที่ผมไม่แผลงฤทธิ์ใส่เขาแบบเดียวกับที่ชอบทำใส่พี่แจ็ค เขาก็คงได้ยินรุ่นน้องคนสนิทรายงานถึงความร้ายกาจของผมมาหลายหน ถึงได้อยากมาโชว์พาวแล้วก็แสดงตัวตอกย้ำให้ผมจำขึ้นใจว่าเป็นลูกหนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ร้านหรือที่ไหนก็ยังเป็นแค่ทาสอยู่ดี

 “เอ่อ.... ขอโทษนะคะพี่”

เจนนี่ส่งเสียงเรียกก่อนที่ผมกับเฮียรุจจะออกไปจากแคนทีนคณะ ฟังจากสรรพนามบุรุษที่สองแล้ว เจนนี่ไม่น่าจะเรียกผม หากแต่เป็นร่างสูงในชุดแบรนด์ Diesel ตั้งแต่หัวจรดเท้า 

“เมื่อกี้พวกหนูได้ยินบีบี๋เรียกพี่ว่าเฮียรุจ ไม่ทราบว่าใช่เฮียรุจที่เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิคหรือเปล่าคะ?”

เฮียรุจหันมายิ้มให้สองสาว ยิ้มแบบที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเพื่อธุรกิจล้วนๆ

“น้องคนสวยเคยไปเบอร์ลิคด้วยเหรอครับ?”

“ยังเลยค่ะ แต่หนูเคยเห็นรูปพี่ในไอจีเพื่อน คิดว่าไม่น่าจะจำผิด”

“ก็ไม่ผิดหรอกครับ.... พี่ชื่อรุจ เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค” 

เพียงเท่านี้ เจนนี่กับฝ้ายก็กรี๊ดกร๊าดตีมือกันยกใหญ่ อยากจะสะกิดบอกเหลือเกินว่าไอ้ที่เห็นว่าเป็นเจนเทิลแมน พูดเพราะ สุภาพน่ะก็แค่เปลือกนอก แต่ข้างในน่ะฆาตกรโรคจิตอาจจะต้องยกมือไหว้เรียกพี่เลยด้วยซ้ำ 

“เห็นว่าน้องสองคนเป็นเพื่อนกับบีบี๋ เอาไว้ถ้าแวะไปเที่ยวที่ร้านเมื่อไรก็เข้าไปทักพี่ที่บาร์ได้เลยนะ จะลดค่าค็อกเทลให้เป็นพิเศษ”

“ขอบคุณเฮียรุจมากเลยค่ะ ไว้ส่งงานไฟนอลเทอมนี้เรียบร้อยแล้วจะไปเที่ยวที่ร้านพี่แน่ๆ”

ผมแอบเบะปากในใจก่อนจะเดินนำหน้าเจ้าหนี้ไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกคณะ ยอมรับเลยว่าหัวร้อนพอสมควรที่เฮียรุจชวนเจนนี่กับฝ้ายไปร้าน ถึงเพื่อนผมจะถามแต่เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเสนอและสนอง.... แค่เอาชีวิตนอกมหาวิทยาลัยของผมไปจนเกือบหมดก็มากพอแล้ว ผมไม่อยากให้ตัวตนและเงินของเขาเข้ามาทำลายชีวิตที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ด้วย

“หงุดหงิดอะไรครับ บีบี๋?”

ในเมื่อเขากล้าถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ งั้นผมก็กล้าตอบ....

“หงุดหงิดเฮียรุจ!” 

ผมพูดออกไปตรงๆ พลางเหวี่ยงกระเป๋าและกระบอกใส่ดรอว์อิ้งไปไว้เบาะหลังรถ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็เอาให้รู้ไปเลยว่าไม่ชอบ 

“อย่ามายุ่งกับเพื่อนบี๋.... ไม่ว่าเฮียรุจจะแค่หน้าหม้อ อยากแกล้งประจานบี๋ หรือห่าเหวบ้าบออะไรก็ตาม เราตกลงกันแล้วว่าเรื่องเกิดที่เบอร์ลิคก็ให้จบในเบอร์ลิค อย่าขี้โกง!”

“เป็นห่วงเพื่อนกับเขาด้วยเหรอเนี่ย? หรือว่าเฮียหูฝาด?”

ร่างสูงแค่นเสียงในลำคอราวกับจะบอกว่าที่ผมพูดไปเมื่อกี้คือมุขตลก 

“ทีกับทิชายังไม่เห็นน้องบีบี๋จะดูรักเพื่อนแบบนี้เลย ออกจะห้ำหั่นฟาดฟันกันให้ตายไปข้าง”

และนั่นก็คือความจริงที่เถียงไม่ได้ ผมแสร้งทำทีเป็นเพื่อนที่แสนดีแต่ใจจริงแล้วมองทิชาเป็นคู่แข่งมาตลอด ก็ไม่แปลกที่จะโดนตัดสินว่าคนอย่างผมไม่น่าจะมีความจริงใจให้ใคร ซึ่งจะว่ากันตามตรงแล้ว ที่ผมหันมาคบเจนนี่กับฝ้ายก็ไม่ใช่เพราะอยากสนิทด้วยมากมาย แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นมองและนินทาว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครคบต่างหาก.... เฮียรุจก็คงดูออกล่ะมั้ง เขาถึงยิ้มเยาะหน้าตายและออกคำสั่งให้ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งได้แล้ว

“ถ้าไม่มีอะไรจะแก้ต่างที่เฮียพูด ก็เชิญขึ้นรถได้แล้วครับ”

หากเป็นรถพี่แจ็ค ผมยังพอเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้เขาเปิดเพลงตามใจได้บ้าง แต่พอเป็นรถเฮียรุจ พอก็ได้แต่นั่งหาวหวอดฟังเพลงที่เจ้าของรถใส่เพลย์ลิสท์เอาไว้.... ใครจะไปคิดว่าคนหน้าตาเหมือนพี่ว้ากปีแปด ประกอบสัมมาอาชีพสีเทา จะชอบฟังเพลงบอสซาโนว่าของลิซ่า โอโนะ แทนที่จะเป็นพี่ตูน บอดี้สแลม

เพิ่งจะบ่ายต้นๆ แต่ถนนแถวนี้รถติดจนอารมณ์เสีย ง่วงนอนก็ง่วง ที่สำคัญก็คือเมื่อกี้นี้ผมกินข้าวไปแค่นิดเดียว ตอนนี้ก็เลยหิวไส้จะขาด และทันทีที่คิดว่าหิว กระเพาะของผมก็ประท้วงด้วยการส่งเสียงชวนขายขี้หน้าออกมาประจาน


โครกกกกกก~~



 “น้องบีบี๋ไม่ได้กินข้าวเหรอ?” เจ้าหนี้ถามคล้ายจะล้อเลียน  “ทำไม? หม่าม้าไม่ได้ให้เงินมาเรียนหนังสือหรือไง?”

“ยุ่ง!”

เฮียรุจยักไหล่ไม่ถือสาเมื่อผมกระแทกเสียงใส่

ป๊าม้าผมยังให้เงินค่าขนมมาเรียนตามปกติ ถึงครอบครัวผมจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ยากจน ส่วนใหญ่อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่หลังจากที่ผมตัดสินใจจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อไถ่ตัวเองจากการเป็นลูกหนี้เฮียรุจ ผมก็อยู่ในขั้นอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลายิ่งกว่าเด็กเอธิโอเปีย.... ก็อย่างที่บอกว่ากับข้าวบ้านไม่ค่อยถูกปาก ถึงจะห่อข้าวมาก็ใช่ว่าจะช่วยได้ เพราะผมมักจะกินไม่ลงอยู่เรื่อย

นั่งแกร่วอยู่อีกร่วมสิบห้านาทีกว่าจะหลุดแยกไฟแดงมาได้ แต่แทนที่เฮียรุจจะบึ่งตรงไปเส้นเอกมัยเพื่อเข้าร้าน เขากลับเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ซึ่งมีที่ว่างสำหรับจอดรถก่อนจะดับเครื่องดึงกุญแจออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“จอดทำไม?”

“หิวข้าวครับ”

“ก็ไปกินที่ร้านสิ มาจอดอะไรตรงนี้?” 

ผมถามฉุนๆ ก็ไหนเจ้าตัวว่ารีบนักรีบหนา ปกติที่เบอร์ลิคก็มีพ่อครัวกับแกล้มเข้ามาเตรียมของตั้งแต่บ่าย พวกเฮียรุจก็สั่งกินกันในร้าน ไม่เคยเห็นจะต้องแวะกินข้าวที่อื่นให้เปลืองเวลา

“บังเอิญว่าเฮียอยากกินก๋วยจั๊บร้านนี้ ตอนนี้”  ร่างสูงว่าพลางเปิดประตูรถแล้วปิดกลับมาดังโครม

“เลี้ยงหรือให้จ่ายเอง?” 

ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ จะดีลอะไรกับเฮียรุจแม่งโคตรเหนื่อย ต้องคอยระวังตัวและรอบคอบทุกเม็ด

“เฮียเป็นคนชวนก็ต้องเลี้ยงสิครับ” 

ยิ่งผมแสดงออกว่าระแวง เขาก็ยิ่งทำน้ำเสียงมีเลศนัยเหมือนแกล้งจะขู่ให้ผมจิตตกเล่น เพียงแต่มันเป็นการขู่ที่มีผลบังคับใช้จริงในภายหลังทุกครั้ง 

“วันนี้เฮียจะสั่งไม่ให้พี่ปุ้ยทำกับข้าวให้น้องบีบี๋ ถ้าจะกินก๋วยจั๊บก็ตามมา แต่ถ้าเรื่องมากไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินอะไรเลยจนถึงพรุ่งนี้”

เดิมทีก็หิวอยู่แล้ว ยิ่งโมโหน้ำย่อยก็ยิ่งไหลออกมาพาลให้หิวไปกันใหญ่ ผมก้าวลงจากรถเดินตามเฮียรุจไปอย่างเสียมิได้ ถึงจะไม่ใช่พิซซ่าขอบชีสหรือไก่ทอดเกาหลีที่คิดถึงอยู่ทุกชั่วขณะจิต แต่ก๋วยจั๊บก็คงดีกว่าเกียมฉ่ายผัดไข่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแหละวะ.... ที่สำคัญคือมื้อนี้ฟรี ผมอัดเสียงเฮียรุจตอนบอกว่าจะเลี้ยงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และจะไม่ยอมให้เอาเขาไปลงบัญชีเพิ่มหนี้เพิ่มดอกเบี้ยเป็นอันขาด

พอได้โต๊ะนั่งแล้ว เฮียรุจก็หันไปสั่งเมนูกับอาเจ๊ก แถมยังสั่งเผื่อของผมให้เสร็จสรรพไม่การถามสักคำว่าจะกินแบบไหน

“เอาก๋วยจั๊บน้ำใสใส่ทุกอย่างหนึ่ง แล้วก็เอาพิเศษใส่แค่ไข่กับหมูกรอบ ไม่เอาเครื่องในอีกหนึ่งครับ”

ดีนะที่สั่งถูก จะได้ไม่มีใครว่าผมกินทิ้งกินขว้าง

“นึกว่าจะไม่อยากกินเสียอีก” 

เจ้าหนี้ถามเมื่อเห็นผมจ้วงเอาทุกอย่างในชามเข้าปากชนิดแทบไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนเลย ถึงจะไม่ใช่ของชอบ แต่รสชาติเข้มข้นกับเนื้อสัตว์กรุบกรอบก็ทำเอาผมน้ำลายสอจนหยุดกินไม่ได้ จะเรียกว่าทั้งโหยทั้งหิวก็คงใช่แหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยอมรับให้เสียฟอร์ม

“ก็ไม่ได้อยากกิน แค่ไม่อยากนั่งรอบนรถเฉยๆ”

“ถ้าอยากกินอีกก็สั่งเพิ่มได้นะ จะได้ไม่หิวตายไปซะก่อน”

แต่ก็นั่นแหละ ถึงผมไม่ยอมรับ เฮียรุจก็แสนรู้อยู่ดี....

โทรศัพท์ของผมส่งเสียงติ๊ง เตือนว่ามีข้อความอินบ็อกซ์เข้ามาทางเฟซบุค พอหยิบขึ้นมาดู ผมก็ยิ้มออกด้วยความดีใจเมื่อคนที่อุตส่าห์เฝ้ารอตอบกลับมาในที่สุด และผมก็ไม่รีรอที่จะเลิกสนใจก๋วยจั๊บชามพิเศษตรงหน้าแล้วรีบตอบข้อความกลับไปโดยเร็ว

“ยิ้มอะไร? คุยกับผู้ชายที่ไหนอีกล่ะ?” 

เฮียรุจถามผม น้ำเสียงและท่าทางของเขาไม่ได้บอกว่าไม่พอใจ จะว่าหึงหวงก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน ผมจึงสรุปเอาเองว่าเป็นสันดานของพวกวิศวะฯ ในเบอร์ลิคที่ไม่ชอบให้คนที่คล้องเกียร์ตัวเองไปยุ่งกับคนอื่น ถึงแม้ว่าผมจะจ่ายเงินราคาหลักล้าน ไม่ได้ห้อยฟรีก็เถอะ 

“เฮียเคยเตือนแล้วนะว่าถ้ามีแฟน ราคาต่อรอบก็จะตกกลางทาง หนี้ก็จะหมดช้าลง.... ไม่กลัวก็ตามใจ”

“จะไม่คิดถึงเรื่องเงินสักนาที ผมเฮียคงไม่ร่วงหมดหัวหรอกมั้ง” 

ผมเถียงกลับตามประสาคนปากไว แต่สายตาดันไม่ไวก็เลยพลาดหลบไม่ทัน โดนคนตรงหน้าแย่งฉวยโทรศัพท์ไปจากมือแบบหน้าด้านๆ

“เฮียรุจ เอามือถือบี๋คืนมานะ คนอะไรไม่มีมารยาท!”

“หืม รับสอนพิเศษด้วยเหรอเนี่ย?” 

ร่างสูงยิ้มรับคำด่า หากก็สไลด์อ่านข้อความแชทระหว่างผมกับน้องที่คุยกันต่อ คิ้วหนาเข้มเลิกขึ้นสูงนิดๆ เมื่อสมองประมวลผลเสือกเสร็จสรรพว่าผมกำลังทำอะไร 

“คอร์สสอนวาดการ์ตูนเด็กม.ต้น ชั่วโมงละสามร้อยห้าสิบ.... ไม่ยักรู้ว่าน้องบีบี๋จะขยันทำมาหากินขนาดนี้”

“ยุ่ง!”  รู้สึกว่าวันนี้ผมจะด่าเขาด้วยคำนี้มาสองรอบแล้วนะ

“ไหนเล่าซิ จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ?”

ยัง.... ยัง.... ยังมีหน้ามาถามอีก

“ก็เอามาใช้หนี้คนแถวนี้ จะได้หมดเร็วๆ ไง!”

“เฮียบอกเลยนะว่าน้องบีบี๋จะผ่อนจ่ายเป็นเงินก็ต้องจ่ายมาทั้งก้อน ไอ้จะมาผ่อนทีละหมื่นสองหมื่นนี่ไม่โอเค เฮียไม่รับ ขี้เกียจนับเหรียญ” 

นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้ว เฮียรุจยังหาเรื่องหาเหตุมากดดันผมทุกวิถีทางเหมือนจะบอกว่าไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะปลดแอกให้ตัวเองแล้วหนีพ้นสภาวะหนี้นอกระบบท่วมหัวไปได้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะมาอวยชัยให้พร แต่ในฐานะเจ้าหนี้แล้ว ถ้าลูกหนี้เครดิตดีมีความพยายามจะจ่าย มันก็น่าจะอะลุ่มอล่วยหักลบยอดหนี้ให้กันบ้างสิ

 “ว่าแต่เราชอบวาดรูปแนวนี้ ทำไมไม่เรียนพวกมีเดียอาร์ตหรือนิเทศศิลป์ล่ะ มาเรียนอินทีเรียทำไม?”

“ก็คนส่งเสียเขาสั่งให้เรียนอันนี้ บี๋ก็ต้องเรียน” 

ผมตอบตามตรง ทุกครั้งที่นึกถึงสงครามตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ยังเซ็งไม่หายที่ป๊าม้าผมไม่เหมือนพ่อแม่บ้านอื่นที่ให้อิสระลูกได้เลือกเรียนอย่างที่ชอบ ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ไม่งั้นก็เชิญเสด็จออกจากบ้านไปหาเลี้ยงตัวเองได้เลย 

“เบื่อเว้ย มีแต่เรื่องเงินๆๆๆ แล้วก็เงิน.... ถ้าถูกหวยสักสามสิบล้านก็คงไม่ต้องโดนกดขี่ข่มเหงแม่งทุกทางแบบนี้หรอก!”

“ถ้าน้องบีบี๋คิดว่าเงินคือปัญหา งั้นก็ตั้งใจหาเงินเข้านะครับ.... เฮียจะเอาใจช่วยให้ถูกหวยไวๆ ไม่ต้องรอชาติหน้า”

“อย่ามาประชดได้มะ”

“ประชดที่ไหน นี่ให้กำลังใจอยู่นะ” 

เฮียรุจแค่นหัวเราะใส่ ปากบอกว่าให้กำลังใจแต่ผมกลับดูเจตนาเขาไม่ออกว่าเจ้าตัวกำลังคิดะไรกันแน่ระหว่างจะทรมานผมด้วยเรื่องนั้นต่อไป หรืออยากได้เงินครบสองล้านแล้วไม่ต้องเผาผีกันอีก 

“เอาเป็นว่า อย่างน้อยถ้าน้องบีบี๋กำลังยุ่งเรื่องทำงานพิเศษหาเงินมาใช้หนี้ ก็จะได้ไม่ว่างไปหมกมุ่นกับเรื่องของคนอื่น”


นึกว่าอะไร.... ที่แท้ก็กลัวว่าผมจะกลับไปยุ่งกับเฮียโรมนี่เอง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 29 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 04-02-2018 23:03:08
TISHA’s PART



สามวันแล้วหลังจากประกาศผลออดิชั่นนักแสดงละครซีรีส์ของช่องเอ็ม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกโล่งใจที่ปิดแอคเคาท์เฟซบุคไปเมื่อปีก่อนและไม่เคยปลดล็อกไอจีเลย ไม่รู้ว่ากระแสข้างนอกที่พูดถึงผมเลวร้ายถึงขั้นไหน แต่ก็พอเดาได้จากสายตาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่จ้องมองมา.... พวกเขาคงกำลังด่าผมว่า ‘ขี้โกง’ หรือไม่ก็ ‘เด็กเส้น’ แล้วก็พากันรอดูว่าคนอย่างผมจะแพ้ภัยตัวเองและร่วงลงมาให้พวกเขาเหยียบซ้ำตอนไหน แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อผมเป็นอย่างที่เขาว่าทั้งสองอย่างแล้วจะมีหน้าไปพูดแก้ตัวอะไรกับใครได้

แม้กระทั่งกับพี่โรม จนป่านนี้ ผมยังพูดกับเขาไม่ได้เลย....

“พี่อิ๋ว สวัสดีค่ะ”

“อ้าว น้องนิดา เชิญเข้ามาได้เลยจ้ะ พานายเอกละครพี่เข้ามานั่งด้วยกันตรงนี้เลย มีอะไรที่ต้องคุยเยอะแยะเชียวล่ะ” 

ผมยกมือไหว้คุณป้าผู้จัดละครช่องเอ็มซึ่งเป็นเพื่อนในวงการและพี่สาวที่แม่นับถือมานาน ก่อนจะนั่งลงบนโซฟารับรองภายในห้องทำงานโดยมีแม่ของผมซึ่งยิ้มไม่หุบมาสามวันแล้วตามประกบไม่ห่าง 

“สวัสดีจ้ะ ทิชา..... เป็นไงบ้างลูก คงได้ดูไลฟ์ประกาศผลการคัดเลือกนักแสดงแล้วเนอะ ละครเรื่องนี้ของป้าจะปังหรือพังก็ขึ้นอยู่กับทิชาแล้วนะ”

“ครับ ป้าอิ๋ว”  ผมยกมือไหว้อีกครั้ง  “ขอบคุณมากเลยนะครับที่เลือกผม”

“โอย ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกจ้ะ.... ที่ทิชาได้รับเลือกก็เพราะนายทุนกับสปอนเซอร์เขาชอบเรามากกว่าอีกคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง อันที่จริงในวันที่คนอื่นๆ มาแคส ทีมงานกับกรรมการก็แอบมีเซ็ตตัวกันคร่าวๆ เอาไว้บ้างแล้วว่าจะให้ใครได้บทไหนแต่ยังไม่ไฟนอล พอทุกคนได้เห็นคลิปแนะนำตัวกับรูปเทสต์หน้ากล้องของทิชา พวกเจ้าของเงินก็เปลี่ยนใจมาเลือกทิชากันหมด ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้”

อย่างที่ป้าอิ๋วบอก แม่ผมเป็นคนโทรศัพท์ขอให้ผมได้เข้าร่วมการออดิชั่นโดยให้เหตุผลว่า  ‘วันนั้นน้องทิชาติดเรียนจนถึงเย็น ไปยื่นใบสมัครไม่ทันเที่ยง แต่หลานอยากลองแคสดูจริงๆ นะคะคุณพี่’  ป้าอิ๋วซึ่งเคยมาทาบทามผมผ่านทางแม่ปรึกษากับทีมงานแล้วก็อนุญาตให้ผมเข้ามาเทสต์หน้ากล้องทีหลัง.... หากพอได้ยินว่ามีใครคนหนึ่งต้องพลาดบทนำเพราะมีผมเข้ามาเสียบแทน และอาจมีอีกคนหนึ่งพลาดงานนี้ไปเลยก็อดรู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้

ไม่รู้ด้วยว่าหนึ่งในนั้นคือใคร จะใช่คนที่ชื่อปาย คู่จิ้นใหม่ของไอ้แดนหรือเปล่า....?

“แต่จะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหมคะที่ทิชาได้บทเด่นขนาดนี้ทั้งๆ ที่มาทีหลัง?” 

แม่ผมถามได้ตรงประเด็นมาก ถึงแม้ผมจะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงมันก็ต้องมีปัญหาตามมา อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยแค่นั้น 

“นิดาก็แค่ห่วงสภาพจิตใจลูกน่ะค่ะ ทีแรกที่โทรมาขอให้แกได้ลองแคสบทก็ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นได้รับบทนำ.... งานนี้ก็เป็นงานแรกด้วย แฟนคลับอะไรก็ไม่มีเหมือนเด็กคนอื่นๆ นิดาไม่กล้าอ่านโพสในเพจละครเลยแต่ก็มีคนบอกมาเหมือนกันว่าแฟนคลับของเด็กที่ชื่อปายเขาไม่ยอมรับผลการตัดสิน แล้วก็มาต่อว่าลูกชายนิดาสารพัด...........”

ว่าแล้วเชียว คนที่โดนผมแย่งบทไปก็คือคนชื่อปายจริงๆ ด้วย

แล้วไอ้แดนล่ะ ตกลงว่ามันจะหายโกรธเพราะผมกลับมาแคสละครคู่กับมันตามสัญญา หรือจะยิ่งโกรธกว่าเดิมเพราะอยากเล่นคู่กับคนชื่อปายซึ่งเป็นคู่จิ้นใหม่มากกว่า แต่ผมดันโผล่เข้ามาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มันแพลนเอาไว้ฉิบหายหมดกันนะ?

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น นิดาไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก.... พี่บอกแล้วว่าทิชาเข้ามาแคสบทอย่างถูกต้อง มีคลิปมีอะไรให้กรรมการตัดสินเหมือนเด็กทุกคน และผลก็คือนายทุนเขาเลือกทิชา” 

แม้ป้าอิ๋วจะไม่พูดถึงว่าทำไมพวกเจ้าของเงินถึงเลือกผม แต่ผมก็พอจะรู้ว่าเป็นเพราะชื่อ ‘ทิชนันท์ ทิพยศกดิ์เสนา’ นี่แหละ นามสกุลไฮโซของพ่อกับข่าวฉาวเมื่อยี่สิบปีก่อนซึ่งติดตัวผมมาจนถึงทุกวันนี้มันง่ายต่อการใช้สร้างกระแส เรียกให้คนหันมาสนใจละครเรื่องนี้ 

“ที่แฟนคลับของปายกับเด็กคนอื่นๆ ต่อว่าเรื่องที่ไม่เห็นทิชาในไลฟ์วันแคส เดี๋ยวพี่จะให้พีอาร์กองละครแถลงข่าวว่าทางทีมงานได้มีการทาบทามทิชาเอาไว้ก่อนแล้ว แต่หลานไม่ว่างก็เลยนัดให้มาแคสในวันหลังแทน แล้วก็จะปล่อยคลิปแนะนำตัวของทิชาให้พวกเขาได้ดูด้วย.... แล้วก็จะย้ำให้หนักๆ เลยว่าทิชาผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง หลานมีแม่เป็นดารา ดูเหมือนเป็นเด็กเส้นก็จริง แต่ถ้าสปอนเซอร์ไม่เลือก แล้วพวกพี่จะไปช่วยอะไรได้ล่ะ จริงไหม”

“ได้ยินแบบนี้ นิดาก็ค่อยโล่งอกหน่อยค่ะ.... บอกตามตรงว่ากลัวลูกจะถูกมองไม่ดี พี่อิ๋วก็รู้ว่าคนสมัยนี้ร้ายกาจจะตาย ยิ่งพวกในเน็ตด้วยนะ.........”

“ไม่ว่าจะยุคไหน มีอินเตอร์เน็ตหรือไม่มี พฤติกรรมของคนที่ติดตามดารามันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนักหรอก.... อะไรที่ถูกใจตัวเองก็คือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรไม่ถูกใจก็ปักธงด่าเอาไว้ก่อน ต่อให้ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ไม่รู้ว่าตัวตนของเราเป็นแบบไหน เขาก็ยังจะด่าอยู่ดี” 

ป้าอิ๋วพูดอย่างคนที่อยู่ในวงการมานาน เห็นโลกมามากจนเข้าใจและยอมรับได้กับสัจธรรมเหล่านี้ ก็เหลือแต่แม่ผมนี่แหละที่ยังปลงไม่ได้กับตัวผมซึ่งกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นเหยื่อโซเชียลแบบเต็มตัว 

“เราก็ทำงานของเราต่อไป สิ่งที่จะช่วยทิชาได้ก็คือผลงานและความตั้งใจ ก็ใช้โอกาสนี้พิสูจน์ตัวเองนะลูก.... ทำให้คนที่ด่าเรารู้สึกว่าเขาคิดผิด และกลับมาหลงรักตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้”

“ครับ ป้าอิ๋ว”

ผมรับปากทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะทำได้หรือเปล่า.... ผมเองก็ไม่ใช่สายสู้ชีวิตเสียด้วย ผมเลือกที่จะหนีผู้คนกับเสียงนินทามาตั้งแต่เด็ก ใครร้ายก็ผม ผมก็แค่ไม่ยุ่งกับเขาและอยู่ให้ห่างที่สุด ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ว่าจะเป็นอคติของคนอื่นหรือแม้กระทั่งทัศนคติของตัวเอง

แต่ในเมื่อสปอตไลท์มันหันหัวมาทางนี้แล้ว บางทีผมอาจจะต้องเรียนรู้วิธีเผชิญหน้าและรับมือกับความเกลียดชัง แทนที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดเหมือนที่ผ่านมา

“จบเรื่องซีเรียสแล้ว เรามาคุยกันแบบสบายๆ บ้างเถอะนะ” 

ป้าอิ๋วยื่นเอกสารมาให้แม่กับผมคนละชุด ข้างในนั้นมีกำหนดการต่างๆ ของทางกองถ่ายพร้อมด้วยรายละเอียดในการเตรียมตัวสำหรับนักแสดง 

“พอดีว่าเด็กๆ ที่ผ่านการคัดเลือกมาเล่นสงครามคิวท์บอย ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานด้านละครมาก่อน ป้าก็เลยจัดเวิร์กชอปสอนพื้นฐานการแสดงให้กับทุกคน ก็จะให้เข้ามาเรียนตอนเย็นวันธรรมดากับเสาร์-อาทิตย์เต็มวัน ช่วงแรกก็จะนัดถี่หน่อย.... หลังจากนี้ก็จะมีตารางฟิตติ้ง ถ่ายรูปทีเซอร์ เดินสายโปรโมทละครตามรายการข่าวบันเทิง ทิชาคงไม่มีปัญหาเรื่องเวลาใช่ไหมลูก?”

ผมไม่กล้ารับปากในทันที เพราะตารางที่ทางกองจัดมามันซ้อนทับเวลาเรียนไปพอสมควร ต่อให้ไม่ซ้อน ผมก็ไม่น่าจะมีเวลาว่างทำงานส่งอาจารย์ได้ทันอยู่ดี ยิ่งคณะผมไม่ได้มีวิชาเรียนประเภทอ่านหนังสือสอบก็จบกัน แต่คะแนนทุกอย่างมาจากงานที่ทำส่งล้วนๆ.... ดูจากสถานการณ์แล้ว ผมอาจจะต้องดร็อปบางตัวแล้วก็เรียนจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มหรือเปล่าเนี่ย

เหมือนป้าอิ๋วจะมองออกว่าผมกังวลกับตารางที่ได้รับจึงพยายามอธิบายเพิ่ม

“ทำงานแบบนี้มันก็ต้องมีกระทบการเรียนบ้างแหละ เดี๋ยวทิชาก็เอาตารางเรียนเทอมนี้ให้ผู้จัดการกองถ่ายใช้จัดคิว เขาก็จะพยายามนัดวันที่หลานไม่มีเรียน ยังไงก็จะพยายามให้เด็กทุกคนดร็อปเรียนน้อยที่สุด” 

ยังไม่ทันที่ผมจะนึกถึงใครอีกคนซึ่งเรียนอยู่ที่เดียวกันในคณะเพื่อนบ้าน ผู้ใหญ่ก็ชิงเล่าข่าวคราวความเป็นไปของฝ่ายนั้นให้ฟัง 

“พระเอกของเรื่องเขาก็เรียนที่เดียวกับทิชา เห็นว่าเรียนสถาปัตย์ก็น่าจะงานยุ่งพอๆ กันกับอินทีเรียใช่ไหม.... ยังไงทั้งสองคนก็ลองไปคุยกันดู ถ้าวิชาเรียนคล้ายๆ กัน แต่ละคนก็น่าจะช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาให้กันได้”

จริงอยู่ว่าศิลปกรรม สาขาตกแต่งภายในกับคณะสถาปัตย์มีวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนร่วมกัน หากผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่าไอ้แดนจะอยากปรึกษาหาเรืออะไรกับผม.... ก่อนหน้านี้ก็ยังพอเข้าใจได้ว่ามันโกรธ แต่สามวันแล้วหลังจากประกาศผล มันก็น่าจะรู้แล้วว่าสุดท้ายผมก็ไม่ได้ผิดสัญญา แต่ทว่า มันก็ยังไม่ตอบไลน์ ดีไม่ดีอาจจะบล็อกผมไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้

แค่เริ่มต้นก็ชวนให้ปวดหัวชะมัด ขอเหอะนะ จากนี้อย่าให้มีอะไรน่าปวดประสาทมากไปกว่านี้อีกเลย....

“ทีนี้มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว.........”

ยังไม่ทันขาดคำ ก็ดูคล้ายว่าปัญหาใหม่จะเข้ามาไวประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะเงยหน้าจากกระดาษในมือขึ้นมองป้าอิ๋ว รอยยิ้มใจดีที่เห็นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ราวกับจะบอกว่าในเมื่อผมอุตส่าห์ได้รับโอกาสในการเป็นที่รักแล้ว ก็อย่าทิ้งมันไปเพราะความคิดตื้นๆ เป็นอันขาด

“เห็นคุณแม่บอกว่าทิชายังไม่มีแฟน ตกลงว่าไม่มีจริงๆ ใช่ไหมลูก?” 

ผู้ใหญ่ซึ่งเวลานี้กลายเป็นผู้มีพระคุณด้วยเอ่ยถามออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม 

“ตอบตามตรงนะ เรื่องแบบนี้ป้าขอเลยว่าอย่าปิดบังกัน”

“..........................”

ผมนิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะหันไปมองหน้าแม่ด้วยสายตาประมาณว่า ‘แม่บอกป้าอิ๋วแบบนั้นได้ยังไง?’ แต่จะโทษแม่ก็ไม่ถูก เพราะผมเองก็ไม่เคยบอกใครว่าคบกับพี่โรม คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่เพื่อนร่วมคณะที่เคยเห็นพี่โรมมารับผม

อ้อ แล้วก็นายแดน ดรัณภพอีกหนึ่งราย....

“นิดาก็บอกแล้วว่าไม่มีหรอกค่ะ ปกติทิชาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นานทีปีหนถึงจะออกไปเที่ยวข้างนอกสักครั้ง อย่าว่าแต่แฟนเลย ขนาดเพื่อนสนิทยังไม่ค่อยมีเหมือนคนอื่นเขา.......”

แม่ให้ข้อมูลป้าอิ๋วไปตามที่เคยรู้ ถ้าเป็นเมื่อสักสอง-สามเดือนก่อน ผมก็คงได้แค่พยักหน้าเออออห่อหมกไปด้วยเพราะผมก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ทว่า ตอนนี้ชีวิตผมขยับก้าวหน้าขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปแล้ว เพียงแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าควรจะอัพเดทเรื่องพี่โรมให้แม่รับรู้ด้วยดีหรือเปล่า

“อันที่จริง ถ้าทิชาจะมีแฟน ป้าก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ เพียงแต่ทางสปอนเซอร์เขามีข้อเสนอมาให้ทางกองละครนิดหน่อย”

“ข้อเสนออะไรเหรอคะ?”

หน้าที่ซักถามข้อสงสัยกลายเป็นของแม่ไปโดยปริยาย โดยที่ผมจะนั่งฟังและเครียดตามอย่างเดียว ก็หวังว่าแม่จะไม่ตกลงรับปากไปหมดทุกสิ่งจนลืมดูว่าลูกตัวเองสามารถทำตามนั้นได้หรือเปล่าก็แล้วกัน

“ก็อย่างที่รู้ว่าสมัยนี้กระแสคู่จิ้นกำลังมาแรง นายทุนเขาก็เลยอยากให้เราอาศัยจุดนี้ในการโปรโมทละคร เพราะมันสามารถเอาไปต่อยอดทำงานอย่างอื่นได้และพวกแฟนคลับสาวๆ ก็ชอบด้วย” 

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ก็เพราะความที่เป็นคู่จิ้นกันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งนี่แหละที่ทำให้ไอ้แดนยื่นเงื่อนไขให้ผมมาแคสบทในละครเรื่องนี้กับมัน แต่ไอ้ที่ว่าจะยกกระแสขึ้นมาใช้โปรโมทจะต้องทำกันถึงขั้นไหน ถ้าถึงขนาดให้โกหกประชาชนว่าผมกับไอ้แดนคบกันจริงๆ นี่ก็ไม่ไหวนะ

 “พี่ประชุมกับทางพีอาร์แล้วว่าอยากจะให้ทิชากับแดนออกงานคู่กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันให้บ่อยกว่าคนอื่น แล้วก็ให้มีซีนกุ๊กกิ๊กหลุดเป็นรูปหรือคลิปออกไปบ้าง.... แต่ไม่ต้องให้สัมภาษณ์ตรงๆ ว่าเป็นแฟนกันหรืออะไรทำนองนั้นนะ ปล่อยให้แฟนคลับเขาคิดกันเองว่าพระเอก-นายเอกในละครจะรักกันนอกจอจริงหรือเปล่า”

“น่าสนใจดีนะคะ สมัยที่นิดายังเล่นเป็นนางเอก ทางช่องก็เคยมาขอให้โปรโมทในแนวคู่ขวัญแบบนี้เหมือนกัน”

“เพราะอย่างนี้ ถ้าแฟนคลับเกิดรู้ว่าทิชามีแฟนขึ้นมา แผนโปรโมทโดยการใช้คู่จิ้นก็จะไปไม่รอด พี่ถึงอยากขอให้ทิชาเก็บเรื่องแฟนเอาไว้จนกว่าละครจะจบ ในกรณีที่หลานมีแฟนอยู่แล้วน่ะนะ” 

ป้าอิ๋วหันมามองหน้าผม 

“ส่วนงานหลังจากนี้ก็แล้วแต่ว่าทิชาจะอยากสานต่อความเป็นคู่จิ้นกับแดนหรือเปล่า อันนี้ป้าให้เราไปตกลงกันเอง.... แต่ถ้าคุยกันแล้วโอเค ทางช่องก็จะขอให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องเต็มตัวแล้วก็โปรโมทไปในทางนี้ต่อ รับรองว่าป้าจะหาละครดีๆ ให้ลงเล่นด้วยกันอีก แล้วก็พวกงานอีเวนท์ งานพรีเซนเตอร์คู่ด้วย”

“แล้วทางพระเอกเขาว่ายังไงบ้างคะ? เขาตกลงรับข้อเสนอแล้วหรือยัง?”

“เรื่องโปรโมทละครด้วยกันกับทิชาก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหานะ แต่เรื่องเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง พี่ได้ยินมาว่าโมเดลลิ่งของคุณโรสกำลังพยายามทาบทามแดนอยู่ คงตั้งใจว่าพอจบละครเรื่องนี้แล้วจะเอาน้องแดนไปขายคู่กับปายที่เป็นเด็กของเขาให้ได้ เพราะมันก็มีกระแสคู่จิ้นแดนปายลากยาวมาตั้งแต่วันแคสบทเหมือนกัน.... แต่พี่สั่งเอาไว้แล้วว่าห้ามคุณโรสแอบเซ็นกับเด็กถ้าละครยังไม่จบ ต้องให้ช่องมีสิทธิ์ก่อน แต่ถ้าทิชาไม่ตกลงก็ปล่อยเขาไปรับงานกับทางนั้นตามสบาย”

ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกเมื่อคุณป้าที่เคารพบอกกันตรงๆ ว่าไม่คิดจะเซ็นสัญญาให้แดนเป็นนักแสดงสังกัดช่องถ้าหากไม่มีผม ผมไม่รู้หรอกว่าโมเดลลิ่งของคุณโรสอะไรนี่มีชื่อเสียงขนาดไหน แต่คิดว่ายังไงการได้เซ็นสัญญากับช่องใหญ่ๆ ซึ่งมีความสามารถในการผลิตละครได้เองก็น่าจะดีกว่า.... ซึ่งถ้าผมปฏิเสธไม่เอา ไอ้แดนก็จะพลาดโอกาสนี้ไปด้วย กับคนที่ใฝ่ฝันอยากเข้าวงการบันเทิง มันก็คงไม่ต่างจากโดนถีบลงจากเรือทั้งๆ ที่จวนจะพายถึงฝั่งเลยทีเดียว

แต่ถึงจะรู้สึกแย่มากแค่ไหน คนที่ผมควรจะแคร์มากที่สุดก็ยังไม่ใช่แดนอยู่ดี ที่สำคัญก็คือผมรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมันแล้ว มันเองก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมด้วยว่าจะมีแค่งานนี้งานเดียวเท่านั้น

‘กูขอโทษมึงอีกทีก็แล้วกันนะ.... แดน’


“ป้าอิ๋วครับ เรื่องเซ็นสัญญากับช่อง ผมขอตัดสินใจตอนนี้เลยได้ไหมครับ?”

“ว่ายังไงลูก?”

“ผมตั้งใจแล้วว่าจะแสดงละครเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว ผมคงเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องตามที่ป้าอิ๋วเสนอไม่ได้ ผมต้องขอบคุณแล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง............”

เพียงแค่นั้น ทั้งแม่และป้าอิ๋วต่างก็จ้องหน้าผมในทำนองว่า ‘เอาอีกแล้ว.... เด็กคนนี้นี่!’  ผมรู้ว่าแม่จะต้องหัวเสียมากแน่ๆ แล้วก็คงอยากจะหยิกผมให้เนื้อเขียวเต็มแก่ แต่ติดตรงที่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น แม่ก็เลยทำได้เพียงเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ปล่อยให้ป้าอิ๋วเกลี้ยกล่อมเผื่อว่าผมจะนึกเกรงใจขึ้นมาบ้าง

“ทำไมล่ะ ทิชา?”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสไม่ได้แสดงความไม่พอใจ แต่ค่อนข้างเป็นห่วงด้วยคิดว่าผมจะใจร้อน รีบคิดรีบพูดเกินไปจนทำให้พลาดอะไรดีๆ 

“เรายังไม่ได้ลองทำงานเลย ทำไมถึงคิดว่าจะไม่อยากทำต่อแล้วล่ะ.... หรือมีเหตุผลอะไรอย่างอื่น คุยกับป้า กับคุณแม่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นะ”

“คะ.......คือ ผมเป็นห่วงเรื่องเรียนน่ะครับ” 

ผมบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะยังไม่พร้อมที่จะให้แม่รู้เรื่องพี่โรม รับรองเลยว่าถ้าแม่รู้ว่าผมมีแฟนล่ะก็จะต้องอาละวาดหนักแหง เผลอๆ จะสั่งให้ผมเลิกคบกับเขาเพื่อมาเป็นดาราด้วย 

“เท่าที่ดู เทอมนี้ก็น่าจะต้องดร็อปอย่างน้อยๆ ก็สองตัวแล้ว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าละครจะถ่ายนานแค่ไหน จะกินเวลาเทอมหน้าด้วยหรือเปล่า.... ผมก็แค่อยากเคลียร์เรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีน่ะครับ”

“อืม ถ้าเป็นเหตุผลนี้ ป้าก็พอเข้าใจทิชานะ” 

ป้าอิ๋วไม่ได้ต่อว่าแต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับผมเซ็นสัญญาให้ได้ ไม่ว่าจะเพราะหวังดีหรือแค่เล็งเห็นว่าผมจะสามารถทำเงินให้ต้นสังกัดได้ในอนาคตก็ตาม 

“แต่โอกาสดีๆ แบบนี้ก็ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ เอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีก็แล้วกัน.... ตอนนี้ทิชาอาจจะยังรู้สึกกลัววงการบันเทิง นั่นก็เพราะเรายังมองภาพไม่ออกว่าถ้าได้เข้ามาแล้วมันจะเป็นยังไง แต่พอทำไปสักพัก เริ่มมีแฟนคลับ ไปไหนมาไหนก็มีคนจำได้ ได้รับคำชมมากๆ บางทีทิชาอาจจะชอบการเป็นดาราเหมือนอย่างคุณแม่ก็ได้”

และถึงป้าอิ๋วจะเอาเรื่องความรักที่จะได้รับจากประชาชนคนทั่วไปมาล่อ แต่ผมก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีใครนึกชอบคนอย่างผมขึ้นมาจริงๆ

นอกจากพี่โรมก็คงไม่มีอีกแล้ว....




“ถ้าไม่ได้อยากเป็นดารา แล้วแกมาขอให้แม่ช่วยเรื่องแคสบททำไม?”

“...................”

“เจาะจงจะเล่นละครแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว มีเหตุผลอะไรกันแน่ ทิชา?”

ทันทีที่ขึ้นรถได้ แม่บังเกิดเกล้าก็เริ่มต้นทำการสอบสวนผมเหมือนเป็นนักโทษ แต่จะว่าแม่จู้จี้จุกจิกชอบบงการก็ไม่ได้ เพราะตัวผมเองที่เป็นคนขอร้องบอกว่าต้องเข้ามาออดิชั่นสงครามคิวท์บอยให้ได้ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาแคสกันเสร็จไปหมดแล้ว หากพอป้าอิ๋วอุตส่าห์จะให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง ผมก็กลับอิดออดทำท่าจะไม่ยอมขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้แม่ซึ่งเป็นคนออกหน้าฝากฝังผมกับคุณป้าหัวหน้าผู้จัดละครอารมณ์เสียได้ยังไง

“ก็ไม่มีอะไร...........” 

ผมพูดเสียงอ่อยพลางเสียบกุญแจสตาร์ทรถ พยายามทำเหมือนว่ามันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนหากผมจะคิดว่าตัวเองคงเหมาะกับการเป็นมัณฑนากรมากกว่า 

“ก็ตอนนั้นผมคิดว่าอยากลองดู แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันต้องทำอะไรวุ่นวายมากมายขนาดนี้ แค่ดูตารางที่ป้าอิ๋วให้มา ผมก็น่าจะต้องดร็อปเรียนอย่างน้อยสองตัวแล้ว”

“มาขอเล่นละครแต่ไม่รู้ว่าจะกระทบเวลาเรียนงั้นเรอะ อย่ามาโกหกแม่หน่อยเลย!” 

แม่ยังคงไม่ยอมแพ้

 “แม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่ฝ่าเท้าเท่าฝาหอย นิสัยใจคอแกเป็นยังไง แม่นี่แหละที่รู้ดีกว่าใคร ทำไมแค่นี้จะดูไม่ออกว่าแกมีเรื่องปิดบัง”

ถ้าผมไม่ยอมรับสารภาพ เห็นทีว่าวันนี้คงขับรถกลับไปไม่ถึงบ้านแน่ แถมมีหวังได้โดนแม่หยิกจนเนื้อหลุดติดมือแหงแซะ

“ผมมีเหตุผลอื่นจริง.... แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะบอก ขอยังไม่บอกได้ไหม?”

แม่หรี่ตามองหน้าผมอย่างคาดโทษแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา

“ตามใจ อย่างกับว่าแม่อยากรู้เรื่องของเด็กๆ แบบแกนัก” 

แม่โบกมือเป็นสัญญาณให้ผมออกรถได้ แต่แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก 

“ว่าแต่ที่ป้าอิ๋วเขาขอให้แกโปรโมทเป็นคู่จิ้นกับพระเอกที่ชื่อแดนจนกว่าละครเรื่องนี้จะจบ แกจะทำตามนั้นได้ใช่ไหม?”

“ผมไม่อยากทำก็ต้องทำหรือเปล่า ป้าอิ๋วพูดซะขนาดนั้นแล้ว..........”

คุณนายนิดาวัลย์พยักหน้าพอใจก่อนจะพูดต่อ

“งั้นก็ไปบอกคนของแกให้เข้าใจด้วยว่านี่คืองาน อย่าให้แม่ได้ยินว่ามีใครมาอาละวาดโวยวายในกองถ่ายหรือมาทำอะไรให้แกขายขี้หน้าเป็นข่าวฉาวเชียวนะ บอกเลยว่าต่อให้เป็นลูกท่านหลานเธอมาจากไหน แม่ก็ฉะไม่ไว้หน้าแน่”

“แม่หมายถึงใคร....???”

“แกคิดว่าใครก็คนนั้นแหละ”

ถ้ามีอะไรสักอย่างที่ผมขอร้องแม่ได้ ผมก็อยากจะขอว่าอย่าเพิ่งทำให้ผมตกใจตอนกำลังขับรถเลย คนยิ่งขับไม่คล่องอยู่ ถ้าเกิดมือลั่นขาสั่นเข้าเกียร์ผิดหรือเหยียบเบรกไม่โดน มีหวังได้อัดก็อปปี้กับเสาไฟฟ้าได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งกรอบบ่ายทั้งแม่ทั้งลูกแน่นอนทีเดียวเชียว

“แล้วแม่.......รู้ได้ยังไง.........?” 

เมื่อตั้งสติได้ ผมจึงถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อยกว่าเดิม รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปตอนห้าขวบที่เอาเสื้อผ้าในตู้ของแม่มาตัดเล่นแล้วโดนจับได้ นอกจากโดนดุแล้วยังโดนตีซ้ำเพราะไอ้เสื้อเวรตัวนั้นดันยี่ห้อวาเลนติโน่ ราคาเหยียบหลักหมื่นทั้งๆ ที่ผมเห็นเป็นเสื้อยืดกิ๊กก๊อกธรรมดา

“ร้อยวันพันปีแกไม่เคยไปค้างกับใครที่ไหน บ้านเพื่อนยังแทบไม่เคยไป แต่นี่น้อยใจแม่แล้วหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไปดื้อๆ หายหัวไปอยู่กับใครก็ไม่รู้เป็นอาทิตย์.... ถ้าดูไม่ออกว่าไปนอนบ้านแฟนก็ไม่ต้องมาเป็นแม่แกแล้ว!” 

ทีแรกผมคิดว่าแม่จะโมโหหนักกว่านี้ถ้ารู้ความจริง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกเสียจากบ่นไปตามประสาผู้หญิงใกล้วัยทอง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับฟังทุกคำที่แม่บ่นโดยไม่คิดจะเถียง.... เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการที่ผมหายออกไปบ้านไปอยู่กับพี่โรมแบบไม่บอกไม่กล่าวนั้นทำให้แม่เสียใจมากแค่ไหน แม่เองก็รู้สึกผิดที่พลั้งปากด่าว่าผมแรงๆ เพียงแต่แม่มีนิสัยไม่ชอบง้อใครแม้กระทั่งกับลูกตัวเองก็เลยไม่ยอมเป็นฝ่ายโทรหาผมก่อน 

“แล้วคนที่ไปอยู่ด้วยเป็นยังไงบ้าง? ผู้หญิงหรือผู้ชาย? นิสัยใจคอโอเคหรือเปล่า? เขาดีกับแกจริงๆ ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพ่อหรือป้าๆ ที่บ้านใหญ่ใช่ไหม?”

“เขาเป็นผู้ชาย ชื่อพี่โรม เรียนวิศวะฯ ปีสาม มหาลัยเดียวกัน...........” 

ก่อนหน้านี้ยังกลัวอยู่เลยว่าแม่จะไม่ชอบที่ผมมีแฟน แต่พอโดนถามแบบนี้แล้ว ผมก็อยากอวดสรรพคุณพี่โรมให้แม่ฟังชะมัด 

“นิสัยก็กระด้างๆ มึงมาพาโวยแบบผู้ชายนั่นแหละ แต่พอคบกันแล้วเขาก็ใจดีมาก ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย”

“เฮ้อ ฉันว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นผู้ชาย” 

แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรียกให้ผมละสายตาจากถนนหันไปมองด้วยความกังวล แต่แล้วแม่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ 

“อันที่จริงก็เห็นแววตั้งแต่ช่วงเรียนเกรดสิบแล้วว่าคงไม่มีสาวๆ ที่ไหนมาหลงชอบแกแน่.... โทษกรรมพันธุ์ก็แล้วกัน ความผิดฉันเองแหละที่สวยเกินไป เลยคลอดลูกชายออกมาสวยเหมือนแม่”

หลังจบมุขตลกที่ไม่รู้ว่าควรจะขำตามดีหรือเปล่า เราสองแม่ลูกก็เงียบไปอีกพักใหญ่ ผมตั้งใจว่าจะขับรถไปส่งแม่ที่บ้านแล้วจะออกไปหาพี่โรมที่คอนโดฯ เพราะผมฝากยัยมิลค์เอาไว้กับเขาก่อนจะออกมา เท่ากับว่าวันนี้ผมมีเวลาอยู่กับแม่อีกไม่กี่นาที จึงอยากจะให้แน่ใจว่าแม่จะไม่คิดมากเรื่องที่ผมมีแฟน และแฟนคนนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย

“ตกลงว่าแม่ไม่โกรธจริงๆ ใช่ไหมครับ?”

“โกรธเรื่องไหนดีล่ะ.... แม่มีเรื่องที่ต้องโกรธแกเยอะแยะเต็มไปหมด”

“ก็.......ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายไง......”

“นี่มันยุคไหนแล้ว ยิ่งแม่อยู่ในวงการ มีคนรู้จักอย่างพวกดีไซเนอร์ ช่างหน้าช่างผมที่เป็นเกย์ไม่รู้กี่สิบคน คนพวกนั้นเก่งๆ มีความสามารถเป็นเจ้าคนนายคนถมไป ไม่มีเหตุผลที่แม่จะโกรธแค่เพราะลูกชายตัวเองเป็นเกย์หรอกนะ” 

แม่เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ

“ถ้าจะโกรธก็โกรธเรื่องที่แกหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไม่ยอมเซ็นสัญญาเป็นดาราช่องป้าอิ๋วมากกว่า.... ทำอะไรไม่รู้จักคิด น่าโมโหที่สุด!”

หัวใจของผมพองโตขึ้นมาทันที จะด่าว่าผมเห็นแก่ตัวหรือเป็นลูกชั่วก็ได้ หากเพราะบนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่ารักจนหมดหัวใจ คนหนึ่งคือแม่ ส่วนอีกคนก็คือพี่โรม ทั้งสองคนเติมเต็มความรักคนละรูปแบบให้แก่ผม.... ถ้าหากแม่เกิดไม่ยอมรับเรื่องที่ผมคบกับพี่โรม ผมเองก็คงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะเลือกฝ่ายไหน แต่โชคดีเหลือเกินที่เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น

“จะไปอยู่กับแฟน แม่ก็ไม่ได้จะว่านะ แต่ช่วงที่ถ่ายละครก็พยายามกลับมาอยู่บ้านดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาต้องมานั่งแก้ข่าวกันทีหลัง.... เพิ่งทำงานแรก ผู้ใหญ่เขาขออะไรก็ทำตามนั้นเถอะ อย่าให้เสียชื่อมาถึงแม่เป็นอันขาด เข้าใจนะ?” 

ผมพยักหน้ารับคำทันที ตั้งแต่เกิดมานี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งของแม่โดยไม่มีอิดเอื้อนงอแงเลยสักนิด ยิ่งคำสั่งข้อหลังสุด ผมยิ่งยินดีจะเชื่อฟังบุพการีจากก้นบึ้งหัวใจ 

“แล้วมีเวลาว่างตรงกันเมื่อไรก็พาพี่โรมอะไรนั่นมาแนะนำให้แม่รู้จักด้วย.... จะได้รู้ว่าว่าที่ลูกเขยหน้าตาเป็นยังไง แล้วลูกชายแม่ไปอาศัยอยู่กับคนแบบไหน จะบ้าตาย นี่แม่ต้องนัดคุยเรื่องสินสอดล่วงหน้าเลยไหมเนี่ย”

“อย่าเรียกนักแพงนะแม่ ไม่งั้นผมจะหนีตามเขา”

“ทำมาพูด แกน่ะหนีไปแล้วรอบนึงเถอะ!”

ผมเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้าน เมื่อกี้บอกแม่ไปแล้วว่าผมทิ้งแมวไว้ที่คอนโดฯ พี่โรม ยังไงวันนี้ก็ต้องกลับไปดูแลมัน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมจะไปค้างกับแฟน เพียงแต่สั่งให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหลังจากที่ห่างหายไปนาน หลังจากนั้นจะไปไหนก็เชิญตามสบายเพราะแม่เองก็มีนัดออกกองละครถ่ายซีนกลางคืนเช่นกัน



TO BE CONTINUE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 04 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-02-2018 08:20:20
การที่ทิชาเลือกที่จะไปเล่นละครมันจะทำให้มีปัญหากับแดน เฮียโรมแล้วก็คนอื่นๆอีกรึป่าว
แต่ก็ยังดีที่แม่เข้าใจเรื่องที่ทิชามีแฟนเป็นผู้ชายล่ะนะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 04 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 11-02-2018 21:09:54
.

.

แต่ทว่า โลกก็ยังคงโหดร้ายกับผมไม่จบไม่สิ้น....

.

.


“พี่โรม.... ชากลับมาแล้ว”

“มาแล้วเหรอ คุณดาราหน้าใหม่?”

น้ำเสียงทุ้มยังคงห้วนสั้นมึนตึงเหมือนครั้งสุดท้ายที่คุยกัน บ่งบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ห่างกันไปนั้นไม่ได้ช่วยให้พี่โรมอารมณ์ดีขึ้นเลย.... แม้ปากจะพูดว่าไม่ได้โกรธแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ที่แย่ที่สุดก็คือ พี่โรมไม่กอดผมอีกเลยนับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าผมได้เล่นละครเรื่องเดียวกับไอ้แดน มิหนำซ้ำยังเป็นการแอบไปขอแคสบทนอกรอบโดยที่ไม่ปรึกษาเขาอีกด้วย

ผมรู้ว่าที่ตัวเองทำลงไปก็ไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ และพี่โรมก็บอกแล้วว่าจะช่วยเคลียร์กับไอ้แดนให้ แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือสัญญาระหว่างผมกับญาติผู้น้องของเขามันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยชักชวนกันไปแคสงานธรรมดา แต่มันคือหนี้ที่ผมสมควรต้องจ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรับผิดชอบแทนได้.... ผมก็ไม่กล้าเล่าให้พี่โรมฟังด้วยว่าตัวเองถูกไอ้แดนด่ามาว่ายังไงบ้าง กลัวเรื่องจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ เลยคิดว่าถ้าจัดการทำตามสัญญาให้มันจบๆ ไปซะ มันก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้นายดรัณภพเข้าใจว่าหลอกใช้มันแล้วก็ถีบหัวส่ง

จะบอกว่าผมขี้กลัวและเซ็นสิทีฟเกินไปก็คงใช่ แต่คำพูดของไอ้แดนในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกอย่างตามที่มันด่าจริงๆ.... ร่าน เลว หลอกลวง และสุดท้ายก็จะโดนพี่โรมเขี่ยทิ้งเพราะไม่มีใครอยากจริงใจกับคนตลบแตลงอย่างผม

ผมกลัว ไม่อยากให้ใครพูดแบบนั้นเลย

ยิ่งเป็นไอ้แดนที่รู้จักผมดีพอๆ กับตัวผมเอง ไม่ว่าผมจะคิดอ่านทำอะไร มันก็มักจะเดาถูกอยู่เสมอ ผมยิ่งไม่อยากให้มันเข้าใจผิดว่าผมคือคนใจร้าย

แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้พี่โรมเข้าใจผิดด้วยว่าผมแคร์ความรู้สึกของไอ้แดนมากกว่าเขา....


“ดารง ดาราอะไรกัน.... ไม่เอาสิ อย่าเรียกชาแบบนี้เลยนะ” 

ผมโน้มตัวไปกอดชายหนุ่มจากทางด้านหลังแล้วจูบแก้มสากอย่างออดอ้อนเอาใจ หากก็ไม่อาจทำให้พี่โรมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งมีรูปพิมพ์เขียวเครื่องยนต์แล้วหันมาสนใจผมได้ 

“กินข้าวหรือยัง เดี๋ยวชาทำให้.... พี่โรมอยากกินอะไร? เอาพาสต้าซอสเนื้อดีไหม ชาเพิ่งซื้อของมาไว้ในตู้เย็นเมื่อวาน ทำแปบเดียวก็เสร็จแล้ว”

“พี่สั่งร้านข้างล่างมากินแล้ว ยัยมิลค์ก็กินแล้วเหมือนกัน”  เขาว่าอย่างเฉยเมย ทำเอาผมหน้าเจื่อนไปในพริบตา  “ถ้าทิชามีอะไรจะอัพเดทก็รีบพูดมาเลย พี่จะได้ทำงานต่อ”

นอกจากกลัวใจไอ้แดนแล้ว ตอนนี้ผมยังกลัวใจพี่โรมด้วยอีกคน....

“คุณป้าที่เป็นผู้จัดละครเขาเรียกชาไปคุยเรื่องตารางงาน เทอมนี้ชาอาจจะต้องดร็อปเรียนหลายตัวเลย.... ก็คงจะเรียนจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างน้อยเทอมนึง หรืออย่างแย่สุดก็คงจบช้ากว่าปีนึง”

พูดถึงเรื่องเรียน พี่โรมก็แค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘ก็เลือกจะไปเล่นละครเองนี่ แล้วจะมาบ่นอะไร.........’

“พอจบเรื่องนี้ คุณป้าจะให้ชาเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องเอ็ม แต่ชาปฏิเสธไปแล้วนะว่าไม่เอา”

“อ้อเหรอ”

“มีอีกเรื่อง..........” 

ผมสูดลมหายเข้าลึกๆ หวั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะบอกต่อไปนี้จะทำให้พี่โรมโกรธมากยิ่งขึ้น แต่มันก็เหมือนกับเรื่องที่ผมแอบไปแคสบทนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วก็ต้องสารภาพความจริงอยู่ดี ก็ได้แต่หวังว่าระหว่างเรามันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมก็แล้วกัน 

“ทางทีมงานเขาขอให้ชาปิดเรื่องที่มีแฟนเป็นความลับเอาไว้จนกว่าละครจะฉายจบ และช่วงที่โปรโมทละคร ชาก็อาจจะต้องกลับไปอยู่บ้านเพื่อไม่ให้เป็นข่าว คงจะอยู่กับพี่โรมที่คอนโดฯ นี้ไม่ได้”

คราวนี้พี่โรมหันมามองหน้าผม แต่ไม่ใช่ด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างเคย ปากคอผมสั่นพั่บเมื่อคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาต่อยหรือเปล่า หรือจะบอกเลิกแล้วไล่ผมออกไปจากห้องเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่แล้ว น้ำเสียงเย็นเยียบชนิดที่ทำให้ขนลุกเกรียวเสียวสันหลังก็เอ่ยถามออกมา

“ทำไมต้องปิดบัง?”

“คะ.....คือทางช่องเขาจะโปรโมทละครแนวคู่จิ้น......กะ.....ก็เลย......”

“ทิชาก็เลยรับปากเขาไปงั้นสิ?” 

พี่โรมอาจจะไม่รู้ว่าแค่คำถามไม่กี่ประโยคจากเขา หัวใจของผมก็คล้ายถูกเขวี้ยงจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว ลมหายใจที่อุตส่าห์สูดเข้าไปสำลักกระอักอยู่ในคอเมื่อดวงตาคมดุจับจ้องราวกับจะเอาผมไปขึ้นตะแลงแกงเตรียมประหาร แล้วสิ่งที่คนรักใช้เชือดเฉือนฟาดฟันผมให้ตายคาที่ก็คือคำพูดประชดประชันตอกย้ำความผิด 

“ก็ดีแล้วนี่ น่าจะสมใจทิชาแล้ว ในเมื่ออยากเป็นห่วงเป็นใยไอ้แดนมันดีนัก กลัวว่าจะผิดสัญญาถึงได้แอบไปทำอะไรต่อมิอะไรลับหลังไม่ยอมบอกพี่ ให้มารู้เอาตอนที่ประกาศผลไปแล้วนี่คือเจตนาจะมัดมือชกให้พี่ยอมปล่อยเราไปใช่ไหม!?”

“ไม่ใช่นะ......ชาไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น........”

“ห้องพระเอกของทิชาอยู่โน่นไง ไปเลยสิ เผื่อว่าอยากจะกิ๊กนอกจอ!”

“พี่โรม.............”

ตอนที่ผมก่อปัญหาขึ้นมา ไอ้แดนก็โกรธ พอผมพยายามจะแก้ปัญหา พี่โรมก็โกรธ.... ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ย่อมต้องมีคนหนึ่งที่ไม่พอใจ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครเลยที่จะรับรู้เลยสักนิดว่าผมลำบากใจมากแค่ไหน

แม้กระทั่งพี่โรมที่ผมรักเขาจนไม่รู้จะรักยังไงก็ไม่คิดที่จะทำความเข้าใจ

เขากลับไปนั่งลงตรงเก้าอี้หน้าคอมพ์ตัวเดิม หันหลังให้ผมโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ข้างในหัวผมหมุนคว้างเสมือนโลกทั้งใบกำลังเหวี่ยงไปมา.... หัวใจผมเต้นรัวมาก มากเสียจนข้างในอกสั่นสะท้านเสียการควบคุมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หลุดลอยไป รวมถึงความเชื่อมั่นที่ว่าผมได้เป็นที่รักของคนตรงหน้า เหมือนถูกหลุมดำดูดร่างกลับไปยังริมสระน้ำของโรงแรมแห่งนั้น ในวันที่พี่โรมบอกว่าเขาไม่ได้รักผม



ทำไมล่ะ? ทำไมพี่โรมถึงไม่รักผม??

ผมรักเขามากนะ เขาไม่เคยรู้บ้างเลยเหรอ??

ทำไมเขาถึงหันหลังให้ผม? ทำไมถึงต้องโกรธขนาดนี้? ทำไมถึงต้องพูดจาทำร้ายจิตใจกันด้วย??

พี่โรมไม่รักผม....... เขาไม่รักผมแล้ว............

ทำยังไงดีล่ะ ทิชา??

ทำยังไงดี???




ราวกับว่ามันคือสัญชาตญาณ เป็นคำสั่งการจากสมองโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางความคิด.... ปลายนิ้วผมสั่นเทาขณะที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต ตามด้วยกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นใน เสื้อผ้าทุกชิ้นร่วงลงมากองอยู่บนพื้น ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายยังคงเต้นแรงจนผมนึกอยากจะควักมันโยนทิ้งไปเสีย ผมคุกเข่าลงข้างเก้าอี้ที่พี่โรมนั่ง กอดเอวเขาเอาไว้ในสภาพร่างเปลือยเปล่าแล้วซุกหน้ากับกล้ามท้องแข็งแรง ไม่กล้าสบสายตามองว่าตัวเองจะโดนดูถูกมากขนาดไหนที่คิดจะใช้ร่างกายเข้าแลก.... อีกครั้งและอีกครั้ง

เหมือนติดอยู่ในเขาวงกตซึ่งไม่มีทางออก สุดท้ายผมก็ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นเดิมๆ คือขอซื้อความรักด้วยเซ็กซ์

ผมเองก็อาย ทั้งอายแล้วก็นึกสมเพชตัวเองไปพร้อมๆ กัน

แต่เพราะเซ็กซ์คือเรื่องเดียวที่คนอย่างผมทำได้ ทุกคนที่เข้ามาต่างก็หวังว่าจะได้เอาผมฟรีๆ.... ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?

“จะทำอะไรน่ะ ทิชา!?”

ผมแยกไม่ออกว่าพี่โรมถามเพราะตกใจหรือแค่อยากรู้ หัวสมองผมมันอื้ออึงไปหมด มีเพียงเสียงจากจิตใต้สำนึกที่เอาแต่ตะโกนบอกซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องเอาใจพี่โรมให้มากกว่านี้ ต้องยั่วยวน ต้องนอนกับเขา ต้องทำให้เขามีความสุข ต้องทำให้เขากลับมาบอกว่ารักเหมือนเดิมให้ได้....!

“พี่โรมอยากมีเซ็กซ์ไหม เราเอากันตรงนี้ก็ได้นะ แล้วแต่พี่เลย.........” 

ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาทั้งที่ตาสองข้างแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าสีหน้าของตัวเองนั้นดูน่าเกลียดมากแค่ไหน รู้แค่ว่าจะต้องฝืนยกมุมปากขึ้นไปค้างไว้ให้นานที่สุด 

“จะเล่นแรงๆ ก็ได้ หรือจะจับมัดแล้วทรมานแบบในหนังเรื่องนั้นที่เราเคยดูด้วยกันก็ได้.... พี่โรมไม่อยากลองบ้างเหรอ? ชาโอเคจริงๆ นะ ถ้าพี่อยากทำ ชาก็ยอม.... ยอมแล้ว.......ยอมให้พี่ทุกอย่างเลย.........”

เพราะพี่โรมไม่ตอบ ผมจึงเหมาเอาเองว่าเขาตกลงทำอย่างที่ผมเชิญชวน แต่ทว่า ในตอนที่ผมยืดตัวขึ้นจูบริมฝีปากหยักได้รูป เจ้าของมือใหญ่กลับผลักไสผมออกพร้อมทั้งสบถเสียงลั่นด้วยความโมโห

ผมกลัว.... ยิ่งกลัวก็ยิ่งเสียศูนย์ ไม่ต่างจากคนซึ่งกำลังพยายามยื้ออุดรอยรั่วไม่ให้น้ำซึมเข้ามาในเรือ ทั้งๆ ที่ก็รู้ชะตากรรมว่ายังไงมันก็ต้องจม

“ไม่เอาน่า พี่โรมก็.... เรามามีความสุขด้วยกันเถอะนะ ชารู้หรอกนะว่าพี่ก็ชอบ.....” 

ผมเอื้อมมือไปตะปบเข้าตรงหว่างขาร่างสูง ทำเป็นไม่รับรู้ถึงอาการขัดขืนเกรี้ยวกราดจากคนตรงหน้าก่อนจะหาทางเบียดเข้าไปเพื่อปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่าย 

“งั้นพี่โรมอยู่เฉยๆ ก็ได้.... เดี๋ยวชาทำให้เองดีกว่านะ”

“ทิชา!”

“อย่าดุสิ ชากำลังจะทำอยู่นี่ไง”

“ทิชา นี่มันไม่ตลกนะ!!”

เขาตวาดเสียงแข็งขณะจับข้อมือผมบีบแน่น แน่นเสียจนผิวเนื้อขาวปลิ้นขึ้นมาตามร่องนิ้วจนผมต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ หากมันไม่ทำให้เจ็บแสบระคายหัวใจได้มากเท่ากับสายตาและท่าทางซึ่งทำราวกับว่าผมคือตัวประหลาดน่ารังเกียจ เป็นตัวแพศยาที่อยู่ดีๆ ก็แก้ผ้ากระโดดกอดผู้ชาย เสนอตัวทำอย่างว่าเพียงเพื่อจะให้เขากลับมาเหลียวแล

ผมยังรู้เลยว่ามันทุเรศ พี่โรมก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน....

“ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง.... ทิชาเห็นพี่เป็นคนแบบไหนถึงได้คิดว่าพอชวนขึ้นเตียงแล้วก็หายกัน เอาเรื่องเซ็กซ์มาล่อเพื่อให้พี่ยกโทษให้เราเนี่ย!?” 

ผมไม่กล้ามองหน้าพี่โรม ร่างเปลือยไร้สิ่งใดปกปิดสั่นระริกปราศจากอ้อมกอดของคนรักโอบอุ้มกำบัง ความคิดที่ว่าพี่โรมไม่รักผมแล้ว เขารังเกียจผมจนเกินกว่าจะนึกอยากแตะต้องกำลังทำให้ผมหายใจไม่ออก 

“ทิชารู้หรือเปล่าว่าทั้งหมดที่พูดมานั่นน่ะมันโคตรดูถูกพี่เลย อย่างกับว่าเราเห็นพี่เป็นไอ้หื่นที่มีสมองอยู่ตรงหว่างขายังไงยังงั้น!”

“ชะ.....ชาไม่รู้..........ชาขอโทษ............” 

“พวกคนเก่าๆ ที่ทิชาเคยคบ วิธีนี้มันอาจจะได้ผล แต่ไม่ใช่กับพี่!”

“ชากลัวว่าพี่โรมจะเกลียด.....ก็เลย.......ก็เลย...........” 

ลำคอผมตีบตันเพราะก้อนสะอื้นจึงเปล่งเสียงออกมาได้แค่นั้น ซึ่งถ้าหากพี่โรมหันหลังเดินจากไปจริง ผมคงได้ล้มลงขาดใจตายลงไปตรงนี้แน่.... หากเลือกได้ล่ะก็ ขอให้ผมโดนธรณีสูบหายไปเสียตอนนี้เลยยังจะดีกว่าให้พี่โรมมายืนตอกหน้าถึงความโง่เง่าสิ้นคิดของตัวเอง

“ถ้าเพิ่งรู้จักกันได้แค่วันสองวัน พี่ก็คงไม่อะไรนักหรอก แต่นี่เราอยู่ด้วยกันมาจะครบเดือนแล้วนะ ทิชายังไม่รู้อีกเหรอว่าทำไมพี่ถึงคบกับเรา.... พี่โกรธเพราะพี่รัก พี่เป็นห่วง พี่แคร์ทิชา พี่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับแฟนพี่ ไม่ใช่คบแค่เพราะหวังจะมีเซ็กซ์ด้วยอย่างเดียว” 

ร่างหนาเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นอย่างหงุดหงิด สายตาและน้ำเสียงยังมีความโกรธเป็นส่วนประกอบหลัก หากก็พอจะมีความสงสารเจือปนเข้ามาให้รู้สึกบ้าง แต่แล้ว เขาก็ก้มลงหยิบเสื้อเชิ้ตซึ่งผมถอดทิ้งไว้บนพื้นมาคลุมให้ก่อนจะใช้หลังมือแตะผิวแก้มที่แดงก่ำเพราะถูกคราบน้ำตาอุ่นๆ กัด 

“ความรู้สึกของคนเราน่ะมันชดเชยกันด้วยเซ็กซ์ไม่ได้.... ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไหนก็เหอะ ทิชาอย่าแก้ปัญหาด้วยวิธีแบบนี้อีก เข้าใจไหม?”

“แต่พี่โรมยังโกรธอยู่.......ชาต้องทำยังไงพี่ถึงจะหายล่ะ..........” 

ผมเอ่ยถามเสียงเครือ ในที่สุดร่างสูงก็ยอมอยู่นิ่งให้ผมกอดโดยไม่ผลักไส เพียงแต่เขายังไม่ยอมกอดตอบ

“เรื่องไปเล่นละครกับไอ้แดนน่ะช่างแม่งเถอะ เอาที่ทิชาสบายใจก็แล้วกัน มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนี่” 

พี่โรมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะขืนกายออกเล็กน้อยเพื่อให้มองหน้าโทรมๆ ของผมได้ถนัด ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวยังอารมณ์คุกรุ่นอยู่แต่ก็พยายามระงับเอาไว้ไม่ระเบิดใส่ให้ผมสติแตกอีก.... ดวงตาคมดุสะท้อนภาพผมอยู่ภายในลูกแก้วใสสีเข้ม นิ่งนานจนกระทั่งหัวใจสองดวงซึ่งกระจัดกระจายเพราะแรงพายุเมื่อครู่กลับมาเต้นในจังหวะเดียวกันแล้วจึงค่อยพูดคุยปรับความเข้าใจ 

“ถ้าพี่ไม่โกรธเลย ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ ทิชาก็คงไม่รู้ตัวว่าทำให้พี่หัวเสียมากขนาดไหน.... พี่ไม่ชอบเลยนะที่ทิชาตัดสินใจคนเดียวไม่มาคุยกันก่อน พี่อุตส่าห์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะจัดการกับไอ้แดนเอง ไม่ให้มันมาชวนทิชาไปทำเรื่องแบบนี้ด้วยกันอีก เรานั่นแหละจะห่วงสัญญาบ้าบออะไรกับมันนัก”

มาจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่กล้าเล่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแดนให้พี่โรมฟัง แต่ถ้าไม่ยอมสารภาพแล้วปล่อยให้เขามารู้ทีหลังแบบคราวนี้อีก ผมก็กลัวว่าตัวเองจะต้องเสียพี่โรมไปจริงๆ

“หรือทิชามีเหตุผลอะไรอย่างอื่นที่ไม่ได้บอกพี่?"

“แล้วถ้าชาบอก พี่โรมจะโกรธอีกไหม?”

“ก็ถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน พี่ว่าพี่สมควรที่จะต้องรู้นะ แต่รู้แล้วจะโกรธหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง” 

คำตอบของพี่โรมทำเอาผมใจแป้ว กลืนคำพูดบอกเล่าทุกสิ่งอย่างลงคอแทบไม่ทัน ทว่า มือใหญ่ซึ่งเมื่อครู่เฝ้าแต่จะผลักไสอย่างไม่ใยดีก็กลับมากุมมือผมเอาไว้ น้ำเสียงทุ้มห้าวโอนอ่อนลงในขณะที่ร่างหนารับเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้   

“ลำพังแค่โกรธ แปบเดียวมันก็หาย แต่ถ้าถูกคนที่ตัวเองรักปิดหูปิดตาให้เป็นคนโง่มันก็ไม่ต่างกับถูกนอกใจไปแล้วครึ่งหนึ่งเลย.... พี่ถึงอยากให้เราคุยกันด้วยเหตุผล จะทะเลาะกันก็ช่าง จะคิดไม่ตรงกันบ้างก็ไม่เป็นไร พี่แค่ต้องการให้ทิชากล้ายอมรับว่าเหตุผลจริงๆ ของเรื่องนี้คืออะไร.........”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดปากพูดไปตามความจริง

“ที่ชาต้องไปแคสละครคู่กับแดนไม่ใช่แค่ว่ามันชวนหรอก จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างชากับน้องชายพี่......” 

ผมเว้นวรรคหยุดมองปฏิกิริยาพี่โรม เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังหวั่นใจว่าเขาจะไม่โอเคอยู่ดี 

“ชาสัญญากับแดนเอาไว้ว่าถ้ามันยอมบอกว่าทำต้องยังไงถึงจะแย่งพี่โรมมาจากไอ้บี๋ได้ ชาจะยอมไปแคสละครเป็นคู่จิ้นกับมันเป็นการตอบแทน......เพราะงี้แหละ ชาถึงได้รู้เรื่องเกียร์และกฎของเบอร์ลิค แล้วก็ไปชิงเกียร์พี่โรมในคืนนั้น......”

“หึ ว่าแล้วเชียว”

“ชาก็ว่าแล้วว่าพี่โรมต้องไม่ชอบใจแน่ๆ........” 

ปลายนิ้วทั้งสิบของผมจิกอกเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะโดนเหวี่ยงกระเด็นออกไปอีกหน   

“แต่ถ้าชาไม่ทำ เราสองคนก็คงไม่ได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้.... แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแดน มันจะได้จบเรื่องจบราวกันไปสักที พี่โรมอย่าโกรธเลยนะ ต่อไปนี้ชาจะไม่แอบทำอะไรโดยไม่ปรึกษาพี่อีกแล้ว”

“พี่ไม่โกรธทิชาแล้ว แต่โกรธไอ้ห่าแดนมากกว่า!” 

อยู่ๆ ปากกระบอกปืนก็เปลี่ยนทิศเล็งไปหาเดือนสถาปัตย์ ถึงผมจะปลอดภัยจากการถูกพี่โรมสับด้วยกีโยติน แต่ก็ยังรู้สึกแย่ที่ตัวเองกำลังจะกลายเป็นต้นเหตุให้ลูกพี่ลูกน้องเขาตีกัน 

“มันก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่าข้างในเบอร์ลิคเป็นยังไง อันตรายแค่ไหน ตัวมันเองก็เคยเกือบโดนรุมกระทืบตายเพราะถูกเข้าใจผิดว่าจะมาชิงเกียร์รุ่นพี่ผู้หญิง ถ้าไม่ใช่ว่าพี่ช่วยเคลียร์ให้ ป่านนี้แม่งคงพิการไปนานแล้ว แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องพรรค์นี้มาบอกให้ทิชาทำเพื่อที่ตัวเองจะได้ผลประโยชน์.... พี่ไม่โอเคกับไอ้น้องเวรนี่ ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่มัน พี่จะไปเคาะห้องเรียกมาซัดให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มเดี๋ยวนี้เลย!”

“ตอนนั้นชาไม่มีทางเลือกก็เลยรับปากไป ก็อย่างที่บอกว่าสัญญาไปแล้ว อยู่ดีๆ จะไปเบี้ยวมันก็เหมือนกินข้าวแล้วไม่จ่าย” 

ผมว่าพลางแค่นรอยยิ้มเจื่อนๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่าทำผิดและกำลังสำนึกในสิ่งที่ทำลงไป 

“ครั้งสุดท้ายที่ชาคุยกับแดนหลังกลับจากบางแสน แดนมันคงคิดว่าถูกชาหลอกใช้ พอได้ทุกอย่างสมใจแล้วก็เชิดหนีมันไปดื้อๆ.... เอาตรงๆ นะพี่ ชาไม่อยากทะเลาะกับแดน ยิ่งมันเป็นน้องชายพี่โรม ชาก็ยิ่งไม่อยากมีปัญหา.........”

“ทิชาดูห่วงไอ้แดนมากกว่าที่พี่คิดนะ ไหนว่าไม่สนิท?”

“ก็........ไม่ได้สนิทกันจริงๆ..............”

ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เครดิตดีเท่าไรนัก โดยเฉพาะกับเรื่องชู้สาวเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ก็ได้แต่ขอให้พี่โรมเชื่อในคำพูดว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับน้องชายเขา และทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพียงเพื่อจะให้ตัวเองได้มาอยู่เคียงข้างเขาตรงนี้

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 04 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 11-02-2018 21:14:59
พี่โรมลากตัวผมให้ไปนอนลงบนโซฟาด้วยกัน เขานอนหงายอยู่ด้านล่างโดยมีผมคว่ำหน้าซ้อนทับอยู่ด้านบน ร่างกายของเราแนบชิดในขณะที่สายตาประสานกัน หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งที่ถูกชายคนรักจ้องมองแบบนี้.... เพราะมันเหมือนกับว่าผมคือที่รักของพี่โรม เขาหลงใหลและหวงแหนผมเกินกว่าจะปล่อยให้ใครได้แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ ร่างสูงเลื่อนไล้ปลายนิ้วไปตามใบหน้าผมก่อนจะโน้มคอให้ก้มลงมารับจูบที่แสนเอาแต่ใจ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวผมอย่างที่ไม่เคยมีผู้ขายคนไหนทำมาก่อน

“ทิชาต้องรับปากพี่นะว่าจะทำแค่งานนี้งานเดียว จบเป็นจบ ไม่มีอย่างอื่นต่อหลังจากละครที่เล่นคู่กับไอ้แดน” 

พี่โรมออกคำสั่ง เป็นจอมเผด็จการรูปหล่อที่ต้องการให้ผมเชื่อฟังคำพูดเขาทุกอย่าง 

“พี่ไม่ชอบเลยที่จะต้องเห็นทิชาไปอะไรๆ กับผู้ชายคนอื่น ต่อให้เป็นเรื่องงานก็ไม่ชอบ.... ถึงทิชาไม่ได้คิดเกินเลยแต่พี่จะไว้ใจไอ้พวกนั้นได้ยังไงว่ามันจะไม่คิดมาแย่งแฟนพี่ ยิ่งเป็นไอ้แดนยิ่งไม่น่าไว้ใจไปกันใหญ่”

กลับกลายเป็นว่าพี่โรมเพ่งเล็งหมายหัวนายดรัณภพหนักกว่าเก่าซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้เลย

“ชารับปากพี่.... งานนี้งานเดียว จบเป็นจบ”

พี่โรมหอมแก้มผมแล้วจูบซ้ำที่หน้าผาก

“ทิชาคงรู้แล้วนะว่าพี่รักเราจริงๆ ทั้งหวงแล้วก็ห่วงถึงได้โกรธ.... ต้องปล่อยให้ไปอยู่ไกลหูไกลตากับคนแปลกหน้า แถมเรายังจะกลับไปอยู่บ้าน ไม่รู้เมื่อไรจะมาหาพี่อีก แล้วพี่จะหลับลงได้ยังไงถ้าไม่มีทิชาให้กอด?”

“คอลกันก็ได้ คุยกันทุกคืนจนกว่าจะหลับเลยดีไหม?”

ตั้งแต่คบกันมา ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายอ้อนให้พี่โรมเอาใจ และผมก็จะทำในสิ่งที่เขาชอบโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปาก หากในคราวนี้ พี่โรมเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายอ้อนผม เดี๋ยวจูบเดี๋ยวหอม คลอเคลียไม่ห่าง แปลงร่างจากพายุฝนหนาวเหน็บมาสู่สายลมเอื่อยอ่อนปลอบโยนผมให้หายจากความกังวลทั้งหลายทั้งปวง

“พี่ก็ไม่ได้อยากจะเจ้ากี้เจ้าการหรอกนะ แต่ทิชาต้องโทรรายงานตัวกับพี่ทุกชั่วโมงถ้าไม่ติดงาน โทรคุยเท่านั้นนะ ไม่เอาแชทผ่านไลน์.... อ้อ ต้องเฟซไทม์หาพี่หลังตื่นนอนแล้วก็ก่อนเข้านอนทุกวันด้วย เดี๋ยวไม่เห็นหน้า”

“ได้คร้าบบบ~ แด๊ดดี้ของน้อง” 

ผมให้สัญญาด้วยความเต็มใจ

“จบเรื่องนี้แล้ว เราสองคนจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ”

ร่างหนายิ้มก่อนจะพยักหน้าให้รู้ว่าเป็นอันตกลงตามนั้น ผมทิ้งตัวลงทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิม ให้อีกฝ่ายกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนตุ๊กตาจนกว่าจะพอใจ ถึงแม้จะมีความสุขมากจนแทบล้นออกมาจากอกแต่ผมก็ตระหนักดีว่าสิ่งเหล่านั้นมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ด้วยเหตุนี้ ผมถึงไม่อยากขัดใจพี่โรม ไม่อยากทำให้เขาต้องหงุดหงิดจนเราเกือบทะเลาะกันอีกแล้ว

“อ๊ะ! เกือบลืมแน่ะ” 

ผมสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้บอกพี่โรม พอเขาลุกตามขึ้นมา ผมก็รีบเฉลยให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น 

“คือว่า.... ชาบอกแม่แล้วนะว่ามีแฟน”

“แล้วคุณแม่ว่ายังไงบ้าง?”

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่าให้พาพี่โรมไปทักทายบ้าง แม่อยากรู้จัก”

“งั้นเอาไว้ว่างตรงกันเมื่อไรแล้วเราค่อยไปหาคุณแม่ของทิชากัน” 

ชายหนุ่มเริ่มจัดการวางแผนชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายผมอนุญาตให้เราสองคนคบหากันในฐานะคนรักได้แล้ว เขาก็อยากทำให้มันถูกต้องด้วยการพาผมไปให้พ่อแม่ของเขารู้จักเช่นกัน 

“แล้วพอทิชาถ่ายละครเสร็จแล้วก็ลงใต้กับพี่นะ พี่ก็ตั้งใจจะพาทิชาไปแนะนำกับที่บ้านเหมือนกัน”

“ลงใต้? ที่สุราษฎร์น่ะเหรอ?”

“อืม.... ว่าที่เถ้าแก่เนี้ยในอนาคตจะได้ไปดูกิจการรีสอร์ทด้วย” 

เขาจริงจังกับแผนที่มโนไว้ในหัวมากเสียจนผมอดขำไม่ได้ บอกตามตรงว่าผมยังไม่กล้าคิดเลยว่าพอตัวเองเรียนจบแล้วจะมีงานทำหรือเปล่า แต่พี่โรมเล่นแพลนทุกอย่างเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย 

“หัวเราะอะไร พี่พูดจริงนะเนี่ย.... รับรองว่าที่ทิชาเรียนอินทีเรียมาน่ะได้ใช้งานจริงแน่ มีทั้งให้ออกแบบใหม่ ทั้งงานรีโนเวต แค่รีสอร์ทของบ้านพี่อย่างเดียวก็หลายสิบแล้ว ไหนจะของพวกญาติๆ นายทุนแถวนั้นอีกไม่รู้ตั้งเท่าไร”

“ให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ ชาจะเรียกค่าตัวแพงๆเลย”

ผมก็แกล้งเล่นตัวไปงั้นๆ แหละ ส่วนใจจริงน่ะตอบตกลงตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่โรมเอ่ยชวนแล้ว

สัญญาใจระหว่างเราทั้งคู่ถูกพันธนาการให้แน่นแฟ้นด้วยริมฝีปากซึ่งประกบเข้าหากัน ผมผวาเฮือกเมื่อมือหนาสอดล้วงเข้าข้างใต้ชายเสื้อลูบไล้ไปทั่วผิวกายเปลือยเปล่า ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตัวเองมีแค่เสื้อเชิ้ตห่มคลุมอยู่อย่างหมิ่นเหม่และไม่ได้สวมกางเกง แค่เพียงถูกกลีบปากหยักอุ่นร้อนซุกไซ้ไปข้างแก้มและซอกคอสลับกับโลมเลียด้วยปลายลิ้น ท้องน้อยของผมก็หดเกร็งพร้อมๆ กับที่ส่วนกลางลำตัวเริ่มขยับขยายไปตามการปลุกเร้า

“ทิชาอยากให้พี่จ่ายมัดจำค่าตัวตอนนี้เลยไหมล่ะ?”

“อืม.... แล้วพี่โรมจะจ่ายยังไง?”

ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่คนฟังรู้ได้ทันทีว่ากำลังออดอ้อนยั่วยวน ก่อนจะเม้มปากเก็บเสียงเมื่อพี่โรมใช้ปลายนิ้วเขี่ยโดนยอดอกซึ่งแข็งชันเต็มตึง

“ก็จ่ายแบบที่ทิชาชอบ.........”

“อย่ามาอ้างเลย.....อ๊ะ........” 

เรียวลิ้นชื้นจู่โจมยอดอกอีกข้าง ในขณะที่มือของชายหนุ่มก็ยังไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ผมเชิดหน้าขึ้นสูงปลดปล่อยห้วงอารมณ์ให้เตลิดไกล แอ่นกายขึ้นรับทุกสัมผัสที่พี่โรมมอบให้ จริงอยู่ว่าผมชอบเวลาที่เขาหื่นใส่ แต่เขาเองชอบเวลาที่จะได้นัวเนียกับผมเหมือนกันนั่นแหละ 

“พี่โรมมีแต่ได้กับได้.......อื้ม........แบบนี้มันเรียกว่าจ่ายตรงไหนกัน........”

“พี่ก็เสียน้ำให้ทิชาไง จะเอาสักกี่น้ำดีล่ะ?” 

ตรงนั้นของพี่โรมเริ่มแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว มันพองตัวอยู่ภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์รอเวลาที่จะได้ออกมาผงาดอวดความแข็งแรงกำยำซึ่งสามารถทำให้ผมตกเป็นทาสในเกมรักของเขาได้ทุกครั้ง 

“มัวแต่โมโหเด็กดื้อ พี่เลยไม่ได้กอดเราตั้งหลายวัน.... คิดถึงจะแย่ คอยดูเหอะ วันนี้โดนพี่ขย่มจนเตียงหักแน่”

ว่าแล้วพี่โรมก็ช้อนตัวผมอุ้มเข้าห้องปิดประตูแล้วไปจบลงที่เตียง.... ไม่มีใครรอช้าให้เสียเวลาไปเปล่าๆ พี่โรมประโคมทั้งมือและริมฝีปากละเลงทั่วทุกตารางผิวเนื้อเรียกเสียงครางกระเส่าจากผมให้ดังก้องทั่วห้องสี่เหลี่ยม เพียงแค่สามวันที่เหินห่างจากสัมผัสร้อนแรง อุณหภูมิในร่างกายผมถีบตัวขึ้นสูงเร็วกว่าปกติจนหัวใจสูบฉีดเลือดอย่างบ้าคลั่ง แขนขาอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง หัวสมองรับรู้ได้แค่ความเสียวกระสันรัญจวนซึ่งชายหนุ่มเป็นคนสร้างขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งได้ยินเสียงกุกกักตรงหน้าประตูเหมือนมีตัวอะไรบางอย่างเอาเล็บตะกุยจากด้านนอก ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่กลับมายังไม่ได้อุ้มยัยลูกสาวขนฟูให้หายคิดถึงเลย   


แง้ววววว

แง้วววววววววววววววว!!!!!



เพราะเรียกแล้วไม่มีมนุษย์หน้าไหนสนใจ มิลค์ก็ยิ่งโวยวายข่วนประตูอย่างเกรี้ยวกราด แน่นอนว่าผมย่อมต้องทนฟังเสียงมันร้องไม่ได้ อารมณ์ว่าเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ ตามใจเสียยิ่งกว่าอะไร ต่อให้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับแฟนก็ต้องยกให้แมวมาก่อนเสมอ

“พี่โรม ไปเปิดประตูให้มิลค์มันเข้ามาหน่อยสิ”

“ไม่เอา.... ให้ยัยมิลค์เข้ามา เดี๋ยวมันก็มานั่งจ้องตาแป๋วให้แม่มันเขินอีก” 

เขาหมายถึงตอนที่เราไปเที่ยวบางแสนด้วยกันแล้วผมงอแงบอกให้พี่โรมปิดไฟเพราะอายลูก สุดท้ายก็ต้องคลุมโปงมีอะไรกันอยู่เป็นชั่วโมงจนยัยมิลค์หนีไปนอนใต้เก้าอี้อีกมุมหนึ่งถึงได้โผล่หน้าออกมาหายใจหายคอ เป็นความสุขบนความอึดอัดชนิดที่พี่โรมถึงขั้นออกปากว่าจะไม่มีทางยอมอีกเป็นครั้งที่สอง 

“พี่เอาข้าวให้มิลค์กินแล้ว ข้าวเม็ดก็มีเป็นบุฟเฟ่ต์วางไว้ให้.... เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก ให้พ่อแม่กอดกันสบายๆ ไม่มีตัวป่วนมั่ง”

“ก็ชอบทำแบบนี้ มิน่าล่ะ มิลค์เลยไม่สนิทด้วยสักที!”

“ทิชานั่นแหละ เลี้ยงลูกมายังไง ดื้อเหมือนแม่ไม่มีผิด”

ประโยคนั้นของพี่โรมมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่กอบกุมลงบนแก่นกายของผม ผมแยกขาออกกว้างอย่างรู้งาน ปล่อยให้ร่างสูงได้เพลิดเพลินกับการแตะต้องปลุกเร้าทุกส่วนได้มากเท่าที่เขาต้องการ

“ใส่ร้าย.... เห็นไหมว่าชาไม่เคยดื้อกับพี่โรมสักหน่อย”

“ถ้าไม่ดื้อจริงก็ต้องอยู่ให้ถึงห้ารอบนะ.... บอกเลยว่าพี่จะไม่ให้ทิชาพัก จะเอาให้พรุ่งนี้เดินขาถ่างเป็นเป็ดไปมหาลัยเลย”

ผมตอบรับด้วยการครางกลับไปก่อนที่ริมฝีปากร้อนเร่าจะบดขยี้ลงมาช่วงชิงความรู้สึกนึกคิดทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าไม่ต่างจากเปลวไฟซึ่งลุกวาบหลอมละลายก้อนน้ำแข็ง ทั้งหอมหวานและดุดัน อ่อนโยนแต่ร้อนแรงเสมือนแสงแดดที่สาดส่องลงมาหลังพายุสงบลง




DAN’s PART


เวลาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหมดไปกับการเจรจาพูดคุยเงื่อนไขและเตรียมตัวให้พร้อมในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ หลังจากทดลองจัดตารางชีวิตแล้ว ผมสามารถไปมหาวิทยาลัยได้เพียงสัปดาห์ละสอง-สามวัน เหลือแค่ห้าวิชาเรียนกับสิบสามหน่วยกิตสำหรับเทอมนี้ นอกนั้นต้องดร็อปทิ้งทั้งหมดเพื่อไม่ให้กระทบกับตารางงานที่ทางกองละครจัดไว้ให้.... แม้จะเสียดายเพราะนี่ก็จวนจะสอบไฟนอลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่โอกาสแจ้งเกิดด้วยบทพระเอกก็ใช่ว่าจะผ่านเข้ามาง่ายๆ ยิ่งวงการบันเทิงเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของผมอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับไปเรียนก็ยังไม่สาย

ชีวิตของผมมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันตั้งแต่วันแคสบท ทีมงาน สปอนเซอร์ ผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายสิบชีวิตจนยกมือไหว้แทบไม่ทัน ผมมีแฟนคลับมากขึ้นและเริ่มกลายเป็นคนดังอย่างเต็มตัว ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกดี.... สนุกจนผมเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองผูกทุ่นระเบิดเอาไว้ แล้วมันก็กำลังจะย้อนกลับมาจุดชนวนฉีกแขนขาผมให้ขาดกระจายตายคาที่


‘ทิชาเขาตอบตกลงเรื่องที่จะให้ทางทีมพีอาร์โปรโมทเป็นคู่จิ้นกับแดนแล้วนะ ยังไงจากนี้ แม่อิ๋วก็ขอฝากแดนช่วยดูแลทิชาด้วยนะลูก’

.

.

บรรยากาศวันปฐมนิเทศน์นักแสดงซึ่งผ่านการคัดเลือก แทนที่จะชื่นมื่นครื้นเครงตามประสาเวลาที่เด็กวัยรุ่นผู้ชายมารวมตัวกันเยอะๆ ก็กลับกลายเป็นความขมุกขมัวมีแต่ความเครียดและความรู้สึกไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องผลการคัดเลือกที่ยังคงเป็นประเด็นร้อนทั้งในหมู่พวกเราด้วยกันเองและแฟนคลับของแต่ละคน.... การแถลงข่าวของทีมผู้จัดอาจช่วยคลายข้อกังขาได้ในหลายๆ ข้อว่า ทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา โผล่มารับบทนำทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมออดิชั่นได้ยังไง อาจจะฟังดูเหมือนก็แฟร์ดีที่ทิชายังอุตส่าห์มาแคสทีหลังคนอื่น หากก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่ามันมีความไม่เท่าเทียมกันแฝงอยู่ในการแข่งขันจึงไม่สามารถยอมรับผลการคัดเลือกได้อย่างสนิทใจ

พี่ปายพยายามไม่แสดงออกว่าผิดหวัง แต่ผมก็รู้แหละว่าเขาเสียใจและเสียเซลฟ์มากเลยทีเดียวที่ตัวเก็งบทนำถูกเลือกให้ได้รับแค่บทรอง มิหนำซ้ำยังเป็นบทที่ไม่ตรงกับคาแร็คเตอร์ตัวเองชนิดพลิกกลับร้อยแปดสิบองศา ได้ยินแว่วๆ ว่าทีมเขียนบทจะต้องไปหารือกับนักเขียนเจ้าของนิยายต้นฉบับเพื่อปรับบทให้พี่ปายโดยเฉพาะ แฟนนิยายก็ยิ่งโวยวายไม่พอใจเพราะมันดูเหมือนไม่เคารพบทประพันธ์.... จุดนั้นผมจะไม่ยุ่ง เพราะเอาแค่เคลียร์ความรู้สึกของตัวเองกับดูแลคนใกล้ตัวที่คุยกันทุกวันไม่ให้ดิ่งไปกว่านี้ก็เหนื่อยเอาการแล้ว

“พี่ปายกับแดนได้ดูไลฟ์แถลงข่าวเรื่องเด็กเส้นนั่นแล้วใช่ไหม?”

“โคตรไม่ยุติธรรมเลย.... ถ้าแม่อิ๋วมีคนในใจอยู่แล้วจะเรียกพวกเรามาแคสให้เหนื่อยทำไม ในเมื่อแคสให้ตายก็ไม่มีทางได้บทนำ สู้อยากให้ใครเล่นบทไหนก็ชี้นิ้วเคาะโต๊ะเลือกเอาเองแต่แรกเลยไม่ดีกว่าเหรอ”

ผมกับพี่ปายนั่งอยู่ด้วยกัน เพื่อนสองคนซึ่งได้รับบทตัวสี่ตัวห้าก็พุ่งตรงเข้ามาคุยด้วย เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นเนื้อหาการแถลงข่าวของทีมพีอาร์ที่ว่า ทิชา ทิชนันท์ เข้ามารับบทนำในละครเรื่องนี้อย่างถูกต้อง และที่ได้รับเลือกก็เพราะสปอนเซอร์และนายทุนชอบทิชามากกว่าพี่ปาย

“ถ้าถอนตัวก็เท่ากับแพ้ พี่อย่าไปยอมแพ้พวกทุนนิยมสามานย์เชียวนะ”

“เหมือนทางนั้นจะไม่เคยผ่านงานอะไรมาเลยใช่มะ?”

“หน้าใหม่.... ไม่มีไอจีกับเฟซบุคให้ตามด้วย ไม่รู้เพิ่งออกจากป่ามาหรือเปล่า”

“งั้นพี่ปายก็ชนะขาดอยู่แล้ว คนตามไอจีพี่ปายมีเป็นแสน.... ถ้าเป็นเบียร์นะ เบียร์จะอัพแซะเปิดวอร์กับทางนั้นก่อนเลย แล้วให้แฟนคลับช่วยด่าตาม ให้ไอ้ทิชาอะไรนั่นมันรู้ซะบ้างว่ากำลังเล่นกับใครอยู่!”

สถานการณ์ตอนนี้จะมีคนหงุดหงิดหัวร้อนไปทั่วก็ไม่แปลก แต่ไอ้โกรธแล้วมายุแยงตะแคงรั่วเหมือนพยายามจะยืมดาบพี่ปายฆ่าทิชานี่ผมว่ามันก็ชักจะยังไงๆ อยู่ ก็ได้แต่หวังว่าพี่ปายจะไม่บ้าจี้เต้นไปตามที่เบียร์กับแก๊ปพูดก็แล้วกัน

“พี่ปาย ยังโอเคอยู่ใช่ไหม?” 

ผมหันไปถามพลางบีบมือเจ้าตัวเบาๆ ถ้าตามไอจีของผมกับพี่ปายก็จะเห็นว่าเราสองคนคุยเล่นหยอดกันบ่อยๆ สนิทกันในระดับหนึ่งทั้งต่อหน้าและลับหลังแฟนคลับ ผมจึงแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก

ร่างโปร่งเอนตัวมาซบไหล่ผมก่อนจะตอบเสียงเศร้า 

“ไม่โอเค แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผลออกมาแบบนี้ก็ทำได้แค่ยอมรับ จะให้โวยวายเป็นเด็กๆ จนเสียชื่อไปถึงพี่โรสก็ไม่ใช่” 

แม้จะเป็นเน็ตไอดอลชื่อดังมาก่อนแต่ก็ยังเป็นเด็กใหม่ในวงการบันเทิงซึ่งไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ถ้าไม่พอใจก็มีแค่ทางเดียวคือขอถอนตัวออกไปเลยซึ่งพี่ปายไม่ยอมทำแน่ เพราะเขายังอยากเล่นละครเรื่องเดียวกับผมอยู่ 

“อันที่จริง ละครเรื่องแรกได้บทรองก็ไม่ได้ถือว่าแย่นักหรอก แค่มันยังไม่ใช่สิ่งที่พี่อยากได้เท่านั้นเอง..........”

“เรากับเขามันคนละชั้นกันน่ะพี่ ทำใจเหอะ เจอเส้นก๋วยจั๊บเบอร์นั้น คนธรรมดาลูกตาสีตาสาที่ไหนจะไปสู้ได้”

คนชื่อเบียร์ยังคงพูดต่อ ดูท่าทางหมอนี่จะเกลียดทิชาเข้าไส้เข้ากระดูกดำถึงได้ใส่เอาๆ ไม่ยอมหยุด ส่วนไอ้แก๊ปก็ทำหน้าที่เป็นลูกคู่ที่ดี ถามกันเองตอบกันเองนินทาชาวบ้านได้เข้าขากันดีจนนึกว่าสนิทกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล

“เออ พูดถึงพ่อแม่.... ได้ยินมาว่าทิชาเป็นลูกของนิดาวัลย์ ดาราที่เคยมีข่าวแย่งสามีชาวบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อน นี่เรื่องจริงหรือเปล่าววะ?”

“ก็จริงน่ะสิ มนุษย์ป้านิดาวัลย์ถึงได้โดนปลดจากบทนางเอกช่องเอส มาเล่นเป็นตัวประกอบช่องเอ็มได้อย่างเดียว.... เล่นมาหลายปีดีดักจนสนิทกับแม่อิ๋วไง คงเพราะงี้แหละถึงได้ยัดลูกชายตัวเองเข้าวงการมาได้ง่ายๆ”

“พี่ว่าเบียร์กับแก๊ปเลิกนินทาทิชาเหอะ ลามไปถึงพ่อแม่เขาแบบนี้ พี่ว่ามันไม่ดีนะ ไม่น่ารักเลย” 

พี่ปายดุสองคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น คงจะเบื่อเต็มทีเพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่คนพูดชื่อทิชาให้ได้ยิน เรียกมาเล่าเรื่องแย่ๆ ของทิชากับแม่ให้ฟัง พยายามจะบิวท์ให้เขาหลุดปากร่วมผสมโรงด่าเด็กเส้นด้วยให้ได้ ซึ่งพูดก็พูดเถอะ เท่าที่ผมคุยกับพี่ปายมา ผมว่านิสัยเขาก็ไม่ใช่แนวอิจฉาริษยาอะไรทำนองนั้น 

“แม่อิ๋วก็บอกแล้วว่าเขามาแคสอย่างถูกต้อง ที่ทิชาได้บทเด่นไปก็เพราะสปอนเซอร์ชอบเขามากกว่าพี่.... พวกเราที่เหลือก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแล้วกัน เผื่อว่าวันไหนดังขึ้นมาแล้วจะได้ไม่โดนสปอนเซอร์มองข้ามความสามารถไปอีก”

“ขอโทษครับพี่ปาย”

“งั้นพวกเราไปนั่งตรงโน้นนะ เผื่อว่าพี่จะอยากคุย”

เบียร์กับแก๊ปยกมือไหว้แล้วก็ลุกหายไปนั่งที่อีกมุมหนึ่ง ปล่อยให้ผมกับพี่ปายอยู่ด้วยกันภายในห้องประชุมซึ่งมีผู้คนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างเห็นใจพี่ปายที่ผลการคัดเลือกออกมาในรูปนี้ เพราะเขาคือคนที่ตั้งใจอยากจะเข้าวงการมาเป็นนักแสดงจริงๆ พี่ปายทุ่มเทถึงขนาดควักเงินส่วนตัวไปลงเรียนคอร์สการแสดงล่วงหน้า ศึกษาบท ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ แต่ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้ในเมื่อฝ่ายคู่กรณีคือทิชา.... คนที่ผมตั้งใจชวนมาแคสด้วยกันตั้งแต่แรก และจนถึงตอนนี้ ทิชาก็ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจของผมอยู่เหมือนเดิม

“พี่ปาย.............”

“เฮ้ย อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ.... พี่โอเคจริงๆ นะแดน บทไหนก็เล่นได้ ขอแค่ยังเราได้เล่นเรื่องเดียวกันก็พอใจแล้ว” 

คนอายุมากกว่าพูดยิ้มๆ ทั้งที่แววตายังเต็มไปด้วยความเสียดาย.... เรื่องบทนำในละครซึ่งต้องเล่นคู่กันนั้นอาจยอมสละให้ได้เพราะมีมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เจ้าตัวคงไม่ได้หมายความรวมไปถึงเรื่องอื่นที่คิดว่ากำลังไปได้ดีด้วย 

“เห็นว่าทิชาเขาเรียนมหาลัยเดียวกับแดน น่าจะรุ่นเดียวกันแต่คนละคณะ.... แดนเคยเจอเขาบ้างไหม? ตัวจริงน่ารักหรือเปล่า?”

“ก็งั้นๆ ไม่น่ารักหรอก” 

ผมหมายถึงนิสัยของทิชา ก็ได้แต่คิดในใจว่าขนาดมันไม่เคยทำตัวน่ารักกับผม มันยังทำเอาผมเพ้อถึงได้เป็นปี

“โกหก.... หน้าวิ้งเป็นตุ๊กตาเบอร์นั้นจะบอกว่าไม่น่ารักได้ไง” 

พี่ปายตีต้นแขนผมพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นใบหน้าประดับรอยยิ้มสวยเหมือนทุ่งดอกไม้มาให้เห็นในระยะประชิดพร้อมด้วยคำถามลองเชิงทีเล่นทีจริง 

“เทียบกับพี่แล้ว แดนว่าใครน่ารักกว่ากันเหรอ?”

“ก็ต้องพี่ปายอยู่แล้วสิครับ” 

แน่นอนว่าผมตอบเอาใจพี่ปายทั้งที่ในใจแอบนึกถึงใครอีกคน.... ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเหี้ยไม่เบาที่ทำเหมือนให้ความหวังเขา แต่ผมก็ไม่ได้มีหวังอะไรกับคนอื่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับทิชาซึ่งมีแต่เฮียโรม เฮียโรม แล้วก็เฮียโรมอยู่เต็มหัวใจจนไม่เหลือที่ว่างให้ใครเข้าไปแทรก

และถึงผมอยากจะแทรก ไอ้เฮียโรมก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ....

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย” 

คนหน้าหวานพรูลมหายใจยาวบ่งบอกให้รู้ว่าเขาสบายใจมากแค่ไหนที่ผมยังเลือกเขา พี่ปายกุมมือผมตอบก่อนจะช้อนสายตามองผมอย่างไม่คิดปิดบังความชื่นชอบหลงใหลที่มีให้ เจ้าของน้ำเสียงทุ้มหวานเอ่ยขอในสิ่งที่คิดว่าเขาอยากได้และควรจะได้ตรงๆ 

“เวลาอยู่หน้ากล้องก็ทำงานของเราไป เรื่องโปรโมทคู่จิ้นอะไรนั่น พี่ก็เข้าใจแล้วก็จะถือว่ามันเป็นงานอย่างหนึ่งของแดน.... แต่นอกเหนือเวลางาน แดนอย่าสนิทกับทิชามากกว่าพี่ได้ไหม?”

“พี่อยากเป็นที่หนึ่งของแดน อยากเป็นคนแรกที่แดนนึกถึง.... เราสองคนจะคุยกันทุกวันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากตอนนี้นะ?”

“อืม..........”

เพิ่งโกหกไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะต้องตอแหลซ้ำซ้อนครั้งที่สองภายในระยะเวลาไม่ถึงนาที.... ผมชอบพี่ปายเพราะคุยกับเขาแล้วสบายใจ เขาเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดีซึ่งไม่เคยทำให้ผมอึดอัดว่าระหว่างเราจะมีสิ่งไหนมากไปหรือน้อยไป บางครั้งผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ เหรอที่จะมีใครสักคนซึ่งเข้ากันกับผมได้ดีขนาดนี้ ดีจนไม่อยากเชื่อว่าโลกจะหมุนพี่ปายให้มาเจอกับผมง่ายๆ

ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ใช่คนแรกที่ผมจะนึกถึง....


‘น้องทิชา.... เชิญห้องนี้เลยค่ะ เข้าไปนั่งรอข้างในกับเพื่อนๆ ก่อนนะคะ อีกสักพักคุณอิ๋วถึงจะมาแล้วจะได้เริ่มงานกันค่ะ’



สิ้นเสียงทีมงานผู้หญิง ทุกคนที่นั่งรออยู่ก่อนก็หันไปมองประตูห้องประชุมสถานีโทรทัศน์แทบจะเป็นตาเดียวกัน เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจเมื่อครู่เงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้าในขณะที่ ‘เด็กเส้น’ กำลังเดินเข้ามา

แวบแรกที่เห็น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าทิชาพยายามมองหาคนรู้จักซึ่งก็คือผม กลีบปากบางเฉียบยกขึ้นคล้ายจะส่งยิ้มทักทายให้หากก็ยิ้มได้ไม่สุดเมื่อผมไม่คิดจะทักตอบหรือส่งสัญญาณบอกให้มานั่งกับผมได้.... แววตาของทิชาดูสับสนเหมือนไม่รู้จะทำยังไงต่อ เช่นเดียวกับที่หัวสมองผมเต็มไปด้วยเมฆฝนสีเทาหนาทึบ ผมว่าผมเคยพูดไปแล้วว่าไม่ต้องการการชดเชยใดๆ จากมัน จะไสหัวไปไหนก็ไป ตอนนี้ผมมีพี่ปายแล้ว การขอตามมาแคสบททีหลังและโผล่หน้ามาเอาป่านนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการโยนห่วงยางมาให้ในตอนที่ผมตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว

“พี่ปายดูนี่ดิ ไอ้ตัวนี้โคตรน่ารักอะ.........”

ผมเลี่ยงไม่สบตาทิชาด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้าชิดรุ่นพี่คนสวยมากกว่าเดิม ชิดจนต้นขาเราแทบจะเกยกันอยู่รอมร่อ

“หืม? คลิปแมวเหรอ?” 

พี่ปายเอียงคอมาซบบ่าผมอีกครั้งเพื่อดูสิ่งที่ผมนำเสนอให้ชัดๆ มันก็คือแมวสก็อตติชโฟลด์หน้ากลมสัญชาติญี่ปุ่นที่กำลังโด่งดังอยู่ในโซเชียล เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่อย่างที่ผมหลงรักเป็นชีวิตจิตใจ

“แดนนี่ชอบแมวจังเลยนะ.... เอางี้ พอละครจบแล้ว เราไปซื้อแมวมาเลี้ยงด้วยกันไหมล่ะ ญาติของเพื่อนพี่มีฟาร์มแมวอยู่ที่เชียงใหม่ ไว้จะให้เขาถ่ายรูปส่งมาให้ดูนะ”

ทิชายังคงยืนมองมาทางนี้อยู่ เห็นภาพผมกับพี่ปายนั่งพิงนั่งซบคุยกันกระหนุงกระหนิงเต็มสองตา ผมไม่ได้คิดว่ามันจะหึงหรือรู้สึกโกรธที่ผมทิ้งมันไปหาคู่จิ้นใหม่ แค่อยากให้ทิชารู้สึกว่าถ้าจะเบี้ยวสัญญาก็ต้องเบี้ยวให้ตลอด อย่ามาเล่นตลกทำตบหัวแล้วลูบหลัง และการจะมาจะไปของมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมทั้งสิ้น


‘เอ้า พอไม่มีใครช่วยปูพรมแดงให้ก็ไปไม่เป็นเลยนะ’


ใครก็ไม่รู้แกล้งเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำเอาทิชาหน้าเจื่อนเม้มปากแน่นแล้วรีบนั่งลงบนเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ไม่มีใครเดินเข้าไปทักทายหรือคิดจะรับมันเป็นเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว.... ก็แน่ล่ะ ไม่มีชนชั้นกลางที่ไหนชอบพวกเด็กวีไอพี ขี้โกงเล่นเส้นสายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการแบบไม่ต้องพยายามหรอก ถึงแม้ว่าแม่อิ๋วจะประกาศชัดเจนว่าทิชาผ่านเข้ามาอย่างถูกต้อง ก็คงเป็นแค่ความถูกต้องตามบรรทัดฐานของทีมงานและสปอนเซอร์ ซึ่งไม่ใช่ความถูกต้องสำหรับคนทั่วไป

“แดน.... พี่ว่าเราเรียกทิชามานั่งด้วยกันดีกว่าไหม?” 

พี่ปายกระซิบถามผมอย่างไม่ค่อยแน่ใจ 

“น่าสงสารเขานะ ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอีกหลายเดือน พี่ไม่อยากให้ใครมองว่าพวกเรารวมหัวกันรังแกทิชา..........”

“อย่าไปยุ่งเลยพี่” 

ผมตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองว่าคนที่พี่ปายพูดถึงกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ด้วยซ้ำ 

“เขารู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรแต่ก็ยังเลือกที่จะมาด้วยวิธีนี้ เขาก็ควรจะต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองให้ได้สิ.... ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องตามไปโอ๋สักหน่อย”

“แต่ว่า...........”


‘น้องแดน น้องทิชา.... เชิญถ่าย VTR คู่กันทางนี้นิดนึงค่ะ’

‘น้องปายกับน้องภัทรเตรียมสแตนด์บายนะคะ เดี๋ยวเสร็จคู่นี้แล้วจะถ่ายน้องสองคนเป็นคิวต่อไป’

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 04 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 11-02-2018 21:19:12
ผมเก็บมือถือแล้วลุกขึ้นไปที่หน้าห้องประชุมตามที่ทีมงานเรียกอย่างเสียไม่ได้ ทิชาลุกตามหลังผมออกมา จากนั้นถึงได้พบว่ามีตากล้องกับแผ่นรีเฟล็กซ์ขนาดใหญ่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว.... ช่างผมและช่างเมคอัพถูกกำชับให้จัดการแปลงโฉมซับหน้าตบแป้งให้พวกเราอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้น พีอาร์กองละครก็เข้ามาบรีฟสิ่งที่อยากได้ให้ฟังแบบคร่าวๆ

“อันนี้คือเราจะถ่ายคลิปสั้นทักทายแฟนๆ ผ่านทางหน้าแฟนเพจนะคะ.... บอกว่าเรากำลังจะเริ่มเวิร์คช็อปกันแล้ว พูดฝากเนื้อฝากตัว อ้อนแฟนคลับได้ตามสบายแล้วก็ชวนให้พวกเขาคอยติดตามละครสงครามคิวท์บอยด้วย”

“อ้อ แล้วก็มือด้วยค่ะ.... น้องแดนกุมมือน้องทิชาด้วยนะคะ ท่องเอาไว้ค่ะคู่จิ้น เรารักกัน เรารักกัน เราเป็นแฟนกัน แบบนั้นแหละค่ะ ดีมากกกกกกกกกกก”

เสียงดีมากกกกก ลากก.ไก่ยาวไปรอบกาแล็คซี่ของพีอาร์ทำเอาหัวคิ้วผมขมวดชิดติดกัน ก่อนจะรู้ตัวว่าร่างเล็กซึ่งยืนอยู่ข้างกันนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเอื้อมมือมาหาผมเอง.... มือเรียวเล็กซึ่งผมไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสนั้นโคตรนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอม เพราะอยู่ใกล้กันเท่านี้ทำให้ผมได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากซอกคอมันชัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เพียงแค่หันไปมองก็เห็นแพขนตาสีดำสนิทตัดกับผิวแก้มขาวจัดในระยะประชิด เป็นความรู้สึกดีที่มาพร้อมกับความทรมาน เหมือนมีใครเอาเนื้อวากิว A5 มาแขวนล่อตรงหน้าล่อให้ผมอ้าปากแต่ดันกรอกยาฆ่าแมลงเข้ามาแทนยังไงยังงั้น

“แดน...........”

ทิชาเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว ดวงตากลมโตมองผมอย่างหวาดหวั่นคล้ายกลัวว่าจะโดนควักปืนขึ้นมายิงใส่กลางแสกหน้า แต่กระนั้น เจ้าตัวก็ยังกล้าเอ่ยถามผมในสิ่งที่ตัวเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ 

“มึงยังโกรธกูอยู่อีกเหรอ?”

“เปล่า”

“แต่มึงโกรธ........”

“กูไม่ได้โกรธมึง”

ผมตอบเสียงเรียบ ในใจคิดเพียงว่าทำยังไงก็ได้เพื่อให้ทิชารู้สึกเสียใจ เสียดายและสำนึกว่ามันไม่ควรผิดคำพูดกับผมตั้งแต่แรก ไม่ใช่ทำลายความรู้สึกของผมจนย่อยยับแล้วก็กลับมายิ้มหวานหน้าระรื่นเสมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น 

“มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ตอนนี้กูไม่สนแล้วว่ามึงจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร”

“งั้นก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหมล่ะ?”

เพราะประโยคเมื่อครู่ ผมถึงต้องหันกลับไปมองหน้าทิชาอีกครั้ง.... ไม่ได้อยากกวนตีนนะ แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าที่ผ่านมาผมกับมันเคยอยู่ในฐานะอะไร แล้วไอ้คำว่าคุยกันเหมือนเดิมนั้นหมายความว่าอย่างไร สิ่งเดียวที่ผมรับรู้มาตลอดตั้งแต่งานเฟรชชี่สมัยปีหนึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็คือทิชาเกลียดผม เหม็นขี้หน้า ไม่มีสักครั้งที่มันจะหยุดเดินเวลาที่ผมตะโกนเรียกหรือโบกมือทักทาย ก็อย่างที่เคยบอกว่าครั้งแรกที่คุยกันเกินสามประโยคก็คือตอนที่ผมเสนอเงื่อนไขจะบอกวิธีชิงเกียร์ของเฮียโรมให้มันรู้แลกกับการมาแคสบทละครด้วยกันนี่แหละ

“คุยเหรอ? คุยอะไร? กูกับมึงเคยเป็นเพื่อนคุยกันตั้งแต่เมื่อไร?”

“แดน มึงอย่าทำแบบนี้สิ” 

ผมตีความหมายจากสิ่งที่ได้ยินว่าทิชาน่าจะกำลังขอร้องอย่างคนซึ่งยอมแพ้ทุกประตู หงายไพ่ให้ผมจนหมดหน้าตัก แต่เอาจริงๆ นะ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันจะดิ้นรนอยากขอคืนดีกับผมไปเพื่ออะไรในเมื่อตัวมันเองก็ไม่ได้แคร์ผมสักนิด.... คำก็พี่โรม สองคำก็พี่โรม พี่โรมอย่างนั้น พี่โรมอย่างนี้ แม้กระทั่งเวลาแบบนี้มันก็ยังหายใจเข้าออกเป็นญาติผู้พี่ของผมคนเดียว 

“มึงคงไม่รู้ว่ากูเกือบทะเลาะกับพี่โรมเพราะเรื่องของมึงนะ.... พี่โรมโกรธกูจะตายห่าตอนที่รู้ว่ากูแอบมาแคสละครเรื่องนี้เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึง”

“สมน้ำหน้า ขอให้เลิกกันไวๆ นะ”

“.....................”

หลังจากนั้น ทิชาก็หุบปากสนิทไม่พูดอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวกับผมอีกเลยแม้แต่คำเดียว มันแค่ยิ้มตามที่ตากล้องสั่ง พูดในสิ่งที่พีอาร์บรีฟให้ฟังได้อย่างฉะฉานครบถ้วนไม่เหมือนลูกแมวขี้อายที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่า มือเล็กซึ่งอุตส่าห์ยื่นมาหาผมเมื่อครู่นั้นถอยกลับไปประจำที่เดิม ราวกับกลัวว่าถ้ามาโดนตัวผมแล้วจะเฮียโรมจะโผล่หน้ามาบอกเลิกมันเดี๋ยวนี้

สุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องตามไปคว้ามือมันมากุมไว้ ร่างเล็กสะดุ้งนิดหน่อยเหมือนโดนใครเอาบุหรี่จี้หลังแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน.... บอกไม่ได้เหมือนกันว่าระหว่างผมกับทิชาใครจะอกแตกตายก่อนกันที่ต้องมาทำแบบนี้ เราหันมายิ้มให้กัน หัวเราะปรบมือต่อหน้ากล้อง แสดงท่าทางเฟคๆ ว่าหลงรักกันและกันจนหมดหัวใจทั้งที่ข้างในแม่งว่างเปล่ากลวงโบ๋ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว

และทันทีที่ไฟสีแดงซึ่งปรากฏอยู่ข้างเลนส์กล้องวิดิโอดับลง ผมก็ต้องปล่อยมือทิชาและไม่มีสิทธิ์ที่จะจับอีกจนกว่าจะมีคำสั่งจากกองละคร


......เพราะทิชาไม่ใช่ของผม แค่นั้นแหละที่ต้องจำใส่ใจเอาไว้......




ROME’s PART


Tisha_950701 : เหงาอะ อยากกลับคอนโดฯ แล้ว

                       คิดถึงพี่โรม คิดถึงยัยมิลค์

                 *สติกเกอร์ร้องไห้*

Do_As_RomanS : พบเด็กงอแง 1 ea

                    พี่ควรปลอบใจหรือซ้ำเติมทิชาดีเนี่ย อยากพูดไม่ฟังแล้วที

                         นี้เป็นไงล่ะ

Tisha_950701 :   พี่จ๋าโอ๋น้องหน่อย นะๆๆๆ

Do_As_RomanS : ไม่โอ๋หรอก

                     ตั้งใจทำงานจะได้กลับมาเร็วๆ เดี๋ยววันหยุดก็เจอกันแล้ว

Tisha_950701 :   งื่อ T___T




ผมกะแล้วเชียวว่าเหตุการณ์นี้มันจะต้องเกิดขึ้น เพราะทิชาไม่ใช่คนประเภทที่รักการเข้าสังคมกับคนแปลกหน้า สนุกกับการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ได้ชอบแสงสีและการตกเป็นจุดสนใจอย่างที่ดาราควรจะเป็น ผมถึงได้ทั้งค้านและเตือนเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทิชาแน่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดแค่วันแรกก็ดูท่าทางจะไม่ไหวแล้ว

แต่จะโทษทิชาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก จริงๆ แล้วผมควรจะด่าไอ้แดนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุมากกว่าใครทั้งหมด.... ไม่ว่าใครก็คงดูออกว่ามันคิดยังไงกับทิชา ผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสตรงที่มันมาแอบชอบแฟนผม แต่ผมรู้สึกไม่โอเคกับวิธีการเข้าหาทิชาของมัน ทั้งเรื่องโกหกว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วหลอกให้ทิชาไปที่ห้อง บอกให้ไปชิงเกียร์วิศวะฯ ที่เบอร์ลิคทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าที่นั่นอันตรายแค่ไหน แล้วยังจะมาลากทิชาไปเล่นละครเป็นดาราคู่กับตัวเองทั้งๆ ที่มันก็น่าจะรู้นิสัยทิชาว่าเขาไม่ชอบและไม่ถนัดเรื่องพรรค์นี้

ถ้าแบบนี้เรียกว่ารัก งั้นผมก็ทำถูกแล้วที่ไม่อนุญาตให้มันมารักแฟนผม

ทิชาเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะ แม้ภายนอกจะยังดูสวยสภาพดีอยู่แต่ข้างในก็ไม่ต่างจากรถที่เจออุบัติเหตุชนยับมาถึงห้องเครื่อง เอาไปวิ่งแรงๆ ยังไงมันก็ต้องมีปัญหาน็อคกลางอากาศ.... ผมกำลังพยายามซ่อมหัวใจทิชาอยู่ก็จริง แต่ก็อย่างที่บอกว่าของมันเคยพังมาก่อน วันนี้ซ่อมตรงนี้ พรุ่งนี้ก็มีอีกแผลโผล่มาให้เห็นอีก ซ่อมจนเหนื่อย วนลูปกันไปเรื่อย แม้แต่ตัวผมก็ยังบอกไม่ได้เลยว่าจะซ่อมเสร็จเมื่อไร

ส่วนไอ้แดนก็เป็นพวกดีแต่ใช้งาน เห็นอะไรสวยถูกใจเข้าหน่อยก็อยากได้มาครอบครองแต่ไม่รู้จักบำรุงรักษา.... ที่มันเห่อทิชาจะเป็นจะตายก็คงเป็นเพราะมันยังไม่เคยได้ แต่ถ้าได้ไปแล้วเกิดเบื่อหรือมารู้ทีหลังว่าหัวใจที่อยู่ข้างในมันไม่ได้สภาพครบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนที่เห็นภายนอก ผมก็กลัวว่ามันนี่แหละที่จะเป็นคนเอาทิชาไปโยนทิ้งกองขยะเองกับมือ

ผมอาจจะมองไอ้แดนในแง่ร้ายจนเกินไป แต่ถ้าผมเลือกที่จะอยู่กับทิชาแล้ว ผมก็ไม่อยากให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องสิ่งที่ผมกำลังทะนุถนอม แม้จะซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แต่รอยขีดข่วนเล็กเท่าขนแมวรอยเดียว ผมก็ไม่อยากให้มีเพิ่ม

มันยากมากเลยใช่ไหมล่ะ....?

นั่นสินะ.... เพราะแม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังเคยคิดเลยว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่มีใครบนโลกนี้เกิดมาและตายจากไปโดยที่ไม่ฝากแผลให้คนใกล้ตัวหรอก อยู่ที่ว่าจะมากจะน้อย รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเท่านั้น



“เวลาวาดโครงหน้า เราใช้รูปวงกลมเป็นฐานแล้วก็ลากเส้นจากด้านบนลงมาเพื่อเป็นการกำหนดจุดกึ่งกลางแบ่งซ้ายขวา ไอ้เส้นที่เราลากนี่แหละจะช่วยให้รูปที่วาดออกมาไม่เบี้ยว.... เดี๋ยวพี่บี๋จะทำให้ดูก่อน แล้วน้องค่อยลองทำตามนะ”

“อื้อ แบบนั้นล่ะ ดีแล้วๆ เก่งมาก”

เสียงคุ้นหูที่ได้ยินเรียกฝีเท้าของผมซึ่งกำลังเดินผ่านโต๊ะม้าหินหน้าสำนักหอสมุดกลางให้หยุดชะงักแล้วหันไปมอง สิ่งที่เห็นก็คืออดีตแฟนที่คบกันได้แค่ไม่กี่วันของผมกำลังนั่งอยู่กับเด็กมัธยมต้นจากโรงเรียนสาธิตข้างๆ อุปกรณ์วาดรูปอย่างดินสอไม้ ยางลบ กบเหลาวางกองอยู่เต็มโต๊ะ.... ถ้าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าบีบี๋คงกำลังหารายได้พิเศษด้วยการเปิดคอร์สสอนวาดรูปการ์ตูนให้เด็กๆ ล่ะมั้ง

ว่าแต่นึกยังไงถึงได้ต้องมาทำงานแบบนี้....?


‘น้องบีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน’ 

‘หนึ่งล้านแรกเป็นค่ายืมเกียร์รุ่น 32 เอาไปใช้บังคับให้มึงทิ้งทิชาแล้วกลับมาคบกับน้องบีบี๋ต่อ แต่สุดท้ายมึงก็เลือกตัดสายแล้วลาออกจากเบอร์ลิคไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่าน้องบีบี๋เสียค่าโง่สร้างหนี้ให้ตัวเองฟรีๆ หนึ่งล้านโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง’

‘เงินล้านที่สองเป็นค่าชดใช้ความเสียหาย.... เพราะมึงลาออกจากเบอร์ลิค เท่ากับทำให้เฮียรุจเสียรุ่นน้องที่แกไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งไป พอมึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ เฮียแกก็เลยไปเพิ่มค่าเสียหายจากน้องบีบี๋ที่เป็นตัวต้นเหตุ’



คำพูดของไอ้แจ็คลอยเข้ามาในหัวสมองทันที ทั้งที่ผมตั้งใจว่าจะหาทางคุยกับบีบี๋หลายรอบแล้วแต่พอเจอเรื่องยุ่งๆ จากทิชาก็ทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

ผมไม่คิดว่าไอ้แจ็คมันจะพูดโอเวอร์ให้ผมเครียดเล่นหรอก บีบี๋ก็คงจะมีหนี้สองล้านที่ต้องจ่ายให้เบอร์ลิคจริง แต่สิ่งที่ผมยังไม่ได้คำตอบจากเพื่อนสนิทก็คือบีบี๋เอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายคืนเฮียรุจ บ้านก็ไม่ได้รวยถึงขั้นจะมีเงินเก็บส่วนตัวหลักล้าน สอนพิเศษเด็กมัธยมหนึ่งชั่วโมงจะได้สักกี่ตังค์ หรือว่ายังมีเงื่อนไขอะไรอย่างอื่นที่แม้แต่มือขวาเฮียรุจอย่างไอ้แจ็คก็ยังไม่รู้

เงินหนึ่งล้านแรก ผมจะทำไม่รู้ไม่เห็นแล้วโทษว่าบีบี๋หาเรื่องใส่ตัวก็พอได้ แต่เงินล้านที่สองซึ่งมีผมเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองยังไงก็มองไม่เห็นความสมเหตุสมผลที่บีบี๋จะต้องชดใช้ให้เฮียรุจมากขนาดนี้.... ผมถึงได้อยากคุยให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าหากผมยังพอสามารถช่วยเหลืออะไรได้ในฐานะคนคุ้นเคยกัน ผมก็ยินดีที่จะช่วย

“ก็ลองเอาไปฝึกตามที่พี่บี๋สอนนะ แล้วอาทิตย์หน้ามาเจอกันใหม่ บายจ้า”

เมื่อผมเดินกลับมาหน้าหอสมุดกลางอีกครั้งก็ได้เวลาเลิกสอนพอดี น้องมัธยมคนนั้นไหว้ขอบคุณคุณครูมือใหม่ก่อนจะลุกไป บีบี๋ก็นับเงินที่ได้รับเป็นค่าสอนจนครบแล้วเก็บลงกระเป๋า ผมจึงเดินเข้าไปหาพร้อมทั้งวางนมชมพูปั่นใส่เยลลี่ซึ่งเป็นของโปรดของเจ้าตัวให้แทนคำทักทาย

“เฮียโรม........?”

“อืม เป็นไงบ้างล่ะ สอนพิเศษวาดรูปให้เด็กเหรอ?”

ผมถามทำทีเสมือนว่าเพิ่งบังเอิญผ่านมาแถวนี้ ถือวิสาสะนั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามพลางเลื่อนแก้วนมปั่นไปให้อีกฝ่ายใกล้ๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่านี่คือของฝาก 

“พอดีเห็นบีบี๋นั่งอยู่ก็เลยซื้อมาจากซุ้มตรงโน้น.... ไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่ เฮียไม่รู้ว่าเรายังชอบนมปั่นปีโป้อยู่หรือเปล่า แต่ถ้าชอบก็รับไว้เถอะ”

“เฮียโรมให้บี๋.....จริงเหรอ......?”

“จริงดิ ไม่คิดตังค์หรอกน่า”

เมื่อผมยืนกรานแบบนั้น บีบี๋ถึงได้เก็บขวดน้ำเปล่าลงไว้ตรงช่องตาข่ายข้างกระเป๋าเป้แล้วยอมกินนมปั่นที่ผมซื้อมาให้

ระยะเวลาเดือนกว่าๆ เกือบสองเดือนที่ผมตัดขาดจากเบอร์ลิค บีบี๋ดูเปลี่ยนไปมาก จากที่เห็นภายนอกก็คือผอมลงพอสมควร แก้มป่องๆ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์และความน่ารักเฉพาะตัวก็หายไป เหลือไว้แต่ใบหน้าซูบตอบ ตากลมโตปรากฏรอยคล้ำนิดๆ ดูอิดโรยอย่างบอกไม่ถูก.... ท่าทางร่าเริงช่างพูดช่างคุยเสียงดังเหมือนหมาชิวาว่ากลับกลายเป็นหม่นเศร้าพิกล แม้จะพยายามฉีกยิ้มสดใสต่อหน้าผมแต่มันก็ยังไม่เนียนอยู่ดี

พอเห็นแบบนี้ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะหนี้จำนวนสองล้านนั่น....

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาคุยกับบี๋ล่ะ ไม่กลัวไอ้ชาเข้าใจผิดเหรอ?” 

บีบี๋หรี่ตาลงมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจ เมื่อท้าวความย้อนความทรงจำถึงครั้งสุดท้ายที่คุยกันก่อนที่ผมจะตัดขาดจากเบอร์ลิค ร่างเล็กก็ยิ่งแสดงอาการระแวงอย่างเห็นได้ชัด 

“ถ้าจำไม่ผิด บี๋ว่าเฮียโรมเคยพูดว่าไม่อยากยุ่งกับคนอย่างบี๋อีก แล้วนี่ลมอะไรพัดมาล่ะ? ไม่เชื่อหรอกนะว่าแค่อยากแวะเอานมปั่นปีโป้มาให้กินเฉยๆ”

“แค่เอานมมาให้กินเฉยๆ นั่นละ” 

ที่ผมซื้อนมปั่นมาให้ก็เพราะอยากซื้อ แต่ก็แน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าทำไมตัวเองถึงต้องกลับมานั่งคุยกับแฟนเก่าซึ่งรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าร้ายเดียงสา มีสารพัดเล่ห์เหลี่ยมความอิจฉาแฝงอยู่ภายใต้หน้าตาใสซื่ออย่างที่เคยทำให้ผมเซอร์ไพรส์หงายเงิบมาแล้ว 

“แล้วก็มีเรื่องบางอย่างที่เฮียอยากถามบีบี๋ด้วย....”

“เรื่องอะไร?”

ร่างเล็กแค่นเสียงหัวเราะในลำคอถามกลับ

“ถ้าเป็นเรื่องไอ้ชา เฮียก็ต้องไปถามมันเองนะ.... บี๋ไม่ได้คุยกับมันอีกเลยตั้งแต่จับได้ว่ามันแอบไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค แย่งมาแย่งกลับ เจ๊ากันแล้วก็เลิกคบ”

“เฮียไม่ได้อยากคุยเรื่องทิชา”

“งั้นเรื่องนายแดน สถาปัตย์ใช่มะ? รู้ยังอะว่ามันแอบชอบไอ้ชาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว มันเคยหอมแก้มไอ้ชาในงานเฟรชชี่ด้วยนะ เวลาเรียนรวมคลาสเดียวกันก็ชอบนั่งมองไอ้ชาอย่างกับพวกโรคจิต ถามจริงเหอะ น้องชายเฮียมันเป็นสตอล์กเกอร์หรือเปล่าเนี่ย.....”

“เฮียอยากคุยเรื่องบีบี๋ต่างหาก” 

ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปตรงๆ ไม่อยากอ้อมค้อมเฉไฉให้ออกทะเลจนไปจบที่เรื่องของทิชาหรือแดน ตอนนี้คนที่ผมกำลังคุยด้วยคือบีบี๋ และผมก็ต้องการที่จะรู้ความจริงจากปากของเจ้าตัวเท่านั้น

“หนี้สองล้านที่เฮียรุจบอกให้จ่าย ทุกวันนี้บีบี๋จ่ายเฮียรุจยังไง?”

“................”

ร่างเล็กได้ยินคำว่าหนี้สองล้านก็นิ่งเงียบไปไม่ยอมตอบ ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันในขณะที่มือซึ่งกำรอบแก้วนมปั่นจิกเกร็งจนเนื้อพลาสติกยุบเข้าไป

บีบี๋อาจจะตกใจหรือสงสัยว่าผมรู้เรื่องได้ยังไงแต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะคุยกันเวลานี้ ผมอยากรู้ว่าที่บีบี๋ต้องทำงานพิเศษทั้งที่ไม่เคยทำ ผอมลงจนดูเหมือนคนป่วยนั้นเป็นเพราะถูกเฮียรุจบังคับเอาเงินไปจนหมดหรือว่าอะไรกันแน่.... ในเมื่อหนี้ครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นเพราะผม ผมก็ควรกระดิกตัวแสดงความรับผิดชอบบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้คนที่ตัวเองเคยเรียกเต็มปากเต็มคำว่าแฟนรับผลกรรมไปคนเดียว

“ถึงเราจะเลิกกันแบบไม่ค่อยดี แต่เฮียว่าเงินสองล้านที่เฮียรุจโยนมาให้ชดใช้เป็นค่าเสียหายก็มากเกินไป.... ถ้าเฮียพอช่วยอะไรบีบี๋ได้บ้างล่ะก็......”


“ไอ้โรม มึงจะเสือกไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ได้นะ”


“เฮียรุจ!”

ฉับพลัน คนที่กำลังถูกพูดถึงก็โผล่มากระแชกแขนบีบี๋จากทางด้านหลังรวดเดียวเกือบหงายหลังลงมาจากม้านั่ง ร่างเล็กส่งเสียงร้องลั่นจนคนแถวนั้นหันมามองด้วยความแตกตื่นตกใจ ผมรีบลุกขึ้นจะตามไปคว้าเอาบีบี๋คืนมา หากติดตรงที่ว่าเฮียรุจดึงให้ลูกหนี้ไปหลบอยู่ด้านหลังแล้วหันมาเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับอดีตรุ่นน้องคนสนิท.... ซึ่งก็คือผมเอง

“ทำไมเฮียต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วย ไม่เห็นเหรอครับว่าน้องเจ็บ!?”

“เรื่องของกูกับน้องบี๋ กูตกลงกับน้องมันเรียบร้อยแล้วว่าเราจะจ่ายอะไรกันแบบไหนยังไง.... ขึ้นชื่อว่าเป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิค ห้อยเกียร์อยู่ที่คอ กูก็ต้องดูแลน้องบี๋อย่างดี น้องบี๋เองก็ดูไม่ได้จะเดือดร้อนอะไรตรงไหนนี่นา”

 เฮียรุจเหยียดมุมปากใส่ผมอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า น้ำเสียงเยาะเย้ยที่ได้ยินผิดกับตอนที่เขารับปากว่าจะช่วยดูแลบีบี๋เป็นอย่างดีชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า 

“ไม่งั้นมึงลองถามน้องบี๋เอาเองเลยก็ได้ว่าใช้หนี้สองล้านนี่งานยากหรือเปล่า?”

ผมมองเด็กหนุ่มตัวเล็กซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างหลังเจ้าของร้านเบอร์ลิคด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เกียร์รูปเฟืองสีทองแดงยังคงคล้องอยู่บนลำคอขาว แต่ทว่า รอยแดงช้ำอมม่วงคล้ายรอยฟันกัดที่ผมไม่ทันได้สังเกตในคราวแรกกลับโผล่พ้นคอเสื้อออกมาให้เห็นด้วย และที่แน่ๆ ก็คือมันไม่ได้มีแค่รอยเดียว

“บีบี๋.... เฮียรุจให้บี๋ใช้หนี้ยังไง? จ่ายเป็นเงินหรือว่าอะไร?”

“................”

ผมยังหวังว่าบีบี๋จะยอมพูดอะไรสักคำ พยักหน้าแทนคำตอบหรือขอความช่วยเหลือก็ได้ แต่ดูคล้ายว่าความหวังดีของผมจะไร้ค่าหรือไม่ก็มาช้าจนเกินไป

“บีบี๋ ไม่ต้องกลัวนะ เฮียจะพยายามหาทางช่วย......”

“เฮียรุจไปกันเหอะ บี๋หิวข้าวแล้ว”

“ได้สิ.... วันนี้น้องบี๋อยากกินอะไรล่ะ? เอาพิซซ่าดีไหม?”

“อะไรก็ได้ แล้วแต่เฮียรุจ”

“โอเค งั้นวันนี้ตามใจเฮียนะครับ”

มือเล็กกระตุกชายเสื้อเจ้าหนี้แล้วพูดสั้นๆ แค่นั้น หน่วยตากลมโตหลุบต่ำไม่มองหน้าผมก่อนจะรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วเดินหนีไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่สิบเมตร.... เฮียรุจชี้หน้าผมเป็นเชิงคาดโทษและเตือนให้รู้ว่าอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยใช่เหตุ เมื่อผมออกลาเบอร์ลิคไปแล้ว ผมก็ไม่ใช่คนใน ไม่ใช่รุ่นน้องคนสนิทที่เขาจะต้องให้ความเมตตา และถ้าเขาจะสั่งกระทืบผมด้วยข้อหามายุ่งกับสะใภ้ห้อยเกียร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย

 “เชี่ยโรม กูเตือนมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าเสือกเรื่องนี้!”

ไอ้แจ็คโผล่มาจากทางด้านหลัง กระชากคอเสื้อผมจนแทบรั้งหลอดลมหายใจไม่ออกตาย สีหน้ามันดูเป็นเดือดเป็นร้อนหลังจากที่เห็นว่าคนที่เป็นทั้งเพื่อนและแฝดรหัสของตัวเองเพิ่งจะล้วงมือลงไปในรังงูเห่า ถึงจะรอดชีวิตมาได้ในคราวนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่โดนตามอาฆาต

“สัดแจ็ค!” 

ผมรู้ว่าผมแม่งห่ามที่ไปท้าทายเฮียรุจ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะไอ้แจ็คนี่แหละที่ไม่ยอมพูดเรื่องที่ควรพูดให้ผมรู้ตั้งแต่แรก 

“มึงรู้ใช่ไหมว่าเฮียรุจทำอะไรกับบีบี๋.... ทำไมวะ ไอ้เหี้ย!? ทำไมมึงไม่ยอมบอกกู!!??”

“กูบอกแล้วมึงจะทำอะไรได้.... ในเมื่อถ้าไม่จ่ายรวดเดียวสองล้าน เฮียแม่งก็ไม่ยอมเอาเงินจากน้อง หรือมึงคิดว่ามึงจะจ่ายแทนล่ะ!?”

เมื่อถูกไอ้แจ็คตอกหน้ากลับมา ผมก็ทำได้แค่กลืนคำด่าทุกคำกลับลงคอไป เพราะถึงแม้บ้านผมจะค่อนข้างมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ แต่การเบิกเงินออกมาใช้คราวละหลักล้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนพวกคุณชายในละคร.... และใจความสำคัญก็อย่างเพื่อนผมว่าไปเมื่อกี้นี้ ถ้าไม่จ่ายคืนรวดเดียวครบจำนวนสองล้าน เฮียรุจก็จะไม่รับเงินและจะทรมานบีบี๋ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ

“เหี้ย.... แล้วกูต้องทำไงวะเนี่ย!?”

“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไอ้โรม” 

ผมหันไปมองไอ้แจ็ค ซึ่งมันก็ยังคงยืนยันคำเดิมกับที่เคยบอกผมเมื่อครั้งก่อน 

“ถ้าไม่อยากฉิบหายก่อนวัยอันควร มึงอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ปล่อยให้น้องบีบี๋จัดการกับปัญหาของเขาเอง ก็อย่างที่เฮียรุจบอกว่ายังไงก็สะใภ้ เขาไม่เอาเมียตัวเองจนถึงตายหรอก.... ส่วนมึงมีน้องทิชาแล้ว สนใจแค่แฟนคนปัจจุบันของมึงก็พอ อย่าล้ำเส้นกลับเข้าไปในเบอร์ลิคอีกเป็นอันขาด ไม่งั้นมึงจะรักษาอะไรไว้กับตัวไม่ได้สักอย่างเลย”

ผมทิ้งร่างนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิมพลางถอนหายใจไล่ความรู้สึกสับสนว้าวุ่นให้พ้นไปจากหัวสมอง แต่ก็ได้แค่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วก้อนเมฆสีเทาก็ก่อตัวทับถ่วงข้างในอกขึ้นมาใหม่.... นมชมพูปั่นใส่เยลลี่ที่ผมซื้อมาให้บีบี๋ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม น้ำแข็งในแก้วละลายจนกลายเป็นน้ำเหลวๆ เละเทะไม่น่ากินอีกต่อไป ก็คงไม่ต่างจากหัวใจของผมซึ่งถึงแม้จะอยู่ข้างในอกซ้ายเหมือนเดิมหากก็มองไม่ออกแล้วว่าก่อนหน้านี้มันเคยมีไว้เพื่อใครกันแน่


TO BE CONTINUE

 :hao7: :katai4: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 11-02-2018 21:34:52
คนที่เลวที่สุดก็คือไอ้โรมค่ะเรื่องนี้ ขอให้มันไม่เหลือใคร
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 11-02-2018 21:48:08
ทำไมพี่ขี้ลังเลงี้ ฮอลลลลลล เลือกทางไหนก็สงสารคยที่เหลืออยู่
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-02-2018 21:59:50
ทำตามที่แจ็คบอกเถอะโรม อย่ากลับไปยุ่งไปวุ่นวาย ใครผูกปมอะไรไว้ก็ให้ไปแก้ปมเอง สนใจแค่เรื่องของตัวเองกับทิชาก็พอ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 11-02-2018 22:09:53
เฮ้ออ วิญญาณพ่อพระอีกแล้ว
รับรู้แล้วก็อย่าออกตัวแรงซิพี่โรม
จะช่วยอะไรยังไงก็คิดเยอะๆหน่อย
เดี๋ยวจะชวดหมดอย่างที่แจ็คว่า
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 11-02-2018 22:28:43
โอยย มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 12-02-2018 08:56:22
ไอ้พี่โรม คิดให้ดีนะว่าที่รู้สึกกับทิชามันคืออะไร แล้วที่รู้สึกกับบีบี๋มันคืออะไร
ความรัก ความหลง ความเอ็นดู หรือความสงสาร
จับตัวเลือกสี่ตัวนี้ให้ถูกคนซะ แล้วทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
ถ้าไม่จัดการอะไรเลยคนที่จะไม่เหลือใครก็คือแกไอ้พี่โรม
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-02-2018 10:48:05
13
~ ครึ่งชีวิตที่บิดเบี้ยว ~


TISHA’s PART


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ที่ถูกไล่ออกจากป่าให้มาอยู่รวมกับมนุษย์ในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันครื้นเครง แต่ละคนแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่ก็ทักทายเล่นหัวกันยิ่งกว่าเพื่อนสมัยเด็ก.... ก็คงมีแค่ผมที่ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้ว่าควรพาตัวเองไปฝังร่างไว้ตรงไหนดี เพราะนอกจากป้าอิ๋วที่เป็นหัวหน้าทีมผู้จัดละครช่อง , พี่ก้อย ผู้จัดการกองถ่าย , พี่ปลา พีอาร์ประจำกอง และทีมงาน คนที่เหลือก็ดูคล้ายว่าจะไม่ค่อยอยากต้อนรับผมสักเท่าไร ถ้าไม่ได้มีกล้องแคนดิดคอยตามถ่ายเบื้องหลังการเตรียมงานไว้อัพเดทให้แฟนๆ ดูผ่านโซเชียล บางครั้งพวกเขาก็ทำเป็นมองไม่เห็นผมขึ้นมาเสียเฉยๆ

เรียนการแสดงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อถูกป้าอิ๋วขอร้องแกมบังคับให้เปิดแอคเคาท์ไอจี การรับมือกับคำด่าทอและความเกลียดชังกลับยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด....

เพราะนามสกุลของพ่อ ข่าวฉาวในอดีตของแม่ บวกกับการโผล่มามีชื่อรับบทนำละครทั้งๆ ที่ไม่ได้มาแคสพร้อมคนอื่นของผม ก็เลยมีคนใจดีอุตส่าห์ช่วยขุดเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนมาตั้งกระทู้ถามกันให้ควั่ก แล้วบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายที่รู้จักผมแต่ผมไม่รู้จักเขาก็ออกมาให้ข้อมูลกันเต็มไปหมดว่าทิชาเป็นคนอย่างนู้นอย่างนี้ เรียกได้ว่าเรื่องส่วนตัวของผมกลายเป็นประเด็นในสังคมออนไลน์ พาชื่อละครที่กำลังจะถ่ายทำให้เป็นกระแสติดเทรนด์ไปด้วย ซึ่งก็คงถูกใจสปอนเซอร์นายทุนทั้งหลายแต่ไม่ถูกใจเพื่อนนักแสดงด้วยกันสักเท่าไร

ดังนั้น การคุยกับพี่โรมในตอนเช้าและก่อนเข้านอนของทุกวันจึงเป็นการฮีลลิ่งตัวเองสำหรับผมไปโดยปริยาย ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อจนแทบจะนับถอยหลังเป็นวินาทีกว่าจะถึงเวลานัดเฟซไทม์.... ก็ไม่รู้ว่าผมหวังให้พี่โรมเป็นที่พึ่งพิงทางใจมากเกินไปหรือเปล่า แต่ผมบอกได้เลยว่าถ้าไม่มีกำลังใจจากเขา ชีวิตในแต่ละวันของผมก็คงผ่านไปได้ยากเหลือเกิน



“พรุ่งนี้ชามีเรียนเช้า ตอนบ่ายถึงจะเข้าไปเวิร์คช็อปที่สถานี.... ตอนเที่ยงพี่โรมว่างไหมอะ มาเจอกันแปบนึงได้หรือเปล่า เดี๋ยวชาไปนั่งรอพี่โรมที่ร้านเจ๊สวยตรงประตูฝั่งวิศวะฯ ก็ได้”

ผมเพิ่งออกจากห้องน้ำด้วยสภาพผมเปียกหมาดๆ เดินลงมาจากชั้นสามเพื่อหาของกินในครัวโดยถือโทรศัพท์คุยเฟซไทม์กับแฟนไปด้วย เมื่อได้น้ำเต้าหู้สำเร็จรูปสูตรไขมันต่ำที่แม่ซื้อมาทิ้งไว้ให้ในตู้เย็นก็ย้ายร่างมากลิ้งบนโซฟา อ้อนชายหนุ่มซึ่งอยู่บนหน้าจอไอโฟนด้วยความหวังว่าเขาจะยอมตามใจ

ทว่า พี่โรมกลับมีท่าทางลังเลก่อนจะตอบมาให้ได้ยิน

‘พรุ่งนี้เที่ยงน่าจะยาก พี่ต้องออกไปศูนย์จำลองยานยนต์ตั้งแต่เช้า กลัวจะกลับมามหาลัยไม่ทันตอนเที่ยงนี่สิ’

“อ้าว เหรอ..........”

ช่วงนี้หาเวลาว่างตรงกันยาก ผมเลยเฟลนิดหน่อยที่แผนล่มไม่เป็นท่า แน่นอนว่าพี่โรมจะต้องเห็นผมทำหน้าเป็นหมาหงอย ยู่ปาก เหมือนเด็กที่โดนพ่อแม่เอาไปทิ้งไว้โรงเรียนประจำ ต้องรอจนกว่าปิดเทอมถึงจะได้กลับบ้านไม่มีผิด

‘งอแงอีกแล้วนะ ทิชา’

“ก็ชาอยากเจอพี่โรม ไม่ได้เจอพี่กับมิลค์มาสี่วัน เก้าชั่วโมง.... กับอีกสิบสองนาที สามสิบห้าวินาทีแล้ว..........” 

ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่งี่เง่าที่สุดที่ตัดสินใจขอให้แม่ช่วยขอร้องป้าอิ๋วเรื่องแคสบทละคร ก่อนหน้านี้ผมก็ติดยัยมิลค์ชนิดไม่ยอมไปค้างที่ไหนถ้าลูกไม่ได้ไปด้วยอยู่แล้ว พอมาติดพี่โรมด้วยก็ยิ่งกลายเป็นขี้เหงายกกำลังสอง เพราะความรู้สึกผิดชั่ววูบที่มีต่อใครบางคนแท้ๆ ที่ทำให้ผมต้องกระสับกระส่ายทรมานแบบนี้ 

“ชาคิดถึงพี่โรมนะ.... คิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วเนี่ย”

‘พี่ก็คิดถึงทิชาเหมือนกัน’ 

พี่โรมยิ้มเขินขณะตอบกลับผม ใบหน้าหล่อยิ่งดูน่ามองน่าหลงจนหัวใจผมเต้นตามแทบไม่เป็นจังหวะ 

‘ว่าแต่อุตส่าห์ไปเป็นดารา แฟนคลับออกจะเยอะแยะ อินสตราแกรมก็เปิดแล้ว ทำไมไม่อัพนู่นอัพนี่เรียกเรตติ้งเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างล่ะ.... วันๆ เอาแต่รอคุยกับพี่แบบนี้ ทางกองละครเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ?’

“มีสิทธิ์อะไรมาว่า ชาไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขสักหน่อยนี่” 

ผมหมายถึงเรื่องที่ทางสปอนเซอร์กับผู้จัดขอให้ปิดเรื่องที่ผมมีแฟนแล้วไว้เป็นความลับ เพื่อที่ทีมพีอาร์จะได้โปรโมทซีรีส์ในแนวคู่จิ้นได้สะดวก ซึ่งทุกวันนี้ ผมก็ได้แค่หลบๆ ซ่อนๆ แอบคุยกับพี่โรมไม่ให้ใครในกองละครเห็น 

“คนพวกนั้นไม่มีใครใจดีกับชาเหมือนพี่โรมสักคน.... เขาเกลียดขี้หน้าชากันจะตาย ชาเองก็ไม่อยากคุยกับพวกเขา..........”

‘หืม ไอ้แดนด้วยเหรอ?’

พี่โรมทำท่าแปลกใจเมื่อผมส่ายหน้ากลับไปให้เห็น

“กับแดน ชาคุยได้เฉพาะเรื่องงาน เรื่องอื่นอย่าไปพูดถึงเลย.........”

ผมไม่อยากฟ้องพี่โรมว่าไอ้แดนนรกมันพูดอะไรกับผมบ้าง ไม่อยากให้ความไม่พอใจระหว่างผมกับมันลุกลามไปกันใหญ่จนทำให้พี่โรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย.... จะว่าผมเอาแต่ทำตัวเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ ในเมื่อผมขยับไปทางซ้ายก็มีคนโกรธ ขยับไปทางขวาก็มีคนไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ผมก็จะปล่อยให้ไอ้แดนเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจเสียให้พอ เผื่อว่าสักวันหนึ่งความหัวร้อนของมันจะทุเลาเบาบางลงบ้างแล้วเราจะกลับมาคุยกันอย่างคนปกติได้เหมือนเดิม

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไอ้วันนั้นที่ว่าจะมีอยู่จริงหรือเปล่า....

“จะเที่ยงคืนแล้ว ชาว่าเราแยกย้ายกันไปนอนดีกว่า.... พรุ่งนี้พี่โรมก็ต้องตื่นแต่เช้านี่เนอะ” 

หลังจากคุยกันต่อไปได้อีกพักใหญ่ ความง่วงก็ตรงเข้าเล่นงานทำเอาเปลือกตาผมหนักอึ้งยิ่งกว่าโดนหินถ่วง แม้จะอยากเห็นหน้าคนในจอมือถือให้นานกว่านี้อีกนิด บอกรักเขาให้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่ขีดจำกัดของร่างกายกลับไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย 

“พี่โรมก็ไฟท์ติ้งนะ ชาฝากดูแลมิลค์ด้วย สองพ่อลูกอย่าทะเลาะกันล่ะ..... วันอาทิตย์ตอนเย็นเจอกัน ชาจะเข้าไปหาพี่ที่คอนโดฯ แล้วเรามาทำกับข้าวกินกันเนอะ”

‘ได้สิ แล้วเจอกันนะ’

“ฝันดีนะ แด๊ดดี้ของชา”

‘กู๊ดไนท์ครับ แม่แมวของพี่’



ผมวางโทรศัพท์ไว้เหนือศีรษะตัวเอง ไม่ยอมลุกขึ้นจากโซฟาแม้จะกดวางสายจากพี่โรมไปได้สักพักแล้ว.... ผมนอนแผ่กางแขนกางขาอย่างหมดสภาพพลางถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยปนเบื่อหน่าย ยิ่งคุยกับพี่โรมก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งเห็นหน้าเขาผ่านจอโทรศัพท์ หัวใจก็ยิ่งร่ำร้องอยากเจอตัวจริงให้ได้ อยากมากจนต้องข่มใจไม่ให้ลุกไปหยิบกุญแจรถบึ่งไปคอนโดฯ อีกฝ่ายเอาเดี๋ยวนี้

ความคิดในหัวมีแต่สารพัดคำด่าเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปนั้นโคตรเปล่าประโยชน์ ความสัมพันธ์กับไอ้แดนก็พังหมด กับพี่โรมก็ต้องมาห่างกันทั้งๆ ที่เพิ่งคบได้ไม่นาน.... ถ้าย้อนเวลากลับไปต่อยหน้าตัวเองได้ล่ะก็ ผมจะรีบย้อนไปต่อยไอ้ทิชาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนให้หัวหลุดเลย

ไหนจะเรื่องน่าปวดหัวกับเพื่อนร่วมงานและโลกโซเชียลอีกยาวเป็นหางว่าว รู้สึกเหมือนเจอเดจาวูตอนที่เพิ่งเรียนจบไฮสคูลแล้วเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ทุกคนรู้จักทิชา ทุกคนมองหาทิชา ทุกคนพูดถึงทิชา.... แต่กลับไม่มีใครยินดีต้อนรับทิชาให้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเลยสักคน

เหนื่อยจัง....



Rrrrr Rrrrr

Rrrrr Rrrrr Rrrrr Rrrrr


โทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ไฟหน้ารถยนต์สาดเข้ามาถึงข้างในตัวบ้าน จากที่กำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ผมก็สะดุ้งโหยงหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่กด้วยความตกใจว่าจะต้องทำอะไรก่อนระหว่างรับโทรศัพท์กับออกไปดูว่าใครกันที่มันบังอาจเปิดไฟสูงใส่บ้านผม.... แต่แล้ว ชื่อของพี่โรมซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำเอาผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง พอชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นรถ Audi A5 Coupe’ สีน้ำเงินจอดอยู่นอกรั้ว หัวใจที่ห่อเหี่ยวซังกะตายอยู่เมื่อครู่ก็พลันตื่นเต้นลิงโลดยิ่งกว่าถูกหวยสามลิบล้านเสียอีก

‘เปิดประตูให้พี่กับมิลค์หน่อยสิครับ คุณเจ้าของบ้าน’

นั่นคือสิ่งที่พี่โรมบอกกับผมหลังจากสไลด์ปุ่มรับสาย

“อื้อ แปบนึงๆ”

ผมกระวีกระวาดรีบออกไปเปิดประตูรั้ว ช่วยดูท้ายรถและโบกให้สัญญาณจนกระทั่งเจ้าออดี้สีน้ำเงินถอยเข้ามาจอดภายในเขตบ้านได้เรียบร้อย และทันทีที่ร่างสูงก้าวออกมาจากรถ ผมก็กระโดดโผเข้าไปหาแล้วกอดเขาเอาไว้ด้วยความคิดถึงจนสุดใจขาดดิ้น

“เชื่อแล้วว่าคิดถึงกันจริง” 

พี่โรมว่าก่อนจะกดปลายจมูกลงบนแก้มผมเบาๆ แล้วกอดตอบ น้ำเสียงทุ้มคล้ายจะเอ่ยแซ็วความโอเวอร์ของผม แต่ผมแอบรู้หรอกว่าเขาเองก็คิดถึงผมเหมือนกัน

“ไม่ใช่แค่คิดถึงนะ.... แต่คิดถึงมากๆ มากที่สุดของที่สุดเลยต่างหาก” 

ผมขยี้หน้าตัวเองกับอกเสื้ออีกฝ่าย สูดกลิ่นครีมอาบน้ำเมนทอลจากแบรนด์ดังที่ตัวเองเป็นคนเลือกให้พี่โรมเองกับมือให้เต็มปอด 

“ไม่คิดว่าพี่จะมาหาชาจริงๆ นะเนี่ย ตกใจหมดเลย”

“ก็ถ้าบ้านทิชาอยู่รังสิต บางบัวทอง พุทธมณฑลอะไรงี้ พี่ก็คงไม่มาหรอก” 

คนขี้แกล้งยังคงแหย่ไม่เลิก ชอบให้ผมเบะปากใส่หรือไม่ก็ลงไม้ลงมือด้วยการหยิกต้นแขนล่ำๆ เสียก่อนถึงจะยอมหยุดได้ 

“ล้อเล่นน่า.... ทีแรกก็ว่าจะนอนแล้วล่ะ แต่พอเห็นเราทำหน้าทำตาอย่างกับแมวโดนเอาไปปล่อยวัดก็เลยทนไม่ไหว ดึกดื่นเที่ยงคืนยังไงก็ต้องมาให้เห็นหน้า ไม่งั้นไม่สบายใจ........”

“อะไร? ใครหน้าอย่างกับแมว?”

“ก็ทิชาไง.... ถ้าวาดหนวดลงบนแก้มข้างละสามเส้นได้นี่ก็แมวชัดๆ” 

ร่างสูงแกล้งชูสามนิ้วแล้ววางทาบลงบนแก้มผมทั้งสองข้างให้เหมือนหนวดแมวแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว.... จะว่าวันนี้พี่โรมดูอารมณ์ดีแปลกๆ ก็ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจสงสัยให้เป็นเรื่อง คิดว่าคงเพราะเราไม่ได้เจอกันหลายวัน เขาก็เลยอยากแสดงความรักความเอ็นดูให้ผมเห็นมากเป็นพิเศษ 

“พูดถึงแมว เกือบลืมแน่ะว่าพาลูกมาด้วย.... เอ้า ถึงบ้านแล้ว ออกมาเร็ว ยัยตัวแสบ”

พอเปิดประตูฝั่งเบาะหลังก็เจอมิลค์เวอร์ชั่นแต่งตัวเต็มยศนั่งกอดปลาทูยัดไส้กัญชาแมวรออยู่ ผมอุ้มลูกสาวสุดที่รักมาจุ๊บด้วยความคิดถึงไม่แพ้คนพ่อ ไม่เจอกันสี่วันแต่ยังอ้วนขนฟูแน่นเหมือนเดิม แสดงว่าพี่โรมให้ข้าวให้น้ำพร้อมขนมแมวเลียครบตามที่ผมกำชับ แต่คุณผู้ชายก็ยังมีเหตุให้คนเรื่องเยอะแบบผมบ่นจนได้

“พี่โรมเอามิลค์ขึ้นรถมาทั้งอย่างนี้เลยเหรอ ทำไมไม่ใส่กรงล่ะ?”

“เดี๋ยวมันอึดอัด นั่งรถแค่ไม่กี่นาทีเอง”

“แล้วถ้ามิลค์ฉี่กลางทางจะทำไง?”

“ก็ให้แม่มันจ่ายค่าซักเบาะรถไง”

“นิสัย!”

เอาจริงๆ ตอนอยู่คอนโดฯ พี่โรม ผมกับเขาก็เถียงกันบ่อยนะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงยัยมิลค์นี่แหละ เพราะผมเป็นพวกจะทำอะไรก็ต้องชัวร์เอาไว้ก่อน เสิร์ชกูเกิ้ลหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าอันไหนแมวกินได้หรือไม่ได้ แมวแสดงท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง วัคซีนต้องตรงเวลา ทุกอย่างทำตามคู่มือเป๊ะๆ ในขณะที่พี่โรมเลี้ยงด้วยสัญชาตญาณพ่อ ลูกขอกินอาหารคน ขอกินขนมวันละสามเวลา ปีนโต๊ะคุ้ยของกระจัดกระจายก็ไม่เคยว่า ตามใจมิลค์จนเสียแมว.... แต่เพราะเขารักก็เลยอยากตามใจมิลค์เหมือนที่ตามใจผม เรื่องก็เลยจบลงตรงที่ผมต้องยอมปล่อยให้พี่โรมเลี้ยงลูกตามแบบของเขาเองบ้าง

“ไหนมาดูหน่อยซิ.... แด๊ดดี้ซื้อเสื้อให้ใส่ด้วยเหรอ น่ารักเชียว” 

ลูกสาวผมใส่เสื้อลายกะลาสีมีผ้าพันคอเข้าชุด เห็นแล้วชวนให้อยากไปเที่ยวทะเลชะมัด

“เออ เพิ่งไปยืนเลือกที่ตลาดรถไฟเมื่อวันก่อน อายฉิบหาย” 

น้ำเสียงคนบอกว่าอายไม่เห็นฟังดูอายตรงไหนเลยสักนิด ออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ทำหน้าที่เมนเทอร์โรมคอยเลือกเสื้อผ้าให้ลูกทีมอีกครั้ง  “พี่ซื้อแว่นตากับหมวกแมวมาด้วยนะ แต่ยัยมิลค์ไม่ยอมใส่ กว่าจะจับใส่เสื้อได้ก็แทบรากเลือดแล้วเนี่ย”

ชายหนุ่มพูดพลางยื่นแขนทั้งสองข้างมาให้ผมดู เล่นเอาผมร้องเฮ้ยด้วยความตกใจเพราะรอยข่วนนับสิบพาดเป็นริ้วสลับไปมาบนท้องแขนเจ้าตัว มิหนำซ้ำบางรอยยังเป็นสะเก็ดเลือดเหมือนแผลยังไม่แห้งดีอยู่เลยด้วย

“โห พี่โรม.... ชาเลี้ยงมิลค์มาครึ่งปี ยังได้แผลรวมกันไม่เท่าพี่อยู่กับมิลค์แค่อาทิตย์เดียวเลยนะ!”

“แมวดื้อคือแมวฉลาด รอยถากๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“ไม่เป็นไรได้ไงเล่า!” 

ผมส่ายหน้าถอนหายใจให้กับความชิลล์เกินเหตุของพี่โรม มีอย่างที่ไหนบอกว่าแมวดื้อคือแมวฉลาด ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินตรรกะเพี้ยนๆ พรรค์นี้ 

“ว่าแต่ได้ทำแผลบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือโดนก็ช่างมัน ปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ทำอะไรเลย?”

“พี่ล้างแผลแล้ว”

“ล้างยังไง? ล้างด้วยอะไร?”

“ก็......ล้างน้ำเปล่า...........”

“พอเลยๆ ชาฟังแล้วปวดหัว” 

มาถึงตอนนี้นี่อยากจะกลอกตามองบนใส่คุณแฟนบังเกิดเกล้าเหลือเกิน ที่แท้ก็เป็นพวกดูแลคนอื่นไม่มีขาดตกบกพร่องแต่หละหลวมกับตัวเองจนน่าจับมาเขกหัวจูนสมองสักหลายๆ รอบ 

“เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวชาทำแผลให้ใหม่ดีกว่า.... นี่ดีนะว่ามิลค์ฉีดวัคซีนพื้นฐานครบหมดแล้ว ไม่งั้นชาจะไล่พี่โรมไปโรงพยาบาลฉีดยารอบสะดือเดี๋ยวนี้เลย”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-02-2018 10:53:04
พี่โรมนั่งรออยู่บนเตียงระหว่างที่ผมแบกกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาลตามขึ้นมาจากชั้นล่างก่อนจะจัดการล้างแผลด้วยน้ำเกลือแล้วใส่ยาเหลืองให้.... ทีแรกก็แอบคิดว่าหรือจริงๆ แล้วพี่โรมจะกลัวแสบเลยไม่ยอมทำแผล แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็นั่งเฉยๆ ชิลล์ๆ ไม่หือไม่อืออะไร ผมเลยได้ข้อสรุปว่าก็คงเพราะขี้เกียจนั่นแหละ หรือไม่ก็มัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นจนลืมใส่ใจตัวเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วตอนนี้พี่โรมอยู่ปีสาม เห็นว่ากำลังวุ่นๆ ทั้งโปรเจ็กต์แล้วก็เรื่องหาที่ฝึกงานใหม่ ผมก็ยังจะเอายัยมิลค์ไปฝากไว้กับเขาเพราะตัวเองไม่มีเวลาดูแล พอคิดแบบนี้ก็อดรู้สึกผิดที่ทำเหมือนผลักภาระไปให้เขาช่วยรับผิดชอบไม่ได้

“ไหวหรือเปล่าเนี่ย.... ถ้าพี่ไม่โอเค จะเอามิลค์กลับมาอยู่กับชาก็ได้นะ” 

ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเดิมทีพี่โรมก็ไม่คุ้นกับแมว ยัยมิลค์ก็ซนพอสมควร ผมเลยกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นรำคาญเข้าสักวัน

“ไม่ได้ๆ ขืนเอากลับมาอยู่นี่แล้วถ้าทิชาไม่อยู่บ้านหลายๆ วันจะทำยังไง?”

“ก็คงต้องเอาไปฝากโรงแรมแมว......”

“ไม่ต้องเลย ให้พี่ดูลูกเองนั่นละดีแล้ว” 

พี่โรมยกมือขึ้นเป็นท่าปางห้ามญาติ ยืนกรานเด็ดขาดว่าถ้าผมต้องเอามิลค์ไปไว้กับคนอื่นก็ปล่อยให้เขาสู้รบปรบมือกับมันเองดีกว่า 

“พี่สั่งคอนโดแมวไว้แล้วด้วย แบบทาวเวอร์สี่ชั้นอย่างหรูเลย ร้านเขาจะเอามาส่งให้วันเสาร์นี้ พอยัยมิลค์มีที่ประจำของตัวเองแล้วก็คงเกเรน้อยลงไปเองแหละ”

เราสองคนสรุปจบปัญหาว่าด้วยลูกสาวขนฟูเอาไว้แค่นั้น พี่โรมกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงหัวเตียงโดยที่ผมก็ตามไปหนุนอกเขาก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเราทั้งคู่เอาไว้ ภายในห้องเงียบกริบ นอกจากเสียงยัยมิลค์ตะกุยเล็บกับของเล่นอันเก่าก็มีแค่เสียงลมจากเครื่องปรับอากาศกับเสียงหัวใจของพี่โรมซึ่งดังทะลุอกเข้ามาในโสตประสาทผม.... พี่โรมยังไม่หลับ ไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทีคล้ายเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์นั้นเขากำลังคิดถึงเรื่องอะไร จะใช้เรื่องเดียวกับผมหรือเปล่า หรือว่าจะมีผมอยู่ในนั้นบ้างไหมก็ยังไม่อาจคาดเดา

“พี่โรมคบกับชาแล้วเหนื่อยมากไหม?” 

ผมเป็นฝ่ายเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจก่อน เจ้าของดวงตาสีเข้มมองมาราวกับจะถามว่าผมกำลังละเมอหรือว่าอะไร ผมจึงขยับตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะได้สบตาอีกฝ่ายได้ถนัดแล้วถามย้ำอีกครั้ง 

“ถ้าหากชาอ้อนพี่โรมมากเกินไปจนทำให้พี่อึดอัดก็บอกได้นะ.... ทุกวันนี้เห็นพี่โรมคอยทำนู่นทำนี่ให้ตั้งหลายอย่างก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหมือนชาเอาภาระของตัวเองมาทิ้งไว้ให้พี่ช่วยรับผิดชอบเลย.......”

“เหนื่อยอะไรกันล่ะ.... ไม่เหนื่อยหรอก ไม่อึดอัดด้วย”

ร่างสูงว่าพลางเอื้อมมือมาบิดปลายจมูกผมเล่น รอยยิ้มละมุนปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเซอร์ช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ใช่ว่าความกังวลทั้งหมดจะถูกกำจัดไปได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว

“ก็พี่โรมใจดีจนน่ากลัว........” 

ผมชิงปิดปากคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากตัวเองก่อนที่เขาจะได้ถามว่าความใจดีจนน่ากลัวมันคืออะไร หากก็แค่จูบหยอกแบบลูกแมวเวลาเลียนมแล้วผละออกมาคุยกันต่อ 

“ชากลัวว่าความใจดีของพี่จะเหมือนระเบิดเวลา ช่วงแรกๆ ก็ไม่เป็นไรแต่พอทนไม่ไหวก็ตูมออกมาทีเดียวแล้วก็หายไปจากชีวิตชาตลอดไป.......”

“คิดเยอะอีกแล้ว”

“ก็ต้องเยอะสิ.... เพราะชารักพี่โรม อยากอยู่กับพี่โรมไปนานๆ ยิ่งรักมากก็ยิ่งคิดเยอะมากตามไปด้วย” 

ผมพูดในสิ่งที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีอยู่แล้วแต่อาจเข้าใจไม่ตรงกัน ถึงจะชอบแกล้งทำเป็นดุบังหน้า แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมแอบรู้สึกว่าพี่โรมเห็นว่าผมเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะจนอ่อนไหวง่ายและเปราะบางกว่าคนทั่วไป เขาถึงค่อนข้างยอมตามใจผมแทบทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่อยากเอาเปรียบพี่โรมด้วยการทำตัวปวกเปียกให้เขาต้องคอยประคับประคองอยู่ตลอดเวลา และไม่อยากให้เขาคิดว่าผมอ่อนแอจนความรักของเราถูกผูกติดเอาไว้ด้วยความสงสาร 

“เรื่องไหนที่พี่โรมไม่โอเค พี่ปฏิเสธชาบ้างก็ได้นะ บอกกันตรงๆ เลย ไม่ต้องตามใจชาทุกเรื่องหรอก”

สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือความรัก อยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันเพราะรัก ไม่ใช่เห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นภาระที่ปล่อยวางไม่ได้

“สำหรับชา พี่โรมไม่ใช่แค่แฟนที่คบกันแก้เหงาไปวันหนึ่งๆ แต่พี่คือคนสำคัญที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันไปอีกหลายสิบปีหรืออาจจะชั่วชีวิต.... ชาไม่ได้อยากเรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ ให้พี่โรมทุ่มเททำทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียว แต่ชาอยากเป็นฝ่ายให้และคอยดูแลพี่โรมบ้าง”

“เพราะฉะนั้น ถ้าหากพี่โรมเหนื่อยหรือเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วก็บอกชาได้นะ ถึงชาจะบ้าๆ บอๆ ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่ชาก็เป็นที่พึ่งให้พี่ได้เหมือนกัน........”

ปลายนิ้วของผมสอดประสานเกาะเกี่ยวกับมือของพี่โรม ดวงตายังคงสบมองลูกแก้วสีเข้มซึ่งสะท้อนภาพตนเองกลับมาไม่เว้นวาง.... คนอย่างทิชา ทิชนันท์ ถึงใครจะมองว่าข้างในพังยับเยิน หัวใจไม่สมประกอบมากแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อคนที่รักมากที่สุดอย่างพี่โรมแล้ว ผมก็พร้อมจะถีบตัวเองขึ้นมา ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นและอยู่เคียงข้างเขาให้ได้.... ไม่ต้องมองเห็นกันตลอดกันเวลา ไม่ต้องเรียกหาทุกชั่วโมง ไม่ต้องเอาเชือกมาผูกตัวเราติดกัน แค่รับรู้ว่าใจเราอยู่ตรงนี้ ความรักของเราอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว

พี่โรมจับตัวผมให้นอนหงายแล้วตามขึ้นมาทาบทับ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบก่อนที่พี่โรมจะจูบหน้าผากและแก้มผมดังฟอด

“เรานี่ที่สุดของที่สุดเลยว่ะ”

“หือ.... ที่สุดยังไง? อะไรที่สุด?” 

ผมย้อนถามด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจทั้งความหมายคำพูดและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของร่างสูง

“ก็น่ารักที่สุดไง” 

พี่โรมบอกเฉลยพลางฝังปลายจมูกลงกับซอกคอผมแล้วนิ่งค้างไปเสียเฉยๆ เหมือนเครื่องดับ ตอนแรกผมนึกว่าเขาคงจะแค่แกล้งหยอดแกล้งพูดชมให้ผมเขินเล่นเหมือนอย่างเคย หากประโยคถัดมาก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกนั้นลึกซึ้งและสำคัญเพียงไหน 

“ทิชารู้ไหมว่าไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับพี่เลยนะ.... ปกติมีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ แต่เวลาที่พี่อยากให้พวกเขาช่วยบ้างก็มีแต่คนเดินหนี สุดท้ายคนที่พึ่งได้ก็มีแค่ตัวเองนี่แหละ”

ผมยกแขนขึ้นโอบรอบคอร่างสูง กอดเขาเอาไว้อย่างนั้นด้วยความเต็มใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าผมคือคนแรกและคนเดียวที่จะสามารถเป็นโอเอซิสให้พี่โรมได้ หัวใจก็พองฟูยิ่งกว่าบอลลูนบรรจุจำนวนความรักซึ่งยกกำลังไม่รู้จบลอยล่องไปบนท้องฟ้าซึ่งเปลี่ยนจากสีเทาครึ้มฝนเป็นสีชมพูสดใส

“พี่โรมมีชาแล้วนะ อย่าลืมสิ.........” 

ผมบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม 

“ถึงไหล่จะไม่กว้าง อกจะไม่หนา นมจะไม่ใหญ่ แต่ก็ให้พี่โรมใช้เป็นที่พักกายพักใจได้เสมอ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกตัวขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วยาวล้วงเข้าไปในคอเสื้อชุดนอนของผมแล้วดึงสายสร้อยหนังสีดำออกมา จี้รูปเฟืองสีทองแดงอันเดิมสะท้อนแสงไฟอยู่ตรงหน้าเราสองคน.... แม้ระยะเวลาเกือบสองเดือนอาจฟังดูไม่นานในความรู้สึกของใครหลายๆ คน หากสำหรับผมกับพี่โรมแล้ว กว่าที่เกียร์ของเขาจะกลายมาเป็นของผมอย่างสมบูรณ์ กว่าที่เราจะได้มาอยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก มันช่างยาวและยากลำบากมากเหลือเกิน

“พี่คิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจยกเกียร์อันนี้ให้ทิชา........”

“จริงเหรอ?”

“อืม..... ต้องเป็นทิชาคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ทิชาของพี่ก็ไม่มีใครที่คู่ควรกับมันอีกแล้ว” 

หากเป็นก่อนหน้านี้ ความอ่อนไหวและนิสัยชอบมองโลกในแง่ร้ายคงเตือนให้ผมเผื่อใจเอาไว้ว่าบางทีพี่โรมก็อาจจะแค่พูดเอาใจไปอย่างนั้น หากในวันนี้ ความรู้สึกทุกอย่างระหว่างเรามันชัดเจนมากขึ้น สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นจากรอยน้ำตารัดรึงหัวใจเราให้แนบชิดกันจนไม่เหลือที่ว่าง และผมก็พร้อมที่จะเชื่อคำพูดของพี่โรมอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ 

“เกียร์อยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่นั่น..... ประโยคนี้พี่ไม่ได้พูดเอาเท่นะ แต่พี่หมายความตามนั้นจริงๆ และพี่ก็อยากให้ทิชาเชื่อ”

ทว่า ภายใต้ความเชื่อมั่นที่พี่โรมมอบให้มันกลับแฝงเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่าง คล้ายกับพายุมรสุมซึ่งมักจะถาโถมเข้ามาหลังจากคลื่นลมสงบ แต่ผมก็เลือกที่จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกระแสน้ำที่ไหลวนบ้าคลั่งอยู่ภายในแววตาอีกฝ่ายและอยู่กับความเชื่อที่ว่าพี่โรมรักผมมากขนาดนี้ เขาจะไม่ทำให้ผมกลับไปเป็นเศษขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน


“ไม่ว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พี่พูดไปเมื่อกี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง.... พี่อาจจะดูโง่หรือทำตัวเข้าใจยากไปบ้าง บางทีก็ชอบคิดทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย แต่พี่บอกว่ารักทิชาแล้วก็คือรัก.........”

“อืม.... ชารู้ว่าพี่โรมจะไม่โกหก.....ชาเชื่อพี่โรมนะ.......”




BEE-BEE’s PART



“น้องบีบี๋ ทำไมไม่กินอะไรเลยล่ะ ไม่หิวเหรอ?”

คนที่ขึ้นมาบนห้องพักในตึกด้านหลังเบอร์ลิคตอนเกือบๆ ตีสองก็คือพี่แจ็ค เขามองถาดพิซซ่าที่เฮียรุจสั่งมาให้ผมตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแล้วก็เอ่ยถาม เพราะปริมาณของมันไม่ลดลงเลย มีแปดชิ้นอย่างไรก็ยังคงเหลือแปดชิ้นอยู่อย่างนั้น รวมถึงพวกของกินเล่นอย่างขนมปังกระเทียม ไก่บาร์บิคิวก็ไม่มีร่องรอยการแกะกล่องเปิดออกมาดูเลยด้วยซ้ำ

“ไม่อยากกิน ไม่มีอารมณ์จะกิน”   

ผมตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกสมุดวาดรูปเล่นของตัวเอง ไอ้หิวน่ะก็หิวอยู่ หิวมากด้วย เพียงแต่พอนึกถึงเจ้าของเงินค่าพิซซ่าก็พาลให้รู้สึกผะอืดผะอมไม่อยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เดี๋ยวเฮียรุจขึ้นมาเห็นก็เป็นเรื่องอีก.... วันนี้เฮียแกอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ ไอ้เซียนบอลวิทยุมันฟันธงถูกหลายคู่ เฮียต้องจ่ายลูกค้าเป็นล้าน”

ในใจผมคิดว่า ‘อ๋อเหรอ แล้วไงต่อล่ะ?’ แบบไม่แยแสว่าคนเป็นเจ้าหนี้จะเส้นเลือดในสมองแตกตายไปแล้วหรือยัง ประเด็นก็คือผมรู้ว่าเฮียรุจไม่ได้อารมณ์เสียเรื่องโต๊ะบอลหรอก แต่เขาหงุดหงิดเพราะอดีตรุ่นน้องคนสนิทหมายเลขหนึ่งมาคุยกับผมเรื่องช่วยปลดหนี้ที่มหาลัยเมื่อตอนบ่ายต่างหาก

“เมื่อไรจะพาบี๋ไปส่งบ้านสักที?” 

ผมทวงถามถึงสิ่งที่เฮียรุจรับปากแต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำตามที่พูด ก็ไม่ได้อยากจะกดดันพี่แจ็คหรอกนะ แต่เพราะเขาเป็นคนที่รับคำสั่งจากเจ้าของเบอร์ลิคทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมโดยตรง เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหรือฝากบอกอะไรก็ต้องผ่านทางพี่แจ็คคนดีคนเดียวนี่แหละ 

“จะตีสองแล้ว หม่าม้าบี๋ก็โทรตามไม่หลับไม่นอน.... บี๋บอกหม่าม้าไปแล้วว่าวันนี้จะกลับบ้าน ถ้าเฮียรุจไม่ยอมให้พี่แจ็คไปส่ง บี๋จะได้ออกไปโบกแท็กซี่กลับเอง”

“งั้นรออยู่นี่ก่อน พี่จะลงไปถามให้”


“ไม่ต้อง!”


ยังไม่ทันที่พี่แจ็คจะหันหลังกลับลงบันไดไป เสียงตวาดก็ดังสวนขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ใบหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์วัดแจ้งก็มาโผล่อยู่ตรงประตู.... ปกติแล้วเฮียรุจเป็นพวกที่สีหน้าไม่ค่อยเปลี่ยน ไม่ว่าจะสั่งเหล้าเลี้ยงวันเกิดเด็กในร้านหรือสั่งกระทืบคนก็มักจะมีสีหน้าแบบเดียวกันคือยิ้มเยาะกวนส้นตีน ดังนั้น สถานการณ์ตรงหน้าจึงถือว่าอันตรายอยู่พอสมควร

แม้ผมจะกลัวเจ็บกลัวตาย แต่ผมก็เบื่อกับการตกอยู่ในสภาพเดียวกับลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดตามใจแต่เฮียรุจเต็มที....

“วุ่นวายเหี้ยอะไรนักหนาวะ.... กูบอกให้รอเฉยๆ มึงก็ต้องรอ อย่ามาทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก!!”

เฮียรุจมาถึงก็ชี้หน้าผมด่าเสียงลั่น ผมเห็นพี่แจ็คส่งสัญญาณมือบอกให้เงียบ อย่าดื้อ อย่าเถียง อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเป็นอันขาด แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเบื่อที่จะต้องคอยรองรับอาการผีเข้าผีออกแบบนี้ ที่สำคัญก็คือเฮียรุจเป็นคนพูดเองว่าวันนี้เขาจะปล่อยผมกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมาเกือบอาทิตย์

“บี๋ไม่ได้วุ่นวาย แค่จะถามว่าเฮียรุจจะให้ใครไปส่งบี๋กลับบ้านหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร บี๋เรียกรถกลับเองได้”

“กูไม่ให้มึงกลับ!”

“แต่เมื่อวานเฮียบอกว่าจะให้บี๋กลับ” 

ผมมองหน้าเฮียรุจซึ่งกำลังเกรี้ยวกราดได้ที่ พยายามซ่อนความกลัวเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

“บี๋เป็นลูกหนี้เฮียก็จริง แต่บี๋ก็ยังมีบ้าน มีพ่อแม่ที่ต้องกลับไปนะ เผื่อเฮียจะลืมว่าเขาเลิกทาสกันไปเป็นร้อยปีแล้ว สมัยนี้เขาไม่มีทาสขัดดอกกันแล้ว.... โอ๊ย!!!”

“กูบอกว่าไม่ให้กลับก็คือไม่ให้กลับ หรือมึงจะลองดีกับกู!?”

ขากรรไกรผมถูกบีบจนลั่นเปรี๊ยะ เสียงพูดเมื่อครู่กักอยู่ในลำคอพร้อมๆ กับที่ความเจ็บปวดแล่นจากจุดเกิดเหตุไปจนถึงกะโหลกศีรษะ ร่างกายผมสั่นสะท้านยามเมื่อสบสายตามองดวงตาสีเข้มซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือดอย่างสัตว์ร้าย.... สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ย้อนกลับมาตรงจุดเดิมคือผมเป็นฝ่ายแพ้ ผมเป็นเบี้ยล่างของเขา และผมกลัวเฮียรุจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

และถ้าคิดว่าความซวยของผมมันจะจบแค่นั้นก็ผิดมหันต์....


“อุก!”

เฮียรุจจับผมเหวี่ยงไปกระแทกกับขอบเตียง ข้าวของอุปกรณ์วาดรูปบนโต๊ะที่ยังไม่ได้เก็บกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น.... กระดูกชายโครงของผมเจ็บร้าวจนได้แต่นิ่วหน้างอตัวอยู่กับที่ ไม่ได้อยากสำออยทำเป็นร้องไห้ให้ใครเห็นเลยสักนิด เพราะผมมันตัวเหี้ย ถึงร้องไปก็ไม่มีใครสงสาร แต่น้ำตามันดันไหลออกมาเองแบบช่วยไม่ได้

เท้าใหญ่ซึ่งหุ้มด้วยด็อกเตอร์มาร์ตินทรงคอมแบทเตะกล่องพิซซ่ากระเด็นไปชนอีกมุมห้อง เพียงแค่เห็นสภาพของที่ถูกเตะแล้วนึกตามว่าถ้านั่นคือหัวหรือท้องผมก็ไม่ต้องเรียกรถพยาบาลให้เสียเวลา แต่เรียกรถร่วมกตัญญูพาไปส่งวัดได้เลย

“แล้วนี่อะไรอีก.... ซื้อให้แดกทำไมไม่แดก จะกวนตีนกูหรือไง!?”

“บี๋ไม่กิน.......ฮึก........บี๋จะกลับบ้านแล้ว.............” 

ผมยังคงยืนยันคำเดิม ในเมื่อจะอยู่หรือไปก็เจ็บพอๆ กัน งั้นผมก็ขอไปตายเอาดาบหน้าที่อื่นดีกว่าจะให้เขาเหยียบย่ำระบายอารมณ์จนเละเหมือนกล่องพิซซ่านั่น แต่ก็อย่างที่บอกว่าความซวยของผมไม่มีทางจบลงง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมเป็นคนเรียกร้องเอาความซวยนั้นมาแขวนใส่คอตัวเอง 

“อื้อ........!!!”

ผมพยายามส่งเสียงร้องหากก็ทำได้เพียงตะเกียกตะกายหาอากาศหายใจ เมื่อเฮียรุจเอาพิซซ่าที่ตกพื้นมายัดใส่ปากผม ร่างสูงใหญ่นั่งคร่อมทับไม่ให้ขยับหนี มือข้างหนึ่งง้างปากผมให้อ้าออก มืออีกข้างก็ยัดแป้งแข็งเย็นชืดชิ้นใหญ่ๆ เข้ามาจนผมสำลัก.... ไม่ว่าจะปัดป้องดิ้นรนอย่างไรก็มีแต่ความอึดอัดทรมานสะท้อนกลับมาประหนึ่งบทลงโทษที่ผมหาเรื่องใส่ตัวด้วยการไปเอาเกียร์ของเขามา

“อุ๊บ!! แค่กๆๆๆ!!!!”

“เก่งนักใช่ไหม ยัดห่าเข้าไป!!!”

“เฮียครับ.... พอเถอะ อย่าไปทำน้องมันเลย” 

“มึงไม่ต้องเสือก ไอ้แจ็ค!” 

พี่แจ็คจะเข้ามาช่วยผม แต่พอเจอเฮียรุจหันไปตวาดจ้องตาขวาง เขาเองก็ไม่กล้าหือเช่นกัน 

“เล่นกับหมา หมาเลียปาก.... มันจะได้รู้สักทีว่ากูไม่ใช่คนที่มันจะมาเล่นหัวด้วยได้!!”

ในที่สุดเฮียรุจก็ยอมปล่อยมือ ผมคายพิซซ่าที่รสชาติอุบาทว์ที่สุดเท่าที่เคยกินมาทิ้ง สำลักกระอักไอจนแทบอ้วกก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างสุดที่จะอดกลั้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด น้ำตาไหลพรากเป็นทางก็ไม่ได้มีความหมายใดนอกเสียจากประจานความโง่เง่าของตัวเอง..... และเมื่อเฮียรุจตามมาจิกหัว ผมก็ได้แต่ยกมือไหว้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว ผมรู้แล้วว่าผมเคยทำไม่ดี แต่ผมก็ได้รับบทเรียนแล้ว......หนี้สองล้านกับบาดแผลทั้งทางกายและใจอีกนับไม่ถ้วน......ผมเจ็บมากเกินพอแล้ว...........

“อะไร แค่นี้กลัวเหรอ? ทีตอนมาขอเกียร์จากกูก็เห็นเก่งกล้าดีนี่”

“ปล่อยนะ........อย่าทำบี๋เลย.....ฮึก.........เจ็บ..........”

แววตาของเฮียรุจฉายแววยิ้มเยาะราวกับว่าการที่ผมร้องไห้อ้อนวอนเขาเป็นเรื่องน่าขำ ซึ่งมันก็น่าขำจริงแหละ เพราะในตอนนั้นผมโคตรจะมั่นหน้าเลยว่าเฮียโรมจะต้องซมซานกลับมาหาผม ไอ้ทิชาจะต้องยอมแพ้ผม และคนฉลาดอย่างผมคือผู้ที่อยู่บนชั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย

บีบี๋คือหมาขี้แพ้ที่น่าสมเพช ไม่เคยชนะใครแถมยังขุดหลุมฝังกลบตัวเอง.... เฮียโรมเขาไปมีชีวิตดีๆ กับไอ้ทิชาแล้ว เขารักกัน มีความสุขด้วยกันทุกวัน ในขณะที่ตัวผมนั้นเรียกได้ว่าย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี

“เจ็บมากนักก็ไปฟ้องไอ้โรมมันสิ ตะโกนเรียกให้มันมาช่วยเลย!!” 

เฮียรุจจี้ใจดำผมไม่หยุด เช่นเดียวกับที่มือของเขาจิกหนังหัวผมจนแสบไปหมด 

“คิดจริงๆ สินะว่าไอ้โรมมันจะมาช่วยมึง.... เงินตั้งสองล้านมันคงจะยอมจ่ายเพื่อช่วยคนจัญไรๆ อย่างมึงหรอก เลิกฝันเหอะ ไอ้โรมมันมีเมียใหม่ไปแล้ว ก็ทิชาเพื่อนรักมึงไง.... เห็นไหมว่าไม่มีใครเขาอยากได้มึง บีบี๋!”

ผมนึกถึงเฮียโรม นึกถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือของเขา แต่ก็อย่างที่เฮียรุจตอกย้ำให้ฟัง ผมเป็นคนทำร้ายเฮียโรมก่อน ผมเป็นคนทำให้เขาต้องหนีจากไปเอง ผมเปลี่ยนความรักใคร่เอ็นดูที่เคยได้รับให้กลายเป็นความโกรธเกลียด แล้วผมยังจะมีหน้าเรียกร้องขอรับน้ำใจจากเฮียโรมได้อีกเหรอ

“ทิชาที่มึงคิดจะกดหัวเขาเอาไว้ใต้ตีนก็เหมือนกัน เป็นไงล่ะ ตอนนี้เขาเป็นดาราไปแล้ว แถมยังได้ไอ้โรมไปนอนกกอีกต่างหาก.... แล้วคนเก่งแบบมึงมีอะไรเหลือบ้าง นอกจากคลิปตอนโดนเอาที่กูถ่ายไว้รอส่งให้ป๊าม้ามึงดู?”

นั่นสินะ.... ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากสัญญาทาสที่ทำไว้กับเฮียรุจ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือการชดใช้ หน้าที่ของผมในแต่ละวันก็คือถูกพาตัวมาขังไว้ในหอคอยเบอร์ลิค เป็นเครื่องมือเอาไว้ให้เฮียรุจใช้ระบายความป่าเถื่อนแบบที่เขาไม่สามารถทำกับคนอื่นได้.... ก็มีคนบอกอยู่เหมือนกันว่าเฮียรุจแม่งน่าสงสาร รสนิยมเรื่องเซ็กซ์ซาดิสม์ผิดมนุษย์มนาจนผู้หญิงกี่คนๆ ก็ทนอยู่ด้วยไม่ไหว จะไปตีกะหรี่ซื้อสาวไซด์ไลน์ก็น้อยคนที่จะอยากขาย ก็มีแค่ผมที่ต้องยอมทนมือทนตีนเพราะมีหนี้สองล้านค้ำคออยู่ เอะอะๆ ก็จะเพิ่มหนี้ พูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยก็ดีแต่ขู่ว่าจะเอาคลิปเปิดซิงของผมไปปล่อย

แล้วผมจะต้องทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดสองล้านจริงๆ เหรอ?

ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเฮียรุจไม่มีทางปล่อยผมไป

หนี้สองล้านนั่นไม่มีวันใช้หมดได้หรอก ตราบใดที่เฮียรุจยังใช้ผมตอบสนองความต้องการทางเพศของเขาได้ ต่อให้อดข้าวจนตาย ทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อเอาเงินสองล้านมากองให้ตรงหน้า ยังไงผมก็ไม่มีทางเป็นอิสระ

“กูสั่งให้มึงอยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่.... แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ มึงก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไปเลย!!”

ใช่แล้ว.... ผมยังมีทางที่จะหลุดพ้นจากเรื่องเหี้ยๆ นี่อยู่

ไม่มีใครช่วยผมได้ และไม่มีใครคิดที่จะช่วยผมจริงด้วย

ไหนๆ ตัวตนและชีวิตผมก็ฉิบหายมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็เอาให้มันพังพินาศไปให้หมดเลยก็แล้วกัน


ผมรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายสะบัดตัวออกจากเงื้อมมือเฮียรุจ ทางออกสำหรับปัญหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมและผมก็กระโจนเข้าใส่มันอย่างไม่ลังเล.... หัวสมองว่างเปล่าเหมือนกระดาษขาวที่ผมชอบใช้วาดรูป ผมก็ยังเป็นสิ่งที่มีชีวิตชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารเช่นเดิม จะไม่มีใครสามารถทำอะไรผมได้อีกแล้ว แต่ถ้าจะมี คนๆ นั้นก็ต้องเป็นตัวของผมเอง

ร่างกายเบาหวิวลอยหวืออยู่ในอากาศ สายลมอบอ้าวปะทะผิวหน้า รู้สึกเย็นวาบนิดๆ ตอนที่มันกระทบโดนรอยคราบน้ำตาเกรอะกรัง หากก็แค่แปบเดียวเท่านั้นที่เท้าเหยียบไม่ติดพื้น.... เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการเลือกที่จะหนีมันง่ายกว่าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองแล้วพยายามแก้ไขเยอะเลย


“บีบี๋ กลับมานี่!!!”


และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลง

ผมเป็นอิสระแล้ว....

เสียใจด้วยนะ ผมไม่ขอกลับไปเป็นแบบเดิมให้โง่หรอก........

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-02-2018 10:57:01
DAN’s PART



“ดีมากครับ แดน.... โพสต์ต่อเรื่อยๆ เลยครับ”

“ไหนลองหันอีกด้านแล้วเงยหน้าขึ้นนิดนึง แบบนั้นแหละครับ ใช่เลย ขออีกห้าช็อตนะครับ”

ผมหันไปหันมา เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยตามที่ช่างภาพสั่ง การเป็นเดือนคณะทำให้ผมต้องออกงานมหาวิทยาลัยค่อนข้างบ่อยก็เลยคุ้นเคยกับมุมกล้องและวิธีการโพสต์ท่าอยู่แล้ว แค่ทีมงานบรีฟคอนเสปท์และสไตล์ที่อยากได้ให้ฟัง นายดรัณภพก็พร้อมจัดเต็มให้ทุกอย่างที่ต้องการ



‘ใช้ได้เลยนะคะพระเอกคนนี้ ได้ยินมาว่าเริ่มมีงานอีเวนท์กับงานพรีเซนเตอร์ติดต่อเข้ามาแล้ว.... ไม่ทราบว่าคุณอิ๋วเตรียมงานชิ้นต่อไปให้น้องแดนหรือยังคะเนี่ย?’

‘ก็มีแพลนเอาไว้บ้างแล้วค่ะ แต่ต้องรอให้ละครเรื่องแรกนี้จบก่อน แล้วก็รอดูอีกทีว่าทางนิดาวัลย์กับลูกชายเขาจะว่ายังไง’

‘อ้าว นี่น้องทิชาไม่ได้ตอบตกลงจะเซ็นกับช่องเหรอคะ?’

‘ยังเลยค่ะ.... งานที่ติดต่อเข้ามาส่วนใหญ่ก็เป็นงานคู่ทั้งนั้น ถ้าทิชาไม่ไป แดนก็ไปไม่ได้เหมือนกัน พี่ก็เลยยังไม่ได้ตกปากรับคำงานนอกไป บอกว่าเด็กต้องเรียนการแสดงแล้วก็เดินสายโปรโมทละครให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่’

‘อันตรายนะคะ คุณอิ๋ว ถ้าช่องไม่จับเซ็น น่ากลัวโมเดลลิ่งจะมาขโมยเอาไปเล่นให้ช่องอื่น’

‘โมของคุณโรสเขาก็เล็งจะเอาแดนเข้าสังกัดอยู่ แต่คุณเธียรชัย ประธานบอร์ดช่องสั่งมาว่าเคสนี้ถ้าไม่เซ็นคู่ก็คือไม่เอาเลย พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง.......’



บทสนทนาระหว่างแม่อิ๋ว หัวหน้าผู้จัดละครกับสปอนเซอร์ที่มาดูงานทำให้รอยยิ้มมาดเท่บนหน้าผมหายไปแต่ก็แค่ไม่กี่วินาที.... อันที่จริงก็ได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าทิชาไม่ยอมเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง กะว่าเล่นแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วเลิก พี่โรสเจ้าของโมเดลลิ่งที่พี่ปายสังกัดอยู่ก็เลยมาจีบผมให้ไปอยู่กับเขาแทนเพราะไหนๆ ก็คงไม่ได้เซ็นกับช่องแล้ว เป็นอันว่าหลังจากจบงานนี้ ผมกับทิชาก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก แล้วก็ควรจะเป็นแบบนั้นตลอดไป....

ผมงี่เง่าเองที่ดื้อด้านจะสอยดาวลงมาจากฟ้า แต่กลับกลายเป็นสอยลงมาให้คนอื่นคว้าไปเชยชม ส่วนตัวเองก็ทำได้แค่ยืนมองเขารักกัน แตะต้องไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น.... จะตอบรับด้วยรอยยิ้มจอมปลอมก็แสนยาก จะผลักไสออกไปเลยก็กลายเป็นว่าผมใจร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำกับทิชาดูเหมือนว่าจะผิดพลาดบิดเบี้ยวได้เสมอต้นเสมอปลายจนน่าโมโห

แม้กระทั่งจะเกลียด หัวใจแม่งยังไม่ยอมให้เกลียดเลย


“ทิชาตั้งใจหน่อยลูก!”

“เวลาแดนโน้มต้วเข้าไปหาไม่ต้องเกร็งสิครับ อันนี้น้องทื่อมากเลย สีหน้าก็ยังไม่ผ่าน.... แค่ถ่ายช็อตภาพนิ่ง ไม่ได้บรีฟให้จูบ ไม่ต้องกลัวโดนปากหรอกครับ”

“ขอโทษครับ.............”

งานที่ทำมาอย่างราบรื่นสะดุดทันทีที่เปลี่ยนจากถ่ายเดี่ยวมาเป็นถ่ายคู่ เมื่อกี้ก็ยังดีๆ อยู่แต่เข้าใกล้ผมปุ๊บ ทิชาก็กลายสภาพจากมนุษย์ธรรมดาเป็นปลาตายแข็งทื่อทันที.... แม้ช่างภาพจะสั่งแล้วสั่งอีก แต่ทิชาก็ยังเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นคอทุกครั้งที่เราต้องอยู่ใกล้กัน ก็ช่วยไม่ได้ที่ทีมงานจะเริ่มหัวเสียแล้วกดดันเจ้าตัวมากขึ้น

“ทิชา หายใจลึกๆ อย่าเกร็งแขนค่ะลูก”

“ท่าดีแล้วแต่สีหน้าไม่ได้เลยครับ ทิชายิ้มหน่อย อย่าหลบตาแดน.... โธ่ เจอกันในเวิร์คช็อปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เลิกเขินกันอีกเหรอ”

ถ่ายใหม่ครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม ครั้งที่สามและสี่ก็ด้วย ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะทิชาคงรู้สึกอายที่จะต้องมาแสดงท่าทางรักใคร่กับผู้ชายด้วยกัน คงมีแค่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าไอ้อาการกระอักกระอ่วน ตัวเกร็ง หน้าแข็ง ยิ้มฝืดนั้นไม่ใช่เพราะอายหรอก แต่ทิชามันกลัวผมต่างหาก.... และตอนนี้ก็คงฝังใจไปแล้วว่าผมพยายามจะหักคอมันด้วยมือเปล่า หรือไม่ก็สาปแช่งให้มันเลิกกับเฮียทุกครั้งที่เจอหน้า

เสียงช่างกล้องกับแม่อิ๋วยังคงลอยมากำกับท่าทางที่อยากได้แต่ทิชาไม่ยอมจัดให้ แววตาเหมือนกระต่ายเจอเสือของมันกำลังทำให้ผมหมดความอดทน แล้วก็อดพาลไม่ได้ว่าทีกับเฮียโรม ทิชาแม่งตามใจทุกอย่าง ทีกับผม แค่จะแตะนิดจะหน่อย ทำไมจะต้องทำตัวมีปัญหาเหมือนรังเกียจกันตลอด

แต่มันควรจะรู้ได้แล้วว่าที่นี่ไม่มีเฮียโรม ที่นี่มีแค่ไอ้แดนคนที่มันไม่เคยเห็นหัว ต่อให้ฝืนใจไม่อยากมองหน้าผมแค่ไหนก็ต้องทำ....!

“ถ้าไม่ไหวก็เบรคไปพักบิวท์อารมณ์ก่อน......อะ อ้าว เฮ้ยยยย!!!”

ยังไม่ทันที่ตากล้องจะสั่งแยกย้ายได้จบประโยค ผมก็คว้าไหล่ทิชาเอาไว้ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินหนีไป ริมฝีปากผมประกบลงบนกลีบปากสีสดที่อยู่ตรงหน้า บดขยี้สัมผัสนุ่มหยุ่นซึ่งมาพร้อมกับรสชาติหอมหวานเจือขมราวกับดาร์กช็อกโกแลต.... แค่เริ่มก็คล้ายก้าวขาเข้าไปในเขาวงกต ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นและติดอยู่กับความทรมานแสนหวานเช่นนี้ตลอดไป

“อื้อ........!”

รอบข้างมีแต่คนตะลึงจนอ้าปากค้างพูดไม่ออก ผมเองก็รับรู้ได้เพียงแรงต่อต้านจากร่างบางซึ่งดูท่าว่าจวนเจียนหายใจไม่ออก ทิชาผละออกเพื่อสูดอากาศเข้าปอดแต่ก็โดนผมรั้งท้ายทอยให้กลับมารับจูบเร่าร้อนเช่นเดิม มิหนำซ้ำ ผมยังฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปในตอนที่อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากหอบหายใจอีกด้วย

ก็เอาให้คุ้มกับที่มันทำเสมือนว่าผมเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่จะฉกมันตายได้ทุกเมื่อนั่นแหละ....

“เฮ้ยๆๆ ไอ้น้องแดนครับ.....พอแล้ว......สั่งแยกแล้วครับ แยกๆๆๆๆ!!”


ผมยอมปล่อยทิชาก่อนที่ผู้คนในสตูดิโอถ่ายภาพทีเซอร์จะแตกตื่นเพราะฉากเลิฟซีนซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมากไปกว่านี้ ทีมงานหลายคนวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจับเราแยกออกจากกันอย่างกับว่าผมเพิ่งก่ออาชญากรรมร้ายแรงกับคนตรงหน้าไปหมาดๆ.... ร่างเล็กหน้าแดงก่ำจ้องมองค้อนผมตาคว่ำพลางยกหลังมือขึ้นเช็ดปากตัวเองแรงๆ ท่าทางเหมือนอยากด่าผมเต็มแก่แต่ก็คีปลุคไม่กล้าพ่นคำหยาบต่อหน้าผู้ใหญ่ ประหนึ่งแฟลชแบ็คย้อนกลับไปในห้องเชียร์รวมงานเฟรชชี่ที่ผมหอมแก้มทิชาต่อหน้าเพื่อนทั้งรุ่นและรุ่นพี่อีกเกือบครึ่งมหาวิทยาลัย

ไม่น่าเชื่อว่าปีกว่าๆ ผ่านไป ผมก็ยังยืนอยู่ตรงที่จุดเดิม....


“แดน ตายแล้ว.... ทำอะไรลงไปเนี่ยลูกเอ๊ย!!??”

แม่อิ๋วสอบปากคำผมยกใหญ่ คงจะตกใจมากทีเดียวที่อยู่ดีๆ นายเอกเด็กเส้นสุดรักสุดหวงก็โดนประกบปากแบบไม่มีคิวล่วงหน้า รับรองว่าถ้าหากผมไม่ได้เป็นพระเอกมีหวังถูกด่าเปิงหรือไม่ก็ไล่ตะเพิดออกนอกสถานีไปแล้ว

“ก็เห็นทิชาเขาทำท่าเหมือนกลัวว่าจะโดนจูบ ผมก็เลยจูบๆ ให้มันเสร็จไปซะจะได้ไม่ต้องกลัวอีก......” 

ผมอธิบายหน้าตายพลางชำเลืองสายตามองไปยังคู่จิ้นและคู่เวรคู่กรรมของตัวเองซึ่งยังยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ 

“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่านะครับ บางทีใครบางคนแถวนี้อาจจะโดนจูบฟรี”

“มันจะไปใช้ได้ได้ยังไงคะลูก ทางบ้านทิชาเขาอุตส่าห์กำชับมาว่าไม่ให้ฉากเลิฟซีนเยอะเกินไป.... ที่สำคัญคือละครฉายสองทุ่มนะ ไอ้ที่เราจูบเพื่อนไปเมื่อกี้น่ะเรทฉ.ชัดๆ!”

ยิ่งได้ยินที่แม่อิ๋วโวยวาย ทิชาก็ยิ่งหน้าแดงแปร๊ดคล้ายลูกเชอร์รี่ที่กำลังจะระเบิดตู้ม เมื่อกี้ก็คงเห็นกันทั้งสตูดิโอแล้วว่าผมไม่ได้แค่เอาปากชนปากธรรมดา แต่จงใจสอดลิ้นทับรอยซึ่งเคยมีคนตีตราแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้แล้ว.... แน่นอนว่าไอ้ทิชามันไม่มีทางแฮปปี้กับเรื่องนี้หรอก เพียงแต่ผมก็อยากรู้ว่าระหว่างถูกผมจูบกับถูกทับรอยเฮียโรม มันจะไม่แฮปปี้เรื่องไหนมากกว่ากัน

“แต่พูดก็พูดเถอะ เอาจริงๆ ช็อตเมื่อกี้มันก็ใช้ได้นะ ถ้าคุณอิ๋วโอเค.... ผมว่าดีกว่าไอ้ที่เราถ่ายมาเจ็ด-แปดรอบนั่นอีก”

“ใช้ได้เหรอ? ไหนขอพี่ดูหน่อย” 

แม่อิ๋วรีบเข้าไปดูมอนิเตอร์ตามที่พี่ช่างภาพบอก จากทีสีหน้าตื่นตระหนกก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพึ่งพอใจหลังจากได้เห็นรูปที่กล้องจับไว้

“ถ้าใช้รูปช็อตนี้ก็จะได้มุมเอียงด้านข้างพอดี มือไอ้เจ้าแดนก็จะบังด้านล่างของทิชาเลยไม่เห็นช่วงปาก ท่าโพสต์กับปลายนิ้วที่ล็อคด้านหลังคอทิชาก็โอเค.... แล้วฟีลลิ่งตบจูบแบบนี้ถึงจะไม่ตรงกับคอนเสปท์ละครเสียทีเดียวแต่แฟนคลับสาวๆ ส่วนใหญ่เขาก็ชอบกัน ยังไงนี่ก็แค่ทีเซอร์สำหรับโปรโมทช่วงรอเปิดกล้องอยู่แล้ว รูปนี้อาจจะเป็นไวรัลให้คนมาติดตามละครเพิ่มขึ้นก็ได้”

“อืม มันก็จริงแหละ” 

พอเกริ่นมาแนวนี้ ผมกับทีมงานก็รู้แล้วว่าแม่อิ๋วเริ่มเอนเอียงอยากจะใช้รูปช็อตจูบในการโปรโมทแทนที่จะเป็นช็อตหยอกล้อกุ๊กกิ๊กกันธรรมดา ตามประสาคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานาน งานแบบไหนถึงจะเป็นกระแส งานแบบไหนทำแล้วจะดังเปรี้ยงทำไมแม่อิ๋วจะไม่รู้ เขาก็แค่ทำเป็นอยากขายจนออกนอกหน้าไม่ได้เพราะเกรงใจนามสกุลพ่อทิชานั่นแหละ 

“ถ้าอย่างนั้นคุณกบก็เก็บรูปไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวถ่ายซ่อมรอบบ่ายแล้วเราค่อยมามีตติ้งกันอีกทีว่าจะใช้รูปไหน”

“ตามนั้นครับ”

“คุณก้อยปล่อยเด็กๆ ไปพักทานข้าวเลยจ้ะ บ่ายโมงครึ่งเรียกภัทรกับปายมาถ่ายต่อเลย.... อ้อ แล้วก็เด็กคนไหนที่ไม่มีคิวถ่ายทีเซอร์วันนี้ เข้าคลาสแอคติ้งเสร็จก็ให้กลับได้”

พอได้สัญญาณปล่อยพักช่วงมื้อเที่ยง ทิชาก็หันหลังเดินออกนอกห้องซึ่งใช้เป็นสตูดิโอถ่ายทีเซอร์ไปเลย หลบลี้หนีหน้าคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระเอกของตัวเองจนเริ่มมีเสียงซุบซิบหนาหูว่าผมกับทิชาไม่ถูกกัน กว่าละครจะถ่ายจบคงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกัดลิ้นตายไปเสียก่อน



ผมเจอพี่ปายในห้องประชุมเล็กซึ่งจัดไว้เป็นที่สำหรับทานข้าวและนั่งพักผ่อนสำหรับนักแสดง เขารอผมอยู่ตรงโต๊ะที่เรานั่งด้วยกันจนกลายเป็นที่ประจำด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก.... ผมพอจะเดาออกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะคุยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอื้อฉาวที่เพิ่งเกิดขึ้นในสตูดิโอเมื่อครู่ นับตั้งแต่วันที่พี่ปายพูดอ้อมๆ แต่ทำให้เข้าใจชัดเจนว่าเขาชอบผมจริงจังไม่ใช่แค่หวังให้มาเป็นคู่จิ้น เขาก็อ่อนไหวต่อท่าทีของผมมากขึ้น แม้จะพยายามรักษาฟอร์มด้วยความที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่กว่า หากในหลายๆ ครั้งผมก็จับได้ว่าเขาแอบน้อยใจปนอิจฉาที่ทิชาได้เป็นนายเอกของผม แทนที่จะเป็นเขาอยู่ดี

“แดน.........” 

ทันทีที่ผมนั่งลง พี่ปายก็ขยับเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งแตะแขนผมพลางช้อนสายตามองหน้าอย่างต้องการคำตอบ 

“พี่ได้ยินพวกพี่ๆ ข้างนอกเขาพูดกันว่าแดนจูบทิชา นี่เรื่องจริงเหรอ? ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย?”

“ก็ไม่มีอะไร.... ถ้าผมไม่จูบๆ ไปซะให้มันหมดเรื่องก็ต้องถ่ายอยู่อย่างนั้น เมื่อไรจะเสร็จก็ไม่รู้ น่ารำคาญ”

ร่างโปร่งบางหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสุดท้าย แม้ว่าผมจะไม่ได้หมายความถึงเขาก็ตาม

“แต่นั่นมันจูบเลยนะ........” 

น้ำเสียงพี่ปายแผ่วลง รอยยิ้มซึ่งสดชื่นอยู่เสมอของเขาก็พลันจืดจางลงเช่นกัน 

“แล้วที่เขาพูดกันนั่นน่ะ......เห็นว่าแดนไม่ได้แค่จูบธรรมดา........แต่แดน.......เอ่อ.............”

“ก็แค่จูบครับ”

“แค่จูบจริงๆ เหรอ? ไม่ได้ทำมากกว่านั้นใช่ไหม?”

“มากกว่านั้นที่ว่าคืออะไรล่ะครับ?” 

ผมเลิกคิ้วย้อนถามกลับคนช่างซัก รู้ตัวดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เรียกว่าโกหกตอแหลหน้าตาย แต่ในเมื่อตอนนี้ทิชากับผมไม่ได้มีความสัมพันธ์มากเกินไปกว่าเพื่อนร่วมงาน ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจะมีความหมายสลักสำคัญนักหรอก 

“แค่เอาปากชนปากต่อหน้ากล้องกับคนอีกเป็นสิบ ผมไม่อยากเรียกว่าจูบด้วยซ้ำ........”

“จริงนะ?”  พี่ปายยังคงแคลงใจไม่หาย หากใบหน้าสวยก็เริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

“ไม่จริงมั้ง”  ผมแหย่เขา

“แดนบ้าว่ะ แกล้งพี่อยู่ได้!”

หลังจากนั้น ผมกับพี่ปายก็ไม่ได้ติดใจสงสัยที่มาที่ไปของฉากจูบนอกคิวอีกเลย ระหว่างที่เราไปหยิบเอาข้าวกล่องมื้อเที่ยงมานั่งกินด้วยกัน บุคคลที่สามซึ่งกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาประจำวันก็คือทิชา ด้วยความที่เจ้าตัวมักจะมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องซ้อมบทหรือถ่ายอะไรบางอย่างคู่กับผม พี่ปายก็เลยเหมาเอาว่าทิชาเป็นฝ่ายทำให้งานของผมยุ่งยาก.... แม้จะไม่ได้พูดตำหนิออกมาตรงๆ ว่าไม่ชอบ แต่ผมก็มองออกว่าการมีอยู่ของทิชานั้นคงรบกวนหัวใจพี่ปายมากเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่แยกกันเมื่อกี้ ผมก็ยังไม่เห็นทิชาอีกเลย.... คู่จิ้นสวรรค์สาปของผมไม่รู้หายหัวไป ข้าวปลาก็ไม่ยอมมากินให้เรียบร้อย สงสัยว่าจะไปนั่งหลบมุมข้างบันไดหนีไฟคุยโทรศัพท์อี๋อ๋อกับเฮียโรมตามเคย ดีไม่ดีป่านนี้คงฟ้องญาติผู้พี่ผมจนหมดแล้วมั้งว่าโดนทำอะไรไปบ้าง

“ถึงพี่จะเคยบอกว่ามันคืองานของแดน จะพยายามไม่คิดมากเรื่องที่แดนกับทิชาจะต้องใกล้ชิดกันก็เหอะ แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันจะดีเหรอ ถ้าทิชาเขายังปรับตัวให้เข้ากับการทำงานไม่ได้แล้วแดนจะต้องมาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งน่ะ”

“ผมก็แค่ทำให้งานมันเดินต่อไปได้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากอะไร.......” 

ก็อย่างที่บอกว่าทำได้แค่เอาปากชนกัน แม้กระทั่งตัวเองยังไม่อยากเรียกว่าจูบแล้วจะมองให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม

“แดนไม่รู้สึกว่าลำบากก็ใช่ แต่ถ้าทิชาเขาเกิดทำไม่ได้ขึ้นมาอีก แดนก็ต้องช่วยเขาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ.........”

“หรือพี่ปายกลัวว่าพอทิชาโดนผมจูบแล้ว เขาจะเปลี่ยนท่าทีจากเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สนใจใครมาชอบผมเข้าจริงๆ ?” 

เมื่อพี่ปายไม่ยอมจบ ผมก็เลยหันไปพูดกับเขาตรงๆ ยอมรับเลยว่าหัวเสียนิดหน่อยที่เขาพูดเหมือนกับว่าความรู้สึกของคนเราสามารถเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ กับคนอื่นน่ะผมไม่รู้ แต่กับผมมันไม่ง่ายและไม่เคยง่าย เพราะมันก็เห็นๆ กันอยู่ว่าทิชาไม่เคยสนใจใยดีผมเลย


“ถ้าใช่ งั้นผมขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าสิ่งที่พี่คิดมันจะไม่เกิดขึ้นหรอก.... ทิชาไม่เคยคิดกับผมเกินคำว่าเพื่อนร่วมโลก พี่ไม่เห็นเหรอว่าถ้าไม่มีกล้องตามถ่าย หมอนั่นแทบไม่เคยพูดกับผมเลยสักคำ เอาแต่เดินหนีอย่างกับว่าผมแม่งเป็นตัวห่าอะไรสักอย่าง!”

พี่ปายนิ่งอึ้งไปหลายวินาที คงจะตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เหวี่ยงใส่เขา

“พี่ว่าพี่คงเยอะใส่แดนเกินไปหน่อย.... ขอโทษทีนะ ตัวพี่เองก็น่าจะรู้ว่าที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ก็เพราะเรื่องงานทั้งนั้น พี่ไม่น่าจุ้นจ้านคิดแทนใครเลย..........”

กลายเป็นว่าพี่ปายโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่มาวิพากษ์วิจารณ์ทำเป็นรู้ดีว่าผมไม่โอเคเรื่องทิชา ผมจะไม่พูดหรอกนะว่าไม่เป็นไรเพราะทุกสิ่งที่ได้ยินจากปากเขาเมื่อครู่มันทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้.... ปมเชือกในหัวใจยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเมื่อผมลากเอาพี่ปายมาติดบ่วงนรกด้วยอีกคน ผมตัดใจจากทิชาไม่ได้แต่ก็ไม่ปฏิเสธการเข้ามาของคนใหม่ แถมยังจับเขาลากถูลู่ถูกังไปบนถนนความรักแสนเฮงซวยที่เต็มไปด้วยหินกรวดกับขวากหนาม

อาจฟังดูเหี้ยไม่น้อย แต่ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเป็นคนที่เจ็บที่สุดหรอก ใครมันจะอยากแพ้ในแพ้ แพ้ซ้ำแพ้ซ้อน ผมเองก็เหมือนกัน.... นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเก็บพี่ปายเอาไว้ข้างๆ โดยไม่บอกอะไรเขาเรื่องทิชาสักคำ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังฉิบหายไปหมด จะได้มีคนที่เจ็บกว่าคอยรองรับความรู้สึกของผมอยู่ไง

เก้าอี้อีกตัวหนึ่งถูกเลื่อนออก พระเอกเบอร์สองซึ่งผมไม่ค่อยถูกโรคกับความขี้เก๊กของมันถือวิสาสะนั่งลงข้างพี่ปายโดยไม่มีใครเชิญ

“ผมว่าพี่ปายไม่ต้องขอโทษแดนหรอก” 

แค่มานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ว่าเชี่ยมากแล้วนะ แต่ถึงขั้นมาเสือกเรื่องที่ผมกับพี่ปายกำลังคุยกันนี่เข้าขั้นจัญไรเลยทีเดียว

“หมายความว่าไงน่ะ ภัทร?”

พี่ปายหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่ถูกยัดเยียดให้มาเป็นคู่จิ้นของเขา หากก็แค่ในจอเหมือนผมกับทิชานั่นแหละ แต่ยัโชคดีกว่าตรงที่พี่ปายยิ้มแย้มอัธยาศัยดีกับทุกคนก็เลยไม่เคยเหวี่ยงใส่ไอ้ภัทรเวลาที่มันมาทำตัวเจ๊าะแจ๊ะเกาะแกะไม่เข้าท่า

“เท่าที่ผมดู ทิชาก็ไม่ได้แอคติ้งแย่เลยนะ ละครเรื่องนี้ก็งานแรกในวงการของเขาด้วย ผมเห็นตอนเรียนในคลาสกับตอนถ่ายฟิตติ้งก็ทำได้ดีออกจะตาย.... จะมีปัญหาก็แค่ตอนที่ทำงานคู่กับหมอนี่คนเดียว” 

ภัทรเว้นช่วงเมื่อพาดพิงถึงผม สายตายั่วโมโหที่จ้องมองมาชวนให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากกระแทกหมัดเข้าใส่ฉิบหาย 

“บางทีตัวต้นเหตุที่ทำให้งานสะดุดอาจจะไม่ใช่ทิชาก็ได้.......”

“หาเรื่องกูเหรอ ไอ้ภัทร?” 

อันที่จริง ผมไม่ได้สนิทกับไอ้ภัทรถึงขั้นจะขึ้นมึงกูกับมันหรอกนะ แต่ในเมื่อมันไม่ได้คิดจะมาดี ผมก็ขี้เกียจเสแสร้งรักษามารยาท

“กูแค่พูดไปตามที่เห็น” 

มันว่าพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อารมณ์ว่าไม่ได้ตั้งแต่จะกวนตีนแต่ก็บังเอิญกวนตีนไปแล้ว ช่วยไม่ได้ 

“ที่ทิชาเกรงใจไม่ค่อยกล้าคุยเล่นหัวกับคนในกองถ่ายก็พอเข้าใจได้นะว่าเพราะเขาถูกนินทาเรื่องเป็นเด็กเส้น แต่เวลาทำงาน เขาก็ไม่ได้จะงอแงอะไรเลย กับใครเขาก็คุยด้วยได้ทั้งนั้น ก็เหลือแค่มึงคนเดียวที่เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากเข้าใกล้ไม่ว่าจะตอนไหน.... และกูก็คิดว่ามึงเองก็น่าจะรู้ตัวดีนะว่ามันเป็นเพราะอะไร”

“มึงเก็บปากไว้แดกข้าวเหอะ ไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องเสือกพูดมาก!”

ผมสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้า รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนจี้ใจดำด้วยธูปติดไฟเมื่อคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งตระหนักรู้ถึงความผิดพลาดที่ทำเอาไว้กับทิชา.... ผมเริ่มต้นแบบผิดๆ สานต่อความสัมพันธ์แบบผิดๆ ความรักของผมถึงได้บิดเบี้ยวมาจนถึงตอนนี้ซึ่งมันสายเกินกว่าจะขอย้อนกลับไปแก้ไข ทว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครหน้าไหนจะมาตอกย้ำสมน้ำหน้าในสิ่งที่ผมกำลังทำให้ผมเจ็บปวด โดยเฉพาะกับคนนอกที่ไม่รู้ห่าอะไรเลยอย่างไอ้ภัทร

“ก็เพราะกูไม่รู้น่ะสิ กูถึงได้ถามไง” 

พระรองซีรีส์ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดู แน่นอนว่าพี่ปายก็ต้องเห็นด้วย บนหน้าจอมีรูปจากงานเฟรชชี่สมัยปีหนึ่งที่ผมขโมยหอมแก้มทิชาโชว์หราอยู่ เส้นประสาทผมตึงเปรี๊ยะขณะมองรูปๆ นั้นสลับกับหน้าตากวนโอ๊ยของไอ้ภัทร มือที่กำช้อนกินข้าวอยู่เกร็งแน่นจนเส้นเลือดขึ้นเมื่อเส้นความอดทนใกล้จะขาดผึง 

“กูสงสัยก็เลยลองไปถามเพื่อนที่เรียนมอเดียวกับมึง เขาก็ส่งรูปนี้มาให้บอกว่ามีลงในเพจคิวท์บอยมหาลัยตั้งนานแล้ว เพราะมึงไปแกล้งหอมแก้มทิชากลางห้องเชียร์ตอนปีหนึ่ง หลังจากนั้นทิชาก็ไม่ยอมมาเข้าประชุมเชียร์อีกเลย.... บอกตรงๆ ว่าเซอร์ไพรส์นะเว้ย กูนึกว่ามึงกับทิชาเพิ่งจะมารู้จักกันตอนเล่นละครเรื่องนี้เสียอีก”

“ไอ้เหี้ยภัทร!”

“เพราะงี้ใช่ไหม ทิชาถึงได้เกลียดขี้หน้ามึง ทั้งๆ ที่มึงน่ะชอบเขา........”

“ไอ้สัตว์ กูบอกให้หุบปากไง!!!”

ช้อนพลาสติกในมือถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนหักกลาง เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงผมตะคอกชื่อไอ้ภัทรทำเอาทั้งนักแสดงตัวประกอบคนอื่นๆ และทีมงานหันมามองด้วยความตกใจ.... มีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมโกรธจนฟิวส์ขาด ถ้าพี่ปายไม่ดึงแขนเสื้อรั้งสติเอาไว้ ผมกล้ารับรองเลยว่าวันนี้ไอ้ปากหมาภัทรดลจะต้องโดนผมเอาเลือดหัวออกมาล้างตีนแน่

“แดน.... ใจเย็นๆ ก่อน” 

พี่ปายพยายามห้ามไม่ให้ผมหัวร้อน ทั้งที่ตัวเขาก็หน้าเสียคล้ายอยากจะร้องไห้โวยวายเพราะรูปผมหอมแก้มทิชาเช่นกัน

ผมปัดมือพี่ปายทิ้ง เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากตรงนั้นก่อนจะโยนข้าวกล่องลงถังขยะดังโครม ก็อย่างที่บอกว่าไม่มีใครชอบเห็นตัวเองน่าสมเพช ผมทั้งโกรธทั้งอายที่มีตัวเสือกมือวางอันดับหนึ่งขุดเอาความรักผุๆ พังๆ ของผมออกมาประจาน.... ถ้าทิชาไม่รักผม ผมก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ ถ้าผมจะตายก็ให้เอามงกุฏดอกแห้วกับปีกนกขึ้นเมรุเผาไปกับผมด้วย ไม่ต้องเหลืออะไรเอาไว้ให้ใครนึกถึง แม้กระทั่งความทรงจำ

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 12 [ UPDATED 11 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-02-2018 11:01:09
.

.

.


‘ทำไงดี ชาเริ่มรู้สึกว่าไปต่อไม่ไหวจริงๆ แล้วล่ะ.......’

‘ถอนตัวไม่ได้หรอก ขืนชาไปบอกแม่กับป้าอิ๋วว่าจะไม่เล่นแล้ว มีหวังโดนหนักแน่ๆ.... พี่โรมก็รู้ว่าแม่ชาน่ะอะไรก็ไม่ว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องเสียหน้าเสียเครดิต แม่ไม่มีทางยอม’

‘คิดถึงพี่โรมอีกแล้ว.......อยากกลับไปอยู่คอนโดฯ กับพี่เร็วๆ.......ไม่อยากต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้วอะ.........’



ปลายเท้าผมหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกระเง้ากระงอดดังมาจากข้างบันไดหนีไฟ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้ามาก็ต้องได้ยินอะไรแบบนี้แต่ผมก็ยังเลือกที่จะมาหาไอ้ทิชา.... จากที่ตรงนี้ผมมองเห็นสีหน้าของเจ้าตัวได้ชัดเจน มันทั้งอ้อน ทำเสียงสองใส่กล้องหน้าโทรศัพท์ตัวเอง ทิชายิ้มไม่บ่อยแต่ยิ้มแล้วน่ารักฉิบหายเหมือนเอาดอกไม้ทั้งโลกมากองรวมกัน และคนที่ได้ดอกไม้ทั้งหมดนั้นไปแบบสบายๆ แทบไม่ต้องทำห่าอะไรเลยก็คือคนที่อยู่ในหน้าจอวิดีโอคอลนั่น

ในขณะที่ผมโดนมันปาหินใส่ไม่เว้นแต่ละวัน....



‘หืม? พี่แจ็คโทรมาเหรอ?’

‘งั้นพี่โรมไปคุยกับเพื่อนก่อนเถอะ คงจะมีธุระด่วนแหละ.... ชาก็จะไปหาอะไรกินแล้วเหมือนกัน โอเค ไว้เลิกแล้วชาจะคอลไปอีกทีนะ บายครับ’



ร่างเล็กลุกขึ้นยืนถอนหายใจ ราวกับว่าต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะกลับเข้าไปในห้องพักทานข้าวซึ่งมีผมและคนอื่นๆ ที่ไม่ชอบขี้หน้าเด็กเส้นลูกดาราอยู่เต็มไปหมด แต่ทันทีที่ทิชาเดินออกจากมุมลับที่เอาไว้ใช้แอบคุยกับแฟนมาเจอผมยืนจ้องรออยู่ มันก็สะดุ้งโหยงสุดตัวจนทำไอโฟนหลุดมือหล่นกระแทกพื้น

ทิชาก้มลงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงมือไม้สั่น ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงไปโดยไม่สบตาผม.... อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วปะทุแรงหนักกว่าเก่าเมื่อถูกตอกย้ำด้วยการหลบหน้า คำพูดของไอ้ภัทรยังคงหลอนอยู่ข้างในหัวทำให้ผมยิ่งประสาทแดกคว้าแขนทิชาแล้วดึงกลับมาอย่างจงใจจะหาเรื่อง

“เป็นอะไร? เดี๋ยวนี้มึงกลัวกูถึงขั้นต้องหนีแล้วเรอะ?”

ทิชาออกแรงสะบัดหมายจะให้ผมปล่อยมือ ดวงตาคู่สวยไหวระริกหลุบต่ำขณะเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบสั่นไม่เหมือนตอนที่คุยอ้อนไอ้เฮียโรมเลยสักนิด 

“ไม่ได้กลัว.........แต่กูไม่อยากคุยกับมึง”

“อ้อ ใช่สิ.... ก็มึงมีเฮียโรมแล้วนี่ ถึงไม่มีเฮียโรมก็มีคนอื่นอยู่ตลอด จะมาอยากคุยอะไรกับไอ้แดนนรกอย่างกูล่ะ!”

“นี่มึงเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย!?”

ผมออกแรงมากขึ้นจนทิชานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ มันทั้งตกใจและงงเป็นไก่ตาแตกที่อยู่ๆ จู่ๆ ผมก็มาอาละวาดใส่ไม่มีเหตุผล.... ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทิชานั่นแหละที่ควรจะรู้ดีกว่าใครว่าผมโกรธเรื่องอะไร เพียงแต่มันไม่เคยใส่ใจเพราะไม่เคยเห็นคนอย่างผมอยู่ในสายตา

“เกลียดกูนักใช่ไหม.... ก็เอาเลยสิ เชิญมึงเกลียดกูจนกว่าจะตายห่ากันไปข้างนึงเลย แต่อย่าหวังเสียให้ยากว่ากูจะออกไปจากชีวิตมึงง่ายๆ ไม่มีทาง!!”

“แดน มึงอย่านะ......อื้อ........!!”

เสียงร้องห้ามเงียบหายไปเมื่อผมประกบริมฝีปากลงไป ร่างเล็กถูกดันให้ชิดติดผนังข้างบันไดระหว่างที่ผมจาบจ้วงล่วงล้ำเข้าไปขโมยลมหายใจและความหอมหวานเหมือนผลไม้ต้องห้ามมาเก็บไว้กับตัวเอง.... ครั้งที่สองแล้วที่ผมบังคับจูบทิชา คราวนี้ไม่มีกล้องกับทีมงานคอยจ้องมองหากมันก็ยังดิ้นขลุกขลักขัดขืนสุดกำลัง ปลายลิ้นเล็กกระถดหนีแต่ผมก็ตามไปกระหวัดเกี่ยวเหมือนตะขออันใหญ่ ใบหน้าสวยแดงก่ำ ผืนอกแบนราบกระเพื่อมแรงคล้ายกำลังจะสำลักในขณะที่สองมือยังคงผลักไสผมออก แต่คราวนี้ไม่มีเสียงสั่งห้าม ไม่มีทีมงานมาคอยจับแยก ผมก็เลยยิ่งย่ามใจรังแกทิชาจนกว่ามันจะรู้สึกตัวสักทีว่ามันนั่นแหละที่ผิด

ผิดที่ทำให้ผมหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วก็เย็นชาใส่....

“อุก.......พะ.....พอแล้ว...........”

“ไม่.... กูยังไม่พอ” 

ผมกระซิบบอกในตอนที่หยุดให้ทิชาพักหายใจ 

“กูรอที่จะได้ทำแบบนี้กับมึงมาเป็นปี จูบแค่นี้ยังชดเชยได้ไม่เท่ากับเวลาเดือนนึงที่กูต้องรอ แล้วก็ทนเห็นมึงได้กับใครต่อใครที่ไม่ใช่กูเลยมั้ง”

ผมเบียดร่างผอมบางให้จนมุม ใช้ความแข็งแรงกักขังความบอบบางให้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์..... ทิชาเลิกดิ้นรนแล้ว มันโคตรน่ารักแล้วก็น่าทะนุถนอมในตอนที่อยู่นิ่งๆ ให้ผมป้อนจูบเอาแต่ใจ กลีบปากสีสดนุ่มนิ่มถูกดูดดึงจนช้ำ ลมหายใจของเราร้อนผ่าวจนข้างในอกคล้ายจะมอดไหม้ด้วยความรักซึ่งล้นทะลักออกมาจากหัวใจผม แม้ว่าจะเคยมีใครได้ครอบครองร่างตรงหน้ามาก่อน ผมก็ไม่สน สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในเวลานี้ก็คือผมอยากได้ทิชาจนแทบเป็นบ้า

แต่ทว่า น้ำตาเพียงหยดเดียวกลับสามารถเปลี่ยนความหอมหวานให้กลายเป็นขมปร่าระคายคอได้ในชั่วพริบตา

ผมทำให้ทิชาร้องไห้อีกแล้ว....


“ทำไมต้องร้องไห้เพราะกูด้วยวะ.........” 

ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจและไม่คิดจะทำความเข้าใจ เมื่อกี้มันยังหัวร่อต่อกระซิกอารมณ์ดีกับญาติผู้พี่ของผมอยู่เลย แล้วทำไมพอเป็นผม ทิชาถึงยิ้มให้แบบนั้นบ้างไม่ได้เลย

“ที่กูทำมันไม่เหมือนกับที่เฮียโรมทำให้มึงตรงไหน.... มึงอยากได้อะไรก็บอกมาสิ ทุกอย่างที่เฮียโรมทำ กูก็ทำได้เหมือนกัน และกูก็มั่นใจว่ากูจะทำได้ดีกว่าเขาด้วย”

ทิชาเอาแต่ส่ายหน้าปล่อยน้ำตาให้หยดลงต่อหน้าผม ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้แต่ก็เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างผมกับมันตลอดเวลา.... แตะต้องไม่ได้ ยิ่งไขว่คว้าก็มีแต่จะยิ่งหลุดลอยห่างออกไปไกลมากขึ้นทุกที และถ้าคิดจะบังคับเอามาครอบครองก็คงแตกสลายลงไปแทบจะทันที

“มึงทำแบบนี้กับกูทำไมวะ แดน?” 

ทิชาเอ่ยถามผมด้วยเสียงเจือสะอื้น ร่องรอยของความสับสนฉายชัดอยู่ภายในลูกแก้วใสสีน้ำตาลเข้มคลอหยาดน้ำอุ่น 

“เรื่องผิดนัด กูก็ขอโทษมึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว กูพยายามแก้ไขสถานการณ์เท่าที่กูจะทำได้แล้วไง.... มึงบอกว่าอยากเล่นละครเรื่องนี้กับกู กูก็ยอมไปขอแคสบทนอกรอบทั้งๆ ที่กูไม่ได้อยากทำเลย แล้วทำไมมึงต้องเกรี้ยวกราดใส่กูด้วยวะ? ทุกอย่างที่กูทำเพื่อชดเชยความรู้สึกที่มึงเสียไปมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ?”

“มึงแน่ใจเหรอว่าทำเพื่อชดเชยความรู้สึกของกู?” 

ผมแค่นหัวเราะในลำคอขณะมองหน้าทิชา ไม่ว่ากี่ร้อยพันเหตุผลที่ทำให้เราทั้งคู่มายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้คืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือมันไม่ใช่เพราะทิชาอยากทำเพื่อไอ้แดนนรกอย่างผมหรอก 

“มึงไม่ได้ทำเพื่อกูเลยสักนิด.... มึงกำลังทำเพื่อตัวมึงเองต่างหาก ทิชา”

“เพื่อตัวกูเองยังไง.... ที่กูฝืนใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มีตรงไหนที่กูทำเพื่อตัวเองเลยนะ เหตุผลเดียวที่กูมาที่นี่ก็เพราะมึง!”

“แล้วถ้ากูไม่ใช่น้องเฮียโรม มึงจะยังรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับกูไหมล่ะ? ถ้ากูเป็นแค่ไอ้แดนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนที่ใช้นามสกุลเดียวกับผู้ชายที่มึงหลงรักหัวปักหัวปำ มึงยังจะแคร์ความรู้สึกของกูหรือเปล่า?” 

นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดตั้งแต่วินาทีแรกที่ทิชาโผล่มาในฐานะนักแสดงนำของซีรีส์เรื่องนี้ กับคนที่ไม่เคยมองอะไรไกลเกินกว่าความรักที่จะได้จากไอ้เฮียโรม ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแขวนเอาไว้บนความต้องการของไอ้เฮียโรม ผมก็เชื่อว่าตัวเองไม่ได้คิดหยุมหยิมแล้วเก็บเอามาพาลไปเองอย่างที่ใครบางคนกำลังรู้สึกอย่างแน่นอน 

“เห็นไหมล่ะ.... มึงแค่รักษาสัญญา ทำตัวเป็นคนดีด้วยก็เพราะกูเป็นน้องชายแฟนมึง เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดเหมือนกับว่ามึงเห็นความสำคัญของกูหน่อยเลยในเมื่อมันไม่จริง!”

“มัน.....มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว............”

“แล้วมันยังไง?”

“กูก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน แต่กูแคร์ความรู้สึกมึงจริงๆ นะ แดน” 

ร่างเล็กเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้ เป็นครั้งแรกในรอบวันเลยมั้งที่มันยอมสบตามองผมตรงๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยราวกับขอร้องให้เชื่อสิ่งที่มันพูด มันควรจะรู้ว่าคนอย่างนายดรัณภพไม่เคยต้องการอะไรเลยนอกจากความรักความสนใจจากคนที่ชื่อทิชา ผมอยากได้แค่นั้น แต่มันก็ไม่เคยให้ มิหนำซ้ำยังตอกย้ำทำหัวใจผมพังครืนด้วยคำพูดง่ายๆ แค่ไม่กี่ประโยค   

“กูไม่ได้แคร์เพราะมึงเป็นน้องพี่โรมอย่างเดียว แต่มึงคือคนที่ช่วยให้กูกับพี่โรมรักกันนะ......สำหรับกู มึงก็เหมือน.............”

“พอได้แล้ว!!” 

ผมตวาดใส่อย่างเหลืออด เมื่อจนแล้วจนรอด สิ่งที่อยู่ในหัวทิชาก็ยังมีแต่พี่โรมๆๆๆๆ ไม่รู้แม่งโดนล้างสมองมาหรือยังไง 

“ถ้าหากมึงไม่มีอะไรอย่างอื่นจะพูดถึงนอกจากพี่โรมสุดที่รักของมึงก็ไม่ต้องพูดแล้ว กูไม่อยากฟัง!!”

ทิชาปล่อยมือจากผมแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม ในขณะที่ผมกำหมัดแน่นทุบกำแพงด้านหลังมันระบายอารมณ์โกรธจัด.... จนป่านนี้แล้ว ทิชาก็ยังไม่รู้ว่าผมกำลังจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ เพราะมัน คล้ายว่าหัวใจที่เต้นไหวอยู่ในผืนอกบอบบางนั่นถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่มีต่อเฮียโรมจนเต็มแน่น ไม่สามารถที่จะเปิดรับใครอื่นเข้าไปได้อีกแล้วแม้สักเพียงเศษเสี้ยว

“กูไม่น่าบอกให้มึงไปชิงเกียร์เฮียโรมที่เบอร์ลิคเลย.... ถ้าวันนั้นกูแค่แอบมองมึงเฉยๆ แล้วก็เดินผ่านไปเหมือนทุกครั้งก็คงไม่เป็นงี้..........”

หากที่ผ่านมาไม่เคยรู้ ในวันนี้มันก็คงรู้แล้วว่าที่ผมทำลงไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร แต่มันก็ยังไม่ยอมรับสิ่งที่ผมมอบให้อยู่ดี

“แดน.... กูกับมึงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้วใช่ไหม?”

“กูก็อยากกลับ แต่จุดที่อยากกลับไปของกูกับมึงมันต่างกันว่ะ”

“มึงก็ลองพูดมาสิ.... พูดกับกูตรงๆ อย่างที่ใจมึงคิด”

โอกาสมาถึงในวันที่สายเกินไป ก็ไม่ต่างจากการที่มีคนโยนห่วงยางลงมาให้ในตอนที่ผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางทีก็อยากบอกนะว่าถ้าจะมีน้ำใจผิดที่ผิดเวลาก็สู้ปล่อยให้ผมจมน้ำตายห่าไปเสียยังจะดีกว่า

“มึงน่ะแค่อยากให้กูกลับไปเป็นไอ้แดนนรก คนที่เป็นฝ่ายเดินเข้าหามึงก่อนแต่มึงก็ชอบทำเป็นมองไม่เห็น เดินหนี ทำท่าหงุดหงิดรำคาญใส่ หรือไม่ก็ด่ากูแรงๆ ต่อหน้าคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกผิด.... ถูกไหม?” 

หากเทียบกับตอนนี้ ช่วงเวลาที่ทิชาเหม็นขี้หน้าผมอาจดีกว่าก็จริง แต่ช่วงเวลานั้นมันก็เหมือนค่อยๆ กรีดแผลสะสมในหัวใจผมไปเรื่อย เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง จนกระทั่งผมตัดสินใจทำในสิ่งที่โง่และสิ้นคิดที่สุดลงไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเดือนจะได้อยู่เคียงข้างดาว สุดท้ายมันก็ส่งผลตรงกันข้ามมาให้พร้อมกับก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่ผมเสือกกลืนลงไปเอง 

“แต่กูอยากย้อนเวลากลับไปให้ไกลกว่านั้น.... กูอยากย้อนกลับไปวันแรกที่เจอมึงในห้องเชียร์รวม กูจะถามคนอื่นว่ามึงเป็นใครมาจากไหน กูจะเสิร์ชกูเกิ้ลดูทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไม่ทำอะไรโง่ๆ ให้มึงเกลียดขี้หน้า.... กูจะทำแต่เรื่องดีๆ เหมือนที่เฮียโรมทำให้มึง กูจะปกป้องมึงจากรุ่นพี่เหี้ยๆ ทุกคนที่ทำมึงเสียใจ..........”

“แดน......นี่มึง............?”

“ถ้ากูทำได้อย่างที่พูด คนที่มึงบอกรักวันละสามเวลาก็คงเป็นกู ไม่ใช่เฮียโรม.... แต่กูไม่ไหวแล้วว่ะ กูเหนื่อยที่จะต้องทนเห็นมึงเป็นของคนอื่น ทุกคนที่ผ่านเข้ามาไม่ว่าใครก็จีบมึงได้หมด ยกเว้นกู โลกของมึงไม่เคยมีที่ว่างสำหรับกูเลย........” 

ลำคอผมแห้งผากระหว่างที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่กลับมาชุ่มตรงตาทั้งสองข้างจนผมต้องเงยหน้ากระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่สิ่งที่จวนจะทะลักล้นให้ถอยร่นกลับลงไป 

“ก็มีหลายครั้งนะที่กูสงสัยว่ามึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่ากูคิดยังไง ช่างแม่งเหอะ มันไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้วนี่.... ตอนนี้กูแค่อยากลืมมึง อยากจะเกลียดขี้หน้ามึงให้ได้อย่างที่มึงเกลียดขี้หน้ากู แต่พอมึงโผล่มา ทุกอย่างที่กูตั้งใจก็ย้อนกลับไปหยุดอยู่ตรงที่กูรักมึง แต่มึงไม่เคยรักกู..........”

“กูไม่รู้จริงๆ แดน.......กูขอโทษ...........”

“ความไม่รู้ของมึงมันฆ่ากูอยู่ทุกวัน........กูทรมานว่ะ กูพอแล้ว............”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจะหักดิบจบทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ได้.... ผมไม่ได้อยากไปจากทิชา ผมยังคงรักมัน รักมากกว่าครั้งแรกที่เจอกันเสียอีก แต่ถ้าหากการมีตัวตนของผมจะทำให้ทิชาลำบากใจ มันก็อาจถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหลบไปเลียแผลปลอบใจตัวเองอย่างหมาขี้แพ้

“มึงไม่ต้องถอนตัวจากละครหรอก ทิชา เดี๋ยวแม่มึงจะเสียชื่อ.... ถ้ามึงทำต่อไม่ไหวจริงๆ กูจะเป็นฝ่ายไปเอง.........”


หากมีอะไรที่ผมจะสามารถทำเพื่อทิชาได้ ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

เพราะถ้าจะต้องเลิกรักมัน ผมรู้ดีว่าไม่ง่าย

ไม่ง่ายเลย และไม่คิดว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะทำได้ด้วย....



TO BE CONTINUE

 :katai5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-02-2018 15:42:58
ที่พี่โรมพูดกับทิชามันหมายความว่าจะไปช่วยบี๋หรอ แล้วที่พี่แจ็คโทรมาอีก ต้องเกี่ยวกับบี๋แน่ๆ
แถมแดนกับทิชาก็เป็นแบบนี้กันอีก เดาทางไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 25-02-2018 16:46:13
เรื่องนี้มีแต่คนโลเล อิรุงตุงนังกันไปหมด เฮ้อออ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mithuna ที่ 01-03-2018 20:49:07
ตั้งแต่ตอนแรกๆที่อ่านก็คิดว่า #โรมทิชา มาตลอด จนหลังๆ เริ่มรู้สึกเหมือนว่าจะเป็น #แดนทิชา รึป่าว แดนสารภาพกับทิชาแล้วและโรมไปช่วยบี๋ทำให้โรมทิชามีปัญหากันด้วยเรื่องงานด้วยอาจจะเลิกกันแล้วแดนก็เสียบจบแบบเป็นพระเอก

แงงงง เดาและมโนล้วนๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Zxjmm ที่ 01-03-2018 23:29:33
เชียร์คู่ #แดนทิชา สุดขีดดดด
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 02-03-2018 23:40:06
ROME’s PART



หลังรู้ข่าวเรื่องบีบี๋จากไอ้แจ็ค ผมก็รีบบึ่งรถมาโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเบอร์ลิค ถนนเส้นอโศก-เพชรบุรีตอนเที่ยงก็ยังคงรถติดเป็นบ้าเป็นหลังจนผมทุบพวงมาลัยแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด แทบจะอยากทิ้งรถโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้แม่งรู้แล้วรู้รอดไปเลย

จากที่ได้ยินคร่าวๆ ผ่านโทรศัพท์ ผมยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าเฮียรุจไม่พอใจบีบี๋ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีจนน้องมันทนไม่ไหว กระโดดลงมาจากชั้นสองของโกดังที่พักหลังร้าน.... จริงอยู่ว่าระดับความสูงแค่นั้นอาจไม่ทำให้ถึงตาย บีบี๋ก็แค่กระดูกไหปลาร้าหลุดกับขาขวาหักและสามารถออกจากห้องฉุกเฉินมาแอดมิดอยู่ห้องพิเศษได้ตั้งแต่เมื่อตอนเช้ามืด คนเจ็บต้องได้รับการรักษามันก็ถูกแล้ว แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงที่ว่าทำไมบีบี๋ถึงตัดสินใจทำร้ายตัวเองและจากนี้ไปเฮียรุจจะเอายังไงกับน้องและเงินสองล้านนั่น

ก่อนหน้านี้ ผมแค่กลัวใจเฮียรุจว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรเพื่อที่จะเอาเปรียบบีบี๋ แต่ตอนนี้บอกตามตรงว่าผมชักเริ่มรู้สึกกลัวใจบีบี๋ไม่แพ้กันว่าจะคิดสั้นเพื่อหนีให้พ้นเงื้อมมือเฮียรุจอีกหรือเปล่า

บ้าชะมัด ถ้าผมดึงตัวบีบี๋คืนมาจากเฮียรุจเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหาทางช่วยน้องเคลียร์หนี้ก็คงไม่เกิดเรื่องเมื่อคืนนี้....!

“ไอ้แจ็ค บีบี๋เป็นไงบ้าง?” 

ทันทีที่ผลักประตูห้องพักฟื้นผู้ป่วย ผมก็รีบเอ่ยถามขออัพเดทสถานการณ์ด้วยความร้อนใจโดยไม่ได้แหกตาดูเลยว่ามีใครอยู่ข้างในนั้นบ้าง แน่นอนว่าผมไม่ได้รับคำตอบอย่างที่อยากได้ สิ่งเดียวที่ถูกส่งกลับมาคือสายตาไม่ยินดียินร้ายจากรุ่นพี่ที่ผมเคยเคารพ

“ไอ้แจ็คไม่อยู่ กูใช้มันไปซื้อบุหรี่ที่เซเว่นหน้าโรง’บาล”

เฮียรุจลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงไปยืนพิงผนังคล้ายกับจะเปิดทางให้ผมเข้าไปดูอาการบีบี๋ได้สะดวก แม้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงจะสวนทางกับการกระทำโดยสิ้นเชิงก็ตาม

“ส่วนคนที่มึงถามถึงก็แหกตาดูสารรูปมันเอาเอง”

ร่างเล็กซึ่งยังหลับอยู่บนเตียงมีเฝือกกับสายพยุงช่วงไหล่ ขาขวาก็ใส่เฝือกแถมยังต้องใช้เสาช่วยยกขาตรงปลายเตียง ตามเนื้อตัวและใบหน้าบางส่วนมีรอยถลอกและแผลฟกช้ำจากการตกกระแทกพื้นคอนกรีต.... เท่าที่ผมฟังจากไอ้แจ็ค บีบี๋พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังไม่ฟื้น เท่าที่หมอเอ็กซเรย์ดูส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะปล่อยผ่านบุคคลซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดได้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับเฮีย ทำไมบีบี๋ถึงกระโดดลงมาจากหน้าต่าง?” 

ผมหันไปหาเฮียรุจเพื่อคาดคั้นถามเอาความชัดเจน แต่สิ่งที่เขาทำมีแค่ยักไหล่เดาะลิ้นด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ดูจะสะใจเสียด้วยซ้ำที่ลูกหนี้ตกอยู่ในสภาพนี้

“ก็แค่กระดูกหักนิดหน่อย มึงไม่ต้องสำออยแทนมันก็ได้มั้ง”

“ผมถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง!?” 

สถานการณ์เปราะบางแบบนี้ ผมไม่มีแก่ใจจะให้ใครมาเล่นหัว ต่อให้เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิคก็เถอะ

เฮียรุจก้าวอาดๆ ตรงเข้ามาคว้าคอเสื้อผมกระชากให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากัน ผมกับเขาไม่มีใครเสียเปรียบกันในด้านกายภาพ ถ้าคิดจะแลกกันหมัดต่อหมัดก็ยากที่จะตัดสินว่าใครมีโอกาสชนะมากกว่า ทว่า ที่ผมไม่ตอบโต้อะไรเขานอกจากจ้องตอบด้วยแววตาเกรี้ยวกราดเหมือนสัตว์ป่าไม่แพ้กันก็เพราะที่นี่คือโรงพยาบาล ถ้ามีเรื่องชกต่อยกันก็อาจทำให้บีบี๋ซึ่งเจ็บหนักอยู่แล้วโดนลูกหลงได้

แต่ในด้านความเคารพที่มีต่อรุ่นพี่ในสาย บอกตามตรงว่าแทบไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว

“มึงคิดว่ามึงเป็นใครหา ไอ้โรม.... มึงก็แค่รุ่นน้องทรยศ เป็นเด็กเมื่อวานซืนในสายตากู อย่ามาทำเป็นเห่าดังหน่อยเลย!”

เฮียรุจคำรามลอดไรฟัน มือที่กำคอเสื้อผมเกร็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา 

“ตราบใดที่กูยังไม่ได้เงินสองล้าน บีบี๋มันก็เป็นเมียกู เป็นลูกหนี้ แล้วก็เป็นทาส.... กูจะทำอะไรกับมันก็ได้!!”

“จนป่านนี้แล้วเฮียยังกล้าพูดว่าบีบี๋ติดหนี้เฮียอยู่อีกเหรอ บีบี๋ไม่ได้อะไรเลยสักอย่างแถมยังเกือบเอาตัวไม่รอด แล้วไอ้จำนวนเงินสองล้านนั่น เฮียก็เป็นคนอุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งหมด!?”

“เด็กมันเสนอตัวเข้ามาหากูเอง เพราะฉะนั้น คนที่จะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินชีวิตของมันก็คือกู.... มึงเองก็รู้กฎดีอยู่แล้วนี่!” 

สิ่งที่เฮียรุจพูดคือความจริงที่เถียงไม่ได้ บีบี๋ก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำร้ายทุกคนรวมถึงตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผมก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้อดีตแฟนเลือกเดินบนเส้นทางซึ่งผิดมหันต์ 

“ที่สำคัญ คนที่ทำให้บีบี๋ไม่ได้อะไรเลยแถมยังมีหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งล้านก็คือมึงนั่นล่ะ.... มึงคงลืมไปแล้วสินะ ไอ้น้องรัก?”

คนตรงหน้าแค่นเสียงหึในลำคอ หรี่ตามองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองพวกเด็กประถมหัวเกรียนตามร้านเกม

“เพิ่งจะมาอยากเป็นคนดีอะไรเอาป่านนี้ ตัวมึงเองนะที่เป็นฝ่ายทิ้งบีบี๋ก่อน บีบให้มันต้องดิ้นรนมานอนกับกูเพื่อจะขอยืมเกียร์ไปห้อยคอ หวังจะพึ่งกูให้ช่วยเอาแฟนห่วยๆ อย่างมึงกลับมา.... แล้วตลอดเวลาที่ไอ้เด็กนี่เข้า-ออกเบอร์ลิคให้กูเอาทุกวี่ทุกวัน มึงไปอยู่ซะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่ว่านอนกอดน้องทิชาคนสวยอยู่คอนโดฯ สบายใจเฉิบเหรอวะ? ไหนตอบให้กูชื่นใจหน่อยสิ ไอ้คนดี!”

เฮียรุจปล่อยมือจากผมแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่ยืนนิ่งจ้องหน้าเขาตอบด้วยความโมโหและเจ็บใจ ผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนอย่างเฮียรุจไม่เคยช่วยใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วสิ่งตอบแทนนั้นจะต้องมากกว่าต้นทุนที่เสียไป.... ถ้าในเวลานั้นผมใจเย็นกับเรื่องของบีบี๋ให้มากกว่านี้ ไม่ตัดขาดลอยแพอีกฝ่ายเพียงเพราะคิดว่าไม่มีทางไปต่อด้วยกันได้ ผลลัพธ์ของความร้ายกาจ ชิงดีชิงเด่นกันตามประสาเด็กไม่รู้จักคิดก็คงไม่เลวร้ายอย่างที่เห็น

แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็เป็นอีกมือหนึ่งที่ผลักบีบี๋ลงไป....

ร่างบนเตียงขยับเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าตื่นจากฤทธิ์ยาแล้ว ผมกับเฮียรุจวางความหมาดบางพักไว้ชั่วครู่ก่อนจะหันไปสนใจบีบี๋ เสียงแหบแห้งลอดผ่านริมฝีปากแตกยับบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวน่าจะรู้สึกเจ็บและอึดอัดจากเฝือกที่หุ้มไว้ทั้งช่วงไหล่และท่อนขา.... ดวงตากลมโตแดงช้ำหรี่ปรือเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่เหมือนคนกำลังพยายามรวบรวมสติ ผมกุมมือเล็กเอาไว้เพื่อปลอบโยนให้บีบี๋รับรู้ว่าเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง และทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเห็นหน้าผมเป็นคนแรก น้ำตาของคนเจ็บก็ไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก

“......ฮึก........อึก..............”

“บีบี๋ เป็นยังไงบ้าง?” 

ผมเอ่ยถามพลางดึงทิชชู่จากโต๊ะข้างเตียงมาซับคราบชื้นบนใบหน้าซีดเซียวให้ร่างเล็ก อดีตคนรักยังคงมองผมอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองในขณะที่น้ำตาก็ไหลพรากไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ 

“นี่เฮียโรมเองนะ......เฮียอยู่นี่แล้ว......ไม่มีใครทำอะไรบีบี๋ได้แล้วนะ.............”

“เฮียโรม........จริงเหรอ............?” 

บีบี๋พูดเหมือนละเมอ ทว่า ความโหยหาในน้ำเสียงนั้นกลับชัดเจนจนน่าใจหาย 

“.......ฮือ.........เฮียโรมจริงๆ ใช่ไหม......นี่เรื่องจริงหรือเปล่า.........บี๋คงไม่ได้ตายแล้วฝันไปหรอกนะ...........”

“อย่าแช่งตัวเองสิ บีบี๋ยังไม่ตายนะ แล้วก็ไม่ได้ฝันด้วย”

ผมพูดได้แค่นั้น เฮียรุจก็ก้าวเข้ามาประชิดถึงเตียงคนป่วยส่งผลให้บีบี๋สะดุ้งเฮือกพยายามจะถอยหนีแต่ก็ติดที่เฝือกดามขาทำให้ขยับไม่ได้ ถึงแม้เฮียรุจจะไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามทำร้ายเหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นกับตา แต่ก็ดูคล้ายว่าบีบี๋จะหวาดกลัวและจดจำความเจ็บปวดที่ได้รับจนฝังใจไปแล้ว

“เฮียโรม.....บอกให้เขาออกไปนะ.......ให้เขาออกไปที............”

เสียงแหบแห้งเริ่มร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ มือที่ผมกุมเอาไว้จิกเกร็งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสะบัดยกขึ้นราวกับจะปัดป้องไม่ให้เจ้าหนี้เข้ามาข่มขู่รังแกตัวเองได้ น้ำตาซึ่งเริ่มจะเหือดแห้งไปแล้วกลับมานองหน้าอีกครั้ง 

“บี๋กลัว......ฮึก.........กลัวแล้ว.......เจ็บ.........ไม่เอาแล้ว....ฮือ.............”

เมื่อเห็นอาการตื่นตะหนกสุดขีดของบีบี๋ ผมก็ตั้งใจจะหันไปบอกเฮียรุจให้ออกไปก่อนแล้วกดปุ่มเรียกพยาบาลเข้ามาให้ยานอนหลับหรือช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่เฮียรุจไม่สนใจคำบอกเชิงขอร้องของผมเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาจนห่างกับบีบี๋ซึ่งขยับตัวไม่ได้เพียงแค่คืบ.... ริมฝีปากเขาแสยะยิ้มเหมือนสะใจที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ หากดวงตากลับฉายแววโมโหโกรธเคืองที่บีบี๋สติแตกร้องไห้บอกให้ผมช่วยไล่เขาออกไป

ไม่ทันคาดคิด มือหนาก็จัดการกระชากสายสร้อยเงินเส้นเล็กจากคอบีบี๋เสียงดังผึง โลหะเสียดสีกับผิวเนื้อบาดเป็นรอยแดงมีเลือดซึมออกมาคาตา ร่างเล็กคงทั้งเจ็บและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนได้แต่อ้าปากร้องแบบไม่มีเสียง แม้แต่ผมเองก็คิดไม่ถึงว่าเฮียรุจจะดึงเกียร์คืนกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้

เพราะมันหมายความว่าเขายอมตัดขาดจากบีบี๋ และนับจากนี้เป็นต้นไปคนทั้งเบอร์ลิคอาจกลายเป็นศัตรูกับเด็กคนนี้ด้วย....!

โทรศัพท์มือถือหน้าจอแตกถูกโยนมาให้ ผมจำได้ดีว่ามันเป็นของบีบี๋

“มึงโทรบอกพ่อแม่มันด้วยก็แล้วกัน.... ค่ารักษาก็ให้พ่อแม่มันจ่าย เสือกกระโดดลงมาเอง กูไม่ปล่อยตายห่าคาร้านก็บุญหัวแล้ว!”

เฮียรุจทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากห้องพักคนป่วยไป ปล่อยให้บีบี๋นอนสะอื้นอยู่กับสภาพร่างกายพังๆ ซึ่งมีเขาเป็นต้นเหตุ

เมื่อเฮียรุจจากไป บีบี๋ก็เริ่มสงบลงและหยุดร้องไห้ ผมเช็ดหน้าเช็ดตาให้ร่างเล็กแล้วกดปุ่มเรียกพยาบาลกับคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาดูอาการ ระหว่างนั้น ไอ้แจ็คก็กลับเข้ามาพอดี

“อ้าว.... เฮียรุจไปไหนแล้ววะ?”

“ออกไปสักพักแล้ว คงกลับร้านไปก่อนแล้วมั้ง” 

เพื่อนสนิทผมหน้าเหวอเมื่อรู้ว่าคนที่สั่งให้ออกไปซื้อบุหรี่ชิ่งหนีหายไปแล้ว ผมไม่เว้นช่วงรอให้มันหายตกใจรีบเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยและต้องการรู้ความจริงให้ได้ทันที ถึงไอ้แจ็คจะเทิดทูนบูชาเฮียรุจเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่คราวนี้ต่อให้ต้องเค้นคอง้างปากมัน ผมก็จะทำ 

“กูรู้ว่ามึงพูดมากไม่ได้ แต่เรื่องแม่งใหญ่ขนาดทำคนเกือบตายแล้ว มึงบอกกูมาตามตรงเถอะว่าบีบี๋ตกลงมาจากหลังร้านได้ไง?”

“กูก็บอกแล้วไงว่าน้องมันโดดลงมาเอง” 

แจ็คยืนยันคำเดิมตามที่เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ เดิมทีเพื่อนผมคนนี้ก็ไม่ใช่ประเภทโกหกตอแหลเป็นอาชีพ ผมจึงอยากเชื่อใจว่ามันไม่ได้พูดเพื่อช่วยปกป้องรุ่นพี่ที่มันเคารพจนไม่สนผิดถูก 

“ก่อนหน้านั้นน่ะ เฮียกับน้องตีกันจริง น้องบีบี๋อยากกลับบ้านแต่เฮียรุจกำลังอารมณ์เสียเรื่องโต๊ะบอลก็เลยไม่ไปส่ง.......ก็มีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย แต่ไอ้ที่ตกลงมาจากชั้นสองนี่เฮียแกไม่ได้ทำนะเว้ย กูเห็นเองกับตา”

“ไม่จริงนะ!”

อยู่ดีๆ ร่างบนเตียงก็ตะโกนสวนขึ้นมา นัยน์ตากลมเบิกโพลงจ้องมองไอ้แจ็คอย่างเอาเรื่อง ถ้าหากแขนขาปกติดีลุกขึ้นมาบีบคอมันได้ก็คงทำไปแล้ว 

“บี๋ไม่ได้โดดลงมาเอง มีคนผลักบี๋ลงมาต่างหาก!!”

“เฮ้ย น้องบีบี๋!?” 

มือขวาของเฮียรุจซึ่งเป็นพยานหนึ่งเดียวในเหตุการณ์เมื่อคืนร้องเสียงหลง สีหน้าเหวอแดกยิ่งกว่าเมื่อกี้เพราะทั้งงงและตกใจที่บีบี๋ให้การไม่ตรงกับสิ่งที่มันเล่าให้ผมฟัง

“บี๋จำได้.......ก่อนที่จะหล่นลงมา มีมือใครก็ไม่รู้มาโดนตัวบี๋.........ต้องเป็นคนเมื่อกี้แน่ๆ ที่ผลักบี๋............”

“บ้าแล้วมึง เฮียรุจไม่ได้ผลักนะเว้ย เฮียแกตามไปคว้าตัวน้องไว้หรอก!”

ไอ้แจ็ครีบหันมาบอกผม ยืนยันตามเดิมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตั้งใจของเฮียรุจและตัวมันเองก็ไม่ได้โกหกด้วย ผมมองหน้าเพื่อนสนิทกับอดีตแฟนสลับกันด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน หัวสมองพยายามประมวลผลอย่างหนักจนคิดไปถึงขั้นว่านี่แม่งราโชมอนแห่งแดนสยามชัดๆ ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องเล่าเหตุการณ์จากมุมที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ทว่า ไอ้แจ็คกลับเอะใจบางอย่างจากคำพูดของบีบี๋ขึ้นเสียก่อน 

“ว่าแต่น้องบีบี๋เรียกเฮียรุจว่าอะไรนะ.... คนเมื่อกี้เรอะ??”

“อะ......อือ..........”

ร่างบนเตียงผงกหัวเป็นเชิงบอกว่าใช่ ทำเอาไอ้แจ็คขมวดคิ้วก่อนจะถามต่อ

“แล้วทำไมถึงเรียกเฮียรุจแบบนั้น?”

“ทำไมล่ะ......ก็บี๋.......ไม่รู้จักเขานี่...........”

“บีบี๋??”

คราวนี้ทั้งผมและเพื่อนสนิทเรียกชื่อคนเจ็บพร้อมๆ กัน คนที่นอนอยู่ก็ออกอาการมึนงงว่าพวกผมตกใจอะไรกัน

บาดแผลภายนอกของบีบี๋ก็มีเท่าที่เห็น ส่วนศีรษะทั้งหมดดูปกติดีและไม่น่าจะมีตรงไหนได้รับการกระทบกระเทือน ผมกำลังจะถามไอ้แจ็คให้ชัวร์ว่าหมอได้เอ็กซเรย์ดูสมองหรือเปล่า เพราะประเมินจากสถานการณ์เวลานี้ ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว.... แต่ถ้าถามว่าบีบี๋โกหกไหม ผมเองก็ตอบไม่ได้และค่อนข้างเอนเอียงไปทางเชื่อว่าใครมันจะมีอารมณ์มาสร้างเรื่องเล่นละครกันตอนนี้

“ไอ้โรม มึงกดเรียกหมอแล้วใช่ไหม?”

“เออ กูเรียกแล้ว”

เป็นอันว่าผมกับไอ้แจ็คเข้าใจตรงกันว่ามันไม่ใช่แค่บีบี๋ไหปลาร้าหลุดกับขาหัก แต่ยังมีอาการภายในซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน ในที่สุดคุณหมอเจ้าของไข้กับพยาบาลก็เข้ามา.... ผมปล่อยให้แจ็คซึ่งเป็นคนที่อยู่กับบีบี๋มาตั้งแต่เมื่อคืนอธิบายว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวเองก็หยิบโทรศัพท์ที่เฮียรุจทิ้งไว้มากดหาเบอร์โทรศัพท์พ่อแม่น้อง ป่านนี้ที่บ้านบีบี๋คงจะเป็นห่วงกันใหญ่แล้ว ยังไงผมก็ต้องโทรบอกให้พวกเขารู้ว่าลูกชายคนเล็กเป็นตายร้ายดีอยู่ที่โรงพยาบาลนี้

ผมกะว่าจะออกไปคุยข้างนอกห้องเพื่อไม่ให้เกะกะรบกวนการทำงานของหมอ แต่ก่อนที่ผมจะเดินหลบมุมพ้นไปจากสายตาของร่างเล็ก น้ำเสียงแหบแห้งก็ร้องเรียกพร้อมทั้งเอื้อมมือข้างที่ยังใช้การได้ราวกับจะไขว่คว้าเอาตัวผมกลับคืน

“เฮียโรม.......อย่าทิ้งบี๋ไปไหนนะ.........”

บีบี๋มองผมอย่างเว้าวอน คำพูดแบบเดียวกับที่เคยได้ยินเมื่อหลายเดือนก่อนหวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้ ใจผมกระตุกวูบด้วยความวิตกกังวลมากกว่าจะยินดี 

“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว......เมื่อวันก่อนเฮียเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเฮียชอบบี๋.......เฮียโรมอย่าโกหกบี๋นะ.........”

ผมหันไปมองหน้าไอ้แจ็คเหมือนกับจะถามว่าควรทำยังไงดี มันเองก็ส่งซิกสั่งให้ผมรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้น้องอาละวาดโวยวายขึ้นมาอีก.... ในตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นี้คือความฝันหรือความจริงกันแน่ ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบให้บีบี๋สบายใจเอาไว้ก่อนในขณะที่ลางสังหรณ์ร้ายเริ่มถาโถมเข้ามาหลังจากที่คลื่นลมสงบอยู่นาน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 25 FEB 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 02-03-2018 23:44:16
PAI’s PART



‘ทิชา วันนี้ไม่ให้รถสถานีไปส่งเหรอลูก?’

‘พอดีว่าผมมีธุระด่วนที่อื่นน่ะครับ ก็เลยจะเรียกแท็กซี่ไปเอง’

‘โอย ไม่ต้องเลยๆ.... รถคันนี้ป้าจัดไว้ให้รับส่งทิชาโดยเฉพาะ ทิชาจะไปไหนก็บอกพี่คนขับรถได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ’

‘ขอบคุณมากครับ ป้าอิ๋ว’

‘ไหว้พระเถอะจ้ะ.... พักผ่อนเยอะๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ถ้าแม่นิดากลับบ้านแล้วเจอกันก็ฝากความคิดถึงไปให้ด้วย’



ผมออกจากลิฟท์มาเจอแม่อิ๋วกับทิชากำลังยืนคุยกันอยู่ตรงล็อบบี้หน้าประตูใหญ่ของสถานีโทรทัศน์พอดี สิ่งที่ได้ยินทำให้หางคิ้วผมกระตุกนิดหน่อยกับการที่เด็กใหม่แกะกล่องในวงการบันเทิงอย่างทิชา ทิชนันท์จะได้อภิสิทธิ์พิเศษระดับเดียวกับดาราซูเปอร์สตาร์ของช่องทั้งที่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าสังคมไหนก็ย่อมมีการจัดลำดับและความไม่เท่าเทียมกัน การที่ทิชาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านักแสดงรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้อิจฉาทิชาเลยสักนิด

ตั้งแต่ตัดสินใจย้ายจากเชียงรายลงมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าวงการและตะลุยแคสงานไปทั่วราชอาณาจักร ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าหนทางคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คู่แข่งมีเป็นร้อยเป็นพัน เด็กต่างจังหวัดอย่างผมไม่มีเส้นสายจะไปสู้กับพวกคุณหนูคุณชายที่ได้อะไรมาง่ายๆ แค่กระดิกนิ้วสั่ง คนที่ต้นทุนทางสังคมต่ำกว่าก็ต้องพยายามถีบตัวขึ้นไปมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา

แม้กระทั่งกับเรื่องความรักก็ไม่เคยง่าย....



ปกติผมจะรอพี่โรสซึ่งเป็นทั้งผู้จัดการและเจ้าของโมเดลลิ่งมารับ แต่วันนี้ผมโทรบอกเรียบร้อยแล้วว่ากลับเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง ให้พี่เขาเอาเวลาไปดูแลน้องพุดซึ่งกำลังแคสงานโฆษณาขนมอยู่ที่สตูดิโออีกแห่งดีกว่า.... ทีแรกพี่โรสก็ไม่ยอมหรอกเพราะว่าผมคือตัวท็อปของสังกัด ตารางงานทุกอย่างจะต้องมีเขาคอยตามประกบคอยดูแลความเรียบร้อยและรับส่งถึงที่ แต่พอบอกไปว่าผมจะขอติดรถใครไปลงสถานีรถไฟฟ้า คุณผู้จัดการก็ไฟเขียวเซย์เยสให้ผมกลับเองได้ทันที

ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้เอ่ยปากอะไรกับเจ้าของรถเลยก็เถอะ....

ผมไปดักรอแดนตรงประตูทางออกลานจอดรถ เมื่อเป้าหมายโผล่มา ผมก็พุ่งเข้าไปชาร์จพร้อมด้วยรอยยิ้มสดชื่นแบบที่มีให้อีกฝ่ายอยู่เสมอ

“แดน วันนี้พี่ขอติดรถไปลงบีทีเอสได้ไหม?”

“แล้วพี่โรสล่ะครับ ไม่ได้มารับเหรอ?” 

ร่างสูงดูประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อเห็นผมยืนรออยู่ตรงนี้ เพราะงานส่วนของผมกับภัทรถ่ายเสร็จไปนานแล้ว น้องๆ คนอื่นก็ทยอยกลับไปตั้งแต่ตอนเย็น เหลือแค่แดนกับทิชาที่ต้องถ่ายซ่อมภาพนิ่งที่มีปัญหาเรื่องฉากเลิฟซีนกะทันหัน

“พี่โรสไปดูเจ้าพุดแคสโฆษณาที่สตูดิโอแถวปิ่นเกล้าโน่น ป่านนี้งานยังไม่เสร็จเลย พี่ก็เลยขอเขากลับเองดีกว่า”

“งั้นก็ได้ครับ............”

แดนตอบตกลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเดินนำไปยังรถคัมรี่สีบรอนซ์เงินซึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล ท่ามกลางความดีใจที่เขาไม่ปฏิเสธก็ยังมีอารมณ์วูบโหวงแทรกเข้ามาให้อกสั่นขวัญแขวน.... แดนไม่เคยเย็นชากับผมแบบนี้เลย ทุกครั้งที่เจอหน้าหรือคุยกันผ่านแชทก็มักจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน แต่หลังจากที่นายภัทรเอารูปๆ นั้นมาเปิดประเด็น ท่าทีของแดนที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

ผมไม่คิดเลยว่าความรักที่อุตส่าห์แน่ใจหมายมั่นปั้นมือว่าใช่ สุดท้ายจะต้องลงเอยด้วยการที่ตัวเองเป็นฝ่ายรักเขาข้างเดียว.... จะว่าไปแล้ว ผมกับแดนก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อาจจะมองดูว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่าสำหรับการฟันธงคนๆ นี้ก็คนที่ดีที่สุด ผมก็บอกไม่ได้หรอกว่าแดนคือคนที่ดีที่สุด รู้เพียงแค่ว่าเขาคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วยมากที่สุดในเวลานี้

สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือจริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนใจเย็นหรือมีความเป็นผู้ใหญ่มากนัก ผมเพิ่งอายุยี่สิบสอง ความหัวดื้อและใจร้อนตามประสาวัยรุ่นก็ยังมีมากอยู่

ยิ่งเป็นเรื่องความรัก ผมยิ่งดื้อ

ทั้งดื้อด้านและโง่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ....


“แดน.... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาเปิดไลฟ์แก้เบื่อรถติดกันไหม?” 

ผมเอ่ยถามลองเชิงดูว่าตอนนี้อีกฝ่ายอารมณ์เป็นยังไง ก่อนหน้านี้ผมกับแดนก็เคยไลฟ์ทักทายแฟนคลับในอินสตราแกรมด้วยกันบ่อยๆ เผื่อว่าบางทีการได้เห็นแฮชแท็ก #แดนปาย ติดเทรนด์เหมือนช่วงแรกๆ ที่เราคุยกันจะทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ และเราสองคนก็เป็นคู่จริง ไม่ใช่คู่พีอาร์กองละครสั่งโปรโมทแบบ #แดนทิชา

“วันนี้ผมเหนื่อย ขอบายแล้วกันครับ”

คำปฏิเสธซึ่งเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกทำเอาผมหน้าเจื่อน แดนก็คงรู้แหละว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกมายิ่งทำให้ผมเสียเซลฟ์เพิ่มขึ้นไปอีกจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่เขาก็ไม่คิดจะปราณีผมเอาเสียเลย

“แต่พี่ปายจะไลฟ์ก็ได้นะ แค่อย่าให้ผมติดไปในกล้องก็พอ”

“งั้นไม่เอาดีกว่า........” 

ผมส่ายหน้าพลางหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนความผิดหวังก่อนจะยกมือถือขึ้นมาเปิดอ่านคอมเมนท์ในไอจีฆ่าเวลา พอดีเจอคอมเมนท์จากเพื่อนสมัยม.ปลายก็เลยกะว่าจะพิมพ์ตอบมันสักหน่อย ทว่า คำพูดจากคนข้างกายก็ทำให้ผมต้องชะงักปลายนิ้วลงชั่วคราว

“พี่ปายรู้ตัวไหมว่าโกหกไม่เก่ง อุตส่าห์เทคคอร์สแอคติ้งเยอะกว่าคนอื่นแท้ๆ แต่เล่นละครไม่เนียนเลยนะ”

เนื้อความอาจฟังดูเหมือนหยอกล้อเล่นแต่ผมกลับมองไม่เห็นร่องรอยของความซุกซนขี้แกล้งปรากฏในดวงตาสีเข้มคู่นั้น.... สัญญาณไฟจราจรยังคงเป็นสีแดง รถยนต์นับร้อยต่อแถวรอข้ามสี่แยกยาวเหยียดและไม่มีวี่แววว่าแถวจะขยับ ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแดน ริมฝีปากหยักได้รูปขยับประโยคต่อไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับผม

“พี่มีเรื่องอยากคุยกับผมก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบ”

ก็จริงอย่างที่แดนว่า ผมเรียนแอคติ้งเพื่อใช้ในการทำงาน แต่ในชีวิตจริง ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องนำเอาทักษะทางนี้มาใช้กับคนใกล้ตัว

ไม่รู้สิ ถึงเจ้าตัวจะบอกอนุญาตให้ถามได้ แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่าสิ่งที่จะได้รับกลับมาจะเป็นความจริงทั้งหมด.... ผมเข้าใจผิดคิดไปเองว่าคนๆ นี้คือเด็กหนุ่มที่แสนใสซื่อน่าเอ็นดูเหมือนน้องชายข้างบ้าน ก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหัวใจของเขามีความลึกลับซับซ้อนไม่ต่างจากกล่องปริศนาซึ่งมีกุญแจหลายสิบหลายร้อยดอกวางเอาไว้ โดยที่ไม่มีคำบอกใบ้ว่ากุญแจดอกไหนคือของจริง

“ถ้าถามแล้วจะยอมบอกจริงเหรอ?”

“จะพยายามครับ”

สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ลองไขไปเรื่อยๆ จนกว่าจะใช่....

“งั้นพี่จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน.... ตกลงว่าแดนกับทิชารู้จักกันมาก่อนใช่ไหม? แล้วคบกันแบบไหน? ทำไมถึงต้องทำเป็นไม่ชอบหน้ากันต่อหน้าทุกคนด้วย?”

แดนกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วหันไปมองถนนข้างหน้า แค่คำถามชุดแรกเขาก็ออกอาการไม่อยากตอบให้เห็นแล้ว

“ผมว่าคำถามนี้พี่ปายก็รู้คำตอบอยู่แล้วนะ ไอ้ภัทรมันเล่าให้ฟังหมดแล้วนี่”

สิ่งที่ภัทรพยายามกรอกหูผมมาตลอดช่วงบ่ายที่ทำงานด้วยกันก็คือแดนแอบชอบทิชามาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแต่เพื่อนที่เรียนคณะสถาปัตย์ก็ดูออกกันทั้งนั้น.... สารพัดวีรกรรมและความทุ่มเทเพื่อให้ทิชาหันมามองมีพยานรู้เห็นเยอะแยะ ที่เขาไม่แซ็วกันต่อหน้าก็เพราะกลัวแดนจะเสียใจที่ทิชาไม่เคยรับรู้สนใจใยดีอะไรเลย หากสำหรับผม นี่คือความจริงในมุมของคนส่วนใหญ่ที่รู้จักแดนแต่อาจไม่ใช่ความจริงในมุมของคนโง่ๆ อย่างผมก็เป็นได้

“พี่ไม่สนใจที่ภัทรพูดหรอก พี่อยากฟังความจริงจากแดนคนเดียว”

ผมบอกผ่านน้ำเสียงหนักแน่น ใช้เวลาไม่กี่วินาทีที่มีอยู่เพื่อเตรียมใจรับสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้ 

“ถ้าแดนบอกว่าใช่ก็คือใช่ แต่ถ้าแดนบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้คิดอะไรกับทิชาเลย พี่ก็จะเชื่อ.... ต่อให้มีรูปแบบนี้โผล่มาให้เห็นอีกกี่ร้อยกี่พันใบ พี่ก็จะเชื่อแค่สิ่งที่แดนบอกเท่านั้น”

“.....................”

“พี่ชัดเจนกับแดนมาตลอด แดนเองก็รู้นี่ว่าพี่คิดยังไง เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องการความชัดเจนจากแดนเหมือนกัน”

เงียบกริบ..... แดนนั่งนิ่งเม้มปากอยู่พักใหญ่ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยนอกจากเสียงแตรจากรถยนต์ข้างหลังกับเสียงหัวใจตัวเองเต้น

ผมว่าผมรู้คำตอบเรื่องนี้อยู่แล้วอย่างที่แดนพูดนั่นแหละ ขนาดเขาไม่พูดยังทำให้ผมทั้งเจ็บทั้งจุกได้ขนาดนี้ ถ้าเขาพูดออกมาตรงๆ นี่ไม่ทำผมร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเลยเหรอ.... จนถึงเมื่อกี้ผมยังคิดว่าตัวเองมีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะเผชิญหน้ากับความชัดเจนแบบแฟร์ๆ แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับยากมาก รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกจนแทบจะทนไม่ไหวเลยทีเดียว

แต่จะห้ามไม่ให้เขาพูด มันก็คงสายเกินไปเสียแล้ว....


“ผมรักทิชา”

“ตกหลุมรักมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่เหมือนเดิม.......”



กลายเป็นผมที่เงียบสนิทพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนโดนกำปั้นสวนเข้ากระแทกดั้งจมูกอย่างจัง อาการเจ็บจนจี๊ดขึ้นสมองแล่นลามไปทั่วจนหู้อื้อตาลายไปหมด กระบอกตาผมร้อนผ่าว อยากจะส่งเสียงออกมาก็ดันมีก้อนสะอื้นขมเฝื่อนจุกขวางจนแม้แต่จะหายใจยังลำบาก

“แล้วพี่ล่ะ?”

“ผมชอบพี่ปายครับ”

“แดนชอบพี่เหรอ..........”

ไม่น่าเชื่อว่าเขายังจะพูดแบบนี้อยู่ ช่างเป็นคนที่โกหกหน้าตายได้เลือดเย็นที่สุด ผมกำลังจะต่อว่าออกไปอยู่แล้วเชียวแต่พลันฉุกคิดถึงความแตกต่างระหว่างคำสองคำขึ้นมาได้ 

“อ้อ มันคือความชอบ.... สำหรับแดนแล้ว ความชอบไม่เท่ากับความรักสินะ”

“ตามนั้นครับ”

“แล้วทั้งหมดที่เราคุยกันล่ะ ที่ผ่านมามันคืออะไร?”

“ก็คือการคุยนั่นแหละครับ ก็อย่างที่ไอ้ภัทรบอกว่าทิชาเกลียดขี้หน้าผม ในเมื่อผมคบกับคนที่ตัวเองรักไม่ได้ก็ต้องคบกับคนอื่น”

คำว่า ‘ตัวสำรอง’ กับ ‘ตัวตายตัวแทน’ โผล่เข้ามาในห้วงความคิดทันทีที่แดนพูดจบ ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แดนกำลังพยายามทำอยู่นะ เพราะไม่มีทางสมหวังกับคนที่รักก็เลยต้องไปหาทางลงกับคนอื่น แต่ที่หัวใจผมกรีดร้องโหยหวนก็เพราะไม่คาดฝันว่าตัวเองจะต้องมาเป็นเงาทับซ้อนของใครบางคนนี่แหละ 

“บอกตามตรง ผมเคยคิดนะว่าบางทีพี่ปายอาจจะเข้ามาแทนที่ทิชาในใจผมได้ถ้าเรารักษาระดับความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คนที่ใช่อาจไม่ใช่คนแรกที่เราตกหลุมรักเสมอไป.... ผมถึงได้คุยกับพี่ปายเหมือนที่อยากคุยกับทิชา เผื่อว่าความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมมีให้ทิชาจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมมองหน้าหรือได้ยินเสียงพี่ปายบ้าง........”

“แต่มันก็ไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?”

“พี่ปายจะเลิกคุยกับผมก็ได้นะครับ” 

คนที่เคยอ่อนโยน บทเวลาจะเย็นชาใจร้าย เขาก็ร้ายได้สุดขั้วเหมือนเป็นคนละคน 

“แต่ถ้าจะคุยกันต่อ พี่ก็ต้องรับให้ได้ว่าผมรักทิชาอยู่แล้ว และมันคงยากมากที่จะมีใครมาแทนที่เขา”

“พี่ให้แดนได้มากกว่าที่ทิชาให้นะ”

“ทิชาไม่เคยให้อะไรผมเลยต่างหากครับ แต่ผมก็ยังรักมันอยู่ดี”

“สรุปคือแดนไม่มีความคิดที่จะเลิกรักทิชาเลยเหรอ?”

“ผมทำไม่ได้ครับ”

สถานการณ์ตรงหน้าคือสงครามความรักที่ผมไม่มีวันได้ลงสนามเป็นตัวจริง ทางเลือกมีอยู่แค่ว่าจะถอนตัวออกมาหรือกระโจนลงไปเสี่ยงตาย.... สถานีรถไฟฟ้าที่ผมต้องลงอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร การเปิดประตูรถแล้วจากไปพร้อมกับเศษหัวใจซึ่งแตกละเอียดอาจฟังดูเป็นเรื่องง่ายและจบปัญหาคาราคาซังได้ดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ยอมทำ

อ้อ.... ก็เพราะผมมันดื้อด้านแล้วก็โง่เง่าที่สุดไงล่ะ


“พี่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พี่เลิกรักแดนไม่ได้”

“พี่ตกหลุมรักแดนตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ถึงจะถูกหักอกแบบทุเรศๆ แต่ก็ยังรักอยู่เหมือนเดิม..........”



.


.


.


จุดหมายปลายทางของผมในวันนั้นไม่ใช่สถานีรถไฟฟ้าอย่างที่ตั้งใจในคราวแรก แต่เป็นคอนโดฯ ย่านอโศก-เพชรบุรีซึ่งเคยคิดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วว่าอยากจะลองมาเที่ยวดูสักครั้ง ทว่า สิ่งที่ผิดไปจากความฝันก็คือผมไม่ได้มาเที่ยว หากแต่มาเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้บางอย่างซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นเลยในอนาคต

แน่นอนว่าผมยังคงหวัง ยังคงอยากได้ถึงได้ยอมเสี่ยงทุ่มจนหมดหน้าตัก แบบเดียวกับที่แดนทุ่มเทให้ทิชา

ถ้าผลออกมาไม่เป็นอย่างที่หวัง อย่างน้อยผมก็อยู่ในสถานะเดียวกับเขาคือเป็นฝ่ายรักโดยที่ไม่ได้ความรักตอบกลับมา

ร่างเปลือยเปล่าของผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียงหลังกว้าง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอยลงมาปะทะผิวเนื้อพาลให้รู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งตัวนั้นไม่ใช่เพราะหนาวหรอก แต่เป็นเพราะสายตาคมกริบจากร่างสูงซึ่งจ้องมองมาต่างหาก.... แต่ก็เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น หลังจากที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายประกบทาบทับลงมา หัวสมองผมก็ว่างเปล่าจนแทบไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากสิ่งที่แดนสามารถมอบให้ผมได้

เขามอบให้ผม วางมันลงบนมือทั้งสองข้างของผม

แต่มันก็ยังไม่ใช่ของๆ ผมอยู่ดี



‘ทิชา.............’


ชื่อนั้นย้อนกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้งเมื่อห้วงอารมณ์กำลังพุ่งทะยานขึ้นไปถึงขีดสุด แต่ทันทีที่แดนเรียกชื่อของใครอีกคนแทนที่จะเป็นผม มันก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมจนฟีบ ร่างกายของผมยังคงตอบสนองเรื่องเซ็กซ์ไปตามสัญชาตญาณในขณะที่หัวใจหยุดชะงักไม่ต่างจากก้อนเนื้อที่ถูกน็อคน้ำแข็ง

เจ็บ....

แดนบอกในสิ่งที่ผมควรรู้แล้ว และผมก็เป็นคนเลือกที่ก้าวลงสนามรบเอง ถ้าต้องการจะอยู่ตรงนี้ต่อก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มาได้ไกลแค่ไหนและสถานะที่แท้จริงคืออะไร

ต่อให้เป็นความรักที่แสนบิดเบี้ยวที่อาจไม่มีวันจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง หากสุดท้ายมันก็คือความรักในรูปแบบของผมกับแดน


......ไม่ต้องห่วงนะ ถึงจะเจ็บแต่ผมก็ยังสบายดีอยู่......



TO BE CONTINUE

 :katai5:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-03-2018 00:03:38
อิรุงตุงนังไปหมดเลย เห้อออ
ยังไงก็อยากให้เป็นโรมทิชานะคะ แต่แอบอยากให้โรมใจแข็งกว่านี้อีกนิด  :katai1:

ความใจอ่อนของโรมจะทำให้ทิชาเสียใจหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-03-2018 02:08:42
ปวดหัวละเกิน วุ่นวายกันไปหมดเลย
นี่บี๋แกล้งความจำเสื่อมรึป่าว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 03-03-2018 12:13:37
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 03-03-2018 14:46:40
เอาเหอะ มาถึงตอนนี้แล้วใครจะคู่ใครเราไม่สนแล้วนะ
ขอแค่ทิชาไม่ต้องเสียใจกับความโลเล ใจร้าย ของทั้งแดนและโรมก็พอ
บอกเลยเรารักทิชามาก ถ้าสองคนที่มีอยู่มันไม่ดี วอนคนเขียนเอาพระเอกคนใหม่ออกมาเลย
เราพร้อมเชียร์เสมอ ขอแค่ให้น้องทิชาของเราสมหวังในความรักบ้างก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 03-03-2018 14:51:03
เอาเหอะ มาถึงตอนนี้แล้วใครจะคู่ใครเราไม่สนแล้วนะ
ขอแค่ทิชาไม่ต้องเสียใจกับความโลเล ใจร้าย ของทั้งแดนและโรมก็พอ
บอกเลยเรารักทิชามาก ถ้าสองคนที่มีอยู่มันไม่ดี วอนคนเขียนเอาพระเอกคนใหม่ออกมาเลย
เราพร้อมเชียร์เสมอ ขอแค่ให้น้องทิชาของเราสมหวังในความรักบ้างก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 03-03-2018 22:21:35
มีความซับซ้อน วุ่นวายสับสนเข้าไปอีก
เห็นด้วยกับเม้นบนนะคะ ที่เราขอให้กำลังใจนิชาคนเดียวละ
ตอนนี้ไม่เชียร์ใครทั้งนั้น ขอให้ได้แฟนใหม่นอกเหนือจากกลุ่มเดิมนี้เลยด้วย
แต่ลุ้นเฮียรุจเอ็นดูทิชาเขาหน่อย ได้พี่เหี้ยมๆมาเป็นแบ็คอัพบ้าง
 ใครจะมารังแกจะได้เกรงใจหน่อย ชีวิตรันทดเหลือเกิน เหอๆ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 04-03-2018 04:05:22
ขอแค่ทิชามีความสุขก็พอตอนนี้ไม่อยากขอไรมาก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 10:48:26
14
~ให้โลกหมุนรอบตัวเอง ~


TISHA’s PART


ผมเดินเร็วเต็มฝีเท้าจนเกือบกลายเป็นวิ่งไปตามทางเดินในอาคารพักฟื้นผู้ป่วย แม้นางพยาบาลสูงวัยหน้าดุจะหันมาเอ็ดแต่ก็ไม่ทำให้ผมลดความเร็วลง.... ใจผมเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นข้อความที่แม่และพี่สาวของเพื่อนส่งมาหา ผมเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง รู้แค่ว่าบีบี๋ประสบอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก นอกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และทำไมบีบี๋ถึงได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาแบบนั้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง ผมก็เจอกับแม่และพี่สาวของบีบี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่มีสีหน้าย่ำแย่อิดโรยเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“สวัสดีครับ หม่าม้า เจ้แบม.... หมอบอกว่าบีบี๋เป็นยังไงบ้างครับ? ตกลงว่าพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหม?”

“บีบี๋ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แค่ไหปลาร้าหลุดแล้วก็ขาหัก ที่เหลือก็แค่แผลถลอกนิดหน่อย”

เจ้แบมเป็นคนตอบ ผมพยักหน้ารับรู้พลางหันไปมองร่างที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง บอกตามตรงว่าค่อนข้างโล่งใจขึ้นมากเมื่อสภาพของเพื่อนไม่ได้หนักหนาสาหัสปางตายเหมือนที่แอบคิดไปล่วงหน้า ถึงเฝือกที่ไหล่กับขาจะดูหนาเตอะน่ากลัวชวนให้รู้สึกอึดอัดแทนก็เถอะ แต่เชื่อว่าหลังถอดเฝือกทำกายภาพบำบัดอีกไม่กี่เดือนก็น่าจะกลับมาหายเป็นปกติได้ไม่ยาก

“ถ้าคุณหมอว่าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ยังไงหม่าม้ากับเจ้แบมก็อย่าคิดมากเลยนะครับ เข้มแข็งเผื่อมันด้วย ถ้าไอ้บี๋ตื่นมาเห็นหม่าม้ากับเจ้ร้องไห้เสียใจที่มันเจ็บ มันก็คงไม่สบายใจ.........”

“มันไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บตัวอย่างเดียวน่ะสิ ทิชา”

เจ้แบมดึงทิชชู่จากโต๊ะหัวเตียงมาซับน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าผม ดูคล้ายว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เกิดขึ้น และมันก็คงต้องร้ายแรงมากพอสมควรถึงทำให้หญิงแกร่งสายสตรองแบบเจ้แบมออกอาการเครียดจัดได้ขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่ครอบครัวของบีบี๋ส่งข้อความหาผมเพื่อขอให้มาที่นี่

หม่าม้าดึงมือผมเอาไว้เสมือนว่าผมคือความหวังสุดท้าย ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจความหมายที่ส่งผ่านแววตาอ่อนล้าของหญิงสูงวัยเท่าไรนัก หากก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าและรักใคร่ห่วงใยในตัวลูกชายตามประสาคนเป็นแม่

“อาน้องทิชา หม่าม้ารู้ว่าหมู่นี้ลื้อกำลังยุ่งๆ เรื่องเป็นดาราอยู่ แต่ลื้อพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าอาบีบี๋ไปคบเพื่อนเกเรที่ไหน?” 

ผู้ใหญ่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ไม่ทันขาดคำน้ำตาก็ร่วงเผาะจนผมต้องหยิบทิชชู่ส่งให้.... ทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเกินกว่าที่ผมเคยคิดไปไกลหลายปีแสง แน่นอนว่าผมรู้เรื่องที่บีบี๋โดดเรียนบ่อย ยิ่งถ้าเป็นวิชาบรรยายที่อาจารย์ไม่เช็คชื่อก็แทบไม่เห็นหน้ามันในคลาสเลย แต่เพราะเราทั้งสองคนเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้วผมจึงไม่กล้าไลน์ไปพูดคุยถามไถ่ ถึงส่งไปมันก็คงไม่ตอบ ก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนใหม่ของมันจะช่วยเหลือประคับประคองกันไป แล้วมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง 

“อีไม่ค่อยกลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ไปค้างบ้านเพื่อนที่ไหน หม่าม้าถามก็ไม่ยอมบอก ปาป๊ากับอาเฮียบิ๊กจะตีอาบีบี๋เพราะเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแต่อีก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย.... บางทีอีก็บอกว่าไปนอนบ้านอาน้องทิชา แต่หม่าม้าดูออกว่าอีโกหก”

“ผมขอโทษครับ หม่าม้า แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.... ผมกับบีบี๋ไม่ได้คุยกันมาพักนึงแล้ว...........” 

ผมตัดสินใจบอกความจริงที่ว่าผมกับบีบี๋เลิกคบกัน หม่าม้ากับเจ้แบมต่างก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเพราะบีบี๋แทบไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ที่บ้านฟัง แต่ถึงจะไม่ได้สนิทกันแล้วก็ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากเห็นครอบครัวของมันทุกข์ใจ แล้วเท่าที่ผมรู้ ฝ้ายกับเจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มใหม่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดจะพากันไปเสียผู้เสียคนแบบนั้น 

“บีบี๋ไปสนิทกับเพื่อนผู้หญิงในภาคเดียวกันน่ะครับ แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้ดูเกเรอะไร ไม่น่าใช่เด็กเที่ยวด้วย”

แม้จะพยายามช่วยบอกให้คลายความกังวล หากก็ดูท่าทางจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไร.... เจ้แบมลากเก้าอี้มานั่งประกบผมอีกข้างก่อนจะยอมเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อคืน ผมถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าทำไมแม่กับพี่สาวบีบี๋ถึงได้กลุ้มอกกลุ้มใจเพราะพฤติกรรมซึ่งเหมือนออกนอกลู่นอกทางของมันนัก

“คืออย่างนี้นะ ทิชา.... เมื่อคืนที่บีบี๋เกิดเรื่องน่ะ สถานที่เกิดเหตุเป็นผับแถวเอกมัยชื่อเบอร์ลิค พอเจ้ลองไปถามจากบุรุษพยาบาลห้องฉุกเฉิน คนที่เรียกรถพยาบาลพาบีบี๋มาส่งแล้วก็อยู่ด้วยจนหมอใส่เฝือกจับแอดมิดเสร็จก็คือเจ้าของผับกับลูกน้องเขา เห็นว่าทางนั้นรู้ชื่อรู้ข้อมูลบีบี๋ทุกอย่าง ถ้าสนิทกันขนาดนั้นก็ไม่น่าจะใช่แค่เจ้าของผับกับลูกค้าธรรมดาๆ ใช่ไหมล่ะ” 

ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวผมก็คือชื่อของพี่รุจ เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเด็กนอกคณะวิศวะฯ อย่างบีบี๋จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคได้ยังไง แต่แล้ว ผมก็นึกถึงของชิ้นสำคัญซึ่งห้อยคอตัวเองมานานนับเดือนขึ้นมาได้

หรือว่าบีบี๋ไปได้เกียร์จากใครคนใดคนหนึ่งในนั้นมา....?

ผมรีบหันมองไปยังคนที่กำลังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง บริเวณลำคอโล่งโจ้งว่างเปล่าไม่มีเครื่องประดับสวมอยู่ก็จริง แต่รอยบาดเล็กๆ ซึ่งพาดตัดกับสีผิวก็ทำให้ผมทำได้แค่เพียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย.... ไม่ใช่ว่าผมนิ่งนอนใจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนที่เลิกคบกันไปแล้ว แต่ในเมื่อผมไม่เห็นบีบี๋คล้องเกียร์วิศวะฯ ก็เท่ากับไม่มีหลักฐานว่ามันเป็นคนในของเบอร์ลิค และผมก็ไม่อยากซี้ซั้วพูดเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริงจนทำให้คนอื่นเขายิ่งเครียดหนักไปกว่าเดิมด้วย

หากดูท่าทางผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในสายตาพี่สาวบีบี๋ไปเสียแล้ว....

“ถึงเจ้จะเอาแต่เรียน วันๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแต่เจ้ก็รู้นะว่าเบอร์ลิค เอกมัยไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย แล้วเจ้ก็คิดว่าทิชาก็น่าจะรู้เหมือนกัน”

“ผมกับบีบี๋เคยไปเที่ยวเบอร์ลิคด้วยกันครั้งนึงครับ แต่ก็แค่ไปเที่ยว แล้วมันก็นานหลายเดือนมากแล้วด้วย..........”

ผมบอกได้แค่นั้นก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แม่และพี่สาวบีบี๋ ผมอาจดูเป็นคนที่แย่เอามากๆ ทิ้งคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนไปมีความสุขโดยไม่สนใจใยดีมันเลย พอเกิดเรื่องก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แม้กระทั่งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มีปัญหาจะให้

“ขอโทษจริงๆ ครับ เจ้แบม.... ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้.........”

“ช่างเถอะๆ เจ้ก็ไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดของทิชาสักหน่อย”

เจ้แบมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แม้เจ้าตัวจะมีสีหน้าผิดหวังที่ผมไม่ยอมปริปากพูดถึงเบอร์ลิคมากเกินไปกว่าแค่สารภาพว่าเคยไปเที่ยวครั้งเดียว พอๆ กับที่ผิดหวังในตัวน้องชายซึ่งดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน 

“บีบี๋ต่างหากที่ทำตัวเอง โตจนป่านนี้แล้วยังเหลวไหลไม่เอาไหน.... พอไม่ได้คบกับเพื่อนดีๆ แบบทิชาก็ยิ่งกู่ไม่กลับไปกันใหญ่”


ก๊อกๆๆๆ



‘ผมเข้าไปนะครับ..........’



เสียงเคาะประตูกับเสียงพูดที่แสนคุ้นหูดังขึ้น เชื่อไหมว่าผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่างเพียงแค่แวบแรกที่ได้ยิน ภายในชั่วระยะเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีนั้นมีแต่คำขอร้องอ้อนวอนคุณพระคุณเจ้าว่าอย่าให้ใช่คนที่ผมคิดลอยวนเวียนอยู่เต็มหัวสมอง แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าผมไม่ใช่ประเภทมากับดวง โชคไม่เคยเข้าข้างมาตั้งแต่เกิด แล้วมีหรือว่าไอ้คำขอติงต๊องนั่นจะเป็นจริงขึ้นมาได้

แค่เห็นปลายรองเท้ายื่นโผล่มา ผมก็รู้แล้วว่าเขาคนนั้นคือใคร

แฟน....ของผม..........


“หม่าม้ากับเจ้แบมมาทานข้าวก่อนเถอะครับ ผมซื้อของกินมาหลายอย่างเลย น้ำผลไม้กับขนมก็มี.... เดี๋ยวผมดูน้องให้เอง”

ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อช็อปวิศวะฯ หิ้วถุงใส่ข้าวกล่องกับก๋วยเตี๋ยวพะรุงพะรังพลางเอ่ยขันอาสาช่วยเฝ้าคนป่วยให้อย่างน้ำใจงาม เส้นประสาทผมเขม็งเกลียวเต้นตุบตับจนเสียงลอดออกมาทางหู.... บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่จะโกรธ โมโห หรือเป็นบ้าเป็นบออะไรก็ช่างแม่งเหอะ ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากจะเดินเข้าไปตีคนตรงหน้าแรงๆ แล้วโยนข้าวของพวกนั้นออกนอกหน้าต่างไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

ทำไมพี่โรมถึงมาอยู่ที่นี่....!?

“ขอบใจมากนะ โรม.... ถ้าไม่ได้นายคอยเป็นธุระจัดการเรื่องบีบี๋ให้ พวกเจ้คงยังตั้งสติไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูกแน่”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย”

ชายหนุ่มซึ่งทำตัวเสมือนเป็นลูกชายอีกคนของตระกูลแซ่ลิ้มกุลีกุจอวางข้าวปลาอาหารที่ซื้อมาลงบนโต๊ะพร้อมทั้งพูดคุยกับเจ้แบมอย่างสนิทสนม บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์เข้ามาปกคลุมแทนที่ความตึงเครียดเมื่อครู่ จากที่ร้องห่มร้องไห้กลุ้มใจเรื่องบีบี๋ก็เปลี่ยนมาเป็นชื่นมื่นเตรียมล้อมวงกินข้าว แต่ก็ชื่นกันได้ไม่นานหรอกในเมื่อยังมีก้างขวางคอชื่อทิชายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้

“พี่โรม.........”

“ทิชา!?” 

พี่โรมดูจะตกใจมากทีเดียวที่เห็นผม รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อหายวับไปราวกับโดนหลุมดำดูดไปอีกมิติหนึ่ง 

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

ผมว่าคำถามนั้นควรจะเป็นของผมมากกว่า แล้วพี่โรมก็ควรจะตอบให้เคลียร์ด้วยว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง ซึ่งถ้าเจ้แบมไม่เข้ามาแทรกแล้วชิงพูดแทนทั้งผมทั้งพี่โรม เห็นทีว่าทิชาเวอร์ชั่นหัวร้อนคงได้ออกมาแผลงฤทธิ์ให้ผู้ใหญ่หมายหัวว่าเป็นเด็กร้ายกาจไม่มีมารยาทแน่

“เจ้เป็นคนส่งแมสเสจบอกทิชาว่าบีบี๋เข้าโรงพยาบาลเองแหละ พอดีว่ามีหลายๆ เรื่องที่อยากถามทิชาก็เลยขอให้เขามาคุยกันนิดหน่อย” 

พี่สาวบีบี๋อธิบายต้นสายปลายเหตุทางฝั่งผมก่อนแล้วค่อยไล่เรียงความดีความชอบที่พี่โรมทำเอาไว้ให้ฟังทีละข้อ

“โรมเป็นคนโทรบอกเจ้กับหม่าม้าเรื่องบีบี๋ เห็นว่าเจ้าของร้านเบอร์ลิคเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับเขาก็เลยรู้ข่าวต่อๆ กันมาจากเพื่อนอีกที.... นี่โรมก็อุตส่าห์อยู่เฝ้าให้ตั้งแต่บ่าย ช่วยจัดการพวกเรื่องเอกสารขอเคลมประกันสุขภาพของมหาลัยให้ ค่อยยังชั่วหน่อยที่อย่างน้อยบีบี๋ก็รู้จักคบคนดีมีน้ำใจเอาไว้บ้าง”

“เหรอครับ”

ผมลืมไปได้ยังไงว่าพี่โรมกับบีบี๋เคยเป็นอะไรกัน ถึงแม้จะแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็เคยไปรับ-ส่งเข้านอกออกในบ้านบีบี๋จนรู้จักมักจี่กับคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ความหงุดหงิดในหัวใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหม่าม้ากับเจ้แบมดูจะปลื้มพี่โรมเหมือนอยากได้ไปเป็นเขย แล้วเจ้าตัวก็ยังคงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยสักนิด

หน้าผมตึงมาก ตาแข็งปากคว่ำหนักจนรู้ตัวเลยว่าไม่มีทางกลับมายิ้มต่อหน้าคนทั้งหมดในห้องนี้ได้แน่....

“อาน้องทิชา อาโรม พวกลื้อมากินข้าวกับหม่าม้าก่อนแล้วค่อยกลับนะ.... เดี๋ยวคืนนี้หม่าม้ากับเจ้แบมจะอยู่เฝ้าบีบี๋เอง พวกลื้อเหนื่อยเพราะลูกชายหม่าม้ามาเยอะแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า”

“ไม่ล่ะครับ หม่าม้า ผมไม่กล้ารบกวนหรอก” 

ผมตอบปฏิเสธอย่างสุภาพโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองพี่โรมซึ่งกำลังช่วยเจ้แบมแกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม

“รบกวนที่ไหนกัน ดูสิ อาโรมซื้อข้าวมาเยอะแยะเชียว หม่าม้ากับเจ้แบมกินกันสองคนไม่หมดอยู่แล้ว”

“คือ........รถที่มาส่งผมเขาจอดรออยู่ข้างล่างน่ะครับ หม่าม้า ถ้าผมกลับดึก พี่คนขับรถก็ต้องกลับดึกไปด้วย ผมเกรงใจเขา”

“งั้นลื้อก็กลับดีๆ ถ้ามีเวลาว่างก็มาเยี่ยมบีบี๋บ้างนะ อาน้องทิชา”


ผมยกมือไหว้หม่าม้ากับเจ้แบมก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ความรู้สึกหงุดหงิดเกรี้ยวกราดแน่นตื้ออยู่ในอกจนอึดอัดอยากหาที่ระบาย.... จะด่าว่าผมแม่งไบโพล่าร์ อารมณ์สองขั้วเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงน่ารำคาญฉิบหายก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อกี้ผมยังนึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแม่และพี่สาวบีบี๋ได้อยู่เลย แต่พอมีคนยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็ดันทำตัวงี่เง่าด้วยการนึกหวงพี่โรม ไม่พอใจที่เขากลับไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวแฟนเก่า

ใครจะเสนอหน้าเป็นคนดีมีน้ำใจยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่โรม

ต้องไม่ใช่แฟนของผม คนที่ครั้งหนึ่งเคยมองว่าไอ้บี๋ช่างน่ารักแสนดีแล้วก็เลือกมันก่อนที่จะมาเลือกผม....!



“ทิชา”

“ทิชา...........”

ต้นเหตุของเชื้อไฟในหัวใจพยายามเอ่ยเรียกจากทางด้านหลัง ผมยิ่งเร่งฝีเท้าหนีทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงห่าเหวอะไรทั้งนั้นจนมาหยุดอยู่หน้าลิฟท์ ปลายนิ้วกระแทกปุ่มซ้ำๆ ทั้งที่ก็เคยเรียนมาว่าการกดปุ่มลิฟท์หลายครั้งไม่ได้ช่วยให้มันมาเร็วขึ้น หากตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพี่โรม ยังไม่อยากรับรู้รับฟังว่าเขายังหลงเหลือความรักความห่วงใยให้บีบี๋มากแค่ไหน

“มาคุยกันก่อน พี่อธิบายเรื่องทั้งหมดได้นะ” 

เพราะไอ้ลิฟท์เวรมันไม่ยอมมา ผมก็มองหาป้ายบันไดหนีไฟ ยอมวิ่งลงสิบห้าชั้นดีกว่าคุยกับคนโลเลสองใจ แต่พี่โรมกลับคว้าแขนผมเอาไว้ได้ก่อนจะดึงให้มาหลบมุมจ้องหน้ากันแบบกระอักกระอ่วนที่สุดในรอบเดือน

“ฟังที่พี่พูดให้จบแล้วจะโกรธก็ค่อยโกรธ อย่ามาเดินหนีกันแบบนี้”

“งั้นก็พูดสิ ชาจะฟัง........”

ผมว่าผมเดาความคิดพี่โรมออก เขาต้องผิดหวังที่ผมทำตัวงอแงอย่างกับเด็กอนุบาลทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าพร้อมจะเป็นที่พึ่งให้เขา สถานการณ์เวลานี้ไม่เหลือทางเลือกให้ผมเลย ผมโกรธก็จริงแต่ก็ไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับพี่โรม สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือยืนฟังอะไรก็ตามที่เขากำลังจะพูด

“เรื่องบีบี๋ พี่รู้มาจากไอ้แจ็คอีกทอดหนึ่ง ก็ที่มันโทรมาหาพี่ตอนเที่ยงวันนี้ตอนกำลังเฟซไทม์กับเรานั่นแหละ.... บีบี๋เกิดอุบัติเหตุที่เบอร์ลิค มันกับเฮียรุจเป็นคนช่วยพามาส่งโรงพยาบาล ไอ้แจ็คเห็นว่าพี่รู้จักกับที่บ้านบีบี๋ มันก็เลยคิดว่าถ้าให้พี่เป็นคนแจ้งข่าวไปเองน่าจะดีกว่า” 

เหตุผลของพี่โรมก็พอฟังขึ้นอยู่หรอกนะ แต่มันก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงใจผมตรงที่เพราะพี่โรมคือแฟนเก่าก็เลยต้องรับภาระไป ผมโคตรอยากพูดเลยว่าบีบี๋ก็มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่หลังจากที่เราสองคนเดินออกมา แล้วมันจำเป็นแค่ไหนที่พี่โรมจะต้องอุทิศตัวบำเพ็ญประโยชน์เพื่อคนที่ไม่ได้อยากให้เรารักกัน

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ใครมีเบอร์บ้านไอ้บี๋ก็โทรหาหม่าม้าได้ทั้งนั้น”

“เฮียรุจเป็นเจ้าของร้าน แกไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวลูกค้า..........”

“ลูกค้าเหรอ?” 

ผมย้อนถามเสียงขึ้นจมูก พยายามแล้วนะที่จะไม่คิดในแง่ร้ายแต่ก็ยังไม่สามารถมองข้ามสิ่งที่เจ้แบมพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ได้ คนประเภทที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่นสนุกอย่างพี่รุจน่ะเหรอจะพาเด็กซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกันขึ้นรถพยาบาลมาเอง อมพระประธานยันหลังคาโบสถ์มาพูดยังไม่อยากเชื่อเลย 

“ลูกค้าธรรมดาๆ จะไปมีอุบัติเหตุในร้านได้ไง ร้านก็มีอยู่แค่นั้น นี่ถึงขนาดแขนหักขาหักเชียวนะ หรือไอ้บี๋มันเมาแล้วกระโดดหัวทิ่มลงมาจากเวทีล่ะ?”

“ก็คนที่อยู่ในเหตุการณ์เขาว่าอย่างนั้น.........”

“ใคร? พี่แจ็คเหรอ?” 

ผมไม่ได้เจตนาจะจับผิดพี่โรมนะ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางจะชวนให้คิดว่าผมกำลังทำอย่างที่ว่าก็เถอะ 

“งั้นพี่แจ็คอยู่ไหน ชาอยากคุยด้วย”

“ไอ้แจ็คกลับหอไปแล้ว เมื่อคืนมันไม่ได้นอนเลยทั้งคืน”

“โทรหาเขาสิ โทรศัพท์ก็มีนี่!”

“ทิชา!”

พี่โรมทำเสียงดุเตือนให้รู้สึกตัวว่าผมล้ำเส้นจากการคุยกันด้วยเหตุผลไปสู่การโวยวายเอาแต่ใจ ทำเหมือนโลกทั้งใบจะต้องหมุนรอบตัวเองคนเดียว.... กับคนอื่นผมคงไม่ติดใจอะไรมากมาย เข้าใจด้วยซ้ำว่านิสัยพี่โรมก็เป็นแบบนี้ แต่เพราะคนที่นอนเดี้ยงอยู่ในห้องนั่นคือบีบี๋ แล้วจะไม่ให้ผมระแวงว่าเขาจะกลับไปพูดคุยคืนดีกันช่วงระหว่างที่ผมหัวหมุนอยู่ในกองถ่ายซีรีส์เฮงซวยเลยหรือไง ลำพังแค่อยากประกาศให้หม่าม้ากับเจ้แบมรู้ว่าพี่โรมเป็นแฟนผมก็ยังพูดออกมาไม่ได้

จะบอกว่าเพราะไปแย่งเอาของเขามาก็เลยกลัวที่จะโดนแย่งคืนก็คงใช่มั้ง แต่ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิม ได้แต่นั่งดูเขารักกันพูดถึงกัน แล้วตัวเองก็อกกลัดหนองช้ำใจตายไปในที่สุด

ผมกำลังหึงพี่โรม.....ทั้งหึงแล้วก็หวงมากด้วย......

“ชารู้ว่าพี่โรมก็แค่มีน้ำใจ เห็นใครเดือดร้อนก็อยากช่วย แต่ช่วยจบแล้วก็จบกันไปไม่ได้เหรอ.... ชาไม่อยากให้พี่โรมกลับไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้บี๋อีก.........”

ผมก้มหน้าลงมองกระเบื้องปูพื้น ไม่กล้าให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตาน่าเกลียดของคนขี้หึงจนแทบเป็นบ้า 

“ถ้าเรื่องวันนี้มันมีแค่พี่โรมโทรศัพท์หาหม่าม้ากับเจ้แบม ชาจะไม่พูดว่าอะไรเลยสักคำ แต่ที่ชาเห็นมันไม่ใช่ นี่มันเหมือนว่าพี่โรมกำลังพยายามเอาตัวกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนั้นทั้งๆ ที่พี่เลือกเดินออกมาพร้อมกับชาแล้ว.... ไอ้บี๋มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย แล้วพี่โรมก็ไม่ใช่คนที่ทำให้มันเจ็บตัว ทำไมพี่ต้องทำอย่างกับว่าจะรับผิดชอบชีวิตมันด้วย.........”

พี่โรมเงียบไปเลย เงียบไปนานมากจนผมรู้สึกได้ว่าคำพูดเมื่อกี้คงแทงใจดำเขาเข้าอย่างจัง.... เขาเป็นคนที่ต่างจากผมชนิดคนละขั้ว ผมอ่อนไหวง่ายชอบทำอะไรตามอารมณ์ แต่พี่โรมเป็นพวกใช้ตรรกะและเหตุผลนำหน้า รวมถึงเรื่องนี้ด้วย ผมถึงได้รู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมา

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากฟังเหตุผลแสนห้าของเขานักหรอก ผมสนแค่ว่าพี่โรมจะไม่ทิ้งผมไปก็เท่านั้น....

“ทิชา พี่รู้ว่าเราคิดมากเพราะคนเจ็บคือบีบี๋ แต่เวลาแบบนี้เราอย่าเพิ่งเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดถึงเลยนะ”

“กลายเป็นว่าชาคิดมากไปเองเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น........” 

ร่างหนาถอนหายใจดังเฮือก คงหน่ายที่จะต้องชักแม่น้ำร้อยสายมากล่อมให้ผมยอมลงให้เต็มที 

“ทิชาก็เห็นว่าบีบี๋มีแค่หม่าม้ากับเจ้แบมมาดูแล ปาป๊าต้องอยู่ดูแลร้านขายของ เฮียบิ๊กก็ไปเป็นหมอใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ลำพังผู้หญิงแค่สองคนจะทำอะไรก็ลำบาก.... อะไรที่เราพอช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ ทิชาเองก็เป็นห่วงบีบี๋ใช่ไหมล่ะถึงได้มาหาเพื่อนน่ะ”

ยิ่งพูดยิ่งฟังดูเหมือนผมโดนด่าอ้อมๆ ว่าเห็นแก่ตัวเลย แต่พี่โรมควรจะรู้หรือเปล่าว่าคนที่ทำให้ผมเลิกเป็นห่วงบีบี๋อย่างสิ้นเชิงก็คือตัวเขานั่นแหละ

“โอเค งั้นเรื่องวันนี้เป็นอันว่าจบเคลียร์ ชาไม่โกรธพี่โรมก็ได้” 

ผมเงยหน้าขึ้นมองแฟนหนุ่ม รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นใบเค้าหน้าหล่อหากก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ในเมื่อพี่โรมเคยโดนยัยมิลค์ข่วนมือแหกเวลาไม่ได้ดั่งใจแล้ว ก็อย่าแปลกใจเลยว่าลูกสาวเราได้นิสัยขี้โมโหมาจากใคร 

“ช่วยเฝ้าให้ก็แล้ว ช่วยเดินเอกสารให้ก็แล้ว พี่โรมก็หมดหน้าที่สักทีเนอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำอะไรๆ ให้พวกเขาอีกแล้วนะ”

“..................”

“พี่โรม รับปากชาสิว่าจะไม่มาอีก!”

ผมร้องเหี้ยหนักมากในใจเมื่อคนตรงหน้าใช้วิธีสงบสยบเคลื่อนไหว เพราะนั่นหมายความว่าเขากำลังมีเหตุผลห่ารากจากไหนก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ ส่วนพวกที่พูดๆ มาก่อนหน้านี้ก็แค่อารัมภบทเกริ่นนำให้ผมอารมณ์เย็นลงต่างหาก

“พี่ยังรับปากไม่ได้.... ถ้าจำเป็น พี่ก็ต้องมา.........”

“ไหนว่าพี่โรมแค่ถูกเรียกให้มาช่วยเพราะรู้จักกับที่บ้านไอ้บี๋ไง.... อุบัติเหตุบ้าบอนั่นพี่โรมก็ไม่ได้เป็นคนทำ เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แล้วคิดจะอยู่ช่วยเขาไปถึงไหน!?”

ผมโวยดังขึ้นจนนางพยาบาลซึ่งอยู่เวรตรงเคาท์เตอร์ประจำชั้นต้องเดินมาบอกให้เราเงียบเสียงลง ถึงแม้จะหุบปากนิ่งสนิทหากความโกรธยังคงคุกรุ่นจนหูตาร้อนผ่าวแทบไหม้.... ถ้าเมื่อกี้ยังคิดไม่ได้ก็ไม่อยากว่ากัน แต่จนป่านนี้ก็น่าจะคิดได้แล้วสิว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้มากแค่ไหน เขาอยากจะเป็นคนดีรับรางวัลระฆังทองก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ผมไม่เอาด้วย! ให้ตายก็ไม่เอาด้วย!

แต่แล้ว พี่โรมก็มีสารพัดเหตุผลมาดึงแกนโลกไปหมุนรอบตัวเขาอีกจนได้

“พี่ก็ไม่ได้อยากมา......แต่พอบีบี๋ตื่น เขาก็ร้องหาแต่พี่คนเดียว ไม่เอาคนอื่นเลย........แม้แต่แม่กับพี่สาวเขาเองก็ยังไม่รู้จะทำยังไง.........”

“.......อะไร.......นะ?”

ไม่ใช่ว่าผมฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่โรมพยายามอธิบายนะ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเล่นมุขนี้ทั้งๆ ที่ก็น่าจะตระหนักว่าคำพูดพล่อยๆ พวกนั้นมันอาจแยกเราทั้งคู่ออกจากกันได้ ผมย้อนถามร่างสูงพร้อมปั้นสีหน้าเหมือนรู้ทันให้เขาเห็น ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาคือมหากาพย์เรื่องเศร้ายาวเหยียดของคนรักเก่าผู้โชคร้ายกับชายหนุ่มแสนดีที่กำลังประคับประคองจูงมือทุกคน.... แล้วผมก็คือแฟนใหม่ซึ่งเป็นตัวอิจฉา คอยกีดกันไม่ให้โรมิโอกับจูเลียตได้ครองรักกันนั่นแหละ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้ก็ลองขอให้หมอช่วยเอ็กซเรย์ดูแล้ว เขาก็บอกว่าบีบี๋ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าที่เห็นภายนอก แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าสมองส่วนหน้าอาจถูกกระทบกระเทือน ทำให้ความทรงจำบางอย่างเกิดสับสนขึ้นมา........”

ผมเลิกคิ้วเบ้ปากให้กับข้ออ้างข้างๆ คูๆ เหมือนหลุดออกมาจากละครน้ำเน่า ในใจมีเพียงความรู้สึกไม่เชื่อผุดโผล่งอกออกมาทั่วทุกตารางนิ้ว และก็คงจะหัวเราะขำก๊ากไปแล้วถ้าหากพี่โรมไม่ได้ทำท่าทางคล้ายจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ตรงหน้า 

“เท่าที่ลองคุยดูตอนเขาตื่น ดูเหมือนว่าความทรงจำในช่วงสอง-สามเดือนที่ผ่านมาของบีบี๋จะหายไป อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายเป็นปกติ”

พี่โรมกุมมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ ร่องรอยของความกังวลและกลัวไม่แพ้กันฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเข้ม ผมรอให้เขาร้องแว่~ แลบลิ้นปลิ้นตาหรือบอกว่านี่เรากำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่นแบบ MTV Prank หรือ Deal with it อะไรทำนองนั้น รับรองเลยว่าผมจะไม่โกรธ จะไม่โมโหแล้วก็จะไม่ประชดกลับใส่เขาด้วย

แต่ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคไม่เคยเข้าข้าง....?



“บีบี๋จำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราไม่ได้เลย เรื่องสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือวันที่พี่ขอเขาคบเป็นแฟน...........”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 10:54:39
.

.

.

ถ้าถามใจผมนะ.... ผมไม่เชื่อหรอกว่าบีบี๋จะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจริง ความจำของคนเรามันจะเสื่อมกันได้ง่ายๆ เลยเชียวเหรอ?

จะบอกว่าความจำเสื่อมก็พูดไม่ได้เต็มปากด้วย เพราะเลือกเสื่อมเป็นอย่างๆ จำแค่สิ่งที่ตัวเองอยากจำ แล้วก็ลืมในสิ่งที่ตัวเองอยากลืม

จำได้ว่าพี่โรมเป็นแฟนตัวเอง แต่ดันจำไม่ได้ว่าตัวเองถูกเขาบอกเลิกไปแล้ว


เชี่ยสุดอะไรเบอร์นี้


นี่มันเรื่องตลกโกหกตอแหลชัดๆ....!!

.


.


.

ผมกับพี่โรมไม่ได้ทะเลาะกันก็จริง แต่ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร คืนนั้นเราเฟซไทม์หาข้อตกลงเรื่องไอ้บี๋อยู่หลายชั่วโมงจนแทบไม่มีใครได้หลับได้นอน แต่ถ้าคุยกันไม่จบก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี แล้วเราก็ได้ข้อสรุปแบบพบกันครึ่งทาง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางของพี่โรมไปสักประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ

หนึ่ง.... พี่โรมรู้แล้วว่าผมหึงและเขาจะระวังให้มากกว่านี้

สอง.... เราทั้งคู่คิดคล้ายๆ กันว่าอาการความจำเสื่อมของบีบี๋อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ ซึ่งจุดนี้ผมเอียงไปทางจ้อจี้ ในขณะที่พี่โรมไม่ขอออกความคิดเห็นจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากหมอว่าบีบี๋ไม่เป็นอะไรแน่นอน

สาม.... ผมยื่นเงื่อนไขว่าถ้าเขาจะกลับไปเยี่ยมบีบี๋ที่โรงพยาบาลก็ควรบอกความจริงมันไปเลยว่าตอนนี้โลกหมุนไปถึงไหนแล้ว แต่พี่โรมขอเวลาอีกนิด รอจนกว่าบีบี๋จะอาการดีขึ้นก่อน เพราะหมอบอกว่าคนเจ็บยังมีอาการช็อกจากการตกจากที่สูง ยังไม่อยากให้มีอะไรมากระทบกระเทือนระหว่างที่ร่างกายกำลังพักฟื้น

สี่.... ผมถามถึงเรื่องของบีบี๋กับเบอร์ลิค แต่พี่โรมไม่ตอบ

ห้า.... ผมขอไม่ให้พี่โรมไปนั่งเฝ้าบีบี๋ทั้งวันแบบวันนี้อีก ถ้าอยากจะไปก็คือต้องไปพร้อมกันเท่านั้น เขาไม่รับปาก บอกแค่ว่าถ้ามันจำเป็นก็ต้องไป ซึ่งผมก็หาคำตอบไม่ได้ว่าความจำเป็นที่พี่โรมพูดถึงมันหมายความว่ายังไง


แต่ฟังแค่นี้คงพอเดาออกใช่ไหมว่าใครต้องเป็นฝ่ายยอม....?

ก็โลกทั้งใบของผมอยู่ในมือพี่โรมแล้วไง ก็เชิญเอาไปหมุนรอบตัวเองจนกว่าจะพอใจได้เลย

.

.

.

แผนการที่ผมคุยกับพี่โรมเอาไว้ว่าเย็นวันอาทิตย์เราจะอยู่คอนโดฯ ดูหนังทำกับข้าวกินเองแล้วนอนกอดกันให้เปรมหลังจากที่ต้องแยกกันมาทั้งสัปดาห์พังทลายย่อยยับไปกับอุบัติเหตุของแฟนเก่า.... พี่โรมไลน์มาบอกผมตั้งแต่ตอนสายๆ แล้วว่าวันนี้เขาจะไปเฝ้าบีบี๋ ถ้าผมอยากไปก็ให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลย แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยกลับมาเจอกันที่ห้องก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าพี่โรมจะกลับมาก็คงสาม-สี่ทุ่มหลังหมดเวลาเยี่ยมนั่นล่ะ

ผมห้ามเขาเรื่องไปเฝ้าคนเจ็บไม่ได้ ได้แต่ขอไม่ให้นอนค้างเด็ดขาด จะดึกแค่ไหนก็ต้องกลับมาดูแลยัยมิลค์ตามที่เราตกลงกัน ไม่งั้นผมจะเอาลูกกลับบ้านตัวเองทันที แต่คำสัญญาพวกนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจผมสงบลง ตลอดเวลาที่อยู่มหาวิทยาลัยกับสถานีโทรทัศน์ ผมเอาแต่คิดเรื่องพี่โรมกับบีบี๋จนแทบจะกลายเป็นหมกมุ่น.... ระแวงว่าเขาจะคุยอะไรกัน กลัวว่าเขาจะกลับมาคืนดีกัน กลัวว่าความสงสารเห็นอกเห็นใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผม

ก็ไม่เชิงว่าผมไม่เชื่อใจพี่โรม แต่ที่แน่ๆ ก็คือผมไม่เชื่อใจบีบี๋

แย่นะที่ผมมีความคิดแบบนี้ในเวลาที่ฝ่ายนั้นกำลังเจ็บหนัก แต่ผมก็อดฟื้นฝอยนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่อดีตคู่ซี้ทำเอาไว้ไม่ได้.... บีบี๋ไม่เคยเห็นผมเป็นเพื่อน จงใจจะปาดหน้าแย่งพี่โรมทั้งๆ ที่รู้ว่าผมชอบเขา แล้วทำไมคราวนี้มันจะทำอีกไม่ได้

ให้ตายเถอะ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งทนอยู่เฉยไม่ไหวจริงๆ


“เฮียโรมชาร์จมือถือให้บี๋หน่อย ดู Netflix แล้วแบตหมดเร็วชะมัด”

“ดูไปชาร์จไปก็ได้นี่ วางมือถือไว้ตรงนี้ไง”

“ไม่เอาอะ บี๋ไม่ชอบใช้มือถือตอนกำลังชาร์จ.... นี่ใช้แบตจีนแดงด้วย กลัวมันระเบิดใส่หน้า”

เสียงพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกร่าเริงน่าหมั่นไส้เสียดทะลุรูหูตั้งแต่วินาทีแรกที่ผลักประตูเข้าไป ผมแอบเบ้ปากนิดหนึ่งก่อนจะมองเห็นคนเจ็บในสภาพฟื้นคืนสติดีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ขาข้างที่หักไม่ได้ห้อยยกสูงน่ากลัวแบบเมื่อวันก่อนที่มาเยี่ยม แค่ใส่เฝือกดามไว้แล้วก็นั่งเหยียดขาตามปกติ ข้างๆ มีไม้ยันรักแร้วางพิงเอาไว้แสดงว่าหมอเริ่มให้ลุกจากเตียงได้บ้างแล้ว.... ก็มีแต่พี่โรมคนเดียวมั้งที่ทำเหมือนว่าบีบี๋มันจะพิการไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็เป็นอัมพาตง่อยเปลี้ยหยิบจับอะไรเองไม่ได้เลย

“ไอ้ชา~~” 

ทันทีที่เห็นผม คนสมองเสื่อมก็กระเด้งตัวหน้าระรื่นประหนึ่งเทเลทับบี้เห็นพระอาทิตย์ ตะโกนลั่นยิ้มร่าดีใจสุดขีดพร้อมทั้งอ้าแขนข้างเดียวที่ยังใช้การได้เรียกให้ผมเข้าไปหา

“คิดถึงมึงจังเลยคุณเพื่อน มากอดหน่อยๆ”

“อย่าเลย มึงเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ให้กูกอดเดี๋ยวไหปลาร้าก็หลุดอีกข้างหรอก”   

ผมกระตุกยิ้มอย่างเสียมิได้ให้มันไปหนึ่งที พยายามห้ามตัวเองไม่ให้ปากเสียขี้แซะแล้วเชียวแต่พอเจอสกิลทองไม่รู้ร้อนของชิวาว่าพันเล่มเกวียนก็เริ่มแบรคแตกอดรนทนไม่ไหว

“โหย กูก็ไม่ได้บอบบางขนาดน้าน~” 

ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนมันจะไม่รู้ว่าโดนแซะ ดวงตากลมจ้องหน้าผมไม่เว้นวางราวกับว่าต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการนึกถึงทุกเรื่องราวที่ผ่านมา ซึ่งผมคงจะโล่งใจมากกว่านี้ถ้าหากอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีแบบเดียวกับตอนที่มันสารภาพว่าจงใจแย่งซีนให้พี่โรมมาจีบมัน ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผมชอบเขา ไม่ใช่มากระพริบตาบ้องแบ๊วแอ๊บทำเป็นสมองเจ๊งอย่างนี้   

“แต่กูคิดถึงมึงจริงๆ นะ ไอ้ชา.... ไม่รู้ดิ กูว่ากูกับมึงก็ตัวติดกันตลอดแต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับมึงมานานมาก”

ผมขี้เกียจตอบคำถามนั้น เพราะรู้ดีว่าถ้าพูดไปก็คงไม่หยุดอยู่ที่แค่ว่าทำไมเราถึงเลิกเป็นเพื่อนกันแน่ พี่โรมเองก็ส่งสายตามาขอให้ผมอย่าเพิ่งเปิดวอร์ตอนนี้ ผมก็เลยเลี่ยงไปวางกระเป๋าหย่อนก้นนั่งกอดอกไขว่ห้างบนโซฟาใกล้ๆ แทน

“แล้วหม่าม้ากับเจ้แบมไปไหน วันนี้ไม่มาเฝ้ามึงเหรอ?”

“หม่าม้ากลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน เดี๋ยวตอนค่ำๆ ค่อยมาใหม่ ส่วนเจ้แบมพรุ่งนี้มีขึ้นวอร์ดตั้งแต่เจ็ดโมงก็เลยไม่มาเฝ้า.... เรียนหมอปีห้าก็งี้แหละมึง ดีนะที่กูขอป๊าเรียนอย่างอื่นได้ รอดตัวไป”

ในใจผมดันคิดว่าไม่น่าเลย อย่างไอ้บี๋นี่แหละควรจะเรียนหมอมากที่สุด มันจะได้ยุ่งกับเรื่องเรียนของตัวเองจนไม่มีเวลาว่างมาทำลายล้างชีวิตคนอื่น

“ว่าแต่มึงเถอะ คุณเพื่อน กูไม่ยักกะจำได้เลยว่ามึงแอบไปแคสบทในซีรีส์ตั้งแต่ตอนไหน ตื่นมาอีกทีเปิดเฟซบุคดูก็เจอว่าเพื่อนกลายเป็นดาราไปแล้ว แถมพระเอกที่เล่นคู่กับมึงยังเป็นไอ้แดน เดือนถาปัดซะด้วย” 

รูปประโยคฟังดูเหมือนถามด้วยความอยากเสือกธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดามันอยู่ตรงที่ไอ้บี๋พยายามจะเน้นหนักๆ ตรงชื่อคู่จิ้นของผมเสียเหลือเกิน 

“คุณเพื่อนนึกยังไงถึงเปลี่ยนใจอยากเป็นคนดังขึ้นมาได้วะเนี่ย วงการบันเทิงนี่แม่งศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงเกลียดเลยนะ.... ไหนจะมีกล้องตามติดชีวิตในเวิร์คช็อปมึงอย่างกับรายการเรียลิตี้ ไหนจะคนเยอะเรื่องแยะ แล้วก็คอมเมนท์เหี้ยๆ ในเน็ตด้วย แถมพระเอกคู่จิ้นยังเป็นคนที่มึงเกลียดขี้หน้าอีกต่างหาก แค่นึกภาพกูก็สยองแทนมึงแล้ว”

ผมแอบเห็นพี่โรมเม้มปากเป็นเส้นตรง รู้เลยว่าจะเอาคืนที่ทำให้ผมต้องจมอยู่กับความหงุดหงิดอารมณ์เสียตั้งหลายวันได้ด้วยวิธีไหน

“กูไม่ชอบขี้หน้าไอ้แดนตั้งแต่เมื่อไร เข้าใจผิดแล้วมั้ง”

ได้ผล.... พี่โรมหันมองมาผมตาขวางเชียว ดูท่าทางจะรู้เหมือนกันนี่ว่าโมโหหึงมันเป็นยังไง ก็ดีแล้ว เพราะผมคิดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเขากับไอ้บี๋เจ๊าะแจ๊ะกันแล้วว่าผมไม่ควรรู้สึกเช่นนี้เพียงคนเดียว

“อ้าว กูเข้าใจผิดเหรอ?” 

บีบี๋ทำหน้าเหรอหราอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าสลดตาละห้อยอย่างคนกำลังสำนึกผิด 

“งั้นกูก็มีเรื่องจะสารภาพว่ะ.......แต่แบบ......กูกลัวมึงโกรธอะ........สัญญาได้มั้ยว่าถ้าบอกแล้วจะไม่ด่ากัน.........”

“พูดมาเถอะ ระหว่างกูกับมึงก็ไม่มีอะไรจะเหี้ยไปกว่านี้แล้วล่ะ”

อันที่จริง ผมก็สงสัยอยู่หรอกนะว่าเรื่องที่ไอ้บี๋จะขอสารภาพบาปคืออะไร นอกจากเรื่องพี่โรมแล้วยังมีเรื่องไหนที่มันแอบแทงข้างหลังผมอีก แต่ถ้าถามว่ารู้แล้วจะโกรธมากไปกว่าเดิมไหม คำตอบก็คงเป็นไม่ เพราะไม่น่าจะมีเรื่องไหนบัดซบร้ายแรงเท่ากับการที่มันเอาพี่โรมของผมไปอีกแล้ว

 “คือว่า........ไอ้แดนน่ะ มันเคยบอกกูว่าชอบมึงแหละ.........”

ร่างบนเตียงเอามือป้องปากทำเสียงกระซิบกระซาบแต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันทั่วทุกคน ภายใต้สีหน้าหวาดหวั่นคล้ายกลัวผมด่า ผมกลับมองเห็นร่องรอยของความนึกสนุกแฝงอยู่ในแววตาจิ้งจอกห่มหนังลูกแกะ 

“มันมาขอแอดไลน์จะทักหามึงตั้งแต่ตอนปีหนึ่งเทอมสองแล้ว แต่ตอนนั้นกูคิดว่ามึงรำคาญมันก็เลยไม่ได้ให้ไป.... แล้วแบบว่า เวลามันไปเที่ยวเมืองนอกกับช่วงวาเลนไทน์ หรือช่วงวันเกิดมึงไรงี้ มันก็พยายามฝากของมาให้มึงผ่านทางกูตลอดเลย...........”

“เหรอ แล้วของอยู่ไหนล่ะ?”

“กูเอาไปโยนทิ้งหมดแล้ว.............” 

บีบี๋หัวเราะแห้ง

“ก็กูกลัวว่าถ้ามึงเห็นแล้วจะยิ่งรำคาญก็เลยคิดว่าปฏิเสธไปดีกว่า แต่ไอ้แดนก็บอกว่ามันให้แล้วให้เลย ถ้ามึงไม่อยากรับก็ให้ทิ้งขยะไป.... กูก็ผ่าโยนทิ้งไปจริงๆ.........”

ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนกระอักกระอ่วนเมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าบีบี๋รู้เห็นเรื่องไอ้แดนมาตลอดแต่ไม่เคยบอกผมซึ่งเป็นเพื่อนมันเลยสักคำ ผมก็ได้แต่ปั้นหน้านิ่งเฉยเหมือนรูปปั้นทั้งที่ภายในคลื่นเหียนอยากจะอ้วกออกมาเต็มแก่.... โอเค เหตุผลที่ไอ้บี๋อ้าง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผมตั้งแง่ใส่นายดรัณภพเอง จะหาว่าอคติก็ได้แต่สิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ก็คืออดีตเพื่อนคนนี้คงไม่พอใจเวลาที่มีคนมาทำดีกับผม ก็เลยพยายามกีดกันออกไปให้หมดแทนที่จะบอกความจริง

“ช่างเถอะ ยังไงมึงก็ทิ้งไปแล้วนี่”

มาเสียดายสิ่งที่ทำหลุดมือเอาตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว ไม่ต่างจากปราสาททรายที่พังลงเมื่อถูกคลื่นซัดถาโถม ต่อให้สร้างขึ้นมาใหม่ จำนวนเม็ดทรายที่มีอยู่ก็คงไม่เท่าเดิม เรื่องของผมกับมันก็เช่นกัน

“เฮียโรม เหมือนในตู้เย็นจะมีชามะนาวอยู่ใช่ปะ บี๋วานเฮียเอามาให้ไอ้ชาหน่อยดิ แล้วก็แอปเปิ้ลด้วย.... ไอ้ชามันชอบ ให้มันกินเยอะๆ เลย”

“แล้วบีบี๋จะกินอีกไหม เฮียจะได้หยิบเผื่อ”

“บี๋ไม่เอาแล้ว เมื่อกี้กินเชอร์รี่เข้าไปเกือบหมดกล่องแน่ะ อิ่มจะแย่”

เว้นว่างได้ไม่เท่าไรก็ต้องหงุดหงิดกับความแสนรู้ของมัน ไม่อยากจะบอกว่าที่คอนโดฯ พี่โรมน่ะมีชามะนาวยี่ห้อที่ผมชอบแช่อยู่เป็นลัง ขนมกับผลไม้ก็ไม่เคยขาดเลยด้วยตั้งแต่ผมย้ายเข้าไปอยู่กับเขา

“นี่ไม่อยากจะคุยเลยนะ แต่เฮียโรมน่ะใจดีที่สุดของที่สุดเลยว่ะ เทคแคร์ดีเวอร์ แถมยังรู้ใจกูไปหมด กูแทบไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยสักอย่าง” 

พอเห็นผมไม่พูดขัด ไอ้บี๋ก็ยิ่งเอาใหญ่ คงคิดล่ะมั้งว่าการคุยโม้โอ้อวดเรื่องพี่โรมจะสามารถทำให้ผมอิจฉาได้เหมือนวันที่เราระเบิดทุกสิ่งทุกอย่างใส่กันจนสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพฉิบหายไปในพริบตานั่นละ 

“ใครจะไปคิดว่าเกิดมาชาตินี้จะแต้มบุญดีขนาดได้เฮียโรมเป็นแฟน ที่สำคัญก็คือเขาเป็นฝ่ายจีบกูก่อนนะเว้ย เพื่อนชา.... โปรดฟังซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เฮียโรมจีบกูก่อน เขาบอกว่าเขาชอบกูมากกกกกกกกก”

“พอแล้ว บีบี๋”

พี่โรมซึ่งกำลังล้างแอปเปิ้ลอยู่ในห้องน้ำรีบเบรก หากก็ไม่ช่วยให้คนชอบขิงสงบปากสงบคำลงได้

“ฮั่นแน่ มีคนแอบเขินด้วย~”

บีบี๋กระมิดกระเมี้ยนบิดตัวไปมาทั้งๆ ที่ร่างกายก็ไม่ได้เอื้ออำนวยสักเท่าไร ก่อนจะหันมาทำตาโตตื่นเต้นใส่ผมเสมือนว่าเพิ่งมีอุกกาบาตมาตกที่หลังบ้านมัน 

“เออ คราวก่อนนู้น กูมีคุยๆ กับเฮียโรมเอาไว้ว่าวันหยุดยาวจะลงใต้ไปเที่ยวสุราษฎร์กัน แต่กว่าขากูจะหายก็คงอีกสักพักใหญ่ๆ หรือไม่ก็ปิดเทอมไปเลย.... ตอนนั้นมึงจะถ่ายซีรีส์สงครามคิวท์บอยอะไรนี่เสร็จหรือยังวะ เผื่อเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน กูยังไม่เคยไปไหนไกลๆ กับมึงเลยนะ”

“คงยังไม่เสร็จหรอก น่าจะอีกนานเลย”

“ว้า~ จริงเหรอ” 

คนตัวเล็กทำเป็นห่อปากร้องด้วยความเสียดาย แต่ดวงตาสุกใสกับรอยยิ้มกริ่มไม่สะทกสะท้านต่อน้ำเสียงเย็นชายังคงถูกส่งมาทางผม พร้อมกับเรื่องโม้เหม็นสไตล์เดิมๆ 

“เฮียโรมเคยบอกว่ารีสอร์ทที่สมุยของที่บ้านคือดีงามมาก นี่วางแผนไว้แล้วว่าอีกหน่อยถ้ากูเรียนจบก็คงย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย จะได้ช่วยป๊าม้าเฮียดูแลกิจการด้วย.... แต่ที่อยากไปสุดคือฟูลมูนปาร์ตี้เกาะพงัน ดูรีวิวในเว็บมาแล้วว่าฝรั่งหล่อล่ำแซ่บเวอร์มีให้เลือกอย่างกับเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต เผื่อมึงไปเปิดหูเปิดตาแล้วเจอเนื้อคู่จะได้โกอินเตอร์ไง”

สตอรี่คุ้นๆ เหมือนเดจาวูวันที่ผมฟิวส์ขาดไม่มีผิด....

ทว่า เหตุผลที่ทำให้เลือดในตัวผมเดือดปุดๆ ได้ไม่ใช่แค่เพราะการขิงไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหมของไอ้บี๋หรอก แต่เป็นเพราะพี่โรมก็เคยบอกว่าจะพาผมไปอยู่กับเขาที่บ้านเกิดหลังเรียนจบเหมือนกัน พอมาได้ยินแบบนี้มันก็เลยหมดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ คำสัญญาที่ให้ไว้ก็ไม่ได้มีค่ามากเกินไปกว่าแค่คำพูดพล่อยๆ ซึ่งพี่โรมจะพูดกับใครก็ได้ที่เขาคบด้วยในเวลานั้น

“พูดเยอะไปแล้ว เราน่ะ” 

ตัวต้นเหตุก็ทำได้แค่ปรามเสียงอ่อนแล้วยื่นขวดชามะนาวมาให้ จานแอปเปิ้ลหั่นชิ้นไม่ปอกเปลือกวางลงบนโซฟาข้างกายผมราวกับจะทดแทนคำขอโทษที่เขาสร้างปัญหาให้ผมต้องมาโดนเฉือนหัวใจแทบจะทุกห้าวินาทีแบบนี้ 

“กินสิ ทิชา.... แอปเปิ้ลนี่พี่ซื้อมาเอง ให้ที่ร้านคัดมาอย่างดีเลย อร่อยนะ”

ผลไม้สีแดงเนื้อหวานกรอบซื้อมาจากร้านประจำของผมแถวสถานีพร้อมพงษ์ ปกติผมจะเลือกเองแล้วให้ที่ร้านหั่นแพ็คใส่กล่องพลาสติก  ครั้งสุดท้ายที่แวะไปแถวนั้นพี่โรมก็ไปกับผมด้วย ก็ไม่ใช่ว่าหวงอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะถึงขนาดซื้อของแบบเดียวกันจากร้านเดียวกันเอามาประเคนให้แฟนเก่าผู้น่าสงสาร.... ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ต้องบอกว่านับจากนี้เป็นต้นไป ผมคงกินแอปเปิ้ลสายพันธุ์ New Zealand Envy ของโปรดจากร้านประจำของตัวเองไม่อร่อยอีกแล้ว

เมื่อผมไม่กิน แอปเปิ้ลจานนั้นก็กลายเป็นของไอ้บี๋ไปโดยสมบูรณ์แบบ มันสรรหาข้อดีของพี่โรมมาคุยให้ผมฟังไม่หยุดปากพลางซัดทุกอย่างจนอิ่มแปล้แล้วก็ผลอยหลับไปตามสูตรหนังท้องตึงหนังตาหย่อน

เวลาแห่งความทรมานใจของผมคงจะจบลงเสียที....

“พี่โรม กลับกันได้หรือยัง?” 

เมื่อแน่ใจว่าบีบี๋หลับไปแล้ว ผมก็สะกิดเรียกคนที่ตัวเองตั้งใจมา ‘เฝ้า’  ทันที หากแทนที่เขาจะพยักหน้ารับหรือหยิบกุญแจรถก็กลับนั่งแช่รากงอกคาเก้าอี้อยู่ได้

“เดี๋ยวก่อนสิ หม่าม้ายังไม่มาเลย”

“นี่มันสองทุ่มจะครึ่งแล้วนะ” 

ผมชี้ให้ร่างสูงดูนาฬิกาบนผนัง ลาวาร้อนในหัวเริ่มจะปะทุเดือดขึ้นมาอีกระลอกเมื่อจนป่านนี้แล้ว พี่โรมก็ยังมัวห่วงแต่ไอ้บี๋จนลืมเวลาส่วนตัวซึ่งเหลืออยู่อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงของผมไปหมดสิ้น 

“ให้มันนอนคนเดียวก็ได้มั้ง พยาบาลเวรก็อยู่กันเยอะแยะ หม่าม้าก็บอกแล้วนี่ว่าจะมา.......”

โทรศัพท์มือถือหุ้มเคสสีดำสั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะข้างตู้เย็น พี่โรมยกมือเป็นเชิงบอกให้ผมหยุดพูดก่อนจะเดินไปกดรับสาย ลางสังหรณ์ทำงานรวดเร็วรีบกระซิบบอกผมว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อหัวคิ้วชายหนุ่มกดลงในขณะที่เปล่งน้ำเสียงสุภาพตอบกลับไปให้คนโทรมาหาได้ยิน

‘ครับ หม่าม้า........’

‘อ๋อ ได้ครับ ไม่เป็นไรครับ..... หม่าม้าพักผ่อนเถอะ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ’

เพียงเท่านั้นก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมชักสีหน้าใส่ร่างสูงอย่างหมดความอดทน เขาเองก็ดูลำบากใจกับคำขอร้องจากผู้ใหญ่ซึ่งจะว่าไปก็น่าเห็นใจไม่น้อย แต่ในเวลานั้น ผมก็แค่อยากให้พี่โรมรู้ว่าผมไม่ใช่ตัวเลือกสุดท้ายที่จะรอเขาอยู่เสมอ ไม่ใช่ของตายซึ่งเขาจะโยนทิ้งโยนขว้างตรงไหนก็ได้แล้วค่อยกลับมาเก็บเมื่อมีเวลาว่าง

“หม่าม้าไม่ค่อยสบาย รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ก็เลย............”

“ก็เลยขอให้ว่าที่ลูกเขยเฝ้าไอ้บี๋แทนใช่มั้ย?”

“ทิชา............”

พี่โรมพยายามดึงมือผมไปกุมไว้ แต่ผมสะบัดออกไม่ยอมให้เขาจับ ความผิดหวังสะท้อนผ่านแววตาของเราทั้งคู่ในความหมายที่แตกต่างกัน.... พี่โรมอยากให้ผมเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นของเขา หากผมก็อยากให้เขาเข้าใจและใส่ใจความรู้สึกของผมเหมือนกัน

“อย่ามาทำเสียงเหมือนว่าชาเป็นคนผิดแบบนี้นะ พี่โรมต่างหากที่ทำอะไรไม่คิดถึงใจชาเลย......”

ผมตัดพ้อพลางกลืนก้อนสะอื้นขมเฝื่อนลงคอ 

“ชาไม่ได้รอมาทั้งอาทิตย์เพื่อมาเจอเรื่องพรรค์นี้นะ อดทนก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังต้องมาโดนทิ้งกลางอากาศทั้งๆ ที่พี่โรมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันมีน้อยแค่ไหน พอชาไม่ยอมก็โดนพี่โรมมองว่าใจแคบอีก.... แล้วมันต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ต้องให้ชาอดทนอีกเท่าไรมันถึงจะพอสำหรับพี่!?”

ผมเสียงดังขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งหมดทั้งมวลที่อุตส่าห์อดกลั้นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าพี่โรมยังหลงเหลือเยื่อใยให้แฟนเก่าทะลักออกมาผ่านคำพูดคล้ายคนหยุดอาเจียนไม่ได้.... ก็อย่างที่บอกว่าผมยอมเขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรบนโลกนี้ก็สามารถทำเพื่อเขาได้ทั้งนั้น แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องนี้ ไม่ใช่การที่พี่โรมจะไปให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าผม....!!

“มาคุยกันในนี้”

พี่โรมลากผมเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู การยืนประจัญหน้ากับเขาช่างน่าอึดอัดยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เราเคลียร์กันรอบแรก เพราะมันไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ต้นตอของปัญหา เราต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรยังไง แต่พี่โรมก็ยังเลือกที่จะให้บีบี๋เหยียบย่ำหัวใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ตัวเขาก็แค่มองดูอยู่ห่างๆ

ผมทนไม่ไหวหรอก......ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ.............

“พี่โรม ชาขอพูดตรงๆ เลยนะ ไอ้บี๋มันไม่ได้ความจำสับสนอย่างที่พวกพี่เข้าใจกันไปเองหรอก ทุกอย่างที่มันพูดเมื่อกี้นี้น่ะ มันเคยพูดกับชามาแล้วครั้งนึง.... ครั้งนี้มันก็แกล้งพูดขึ้นมาอีกเพราะรู้ว่าถ้าใช้พี่โรมเป็นเครื่องมือแล้วจะทำให้ชาอิจฉามันได้ไง............”

พี่โรมมองผมด้วยสายตาตำหนิเด็กขี้ฟ้องก่อนจะถอนหายใจใส่ ทำราวกับว่าก้อนหินซึ่งทับถ่วงข้างในใจผมเป็นแค่เศษฝุ่นผงขี้ปะติ๋ว

“ถ้ารู้ว่าบีบี๋จงใจแกล้งให้อิจฉา แล้วทิชาจะไปเต้นตามคำพูดบีบี๋ทำไมล่ะ?”

“ถามงี้จะหาเรื่องทะเลาะกันใช่ไหม!?” 

หน้าผมทั้งชาและร้อนผ่าวเมื่อได้ยินพี่โรมพูดจาคล้ายปัดความรับผิดชอบ ซ้ำยังจะโทษกันกลายๆ ว่าสิ่งที่ทำให้เราต้องมาเคลียร์กันรอบสองเป็นเพราะอคติและความหัวอ่อนโดนปั่นง่ายของผมเอง แต่ไม่คิดจะจัดการกับคนตอแหลตาใสๆ ที่นอนอยู่ข้างนอกนั่นเลย 

“สิ่งที่พี่โรมควรทำก็คือหยุดบีบี๋ไม่ให้สร้างเรื่องโกหกมากไปกว่านี้ ไม่ใช่แค่เห็นมันเจ็บตัวมาหน่อยก็จะสปอยล์กันไปเสียทุกอย่างแล้วค่อยมาห้ามชาไม่ให้โกรธ!”

“พี่บอกแล้วไงว่าบีบี๋เจ็บอยู่ พี่ทำแบบนั้นไม่ได้”

“เออ ใช่สิ.... พี่โรมก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ นอกจากทำร้ายจิตใจชา!”

ผมเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อในตอนที่พี่โรมดึงตัวผมเข้าไปกอด.... อดคิดไม่ได้ว่าเพราะตัวเองเป็นฝ่ายหลงรักก่อน ถึงได้ดูเหมือนง่าย ไม่ว่าอะไรก็ต้องยอมตามเขาไปหมด และคนที่ทุ่มความรักให้มากกว่ายังไงก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้

“ทิชาเป็นอะไร? ทำไมถึงดื้อกับพี่ขนาดนี้ล่ะ?” 

ร่างสูงพยายามใช้น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อดึงอารมณ์ผมให้สงบลง การที่พี่โรมทำแบบนี้ก็แสดงว่าเขารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่ในเมื่อรู้ว่าผิดแล้วทำไมถึงไม่ยอมหยุด? ทำไมถึงยังเลือกที่จะไปต่อทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าบีบี๋กำลังเสี้ยมให้เราสองคนต้องมีปัญหากัน? 

“ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ.... แล้วเรื่องบีบี๋ เราก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะรอจนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาล ความจำเสื่อมจริงหรือไม่จริง พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวอะไรๆ มันก็จะชัดเจนขึ้นเอง คนเรามันโกหกตลอดไปไม่ได้หรอก”

“เดี๋ยวพอถึงตอนนั้นจริง พี่โรมก็คงมีเหตุผลใหม่ๆ มาถ่วงเวลาที่จะได้ดูแลไอ้บี๋ออกไปอีก...........”

“เอาอีกแล้ว.... ทิชาอย่าระแวงพี่ขนาดนั้นได้ไหม? หรือว่าที่ผ่านมา พี่ยังทำดีไม่พอจะให้ทิชาเชื่อใจว่าพี่รักเรามากแค่ไหน?”

“ชาก็เชื่อใจพี่โรมมาตลอด จนกระทั่งไอ้บี๋มันกลับเข้ามาในชีวิตพี่นั่นแหละ” 

ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา 

“พี่โรมอาจจะไม่รู้ตัวหรอกมั้ง แต่ทั้งคำพูดและการกระทำของพี่มันเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิด แล้วก็แสดงความอยากรับผิดชอบที่ทำให้ไอ้บี๋ต้องเจ็บ.... ถ้าหากพี่โรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เบอร์ลิค มันก็ทำให้ชาคิดได้อย่างเดียวว่าพี่รู้สึกผิดที่บอกเลิกไอ้บี๋ก็เลยพยายามจะชดเชยให้.... พี่คงคิดสินะว่าถ้าตัวเองยังคบกับมันอยู่ ถ้าชาไม่มาชิงเกียร์พี่โรมแล้วทำให้ความรักของพี่กับไอ้บี๋พัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้”

ผมผละออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางทีที่ตรงนี้อาจไม่ได้มีไว้สำหรับผม ถึงจะเคยคิดว่าไม่อยากเสียพี่โรมให้คนอื่น ไม่อยากให้ใครมาแย่งเอาเขาไป แต่ถ้าใจของเจ้าตัวไม่ได้อยู่กับผมจริงมาตั้งแต่แรก แล้วผมควรจะหน้าด้านยื้อเอาไว้รอให้เขาทวงคืนเหรอ

งั้นก็เอาคืนไปให้หมดเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยไหมล่ะ....?


 “อยากนอนค้างเฝ้าไอ้บี๋ที่นี่ก็ตามใจพี่โรมก็แล้วกัน.... ชาก็ทำใจไว้แล้วล่ะว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน” 

ผมถอดเกียร์ออกก่อนจะยัดมันคืนใส่มือร่างหนา ในเมื่อพี่โรมเคยบอกว่าเกียร์อยู่ที่ไหนใจอยู่ที่นั่น ดังนั้น ก็ให้เขาเอาไปคล้องให้กับคนที่เป็นเจ้าของหัวใจตัวจริงคงจะดีกว่า 

“ชามาที่นี่ก็แค่อยากเจอพี่โรม อยากหาเวลาอยู่ด้วยกันให้นานขึ้นเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าพี่ไม่ได้คิดแบบเดียวกันก็ไม่เป็นไร.... ก็เอาที่พี่โรมสบายใจเถอะ ชาก็ไม่อยากพูดเยอะให้พี่รำคาญแล้วเหมือนกัน”

“ทิชา ไม่เอาน่า.......”

“ชากลับก่อนนะ”

ผมทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะเบียดตัวออกมาจากห้องน้ำเพื่อหยิบกระเป๋าแล้วกลับออกไป มีอยู่วูบหนึ่งที่ผมแอบหวังว่าพี่โรมจะตามมาง้อ เอาเกียร์มาสวมคืนให้เหมือนเดิมและบอกว่าเขาไม่เหลือใจให้บีบี๋แล้วจริงๆ ทั้งหมดที่เราเถียงกันเมื่อครู่เป็นเพราะผมงอแงคิดมากไปเอง


แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเขายังอยู่ในห้องกับบีบี๋ ไม่มีวี่แววว่าจะตามผมออกมา....

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:01:20
“ไป มิลค์.... เก็บของกลับบ้านเรากัน!”

ผมส่งเสียงเรียกแมวหน้าหงิกซึ่งนอนขดตัวอยู่ในโพรงชั้นบนสุดของคอนโดแมวไฮโซ ครั้งแรกที่ได้ยินพี่โรมบอกว่าสั่งซื้อคอนโดแมวมาให้มิลค์ ผมก็นึกว่าคงเป็นแบบธรรมดาหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป ไม่ได้มีออปชั่นอะไรมากมาย พอมาเจอของจริงถึงได้ผงะไปครึ่งนาทีกับทาวเวอร์สูงตระหง่านสี่ชั้น มีเสาฝนเล็บ กล่องบ้านแมว สะพาน เปลแขวน ลูกบอล บันไดเยอะแยะเต็มไปหมด คอนโดแมวกินพื้นที่วางในคอนโดมนุษย์ไปหนึ่งมุมใหญ่ๆ เข้าใจทันทีเลยว่าทำไมพี่โรมถึงไม่ขับรถไปซื้อเองแต่ต้องให้ทางร้านขนมาส่งถึงห้องพร้อมประกอบให้เสร็จสรรพ

“ไปเร็ว มิลค์.... ออกมาได้แล้ว”

ยัยลูกสาวทรยศทำเฉยไม่สนใจผม ก่อนจะย้ายหนีจากชั้นสองขึ้นไปซุกอยู่ในกล่องบ้านชั้นบนสุด เดือดร้อนผมต้องเขย่งล้วงเอาตัวอ้วนๆ ของมันออกมา

“แง้ววววววววววว!!!”

“ไม่ต้องร้อง ที่บ้านเราก็มีอันเก่าให้เล่นน่ะ.... ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวซื้อให้ใหม่ก็ได้ เอาให้ใหญ่กว่าของแด๊ดดี้อีก”

กว่าผมจะลากมิลค์มายัดใส่กรงได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ แถมยังโดนฝากรอยข่วนจนเลือดซิบเอาไว้ที่หลังมืออีกต่างหาก.... จากที่โมโหลูกแล้วก็พาลกลับไปโมโหตัวพ่ออีกรอบ เข้าใจเปย์ของราคาหลักหมื่นเพื่อซื้อใจลูกสาว จากที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าพ่อก็กลายเป็นเห่อคอนโดฯ ใหม่จนไม่อยากกลับบ้านตัวเองเสียแล้ว

ผมเดินออกจากห้องพี่โรมมารอลิฟท์ขาลง ในหัวใจรู้สึกโหวงๆ นิดหน่อยที่สุดท้ายแล้วก็ต้องหอบข้าวหอบของออกจากห้องพี่โรมกันทั้งผมและมิลค์ ไม่ใช่ว่าจะประชดเล่นแง่เพื่อเอาชนะหรือเรียกร้องความสนใจ แต่ในเมื่อพี่โรมไม่มีเวลาว่างพอจะดูแลมิลค์อีกแล้ว ผมก็แค่ทำตามที่พูดเอาไว้คือรับลูกกลับบ้านไปเลี้ยงเอง

ที่สำคัญก็คือผมมาเองก็ควรจะไปเอง อย่าให้เจ้าของห้องต้องเอ่ยปากไล่ให้ขายขี้หน้าใครต่อใครเลยดีกว่า....

สัญญาณไฟหน้าลิฟท์สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงดังติ๊ง แต่เป็นไฟสีเขียวสำหรับขาขึ้นไม่ใช่ไฟสีแดงซึ่งผมกำลังรออยู่ เมื่อเห็นคนที่เดินออกมาเพื่อกลับเข้าห้องพักก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะซวยถึงขั้นเจอไอ้แดนเอาตอนกำลังพายัยมิลค์ระเห็จกลับบ้านพอดิบพอดี

หลังจากวันที่ได้รู้ความจริงบางอย่างตรงบันไดหนีไฟ ผมก็รู้สึกเข้าหน้าไอ้แดนไม่ติดมากยิ่งกว่าเดิมสักสิบเท่าได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ามันแอบชอบผมมาตลอดตั้งแต่ตอนปีหนึ่งโดยที่ผมไม่เคยรับรู้อะไรเลย ซ้ำร้ายยังทำแต่เรื่องแย่ๆ ใส่มัน จะมีก็แค่เวลาเวิร์คช็อปหรือถ่ายงานด้วยกันเท่านั้นที่พอคุยกันไหว

“ดึกป่านนี้จะพาน้องมิลค์ไปไหน?”

“จะกลับบ้านน่ะ”

“กลับบ้าน?”  คนถามเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หน่วยตาเรียวเหลือบมองไปทางห้องของญาติผู้พี่แวบหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ  “กลับทำไม? เฮียโรมไม่ให้อยู่แล้วเหรอ?”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าใช่พลางแค่นหัวเราะกลบเกลื่อน

“แล้วจะกลับยังไง?”

“เดี๋ยวให้พี่ยามข้างล่างโบกแท็กซี่ให้ ถ้าไม่มีก็คงเรียกอูเบอร์มั้ง”

นายดรัณภพผงกหัวรับรู้แล้วก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมลงลิฟท์มาถึงชั้นล่างแล้วแจ้งรปภ.ข้างหน้าตึกให้ช่วยวอเรียกแท็กซี่เข้ามารับ ยัยมิลค์ยังคงงอแงไม่เลิก ดิ้นพล่านกลับหน้ากลับหลังอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมอย่างหงุดหงิดที่ผมดึงมันออกจากคอนโดแมวหรูหรามาอยู่ในกล่องแคบๆ น่าอึดอัด รถแท็กซี่ก็ยังไม่มาสักที ก็สมแล้วที่เป็นถนนอโศก-เพชรบุรี เจ้าของแชมป์สถิติรถติดยี่สิบสี่ชั่วโมงสัปดาห์ละเจ็ดวัน

แต่แล้วก็มีใครบางคนมาสะกิดไหล่ผมจากทางด้านหลัง....

“ดึกแล้วอย่านั่งแท็กซี่เลย เดี๋ยวกูไปส่งมึงกับน้องมิลค์เองดีกว่า”

ไอ้แดนชูกุญแจรถให้ดูก่อนจะถือวิสาสะดึงกรงใส่แมวไปหิ้วเอง ยอมรับว่าตกใจพอสมควรเพราะคิดไม่ถึงว่ามันจะตามลงมา อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้ารบกวนด้วยอารมณ์ที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผมก็ใช่ว่าจะดีนัก

“เอ่อ......จะดีเหรอ........?”

“ลืมแล้วเหรอว่าตอนมึงกับน้องมิลค์ย้ายเข้ามา กูเป็นคนช่วยขนของนะ ตอนนี้มึงจะย้ายออก กูก็ต้องช่วยเหมือนเดิมสิ”

ร่างสูงยิ้มให้จนตาหยี เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานจนเกือบจำไม่ได้แล้วว่าเคยมีวนเวียนอยู่รอบตัว คนอาสาพาไปส่งบ้านเดินไปบอกพี่ยามหน้าตึกว่าผมไม่ต้องการเรียกรถแท็กซี่แล้ว ก่อนจะเดินนำหน้าออกประตูอีกฝั่งไปยังลานจอดรถสำหรับลูกบ้านอาคารนี้พร้อมกับเอายัยมิลค์ไปด้วย.... ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเสียไม่ได้ มาถึงตอนนี้แล้วก็คงใจแข็งปฏิเสธน้ำใจไอ้แดนไม่ลง พอคิดถึงเรื่องที่ว่ามันพยายามทำดีกับผมมาตลอดก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลงไปกันใหญ่

หากจะว่าไปแล้วก็แอบโล่งใจอยู่ลึกๆ ที่อย่างน้อยก็มีใครสักคนยังพอเห็นหัวผมกับยัยมิลค์บ้าง....

รถคัมรี่แล่นออกจากคอนโดฯ วิ่งผ่านเส้นเพชรบุรีตัดใหม่ไปเข้าซอยทองหล่อจากทางฝั่งท่าเรือ ด้วยความที่ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าเกือบห้าทุ่มแล้ว ร้านอาหารจำพวกนั่งชิลล์เปิดดึกรวมถึงผับบาร์ตรงอาร์ซีเอกำลังคึกคักได้ที่ก็เลยทำให้การจราจรยังคงหนาแน่นเป็นระยะ.... เช่นเดียวกับบรรยากาศภายในรถซึ่งหากจะว่าไปแล้วก็ชวนให้อึดอัดอยู่พอประมาณ นอกจากที่ขันอาสาพามาส่งแล้ว ไอ้แดนก็ไม่กล้าชวนผมคุยอย่างอื่น ผมเองก็วางตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรชวนมันคุยดีหรือเปล่า กลัวว่าถ้าเผลอพูดอะไรผิดหูแล้วจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เพลงฝรั่งซึ่งเปิดคลออยู่ก็ไม่ค่อยช่วยให้เราผ่อนคลายต่อกันสักเท่าไรนัก

“แง้วววววววว"

“มิลค์ อดทนหน่อยน่า เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” 

ผมหันไปดุเมื่อลูกสาวทำท่าจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกรอบ ส่วนหนึ่งก็เกรงใจเจ้าของรถว่าเขาจะรำคาญเอาด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นทีมทาสแมวเหมือนกันก็เหอะ

“น้องมิลค์เป็นอะไรวะ คราวก่อนที่มาส่งก็เห็นอยู่ในกรงเรียบร้อยดีนี่?”

“เมื่อก่อนก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก.......” 

ผมตอบพลางเอี้ยวตัวหันไปยกมือทำท่าขู่ว่าจะตี แต่ก็เจอเสียงขู่ฟ่อแฟ่ดแยกเขี้ยวจากสัตว์ดุร้ายในกรงกลับมา 

“ก็พี่โรมน่ะสิ เวลาไปไหนมาไหนไม่เคยเอามิลค์ใส่กรงเลย ชอบใส่สายจูงพาเดินแบบหมาแล้วเวลาขึ้นรถก็ปล่อยให้มันวิ่งเล่นไปทั่ว ตามใจกันจนเสียนิสัย ดูท่าทางมิลค์จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแมวแล้วมั้งเนี่ย”

ผมก็แค่บ่นไปตามเนื้อผ้าไม่ได้เจตนาจะเพ้อถึงใคร จนกระทั่งไอ้แดนมันเงียบไปนั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอเอ่ยชื่อคนบางคนออกไปอีกแล้ว

“ขอโทษนะ...........”

“อืม ไม่เป็นไร” 

ถ้าหากแดนรู้ว่าผมขอโทษเรื่องอะไร แสดงว่าที่เงียบไปเมื่อกี้ก็เป็นเพราะผมพูดถึงพี่โรมให้มันได้ยินจริง 

“มึงจะปล่อยน้องมิลค์ออกมาก็ได้นะ ถ้าไม่ชอบเข้ากรงก็อย่าไปบังคับเลย.... ร้องจนเสียงแห้งแล้ว กูสงสาร”

“อย่าเลย เดี๋ยวเบาะรถมึงเป็นรอยเล็บ”

“แค่รอยเล็บแมว เบาะรถกูมันไม่เจ็บหรอก” 

ว่าคนพี่แย่แล้ว คนน้องก็มีอาการหลงแมวหนักไปต่างกันเท่าไร แต่ในเมื่อเจ้าตัวอนุญาต ผมก็เปิดล็อคประตูกรงปล่อยให้ยัยลูกสาวตัวแสบเป็นอิสระ.... มิลค์ทำจมูกฟุดฟิดดมเบาะรถใหม่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินข้ามมาเบาะหน้าแล้วหยุดมองเดือนสถาปัตย์ตาแป๋ว พอไอ้แดนยื่นมือไปเกาคางก็หลับตาพริ้ม ท่าทางสงบเสงี่ยมน่ารักผิดกับตอนอาละวาดไล่งับมืองับเท้าพี่โรมลิบลับ 

“โอ๋ๆ คนสวยคิดถึงพี่แดนเหรอคะ.... พี่แดนก็คิดถึงหนูนะคะ”

“ทำเสน่ห์ใส่ลูกกูอีกละ” 

ผมแกล้งว่าพลางอุ้มยัยมิลค์มาไว้บนตักเมื่อสัญญาณไฟข้างหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว 

“แต่มิลค์มันดูชอบมึงจริงๆ นะ ปกติเคยยอมให้ใครจับตัวง่ายๆ ที่ไหน ขนาดหมอแมวที่ไปหากันประจำก็ยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย”

“น้องมิลค์คงรู้แหละว่าใครคือคนหล่อที่แท้ทรู”

พอชมเข้าหน่อย พระเอกหน้าใหม่ก็เกิดอยากจะอวยตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อรถติดไฟแดงช่วงเจอเวนิวใกล้จะถึงทางเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน อยู่ๆ นายดรัณภพก็ก้มลงมาหอมยัยมิลค์ซึ่งอยู่บนตักผมฟอดใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ทีเล่นทีจริงให้ 

“ถ้าไม่ติดว่ามึงหวง กูไม่ให้มึงเอากลับบ้านหรอก จะขอเอาไปฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวสักหลายๆ วัน”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงด่าเปิงที่มันบังอาจมายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่ หากตอนนี้กลับทำได้เพียงหัวเราะตามน้ำเพราะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไรกันแน่.... ใจผมอ่อนลงมากนับตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องที่แดนแอบรักผมมาตลอด แต่ผมก็กระดากใจเกินกว่าจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดคุยเล่นหัวกับมันได้ ยอมรับว่าลึกๆ ในอกก็แอบดีใจที่ตัวเองได้เป็นที่รักของใครคนหนึ่ง หากก็น่าเสียดายตรงที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปิดเผยช้าเกินไป ไม่อย่างนั้น บางทีผมกับมันก็อาจจะไม่ได้เป็นแค่คู่จิ้นซึ่งทีมพีอาร์กองละครกับพวกแฟนคลับบิ้วท์และมโนกันไปเอง

แต่ก็ได้แค่อาจจะเท่านั้น....

เมื่อเลี้ยวผ่านป้อมยามด้านนอกมาได้ไม่ถึงอึดใจ รถของแดนก็มาจอดลงตรงหน้ารั้วบ้านผม ไฟในบ้านปิดมืดบอกให้รู้ว่าแม่ยังไม่กลับมาตามเคย เหมือนจะเห็นผ่านๆ ตามหน้าฟีดข่าวในโซเชียลว่ามีเดินสายโชว์ตัวต่างจังหวัดขายชุดชั้นในกระชับสัดส่วนแล้วก็ออกอีเวนท์โปรโมทคลีนิกเสริมความงามอะไรสักอย่าง สำหรับบ้านอื่นคงเห็นเป็นเรื่องแปลก แต่เพราะเวลาที่ไม่ตรงกัน ผมกับแม่ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยอยู่แล้วแม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็เถอะ

“มึงอุ้มน้องมิลค์เหอะ เดี๋ยวกูหิ้วกรงให้เอง”

แดนบอกผมหลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ผมอุ้มยัยมิลค์ไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ไขกุญแจเปิดประตูรั้วก่อนจะทำแบบเดียวกันกับประตูกระจกด้านใน.... ผมปล่อยลูกสาวขนฟูลงข้างในตัวบ้าน ร่างสูงเดินตามมาพร้อมด้วยกรงแมวซึ่งวางอยู่เบาะหลัง เมื่อทำภารกิจส่งผมกับมิลค์ถึงบ้านอย่างปลอดภัยเสร็จสรรพ ไอ้แดนก็ทำท่ายกมือขึ้นบ๊ายบายแล้วหันหลังเตรียมจะกลับไปขึ้นรถ

“แดน...........”

“หืม?”

“จะกลับเลยเหรอ?”

คนตัวสูงหันมาเลิกคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ผมจึงเลื่อนประตูกระจกออกให้กว้างพอที่แดนจะเดินเข้าไปข้างในได้พลางส่งเสียงเอ่ยเชื้อเชิญอีกครั้ง 

“เข้ามาเล่นกับมิลค์ก่อนไหมล่ะ?”

“กู........เข้าบ้านมึงได้เหรอ?”

“มึงเป็นผีหรือไง เจ้าที่เจ้าทางถึงจะไม่ให้เข้าน่ะ”  ผมย้อนถามกลั้วหัวเราะ “คราวก่อนยังเดินเข้ามาเองไม่เห็นถามกูสักคำ จะมาเกรงใจอะไรกันตอนนี้”

หมายถึงเมื่อครั้งที่ไอ้แดนเสิร์ชหาที่อยู่ผมแล้วมาหาโดยไม่ได้รับเชิญ ตอนนั้นผมโมโหหัวเสียสุดๆ ที่ต้องมาเจอหน้าตากวนตีนกับคำพูดซึ่งไม่เคยเข้าหูเลยสักประโยคหลังจากเพิ่งชิงเกียร์พี่โรมมาได้หมาดๆ เพราะอคติฝังใจผสมกับความระแวงว่ามันจะใช้ผมเป็นเครื่องมือเรียกเรตติ้ง ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาผมไปเสียทุกอย่าง แต่ถ้าลองพิจารณาให้ดีๆ ผมคงจะมองเห็นความห่วงใยจากแดนได้ตั้งนานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่ติดหนังพวกนั้นไง ผมมั่นใจว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งกับอดีตเพื่อนอย่างบีบี๋ ทางเดียวที่มันจะรู้ได้ก็คือแอบตามมาสังเกตเองว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร

“เข้าได้จริงนะ?”

“เออดิวะ”

“งั้นกูไม่เกรงใจมึงนะ”

   


“แดน.... มึงกินเผ็ดได้หรือเปล่า?”

“ได้สิ กูเด็กใต้นะ”

“แต่กูกินไม่ได้ว่ะ”

“อ้าว แล้วถามกูทำไมเนี่ย?”

ผู้ชายตัวโตเงยหน้าขึ้นจากการเล่นจ้องตากับแมวมามองผมเหมือนจะด่าว่ากวนตีน บังอาจมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขของมันกับยัยมิลค์ ผมก็เลยชูกะทะผัดข้าวซึ่งเพิ่งยกลงจากเตาไฟฟ้าสดๆ ร้อนๆ ให้มันดูเป็นเชิงบอกว่าถ้ามึงกล้าด่าอะไรกูแม้แต่คำเดียว ทั้งหมดทั้งมวลที่ควรจะได้กินทางปากจะลอยไปหล่นลงบนหัวกบาลใครบางคนแถวนี้แทน

“จะได้ทำน้ำปลาพริกแยกให้มึงอีกถ้วยไง ของกูใส่แค่พริกลอยหน้าขำๆ”

ผมอธิบายไปด้วย มือก็ซอยพริกขี้หนูเตรียมทำน้ำปลาพริกไว้กินกับข้าวผัดเบคอน ไม่ถึงนาที ข้าวผัดเคลือบไข่เหลืองอร่ามตัดกับส้มจากสีแคร์รอตและสีเขียวจากต้นหอม มีเบคอนกรุบกรอบชวนให้น้ำลายสอยามดึกก็พร้อมเสิร์ฟ ถึงจะไม่ใช่เมนูหรูหรา แค่ใช้วัตถุดิบตามมีตามเกิดเท่าที่เหลือในตู้เย็น แต่รับรองว่าอร่อยเด็ดไม่แพ้ร้านตามสั่งเจ๊สวยข้างประตูฝั่งวิศวะฯ แน่นอน 

“มึงมากินข้าวก่อน กูจะได้ให้มิลค์กินของมันเหมือนกัน”

ผมเรียกไอ้แดนให้ลุกจากพื้น ก่อนจะไปจัดการแกะปลาทูน่าในน้ำเกรวี่หนึ่งกระป๋องเต็มๆ ให้มิลค์ ลูกสาวผมรีบถลาเข้ามาเอาหน้าซุกจานไม่ยอมเงยด้วยความหิวโหยตามประสาเด็กโดนพ่อทิ้ง ในขณะที่มนุษย์ตัวใหญ่เท่าน้องชายหมีโพลาร์แบร์ก็ตาโตกระโดดโลดเต้นกับข้าวผัดเบคอนที่ผมทำประหนึ่งว่ามันคือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

“โห แค่ไม่กี่นาทีทำได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ.... ปีหน้าลองสมัครไปแข่งมาสเตอร์เชฟดูไหม เดี๋ยวกูถ่ายวิดีโอออดิชั่นให้”

“พอเลยมึง แค่ให้กูเล่นละครอย่างเดียวก็ฉิบหายจะแย่แล้ว ยังจะให้กูไปแข่งทำอาหารกับชาวบ้านเขาอีก”

ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าไอ้แดนก็ทำกับข้าวเก่งพอกัน ผมก็คงหลงเชื่อคำอวยสุดแสนจะโอเวอร์ของมันไปแล้ว แต่บังเอิญว่าผมรู้ทันก็เลยดักคอตัดบทไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ผมตักข้าวแบ่งใส่จานก่อนจะยกไปวางไว้ตรงหน้าแขกที่หนนี้ได้รับเชิญเข้าบ้านมาอย่างถูกต้อง นายดรัณภพยังคงตื่นเต้นกับอาหารมื้อดึกชมเปาะไม่ขาดปาก แต่ครั้นจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปก็ดูกล้าๆ กลัวๆ เหมือนเกรงใจไม่อยากโดนผมด่าโดยใช่เหตุ

“ขออัพรูปจานข้าวบ้านมึงลงไอจีได้ไหม?”

“ก็อัพไปสิ”

ผมตอบอนุญาตไปแบบไม่คิดมากพลางตักเบคอนเข้าปาก เคยได้ยินมาว่าหลายๆ คนมักใช้ไอจีหรือเฟซบุคเป็นเสมือนไดอารีบันทึกความทรงจำ ถ้าหากแดนมันอยากจะเก็บอาหารมื้อนี้ไว้เป็นความประทับใจส่วนตัว ผมก็ไม่ขัดข้อง

ยกเว้นเสียแต่ว่า....

“งั้น......ถ้ากูขอแท็กไอจีมึงด้วยล่ะ?”

ใจหนึ่งผมก็คิดนะว่าแค่แท็กไอจีไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนเลย ทุกวันนี้ผมกับไอ้แดนก็เป็นคู่จิ้นในจอกันอยู่แล้ว ดีเสียอีกถ้าบรรดาแฟนคลับได้รู้ว่าพระเอก-นายเอกที่พวกเขาเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูไม่ได้แค่สนิทสนมพูดคุยกันแค่เฉพาะตอนที่มีกล้องถ่ายอยู่.... ทว่า อีกใจหนึ่งกลับย้ำเตือนว่าใครบางคนจะต้องมีปัญหาแน่ถ้ารู้ว่าแดนมาส่งผมถึงบ้าน มันน่าขำสิ้นดีที่ผมยังแคร์ความรู้สึกพี่โรม กลัวเขาจะโกรธ กลัวเขาจะไม่พอใจ ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่เห็นจะสนใจใยดีผมสักเท่าไรเลย ขนาดผมถอดเกียร์ยัดใส่มือให้ก็ยังเฉย

แค่จะประชดเอาคืนคนใจร้ายสักหน่อยก็ยังทำไม่ลง

ทิชาเอ๊ย.... ทำไมมึงถึงได้ปอดแหกกลัวพี่โรมไม่รักขนาดนี้วะเนี่ย?

“วันนี้.......อย่าเพิ่งเลยดีกว่า............”

ผมบอกได้แค่นั้น รู้สึกผิดอีกแล้วที่จะต้องปฏิเสธไอ้แดนแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแท็กหากันในไอจี หากพอกำลังจะอ้าปากขอโทษ อีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก.... กูเข้าใจ” 

ผมไม่ได้ซักไซ้ต่อว่ามันเข้าใจอะไรยังไง แต่เดาว่ามันคงรู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นผมหิ้วกรงยัยมิลค์ยืนรอลิฟท์คอนโดฯ แล้วล่ะว่าผมกับพี่โรมทะเลาะกันจริง ไม่ได้เล่นพ่อแง่แม่งอนประชดกันไปมา เอะอะไม่พอใจก็คิดแต่จะขนของหอบลูกหอบเต้าหนีเหมือนนางเอกหนังอินเดีย.... ผมอาจจะปากร้าย ขี้ประชดปึงปังใส่คนอื่นที่อยู่ดีๆ ก็มาทำเหี้ยใส่ แต่ผมจะไม่ทำกับพี่โรมแน่ๆ และไอ้แดนก็น่าจะรู้จักนิสัยผมในจุดนี้ดีทีเดียว 

“จะว่าเสือกก็ได้ แต่กูถามได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันก่อนกูยังเห็นมึงกับเขาคอลหากันดีๆ อยู่เลย.... ทำไมทะเลาะกันวะ? เขาดูแลมึงไม่ดีเหรอ?”

กะแล้วเชียวว่ามันต้องรู้....

ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ผมเองก็กำลังอยากหาเพื่อนคุยอยู่พอดี ถึงไอ้แดนอาจจะอยากสมน้ำหน้าหรือหัวเราะสะใจใส่ผมเพราะโดนพี่โรมทิ้งตามที่มันเคยแช่งชักหักกระดูกเอาไว้ก็ช่าง อย่างน้อยก็ให้ช่วยรับฟังและเป็นสักขีพยานว่าคนงี่เง่าเอาแต่ใจอย่างทิชา ทิชนันท์แม่งมีอยู่จริง

“ไม่ใช่ไม่ดี.... เขาดีกับกูมากๆ วันแรกที่คบกันเคยดียังไง ตอนนี้ก็ยังดีอยู่แบบนั้น.........” 

จุดเริ่มต้นของความเหี้ยก็คือการที่พี่โรมเป็นคนดีโพดๆ ดีเกินใคร ดีจนคนรอบข้างเครียดฉิบหายนี่แหละ 

“เพียงแต่คนที่เขาดีด้วยไม่ได้มีแค่กูคนเดียว ไม่ว่ากับใครเขาก็ดีด้วยไปหมดเลย.... บางครั้งมันก็ทำให้กูรู้สึกว่าสำหรับเขาแล้ว กูเป็นอะไรกันแน่? ใช่แฟนหรือเปล่า? ความแตกต่างระหว่างกูกับคนอื่นๆ ที่เขาทำดีด้วยมันอยู่ที่ตรงไหน?”

ภาพตอนที่พี่โรมเอาอกเอาใจบีบี๋ย้อนเข้ามาในสมองเป็นชุดเป็นฉาก ความหึงหวงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่หลักใหญ่ใจความที่ทำให้ผมตัดสินใจยอมถอยออกมาเองนั้นเป็นเพราะความคิดอ่านซึ่งส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย.... เขาคิดอย่างหนึ่ง ผมคิดอีกอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากเส้นขนานที่หาจุดบรรจบกันไม่เจอ

“ไม่รู้สิ แต่กูเป็นประเภทถ้ารักใครแล้ว คนๆ นั้นก็คือคนที่สำคัญที่สุด.... สิ่งที่เขาได้จากกูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่มีทางได้มากเท่า จะบอกว่าแบ่งแยกชัดเจนระหว่างคนที่รักกับคนรอบข้างทั่วๆ ไปก็ใช่แหละ” 

ผมว่าพลางแค่นรอยยิ้มขมขื่น มือขวาถือช้อนเขี่ยข้าวในจานไปมาเมื่อจู่ๆ ลิ้นก็ไม่สามารถรับรู้รสชาติอะไรได้อีกนอกเสียจากรสขมปะแล่มในลำคอ 

“กูคงคาดหวังมากไปหน่อยว่าเขาจะทำแบบเดียวกัน ลืมคิดไปว่านิสัยเขาก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

“มึงคุยกับเฮียโรมแล้วเหรอ?” 

แดนถาม มันเองก็ยังไม่ได้แตะข้าวผัดที่ผมทำให้เลยสักคำ และตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็หมดอารมณ์กินไปโดยสิ้นเชิง

“สองรอบ”

ผมชูสองนิ้ว ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ตาย แต่หมายความว่าสู้ไปแล้ว และก็ตายไปเรียบร้อยโรงเรียนสุราษฎร์สองหนแล้วเช่นกัน 

“ยิ่งพูดเรื่องนี้กับเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ใจ ตอนนี้เลยพาลไม่อยากคุยแม่งแล้ว”

ผมลุกขึ้นเอาจานข้าวไว้วางไว้บนเคาท์เตอร์ข้างซิงค์ ก็ไม่ได้คาดหวังว่านายดรัณภพจะต้องมาแสดงความสงสารหรือเห็นอกเห็นใจในความรักพิกลพิการของผมหรอก.... ว่ากันตามตรง ระยะเวลาที่ผมกับพี่โรมรู้จักกันก็ค่อนข้างสั้น ผมตกหลุมรักความอ่อนโยนของเขาอย่างรวดเร็ว ดีใจแทบบ้าเมื่อรู้ว่าพี่โรมเองก็หลงใหลผมไม่ต่างกัน อยากได้ไขว่คว้าโดยไม่ทันฉุกคิดไตร่ตรองว่าแค่ความรักความหลงระหว่างคนสองคนไม่ได้ช่วยการันตีว่าจะคบกันรอด และในเวลานี้ ความอ่อนโยนใจดีที่ไม่มีขีดจำกัดซึ่งผมเคยมองว่าเป็นข้อดีของเขานั่นแหละที่กำลังจะย้อนมากัดเซาะหัวใจผมให้ค่อยๆ พังไปทีละน้อย

จะบอกว่าผมหวังเอาไว้สูง เพ้อฝันว่าความรักครั้งนี้จะต้องเพอร์เฟก พี่โรมเองก็เหมือนหลุดออกมาจากโลกอุดมคติ เป็นแฟนที่ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะหาได้ พอร่วงลงมาแรงเลยเจ็บมากเป็นธรรมดา....

“มึง......น่ารักดีว่ะ.........”

“ห้ะ??”

ผมขมวดคิ้วเพราะได้ยินไม่ถนัด เข้าใจว่าไอ้แดนมันน่าจะซ้ำเติมผมมากกว่า แต่ทำไมถึงได้ยินมันบอกว่าผม....น่ารัก.....?

ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้มายืนพิงเคาท์เตอร์ข้างๆ ผม ก่อนจะย้ำคำเดิมให้ฟังอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“มึงขี้หึง.... แล้วกูก็คิดว่ามึงน่ารักดี” 

เดือนสถาปัตย์คู่เวรคู่กรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนส่งยิ้มให้ ใบหน้าหล่อจัดอยู่ห่างเพียงแค่คืบในขณะที่ผมมองเห็นเงาของตัวเองสะท้อนไหวอยู่ภายในหน่วยตาเรียวคม น้ำเสียงซึ่งมักจะติดทะเล้นกวนโมโหอยู่เรื่อยแปรเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำจริงจังเช่นเดียวกับคำพูดที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากใคร 

“กูก็เป็นประเภทคล้ายๆ กันกับมึงนั่นแหละ คนที่กูรักจะต้องเป็นคนที่พิเศษที่สุด.... จะขี้หึง เอาแต่ใจ หรือทำอะไรแย่ๆ ใส่กูแค่ไหนก็ได้ ยังไงกูก็คิดว่ามึงน่ารักกว่าใครทั้งหมดอยู่ดี”

“ยังคิดว่ากูน่ารักอยู่อีกเหรอ.... คราวก่อนมึงด่ากูซะเสียหมาขนาดนั้น?” 

ผมพูดถึงเหตุการณ์ตอนที่ไอ้แดนด่าผมข้อหาผิดสัญญาเรื่องจะไปแคสละครด้วยกัน เวลานั้นผมคิดว่าแดนมันคงเกลียดผมชนิดตายก็ไม่เผาผีแล้วเสียอีก เลยค่อนข้างแปลกใจแล้วก็งงในความย้อนแย้งของมัน

“มึงก็เคยด่ากูนี่”  แดนเถียง

“ก็มึงนิสัยไม่ดีก่อน”  ผมเถียงบ้าง

“มึงก็นิสัยไม่ดีเหมือนกัน” 

หนนี้ไม่ได้มาแค่คำพูดอย่างเดียว แต่แถมมือขี้แกล้งบิดปลายจมูกผมให้ต้องตีคืนด้วยด้วยเขียงที่วางอยู่ใกล้ๆ ทำเอาคนตัวสูงกว่าร้องโอดโอยอย่างกับว่าผมเพิ่งเด็ดแขนเด็ดขามันทิ้งยังไงยังไงงั้น 

“รักเป็นก็โกรธเป็นนะเว้ย มึงแม่งชอบทำตัวน่าโมโห เชี่ยอะไรก็ไม่เคยเห็นหัวกูสักอย่าง เดี๋ยวก็พี่โรมอย่างนั้น พี่โรมอย่างนี้ พี่โรมคนดี๊คนดีของทิชา.... แต่โกรธแล้วไงล่ะ สุดท้ายกูก็ใจอ่อนให้มึงอยู่นี่ไง”

“เออ.... ใจอ่อนมาก แซะกูซะยับ”

“โกรธง่ายหายเร็วไม่ได้เหรอวะ.... มึงเองก็ด้วยแหละ ทำข้าวให้กูกินได้ แปลว่าหายโกรธแล้วดิ”

“หายเป็นชาติแล้ว ไอ้บ้า!”

ผมหันหลังไปอีกทางไม่ยอมให้นายดรัณภพเห็นหน้าตัวเองตอนนี้เป็นอันขาด บอกไม่ถูกว่ากำลังยิ้มขำ หัวเราะ หรือว่าเขินที่ต้องยอมรับว่าความรู้สึกด้านลบและความไม่ประทับใจแรกพบที่มีต่อหมอนี่ได้กลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศาไปหมดแล้ว.... ผิวแก้มสองข้างร้อนผ่าวทั้งๆ ที่ข้างในบ้านก็เปิดแอร์ แล้วก็ร้อนยิ่งขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เสียงทุ้มต่ำลอยกระทบเข้าโสตประสาทเร้าจังหวะการเต้นของหัวใจให้รัวเร็วถี่ยิบ

“ถ้าไม่รักก็คงไม่หึง แล้วถ้าไม่หึงก็คงไม่โกรธ.... คนบางคนนี่แม่งน่าอิจฉาจริงๆ ที่มึงทั้งหึงแล้วก็โกรธเขา” 

มือใหญ่จับผมให้หันหน้ามาสบตากัน มันจบแล้ว ไอ้แดนมันต้องสังเกตเห็นแน่ว่าผมกำลังหวั่นไหวไปกับถ้อยคำหวานซึ่งฟังดูเหมือนเข้าอกเข้าใจความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกซ้ายเป็นอย่างดี 

“แต่ถ้าเป็นกู กูจะไม่ทำให้มึงต้องเป็นทั้งสองอย่างเลย.... กูรักมึงคนเดียว จะเทคแคร์มึงคนเดียว ไม่มีทางที่คนอื่นจะมาสำคัญเท่ามึงหรือได้อะไรจากกูมากไปกว่าที่มึงได้..........”

“แดน.........มึง..........”

ฉับพลัน ริมฝีปากเดียวกับที่ขโมยจูบผมอย่างเชี่ยที่สุดเมื่อคราวก่อนก็ประชิดเข้ามาอีกครั้ง ทว่า คราวนี้แดนไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามรังแกหากแต่ใช้ความอ่อนโยนกล่อมผมให้อยู่นิ่งเหมือนโดนมนต์สะกด.... ผมค่อยๆ หลับตาลงตามที่สมองสั่งการ แน่นอนว่าผมยังคงเป็นทิชาคนเดิมที่แสนจะขี้เหงาและต้องการความรักจากใครสักคน ไม่ว่าใครก็ตามที่บอกว่ารักผม ผมก็ยินดีที่จะรักเขา.... ให้เขาทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะให้ได้ ตราบเท่าที่คำว่ารักนั้นจะคงอยู่ไปตลอดกาล


เดี๋ยวนะ ให้งั้นเหรอ....?

จะให้อะไรล่ะ ในเมื่อหัวใจของผมถูกพี่โรมคว้าไปครองตั้งนานแล้ว....?
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:04:20
ก่อนที่กลีบปากหยักจะสัมผัสโดนริมฝีปาก ผมก็ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าพร้อมกับใช้ฝ่ามือยันอกกว้างของแดนให้ถอยห่างออกไป.... ความรู้สึกคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่หายวับไปจนสิ้น กลิ่นหอมซึ่งติดปลายจมูกเป็นกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยแทนที่จะเป็นกลิ่นบุหรี่ไลท์เมนทอล ทุกสิ่งทุกอย่างของพี่โรมก็ไม่ต่างจากจูบซึ่งแฝงด้วยรสชาติของบุหรี่ ถึงจะขมติดปลายลิ้นทุกครั้งที่ถูกดูดดึงให้หลงอยู่ในกับดักความรักที่ไร้หนทางหลบหนี แต่ผมก็หลงรักมันชนิดที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทนได้

ถูกแล้ว.... ไม่มีใครบนโลกนี้จะมาแทนที่พี่โรมได้.........


“กู.....ขอโทษ...........” 

ไม่รู้ว่าผมจะต้องพูดคำนี้กับไอ้แดนอีกสักกี่ครั้งกี่หนถึงจะสาสม ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาทันทีที่คิดได้ว่าการที่ผมไม่ปฏิเสธก็เหมือนไปให้ความหวังอีกฝ่ายก่อนจะคว่ำกระดานใส่หน้ามันเมื่อไม่สามารถเอาชนะเงาของคนซึ่งเป็นเจ้าของหัวใจได้ 

“ถ้าไม่ใช่เขา.......มันไม่ได้จริงๆ..........”

ไอ้แดนแค่นหัวเราะหึแบบที่ผมเดาความหมายไม่ออก มันอาจจะสมเพชผมหรือสมน้ำหน้าตัวเองที่อกหักซ้ำซ้อนก็สุดที่จะรู้ได้ หากมันก็ยอมถอยออกไปพร้อมชูมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้แต่โดยดี

“กูก็รู้แหละว่าคงเป็นไปไม่ได้.... ก็แค่อยากลองดู เผื่อว่ามึงจะเปลี่ยนใจ”

มันพูดทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มเศร้าตามประสาคนที่กำลังพยายามซ่อนความผิดหวังแล้วใช้ความยียวนกวนตีนบังหน้าก็ตาม 

“กูอาจจะยอมถอยครั้งนี้ แต่ครั้งหน้ากูก็จะลองอีก ถ้ายังพลาดอยู่ก็จะลองแล้วลองอีกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่มึงจะมีใจให้กูบ้าง....  กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ต่อให้มึงไล่ กูก็จะไม่ไป”

“ใครจะไปกล้าไล่มึง.........” 

ผมอ้อมแอ้มย้อนใส่ ในใจก็ทั้งขำแล้วก็คิดว่าไอ้แดนมันโคตรบ้าที่ดันมาหลงรักคนอย่างผมได้

“ก็มึงไง ชอบแกล้งกูอยู่เรื่อย.... ตัวก็ขาวแต่ใจดำฉิบหาย!” 

ไม่ทันไรก็ด่าคืนมาอีกแล้ว เล่นเอาผมปรับอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอ่อนหวานน่ารักปลอบใจมันสักครั้งหรือด่ามันให้หาทางกลับคอนโดฯ ไม่ถูกดี 

“ไม่ให้จูบก็ไม่เป็นไร งั้นขอกอดนิดนึงได้เปล่าวะ?”

“ไม่ได้”

“แค่กอดนิดเดียวเอง เยียวยาหัวใจคนอกหักหน่อยดิวะ”

พอกวนตีนเสร็จก็มาอ้อนแบบไม่ถามความเห็น ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าชาติที่แล้วแดนมันต้องเคยเกิดเป็นหมาตัวผู้แน่ๆ.... บทจะไม่สนก็คือไม่สน บทจะร้ายน่าถีบก็ชวนให้อยากชู้ตแม่งออกไปนอกจักรวาล แต่บทจะงอแงเกาะติดหนึบก็เล่นเอาเหนื่อยจนหัวหมุน อยากจะหยิบเอาเขียงอันเดิมมาฟาดให้หัวร้างค่างแตกเสียเดี๋ยวนี้

“อย่ามาตลกแดก กลับไปได้แล้ว” 

ผมเอ่ยปากไล่ แต่พอเห็นมันทำหน้าสลดเหมือนหมาในป้ายรับบริจาคมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ตกทุกข์ได้ยากก็ด่าไม่ออก 

“พรุ่งนี้ก็เจอกันแล้วไง.... คลาสประวัติศาสตร์สถาปัตย์ตอนบ่ายก็เจอ ที่เวิร์คช็อปตอนเย็นก็เจออีก”

“ตอนเรียนมึงมานั่งข้างกูได้มั้ย?”

“ได้.... แต่กูไม่นั่งรวมกับพวกถาปัดเพื่อนมึงนะ”

“เดี๋ยวกูจองที่ให้มึงเอง เอาตรงริมๆ ข้างหลังที่ประจำของมึงก็ได้.......” 

ไอ้แดนพยายามอ้อนอย่างสุดความสามารถ สงสัยคงคิดว่าเป็นช่วงโปรโมชั่นที่ผมจะคุยดีกับมันแบบจำกัดเวลา ถึงได้รีบตักตวงขอทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะขอจากผมได้แม้ว่ามันจะฟังดูงี่เง่าง้องแง้งแค่ไหนก็ตาม   

“ถ้าไม่ให้กอด งั้นขอเปลี่ยนเป็นจับมือมึงได้หรือเปล่า....?”

“มึงนี่เยอะไปละ ไอ้แดน”

ผมด่าแต่ก็ยื่นมือออกไปให้มันจับด้วยความเต็มใจ.... ฝ่ามืออุ่นข้างเดียวแทบจะรวบทั้งมือของผมเอาไว้ได้หมด เนิ่นค้างอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกได้ว่าสัญญาณชีพจรตรงข้อมือดีดแรงกว่าปกติ ร่างสูงกระหวัดปลายนิ้วยาวเกาะเกี่ยวกับนิ้วของผม เพียงแค่ชั่วขณะเดียวที่เงยหน้าขึ้นสบสายตาเดือนสถาปัตย์ขี้อ้อน ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหลงรักจนหมดหัวใจตลอดหนึ่งปีกว่าๆ ที่มันอุตส่าห์มอบให้แต่กลับไม่เคยส่งมาถึงผมเลยจนกระทั่งวันนี้

“ทิชา.............”

“อะไร?”

“ทำไมมือมึงถึงโคตรเล็กเลยวะ.......นิ่มด้วย..........”

น้ำเสียงไอ้แดนเหมือนคนกำลังเมากัญชาจนเพ้อ ในขณะที่ผมเริ่มจะเขินขึ้นมาอีกรอบทั้งๆ ที่ตกลงปลงใจกับตัวเองแล้วว่ามันคือการจับมือกันเพื่อมิตรภาพระหว่าง ‘เพื่อน’ กับ ‘เพื่อน’

“..........ทำอย่างกับไม่เคยจับ”

“ก็ไม่เคยได้จับตอนไม่มีกล้องตามถ่ายนี่หว่า”

“งั้นก็ปล่อยได้แล้วมึง”

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ไม่มีซินเดอเรลล่า ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีห่ามีเหวอะไรทั้งนั้น นอกจากทิชา ทิชนันท์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีนายดรัณภพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างเป็นทางการ.... แน่นอนว่าผมกำหนดสถานะมันเอาไว้ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการมากกว่านั้นแต่ผมก็จะไม่ผลักไสมันออกไปอีกแล้ว เพราะอย่างน้อย การได้เห็นไอ้แดนในทุกๆ วันนับจากนี้ก็เป็นเสมือนเครื่องยืนยันว่าผมยังคงมีลมหายใจและยังมีตัวตนอยู่

ผมเดินออกมาส่งแดนที่หน้าบ้านหลังจากรอให้มันกินข้าวเสร็จ ร่างสูงลูบหัวบอกลายัยมิลค์ที่ผมกำลังอุ้มอยู่ก่อนจะเอ่ยขอบางสิ่งซึ่งมันเคลมว่าไม่เคยขอจากใคร แม้กระทั่งกับแม่ตัวเอง....

“บอกให้กูหลับฝันดีหน่อยสิ”

“ขอให้มึงฝันร้ายนะ”  ผมแกล้งพร้อมทั้งยกเท้าหน้ายัยมิลค์ตบแก้มไอ้แดนเบาๆ

“ไม่เอา.... ใจดีกับกูให้ตลอดรอดฝั่งหน่อยดิวะ ทิชา”

บอกตามตรง เวลาเห็นผู้ชายสูงเกินร้อยแปดสิบมายืนสะบัดแขนสะบัดขางอแงเหมือนเด็กสามขวบนี่ไม่ชวนให้คิดว่าน่ารักได้เลยนะ.... ไม่ใช่ว่าขออะไรจากผมแล้วจะได้ง่ายๆ ไปหมดทุกอย่าง หนนี้ก็แค่ตัดรำคาญเพราะมันดึกมากแล้ว อยากกลับขึ้นไปอาบน้ำนอนเร็วๆ ต่างหากล่ะ

“ฝันดีนะ ไอ้แดนนรก!”

“ขนาดนี้แล้ว กูต้องฝันเห็นมึงแน่เลย”

ยังไม่ทันที่ไอ้แดนจะพูดจบ รถอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้ารั้วบ้านผมพอดี ตอนนี้รถคัมรี่จอดอยู่นอกประตูก็เลยกลายเป็นว่ารถยนต์ซึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่นั้นขวางอยู่เลนกลางหมู่บ้านแบบไม่สนไม่แคร์ใดๆ ทั้งสิ้น.... เดาออกใช่ไหมว่านั่นรถใคร สำหรับผมแค่มองเห็นประตูด้านข้างของเจ้าออดี้สีน้ำเงินก็รู้แล้วว่านายดรัณภพคงไม่มีทางได้เอารถกลับออกไปง่ายๆ แน่

คนที่ผมคิดว่าจะนอนค้างกับบีบี๋ที่โรงพยาบาลก้าวลงมาจากรถ ปิดประตูเสียงดังโครมก่อนจะพุ่งตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าเครียดขึ้งพร้อมหักคอญาติผู้น้องด้วยมือเปล่า


“ไอ้แดน.... มึงไสหัวไปให้ไกลๆ จากเมียกูเดี๋ยวนี้เลย!”

แล้วถ้าคิดว่าไอ้แดนจะยอมให้เฮียโรมของมันข่มง่ายๆ ผมบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดมาก.... ผิดมหันต์.... ผิดที่สุดของที่สุด..........


“ทิชาคนเดียวเท่านั้นที่จะไล่กูได้ เสียงหมาเห่าน่ะกูไม่สนใจหรอก.... โดยเฉพาะพวกหมาหวงก้าง!”



“ใครกันแน่ที่เป็นหมา มึงมากกว่ามั้ง....  สันดานชอบลักกินขโมยกินตอนเจ้าของเขาไม่อยู่นี่มันหมาลอบกัดชัดๆ!”

พี่โรมโต้กลับเสียงลั่น ทั้งประกาศสงครามและด่าคืนอย่างไม่ไว้หน้าคนร่วมนามสกุล ร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามาดึงผมซึ่งอุ้มมิลค์อยู่ให้ถอยห่างจากแดนก่อนจะชี้นิ้วคาดโทษใส่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองชนิดพร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อ

“ไม่มีปัญญาดูแลให้ดีจนเขาต้องเก็บข้าวเก็บของหนีออกมา ยังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองเป็นเจ้าของอีกเรอะ!”

แดนพยายามดึงตัวผมให้มาหลบอยู่ข้างหลังมัน สายตาเกรี้ยวกราดฟาดฟันประหนึ่งคมมีดกะเอาอีกฝ่ายให้เจ็บหนัก ทว่า พี่โรมก็สวนกลับรวดเร็วยิ่งกว่ากระสุนปืน มือหนาคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อน้องชายแล้วกระชากแรงจนคนซึ่งรูปร่างแข็งแรงกำยำพอกันแทบเซถลาหัวคะมำ กำปั้นลุ่นๆ เงื้อขึ้นกลางอากาศในขณะที่น้ำเสียงห้วนเหี้ยมเกรียมสาดใส่อย่างเอาเรื่อง

“มึงไม่รู้อะไรก็อย่าเสือก ทิชาไม่ได้หนีกู!”

“ไม่ได้หนี แต่ก็ไม่อยากอยู่ด้วยแล้วใช่ไหมล่ะ!?”

ไอ้แดนกระชากคอเสื้อพี่โรมคืนพร้อมทั้งเงื้อหมัดขึ้นบ้าง เป็นสัญญาณว่าถ้ามึงชก กูก็ชก เอาให้แม่งฉิบหายแหลกลาญตายห่ากันไปข้างหนึ่งเลย 

“ไหนตอนแรกบอกว่าหวงนักหวงหนา จะไม่ยอมให้ใครแตะแม้แต่ปลายเล็บ.... ท่าดีทีเหลวนี่หว่า ยังไม่ทันไร มึงกับทิชาก็จะไปกันไม่รอดเพราะความเก่งแต่ปากของมึงแล้ว!”

“ไอ้เหี้ยแดน มึง!!!”

“เอาสิวะ อย่าคิดว่ากูจะไม่กล้าสวนนะโว้ย!!!”

กลับกลายเป็นว่าผมถูกผลักให้ออกมาอยู่วงนอกระหว่างที่พี่โรมกับไอ้แดนตะลุมบอนแลกหมัดกันอุตลุต เสียงตะโกนด่าตอบโต้สลับกับเสียงกำปั้นกระแทกใบหน้าดังพลั่กทำเอาทั้งผมและยัยมิลค์ประสาทเสีย ผมรีบเอาลูกสาวไปไว้ข้างในบ้านแล้วจึงวิ่งกลับมาห้ามไอ้พวกบ้าเลือดก่อนที่จะพรุ่งนี้บ้านผมจะได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมของนักข่าวสายอาชญากรรม

“พอสักที.... หยุดได้แล้ว!!” 

ผมพยายามเอาตัวเข้าไปแทรกกลางแต่ก็ไม่เป็นผล กำปั้นจากทั้งคู่ยังคงเหวี่ยงไปมาจนน่ากลัวว่าผมจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

“พี่โรม! ไอ้แดน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”

“อย่ามายุ่งกับทิชาของกู ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่!!”

“กลัวตายห่าล่ะ.... น้ำหน้าอย่างมึงจะไปทำอะไรได้วะ แค่แฟนคนเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้เลย!!”



“จะไม่ยอมหยุดกันดีๆ ใช่ไหม.... งั้นก็ได้!!!”


ในเมื่อพูดกันด้วยภาษาคนไม่รู้เรื่องงั้นก็เลิกพูด ผมตรงไปยังข้างกำแพงภายในรั้วบ้านซึ่งมีก๊อกน้ำสำหรับใช้ต่อสายยางรดน้ำต้นไม้และล้างรถ หมุนก๊อกสุดแรงจนสายยางเด้งตามแรงดันน้ำที่ไหลออกมาเหมือนงูตัวใหญ่.... แน่นอนว่าเป้าหมายของสงกรานต์นอกฤดูก็คือหมาบ้าสองตัวที่ยังกัดกันไม่เลิก


ซ่า!!!



“เฮ้ย ทิชา!!!”

“ไอ้ทิชา ทำไรของมึงวะเนี่ย!?”


น้ำเย็นเฉียบพุ่งเป็นสายถูกฉีดเข้าใส่คนตรงหน้า กะแล้วเชียวว่ามันต้องได้ผล เพราะทันทีที่โดนฉีดน้ำอัดหน้าเรียกสติ ทั้งสองคนที่โดดฟัดกันนัวอยู่เมื่อครู่ก็ผละออกจากกันในสภาพเปียกม่อลอกม่อแลก จากที่ไม่ยอมฟังที่ผมร้องห้ามเลยก็หันมาสนใจผมกับสายยางกายสิทธิ์ในมือกันใหญ่

“หมาบ้าสองตัวกัดกันหน้าบ้านกู กูก็ต้องเอาน้ำสาดให้มันหยุดไง!” 

ผมด่าแบบไม่สนแล้วว่าใครเป็นใคร แม้กระทั่งพี่โรมก็ยังสะดุ้งเมื่อเจอผมสายโหดเปิดโหมดบ้าเลือดไม่แพ้เขากับไอ้แดนเมื่อกี้นี้ 

“ทีนี้จะเลิกตีกันได้หรือยัง ถ้าไม่เลิก กูจะไปเอาไม้หน้าสามมาทุบรถพวกมึงทั้งคู่เดี๋ยวนี้เลย.... ว่าไง จะเลิกไม่เลิก หา!?”

“เออ เลิกแล้วๆ!”

จากที่ห้ามแทบตายแล้วไม่มีใครฟังก็กลายเป็นทั้งคู่ต้องมาห้ามผมเพราะกลัวรถตัวเองจะโดนพัง ในตอนนั้นเองที่คุณลุงรปภ.ซึ่งประจำอยู่ตรงป้อมยามหน้าหมู่บ้านขี่รถกอล์ฟมาดูเหตุการณ์ สงสัยว่าคงจะมีเพื่อนบ้านแถวนี้โทรแจ้งไปว่าเกิดเหตุทะเลาะวิวาทเสียงดังรบกวนคนจะหลับจะนอนล่ะมั้ง

“คุณทิชา มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ? จะให้ผมเรียกตำรวจไหม?”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ ลุงเจิด.... พอดีเพื่อนผมเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ขอโทษด้วยนะครับที่ส่งเสียงดังรบกวน” 

ผมยกมือไหว้ลุงหัวหน้ายามกะดึกซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในใจก็นึกโมโหที่ตัวเองอุตส่าห์อยู่สงบๆ มาตั้งหลายปีไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่ดันจะมาโดนร้องเรียนเพราะลูกหลานบ้านอนุวัฒน์วงษ์มาก่อเรื่องเอาไว้

“ถ้าไม่มีอะไรก็ดีครับ แต่ยังไงรบกวนคุณทิชาให้เพื่อนช่วยเลื่อนรถออกด้วยนะครับ จอดขวางถนนแบบนี้เดี๋ยวลูกบ้านหลังอื่นเขาจะว่าเอา”

“ได้ครับ ขอโทษอีกทีนะครับ ลุงเจิด”

ผมไหว้จนไม่รู้จะไหว้ยังไงกว่าลุงยามจะขึ้นรถกอล์ฟกลับออกไป หลังจากเคลียร์สถานการณ์ได้ ผมก็จัดการสั่งให้พี่โรมรีบเลื่อนรถออกจากกลางถนนเตรียมถอยเข้ามาจอดในบ้านจะได้ไม่มีใครว่าเอาได้อีก แต่ก่อนหน้านั้นผมจะต้องให้นายดรัณภพเอารถออกไปจากหน้าประตูรั้วให้ได้เสียก่อน

“แดน มึงกลับไปก่อนไป” 

ผมบอกคนที่กำลังยืนหัวเปียกหน้าจ๋อยสนิทเมื่อเห็นผมโกรธจริงๆ จังๆ แต่ก็ยังมิวายจะงี่เง่าไม่ยอมทำตามที่สั่ง

“แต่ไอ้เฮียโรมมัน..........”

“กูบอกให้มึงกลับไปก่อนไง” 

ผมขึ้นเสียงนิดๆ แต่ไอ้แดนก็ยังดื้อดึงอิดออดจะอยู่ต่อ ไม่ว่าจะเพราะเป็นห่วงหรือระแวงว่าพี่โรมจะทำอะไรผมลับหลังมันก็เหอะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างผมกับพี่โรมซึ่งจะช้าหรือเร็วก็ต้องสะสางให้จบ เหมือนอย่างที่ผมกับมันเพิ่งมีโอกาสได้คุยและปรับความเข้าใจจบกันไป 

“กูกับเขามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ ส่วนของมึงเอาไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้”

“โอเค......เอางั้นก็ได้.........”

แดนไม่กล้าขัดใจผม ดูก็รู้ว่ากลัวผมจะกลับไปทำแบบเดิมคือเดินหนีทุกครั้งที่เจอหน้าและไม่ยอมคุยกับมันอีกเลย 

“ทิชา มึงสัญญาแล้วนะว่าพรุ่งนี้จะนั่งเรียนข้างกู.... คราวนี้มึงต้องไปจริงๆ นะ ห้ามเบี้ยวกูด้วย”

“รู้แล้วน่า แต่ถ้ามึงยังไม่กลับไปอีก พรุ่งนี้กูจะโดดภาคบ่าย”

“เชี่ย อย่าโดดนะมึง!”

เพียงเท่านั้น เดือนสถาปัตย์ก็รีบแจ้นไปขึ้นรถคัมรี่แล้วสตาร์ทขับออกไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องให้พูดซ้ำ เปิดทางให้ตัวปัญหาหมายเลขหนึ่งถอยรถเข้ามาจอดได้อย่างที่ตั้งใจ.... ผมยืนกอดอกรอจนกระทั่งสัญญาณไฟท้ายดับลง คิดอยู่แล้วเชียวว่าเมื่อพี่โรมลงมาจากรถ สิ่งแรกที่เขาจะพูดกับผมก็คือเรื่องของญาติผู้น้องซึ่งเพิ่งจะวางมวยฟาดปากกันไปหมาดๆ แล้วผมก็เดาไม่ผิดเสียด้วย

“ทิชา....ทำไมไอ้แดนมัน.........”

“หยุด!” 

ผมยกมือขึ้นคล้ายๆ ท่าปางห้ามญาติ แต่สายตาที่จ้องมองร่างสูงปราศจากความโอนอ่อนใจเย็นโดยสิ้นเชิง 

“ถ้าจะพูดเรื่องที่ว่าทำไมไอ้แดนถึงมาอยู่ที่นี่ พี่โรมก็กลับไปเลย.... ชาบอกเลยนะว่าพี่นั่นแหละที่เป็นคนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้เอง เพราะฉะนั้น พี่ไม่มีสิทธิ์มาไม่พอใจ!”

พี่โรมอึ้งกับความเกรี้ยวกราดของผมเป็นครั้งที่สอง หากผมก็ไม่สนไม่แคร์ เขาควรจะรู้ได้แล้วว่าทิชาที่อยู่กับเขา นอนเตียงเดียวกันกับเขามาเป็นเดือนๆ นั้นไม่ใช่คนหัวอ่อนกล่อมง่ายหลอกง่ายอะไรเลย เหตุผลที่ผมยอมลงให้พี่โรม ไม่หือไม่อือไม่ว่าเรื่องไหนมาโดยตลอดก็เพราะผมรักเขา ไม่อยากให้เขาโกรธหรือคิดว่าผมทำตัวเหมือนเด็กน่ารำคาญ.... แต่ตอนนี้ผมกำลังโกรธมาก ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะเอาตัวเข้าไปวิ่งหมุนรอบพี่โรมทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายทำผิดต่อผมก่อน

“แต่ว่า...........”

“ชาบอกแล้วไงว่าไม่คุย!”  ผมยื่นคำขาด  “เรื่องเดียวที่ชาจะคุยกับพี่โรมคือเรื่องที่โรงพยาบาล แต่ถ้าพี่ไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นก็กลับไป!"

“โอเคๆ ทิชาใจเย็นก่อน........”

คนที่ได้ชื่อว่าแฟนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แม้ว่าผมจะจัดการสาดเขาด้วยน้ำเย็นไปแล้วเรียบร้อย จะได้รู้กันไปว่าคนที่หัวร้อนง่ายและเอาแต่ยึดเหตุผลของตัวเองเป็นหลักไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ถ้าผมจะทำเหมือนอย่างที่เขาทำกับผมก่อนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:08:43
ผมโยนผ้าขนหนูให้พี่โรมซึ่งเดินตามเข้ามาในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม ก็แค่ไม่อยากให้โซฟาเลอะเทอะเปียกน้ำไปด้วยเวลาที่เขานั่งลง ส่วนแผลแตกตรงมุมปากซึ่งได้มาเพราะต่อยกับไอ้แดนนั้นผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น นัยว่าหาเรื่องเจ็บตัวเอง ทำไมผมต้องคอยประคบประหงมทำแผลให้กับคนที่ทำผมเสียใจด้วยล่ะ

พอนั่งลงได้สักพัก ยัยมิลค์ซึ่งหายตกใจแล้วก็เดินออกมาสำรวจกลิ่นคนมาใหม่ มันทำจมูกย่นดมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนอนแหมะอยู่ตรงเท้าพี่โรมเพราะจำได้ว่านี่คือแด๊ดดี้ที่คอยเทอาหารและซื้อคอนโดแมวไฮโซให้.... ร่างสูงก้มลงไปอุ้มลูกสาวขนฟูขึ้นมานั่งบนตัก ลูบหัวเกาคางปลอบใจกันตามประสาพ่อลูกจนผมนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ กับท่าทางสำนึกผิดที่ไม่รู้ว่าใช่ของจริงแน่หรือเปล่า

“มิลค์ตกใจเหรอลูก.... พ่อขอโทษนะ”

ยังไม่ทันพูดจบดี ผมก็ตรงเข้าไปแย่งตัวยัยมิลค์มาอุ้มไว้เอง ไม่ยอมให้เขาใช้ลูกสาวผมเรียกคะแนนสงสารให้ตัวเองเป็นอันขาด 

“ปล่อยเลย ไม่ต้องยุ่งกับมิลค์!”

“ทิชา.........” 

พี่โรมพูดเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาเสมือนว่าเจ็บปวดเหลือเกินที่ถูกผมกีดกันไม่ให้อุ้มลูก 

“..........อย่าทำแบบนี้สิ มิลค์ก็ลูกพี่เหมือนกันนะ”

“เมื่อวานน่ะใช่ เมื่อเช้าก็ยังใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” 

ผมเอ่ยอย่างเด็ดขาด บ่งบอกให้เขารู้ว่าผมโกรธจริง ไม่ใช่ว่าแค่มานั่งปั้นหน้าเศร้านิดหน่อยแล้วก็จบกันไป 

“พี่โรมกับชาก็ด้วยนะ จนกว่าเราสองคนจะคุยกันรู้เรื่องว่าจะเอายังไงต่อ ชาจะถือว่าเราไม่มีสถานะใดๆ ต่อกัน.... พี่โรมไม่ใช่พ่อยัยมิลค์แล้วก็ไม่ใช่แฟนของชาด้วย”

และนี่ก็คือความอึ้งครั้งที่สามของพี่โรม เขาดูช็อกไปไม่น้อยกับสิ่งที่ผมพูดเพราะมันฟังดูเหมือนประโยคบอกเลิกพร้อมตัดขาดไร้เยื่อใย ต่างจากทิชาคนเดิมที่เอาแต่ยิ้มหวานตามใจพี่โรมไปเสียทุกอย่าง.... ใบหน้าหล่อฉายแววออกอาการเครียดจัดขณะจ้องมองมาทางนี้คล้ายจะขอร้องอ้อนวอนผ่านแววตา เขาเดินเข้ามาใกล้ผมซึ่งนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามแล้วจึงคุกเข่าลง มือหนาวางลงบนต้นขาผมก่อนจะพยายามง้ออย่างมีความหวังว่าผมจะยอมให้อภัยและคืนดีด้วย

“แต่พี่ยังเป็นแฟนทิชาเหมือนเดิมนะ.........” 

น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยขอความเห็นใจ สร้อยหนังห้อยจี้รูปเฟืองสีทองแดงถูกดึงออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดคืนเยียดใส่มือผมพร้อมด้วยคำพูดลมปากซึ่งยากที่จะเชื่อได้ลง 

“พี่ไม่ได้นอกใจทิชา ไม่ได้โลเลจะกลับไปหาใครด้วย........พี่รักทิชาคนเดียว.....คนเดียวจริงๆ........”

ผมนั่งนิ่งไม่ยอมรับเกียร์คืนมา บอกตามตรงว่าถ้าหากพี่โรมพูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินออกมาจากโรงพยาบาล ความไม่พอใจทั้งหมดที่ผมมีอยู่มันอาจจะจบลงไปแล้วก็ได้ หากสำหรับเวลานี้ แค่เพียงคำบอกรักเวิ่นเว้อลมๆ แล้งๆ มันยังไม่สามารถเรียกความรู้สึกที่เสียไปให้กลับคืนมาได้

“พี่โรมรักชา แต่ก็เลือกให้เรื่องของไอ้บี๋มาก่อนเนอะ” 

ผมเหยียดมุมปากพลางเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย 

“แล้วยังไงล่ะ ไม่อยากอยู่นอนเฝ้าคนเจ็บแล้วเหรอ? ไหนว่าทิ้งให้มันอยู่คนเดียวไม่ได้ไง?”

“พี่โทรเรียกให้ไอ้แจ็คไปเฝ้าแทนแล้ว” 

พี่โรมอธิบายถึงวิธีการแก้ปัญหาของเขา ก่อนจะแอบตัดพ้อต่อว่าเล็กๆ เพราะคิดว่าผมประชดด้วยการเก็บข้าวของพายัยมิลค์กลับมาอยู่บ้าน 

“พี่รีบกลับไปที่คอนโดฯ แต่ทิชาไม่อยู่ ยัยมิลค์ก็ไม่อยู่.... รู้ไหมว่าพี่ตกใจแค่ไหนที่เราพาลูกหนีมา..........”

“จะตกใจทำไม ก็คุยกันแล้วว่าถ้าพี่โรมไปค้างที่อื่น ชาจะพามิลค์กลับบ้าน.... หรือพี่โรมคิดว่าชาแค่พูดเล่นไปงั้นเอง?”

“เปล่า......พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น.........”

“อืม พี่โรมรู้ว่าชาเอาจริงแต่ก็ยังกล้าผิดคำพูด.... แล้วต่อไปนี้ชาจะเชื่อมั่นอะไรในตัวพี่ได้อีก?” 

ผมไม่คิดว่าสิ่งที่พูดไปจะเป็นการกดดันหรือต้อนพี่โรมให้จนมุมและต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ด้วยนิสัยเอาแต่ใจ ผมแค่ถามให้ชัดเจนเพื่อที่ทั้งตัวเองและเขาจะได้แน่ใจว่าสถานะของเราทั้งคู่เป็นแบบไหน เราคบกันเพื่ออะไร และถ้าตำแหน่งแฟนคนปัจจุบันไม่ได้มีความสำคัญมากเท่ากับแฟนเก่า ผมก็จะได้ตัดสินใจเลือกให้ถูกต้องว่าควรจะรับเกียร์ของพี่โรมเอาไว้หรือบอกให้เขาเอาไปคล้องให้เจ้าของหัวใจตัวจริง 

“พี่บอกว่ารักชาคนเดียว ชาเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับพี่ แต่การกระทำมันไม่ใช่ไง.... ตอนนี้พี่โรมแทบจะหายใจเข้าออกเป็นไอ้บี๋ เดี๋ยวก็จะไปเฝ้า เดี๋ยวก็จะไปดูแล ถ้ามันเป็นญาติพี่น้องทางไหนของพี่โรม ชาก็ไม่อยากจะเก็บเอามาคิด แต่นี่มันเป็นแฟนเก่า เป็นคนที่พี่โรมเคยชอบมาก่อน แล้วชาจะแน่ใจได้ยังไงว่าถ่านไฟเก่ามันจะไม่คุในเมื่อไอ้บี๋มันก็เอาแต่พูดย้ำอยู่นั่นแหละว่าพี่โรมรักมัน?”

เอาจริงๆ ที่พูดไปเมื่อกี้เป็นแค่ส่วนเดียวจากทั้งหมดที่ผมรู้สึก ยังมีเรื่องที่พี่โรมทำเฉยเวลาที่บีบี๋ขิงข่าขี้โม้บ้าบอใส่ผม เรื่องผิดสัญญาว่าจะไม่ค้างคืน รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างร้านที่เขาไปซื้อแอปเปิ้ลให้มันกิน แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งไล่เรียงให้เขาฟังทีละอย่างว่าทำอะไรลงไปบ้าง

ร่างสูงถอนหายใจระบายความกลุ้ม แม้เจ้าตัวจะเพิ่งพูดกับปากว่าไม่ได้โลเลอยากกลับไปหาใคร แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือจากทางนั้นจนผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ

“พี่มีเรื่องที่ต้องสารภาพกับทิชา.......”  เขาพูดขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบกันไปพักใหญ่    “ถ้าเรายังให้โอกาส จะยอมรับฟังเหตุผลของพี่ได้ไหม?”

“จนป่านนี้แล้ว อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”

ในตอนนั้น ผมไม่คิดว่าสิ่งที่พี่โรมกำลังพยายามอธิบายจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็คงเหมือนทุกครั้งที่เขามักจะมีเหตุผลดีๆ มาสนับสนุนการกระทำของตัวเอง แล้วปัดตกความรู้สึกของผมให้กลายเป็นแค่เรื่องงอแงไร้สาระของเด็กไม่รู้จักโต แล้วสุดท้ายเราทั้งคู่ก็จะหนีไม่พ้นย้อนกลับมาสู่จุดที่คุยกันคนละภาษาอีก

“พี่กับบีบี๋จบกันไม่ดีก็จริง แต่ถึงพี่จะไม่ได้รักเขาแล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องเกลียดเขา แล้วตอนนี้บีบี๋ก็กำลังลำบาก จะให้พี่ทำเฉยไม่สนใจใยดีเขาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้..........” 

เห็นไหมว่ามันก็เหมือนฉายหนังเรื่องเดิมๆ ที่ผมรู้ตอนจบอยู่แล้ว แค่พี่โรมอ้าปากก็เห็นไปถึงลิ้นไก่ บางทีก็อยากบอกเขานะว่าถ้าเหตุผลมีอยู่แค่นี้ก็อย่าเสียเวลาเปลืองน้ำลายเลย 

“ที่บีบี๋เจ็บคราวนี้ ส่วนหนึ่งก็มีพี่เป็นต้นเหตุด้วย.... พี่รู้สึกผิดที่ทิ้งบีบี๋ไป ทำให้เขาต้องเจอกับเรื่องทั้งหมด แล้วพี่ก็คิดว่าตัวเองไม่ควรปฏิเสธความรับผิดชอบ.........”

“ตั้งแต่คบกับชา พี่โรมก็ไม่เคยกลับไปที่เบอร์ลิคอีกเลยไม่ใช่เหรอ แล้วพี่ไปเกี่ยวกับเรื่องที่ไอ้บี๋เกิดอุบัติเหตุได้ไง?”

ผมทำหน้าไม่เชื่อเอาไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้พี่โรมรู้ว่าถ้าจะพูดหนนี้ก็ต้องพูดให้หมด ไอ้จะมาเล่ากั๊กๆ บอกครึ่งไม่บอกครึ่งหรือทำเป็นไม่รู้ก็อย่าเลยดีกว่า

พี่โรมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“บีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน..........”

“เดี๋ยวนะ.... สองล้าน??” 

ทีแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่ดูจากสีหน้าพี่โรมแล้วตัวเลขที่ผมได้ยินคงไม่ผิดแน่ 

“แล้วมันไปยืมเงินเขามาทำอะไรตั้งสองล้าน??”

ถึงจะมีเรื่องบาดหมางผิดใจจนมองหน้ากันไม่ติด แต่ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของบีบี๋ ผมกล้าพูดเลยว่าคนอย่างมันไม่มีทางทำอะไรสิ้นคิดอย่างเล่นพนันบอลหรือเล่นยาอย่างแน่นอน และถึงมันจะชอบบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าป๊าม้าไม่ค่อยให้เงินใช้แต่เท่าที่เห็นมันก็ไม่เคยอด อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากได้เสื้อผ้าข้าวของก็พอซื้อได้ แล้วทำไมอยู่ดีๆ มันถึงต้องไปกู้หนี้ยืมสินชาวบ้านเขา....?

“ที่บีบี๋ยืมจากเฮียรุจน่ะไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นเกียร์ต่างหาก”

“ยืมเกียร์.......ของเฮียรุจเนี่ยนะ?” 

ผมฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ บีบี๋จะเอาเกียร์ของคนใจหมาอย่างพี่รุจไปทำอะไร แต่แล้ว ผมก็นึกถึงรอยถลอกจางๆ เหมือนโดนสร้อยบาดตรงคอของบีบี๋ขึ้นมาได้

“ใช่.... บีบี๋เองก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เขาทำลงไปเพราะอยากเอาชนะทิชากับพี่จะบานปลายจนทำให้ตัวเองเกือบตาย”

ความจริงหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ หรือรู้แค่เพียงผิวเผินกระหน่ำเข้ามาในหัวสมองเหมือนฝนห่าใหญ่.... ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าไอ้บี๋จะถึงขนาดใช้เกียร์ของเฮียรุจกับอิทธิพลเบอร์ลิคมาบังคับให้พี่โรมกลับไปคบกับมัน เอาเรื่องที่ฝึกงานกับชีวิตการเรียนในวิศวะฯ มาขู่ ก็ว่าอยู่ว่าเพราะอะไรพี่โรมถึงต้องวิ่งเต้นหาที่ฝึกงานใหม่ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แถมเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เคยมีก็เหลือแค่พี่แจ็คคนเดียวที่ยังคบกันอยู่จนทุกวันนี้

เรื่องที่พี่โรมลาออกจากเบอร์ลิคก็เหมือนกัน ผมคิดว่าเขาแค่เหนื่อยกับการเป็นลูกน้องของพี่รุจ และมีปัญหาเพราะว่าเพื่อนกับรุ่นพี่ร่วมคณะไม่พอใจที่เขามาคบกับผมซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชิงเกียร์ก็เลยไม่กลับไปที่ร้านอีก แต่เขาไม่เคยบอกผมเลยสักคำว่าโดนเล่นงานหนักเบอร์นี้

และเพราะพี่โรมตัดสินใจหักดิบหันหลังให้เบอร์ลิคและระบบเกียร์สุดจัญไร ไม่ยอมตามเกมให้คนพวกนั้นรวมหัวกันข่มขู่ บีบี๋ถึงได้โดนพี่รุจย้อนเกล็ดตัวเหี้ยด้วยการคิดค่ายืมเกียร์พร้อมชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้มือขวาคนสนิทของเขาลาออก.... ขืนไม่จ่ายก็คงได้โดนพวกวิศวะฯ ลูกไล่พี่รุจรุมกระทืบตายห่า ก็สมแล้วที่เป็นเบอร์ลิค เมืองสวรรค์ของคนใจหมาซึ่งกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย อยากทำอะไรก็ทำ อยากให้ใครเป็นหนี้ก็ยัดเยียดข้อหากันง่ายๆ

“แล้วไอ้บี๋มันมีเงินไปจ่ายพี่รุจเหรอ?”

“ตอนแรกพี่ก็ไม่แน่ใจว่าบีบี๋ตกลงกับเฮียรุจเอาไว้ยังไง พี่เคยเห็นเขาพยายามสอนพิเศษเด็กมัธยมก็คิดว่าคงกำลังทยอยผ่อนจ่ายอยู่.... จนกระทั่งเกิดเรื่องอุบัติเหตุที่เบอร์ลิคขึ้น พี่ถึงได้รู้ว่าบีบี๋ไม่ได้จ่ายแค่เงินอย่างเดียว แต่ต้องนอนกับเฮียรุจเพื่อใช้หนี้ด้วย” 

ผมถึงกับร้องเฮ้ยให้กับสิ่งที่พี่โรมเล่าให้ฟัง เพราะนี่มันเลวร้ายมากกว่าที่ผมจะคาดคิดได้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า 

“ไอ้แจ็คมันยังต้องพึ่งเฮียรุจในหลายๆ เรื่อง มันก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่เท่าที่เค้นมาได้ก็คือบีบี๋ถูกเฮียรุจทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ บางทีก็ตั้งใจ บางทีก็ทำไปเพราะเมา.........”

ผมได้แต่กลืนน้ำลายตัวเองอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกจุกในท้องหน่วงในอกเมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทที่เคยพูดจาเล่นหัวตัวติดกันเหมือนฝาแฝดจะเดินผิดทางไปไกลขนาดนี้.... และผมก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพี่โรมถึงได้รู้สึกผิดที่บอกเลิกบีบี๋ เพราะตัวผมเองก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ไปชิงเกียร์พี่โรมมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ผมนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายทั้งหมด

มันก็เหมือน Butterfly Effect หรือทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ถ้าผมไม่ชอบพี่โรม ถ้าบีบี๋ไม่คิดจะคบกับพี่โรมปาดหน้าผม ถ้าผมตัดใจจากพี่โรมได้ตั้งแต่แรก ถ้าผมไม่ไปชิงเกียร์ที่เบอร์ลิค ถ้าคืนนั้นผมไม่ได้สติแตกหนีออกจากบ้านไปหาพี่โรม ถ้าพี่โรมไม่บอกเลิกมัน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิด.... ต่อให้แกล้งทำเป็นไม่รับรู้แล้วชี้นิ้วกล่าวโทษว่าไอ้บี๋ต่างหากที่เป็นคนหาเรื่องใส่ตัว ทว่า ลึกๆ ในใจของเราทุกคนก็ตระหนักดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของคนเพียงคนเดียว

“บางที เหตุผลที่บีบี๋แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมก็เพราะอาจจะกำลังหาทางหนีจากเฮียรุจ พี่ถึงยังไม่อยากไปอะไรกับเขาตอนนี้.... แล้วที่ปล่อยให้บีบี๋อยู่คนเดียวไม่ได้ก็เพราะไม่รู้ว่าเฮียรุจจะโผล่มาที่โรงพยาบาลอีกเมื่อไร อย่างน้อยถ้ามีคนอยู่ด้วย เฮียรุจก็คงไม่กล้าเอาถึงตาย.........”

“แล้วเราจะต้องทำยังไง ถ้าหาเงินสองล้านมาได้เรื่องจะจบไหม?”

ในหัวผมคิดถึงเงินจำนวนเจ็ดหลักที่จะช่วยให้บีบี๋หนีพ้นจากเงื้อมมือเฮียรุจได้ ไม่ใช่แค่ช่วยมันคนเดียว แต่ยังเป็นการซื้อความสบายใจให้กับผมและพี่โรมด้วย ทว่า ร่างสูงกลับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเปล่าประโยชน์

“ถึงมีเงินมาคืนสองล้านตอนนี้ก็ใช่ว่าเฮียรุจจะยอมจบ”

พี่โรมเอ่ยเสียงเครียด 

“พี่กำลังพยายามคุยกับที่บ้านอยู่ว่าพอจะมีทางจัดการกับเรื่องนี้ได้ยังไงบ้าง ลำพังพี่เป็นแค่นักศึกษาจะไปออกหน้าเคลียร์เองก็คงไม่มีใครกลัวหรอก เลยคิดว่าถ้าให้พวกผู้ใหญ่เขาช่วยคุยก็อาจจะพอมีหวัง.... แต่ทางเฮียรุจก็มีแบ็คอัพเป็นคนมีสีเหมือนกัน ผลประโยชน์จากเบอร์ลิคที่จ่ายใต้โต๊ะเดือนหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่น้อย ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะได้คำตอบว่ารอดหรือไม่รอด”

กลายเป็นผมที่ต้องถอนหายใจยาวเมื่อมองไม่เห็นเลยว่าทางออกของปัญหาอยู่ที่ตรงไหน มือหนาซึ่งวางอยู่บนตักเลื่อนมาบีบฝ่ามือผมเรียกให้หันไปสบตา.... เมื่อกำแพงของความโกรธและความไม่เข้าใจกันถูกทำลายลง สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงเหลือเพียงความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของอีกฝ่าย แต่ถ้าให้เลือก ผมก็ยังหวังว่าพี่โรมจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้ผมรู้เร็วกว่านี้

“ที่พี่ไม่บอกเรื่องบีบี๋ให้ทิชารู้ก็เพราะไม่อยากให้เราต้องเครียดไปด้วย.......แต่ก็อย่างที่เห็นแหละนะ พี่คงคิดน้อยเกินไปจริงๆ..........” 

ชายหนุ่มยิ้มเศร้าอย่างคนสำนึกผิด หน่วยตาคมเงยขึ้นมองหน้าผมราวกับจะวอนขอความรักและความเชื่อใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง 

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทิชาเสียใจเลย......พี่ขอโทษ.........ถ้าทิชาไม่อยากให้พี่ยุ่งกับบีบี๋ พี่ก็จะเลิกเดี๋ยวนี้”

“ถ้าเลิกยุ่งแล้วพี่โรมจะสบายใจเหรอ? จะไม่รู้สึกผิดอีกใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร.... ทิชาคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับพี่ ต่อไปนี้ถ้าทิชาบอกว่าไม่ก็คือไม่.......เรื่องของทิชาต้องมาก่อนเสมอ.........”

“พี่โรมทำไม่ได้อย่างที่พูดหรอก อย่ารับปากอะไรง่ายๆ เลย” 

เมื่อได้ยินประโยคนั้น ร่างสูงก็หน้าเสียไปเมื่อคิดว่าเหตุผลและคำสัญญาครั้งใหม่จากเขาไม่สามารถทำให้ผมใจอ่อนลงได้ แต่ไม่ใช่เลย ที่ผมไม่ให้เขารับปากก็เพราะรู้ว่าพี่โรมเป็นคนยังไงและผมก็เริ่มยอมรับได้แล้วที่เขาเป็นคนแบบนี้   

“นิสัยพี่โรมก็เป็นอย่างนี้.... ดีจนไม่รู้ว่าจะไล่ไปเป็นพระเอกละครช่องไหนแล้วเนี่ย น่าเบื่อ!”

ผมลงจากโซฟาไปกอดพี่โรมซึ่งคุกเข่าสารภาพผิดอยู่บนพื้น.... ใครจะว่าผมใจอ่อนง่ายโกรธไม่สุดหรืออะไรก็ช่าง แต่มันก็เท่านี้เองที่ผมต้องการ ขอแค่พี่โรมเห็นว่าผมคือคนที่สำคัญที่สุดและต้องมาก่อนคนอื่นเสมอก็พอแล้ว

เหลืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องปรับทัศนคติกันใหม่ หากผมก็รู้สึกว่าถ้าเราผ่านปัญหาคราวนี้ไปได้ อย่างอื่นก็คงไม่ยากเท่าไรแล้วล่ะ....

“ชาเคยบอกพี่โรมแล้วใช่ไหมว่าชาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะโดนกระทบกระเทือนอะไรไม่ได้เลย.... ทีหลังมีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกันนะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว ถ้าพี่โรมอยากให้เราสองคนคุยกันด้วยเหตุผล แต่พี่กลับปิดบังเหตุผลที่แท้จริงเอาไว้แล้วใครมันจะไปตรัสรู้ได้ล่ะว่าต้องทำตัวยังไงกันแน่” 

ผมวางฝ่ามือแนบสองข้างแก้มของคนตรงหน้าบังคับให้เขามองสบตา ถ้าครั้งก่อนที่คุยกันมันยังไม่ชัดเจนพอว่าผมพร้อมที่จะอยู่กับพี่โรมในฐานะคนรัก ครั้งนี้ก็เอาให้รู้กันไปเลยว่าคนอย่างทิชา ทิชนันท์ไม่ได้มาเล่นๆ รักก็คือรัก ได้ก็คือได้ และอะไรที่บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้เช่นกัน 

“ชาเป็นแฟนพี่โรมนะ เป็นคนที่จะอยู่ร่วมแชร์ชีวิตกับพี่ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย.... อย่าทำเหมือนกับว่าชาเป็นลูกหมาลูกแมวที่พี่แค่เลี้ยงดูให้ความรักไปวันๆ ก็พอสิ ชารักพี่โรมนะ ถ้าพี่โรมไม่มีความสุขแล้วชาจะมีได้ยังไง จริงไหม?”

กว่าจะยิ้มออกก็ต้องปวดใจกันก่อน แต่จะว่าไปแล้วก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกันนะที่บทสรุปออกมาเป็นแบบนี้ เพราะเราจะได้รู้ซึ้งกันทั้งคู่ว่ากว่าจะกลับมามองหน้ากันอย่างสนิทใจได้ก็เล่นเอามีทั้งคนโมโห คนเปียก แล้วก็คนเจ็บตัวได้แผล

“อืม.....ทิชาเป็นแฟนพี่นะ........แล้วเราสองคนก็รักกันมากด้วย”

เกียร์แทนใจซึ่งผมเป็นคนถอดออกเองกับมือ ในตอนนี้ได้ถูกสวมคืนโดยผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด สีทองแดงแอบเขรอะนิดๆ ตัดกับผิวขาวจัดของผมเสมือนคำประกาศให้โลกรู้ว่าหัวใจของเราทั้งคู่ได้ผูกมัดเข้าด้วยกันแล้ว

“คราวหน้าคืนแล้วคืนเลย อย่าทำให้ชาต้องถอดเกียร์คืนพี่โรมอีกนะ”

“พี่จะไม่สัญญาพร่ำเพรื่อ แต่จะทำให้ทิชาเห็นเลยว่าใครคือคนที่พี่ตั้งใจจะให้มาเป็นอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่”

.


.


.


“ทิชา จะให้พี่นอนตรงนี้จริงๆ เหรอ?”

“จริงสิ”

“ไหนว่ารักไง?”

“ก็นี่แหละความรักของชา”

ผมมองพี่โรมซึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างเตียงนอนซึ่งมีผมกับยัยมิลค์ขึ้นมาประจำที่เรียบร้อย แฟนหนุ่มตัวดีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อจนแล้วจนรอดผมก็ยังยื่นคำขาดว่าถ้าคืนนี้เขาจะนอนค้างบ้านผมก็ต้องนอนบนพื้น.... ร่างสูงย่อตัวลงเกาะขอบเตียงพลางทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารเผื่อว่าผมจะเปลี่ยนใจ แต่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างพี่โรมถ้าโดนลงโทษบ้างก็น่าจะดี ไม่งั้นเดี๋ยวไม่จำ

“แต่เราคืนดีกันแล้วนี่..........”

“อื้อ คืนดีแล้ว แล้วยังไงเหรอ?” 

ผมว่าพลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะโยนหมอนกับผ้าห่มสำรองลงไปให้

 “เรื่องอื่นน่ะคืนดีด้วยหมดแล้ว แต่เรื่องแอปเปิ้ลที่แอบไปซื้อให้ไอ้บี๋แต่ไม่ซื้อให้ชา อันนี้โกรธจริง ง้อให้ตายไม่คืนดีด้วย”

“โธ่ ทิชาก็..........” 

พี่โรมยังคงลากเสียงตัดพ้อจะเป็นจะตาย ทำอย่างกับว่าถ้าไม่ได้นอนด้วยกันคืนนี้แล้วเขาจะขาดใจดับดิ้น น่าหมั่นไส้นัก ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ตัวเองเพิ่งจะขันอาสาไปนอนค้างกับคนอื่นอยู่แท้ๆ 

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะรีบไปซื้อให้แต่เช้าเลย เอาส้มกับกีวีด้วยก็ได้ สตรอเบอร์รี่เกาหลีก็ดีนะ เห็นมีขายกล่องเบ้อเริ่มเลย ทิชาอยากกินหรือเปล่า”

“อยากกิน.... แต่ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้เนอะ คืนนี้พี่โรมนอนพื้นน่ะดีแล้ว”

เมื่อผมแกล้งยืนยันคำเดิม พี่โรมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากทิ้งตัวนอนลงบนพื้นแต่โดยดี ผู้ชายตัวโตบ่นกะปอดกะแปดเป็นหมีกินผึ้งหาว่าผมใจร้าย ผมก็เถียงกลับไปว่าเขาต่างหากที่ใจดำก่อน.... เราคุยกันไปพลาง เถียงเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปพลางจนเริ่มเหนื่อยแล้วก็หลับไปทั้งคู่ คิดว่าพี่โรมน่าจะหลับไปก่อนนะเพราะตอนที่ผมกำลังเคลิ้มๆ ก็จำได้ว่าไม่ได้ยินเสียงเขาแล้ว

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนจะพลิกตัวตะแคงหันไปอีกข้าง แต่ทำไม่ได้เพราะมีใครบางคนโอบแขนกอดผมเอาไว้จากด้านหลัง ดูเหมือนพี่โรมจะแอบฉวยโอกาสขึ้นมานอนบนเตียง.... ก็เอาเถอะ ผมเองก็ขี้เกียจจะปลุกทั้งเขาและตัวเองขึ้นมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้วล่ะ

ผมรักเขา แต่ผมก็มีความเอาแต่ใจ

พี่โรมก็มีความเอาแต่ใจในแบบของเขาเช่นเดียวกัน

เราสองคนก็ผลัดกันหมุนไปตามวงโคจรของอีกฝ่ายด้วยความเข้าอกเข้าใจ ช่วยกันประคับประคองไม่ให้ความรักเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป แบบนี้ผมรับได้และคิดว่ามันก็ไม่ได้จะแย่สักเท่าไร


อย่างน้อย การได้เห็นคนที่เรารักสบายใจก็ดีกว่าเอาโลกมาหมุนรอบตัวเองแล้วมีความสุขอยู่คนเดียวตั้งเยอะเลย.... จริงไหม?
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:19:06
15
~สุดแค้นกับแสนรัก ~


ROME’s PART


ครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนตัวเล็กนอนขดตัวซุกเข้าหาอกผมเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้วจนแทบจำไม่ได้.... ถ้ารู้ว่าช่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันจะแสนสั้นและแสนมีค่ามากขนาดนี้ ผมจะไม่เสียค่าโง่ทำอะไรอย่างที่เคยทำเลย แต่จะกอดทิชาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

ผมควานมือถือที่วางไว้เหนือหมอนมากดดูนาฬิกา ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว อีกเดี๋ยวทั้งผมและน้องก็ต้องตื่นจากความฝันแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมขยับตัวนิดหน่อยเพื่อที่จะได้มองร่างในอ้อมแขนได้ถนัดขึ้น.... อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่ผู้ชายชมผู้ชายด้วยกันแบบนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จะใช้คำไหนอธิบายถึงคนตรงหน้าได้ดีเท่ากับคำว่าสวย เพราะช่วงนี้พักผ่อนน้อยเลยทำให้ใต้ตาช้ำไปบ้างแต่ทิชาก็ยังสวยอยู่ดี ทั้งสวยและน่ารักจนผมอดนึกหวงไม่ได้ อยากจะจับขังไว้ในห้องกระจกปิดตายไม่ให้พบเจอใครเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

ยอมรับตรงๆ ว่าแวบแรกที่เห็นก็ถูกใจทิชาตรงหน้าตา ถึงจะมอมแมมเนื้อตัวหัวหูเต็มไปด้วยคราบโกโก้ก็เถอะ แต่ที่ทำให้ผมหลงรักหัวปักหัวปำจริงๆ กลับเป็นนิสัยซึ่งผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกและเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากผู้คนรอบข้างลิบลับ.... ใครจะไปคิดว่าคุณหนูลูกดารา ท่าทางหยิ่งเข้าถึงยากแถมยังไม่ค่อยพูดค่อยจากับคนแปลกหน้าจะกลายเป็นลูกแมวน้อยเวลาที่อยู่กับแฟน ทิชาทั้งอ้อนเก่งแล้วก็เอาใจเก่ง จากที่เคยกังวลว่าจะรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของเจ้าตัวไม่ได้ก็กลับกลายเป็นว่าทิชาต่างหากที่ต้องจัดการโน่นนี่ให้ผมตั้งมากมาย แม้จะยังอ่อนไหวง่ายหากก็เข้มแข็งเด็ดขาดในเวลาที่จำเป็น ที่สำคัญก็คือการกระทำซึ่งแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่ารักผมนั่นแหละ

ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งสเป็คเอาไว้ว่าคนที่จะมาเป็นแฟนจะต้องใสๆ ไร้เดียงสา คุยง่ายยิ้มง่าย แค่อยู่ด้วยก็อารมณ์ดีไปทั้งวัน แต่สุดท้ายผมก็มาแพ้ทางทิชาเข้าจนได้ พอรู้ตัวอีกทีก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว

“อืม............”

เสียงแหบหวานครางงึมงำเมื่อโทรศัพท์ส่งสัญญาณว่าถึงเวลาต้องตื่นนอนแล้ว ผมเอื้อมมือไปกดปิดให้ก่อนจะแนบรับอรุณจูบลงกลางหน้าผากเนียนเพื่อช่วยปลุกคนขี้เซาอีกแรง ทิชาหยีตาสู้แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาก่อนจะลุกขึ้นนั่งสะลึมสะลืออีกพักใหญ่ พอเห็นผมนั่งยิ้มรออยู่แล้วก็เอ่ยถามทั้งที่ยังไม่หายเมาขี้ตาดี

“พี่โรมตื่นนานแล้วเหรอ?”

“สักพักแล้วครับ” 

ผมตอบพลางยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มร่างบาง หากแทนที่จะตาสว่างก็ดันหาวหวอด ไม่ได้มีวี่แววว่าจะอยากตื่นเลยสักนิด

“งั้นพี่โรมไปอาบน้ำก่อนไป ผ้าเช็ดตัวหยิบเอาในลิ้นชักเลย แปรงสีฟันอันใหม่อยู่ในห้องน้ำ ชาจะนอนต่อ ออกมาแล้วค่อยปลุกนะ........”

ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนแหมะตามเดิม แต่ก็ยังมิวายชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางไหนก็ไม่รู้พร้อมกับสั่งงานผมยาวเหยียด

“ฝากเอาข้าวให้มิลค์ด้วย อยู่ในตู้ข้างล่างตรงไมโครเวฟอะ”

คนสั่งผลอยหลับไปอีกรอบง่ายดายเหมือนปิดสวิตช์ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ปกติทิชาก็เป็นพวกเด็กอนามัยต้องนอนอย่างต่ำวันละแปดชั่วโมงอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มีทั้งเรื่องเรียน ทั้งเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายซีรีส์อะไรนั่นอีก เดี๋ยวพอเปิดกล้องก็คงจะได้นอนน้อยกว่านี้อีกหลายเท่าเชียวล่ะ

“แง้ว.............”

“อือ แม่ชาบอกพ่อแล้ว หนูรอแปบนึงนะลูก” 

ผมหันไปบอกยัยมิลค์ซึ่งมายืนไซโครออยู่ตรงชามข้าวในส่วนแพนทรีครัว ก่อนจะเปิดหาถุงอาหารแมวในตู้ชั้นล่างตามที่เจ้าของห้องบอก ผมจัดแจงเทข้าวเปลี่ยนน้ำให้ลูกสาวขนฟูจนเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับมารื้อหาผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ ส่วนเสื้อผ้าไม่ต้องพูดถึงเลย ผมใส่ของทิชาไม่ได้แน่ๆ ก็คงต้องใส่ตัวเดิม ฉีดสเปรย์ดับกลิ่นแล้วเอาเสื้อช็อปทับกันตายไปวันหนึ่ง

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาปลุกแม่แมวขี้เซาที่จนป่านนี้ยังหลับอุตุอยู่

“ตื่นได้แล้ว ทิชา”

“อือ.............”

ลองว่าง่วงขนาดนี้ แค่เรียกอย่างเดียวคงไม่มีทางสะดุ้งสะเทือน ผมก็เลยดึงผ้านวมที่ทิชาซุกตัวอยู่โยนไปอีกทาง แต่ก็ทำได้แค่เรียกเสียงอืออาเหมือนรำคาญแล้วคว้าสะเปะสะปะหยิบหมอนมาปิดหัวตัวเองเพื่อหนีจากความโหดร้ายของเช้าวันจันทร์ เดือดร้อนผมต้องโน้มลงไปเขย่าตัวปลุกอีกแรง

“เรามีเรียนแปดโมงครึ่งไม่ใช่เหรอ.... นี่จะเจ็ดโมงแล้วนะ ตื่นเร็ว” 

“ออกแปดโมงก็ทันน่า”

“ไปบีทีเอสน่ะทัน แต่พี่เอารถยนต์มานะครับ คุณหนู” 

ไม่อยากจะคิดถึงสภาพการจราจรเส้นทางจากทองหล่อไปมหา’ลัย ไม่ว่าจะฝั่งสุขุมวิทหรือเพชรบุรีก็น่าจะติดสาหัสพอๆ กัน แถมวันนี้ผมมีเรียน Automotive Measurement ที่ห้ามขาด ห้ามสาย ห้ามป่วย ห้ามตาย เสียด้วย 

“ลุกนะ คนเก่ง.... ถ้าไม่ยอมลุก พี่โดดทับจริงๆ นะ ยิ่งตัวบางๆ แบบนี้ ซี่โครงหักไม่รู้ด้วย”

พอได้ยินผมขู่ ลูกแมวน้อยถึงได้ยอมโผล่หัวออกมาจากใต้หมอน แต่แทนที่จะรีบลุกตามที่บอกก็กลับมานอนตาปรือจ้องผมอย่างกับจะจับกลืนลงท้อง

“ทำไมพี่โรมหล่อจัง.......?” 

น้ำเสียงฟังดูคล้ายละเมอฝันเห็นเทพบุตร แต่ผมรู้ว่าทิชาน่ะตื่นเต็มตาแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่เห็นแผงอกแน่นๆ กับกล้ามท้องของผมนั่นแหละ 

“ผมเปียกๆ แบบนี้โคตรเซ็กซี่เลย.......แถมยังไม่ใส่เสื้อผ้ามาปลุกชาอีก......เห็นแล้วคิดดีไม่ได้เลยอะ.......”

คำพูดคำจาน่าหมั่นเขี้ยวทำเอาผมรู้สึกจักจี้แปลกๆ ยิ่งสายตาปรือปรอยอย่างที่ไม่บอกก็รู้ว่าจงใจจะยั่วนั่นอีกล่ะ.... มันน่านักเชียว ทิชนันท์!

“พี่รู้นะว่าคิดอะไร แต่นี่มันใช่เวลาเหรอครับ”

ผมข่มน้ำเสียงให้ฟังดูห้วนดุเข้าไว้ แต่ก็แอบคิดในใจว่าถ้าวันนี้ไม่ใช่วันจันทร์ล่ะก็ รับรองว่าต้องมีใครบางคนได้เสียน้ำจนแห้งคาเตียงแน่ เสียดายที่เวลาไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย 

“ตื่นไปเรียนก่อน ไว้ตอนเย็นค่อยทำ”

“ตอนเย็นไปเวิร์คช็อป จะเสร็จกี่โมงก็ไม่รู้.... กลับมาบ้านก็คงไม่เจอพี่โรมแล้วปะ” 

เมื่อโดนปฏิเสธ ร่างเล็กก็หน้างอเป็นจวักอย่างเอาแต่ใจทันที.... นิสัยนี้ตอนที่คบกันแรกๆ ก็ไม่เคยเป็นหรอก หากพอทิชาเริ่มจับจุดได้ว่าผมรักผมหลง ความดื้อดึงร้ายกาจก็ค่อยๆ แง้มออกมาทีละน้อยพร้อมกับความน่ารักซึ่งดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด 

“ของแบบนี้มันเก็บไว้ทำทีหลังได้ที่ไหนกัน.....อยากตอนนี้ก็ต้องทำตอนนี้สิ หรือจะให้ชาไปนั่งตาเยิ้มใส่คนทั้งมหาลัยล่ะ?”

มีขู่ด้วย.... แต่แค่นึกภาพตามก็แทบจะบ้าตาย ปกติก็มีไอ้พวกหื่นไม่ดูทิศทางลมจ้องจะงาบแฟนผมอยู่ทุกที่ ขืนปล่อยทิชาออกไปข้างนอกในสภาพล่อแหลม ปล่อยฟีโรโมนไปทั่วนี่มันอันตรายชัดๆ!

“นะ....พี่โรมเก่งจะตาย.....ทำให้น้องแปบเดียวก็เสร็จแล้ว”

ไม่พูดเปล่าแต่ยังแต่ยื่นมือตัวเองมาคว้าหมับเข้าที่ส่วนกลางลำตัวผม สัมผัสจู่โจมผ่านผ้าขนหนูเนื้อนุ่มเล่นเอาผมสะดุ้งโหยงขนลุกเกรียว หากพอก้มลงมองอวัยวะส่วนเดียวกันของคนเรียกร้องก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เพราะตรงหว่างขาทิชานั้นทั้งแฉะทั้งชื้น มิหนำซ้ำยังยังแข็งปั๋งชี้ชนกางเกงนอนจนเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีอารมณ์มากแค่ไหน และผมเองก็ดูท่าทางจะตามไปติดๆ

คงเพราะเราทั้งคู่ยังวัยรุ่นอยู่ล่ะมั้งก็เลยเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่ายพอกัน

“เราน่ะ อ้อนเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ขอนึกก่อนนะ........” 

ทิชาแกล้งทำท่านึกโดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากน้องชายผม ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ผมก็คงไม่เชื่อหรอกว่าไอ้ท่าทางแสนเซี้ยวซุกซนแบบนี้ มันจะออกมาจากเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยอมทุกข์มีแต่รอยน้ำตา 

“สงสัยว่าจะตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพี่โรมรักล่ะมั้ง.... มีแฟนหล่อแสนดีขนาดนี้ก็ต้องอ้อนให้คุ้ม”

“อย่าให้ถึงทีพี่บ้างก็แล้วกัน”

“ก็ถึงแล้วนี่ไง.... รีบทำเร็วๆ สิ เดี๋ยวไปเรียนสายนะ”

ใบหน้าสวยยิ้มพราย ในดวงตากลมโตฉายแววยั่วยวนเว้าวอนแบบที่คนอย่างผมไม่น่าจะทนไหว ยิ่งผมห่างเรื่องนี้มาหลายวันเพราะแทบไม่ได้เจอทิชาเลย เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเสือหิวโซผ่านมาเจอเนื้อชิ้นใหญ่นั่นแหละ

“แล้วอย่ามาหาว่าโดนพี่รังแกทีหลังล่ะ”

ผมรูดกางเกงขาสั้นลงไปกองอยู่ตรงปลายเท้าร่างบาง สิ่งแรกที่กระแทกเข้ามาในประสาทส่วนการมองเห็นก็คือผิวกายขาวจัดซึ่งบ่มด้วยเลือดฝาดจนกลายเป็นสีอมชมพูไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงจุดที่ไวสัมผัสที่สุด แกนเนื้อขนาดแค่พอกำมือได้รอบตั้งแข็งชูชัน ส่วนปลายยอดแดงก่ำมีน้ำหล่อลื่นไหลเยิ้มชโลมอยู่จนเปียกไปหมด
จากที่ตอนแรกคิดว่าจะรีบทำรีบเสร็จเพราะไม่มีเวลา แต่พอเห็นดอกไม้บานอยู่ตรงหน้าก็ชักอดใจอยากจะเด็ดมาเชยชมนานๆ ไม่ได้....

“อืม..........ดีจัง.............”

เสียงหวานครางอย่างมีความสุขแทบจะทันทีที่ผมครอบริมฝีปากลงไปบนแก่นกายสีสด เอวบางบิดเกร็ง แผ่นหลังแอ่นโค้งจนเสื้อยืดตัวหลวมเลิกขึ้นไปอยู่ใต้อกในขณะที่ลมหายใจของทิชาหอบกระชั้นจากความวาบหวามรัญจวนที่ผมป้อนให้.... ยิ่งได้ยินเสียงร้อง ผมก็ยิ่งเล่นหนักเล่นแรง มือข้างหนึ่งล็อคเรียวขาขาวขึ้นพาดบ่า ส่วนอีกข้างกดให้ติดกับฟูกไม่ยอมให้คนซึ่งกำลังเสียวซ่านได้ที่เคลื่อนไหวได้ จากนั้นก็ตวัดลิ้นโลมเลียอย่างไม่ปรานี เน้นหนักตรงรูเล็กตรงยอดปลาย เพียงแค่ผมแหย่ปลายลิ้นสะกิดเบาๆ ทิชาก็ดิ้นพล่านร้องเสียงหลงเหมือนจะขาดใจ

“อ๊ะ.....อื้อ........พี่โรม.......พี่จ๋าของน้อง.............”

ร่างเล็กเอื้อมมือมาขยุ้มหัวผมระบายความเสียว หน้าท้องแบนราบเกร็งเสียจนยุบเป็นแอ่งลงไป กลีบปากอิ่มเผยอหอบครางไม่หยุดหย่อนก่อนจะร้องสั่งอย่างเอาแต่ใจเมื่อรู้ว่าผมเต็มใจจะตอบสนองในสิ่งที่ตนปรารถนา 

“ดูดอีก......ดูดตรงปลายแรงๆ เลย......พี่จ๋า.........”

“ทำไมเมียพี่ถึงได้หอมหวานไปทั้งตัวแบบนี้นะ........โดยเฉพาะตรงนี้ หวานที่สุดเลย........”

ผมหมายถึงเจ้าแท่งเล็กที่ถูกผมดูดเลียราวกับเป็นไอติม คล้ายกับถูกมอมเมาด้วยฟีโรโมนที่หลั่งออกมาจากร่างกายของทิชา ไม่ใช่แค่น้องที่ถูกใช้ปากแล้วมีความสุข แต่ผมเองก็โคตรฟินเหมือนกันที่ได้ครอบครองตัวตนที่แท้จริงของน้อง.... จะว่าเคมีเราสองคนตรงกันก็คงไม่ผิด มีแค่อุปนิสัยบางอย่างที่ต้องปรับเข้าหากัน แต่กับเรื่องเซ็กส์นั้นไม่เคยมีปัญหาเลย ผมให้ทุกอย่างที่ทิชาต้องการได้ ทิชาก็ให้ทุกอย่างที่ผมต้องการได้เช่นกัน

“อ๊า........อ๊ะ...........พี่โรม......จะเสร็จแล้ว......อ๊ะ...........”

สะโพกกลมกลึงส่ายหนักจนผมต้องเพิ่มแรงล็อคขาทั้งสองข้างของร่างบางเอาไว้ น้ำเหนียวหนืดซึ่งเคล้าอยู่ในปากไม่ต่างจากน้ำเมาที่ทำให้ผมยิ่งลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น.... เสียงร้องครางกับแรงจิกขยุ้มจากคนรักเหมือนโหมกระพือเลือดหนุ่มในตัวผมให้ร้อนระอุประหนึ่งราดน้ำมันลงบนกองไฟ ริมฝีปากและลิ้นทำงานประสานกันส่งทิชาให้ไปถึงฝั่งฝัน และอีกเพียงไม่กี่อึดใจถัดมา อาการเหยียดเกร็งครั้งสุดท้ายก็มาพร้อมกับเสียงหวานกระเส่าและคราบรักขุ่นขาวที่รดหลั่งมากยิ่งกว่าคราวไหนๆ

“อ๊า........!”

ผมถอนปากออกเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเต็มสองตา ร่างบอบบางบิดสะท้านไปมาเมื่อความซาบซ่านตรงกลางลำตัวแล่นทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ใบหน้าน่ารักเหยเกอย่างมิอาจควบคุมในขณะที่แก่นกายเล็กปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาเป็นสายยาวจนเปรอะหน้าท้องเนียนขาว รวมถึงมือและปากของผมด้วย

“.............พี่โรมเก่งจริงๆด้วย......ดูสิ ชาเสร็จเร็วอีกแล้ว.........”

คนตัวเล็กเอ่ยทั้งที่ยังหอบเหงื่อซึม พลางลูบมือไปตามคราบรักบนหน้าท้องของตัวเอง แววตาที่มองผมยังคงเต็มไปด้วยความออดอ้อนออเซาะ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วดูดเลียแบบเดียวกับที่ผมทำกับเจ้าตัวน้อยของทิชาก่อนหน้านี้

“ทำไมออกเยอะจัง.... ตอนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ทำเองบ้างเลยเหรอ?” 

ผมถามอย่างนึกสงสัย เพราะปกติแล้วเวลามีอะไรกันก็ไม่ได้เปื้อนเยอะขนาดนี้ พาลเดาเอาว่าตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ทิชาคงไม่ได้แตะต้องปลดปล่อยอารมณ์ด้วยตัวเองเลย

“เดี๋ยวนี้ชาทำเองไม่เป็นแล้ว..........” 

ร่างเล็กยิ้มร้ายก่อนจะเบียดตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนผม ผิวแก้มใสซบลงบนผืนอกเปลือยเปล่า

“รอพี่โรมมาทำให้มันอิ่มกว่าตั้งเยอะนี่นา อย่างนี้แล้วใครจะไปอยากทำเองกันล่ะ”

“เดี๋ยวนี้พูดเก่งนักนะ”

ผมจัดการกำราบแม่แมวแสนซนด้วยการประกบจูบเข้าหากลีบปากสีระเรื่อ ดูดดึงควานหารสหวานกำซาบจนพอใจ ทิชาเองก็ตอบสนองด้วยการตวัดปลายลิ้นตอบโต้เย้าหยอกคืนอย่างมีลูกล่อลูกชน.... รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายก็จูบเก่งไม่แพ้กัน เมื่อได้มาผลัดกันรุกไล่ลองเชิงก่อนจะเริ่มบทรักขั้นสุดท้ายก็สนุกดีไม่หยอก

“นอนลงแล้วแยกขาออกกว้างๆ เลย”

“เอากว้างแค่ไหนดี?” 

ถามยอกย้อนน่าดีดแต่ก็ยอมนอนลงไม่อิดออด แค่พริบตาเดียว ผ้าเช็ดตัวสีเข้มที่ผมใช้พันท่อนล่างก็หายวับไปกองรวมอยู่ตรงที่เดียวกับกางเกงขาสั้นของทิชา.... ความเป็นชายของผมผงาดตั้งลำพร้อมรบ ทำเอาร่างบางถึงกับห่อปากหัวเราะคิก

“แต่ใหญ่เบอร์นี้ ดูท่าทางชาคงต้องแหวกทางเข้าให้ด้วยมั้งเนี่ย”

“ก็บอกแล้วว่าห้ามบ่น ห้ามหาว่าโดนพี่รังแกด้วย”

เราทั้งคู่ต่างก็มีอารมณ์จนไม่มีใครสนใจเรื่องเจลหล่อลื่นหรือเรื่องเจ็บไม่เจ็บอะไรทั้งนั้น.... ผมแทรกกายเข้าไปอยู่ตรงกลางหว่างขาคนรัก ท่อนเนื้อสีสดซึ่งเพิ่งคลายความตึงแน่นไปเมื่อครู่เริ่มแข็งชันขึ้นอีกรอบ แต่ก็ยังน้อยกว่าลูกชายผมซึ่งขยายใหญ่เต็มความยาวและกำลังปวดระบมร่ำร้องจะหาที่ฝังตัวลงไป

ผมจับแท่งร้อนซึ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาจ่อเข้าที่เป้าหมาย โดยมีร่างเล็กช่วยอำนวยความสะดวกแอ่นสะโพกขึ้นแล้วใช้สองมือบิแก้มก้นให้แยกห่างจากกันเพื่อขยายปากทางเข้า ผมจึงค่อยๆ กดความแข็งแรงของตัวเองลงไป

“อื้อ.............”

ทิชาครางเหมือนเจ็บ ดูจากความต่างไซส์ตัวผมกับน้องก็น่าจะเจ็บอยู่หรอก ทุกทีผมจะทำโดยใช้สามนิ้วขยายขนาดทางเข้าเตรียมไว้ก่อน แต่ก็อย่างที่เห็นว่าวันนี้เราสองคนรีบมาก.... แล้วก็หื่นมากด้วย

“เจ็บเหรอ........พี่เพิ่งเข้าไปแค่ครึ่งเดียวเอง............”  ผมบอกสถานการณ์ให้ทิชาฟัง น้องพนักหน้าให้ผมพลางสูดหายใจลึกๆ ลดอาการเกร็ง  “หรือจะชโลมเจลให้มันลื่นๆ ก่อนดี......ทิชาจะได้ไม่เจ็บไง.........”

“มะ.....อึก........ไม่ต้อง...........”

“เอาจริงเหรอ?”

“อือ.......พี่โรมเสียบเข้ามาเลย........” 

น้องสั่งผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ช่องทางรักเบื้องล่างตอดรัดผมถี่ยิบราวกับคำเชิญชวน 

“เสียบเข้ามาแล้วขย่มแรงๆ........อื้อ........เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว...........”

ได้ยินแบบนี้ ผมก็อดใจไม่ไหว แทบจะพรวดเข้าไปในตัวคนรักทีเดียวให้มิดถึงโคน

“อ๊ะ.......ซี้ด..............”

ร่างบางซี้ดปากด้วยความเจ็บผสมกับความเสียวหลังจากที่ผมตัดสินใจกดแท่งร้อนทั้งหมดที่เหลือเข้าไปจนลึกสุด มือเล็กผละจากแก้มก้นตัวเองมาจิกไหล่ผมทันทีที่เส้นประสาททั่วกายตึงเปรี๊ยะเสมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นผ่าน.... รอยน้ำตาจางๆ เอ่อคลอเบ้าบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงทั้งเจ็บทั้งจุกไม่น้อย ทว่า รอยยิ้มแห่งความสุขกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย พลอยให้ผมต้องยิ้มตามไปด้วย

“อืม............” 

ผมส่งเสียงพร่าในลำคออย่างพึงใจ ข้างในตัวทิชาทั้งอุ่นแล้วก็นุ่ม ยิ่งเวลาที่ผนังหยุ่นโอบรัดท่อนเอ็นแล้วตอดรัวๆ นี่แม่งโคตรฟิน พอได้เข้าแล้วก็ไม่อยากจะเอาออกเลย เพราะอย่างนี้แหละผมถึงได้กอดน้องตั้งแต่สี่ซ้าห้าทุ่มยันฟ้าเหลืองอยู่บ่อยๆ

“พี่โรมรู้ปะ.... ชาอยากมีอะไรกับพี่บนเตียงตัวเองมาตั้งนานแล้ว” 

อยู่ดีๆ ทิชาก็พูดออกมา เรียวแขนผอมบางยกขึ้นคล้องคอผมก่อนที่เราจะสบสายตากัน

“ทำไมล่ะ?” 

ผมย้อนถาม เห็นผิวเนื้อช่วงอกของแฟนโล่งๆ ไม่เหลือรอยจูบที่ทำทิ้งเอาไว้คราวก่อนก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปดูดเล่นให้ขึ้นเป็นรอยกลีบดอกไม้แล้วจึงค่อยพูดต่อ 

“เตียงห้องพี่โยกไม่มันส์เท่าเตียงนี้เหรอครับ คนสวย?”

“บ้า!” 

กำปั้นน้อยๆ ทุบไหล่ผมเสียงดังปึ้ก ริมฝีปากอิ่มยื่นเหมือนเป็ดก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานจับหัวใจเช่นเดิม 

“ชาจะบอกว่าพี่โรมเป็นแฟนคนแรกที่ชายอมให้เข้ามานอนค้างที่บ้านนะ.... แล้วก็เป็นคนแรกที่มีเซ็กส์กันบนเตียงที่ชานอนมาตั้งแต่เด็กด้วย”

“.....................”

“ชาพูดจริงนะ”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งกับสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน.... ผมรู้ดีมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนแรกของทิชา เป็นคนที่เท่าไรก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ น้องเองก็ไม่เคยเล่าถึงคนเก่าๆ ให้ฟังเพราะผมไม่ได้สนใจอยากรู้อยากถาม แต่ทิชาไม่เคยพาใครเข้าบ้านเลย ผมคือคนแรก ถึงจะไม่ใช่คนแรกที่ได้เวอร์จิ้นแต่ก็เป็นคนแรกที่ได้รักกันในสถานที่ที่ทิชาคุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยที่สุด

ให้ตายเถอะ มันเหมือนกับว่าผมคือคนแรกที่ก้าวเข้ามาในโลกของทิชา ทิชนันท์ ได้อย่างเต็มตัว

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมปลื้มปริ่มภูมิใจได้ยังไงเล่า....?

“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อสักหน่อย.........” 

ผมว่าพลางเกลี่ยปลายนิ้วไล้ไปตามแก้มใสแล้วฝังปลายจมูกตามลงไป ข้างในอกพองโตคล้ายมีคนเอาลูกโป่งมายัดไว้ ถ้าไม่ติดว่ามีภารกิจสำคัญรออยู่ตรงหน้า ผมอาจจะมีความสุขจนตัวลอยติดเพดานไปแล้วก็ได้.... ความรักของผมกับทิชาคือสิ่งสวยงามและล้ำค่าเกินกว่าจะหาความรู้สึกอื่นใดมาเทียบเท่า ผมไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย 

“พี่ขอสัญญาว่าเซ็กส์ครั้งนี้จะน่าจดจำพอๆ กับครั้งแรกหลังจากที่เราคบกันเลย”

“งั้นชาก็ฝากพี่โรมด้วยนะ.... เอาให้ขาเตียงโยกไปเลยก็ได้”

สิ้นเสียงฝากฝัง ผมก็เริ่มขยับสะโพกสาวเข้า-ออกช้าๆ แต่เน้นหนักจังหวะตอนที่กระแทกลึกสุด พาลให้ร่างข้างใต้ผวาเฮือกกอดผมแน่นในยามที่จุดกระสันภายในช่องทางโดนท่อนเนื้อใหญ่ยาวเสียดสีกดย้ำหนแล้วหนเล่า.... ข้างในท้องน้อยผมก็หน่วงๆ ตึงๆ เช่นกัน ความเสียวที่ได้รับจากคนตัวเล็กเล่นเอาแข้งขาอ่อนแรง แต่ก็ยังอยากจะทะลวงหาความหฤหรรษ์ให้มากเท่าที่จะมากได้

“อ๊ะ........อา..............” 

ทิชาร้องครางอยู่ข้างหูผม ร่างอ้อนแอ้นบอบบางโยกคลอนไปตามการชักนำ เสียงฟูกนอนหนากระทั้นกับหัวเตียงและเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดจากขาเตียงยิ่งเร้าใจเราทั้งคู่มากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่ายัยมิลค์จะตกใจเสียงจนวิ่งหนีไปแอบดูอยู่ตรงใต้โต๊ะทำงานแล้วก็เถอะ

“อา........ทิชา........น่ารักมาก........รัดพี่แน่นเชียว..........” 

ผมกระซิบบอกคนรักขณะการะแทกความเป็นชายใส่อยางหนักหน่วงต่อเนื่อง

“.....อื้อ..........เสียวจัง........พี่จ๋า........เข้ามาอีก......ลึกๆ....แรงๆ............อา..........”

ผมผ่อนความเร็วลงนิดหน่อยแล้วหันมาเน้นแบบที่น้องอ้อนขอแทน ทิชาแยกขาออกกว้างขึ้นอีกเพื่อให้ผมกดแก่นกายเข้ามาจนหมด ท่อนเนื้อเล็กแกว่งไกวไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว น้ำขาวขุ่นปริ่มย้อยยั่วสายตาจนผมต้องส่งนิ้วโป้งไปขยี้ตรงรูกะจิดริดที่ปลายยอด

แค่นั้นแหละ แมวน้อยยั่วสวาทก็ดิ้นทุรนทุราย ร้องหาผมพร้อมทั้งกระดกตัวขึ้นมากอดอย่างสุดจะอดกลั้น

“อื้อ.......พี่จ๋า.........อย่าแกล้งน้อง.....มันเสียว........ไม่ไหวแล้ว.............”

“ถ้าทำไม่เสียวแล้วเมียพี่จะสนุกเหรอครับ?” 

ผมรูดแท่งรักของทิชาอย่างเมามัน เอวก็ไม่หยุดขยับโจนจ้วงเข้าหาโพรงรักที่แสนนุ่มนิ่มอุ่นร้อน ปรนเปรอทั้งข้างหลังและข้างหน้าให้เราได้อิ่มเอมกันทั้งคู่ 

“เวลาทิชาเสียว......ตรงนี้ของทิชาจะกอดพี่แน่นมาก.......โคตรดีเลย.........”

“อ๊ะ......อา...........อื๊อ.............”

ร่างบางยังคงส่งครวญครางกระเส่าไม่หยุด ในขณะที่ผมโถมกายกระแทกเข้าหาช่องทางด้านหลังถี่ยิบ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกขึ้นท่ามกลางความสุขสมของเราสองคนซึ่งพร่างพรูเอ่อล้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงง่ายๆ

เมื่อเครื่องร้อนเต็มพิกัด ผมก็เร่งกระหน่ำโยกเอวสอดใส่ไม่ยั้ง ความรู้สึกเบาหวิวแล่นจากท้องน้อยขึ้นสู่ก้านสองแล้วดิ่งลงสู่ปลายเท้า ทิชาจิกปลายนิ้วข่วนหลังผมก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเกร็งแล้วปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง ผมเองก็ปล่อยมือจากท่อนเนื้อเล็กให้มันได้ดีดตัวคายน้ำรักจนครบทุกหยาดหยด แล้วก็ถึงเวลาหน่วงจังหวะส่งท้ายเพื่อที่จะได้เสร็จตามคนรักไปติดๆ

“อืม........พี่ขอปล่อยในนะครับ คนดี..........อา.........”

 ผมกระซิบบอกเสียงพร่าก่อนจะถอนตัวออกจนเกือบสุดความยาวแล้วอัดเข้าไปเน้นๆ อีกสี่-ห้าครั้ง แล้วปล่อยความต้องการให้ทิชาได้ครอบครองทั้งหมด

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงพลางดึงตัวทิชาเข้ามากอด อุตส่าห์เพิ่งอาบน้ำมาแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเหงื่อโชกอย่างกับไปวิ่งมาราธอนมา จะผิดก็ตรงที่เหนียวเหนอะเป็นพิเศษตรงลูกชายสุดที่รักของผมนี่แหละ.... เราสองคนประกบปากจูบกันอ้อยอิ่งอยู่อีกพักใหญ่เพราะไม่มีใครยอมลุกจากเตียงก่อน คงเป็นเพราะต่างคนต่างก็รู้ดีว่าเวลาแห่งความสุขแบบนี้จะคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงจะรักกันแค่ไหนแต่เราก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบรอคอยอยู่ ซึ่งผมก็คาดหวังว่าอีกไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบลง แล้วผมกับทิชาก็จะได้อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดตราบเท่าที่หัวใจต้องการ

.

.

.

กว่าจะลุกไปอาบน้ำได้ก็ล่อไปเจ็ดโมงกว่า ผมกับทิชาอาบน้ำพร้อมกันด้วยความเร็วแสงแล้วจึงออกมาแต่งตัวแล้วโบกวินมอเตอร์ไซค์ไปมหาวิทยาลัยตอนแปดโมง โชคดีที่ผมทิ้งอุปกรณ์การเรียนทั้งหลายแหล่เอาไว้ในรถก็เลยแค่หยิบๆ แล้วก็ไปเข้าคลาสได้ แต่ก็ต้องฝากรถออดี้สุดรักสุดหวงไว้ที่บ้านน้องจนถึงตอนเย็น.... ก่อนจะแยกย้ายไปคณะใครคณะมัน ทิชาให้กุญแจบ้านไว้กับผมสำหรับมาเอารถคืนแล้วก็รับยัยมิลค์กลับไปคอนโดฯ

เพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานและสานต่อเลิฟซีนเมื่อครู่ ผมกับน้องก็เลยตกลงกันว่าเย็นนี้จะมาเจอกันที่ห้อง ถึงจะเป็นวันจันทร์ที่สุดแสนจะวุ่นวายแต่เราก็ยินดีที่จะเหนื่อยเพื่อกันและกัน

   
   Bee-Bee 

        18 missed calls


   

ผมเพิ่งมาเห็นว่าโทรศัพท์ตัวเองมีมิสคอลจากบีบี๋ก็ตอนที่อาจารย์เดินเข้ามาแล้ว ดูจากเวลาก็คิดว่าฝ่ายนั้นคงโทรมาตอนที่ผมกำลังเมคเลิฟกับทิชาเลยไม่ทันได้ยิน แบตก็ดันเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลยค่อนข้างลังเลว่าจะโทรหรือไม่โทรกลับดี จะขอยืมพาวเวอร์แบงก์จากใครก็ไม่ได้ ไอ้ห่าแจ็คก็เสือกโดดเรียนไม่บอกไม่กล่าว

แต่คนอย่างไอ้แจ็คน่ะเหรอจะโดดเรียน....?

ลางสังหรณ์ร้ายคืบคลานเข้ามาในหัวสมอง เมื่อวานนี้ผมวานให้เพื่อนสนิทช่วยไปเฝ้าบีบี๋ที่โรงพยาบาล คิดว่าก็แค่เฝ้าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นภายในชั่วระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่จนแล้วจนรอด ไอ้แจ็คก็ดันหายหัวไม่มาเรียนเสียอย่างนั้น

ผมส่งข้อความไลน์ไปหาทั้งไอ้แจ็คและบีบี๋ แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ผมจึงต้องแอบมุดหัวหลบสายตาอาจารย์ลงใต้โต๊ะไปโทรศัพท์หาทั้งคู่หากก็ยังไม่มีใครรับสายอีก

ระหว่างที่ผมสองจิตสองใจว่าจะลุกออกจากห้องเรียนไปดูเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอันตรายจากบุคคลไม่พึงประสงค์ โทรศัพท์ผมก็สั่นเตือนว่ามีข้อความตอบกลับมาพอดี



               Im_BeeBeE :  บี๋โอเคแล้ว

                               ไม่ต้องโทรมาอีกนะ




หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:23:10
BEE-BEE's PART


ผมได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงในตอนที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามา....

ถึงจะรู้ดีว่าไม่ช้าหรือเร็ว เขาก็ต้องกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน แต่ผมก็ยังข่มความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้ไม่ได้.... เพียงแค่สบสายตายิ้มเยาะข่มขวัญซึ่งจ้องมองมา ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายก็บีบรัดแน่นแล้วทำท่าคล้ายจะหยุดเต้นเพื่อหนีความจริงไปเสียเฉยๆ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เฮียรุจก็จะไม่มีทางปล่อยให้ผมรอดไปได้ ต่อให้ความจำเสื่อมหรือร่างกายพิการไปครึ่งตัว เขาก็ยังจะลากผมกลับไปลงนรกที่มีชื่อว่าเบอร์ลิคอยู่ดี

ผมแอบล้วงมือข้างที่ยังใช้ได้ลงใต้ผ้าห่มกดโทรศัพท์หาคนที่ตัวเองตั้งคีย์ลัดเบอร์โทรฉุกเฉินเอาไว้ รู้ทั้งรู้ว่าเขาน่าจะอยู่ที่ไหนกับใคร หากผมก็ยังหวังให้เขากดรับสายหรือไม่ก็รีบมาช่วยผมจากเงื้อมมือเฮียรุจ

แต่ไม่ว่าจะโทรซ้ำยังไง เฮียโรมก็ไม่ยอมรับสายสักที....



“เฮียรุจ อย่าทำอะไรน้องมันเลยนะ.... ผมไหว้ล่ะ”

พี่แจ็คเอาตัวเข้ามาขวางไม่ยอมให้รุ่นพี่ประชิดถึงเตียงคนป่วยพลางยกมือไหว้ท่วมหัวขอร้องแทนผม

“มึงเงียบปากไปเลย ไอ้แจ็ค!”

เฮียรุจหันไปชี้หน้าคาดโทษใส่มือขวาคนสนิท ทำเอาคนที่กำลังพูดหุบปากแทบไม่ทัน น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมทั้งขู่เข็ญและด่ากราดโทษฐานที่รุ่นน้องในสายแกว่งเท้าหาเสี้ยน อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทำอะไรที่เป็นการขัดคำสั่งลูกพี่ 

“ส่วนของมึง กูจะคิดบัญชีทีหลัง.... อยากเสนอหน้าช่วยไอ้ห่าโรมกับไอ้เด็กนี่ดีนัก!”

“น้องมันเจ็บอยู่นะเฮีย........อย่างน้อยรอมันออกจากโรงพยาบาลก่อนก็ได้.....สภาพแบบนี้ยังไงก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว.........”

ถึงจะโดนขู่ แต่พี่แจ็คก็ยังพยายามช่วยผม แม้จะรู้ว่าโอกาสที่เฮียรุจจะยอมรับฟังนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ลูกไม้เยอะอย่างพวกมึง กูไม่เชื่อน้ำหน้าหรอก!” 

ไม่ผิดไปจากที่เดาไว้ แล้วผมก็เดาถูกด้วยว่าหลังจากเตือนสติพี่แจ็คแล้ว คนต่อมาก็จะโดนเล่นงานก็คือผม 

“ว่าไง นอกจากความจำเสื่อม แขนหักขาหักแล้วยังมีอะไรอีก? หมดมุขจะเล่นแล้วหรือยังครับ.... น้องบีบี๋?”

ผมโคตรเกลียดเวลาที่เฮียรุจเรียกผมว่าน้องบีบี๋เลย เพราะมันไม่ใช่การเรียกแบบเติมสถานะเครือญาติให้ด้วยความเอ็นดู แต่เป็นการเรียกประชดที่ผมชอบแสดงออกว่าตัวเองใสซื่อไร้เดียงสาต่างหาก

ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ก็ระยะห่างจากหน้าประตูถึงเตียงมันจะสักกี่ก้าวกันเชียว แล้วแข้งขาผมก็ใช่ว่าจะปกติ ถึงคิดจะหนีก็ทำได้แค่ถอยไปชิดหัวเตียงเท่านั้น.... คลื่นความกลัวซึ่งปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องตีตื้นขึ้นมาคล้ายจะทะลักออกทางปาก ผมไม่รู้จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นหน้ามึนสมองเสื่อมได้ยังไงในเมื่อร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มจนเกินข่มระงับ แค่มองตาเฮียรุจ ลมหายใจผมก็จุกค้างอยู่ตรงคอหอย ประโยคเดียวที่เปล่งออกมาได้ก็ฟังดูสุดแสนน่าสมเพช

“ยะ........อย่าเข้ามานะ.........”

เฮียรุจโคลงศีรษะน้อยๆ พลางยิ้มกระตุกมุมปาก

“อ้าว ไหนว่าจำเฮียไม่ได้ไง.... แล้วทำไมถึงต้องกลัวด้วยล่ะ เราไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ?” 

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือบีบสันกรามผมอย่างแรง ผมผวาเฮือกด้วยความเจ็บขณะที่ได้ยินเสียงขากรรไกรตัวเองลั่นเปรี๊ยะในโสตประสาท หากก็เหมือนกับตอนที่ผมตัดสินใจกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองเบอร์ลิคนั่นแหละ ผมกลัวเฮียรุจมากกว่ากลัวเจ็บตัว แล้วที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมๆ ก็เพราะผมไม่ได้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น 

“บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคิดจะหนี ทางเดียวที่น้องบีบี๋มีก็คือไปตายซะ.... แต่ถ้าใจไม่เด็ดมากพอที่จะตายก็อย่าหวังว่าจะหนีพ้น!”

“ฮือ........ปล่อยบี๋นะ.....อึก......เจ็บ............”

“เจ็บงั้นเหรอ.... หึ คงไม่มากเท่ากับตอนที่กระโดดลงมาจากหน้าต่างเองหรอกมั้ง?”

“........ฮึก......บี๋ไม่ได้โดดเอง.......บี๋ไม่รู้เรื่อง......ไม่รู้เรื่องอะไรเลย.........”

สิ่งเดียวที่ผมคิดออกก็คือเอาตัวรอดด้วยการโกหกต่อไป ถึงมันจะดูโง่เง่าสิ้นคิดฉิบหาย ฉลาดน้อยยิ่งกว่าตัวร้ายในละครน้ำเน่า แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไงเพื่อให้เฮียรุจยอมปล่อยมือจากผม

“อย่ามาตอแหล!”

“โอ๊ย!!!”

แรงตบจากฝ่ามือกร้านทำเอาผมหน้าหันไปอีกทาง ความเจ็บแล่นจากซีกแก้มข้างซ้ายร้าวไปทั่วถึงแกนกระโหลก แนวฟันกระแทกโดนริมฝีปากด้านในจนเป็นแผลเลือดซึมออกมาให้เห็นพร้อมๆ กับน้ำตาคลอหน่วย.... ผมได้แต่สะอื้นปัดป้องตัวเองให้พ้นจากการถูกทำร้าย แต่คนที่เหลือแขนขาอยู่แค่อย่างละข้างจะมีปัญญาไปทำอะไรได้มากมาย พอขยับตัวหน่อยก็สะเทือนไปถึงข้อต่อส่วนที่ยังดามเฝือก จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เฮียรุจจะบังคับให้ผมตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือ

“มองหน้ากูแล้วพูดให้ชัดๆ อีกทีสิว่ามึงรู้จักหรือไม่รู้จักกูกันแน่!” 

ผมร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วแกร่งจิกลงกลางหัวแล้วกระชากเส้นผมจนหน้าหงาย คำสั่งกรรโชกห้วนมาพร้อมกับแววตาดุดันเกรี้ยวกราด ถ้าเขาบอกว่าจะหักคอฆ่าผมให้ตายไปเสียตรงนี้ ผมก็คงเชื่อสนิทใจ 

“ตอบให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นมึงจะได้รู้ว่าคนอย่างกูจะเหี้ยได้สุดๆ แค่ไหน!”

“.........ฮือ.....บี๋ไม่รู้........ไม่รู้จริงๆ...........ฮือ.............”

“ได้ มึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไร!”

เฮียรุจยังขยุ้มมือจิกหัวผมอยู่อย่างนั้นในตอนที่ล้วงมืออีกข้างลงกระเป๋าหลังกางเกงยีน อาวุธร้ายซึ่งทำให้ผมไม่กล้าหือกับเขามาตลอดหลายเดือนถูกนำมาใช้ เพียงแค่เห็นภาพเคลื่อนไหวของตัวเองปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ท้องไส้ก็บิดมวนประหนึ่งว่าตับไตไส้พุงจะขย้อนออกทางปาก.... สภาพถูกมัดแขนสองข้างติดกับหัวเตียงระหว่างที่มีเซ็กส์กับเฮียรุจ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟันกัดขย้ำรุนแรง แม้มันจะเกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจแลกเปลี่ยนไม่ใช่ข่มขืน แต่มันก็ยังดูโหดร้ายจนตัวผมเองยังทนมองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนใกล้ตัวซึ่งคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นเด็กดี บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอายใดๆ

“แต่พ่อแม่มึง พี่ชายพี่สาวมึง เพื่อนมึงทั้งมหาลัยก็คงต้องรู้แล้วล่ะว่าน้องบีบี๋คนใสซื่อ จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจากเด็กไซด์ไลน์ เข้ามาขายตัวในเบอร์ลิค!”

“อย่านะ!!” 

ผมร้องห้ามพลางเอื้อมมือไปคว้าแย่งมือถือเฮียรุจทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางทำสำเร็จ กับคนอื่น ผมไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง ผมจะขายตัวใช้หนี้หรือโดนใครเอาจนพรุนก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา แต่กับป๊าม้า เฮียบิ๊ก เจ้แบม ผมคงต้องตายแน่ถ้าหากถูกคนในครอบครัวตัดหางปล่อยวัดไม่ให้เหยียบเข้าบ้านอีก 

“บี๋ขอเถอะเฮีย......เงินสองล้าน บี๋จะพยายามหามาให้.......แต่เรื่องนั้นบี๋ไม่เอาแล้ว.........ฮือ........มันเจ็บ........”

เสียงหวีดร้องของตัวเองในคลิปกระตุ้นความทรงจำที่อยากจะลืมให้ยิ่งชัดเจน ผมแกล้งทำเป็นจำเฮียรุจกับทุกเรื่องราวในเบอร์ลิคไม่ได้ก็เพราะไม่อยากนึกถึงความเจ็บปวดแบบนั้นอีก.... โกหกแล้วโกหกเล่า โกหกไปเรื่อยๆ เหมือนพยายามสะกดจิตตัวเองกับคนรอบข้างให้คล้อยตามว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง หากสุดท้ายก็ต้องถูกตบหน้ากระชากให้กลับมามองดูความผิดพลาดที่ทำลงไปอยู่ดี

“มึงคิดว่ากูอยากได้เงินจริงๆ เรอะ?” 

ร่างหนาแค่นยิ้มเย้ยใส่ แล้วจึงผลักผมให้หงายหลังจนท้ายทอยเกือบโขกเข้ากับหัวเตียง 

“เงินสองล้านน่ะกูแค่เอาตีนเขี่ยไม่กี่นาทีก็หาได้แล้ว.... แต่กูต้องการให้มึงเจ็บ แล้วก็สำนึกว่าถ้ากูให้อะไรไปแล้ว มึงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ตอบแทนบุญคุณ ต่อให้เทวดาหน้าไหนเหาะลงมาช่วย มึงก็ไม่มีทางหนีพ้นหรอก!”

ผมสะอื้นอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่เฮียรุจจะเอื้อมมือมาอีกครั้ง....

“ส่งมือถือมึงมาให้กู!”

นัยน์ตาคมดุจ้องมองเป้าหมายเขม็งเหมือนรู้ว่าผมแอบซุกโทรศัพท์ไว้ใต้ผ้าห่ม ผมส่ายหน้าวอนขอความเห็นใจทั้งน้ำตา เพราะถ้าคลิปนั้นหลุดไปถึงคนที่บ้านก็ไม่ต่างกับฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“ไม่เอา....ฮึก.......เฮียรุจอย่าทำบี๋เลยนะ........”

“กูเคยให้โอกาสไปแล้ว แต่มึงก็เลือกที่จะมาจบแบบนี้เอง!” 

ผมพยายามยื้อมือถือเอาไว้สุดชีวิตแต่เฮียรุจก็แย่งมันไปได้แบบไม่ยากเย็น ริมฝีปากแสะยิ้มตอกย้ำเหมือนคำสั่งประหารตัดหัวเสียบประจานในที่สาธารณะ ความอับอาย การถูกสังคมรวมถึงคนที่ตัวเองรักขับไสไล่ส่งก็คือบทลงโทษที่คนเลวอย่างบีบี๋ควรจะได้รับ 

“ประเดิมด้วยคนที่บ้านมึงกับอดีตเพื่อนรักมึงก่อนเลยก็แล้วกัน!”

“......ฮือ........เฮียรุจ.........บี๋ขอร้องล่ะ.......บี๋ยอมแล้ว..........จะให้ทำอะไรก็ได้.........ยอมแล้ว...........ฮือ.............”

“พิการไปครึ่งตัว กูเอามึงไปก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ.... เสียใจด้วยนะ น้องบีบี๋”

“.......เฮียรุจ......อย่า...............”

เจ้าของเบอร์ลิคใช้มือถือผมดูดไฟล์จากคลาวด์แล้วส่งหาคนที่มีรายชื่ออยู่ในไลน์ เขาใจร้ายมากที่ทำทุกอย่างให้ออกมาดูเหมือนว่าผมเป็นคนตั้งใจส่งคลิปอัปยศพวกนั้นด้วยตัวเอง.... ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งร้องไห้อ้อนวอนจะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าคลิปถูกส่งไปถึงมือใครแล้วบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คือเฮียรุจเล่นงานผมได้ถูกจุดมากเพราะสองในนั้นเป็นคนที่ผมรักและแคร์ที่สุด 

“พี่สาวมึงได้คลิปแล้วเรียบร้อย คนต่อมาก็พี่ชายมึง.... ชื่ออะไรนะ? เฮียบิ๊กใช่ไหม?”

“ฮึก.......ฮือ............”

หลังจากที่คลิปถูกส่งไปหาเฮียบิ๊ก โทรศัพท์จอแตกก็ถูกโยนคืนมาให้ผม ข้อความนับสิบจากบรรดาคนที่ได้รับคลิปเด้งเข้ามาจนน่ากลัวว่าเครื่องจะระเบิด ทันใดนั้นเอง เสียงริงโทนสายเข้าก็ดังขึ้น.... ทีแรกผมคิดว่าคงเป็นเจ้แบมโทรเข้ามาถามเรื่องคลิปที่ได้รับ หากพอดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอถึงได้รู้ว่าไม่ใช่



P’Rome

“ไอ้ห่าโรมนี่แม่งก็คนดีเหลือเกินนะ.... ดีหรือโง่ก็ไม่รู้ ขนาดมึงทำเหี้ยๆ เอาไว้กับมัน มันยังมีกะใจจะเป็นห่วงมึงอีก”

เฮียรุจเหยียดมุมปากเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรหาผม ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเฮียโรมได้ดูคลิปแล้วหรือยัง หรือว่าแค่โทรกลับมาเพราะก่อนหน้านี้ผมโทรหาเขาซ้ำๆ โดยที่เขาไม่ได้รับสาย.... แต่ถึงจะได้ดูหรือไม่ก็ตาม ผมว่าผมคงไม่มีหน้าจะแกล้งทำเป็นอ่อนแอยิ้มแบ๊ว หน้าด้านเรียกเขาเป็นแฟนเพื่อเอาตัวรอด หาคนช่วยออกหน้าปกป้องได้อีกแล้วล่ะ

“จะฟ้องมันก็ได้นะ ลองดู.... เรียกมันมาที่นี่เลยก็ได้!”



P’Rome

P’Rome

P’Rome



น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงกระทบหน้าจอมือถือในขณะที่สายจากเฮียโรมยังคงดังต่อเนื่อง.... ก็จริงอย่างที่เฮียรุจว่า คนเหี้ยอย่างผมสร้างความเดือดร้อนให้เขากับทิชาไม่รู้ตั้งเท่าไร หากในวันที่ผมกำลังเดือดร้อน คนที่กลับเข้ามายื่นมือช่วยเหลืออย่างจริงใจก็คงมีแค่สองคนนี้

ผมไม่ได้อยากให้ตัวเองเจ็บเลยสักนิด แต่ผมก็ละอายเกินกว่าจะลากใครต่อใครเข้ามาร่วมทุกข์ไปด้วย

สายที่เข้าต่อมาคือพี่สาวกับพี่ชายผม ไม่ต้องกดรับก็เดาออกว่าพวกเขาคงอยากจะด่าสาปส่งไล่ให้ผมไปตายแน่.... และถ้าเฮียกับเจ้รู้เรื่อง ป๊าม้าก็ต้องรู้ด้วย มันจบแล้ว จบลงไปพร้อมกับความฉิบหายที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นเอง และนับจากนี้ไป ผมก็คงไม่กล้าสู้หน้าใครได้อีก

ที่เดียวที่ผมจะสามารถกลับไปนอนตายได้ก็คงเหลือแค่เบอร์ลิค....

“ไอ้แจ็ค มึงเฝ้าบีบี๋ไว้.... หมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร เอาตัวมันกลับไปที่เบอร์ลิคทันที!”

“...................”

พี่แจ็คซึ่งยืนเงียบอยู่นานก็ยังคงเงียบต่อไป เพียงแต่การเงียบของเขาในครั้งนี้ไม่ได้หมายความจะเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของลูกพี่

“มึงกล้ามีปัญหากับกูอีกคนเหรอ?”

เจ้าพ่อของพวกวิศวะฯ เอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่า แววตากลับเอาเรื่องไม่เรียบเฉยเหมือนน้ำเสียง   

“บ้านมึงไม่ได้ใหญ่เหมือนบ้านไอ้โรมนะ จะทำอะไรก็คิดให้ดีซะก่อน”

“ผมคิดดีแล้วเฮีย..........” 

รุ่นพี่ปีสามเอ่ยทั้งที่ขาสั่นพั่บ ใครๆ ก็รู้ว่าพี่แจ็คทั้งกลัวและเกรงใจเฮียรุจอย่างกับอะไร หากพอหันมาสบตากับผม เขาก็ก้มหน้าหลับตาปี๋แล้วเสี่ยงชีวิตโพล่งออกไป 

“มันเกินไป........ผมทำไม่ได้............”

“งั้นที่นาของพ่อแม่มึงที่เอามาจำนองไว้กับกูก็เตรียมถูกยึดได้เลย ขาดส่งมาตั้งหลายงวดแล้วนี่” 

เจ้าของธุรกิจสีเทารายใหญ่ย่านเอกมัยยักไหล่ไม่ยี่หระต่อความขี้ขลาดตาขาวของรุ่นน้องคนสนิท ราวกับรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพี่แจ็คไม่มีทางใจแข็งพอที่จะจับงานประเภทนี้ และเขาก็มีวิธีจัดการกับลูกน้องที่ไม่มีประโยชน์อย่างเลือดเย็นเหมือนไม่ใช่คนซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน 

“ที่ผ่านมากูไม่เคยว่าอะไร มีก็จ่ายไม่มีก็เอาไว้ทีหลัง เพราะเห็นว่ายังไงมึงก็เป็นน้อง แต่ถ้าจะทรยศกูล่ะก็ อย่าหวังว่ากูจะปรานี!”

“โธ่ เฮียครับ.............”

พี่แจ็คโอดเสียงสั่น สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าหือกับเฮียรุจ แต่ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ ระหว่างที่นาของพ่อแม่กับเด็กที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาเลือกให้ครอบครัวมาก่อนก็ถูกต้องแล้ว

“กับไอ้โรมก็ใช่ว่ากูจะไม่กล้า ถ้ามันไม่เข้ามาเสือก กูก็อุตส่าห์จะปล่อยมันไปอยู่แล้วเชียว” 

แม้แต่คนที่ตัดขาดไปแล้วก็ยังอยู่ในรายชื่อถูกหมายหัว แล้วนับประสาอะไรกับเศษฝุ่นเศษผงที่เขากระทืบจนแบนคาฝ่าตีนไปแล้วแบบผม 

“ส่วนน้องบีบี๋ก็ตามนั้นนะครับ.... กลับไปเจอกันที่เบอร์ลิค เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ!”

เฮียรุจเข้ามาแล้วกลับออกไปไม่ต่างกับพายุซึ่งพัดเอาความฉิบหายวายวอดมาด้วย ผมทำอะไรไม่ได้เลย คิดอะไรไม่ออกนอกเสียงจากนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น.... ไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงสีหน้าและคำด่าทอจากคนในครอบครัวว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหน จะผิดหวังแค่ไหนที่มีไอ้เฮงซวยบีบี๋เป็นตัวนอกคอกผิดพี่ผิดน้องอยู่ในบ้าน แต่คิดไปก็ป่วยการเปล่า เพราะคงไม่มีใครต้อนรับให้คนสกปรกน่ารังเกียจอย่างผมกลับไปอยู่ในสังคมเดียวกับพวกเขาแล้วล่ะ

แม้ว่าคนๆ นั้นจะพยายามยื่นมือมาฉุดผมขึ้นจากโคลนตมก็ตาม.... ผมไม่กล้าให้ความเลวในตัวกระเด็นไปแปดเปื้อนโดนเขาอีกแล้ว.........ไม่กล้าจริงๆ.......



          Im_BeeBeE :  บี๋โอเคแล้ว

                          ไม่ต้องโทรมาอีกนะ




ผมพิมพ์ข้อความส่งหาเฮียโรมในไลน์แล้วปิดมือถือทันที ผมแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยก็หวังว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้นสำหรับคนอื่น ไม่ใช่สำหรับตัวผมซึ่งโดนฝังกลบให้ตายทั้งเป็นไปเรียบร้อยแล้ว

“น้องบี๋............”

พี่แจ็คไม่ได้ตามเฮียรุจออกไปแต่ยังอยู่กับผมในห้อง เขานั่งลงบนเตียงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผมเพื่อปลอบใจและขอโทษที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือหรือขัดขวางลูกพี่ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพี่แจ็คสักหน่อย ขนาดรู้ทั้งรู้ว่าผมดีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เขาก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจด้วยขนาดนี้

“บี๋ไม่เป็นไร........พี่แจ็คไม่ต้องห่วงนะ........”

ผมฝืนยิ้มขมขื่นทั้งน้ำตานองหน้า บอกตรงๆ ว่ายังมองไม่เห็นหนทางว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเดินต่อไปยังไง แต่ผมก็ต้องพยายามเดินไปให้สุดทาง อย่างมากที่สุดก็แค่ตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับความผิดที่ก่อเอาไว้ 

“บี๋เป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง บี๋ก็จะพยายามหาทางจบด้วยตัวเอง.......ไม่ให้พี่แจ็ค เฮียโรมหรือไอ้ชาต้องเดือดร้อนแล้วล่ะ..........”

“แล้วน้องบี๋จะทำยังไง?”

“พี่แจ็คไปบอกเฮียโรมก่อนเถอะว่าให้ระวังตัว.... ไม่ว่าเขาจะเห็นคลิปหรือไม่เห็นก็ตาม ไม่ต้องมาหาบี๋ที่นี่อีกแล้ว”



“แล้วก็ฝากขอโทษเฮียโรมด้วยนะ ขอโทษทุกเรื่องเลย..... เผื่อว่าบี๋ไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีก”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:29:17
TISHA's PART



‘ฝ้าย.... แกดูนี่เร็ว!’

‘อี๋~ อะไรเนี่ยนังเจนนี่ แกเอาของแบบนี้มาให้ฉันดูทำไม’

‘ถ้าไม่มีพอยนท์ ฉันจะเรียกให้แกดูทำไมล่ะยะ.... จ้องดีๆ แล้วตอบฉันมาว่าคนในคลิปนี่ใคร ใช่คนเดียวกับที่ฉันเห็นไหม’

‘เฮ้ย บีบี๋!!??’



เสียงสองสาวที่คุยกันอยู่ข้างหลังเรียกให้ผมหลุดโฟกัสจากเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ ไม่ใช่แค่ถูกรบกวนจนเสียสมาธิ แต่เป็นเพราะชื่อของใครบางคนซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะยังพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลต่างหากที่ทำให้หัวข้อสนทนาของพวกเธอมีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่ผมจะเข้าไปเจอในห้องสอบไฟนอล


‘แล้วแกไปเอาคลิปนี่มาจากไหน?? ใครส่งมา??’

‘เจ้าตัวส่งมาเองในไลน์เลยแก.... ไม่รู้เมาส่งผิดหรืออะไร แต่แบบฉันโคตรแหยะอ้ะ น่าเกลียดน่ากลัว ไม่คิดว่าบีบี๋จะมีรสนิยมแบบนี้นะเนี่ย’

‘นั่นสิ.... เห็นแบ๊วๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชอบซาดิสม์’

‘นังฝ้าย แกว่ามันเล่นยาหรือเปล่า?’

‘จะเหลือเหรอ.... ฉันก็สงสัยตั้งแต่ตอนที่พี่รุจมาหาบีบี๋ที่แคนทีนแล้ว ขึ้นชื่อว่าเจ้าของเบอร์ลิค ไม่น่าจะธรรมดาอยู่แล้วหรือเปล่า’

‘บีบี๋เองก็ต้องไม่ธรรมดา ไม่งั้นก็คงเข้าๆ ออกๆ ที่นั่นไม่ได้หรอก’



ผมได้ยินเต็มสองหูก็จริงแต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ คลิปอะไร ใครเล่นยา สองคนนั้นรู้บ้างหรือเปล่าว่าบีบี๋ที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตอนนี้ขาหักไหปลาร้าหลุด แถมยังอยู่ในช่วงความจำเสื่อมปลอมจนต้องมีคนเฝ้าประกบแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วจะไปถ่ายคลิปหรืออัพยาอย่างที่เจนนี่กับฝ้ายเมาท์ได้ยังไง

เพื่อนคนอื่นซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันก็ได้ยินทั้งสองคนเมาท์ แสดงว่าผมไม่ได้หูฝาด แต่พอมีคนแอบหันไปถาม พวกหล่อนก็โบกไม้โบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร ให้ดูคลิปไม่ได้ ลบทิ้งไปแล้ว แต่แก้ตัวบอกปัดไปก็เท่านั้น เพราะชาวบ้านชาวช่องเขาได้ยินกันหมดทั้งเมเจอร์แล้วมั้ง

ผมไม่ได้อยากจะสนใจ ด้วยความที่ยังโกรธบีบี๋เรื่องพี่โรมอยู่ และมันเองก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ผมจะมานั่งนึกห่วงใยสนใจทุกข์สุขอีกต่อไปแล้ว หากพอนึกถึงสิ่งที่พี่โรมเล่าให้ฟังก็กลับยิ่งสับสนว้าวุ่นจนกลับมาฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง.... บีบี๋เอาเกียร์ของพี่รุจไปก็เลยต้องจ่ายหนี้สองล้าน เมื่อไม่มีจ่ายก็เลยกลายเป็นนอนกับพี่รุจเพื่อใช้หนี้ ก็จริงอย่างที่เจนนี่กับฝ้ายพูด ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของเบอร์ลิค ผมถึงรู้สึกวางใจไม่ได้เลย

และทันทีที่อาจารย์เดินออกไปจากห้อง ผมก็รีบพุ่งเข้าไปหาสองสาว

“เจนนี่ ฝ้าย.... รอเดี๋ยวก่อนสิ เราขอคุยด้วยหน่อย”

“มะ......มีอะไรเหรอ ทิชา?”

ถึงจะเป็นเพื่อนในภาควิชาเดียวกันแต่ที่ผ่านมาก็คุยกันนับคำได้ ก็ไม่แปลกใจหรอกที่พวกหล่อนจะตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เข้ามาคุยด้วยก่อน

“ที่พวกเธอคุยกันเรื่องบีบี๋เมื่อกี้น่ะ หมายความว่ายังไง?” 

ผมรีบถามไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา 

“เราได้ยินเธอพูดว่าบีบี๋ส่งคลิปมาให้.... ถามได้ไหมว่าคลิปอะไร? แล้วคนที่ส่งมาใช่บีบี๋แน่เหรอ?”

ทั้งสองอ้ำอึ้งคล้ายลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี พาลให้ผมชักจะหงุดหงิดที่เจนนี่กับฝ้ายแกล้งมาทำเป็นอมพะนำทั้งๆ ที่ปากลำโพงส่งเสียงดังไปถึงไหนต่อไหน สองสาวทำเป็นเก็บกระเป๋าพยายามจะเดินเลี่ยงไม่ยอมคุยกับผม แต่ผมก็อาศัยลูกตื๊อยืนขวางทางอยู่อย่างนั้น กะว่าถ้าไม่ได้คำตอบก็ไม่ยอมถอยเหมือนกัน

“ไม่มีอะไรหรอก.......เราว่าทิชาเข้าใจผิดแล้วล่ะ”

เจนนี่คงรำคาญผม ถึงได้บอกปัดง่ายๆ แบบที่เด็กประถมดูก็รู้ว่าโกหก

“เข้าใจผิด??” 

ผมก็ไม่ได้อยากจะย้อนหรือทำสีหน้ากวนตีนใส่ใคร แต่พอเจอท่าทางไขสือของคนที่เพิ่งกล่าวหาเพื่อนตัวเองต่อหน้าคนเป็นสิบก็อดนึกฉุนขึ้นมาไม่ได้ 

“พวกเธอพูดเสียงดังขนาดนั้น เราว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจผิดหรอกมั้ง.... จอยก็คงได้ยินแบบเดียวกับที่เราได้ยินนั่นแหละถึงได้หันไปถามตั้งแต่ตอนที่อยู่ในคาบ”

เมื่อโดนผมสวนไปแบบนั้น ทั้งสองคนก็ยิ่งเม้มปากเงียบเพราะรู้ตัวแล้วว่าความขี้เมาท์ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของพวกตนกำลังจะหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เปิดโอกาสให้ผมได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาหลายวัน

“เราเห็นระยะหลังมานี้พวกเธอสนิทกับบีบี๋ก็เลยไม่ได้บอก แต่จากที่ได้ยินทั้งหมด เราว่าเจนนี่กับฝ้ายคงยังไม่รู้ใช่ไหมว่าบีบี๋ประสบอุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาลมาตั้งหลายวันแล้ว.... เพื่อนหายไปทั้งคน ไม่คิดจะตามหาถามไถ่กันเลยเหรอ?” 

ผมรู้มาจากพี่โรมว่าบรรดาคนที่มาเยี่ยมและเฝ้าไข้บีบี๋ถ้าไม่ใช่เขาก็มีแค่คนในครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนิทแก๊งค์ใหม่ที่ปกติล้อมหน้าล้อมหลังเดินเกาะกลุ่มกันเป็นพรวนโผล่หน้าไปเลยสักคน ผมก็ไม่ชัวร์นะว่าบีบี๋ไม่ติดต่อมาหาเจนนี่กับฝ้ายเองหรืออะไรยังไง แต่อย่างน้อยคนเป็นเพื่อนกัน ถ้ามีใครหายไปก็ต้องร้อนรนโทรหรือส่งไลน์หากันบ้างสิ ยกเว้นเสียแต่ว่าสองคนนี้จะไม่ได้เห็นบีบี๋เป็นเพื่อนมาตั้งแต่แรก.... ซึ่งถ้าวิเคราะห์จากคำพูดนินทาที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ ผมก็สรุปว่ามันคงจะเป็นแบบนั้นแหละ 

“แล้วเราก็คิดว่าในฐานะเพื่อน สิ่งที่พวกเธอพูดถึงบีบี๋เรื่องเล่นยาอะไรนั่นมันแรงมากนะ ถึงจะแค่สงสัยก็เหอะ แต่มันใช่เรื่องที่จะพูดออกมากลางห้องเรียนเหรอ?”

ผมกึ่งว่ากึ่งถามไปตรงๆ โดยไม่ได้หลุดคำด่าหยาบคายใส่เพศแม่เลยสักคำ แต่แค่นั้นก็ทำให้ฝ้ายถึงกับหน้าเจื่อนถอดสี ในขณะที่เจนนี่โกรธจนปากคอสั่น มือข้างหนึ่งกำแน่นร่ำๆ ว่าอยากจะยกขึ้นตบผมล้างอายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด

“โทษทีนะ แต่เราไม่คิดว่าทิชาจะมีสิทธิ์มาสั่งสอนเราเรื่องนี้หรอก!”

“ทีตัวเองยังแย่งแฟนเพื่อนเลยนี่.... แหม มือถือสากปากถือศีลเนอะ!”

พอตั้งหลักได้ สองสาวก็ผลัดกันใส่ผมเป็นชุด พยายามขุดเอาเรื่องพี่โรมมาดิสเครดิตผมว่าไม่คู่ควรแก่การพูดจาแสดงตัวเป็นคนดี.... ผมเองก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะนึกหาถ้อยคำเจ็บๆ แสบๆ มาโต้กลับให้หายโมโห แต่จิตใต้สำนึกฝ่ายเทวดาก็สะกิดเตือนเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งเอาพิมเสนไปแลกเกลือ แค่ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้องและสมควรทำเพื่อคนซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็พอ

“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับบีบี๋ แย่งหรือไม่แย่ง ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เรารู้ตัวของเราดี.... แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกับพวกเธอด้วย”

“งั้นเรื่องที่พวกเราสองคนคุยกัน ทิชาก็ไม่เกี่ยว!”

เจนนี่จ้องตาผมเขม็ง ณ ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายเจ้าหล่อนจะไม่มีใครสนใจเรื่องคลิปที่บอกว่าบีบี๋เป็นคนส่งมาให้เองอีกแล้ว แต่กำลังหัวร้อนเรื่องที่โดนบุคคลไม่พึงประสงค์อย่างผมว่าเอาซึ่งหน้า จากนั้นจึงคว้ากระเป๋าและกระบอกใส่ดรอว์อิ้งเบียดตัวกระแทกไหล่ผมดังปึ้กเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าต่อปากต่อคำก่อนที่การขอคุยด้วยจะกลายเป็นทะเลาะกันจริงๆ

“ไปกันเถอะ ยัยฝ้าย.... ฉันหิวข้าวแล้ว!”

“อืม ฉันก็ว่างั้นแหละ”

เมื่อสองสาวจากไป ผมก็ได้แต่พรูลมหายใจระบายความหงุดหงิด รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าธุระไม่ใช่ มาเสือกให้เสียอารมณ์ทำไม

ก็ไม่เถียงหรอกว่าสิ่งที่เจนนี่พูดมันผิด ตัวผมก็ไม่ดีเด่อะไรถึงขนาดจะตั้งตนเป็นศาสดาเทศนาสั่งสอนคนอื่นว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนจะไม่ยอมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง ในเมื่อผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ผลักไสบีบี๋ให้มาอยู่ตรงจุดนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งมหาวิทยาลัยด้วยว่า ทิชา ทิชนันท์น่ะโคตรเหี้ย แย่งแฟนเพื่อนสนิทตัวเองได้ลงคอ

ระหว่างที่นั่งกินข้าวเที่ยงคนเดียว ผมคิดอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างจนน่ากลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะระเบิดตายคาที่.... เมื่อคิดถึงสิ่งที่บีบี๋ทำกับผมและพี่โรม ผมก็พยายามทำเป็นว่าไม่ได้ยินที่เจนนี่กับฝ้ายเมาท์ จะเกิดอะไรขึ้นกับบีบี๋ก็ให้มันเกิดไป ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย แต่อีกห้านาทีต่อมา ผมก็ย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกๆ ที่ผมกับมันสนิทกันแล้วก็ปล่อยวางไม่ได้ขึ้นมาอีก แต่จะให้เข้าไปคุยกับสองคนนั้นก็เปลืองตัว ดีไม่ดีจะถูกด่ากลับมาให้รู้สึกแย่มากกว่าเดิม

จะโกรธจะแค้นก็ไปได้ไม่สุดทาง แต่จะให้กลับไปสนิทสนมรักกันปานจะกลืนแบบเดิมก็ทำไม่ได้

ไม่ว่ายังไง ในความโมโหก็ยังมีความห่วงใยแฝงอยู่

แบบนี้มันแย่ยิ่งกว่าเกลียดกันให้ตายไปข้างหนึ่งเสียอีก เหนื่อยใจชะมัด....


.


.


.


'เฮ้ย มาแล้วเว้ยๆๆๆ'


ผมเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามของตึกคณะสถาปัตย์ ยังไม่ทันจะไปถึงคลาสเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมก็ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้ตะโกนโหวกเหวกคล้ายเป็นสัญญาณเตือนภัย พอหยิบโทรศัพท์มากดดูก็เห็นว่าอีกตั้งสิบกว่านาทีถึงจะบ่ายโมง งั้นไอ้ที่ว่ามาแล้วๆ นั่นก็คงไม่ได้หมายถึงอาจารย์หรอกมั้ง

และทันทีที่ผมเหยียบเข้าไปในห้องบรรยายขนาดเท่าหอประชุมขนาดย่อม เสียงโห่ฮาเป่าปากก็ดังกระหึ่มขึ้นจากกลุ่มคนซึ่งเข้าไปนั่งจองที่อยู่ก่อนหน้าแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่พวกเขาพูดถึงไม่ใช่อาจารย์สุชาติ แต่เป็นผมนั่นเอง


‘วี้ดวิ้วววววววว~~~’


แทบไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าต้นเสียงดังมาจากฝั่งพวกสถาปัตย์ เพราะเพื่อนในภาควิชาเดียวกันกับผมคงจะเหม็นขี้หน้าผมมากกว่าจะมาโห่แซวทะลึ่งทะเล้นเสมือนไม่เคยเห็นกันมาก่อน.... ถึงแม้จะเป็นวิชาเรียนรวมแต่ปกติแล้วสินกำกับสถาปัตย์ก็จะแบ่งกันนั่งตามกลุ่ม แยกคณะใครคณะมันอย่างชัดเจน และผมเองก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวพูดคุยกับเพื่อนต่างคณะ เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครมาคุยด้วย

เดาไม่ยากเลยใช่ไหมว่าคนที่ผมหมายถึงคือใคร....?

“พวกเชี่ยนี่ กูบอกว่าห้ามแซวไง!”

“โห ทำเป็นดุเว้ย.... แค่เห็นหน้าเขา มึงก็ยิ้มปากฉีกถึงรูหูละ”

“ไหนใครยิ้ม ไม่มีโว้ย!”

“ก็มึงน่ะแหละ ไอ้ห่าแดน.... ไสหัวไปอยู่กับพวกสินกำเลยไป แล้วอย่าให้เขาไล่ตะเพิดมึงกลับมาหาพวกกูล่ะ”

นายดรัณภพชูนิ้วกลางใส่กลุ่มเพื่อนตัวเองแล้ววิ่งแจ้นมาหาผมทั้งที่สีหน้ายิ้มระรื่นเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์ เป็นผู้ชายอกสามศอกแต่วิ่งดีดไปดีดมาท่าทางระริกระรี้น่าหมั่นไส้ ก็สมควรแล้วที่จะโดนเพื่อนแซว

“อะไรของมึงเนี่ย หยุดยิ้มบ้าบอได้แล้ว” 

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ริมทางเดินด้านหลังสุดซึ่งเป็นที่ประจำ ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องนั่งด้วยกันตามสัญญา เพียงแต่ผมไม่คิดว่าไอ้แดนมันจะดีใจถึงขนาดป่าวประกาศให้เพื่อนตัวเองร่วมรับรู้แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนหน้าบานเป็นถาดใส่ขนมเข่งไหว้เจ้า

“ก็กูมีความสุขอะ ขอยิ้มนานๆ หน่อยไม่ได้เหรอ” 

แดนว่าพลางยิ้มจนตาหยีเป็นสระอิก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างกันซึ่งมีกระเป๋ากับข้าวของสารพัดของมันวางจองทิ้งไว้ เสียงตะโกนแซวยังคงลอยมากระทบหูไม่ขาดระยะ.... ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คงด่ากลับหรือไม่ก็ลุกออกไปแล้ว ไอ้แดนเองก็ดูจะกลัวแล้วก็เกรงว่าผมจะไม่ยอมทน ถึงได้รีบออกตัวแทนเพื่อนปากมอมทั้งหลายแหล่นั่น 

“มึงอย่าถือสาเพื่อนกูเลยนะ พวกมันแค่แหย่เล่นไปงั้นเอง แบบแม่งรู้กันหมดว่ากูชอบมึงไง.... แต่ถ้ามึงไม่โอเค กูจะไปบอกให้มันหยุดเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องหรอก.... กูขี้เกียจจะถือ หนักเปล่าๆ”

“ทำไมมึงน่ารักจัง นิสัยดีขึ้นเยอะเลย”

“กูนิสัยแย่กับมึงคนเดียวอะ ไม่รู้ตัวเหรอ?”

“โธ่ ทิชา............”

โดนพวกสถาปัตย์แซวน่ะไม่เท่าไรหรอก จะอับอายขายขี้หน้าก็ตอนที่ไอ้แดนนรกกระเง้ากระงอดเกาะแขนผมแล้วโยกตัวไปมาอย่างกับเด็กห้าขวบอยากได้ของเล่นนี่แหละ สายตาแทบทุกคู่ในห้องจับจ้องมาทางนี้พร้อมทั้งซุบซิบนินทาว่าผมกับคู่จิ้นสวรรค์สาปคืนดีกันตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็อย่างที่มันบอกว่ากำลังมีความสุข ผมก็เลยไม่อยากด่าให้เสียบรรยากาศ

“กูซื้อชามะนาวมาให้มึงด้วย อ้อ แล้วก็มีขนมปังปิ้งไส้นมฮอกไกโด ไส้นูเทลล่ากับแซลมอนครีมชีส”

ร่างสูงจัดแจงเปิดฝาขวดน้ำ ใส่หลอดดูดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ผม จากนั้นก็หยิบกล่องกระดาษซึ่งมีโลโก้ร้านปังเด็ดหน้ามอที่กำลังฮิตอยู่ในหมู่นักศึกษาวางบนโต๊ะ ผมแอบเห็นว่าไอ้แดนยังมีถุงร้านสะดวกซื้อที่ข้างในมีมันฝรั่งทอด ปลาเส้น ช็อกโกแลต ขนมนมเนยอย่างอื่นอีกหอบใหญ่.... ก็ไม่ได้อยากขี้ตู่หรอกนะ แต่ถึงเจ้าตัวจะยังไม่บอกแต่ผมก็พอเดาได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั่นคือของที่ไอ้แดนซื้อมาให้ผมกินระหว่างเรียน

“มาเรียนนะ ไม่ได้มาปิกนิก”  ผมแอบดุมันเบาๆ

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องดิวะ.... กูอยากให้มึงกินของหวานเยอะๆ จะได้หายหน้าบึ้งแล้วอารมณ์ดีเหมือนกูไง” 

คนช่างพูดยื่นขนมปังไส้หวานเจี๊ยบมาให้ ตบท้ายด้วยรอยยิ้มซึ่งไม่สร่างซาไปจากใบหน้าเสียที 

“กูอยากเอาใจมึงแบบนี้มานานแล้วนะ ทิชา.... อยากดูแลมึงเยอะๆ ให้มึงมีความสุขตลอดไปเลย”

“มึงเนี่ยนะ จริงๆ เลย!”

ผมทำทีเป็นต่อว่าไม่จริงจังก่อนจะยอมรับขนมปังยัดไส้นูเทลล่าไซส์จัมโบ้มาถือไว้ แอบคิดอยู่นิดหน่อยว่าเวลาไอ้แดนมาทำอ้อนเอาใจผมแบบนี้ก็ชวนให้รู้สึกดีไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ดีเท่าตอนถูกพี่โรมกอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้หงุดหงิดรำคาญจนพาลไม่อยากรับน้ำใจมันเหมือนเมื่อสมัยอยู่ปีหนึ่งแล้ว

แผลช้ำตรงมุมปากซึ่งเกิดขึ้นเพราะมวยรอบดึกเมื่อคืนยังคงเห็นชัดไม่แพ้ของคู่กรณี ดูจากสภาพแล้วก็พออนุมานได้ว่าหลังจากกลับถึงคอนโดฯ แล้ว ไอ้เจ้าเดือนสถาปัตย์ก็ไม่น่าจะได้ทำแผลใส่ยาให้ตัวเอง.... ไม่รู้ว่าลูกหลานบ้านอนุวัฒน์วงษ์นี่เขาเป็นอะไรกัน แต่ละคนบ้าระห่ำไม่เข้าเรื่อง ชกเป็นชก ต่อยเป็นต่อย ตายเป็นตาย หากพอถึงเวลาใส่ยาล่ะกลัวเจ็บกันขึ้นมาเป็นแถวเชียว

“เจ็บมากไหมวะ..... เมื่อคืนกูไม่ได้ดูแผลมึงเลย โทษทีนะ” 

ผมว่าพลางใช้มืออีกข้างจับสันคางได้รูปพลิกไปพลิกมาเพื่อดูอาการให้ชัดๆ

“ทีแรกก็เจ็บ เมื้อกี้ตอนกินข้าวเที่ยงยิ่งโคตรเจ็บ.... แต่พอมึงถามปุ๊บ กูก็หายเจ็บปั๊บเลย”

อุตส่าห์ถามดีๆ ยังมีแก่ใจมาทำทะเล้น ทำเอาผมต้องกลอกตามองบนด้วยความเอือมระอา

“ยังจะมาพูด นี่กูยังไม่รู้ว่าจะให้มึงแก้ตัวกับพวกพี่ๆ สต๊าฟยังไงเลยนะ.... ขืนบอกว่าไปมีเรื่องชกต่อยมา ภัทรได้ขึ้นมาเป็นพระเอกแทนมึงแน่”

“ก็บอกไปสิว่ากูช่วยปกป้องมึงจากคนไม่ดี”

“ใครวะ คนไม่ดีที่ว่าน่ะ?”

“คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ลอร์ดโวลเดอมอร์ตมั้ง”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องนิ่งไปชั่วครู่ ด้วยไม่แน่ใจว่านายดรัณภพว่าพูดแค่เอาขำหรือหมายความตามนั้นจริง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมว่าผมเองก็ควรจะตกลงพูดคุยกับมันให้เคลียร์ว่าสถานะของพี่โรมกับมันนั้นแตกต่างกัน อันที่จริงผมก็ไม่อยากพูดให้ใครรู้สึกแย่ด้วยการเปรียบเทียบคนๆ หนึ่งกับอีกคนหนึ่ง แต่ผมก็คงไม่สบายใจสักเท่าไรถ้าหากคนเป็นลูกพี่ลูกน้องจะมาผิดใจกันด้วยเรื่องพรรค์นี้


“แดน.... กูขอพูดอะไรอย่างนึงได้ไหมวะ?”


“หืม?” 

เจ้าตัวยังคงยิ้มแป้นไม่รู้ร้อนรู้หนาว พาลให้ผมขมคอพูดเรื่องที่ต้องการจะพูดลำบากขึ้น แต่ในที่สุดก็เอ่ยออกไปจนได้

“อย่าว่าพี่โรมให้กูได้ยินอีก.......” 

ผมพูดเสียงเรียบ ดวงตาจ้องมองคนตรงหน้าแน่วแน่เพื่อสื่อให้รู้ว่าผมกำลังขอร้องจากใจจริง 

“กูเข้าใจว่ามึงผิดหวังที่กูกับพี่โรมคบกัน.... แล้วเพราะเรื่องเมื่อวาน หลายๆ อย่างที่กูพูดไปตอนนั้นอาจจะทำให้มึงคิดว่าพี่โรมทำไม่ดีกับกูเอาไว้เยอะ แต่หลังจากที่คุยกันแล้ว พี่โรมเขาก็มีเหตุผลของเขา แล้วเขาก็ไม่ได้แย่อย่างที่กูพูดหรอกนะ...........กูก็คงจะเสียใจมากถ้ามึงจะมองว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนไม่ดีเพียงเพราะคำพูดพล่อยๆ จากอารมณ์ชั่ววูบของกู.............”

รอยยิ้มระรื่นเลือนหายไปจากใบหน้าไอ้แดน หน่วยตาเรียวคมหลุบต่ำไม่ยอมมองหน้าผมตอบก่อนจะเอ่ยออกมาตามประสาคนดื้อด้านไม่ยอมแพ้

“ก็เฮียโรมแย่งมึงไปจากกู...........”

“ไม่มีใครแย่งใครไปจากใครทั้งนั้นแหละ” 

ผมไม่ได้มีปัญหากับการที่ไอ้แดนจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตผม แต่บทบาทของมันจะทับซ้อนกับสิ่งที่พี่โรมเป็นอยู่ไม่ได้ และผมก็ต้องจัดการเคลียร์สถานะของแต่ละคนให้ชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้ไอ้แดนเดินจากไปพร้อมกับความผิดหวังที่มากกว่าเดิม 

“กูต้องขอพูดกับมึงตรงๆ เลยนะว่าถ้ามึงอยากจะคบกูเป็นเพื่อน มึงก็ต้องยอมรับให้ได้ว่ากูมีพี่โรมอยู่แล้ว.... เขาคือคนที่กูรัก แล้วก็คงไม่มีใครที่กูจะรักได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“ไม่เอา..........”  ไอ้แดนเริ่มงอแง  “กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนมึงนะ ทิชา.... กูก็รักมึงเหมือนกัน ให้กูเป็นแฟนมึงอีกคนไม่ได้เหรอ?”

“เชี่ยละ อยู่ดีๆ มาบอกให้กูมีชู้ซะงั้น” 

ผมด่าก่อนจะเบือนหน้าหนีมันบ้าง 

“กูให้มึงได้แค่นี้.... จะรับก็รับ แต่ถ้าไม่รับ กูก็ไม่มีอะไรจะให้มึงแล้ว”

ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ผมไม่รู้หรอกว่ามันคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่กล้าเดาด้วย แต่ใจหนึ่งก็แอบกลัวว่าไอ้แดนจะเกรี้ยวกราดใส่แบบเดียวกับตอนที่ผมผิดนัดไม่ได้ไปแคสละครพร้อมกับมัน ลองว่าถ้าคนเราเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อกันแล้วกลับต้องมาจากกันไปแบบไม่สวยงาม ความเจ็บปวดคงมีมากกว่าคนเกลียดกันตัดขาดกันหลายเท่าตัวนัก

“ทิชา มึงรู้ไหมว่าสิ่งที่มึงพูดเมื่อกี้น่ะ มันโคตรคล้ายกับสิ่งที่กูเพิ่งพูดกับใครบางคนไปเลย.......” 

ไอ้แดนสารภาพพลางหัวเราะหึอย่างขมขื่น ในเวลานั้นผมไม่ทันนึกว่ามันหมายถึงใครก็ได้แต่รับฟังอย่างเดียวเท่านั้น

 “กูเพิ่งบอกคนๆ นั้นไปว่าถ้าเขาอยากจะอยู่ข้างกูก็อยู่ไป กูจะไม่ว่าอะไร แต่ต้องยอมรับให้ได้ว่ามึงคือคนที่กูรักมากที่สุด และเขาจะไม่มีวันได้ความรักจากกูมากเท่าที่มึงได้”

“งั้นมึงก็คงเข้าใจความรู้สึกของกูใช่ไหม แดน?”

“อืม.... ก็ต้องเข้าใจดิวะ”

จะเรียกว่าเป็นสัจธรรมของพวกรักเดียวใจเดียวก็น่าจะได้ล่ะมั้ง หากเราเลือกที่จะวางหัวใจไว้ในมือใครแล้ว เขาคนนั้นก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากเราไป ไม่มีเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนที่สองหรือที่สาม ซึ่งผมกับไอ้แดนก็คงเป็นคนประเภทเดียวกันนี้

ร่างหนาเหลือบสายตามองต่ำลงจากใบหน้าผม ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มไม่เต็มที่แต่ก็ดีกว่าหน้าเศร้าซังกะตายแบบเมื่อไม่กี่นาทีก่อน มือใหญ่เอื้อมมาจับคอปกเสื้อเชิ้ตนักศึกษาซึ่งผมปลดกระดุมเม็ดบนให้ชิดเข้าหากัน ผมถึงได้รู้ตัวว่ารอยจูบที่พี่โรมทำเอาไว้เมื่อเช้ามันเห็นได้ชัดมาก และไอ้แดนก็คงเห็นตำตามาตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกับผม

“มึงจะรักเฮียโรมก็รักไปเถอะ กูไม่ขวางหรอก.... แต่จะเป็นพระคุณมากถ้ามึงกับเขาจะรักกันเงียบๆ ไม่ทิ้งหลักฐานให้กูเห็น..........”

เพียงคำพูดขอร้องไม่กี่ประโยค ผมก็รับรู้ได้ถึงความเสียใจยิ่งกว่าให้มันมาร้องไห้ให้ดูต่อหน้าเสียอีก.... หากถึงยังไง ผมก็เลือกพี่โรมให้เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วก็แน่ใจด้วยว่าไม่ได้ตัดสินใจผิดที่ขีดเส้นมิตรภาพล้อมกรอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนายดรัณภพเอาไว้

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือแฟน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ผมอยากจะให้อยู่เคียงข้างและเดินต่อไปด้วยกันไปอีกหลายๆ ปี หรือจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง

“แดน.........”  ผมเรียก

“อือ” 

ไอ้แดนนรกส่งเสียงตอบแบบไม่หือไม่อือ ถึงแม้จะไม่ได้โกรธ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ชัดเจนว่ามันคงยังงอนอยู่นั่นแหละ

“หันมาหน่อย”

“อะไรวะ........อุ๊บ.........!” 

ผู้ชายขี้งอนไม่เข้าเรื่องสะดุ้งโหยงเมื่อโดนผมเอาขนมปังไส้ช็อกโกแลตยัดใส่ปากทีเผลอ พอตั้งตัวได้ก็เอียงหน้าหลบพัลวันพร้อมทั้งร้องตะโกนโวยวายจนคนแถวนั้นหันมามองแทบจะเป็นตาเดียวกัน 

“เล่นอะไรของมึงเนี่ย ทิชา!?”

“ก็อยากให้มึงกินของหวานเยอะๆ จะได้อารมณ์ดีไง” 

ผมทวนประโยคเดียวกับที่มันพูดย้อนกลับไปให้พลางยักคิ้วใส่อย่างจงใจจะกวนประสาท ใบหน้าครึ่งล่างของเดือนสถาปัตย์ปีสองเต็มไปด้วยคราบนูเทลล่า.... ก็รู้ล่ะว่าถ้าเป็นคนอื่นทำคงได้โดนมันต่อยตายไปแล้ว แต่พอดีว่านี่คือทิชา ทิชนันท์ นอกจากจะไม่โดนโกรธแล้วยังทำให้นายดรัณภพหัวเราะออกอีกต่างหาก

“มึงนี่แม่ง..........”

“แม่งอะไร พูดให้ดีๆ นะ”

“มึงแม่งน่ารัก.... ทำห่าอะไรก็น่ารัก กูล่ะเบื่อฉิบหาย!”

เพื่อนผู้หญิงแถวนั้นคงสงสารที่ไอ้แดนโดนผมแกล้งก็เลยส่งทิชชู่ทั้งเปียกและแห้งมาให้ใช้ทำความสะอาดก่อนที่เราทั้งคู่จะมือเปื้อนปากเปรอะมากไปกว่านี้ หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย อาจารย์สุชาติก็เข้ามาสอนพอดี เราจึงยุติการคุยเล่นและสงครามไส้ขนมปังเอาไว้เพียงเท่านี้ แต่ก่อนที่จะเริ่มขีดไฮไลท์เนื้อหาในชีทตามที่อาจารย์สอน ผมก็กดโทรศัพท์ส่งไลน์หาไอ้แดนอีกนิดหน่อย



        Tisha_950701 : มึงเข้ามาในชีวิตกูแล้วก็อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ

                          เพื่อนแดน *สติกเกอร์ยิ้ม*





          Danny ทาสแมวนาจา  :  กูไม่ไปไหนหรอก ต่อให้มึงไล่ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น

                                      เพื่อนก็เพื่อนวะ เป็นเพื่อนไปก่อนก็ได้

                                 แต่วันไหนที่เพื่อนโสด กูขอเสียบคิวเลยนะ

                                  จากนี้ไปถ้าไม่ใช่เฮียโรมก็ต้องเป็นกูเท่านั้น จำวรั้ยยยย

                                *สติกเกอร์เดวิล*


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:31:51
PAI's PART



ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดอะไรมากมายนัก เพียงแต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่มากเท่านี้มาก่อน....   

ผมได้แต่ยืนมองแดนกับทิชาไลฟ์สดผ่านอินสตราแกรมเพื่อโปรโมทการถ่ายทำซีรีส์ด้วยกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ตรงไหนหรอกกับการที่คู่พระเอก-นายเอกของเรื่องจะออกโรงเซอร์วิสแฟนคลับ แต่ปกติทั้งสองคนก็แค่ท่องสคริปท์ที่ทีมงานเตรียมไว้ให้แล้วก็จบงานอย่างรวดเร็วไม่เกินห้าหรือสิบนาที ไม่มีเคยสักครั้งที่จะลากยาวแถมยังยิ้มแย้มหัวร่อต่อกระซิกนอกบทเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงแบบนี้

แฮชแท็ก #แดนทิชา ติดเทรนในโลกออนไลน์มาหลายชั่วโมงตั้งแต่ช่วงบ่ายต้นๆ มิหนำซ้ำยังขึ้นเป็นที่หนึ่งแซงหน้าละครและรายการเรียลิตี้ดังๆ อีกต่างหาก เพราะมีคนแอบถ่ายรูปแดนกับทิชานั่งเรียนข้างกันมาลง แล้วก็มีคนเห็นทิชาขึ้นรถแดนมาสถานีโทรทัศน์ ทั้งๆ ที่ทิชาเองก็มีคนขับรถส่วนตัวคอยรับ-ส่งให้อยู่แล้ว

แบบนี้ไง ผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโง่จนน่าด่า เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันไม่เหมือนกับที่แดนเคยบอกเลยว่าทิชาไม่ได้คิดอะไรกับเขา....


‘คุณพระคุณเจ้า ในที่สุดก็มีวันนี้เสียที!’

‘เห็นมีคนบอกว่าน้องแดนกับน้องทิชาไม่ค่อยถูกกัน ก้อยก็ยังห่วงๆ อยู่เลยค่ะว่าจะรอดไหม.... เห็นแบบนี้เราก็คงโล่งใจได้แล้วนะคะ คุณอิ๋ว’

‘คงเพราะเด็กยังไม่สนิทกันมากกว่าก็เลยเกร็งๆ ใส่กัน ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว จากนี้ไปก็ขอให้ทุกอย่างราบรื่นเถอะ.... อ้อ คุณก้อย เดี๋ยวนัดประชุมทีมพีอาร์หน่อยก็ดีนะ พี่จะอัดโปรโมทคู่แดนทิชาเยอะๆ เอาให้กระแสดังไปถึงช่องหลักเลย’



หัวหน้าผู้จัดละครกับผู้จัดการกองถ่ายต่างพากันออกอาการปลื้มปริ่มยินดี มันก็ไม่เชิงว่าน้อยใจเพราะเข้าใจดีอยู่แล้วว่าต้นทุนชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากัน ทิชาเป็นคนโปรดของแม่อิ๋วมาแต่ไหนแต่ไร แม่ของทิชาก็เป็นเพื่อนแม่อิ๋วด้วย เขาจะอยากดันหลานที่ตัวเองเอ็นดูเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกมากกว่าเด็กธรรมดาๆ อย่างผมก็คงว่ากันไม่ได้ อิจฉาไปก็เท่านั้น

ก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนหนึ่งถึงต้องเป็นแดน? เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ?

แดนยอมที่จะไปอยู่ตรงนั้นเองหรือทิชาเป็นคนเลือก?

ใครกันแน่ที่ทำให้ผมเสียใจ....?



‘โห ทิชาแม่งเอาแล้วไงล่ะ’

‘งั้นที่เขาลือกันก็ไม่ใช่เล่นๆ น่ะสิ.... ที่มีคนมาโพสต์ว่าทิชาเคยไปแย่งแฟนเขา แล้วก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่โดนด้วย ก่อนหน้านั้นก็เป็นมือที่สามมาไม่รู้กี่รอบแล้ว คนที่เรียนมหาลัยนั้นก็รู้กิตติศัพท์ทิชากันดี’

‘ที่ทำหน้านิ่ง วางท่าหยิ่งๆ ก็แผนอ่อยเหยื่อให้ตายใจอะดิ.... สงสารแดนว่ะ คงตามเกมทิชาไม่ทันแหงเลยตกหลุมพรางดังโครม’

‘สงสารพี่ปายด้วย โดนทิชาแย่งทั้งบทนำ แย่งทั้งแฟน’

‘แต่มึคนเล่าให้เราฟังว่าทิชากับแดนก็แอบกิ๊กกันมานานแล้วนะ’

‘จริงเหรอ.... ตั้งแต่วันแคสจนเวิร์คช็อปอาทิตย์ก่อน พวกเราก็เห็นแดนอยู่กับพี่ปายตลอด ทิชาก็ไม่เห็นจะอะไรกับใครเลย เวลาพักก็ชอบหายตัวไปนั่งคนเดียว’

‘หรือพอเห็นว่าแดนจะคบกับพี่ปายก็เลยเปลี่ยนใจมาแย่ง?’

‘ไม่รู้สิ แต่ไม่ว่ายังไง พี่ปายก็น่าสงสารที่สุดอยู่ดี.........’



ผมได้ยินทุกอย่างแต่พยายามทำเป็นไม่สนใจ ไม่หันไปมองพวกน้องๆ นักแสดงตัวรองซึ่งกำลังจับกลุ่มนินทาทิชา แล้วพูดเหมือนว่าผมกับแดนคือเหยื่อที่โดนทิชาแกล้งเข้ามาปั่นหัวเล่น

มีคนบอกผมเรื่องข่าวลือตั้งแต่ตอนที่ประกาศผลออดิชั่นใหม่ๆ แล้ว ในตอนนั้นมีหลายคนเอาเรื่องแย่ๆ ของทิชามาใส่ไฟให้ฟัง คงกะว่าจะเสี้ยมให้ผมเกลียดและเห็นเด็กเส้นขี้โกงเป็นศัตรูคู่อาฆาตให้ได้ ผมไม่เคยตัดสินทิชาจากคำพูดของใคร มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกกล่าวหาและยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว ผมคิดว่าจะรอจนกว่าจะได้คุยและรู้จักนิสัยใจคอทิชาเสียก่อนแล้วค่อยฟันธงว่าใครเป็นยังไง

ส่วนหนึ่งก็จริงอย่างที่เคยได้ยินมา ทิชาค่อนข้างเก็บตัวและเข้าถึงยากแม้ว่า ผมจะอุตส่าห์เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนตั้งหลายครั้ง ก็ไม่รู้หรอกว่านิสัยเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วหรือเพราะไม่อยากยุ่งกับผม เขากับผมคุยกันแทบจะนับคำได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีใส่ผม

แล้วถ้าอยู่ดีๆ ผมจะนึกเกลียดทิชาเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมันจะแฟร์หรือเปล่า? จะดูเหมือนพวกขี้แพ้ชวนตีที่พอไม่ได้ดั่งใจก็พาลโทษนู่นโทษนี่ไหม?

นี่ผมกำลังจะสูญเสียจุดยืนของตัวเองเพราะความรักเหรอเนี่ย....?



“อ้าว ทำไมมาอยู่ครงนี้คนเดียวล่ะพี่?”

ภัทรเดินมาสะกิดผมทางจากด้านหลัง ก่อนจะแทรกตัวเข้ามามองแดนกับทิชาซึ่งอยู่ด้านในห้องกระจกที่แยกออกไปจากห้องฝึกซ้อมการแสดง เห็นทั้งคู่นั่งคุยกระหนุงกระหนิงโดยมีขาตั้งกล้องมือถืออยู่บนโต๊ะก็ไม่ต้องอธิบายแล้วว่าผมยืนดูอะไรอยู่ 

“ไม่ไปไลฟ์กับเขาเหรอ ช่วยกันทักทายแฟนๆ ไง”

“อย่าเลย ไม่รบกวนดีกว่า..........” 

ผมเอ่ยยิ้มๆ ในใจคิดว่าใครจะกล้าเอาตัวเข้าไปแทรก ไม่ใช่เพราะเกรงใจว่าทีมงานอาจจะอยากได้แค่พระเอก-นายเอกหรอก แต่คิดว่าแดนคงอยากอยู่กับทิชาตามลำพังมากกว่า

“อย่างพี่ปายเข้าไปเขาไม่เรียกว่ารบกวนหรอก” 

ภัทรยังคงไม่ละสายตาไปจากคู่เอกของซีรีส์ซึ่งยังคงนั่งเบียดกันหน้ากล้อง ดูเหมือนรุ่นน้องคนนี้จะมองออกว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร น้ำเสียงซีเรียสจึงบอกเป็นเชิงให้ผมลองคิดตามว่าใครมีสิทธิ์ทำอะไรได้มากแค่ไหน 

“ใครๆ ก็รู้ว่าไอ้แดนเป็นคนคุยของพี่ ที่พี่ปายชอบมันขนาดนี้ก็เพราะมันหยอดเอาไว้ด้วย.... ตราบใดที่มันยังไม่ให้ความชัดเจนว่าจะคบหรือไม่คบกับพี่ ผมว่าพี่ปายก็มีสิทธิ์เข้าไปนั่งข้างมันพอๆ กับทิชานั่นแหละ”

“นี่มันงานนะ ภัทร.... พี่ทำตามใจตัวเองได้ที่ไหนเล่า”

“กลัวงานเสียหรือว่ากลัวไอ้แดนไม่พอใจกันแน่?”

“อย่าให้พี่ต้องมีปัญหาเลย.......”

ผมหันหลังหนี ไม่อยากให้ภัทรจับได้ว่าคำพูดเมื่อกี้จี้โดนใจดำผมตรงเผง ไลฟ์มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย ถ้าคู่ผมกับภัทรเข้าไปร่วมแจมด้วยได้ช่วยเรียกแฟนคลับเดี่ยวมาเพิ่มยอดวิวให้มากขึ้นไปอีก แต่ประเด็นก็คือผมกลัวว่าแดนจะโกรธ ยิ่งเขาเคยพูดเองกับปากว่าชอบทิชาอยู่ ผมก็ยิ่งไม่กล้าไปกันใหญ่

“ผมไม่เข้าใจเลยว่ะ” 

ภัทรส่ายหัวพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ 

“พี่ปายชอบไอ้แดนถึงขนาดยอมให้มันเอาเปรียบงี้เลยเหรอ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่ก็ยังมาจีบพี่ แล้วพี่ก็ดันยอมเสียด้วย.... ผมรู้จักพี่มาเป็นปีๆ รู้หรอกนะว่าปกติพี่ไม่ใช่คนแบบนี้”

ก็ใช่อีก.... เพราะความรักอย่างเดียวเลยที่ทำให้ผมกลายเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้กระทั่งจะทวงถามถึงสิทธิและฐานะของตัวเอง

“เอาน่า เดี๋ยวสักวันพอภัทรมีแฟนก็จะเข้าใจความรู้สึกพี่เอง” 

ผมยังคงยิ้มสู้แล้วทำราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งๆ ที่หัวใจมันร้าวไปหมดแล้ว

“บ้าดิ จะไปเข้าใจได้ไง!”

ภัทรเบ้ปากไม่ยอมตามน้ำไปกับผม แต่ผมจะไปทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ ตกหลุมรักเขาก่อนก็ต้องเปลืองตัวเปลืองใจเป็นธรรมดา

“ถ้าแดนเขาแฮปปี้ พี่ก็โอเค”

“โว้ย.... พี่แม่งจะดีไปไหนวะ ไอ้เวรนั่นมันไม่คู่ควรเลยสักนิด!”

เสียงห้วนสบถดังพอประมาณ ทำเอาผมสะดุ้งรีบเอามือปิดปากอีกฝ่ายแทบไม่ทันเพราะกลัวพวกเด็กๆ คนอื่นได้ยิน แต่ภัทรกลับคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้เข้าไปในห้องกระจกที่คู่พระนายกำลังไลฟ์อยู่ด้วยกัน.... ผมส่ายหัวระรัวพร้อมทั้งสะบัดแขนแรงๆ หวังจะให้ตัวเองรอดพ้นไปจากการถูกฉุดกระชากลากถู หากก็ไม่ทันแล้ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นภาพตัวเองปรากฏขึ้นในจอแทรกตรงกลางระหว่างแดนกับทิชาพอดิบพอดี

ผมนึกฉุนที่เจ้าภัทรจับผมมาปล่อยไว้ตรงนี้ จะหันกลับไปว่าก็ไม่ได้ เพราะเสียงจะต้องติดเข้าไปในกล้องให้แฟนๆ ได้ยินแน่

“เอ้า พี่ปาย.... โบกมือให้แฟนคลับพี่หน่อยสิครับ”

ภัทรสั่งผม ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วโบกมือแบบไม่ค่อยจะเต็มใจ

“สวัสดีครับ.... ปาย ปวีณ เองครับ”

“พี่ปายจะนั่งตรงนี้เหรอ?”

“เอ๊ะ?”

ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อคนข้างๆ เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน สายตาของแดนที่จ้องมองมานั้นดูคล้ายไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต หากผมกลับรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจอย่างแรงซึ่งแฝงซ่อนภายในดวงตาสีเข้ม ส่วนทิชาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยิ้มเงียบๆ ไปตามคาแร็คเตอร์ที่เป็นอยู่ปกติ ทว่า ก่อนที่ผมจะขอตัวเลี่ยงหนีออกไปตั้งหลักนอกห้อง ทิชาก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ให้ผมแทน

“พี่ปายนั่งนี่ก็ได้..........”

ผมไม่รู้ว่าทิชากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยกที่นั่งให้ผม แค่หวังดี จะแกล้ง หรือว่าไม่ได้คิดอะไรเลย ผมเดาใจเขาไม่ออกจริงๆ

“แค่พี่ปายมาแปบเดียว แฮชแท็ก #แดนปาย ก็มาเพียบเลย.... ผมว่างานนี้แดนคงต้องลำบากใจหน่อยแล้วล่ะว่าอยากจะให้ #แดนทิชา หรือ #แดนปาย ติดไทยแลนด์เทรนด์นานกว่ากัน”

ผมอยากจะตีปากเจ้าภัทรแรงๆ เสียจริง อยู่ดีไม่ว่าดีจะหางานให้ผมทำไมกันเนี่ย ถ้าแดนโกรธขึ้นมาแล้วผมจะทำยังไง....!?

“ก็ต้อง #แดนทิชา อยู่แล้วสิ ก็เขาเป็นคู่หลักของซีรีส์เรานี่นา”

“เดาเก่งนะครับ”

ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกเหมือนเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป

“ผมกับทิชาก็ไลฟ์มาตั้งนานแล้ว งั้นขอเปลี่ยนให้ภัทรมาทักทายเพื่อนๆ ทางบ้านคู่กับพี่ปายเลยก็แล้วกันนะครับ.... ไว้เจอกันใหม่น้า~ บายครับ~”

แล้วแดนก็ลุกออกจากที่นั่งตรงนั้นไปเลย ทิชาเห็นว่าแดนออกไปจากห้องกระจกก็ตามออกไปด้วยอีกคน ทิ้งผมให้หน้าเหวออ้าปากค้างอยู่หน้ากล้องคนเดียวจนกระทั่งภัทรต้องมานั่งโบกไม้โบกมือเป็นเพื่อน.... ไม่นานนัก พี่ทีมงานซึ่งดูแลเรื่องการโปรโมทก็เข้ามาปิดกล้องไลฟ์แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น แดนกับทิชาไปไหน ผมถึงได้อยากเอาหัวโขกกำแพงหนีอาย เพราะทางกองไม่ได้ตั้งใจจะโปรโมทผมกับภัทรเหมือนที่โปรโมทคู่แดนทิชา และแดนก็ไม่ได้อยากนั่งคู่กับผมอีกแล้ว



รู้อยู่แก่ใจว่าเขารักใคร แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้เขาไม่ยอมไปไหน

ผมว่าผมไม่ได้แค่โง่อย่างเดียวแล้วล่ะ แต่ยังบ้ามากๆ ด้วย....

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-04-2018 11:35:26
ROME's PART



ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ลากสังขารเดินจากตึกคณะมาถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัยคือเมื่อไร เพราะตั้งแต่พ่อออกรถให้ ผมก็ไปไหนมาไหนด้วยการขับรถตลอด เรียกได้ว่าเท้าคุณชายจากสุราษฏร์แทบไม่เคยติดพื้นถนนหลวงเลย

ทีแรกผมก็เซ็งอยู่หน่อยๆ ด้วยความที่ไม่ชิน พอไม่มีรถก็พาลรู้สึกเหมือนตัวเองขาขาดทำอะไรไม่ค่อยถูก.... จะหาว่าบ้าก็ได้นะครับ แต่เมื่อคิดว่าทิชาก็เคยใช้เส้นทางนี้กลับบ้านทุกวี่ทุกวัน ผมก็หายหงุดหงิดเมื่อยขาไปกว่าครึ่ง ถือเสียว่าเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของน้องให้มากขึ้น ก็มีแอบคิดนิดนึงว่าทำไมทิชาถึงไม่ยอมหัดขับรถให้คล่องๆ จะได้ไม่ต้องเดินตากแดดให้ผิวเสีย ถึงผิวน้องจะยังขาวจั๊วะเหมือนไข่ปอก ไม่เสียไม่โทรมตรงไหนเลยก็เหอะ

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าหลังกางเกงสั่นเตือนว่ามีสายเข้า ผมสบถเบาๆ เพราะว่าแบตเหลือไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์ตอนที่เช็คครั้งล่าสุด อุตส่าห์จะเก็บไว้เผื่อว่าทิชาจะโทรมาหา.... ทีแรกก็กะว่าจะตัดสายทิ้ง หากพอเห็นชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอ ผมจึงเปลี่ยนใจรีบเปลี่ยนเป็นกดรับแทน


‘เชี่ยโรม มึงอยู่ไหนวะ!?’

“ยังอยู่มหาลัย.... กำลังจะไปซื้อของที่ซูเปอร์ตรงสถานีพร้อมพงษ์แล้วก็จะแวะเอาของไปให้บีบี๋ที่โรงบาล”

‘มึงอย่าเพิ่งไปไหน อย่าออกจากมหาลัย.... อยู่ตรงนั้น รอกูไปหามึงก่อน!’

“อะไรของมึงเนี่ย ไอ้ห่าแจ็ค.... แล้วนี่มึงอยู่ไหน โดดเรียนหาพ่องเหรอ!? จารย์เป่าแทบจะแดกหัวกูอยู่แล้ว!”

‘เออน่า กูบอกให้รอมึงก็............’

“สัดเอ๊ย...........”

ยังคุยไม่ทันรู้เรื่อง มือถือผมก็ดับสนิทไม่ไหวติงและมีสภาพไม่ต่างหากก้อนอิฐในที่สุด ผมได้ยินแว่วๆ ว่าไอ้แจ็คบอกให้รอที่มหาวิทยาลัยอย่าเพิ่งออกไปไหน ผมก็กำลังจะบอกมันอยู่แล้วเชียวว่าวันนี้ผมมีธุระต้องรีบไปทำ.... ต้องซื้อของให้ทิชา ต้องเอาของเยี่ยมไปให้บีบี๋เพื่อดูว่าน้องเป็นยังไงบ้าง จากนั้นก็ไปบ้านทิชาเพื่อเอารถและรับยัยมิลค์กลับคอนโดฯ เห็นไหมว่าตารางผมแน่นจะตายห่า เอาไว้เสียบสายชาร์จแบตมือถือบนรถแล้วค่อยโทรคุยกับแม่งอีกทีก็แล้วกัน


“เอาแอปเปิ้ล New Zealand Envy ครับ หั่นเป็นชิ้นไม่ต้องปอกเปลือกแล้วใส่กล่องให้ด้วย.........”

ผมแจ้งพนักงานให้ช่วยเลือกแอปเปิ้ลแล้วล้างหั่นใส่กล่องแพ็คให้เลย เพราะผมเลือกผลไม้ไม่เป็น กลัวแจ็คพอตโดนผลที่ข้างในไม่สวยแล้วน้องจะว่าเอา เมื่อได้ของมาลงตะกร้าแล้วก็ย้ายร่างไปหยิบสตรอว์เบอร์รี่เกาหลีสวยๆ อีกสอง-สามกล่องตามที่สัญญาไว้ จากนั้นก็หยิบขนม ช็อกโกแล็ต พาสต้าอบชีส ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิชาชอบกินจนล้นไปหมด.... มานึกได้ก็ตอนจ่ายเงินว่าเดี๋ยวจะต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาลก่อน หอบพะรุงพะรังขนาดนี้แล้วจะไปไหนได้ เรียกแท็กซี่หน้าถนนสุขุมวิทก็ไม่รู้จะรับคนชาติเดียวกันหรือเปล่า

ผมยืนรอแท็กซี่บริเวณด้านหน้าซูเปอร์มาร์เก็ต เวลาห้าโมงกว่าค่อนข้างติดเลยต้องยืนอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ มองขึ้นไปบนฟ้าคล้ายจะเห็นเมฆครึ้มฝนตั้งเค้าลอยมาทางนี้ ผมจึงลังเลว่าจะเปลี่ยนใจกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าดีไหม

ดูสภาพตัวเองแล้วก็อดขำไม่ได้ ถ้าใครมาเห็นเข้าก็คงขำเหมือนกันที่ภายในชั่วระยะเวลาสี่ห้าเดือนที่รู้จักกับทิชา ผมจะเปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน.... จากเดิมที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับเรื่องภายในคณะ สนใจแค่เรื่องของพวกวิศวะฯ คบหากันเองสร้างคอนเน็คชั่นผ่านระบบรุ่นพี่รุ่นน้องโดยมีเบอร์ลิคเป็นจุดศูนย์กลาง ผมจึงลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยุ่งเกี่ยวกับเหล้า บุหรี่และอบายมุขซึ่งเป็นรายได้หลักของร้าน ยิ่งพอเฮียรุจเชื่อใจผม ผมก็ต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ช่วยเฮียรุจคุยกับตำรวจบ้างอะไรบ้าง คิดในแง่หนึ่งมันก็ดีตรงที่ผมจะมีเส้นสายได้รู้จักกับพวกคนมีสีมีตำแหน่ง อีกหน่อยจะทำธุรกิจอะไรก็ไม่ติดขัด เวลาเดือดร้อนก็มีคนคอยช่วยเหลือ แต่พูดตามตรง ผมก็ไม่ค่อยสบายใจนักหรอกที่ต้องทำงานประเภทนั้น

เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ผมคงย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ผมมีความสุขดีกับการเป็นพ่อบ้านอยู่คอนโดฯ เลี้ยงลูกสาวไปตามอัตภาพ ถึงจะยังทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าทิชาไม่อยู่ก็ต้องสั่งจากร้านขึ้นมากินเหมือนเดิม แต่ผมล้างจานเป็นแล้ว ใช้เครื่องดูดฝุ่นกับลูกกลิ้งแถบกาวเก็บขนแมวเป็นด้วย ว่างก็เล่นเกมหรือไม่ก็พายัยมิลค์ออกไปเดินเล่นตามคอมมูนิตี้มอลล์ที่เขาให้เอาสัตว์เลี้ยงไปได้

อ้อ.... ผมยังไม่ได้บอกทิชาเลยว่าผมเลิกบุหรี่แล้ว ไม่รู้ว่าน้องจะสังเกตหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ ผมเลิกเพราะว่ายัยมิลค์ไม่ชอบ แถมในเน็ตยังบอกว่าแมวสามารถรับกลิ่นบุหรี่ได้ดีกว่ามนุษย์หลายเท่า ถ้าเจ้าของสูบบุหรี่จะมีโอกาสทำให้แมวโพรงจมูกอักเสบกับเป็นมะเร็งในเลือดและต่อมน้ำเหลืองได้ง่ายขึ้น พอผมอ่านจบก็เอาบุหรี่ไปโยนทิ้งทั้งซองเลย ส่วนไฟแช็ค Zippo รุ่นลิมิเต็ดเก็บไว้ก่อนเพราะซื้อมาแพง เอาไว้ใช้จุดเทียนวันเกิดก็ยังดี

“เวร อย่าเพิ่งตกตอนนี้นะมึง.........”

เมื่อเห็นว่าฝนหลงฤดูกำลังจะเล่นงานผมแน่ๆ ผมก็เลยเปลี่ยนใจจะกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าแทน ในตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวาย มีกลุ่มคนใส่ชุดคล้ายๆ กันกับผมวิ่งกรูลงมาจากรถประจำทาง ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นพวกเด็กช่างที่เรียนอยู่วิทยาลัยอาชีวะแถวๆ เขตพระนคร

ผมเดินหลบเข้ามาฝั่งด้านในฟุตปาธ ซวยแค่ไหนที่ไม่มีรถขับ หิ้วของเป็นบ้าหอบฟาง แถมยังต้องมาเจอพวกเหี้ยนี่ยกพวกตีกันอีก..........



ปัง!!!


เสียงคล้ายระเบิดดังลั่นเข้ามาในโสตประสาท ผมรู้สึกเหมือนแก้วหูตัวเองสั่นสะเทือนแรงไปถึงสมอง ทุกสิ่งรอบด้านว่างเปล่ามืดสนิทไปชั่วขณะราวกับว่าเสียงเมื่อครู่ได้ทำหูผมดับไปแล้ว

พวกสวะสังคมชอบทำชาวบ้านเดือดร้อนวิ่งผ่านหน้าผมไป ในตอนนั้นผมคิดแค่ว่าก็ดีแล้ว ให้พวกแม่งไปตีกันตายที่อื่น ผมจะได้เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าสะดวกๆ ไม่ต้องหลบตีนหมาที่ไหน แต่อยู่ดีๆ ถุงพลาสติกในมือผมก็ร่วงลงพื้น ของข้างในทะลักออกมาเกลื่อนพื้น.... ผมกำลังจะก้มตัวลงไปเก็บก่อนที่คนแถวนั้นจะเหยียบโดนผลไม้ที่ผมซื้อให้ทิชา ทว่า ความรู้สึกแสบร้อนกลับแล่นจากหัวไหล่ไปทั่วร่าง ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อความเจ็บรุกหนักจนทนไม่ไหว แล้วผมก็ล้มลงไปนอนพังพาบอยู่ข้างกองข้าวของที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา

เจ็บฉิบหาย.... ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเหี้ยอะไรขึ้น รู้แค่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะล้ม แต่ร่างกายมันขยับเขยื้อนไม่ได้ แม้กระทั่งจะกระดิกนิ้วสักนิ้วยังลำบาก

ขนาดได้ยินเสียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันกรีดร้องตะโกนเสียงหลง ผมยังหันไปมองหน้าเจ้าหล่อนไม่ได้เลย....



‘ช่วยด้วยค่ะ มีคนถูกยิง!!!’



ใครถูกยิงวะ.... ผมเหรอ?

บ้าน่า ผมก็อยู่ของผมดีๆ จะโดนยิงได้ยังไงกัน?



ผมมีธุระต้องไปต่ออีกหลายที่เลยนะ.... ผมต้องไปรับยัยมิลค์กลับคอนโดฯ ต้องสั่งข้าว ทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยก่อนที่ทิชาจะมาถึงด้วย น้องไม่ชอบให้ห้องมีฝุ่นกับผ้าซักวางกองระเกะระกะบนโซฟา ผมขี้เกียจโดนบ่น ที่สำคัญคือผมสัญญากับทิชาเอาไว้แล้วว่าจะซื้อแอปเปิ้ลกับสตรอว์เบอร์รี่กลับไปให้ ยังไงวันนี้น้องก็ต้องได้กินของโปรด ไม่งั้นผมโดนโกรธตายห่าเลย

ผมทำให้ทิชาเสียใจมาตั้งหลายครั้งแล้ว คราวนี้ถ้าทำอีก ผมต้องโดนบอกเลิกแน่ๆ แล้วน้องก็จะหนีผมไป.... เห็นนุ่มนิ่มแบบนั้นแต่จริงๆ แล้วทิชาใจแข็งมากนะ ง้อโคตรยาก แล้วผมก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของน้องแล้วด้วย

แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ดูท่าทางผมจะโดนทิชาโมโหอีกแล้วแหง....



ลุกขึ้นสิวะ ไอ้โรม....  มึงต้องลุกขึ้นเดี๋ยวนี้..........

อย่าทำให้ทิชาร้องไห้นะเว้ย

ทิชาจะเสียใจเพราะมึงอีกไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้มึงตายก็ต้องกลับไปรอน้องที่คอนโดฯ ให้ได้

แต่กูขยับไม่ได้เลยโว้ย ไอ้สัด.......


.


.


ทิชา......

ทิชาได้ยินพี่หรือเปล่า.........?


.

.


อาจจะช้าหน่อย แต่พี่กำลังรีบไปจริงๆ

อีกแค่แปบเดียวก็ถึงแล้วล่ะ.... ไม่ต้องห่วงนะ คราวนี้พี่ไม่โกหกแน่ๆ ยังไงพี่ก็จะกลับไปรอทิชาที่คอนโดฯ แช่ของกินอร่อยๆ เตรียมไว้ให้ในตู้เย็น แล้วเราค่อยมานอนคุยกันนะว่าหลังทิชาถ่ายละครจบแล้วเราจะไปเที่ยวกันที่ไหนดี

แล้วก็วันเกิดทิชาปีหน้า เราจะฉลองกันยังไง

วาเลนไทน์ด้วย พี่คิดข้ามวันข้ามเดือนไปได้ยังไงเนี่ย......


.


.


.

รอพี่นะครับ คนดี.... จากนี้ไปก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ



TO BE CONTINUE

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 08-04-2018 17:18:27
นี่เรื่องมาถึงตรงนี้ได้ยังไง เทาแล้วเทาอีก คิดว่าหมดแล้วก็ยังมีอีก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 08-04-2018 20:56:55
 :z3: สนุกมากกก ไมรุ้จะเชียร์ทีมไหนดี มีทั้งดีและร้ายต่างๆกันไป
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2018 02:13:23
โอ้ยยยยยย ปวดจิตปวดใจ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuengku.kimjaejoong ที่ 24-04-2018 01:40:13
เอาจริงๆ เราฟินกับฉากแดนทิชามากกกกกก ชอบที่แดนมันรักทิชาไม่เปลี่ยนแปลงนี่แหละ
และเราก็วนมาอ่านเป็นรอบที่ล้านแล้วค่า สารภาพเลยว่ารีทุกวัน เมื่อไหร่คนแต่งจะมาต่อน้อออออออ รอ รอ รอ และก็รอ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:21:21
16
~ คนเดียวที่รักได้ ~


DAN’s PART


ว่าจะเลิกเวิร์คช็อปก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแต่หัวใจยังฟูฟ่องเต็มอกเหมือนก้อนสายไหมสีพาสเทล ใครจะไปคิดว่าจะมีวันที่ทิชาอยู่ในสายตาผมตลอดเวลา แค่หันไปหาก็เจอ แค่เรียกก็ได้คุย.... อารมณ์ว่าอยากชดเชยช่วงเวลาปีกว่าที่เสียไปเพราะความบ้องตื้นของตัวเอง ผมก็เลยผูกตัวติดกับทิชา คอยตามประกบยิ่งกว่าเงา ไม่สนใจอะไรนอกจากว่าดวงดาวแสนสวยของผมจะหิวข้าวหิวน้ำไหม จะร้อนจะเหนื่อยหรือเปล่า หรือถ้าเมื่อยขาจะให้ผมแบกขึ้นหลังอุ้มไปส่งจนถึงบ้านเลยก็ได้

ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอคอแตกฉิบหาย แต่ผมก็รักของผมแบบนี้....

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นก็มั่นใจมากว่ามันคือรักแรกพบ คนบ้าอะไรวะหน้าสวยอย่างกับตุ๊กตา สวยเหมือนไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้.... จำได้ว่าตอนนั้นพวกรุ่นพี่ขอให้แต่ละคณะส่งตัวแทนที่จะลงประกวดดาว-เดือนมายืนหน้าแถว ทิชามันก็คงโดนพี่ๆ ในสินกำบังคับถึงได้เดินหน้ามุ่ยออกมาแบบไม่เต็มใจ เชื่อไหมว่าทีแรกผมไม่ได้มีความคิดที่จะประกวดอะไรกับใครเขาเลย แต่พอเห็นความรักไปยืนอยู่ตรงหน้า ผมก็รีบพุ่งตัวตามไปขอทำความรู้จักทันที


‘เราชื่อแดนนะ อยู่ถาปัด.... นายชื่ออะไรเหรอ?’

‘....................’

‘อยู่สินกำใช่ปะ เรียนเอกอะไร? พวกออกแบบ ดนตรีหรือละคร?’

‘....................’

‘มีคนเคยบอกหรือเปล่าว่านายโคตรน่ารักเลย.... ตัวขาวๆ ตาโตๆ ปากนิดจมูกหน่อย สเป็คเราเลย นายเป็นแฟนเราได้ปะ?’                                                                                                                                       

‘....................’

‘ไม่ตอบถือว่าตกลง.... งั้นถ้ามีใครมาจีบก็บอกว่าเป็นแฟนเราแล้วนะ จุ๊บ~’


‘แฟนพ่อมึงสิ!! ไอ้เหี้ย!!!!!!’


หลังจากที่ทิชาออกจากห้องเชียร์รวมไปวันนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าพวกรุ่นพี่จะตามไปขอร้องยังไงก็ไม่ยอมกลับ และผมก็ถอนตัวจากการประกวดเดือนคณะไม่ได้แล้วด้วย.... ก็ยอมรับว่าที่ทำลงไปน่ะสมควรถูกด่าแล้ว แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยจริงๆ นะ มันเป็นความเข้าใจผิด แถมไม่รู้ไอ้ห่าที่ไหนเอาไปพูดว่าที่ผมแกล้งหอมแก้มทิชาเพราะตั้งใจจะเรียกคะแนนโหวตสร้างเรตติ้งให้ตัวเอง ผมพยายามหาทางอธิบายแต่ทิชาไม่เคยหยุดคุยกับผมอีกเลย แน่นอนว่าเจ้าตัวคงแค้นฝังหุ่นและมองผมในแง่ร้ายไปเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่ได้ยอมแพ้แค่นั้นแต่โอกาสกลับไม่เคยเป็นใจเลย พวกเพื่อนผู้หวังดีก็คอยมาบอกผมอยู่เรื่อยๆ ว่าให้ตัดใจดีกว่าเพราะประวัติทางบ้านทิชาไม่ค่อยดีสักเท่าไร ชนิดที่แค่เอาชื่อ-นามสกุลไปเสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอข่าวฉาวเป็นกระตั้ก.... ถามว่าผมสนใจข่าวของพ่อแม่ทิชาไหม ผมก็สนใจแหละ แต่เป็นในแง่ที่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตทิชาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ต้องเจ็บปวดแค่ไหนที่ถูกพ่อแท้ๆ กับญาติร่วมสายเลือดปฏิเสธไม่ให้เหยียบเข้าบ้าน เพราะมันคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวไม่ยอมเปิดใจรับผม

รู้สึกตัวอีกที ผมก็เฝ้ามองตามแผ่นหลังบอบบางที่เหมือนจะเปราะหักได้ตลอดเวลาไปทุกที่ในมหาวิทยาลัย.... ทิชาชอบดื่มชามะนาวยี่ห้อสีเหลือง ชอบข้าวมันไก่เนื้อน่องไม่เอาหนัง ข้าวกะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก ก๋วยเตี๋ยวอะไรก็ได้ที่ไม่ใส่เครื่องใน ชอบชาเขียวปั่นหวานน้อย เค้กช็อกโกแล็ตแล้วก็ผลไม้ด้วย

ผมรู้หมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสซื้อให้หรือนั่งกินข้าวพร้อมกันสักครั้ง ฝากของขวัญหรืออะไรไปให้ผ่านทางบีบี๋ก็ไม่เคยถึงมือเจ้าตัว ครั้งแรกที่ทิชายอมรับของจากผมก็ตอนที่บุกไปหาถึงบ้านหลังคืนชิงเกียร์ที่เบอร์ลิคนั่นแหละ

ก่อนจะเป็นไอ้เฮียโรม หัวใจของทิชาก็เหมือนจะเคยอยู่ในมือของคนหลายๆ คน แล้วไอ้ชาติหมาพวกนั้นก็ฝากรอยแผลเอาไว้ให้นางฟ้าอย่างเจ็บแสบ

ขนาดผมยังมองว่าทิชาสวย คนอื่นมันก็ต้องเห็นเหมือนกัน.... เพราะความสวยนี่ล่ะทั้งที่ทำให้มีคนเข้ามาจีบเยอะมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีช่วงว่างเลย แต่ทิชาก็เปลี่ยนแฟนบ่อยโดยที่ผมไม่รู้สาเหตุ มีแค่ได้ยินผ่านๆ จากพวกผู้หญิงว่าทิชาไปเป็นมือที่สามคู่นั้นคู่นี้ แย่งแฟนคนอื่นเขาไปทั่ว แค่ปีหนึ่งเทอมสอง ชื่อทิชา ทิชนันท์ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย.... แล้วก็คงมีเพียงผมคนเดียวที่เชื่อว่าทิชาไม่ใช่คนผิด ไอ้เวรพวกนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้ามาจีบก่อน ที่กล้าพูดปกป้องเต็มปากเต็มคำก็เพราะผมเห็นมากับตา ผมเฝ้ามองดวงดาวแสนสวยของผมมาตลอด

ได้แต่มอง หากกลับแตะต้องสัมผัสไม่ได้

ไม่ต่างจากยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดล็อคแน่นหนา แต่ดันเห็นคนอื่นถือกุญแจไขเปิดเข้าไปข้างในแล้วก็กลับออกมาคนแล้วคนเล่าโดยที่กุญแจดอกนั้นไม่เคยถูกส่งมาถึงมือผมสักที

บางทีผมก็ปลอบใจตัวเองว่าได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว อย่างน้อยก็ยังมองเห็น ยังได้ยินเสียง ได้รับรู้ว่าทิชายังคงอยู่ดีมีสุข ที่สำคัญก็คือตอนนี้ทิชาอุตส่าห์นับผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งแล้วนะ.... ถึงแม้ใจจริงผมจะยังแอบหวังอยากจะให้ความสัมพันธ์ไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็อย่างที่มีคนพูดเอาไว้ว่าความรักไม่ใช่เครื่องตอบแทนความดี ต่อให้ผมคิดว่าตัวเองรักทิชามากกว่าใคร รักมานานกว่าใคร มันก็ไม่ได้หมายความว่าทิชาจะต้องรักผมตอบก็เถอะ


ผมอยากมีตัวตนในสายตาของทิชา

อยากให้ทิชารักผมเหมือนอย่างที่มันรักเฮียโรม

ผมอิจฉา.... อยากให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมันหายไปแม่งให้หมด เหลือแค่ผมคนเดียวที่ทิชาสามารถเรียกหาและนึกถึง มีแค่ผมเท่านั้นที่กอดมันได้ ผมสัญญาเลยว่าจะทะนุถนอมหัวใจดวงนี้อย่างดี จะไม่ให้มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว


ถ้าได้อย่างที่หวังล่ะก็ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ ผมก็ยอมได้หมดทั้งนั้น....




“ทำไมไม่เปิดเครื่องเนี่ย..............”

คนตัวเล็กบ่นเสียงงุ้งงิ้งระหว่างที่เราลงลิฟท์มาชั้นลานจอดรถของสถานีโทรทัศน์ด้วยกัน เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปมกลางหน้าผาก ปลายนิ้วก็ยังคงเพียรพยายามกดหน้าจอมือถือโทรหาใครบางคน.... ก็คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นแหละ คนที่ทำให้ทิชาหน้ามุ่ยงอแงเหมือนเด็กได้ก็มีอยู่แค่คนเดียว

แต่ตอนนี้คนที่อยู่กับทิชาคือผม คงไม่ผิดใช่ไหมถ้าหากผมจะขอทดเวลาบาดเจ็บต่ออีกสักชั่วโมง สองชั่วโมง....?

“ทิชาจ๋า.....กูหิวแล้ว............” 

ผมตรงเข้าไปคลอเคลียเอาคางเกยไหล่ทิชา อ้อนเรียกร้องความสนใจประหนึ่งว่าตัวเองเป็นลูกหมาตัวใหญ่ยักษ์

“ก็มีขนมบนรถไง ที่มึงซื้อมาเมื่อตอนกลางวันอะ” 

คนรักแมวดันหัวผมออกห่างเป็นเชิงว่าอย่ามาอ้อนเสียให้ยาก

“ไม่เอาขนม กูอยากกินข้าว~”

ผมยังไม่ยอมละความพยายาม คล้ายๆ ว่าพอจะจับจุดได้ว่าทิชาจะใจอ่อนง่ายกับคนที่คุยดีด้วย ความได้คืบจะเอาศอกก็เลยกำเริบเสิบสานออกมาได้เต็มที่ 

“อยากกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ข้นตรงท่าเรือหลังมอ มึงไปกินเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

“อะไร.... อยู่ดีๆ ก็กินข้าวคนเดียวไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น”  ร่างบางยู่ปากใส่ผมก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ  “กูนัดคนที่มึงก็รู้ว่าใครเอาไว้แล้ว มึงกลับไปหาของกินแถวคอนโดฯ ก็แล้วกัน”

“ฮึ.......!” 

ผมเบะปากบ้าง ถึงจะทำแล้วหาความน่ารักไม่ได้เหมือนเวลาคนตรงหน้าทำก็เหอะ แต่ยังไงก็ต้องให้ทิชารู้ให้ได้ว่าผมก็งอนเก่งไม่แพ้มันหรอก

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นได้ไหม?”

“กูทำอะไรล่ะ ไม่ได้ทำสักหน่อย”

“ก็มึงทำหน้าเหมือนหมาหงอยอยู่นี่ไง”  ทิชาว่าผมพลางจิ้มนิ้วลงกลางหน้าผากผมอย่างหมั่นไส้เต็มทน  “ทำแล้วไม่น่ารักก็อย่าพยายามเลย พอเหอะ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูเหมือนหมาหงอย เคยเลี้ยงหมาเหรอ?” 

พูดจบก็สะบัดหน้าหนีคนใจร้าย.... ใช่สิ ผมมันไม่น่ารัก ทิชาก็เลยไม่รัก หอมแก้มก็ไม่ได้ ขอกอดนิดเดียวก็ไม่ให้ แค่ให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนสักชั่วโมงยังไม่ได้เลย.... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพวกตัวสำรองนั่งริมสนามก็คราวนี้ ลูกฟุตบอลกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ตรงหน้าแต่ยื่นเท้าเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้เพราะตัวจริงยังไม่บาดเจ็บหรือโดนกรรมการไสหัวไล่ออกมา

“ขี้งอนอยู่ได้ ผู้ชายจริงเปล่าวะเนี่ย” 

โห ได้ยินแบบนี้ผมแทบจะถอดกางเกงโชว์ มั่นใจด้วยว่าน้องแดนน้อยจะต้องมาดแมนแฮนซั่มสมชายชาตรีกว่าทิชาน้อยอย่างแน่นอน ถ้าไม่ได้มือเล็กที่แสนจะนุ่มนิ่มรั้งต้นแขนผมเอาไว้ รายการท้าพิสูจน์คงได้ออนแอร์สดตรงลานจอดรถช่องเอ็มแหงแซะ 

“จะกินก็รีบๆ ไปกิน เดี๋ยวกูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็ได้.... แต่ห้ามช้านะ กูนัดคนที่มึงก็รู้ว่าใครเอาไว้”

“โอเคร้~~”

ผมชูมือขึ้นทำนิ้วเป็นวงกลมก่อนจะหยิบรีโมทกุญแจรถออกจากกระเป๋าเดินนำหน้าทิชาไปยังรถคัมรี่ซึ่งจอดอยู่ตรงช่องพิเศษสำหรับนักแสดง (ต้องขอบพระคุณแม่อิ๋วมา ณ ที่นี้ ที่ช่วยให้ผมเหนื่อยน้อยลงเยอะ) แต่แล้ว ร่างเล็กกระตุกชายเสื้อผมเรียกให้หยุดเดิน พลางบุ้ยหน้าไปยังใครบางคนซึ่งยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ

คนๆ นั้นก็คือพี่ปาย เขามองมาทางผมกับทิชาด้วยสีหน้าเจ็บปวดระคนผิดหวัง แต่จะให้เข้าไปปลอบก็ใช่เรื่อง และผมก็บอกเขาชัดเจนแล้วด้วยว่าคนที่ผมรักคือทิชา.... ผมจะไม่เปลี่ยนใจ ถ้าเขารับความจริงข้อนี้ไม่ได้ก็สามารถตัดใจไปจากผมได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ทำเอง ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด

“มึง.... พี่ปายเขาอยากคุยกับมึงหรือเปล่า?”  ทิชาถามอย่างไม่แน่ใจ

“คุยอะไรล่ะ?”  ผมยักไหล่เป็นเชิงไม่ยี่หระ มือก็กดปุ่มปลดล็อครถยนต์แล้วเปิดประตูให้ทิชาเข้าไปนั่งก่อน  “ถ้าเขามีเรื่องอยากคุยก็คงเดินเข้ามาหากูเองแหละ”

“คงไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าคุยกับมึงเพราะกูนะ” 

ร่างบางยังคงกังวลกับสายตาเศร้าๆ ของพี่ปาย ไม่ยอมเข้าไปในรถจนกว่าจะได้ข้อสรุปแน่นอนว่าตัวเองใช่ต้นเหตุที่ทำให้คนอายุมากกว่าต้องมองตามผมตาละห้อยทั้งๆ ที่สนิทสนมกันถึงในระดับหนึ่งหรือไม่ 

“ก็ทีแรกมึงสนิทกับเขา ใครๆ ก็บอกว่ามึงกับพี่ปาย.....เอ่อ.......คุยๆ กันอยู่........แล้ววันนี้มึงกับกูก็อยู่ด้วยกันตลอด แทบไม่ได้คุยกับเขาเลย..............”

“คิดมากน่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

ผมรู้ว่ามันฟังดูใจร้ายที่พูดไปแบบนั้น แต่อย่างที่บอกว่าเวลาที่ผมจะได้อยู่กับทิชามันสุดแสนจะน้อยนิด และผมก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ ไปกับคนอื่น.... ยังไงซะ ทิชาก็คือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม สำคัญอย่างที่ไม่มีใครเข้ามาแทนที่หรือเทียบเท่าได้ แม้กระทั่งตัวพี่ปายเองก็ตาม

“จะดีเหรอวะ?”

“เอาตามนั้นแหละ มึงสนใจแค่กูคนเดียวก็พอแล้ว”



Rrrrr Rrrrr



โทรศัพท์ผมดังในตอนที่ทิชาขยับปากจะพูดต่อ ผมจุ๊ปากบอกให้เขาเงียบก่อนเพราะชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอคือแม่บังเกิดเกล้าสุดที่รักของผมเอง ปกติผมกับแม่ไม่ค่อยได้โทรคุยกันบ่อยสักเท่าไร ส่วนมากจะส่งไลน์ในกรุ๊ปครอบครัวมากกว่า ลองว่าโทรมาเวลานี้คงต้องมีเรื่องด่วนอะไรบางอย่างแน่นอน

“ว่าไงครับ มี้”

(น้องแดนอยู่ไหนคะลูก.... มี้โทรหาตั้งหลายรอบแล้วนะ)

“ผมมีเวิร์คช็อปการแสดงครับ เพิ่งเลิกเมื่อกี้เอง” 

ลางสังหรณ์แปลกๆ ทำให้หัวคิ้วของผมต้องขมวดเข้าหากัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่ามี้โทรหาผมหลายรอบแล้ว เพราะตั้งแต่ออกมา ผมก็ยังไม่ได้หยิบมือถือมาเช็คดูมิสคอลเลย 

“มี้มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมเสียงฟังดูไม่ค่อยดีเลย?”

(บ้านแปะใหญ่โทรมาบอกว่าเฮียโรมโดนยิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล)

“อะไรนะครับ??”

ผมย้อนถามเสียงสูง ไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ สงสัยว่าสัญญาณจะแทรกจนทำให้ผมฟังผิดไป แต่มี้ก็ยังย้ำคำเดิมกลับมาพร้อมรายละเอียด

(เฮียโรม ลูกชายแปะใหญ่โดนใครก็ไม่รู้ยิงเอา มีคนพาส่งโรงพยาบาลแต่ยังไม่รู้ว่าอาการเป็นยังไง.... บ้านแปะใหญ่ออกไปสนามบินกันตั้งแต่ตอนทุ่มนึงแล้ว เห็นว่าได้ไฟลท์ดึกสุดไปกรุงเทพ กว่าจะถึงโน่นก็คงเที่ยงคืน ตีหนึ่งเลย)

“.......................”

ผมเงียบไปเหมือมอมก้อนหินไว้ในปาก ท่ามกลางความช็อค สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ประคองโทรศัพท์เอาไว้ในมือพลางเหลือบมองทิชาซึ่งรอผมคุยกับมี้ให้จบเพื่อที่เราจะได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างที่ตั้งใจ

แต่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ใครมันจะไปมีอารมณ์อยากกิน?

(เห็นว่ากู้ภัยเขาพาเฮียโรมไปส่งโรงพยาบาลเอกชนตรงสุขุมวิท49 มี้ฝากน้องแดนเข้าไปดูเฮียเขาหน่อยนะลูก รอจนกว่าพวกบ้านอาแปะใหญ่จะไปถึง.... ได้เรื่องยังไงโทรมาบอกมี้ด้วย ทางนี้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนที่บ้านเราขวัญเสียกันไปหมด ไม่มีใครรู้เลยว่าตกลงเฮียโรมเป็นอะไรหนักหรือเปล่า)

“ได้ครับ มี้.... ผมจะรีบไปนะ”

หัวใจผมเต้นแรงมากในตอนที่กดวางสาย แรงเสียจนน่ากลัวว่าตัวเองจะเข่าอ่อนร่วงลงไปตรงนี้เพราะความตกใจ เนื้อตัวเย็นเฉียบจนรู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจนเปียกแผ่นหลัง.... ถึงจะเคยแอบคิดว่าถ้าเฮียโรมยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับเบอร์ลิคก็คงไม่แคล้วโดนลูกหลงเข้าสักวัน แต่อย่างมากก็คงแค่มีเรื่องชกต่อยยกพวกกระทืบกันเวลาเมา ไม่ได้คิดเลยว่าจะหนักหนาสาหัสถึงขั้นถูกยิง

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทิชาเข้าใจว่าผมคุยธุระกับแม่ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ถามหรอกว่ามีเรื่องอะไร ผมคงต้องเป็นคนบอกมันเอง.... แต่ผมจะบอกเรื่องเฮียโรมกับทิชาได้ยังไง เมื่อกี้มันยังยิ้มแย้มหัวเราะเล่นกับผมอยู่เลย ถ้าผมบอกข่าวร้ายนั่นออกไปก็ไม่ต่างจากยื่นปืนให้ผมแล้วสั่งให้ยิงทิชาด้วยอีกคน

ทำไมคนที่รับบทผู้ร้ายถึงต้องเป็นผมทุกทีเลยวะ....?



“ไปกันได้หรือยังครับ คุณแดน?”

ทิชาเอ่ยถามด้วยความที่ผมยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่ยอมขยับทั้งๆ ที่เพิ่งจะวอแวขอให้มันไปกินข้าวเป็นเพื่อน ใจหนึ่งก็เกิดไอเดียชั่วๆ ขึ้นมาว่าผมไม่ควรจะบอกอะไรทิชาทั้งนั้น แค่เอามันไปปล่อยไว้ห้องเฮียโรมก็พอ รอให้มันรู้เรื่องนี้เองจากใครก็ได้ จากไหนก็ช่างที่ไม่ใช่ไอ้แดนนรกคนนี้

หากพอคิดว่าทิชาจะต้องนั่งรอคนที่ไม่มีทางกลับมาหาตลอดทั้งคืน เพื่อที่จะได้รู้ทีหลังว่าเฮียโรมอาจจะจากมันไปตลอดกาล ผมก็เสือกทำไม่ลง.......

ผมคว้าร่างผอมบางมากอดเอาไว้แน่น บังคับให้ใบหน้าสวยซุกลงบนอกกว้าง แน่นอนว่าคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรจะต้องดิ้นขลุกขลักขัดขืน ด่ากราดเพราะเข้าใจว่าผมกำลังหาเรื่องลวนลามมันในที่สาธารณะเหมือนตอนที่ขโมยหอมแก้มต่อหน้าคนอีกครึ่งมหาวิทยาลัย

“ไอ้เหี้ยแดน อะไรของมึงอีกเนี่ย.... ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”

“ทิชา.............” 

ผมออกแรงกอดให้มากขึ้น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องโอ๊ยเมื่อความอึดอัดเริ่มจะกลายเป็นเจ็บ แต่มันคงเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังจะออกจากปากผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า 

“มึงสัญญากับกูก่อนนะว่าจะไม่โวยวาย......จะไม่ตกใจ........จะไม่ร้องไห้ด้วย.............”

“ไม่เอา กูไม่เล่นนะ!”

“สัญญาก่อนสิ ไม่งั้นกูก็ปล่อยมึงไม่ได้”

“แดน........มึงทำกูกลัว...........”

น้ำเสียงผมแย่มาก พลอยทำให้ทิชาเครียดตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผมถ่ายทอดเข้าไปสู่การรับรู้ของทิชาโดยอัตโนมัติ ร่างเล็กหยุดดิ้นแล้วยื่นนิ่งให้ผมกอดนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น.... ข้างในลำคอแห้งผากยิ่งว่าถังทราย แห้งจนแทบกลืนน้ำลายตัวเองไม่ลงในขณะที่เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบสะเทือนไปถึงก้านสมอง หัวใจของเราทั้งคู่บีบรัดตัวรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันอาจหยุดเต้นไปเลยก็ได้หลังจากที่ผมพูดจบ

แต่มันคงไม่มีอะไรให้แย่มากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ....



“เฮียโรมถูกยิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล.........”


“ยังไม่รู้ว่าอาการเป็นยังไง แต่น่าจะหนักอยู่.... ที่บ้านเฮียโรมก็กำลังขึ้นเครื่องมาจากสุราษฎร์ แม่กูขอให้กูช่วยไปเฝ้าเฮียโรมจนกว่าพ่อแม่เขาจะมาถึง”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:26:03
“.......................”

“ทิชา.... มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า?”

ผมเอ่ยเรียกเมื่อคนในอ้อมกอดนิ่งสนิทไม่ไหวติง ผมรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายฟังไม่ทันหรือจับต้นชนปลายไม่ถูก ทิชาได้ยินทุกถ้อยคำที่ผมพูดเมื่อครู่อย่างครบถ้วนชัดเจน และสิ่งที่ตามมาก็คืออาการช็อคเพราะความตกใจ

“บะ........บ้าน่า...........” 

อย่าใช้คำว่าพอตั้งสติได้ถึงพูดออกมาเลย เสียงแหบแห้งของทิชาคล้ายจะกระชากวิญญาณผมให้หลุดออกจากร่าง ปลายนิ้วเรียวจิกอกเสื้อผมแรงจนแทบจะฝังเล็บลงไปในเนื้อ ประโยคคำถามอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินย้ำซ้ำวนเวียนอยู่แค่ว่าผมคือต้นเหตุของเรื่องเหลวไหลทั้งหมด 

“มึงล้อกูเล่นใช่ไหม แดน........มึงแกล้งกูอีกแล้วใช่ไหม.........!?”

ผมได้แต่ส่ายหน้าทั้งที่ยังกอดร่างผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้ หากก็ไม่อาจหยุดมรสุมน้ำตาไม่ให้ไหลบ่าท่วมท้นไม่ได้อีกแล้ว

“มึงแม่งเลวอะ.......กูยอมให้มึงขนาดนี้แล้วยังจะแกล้งกูอีก...........”

“.......ฮึก.........กล้าเอาเรื่องเฮียโรมมาล้อเล่นกับกูได้ยังไง..........อึก........กูเกลียดมึง......กูไม่เป็นเพื่อนกับมึงแล้ว........ปล่อยกูเลยนะ.......ฮือ.............”

เสียงสะอื้นของทิชากรีดลึกลงกลางหัวใจผม ทั้งเจ็บทั้งทรมานเมื่อต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ผมรู้ว่าความเจ็บปวดกล้ำกลืนในขณะนี้คงเทียบกับสิ่งที่ทิชากำลังเผชิญไม่ได้เลยสักนิด ผมถึงได้ปล่อยให้คนตัวเล็กระบายความรู้สึกโกรธเกรี้ยวใส่ผมได้เต็มที่.... ผมยินดีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทิชา ถ้าไม่ให้เป็นเพื่อน ไม่ให้เป็นคนรัก จะให้เป็นถังขยะ เป็นกระสอบทรายให้มันทุบจนน่วมยังไงก็ได้ ขอแค่มันยังอยู่ตรงนี้ อย่าหนีผมไปไหนอีกก็พอ

“กูต้องไปหาพี่โรม.........ฮึก...........กูต้องไปหาเขา...........” 

ร่างบางแทบพยุงตัวเองไม่อยู่ เกือบจะทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นคอนกรีตอยู่แล้วถ้าไม่ได้ผมกอดประคองเอาไว้ น้ำตาอุ่นไหลเป็นสายยาวจนเสื้อนิสิตผมชุ่มแฉะ เช่นเดียวกับความเสียใจและหวาดกลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไปซึ่งพร่างพรูออกมายิ่งกว่าทำนบเขื่อนแตก 

“พี่โรม........ฮือ.......พี่โรม...............”

“กูกำลังจะพามึงไปอยู่นี่ไง แต่มึงตั้งสติก่อนนะ.... อย่าร้องไห้แบบนี้”

“เขาจะไม่ตายใช่ไหม......ฮึก.....แดน.........พี่โรมจะไม่ทิ้งกูไปใช่ไหม........” 

ทิชายังคงสะอื้นถามในสิ่งที่ผมไม่กล้าตอบ เอาจริงๆ นะ ผมโคตรอยากโกหกเพื่อให้มันหยุดร้องไห้ โกหกไม่กี่คำให้ทิชาสบายใจ แต่พอนึกถึงจุดที่คำโกหกไม่อาจกลายเป็นความจริง ดวงดาวแสนสวยก็คงจะหายลับตามญาติผู้พี่ผมไปตลอดกาล 

“ไอ้แดน.......มึงบอกกูสิ.......ฮือ.......พี่โรมจะไม่เป็นอะไร.........เขารับปากกูแล้วว่าจะกลับไปรอที่ห้อง.......ฮึก.......เขาจะไม่โกหกกูใช่หรือเปล่า..........”

“กูไม่รู้ว่ะ........กูขอโทษ...............”

ผมแม่งเหี้ยจริงๆ ในเวลาอย่างนี้ก็ยังนึกถึงตัวเองก่อน

“ไม่มีพี่โรม กูก็อยู่ไม่ได้.......แดน.........กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา..........ฮือ.............”

ขอโทษนะ แต่ถ้าไม่มีทิชา ผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน

“แดน ทิชา.... มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”

พี่ปายกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามจากอีกฟากของลานจอดรถมาหาผมกับทิชาซึ่งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกว่าเขาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่แค่อยากเสือกเพื่อที่จะได้เอาไปพูดต่อให้สนุกปาก หากกระนั้น ผมก็ไม่ไว้ใจพี่ปายมากพอที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

“ไป ทิชา.... ขึ้นรถกันนะ”

สิ่งที่ผมทำได้ในเวลานี้ก็มีแค่ประคองทิชาให้เข้าไปนั่งในรถ คาดเบลท์ให้แล้วปิดประตูก่อนจะพาตัวเองไปนั่งฝั่งคนขับเพื่อสตาร์ทรถ มันทั้งเหี้ยและหยาบคายสิ้นดีที่ทำเป็นไม่ได้ยินที่พี่ปายถามแล้วรีบพาทิชาไปโรงพยาบาล

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นผ่านกระจกมองหลังก่อนที่รถจะแล่นออกมาจากลานจอดชั้นใต้ดินก็คือแววตาเศร้าๆ ของพี่ปาย ทว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะหยุดรถลงไปอธิบายเหตุการณ์.... ในเวลานี้ คนที่ผมแคร์มากที่สุดก็คือทิชา เพราะฉะนั้น ผมจึงเลือกที่จะปกป้องหัวใจทิชาเอาไว้ก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว ถ้ารับไม่ได้ก็สามารถไปจากตรงนี้ได้ทุกเมื่อ


.

.

.

“คนเจ็บถูกยิงด้วยปืนปากกา หัวกระสุนจุดสามสอง.... ยิงเข้าไหล่ซ้ายแต่โชคดีที่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่หรืออวัยวะสำคัญ หมอผ่าเอากระสุนที่ฝังข้างในออกให้แล้ว หลังจากนี้ก็คงต้องพักฟื้นอย่างต่ำสอง-สามสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายคนเจ็บด้วย ถ้าแข็งแรงก็อาจจะหายเร็วกว่าที่หมอประเมินนะครับ”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ”

ผมยกมือไหว้คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งอุตส่าห์อยู่รออธิบายอาการของเฮียโรมให้ฟังทั้งที่ผ่าตัดเสร็จไปหลายชั่วโมงก่อนหน้า เท่าที่ฟังดูก็ค่อยโล่งอกที่ญาติผู้พี่ผมไม่ได้เจ็บโคม่าหนักหนาสาหัสมากอย่างที่กังวล ถึงแม้ไอ้การโดนยิงจนกระสุนฝังในจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยก็เถอะ

ตอนนี้เฮียโรมถูกย้ายจากห้องผ่าตัดมาพักฟื้นอยู่ห้องพิเศษ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง อาแปะใหญ่กับอาอึ้มและน้องๆ เพิ่งลงเครื่องที่สนามบินดอนเมืองกำลังหาแท็กซี่มาโรงพยาบาล ผมจึงเป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ให้ก่อน รวมถึงคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงด้วย แน่นอนว่าทางบ้านเฮียโรมจะต้องเอาเรื่องคนทำให้ถึงที่สุด ผมก็ได้แต่บอกตำรวจไปว่าต้องการดำเนินคดี ต่อให้ฝ่ายคู่กรณีจะหมดอนาคตติดคุกตายห่าไปเลยก็ช่างแม่ง

ผิดจากที่ผมคาดเอาไว้ก็คือ สาเหตุของเรื่องคราวนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับเบอร์ลิคเลย.... คนที่ยิงเฮียโรมเป็นแค่เด็กนักเรียนปวช. จากสถาบันแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อลือชาในด้านยกพวกตีกัน แล้วที่กรูกันลงมาจากรถเมล์ยิงพี่ชายผมก็เพราะเข้าใจว่าเฮียโรมเป็นคู่อริเพราะเฮียแกใส่เสื้อช็อปวิศวะฯ เดินหิ้วของโต๋เต๋อยู่ริมถนน เรียกได้ว่าโดนลูกหลงและถึงคราวซวยอย่างแท้จริง แต่ก็เอาเหอะ ไม่เจ็บมากก็ดีแล้ว ส่วนไอ้พวกเหี้ยยิงคนไม่ดูตาม้าตาเรือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณตำรวจจับมายัดใส่ตารางให้ครบทุกตัวก็แล้วกัน


“ทิชา.... มึงมากินข้าวหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอานะ”

“กูยังไม่หิว มึงกินก่อนเลย” 

ทิชาตอบเสียงแห้งขณะที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเฮียโรมไม่ยอมไปไหน มันหยุดร้องสะอื้นฟูมฟายแล้วแต่นัยน์ตาแดงก่ำก็ยังมีน้ำเอ่อคลอให้ต้องปาดทิ้งเป็นระยะ 

“กูจะรอจนกว่าพี่โรมจะฟื้น.......ถ้าไม่เห็นเขาตื่นขึ้นมากับตา กูก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น...........”

“เฮียเพิ่งผ่าตัดเสร็จ กว่าจะฟื้นก็คงพรุ่งนี้แหละมั้ง”

“ที่พี่โรมเจ็บก็เพราะกูคนเดียว........ถ้ากูไม่ทำตัวงี่เง่าใส่เขา เขาก็คงไม่ต้องมาโดนอะไรแบบนี้...........”

เรื่องของเฮียโรมมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าและอยากให้เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้ทิชาโทษตัวเองแต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงคิดอย่างนั้น.... เมื่อคืนเฮียนอนค้างบ้านทิชา ทั้งคู่ตื่นสายเลยทำให้เฮียโรมไม่ได้เอารถไปมหาลัยด้วย แล้วที่แวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตก็เพราะจะซื้อของกินให้ทิชาตามที่รับปากกันไว้ เจ้าตัวก็คงคิดว่าอย่างน้อยถ้าเฮียโรมมีรถขับก็คงไม่ต้องเดินไปทางถนนใหญ่ แล้วก็คงไม่ถูกยิงจนต้องมานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่แบบนี้

ในเมื่อทิชาไม่ยอมกินข้าว ผมเองก็ไม่กล้าฝืนบังคับมันก่อนจะย้ายไปนั่งบนโซฟาเฝ้ามองดูมันแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเฮียโรม.... มือเล็กที่ผมรู้ว่าแสนจะนุ่มนิ่มและอบอุ่นกุมมือคนเจ็บเอาไว้ ผมก็อิจฉาแหละ หากก็รู้สึกเห็นภาพชัดดีว่าทิชารักเฮียโรมมากแค่ไหน มันคงไม่มีโอกาสและที่ว่างมากพอที่จะให้ไอ้แดนนรกอย่างผมหรือใครหน้าไหนเข้าไปแทรกได้อีกแล้ว

เรานั่งกันเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรอยู่อีกประมาณสิบห้านาที ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างร้อนรนกระวนกระวาย

“หวัดดีครับ แปะใหญ่ อาอึ้ม”

ผมเอ่ยขึ้นพลางยกมือไหว้ลุงกับป้าสะใภ้แล้วลุกขึ้นเปิดทางให้คนในครอบครัวเฮียโรมเข้ามา ทิชาทำสีหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยจากข้างเตียงมายืนหลบข้างหลังผม ผมแอบกระซิบบอกมันว่านี่คือพ่อแม่กับน้องสาวน้องชายเฮียโรม มันก็พยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่กล้ายื่นหน้ายื่นตาออกมาให้คนอื่นเห็น

“หมอว่ายังไงบ้าง แดน.... พี่เขาไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

“เฮียไม่เป็นอะไรมากแล้วครับ พ้นขีดอันตรายแล้ว หมอบอกว่ากระสุนฝังในแต่ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่กับอวัยวะสำคัญ ผ่าตัดเอาออกเรียบร้อย ก็รอแค่แผลหายแล้วก็กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้”

“แล้วใครเป็นคนทำ.... ปกติโรมมันก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครนี่?”   

“โดนลูกหลงพวกช่างกลตีกันน่ะครับ แปะใหญ่”

ผมตอบคำถามผู้ใหญ่ไปตามที่ฟังมาจากหมอและตำรวจ แต่รายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นที่ป้าสะใภ้อยากรู้ ผมก็จนปัญญาที่จะตอบ

“แล้วรถเฮียโรมอยู่ไหน ทำไมถึงต้องไปเดินริมถนนให้โดนกุ๊ยพวกนั้นยิงเอาง่ายๆ อย่างนี้เนี่ย?”

“เอ่อ..........”

ใครจะไปกล้าพูดว่ารถเฮียโรมจอดอยู่บ้านทิชา ขืนพูดออกไปเวลานี้ ทิชาคงได้โดนอาอึ้มหมายหัวว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต้องเกือบเอาชีวิตไม่รอดแน่ ทิชาเองก็คงกลัวน้ำเสียงแม่เฮียโรมอยู่ไม่น้อย สังเกตได้จากแรงบีบเกร็งจากฝ่ามือที่ขยำชายเสื้อผมจากทางด้านหลัง


‘เชี่ย........เจ็บ............’


“ป๊าคะ ม๊าคะ เฮียโรมฟื้นแล้ว!”

หนึ่งในสองสาวฝาแฝดร้องขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนที่ทุกคนในบ้านจะกรูกันเข้าไปล้อมรอบเตียงคนเจ็บ ไหนทีแรกคุณหมอบอกผมว่ากว่าเฮียโรมจะฟื้นจากยาสลบที่ใช้ตอนผ่าตัดเอากระสุนออกก็น่าจะราวพรุ่งนี้ตอนสายๆ สงสัยว่าเสียงคุยกันจะดังเกินไปจนทำให้หลับต่อไม่ลง สู้ตื่นขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องแล้วค่อยนอนต่อรวดเดียวอะไรแบบนี้ก็เป็นได้

“โรม ป๊ากับม๊าอยู่นี่แล้วนะลูก.... ทำใจดีๆ ไว้ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

“เฮียขา พวกหนูก็มากันครบเลยนะ ตื่นขึ้นมาคุยกันหน่อยเร็ว”

“ยัยบ้า เฮียเพิ่งผ่าตัดมานะ คนเจ็บแทบตายคงจะมีอารมณ์คุยกับพวกเราหรอก”

“ฉันหมายถึงว่าให้เฮียฟื้นไวๆ จะคุยหรือไม่คุยก็แค่คำสร้อยย่ะ!”

“พวกเจ้อย่าเพิ่งเถียงกันได้ไหม หนวกหูเฮียเขาน่า!”

สมกับเป็นบ้านแปะใหญ่ เจอกันทีไรก็มีอันต้องได้ยินเสียงสองสาวคู่แฝดคนละฝาอย่างมิลานกับเวนิส พ่วงด้วยน้องชายคนเล็ก เจนัว จ้อกแจ้กจอแจรบกวนโสตประสาทตลอด แต่ไม่คิดว่าขนาดในโรงพยาบาลก็ยังไม่ละเว้นจนคนเป็นพ่อแม่ต้องหันมาดุให้เงียบไม่งั้นจะถูกจับโยนออกนอกห้อง

เฮียโรมขยับตัวเล็กน้อยพลางหยีตาสู้แสงนีออนบนเพดาน เป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ลุงกับป้าสะใภ้และบรรดาน้องๆ ยังคงเฝ้าล้อมอยู่รอบเตียงเป็นกำลังใจให้คนเจ็บฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างราบรื่น และก็เป็นไปตามที่พวกเราทุกคนช่วยกันสวดมนต์ขอพรให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง.... ในที่สุด เฮียโรมก็ลืมตาขึ้นมาให้คนทั้งบ้าน รวมถึงผมซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องโล่งใจไปอีกหลายๆ เปราะ

แต่ทว่า ชื่อแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งแตกนั้นกลับไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดหรือคนในครอบครัวเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น


‘ทิชา............’



“หือ.... ทิชาเหรอ?”

“ทิชา? ใครน่ะ??”

ปริศนาคำทายอะไรเอ่ยทำเอาสมาชิกบ้านอนุวัฒน์วงษ์มองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่ทุกสายตาจะหันมามองร่างเล็กซึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลังผมแทบจะเป็นตาเดียวกัน ผมคิดว่าทิชาจะคงรู้สึกประหม่าขัดเขินอยู่ไม่น้อยที่ถูกครอบครัวของแฟนจับจ้องด้วยสีหน้าคล้ายกับจะถามว่า ‘คุณเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง?’

แต่ความกระอักกระอ่วนนั้นก็คงจะเอาชนะอารมณ์ดีใจที่คนรักแคล้วคลาดปลอดภัยไม่ได้ ทิชาจึงย้ายตัวเองไปอยู่ข้างเตียงคนเจ็บแล้วกุมมือเฮียโรมเอาไว้แบบเดียวกับตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามา

“พี่โรม.......เจ็บมากไหม......ฮึก..........”

น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้ทำท่าจะไหลออกมาอีกรอบ ทิชาแนบแก้มตัวเองลงกับหลังมือแฟนหนุ่ม หน่วยตาแดงช้ำมองร่างสูงซึ่งยังอ่อนแรงด้วยความรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกนี้

“ทิชา.............” 

เฮียโรมเรียกขานชื่อเดิมซ้ำอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของชื่อนี้คือคนแรกและคนเดียวที่อยู่ในห้วงสติสัมปชัญญะของเขา ทั้งที่ยังดูเบลอๆ จากฤทธิ์ยาแต่ก็ยังจำเรื่องของคนรักได้แม่นไม่มีตกหล่น

“พี่ซื้อแอปเปิ้ลให้เราแล้วจริงๆ นะ........แต่ใครแม่งเอาไปไหนแล้วก็ไม่รู้...........”

“พี่โรม........ฮึก.....พี่โรม.............”

“พี่ขอโทษ..........วันหลังจะซื้อให้ใหม่...........คนดีไม่โกรธพี่นะ..........”

ภาพที่อยู่ตรงหน้าจะว่าไปแล้วก็น่ารักและน่าประทับใจดี เฮียโรมทั้งรักแล้วก็แคร์ทิชามากขนาดนี้ก็สมควรแล้วกับที่นางฟ้าของผมเสียน้ำตาและเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปไม่รู้ตั้งเท่าไรเพื่อให้ได้เป็นคนรักกัน.... แต่สำหรับครอบครัวเฮียโรม โดยเฉพาะป้าสะใภ้ซึ่งเป็นที่รู้ๆ กันในหมู่วงศาคณาญาติว่าหวงลูกชายคนโตเสียยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่าเขาจะเห็นดีเห็นงามและมองว่าทิชาเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนอย่างที่เฮียโรมมอง

ยิ่งพอได้ยินมิลานกับเวนิสแอบซุบซิบคุยกัน ผมก็ยิ่งมั่นใจเลยว่าความรักของทั้งคู่คงไม่ได้มีอุปสรรคแค่เรื่องของบีบี๋เพียงอย่างเดียวแน่



คนที่ชื่อทิชาอะไรนั่น ไม่ใช่แฟนเฮียแดนเหรอ..... ที่บอกว่าจะเล่นซีรีส์ด้วยกันไง’

‘ฉันก็เข้าใจว่าเขาเป็นแฟนเฮียแดนมาตลอดเลย แล้วนี่มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ.... ดูรักกับเฮียโรมขนาดนี้ ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย!’

‘คงไม่ได้จับปลาสองมืออยู่ใช่ไหม?’

จะไปรู้เหรอ.... ฉันก็เห็นพร้อมๆ กับที่เธอเห็นนี่แหละ’


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:29:42
BEE-BEE's PART


“มึงรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป.... ทำแต่เรื่องเหี้ยๆ สร้างความเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน ไม่สงสารป๊ากับม๊าที่เลี้ยงมึงมาบ้างเลยเหรอ!?”

“เฮีย.... ใจเย็นๆ ก่อน ค่อยพูดค่อยจากันเถอะนะ”

“เธอก็อีกคน แบบนี้แล้วยังมีแก่ใจจะเข้าข้างมันอีก!”

“แบมไม่ได้เข้าข้าง แค่บอกให้เฮียใจเย็นๆ ไม่งั้นก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก”

พี่ชายผมซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัดรีบบึ่งรถทัวร์จากขอนแก่นมากรุงเทพเพราะคลิปอัปยศที่ได้รับเมื่อวานนี้ มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาตบหน้าผมอย่างแรงจนหัวคลอนโดยไม่สนเลยว่าแขนขาผมจะยังใส่เฝือกจากอุบัติเหตุ จากนั้นก็เริ่มต้นด่า ด่า ด่า แล้วก็ด่า ชนิดที่แม้แต่เจ้แบมก็ยังช่วยห้ามไม่ไหว หากกลับไม่ถามผมเลยสักคำว่าเจ็บปวดทรมานแค่ไหนกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

หรือแม้กระทั่งในสายตาของพี่น้องที่คลานตามกันมา ผมก็ยังเหี้ยเกินกว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากพวกเขา....?

“ดูหน้ามันสิ มีความสำนึกที่ไหน.... คงไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสินะ!”

“บี๋.... ขอโทษเฮียเขาซะ แล้วก็บอกมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คลิปที่ส่งมามันหมายความว่ายังไง? แกไปทำแบบนั้นทำไม?”

“ถ้ามันคิดจะพูดก็คงพูดไปนานแล้ว ที่เงียบอยู่นี่ก็เพราะหาข้อแก้ตัวไม่ได้มากกว่ามั้ง!”

ที่เฮียบิ๊กพูดก็ถูก ผมเงียบเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง จะให้บอกเขาว่าถูกทำร้ายเพราะสาระแนไปยืมมือเฮียรุจหวังจะเล่นงานคนอื่นก่อน ผมก็คงได้รับแต่คำถากถางสมน้ำหน้ากลับมาอยู่ดี.... สำหรับตอนนี้ ผมหวังแค่ป๊ากับม๊าจะไม่รู้ถึงความเหลวแหลกเละเทะของผมก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นก็ช่างหัวแม่งเถอะ

“บี๋ ถ้าแกเอาแต่เงียบอยู่อย่างนี้ พวกฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้นะ”

“ถึงบี๋พูดไป ก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้อยู่แล้ว..........” 

ผมพยายามข่มน้ำเสียงตัวเองให้นิ่งเข้าไว้ ทำเสมือนว่าคลิปที่ถูกส่งไปให้เฮียบิ๊กกับเจ้แบมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย วัยรุ่นสมัยนี้ก็ถ่ายคลิปมีเซ็กส์แชร์ในโซเชียลออกเยอะแยะถมไป ผมก็แค่พลาดที่เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายซาดิสม์ใจหมารสนิยมแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป ที่ห่วงก็มีแค่กลัวป๊ากับม๊าตัดออกจากกองมรดกเท่านั้นแหละ 

“เอาเป็นว่าบี๋ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน เฮียกับเจ้แค่ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้งได้ไหมล่ะ?”

“ไอ้บี๋ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ” 

เจ้แบมไม่ยอมเออออห่อหมกตามไปด้วย ถึงพี่น้องบ้านผมจะไม่ได้สนิทกันมาก รักกันปานจะกลืนกินเหมือนลูกบ้านอื่น แต่เจ้แบมก็เป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างและคอยปกป้องผมจากอารมณ์ร้อนของป๊าและเฮียมาโดยตลอด แน่นอนว่านิสัยใจคอผม พี่สาวคนนี้ย่อมต้องรู้ดีกว่าใคร 

“ยิ่งถ้าแกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ งั้นใครเป็นคนส่งคลิปแกเข้ามาในไลน์ฉันล่ะ.... แกไปมีปัญหากับใครก็พูดมา เผื่อว่าจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไม่ให้มันบานปลายไปกว่านี้”

ผมก็อยากขอความช่วยเหลืออยู่หรอกนะ แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีใครสามารถหยุดเฮียรุจได้ ถ้าเขาคิดจะล่ามโซ่ผมเอาไว้เป็นทาสรองรับความใคร่วิปริตตลอดไป ผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมให้เขาได้จนกว่าจะพอใจ.... ผมยื่นมือลงไปเล่นกับไฟ และตอนนี้ไฟก็เผาร่างผมจนไหม้ไปแล้วครึ่งตัว ที่เหลือก็คือต้องพยายามห้ามไม่ให้มันไหม้ลามไปถึงบ้านและบรรดาคนที่ผมรัก

“บี๋ขอแค่เฮียกับเจ้อย่าบอกเรื่องนี้ให้ป๊าม๊ารู้.......ขอแค่นี้ได้ไหม..........”

“ไม่ได้!”

เฮียบิ๊กตอบอย่างไร้เยื่อใย สำหรับเขาแล้ว ความผิดของผมไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านมองข้ามไป มันน่าทุเรศ น่าสมเพชแล้วก็น่าอับอายขายขี้หน้าที่ต้องมาเห็นคนในครอบครัวเดียวกันทำในสิ่งที่สังคมทั่วไปไม่ยอมรับ.... ทั้งมีอะไรกับเพศเดียวกัน ทั้งยอมให้อีกฝ่ายถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน สร้างความเสื่อมเสียอย่างที่ไม่มีทางที่พวกเขาจะให้อภัยกันได้ง่ายๆ

“เฮีย........อย่าขู่ไอ้บี๋มันสิ”  ฝ่ายพี่สาวช่วยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นเลยก็ตาม

“เฮียไม่ได้ขู่ แต่ถ้ามันไม่ยอมพูด เฮียจะให้ป๊าเป็นคนมาถามมันเอง!” 

พี่ชายคนโตยืนกรานเสียงแข็ง ผมเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าเขามีธงในใจอยู่แล้วว่าผมไปทำอะไรมา และถ้าผมไม่ยอมรับข้อกล่าวหาซึ่งเฮียรุจเป็นคนจัดฉากขึ้น เฮียบิ๊กก็คงไม่ยอมเลิกที่จะเค้นคอพร้อมกับด่าทอผมเสมือนว่าเราไม่เคยกินข้าวหม้อเดียวกันมาก่อน 

“ก็อยากรู้นักว่าที่บ้านเลี้ยงมึงให้อดอยากปากแห้งมากนักเหรอ ถึงได้ต้องทำงานอย่างว่า ไปเร่ขายตัวในผับเหมือนกะหรี่....  ถ้าอยากเป็นไซด์ไลน์มากนัก กูจะได้บอกให้ป๊าเอามึงออกจากมหาลัย ทีนี้มึงจะทำอะไรหรือไปตายห่าที่ไหน กูจะไม่ยุ่งกับไอ้น้องนอกคอกแบบมึงเลย!”

“บี๋ไม่ได้ขายตัวนะ...........” 

แต่จะให้ผมยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ มันก็เกินไป ที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็แทบจะไม่เหลือดีอยู่แล้ว

“มึงเงียบปากไปเลย คนอย่างมึงน่ะมันเชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น.... โกหกเก่งยิ่งกว่าเด็กเลี้ยงแกะ เลี้ยงเสียข้าวสุกฉิบหาย!”

ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำเอาผมต้องกลืนคำขอร้องลงคอไปให้หมด ไม่มีประโยชน์ที่จะขอความเห็นใจจากคนที่ไม่เคยเห็นผมเป็นน้อง.... ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงในรูปแบบไหน แต่รอยร้าวและอคติในใจพวกเขาซึ่งคิดว่าผมคือตัวกาลกิณีผิดพี่ผิดน้องก็คงไม่มีทางเลือนหายไป เพิ่งเข้าใจความรู้สึกไอ้ทิชาเดี๋ยวนี้ว่าเวลาถูกคนอื่นรังเกียจมองว่าเลวทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรมันเป็นแบบนี้นี่เอง

และนี่ก็คงเป็นกรรมสนองที่ผมทำไม่ดีกับมัน เห็นมันทำท่าจะรักใครชอบใครก็ตามไปแย่งเอามาเป็นของตัวเอง คบทิ้งคบขว้าง แกล้งให้ทิชายิ่งรู้สึกแย่และน้อยเนื้อต่ำใจว่าคนแบบมันคงไม่เป็นที่ต้องการของคนดีๆ

ในเวลานี้ ผมเองก็ไม่มีหน้าเหลือจะมองพวกคนดีๆ อีกแล้วล่ะ

ก็คงมีแค่คนที่เลวเสมอกันเท่านั้นที่จะรับผมได้....



ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกก่อนที่เสียงรองเท้าคอมแบทด๊อกเตอร์มาตินจะย่ำเข้ามาใกล้ ผมซึ่งนั่งอยู่บนเตียงตามลำพังสะดุ้งเฮือกขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง นอกเหนือจากความกลัว ยังมีความรู้สึกโกรธและขยะแขยงในสิ่งที่เฮียรุจทำเอาไว้กับผม.... ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากใช้ลมหายใจร่วมกัน แม้กระทั่งมองหน้าสักเพียงชั่วแวบเดียวก็ยังไม่อยากเลย

“ว่าไง น้องบีบี๋.... ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?”

ร่างสูงใหญ่วางถุงพลาสติกที่หิ้วไว้บนโต๊ะแล้วมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างผม ริมฝีปากหยักยิ้มกริ่มในตอนที่ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออกเร็วๆ เหมือนว่าเขาจะชอบใจที่ได้เห็นผมตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังและจนตรอก

“ร้องไห้ทำไมครับ? เศร้าเรื่องอะไรเหรอ?” 

น้ำเสียงที่เอ่ยถามแฝงร่องรอยของความสะใจอย่างชัดเจน ไม่มีตรงไหนเลยที่ทำให้สัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยหรือรู้สึกผิดบาปที่ทำชีวิตผมพังยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดี 

“โดนอาเฮียกับอาเจ้ดุเอาเหรอ.... ยังกลับบ้านได้อยู่ใช่ไหม หรือว่าโดนไล่ออกมานอนข้างถนนเรียบร้อยแล้ว?”

“ก็สมใจเฮียรุจแล้วไม่ใช่เหรอ..........”

เหมือนอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เหตุผลที่เฮียรุจจัดการปล่อยคลิปก็เพื่อให้ผมถูกคนที่ตัดขาดบ้านขับไล่ไสส่ง เพื่อนฝูงต่างพากันหันหลังให้ไม่มีใครอยากคบ และเขาก็ทำสำเร็จเสียด้วยเพราะในตอนนี้ผมไม่มีที่จะให้กลับไปอีกแล้ว

“ไม่เอาน่า เฮียไม่ใจร้ายปล่อยน้องบีบี๋ไปนั่งแขนหักขาเป๋แป็นขอทานข้างถนนหรอก” 

เจ้าของเบอร์ลิคขยับตัวเข้ามาโอบไหล่ข้างที่ไม่มีสายคล้องเฝือก ใบหน้าหล่อร้ายเจ้าเล่ห์แนบชิดลงมาตรงซอกคอพาลให้กระดูกสันหลังเหยียดตรงด้วยความหวาดระแวงผสมรังเกียจไม่อยากให้เขาแตะต้อง ลมหายใจเจือปนกลิ่นบุหรี่ทำเอาของเหลวในช่องท้องปั่นป่วนคลื่นเหียนจนแทบจะขย้อนตับไต้ไส้พุงออกมา 

“อยู่กับเฮียดีๆ ทำตัวว่าง่าย ไม่ดิ้นรนคิดให้ใครมาช่วยตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว”

กลีบปากสีคล้ำกดลงบนผิวแก้มไม่ทำให้รู้สึกดี หรือรู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันคือตราประทับซึ่งบ่งบอกว่าผมจะต้องกลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องของเขาเฮียรุจต่างหาก

“อีกนานแค่ไหน?”

“หืม....?”

“บี๋อยากรู้ว่าเฮียรุจจะให้บี๋อยู่ที่เบอร์ลิคอีกนานแค่ไหน.... หนึ่งปี สองปี สามปี หรือว่าสิบปี?”

ก็แค่อยากรู้ว่าจะตกนรกอีกนานแค่ไหน อีกกี่เดือนกี่ปีถึงจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นบีบี๋ที่แสนสดใสร่าเริงตามเดิม หรือว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว

“ถามเรื่องที่ยังไม่เกิดนี่มันตอบยากนะ เฮียก็ไม่ได้เป็นหมอดูเสียด้วยสิ”

ร่างหนาโคลงศีรษะเป็นเชิงไม่คิดจะให้คำตอบจริงจัง เพราะความสนุกสนานบันเทิงใจของเฮียรุจก็คือการได้เห็นผมทรมานด้วยน้ำมือเขานั่นเอง 

“ก็อาจจะหนึ่งปี สองปี สามปี หรือว่าสิบปีอย่างที่ถาม.... แต่ถ้าน้องบีบี๋ทำตัวน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย น้องบีบี๋ก็อาจจะกินดีอยู่ดีมีเงินใช้สบายไปตลอดชีวิตเลยก็ได้”

มือหนาลูบหัวผมเบาๆ ราวกับว่ารักใคร่เอ็นดูมากมายนักหนา แต่ความอ่อนโยนใจดีซึ่งไม่ต่างอะไรกับน้ำตาลที่เคลือบบนหน้าเค้กอาบยาพิษนั้นใช้หลอกผมไม่ได้หรอก.... ทันทีที่ผมเบี่ยงตัวออกหรือทำอะไรก็ตามที่เป็นการขัดใจเฮียรุจ มือข้างเดียวกันนั้นก็คงพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นจิกหัวผมได้แบบไม่ลังเล

“ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปอยู่กับเฮีย แล้วเฮียจะถือว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ถ้าบี๋ปฏิเสธล่ะ.........อึ้ก!”

ยังไม่ทันขาดคำ คอของผมก็ถูกบีบอย่างแรงพร้อมกับสายตาแข็งกร้าวซึ่งจ้องมองมาคล้ายว่าจะเข่นฆ่ากันให้ตายคามือ.... ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ ความดันลูกนัยน์ตาพุ่งสูงจนผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะปลิ้นถลนออกจากเบ้า ยิ่งพยายายมสูดอากาศเข้าปอดเพื่อยื้อสติตัวเองเอาไว้ก็ยิ่งกระอักเหมือนจะตายเสียให้ได้ ผมเจ็บ ผมทรมาน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านค่อยๆ พร่ามัวเลือนราง แต่ทว่า รอยยิ้มเยาะเย้ยแกมข่มขู่จากคนตรงหน้ากลับยังคงชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร

“น้องบี๋เคยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไหม ที่อยู่ชั้นใต้ดินห้างแถวสยามน่ะ?” 

คำถามนั้นตีคู่มากับแววตาชั่วร้าย ผมรู้สึกกลัวจนจับถึงขั้วหัวใจและรู้ได้เองเลยว่ามันไม่ใช่เพียงคำขู่ เฮียรุจพูดจริงทำจริง แบบเดียวกับที่เขาจงใจปล่อยคลิปพังชีวิตและอนาคตผมภายในไม่กี่วินาทีนั่นแหละ  “ปะการังกับพวกหินใต้ทะเลก็สวยดีนะ ปลานีโม่ก็น่ารัก.... อยากไปนอนพักผ่อนสบายๆ อยู่แถวนั้นไหมล่ะ เลือกได้เลยว่าอยากจะอยู่ฝั่งอ่าวไทยหรืออันดามัน หรือถ้าเป็นห่วงกลัวว่าคนที่บ้านจะเหงา จะให้เฮียส่งปาป๊า หม่าม้า อาเฮีย อาเจ้ ไปนอนเล่นเป็นเพื่อนน้องบีบี๋ก็ได้นะ”

“เฮียรุจ......อุก.......อย่ายุ่งกับคนที่บ้านบี๋..........!”

ผมพยายามเค้นเสียงออกไปอย่างยากลำบาก ความคับแค้นใจมีมากพอๆ กันกับความอึดอัดจากแรงบีบซึ่งกดหลอดลมจนบี้แบน หยาดน้ำคลอหน่วยตาเมื่อคิดไปว่าคนในครอบครัวจะต้องพลอยเดือดร้อนจากการกระทำของผมเอง แต่แล้ว อยู่ดีๆ เฮียรุจก็ปล่อยมือออกพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ในขณะที่ผมไอโขลกสำลักน้ำหูน้ำตาไหลรอดตายหวุดหวิด

“ล้อเล่นน่า” 

ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันพลางเอื้อมมือไปดึงทิชชู่บนโต๊ะข้างเตียงมาเช็ดหน้าให้ผม ก่อนจะจับใบหน้าให้หันไปสบตาเขา 

“เฮียรู้ว่าน้องบีบี๋ฉลาดจะตาย คงไม่โง่ปฏิเสธเฮียอีกเป็นครั้งที่สองหรอกเนอะ”

ไม่มีโอกาสได้อ้าปาก จี้รูปเฟืองสีทองแดงที่แสนคุ้นตาก็ถูกนำมาคล้องรอบคอผมอีกครั้งเหมือนสวมปลอกคอให้หมาให้แมว เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำไม่มีอะไรได้ผลเลยสักอย่าง ทั้งกระโดดลงมาจากหน้าต่างจนบาดเจ็บ ทั้งสร้างเรื่องโกหกว่าความจำเสื่อม ไม่รู้จักมักจี่ใครหรือเรื่องไหนๆ ที่เกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคทั้งสิ้น ขนาดพยายามทำตัวน่าสงสารเพื่อจะดึงเฮียโรมเอาไว้เป็นโล่กันเฮียรุจ สุดท้ายเขาก็ยังเลือกถนอมน้ำใจคนที่เขารักมากกว่า

แล้วผมก็ต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิมๆ ที่ตัวเองอยากจะหนีไปเสียให้พ้น

“น้องบีบี๋เป็นคนเลือกที่จะเข้ามาเอง ถ้าเฮียไม่ปล่อยก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น.... อยู่นิ่งๆ เป็นเด็กดีของเฮีย จะได้ไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อแบบไอ้โรม”

ชื่อที่ได้ยินทำเอาผมหันควับไปมองคนพูด ไม่ต้องอาศัยสัมผัสที่หก ผมก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเฮียโรม เพียงแต่ผมเดาไม่ออกว่าเฮียรุจทำอะไรกับคนที่เคยยกมือไหว้นับถือเขาเป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ  จนกระทั่งมองหน้ากันไม่ติดเพราะมีเขาเป็นต้นเหตุ

“เฮียโรม.... ทำไม? เขาเป็นอะไร??”

“แค่เจ็บตัวนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันยังไม่ถึงที่ตาย” 

เฮียรุจบอกยิ้มๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องซีเรียส ไม่ให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อยว่าตกลงแล้วเฮียโรมไปโดนอะไร ที่ไหน ยังไง กันแน่

 “อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลย มากินพิซซ่ากันดีกว่า.... หน้าฮาวายเอี้ยนชอบชีสของโปรดของน้องบีบี๋ไง”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนกลิ่นชีสจนแทบเบือนหน้าหนี แต่ติดที่เฮียรุจไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เขาบังคับป้อนพิซซ่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าให้ผมกินสลับกับของอย่างอื่น ท่าทางอารมณ์ดีเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นโปรดกลับคืน ทว่า ร่องรอยกราดเกรี้ยวสะใจในดวงตาสีเข้มกลับย้ำเตือนให้ระแวดระวังว่ามือข้างเดียวกันนั้นก็สามารถเปลี่ยนมาขย้ำหักคอผมให้ตายได้ทุกเมื่อ

ข้างในหัวยังคงมีแต่ความทุกข์กังวล ทั้งอนาคตในวันพรุ่งนี้และวันต่อไปของตัวเอง ทั้งเรื่องที่ว่าเฮียโรมเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แต่สิ่งที่ผมทำได้กลับมีเพียงนั่งเฉยๆ แล้วก็รอให้เขาจับยัดเข้ากรงขังตามเดิม

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:14-15 หน้า6-7 [ UPDATED 08/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:34:39
TISHA's PART



“อ้าว.... คุณทิชา ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”

พนักงานสาวประจำโรงแรมที่พักสำหรับสัตว์เลี้ยงเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าสดชื่นหลังจากที่เปิดประตูต้อนรับผม เธอกุลีกุจอรับเอากรงใส่แมวไปวางไว้บนเคาท์เตอร์เช็คอิน ก่อนจะโบกไม้โบกมือสร้างความคุ้นเคยกับอสูรกายสีขาวซึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่คนแปลกหน้า 

“ไงจ๊ะ น้องมิลค์ คราวนี้จะอยู่สักกี่วันดีเอ่ย?”

“คงฝากไว้สักสองอาทิตย์ก่อนนะครับ แต่ก็อาจจะมากกว่านั้น เอาไว้ผมค่อยบอกอีกทีก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา.... เดี๋ยวทางนี้จะเก็บห้องไว้ให้น้องมิลค์เป็นพิเศษเลย”

ผมยื่นบัตรประชาชนตัวเองกับสมุดวัคซีนของมิลค์ให้พนักงานถ่ายเอกสารไว้เป็นหลักฐาน ใจก็คิดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องตัดสินใจพามิลค์มาฝากคนอื่นเลี้ยง

ถ้าพี่โรมรู้ว่าผมเอาลูกสาวมาไว้โรงแรมแมว เขาก็คงหัวเสียไม่น้อยแล้วก็บอกกว่าลูกเขา ทำไมเขาจะเลี้ยงเองไม่ได้.... ถ้าเป็นเมื่อสอง-สามวันก่อนก็คงใช่ แต่ตอนนี้ที่เจ้าตัวยังนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล ลำพังแค่ช่วยเหลือตัวเองยังลำบาก คงอีกนานกว่าจะกลับไปพักฟื้นที่ห้องได้ แล้วตัวผมก็วุ่นวายอยู่กับเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายละครไม่จบไม่สิ้น เทียวไปเทียวมาทั้งมหาวิทยาลัย สถานีโทรทัศน์ เพิ่มโรงพยาบาลเข้าไปอีกที่ก็ไม่มีเวลาดูแลยัยมิลค์เหมือนกัน

พอได้ห้องพัก ผมก็อุ้มพายัยมิลค์ไปส่งถึงที่ ภายในห้องมีทั้งอาหารแมวเกรดพรีเมียมอย่างดี ของเล่น กล่องปีน น้ำพุ ต้นอ่อนข้าวสาลีครบถ้วนตามที่จ่ายเงินไป ก็กะว่าจะให้ลูกอยู่สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากพอปล่อยยัยมิลค์ลงกับพื้น มันกลับไม่ยอมสนใจบรรดาของล่อตาล่อใจแมวตรงหน้า แต่ยืนจ้องผมตาแป๋วคล้ายกับจะบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่บ้านมิลค์สักหน่อย!’

“แง้ว”

“อยู่ที่นี่ไปก่อนนะ มิลค์”

“แง้ววววววว”

“แด๊ดดี้ไม่สบาย ที่คอนโดฯ ไม่มีคนอยู่เทข้าวเปลี่ยนห้องน้ำให้หรอก.... อยู่ที่นี่จะได้มีคนดูแล แล้วจะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ” 

ผมลูบหัวมัน บอกเหตุผลที่ไม่รู้ว่ามิลค์จะฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็แอบหวังว่ามันจะแค่ไม่นานจริงๆ อย่างที่ให้สัญญาเอาไว้กับลูกสาวขนฟู 

“แปบเดียวก็ได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนหนึ่งตัวเหมือนเดิมแล้ว อดทนหน่อยนะ”

ขืนอยู่นานกว่านี้คงได้เสียน้ำตาแน่ ผมก็เลยหักใจปิดประตูแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใจร้ายทิ้งลูกที่เลี้ยงมากับมือได้ลงคอหากก็พยายามกล่อมความคิดในหัวว่ามันจำเป็น ให้มันอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็มีคนดูแลเปลี่ยนข้าวเปลี่ยนน้ำเล่นเป็นเพื่อน ดีกว่ารอผมกลับบ้านซึ่งก็ไม่แน่นอนว่าจะกลับตอนไหน กลับเมื่อไร ยิ่งพี่โรมยังเจ็บหนักอยู่อย่างนี้ด้วย

“ฝากมิลค์ด้วยนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอด”

“ค่ะ คุณทิชาไม่ต้องห่วงนะคะ ทางเราจะดูแลน้องให้เป็นอย่างดีเลย”

ผมออกจากโรงแรมแมวแล้วโบกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลต่อทันที วันนี้ผมขาดเรียนแล้วก็ขอลาหยุดเวิร์คช็อปชั่วคราว ถึงพี่โรมจะฟื้นแล้วแต่ผมก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำอะไรทั้งนั้น จะบอกว่ายังช็อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่ก็คงใช่ เอาเป็นว่าขอไปเฝ้าไข้ดูอาการพี่โรมให้แน่ใจก่อนว่าเขาโอเคขึ้นแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนที่บ้านเขาคอยประคบประหงมดูแลอย่างดีอยู่แล้วก็เถอะ

“พอแล้วครับ ม๊า.... ผมไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง นี่เราถูกยิงนะ ไม่ใช่รถจักรยานล้มเหมือนสมัยเด็กๆ จะได้แค่จับไปล้างแผลใส่ยาแดงก็หายน่ะ!”

“มันก็แผลเหมือนกันแหละ ไกลหัวใจ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ”

“จริงๆ เลย.... อยู่ดีไม่ว่าดี มีรถให้ใช้ก็ไม่ยอมใช้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา คนร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็มีแค่ม๊ากับป๊านั่นแหละ!”

แค่แง้มประตูห้องพักฟื้น ผมก็ได้ยินเสียงพี่โรมกับผู้หญิงวัยกลางคนกึ่งคุยกึ่งเถียงกันลอยมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคุณแม่พี่โรมยังไม่กลับสุราษฎร์ไปเมื่อตอนเช้าพร้อมกับคุณพ่อและน้องๆ ถ้าผมมายังไงก็ต้องเจอ ทว่า ความรู้สึกหน่วงแน่นข้างในอกเหมือนกำลังเดินเข้าห้องเชือดไปพรีเซนต์แปลนกับอาจารย์ที่โหดที่สุดในภาคก็ยังมีมากเสียจนสลัดไปจากหัวใจไม่พ้นสักที

“สวัสดีครับ คุณแม่”

ผมวางถุงของกินที่หิ้วติดมือมาด้วยไว้บนโต๊ะรับแขกด้านนอกก่อนจะเดินเข้าไปยกมือไหว้คุณแม่พี่โรมตามมารยาท ด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่เข้าหาคนอื่นเก่งโดยเฉพาะกับพวกผู้ใหญ่ จะบอกว่ามีความทรงจำเลวร้ายติดมาจากตอนที่โดนญาติฝ่ายพ่อรังเกียจก็คงใช่ ผมเลยไม่รู้ว่านอกจากไหว้กับพยายามยิ้มให้แล้วยังควรทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า

“สวัสดีจ้ะ” 

คุณแม่รับไหว้ หากสายตาก็กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง 

“เมื่อคืนนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย ชื่อทิชาใช่ไหมเราน่ะ?”

“ครับ...........” 

ผมพยักหน้าตอบเสียงแผ่ว แม้จะยังไม่มีคำพูดว่ากล่าวอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึง ‘ความไม่ชอบ’ ซึ่งแผ่ออกมาผ่านดวงตาและน้ำเสียง ในตอนนั้นผมก็ทำได้แค่เพียงคิดว้าวุ่นในใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน หรือว่าที่พี่โรมเรียกหาผมเป็นคนแรกหลังจากได้สติจะทำให้ครอบครัวเขารู้สึกไม่ดี

“ทิชา มาหาพี่หน่อยสิครับ”

พี่โรมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนมีผ้าพันแผลอยู่ตรงไหล่ซ้ายเอ่ยเรียก มืออีกข้างซึ่งยังใช้การได้ก็กวักเป็นเชิงบอกให้ผมมายืนข้างเขา.... เอาจริงๆ นะ ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ สายตาของแม่พี่โรมทำให้ผมนึกถึงเวลาที่พวกคุณป้าด่าว่าผมกับแม่เป็นตัวสูบเลือดสูบเนื้อพ่อ ถ้าเป็นเวลาอื่น ผมคงไม่สนไม่แคร์แล้วก็เดินหนีไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะพี่โรมอยู่ด้วยตรงนั้น ผมจึงลองคิดในแง่ดีว่าคุณแม่คงไม่ตั้งแง่รังเกียจผมทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนหรอก

มือขวาของพี่โรมคว้ามือผมไปกุมไว้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ พยายามจะสะบัดออก แต่ร่างสูงบนเตียงกลับขยิบตาบอกให้ผมแค่ยืนเฉยๆ ก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาจัดการเอง

“ม๊าครับ ทิชากับผม ตอนนี้เรา............”

“ม๊าว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” 

พี่โรมยังพูดไม่ทันจบ คุณแม่ก็ถามแทรกขึ้นมาชนิดไม่สนใจเลยว่าลูกชายกำลังจะบอกอะไร ทั้งพี่โรมและผมหน้าเจื่อนไปตามๆ กันหากก็ไม่เหลือเวลาให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่คุณแม่ต้องการจะรู้มากนัก บอกตามตรง ผมว่าผมพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าคุณแม่อยากถามถึงเรื่องไหน 

“ทิชานี่ใช่ลูกชายคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาที่เป็นเจ้าของไดมอนด์เรียลเอสเตทหรือเปล่า?”

ซื้อหวยไม่เคยถูก แต่ถ้าให้เดาเหตุผลที่มีคนเกลียดผมตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เห็นหน้าก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง.... ผมน่าจะคิดได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกด้วยซ้ำ ทางบ้านพี่โรมก็เป็นเจ้าของธุรกิจรีสอร์ทโรงแรมรายใหญ่ทางใต้ ถ้าเขาจะรู้จักมักจี่กับพ่อผมซึ่งทำอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่แปลกหรอก

“ใช่ครับ” 

ผมตอบได้แค่นั้น ซึ่งคุณแม่พี่โรมก็พยักหน้ารับรู้คล้ายจะพูดว่าไม่ผิดไปจากที่คิดเอาไว้

“หน้าตาเหมือนแม่นะ ดูไม่ได้เค้าฝั่งพ่อมาเลย”

“ม๊าครับ...........”

พี่โรมส่งเสียงอ่อนเหมือนจะห้ามคุณแม่ไม่ให้ขุดเรื่องส่วนตัวจี้ปมด้อยผม แต่ก็โดนสายตาดุๆ กับคำพูดไม่สนใจใยดีตอบกลับมา

“อะไร ตาโรม.... ม๊ายังไม่ได้ว่าอะไรใครเลยนะ เราก็อย่าออกนอกหน้าแทนคนอื่นให้มันมากนัก” 

หญิงสูงวัยดุลูกชายก่อนจะหันมาซักไซ้เอาความกับผมต่อ.... เข้าใจอยู่หรอกนะว่าพี่โรมกำลังพยายามแนะนำให้ผมกับแม่เขารู้จักกัน ให้ผมฝากเนื้อฝากตัวในฐานะที่กำลังคบหาดูใจกับเขา แต่ตอนนี้ผมไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว แม่พี่โรมอคติเพราะว่าผมเป็นลูกเมียน้อยของคนที่พวกเขารู้จัก และเชื่อเถอะว่ามันจะไม่จบลงแค่ประเด็นนี้อย่างเดียวแน่ 

“อ้อ เห็นมิลานกับเวนิสคุยกันว่าทิชาเป็นแฟนเจ้าแดนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาตามเกาะแกะลูกชายม๊าแบบนี้ล่ะ.... ลูกชายม๊าไม่มีอะไรจะให้เราหรอกนะ”


เกาะแกะ.... อย่างนั้นเหรอ?

ลูกชายม๊าไม่มีอะไรจะให้.... อย่างนั้นเหรอ?




“ไม่ใช่นะครับ.....ผมกับแดนเป็นเพื่อนกัน...........”

ผมดึงมือตัวเองออกจากมือพี่โรม ไม่อยากให้เขารู้ว่าปลายเล็บผมเกร็งแน่นแค่ไหนในยามที่มันฝังลงไปในผิวเนื้อ ริมฝีปากซึ่งฝืนคลี่ยิ้มมาได้ตั้งนานหมดความอดทนไปพร้อมๆ กับน้ำเสียงซึ่งฟังกระด้างขึ้นอย่างที่ใครก็สามารถสังเกตได้.... คนเกลียดผมเยอะจนนับไม่ถ้วนก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมถูกด่าซึ่งหน้าในทำนองว่าจะมาเกาะใครกิน ก็อย่างที่บอกว่าถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่แคร์ เผลอๆ จะด่ากลับให้ด้วยซ้ำ แต่คนที่พูดประโยคนี้ออกมาคือแม่พี่โรม แม่บังเกิดเกล้าของคนที่ผมรักมากกว่าอะไรทั้งหมด แล้วจะให้ผมรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง

“ทิชาซื้ออะไรมา.... ใช่ไก่ทอดที่เผ็ดๆ ร้านนั้นหรือเปล่า ไปเอามาให้พี่กินหน่อยสิ หิวแล้วเนี่ย..........”

“ไม่ต้องลำบากทิชาเขาหรอก เดี๋ยวม๊าจัดการให้เอง”

เป็นอีกครั้งที่พี่โรมยังพูดไม่ทันจบดี คุณแม่ก็แทรกขึ้นราวกับกลัวว่าจะได้ยินได้เห็นในสิ่งที่ท่านไม่ต้องการรับรู้รับทราบ ผมได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกในขณะที่แม่พี่โรมใช้หลังมือโบกไล่ผมเหมือนไล่หมูไล่หมา.... คำพูดคำจาไม่มีตรงไหนหยาบคายก็จริง แต่ความนัยและการแสดงออก ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุด ไอคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ต้องดูออกว่าคุณแม่รังเกียจผมในระดับเดียวกับที่คนทั่วไปรังเกียจพวกเมียน้อยกับผู้หญิงขายบริการนั่นแหละ 

“ไก่ทอดนี่ของแสลงหลังผ่าตัดไม่ใช่เหรอ ตาโรมกินไม่ได้หรอก ม๊าสั่งอย่างอื่นให้กินดีกว่า.... ทิชาก็รีบๆ ไปเรียนหนังสือเถอะ เวลาแบบนี้ควรจะตั้งใจเรียนดีกว่านะ”

กระบอกตาผมร้อนผ่าว ข้างในลำคอขมปร่าจนผะอืดผะอมอยากอาเจียน ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกเจ็บใจขนาดนี้ อย่างน้อยก็ในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา.... บาดแผลของผม ปมด้อยที่ไม่เคยเลือนหายไปแม้ว่าจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ในจุดที่ลึกที่สุดจนไม่มีใครมองเห็น แต่สุดท้าย มันกลับถูกขุดขึ้นมาประจานอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของคนที่ผมคาดหวังว่าเขาคงจะนึกเอ็นดูกันบ้าง

“งั้นผมลานะครับ” 

ผมยกมือไหว้แล้วหันหลังกลับออกไป ในเมื่อแม่เขาไม่ยินดีต้อนรับ ผมก็คงบากหน้าอยู่ให้ใครถากถางถึงกำพืดต่อไปไม่ไหวหรอก 

“พี่โรม ชาไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวดิ ทิชา.... อย่าเพิ่งไป!”

ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงแล้วแต่ผมยังยืนอยู่ข้างนอกด้วยความมึนงง แข้งขาอ่อนแรงเกินกว่าจะเดินไปทางอื่นได้.... เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาทับหัว ผมตั้งใจจะมาหาพี่โรม ตั้งใจจะมาดูแลเขาอย่างจริงใจ แต่พอถูกกีดกันไม่ให้อยู่ใกล้ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะไปทางไหนหรือต้องทำยังไงต่อ

และถ้าจากนี้ไป ผมไม่สามารถเจอพี่โรมได้อีกเพราะแม่เขาไม่ชอบใจที่คนประวัติไม่ดีอย่างผมมา ‘ตามเกาะแกะ’ ลูกชายเขา มันคงทรมานไม่ต่างจากตอนที่รู้ว่าเขาถูกยิงแล้วอาจจะจากผมไปได้ทุกเมื่อ

หัวใจของผมคงได้แตกสลายลงไปตรงนี้แน่....



‘ม๊าพูดแบบนั้นกับทิชาได้ยังไง.... น้องเป็นแฟนผมนะ!?’

‘แฟนเฟินอะไร อย่าพูดจาเหลวไหล ม๊าไม่ยอมให้โรมคบกับเด็กพรรค์นั้นหรอกนะ.... คนสวยกว่านี้ ดีกว่านี้มีออกถมไป!’

‘แต่ผมรักน้อง น้องก็รักผม.... ผมจะคบกับทิชาแล้วมันมีปัญหาตรงไหน!?’

‘รักบ้าบออะไร เด็กนั่นมายุ่งกับโรมก็เพราะรู้ว่าป๊าม๊าโรมมีเงินน่ะสิ!’

‘ม๊าดูถูกน้องเกินไปแล้วครับ!’

‘เชื้อมันไม่ทิ้งแถวหรอก คนแม่เป็นแบบไหน ลูกก็ออกมาเป็นแบบนั้น.... เราเองก็เหมือนกัน ม๊าไม่ได้มีปัญหาตรงที่ทิชาเป็นผู้ชายนะ แต่โรมไม่รู้มาก่อนเลยเหรอว่าเด็กนั่นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าคบกันแล้ว ป๊าม๊าจะมองหน้าคุณกาญจน์กับคุณวิภาวีได้ยังไง บ้านเรายังต้องคบค้าสมาคมกับไดมอนด์เรียลเอสเตทอีกไม่รู้ตั้งกี่โครงการ ยิ่งตอนนี้ป๊ากำลังจะร่วมลงทุนกับทางเขาอยู่ด้วย!’

‘เรื่องของผู้ใหญ่มันไม่ได้เกี่ยวกับน้องเลยนะ ม๊า.... ผมขอเถอะ........’

‘ไม่ได้! ยังไงม๊าก็ไม่ยอม!’




ได้ยินแล้วใช่ไหม.... เสียงหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดีของผม?

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:44:36
.

.

.

“อ้าว ทิชา”

“พี่แจ็ค?”

ผมเงยหน้าขึ้นตามที่ถูกเรียก ปรากฏว่าเจ้าของเสียงคือเพื่อนสนิทของพี่โรมซึ่งผมไม่ได้เจอเขามาพักใหญ่แล้ว.... คนตัวสูงดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมนั่งซึมกะทืออยู่ตรงล็อบบี้ชั้นล่างของโรงพยาบาล แทนที่จะขึ้นไปเฝ้าไข้คอยดูแลแฟนหนุ่มบนห้องอย่างที่ควรจะเป็น

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ขึ้นไปอยู่กับไอ้โรมล่ะ?”

เขาถามพลางทำหน้างง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้เองว่าเพราะอะไรผมถึงเลือกที่จะเนรเทศตัวเองลงมาอยู่ข้างล่าง 

“อ้อ เจอฤทธิ์คุณนายหม่าม๊าไอ้โรมเข้าไปสินะ.... สมัยปีหนึ่งพี่ก็เคยโดนเหมือนกัน หน้าตาพี่ดูแว้นๆ ไง แม่มันเลยนึกว่าพี่จะชวนมันไปเบิ้ลท่อแถวพระประแดง ยังไงก็อย่าคิดมากเลยนะ”

“จะพยายามนะพี่.........”

ผมทำเป็นหัวเราะเฝื่อนไปอย่างนั้น ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลบล้างอคติและความคิดของผู้ใหญ่.... ก็อย่างที่แอบได้ยินเมื่อกี้ พี่โรมอุตส่าห์ขอร้องให้คุณแม่ยอมเปิดใจรับผม ทว่า คำตอบมันไม่ใช่แค่ชอบหรือไม่ชอบ ผมจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ยังมีเรื่องที่ทางบ้านพี่โรมจะทำธุรกิจร่วมกับบริษัทของพ่อเข้ามาเป็นประเด็นอีก ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าฝั่งบ้านใหญ่เกลียดผมเสียยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน เขาคงจะยินดีหรอกที่ลูกชายของคู่ค้ามาดองกับปลิงสูบเงินแบบผม

“ว่าแต่เดี๋ยวเราจะไปมหาลัยหรือเปล่า? ให้พี่ไปส่งไหม?”

“ไม่แล้วครับ วันนี้ผมโดด” 

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ถึงจะยังเหลือวิชาบ่ายที่ถ้าจะกลับไปเข้าเรียนก็ยังทัน แต่สภาพจิตใจและอารมณ์ผมมันไม่ไหวแล้วจริงๆ

“งั้นไปหาที่คุยกันสักแปบได้หรือเปล่า.... คือพี่มีเรื่องอยากคุยกับเราอยู่พอดี แต่ไม่มีโอกาสเจอก็เลยยังไม่ได้คุยสักที” 

พี่แจ็คเอ่ยชวน ในขณะที่ผมเลิกคิ้วสงสัยว่าผมกับเขามีอะไรให้ต้องคุยกันด้วยเหรอ ฝ่ายรุ่นพี่จึงอธิบายขยายความให้กระจ่างว่านอกจากจะมีเรื่องคุยแล้ว ยังเป็นประเด็นที่คอขาดบาดตายพอสมควร 

“เรื่องบีบี๋กับเฮียรุจน่ะ.... แล้วก็อาจจะเกี่ยวกับไอ้โรมด้วยหน่อยนึง”

“โอเคครับ”

บรรยากาศภายในร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลเงียบสงบเหมาะแก่การอ่านหนังสือหรือทำงานเงียบๆ ผมกับพี่แจ็คเลือกโต๊ะมุมด้านในสุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น สักพักหนึ่ง บริกรหญิงก็นำเมนูเครื่องดื่มมาวางให้พร้อมรับออเดอร์ พี่แจ็คจึงจัดการสั่งน้ำให้ผมเสร็จสรรพชนิดไม่ถงไม่ถามสุขภาพกันเลยสักคำ

“กาแฟดำครับ แล้วก็ไอซ์เลมอนทีหวานน้อยอย่างละที่” 

โชคดีนะที่พี่แจ็คสั่งให้ถูกเลยไม่โดนผมเหวี่ยง แต่พอเขาเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงรู้ว่าผมชอบอะไร ผมก็ถึงบางอ้อแถมยังยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่ผ่านมา 

“ไอ้โรมมันเคยบอกให้ฟังน่ะว่าน้องทิชาแทบไม่ดื่มน้ำอย่างอื่นเลย ที่ห้องก็มีแต่ชามะนาวขวดเหลืองๆ แช่เต็มตู้เย็นไปหมด พี่เลยจำได้”

“บอกให้ฟังหรือบ่นให้ฟัง?”

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฮะๆๆ” 

รุ่นพี่วิศวะฯ อมยิ้มขำ คงคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าผมกับพี่โรมจะคบกันจริงจัง เพราะในตอนแรกพี่โรมเองก็มองข้ามผมไปหาคนอื่น ที่สำคัญก็คือคนที่เบอร์ลิคออกจะตราหน้าผมว่าเป็นพวกชิงเกียร์ ควรจะแค่โดนฟันและถีบหัวส่งไปได้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เอามาคบออกหน้าออกตาแบบที่พี่โรมทำ

“แต่ไอ้โรมมันก็ดูรักแล้วก็ตามใจน้องทิชาดีนะ พี่ว่าดีแล้วล่ะ ใครจะไปคิดว่าคนอย่างมันจะกลายมาเป็นพ่อบ้านใจกล้า”

เมื่อเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เราก็ยุติหัวข้อสนทนาว่าด้วยเพราะอะไรพี่โรมถึงเลือกผมแล้วหันหลังให้เบอร์ลิคเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะกลับมาโฟกัสสิ่งที่พี่แจ็คต้องการจะคุยกับผมตั้งแต่แรก ซึ่งผมก็คิดว่ามันน่าจะใช่เรื่องเดียวกันกับที่เจนนี่และฝ้ายหยิบยกขึ้นมาเมาท์เสียงดังจนผมต้องเปิดวอร์กับพวกหล่อนเมื่อวานนี้

“พี่แจ็ครู้เรื่องคลิปอะไรสักอย่างของไอ้บี๋บ้างไหม?”

“ทิชาได้ดูแล้วเหรอ?”

เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายไม่มีความประหลาดใจเจือปน ซ้ำยังถามกลับมาอีก ผมจึงเดาเอาว่าพี่แจ็คน่าจะสามารถให้คำตอบได้

“ผมไม่ได้ดูหรอก แต่ได้ยินเพื่อนในภาคพูดว่าบีบี๋ส่งคลิปมาให้ ท่าทางไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร.........”

“ก็เรื่องนี้แหละที่พี่อยากจะคุยกับทิชา” ฝ่ายรุ่นพี่ถอนหายใจปลงๆ “แล้วพอจะรู้ไหมว่าคลิปอันนั้นถูกส่งต่อไปถึงไหนแล้ว?”

“ตอนที่ผมเข้าไปถาม เพื่อนคนที่ได้คลิปบอกว่าลบทิ้งไปแล้ว เขาไม่ยอมให้ผมดูแล้วก็ไม่ยอมบอกด้วยว่าคลิปอะไร แต่ก็ไม่รู้จะส่งต่อให้คนอื่นหรือเปล่า” 

ผมบอกเล่าข้อมูลไปเท่าที่รู้.... อันที่จริง ผมตั้งใจจะปรึกษากับพี่โรมตั้งแต่เมื่อวานเพราะคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคและพี่รุจไม่มากก็น้อย แต่ดันเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับพี่โรมเสียก่อน ผมก็เลยลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียสนิท 

“ผมเคยได้ยินจากพี่โรมเรื่องที่ไอ้บี๋โดนพี่รุจขู่เรียกเงินสองล้านเพราะไปยืมเกียร์เขามาใช้ แล้วมันก็ทยอยผ่อนจ่ายหักลบกลบหนี้ด้วยการนอนกับเขา.... คลิปที่ว่านั่น คงไม่ใช่ถูกถ่ายไว้ตอนที่มันมีอะไรกับพี่รุจหรอกใช่ไหม?”

“ถึงไม่อยากให้ใช่ แต่มันก็ใช่ล่ะนะ”

พี่แจ็คพยักหน้ารับอย่างอับจนหนทาง ทำเอาผมแทบจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากเมื่อสิ่งที่ตัวเองตั้งข้อสันนิษฐานกลับกลายเป็นความจริงขึ้นมา

“อยากจะบ้าตาย ไอ้บี๋เอ๊ย...........”

“ดูจากหลายๆ อย่างที่บีบี๋เคยทำเอาไว้กับทิชา พี่นึกว่าทิชาจะสมน้ำหน้าบีบี๋เสียอีก”

“บอกตามตรงก็อยากสมน้ำหน้าแหละครับ แต่ถึงยังไงมันก็เคยเป็นเพื่อน.... ต่อให้มันจะทำเรื่องแย่ๆ ไม่น่าให้อภัยมากแค่ไหน แต่เรื่องดีๆ ที่มันเคยทำให้ผมก็มีเยอะเหมือนกัน แล้วตัวผมเองก็ใช่ว่าจะดีไปกว่ามันสักเท่าไร”

“น่าเสียดายเนอะ ถ้าบีบี๋คิดได้เหมือนอย่างที่ทิชาคิดสักนิดนึงก็คงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้แล้ว”

ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเองเต็มที่ ผมก็คงเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่แจ็คพูดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ไอ้บี๋ต้องมาผจญเวรกรรมไม่รู้จบกับพี่รุจก็เพราะความอิจฉาเรื่อยเปื่อยไร้สาระของมันเอง.... แต่ถ้าคิดแบบใจเขาใจเรา ผมก็ผิดไม่น้อยที่ไม่ยอมตัดใจจากพี่โรม มิหนำซ้ำยังไปชิงเกียร์มาจนทำให้ไอ้บี๋ต้องหาทางแย่งพี่โรมคืน ซึ่งผมก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าไอ้บี๋มันจะเลือกใช้วิธีที่เหมือนขายวิญญาณให้ซาตาน

ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว จะมัวย้อนไปคิดว่าถ้ารู้อย่างงั้น รู้อย่างงี้ก็คงไม่มีประโยชน์ อย่างเดียวที่พอทำได้ในเวลานี้ก็คงมีเพียงช่วยกันหาวิธีแก้ไข อย่างน้อยก็จะได้ไม่มีใครต้องเจ็บปวดหรืออับอายมากไปกว่านี้เป็นอยู่

“คนที่ส่งคลิปบีบี๋ไปทางไลน์ก็คือเฮียรุจ.... เฮียแกโมโหที่น้องบีบี๋คิดจะหาทางหนี ทั้งกระโดดลงมาจากหน้าต่างจนตัวเองเจ็บ ทั้งโกหกว่าความจำเสื่อมเพื่อจะใช้ไอ้โรมเป็นไม้กันหมา ไม่ให้เฮียรุจพากลับไปที่เบอร์ลิค” 

ข้อมูลใหม่ที่ได้ฟังไม่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจนัก ตัวละครในดราม่าเบอร์ลิคก็มีอยู่ไม่กี่ตัว แค่ให้โครงเรื่องกับรายชื่อมาก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าใครทำอะไรกับใครเอาไว้บ้าง 

“พูดก็พูดเถอะ เฮียรุจน่ะไม่ค่อยกล้าอะไรกับไอ้โรมมากมายนักหรอก เพราะที่บ้านไอ้โรมก็ไม่ใช่ขี้ๆ ที่เขาจะไปหาเรื่องมันได้ง่ายๆ ก็แค่ข่มบ้างด่าบ้างตามประสารุ่นพี่-รุ่นน้องธรรมดา.... น้องบีบี๋ก็น่าจะรู้ตรงนี้เลยพยายามดึงไอ้โรมไว้กับตัว ฝั่งเฮียรุจแกก็รอจังหวะที่ไอ้โรมจะไม่อยู่โรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน พอวันนั้นที่ไอ้โรมเกือบๆ ทะเลาะกับทิชาจนมันต้องตามไปง้อที่บ้านแล้วโทรบอกให้พี่ช่วยไปเฝ้าแทน เฮียรุจก็โผล่มาโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเลย ก็ไม่รู้ว่าเฮียแกรู้ได้ยังไง..........”

“ผมถามได้ไหมว่าพี่รุจทำอะไรกับไอ้บี๋บ้าง?” 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมสงสัยคาใจมานาน จะถามพี่โรมหรือใครๆ ก็คงไม่ได้คำตอบ ก็เหลือแค่พี่แจ็คนี่แหละที่น่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบีบี๋และพี่รุจมากที่สุด 

“ไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่ดูจากนิสัยมัน ถ้าได้เป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิคก็น่าจะชอบไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงต้องหนีไม่คิดชีวิตขนาดนั้น?”

พี่แจ็คถอนหายใจอีกครั้ง อารมณ์เหมือนน้ำท่วมปากอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร เขาก็เลยหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาวางบนโต๊ะ กดเปิดคลิปวิดิโอต้นเหตุแล้วเลื่อนมาให้ตรงหน้าผม

“พี่พูดไม่ถูกว่ะ น้องทิชา.... ให้ดูเองก็แล้วกัน”

เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอเล่นผ่านสายตา ผมก็ต้องเบ้ปากทำหน้าเหยเกเมื่อสิ่งที่เห็นนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่จินตนาการไปหลายโยชน์.... ทั้งลักษณะท่าทางของทั้งสองฝ่าย ถึงจะไม่ใช่การขืนใจ แต่ท่วงท่าและสีหน้ามันไม่ชวนให้คิดได้ว่าเป็นการมีเซ็กซ์ที่มีความสุขเลย ก็ว่าทำไมเจนนี่กับฝ้ายถึงได้พูดจาในทำนองรังเกียจขยะแขยงบีบี๋ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ออกจะรักใคร่กลมเกลียวเป็นแก๊งค์เดียวกัน เจอแบบนี้ ถ้าไม่รักกันจริงเป็นใครก็คงรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหวหรอก

“พี่แจ็ค.......นี่มันแย่มากนะ.........”

ผมรีบกดปิดคลิปส่งโทรศัพท์คืนอีกฝ่ายทันที พลางยกชามะนาวขึ้นจิบให้รสเปรี้ยวหวานช่วยล้างความผะอืดผะอมมวนท้องให้หายไป.... ความโกรธเคืองที่เคยสะสมมาเจือจางไปหมดแล้ว เหลือแต่ความสงสารเห็นใจเพราะไม่ว่าจะเป็นไอ้บี๋หรือใคร ถ้าไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกันกับพี่รุจ ก็ไม่สมควรจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับความรุนแรงเกินมาตรฐานคนทั่วไปแบบนี้

“อืม ก็แย่จริง ตอนที่น้องบีบี๋ตกลงจะนอนกับเฮียรุจก็คงไม่คิดว่าจะต้องเจอหนักขนาดนี้”

“ถ้ามีเงินสองล้านจ่ายให้พี่รุจแล้วเรื่องจะจบไหม?” 

ผมถามตรงๆ พลางนึกถึงเงินในบัญชีส่วนตัว ค่าขนมที่ได้มาจากคุณย่าตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังไม่ได้ถอนออกมาใช้เลยสักบาท ถ้ารวมกับของเก่าที่พ่อเคยให้ไว้ก็น่าจะพอ 

“ถ้าสองล้าน.....ผมคิดว่าผมอาจจะพอหาได้............”

“ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้วล่ะ”  พี่แจ็คเอ่ยเสียงเครียดกว่าเก่า “พี่กล้าพูดเลยว่าต่อให้มีสิบล้านหรือยี่สิบล้าน เฮียรุจก็ไม่มีทางปล่อยน้องบีบี๋ไป”

“พี่อย่าบอกนะว่า...........”

“พี่ก็ไม่อยากบอกอย่างนั้นหรอก แต่พี่คิดว่าใช่” 

เสมือนตลกร้ายที่ไม่น่าเกิดขึ้นจริง แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้วโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ แล้วขึ้นชื่อว่าความรักความชอบก็ไม่ต่างจากไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่าง ยิ่งถ้ายังไม่ได้ครอบครองเป็นของตัวเองก็ยิ่งโหมกระหน่ำร้อนรุ่ม.... เรื่องนี้ผมเข้าใจถ่องแท้ดีเลยทีเดียว 

“เฮียรุจชอบน้องบีบี๋ ถึงเรื่องเซ็กซ์จะดูเลวร้ายมาก แต่กับเรื่องอื่น เฮียแกก็ดูแลความเป็นอยู่ของน้องบีบี๋อย่างดี.... พอมีเรื่องที่ว่าน้องบีบี๋พยายามจะหนีแล้วดึงไอ้โรมมาเกี่ยว เฮียรุจก็คงรู้สึกว่าโดนหักหลังเลยจัดการปล่อยคลิปที่ถ่ายเอาไว้ทั้งหมด แล้วตอนนี้น้องบีบี๋ก็เหมือนจะโดนพี่ชายยื่นคำขาดไม่ให้เหยียบเข้าบ้านไปแล้วด้วย”

ผมส่ายหน้าในทำนองว่าอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด รู้ดีถึงความโหดของป๊าและเฮียบิ๊ก ขนาดผมแวะไปช่วยมันทำงานตอนปีหนึ่งยังโดนซักฟอกแทบตาย ไม่มีทางที่คนจีนหัวเก่าบ้านนั้นจะรับสิ่งที่ไอ้บี๋ทำลงไปได้แน่

“ที่จะบอกก็คือต่อไปนี้ น้องบีบี๋ก็คงต้องกลับไปอยู่กับเฮียรุจที่เบอร์ลิค น้องมันก็ยอมรับที่จะกลับไปแต่โดยดีแล้ว.... ส่วนไอ้โรมก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก ไม่งั้นเดี๋ยวอะไรๆ มันก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่” 

และนั่นก็คือบทสรุปที่อดีตเพื่อนสนิทของผมต้องได้รับ ครั้นจะบอกว่าสาสมกับความขี้อิจฉาของมันแล้วก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ติดหนี้สองล้านยังแบบว่าใช้หมดก็คือหมด แต่เอาไปเป็นเมียทาสอยู่ในหอคอยเบอร์ลิคนี่ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตจะได้หลุดพ้นออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกหรือเปล่า 

“ถึงพี่จะช่วยอะไรไม่ได้เยอะ แต่ก็จะพยายามคอยดูแลบีบี๋เท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”

“เดี๋ยว พี่แจ็ค”  อยู่ๆ ผมก็นึกถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาได้   “ที่พี่โรมถูกยิงเมื่อวานนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่รุจใช่ไหม?”

เพราะพี่โรมคือคนที่ถูกไอ้บี๋ดึงไปใช้เป็นโล่กันพี่รุจ ผมก็ไม่รู้ว่าพี่รุจจะผูกใจเจ็บแล้วหมายหัวเล่นงานพี่โรมด้วยหรือเปล่า แต่มันประจวบเหมาะกับที่แฟนผมถูกยิงพอดิบพอดี ถึงแม้นักเรียนช่างกลที่ถูกจับได้จะให้การแค่ว่าเป็นเรื่องระหว่างสถาบัน และพี่โรมก็แค่ซวยที่สีเสื้อช็อปดันมาคล้ายคู่อริพวกมัน หากผมก็อดจับเอาเหตุการณ์มาเชื่อมโยงไม่ได้

“พี่ไม่แน่ใจว่ะ แต่คิดว่าไม่น่าใช่หรอกมั้ง..........” 

พี่แจ็คนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะเล่าเหตุการณ์ฝั่งเขากับพี่รุจให้ฟัง 

“ตำรวจที่ทำคดีไอ้โรมเขารู้จักกับเฮียรุจ แล้วก็รู้ด้วยว่าไอ้โรมเคยช่วยงานอยู่ที่เบอร์ลิค.... เมื่อคืนเขายังเข้ามาบอกที่ร้านอยู่เลยว่าไอ้โรมโดนยิง เฮียกับพวกที่ร้านก็เพิ่งรู้เรื่องกันตอนนั้นแหละ”

“เหรอครับ..........”

ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็คิดว่าคนอย่างพี่แจ็คคงไม่โกหกกัน ยิ่งเขาเป็นคนขอคุยเรื่องบีบี๋กับผมเองก็คงไม่คิดปกป้องลูกพี่เท่าไรแล้ว

“คราวนี้ยังไม่ใช่ก็ถือว่าดีไป แต่คราวหน้าก็ไม่แน่.... เฮียรุจน่ะเวลาดี แกก็ดีใจหาย แต่เวลาผีเข้า แกก็ซัดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนกัน ทางที่ดีก็คือให้มันเลิกเข้าไปยุ่งกับเรื่องน้องบีบี๋น่าจะปลอดภัยกับทุกฝ่ายมากกว่า”

“แล้วพี่แจ็คบอกพี่โรมหรือยัง?”

“พี่ก็กะจะคุยกับมันเรื่องนี้นี่แหละแต่พอดีคุณนายหม่าม๊ามันอยู่ก็เลยยังไม่ได้คุย.........”

ข้อสรุปที่ได้จากการคุยกับพี่แจ็คคือ นับจากนี้ไปพวกเราทุกคนควรจะต่างคนต่างอยู่ ใครมีเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนตามติดมาก็ต้องชดใช้กันเอาเอง.... ไอ้บี๋ไปอยู่กับพี่รุจ มีชีวิตทรมานสาหัสสากรรจ์ก็ถือเป็นสิ่งที่มันเลือก ส่วนผมก็กลับไปสู้รบปรบมือกับคุณนายหม่าม๊าของพี่โรม ทำชีวิตตัวเองให้ดีแล้วก็ไม่ต้องหวนกลับไปคิดถึงอดีตซึ่งมันผ่านเลยไปจนไม่มีอะไรสามารถแก้ไขได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 19:56:18
PAI's PART



“วันนี้ทิชาไม่มาเหรอคะ.... ว้า งั้นเอายังไงดีเนี่ย?”

คุณครูผู้สอนคลาสแอคติ้งทำหน้าตาคิดหนักเมื่อนักแสดงตัวหลักของซีรีส์ขาดไปหนึ่งคน ทั้งๆ ที่วันนี้มีนัดเรียนซีนสำคัญของพระเอก-นายเอกทั้งคู่หลักและคู่รอง ถ้าทิชาไม่มาเสียคนหนึ่งก็เท่ากับว่าแดนซึ่งรับบทคู่กันต้องเสียเวลาเปล่า.... ใจผมตุ้มๆ ต่อมๆ เขณะที่สายตาของคุณครูเริ่มมองหาคนที่พอจะเล่นแทนทิชาได้ แล้วหวยก็ออกรางวัลที่หนึ่งเมื่อชื่อของผมถูกเรียกต่อหน้าคนนับสิบ

“ปายช่วยออกมาซ้อมบทแทนทิชาได้ไหมลูก ไม่อย่างนั้นวันนี้แดนก็คงไม่ได้ซ้อมอะไรเลย”

“อะ........ครับ"

ผมตอบรับอย่างขัดเขิน แต่หัวใจนั้นพองโตตื่นเต้นจนสุ้มเสียงสั่น แม้แต่นายภัทรซึ่งนั่งอยู่ข้างกันยังอดหมั่นไส้เป่าปากแซวไม่ได้ แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้แดนมาหลายวันแล้ว.... ยิ่งเมื่อวานที่เขาตัวติดกับทิชาจนแทบจะสิงร่างกัน แค่จะคุยด้วยสักคำก็ยังยากเพราะเขาไม่สนใจผมเลย

ร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผมในเวลานี้ เขาก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มและดวงตาขี้เล่นเหมือนลูกหมาตัวใหญ่ๆ แบบเดียวกับตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าลูกหมาตัวนี้มีเจ้าของแล้วถึงได้เก็บมาเลี้ยงแล้วก็หลงรักมันนักหนา ทว่า พอมันหาเจ้าของตัวจริงเจอ อย่าว่าแต่หูตั้งหางกระดิกวิ่งเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจเลย แม้กระทั่งหางตาก็ไม่มีเหลียวแลผมสักนิด

ก็อย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ว่าแดนเฉยชากับผมแค่ไหน....

“ฉากนี้ครูเอามาจากเนื้อหาในตอนท้ายๆ ของนิยาย เป็นฉากที่พระเอกสารภาพรักกับนายเอกก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟน” 

เมื่อคุณครูเริ่มต้นอธิบาย ผมก็ดึงสติตัวเองกลับมาตั้งใจฟัง แม้จะมีวอกแวกแอบมองหน้าคู่ซ้อมเฉพาะกิจอยู่บ้างก็ตาม   

“อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจแบ็คกราวน์ของตัวละครและเนื้อเรื่องก่อนหน้านี้ให้ดีเสียก่อน.... ตัวพระเอกซึ่งเย็นชากับนายเอกมาตลอดจะต้องเปิดใจยอมรับแล้วว่านายเอกคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา แต่ด้วยนิสัยของพระเอกที่เป็นคนแสดงออกทางคำพูดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นฉากนี้ ครูก็เลยอยากเน้นการใช้สายตาสื่อความรู้สึกให้มากๆ แดนกับปายพอจะนึกภาพออกใช่ไหมจ๊ะ?”

เราทั้งคู่พยักหน้ารับเป็นเชิงตอบว่าเข้าใจ

“ในด้านการแสดง ภาษาร่างกายก็มีความหมายพอๆ กับคำพูด.... ถ้าเราอยากให้ใครสักคนหยุดฟังในเรื่องที่สำคัญมากๆ การแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายก็จะช่วยสื่ออารมณ์ได้มากทีเดียว โดยเฉพาะในฉากโรมานซ์” 

ครูผู้สอนจัดแจงดึงให้ผมกับแดนยืนหันหน้าเข้าหากันในระยะประชิด เพียงแค่สบสายตาอีกฝ่ายชั่วแวบเดียว ผมก็หัวใจเต้นแรงหน้าแดงร้อนผ่าวถึงหูในขณะที่พวกน้องๆ ส่งเสียงโห่แซวดังขรมทั่วห้องสตูดิโอ.... บ้าที่สุด ทำไมทุกคนถึงได้รู้กันหมดเลยล่ะว่าผมชอบเจ้าหมานี่!

“ไหนแดนลองแตะไหล่ปาย เรียกให้เขาหยุดฟังแล้วสบตากันเตรียมจะสารภาพรักนะจ๊ะ.... เอ้า สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”

หลังได้ยินเสียงสัญญาณ ผมก็ตั้งสติจดจ่ออยู่กับบทบาทชั่วคราวที่ได้รับ

“ฟ้า.... นายฟังที่ฉันพูดให้ดีนะ.........”

“อะไรของนายวะ แสงเหนือ?”

“คือว่าฉัน.............”

“ขอโทษครับครู.... แต่ผมเล่นฉากนี้ไม่ได้”

“เอ๊ะ??”

บรรยากาศเข้าด้ายเข้าเข็มระหว่างพระเอกกับนายเอกจำเป็นพังครืนทันทีที่แดนพูดประโยคนั้นออกมา ร่างสูงถอยห่างจากผมพร้อมทั้งเบือนหน้าหันไปมองทางอื่น ทำเอาหัวใจผมหล่นวูบก่อนที่อาการเห่อร้อนจะลุกลามขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่ด้วยความเขินตัวอ่อนตัวงอ แต่เป็นความอับอายที่ถูกปฏิเสธต่อหน้าคนเป็นสิบต่างหาก

“เป็นอะไรไปน่ะ แดน.... ทำไมถึงเล่นไม่ได้ล่ะคะ?”

“พอดีผมบิวท์ตัวเองไว้ว่าฉากนี้ต้องเป็นทิชาเท่านั้น พอเป็นคนอื่นมาเล่นแทนก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะครับ”

แดนตอบหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่จนมึนตึบเกือบล้มทั้งยืน

“อ้อ เหรอจ๊ะ” 

ในเมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น คุณครูก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย ยิ่งเป็นพระเอกที่แม่อิ๋วหมายมั่นปั้นมือจะให้คู่กับทิชาซึ่งเป็นหลานรักด้วย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็คงต้องยอมผ่อนปรนให้เป็นกรณีพิเศษ 

“งั้นวันนี้ก็มาฝึกเบสิคตามที่ครูเคยสอนไปเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน รอจนกว่าทิชาจะกลับมาแล้วค่อยมาลองเล่นฉากนี้ดูอีกที”

ผมกลับไปยืนข้างภัทรแล้วฝึกซ้อมพื้นฐานไปตามคำสั่งจากครูผู้สอน แต่ก็ยังมิวายแอบมองคนใจร้ายที่ขยำขยี้ความรักของผมครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เนืองๆ พอเจ้าภัทรจับได้ทีก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ที หากใครจะเลยรู้ว่าจริงๆ แล้วข้างในอกผมมันทั้งช้ำและร้าวระบมไปถึงไหนต่อไหนด้วยน้ำมือของนายแดน ดรัณภพ

แต่ถ้าถามว่าเข็ดไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมหลาบจำเสียที....

“แดน เรื่องเมื่อวานไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

ด้วยความไม่เข็ดไม่จำ ช่วงพักเบรค ผมก็คว้าน้ำเกลือแร่เย็นเจี๊ยบยี่ห้อที่แดนชอบก่อนจะมองหาเป้าหมายแล้วเดินเข้าไปหาทันที เห็นจากไกลๆ ว่าเจ้าตัวกำลังหน้าดำคร่ำเครียดเพ่งหน้าจอโทรศัพท์มือถือคล้ายกำลังแชทไลน์กับใครบางคนอยู่.... ผมขี้เกียจเดาแล้วว่าฝ่ายโน้นเป็นใครเพราะคำตอบก็มีอยู่ข้อเดียว หลับตาจิ้มยังถูก แต่ขอมองข้ามไปก่อนเพราะวันนี้ทิชาตัวเป็นๆ ไม่มา เป็นโอกาสเดียวที่ผมจะเข้าไปคลอเคลียง้องแง้งกับแดนแบบเมื่อก่อนได้

“ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่ปาย”   

เขารับขวดพลาสติกไปจากมือผมแล้วเปิดดื่ม โล่งใจชะมัดที่ได้เห็นรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนแดนไม่ได้ยิ้มให้ผมมานานมากแล้ว

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เป็นห่วง”

“ขอบคุณทำไม.... พี่ก็ต้องเป็นห่วงแดนอยู่แล้วสิ” 

ใจผมฟูมาก หากก็ต้องเก็บอาการคุมโทนไม่ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยที่ตื่นเต้นดีใจง่ายเวอร์ไปกับทุกเรื่อง 

“แล้วทิชาล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง”

“แต่เมื่อวานเขาดูแย่มากเลยนะ ร้องไห้ขนาดนั้น.... พี่เห็นจากไกลๆ ยังตกใจเลย”

“เขาก็รักของเขา ถ้าไม่ร้องไห้เลยสิแปลก”

คำพูดที่ได้ยินทำให้ผมนึกเอะใจตะหงิดๆ เช่นเดียวกับสีหน้าขมขื่นของร่างสูงขณะเอ่ยถึงบุคคลที่สาม.... ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าผมก็จะอยู่ในที่ของตัวเองแบบเงียบๆ ทิชาก็อยู่ส่วนทิชา ผมจะไม่ไปก้าวก่ายความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้น ถ้าแดนอยากจะคบกับทิชาก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาไม่ได้หมางเมินผม แต่ที่เมื่อกี้แดนบอกคล้ายๆ ว่าทิชาเองก็มีคนรักอยู่แล้วมันหมายความว่ายังไง?

“เอ่อ.....แดน........พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?” 

รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรถามหากก็อดไม่ได้ อยากฟังให้แน่ใจว่าต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่ผมกำลังเผชิญมันมาจากไหน แดนเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยมือจากทิชาเอง หรือว่าทิชาคือคนที่คิดจะจับปลาสองมือ 

“ทิชาน่ะ.... เขามีแฟนอยู่แล้วใช่หรือเปล่า?”

แดนพยักหน้าแล้วย้อนถามกลับ 

“พี่ปายจะอยากรู้ไปทำไม?”

“ก็ถ้าทิชามีแฟนอยู่แล้ว พี่คิดว่าเขาไม่ควรจะมาทำตัวสนิทสนมให้ความหวังแดนไปวันๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางทิ้งตัวจริงมาคบกับแดน.......” 

ผมตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าใครทั้งนั้น เพียงแค่อยากให้คนตรงหน้ารับรู้ว่าถ้าเขาต้องเจ็บเพราะทิชาไม่รัก ใจของผมก็เจ็บไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 

“พี่เข้าใจว่าความรู้สึกของการตกเป็นตัวสำรองมันเป็นยังไง มันเหนื่อย มันท้อ มันอึดอัดทรมานใจไปหมด.... พี่ยอมให้แดนใช้พี่เป็นตัวสำรองเวลาที่ทิชาไม่อยู่ได้ แต่พี่ไม่อยากให้ใครมาทำแบบนั้นกับแดน ต่อให้เป็นทิชาที่แดนบอกว่ารักมากมายก็เถอะ”

“งั้นพี่ปายก็คงจะเข้าใจใช่ไหมว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากแค่ได้อยู่ใกล้ทิชา.........” 

เจ้าของเสียงทุ้มตอบกลับอย่างเฉยเมย ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดคิดสักนิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นใช่ทางที่ถูกต้องหรือเปล่า เหมือนเห็นๆ กันอยู่ว่าถนนข้างหน้ามันขาด ฝืนขับต่อไปก็รังแต่จะตกเหวตาย แล้วแดนก็เลือกที่จะยอมตายทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปสวรรค์หรือนรกถึงจะได้เจอทิชา 

“เขาจะรักหรือไม่รักผมก็ช่าง จะใช้ผมเป็นตัวสำรองหรือตัวห่าตัวเหวอะไร ผมไม่สนใจหรอก.... ใครก็อย่ามาเสือก!”

“โอเคๆ พี่รู้แล้ว.......พี่ขอโทษ.......พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก........แดนอย่าโมโหพี่เลยนะ.....” 

พอถูกด่าว่าเสือก ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าพูดมากเกินไปแล้ว ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องระหว่างแดนกับทิชาไง เวลาโดนโกรธก็มือไม้ปากคอสั่นเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ยอมคุยด้วยอีก

ผมเบียดตัวเข้าไปกอดร่างหนาเอาไว้ ซบหน้าลงบนผืนอกกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่ามันต้องเป็นของผมแน่ๆ หากสุดท้ายก็ได้แค่เพียงหยิบยืมมาใช้ชั่วคราว.... ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ความรักซึ่งดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดีกลับกลายเป็นรักข้างเดียว ทว่า ผมก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองอกหัก ผมเลือกที่จะขออยู่แบบเจ็บๆ ดีกว่าจะให้แดนออกไปจากชีวิตของผมอย่างเด็ดขาด

ผมเพิ่งเปรียบว่าสิ่งที่แดนกำลังทำก็ไม่ต่างกับการขับรถตกเหวไปเมื่อกี้นี้เองนี่นะ แต่ผมกลับทำแบบเดียวกับที่แดนทำไม่มีผิด เรียกว่าตายโค้งเดียวกันเลยก็ยังได้

“พี่รักแดนนะ.........ถึงแดนจะรักคนอื่น แต่พี่ก็ยังรักแดน.........”

ริมฝีปากที่ทาบทับลงไปนั้นเย็นชืดราวกับรูปปั้นหินกลางสายฝน ทั้งที่เอื้อนเอ่ยความรู้สึกออกไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้หวังอะไรมากเกินไปกว่าแค่เพียงเศษเสี้ยวความรักจากอีกฝ่าย แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับผมอยู่ดี

แดนผลักผมออกอย่างไร้เยื่อใย แม้จะไม่รุนแรงหากกลับทำให้เจ็บยิ่งกว่าถูกฟาดด้วยไม้หน้าสาม ผมเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หมดเรี่ยวแรงจะยืนในยามที่นัยน์ตาทั้งสองข้างถูกม่านน้ำบดบังจนพร่ามัวมองภาพเบื้องหน้าไม่เห็น ข้างในอกแสบร้อนก่อนที่เสียงสะอื้นจุกจะหลุดรอดออกมา.... ในตอนนั้น ผมก็ยังแอบหวังอยู่นะว่าแดนจะปลอบ โกหกหรือทำอะไรก็ได้เพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น แสดงออกว่าเขาแคร์ผมสักนิดก็ยังดี แต่ไม่เลย แดนไม่ให้อะไรผมเลยยกเว้นคำพูดตัดรอนชัดเจนกับเสียงฝีเท้าซึ่งเดินห่างออกไปทุกที


“ผมว่าพี่ปายไปรักคนอื่นเถอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลย”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 28-04-2018 20:03:01
TISHA's PART



โป๊ะไฟเพดานห้องผมแม่งน่าเกลียดชะมัด เห็นแล้วรำคาญลูกตา....


หลังจากคิดแบบนั้นออกไป ผมก็อดด่าตัวเองไม่ได้ที่ขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหวี่ยงวีนได้แม้กระทั่งกับข้าวของที่เห็นมาตั้งแต่เกิด คงเป็นเพราะภายในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมามีเรื่องอะไรต่อมิอะไรประเดประดังเข้าใส่ผมเต็มไปหมด เรื่องพี่โรมถูกยิง เรื่องที่ทางบ้านพี่โรมไม่ชอบผม เรื่องไอ้บี๋ เรื่องที่โดดเรียน โดดงาน แต่แล้ว อยู่ดีๆทุกอย่างก็แตกกระจายหายไป เหลือเพียงตัวผมซึ่งนอนมองเพดานอยู่ตามลำพังกับหัวสมองอันแสนว่างเปล่า

และความเหงาที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ....

นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะบอกว่าห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว จะเปลี่ยนใจไปรับยัยมิลค์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ ผมกลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจไปเรื่อยเปื่อย กำลังจะลุกขึ้นไปอาบน้ำให้หัวเย็นลงแล้วเข้านอน โทรศัพท์ก็ส่งเสียงดังแจ้งเตือนให้รู้ว่ามีคนกำลังอยากคุยด้วย



พ่อแมว

Would like facetime….




‘แม่แมว นอนหรือยัง...........’

ทันทีที่กดรับคอล ใบหน้าหล่อยิ้มแป้นแล้นก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ ทำเอาจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานนี้ทั้งเจ็บหนักและเสียเลือดเยอะตามที่หมอบอก ถ้าไม่เห็นสายระโยงระยางตรงหัวเตียงก็แทบดูไม่ออกเลยว่าเจ้าตัวอยู่โรงพยาบาล                                                                                                                                                                   

‘ลูกสาวพี่ไปไหนแล้ว พามาฟัดพุงผ่านจอหน่อยสิครับ’

“มิลค์ไม่อยู่ ไปนอนโรงแรม......”   

ผมตอบเสียงห้วนตึง หน้าบึ้งเหมือนไม่อยากคุยด้วย ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันจะไม่ใช่ความผิดของพี่โรมก็เถอะ แต่พอนึกถึงคำพูดที่ได้ยิน ตะกอนในใจก็ขุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ 

“ก็ทีแรก ชาคิดว่าจะต้องไปอยู่เฝ้าพี่โรมที่โรงพยาบาลก็เลยเอามิลค์ไปฝาก ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะโดนไล่กลับมาอย่างกับว่าเป็นคนยิงพี่โรมเสียเอง........”

‘โกรธพี่เหรอ คนดี?’

“เปล่า”

‘แม่พี่คงจะแค่ตกใจน่ะ เอาไว้พี่จะค่อยๆ อธิบายให้ที่บ้านฟังเอง.... ทิชาอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ มันไม่มีอะไรหรอก’

"กล้าพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณแม่กลับไปแล้วสิท่า?"

‘กลับไปเมื่อตอนเย็นแล้ว.... แต่ถึงม๊าอยู่ พี่ก็กล้าพูดนะ’

ผมรู้ว่าพี่โรมก็ทำได้อย่างมากก็คือปลอบ ก็อย่างที่บอกว่าปัญหาของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผมเป็นผู้ชาย แต่แม่พี่โรมไม่ชอบที่ผมเป็นลูกเมียน้อยชื่อเสียงฉาวโฉ่ระดับประเทศ การยอมรับคนแบบผมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวก็คงจะมีผลกระทบหลายอย่าง ทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คงมีแค่ถ่ายเลือดทั้งหมดในตัวผมออกแล้วเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลหนีความจริงแหละมั้ง

“ชาไม่ได้โกรธพี่โรม.... ไม่ได้โกรธแม่พี่ด้วย ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น”

‘ทิชา............’

“ชาไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดแบบนั้นแล้ว โดนจนชิน ไม่อยากสนใจ แล้วก็ไม่อยากเก็บเอามาใส่ใจด้วย”

คำว่า ‘ช่างแม่ง’ ถูกนำกลับมาใช้อีกหน ช่างแม่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ช่างแม้กระทั่งครอบครัวพี่โรม.... ช่างแม่งให้หมด!

‘ดูหน้าเราสิ หน้าตางอแงเหมือนยัยมิลค์เวลาโดนพาไปอาบน้ำเลย’ 

พี่โรมแหย่ผมอย่างหวังจะให้อารมณ์ดีขึ้น ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยที่มาทำเหวี่ยงไร้สาระใส่เขา ทั้งๆ ที่เขาก็ยังเจ็บอยู่แต่ยังต้องมาง้อผมอีก

‘ถ้าอยู่ใกล้ๆ กัน สงสัยโดนพี่หอมแก้มไปแล้วมั้งเนี่ย’

“งั้นพี่ก็มาบ้านชาดิ” 

ในที่สุดผมก็ใจอ่อน ปล่อยยิ้มออกมาจนได้

‘ได้ เดี๋ยวไปทั้งสายห่าอะไรก็ไม่รู้หมดนี่เลย’

ร่างสูงพูดก่อนจะแพลนกล้องไปข้างๆ ให้ผมเห็นสารพัดอุปกรณ์ที่คุณหมอใช้ล่ามเขาเอาไว้กับเตียงเหล็ก

“จะบ้าเหรอ อย่านะ”

‘หรือทิชาจะมาหาพี่เองล่ะ?’ 

พี่โรมถาม แต่ดูก็รู้ว่านั่นน่ะจงใจจะใช้มารยาคนเจ็บอ้อนกันชัดๆ 

‘พี่คิดถึงทิชา วันนี้ตอนเจอก็ยังไม่ได้คุยกันเลย กอดก็ไม่ได้กอด.... เนี่ย ข้าวโรงบาลก็ไม่อร่อย อยากกินสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อฝีมือเมีย’

“ดึกแล้ว หมดเวลาเยี่ยมแล้ว”

‘โรงบาลแพงๆ ไม่มีซีเรียสเรื่องเวลาเยี่ยมหรอก.... มาตอนตีสามก็ได้’

อ้อนกันเสียขนาดนั้น ผมก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบตกลง หากพอจะกดวางสายเตรียมตัวไปเปลี่ยนชุดหยิบกระเป๋าสตางค์ พี่โรมก็หักลำกลางอากาศเปลี่ยนใจไม่อยากให้ผมไปหาเสียอย่างนั้น

‘แต่อย่ามาเลย ขับรถดึกๆ มันอันตราย’

“เดี๋ยวชาเรียกแกร็ปไปแล้วกัน”

‘นั่งแท็กซี่ก็อันตราย ให้ใครก็ไม่รู้มาขับรถให้แฟนพี่ตอนกลางค่ำกลางคืน พี่ไม่ยอมหรอก’

เหตุผลของผู้ชายขี้หวงทำเอาผมหลุดขำ บางทีก็กลุ้มใจอยู่เหมือนกันที่พี่โรมประคบประหงมผมเสียยิ่งกว่าลูกอ่อน ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เวลาอยู่ด้วยกัน นอกจากงานบ้านกับเรื่องของยัยมิลค์ เขาแทบจะไม่ยอมให้ผมหยิบจับทำอะไรเลย ยิ่งพอรู้ว่าจริงๆ แล้วผมยังขับรถไม่คล่อง พี่โรมก็ยิ่งห่วงจนวิตกจริต พักหลังๆ มานี้ไม่ยอมให้ผมแตะกุญแจรถแล้วด้วยซ้ำ

“งั้นชาก็ไม่ต้องไปไหนละ เชิญพี่โรมคิดถึงให้ตายไปเลย”

ผมบอกแค่นั้นแล้วก็กดวางสาย แต่ก็ไม่ได้ไปอาบน้ำเข้านอนอย่างที่ตั้งใจในคราวแรกหรอก.... พูดไปก็จะหาว่าเวอร์ แต่แค่ได้เห็นหน้ากับได้ยินเสียงพี่โรม ได้รู้ว่าเขายังคงมั่นคงในความรักของเรา ไม่ได้หวั่นไหวโอนเอนเพราะแม่เขาไม่ชอบผม เพียงเท่านั้น ห้วงความคิดซึ่งเครียดขึ้งบ้าๆ บอๆ มาตลอดทั้งวันก็ผ่อนคลายลงรวดเร็วยิ่งกว่าโดนเป่ามนต์ใส่เสียอีก




“ทิชามาแล้ว~”

แค่เปิดประตู น้ำเสียงระรื่นไม่สมกับแผลฉกรรจ์ตรงไหล่ซ้ายก็ลอยมากระทบโสตประสาท ร่างบนเตียงผู้ป่วยยิ้มแย้มกระปรี้ประเปร่าไม่มีวี่แววว่าจะง่วงแม้ว่าเวลาจะเลยเที่ยงคืนมาสักพักแล้ว.... ตอนแรกเห็นคุณหมอบอกว่าต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยเกือบเดือนถึงจะหายเป็นปกติ ที่ไหนได้ แค่ชั่วข้ามคืนก็ทำท่าว่าจะกลับมาออกฤทธิ์ออกเดชได้อีกแล้ว

“ไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่บอกไม่รู้นะว่าเจ็บอยู่” 

ผมเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ผ้าพันแผลบนไหล่หนาเตอะยาวมาถึงต้นแขน สายน้ำเกลือยังเจาะอยู่ตรงหลังมือแต่ก็มีรอยเข็มอะไรต่อมิอะไรปิดพลาสเตอร์เต็มท้องแขน ต่อให้เก่งแค่ไหน โดนมาขนาดนี้ก็ต้องมีสะดุ้งสะเทือนกันบ้างแหละ 

“หมอเขาทำอะไรกับพี่บ้างเนี่ย เจ็บมากไหม?”

“พี่เจ็บจนจะขาดใจตายเลย” 

ขนาดถามจริงจังยังมีแก่ใจจะมาพูดเล่น ไม่รู้หรือไงว่าเพราะคำว่า ‘ตาย’ นี่แหละที่ทำให้ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่กระสุนไม่ได้เฉียดหัวใจหรือเข้าท้องเข้าปอดคุณผู้ชายเลย 

“แต่ถึงเจ็บกว่านี้ พี่ก็ไม่ยอมตายหรอก.... กลัวเด็กบางคนแถวนี้จะทำน้ำตาท่วมโลกน่ะ”

“เด็กที่ไหน ชาไม่ได้ร้องเลยสักแอะ”

“ไม่จริงอะ ขนาดตอนเมายาสลบลืมตาไม่ขึ้นยังได้ยินเสียงเราสะอื้นฮึกๆๆ อย่างกับอยู่ในงานศพ”

ฟังพี่โรมพูดแล้วผมอยากจะยกเก้าอี้ฟาดแรงๆ สักที ผมร้องไห้จะเป็นจะตายนี่มันตลกตรงไหน แล้วไอ้ที่ร้องไม่เลิกนั่นก็เพราะเป็นห่วงเขาล้วนๆ แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบโต้ มือข้างที่ไม่ได้โดนผูกเอาไว้กับสายน้ำเกลือก็วางแหมะลงกลางหัวผม ขยี้เบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มออกมาให้ผมคลายความกังวล

“รู้ว่าเราเป็นห่วง แต่จะบอกว่าไม่ต้องร้องไห้หรอก.... พี่รักทิชามากขนาดนี้แล้วจะกล้าหนีไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”

“ให้มันจริงเถอะ” 

ผมแกล้งทำเป็นถอนหายใจเอือมระอาในความเลี่ยนของอีกฝ่าย ไม่อยากให้เขารู้ว่าอันที่จริงแล้วผมดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินคำบอกรักซื่อๆ ที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับจากใคร 

“ตอนที่ฟังจากไอ้แดนว่าพี่โรมโดนยิง เห็นบอกว่าเสียเลือดมาก อยู่ไอซียู อาการเป็นตายเท่ากัน หัวใจชาแทบจะหยุดเต้นไปเดี๋ยวนั้นเลย.... ใครจะไปรู้ว่าแค่โดนยิงเข้าไหล่ รู้งี้ไม่ร้องไห้กลางลานจอดรถสถานีให้เสียฟอร์มทิชนันท์คนคูลหรอก”

“ไอ้ห่าแดนมันก็พูดเวอร์ ไว้พี่จะไปด่ามัน”

“ไม่ต้องเลย ด่าตัวเองเหอะ.... เดินภาษาอะไรให้โดนลูกหลงพวกช่างกล”

พูดก็พูดเถอะนะ ผมยังตะขิดตะขวงใจอยู่นิดหน่อยที่พี่แจ็คยืนยันว่าพี่รุจกับพรรคพวกที่เบอร์ลิคไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องที่พี่โรมถูกยิง แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่คิดว่าพี่แจ็คจะโกหกเพื่อปกป้องใคร เพราะเขากับพี่โรมก็สนิทกันมาก.... ก็สรุปเอาเป็นว่าพี่โรมเดินเซ่อซ่าดวงซวยไปเข้าวิถีกระสุนเองแล้วกัน

ผมตรงไปยังเคาท์เตอร์เล็กๆ สำหรับใช้วางและอุ่นอาหารสำหรับญาติและคนอยู่เฝ้าไข้ แกะโจ๊กทรงเครื่องรวมมิตรเจ้าดังที่แวะซื้อมาใส่ชามแล้วเอาไปเสิร์ฟให้คนเจ็บถึงเตียง.... ร้านนี้ผมกับพี่โรมเคยไปกินด้วยกันบ่อยๆ ช่วงที่อยู่คอนโดฯ แต่เรามักจะสั่งพวกต้มเลือดหมูหรือไม่ก็ก๋วยจั๊บน้ำใสกันมากกว่า หากพอนึกถึงที่แม่พี่โรมพูดเมื่อตอนกลางวันเรื่องที่ผมซื้อไก่ทอดมา ผมก็เลยคิดว่าโจ๊กน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ปลอดภัยที่สุด ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจนักก็ตาม

“เห็นตอนคอลกัน พี่โรมบอกว่าหิว ชาก็เลยซื้อโจ๊กเปิดหม้อมาให้.... สั่งเขาแล้วว่าไม่ใส่ไข่ อันนี้กินได้ใช่ไหม? จะแสลงอะไรอีกหรือเปล่า?”

“แน่ะ แซะเก่งนะเรา”

“ไม่ได้แซะ.... ใครจะไปกล้า นั่นแม่พี่นะ”

อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะซื้ออะไรไม่เข้าท่ามาให้กินจนทำให้แผลหายช้า แต่ดันมาหาว่าผมงอนประชดที่โดนแม่เขาว่าเสียนี่ ถ้าไม่ติดว่ารักมากและกำลังเจ็บอยู่มีหวังได้โดนชามโจ๊กคว่ำใส่กลางหัวแน่

ผมวางชามเอาไว้บนรถเข็นมีล้อเลื่อนแบบที่ใช้กันทั่วไปตามโรงพยาบาล ปรับระดับความสูงให้พี่โรมสามารถตักอาหารกินเองได้สะดวก ทว่า ร่างสูงกลับนั่งจ้องหน้าผมตาใสปิ๊ง ไม่มีวี่แววว่าจะบริการตัวเองแต่อย่างใด พอผมขมวดคิ้วใส่ เสียงทุ้มห้าวผสมสำเนียงอ้อนชวนขนลุกก็เอ่ยดังขึ้น

“ป้อนพี่หน่อยสิครับ ทิชา” 

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายไซส์ XXL เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าๆ จะกล้าใช้น้ำเสียงและสายตาแบบเดียวกับเด็กห้าขวบเวลาอยากได้ของเล่น เป็นครั้งที่สองที่ผมคิดว่าถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นแฟนผม ผมจะเอาชามโจ๊กคว่ำใส่เขาอย่างแน่นอน 

“เหลือมือใช้ได้อยู่ข้างเดียว กินเองไม่ถนัด”

“แล้วเมื่อตอนกลางวันพี่กินข้าวยังไง ให้แม่ป้อนเหรอ?” 

ผมแกล้งถามอย่างนึกหมั่นไส้ แต่มือก็หยิบช้อนเตรียมจะตักโจ๊กให้เขาอยู่แล้ว

“เห็นแม่บังเกิดเกล้าแล้วไม่ตื่นเต้น แต่เห็นแม่แมวตัวขาวๆ แล้วมือไม้มันอ่อนตลอดเลย”

ผมถอนหายใจให้กับคนตัวโตซึ่งนับวันจะยิ่งง้องแง้งไม่เกรงฟ้าดิน ถึงจะเลี่ยนอยู่ไม่น้อยแต่เอาจริงๆ ผมก็ชอบให้เขาอ้อน ชอบที่จะได้เห็นว่าพี่โรมเองก็รักผมมากเหมือนอย่างที่ผมรักเขา.... กับคนอื่น ผมไม่เคยให้ใครมากเท่านี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งกับรุ่นพี่คนแรกที่นอนด้วยก็ยังไม่ได้รับความห่วงใยใส่ใจจากผมสักเท่าไร พี่โรมคือคนพิเศษ.......พิเศษที่สุดอย่างที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้วในชีวิตนี้........

เพียงไม่นาน โจ๊กทรงเครื่องถุงใหญ่ก็หมดลง ผมเข็นโต๊ะล้อเลื่อนไปชิดผนังข้างหนึ่ง ยกชามไปรองน้ำไว้ในอ่างซิงค์ กะว่าให้พี่โรมหลับก่อนแล้วค่อยมาล้างเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วไปให้แล้วคอยดูแลซับปากหลังจากที่เขาดื่มเสร็จ

“ชาอยากจะมาดูแลพี่โรมที่นี่ อยู่โรงพยาบาลถึงจะมีคนให้เรียกยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ยังไงก็ไม่สบายเท่าอยู่ห้องหรอก........” 

ผมบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งมันก็คงเป็นได้แค่ความคิดเพราะยีงมีอุปสรรคใหญ่ขัดขวางเรื่องของเราสองคนอยู่ 

“แต่แม่พี่คงไม่ชอบถ้ารู้ว่าชามาเฝ้าลูกชายเขา”

“ไหนว่าชินแล้ว ไม่คิดมากไง”

มือหนาเอื้อมมาแตะแก้มผมเบาๆ คำพูดอาจฟังดูคล้ายแหย่เล่น แต่แววตาสีเข้มกลับฉายชัดถึงความห่วงกังวล

“แล้วพี่โรมเชื่อจริงๆ เหรอว่าชาจะไม่คิดมาก?”

“ไม่เชื่อ”

“ก็นั่นไง..........”

ผมพยายามแล้วที่จะไม่คิดหากมันก็เหมือนมีเสี้ยนอันใหญ่เบ้อเริ่มปักอยู่กลางหัวใจ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ผมกับพี่โรมจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วคบกันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทางบ้านเขาไม่ปลาบปลื้มชาติกำเนิดของผม.... และผมก็กลัวว่าพี่โรมจะปฏิเสธความต้องการของพ่อแม่เขาไม่ได้ ถึงเราจะรักกันมากแค่ไหนแต่คนปกติทั่วไปก็ย่อมต้องเลือกให้ครอบครัวมาก่อนอยู่แล้ว สุดท้าย ผมก็อาจจะต้องกลับไปเป็นทิชา ทิชนันท์ที่ไม่มีใครรักเหมือนเดิม

พี่โรมตบเบาะที่ฝั่งขวาเสียงดังปุๆ เรียกผม ก่อนจะขยับตัวอีกเล็กน้อยเพื่อเว้นให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้น

“ขึ้นมานอนกับพี่มา”

“ไม่เอาหรอก.........” 

แค่อีกฝ่ายบาดเจ็บก็แย่พออยู่แล้ว ผมก็เลยอยากให้เขาได้นอนสบายๆ มากกว่าจะขึ้นไปเบียดบนเตียงเดียวกัน

“ขึ้นมาเถอะ.... พี่เจ็บแค่ไหล่ซ้ายนิดเดียวเอง ไหล่ขวายังเหลือเราหนุนได้สบาย” 

ร่างหนากล่อมผมให้คล้อยตาม อย่างกับดูออกว่าผมโหยหาไออุ่นและอ้อมกอดจากเขามากเหลือเกิน 

“ทิชาไม่คิดถึงพี่เลยเหรอ.... พี่อยากนอนกอดเราจะแย่อยู่แล้ว นอนคนเดียวมันเหงา มาให้พี่ชื่นใจหน่อยนะครับ”

ยากที่จะบอกว่าเป็นเพราะทนเสียงรบเร้าไม่ได้หรือเป็นเพราะผมใจอ่อนง่ายเอง แต่พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็เดินไปปิดไฟหลอดนีออนดวงใหญ่แล้วเปิดไฟดิมเมอร์สีส้มเอาไว้แทน.... ผมปีนขึ้นไปนอนบนเตียง เบียดตัวเข้าหาร่างสูงพลางซบหน้าลงบนลาดไหล่หนาข้างที่ไม่มีผ้าพันแผล แม้จะยังเจ็บแต่อ้อมแขนที่โอบรอบกายผมก็ยังแข็งแรงและอบอุ่นไม่ต่างไปจากเดิม กลิ่นอายจากผิวเนื้อคนรักปลอบประโลมหัวใจซึ่งเครียดขึ้งขุ่นมัวให้สงบลง.... แม้ไม่มีคำพูดกำกับแต่ผมก็รู้ได้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าสำหรับผมแล้วมันต้องเป็นที่ตรงนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเยียวยาบาดแผลในใจผมได้ดีเท่ากับอ้อมกอดของพี่โรมอีกแล้ว

เราทั้งคู่นอนเบียดอิงแอบกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่โดยที่ไม่มีใครหลับ สังเกตได้จากแรงกระเพื่อมจากผืนอกหนาซึ่งยังไม่สม่ำเสมอ หนักบ้าง เบาบาง ผมจึงเดาเอาว่าเขาเองก็คงมีเรื่องให้ต้องใช้ความคิดไม่ต่างกัน

“ทิชา”

“หืม?”

“พี่รู้ว่าเราคิดมากเรื่องที่แม่พี่พูดเมื่อตอนกลางวัน.... พีขอโทษนะ พี่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” 

พี่โรมพูดก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบหน้าผากผม เราสบตากันท่ามกลางแสงไฟสลัว รับรู้ได้ถึงความกลัดกลุ้มกังวลของกันและกัน

 “จะบอกไม่ให้เราคิดอะไรเลยก็คงไม่ใช่.... สิ่งที่แม่พี่พูดมันฟังดูแย่มาก แต่ก็ไม่อยากให้ทิชาเก็บเอาคำพูดพวกนั้นมาคิด”

“แล้วพี่อยากให้ชาทำยังไง?”



“ก็ไม่ต้องทำยังไง.... เราก็อยู่ของเราต่อไปแบบนี้แหละ”

ผมเหลือบสายตามองหน้าอีกฝ่าย ออกจะงงอยู่นิดหน่อยที่เขาบอกให้ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วอยู่ด้วยกันอย่างที่เคยเป็นมา อย่างนี้แล้วพ่อแม่เขาจะไม่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ลูกชายคนโตขัดคำสั่งพวกเขาหรอกเหรอ.... แต่พี่โรมก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้สงสัยนานนัก เขาเล่าความในใจให้ฟังอย่างหมดเปลือกชนิดที่ทำให้ผมแทบละลายตายคาอกกว้าง

“ถึงจะแค่ไม่กี่เดือนที่เราคบกัน แต่พี่ก็รักของพี่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด.... ตอนที่ถูกยิงแล้วล้มลง พี่คิดว่าตัวเองคงจะต้องตายอยู่ข้างถนนแน่ๆ แต่ข้างในหัวกลับมีแต่ภาพหน้าทิชาลอยขึ้นมา คิดแค่ว่ายังตายตอนนี้ไม่ได้ พี่ยังไม่ได้พาทิชากับยัยมิลค์ไปเที่ยวทะเลใต้อย่างที่เคยคุยกันเอาไว้เลย ยังมีเรื่องที่อยากทำด้วยกันอีกตั้งเยอะ ที่ที่อยากให้ไปเห็นด้วยกันก็มีอีกเป็นร้อย..........”

“พี่รักทิชา.... รักมากอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ถ้าพี่ต้องแยกจากทิชาจริงๆ ล่ะก็ สู้ยอมควักหัวใจออกมาโยนให้หมากินเสียยังจะดีกว่า”

“ตายข้างถนนอะไรล่ะ พูดงี้อีกแล้ว.... แค่โดนยิงไหล่ไม่ถึงตายหรอก”

ผมว่าเขาทั้งที่หุบยิ้มไม่ลง ไม่ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องตายก็จริงหากคราวนี้ผมจะไม่จิตตกหรือกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหนอีก ราวกับว่ารูโหว่ในหัวใจผมได้รับการถมจนเต็มและมันก็กลับมามีสภาพสมประกอบเหมือนอย่างคนปกติทั่วไปสักที

“ถึงพี่โรมจะไม่ใช่คนแรกที่ชาคบด้วย แต่พี่เป็นคนแรกที่ชาอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป.... พี่เป็นคนแรกที่ให้ความรักตอบกลับมาอย่างจริงใจ” 

ผมเอ่ยพลางหยัดตัวขึ้นจูบคนข้างกาย ดื่มด่ำดำดิ่งไปกับกลิ่นหอมของความรักซึ่งฟุ้งกระจายอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ในเมื่อผมได้ยินความในใจจากพี่โรมแล้ว ผมก็อยากให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผมเช่นเดียวกัน 

“อนาคตจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้เนอะ.... แต่ต่อให้พรุ่งนี้หรือวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่โรมก็คงเป็นคนสุดท้ายที่ชาจะรักได้แล้วล่ะ”

สิ่งที่เพิ่งพูดออกไปนั้นไม่ได้เกินความจริงเลย.... ผมเลือกไม่ผิด ตัดสินใจไม่ผิดที่ชิงเกียร์พี่โรมมาเป็นของตัวเอง และในเวลานี้ทั้งตัวตนและความรักที่ผมพยายามไขว่คว้าอย่างเอาเป็นเอาตายก็มาอยู่ในมือผมเสียที


“ในที่สุดก็ได้รู้สักทีว่าการถูกรักมันเป็นยังไง.... โคตรรู้สึกดีเลย รู้สึกดีมากจริงๆ”


จากนี้ไป ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องดิ้นรนเรียกร้องอย่างน่าสมเพชอีกแล้ว

ฟ้าหลังฝนมันสวยงามแบบนี้นี่เอง

.

.

หวังว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะไม่มีฝนตกลงมาอีกนะ....?   



TO BE CONTINUE
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 28-04-2018 21:06:36
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วระแวงตลอดเวลา ว่าจะมีอะไรเข้ามาอีก
ทางเดินนี่ยิ่งกว่าผิวพระจันทร์
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 01-05-2018 21:21:09
อิหลุกขลุกขลัก ตุ้มๆต่อมๆ กันทั้งเรื่อง เดาไม่ออก ไม่รู้จะยังไงต่อ ลุ้นมากจริงๆค่ะ

ชอบตัวละครในเรื่องนี้ เรียลดี เทา เทาเข้ม ยาวคนก็ดำปึ้ดไปเลย
ทิชา ลูกเอ้ยยยย ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นอยากให้น้องมีความสุขสักที ที่จริงมีคนรักหลายคน แต่กำแพง ปมในใจนี่หนาลิบลิ่ว
แรกๆที่อ่านก็คิด เอ๊ะ ชั้นจะรักนายเอกคนนี้ไหม สุดท้ายก็รักนะ รัก สงสารและเอาใจช่วย ทิชาน่ารักมาก
สุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ขอให้น้องมีความสุข คิดขนาดจะเอาเงินมาใช้ให้บีบี๋ ดูใจนายเอกชั้น คนดีมาก

พี่โรม โอ้โห พ่อคนดี คนใจดี แสนดี จนลุ้นกับชิบหายวายวอด เขาจะรักทิชาจริงไหม เขาจะเปลี่ยนใจไหม
พี่โรมดีมากนะ ดูแลทิชาดีมาก ตอนโดนยิงนี่ตกใจมาก พระเอกกูจะรอดไหม อีพี่รุจแน่นอน ชอบตรงที่ทุกคนต้องเรียนรู้
เติบโตปรับกันไป อย่าพี่โรมที่แสนดี แต่จะดีกับทุกคนก็ไม่ได้ไง แฟนคงไม่สบายใจเด้อ แต่สรุปแกเป็นพระเอกเนอะ 555

แดนเด้อ นางน่าสงสารนะ รักเขาแต่เข้าไม่ถูกทาง แถมเจอบีบี๋กันซีนไปอีก แต่แดนเองก็ยังมีความเด็กในตัวเยอะ
คือสนใจความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ไม่สนขิงข่าใดๆ กับคนอื่น อย่างเรื่องญาติอย่างโรม หรือเรื่องปาย
ที่โกรธมากคือตอนด่าทิชาตอนทิชาไปขอโทษ เด็กมาก ถ้ารักจริงจะไม่ทำแบบนี้อ่ะ เคยเชียร์แดนนะ
เจอตอนนั้นเข้าไป เงิบจ้า

บีบี๋ ชั้นก็ว่าตะหงิดๆ คำพูดช่วงแรก เอ แปลกๆ นะ จริงด้วยจ้า นางร้ายมาก ตอนหลุดปากด่าทิชายาวเหยียดคือแบบ
ป่วย ป่วยแน่ๆ เพื่อนไรแบบนี้วะ แต่ก็ โห ใช้กรรมซะน่าสงสารเลย ผัวโหดแบบนี้ไมาไหว สาทแดก
จะหนีตายก็หนีไม่ได้ คือพี่รุจก็ถ้ารักเขาก็ดีๆ หน่อยได้ไหมวะ ลุ้นสายตัวจะขาด กลัวตายก่อน

ตัวละครอื่น ปาย น่าสงสาร พื้นฐานไม่ได้เป็นคนแย่ ควรพอกับรักข้างเดียว แจ๊ค เป็นคนดีนะ สงสารนาง
เรื้องครอบครัวโรมน่าจะไม่จบแค่นี้ เอาใจช่วยทิชา ไปทำบุญไปลูกไป

วันนี้หยุดอ่านมันทั้งวันเลย สนุกมาก ยาวมากด้วย ขอบคุณนะคั
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 02-05-2018 04:35:52
สนุกมากกกกก ไม่หวังไรเเล้ว ระแวงไปหม้ดดดด :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 02-05-2018 23:39:48
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-05-2018 09:58:28
เป็นกำลังใจให้พี่โมกับทิชาสู้ต่อไป ยากให้ทั้งคู่มีความสุข
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 03-05-2018 11:12:26
ขอให้หลังจากนี้ไม่มีอะไรร้ายๆนะ เห้อ

ส่วนเฮียรุจเนี่ยชอบบีบี๋ จริงหรอ รุนแรงขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-05-2018 23:52:15
17
~ ฤดูฝนครั้งสุดท้าย ~


TISHA’s PART



“ถึงจะดูเหมือนหายเร็ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องแผลติดเชื้อและผลข้างเคียงหลังผ่าตัด.... ยังไงก็รออีกสอง-สามวันนะครับ ถ้าไม่มีอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ หมอค่อยให้คุณโรมกลับบ้าน”

คุณหมอพูดยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายก็ดังขึ้นจากคนที่กำลังนั่งหน้าเซ็งอยู่บนเตียง.... เพราะเจ้าตัวคิดว่าตัวเองหายดีไม่ได้เป็นอะไรมากมายก็เลยขอออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผมพูดเท่าไรก็ไม่ยอมเชื่อ เจอหมอเจ้าของเคสอธิบายให้ฟังชัดๆ จะได้เลิกงอแงร้องจะกลับคอนโดฯ สักที

“ได้ยินแล้วใช่ไหม พี่โรม?” 

“ได้ยิน............”

ผมไม่ได้เยาะเย้ยนะ แค่ถามย้ำเผื่อว่าคนเจ็บจะฟังไม่ถนัด แต่พี่โรมคงคิดว่าผมจะสมน้ำหน้าเขามั้งถึงได้มองค้อนทั้งผมทั้งหมอจนตาเขียวปั้ด

“หมอเข้าใจว่านอนเฉยๆ ทั้งวันก็อาจจะเบื่อ แต่ชั้นล่างของโรงพยาบาลมีคอมมูนิตี้มอลล์ พวกร้านกาแฟหรือร้านหนังสือก็มี.... คุณโรมจะลงไปยืดเส้นยืดสายเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยก็ได้ ถ้าเดินไม่สะดวกก็ขอรถเข็นจากพยาบาลได้เลย”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ”

ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยืนรอจนกระทั่งคุณหมอวัยกลางคนออกไปจากห้อง โชคดีหน่อยที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนสำหรับคนมีตังค์ สิ่งอำนวยความสะดวกก็เลยมีมากกว่าโรงพยาบาลทั่วไป ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนหัวร้อนเพราะโดนบังคับให้นอนติดเตียงทั้งวัน ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากไถมือถือดูบอลย้อนหลัง ไอ้จะชวนผมเล่มเกมออนไลน์ยกพวกไปตีป้อมอะไรนั่น ผมก็เล่นกับเขาไม่เป็นเสียด้วย

“ทิชาจะรีบกลับหรือเปล่า.... ลงไปสตาร์บัคกับพี่หน่อยดิ” 

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จตอนเกือบๆ สิบโมง พี่โรมก็เอ่ยชวนผมไปเปรี้ยวข้างล่างทันที

“ก็กะว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วค่อยไปรับยัยมิลค์ที่โรงแรม แต่ไปกับพี่โรมก่อนก็ได้”

“งั้นไปกันครับ”

ร่างสูงไม่ยอมใช้รถเข็น บอกว่าอยากจะเดินเองมากกว่า เราก็เลยลงไปชั้นล่างในสภาพที่ต้องกระเตงเสาน้ำเกลือไปด้วย.... ปกติแล้วพี่โรมจะดื่มอเมริกาโนเอ็กซ์ตร้าช็อตแต่เพราะเขายังเจ็บอยู่ ผมก็เลยสั่งเป็นแบบดีแคฟไม่มีคาเฟอีนให้แทน ส่วนของผมก็ชาเขียวปั่นหวานน้อยกับขนมอีกสอง-สามอย่าง

แค่ได้สูดออกกาศนอกห้องไปพลางจิบกาแฟไปพลาง สีหน้าหม่นๆ ของพี่โรมก็เริ่มจะซับสีเลือดมากขึ้น ผมก็พอจะเข้าใจความหงุดหงิดของเขาแหละ คนเคยไปไหนมาไหนทำนู่นทำนี่ตลอดทั้งวันแล้วอยู่ดีๆ ก็ต้องมานอนแหมบอยู่ในฐานะคนเจ็บ จะเผลอกระฟัดกระเฟียดใส่คนอื่นไปบ้างก็ไม่แปลก แต่เขาก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับผมเลยนะ มีแค่หมอกับพยาบาลที่โดน

“ค่อยยังชั่วหน่อยที่โรงพยาบาลยังอุตส่าห์มีที่ให้เดินเล่น ไม่งั้นพี่ต้องเฉาอยู่บนห้องแน่ๆ”

ร่างหนาว่าพลางยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจอ้าปากหาว ดูจากท่าทางแล้วคงเมื่อยมากจริงๆ นั่นแหละถึงได้เอ็นจอยกับการลงมาข้างล่างขนาดนี้

“เขาให้ลงมาได้แต่ก็ไม่ใช่มานั่งร้านกาแฟทั้งวันนะ ต้องพักผ่อนเยอะๆ ด้วย”

“รู้แล้วจ้า แม่แมวดุ”

ถึงจะแผลงฤทธิ์กับพยาบาลในวอร์ดแค่ไหน พี่โรมก็ไม่กล้าแหยมกับคนหัวร้อนง่ายกว่าแบบผมหรอก มีแต่จะต้องรับคำว่าง่ายแล้วก็ทำตามแต่โดยดี

เราสองคนนั่งคุยเล่นกันอยู่ในร้านกาแฟเกือบๆ ชั่วโมงก่อนจะไปเลือกหนังสือให้พี่โรมเอาไว้อ่านแก้เบื่อ.... จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วนะว่าพี่โรมหล่อ รูปร่างก็สูงใหญ่สมาร์ทเกินมาตรฐานค่าเฉลี่ยชายไทย เวลาเดินด้วยกันก็มักจะมีสาวน้อยสาวใหญ่มองจนเขาเหลียวหลัง แต่ไม่คิดว่าขนาดอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าเพลนๆ ก็จะยังโซแดมฮอตจนผมต้องทำตาขวางใส่ทุกคนที่ทำท่าจะเข้ามาขอแอดไลน์เขา

เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยขี้หึงนะ แต่กับพี่โรมนี่ไม่ได้เลย ผมหวงเขามากอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึง ยิ่งพอรู้ว่าเขาไม่ได้แค่หล่อแต่ยังแสนดีชนิดที่ผมไม่น่าจะหาจากที่ไหนได้อีกแล้ว ผมก็ยิ่งหวง กลัวว่าใครจะมาแย่งเอาเขาไป

ทั้งๆ ที่คนที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นสักหน่อย....


“เดี๋ยวชาไปก่อนนะ แล้วคืนนี้จะมาหา.... พี่โรมอยากกินอะไรก็ไลน์มาบอก ถ้าชาแวะซื้อได้ก็จะแวะให้” 

ผมพาทั้งคนเจ็บและเสาน้ำเกลือขึ้นมาส่งถึงห้อง ถึงจะอยากอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายแต่วันนี้ก็ยังมีธุระซึ่งต้องไปจัดการให้เรียบร้อยอีกหลายอย่าง ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์มาด้วยกันก็สั่งกำชับนั่นนู่นนี่ไปพลาง 

“อยู่คนเดียวอย่างอแง แล้วก็ห้ามเจ้าชู้ด้วย.... ถ้ารู้ว่าแอบจีบพี่พยาบาลล่ะก็โดนตีหัวแน่”

แทนที่จะกลัวก็กลับมายืนยิ้มกะลิ้มละเหลี่ย ดูจะชอบใจไม่น้อยที่ได้ยินผมพูดจาเหมือนว่าหึงหวง

“มีแฟนน่ารักขนาดนี้ พี่ไม่เหลือตาไปมองคนอื่นแล้ว”

“ทำพูดดีไปเหอะ”

ผมแค่นเสียงคล้ายไม่เชื่อน้ำคำร่างสูง แต่ก็รู้แหละว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ก็แค่อยากฟังซ้ำอีกรอบว่าเขารักผมมากขนาดไหนก่อนที่เราจะแยกกันชั่วคราว

แต่พอเปิดประตูกลับเข้าห้อง ปรากฏว่าห้องไม่ได้โล่งเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น หากกลับมีกลุ่มคนซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นครอบครัวของพี่โรมนั่งรออยู่.... และทันทีพวกเขาเห็นพี่โรมเดินเข้ามาพร้อมผม ยังไม่ทันได้ถามไถ่ทักทายว่าขึ้นมาจากสุราษฎร์ตั้งแต่กี่โมง นั่งเครื่องบินไปๆ มาๆ เหนื่อยไหม จะรับน้ำเปล่า น้ำผลไม้หรือว่าน้ำอัดลมดี สายตาสงสัยระคนประหลาดใจก็พุ่งตรงมาหาเหมือนลูกธนู โดยเฉพาะจากคุณแม่ซึ่งผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าท่านไม่ค่อยเอ็นดูผมสักเท่าไร

“โรม ออกไปไหนมาลูก?” 

น้ำเสียงของหญิงสูงวัยไม่ได้กรรโชกโฮกฮากแต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจจนทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจน

“ผมลงไปเดินเล่นข้างล่างกับน้องมาครับ.... หมอบอกให้ลงไปยืนเส้นยืดสายได้ พวกผมก็เลยไปหาของกินกัน”

พี่โรมจับมือผมคล้ายจะบอกกันทางอ้อมว่าไม่ต้องกังวล ก่อนจะเอ่ยตอบคุณแม่ไปเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังมิวายที่คุณแม่จะจ้องหน้าผมเขม็งอย่างพยายามจะเอาเรื่องให้ได้.... ถ้าเดาไม่ผิด ท่านคงคิดว่าผมเป็นคนชวนลูกชายสุดรักสุดหวงลงไปตะลอนๆ ทั้งที่ยังไม่หายดี

“แต่เราเจ็บอยู่นะ ทำไมไม่นอนพักเฉยๆ?” 

คุณแม่ถามพี่โรม หากกลับชำเลืองหางตามองผมราวกับจะคาดโทษ

“ผมนอนจนจะเป็นง่อยอยู่แล้วครับม๊า แค่ลงไปเดินแปบเดียวไม่เป็นไรหรอก หมอก็เป็นคนอนุญาตเองด้วย”

“คงไม่ใช่ว่าคนอยากกินคือทิชา โรมก็เลยต้องลงไปเป็นเพื่อนเขาหรอกนะ?”

ถูกต้องตรงเผง.... คิดไว้แล้วไม่มีผิด ลองว่าถ้ามองกันด้วยอคติล่ะก็ ต่อให้รัฐบาลสั่งยุบสภาหรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจค่าเงินบาทลอยตัว คุณแม่ก็คงหาทางโทษว่าเป็นความผิดของผมจนได้แหละ

“คุณ...........”

ฝ่ายคุณพ่อเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามจะปรามผู้เป็นภรรยา พี่โรมเองก็เช่นกัน เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดจากคำถามซึ่งมีเจตนาจะว่ากล่าวผม เขาก็เลือกที่จะให้ผมเลี่ยงการเผชิญหน้าจนกว่าคุณแม่จะเปลี่ยนความคิดและเลิกมองผมในแง่ร้าย.... ซึ่งผมก็ไม่ว่าเขาหรอก ไม่คิดว่าพี่โรมจะทำผิดตรงไหนด้วย แพราะคู่กรณีเป็นบุพการีเขา ไอ้จะมาเชียร์ให้ผมสู้ตายหรือถอนหงอกผู้ใหญ่ก็คงไม่เข้าท่า

“ทิชากลับไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน” 

ร่างสูงเอื้อมมือมาแตะบ่าผม แม้เมื่อคืนเราจะคุยกันแล้วว่าจะจับมือแล้วผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน หากผมก็ไม่แน่ใจเลยว่าถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป ท้ายที่สุดเราก็คงต้องเลิกกัน ซึ่งผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจึงไม่คิดจะเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วออกจากห้องไปตามที่พี่โรมขอ

“ทิชา?”

พี่โรมเอ่ยเรียกพร้อมทั้งจับแขนผม ทว่า ผมดึงมือเขาออกแล้วหันไปหาคุณแม่ตรงๆ และก่อนที่ใครจะทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ผมก็ชิงถามในสิ่งที่อยากถามตั้งแต่วันแรกที่พบท่านในห้องๆ นี้

“คุณแม่ไม่ชอบผมเหรอครับ?”

“...................”

เงียบกริบ ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยสักคน แม้กระทั่งคุณแม่ของพี่โรม

จะว่าอึ้งจนพูดไม่ออกก็อาจใช่ แต่คุณแม่ก็คงจะนึกไม่ถึงว่าผมจะกล้าจนพาลคิดไปได้ว่าผมเป็นเด็กก้าวร้าวไม่มีมารยาท ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่.... ซึ่งถ้าหากท่านจะยอมลดอคติลงสักนิดก็น่าจะรับรู้ได้ว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกเสียจากโอกาสกับเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่จะบอกว่า ทิชา ทิชนันท์ คนนี้ก็มีศักดิ์ศรีและมีสิทธิ์ที่จะรักลูกชายของท่านไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ อย่าตัดสินผมเพียงเพราะว่าผมเป็นลูกของใคร และอย่าเอาความผิดที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อมาให้ผมต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะผมจะไม่ยอมเสียพี่โรมไปเป็นอันขาด

“นอกจากเรื่องที่ผมเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดจากผู้หญิงที่บ้านทิพยศักดิเสนาไม่ยอมรับ คุณแม่ยังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้คิดว่าผมจะมาเกาะพี่โรมอีกไหมครับ?” 

ในตอนนี้ คุณแม่พี่โรมมองผมอย่างกับเห็นผี แต่ผมไม่คิดจะหลบสายตาท่าน แล้วก็ไม่คิดจะโอนอ่อนไปตามแรงดึงของร่างสูงซึ่งเกรงว่าผมจะโดนแม่เขาด่าว่าเอาแรงๆ ด้วย 

“ผมเลือกไม่ได้ว่าอยากจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน คุณพ่อกับพวกญาติๆ อาจจะไม่ต้อนรับผมกับแม่ก็จริง แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่าแม่นิดาอบรมสั่งสอนผมมาดีไม่แพ้คนที่มาจากครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อแม่ลูก.... เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่คุณแม่กลัวว่ามันจะเกิด มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอกครับ เพราะผมไม่ได้จะมาหลอกเอาอะไรจากใครทั้งนั้น.... ผมแค่รักพี่โรมครับ”

คราวนี้เงียบหนักกว่าเดิม คุณพ่อพี่โรมได้แต่ยืนมองตาปริบๆ พวกน้องๆ ก็ถอยกรูดออกไปจนติดผนังไม่มีใครกล้าเอาตัวเข้ามาอยู่ในสมรภูมิที่ผมกับคุณแม่กำลังสาดกระสุนใส่กัน.... ก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ดูจากที่คุณแม่ไม่สามารถโต้ตอบออกมาได้ทันที ผมว่าผมมีโอกาสชนะมากกว่าร้อยละเจ็ดสิบเชียวล่ะ

“แต่ถ้าคุณแม่มีเหตุผลอื่นก็บอกมาได้เลยครับ.... ผมยินดีจะแก้ไขทุกอย่าง ถ้ามันจะช่วยให้ผมกับพี่โรมได้อยู่ด้วยกันต่อไป”

ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวก้าวร้าวปีนเกลียว ผมไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร แต่ผมยอมทุ่มทุนสร้างเพื่อพี่โรม พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มีทางกล้าพูดกับใครที่ไหนก็เพื่อพี่โรม.... ผมไม่ใช่พวกเด็กขี้อ้อนเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ที่ผมมีก็แค่ความตั้งใจที่จะพิสูจน์ตัวเอง อยู่ที่ว่าคนในครอบครัวพี่โรมจะให้โอกาสผมหรือเปล่าก็เท่านั้น

“หูยยยยยย พี่ทิชาเผ็ชเวอร์”

“เดี๋ยวเถอะ มิลาน!”

คุณแม่หันไปดุแฝดคนที่ผมประบ่า คงกลัวว่าลูกสาวจะเปลี่ยนใจหันมาเชียร์ผมหลังจากที่รู้ความจริงจากปากพี่ชายแล้วว่าผมไม่เคยคบกับไอ้แดน ที่เห็นในเพจและไอจีออฟฟิศเชียลสงครามคิวท์บอยนั้นเป็นแค่การโปรโมทคู่จิ้นซีรีส์ล้วนๆ.... ซึ่งถ้ารู้ว่าโปรโมทเป็นคู่แล้วจะทำให้คนดูเข้าใจผิดไปไกลขนาดนี้ ผมก็คงไม่ตอบตกลงด้วยตั้งแต่แรกแล้ว

“แม่ว่าทิชาอาจจะกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปนะจ๊ะ”

หญิงสูงวัยพยายามคลี่ยิ้มปรับน้ำเสียงให้ปกติ ไม่ให้ผมกับลูกๆ ดูออกว่าท่านกำลังอับจนเหตุผลแต่ก็ยังไม่อยากยอมรับให้คนอย่างผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวน 

“แม่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่ว่าทิชาเป็นลูกใคร......เอ่อ.........แม่แค่คิดว่าตอนนี้ทั้งโรมแล้วก็ทิชากำลังเรียนอยู่ ไม่ควรจะรีบร้อนเรื่องมีแฟน”

“แต่เมื่อวานม๊าไม่ได้พูดแบบนี้นะคะ ม๊าบอกว่าพี่ทิชาน่ะ........”

“เงียบนะ เวนิส!”

แฝดอีกคนโดนดุทั้งที่ยังพูดไม่จบ ผมก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนในครอบครัวพี่โรมมองและพูดถึงว่าอย่างไร หากอีกใจก็คิดว่าไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว

ในเมื่อคุยกันมาถึงขั้นนี้แล้ว พี่โรมจึงลดละเลิกความพยายามที่จะให้ผมกับแม่เขาหลีกเลี่ยงการปะทะโต้คารมกัน แต่มือหนากลับกุมมือผมเอาไว้แน่นเหมือนอย่างที่ให้สัญญาไว้ว่าเขาจะปกป้องผมให้ถึงที่สุด.... ถ้าผมสู้เพื่อเขา เขาก็ต้องสู้เพื่อผมเหมือนกัน และถ้าเราสองคนจะเลิกกัน เหตุผลเดียวก็คือเราไม่ได้รักกันแล้ว แต่เราจะไม่เลิกกันด้วยเหตุผลไร้สาระของคนอื่นเด็ดขาด

“ตกลงว่าม๊าแค่ไม่ชอบใจเพราะว่าผมกับทิชายังเรียนไม่จบใช่ไหมครับ?” 

หนนี้พี่โรมเป็นฝ่ายถามคุณแม่เอง ไม่เชิงว่าจะยอกย้อนผู้ใหญ่ แต่ที่คุณแม่พูดเมื่อกี้มันชวนให้เข้าใจว่าเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมันมีอยู่แค่นั้นจริงๆ ส่วนเรื่องที่ว่าผมเป็นลูกเมียน้อย ถ้าคบกับลูกชายเขาแล้วจะทำให้เสียผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว

“งั้นถ้าผมเรียนจบเมื่อไร ผมก็พาน้องไปบ้านเราได้ใช่ไหม?”

“ตาโรม.......!”

คุณแม่เริ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธ เส้นเลือดและรอยย่นตรงหว่างคิ้วยิ่งเห็นได้ชัดเมื่ออารมณ์โมโหเดือดปะทุขึ้นมา แต่ก่อนที่ท่านจะได้เอ่ยยปากว่าผมกับพี่โรม คุณพ่อซึ่งอุตส่าห์เงียบฟังอยู่นานก็ต้องขอออกความเห็นบ้าง

“คุณมีปัญหาอะไรก็บอกเด็กมันไปตามตรงเลย เด็กจะได้รู้ว่าถ้าอยากจะคบกันต่อแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะถูกใจคุณ” 

ประโยคแรกพูดกับภรรยาคู่ชีวิต ส่วนประโยคถัดมาก็พูดกับลูกชายคนโต 

“ป๊าไม่มีปัญหานะโรม.... คุณกาญจน์กับคุณวิภาวีเขาก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ ป๊าคุยงานกับเขาด้วยเงื่อนไขและผลตอบแทนที่บ้านเราจะได้ ไม่ได้เอาเรื่องของเด็กๆ เข้าไปเกี่ยว”

“ขอบคุณครับ ป๊า”

“โรมไม่เคยทำตัวเหลวไหล ป๊าเชื่อว่าโรมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองได้.... ถ้าทิชาไม่ดีจริง เดี๋ยวโรมก็บอกเลิกเขาไปเองนั่นแหละ”

ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรที่จะยิ้มเพราะมันดูเสียมารยาทมาก แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคุณพ่อพี่โรม.... แน่นอนว่าท่านก็คงยังไม่ได้นึกรักหรือเอ็นดูอะไรผมมากมายนักหรอก ยังไม่เคยคุยกับผมสักคำเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ท่านตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเชื่อใจลูกชาย และอยากให้โอกาสผมได้ทำอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้เมื่อครู่ว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของผมแล้วที่จะพิสูจน์ให้ครอบครัวอนุวัฒนวงษ์เห็นว่าตัวผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย....

“คุณอย่าเข้าข้างลูกไปซะทุกเรื่องได้ไหม!?”

คุณแม่ยังคงไม่ยอมแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วถ้าคุณพ่ออยู่ข้างเราเสียอย่าง

“ขอเวลาป๊าปรับทัศนคติม๊าเราหน่อยนะ โรมกับทิชาไม่ต้องห่วง”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพ่อคุณแม่” 

ผมยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองโดยที่รอยยิ้มยังค้างอยู่บนหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าซึ่งวางทิ้งเอาไว้แล้วโบกมือให้กับคนรัก 

“พี่โรม ชาไปก่อนนะ”

“เวิร์คชอปละครเสร็จแล้วมาหาพี่นะ ฝากฟัดพุงยัยมิลค์แล้วบอกว่าพ่อจ๋าคิดถึงด้วย” 

ผมพยักหน้ารับปาก ในขณะที่คนทั้งห้องงงสนิทว่าเราทั้งคู่กำลังพูดถึงอะไรกัน ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรเพราะเด็กสมัยนี้ก็ท้องในวัยเรียนเป็นว่าเล่น แต่ผมกับพี่โรมดันเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่สิแล้วจะไปมีลูกกันได้ยังไง.... หากยังไม่ทันที่คุณแม่จะได้โวยวาย พี่โรมก็ชิงอธิบายให้เสร็จสรรพ 

“แมวน่ะครับ.... เปอร์เซียครึ่งสก๊อตติชสีขาว ลูกผมกับทิชา ชื่อมิลค์”

“เจ๋งเป้ง มีลูกกันแล้วด้วย!”

น้องชายคนเล็กที่ชื่อเจนัวปล่อยขำก๊ากไม่เกรงใจแม่ตัวเอง จนกระทั่งโดนหยิกต้นแขนถึงได้หุบปากเงียบสนิท

“ไปนะ”

ผมเอ่ยลาคนรักอีกครั้ง ไหว้ผู้ใหญ่รวมถึงบ๊ายบายพวกน้องๆ แล้วจึงเปิดประตูห้องกลับออกมาตามลำพัง ปล่อยให้คนในครอบครัวเดียวกันได้พูดคุยทำความเข้าใจอย่างที่คุณพ่อได้ขอเอาไว้.... ถึงแม้จะไม่ได้ยินกับหูว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้างแต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผลลัพธ์จะไม่ออกมาแย่ ถึงคุณแม่จะยังไม่เอ็นดูผมตอนนี้หากผมก็ตั้งใจแล้วว่าถ้ามีโอกาสกับเวลาอีกสักหน่อย ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้ท่านเปลี่ยนใจมามองผมในแง่ดี

ก็เหมือนอย่างที่ผมเคยเปลี่ยนใจพี่โรมให้หันมารักผมนั่นแหละ....

.


.


.


ผมโบกแท็กซี่จากหน้าโรงพยาบาล ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีก็กลับมาถึงบ้าน กะว่าจะรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปรับยัยมิลค์ที่โรงแรมก่อน จากนั้นก็กลับมานอนหลับเอาแรงสักงีบเพราะเมื่อคืนนี้เบียดกับพี่โรมบนเตียงแคบๆ แถมยังต้องระวังไม่ให้กระเทือนโดนแผลตรงไหล่เขาก็เลยหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไร โชคดีที่วันนี้ไม่มีเรียนบ่ายก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องพรีเซนต์แปลนกับอาจารย์มากนัก แต่ผมคงโดดเวิร์คช็อปการแสดงสองวันติดกันไม่ได้ ถ้าป้าอิ๋วโทรรายงานแม่ว่าผมโดดเรียน มีหวังได้โดนบ่นจนหูชาแหง

หากในตอนที่ผมกำลังจะไขกุญแจรั้วเข้าบ้าน ใครคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านหลังกระถางต้นไม้ทรงสูง และเมื่อผมหันไปมองก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกลับมายืนในสภาพร่อแร่อยู่ตรงหน้า



“ไอ้ชา.............ช่วยกูด้วย...........”

“เฮ้ย ไอ้บี๋!”


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-05-2018 23:56:59
RUJ's PART



“เฮียรุจ ร้านเฟอร์นิเจอร์เอาของมาส่งแล้ว จะให้คนงานยกขึ้นไปเลยไหม?”

ขณะกำลังนั่งคิดอะไรอยู่เพลินๆ เสียงแปดหลอดของรุ่นน้องผู้หญิงก็แทรกเข้ามาในโพรงหู ผมเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีเงินส่งส่วยที่แกล้งทำเป็นอ่านอยู่นานสองนานเพื่อสั่งการให้พวกลูกมือลูกไล่ทั้งหลายลุกไปใช้แรงงาน แทนที่จะมานอนกลางวันหายใจทิ้งไปเฉยๆ

“ยกขึ้นชั้นสองหลังร้านไปเลย” 

เพราะมันเป็นตู้เตียงโต๊ะที่ผมสั่งมาสำหรับห้องที่เพิ่งรีโนเวตใหม่ บอกสั้นๆ แค่นั้น ทุกคนก็น่าจะเข้าใจเองว่าต้องทำอย่างไรต่อ แต่คิดอีกทีก็กลัวเด็กที่เลี้ยงไว้แม่งจะซื่อบื้อกันเป็นขบวนการ ผมเลยต้องสั่งงานคนที่ไว้ใจได้ที่สุดให้มากขึ้นอีกหน่อย

“อ้อ ไอ้รสา.... เฮียฝากเอ็งจัดของให้เข้าที่ด้วยนะ จะวางอะไรตรงไหนก็แล้วแต่เอ็งเลย เอาที่คิดว่าดี”

“อ้าว เฮียเลือกเองก็ไปจัดเองดิ๊ เดี๋ยวจัดให้ไม่ถูกใจก็บ่นอีก”

“เฮียสั่งก็ไปทำ ไม่ต้องพูดมาก” 

ผมหรี่สายตามองรุ่นน้องหญิงซึ่งทำท่าจะบ่นอีกยืดยาว ทีแรกก็คิดว่ามันจะหุบปากแล้วรีบออกไปคุมเด็กพม่าแบกของขึ้นบันไดไปห้องชั้นสองของตึกด้านหลังร้าน แต่ถ้ายอมเงียบง่ายๆ ไม่ใช้ปากทำงานไปด้วยก็คงไม่ใช่ไอ้รสา 

“ผู้หญิงนี่แม่งพูดมากน่ารำคาญฉิบหาย!”

“โอ้โห บอกผู้หญิงพูดมากน่ารำคาญ แต่เด็กที่เฮียไปเอามากกก็ไม่ได้จะพูดน้อยเลยนะ.... เวลาคุยกับไอ้แจ็คนี่แจ้ดๆ แว้ดๆ อย่างกับอะไร หนูกับไอ้เมย์รวมร่างกันยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเด็กเฮียเลยเหอะ”

สิ่งที่รุ่นน้องเอ่ยย้อนกลับมาทำให้ผมนึกถึงเด็กปากกล้าที่บังอาจมาต่อรองแลกเปลี่ยนกับเจ้าพ่อธุรกิจสีเทารายใหญ่อย่างผม ดวงตากลมโตซึ่งเหมือนจะบ้องแบ๊วไร้เดียงสาหากแต่แฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดโมโหร้าย อย่างกับว่าเพิ่งถูกใครควักเอากล่องดวงใจไปนั้นน่าประทับใจมาก.... แต่น่าเสียดายที่ผมแทบจะจำภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้ว เพราะบีบี๋ในปัจจุบันก็เป็นแค่ลูกหมาซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากต้องรอให้ผมเอาข้าวเอาน้ำไปให้ ไม่อย่างนั้นก็คือตาย

“เวลาอยู่กับเฮียไม่เห็นมันจะพูดเยอะ”

“มันกลัวเฮียอะดิ”

“กลัวทำไม.... ถ้าไม่กวนตีนเสียอย่าง เฮียก็ไม่เคยทำอะไร”

ผมพูดไปตามที่คิด ถ้าบีบี๋ไม่ได้ทำอะไรให้รู้สึกขัดข้องเคืองใจ เขาก็ได้รับการดูแลจากผมและเบอร์ลิคในระดับที่เรียกได้ว่าดี อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกคนนอกทุกคนที่เคยเข้ามาที่นี่ ยกเว้นเสียแต่ว่าไอ้ลูกหมานั่นมันจะบังอาจงับมือผมก่อน

ไอ้รสากับไอ้เมย์คู่ซี้มองหน้าผมอย่างเอือมระอา รู้เลยว่าเดี๋ยวพวกมันสองคนจะต้องบ่นกระปอดกระแปดอีกยืดยาว

“เนี่ยๆ ยังไม่รู้ตัว”

“แบบนี้แหละที่พวกหนูบอกว่าน่ากลัว” 

คราวนี้ไอ้เมย์รีบผสมโรงด้วย ถ้าเป็นเรื่องปีนเกลียวรุ่นพี่แล้วกระทืบซ้ำด้วยคำพูดล่ะไม่มีใครยอมพลาดเลยเชียว 

“คนในวิดวะด้วยกัน ส่วนมากก็เจอหน้าเฮียมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถึงไม่เข้าเบอร์ลิคแต่มันก็ชินกับสไตล์คนแถวนี้กันหมดแล้วมั้ง.... แต่พวกนอกคณะมันคงไม่มารู้อะไรกับเราด้วยหรอก ยิ่งพวกเด็กอินทีเรีย แต่ละคนลุคคุณหนูกันจะตาย ไม่น่าทนมือทนเท้า”

“ก็เห็นทนได้นี่”

ผมอุตส่าห์ตัดบทสั้นๆ ลุกขึ้นไปดูคนงานอีกกลุ่มยกลังเบียร์กับมิกเซอร์มาเรียงไว้ข้างใต้บาร์น้ำ.... เบื่อเหมือนกันที่ต้องมาคุมงานกระจุกกระจิกทุกฝีก้าว แต่เผลอเป็นไม่ได้เพราะไอ้พวกห่าค่าจ้างวันละสี่ร้อยแม่งชอบโยนของ คราวก่อนก็โยนโซดาแตกไปเป็นลัง จนผมต้องขู่ว่าจะจับพวกมันโยนลงบนเศษขวดที่แตกๆ นั่นแหละถึงได้ดีขึ้นบ้าง

อ้าว.... นี่ไอ้รสากับไอ้เมย์ยังพูดไม่จบอีกเรอะ?

“เด็กเฮียมันทนเพราะอยากทน หรือมันทนเพราะกลัวกันแน่?”

“พวกหนูก็ไม่รู้นะว่าเฮียจะเอายังไง จะเก็บเด็กสินกำนั่นไว้ในนี้อีกนานแค่ไหน.... อันที่จริงเฮียจะเล่นอะไรก็เรื่องของเฮียเนอะ แต่อยากจะบอกว่าของแบบนี้มันก็มีเจ็บมีพัง ขนาดรถยังต้องเอาเข้าอู่ไปซ่อมบำรุงเลย นับประสาอะไรกับคน”

แค่นั้นล่ะ ผมหันควับไปมองหน้านกกระจอกสองตัวซึ่งยังคงส่งเสียงกวนใจไม่หยุด มองแบบให้พวกมันรู้ตัวว่าควรจะหยุดได้แล้ว ซึ่งก็ได้ผลทันตา

“ไม่ยุ่งแล้วๆ หนูไปจัดของบนห้องก่อนนะ”

แล้วประสาทหูก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือที่อยู่กระเป๋าด้านหลังกางเกงยีนส่งเสียงดังขึ้น....



‘รุจ อาทิตย์หน้าจะขึ้นมาทำบุญครบรอบวันตายพ่อหรือเปล่าลูก?’

ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเรื่องร้าน คนเดียวที่โทรหาผมในช่วงเวลานี้ของปีก็มีแค่แม่บังเกิดเกล้าซึ่งยังอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด ทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็ยังเพียรโทรมารบเร้าในสิ่งที่ผมไม่มีวันทำให้อยู่ได้

“ไม่ครับ”

‘ทำไมล่ะ? รุจไม่กลับบ้านมาหลายปีแล้วนะ.... ถ้าไม่อยากเจอพี่ต้นก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็น่าจะมาไหว้พ่อ........’

พี่ชายก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไม่อยากกลับบ้าน แต่เอาจริงๆ แม่ควรเรียกร่างทรงมาเชิญวิญญาณพ่อแล้วถามก่อนว่ายังอยากให้ผมไหว้ท่านอยู่หรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าถ้าพ่อลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าใครได้ ผมคงได้โดนตัดพ่อตัดลูกไปนานแล้ว

“งานผมยุ่งครับ ไปไม่ได้”

ผมตอบเหมือนอย่างที่เคยตอบทุกครั้ง

“ถ้าแม่ขาดเหลืออะไรเท่าไร เดี๋ยวผมโอนไปให้ก็แล้วกัน”

‘เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเรานะ รุจ.........’

“แต่เงินก็ทำให้พวกเราทุกคนสบายขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยทำงานหนัก.... ไอ้พวกที่เคยมารังควานก็โดนเก็บไปหมดแล้ว” 

แม่จะคิดยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผม การมีเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้คือเกราะป้องกันและอาวุธชั้นเยี่ยม ผมสามารถทำอะไรใครก็ได้โดยไม่ต้องลังเล ในขณะที่คนที่คิดจะเล่นงานผมกลับต้องทบทวนอย่างหนักว่ามันจะคุ้มค่ากันหรือไม่ 

“แค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมโอนเงินไปให้.... คนรู้จักพ่อไม่ได้มีเยอะ งานทำบุญเล็กๆ สักสามแสนน่าจะพอ”

‘เงินบาป แม่รับไว้ไม่ได้หรอก........’


ประโยคสุดท้ายลอดออกมาจากลำโพงในตอนที่ผมยังไม่ได้กดวางสายดี ‘เงินบาป’ คือคำที่พี่ชายและแม่ใช้เรียกอาชีพที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกอะไรกับการขายเหล้ายา ปล่อยเงินกู้ เปิดโต๊ะพนันบอล โต๊ะสนุ๊ก บาคาร่า เก็บส่วนแบ่งจากพวกไซด์ไลน์ที่เข้ามาขายตัวในร้านบ้างหรือไม่.... แน่นอนว่าถ้าผมคิดว่ามันผิดก็คงไม่ทำตั้งแต่แรกแล้ว ที่สำคัญก็คือ ผมไม่ได้บังใครข่มขืนใจใครให้มาเล่น พวกที่เข้ามาติดกับดักเป็นบ่อเงินบ่อทองให้ผมต่างหากที่โลภเอง

แต่แม่กับพี่ชายผมซึ่งถูกพ่อเอาอุดมการณ์โง่เง่าฝังหัวจนล้างไม่ออก ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะรังเกียจเงินล้านที่ผมได้มาจากอาชีพต่ำๆ



ผมไม่เคยเล่าอะไรให้ใครฟังมากนัก น้อยคนที่จะรู้ว่าพ่อผมเคยเป็นตำรวจระดับผู้บังคับการ ประจำอยู่โรงพักแห่งหนึ่งแถวๆ พิษณุโลก แต่ก็อย่างที่เขาว่าคนดีมักจะไม่ค่อยมีที่อยู่ พ่อผมเกิดไปขัดแข้งขัดขาผู้มีอิทธิพลก็เลยถูกกลั่นแกล้งจนต้องออกจากราชการ หลังจากนั้นก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและจบลงด้วยการยิงตัวตาย

พี่ชายผมซึ่งได้เลือดพ่อมาแรงมากก็สอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ แล้วก็เข้าอีหรอบเดิมคือเถรตรงจนอยู่ยาก ถูกย้ายไปโน่นมานี่ชีวิตหาความสงบไม่ได้ เงินทองไม่พอใช้จนลูกเมียลำบาก อย่าว่าแต่ตั้งด่านหาลำไพ่พิเศษเหมือนคนอื่นเขาเลย แค่เอ่ยปากหยิบยืมใครยังไม่คิดจะทำให้ตกเป็นขี้ปาก

ผมก็แค่เกลียดสภาพแบบนั้น ในเมื่อกฎหมายไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้จะเคารพแม่งไปทำไมมากมาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่เต็มสองตา เพราะฉะนั้น ผมถึงได้พยายามถีบตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือคนอื่น เริ่มจากการตั้งตัวเป็นเจ้ามือโต๊ะพนันบอลสมัยเรียน จากนั้นก็ขยับมาเปิดบ่อนออนไลน์ ทำจนผูกเส้นสายกับตำรวจท้องที่ได้แน่นหนาพอสมควร.... หลังเรียนจบได้สองปี ผมก็ลาออกงานวิศวกรในโรงงานรถยนต์นิคมจังหวัดชลบุรี เอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีเซ้งที่ดินย่านเอกมัยเปิดผับชื่อเบอร์ลิค สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่โดยสถาปนาตัวเองให้เป็นเสมือนพระเจ้า

เบอร์ลิคตอบโจทย์ในชีวิตผมทุกอย่าง คล้ายได้ชำระสะสางปมด้อยในวัยเด็ก.... ผมดีกับพวกน้องๆ ในสายแบบที่พี่ชายร่วมสายเลือดไม่เคยดีกับผม เงินมีเยอะเสียจนไม่รู้จะเอาไปยัดไว้ซอกไหน อะไรที่ไม่เคยได้ แค่ชี้นิ้วสั่งก็มีคนหามาประเคนให้ถึงที่ กับพวกตำรวจซึ่งเคยกลั่นแกล้งกดขี่จนพ่อผมฆ่าตัวตายก็กลับกลายเป็นว่าต้องมายกมือไหว้ผม ขอแบ่งเงินที่หาได้จากสิ่งที่พวกเขาบอกว่ามันผิดกฎหมาย

นั่นล่ะ คือความสะใจของผม

สะใจฉิบหาย....



มีอยู่เพียงอย่างเดียวที่ผมอยากได้ แต่ยังหาไม่ได้

ใครคนหนึ่งที่จะมาอยู่กับผม.... ไม่ต้องมาปลอบโยนเพราะผมไม่ได้อ่อนแอ ไม่ต้องมาคอยเอาใจเกาะติดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะผมไม่ได้ขี้เหงา แต่ต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำได้โดยไม่ปริปากพูดอะไรให้แสลงใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายไอ้พวกที่มาขวางหูขวางตาผม หรือแม้กระทั่งทำร้ายตัวคนๆ นั้นเอง

ผมไม่คิดว่าจะมีคนแบบนั้นอยู่จริงหรอก หลายคนที่ผ่านเข้ามาแล้วก็จากไปเพราะทนตัวตนและสันดานดิบของผมไม่ไหว.... ผมไม่เคยรั้งใครเพราะถือว่ามีเงิน อยากได้เมื่อไรก็ซื้อเอา แต่ก็ดันมีไอ้ลูกหมาตัวหนึ่งโผล่หน้ามาทำให้ผมรู้สึกว่าบางที เงินอาจไม่ใช่ทุกอย่างเหมือนที่แม่บอก

แต่สุดท้าย ก็เพราะเงินนี่แหละที่ทำให้ชีวิตผมราบรื่นขึ้นเยอะ ลูกหมาที่ทำท่าจะหนีก็ถูกลากกลับมาขังไว้ตามเดิม จะด้วยเล่ห์กลขี้โกงห่าเหวอะไรก็ช่าง ถึงยังไงผมก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ อยู่แล้ว

ไม่มีใครรักไอ้วายร้ายอย่างผมหรอก ผมรู้ดี

ก็แค่อยากได้เพราะคิดว่าถูกใจที่สุด เหมาะกับตัวเองที่สุด.... ก็เท่านั้น

   

“ไอ้แจ็ค.... เดี๋ยวมึงไปรับบีบี๋มาไว้ที่นี่ กูถามมาแล้ว หมอบอกว่าจะให้ออกจากโรงพยาบาลวันนี้”

ผมเดินออกทางประตูด้านหลังร้าน เจอมือขวาคนใหม่ซึ่งมาแทนที่ไอ้โรมกำลังนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่พอดี ผมจึงถือโอกาสสั่งงานมันเสียเลย ยังไงทุกเรื่องของบีบี๋ก็ได้ไอ้แจ็คเป็นคนช่วยจัดการให้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ครับเฮีย” 

มันรับคำไม่อิดออด หากสีหน้ากลับไม่ได้ยินดีปรีดาสักเท่าไร คงเป็นเพราะผมยังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันค้างไว้เมื่อคราวก่อนล่ะมั้ง 

“แล้วเรื่องมหาลัยน้อง ตกลงเฮียจะเอายังไงครับ?”

“หายแล้วก็ให้ไปเรียนตามปกติ.... พวกมึงคนไหนว่างก็ผลัดกันไปรับไปส่ง เรื่องเงินค่าเทอมกับค่ากินอยู่ กูจัดการเอง” 

ผมบอกคร่าวๆ ไปตามที่คิดเอาไว้ แต่ไอ้แจ็คก็ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไม่เห็นด้วย 

“ทำไมวะ มึงยังมีปัญหาอะไรอีก?”

“ผมว่า......เทอมนี้ให้บีบี๋ยื่นดร็อปไปก่อนดีกว่าไหมครับ?”

“ดร็อปทำไม?”

รุ่นน้องปีสามเม้มปากคล้ายลำบากใจที่จะพูด จนผมต้องบอกว่ามีอะไรก็พูดออกมาให้หมดไม่อย่างนั้นก็ไสหัวไป มันถึงได้ยอมปล่อยดอกพิกุลให้ร่วงจนได้   

“คลิปที่เฮียส่งให้เพื่อนน้องไปเมื่อวันก่อน ตัวคลิปนี่ไม่แน่ใจว่าหลุดหรือเปล่า แต่ผมรู้มาว่าเพื่อนน้องเอาเรื่องนี้ไปพูดถึงในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไร อย่างน้อยๆ สินกำทั้งรุ่นก็รู้กันหมดว่าน้องถ่ายคลิปโชว์...........ถ้าน้องบีบี๋ไปมหาลัยตอนนี้ก็คง............”

ผมเข้าใจในสิ่งที่ไอ้แจ็คพยายามสื่อ ก็ผมเองนี่แหละที่ทำลายชีวิตส่วนตัวของบีบี๋จนพังย่อยยับไม่สามารถสู้หน้าใครได้ทั้งที่บ้านและที่มหาวิทยาลัย ถ้าถามว่ารู้สึกผิดบ้างไหมก็คงไม่ เพราะถ้าบีบี๋ไม่ดิ้นรนที่จะหนีไปหาไอ้โรมก่อน ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องเล่นแรงถึงขนาดนี้ ผมจึงถือว่าน้องมันแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง.... แต่ในเมื่อมันฉิบหายจนน่าจะหลาบจำแล้วว่าไม่ควรยั่วโมโหผม ผมก็ไม่คิดจะบีบมันจนต้องหาทางฆ่าตัวตายรอบสองหรอกนะ

“งั้นมึงก็ไปคุยกับมัน จะดร็อปหรือย้ายมอไปเลยก็มาบอกกู”

ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างในร้าน วันนี้ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน แถมยังเป็นวันธรรมดา ลูกค้าเข้าร้านไม่น่าจะเยอะ แต่มีบอลอังกฤษคู่ใหญ่เตะพร้อมกันหลายคู่ ยังไงก็งานหนักอยู่ดี

“เดี๋ยวครับเฮีย ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย” 

เชี่ยแจ็คเดินตามเข้ามา ยังไม่ทันได้ถามว่าเรื่องอะไร มันก็ชิงยกมือไหว้ท่วมหัวทำท่าน่าสงสารก่อนจะเอ่ยดักทางตามประสาคนคุ้ยเคยกันดี 

“แต่เฮียอย่าด่าผมนะ ห้ามเตะผมด้วย........”

“ถ้าเป็นเรื่องเงินที่พ่อแม่มึงยืมไป กูบอกแล้วนี่ว่ายังไม่เอาคืนตอนนี้ มีเมื่อไรก็ค่อยเอามาใช้”

เรื่องที่ไอ้แจ็คขอคุยกับผมมีอยู่ไม่มากนักหรอก ผมคิดว่ามันน่าจะมาขอผลัดเงินที่ต้องทยอยส่งคืนในแต่ละเดือน เห็นว่าสวนที่ปราจีนฯ ปีนี้ผลผลิตไม่ค่อยดี ขายทุเรียน มังคุดไม่ได้ราคา มันก็เลยขอเลื่อนจ่ายค่างวดมาสอง-สามเดือนแล้ว ซึ่งผมก็บอกมันไปแล้วว่าผมไม่ซีเรียส มีเมื่อไรจ่ายเมื่อนั้น แค่ตัวมันยังอยู่ทำงานให้ผมที่นี่ ห้ามแหกคอกหนีระบบไปแบบไอ้โรมเพื่อนซี้ก็พอ

“คือ.........ไม่ใช่เรื่องเงินครับ.........” 

เชี่ยแจ็คยิ้มเฝื่อน แสดงออกให้รู้ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่กล้าพูดแต่กำลังทำใจดีสู้เสืออยู่ 

“ผมอยากคุยกับเฮียเรื่องน้องบีบี๋”

“มีอะไรอีกวะ?” 

ผมขมวดคิ้ว เมื่อกี้ก็ว่าเพิ่งคุยกันไปแหมบๆ

เมื่อผมเปิดโอกาสให้คุย รุ่นน้องน้ำดีก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา

“ผมรู้ว่าห้ามเฮียไม่ให้พาน้องบีบี๋กลับมาอยู่ที่เบอร์ลิคไม่ได้ แต่ถึงยังไงน้องมันก็ไม่มีที่อื่นให้กลับไปแล้ว บ้านก็กลับไม่ได้ เพื่อนก็ไม่เหลือสักคน.... เฮียช่วยเอ็นดูน้องมันเยอะๆ หน่อย อย่าไปทำอะไรรุนแรงกับมันเลยนะ”

“สัด ไอ้รสากับไอ้เมย์มันสั่งให้มึงมาพูดหรือไง?”

“รสากับเมย์จะมาสั่งผมได้ไง แค่เคยคุยเรื่องนี้กับพวกมัน แล้วปรากฏว่าพวกมันกับผมคิดคล้ายๆ กัน.........” 

รอยยิ้มบนหน้าไอ้แจ็คอุบาทว์มาก ยิ่งมันทำหน้าทำตาเหมือนว่าอ่านความคิดผมออก ผมยิ่งนึกอยากเอาศอกกระแทกปากให้ฟันร่วงนัก 

“ทุกคนที่อยู่เบอร์ลิครู้ว่าเฮียไม่เคยอยู่กับใครได้นานเท่าน้องบีบี๋ ถ้าน้องมันทำให้เฮียมีความสุขได้ พวกผมก็อยากให้น้องมันอยู่ที่นี่ไปนานๆ”

“สุขเชี่ยไร พูดอย่างกับกูชอบไอ้เด็กนั่น”

ผมแค่นเสียงหึในลำคอ สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมต้องดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบแก้เครียดกันเลยทีเดียว.... ผมยอมรับว่าถูกใจบีบี๋มากกว่าคนก่อนๆ ที่ผ่านมา ด้วยความที่เจ้าตัวมีอะไรคล้ายผมหลายอย่าง ถูกครอบครัวตราหน้าว่านอกคอก ผิดพี่ผิดน้อง ใจเด็ดกล้าได้กล้าเสีย จะเรียกว่าศีลเสมอกันพอประมาณก็คงไม่ผิด

แต่ถึงขั้นชอบหรือเปล่า ผมยังบอกไม่ได้....

“ก็ไม่มีใครรู้ใจเฮียนอกจากตัวเฮียเองแหละเนอะ” 

ไอ้แจ็คยังคงยิ้ม ไอ้ที่ทำเป็นเกรงใจเมื่อกี้น่ะไม่เหลือแล้ว 

“เพราะผมนับถือเฮียเป็นเหมือนพี่ชายนะถึงได้พูด ไม่งั้นไม่ยุ่งด้วยหรอก........”

“ก็ถ้าบีบี๋ว่าง่ายเหมือนพวกมึง มันก็ไม่เจ็บตัวแต่แรกแล้ว” 

ผมหมายถึงแค่เรื่องที่กระโดดลงมาจากชั้นสองอย่างเดียวนะ เรื่องอื่นผมไม่นับ ตราบใดที่ผมยังเปลี่ยนแปลงรสนิยมตัวเองไม่ได้

“ถึงเรื่องจุดจุดจุดระหว่างเฮียกับน้องบีบี๋จะเปลี่ยนไม่ได้ในวันสองวัน แต่กับอย่างอื่น ผมว่าไม่น่ายากนะ.... เฮียก็แค่พูดเสียงให้เบาลงหน่อย มือไม้ก็อย่าให้มันไวนัก อย่าไปขู่ว่าเดี๋ยวจะต่อยจะเตะ ถึงน้องมันจะใจเด็ดแค่ไหน แต่เจอแบบนี้ทุกวันมันก็พาลสติแตกเอาง่ายๆ.........” 

ไอ้แจ็คยังคงวางท่าทำเป็นรู้ดี ถึงผมจะเริ่มรำคาญขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพูดผิดตรงไหนเลยขี้เกียจด่า 

“ไหนๆ ก็จะอยู่ด้วยกันแล้ว ใจดีกับน้องบีบี๋ให้มากๆ เถอะครับ.... กับพวกรุ่นน้อง เฮียยังเมตตาจนได้ดิบได้ดีมาตั้งหลายคน กับเมียตัวเอง เฮียก็ต้องใจดีให้มากกว่าดิ.........”

“ไอ้แจ็ค มีอะไรมึงก็ไปทำไป!”

“ครับ.... ไปแล้วครับ!”


เมียงั้นเหรอ.... ก็ถ้าผมนอนกับใครแค่คนเดียวติดกันได้นานหลายเดือน ไอ้พวกนี้จะเรียกว่าเป็นเมียผมก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง........?



ผมขึ้นมาบนชั้นสองของตึกด้านหลังซึ่งเพิ่งรีโนเวตเสร็จไปสดๆ ร้อนๆ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นแค่ห้องพักเอาไว้ให้พวกน้องๆ ที่มาช่วยงานในร้านซุกหัวนอน พอบีบี๋มาอาศัยอยู่เบอร์ลิคในฐานะลูกหนี้ ผมก็สั่งให้คนอื่นย้ายมาใช้ห้องเล็กที่อยู่ติดกับตัวร้านแทนแล้วยกห้องนั้นให้บีบี๋ไป เดิมทีสภาพมันก็ค่อนข้างทรุดโทรมไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีเตียงกับตู้เก็บของและห้องน้ำเล็กๆ แค่พอใช้งาน.... อันที่จริงก็คิดว่าจะหาผู้รับเหมามาปรับปรุงได้สักพักแล้ว ประจวบเหมาะกับที่เกิดเรื่องจนทำให้บีบี๋ต้องเข้าโรงพยาบาลพอดี ผมก็ถือโอกาสรีโนเวตห้องเสียเลย

แน่นอนว่า หน้าต่างซึ่งเคยเปิดโล่งก็ต้องติดกระจกและเหล็กดัด ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยเดิมอีก

รุ่นน้องผู้หญิงสั่งคนงานจัดวางเฟอร์นิเจอร์จนเข้าที่เสร็จสรรพ เตียงนอนพร้อมชุดผ้าปูผ้าห่มใหม่เอี่ยม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางของ ไซด์บอร์ดวางโทรทัศน์ช่วยให้สภาพแวดล้อมดูดีขึ้นเยอะ ฝ้าเพดานและผนังทาสีใหม่แล้ว แอร์ก็มาติดเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน.... มองเผินๆ ก็สวยงามไม่ต่างจากคอนโดค่าเช่าเดือนละหมื่นห้า แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าห้องนี้ขาดอะไรบางอย่าง

“ไอ้รสา เอ็งว่าห้องมันโล่งไปไหม?”

“โล่งอะไรคะเฮีย?” 

เจ้าของชื่อหันมาทำหน้างงใส่ผม ก่อนจะหันมองไปรอบตัวแล้วเสนอความเห็นออกมา 

“หรือจะเปลี่ยนทีวีเครื่องใหม่ เอาสักหกสิบนิ้วเป็นไงคะ เดี๋ยวหนูโทรสั่งให้”

“ปัญญาอ่อนเรอะ ห้องก็มีอยู่แค่นี้”

อุตส่าห์เห็นว่ามันเป็นผู้หญิง น่าจะถนัดงานละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างผมถึงได้สั่งให้ขึ้นมาช่วยทางนี้ แต่ผู้หญิงเรียนวิศวะฯ โยธา ผมคงคาดหวังจะเห็นความกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักจากไอ้รสากับไอ้เมย์ไม่ได้อยู่แล้ว เอาแค่ให้มันยังพอมีเซนส์แบบชะนีๆ บ้างก็แล้วกัน

“เอ็งบอกให้ไอ้ปอขี่รถไปซื้ออะไรมาวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงหน่อย” 

ผมว่าพลางยื่นแบงก์พันให้

“แล้วซื้ออะไรล่ะคะ?”

รสาถามกลับด้วยสายตางงๆ ผมผิดเองแหละที่หวังว่ามันจะเข้าใจ

“ปกติตรงนั้นเขาเอาไว้วางอะไร เอ็งก็ซื้ออย่างนั้นมา”

“นาฬิกาปลุกเหรอคะ หรือว่าโคมไฟ?”

“ไอ้รสา.... เฮียถามจริงเหอะ นี่เอ็งโง่หรือโง่วะ?”

ผมส่ายหัวอย่างเหลืออด ใจคอผมต้องบอกชัดๆ เลยใช่ไหมว่า ‘กูต้องการให้มึงซื้อดอกไม้มาวาง’ ถึงจะรู้เรื่อง โชคดีที่โดนด่าเข้าไปคำหนึ่งแล้วไอ้รสาก็สติมาปัญญาเกิด ถึงได้ร้องอ๋อพร้อมกับฉีกยิ้มอุบาทว์แบบเดียวกับที่ไอ้แจ็คทำเมื่อกี้เหมือนว่าก๊อปปี้กันมา

“แหมมมมม เฮียบอกหนูแต่แรกว่าอยากได้ดอกไม้ก็จบละ ทำมาพูดอ้อมๆ”

“เออ เฮียก็ไม่คิดว่าเอ็งจะโง่”

“ไม่ได้โง่ค่ะ แค่คิดไม่ถึงจะเฮียจะเลิฟลี่” 

ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นผู้หญิง ไอ้นี่มันต้องโดนผมถีบแน่ 

“ว่าแต่เอาดอกอะไรดีคะ กุหลาบหรือว่าหน้าวัว.... แล้วจะให้ไอ้ปอไปซื้อที่ปากคลองตลาดเลยมั้ย จะได้ราคาถูกๆ หน่อย พันนึงนี่ได้หอบใหญ่เลยนะ”

“เอ็งอยากได้ดอกอะไรจากผัวก็บอกให้ไอ้ปอซื้อแบบนั้นมา แต่ไม่เอาพวงมาลัยไหว้พระ แล้วก็ไม่ต้องไปถึงปากคลองตลาด เอาแค่ตลาดคลองเตยใกล้ๆ นี่ก็พอแล้ว เฮียไม่ได้เอามาขายต่อโว้ย!”

ไอ้รสาจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่น คงสะใจมากที่ทำให้ผมแหกปากด่าลั่นได้หลังจากที่เครียดอึมครึมมาเป็นสัปดาห์.... ถึงแต่ละคนจะกวนส้นตีน หาเรื่องชวนปวดหัวประสาทแดกมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยถือสาพวกแม่งหรอก น้องก็คือน้อง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเปิดเบอร์ลิคขึ้นมา

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงหลังใหม่ พลันเหลือบไปมองโต๊ะตัวเล็กข้างๆ ซึ่งมีลิ้นชักสำหรับเก็บของ ข้างในนั้นมีกุญแจมือที่ผมเคยใช้กับบีบี๋วางเอาไว้.... ผมไม่ได้สั่งให้ไอ้รสาเอาไปทิ้งขยะก็จริง หากก็แอบคิดอยู่ในใจว่าจะไม่ใช้มันอีกต่อไปแล้ว

พูดถึงความสงบสุขในชีวิต ผมเองก็อยากมีกับเขาเหมือนกันนะ.... ถึงแม้ว่ามันจะยากเพราะยังหาทางลงจากหลังเสือไม่ได้ และผมก็ยังไม่รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากเบอร์ลิคในตอนนี้จะสามารถชดเชยรอยแหว่งวิ่นในหัวใจผมได้

อาจจะอีกสักพัก แต่ไม่มีกองไฟที่ไหนจะลุกโชนไปได้ตลอด เมื่อใดก็ตามที่เชื้อไฟหมดมันก็จะมอดดับไปเอง

เรื่องของผมก็เช่นเดียวกัน....



‘เฮียครับ ที่โรงพยาบาลบอกว่าน้องบีบี๋หนีไปแล้ว!’


ถ้าจะไม่มีใครเสือกราดน้ำมันซ้ำลงไปอีกนะ....!
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 08-05-2018 23:58:38
TISHA's PART



ผมประคองบีบี๋เข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่ตัวมันใส่เฝือกที่ขา แถมตรงไหล่ก็ยังต้องคล้องสายพยุงกระดูกไหปลาร้าทำให้ใช้ไม้ยันรักแร้ได้ไม่ถนัด.... เท่าที่คุยกับพี่แจ็คเมื่อวานนี้ เขาบอกผมว่าบีบี๋ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล และถ้าออกมาเมื่อไรก็ต้องกลับไปอยู่ที่เบอร์ลิคตามคำสั่งพี่รุจ ข้อสันนิษฐานในหัวที่มีต่อการปรากฏตัวกะทันหันของอดีตเพื่อนซี้จึงมีอยู่เพียงอย่างเดียว

“ไอ้บี๋.... อย่าบอกนะว่ามึงหนีมา!?”

ผมเอ่ยถามทันทีที่วางมันลงบนโซฟาห้องรับแขกได้สำเร็จ สภาพของไอ้บี๋ไม่ถึงกับดีแต่ก็ไม่แย่จนเกินไปนัก อย่างน้อยก็ไม่มีร่องรอยถูกตบตีทำร้ายร่างกายให้เห็น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าคงไม่มีใครจัญไรขนาดลงมือทำร้ายคนเจ็บในโรงพยาบาล แต่หลังจากนี้ก็ไม่แน่....

บีบี๋มองหน้าผมแวบหนึ่งแล้วก็หลบสายตา เหมือนว่าละอายใจที่จะต้องยอมรับความจริงหากก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“กูกลัวว่ะมึง............” 

พูดไปน้ำตาก็ร่วงเผาะจนผมต้องส่งทิชชู่ให้ ถึงจะโกรธกันแค่ไหนแต่มาเห็นแบบนี้ก็จุกในอก ความสงสารตีตื้นขึ้นมาจนต้องยอมปล่อยวางเรื่องน่าโมโหทุกเรื่องที่ทำให้เราต้องผิดใจกัน 

“เฮียบิ๊กเอาเรื่องคลิปที่กูโดนแบล็กเมล์ไปบอกป๊ากับม๊า ตอนนี้กูกลับบ้านไม่ได้แล้ว......ฮึก........เฮียรุจก็จะเอากูไปขังไว้ที่เบอร์ลิค.........ให้กูไปเป็นอีตัว บำเรอเขาอยู่ในนั้นไปจนตาย...........”

“ไอ้ชา ผู้ชายคนนั้นแม่งไม่ปกติ........ฮึก.......เขาชอบซ้อมกูเวลามีเซ็กซ์......กูเจ็บ......อ้อนวอนยังไงเขาก็ไม่ฟัง.......ฮือ..........กูไม่อยากกลับไปกับเขา.............”

สิ่งที่บีบี๋พูดไม่ได้เกินความจริง ผมก็ได้เห็นแล้วจากในคลิปที่พี่แจ็คเปิดให้ดูเป็นตัวอย่าง.... จากปากคำรุ่นพี่วิศวะฯ ซึ่งตอนนี้รับใช้ใกล้ชิดเจ้าของเบอร์ลิคมากกว่าใคร ถ้าไม่ใช่ว่าเพื่อนผมไปยั่วโมโหเขาก่อนจนโดนสั่งสอนกลับมา เฮียก็รุจไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายบีบี๋เพราะว่าอยากทำ ทั้งหมดเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล แต่ผมก็เข้าใจว่าของพรรค์นี้มันรู้สึกแค่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ถ้าคู่นอนไม่ได้มีความสุขกับการถูกทรมานไปด้วยก็เหมือนตกนรกดีๆ นี่แหละ

ผมนึกถึงประเด็นที่พี่แจ็คเอ่ยถึงว่าเฮียรุจทำดีกับไอ้บี๋มากกว่าคนอื่นๆ ที่ผ่านมา บางทีมันอาจจะเป็นความรักความชอบ ทำนองว่ายิ่งชอบมากก็ยิ่งหวงมากก็ได้ ผมจึงสงสัยว่าไอ้บี๋มันเคยคิดถึงจุดนี้บ้างหรือเปล่า

“มึงได้บอกพี่รุจไหมว่ามึงไม่โอเค?”

“บอกไปเขาก็ไม่ฟังหรอก........” 

เสียงพูดเจือสะอื้นยิ่งพาลให้ใจหาย หากผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง  “เฮียรุจไม่เคยเห็นกูเป็นคนเลยด้วยซ้ำมั้ง........เหมือนกูเป็นทาส........เป็นหมาที่เขาขังเอาไว้......ไม่สิ........สภาพกูแม่งแย่กว่าหมาอีก..........” 

ในเมื่อบีบี๋กลัวจนฝังใจไปแล้วก็คงป่วยการถ้าผมจะเกลี้ยกล่อมให้มันเจรจากับพี่รุจ แล้วผมก็คงทนไม่ได้ด้วยถ้าหากผู้ชายคนนั้นจะตามมาทุบตีทำร้ายเพื่อน

“แล้วตกลงจะให้กูช่วยอะไรวะ?”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.......กูกลับบ้านไม่ได้ พอหนีออกจากโรงพยาบาลมาได้ ที่เดียวที่นึกออกก็คือบ้านมึง...........”

“ไอ้บี๋เอ๊ย เวรกรรมผีห่าอะไรของมึงวะเนี่ย.........”

“เวรกรรมที่กูทำเอาไว้กับมึงไง ไอ้ชา.... กูทำเรื่องเหี้ยๆ กับมึงเอาไว้ตั้งเยอะยังจะหน้าด้านมาขอให้มึงช่วยอีก แต่นอกจากมึง กูก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ.........” 

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมอยากจะด่ามันแรงๆ สักร้อยประโยค เอาให้สาสมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกือบทำชีวิตผมฉิบหาย ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนที่ความอิจฉาของมันผลักไสความรักที่ผมรอคอยให้หลุดลอยไป ผมต้องผิดหวังตั้งเท่าไร เสียใจมานับครั้งไม่ถ้วนเพียงเพราะมันอยากจะแอบหัวเราะสะใจเวลาที่ได้เห็นผมอกหักถูกทิ้ง ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชอบกินน้ำใต้ศอกแย่งแฟนชาวบ้าน แม้กระทั่งกับพี่โรมที่ผมรักเขาอย่างจริงจังก็ถูกมันเอาไปใช้เป็นเครื่องมือ

ผมไม่ควรจะให้อภัยมันเลย สิ่งเดียวที่ผมควรทำในเวลานี้คือสมน้ำหน้าแล้วไล่มันออกไปเผชิญกับสิ่งที่ก่อไว้ตามยถากรรม

แต่ให้ดิ้นตายตรงนี้เถอะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ใจอ่อนกับคำว่ามิตรภาพเก่าๆ ง่ายนัก....

“งั้นมึงก็อยู่บ้านกูไปก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะถอดเฝือกออกแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะเอาไงต่อ” 

และนั่นก็คือข้อสรุปซึ่งผมเห็นว่ามันน่าจะดีที่สุดแล้ว 

“ดีนะที่เป็นมึง.... ถ้าเป็นคนอื่นกูคงให้อยู่ด้วยไม่ได้ แม่กูไม่มีทางยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาเพ่นพ่านในบ้านแน่”

“ขอบใจนะ ไอ้ชา”

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ว่าจะให้บีบี๋นอนที่ห้องรับแขกชั้นล่างหรือจะกัดฟันแบกมันขึ้นไปบนห้องผมที่ชั้นสาม รถยนต์ Renge Rover สีดำปลอดไม่คุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดที่รั้วหน้าบ้าน.... ทีแรกผมนึกว่าเป็นรถคันใหม่ของผู้จัดการแม่ก็เลยไม่ได้ระแวดระวังอะไรมากนัก จนกระทั่งมองเห็นตัวคนซึ่งก้าวลงมาจากรถแล้วกระหน่ำกดออดแบบสนั่นหวั่นไหว ผมถึงได้รู้ว่างานกำลังเข้าพวกเราสองคนแล้ว


ออดดดดดด!!!!!

ออดดดดดด!!!!!

   

เพราะเมื่อกี้ผมชะโงกหน้าออกไปมอง พี่รุจจึงน่าจะเห็นแล้วว่ามีคนอยู่ในบ้าน เขาถึงได้ยิ่งกดออดเพื่อกดดันให้ผมรีบออกไปเจรจา.... แน่นอนว่าเขาต้องมาร้ายแต่ผมจะโหวกเหวกเสียจริตหรือแสดงท่าทางมีพิรุธไม่ได้ ผมสูดหายใจลึกเข้าบังคับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะกำชับสั่งความกับบีบี๋โดยไม่หันไปมองมัน เพื่อไม่ให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกจับสังเกตได้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว

“ไอ้บี๋ มึงก้มลงไป อย่าโผล่หัวขึ้นมานะ”

“อะไรวะ.........เกิดอะไรขึ้น........??”

บีบี๋ทำตามที่ผมบอกทั้งที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาเดาถูกได้ยังไงว่าบีบี๋อยู่ที่นี่

“มึงนิ่งๆ ไว้ พี่รุจมาว่ะ”


ออดดดดดด!!!!!


“มะ......มาได้ยังไงวะ......ทำไมเขาถึงรู้...........”

เพียงเท่านั้น ไอ้บี๋ก็ทำท่าจะสติแตก เสียงออดดังก้องอยู่ภายในห้องรับแขกชั้นล่างยิ่งข่มขวัญเราทั้งคู่ให้กระเจิง แต่จะอะไรก็ช่าง ในตอนนี้จะให้พี่รุจรู้ว่าบีบี๋อยู่กับผมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันตายแน่ เผลอๆ จะลากผมไปตายด้วยอีกคนหนึ่ง 

“ไอ้ชา.....ฮึก...........มึงช่วยกูด้วย..........”

“เดี๋ยวกูจัดการเอง.... มึงเงียบๆ ไว้นะ แล้วก็อย่าโผล่หัวขึ้นมาเด็ดขาด”

ผมสั่งไว้แค่นั้นก่อนจะเปิดประตูกระจกข้างในตัวบ้านเดินออกไปเจรจากับแขกไม่ได้รับเชิญ.... ปกติก็รู้สึกว่าพี่รุจ เจ้าของร้านเบอร์ลิค ผับที่อันตรายที่สุดในกรุงเทพเป็นคนเจ้าเล่ห์น่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาคุยกันภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีชีวิตไอ้บี๋เป็นเดิมพัน ร่างตรงหน้าก็ยิ่งดูจะสูงใหญ่มากขึ้นไปอีก แต่ผมจะแสดงออกให้เขาเห็นว่ากลัวไม่ได้

“พี่รู้จักบ้านผมได้ไง อย่าบอกนะว่าเสิร์ชหาเอาในกูเกิ้ล?”

ผมวางท่าหงุดหงิดไม่พอใจที่มีคนแปลกหน้ามารบกวนเวลาพักผ่อน กลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าผมรู้จุดประสงค์ของเขาดีอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าวิชาแอคติ้งที่ร่ำเรียนมาจากเวิร์คชอปละครจะได้ผลหรือเปล่า แต่ก็หวังว่ามันคงจะช่วยให้เอาตัวรอดจากวิกฤตความซวยครั้งนี้ได้ก็แล้วกัน

“แค่ยกหูถามตำรวจท้องที่มันก็ไม่ได้ยากใช่ไหมล่ะ.... บ้านดารา ใครๆก็รู้จัก” 

พี่รุจกระตุกยิ้มมุมปาก เตือนให้รู้ว่าเขาไม่ใช่ไก่กาที่ผมจะมาเทียบรุ่นด้วยได้ง่ายๆ 

“พอบอกว่ามาหาคุณทิชา ลูกชายคุณนิดาวัลย์ ยามหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ.... บ้านราคาตั้งหลายสิบล้านแต่ระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวมขนาดนี้ เห็นทีว่าคงต้องร้องเรียนนิติบุคคลหมู่บ้านหน่อยแล้วมั้ง”

“แล้วมาหาผมมีธุระอะไรครับ?”

“พี่มาตามหาลูกหมาที่แหกกรงออกมา” 

รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเหี้ยมเกรียมมากขึ้นไปอีกในขณะที่พี่รุจใช้ถ้อยคำแสดงความเป็นเจ้านาย กดหัวไอ้บี๋ให้มีค่าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงซึ่งเขาจะกดขี่ข่มเหงลากจูงยังไงก็ได้ และผมสัมผัสถึงความร้อนรนเป็นห่วงเป็นใยจากคำพูดคำจาของเขาไม่ได้เลย 

“บีบี๋หนีออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ พี่ก็เลยจะขอดูหน่อยว่าเขาหลบมาอาศัยบ้านทิชาหรือเปล่า”

“งั้นพี่รุจคงมาผิดที่แล้วล่ะครับ บีบี๋ไม่มีทางมาที่นี่หรอก” 

ผมตอบกลับตามสคริปท์ที่คิดไว้สดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้ 

“ผมทะเลาะกับมันเรื่องพี่โรม เลิกคบกันไปตั้งหลายเดือนแล้ว พี่รุจเองก็น่าจะพอรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอครับ”

“พี่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบีบี๋.... ว่าแต่ทิชารู้หรือยังว่าตอนนี้บีบี๋กลับบ้านไม่ได้ ไปมหาลัยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่เดียวที่เขาจะมาก็เหลือแค่บ้านทิชานี่แหละ” 

ก็สมราคาคุยที่ว่ารู้ทุกอย่าง เดาออกแม้กระทั่งว่าบีบี๋จะไปไหนหรือทำอย่างไรต่อ 

“ปั้นหน้าตอแหลขอโทษคนๆ เดียวเพื่อเอาตัวรอดมันง่ายกว่าเผชิญหน้ากับคนอื่นอีกเป็นสิบตั้งเยอะ.... ทิชาว่างั้นไหมล่ะ?”

“บีบี๋ไม่อยู่ที่นี่ครับ”

ผมไม่อยากเยิ่นเย้อให้เสียเรื่อง ในเวลานี้ผมต้องไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บอกออกไปอย่างชัดเจนว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังต้องการตัวไม่อยู่ข้างในบ้านเป็นอันจบ   

“พี่ก็คิดว่าไม่น่าจะอยู่........” 

เกือบจะโล่งใจได้แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าพี่รุจแทรกประโยคหลังขึ้นมาเสียก่อน 

“แต่เพื่อความสบายใจของเราทุกฝ่าย พี่ขอเข้าไปดูข้างในหน่อย ถ้าไม่เจอบีบี๋แล้วพี่จะกลับไปแต่โดยดี ไม่มายุ่งกับทิชาอีก”

“ไม่ได้ครับ” 

ผมสวนกลับทันควัน 

“แม่ผมพักผ่อนอยู่ข้างใน.... แม่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าบ้าน แล้วรีโมทปิดสัญญาณกันขโมยก็อยู่กับแม่ด้วย ผมไม่สะดวกจะไปขอตอนที่แม่กำลังอารมณ์ไม่ดี”

โชคดีที่เจ้ามินิคูเปอร์สุดรักสุดหวงของแม่จอดอยู่ในโรงรถ ผมก็เลยโกหกว่าแม่ไม่ได้ออกไปทำงาน แล้วก็ต้องขอบคุณไหวพริบของตัวเองที่คว้ารีโมตเปิดสัญญาณกันขโมยด้านนอกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนจะเดินออกมา.... ผมบุ้ยหน้าให้พี่รุจมองดูไฟกระพริบจากตัวเซ็นเซอร์ซึ่งอยู่ตรงเสารั้วบ้านเพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้โกหก ถ้าเขากล้ายื่นมือยื่นเท้าข้ามอาณาเขตเข้ามา รับรองว่าเสียงไซเรนได้ดังสนั่นหวั่นไหว และตำรวจอีกประมาณครึ่งโรงพักคงได้บุกกันมาที่นี่

“โอเค.... ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต พี่ก็คงทำอะไรไม่ได้เนอะ”

พี่รุจคล้ายจะยอมล่าถอย ทว่า นัยน์ตากร้าวกลับจ้องหน้าผมไม่เว้นวาง ทำเอาก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายกระตุกด้วยความกลัว แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะโดนขู่ว่าจะควักไส้ควักพุงออกมาเหยียบเล่น ผมก็คงทำได้เพียงแค่ปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้เขาเห่าหอนอะไรก็ได้ตามสบาย


“แต่ถ้าจับได้ว่าโกหก.... จะมาหาว่าพี่ใจร้ายไม่ได้นะครับ น้องทิชา!”

.

.

.

เมื่อรถ Renge Rover ของพี่รุจแล่นห่างออกไปจนถึงป้อมยามหมู่บ้าน ผมก็รีบเดินกลับเข้าไปข้างในตัวบ้านเพื่อคิดหาทางหนีทีไล่เผื่อว่าเจ้าหนี้สองล้านของไอ้บี๋จะย้อนกลับมาอีก

“เขาไปแล้ว.........” 

ผมบอกทั้งที่ยังไม่หายอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะประคองบีบี๋ให้กลับขึ้นมานั่งบนโซฟา หลังจากที่เห็นว่ามันกลัวเสียจนแทบจะมุดตัวแทรกเข้าไปใต้พรมปูพื้น 

“แต่พี่รุจดูไม่เชื่อว่ามึงไม่ได้มาบ้านกู.............”

“ไอ้ชา......กู.......กูควรทำยังไงดี.........”

“ไม่รู้ว่ะ กูรู้แค่ว่าเดี๋ยวเขาต้องกลับมาหามึงที่นี่อีกแน่”

ด้วยความมืดแปดด้าน เราทั้งคู่ต่างก็เงียบกันไปอีกพักใหญ่.... บอกตามตรงว่าผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบีบี๋และพี่รุจมากเกินไปกว่านี้หรือเปล่า ชีวิตของผมกำลังดำเนินไปด้วยดีและพี่โรมก็รักผมมากด้วย ผมไม่ควรหาเหาใส่หัวโดยใช่เหตุ แต่จะให้ส่งตัวบีบี๋ไปให้พี่รุจก็ทำไม่ลง ยิ่งพี่แจ็คเคยบอกว่าเวลาพี่รุจโมโห เอาช้างมาฉุดก็ห้ามไม่อยู่ แล้วผมจะกล้าปล่อยเพื่อนไปเสี่ยงได้ยังไง

ผมนั่งใช้ความคิดทบทวนอยู่หลายนาที ข้างในสมองว้าวุ่นยุ่งเหยิงเหมือนทะเลหน้ามรสุม บ้าคลั่งอย่างที่ไม่อาจจะหาทางสงบลงได้แม้สักเพียงเสี้ยววินาที และเมื่อใดก็ตามที่เราหยุดแหวกว่ายเอาตัวรอดก็คงต้องจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแน่

แต่ผมคือคนที่จะไม่ยอมตาย

แล้วก็จะไม่ยอมให้คนที่อยู่กับผมต้องตายด้วย....

“ไอ้บี๋.... มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่กลับไปคุยกับพี่รุจ?” 

ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์คืนดีกันกลางทางแล้วคนนอกอย่างผมกลับกลายเป็นหมา ไม่อย่างนั้นผมนี่แหละที่จะกระโดดถีบบีบี๋เสียเอง 

“คิดให้ดีๆ เอาให้ชัวร์แล้วค่อยตอบกู ไม่อย่างนั้นกูก็คงช่วยมึงไม่ได้”

“ถ้ากูกลับไปเบอร์ลิค กูก็คงไม่ได้ออกมาจากที่นั่นอีกแล้ว.........ถึงตัวไม่ตายแต่ก็คงไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น........” 

บีบี๋ยังคงยืนยันคำเดิม

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะกดคอลผ่านไลน์ ก็ไม่รู้หรอกว่าแผนการที่ตัวเองร่างขึ้นคร่าวๆ ในหัวจะเวิร์คหรือเปล่าแต่ก็ต้องลองดู อย่างน้อยคนที่ผมกำลังโทรหาเพื่อขอความช่วยเหลือก็น่าจะไว้ใจได้แน่ๆ เป็นหนึ่งไม่กี่คนที่คิดว่าเต็มใจช่วยผมและจะไม่มีทางหักหลังกันกลางอากาศอย่างแน่นอน

“ไอ้ชา มึงโทรหาใครน่ะ?”

“คนที่พอจะมีทางช่วยมึงได้ไง”

“ใคร? เฮียโรมเหรอ?”

“ไม่ใช่ กูไม่ให้พี่โรมเข้ามายุ่งเรื่องของมึงกับพี่รุจหรอก” 

บีบี๋มันคงคิดว่าผมไม่น่าจะรู้จักใครมากมาย โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงัดข้อสู้กับเจ้าของเบอร์ลิค คนเดียวที่พอจะพึ่งพาได้ก็คงหนีไม่พ้นพี่โรม.... ซึ่งบอกได้เลยว่าผิดถนัด 

“ตอนนี้พี่โรมเจ็บอยู่โรงพยาบาล ถึงพี่แจ็คกับตำรวจจะบอกว่าคนที่ยิงพี่โรมเป็นแค่เด็กช่างกลธรรมดาแต่กูก็ไม่ไว้ใจ บางทีไอ้พวกนั้นอาจจะได้รับคำสั่งจากพี่รุจมาก็ได้.... กูคิดว่าพี่รุจจับตาดูเคลื่อนไหวของพี่โรมอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้กูจะจัดการเอง”

“แล้วคนที่มึงพูดถึงคือใครวะ?”

เมื่อปลายสายกดรับคอล ผมก็จุ๊ปากบอกให้บีบี๋เงียบก่อน คำถามสุดท้ายที่มันถามคงไม่จำเป็นจะต้องตอบ เพราะมันคงจะได้ยินจากบทสนทนาแล้วล่ะว่าคนที่ผมต้องหน้าด้านหน้าทนไปขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่มันเองก็เคยทำเขาเอาไว้แสบสันใช่ย่อยเป็นใคร


“แดน.... กูมีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อย........”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 09-05-2018 00:00:34
DAN's PART



“น้องแดน.... เรื่องที่พี่เคยถามไว้ก่อนหน้านี้ ตกลงว่าเรามีคำตอบให้พี่หรือยังจ๊ะ?”

ทันทีที่ยกกาแฟจากเคาท์เตอร์มาวางไว้ที่โต๊ะ เจ๊โรสเจ้าของโมเดลลิ่งซึ่งกำลังมาแรงในระยะนี้ก็ทวงถามจะเอาคำตอบเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาเข้าสังกัดที่ผมเคยคุยเกริ่นกับเขาตั้งแต่ตอนที่ประกาศผลแคสสงครามคิวท์บอย.... ถ้าเป็นตอนนั้น ผมคงตัดสินใจตอบตกลงอยู่โมเดลลิ่งเดียวกันกับพี่ปายได้อย่างไม่ลังเล แต่เวลานี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ผมจึงค่อนข้างลำบากใจถึงแม้ว่างานในวงการบันเทิงจะเป็นสิ่งที่ผมอยากลองทำพอๆ กับการเป็นสถาปนิกก็ตาม

“โมพี่ใช่ว่าจะรับใครเข้ามาง่ายๆ นะ เน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ปกติก็คัดแล้วคัดอีกจนกว่าจะแน่ใจว่าดีจริงถึงจะทาบทามให้มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน”

ดูเหมือนว่าเจ๊โรสจะอ่านความคิดผมออก สาวใหญ่วัยสามสิบปลายๆ ผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศจึงไม่รีรอที่จะเกลี้ยกล่อมผมแบบเดียวกับที่เคยเกลี้ยกล่อมพี่ปายและเจ้าพุดดิ้งให้มาเซ็นสัญญากับตัวเองได้สำเร็จ 

“นี่เห็นว่าปายเขาก็แนะนำมา บอกว่าเราน่ะตั้งใจอยากจะเข้าวงการจริงจัง พี่ถึงได้อยากคุยกับแดนให้เป็นเรื่องเป็นราวว่าจบจากสงครามคิวท์บอยแล้วเราจะเอายังไงต่อ”

“ผม..........ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ”

ผมตอบไปตามความจริง.... ที่พี่โรสกับพี่ปายไม่รู้ก็คือเหตุผลหลักที่ผมสมัครมาแคสละครก็เพราะจะหาโอกาสอยู่ใกล้ทิชา แล้วตอนที่ผมโกรธมัน อะไรก็ตามซึ่งพอจะช่วยให้ลืมความโมโหไปได้ ผมก็ตอบรับเห็นดีเห็นงามไปหมดนั่นแหละ รวมถึงความสัมพันธ์กับพี่ปายด้วย ทว่า ในเวลานี้ที่ผมกับทิชากำลังไปได้สวย ผมก็ไม่อยากจะทำงานในวงการต่อโดยที่ไม่มีมัน

“ได้ยินมาว่าทิชาเขาจะเล่นแค่เรื่องเดียว จบเรื่องนี้แล้วเขาก็ไม่เซ็นสัญญากับช่องเอ็ม ถ้าแดนไม่ได้เซ็นด้วยก็มาอยู่กับพี่เถอะ” 

พี่โรสยังคงพยายามโฆษณาชวนเชื่อ โดยหารู้ไม่ว่าใจของผมก็ตัดจบแค่สงครามคิวท์บอยเพียงเรื่องเดียวเหมือนกับไอ้ทิชาไปได้สักพักแล้ว 

“ลองถามปายดูก็ได้นะว่าโรสโมเดลลิ่งหางานให้เด็กๆ ได้เก่งแค่ไหน หรือถ้าแดนยังไม่มั่นใจในตัวพี่ จะลองอยู่เป็นสัญญาใจกันก่อนก็ได้ เอาไว้แน่ใจเมื่อไรค่อยเซ็น”

“พี่โรส.... อย่ากดดันแดนเขาสิครับ”

พี่ปายซึ่งนั่งอยู่ข้างผู้จัดการเอ่ยห้าม ดูจากสีหน้าแล้ว เขาคงพอจะเดาออกว่าที่ผมปฏิเสธไม่ยอมตอบรับข้อเสนอของพี่โรสนั้นเป็นเพราะทิชา ซึ่งก็ถูกแล้ว ผมจึงไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดใดๆ ทั้งสิ้น

“บ้า ปายก็พูดเกินไป พี่แค่พูดชวนธรรมดาๆ ไม่ได้กดดันสักหน่อย” 

เจ้าของโมเดลลิ่งยิ้มหวานอย่างมีเลศนัย ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบให้ชุ่มคอแล้วหรี่เสียงพูดลงให้ได้ยินกันแค่ผู้ร่วมโต๊ะ บ่งบอกว่าข้อมูลที่ผมกำลังจะได้ยินได้ฟังนั้นลับสุดยอดยิ่งกว่าข่าวกรองแอเรีย 51 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียอีก 

“เราสองคนอาจจะยังไม่รู้ แต่สายข่าววงในสุดๆ ของพี่เขาบอกว่าหลังจากจบสงครามคิวท์บอยแล้ว ช่องเอ็มก็แพลนจะสร้างซีรีส์วายเรื่องใหม่อีกเรื่อง ตอนนี้อยู่ในช่วงคัดเลือกนิยายดังๆ จากในเว็บ.... คราวนี้แหละ ถ้าไม่มีเด็กเส้นคุณอิ๋วโผล่มาอีก พี่ส่งแดนกับปายไปคู่กัน ยังไงก็ต้องได้บทนำ”

จากคำพูดของพี่โรส แสดงว่าโครงการระยะยาวที่จะปั้นผมกับพี่ปายให้เป็นคู่จิ้นร่วมสังกัดเดียวกันยังไม่ถูกล้มเลิกไป เดิมทีผมคิดว่าแผนนี้น่าจะถูกพับไปตั้งแต่ช่องเอ็มโปรโมทผมกับทิชาให้เป็นคู่จิ้นทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องแล้วเสียอีก.... ผมเหลือบสายตามองท่าทีกระอักกระอ่วนของพี่ปาย เขาเองก็ดูลำบากใจอยู่ไม่น้อยที่ผู้จัดการส่วนตัวมาเร่งรัดจะเอาตัวผมไปคู่กับเขาให้ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เพิ่งจะบอกให้เขาตัดใจไปชอบคนอื่นดีกว่าจะมาหวังอะไรก็ไม่รู้จากคนอย่างผม

การถูกปฏิเสธสองครั้งซ้อนภายในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงมันคงทำให้รู้สึกแย่น่าดู ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะยังไม่พูดออกไป

ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะดูคล้ายเป็นการให้ความหวังพี่ปายหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละ เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าโลกของผมมันหมุนโดยที่มีทิชาเป็นจุดศูนย์กลาง

มันเป็นแบบนั้นมาสองปี แล้วก็คาดว่าจะเป็นแบบนั้นตลอดไป....

“ขอเวลาผมอีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ แล้วจะรีบให้คำตอบ”

โทรศัพท์มือถือของผมส่งเสียงว่ามีคนคอลมาหาพอดี ผมหยิบขึ้นมาดูหน้าจอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแปลกใจ เพราะชื่อที่เห็นคือทิชา ซึ่งปกติแล้วมันไม่เคยคอลมาหาผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากสุดก็แค่ไลน์คุยกัน

“ขอตัวแปบนึงนะครับ พอดีมีโทรศัพท์มา.........”




“ว่าไง ทิชา.... ทำไมคอลมาหากูได้วะเนี่ย?”

“เอ๊ะ......บ้านพักต่างจังหวัดเหรอ??”

.

.

.


“จะว่ามีก็มีแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ว่างหรือเปล่า”

“เออๆ มึงรอก่อนแล้วกัน อย่าใจร้อนนักดิ เดี๋ยวกูโทรถามมี๊ให้”





TISHA's PART




หลังออกจากเขตกรุงเทพฯ มาได้สักครึ่งชั่วโมง ผมก็เลี้ยวเข้าไปแวะจอดเติมน้ำมันในปั๊มขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะมีสิ่งที่ต้องการครบ.... ผมบอกให้บีบี๋นั่งรอบนรถ ส่วนตัวเองก็ลงมากวาดของกินในร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนย น้ำดื่ม อาหารกล่องแช่แข็ง ที่สำคัญที่สุดก็คือตู้เอทีเอ็มสำหรับกดเงินสด เพราะยังต้องเดินทางอีกไกลและผมก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง

เมื่อได้ทุกอย่างครบตามที่ต้องการ ผมก็รีบกลับมาขึ้นรถอย่างระมัดระวัง สายตาคอยมองสอดส่องไปรอบๆ ว่ามีใครตามมาหรือเปล่า

“ไอ้บี๋ เงินนี่มึงเก็บเอาไว้ให้ดีนะ” 

ผมยัดปึกเงินจำนวนห้าหมื่นบาทถ้วนใส่มือบีบี๋ ก็สูงสุดของวงเงินที่ผมสามารถกดผ่านตู้เอทีเอ็มได้ในหนึ่งวัน.... สถานที่ที่เรากำลังจะไปคือบ้านพักตากอากาศในอำเภอปราณบุรี ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ค่าครองชีพก็คงจะสูงกว่าโซนอื่นๆ แล้วผมก็ถือคติว่าเหลือดีกว่าขาดถึงได้เตรียมทุกอย่างเผื่อเอาไว้ก่อน 

“ไอ้แดนบอกว่าบ้านที่เราจะไปเป็นของแม่มัน ถ้าระหว่างนี้ไม่มีลูกค้ามาเข้าพักก็ให้อาศัยอยู่ได้.... ก็เอาไว้เผื่อมึงต้องย้ายที่อยู่กะทันหัน แล้วมึงก็ต้องไปหาหมอให้เขาถอดเฝือกออกด้วย”

“จะดีเหรอวะ......เงินมันเยอะมากนะมึง”

เพื่อนตัวเล็กถามเสียงแผ่วอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมคิดเตรียมการไว้เสร็จสรรพหมดแล้ว ถ้าสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ได้ ผมเชื่อว่าบีบี๋ก็น่าจะรอดจากเงื้อมมือพี่รุจ

“จะเยอะจะน้อยมึงก็ต้องใช้หรือเปล่าวะ แล้วกูก็ไม่แน่ใจด้วยว่าหลังจากนี้จะมาหามึงได้บ่อยแค่ไหน.... เอาไว้ซื้อข้าว เรียกรถไปไหนมาไหนนั่นแหละ”

ผมล้วงของอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งซื้อมาส่งให้บีบี๋ เพราะมันทิ้งมือถือไว้ที่โรงพยาบาลไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย ถ้าไม่ซื้อเครื่องพร้อมเปิดเบอร์ใหม่ก็ไม่รู้จะติดต่อกันยังไง 

“มือถือกับซิมใช้แก้ขัดไปก่อน ในเซเว่นมันมีแต่รุ่นนี้ มึงก็ใช้ๆ ไปเถอะ.... ไว้คราวหน้ากูค่อยหายี่ห้อดีๆ กว่านี้มาให้”

“ขอบใจมากนะ”

เรานั่งรอกันอยู่ในรถจนกระทั่งโทรศัพท์ผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ในที่สุดผมก็ได้แผนที่บ้านพักตากอากาศของที่บ้านไอ้แดนมาสักทีหลังจากที่รบเร้าเร่งมันอยู่เป็นชั่วโมง.... เห็นว่าตอนนี้มันกำลังคุยธุระติดพันอยู่กับคุณโรส เจ้าของโมเดลลิ่งที่พี่ปายสังกัดอยู่ แต่มันก็ยังอุตส่าห์ปลีกตัวออกมาช่วยหาบ้านพักให้ตามที่ผมขอร้อง เอาไว้กลับถึงกรุงเทพเมื่อไร ผมค่อยพามันไปเลี้ยงข้าวและอธิบายให้ฟังว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้นบ้างก็แล้วกัน

“แดนส่งโลเกชั่นมาให้แล้ว.... แต่กูก็ดูกูเกิ้ลแมปไม่ค่อยเป็นว่ะ ยิ่งโง่ๆ อยู่ มึงบอกทางให้ด้วยนะ”

ผมโยนแผนที่บนหน้าจอมือถือให้เป็นหน้าที่บีบี๋ เมื่อดูทรงแล้วตัวเองน่าจะขับไปด้วย จ้องตารางเส้นถนนยึกยือที่ไอ้แดนส่งมาให้ไปด้วยไม่รอด ตั้งแต่ได้ใบขับขีมาแบบงงๆ ผมยังไม่เคยขับออกต่างจังหวัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ทำไมมึงถึงไปขอให้แดนช่วยวะ?”

“กูรู้มาว่าที่บ้านมันก็ทำกิจการคล้ายๆ บ้านพี่โรม แต่ไม่ใช่รีสอร์ทอย่างเดียว มีบางส่วนที่เปิดเหมือนเป็นบ้านเช่าระยะยาวด้วย.... ที่สำคัญก็คือพี่รุจไม่รู้จักไอ้แดน เขาจะได้ตามไม่ถูกว่ามึงอยู่บ้านพักตากอากาศของแม่มัน”

“แล้วแดนรู้หรือเปล่าว่าคนที่จะไปอยู่บ้านนั้นคือกู?”

ผมส่ายหน้าก่อนจะให้คำตอบ

“กูบอกมันไปว่าแม่สั่งให้ช่วยหาบ้านพักสำหรับหลบนักข่าวให้” 

แน่นอนว่าผมโกหกแดน กลัวว่าถ้าพูดความจริงไปตั้งแต่แรกว่าจะให้บีบี๋ไปขออาศัยหลบภัยจากเจ้าของเบอร์ลิค มันจะไม่ยอมช่วยง่ายๆ.... แต่เรื่องนี้จะโทษไอ้แดนไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ไอ้บี๋ไปสร้างศัตรูกีดกันผมกับมันออกจากกัน ผมก็คงไม่ต้องคิดอะไรสลับซับซ้อนขนาดนี้ 

“แต่สักพักมันก็คงรู้อยู่ดีแหละว่าเป็นมึง ไว้เดี๋ยวกูเจอมันแล้วจะเคลียร์ให้ ไม่น่ามีปัญหาอะไรมั้ง”

“เหรอ...........”

“ไม่ต้องคิดมาก.... มึงก็รู้ตัวแล้วนี่ว่าเคยทำไม่ดี แค่นี้ก็พอแล้ว”

“ถ้ากูมีโอกาสกลับไป กูอยากจะขอโทษทุกคนเลยว่ะ.......ทั้งเฮียโรม แดน แล้วก็อีกหลายๆ คน...........” 

บรรยากาศบนรถกลายเป็นศาลาคนเศร้าอีกครั้งเมื่อบีบี๋เริ่มทบทวนถึงสิ่งที่ทำลงไป 

“ตอนนั้นกูคิดเหี้ยอะไรอยู่ก็ไม่รู้ว่ะ......คงเพราะเก็บกดจากที่โดนป๊าม๊าเอาไปเปรียบเทียบกับเฮียบิ๊กเจ้แบมล่ะมั้ง พอเข้ามหาลัย กูก็โคตรโนบอดี้ไม่มีอะไรดีเด่นกับเขาสักอย่าง.......ทางเดียวที่กูจะรู้สึกพอใจกับตัวเองได้ก็คือต้องพยายามเกาะติดมึงเข้าไว้ อาศัยความเป็นคนดังของมึงทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักไปด้วย เวลาได้ยินคนอื่นพูดว่ากูดีกว่ามึง น่ารักนิสัยดีกว่ามึง ได้เห็นมึงถูกรุมเกลียด ไม่มีใครรัก มันก็เหมือนปมด้อยกูได้รับการเติมเต็ม.........”

“เออ ก็ฟังดูเหี้ยจริง”

“ไม่ใช่ว่ากูคิดจะมาขอโทษมึงเพราะแค่จะหาคนช่วยพาหนีนะ.......กูอยากขอโทษมึงมาสักพักแล้ว แต่กลัวว่ามึงจะไม่รับ”

ถึงพี่รุจจะแกล้งพูดยั่วโมโห บอกว่าลูกหมาของเขาก็แค่ปั้นหน้าโกหกตอแหลใส่ผมเพราะรู้ว่าผมเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยมันได้ หากผมก็เชื่อสายตาและเซนส์ของตัวเองว่าบีบี๋กำลังสำนึกผิดและพยายามที่จะขอโทษอย่างจริงใจที่สุด.... สำหรับผม ไม่มีคำขอโทษไหนที่สายเกินไปหรอก โดยเฉพาะกับคนที่ผมยกให้เป็นเพื่อนสนิท ขอแค่พูดคำๆ นั้นออกมาจากใจจริงก็พอแล้ว

“เอาเหอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” 

ผมเอ่ยพลางระบายรอยยิ้มจาง 

“กูก็ไม่ได้จะดีไปกว่ามึงสักเท่าไร.......กูก็แอบอิจฉามึงออกบ่อยที่มีคนมาชอบเยอะ ยิ่งตอนที่พี่โรมบอกว่าชอบมึง กูนี่ทั้งอิจฉาทั้งหัวร้อนจนทนไม่ได้เลย สุดท้ายก็อย่างที่รู้ๆ กัน กูไปชิงเกียร์เขาลับหลังมึง เขาขอคืนก็ไม่ยอมคืนด้วย...........”

ผมแค่คิดว่าในเมื่อบีบี๋ขอโทษผม ผมเองก็ควรจะขอโทษเรื่องที่ทำไม่ดีกับมันเอาไว้เหมือนกัน ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้ยินอะไรบางอย่างซึ่งดีต่อใจขนาดนี้

“มึงไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องเฮียโรมหรอก ไอ้ชา” 

บีบี๋พูดยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าออกนอกหน้าต่าง 

“ที่เขาบอกว่าชอบกูก็แค่ความประทับใจแหละ ถ้าเขาไม่ได้มีใจให้มึงแต่แรก ต่อให้มึงชิงเกียร์จนตายคาเบอร์ลิคยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จ.... เฮียโรมรักมึง เขาเป็นของมึงว่ะ คุณเพื่อน”
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:16 หน้า7 [ UPDATED 28/04/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 09-05-2018 00:03:08
เพราะความไม่ชินเส้นทางและสภาพถนน ผมขับเจ้ามินิคูเปอร์เลียบช่องซ้ายไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วแค่ประมาณแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง จากที่ฟ้าสว่างแดดเปรี้ยงก็กลายเป็นมืดครึ้มเมฆตั้งเค้ามาแต่ไกล นกฝูงใหญ่บินว่อนกลับรังเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า.... ผมรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยว่าพอฝนตกแล้วจะขับยากแต่ก็ไม่กล้าเร่งความเร็วมากไปกว่านี้ ใจคอไม่ค่อยดียังไงพิกลหากก็พยายามคิดว่ามันคงไม่มีอะไร ระยะทางจากกรุงเทพไปปราณบุรีแค่สองร้อยกว่ากิโลฯ ถ้าไม่หลงทาง อีกสอง-สามชั่วโมงก็น่าจะถึงตัวเมืองแล้ว

“ถึงบายพาสหัวหินแล้วบอกกูด้วยนะว่าเลี้ยวตรงไหน”

“อีกสักพักเลยมึง นี่เพิ่งผ่านวังมะนาวมาเอง”   

ผมถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะหลุดออกจากถนนพระรามสองได้ไม่นาน แสดงว่าหนทางยังอีกยาวไกลนัก และเมื่อเข้าเส้นเพชรเกษมมาได้ไม่ถึงสิบนาที ฝนก็สาดโครมลงมาห่าใหญ่ กระหน้ารถโดนสายน้ำกระแทกเสียงดังปึ้กๆๆๆ แต่ถ้าเทียบกับจังหวะการเต้นของหัวใจจากความเครียดของผมแล้ว ต่อให้พายุมาถล่มลงตรงหน้าก็ยังสู้ไม่ได้หรอก

ลำพังแค่มองถนนผ่านก้านปัดน้ำฝนก็ลำบากพออยู่แล้ว ผมก็เลยตั้งสมาธิจดจ่ออยู่แค่กับเส้นทางเบื้องหน้าเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าใครจะบีบแตรด่าข้อหาขับช้าหรือขับแซงไปบ้าง จนกระทั่งอยู่ดีๆ ไอ้บี๋ก็สะดุ้งเฮือกสุดตัวก่อนจะเหลียวหันไปมองข้างหลังราวกับว่ามีผีกระหังเหาะตามตูดรถผมมา

“อะไรวะมึง?”

“ข้างหลังนั่น.......!” 

เพื่อนตัวเล็กหน้าซีดเผือด น้ำเสียงเครือแสดงถึงอาการตกใจจนลนลานนั่งไม่ติดขณะเอ่ยบอกให้ผมรับรู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น 

“กูว่ารถเฮียรุจว่ะ!”

“เฮ้ย มึงแน่ใจเหรอ?”

ผมเหลือบมองผ่านกระจกส่องหลัง เห็นรถโฟร์วีลสีดำหน้าตาคุ้นๆ ขับตามหลังมาด้วยระยะห่างพอสมควร ประกอบกับฝนตกหนักจนมองทัศนวิสัยภายนอกได้ไม่ถนัด ผมจึงไม่กล้าฟันธงว่าใช่แล้วเร่งความเร็วจนเกิดอันตราย

“ใช่ดิมึง กูแน่ใจ!” 

บีบี๋ร้องบอกน้ำตาคลอ ความกลัวตรงเข้าครอบงำจิตใจพาลให้ปากคอสั่น มือไม้จิกเกร็งแน่นจนเล็บแทบจะฝังลงในเนื้อ 

“ไอ้ชา ทำไงดีวะ.... เฮียรุจแม่งแอบตามมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้.......!?”

“ทำไงได้ล่ะ กูก็ต้องขับหนีสิวะ!”

มาจนถึงตอนนี้ ผมโคตรอยากด่าตัวเองฉิบหายที่มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการหาที่พัก เตรียมเงินกับข้าวของให้บีบี๋ แต่ดันประมาทลืมคิดไปเสียสนิทว่าตรงปากทางเข้าบ้านตัวเองมีคอมมูนิตี้ปาร์คซึ่งมีลานจอดรถขนาดใหญ่ ถ้าดักรออยู่ตรงนั้นก็สามารถมองเห็นได้ไม่ยากว่ารถคันไหนผ่านเข้า-ออกหมู่บ้านบ้าง.... พี่รุจก็คงจอดซุ่มรอให้ผมเป็นฝ่ายพาบีบี๋ออกมาเอง แล้วก็แอบขับตามมาเงียบๆ โดยที่พวกผมไม่มีใครทันได้สังเกตเลย

เมื่อสถานการณ์จวนตัว ผมก็ตัดสินใจเหยียบคันเร่งให้เต็มเท้าขึ้น เข็มบอกระดับความเร็วซึ่งคงที่ที่ตัวเลขแปดสิบไต่ระดับขึ้นไปถึงร้อยยี่สิบภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่เทียบกับคนทั่วไปแล้วก็คงยังช้าอยู่มาก Range Rover สีดำคันนั้นถึงได้เร่งความเร็วตามแบบไม่ยากเย็นเลย.... เส้นประสาทผมตึงไปหมด สัมผัสได้ถึงความเครียดและความตระหนกของตัวเองในขณะที่ต้องบังคับยาพาหนะฝ่าสายฝนเอาชีวิตรอด ลมแอร์คอนดิทชั่นผสานกับไอความเย็นจากภายนอกอาจทำให้หนาวสั่น ทว่า ฝ่ามือผมซึ่งกำพวงมาลัยรถนั้นชื้นเหงื่อทำให้ยิ่งต้องเกร็งจนตะคริวแทบกิน

“ไอ้บี๋ ข้างหน้ามีทางเลี้ยวบ้างไหมวะ?”

บีบี๋ก้มหน้าลงดูแผนที่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบโหยสิ้นหวัง

“ไม่มีว่ะ.......เส้นเพชรเกษมตรงยาวจนถึงชะอำเลย..........”

“โว้ย กูอยากจะบ้า!”

ผมเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก ตอนนี้เข็มบนหน้าปัดแตะอยู่ที่ร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกเหมือนมินิคูเปอร์กำลังจะเหาะมากกว่าแล่นอยู่บนพื้นถนน.... ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบจวนจะหลุดกระเด็นออกมาอยู่รอมร่อ ถ้ามีโค้งหรือทางเลี้ยวแยกซ้ายขวาให้เลือก ผมก็จะลองเสี่ยงดูเผื่อว่าจะสลัดพี่รุจออกไปได้ แต่ก็อย่างที่ไอ้บี๋เพิ่งบอกเมื่อกี้ว่าทางตรงล้วนๆ จนกว่าจะถึงชะอำ นั่นแปลว่าโอกาสรอดของพวกผมนั้นน้อยมาก

ฉับพลัน โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น สายโทรเข้าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้เมมเอาไว้ ผมจึงบอกให้บีบี๋กดรับแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ในรถสีดำข้างหลังพวกเรานั่นแหละที่โทรมา

‘ทิชา จอดรถ!’

ใช่จริงๆ ด้วย.... ก็ไม่รู้ว่าพี่รุจไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน แต่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ผมไม่มีเวลาจะสนใจหรอก

“ไม่จอด!” ผมตะโกนกลับไป  “พี่รุจนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับไอ้บี๋!”

‘อยากจะลองดีกับพี่จริงๆ สินะ!’

น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูคล้ายจะพุ่งตัวผ่านลำโพงมาหักคอผมด้วยมือเปล่า ความกราดเกรี้ยวเดือดดาลชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่ยืนคุยกันหน้าบ้าน ส่งผลให้ทั้งผมและบีบี๋พากันลอบกลืนน้ำลายข่มระงับความกลัว แต่ต่อให้พี่รุจน่ากลัวกว่าเสือ ผมก็จำเป็นจะต้องทำใจกล้าสู้ยิบตาให้ถึงที่สุด

“พี่ก็รับปากก่อนสิว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อนผม.... พี่ทำชีวิตมันพังแล้วยังจะมาเอาอะไรอีก ปล่อยไอ้บี๋มันไปเถอะน่า!”

‘บีบี๋เป็นลูกหนี้ของพี่ ถ้าพี่ไม่ปล่อย ใครก็ห้ามเอาไปไหนทั้งนั้น!’

“หนี้สองล้านนั่นน่ะเรอะ ผมจ่ายแทนให้ก็ได้ แต่พี่ต้องปล่อยเพื่อนผม!”

‘สงสัยว่าเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วมั้ง ทิชา’ 

ความพยายามที่จะต่อรองของผมไม่เป็นผล เพราะสิ่งเดียวที่พี่รุจต้องการไล่ล่าเอากลับคืนให้ได้ก็คือบีบี๋ และเมื่อผมกับเขาทำท่าจะเจรจากันต่อไปไม่รอด เขาก็เปลี่ยนไปข่มขู่ลูกหนี้ซึ่งนั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ 

‘บีบี๋ฟังอยู่หรือเปล่า บอกให้เพื่อนจอดรถเดี๋ยวนี้!’

“ไอ้บี๋ มึงตัดสายไปเลย ยังไงกูก็ไม่จอด!”

“ไอ้ชา..............”

ผมออกคำสั่งเด็ดขาดในขณะที่บีบี๋ลังเลไม่กล้าตัดสายพี่รุจ ยิ่งเปิดโอกาสให้เขากดดันพวกเราทั้งคู่ด้วยคำพูดและความเร็วรถซึ่งจี้ติดขึ้นมาจนแทบจะชนท้ายอยู่รอมร่อ

‘บีบี๋รู้ใช่ไหมว่าพี่เอาจริง.... ถ้าไม่จอด พี่จะปาดหน้ารถทิชา ขับช้าเป็นหอยทากแบบนี้พี่ปาดได้สบายอยู่แล้ว ตายก็ตายแม่งด้วยกันให้หมดนี่แหละ!’

‘จะตายเป็นผีเฝ้าถนนหรือจะกลับไปคุยกันดีๆ เลือกเอาเองเลย!’

“พี่ก็รับปากมาสิว่าจะไม่ทำเหี้ยๆ แบบนั้นกับไอ้บี๋อีก.... ไม่งั้นมันกลับไปกับพี่ มันก็เหมือนกลับไปตายทั้งเป็นอยู่ดี!”

ผมยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาตะโกนมา ผมก็ตะโกนกลับไปก่อนจะกระทืบคันเร่งลงไปอีกจนเกือบมิด ผมสาบานเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ขับรถบนถนนหลวงด้วยความเร็วแตะถึงสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง.... ขอแค่บีบี๋กับผมรอดไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันว่าพอ อย่างอื่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง

“ไอ้ชา.... พอแล้ว จอดรถเถอะ..........”

แต่อยู่ๆ ไอ้บี๋ก็เกิดเปลี่ยนท่าทีขึ้นมากะทันหัน จากที่จะเป็นจะตายกับอีแค่ได้ยินเสียงพี่รุจตะคอกผ่านโทรศัพท์ อยากจะหนีเขามากถึงขนาดต้องบากหน้ามาขอร้องอดีตเพื่อสนิทอย่างผม กลายมาเป็นปลงตกเรียกร้องขอเดินกลับเข้าไปในกรงเสือเสียเอง 

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดว่ะ......กูไม่อยากให้มึงต้องมาเดือดร้อนเพราะกู..........”

“แต่มึงกลับไปก็ตายเปล่า แค่รับปากกับกูว่าจะไม่ทำร้ายมึง พี่รุจแม่งยังไม่ยอมเลย!” 

ถ้าไม่ติดว่าสองมือกำลังเกาะพวงมาลัยกับเกียร์แน่น ผมคงได้โบกหัวไอ้เพื่อนเวรเพื่อนกรรมไปแล้วแน่ๆ แต่เวลานี้ผมทำได้แค่ด่า ด่าทั้งมันแล้วก็ไอ้เชี่ยพี่รุจซึ่งไม่ยอมเลิกราบ้าบอสักที 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เป็นห่าอะไรกันแน่ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญจะเอาตัวไอ้บี๋ไปให้ได้ขนาดนี้.... แต่ถ้าพี่ไม่ทำให้ผมวางใจว่าเพื่อนผมจะปลอดภัย งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ตัวมันไปง่ายๆ!”

“คุณเพื่อน จอดเถอะ กูขอ........!”

“มาขอเหี้ยไรตอนนี้วะ!?”

ไอ้ห่าบี๋แหกปากใส่ผม ผมก็โวยกลับใส่มัน.... ท่ามกลางสายฝนซึ่งโหมกระหน่ำลงมาบนความหวาดหวั่นรักตัวกลัวตายของเราทั้งคู่เริ่มมีความไม่แน่ใจเข้ามาแทรก และก่อนที่ผมจะทันได้คิดตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อดี บีบี๋ก็หันมาทำตาละห้อยร้องห่มร้องไห้ใส่ผม

“กูจะกลับไปอยู่กับเฮียรุจ.......กูไม่ไปกับมึงแล้ว...........”

“ห๊ะ!!??”

ในตอนนั้นผมหันไปมองบีบี๋อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปากสั่นพั่บอยากจะด่ามันแรงๆ ให้สาแก่ใจแต่กลับนึกคำด่าไม่ออกเลยสักคำ.... เพราะมันบอกเองว่าจะไม่คุยกับพี่รุจ กลัวถูกเขาทำร้าย ผมถึงได้คิดแผนการนั่นนู่นี่จับมันยัดขึ้นรถขับออกมาไกลถึงปราณบุรี แล้วนี่แม่งเรื่องอะไรกัน!? คิดว่ามันตลกนักเหรอที่ต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงอันตรายอยู่บนรถซึ่งแล่นฝ่าพายุฝน!!??

ทั้งๆ ที่ผมยอมลงทุนทำเพื่อมัน แต่สุดท้ายก็โดนชิ่งกลางทาง

ถ้ากลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรล่ะก็ รับรองเลยว่าคราวนี้ผมได้เลิกคบถาวร กรวดน้ำคว่ำขันแล้วจะเอาขันเขวี้ยงหัวมันซ้ำให้ด้วย

เอาไว้ให้กลับถึงกรุงเทพฯ ก่อนเหอะ....!



“เฮ้ย!! ไอ้ชา ระวัง!!!!!!!”


“..........!!!!!!!!!!”


“เหยียบเบรคสิมึง!!! เบรค!!!!!”



ขณะที่ผมกำลังจะจอดรถปล่อยบีบี๋ไปตามทางที่มันเลือกเอง ฉับพลัน รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์จากฝั่งขาล่องเข้ากรุงเทพฯ ก็ยูเทิร์นกินเลนมาไกลจนขวางลำอยู่ข้างหน้ารถผม ด้วยความตกใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าผสานกับเสียงร้องตะโกน ผมก็รีบถีบเท้ากระทืบเบรคสุดชีวิต


เอี๊ยดดดดดดดด!!!!!!!!!!


ผมหักพวงมาลัยหนีท้ายรถพ่วงจนตัวเอียง หากเพราะความที่ไม่ค่อยชำนาญเรื่องการขับรถ ความเร็วที่ยังไม่ได้ชะลอบวกกับสภาพถนนลื่นเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย.... ทั้งผมและบีบี๋ต่างก็หวีดร้องจนเสียงหลง ได้ยินเพียงเสียงล้อบดกับยางคอนกรีตดังกึกก้องแสบแก้วหู รถมินิคูเปอร์หมุนคว้างตามแรงเหวี่ยงเหมือนลูกข่างสูญเสียการทรงตัวไปโดยสิ้นเชิง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดนิ่งไปพร้อมกับแรงอัดกระแทกอย่างหนักหน่วงจากฝั่งที่ผมนั่ง   


โครมมมมมมมม!!!!!!!!   



เสียงสุดท้ายที่แทรกเข้ามาในโสตประสาทดังลั่นเหมือนฟ้าผ่า ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นฟ้าผ่าจริงๆ เพราะว่าจนป่านนี้แล้วฝนยังไม่ยอมซาลงเลย....

แรงกระแทกนั้นทำให้ตัวผมกระเด้งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หลุดออกไปไหนเพราะยังมีเข็มขัดกับถุงลมนิรภัยช่วยเซฟเอาไว้.... ผมรู้แล้วล่ะว่าตัวเองขับรถชนอะไรบางอย่างซึ่งน่าจะเป็นเสาไฟฟ้าข้างทาง ประตูฝั่งคนขับยุบเข้ามาจนรถของแม่เหลือแค่ครึ่งคันกว่าๆ กระจกแตกยับร่วงเป็นเศษเล็กเศษน้อยลงมากองอยู่บนหน้าตักผม ส่วนอื่นๆ ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เพราะผมมองไม่เห็น

ห้วงความคิดในเวลานั้น ผมคิดว่าตัวเองไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก สติยังพอมีถึงแม้จะค่อนข้างเลือนรางมากก็ตาม.... ห่วงก็แต่ไอ้บี๋เพราะแขนขามันเข้าเฝือกอยู่ก่อนแล้ว กลัวว่าแรงชนเมื่อกี้จะทำให้กระดูกมันเคลื่อนไปกันใหญ่ แต่เท่าที่เพ่งดูก็เหมือนว่ามันไม่น่าจะเจ็บมากเท่าที่ผมกังวล

มีแต่มันนั่นแหละที่มองผมอย่างตกใจสุดขีด แล้วก็เริ่มส่งเสียงสะอื้น....

“ไอ้ชา.........ฮึก........ไอ้ชา.........!!!!”

ผมพยายามจะบอกมันว่าผมไม่เป็นไร ทว่า เสียงพูดกลับไม่ยอมเล็ดลอดออกจากปากเลย ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าริมฝีปากตัวเองยังขยับได้อยู่หรือเปล่า

“ไอ้ชา.......ฮือ.........มึงอย่าหลับนะ.......ฮึก.......ทำใจดีๆ ไว้............คุณเพื่อน.......อย่าหลับนะ กูขอร้อง..............”

ในใจผมคิดว่าบีบี๋ร้องไห้โวยวายเสียขนาดนั้น ใครมันจะไปหลับลง ที่สำคัญก็คือผมกำลังพามันหนีพี่รุจอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วจะมีแก่ใจหนีไปนอนกลางวันได้ยังไง

แต่อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ง่วงจนทนไม่ไหวแล้ว

หรือว่าผมควรจะนอนหลับตรงนี้สักงีบดีนะ....?

“บีบี๋!!!”

ร่างสูงวิ่งฝ่าสายฝนตรงมายังรถของผม มือใหญ่กระชากประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วค่อยๆ ดึงตัวบีบี๋ออกไปข้างนอกตัวรถ.... โชคยังพอเข้าข้างที่แรงกระแทกถูกส่งไปไม่ถึงตัวมันมากนัก บีบี๋ก็เลยมีแค่แผลแตกตรงหางคิ้วซึ่งน่าจะเกิดจากการชนโดนขอบกระจก ผมเห็นพี่รุจประคองร่างเล็กเอาไว้ เลื่อนฝ่ามือลูบไปตามใบหน้ามันอย่างทะนุถนอม บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง พี่รุจมาตามเอาตัวไอ้บี๋คืนก็เพราะเป็นห่วงมัน ถ้าผมเชื่อที่พี่แจ็คบอกตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว

ผมนี่แม่ง........ไม่น่าขี้เสือกเรื่องชาวบ้านเลยจริงๆ...............

สุดท้ายก็กลายเป็นหมาจนได้...........

“เป็นยังไงบ้าง บีบี๋!?”

“เฮียรุจ เรียกรถพยาบาลที.........ไอ้ชา.....ฮึก............ไอ้ชามันจะตายแล้ว” 

บีบี๋ยังคงสะอื้นแข่งกับเสียงฝน มือข้างที่ไม่มีสายคล้องเฝือกชี้มาที่ผมซึ่งติดอยู่ข้างในตัวรถ 

“นะเฮีย.........บี๋ขอร้องล่ะ........ฮือ.........ช่วยมันที.............”

ผมเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่มันเลวร้ายแค่ไหน จากที่คิดเองเออเองว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมากนั้นเรียกได้ว่าผิดอย่างมหันต์.... ความเจ็บปวดและรสชาติแสบทรวงของพิษบาดแผลเริ่มครอบงำประสาททุกส่วน จากที่ร้องไม่ออกก็เปลี่ยนเป็นส่งเสียงครวญครางด้วยความทรมานแทบขาดใจ ตรงที่กระแทกฟาดเข้ากับเสาไฟฟ้าทำให้กระดูกแขนขาข้างขวาของผมหักหมด ซีโครงก็คล้ายจะทิ่มโดนอวัยวะบางส่วนอยู่ข้างใน กระจกที่นึกว่าแค่แตกเฉยๆ ก็บาดโดนหน้าผมจนเลือดหยดเป็นทางยาว


งั้นผมก็คงใกล้จะตายอย่างที่ไอ้บี๋บอกจริงๆ สินะ....?


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลือนรางรวดเร็วเหมือนความฝัน หากก็รุนแรงชัดเจนสมกับที่เป็นเรื่องจริง.... สติสัมปชัญญะของผมจวนเจียนจะดับวูบลง ในตอนที่ยังไม่หมดสติก็ยังพอรับรู้ได้ว่าเสียงรถกู้ภัยหรือรถพยาบาลกำลังใกล้เข้ามา มีคนนับสิบร้องตะโกนเอะอะโวยวาย ได้ยินเสียงบีบี๋ร้องไห้ตะโกนขอร้องทุกคนแถวนั้นให้ช่วยเอาตัวผมออกมาจากซากรถ ความวุ่นวายเกิดขึ้นรอบตัวจนผมชักอยากจะหลับไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดตามประสาคนขี้รำคาญ


แต่ผมไม่ได้ยินเสียงพี่โรม

ตอนนี้เขาอยู่ไหน.........ผมอยากได้ยินเสียงเขาจังเลย.........?



คิดไปแล้วก็ได้แต่ด่าตัวเองว่าสุดแสนจะโง่งี่เง่า ก็ผมเป็นคนพูดอยู่กับปากเองว่าจะไม่บอกเรื่องพาบีบี๋หนีให้พี่โรมรู้ ทำซ่าส์วางแผนขับรถมาปราณบุรีไม่ได้บอกอะไรใครเลยสักคำ.... แล้วพี่โรมจะตามมาได้ยังไง


แต่ผมกำลังจะตายอยู่แล้วนะ อย่างน้อยก็ขอฟังเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอ?


ผมพยายามควานมือไปทั่วเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ แต่เจ้าหน้าที่หิ้วผมขึ้นเปลออกมาจากตรงนั้นแล้ว.... บอกตามตรง ผมไม่กล้าคาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปบ้านเลย มันเจ็บมาก เจ็บที่สุด เจ็บไปทั้งตัว เจ็บจนผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองอาจจะขาดใจตายไปในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้านี้

คนเพียงเดียวที่ผมนึกถึง

คนเพียงคนเดียวที่ผมอยากเห็นหน้าเขาในเวลานี้
 


พี่โรม........อยู่ไหน.........?



ถ้าต้องตายก็อยากจะมีโอกาสบอกรักเขาอีกสักครั้ง

ถ้าต้องตายก็อยากจะฟังพี่โรมบอกรักอีกสักครั้ง

แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง....




ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางอยู่แล้วเชียว แต่กลับมาพังป่นปี้หมดโดยที่ผมไม่สามารถโทษใครได้เลย

ก็คงต้องโทษตัวเองล้วนๆ ที่พ่ายแพ้ให้กับพายุฝนจนไม่สามารถมองเห็นสายรุ้งได้อีก

.
   

.


‘ลาก่อนนะ พี่โรม...........’






TO BE CONTINUE


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 08 [ 24/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดSwag ที่ 09-05-2018 16:06:28
[quote author=monalism link=topic=63529.msg3759768#msg3759768 date=1514138520

แดนไปฮีลทิชาที ดึงนางกลับมาหน่อยยยยย
[/quote]

จะเอา #แดนทิชา   :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 10-05-2018 08:37:47
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 10-05-2018 14:47:14
อื้อหืออออออ
พาร์นี้หน่วง แต่เราว่าหน่วงน้อยกว่าที่ผ่านมาอ่ะ เราโล่งใจหลายๆอย่างเลย
ก่อนหน้านี้ชีวิตทิชานี่อึมครึมสุด เหนื่อยมาก สงสารมาก 5555

ถึงทิชาจะไม่อยู่จริงๆ เราก็ว่าอะไรดีๆหลายอย่างมันถูกเริ่มต้นมาแล้ว
ทั้งความสัมพันธ์กับโรม บ้านโรม รีเทิร์นกับเพื่อนบี๋และจากอุบัติเหตุครั้งนี้ก็น่าจะทำให้ชีวิตบี๋สดใสมากขึ้นอ่ะนะ
แต่ยังไงก็ยังชอบตอนจบแบบแฮปปี้อยู่ดี เพราะงั้นก็จะเชียร์ให้ทิชารอดมามีความสุขกับพี่โรมนะคะ


หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 10-05-2018 16:59:37
ทำไมเป้นแบบนี้ำปได้นะ ทิชาหนูต้องสู้นะเพื่อกลับไปหาพี่โรม
อย่าเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย แค่นี้แม่ๆก็ใจเสียพอแล้ว
ขอให้ปลอดภัยนะทิชา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-05-2018 21:57:34
เดี๋ยวๆๆ มาลาก่อนอะไร หนูต้องไม่เป็นไรนะทิชา ต้องหายนะ มีคนที่รักมากมาย
ชอบตอนทิชาคุยกับแม่ผัว ว่ากันมาตรงๆ เลยค่ะแม่ แต่พ่อผัวคือดี~~
เบื่อเฮียรุจอ่ะ เอาแต่ใจ มาขับรถจี้ ก็รู้ฝนตกอันตรายแม่งน่าเบื่อ เมื่อไรจะคิดได้
บีบี๋ดูกลับใจได้ แต่ก็มาทำให้ทิชาเจ็บอีกแล้ว ไม่โอเคอ่ะ ทีมทิชาพาล

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-05-2018 05:29:55
เฮ้ยยยย ทิชาเธอจะมาลาก่อนไม่ได้ดิ เธอต้องได้กลับมาอยู่กับพี่โรมนะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-05-2018 11:16:41
18
~ เดินต่อหรือหันหลังกลับ? ~


ROME’s PART




ว่ากันว่า คลื่นลมทะเลมักจะสงบเป็นพิเศษก่อนที่พายุครั้งใหญ่จะโหมกระหน่ำ

ผมควรจะเอะใจสักนิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดูราบรื่นสวยงามเกินไป ควรจะฉุกคิดให้มากๆ ว่าเรื่องระหว่างผมกับทิชาไม่มีทางจบลงอย่างมีความสุขสมหวังง่ายๆ เหมือนในละคร.... และผมก็ควรจะเรียกน้องเอาไว้ ไม่ปล่อยให้กลับออกไปตัวคนเดียว หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นฝ่ายโทรหาน้องทุกชั่วโมง

ผมผิดเองที่วางใจจนเกินไป

ผมผิดเองที่มัวแต่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายสักหน่อย

ผมผิดเองที่ไม่ได้ดูแลทิชาให้ดีเหมือนเช่นที่ปากพูด

ผมผิดเองที่คิดว่าแค่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่เห็นเป็นไร อีกประเดี๋ยวทิชาก็กลับมาแล้ว ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งในสมองเลยที่คิดว่าบางทีน้องอาจจะไม่กลับมาก็ได้

แล้วตอนนี้ ทิชาก็ไม่ได้กลับมาหาผมจริงๆ



ทั้งหมด.... เป็นความผิดของผมเอง




เส้นเลือดตรงหลังมือซ้ายเต้นตุบจนปวดไปหมดหลังจากที่สายน้ำเกลือถูกกระชากออก แม้เลือดจะไหลโกรกหรือใครจะพยายามพูดกรอกหูเรื่องแผลเน่าติดเชื้อ ผมก็ไม่สน เพราะสิ่งเดียวที่ผมสนใจในเวลานี้ก็คือทำยังไงก็ได้เพื่อไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ทิชาถูกส่งตัวไปรักษาโดยเร็วที่สุด

แน่นอนว่าป๊ากับม๊าไม่มีทางยอม แต่พอเห็นผมสติแตกโวยวายจะออกไปหาทิชาให้ได้ พวกท่านก็มีทีท่าอ่อนลงและอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาล โดยที่ท่านจะนั่งรถไปด้วยเพราะเกรงว่าถ้าปล่อยให้ผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วจะยิ่งหุนหันพลันแล่นจนเกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีกคน.... ผมร้อนใจมาก กว่าจะเดินเรื่องเอกสารเสร็จก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมง ข่าวออนไลน์แทบทุกสำนักพาดหัวอัพเดทถึงทิชาว่าสาหัสหรือไม่ก็ปางตายยิ่งทำให้ผมจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง ข้างในอกมันยิ่งกว่ามีไฟสุม ไม่รู้ว่าทิชาไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร ในหัวมีแต่คำถามว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าข่าวที่เห็น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเป็นความจริง

ทุกอย่างรอบตัวมันเบลอ เลือนรางและแตกละเอียดประหนึ่งเศษแก้ว เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่ตัวผมถูกยิงเสียอีก เพราะตอนนั้นผมก็แค่เจ็บ แต่ตอนนี้ผมทั้งเจ็บแล้วก็ทรมาน.... แค่คิดว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะไม่ได้ยินเสียงทิชา จะไม่ได้เห็นน้อง จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างที่ฝันไว้ ผมก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว

กว่าผมจะรู้ใจตัวเองว่ารักใคร ทิชาก็เจ็บจนกระอัก

แล้วพอผมกับทิชาอุตส่าห์ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายแหล่ไปได้ ก็ยังจะมีความเหวห่าบ้าบอของคนอื่นมาทำให้เราต้องแยกจากกัน

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง....?

ทำไมกับอีแค่การที่คนสองคนจะรักกันมันถึงได้ยากขนาดนี้....?



ปี๊นนนนนนนน!!!!!!



“ขวางทางกูอยู่ได้ ไอ้สัตว์เอ๊ย!!”

ผมตบแตรเสียงดังลั่นถนนพร้อมกับตะโกนด่ารถกระป๋องเฮงซวยซึ่งขับช้าขวางหน้าจะไปไหนก็ไม่ไปสักที.... ก็ไม่รู้หรอกว่าฝ่ายนั้นช้าเองจริงๆ หรือผมนั่นแหละที่ใจร้อนมากเสียจนแทบจะจุดไฟเผาถนนไล่ไอ้พวกเต่าคลานไปตายห่าให้หมด

“โรม ใจเย็นๆ ก่อน.........” 

ป๊าเอ่ยเตือนหลังจากได้ยินผมสบถด่ารถทุกคันในบริเวณนั้น ถึงแม้จะเป็นสายใต้เส้นออกต่างจังหวัดแต่เวลาคล้อยบ่ายเกือบเย็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถเร่งความเร็วได้ตามใจ และผมก็หงุดหงิดไล่ปาดไล่แซงชาวบ้านเขาไปทั่วจนน่ากลัวว่าจะไปชนท้ายใครเข้า 

“ขับรถไหวหรือเปล่า.... ถ้าไม่ไหว เปลี่ยนให้ป๊าขับแทนดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

แม้ไม่ได้ถูกว่าตรงๆ แต่คำถามของป๊าก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังจะขาดสติ ผมยังคงยืนกรานว่าจะขับรถเอง พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ทำให้ใจเย็นขึ้น หากพอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทิชาในตอนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน อกข้างซ้ายของผมก็ทำท่าจะระเบิดเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวเละเทะเสียให้ได้

“โรมคบกับทิชามานานแค่ไหนแล้ว? เขาสำคัญกับโรมมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” 

ป๊าถามแต่ผมไม่ยอมตอบในทันที กลัวว่าผู้ใหญ่จะตำหนิที่ผมให้ความสำคัญกับคนรักมากพอๆ กับชีวิตของตัวเอง จนกระทั่งท่านต้องออกตัวว่าจะไม่มีการดุด่าว่ากล่าว ผมถึงวางใจที่จะเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ฟัง 

“ป๊าก็ไม่ได้จะว่าอะไรเราหรอก คิดเสียว่าผู้ใหญ่ชวนคุยเพราะอยากรู้ก็แล้วกันนะ”

“ถ้าให้บอกเป็นระยะเวลา มันอาจจะฟังดูเหมือนไม่นานครับ.... ผมกับน้องเพิ่งคบกันจริงจังได้แค่ประมาณสามเดือนเอง” 

ผมตอบพลางนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่อาจจะกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางในอีกไม่ช้า บางช่วงก็หวานจนเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว บางคราวก็ขมขื่นเฝื่อนคอจนต้องกลืนให้หายไปเร็วๆ แต่เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้ยิ่งตระหนักรับรู้ว่าการมีทิชาอยู่เคียงข้างนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นความรักที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา 

“ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นสามเดือนที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะจนแทบนับไม่ถ้วนเลยครับ.... ทีแรก ผมคิดว่าทิชาก็แค่หน้าตาน่ารักดี แต่ไม่ได้อยากคบด้วย ไม่ได้มองว่าเขาคือคนที่จะมาเป็นแฟนผมเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนที่คบกันใหม่ๆ ผมก็ยังไม่แน่ใจมากนักว่าเราจะไปกันรอดหรือเปล่า หลายๆ อย่างในตัวน้องทำให้ผมกังวลว่าจะดูแลเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมต่างหากที่ควรจะกลัวว่าถ้าวันใดวันหนึ่งทิชาเป็นฝ่ายทิ้งผมไป แล้วผมจะอยู่คนเดียวต่อไปได้ยังไง.............”

ความรักที่ผมได้รับจากทิชา มันทำให้ผมเคยชินกับการมีที่พึ่งทางใจ.... ทิชาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ผมจนเรียกได้ว่าหมดหน้าตัก ผมก็ให้น้องกลับคืนไปจนไม่เหลือเผื่อใจไว้สำหรับวันข้างหน้า เรามีความสุขกับการได้อยู่ร่วมกันในคอนโดฯ ห้องเล็กๆ กลับมาเหนื่อยๆ ก็ได้เห็นหน้ากัน กินข้าวด้วยกัน นอนกอดกัน ซึมซับตัวตนของอีกฝ่ายเข้าไปในหัวใจจนกระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นอีกครึ่งชีวิตของกันและกัน

และถ้าจะต้องเสียทิชาไปในตอนนี้ ผมคงทำใจไม่ได้จริงๆ....

“เมื่อก่อน ผมไม่เคยคิดอะไรไกลเกินกว่าเรื่องของตัวเองเลย.... พรุ่งนี้จะไปไหน จะกินอะไร สอบเมื่อไร จะหาใครมาติวหนังสือให้ แต่พอคบกับทิชา ผมก็เริ่มคิดถึงอนาคตมากกว่าเดิม.... เรียนจบแล้วจะทำยังไงต่อ จะกลับไปเปิดอู่ซ่อมรถในตัวเมืองแล้วก็ช่วยป๊าม๊าดูแลกิจการรีสอร์ทบ้านเราไปด้วย หรือจะหางานทำอยู่กรุงเทพฯ ดี ทิชาจะยอมย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับผมหรือเปล่า จะต้องทำแบบไหนถึงจะมีฐานะมั่นคงมากพอที่จะเลี้ยงน้องได้.... ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเร็วๆ อยากพาทิชาไปปีนเขาเที่ยวรอบโลก ทุกอย่างที่แพลนเอาไว้หลังจากนี้ไม่ใช่เพื่อตัวผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่มันมีทิชาอยู่ในนั้นด้วยครับ.........”

น้ำตาคล้ายจะทะลักออกมาเมื่อห้วงความคิดมาหยุดอยู่ตรงที่ว่าทิชาอาจจะไม่กลับมาอีก ผมรู้สึกละอายใจที่จะแสดงความอ่อนแอให้คนใกล้ตัวเห็น ทว่า ความหวาดหวั่นซึ่งแขวนอยู่กับอนาคตที่มองไม่เห็นก็มีมากเหลือเกิน

“ป๊าจะว่าผมก็ได้นะครับ..........แต่ถ้าทิชาไม่อยู่แล้ว ชีวิตผมก็คงว่างเปล่า.......ไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนต่อ.........”

“คนรักกันก็แบบนี้แหละ ไอ้ลูกชาย” 

นอกจากป๊าจะไม่ว่าอะไรแล้ว ท่านยังเข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายคนโตอย่างผมแสดงออกถึงความต้องการของตัวเอง ไม่รอให้พ่อแม่หรือใครก็ตามมาขีดเส้นเลือกทางเดินให้ว่าต้องไปทางนั้นทางนี้ และเป็นครั้งแรกที่ผมกล้ายอมรับว่าชอบใครสักคนแบบจริงจัง


“ถ้าทิชาได้ยินที่โรมพูดเมื่อกี้ เขาก็คงไม่อยากไปไหนหรอก แต่โรมก็ต้องเข้มแข็งเผื่อในส่วนของเขาด้วยนะ”

“ครับป๊า............”

คำพูดที่ได้ยินช่วยให้ผมฮึดแข็งใจไม่คิดถึงอะไรร้ายๆ หากก็ได้แค่เพียงชั่วครู่แล้วก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม.... ผมรู้ว่าทิชาไม่อยากไปไหนหรอก เด็กขี้เหงาคนนั้นรักผมพอๆ กับที่ผมรักเขานั่นแหละ แต่จะให้วางเฉยนิ่งนอนใจว่าน้องจะอยู่กับผมจนกระทั่งเราแก่ไปด้วยกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ผมคงทำใจให้คิดแบบนั้นไม่ไหว


ผมบอกได้แค่ว่ากลัว....

กลัวมากจริงๆ...........




‘คุณนิดารู้เรื่องลูกชายหรือยังเนี่ย?’

‘รู้แล้ว.... เห็นว่ากำลังออกกองละครอยู่โรงถ่ายแถวๆ ลาดหลุมแก้ว พอมีคนไปบอกว่าน้องทิชารถฟาดกับเสาไฟฟ้า อาการโคม่า นางก็เป็นลมไปเลย’

‘เมื่อกี้พีอาร์กองโทรบอกนักข่าวว่านางฟื้นแล้ว กำลังรีบมาที่นี่’

‘ก็ขอให้ทันดูใจลูกชายแล้วกัน.... ได้ยินข้างในคุยกันว่าอาการน่าเป็นห่วง กระดูกหักแทบทั้งตัวเลย เข้าห้องผ่าตัดไปหลายชั่วโมงแล้ว หน้าก็มีแผลโดนกระจกแตกใส่ ไม่รู้จะเสียโฉมหรือเปล่า แต่ถึงรอดก็คงถ่ายซีรีส์ช่องเอ็มต่อไม่ได้แล้วล่ะ’

‘น่าสงสารนะ ทั้งแม่ทั้งลูกเลย ชื่อเสียงกำลังดีขึ้นอยู่แล้วแท้ๆ.........’



หน้าโรงพยาบาลมีรถนักข่าวจอดเรียงกันเป็นพรืด พ่วงด้วยกองทัพแฟนคลับและขามุงที่ตามมาดูเหตุการณ์หลังรู้ข่าวจากสื่อโซเชียลว่ามีดาราหน้าใหม่ซึ่งเป็นลูกชายของอดีตนางเอกชื่อดังประสบอุบัติเหตุ.... ผมเดินฝ่าคนพวกนั้นเข้าไปจนถึงประตูห้องฉุกเฉิน ทุกประโยคที่ลอยมากระทบหูยิ่งพาลให้หัวใจดำดิ่งไม่ต่างจากซากเรือซึ่งจะต้องนอนจมอยู่ข้างใต้มหาสมุทรไปตลอดกาล มันดูสิ้นหวังและมืดมนจนเกินกว่าจะกู้ขึ้นมา คำถามที่ว่าเรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรยังคงไร้ซึ่งคำตอบ ทว่า เมื่อผ่านเข้าไปด้านในตัวอาคารได้ ผมก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้วว่าใครคือคนที่ควรต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ไอ้เฮียรุจชาติหมา...!!


“ขอโทษนะคะ.... ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณทิชาหรือเปล่าคะ ทางเราไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา...........”

นางพยาบาลคนหนึ่งพุ่งมาขวางทันทีที่เห็นผมแทรกเข้าผ่านกองทัพนักข่าวเข้ามาในอาคารห้องฉุกเฉิน แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าเจ้าหล่อนจะร้องห้ามหรือพูดพล่ามอะไร เพราะสิ่งเดียวที่ผมต้องการในเวลานี้ก็คือจัดการกับไอ้สารเลวที่ทำให้ทิชาเจ็บ.... เอาให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่น้องกำลังเผชิญเป็นร้อยเท่าพันเท่า และถ้าผมฆ่าแม่งให้ตายห่าไปได้เสียเดี๋ยวนี้ ผมก็จะทำ!

“ไอ้เหี้ยรุจ มึงทำอะไรเมียกู!!??” 

กำปั้นลุ่นๆ เหวี่ยงกระแทกใส่สันกรามคนที่ผมเคยนับถือเป็นพี่ชาย ตามติดด้วยแรงหมัดอีกไม่ยั้ง เสียงตะโกนถามดังลั่นท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของทุกคน 

“ทิชาไปทำอะไรให้พวกมึงนักหนา ห๊ะ!!?? มึงมาทำเมียกูทำไม!!??”

เฮียรุจไม่โต้ตอบเลย เขายืนนิ่งให้ผมชกเหมือนกระสอบทราย เลือดไหลออกจมูกหากก็ไม่คิดจะหลบหลีกปัดป้อง แต่สายตาแข็งกร้าวที่จ้องกลับมาก็ห่างไกลจากคำว่าสำนึกผิดหรือขอโทษอยู่หลายปีแสง

“ถ้าแค้นที่กูลาออกจากระบบเกียร์ส้นตีนของมึงนักก็มาลงที่กูสิวะ.... มาลงที่กูคนเดียวนี่!! ทิชาไม่เกี่ยว!!”

“รุ่นน้องหน้าโง่อย่างมึง กูตัดหางปล่อยวัดไปนานแล้ว” 

เฮียรุจแสยะยิ้มสมเพชใส่ผมทั้งที่เลือดกบปาก 

“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่เมียมึงมันก็โง่เหมือนมึงนั่นแหละ เสือกอยากทำตัวเป็นคนดีนัก ก็สมควรแล้วที่จะตายห่าเป็นผีเฝ้าถนน!!”

“ไอ้สัตว์นรก กูจะฆ่ามึง!!!”

ผมกระซวกหมัดใส่รุ่นพี่อีกครั้งแบบไม่คิดชีวิต ถึงจะยังไม่เข้าใจความหมายว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวยังไงแต่ผมก็ทั้งโกรธทั้งแค้นคนตรงหน้าที่มีส่วนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น.... รอบข้างมีเสียงตะโกนเอะอะโหวกเหวกดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ มือของใครต่อใครพยายามแยกผมออกจากห่างไอ้เฮียรุจ หากเพราะแรงโมโหนั้นมีมากจนเกินกว่าจะข่มใจได้ลง จนกระทั่งบุรุษพยาบาลสามคนต้องจับตัวผมล็อคแล้วดึงให้ถอยห่างออกมา แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ความวุ่นวายภายในห้องฉุกเฉินจะคลี่คลาย ผมยังคงจ้องเฮียรุจเขม็งและพร้อมจะตวัดแขนขาฟาดหน้าเขาได้ทุกเมื่อ

“อะไรกันครับคุณ.... ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันสิครับ!”

“ก็ไอ้เลวนี่มันทำทิชา ผมจะฆ่ามัน.....!!”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณคนนี้เขาเป็นคนเรียกรถพยาบาลกับกู้ภัยให้ไปรับตัวคุณทิชา.... แล้วรถเขาก็ไม่ได้ชนรถคุณทิชาด้วย เขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ต่างหาก”

“ไม่จริง ผมไม่เชื่อ!!”

“ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ กรุณาเคารพสถานที่ด้วย!” 

นางพยาบาลคนแรกซึ่งโดนผมชนกระเด็นตามมาต่อว่าเสียยกใหญ่โทษฐานที่ผมก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าไอ้คนที่เป็นฆาตกรทำร้ายทิชามันยืนอยู่โน่น ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องถูกไล่ออกไปจากที่ตรงนี้ก็ควรจะเป็นเฮียรุจ ไม่ใช่ผม 

“แล้วถ้าคุณไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนเจ็บก็เชิญออกไปรอข้างนอกค่ะ จะได้ไม่รบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่.... ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อย่าให้ต้องเรียกรปภ.มาเชิญตัว!”

“คือ......ลูกชายผมเป็นเพื่อนสนิทของเด็กที่ชื่อทิชาน่ะครับ”

ป๊าออกหน้าอธิบายแกมขอร้องแทนผม ถึงขั้นต้องยกมือไหว้คนแปลกหน้าเพื่อช่วยให้ผมไม่ถูกไล่ออกไป 

“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ทำให้ตกใจกัน แต่ให้เขาอยู่รอเพื่อนในนี้เถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้องก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อช่วยดูแลอย่าให้น้องคนนี้ก่อเรื่องอีกนะคะ แค่พวกนักข่าวข้างนอกก็ทำเราปวดหัวมากพออยู่แล้ว”

คงเพราะเห็นว่าผู้ใหญ่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่ขึ้นอีก หญิงสูงวัยในชุดขาวถึงได้ยอมปล่อยผมให้นั่งลงตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด.... ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดเลยว่าการที่ตัดสินใจตัดขาดจากเบอร์ลิค ทรยศรุ่นพี่และเพื่อนร่วมคณะจะส่งผลร้ายต่อคนที่ผมรักได้มากขนาดนี้ นอกจากโกรธไอ้เฮียรุจแล้วผมยังเกลียดตัวเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บางทีถ้าในตอนนั้นผมทวงเกียร์คืนมาจากทิชา ผลักไสเขาออกไปให้พ้นจากอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเบอร์ลิค น้องก็คงไม่เจ็บ

ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกกับการที่เราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม....

“โรม.... ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง ดีนะที่เขาไม่เอาเรื่องเราน่ะ”

“แต่ป๊าครับ........ไอ้หมอนั่น มันเป็นคนทำให้ทิชาเป็นแบบนี้!” 

ผมหมายถึงเฮียรุจที่เพิ่งโดนกระหน่ำชกจนหน้าแหก ด้วยความที่ปักใจเชื่อว่าฝ่ายนั้นเจตนาจะเอาทิชาถึงตายเพื่อแก้แค้นรุ่นน้องนอกคอกอย่างผม 

“มันไม่พอใจที่ผมตีตัวออกห่างจากเพื่อนในคณะเพื่อมาคบกับทิชา.........มันคงแค้นที่เด็กต่างคณะอย่างทิชาเป็นต้นเหตุทำให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชั่วๆ ทุกอย่างที่พวกมันทำ........มันก็เลยหาทางทำร้ายน้องจนเป็นแบบนี้.............”

“เฮียโรม..........”

น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นจากไม่ไกล เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นอดีตแฟนที่คบกันได้เพียงไม่กี่วันใช้ไม้ยันรักแร้เดินกระเผลกเข้ามาหา ผ้าพันแผลรอบศีรษะบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน หากนั่นก็ไม่ทำให้แปลกใจได้มากเท่ากับการที่บีบี๋ย้ายร่างจากโรงพยาบาลใกล้เบอร์ลิคมาอยู่กับทิชาที่นี่

“บีบี๋?”

ผมต้องการจะถามว่าบีบี๋ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เจ้าตัวก็ชิงแก้ต่างแทนใครบางคนและสารภาพทุกสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาก่อน

“เฮียโรมกำลังเข้าใจผิดนะ......เฮียรุจไม่ใช่คนที่ทำให้ไอ้ชาเจ็บ......แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการที่เฮียลาออกจากเบอร์ลิคด้วย...........” 

ร่างเล็กวางไม้ค้ำลงแล้วจึงพยายามนั่งลงบนพื้นต่อหน้าผมอย่างทุลักทุเล ร่องรอยของความรู้สึกผิดและเสียใจฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้าก่อนจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำกระทบลงบนต้นขาของผม แต่ก็อย่างที่เห็นว่าสุดท้ายมันก็แค่ซึมหายไปในเนื้อผ้าสีทึบ 

“คนที่ทำให้ไอ้ชาโคม่าก็คือบี๋เอง.......ฮึก..........เรื่องร้ายๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมันเป็นเพราะบี๋คนเดียว...........”

“งั้นก็อธิบายมาสิ...........” 

กับเฮียรุจ ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าโกรธเขา แต่กับเด็กคนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ ก็คือความสงสารเห็นใจที่เคยมีให้นั้นไม่น่าจะหลงเหลืออยู่อีกแล้ว 

“พูดมาว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมทิชาถึงได้ต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะมีเพื่อนอย่างบีบี๋.... พูดมาให้หมดก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก!”

“โรม ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง”

ถ้าไม่ได้มือพ่อบังเกิดเกล้าคอยรั้งเอาไว้ ต่อให้บาดเจ็บเข้าเฝือกอยู่ บีบี๋ก็คงได้โดนผมเตะม้ามแตกตายตรงนี้แน่

“บี๋ก็แค่อยากจะหนีไปให้พ้นจากเฮียรุจ........ทีแรกบี๋ไปหาไอ้ชาที่บ้าน กะว่าจะขออาศัยอยู่กับมันสักพัก แต่เฮียรุจตามมาเจอ ไอ้ชาก็เลยช่วยหาบ้านพักที่ปราณบุรีให้เป็นที่หลบชั่วคราว.........ระหว่างทางฝนตกหนัก เฮียรุจก็ขับตามมาทันพอดี ไอ้ชาเร่งความเร็วไปถึงร้อยห้าสิบได้มั้ง........ฮึก.........ตอนนั้นพวกเราคุยโทรศัพท์กับเฮียรุจไปด้วย บี๋บอกมันว่าจะกลับไปอยู่กับเฮียรุจเพราะไม่อยากให้มันเดือดร้อนมากไปกว่านี้ มันก็กำลังจะจอดรถอยู่แล้ว..........ฮือ........อยู่ดีๆ รถพ่วงโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไอ้ชาหักหลบเข้าข้างทาง แต่ถนนลื่น รถก็เลยเหวี่ยงไปชนกับเสาไฟฟ้า............”

“ถ้าบี๋ไม่เปลี่ยนใจกลางคัน.......ไม่สิ ถ้าบี๋กลับไปอยู่เบอร์ลิคแต่โดยดี ไม่หนีออกจากโรงพยาบาลมาขอร้องให้ไอ้ชาช่วย......ฮึก.......มันก็คงไม่ต้องเจ็บตัว..............”

มือเล็กสั่นระริกเกาะต้นขาผมเอาไว้แน่น น้ำตายังคงร่วงเผาะเป็นทางยาว มาถึงจุดนี้ผมไม่แปลกใจแล้วว่าเพราะอะไรทิชาที่ขับรถไม่คล่องถึงได้กล้าบ้าบิ่นเอารถออกมาไกลถึงจังหวัดเพชรบุรี.... คำขอร้องจากเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิต ต่อให้ทะเลาะผิดใจกันหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ทิชาจะนิ่งดูดาย ที่ทำลงไปทั้งหมดก็คงเพราะอยากช่วยบีบี๋ตามประสาคนรักเพื่อนนั่นแหละ

ทิชาของผมก็เป็นเสียอย่างนี้.... ชอบปั้นหน้าหยิ่ง ปากแข็ง ทำเป็นไม่แคร์คนที่คิดร้ายกับตัวเอง แต่ข้างในหัวใจกลับบอบบางอ่อนไหวง่ายที่สุด

“เฮียโรม........ฮึก.....บี๋ขอโทษ..........”

“คำขอโทษของบีบี๋มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเฮียแล้วล่ะ.... แล้วถ้าทิชาไม่ได้กลับมา คำพูดพล่อยๆ พวกนั้นก็ไม่ต่างจากขยะดีๆ นี่เอง”

แต่ผมไม่เหมือนกับทิชาหรอกนะ.... ทิชาเริ่มต้นมิตรภาพจากศูนย์ขึ้นไปถึงร้อย ต่อให้ความรู้สึกลดลงจากร้อยแต่ก็อาจจะไม่แย่ถึงขนาดกลับมาเหลือศูนย์ตามเดิม ในขณะที่ผมเริ่มต้นด้วยการให้ทุกคนเต็มร้อยก่อนที่จะลดลงเรื่อยๆ ตามความเหี้ยของคนๆ นั้น.... ซึ่งสำหรับบีบี๋ เวลานี้มันมาอยู่ในจุดติดลบที่ไม่เหลืออะไรดีงามให้ระลึกถึงอีกแล้ว

“มึงจะว่าบีบี๋ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะ ไอ้โรม” 

เฮียรุจดึงตัวบีบี๋ให้ลุกขึ้น คล้ายกับจะตอกย้ำว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ลูกหนี้ของเขาจะต้องมาร้องห่มร้องไห้ให้กับคนที่นอนเจ็บเป็นตายเท่ากันอยู่ข้างในห้องผ่าตัด เพราะทิชาโง่เอง ดีเกินไปเอง ถึงได้ต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนเพราะความรักบัดซบของสองคนนี้ 

“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่ายุ่งกับบีบี๋ เขาเป็นของกูและจะต้องกลับไปอยู่กับกูที่เบอร์ลิคเท่านั้น แต่เมียมึงน่ะไม่ยอมฟังเอง..........”

“พอเถอะ เฮียรุจ..........” 

บีบี๋ว่าเสียงเครือพลางหันไปมองผู้ชายซึ่งเป็นทั้งเจ้าหนี้และเจ้าของชีวิตที่เหลืออยู่ 

“บี๋บอกแล้วไงว่าบี๋ผิดเอง......ฮึก........ถ้าเฮียโรมจะด่าบี๋ก็สมควรแล้ว..........”

ผมแค่นเสียงในลำคอให้กับความทุเรศของเฮียรุจกับบีบี๋ คนหนึ่งโทษว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวเพื่อให้คนของตัวเองไม่ต้องรู้สึกแย่ อีกคนหนึ่งก็พร่ำพูดว่าตัวเองเลวแสนเลวเพื่อที่จะได้รู้สึกผิดน้อยลง นอกจากคำว่า ‘ผีเน่ากับโลงผุ’ ผมก็ไม่รู้แล้วว่ายังจะมีคำไหนที่เหมาะกับคนคู่นี้อีก

“พวกมึงทุกคนแม่งก็ดีแต่ปาก ทำมาพูดว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด.... ใครผิดแล้วยังไงวะ? ทิชาฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหมล่ะ?”

“บี๋เสียใจ..........ถ้าบี๋เปลี่ยนตัวกับไอ้ชาได้ล่ะก็ บี๋ก็ยอมเจ็บแทนมัน.........”

“เงียบเหอะ หุบปากไปเลย!” 

ผมด่าเมื่อเริ่มจะทนฟังถ้อยคำเสแสร้งตอแหลต่อไปไม่ไหว ผมน่าจะเชื่อทิชาตั้งแต่แรกว่าบีบี๋ก็แค่โกหกเพื่อเอาตัวรอด โกหกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่เคยสนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง เรื่องคราวนี้มันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก 

“ที่ทิชาทำพลาดน่ะไม่ใช่เรื่องที่เขายอมช่วยบีบี๋ พากันขับรถออกมาจนเกิดอุบัติเหตุหรอก.... แต่เขาพลาดที่เลือกคบบีบี๋เป็นเพื่อนตั้งแต่แรกต่างหาก!”

“ใช่.......ฮึก......เฮียโรมพูดถูกแล้ว........”

ร่างเล็กสะอื้นปาดน้ำตายอมรับผิด แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อกี้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ผมไม่คิดจะรับคำขอโทษแล้วก็ไม่คิดที่จะให้อภัยด้วย

“งั้นก็ไปซะ.... อย่ามายุ่งกับทิชา ไม่ว่าทิชาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม.... ในฐานะที่เฮียเป็นคนรักของเขา เฮียไม่ต้องการให้มีคนอย่างบีบี๋อยู่ในชีวิตของทิชาอีก!”

ผมพูดแค่นั้นก่อนที่เฮียรุจจะพาบีบี๋พ้นไปจากสายตา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าพวกนั้นจะพากันไปตายโหงตายห่าที่ไหน ห้วงความคิดย้อนกลับไปวนเวียนอยู่กับลมหายใจรวยระรินของคนที่ผมรักที่สุด.... รู้ดีว่าถึงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพาลใส่ใครก็ไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำเพื่อระบายความโกรธแค้นโมโหได้ในเวลานี้ ไม่อย่างนั้น ผมคงต้องเป็นบ้าหรือไม่ก็ต้องวิ่งออกไปให้รถชนเพื่อยุติความอึดอัดทรมานข้างในอกแน่

“ม๊าโทรมา คุยกับม๊าหน่อยไหม?”

“ป๊าคุยเถอะครับ ฝากบอกม๊าด้วยว่าผมไม่เป็นไร”

น้ำเสียงของผมคล้ายคนเหม่อลอย ได้ยินป๊าพูดใส่โทรศัพท์อีกสองสามคำแล้วก็กลับมานั่งลงข้างผมตามเดิม.... รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกทรพีที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงทุกข์ใจไปด้วย ทว่า ตอนนี้ผมฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวจริงๆ

“แผลที่แขนเราเหมือนจะมีเลือดซึมนะ สงสัยแผลจะฉีกตอนที่โรมไปต่อยรุ่นพี่คนนั้น.... เดี๋ยวป๊าเรียกพยาบาลมาดูให้ดีกว่า”

“ปล่อยไว้แบบนี้แหละครับ”

ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ไม่มีกะจิตจะใจจะคิดถึงอย่างอื่น แม้กระทั่งความเจ็บปวดทางกายของตัวเอง 

“เอาไว้ทิชาปลอดภัยแล้วผมค่อยทำ.... แต่ถ้าไม่ก็ช่างมัน ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

“โรมเอ๊ย............”

หยาดน้ำอุ่นไหลรินออกมาทางหางตา แม้ว่าผมจะพยายามเก็บกลั้นมันเอาไว้แล้วก็ตาม.... ถ้าหากผมจะสามารถขอพรได้สักข้อล่ะก็ ผมขอแค่ให้ทิชาฟื้นกลับมาอยู่กับผม ไม่ว่าจะด้วยสภาพไหน จะจำผมและเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ผมพร้อมที่จะดูแลน้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ขอให้ผมได้กอดเขา ได้บอกรักให้เขาได้ฟังและรับรู้อีกสักครั้งก็พอ



......ขอแค่ให้ทิชากลับมา ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว......
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-05-2018 11:20:28
PAI's PART



‘แก มีคนทวีตว่าทิชาตายแล้วอะ หมอเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจออกเมื่อกี้!’

‘เฮ้ย ข่าวเมคหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ซี้ซั้วพูดไม่ได้นะ’

‘มันก็เป็นไปได้นะ สภาพรถเละขนาดนั้น รอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว’

‘ถ้าทิชาตายจริง แม่อิ๋วก็คงโทรมาบอกพี่ก้อยแล้วล่ะ แล้วพี่ก้อยก็ต้องมาประกาศให้ทุกคนที่นี่รู้ แต่นี่ยังเงียบๆ อยู่เลย ทวิตสำนักข่าวก็ยังไม่อัพเดท’

‘เห็นกันอยู่หลัดๆ เมื่อวันก่อนนี้เอง ไม่น่าเลยเนอะ......’




บรรยากาศภายในสถานีโทรทัศน์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่คนจับกลุ่มพูดคุยถึงข่าวใหญ่ซึ่งถูกแชร์ไปทั่วโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง.... ไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุของทิชาเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วทำไมเจ้าตัวถึงไปอยู่ตรงทางหลวงสายใต้ห่างจากกรุงเทพฯ เป็นร้อยกิโลเมตรแทนที่จะมาเวิร์คช็อปกับพวกผมตามตารางเช่นทุกวัน แต่ผมก็ไม่มีเวลามากพอจะคิดหาคำตอบ เพราะนอกจากเป็นห่วงทิชาแล้ว ยังมีใครอีกคนหนึ่งซึ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ตั้งแต่มีข่าวทิชาออกมา แดนก็หายตัวไปเลย

ผมเดินหาทั้งในสตูดิโอสำหรับซ้อมแอคติ้ง ทั้งในห้องพักแล้วก็ที่อื่นๆ ในตัวอาคารจนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นเขาเลยแม้แต่เงา

“โทษนะ.... มีใครเห็นแดนบ้างไหม?”

ผมย้อนกลับเข้าไปในสตูดิโออีกครั้ง เห็นกลุ่มรุ่นน้องนักแสดงกำลังล้อมวงไถหน้าจอมือถืออยู่จึงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ผมเพิ่งแวะไปดูที่ลานจอดรถ คัมรี่สีดำของแดนยังคงจอดอยู่ที่ล็อคประจำ ผมเลยเชื่อว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่ไปไหน

“แดนเหรอ.......??”

หนึ่งในนั้นทำท่านึกก่อนจะบอกข้อมูลผมแบบไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก 

“เหมือนเมื่อกี้จะเห็นอยู่ตรงบันไดหนีไฟข้างๆ ห้องน้ำ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่านะ”

“ขอบใจ”

“เดี๋ยวก่อนดิ พี่ปาย” 

ยังไม่ทันที่ผมจะผลักประตูกระจกออกไป เด็กที่ชื่อเบียร์ก็เรียกรั้งเอาไว้ ผมหันไปมองหน้ารุ่นน้องซึ่งรับบทเป็นตัวประกอบต๊อกต๋อยธรรมดา แทบไม่ต้องอ้าปากก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจใคร่รู้อยากคุยเรื่องอะไร แล้วก็เดาไม่ผิดเสียด้วย 

“พี่รู้เรื่องทิชาแล้วใช่ไหม ที่ว่ามีอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าแถวๆ ชะอำน่ะ?”

“อืม รู้แล้ว” 

ผมพยักหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายคลี่ยิ้มแล้วพูดจ้อต่อ

“เห็นในทวิตเตอร์บอกว่าทิชาอาการสาหัสมาก อาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้.... แต่ถึงรอดก็คงกลับมาถ่ายละครไม่ได้แล้วล่ะ” 

น้องเบียร์ยิ้มประหนึ่งว่าตัวเองคือผู้รายงานข่าวช่วงเช้าในรายการที่เรตติ้งดีที่สุด หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เพิ่งสำรอกออกจากปากมานั้นกำลังให้ผมสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

“บทของทิชาก็น่าจะเปิดออดิชั่นหาคนใหม่ หรือไม่ก็มีการสลับบทให้คนใดคนหนึ่งในพวกเราไปเล่นแทน คราวนี้พี่ก็อย่าพลาดให้เด็กเส้นที่ไหนมาแย่งบทไปได้อีกนะ”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง?” ผมย้อนถามอย่างเอาเรื่อง  “จะบอกว่าพี่ควรจะดีใจที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับทิชาเหรอ?”

“แหงสิ ถ้าไม่มีทิชาสักคน บทนำของเรื่องก็ต้องเป็นของพี่ปายอยู่แล้ว” 

น้องเบียร์ยักไหล่ ไม่มีทีท่าฉุกคิดเลยสักนิดว่าผมไม่โอเคกับคำพูดที่ฟังดูเหมือนจะด่าทิชาแล้วก็แซะผมไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะเปิดทางให้เด็กอีกคนที่ชื่อแก็ปพูดขึ้นมาบ้าง 

“ไม่ใช่แค่บทนำอย่างเดียวนะ แต่รวมถึงตัวนายแดนด้วย.... ใครๆ ก็ดูออกว่าพี่ปายน่ะชอบแดน แต่แดนหลงรักทิชาหัวปักหัวปำ มารหัวใจหายไปเองโดยที่พี่ไม่ต้องลงมือลงแรงเลยสักแอะก็น่าจะดีใจมากกว่าจะมาย้อนถามพวกเรานะ”

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างเหลืออด รู้อยู่แล้วว่าเด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างอคติกับทิชามาแต่ไหนแต่ไร แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เบียร์ แก๊ปและเพื่อนๆ ตัวประกอบจับกลุ่มนินทานักแสดงตัวหลักเพราะความอิจฉา.... ปกติผมไม่ค่อยอยากสนใจเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไร ใครอยากพูดอะไรก็ให้เขาพูดไป หลังจากจบการถ่ายทำและโปรโมทซีรีส์ คนไหนดีก็คบเป็นพี่เป็นน้องคอยช่วยเหลือกันต่อ คนไหนไม่ดีก็คิดเสียว่าหมดเวรหมดกรรมกันไป หากสำหรับเคสนี้ ผมถือว่าพวกเขาล้ำเส้นมากเกินกว่าที่จะมองข้ามได้

“พี่ก็เข้าใจนะว่าพวกนายไม่ชอบทิชาเพราะเขาใช้เส้นเข้ามาแย่งบทไป แต่เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้สิ นี่ก็โตๆ กันหมดแล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักแยกแยะเอาเสียเลย.... คนกำลังเจ็บ ครอบครัวเขากำลังเสียใจ ไม่ใช่เวลาที่พวกนายจะมาพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้นะ” 

ผมมองหน้าทุกคนในกลุ่มน้องเบียร์แบบเรียงตัว ผมไม่ใช่คนปากร้ายด่าเจ็บ ก็ไม่คิดหรอกว่าคำพูดสั่งสอนเหมือนคนแก่จะสามารถทำให้ใครสะดุ้งสะเทือนได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรดึงสติแล้วคิดให้ได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด อะไรควรเก็บไว้ในใจ.... ที่สำคัญก็คือผมไม่เคยนึกเกลียดทิชา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคู่แข่งทั้งในเรื่องงานและเรื่องความรัก เพราะฉะนั้น อย่าได้เอาผมไปเหมารวมกับพวกตัวเองเป็นอันขาด


“แล้วก็จำเอาไว้เลยนะว่าพี่ไม่ได้ใจแคบเหมือนพวกนาย พี่ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็เอาเขามานินทาเจ้าคิดเจ้าแค้นลับหลัง.... รู้ไว้เสียด้วย!”


.


.


.


“แดน.........!”

ในที่สุดผมก็หาแดนเจอ เขานั่งชันเข่าซบหน้าลงอยู่ตรงมุมข้างบันไดหนีไฟตามที่มีคนให้เบาะแส ผมส่งเสียงเรียกหลายต่อหลายครั้งหากก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะเงยหน้าขึ้นมอง.... เห็นจากไกลๆ แค่นั้น ผมก็สังหรณ์ใจไม่ค่อยดีมากพออยู่แล้ว หากเมื่อเข้าไปใกล้จนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดออกมาจากร่างสูง หัวใจของผมก็เหมือนร่วงหล่นลงพื้น

“แดน.... โอเคใช่ไหม? ไม่เป็นไรนะ?” 

ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าคนที่กำลังร้องไห้อย่างหนักพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง นึกกลัวอยู่แล้วว่าแดนจะต้องเป็นแบบนี้ถึงได้พยายามตามหาเขาจนหัวหมุนไปทั่วตึก แต่ทว่า ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้ากลับย่ำแย่กว่าที่มโนล่วงหน้าเอาไว้มาก

“พี่ปาย..........ทิชา........มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมพี่.......ฮึก............มันจะไม่ตายใช่ไหม..............” 

ดวงตาแดงก่ำชุ่มด้วยหยดน้ำสะท้อนภาพผมวูบไหว ประโยคคำถามซึ่งยังไม่มีใครล่วงรู้คำตอบส่งผ่านเสียงสั่นเครือน่าใจหาย ถ้อยคำปลอบโยนที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ถูกพัดกระเจิงยามเมื่อสองมือของแดนคว้าหมับเข้าที่ไหล่ผมแล้วเขย่าแรงๆ ไม่ต่างจากเด็กชายตัวน้อยที่กำลังขวัญเสีย.... ข้างในลำขอขมเฝื่อนยิ่งกว่าถูกบังคับให้เคี้ยวบอระเพ็ด ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะปลอบโยนคนตรงหน้าอย่างไร เอาจริงๆ แค่เห็นแดนร้องไห้เพราะกลัวทิชาจะจากไป ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว   

“ผม......ฮึก.......ผมผิดเอง.........ฮือ.........เป็นเพราะผมคนเดียว......ทิชามันถึงได้........ฮึก...........”

“เดี๋ยวนะ แดนไปทำอะไร?” 

ผมขมวดคิ้วชะงักไปเล็กน้อย ตลอดช่วงสายๆ จนถึงบ่าย แดนอยู่กับผมและพี่โรสเพื่อคุยกันเรื่องที่เขาจะเซ็นหรือไม่เซ็นสัญญาเข้าโมเดลลิ่ง แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่อยู่ห่างออกไปหลักร้อยกิโลเมตรได้ยังไง

หยาดน้ำอุ่นไหลจากนัยน์ตาสีเข้มซึมผ่านเนื้อผ้าตรงหัวไหล่ผม ร่างสูงยังคงสั่นสะท้านไปทั้งกายขณะบอกเล่าถึงหนึ่งในต้นสายปลายเหตุของข่าวร้ายซึ่งไม่มีใครคาดคิดคาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

“ทิชาขอให้ผมหาบ้านพักให้......ฮึก........มันบอกว่าแม่สั่งให้หา......ผมก็เลยช่วยมัน..........” 

ในตอนนั้นผมเพิ่งนึกออกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่แดนขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ พอกลับมาก็วุ่นวายยุกยิกส่งข้อความอะไรก็ไม่รู้อีกพักใหญ่ ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเป็นทิชา เมื่อได้ยินว่าความหวังดีเต็มใจช่วยเหลือคนที่ตัวเองหลงรักกลับกลายเป็นฆ่าเขาทางอ้อม ผมก็ยิ่งเข้าใจชัดเจนเลยว่าทำไมแดนถึงได้ช็อกและเสียใจฟูมฟายขนาดนี้ 

“......ผมไม่รู้ว่ามันจะขับรถไปเอง.........ฮือ.......ผมไม่รู้ว่ามันโกหก..........ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่ปล่อยให้มันไปตายแบบนี้หรอก...........”

ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุก็ย่อมไม่มีใครตั้งใจให้เกิดอยู่แล้ว ทิชาก็คงไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะต้องเจ็บ แน่นอนว่าแดนก็ไม่มีทางรู้ด้วยเช่นกัน ผมจึงไม่อยากให้เขาโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ส่งโลเกชั่นบ้านพักที่ปราณบุรีให้ทิชา แต่ดูเหมือนว่ามันจะแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ผมผิดเอง.......พี่ปาย.........ทำไมผมถึงไม่ถามมันเลยสักคำ..........ทำไมผมถึงไม่อาสาจะขับรถให้.........ถ้าผมเอะใจสักนิด ทุกอย่างก็คงไม่.....ฮึก..............”

“อย่าโทษตัวเองสิ.... ไม่ใช่ความผิดของแดนหรอกนะ ก็แดนไม่รู้นี่นา”

“ไม่พี่.......ฮึก........ผมผิดเอง..........” 

แดนส่ายหน้าพลางทึ้งหัวตัวเองแรงๆ คล้ายกำลังหาที่ระบายความเจ็บปวดในใจ จนผมต้องจับมือซึ่งจิกเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาเอาไว้ 

“ผมรู้ว่าทิชาขับรถไม่เก่ง แต่ผมก็ยังปล่อยให้มันไป........ฮือ........ผมแม่งโง่ว่ะพี่.......ทั้งโง่ทั้งเหี้ยเลย........คิดแต่จะเอาใจมัน กลัวว่ามันจะโกรธถ้าผมไม่ช่วยตามที่มันขอ.......ฮึก.........ผมแม่ง........!!”

ไม่ทันขาดคำ มือข้างเดียวกันนั้นก็ชกเข้าที่พื้นเต็มแรง ทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบยื้อมือแดนเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ทำร้ายตัวเองอีกรอบ

“แดน ไม่เอาน่า.... อย่าทำอย่างนี้เลยนะ”

หลังจากยื้อยุดกันอยู่ครู่ใหญ่ ร่างสูงก็ยอมสงบลง แต่ก็ได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ความเสียใจและหวาดกลัวว่าทิชาจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับยังคงขยายตัวปกคลุมทุกอณูของห้วงความคิดและหัวใจ ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากจึงมีแต่คำถามซึ่งผมไม่มีวันหาคำตอบที่แท้จริงให้ได้.... ยกเว้นเสียแต่ว่าจะโกหก

“พี่ปาย..........ถ้าไม่มีทิชาแล้วผมจะอยู่ยังไง..........ผมรักมันอะ........ไม่มีมัน ผมก็ไม่อยากอยู่อีกแล้ว.................”

“ทิชา..........ฮึก........มึงอย่าทิ้งกูไปนะ.........อย่าไป..........ฮือ..................”

ผมปลอบโยนแดนไม่ได้ ไม่กล้าพูดจาส่งเดชว่าทิชาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เยียวยาบาดแผลในใจอีกฝ่ายไม่ได้ เหมือนข้างในอกมีเข็มนับร้อยนับพันปักทิ่มจนพรุนไปหมด วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรองรับทุกหยดน้ำตาและกอดแดนเอาไว้จนกว่าเขาจะนิ่งเงียบไปเอง....


แม้กระทั่งเงาของทิชา ผมก็ยังไม่สามารถเป็นให้เขาได้เลย....
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-05-2018 11:25:10
ROME's PART



“ถ้าไม่นับรวมบาดแผลภายนอก อาการโดยรวมก็ถือว่าค่อนข้างสาหัส กระดูกขาหักสองท่อนกับกระดูกสะโพกแตก ที่น่าห่วงก็คือตรงที่ซี่โครงหักทิ่มปอดสองจุดกับอวัยวะภายในบอบช้ำแล้วก็เสียเลือดมาก หลังผ่าตัด หมอต้องให้เลือดคนเจ็บต่ออีกสักพัก.... ที่ค่อยยังชั่วก็คือคุณทิชาไม่มีอาการบาดเจ็บทางสมอง ไม่มีเลือดคั่งใต้กระโหลกศีรษะ ถ้าภายใน 72 ชั่วโมง อาการยังทรงตัว ไม่มีภาวะช็อกหรือหัวใจล้มเหลวก็มีโอกาสที่จะรอดสูง”

“72 ชั่วโมง......เหรอครับ.........”

เจ้าของน้ำเสียงราบเรียบอธิบายพลางชี้ให้ดูร่องรอยความผิดปกติบนแผ่นฟิลม์เอ็กซเรย์ ผมรับฟังประโยคบอกเล่าเหล่านั้นด้วยสติที่เลื่อนลอย การผ่าตัดซึ่งกินเวลากว่าแปดชั่วโมงดูดเอาพลังงานและความหวังริบหรี่ของผมไปจนแทบไม่เหลือ ทั้งเหนื่อยล้าและไม่เหลือเรี่ยวแรงกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากนั่งรอต่อไป

“หมอเข้าใจนะครับว่าญาติคนเจ็บคงทำใจได้ยาก.... แต่เราก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวคนเจ็บแล้วล่ะว่าเขาจะเข้มแข็งได้มากแค่ไหน” 

ผมรู้ว่าคุณหมอคงทำอะไรให้มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต่อให้ทิชาไม่ฟื้นขึ้นมา ผมก็ไม่โทษทุกคนที่นี่หรอก ทว่า สิ่งที่ผมไม่อยากได้เลยก็คือความหวังลมๆ แล้งๆ ซึ่งมันอาจจะไม่กลายเป็นไปตามอย่างที่เขาพูด 

“แต่ถ้าคุณทิชารู้ว่าทั้งเพื่อน ทั้งคุณแม่เป็นห่วงมากขนาดนี้ เดี๋ยวเขาก็กลับมา.... ตอนนี้เขากำลังเหนื่อยก็เลยขอนอนหลับนานหน่อย แต่อีกไม่นานก็คงตื่นแล้วล่ะ”

“ขอบคุณมากครับ คุณหมอ...........”

ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องที่ถูกเรียกเข้าไปคุย เริ่มรู้สึกเจ็บแผลตรงไหล่ซ้ายมากขึ้นหากก็ไม่มีอารมณ์จะจัดการกับมัน แม้กระทั่งจะขอยาแก้ปวดสักเม็ดจากพยาบาลก็ยังไม่อยากเอ่ยปาก.... ในใจคิดถึงเพียงคนที่นอนสวมเครื่องช่วยหายใจ ท่อกับสายยางห่าเหวระโยงระยางเต็มตัวอยู่ในห้องกระจก ถึงจะเป็นความคิดกับคำถามเดิมๆ ไม่ต่างจากเมื่อชั่วโมงที่แล้วแต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้ ผมกลัวว่าทิชาจะไม่กลับมา กลัวว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับผมอีก

ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยนึกถึงวันที่ทิชาจะจากไปเลย อย่างมากก็แค่พูดว่าถ้าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ขอให้มีแค่เหตุผลเดียวคือเราไม่ได้รักกันแล้ว เหมือนกับลืมไปว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความตาย’ อยู่

และคำพูดที่ว่า ‘แม้ความตายก็พรากเราจากกันไม่ได้’ ก็เป็นเพียงวาทกรรมน้ำเน่าของพวกโลกสวย ลองมีคนที่คุณรักนอนโคม่าอยู่บ้างสิ จะได้รู้ซึ้งถึงใจเลยว่าความตายซึ่งรอจะเอาตัวคนรักของผมไปมันน่ากลัวขนาดไหน

อยู่คนเดียวก็คงเหมือนตายทั้งเป็น ต่อให้ผมตายตามไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า

เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ผมถึงได้กลัวว่าทิชาจะไม่ฟื้นขึ้นมาจนจับถึงขั้วหัวใจ



คนอื่นๆ ที่ตามมาหลังได้ยินข่าวทิชาทยอยกลับออกไปหาที่พักใกล้ๆ นี้กันหมดแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวางพอที่จะรองรับคนจำนวนมากได้ ทั้งป๊าผม คุณป้าที่เป็นผู้จัดละครและทีมงานต่างก็ถูกขอร้องให้ไปรอฟังข่าวที่โรงแรม บริเวณเก้าอี้หน้าห้องไอซียูจึงเหลือแค่เพียงคุณแม่ของทิชาซึ่งกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่อย่างเกรี้ยวกราด


‘คุณแพทต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉันนะคะ ทิชาเกิดอุบัติเหตุแท้ๆ กล้าเขียนมาได้ยังไงว่าแกเป็นเด็กใจแตกหนีเวิร์คช็อปละครไปเที่ยว.... ลูกชายฉันไม่เคยเป็นแบบนั้น ฉันเลี้ยงมากับมือ แล้วคนอื่นจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไง!!??’

‘ทิชาน่ะ แค่ออกไปเที่ยวกลางคืนยังนับครั้งได้ แอดมินเพจคุณแพทไม่เคยรู้จักทิชาด้วยซ้ำแล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงแกแบบนี้.... ลบโพสต์แล้วให้แอดมินออกมาแถลงข่าวขอโทษต่อหน้าทุกคนเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้อง.... อย่าลืมนะคะว่าจะดีจะชั่ว ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนา คิดเหรอว่าคุณพ่อน้องจะยอม!!’

‘ดีค่ะ.... แล้วก็ฝากเตือนแอดมินเพจสำนักข่าวคุณด้วยนะคะ จะเล่นข่าวใต้เตียงใครก็ทำไป แต่อย่ามายุ่งกับลูกฉัน ไม่งั้นฉันเอาตายแน่!!’



หลังกดวางสาย ผู้หญิงคนเดียวกับที่โวยวายโมโหร้ายใส่นักข่าวเมื่อครู่ก็วางทุกสิ่งทุกอย่างในมือลง เหลือไว้แค่กระดาษทิชชู่สำหรับซับน้ำตาซึ่งไหลออกมาเป็นระยะแม้จะพยายามกลั้นเอาไว้แล้วก็ตาม.... ผมไม่เคยสนใจเรื่องของพวกดารา ข่าวคราวของ นิดาวัลย์ ธีระอัปสร ที่ผมได้ยินผ่านๆ ก็ไม่ได้จะน่าชื่นชมสักเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมได้รู้ว่าจิตใจของคนเป็นแม่ ไม่ว่าจะดาราหรือคนธรรมดายากดีมีจนที่ไหนก็ไม่ต่างกัน เพื่อลูกของตัวเองแล้ว ต่อให้ต้องสู้รบปรบมือกับคนอีกกี่หมื่นกี่แสน หรือต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกก็ยอม

“คุณแม่จะทานอะไรหน่อยไหมครับ ข้างนอกมีเซเว่น เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ไม่หิว...........”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผมก็เลยนั่งลงข้างๆ คุณแม่นิดา.... ข้างในอกยิ่งปวดหน่วงยามที่เห็นว่าอีกฝ่ายก็อิดโรยและเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่เข้าใจเลยว่าพวกคนที่กล่าวหาว่าคุณแม่ไม่ได้รักทิชา ไม่แคร์ลูกตัวเอง หวังแต่จะใช้ลูกชายเป็นเครื่องมือต่อรองกับบ้านสามีนอกสมรสกล้าพูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง

หน้าจอไอแพดสว่างวาบขึ้นมาเพราะข้อความแจ้งเตือน ผมถึงสังเกตเห็นว่าคุณแม่นิดาใช้รูปทิชาตอนเด็กๆ ตั้งเป็นวอลเปเปอร์กับล็อคสกรีน และเหมือนท่านจะรู้ว่าผมแอบเห็นถึงได้ชวนคุยพร้อมกับยื่นรูปนั้นมาให้ดูชัดๆ

“โรมดูสิ รูปนี้ทิชาตอนสามขวบ เพิ่งเข้าอนุบาลวันแรก.... น่ารักใช่ไหมล่ะ” 

เด็กน้อยในชุดเครื่องแบบโรงเรียนอนุบาลอินเตอร์ฯ สีฟ้าอ่อนดูไม่ต่างจากเจ้าตัวในปัจจุบันเลย ตาโตใสแจ๋วเหมือนตุ๊กตา ปากนิดจมูกหน่อยน่าเอ็นดู เพียงแต่ตรงแก้มมีเบบี้แฟตแล้วก็แขนขากลมป้อมตามประสาเด็ก ในขณะที่ทิชาเวอร์ชั่นโตจะผอมบางร่างเล็กไปเลยถ้าเทียบกับคนทั่วไป 

“ทิชาน่ารักแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ เมื่อก่อนมีพวกเอเจนซี่มาติดต่อขอตัวน้องไปถ่ายโฆษณาเยอะมาก แม่ก็เคยพาไปฝากแคสติ้งอยู่หลายครั้ง แต่พอเอาเข้าจริงเจ้าตัวเขากลับไม่ชอบ เวลาเห็นคนเยอะๆ ก็กลัว หรือไม่ก็ร้องไห้งอแงจนต้องพากลับบ้าน.... ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ไอ้โรคเกลียดการเข้าสังคมเนี่ย..........”

คุณแม่เล่าแค่นี้ ผมก็นึกภาพตามได้เลยว่าเด็กชายทิชาตอนงอแงเป็นยังไง เพราะทุกวันนี้เวลาโดนขัดใจ แฟนผมก็ชอบทำตาคว่ำปากเชิดน่าตีอยู่บ่อยๆ

“แม่ยังแปลกใจเลยตอนที่ทิชาบอกว่าจะขอไปแคสติ้งละครเรื่องนั้น คิดว่าเขาก็คงไม่ได้อยากเป็นดาราเหมือนแม่หรอก แต่คงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง.........” 

มาถึงตรงนี้ น้ำเสียงคนพูดก็กลับมาเจือสะอื้นอีกครั้ง 

“........พูดไปก็เท่านั้น ยังไงตอนนี้หน้าทิชาก็คงไม่เหมือนเดิมแล้ว.........”

คุณแม่นิดาคงหมายถึงที่หมอบอกว่าทิชาถูกเศษกระจกร่วงใส่หน้าจนเป็นแผล มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับใครหลายคนเพราะในสถานการณ์แบบนี้แค่จะเอาให้ชีวิตรอดก็ยากแล้ว แต่ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณแม่ว่าเพราะอะไรถึงได้พูดอย่างนั้น

“แม่ผมรู้จักหมอศัลยกรรมเก่งๆ หลายคน เดี๋ยวพอย้ายทิชาเข้าไปรักษาตัวในกรุงเทพฯ แล้วเราค่อยปรึกษาคุณหมอดูว่าจะรักษาน้องยังไง.... ทางบ้านผมก็จะพยายามช่วยเต็มที่ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...........”  ริมฝีปากรูปกระจับคลี่ยิ้มขมขื่นราวกับทำใจแล้วว่าไม่มีใครสามารถช่วยทิชาได้ และคำพูดของผมก็เป็นแค่สายลมเลื่อนลอยที่ฟังดูรื่นหูแต่ไม่อาจจับต้องได้เช่นกัน 

“แต่ถ้าทิชาไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม โรมจะเลิกกับลูกชายแม่หรือเปล่า?”

“ผมจะไม่เลิกกับทิชาครับ”

“ถึงทิชาจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ....?”

คุณแม่นิดาก้มหน้าลง ทิชชู่ที่ถูกขยำจนยับยู่ยี่ถูกใช้ซับน้ำตาอีกครั้งและอีกครั้ง 

“ทิชากับแม่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ถ้าไม่มีหน้าตาดีๆ ไว้ให้คนอื่นมองก็คงไม่มีใครเห็นหัวเราหรอก.... ขนาดทุกวันนี้ทิชาทั้งน่ารัก ทั้งเป็นเด็กดี พ่อเขายังไม่สนใจเลย แล้วถ้าเกิดน้องเสียโฉมขึ้นมา ทุกคนก็คงทิ้งเขาไปหมด..........”

“ผมไม่คิดจะเลิกกับทิชานะครับ คุณแม่.... ไม่ว่าน้องจะเป็นยังไง จะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ไม่เลิก”

“ทิชาโชคดีนะที่ได้มาเจอโรม โชคดีจริงๆ”

“ผมต่างหากที่โชคดีที่ได้มาเจอกับทิชา”

ผู้ใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มนั้นแห้งแล้งอย่างไม่คาดหวังว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังอยากให้คุณแม่นิดาวางใจและเชื่อใจว่าผมแตกต่างจากพวกคนที่เข้ามาแบบฉาบฉวยแล้วก็จากไป

“ขอบใจมากนะ โรม...........”

น้ำตาร่วงหล่นลงบนหน้าจอไอแพด แสงสว่างวาบส่องขึ้นเผยให้เห็นรูปของเด็กผู้ชายตัวเล็กซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของผู้ให้กำเนิด.... ด้วยความที่ต้องดิ้นรนหางานหาเงินมาเลี้ยงลูกชายคนเดียวให้สุขสบายสมกับที่เป็นลูกดารากับนักธุรกิจไฮโซและฟาดฟันกับฝ่ายเจ้าของนามสกุลทิพยศักดิ์เสนา ทิชาเองก็เคยเล่าให้ผมฟังว่าไม่ค่อยได้อยู่กับแม่มากเท่าไร จนบางทีก็รู้สึกว่าแม่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินกับชื่อเสียงในวงการ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้น 

“แม่เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง มัวแต่สนใจอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยนึกถึงจิตใจทิชาเลย.... ก็รู้นะว่าทิชาก็คงเหงา ขาดความอบอุ่น แถมแม่ยังเคยพูดใส่หน้าเขาด้วยว่าน่าจะทำแท้งไปซะ ไม่น่าให้เขาเกิดมาเลย...........”

“ทิชาก็คงเกลียดแม่ล่ะมั้ง.... ถ้าเลือกได้ เด็กดีๆ แบบเขาก็ควรจะไปอยู่ในครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อแม่ลูก ไม่ควรต้องมาอยู่กับดาราตกอับที่มีแต่ข่าวฉาวอย่างแม่.........”

“ไม่หรอกครับ.... ทิชารักคุณแม่มาก ยังไงคุณแม่ก็ดีที่สุดสำหรับน้อง”

“ทิชาเคยพูดเหรอ?”

“ไม่เคยครับ แต่ผมรู้”

“โรมนี่ปลอบใจคนเก่งนะ แม่ฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

คุณแม่นิดาถอนหายใจซ้ำก่อนจะเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ ความหวังเลือนรางในหัวใจเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอีกหน แม้มันจะยากเย็นและไม่อาจคาดเดาอนาคตในอีก 72 ชั่วโมงข้างหน้าได้ แต่พวกเราทุกคนที่นี่ก็จะยังคงหวังและอธิษฐานต่อไป 

“ยังไงก็ฝากดูแลทิชาด้วยนะลูก.... ก็คงมีแค่โรมคนเดียวที่จะทำให้ทิชามีความสุขได้ เด็กคนนั้นควรจะได้มีคนที่รักเขาอย่างจริงใจเสียที”

อย่างน้อยก็ขอให้ทิชาตื่นขึ้นมารับรู้และได้เห็นกับตาว่าถึงแม้คนที่คอยอยู่เคียงข้างจะมีไม่มาก แต่ความรักที่เขาได้รับก็ท่วมท้นไม่แพ้ใคร

ผมจะรอเขาอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน   

เพราะฉะนั้น กลับมาเถอะนะ


.

.


กลับมาให้ผมได้รักเขา ให้เขาพบเจอว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

......กลับมานะ ทิชา......
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-05-2018 11:31:57
TISHA's PART



หนาวจัง.... ที่นี่คือที่ไหน?

แล้วทำไมรอบตัวผมถึงได้มืดไปหมดเลยล่ะ?


.

.

.

สถานที่แปลกประหลาดซึ่งผมไม่เคยย่างกรายเข้ามาชวนให้หวาดหวั่นไม่กล้าขยับตัว ผมเพ่งสายตามองไปรอบๆ จนทั่วทุกด้านแต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ยังไม่สามารถเห็นอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว นอกจากบันไดซึ่งทอดยาวอยู่เบื้องหน้า.... สองเท้าค่อยๆ เหยียบย่างก้าวเดินลงไปด้านล่างทีละขั้นอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าปลายทางจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน ก็มีเสี้ยวหนึ่งในสมองร้องตะโกนว่าอย่าลงไปเด็ดขาด แต่ดูเหมือนร่างกายจะขยับไปเองอย่างที่ไม่อาจควบคุม ไม่ฟังคำเตือนจากจิตใต้สำนึกเอาเสียเลย

จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำรอบข้อมือของผม ฉุดดึงให้นั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งเรียงรายต่อกันเป็นแนวยาว ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ จากแถวหลังเรื่อยลงไปถึงแถวหน้า ในตอนนั้นเองที่เข้าใจว่าผมกำลังอยู่ในโรงหนังที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นใครบางคนซึ่งมานั่งลงข้างกัน


เด็กอะไรหน้าตาเหมือนผมอย่างกับแกะ??

อย่าบอกนะว่านี่คือตัวผมเอง....???




“หวัดดี ทิชา.... เราชื่อทิชานะ”

เจ้าเด็กที่หน้าตาเหมือนผมตอนสามขวบเป๊ะๆ เอ่ยขึ้นในขณะที่ผมยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ดีๆ ก็มีตัวเองอีกคนหนึ่งแต่ไซส์เล็กกว่ามานั่งยิ้มบอกชื่อแนะนำตัวอย่างกับในหนังสยองขวัญ.... ก็คิดอยู่แหละว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้น่าจะเป็นความฝัน แต่ในเมื่อผมยังหาทางตื่นขึ้นไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไง นอกเสียจากตอบรับคำทักทายไปแบบเก้ๆ กังๆ

“อะ.......เออ หวัดดี”

“หมู่นี้เป็นยังไงบ้าง? สบายดีเหรอ?”

เจ้าตัวเปี๊ยกยังคงถามต่อ ท่าทางปีนเกลียวกวนประสาทเสียจนถ้าไม่ติดว่านั่นคือตัวผมเอง ผมคงได้เบิ๊ดกระโหลกไอ้เด็กเปรตนี่ไปแล้ว

“ก็.......คงสบายดีแหละมั้ง........ไม่เจ็บไม่ไข้อะไรนี่.......”

“เหรอ.... แสดงว่านายยังไม่ค่อยแน่ใจชีวิตตัวเองเท่าไรสินะ” 

มินิทิชาพยักหน้าแกนๆ พลางยกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจ นัยน์ตาใสแจ๋วมองหน้าผมคล้ายกับจะบอกว่ายังมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจรออยู่อีกเพียบในโลกของความฝัน 

“งั้นเรามาดูกันก่อนแล้วค่อยเลือกอีกทีก็ได้ว่าที่ผ่านมาชีวิตของเราเป็นแบบไหน”

ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่ทว่า ปลายนิ้วเล็กจากคนตรงหน้ากลับยื่นมาแตะที่ริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบเสียงลง ทันใดนั้นเอง จอสกรีนขนาดยักษ์ก็เริ่มมีแสงสว่างจ้าเรียกสายตาให้ต้องปล่อยวางความคิดทุกอย่างแล้วหันไปมอง.... ภาพฟิลม์ต้นม้วนหยุดรอเอาไว้ให้คนดูเตรียมพร้อมสำหรับชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ ถึงแม้ว่านอกจากผมกับตัวผมอีกคนแล้ว เก้าอี้เบาะนั่งรอบด้านจะไม่มีใครอื่นอีกเลยก็ตาม

และแล้ว ความทรงจำซึ่งเลือนรางจนบางทีผมก็เผลอคิดไปว่ามันอาจจะเป็นเพียงความฝันก็แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย....



‘พอสักที เงินผมก็ให้ตามที่คุณขอไปแล้ว.... ยังจะมาวุ่นวายอะไรอีก!!??’

‘ก็นี่มันงานวันเกิดคุณแม่ของคุณ ทิชาเป็นหลานของท่านแท้ๆ ทำไมแกถึงจะมากราบญาติผู้ใหญ่ของตัวเองไม่ได้ล่ะคะ!!??’

‘แต่คุณแม่ไม่ได้เรียกให้ทิชามา คุณก็ไม่ควรพาลูกมานะ นิดา!’

‘อะไรกัน.... คนบ้านนี้นี่ยังไง ลูกหลานจะมาเยี่ยมนี่ถึงขั้นต้องรอให้ส่งบัตรเชิญก่อนเหรอคะถึงจะมาได้!?’

‘พาลูกกลับไปซะ อย่ามาสร้างความวุ่นวายในงาน.... เอาไว้ถ้าคุณแม่อยากเจอทิชาเมื่อไร ผมจะให้เลขาโทรไปบอกเอง!'

‘ไม่กลับค่ะ ถ้าคุณวิภาวีกับหนูเกดอยู่ในงานนี้ได้ นิดากับลูกก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน!’

‘แต่ฐานะของคุณวิกับยายเกดไม่เหมือนคุณกับทิชา!’

‘ไม่เหมือนยังไงคะ.... ลำพังตัวฉันไม่ได้จดทะเบียนเป็นเมียแต่ง คุณจะไม่ยอมรับฉันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนาเหมือนหนูเกด คุณเองก็ยอมรับแกให้เป็นลูกใช้นามสกุลเดียวกันแล้ว คนทั้งประเทศเขาก็รู้กันหมดว่าใครเป็นพ่อ.... หรือว่าอยากจะฉาวอีกรอบข้อหากีดกันลูกตัวเองไม่ให้เข้าบ้านล่ะ!?’

‘นิดาวัลย์!!’

‘เอาซี้.... คนอย่างฉันมันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว คนหน้าบางอย่างคุณก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะให้ทิชาเข้าไปหาคุณย่า หรือจะขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายนี้กันให้หมดทั้งตระกูลเลย!!’




ละครน้ำเน่าเรื่องแรกที่ได้ดูก็คือสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองลืมมันไปนานแสนนานแล้ว.... จำได้ว่าตอนนั้นผมน่าจะอายุราวๆ ห้า-หกขวบมั้ง แม่ไปเห็นข่าวว่าบ้านใหญ่ทิพยศักดิ์เสนาจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดคุณย่าจากที่ไหนสักที่ ญาติมิตรแขกเหรื่อรวมถึงคู่ค้าทางธุรกิจต่างก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน แต่กลับไม่มีใครสักคนคิดจะโทรมาบอกเราสองแม่ลูก แม่ถึงได้โกรธจัดแล้วก็จับผมขึ้นรถ บุกไปบ้านใหญ่แล้วก็ทะเลาะกับพ่อ ทวงถามถึงสิทธิและการยอมรับซึ่งเราไม่เคยได้จากทุกคนที่นั่น

ด้วยความเป็นเด็ก ผมก็เลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร เอาจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนที่ยืนเถียงกับแม่คือพ่อแท้ๆ ของผมเอง ก็เพราะเขาไม่เคยมาหาผมเลย คำว่าพ่อสำหรับผมตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็เหมือนผี รู้ว่ามีแต่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้

จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องมาอาละวาดใส่พ่อ ไม่เข้าใจว่าบ้านใหญ่สำคัญกับพวกเรายังไง ไม่เข้าใจว่าสายตาของคุณป้าที่ชำเลืองมองมาขณะกำลังหยอกล้อเล่นกับพี่สาวผมนั้นมีความหมายแบบไหน และไม่เข้าใจด้วยว่าถ้อยคำกระทบกระเทียบซึ่งพวกเขาพูดกับผมซึ่งเป็นแค่เด็กไร้เดียงสามันแปลว่าอะไร



‘เด็กคนนี้น่ะเหรอ ลูกชายของแม่นิดาวัลย์?’

‘หน้าตาเหมือนแม่อย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ลูกไม้มันก็คงหล่นไม่ไกลต้นนักหรอก.... ที่มานี่ก็จะมาแบมือขอเงินจากพ่อกาญจน์กับคุณแม่สินะ เดือนหนึ่งได้ไปเป็นแสนๆ แล้วยังไม่รู้จักพอ สงสัยแม่นิดาคงจะเสี้ยมสอนให้ลูกให้รู้จักปอกลอกเอาสมบัติจากพ่อกาญจน์เหมือนตัวเองล่ะมั้ง’

‘นี่เจ้าหนู.... ดีนะที่น้องชายฉันยังพอจะมีเมตตารับเธอเป็นลูก ถ้าหากเป็นคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้เธอกับแม่ได้ไปนอนอยู่ข้างถนนแน่!’

‘แน่ะ ยังจะมายืนมองอยู่อีก.... ขนมพวกนี้พวกฉันเอามาให้ยายเกดแค่คนเดียว หลานนอกไส้อย่างเธอไม่เกี่ยว จะไปไหนก็รีบไปให้พ้นๆ เสียที!’



ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ‘เสี้ยมสอน’ ‘ปอกลอก’ ‘หลานนอกไส้’ หมายความว่ายังไง จนกระทั่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินนั้นคือคำด่า.... แต่กว่าผมจะโตจนรู้ความ ถ้อยคำว่าร้ายเหล่านั้นก็ซึมซับฝังลึกลงในหัวใจและหัวสมองมากจนเกินกว่าจะลบมันออกไป

เรื่องราวในอดีตค่อยๆ พร่างพรูออกมาจากลิ้นชักความทรงจำซึ่งผมพยายามจะปิดตายเอาไว้อย่างสุดกำลัง กี่ครั้งกี่หนที่ผมบอกตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ ก็มันช่วยไม่ได้ หากสุดท้ายรอยแผลที่คิดไปเองว่าหายแล้วก็พร้อมจะอักเสบกลัดหนองขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

ผมตั้งใจว่าจะลุกขึ้นเดินออกจากโรง แต่จอภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนกลับไปเป็นสีขาวโล่งเช่นดังเดิม ก่อนที่ภาพยนตร์ฉากที่สองจะเริ่มต้นขึ้น....


สถานที่ในเรื่องเปลี่ยนจากบ้านทิพยศักดิ์เสนามาเป็นโรงเรียนมัธยมอินเตอร์ฯ ค่าเทอมรายปีเกือบหลักล้าน.... แม่ส่งผมไปเรียนที่นั่นเพราะหวังจะให้เข้าสังคมกับพวกลูกหลานคนมีเงิน ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ จะได้ไม่โตขึ้นมากลายเป็นเด็กแวนซ์ให้แม่อับอายขายขี้หน้า ไอ้การเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ก็ฟังดูเหมือนจะดีอยู่หรอกนะ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วมันก็ฟอนเฟะไม่แพ้โรงเรียนระดับรากหญ้าเลย มีทั้งเด็กที่เสพยา ปาร์ตี้มั่วสุมสารพัด ที่ร้ายที่สุดก็คือการกลั่นแกล้งกัน

โดยเฉพาะเด็กที่มีจุดอ่อนปมด้อยเยอะเป็นพิเศษแบบผม ยิ่งโดนบูลลี่หนักกว่าใครเขาเลยล่ะ....



‘เฮ้ย ทิชา.... กูได้ยินมาว่าแม่มึงเป็นเมียน้อย เรื่องจริงเหรอวะ?’

‘เห็นเงียบๆ แต่จริงๆ แล้วมึงก็ Bitch เหมือนแม่ใช่ปะ?’

‘เย็นนี้ไปปาร์ตี้บ้านไอ้แฟรงก์กับกูมั้ยล่ะ ทิชา.... โม้กให้กูต่อหน้าทุกคนทีนึง เดี๋ยวกูจ่ายมึงห้าหมื่นเลย’

‘อ้าว มึงไม่ได้ขายเหรอวะ.... หรือว่านี่เป็นวิธีโก่งค่าตัว?’

‘โธ่เว้ย ขายก็บอกว่าขายดิวะ ทีแม่มึงยังยอมเป็นเมียน้อยแลกเงินเลย ตัวมึงก็ไม่ได้สูงส่งมาจากไหนหรอก ไอ้ลูกเมียน้อย!’




และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่มีเพื่อนเลย ไม่อยากคบใครและไม่อยากให้ใครมายุ่งกับผมด้วย

เดิมทีผมก็ไม่ใช่ลูกแหง่ติดแม่อยู่แล้ว สองสิ่งที่แม่สนใจก็มีแค่เรื่องพยายามตะเกียกตะกายจะกลับไปเล่นละครหลังข่าวกับเรื่องทวงสิทธิ์ความเป็นลูกหลานของทิพยศักดิ์เสนาให้ผม ผมจึฃไม่เคยเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกบูลลี่ที่โรงเรียนให้แม่ฟังแล้วจัดการกับปัญหาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว.... ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมกลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ปฏิเสธการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิง ยิ่งถ้าใครมาร้ายหรือมีท่าทีที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ไว้วางใจ ผมก็พร้อมจะตอบโต้ด้วยอะไรสักอย่างที่จะช่วยให้คนพวกนั้นไม่เข้ามาวุ่นวายกับผมอีก

ผมคิดว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นถูกต้องแล้ว ผมอยู่ตามลำพังจนชิน ตื่นเช้าไปโรงเรียนเจอกับเรื่องเหี้ยๆ ตกเย็นก็กลับบ้านมาฮีลตัวเองด้วยการวาดรูปและเล่นเกมแต่งบ้านที่ผมชอบ.... ผมไม่เคยรู้สึกเหงา ไม่เคยรู้ว่าอารมณ์วูบโหวงในหัวใจยามเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เจอใครอยู่เลยนั้นหมายความว่ายังไง กว่าจะได้คำตอบ ความเหงาก็หยั่งรากฝังลึกลงในใจผมจนไม่สามารถเยียวยาได้เสียแล้ว

เหงามากจนยอมทำอะไรโง่ๆ ตั้งหลายอย่าง

โง่งี่เง่าแบบที่ไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด....



‘พี่ไม่เคยเจอเด็กคนไหนเหมือนทิชามาก่อนเลย.... ถึงเราจะไม่ค่อยยิ้ม คุยไม่เก่ง แต่ก็น่ารักน่าทะนุถนอม แถมอยู่ด้วยแล้วสบายใจอีก’

‘น้องทิชาเป็นของพี่ได้ไหมครับ?’




คนที่พูดประโยคนั้นก็คือพี่ริว....

ผมเจอกับพี่ริวตอนเรียนอยู่เกรดสิบสอง ตอนนั้นผมจำเป็นต้องเรียนติวเพื่อสอบเทียบ IGCSE สำหรับใช้ยื่นสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม่พี่ริวเป็นเจ้าของสปาที่แม่ผมไปใช้บริการบ่อยๆ ก็เลยแนะนำกันไปแนะนำกันมา แล้วก็ลงเอยตรงที่พี่ริวจะมาเป็นติวเตอร์ให้ผมสัปดาห์ละสองวัน บางครั้งเขาก็มาที่บ้าน แต่ถ้าวันไหนไม่สะดวก ผมก็จะเป็นฝ่ายไปหาเขาที่คอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยแทน

พี่ริวไม่เคยล้อเลียนหรือถากถางผมเหมือนอย่างที่คนอื่นทำ ทีแรกผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะผมอยู่ในฐานะลูกค้าของเขา และแม่ผมก็เป็นลูกค้าแม่เขา หากพอเวลาผ่านไปกว่าสามเดือน ผมก็เริ่มคุ้นเคยและผูกพันกับเขามากขึ้น.... วันที่ไม่มีเรียน ผมก็ยังไปหาเขาที่คอนโดฯ ไม่ได้เจอก็คิดถึง ไม่ว่าจะทำอะไรก็นึกถึงแต่หน้าเขา

ผมไม่รู้หรอกว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าอยู่กับเขาแล้วผมไม่เหงา ผมชอบฟังเวลาที่เขาพูดจาหวานๆ ชอบให้เขากอด ชอบให้เขาหอมแก้ม แล้วก็ชอบให้เขาจูบด้วย

แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธคำขอของเขา

พี่ริวเป็นผู้ชายคนแรกของผม....



‘ขอโทษนะ ทิชา.... แต่พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ’

‘ก็.......พี่คิดว่าเราสองคนไม่น่าจะไปต่อกันได้ ทิชาเด็กเกินไปสำหรับพี่ และพี่ก็ไม่ตื่นเต้นเวลาที่เจอทิชาอีกแล้ว จะบอกว่าไม่ได้ชอบเราแล้วก็คงใช่มั้ง’

‘พี่ไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น ที่ผ่านมาเราก็มีความสุขด้วยกันไม่ใช่หรือไง?’

‘ทิชาเต็มใจนอนกับพี่เองนะ พี่ไม่เคยบังคับเราสักหน่อย’

‘พี่ยอมรับก็ได้ว่ามีแฟนอยู่แล้ว ยังไงพี่ก็ต้องเลือกแฟนพี่.... ได้ยินแบบนี้แล้ว เราจะจบกันได้หรือยัง?’




ละครฉากของผมกับพี่ริวก็จบลงแบบทุเรศๆ อย่างที่เห็น....

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองเดือน พี่ริวก็มาบอกเลิกผม ถึงจะอ้างนู่นอ้างนี่แต่สุดท้ายมันก็จบด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ได้รักผม ไม่เคยรัก ที่ผ่านมาก็แค่เรื่องโกหกตอแหลของผู้ชายขี้เงี่ยนกับไอ้เด็กหน้าโง่ซึ่งหลงคิดไปเองว่าเขารัก ผลก็คือทั้งเสียตัวและเสียใจไปพร้อมๆ กัน

ผมร้องไห้เพราะพี่ริวก็จริง แต่ก็แค่ครั้งเดียวหลังจากที่รู้ว่าโดนคบซ้อนแล้วเขี่ยทิ้งนั่นแหละ.... แค่สอง-สามวัน ผมก็กลับมาเป็นทิชาคนเดิม เงียบ เก็บตัว เกลียดการเข้าสังคม ขี้ระแวง ไม่ชอบยุ่งกับคนแปลกหน้า แล้วก็ขี้เหงาเหมือนเดิมด้วย

เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ หากก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าตัวเองคิดถึงช่วงเวลาที่คบกับพี่ริวมากเหลือเกิน.... ผมยังคงอยากถูกกอด อยากถูกจูบ หรือจะพาผมขึ้นเตียงก็ได้ ก็แค่อยากมีใครสักคนที่คอยแสดงออกว่ารักผมบ้างเท่านั้นเอง

แล้วความอยากผสมกับความกระพร่องกระแพร่งในใจก็ทำให้ผมพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกตามประสาคนโง่ เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ



‘น้องคนนี้ใช่ไหมที่ชื่อทิชา!?’

‘มายุ่งกับแฟนพี่ทำไมคะ.... ไม่รู้เหรอว่าบอสมีแฟนอยู่แล้วน่ะ!? หรือว่ารู้แต่ก็ยังจะหน้าด้านจงใจแย่ง!?’

‘ก็ไม่อยากคิดหรอกนะว่าไปได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร แต่ถามจริงเหอะ คุณแม่ไม่เคยสอนเลยเหรอคะว่าอย่ายุ่งกับแฟนของคนอื่น!?’

‘อ้อ.... ลืมไปเลยว่าคุณแม่น้องก็เป็นเมียน้อยนี่นะ มิน่าล่ะ ได้แม่มาเยอะนี่เองถึงได้คันคะเยอขนาดนี้!’



ไม่มีใครอยากโดนพูดถึงในทางแย่ๆ หรอก ผมเองก็เหมือนกัน

ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาจีบ ผมถามพวกเขาทุกคนแล้วนะว่าโกหกกันหรือเปล่า ไม่ได้หลอกคบซ้อนเหมือนอย่างที่พี่ริวเคยทำกับผมใช่ไหม คำตอบที่ได้รับก็มีแค่ลมปากซึ่งบอกว่าจริงใจ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงกลายเป็นว่าผมคือมือที่สามอยู่ร่ำไป

หนึ่งคนก็แล้ว สองคนก็แล้ว กว่าผมจะรู้ตัวว่าทำพลาดไปเยอะมาก ชื่อของ ทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา ก็ฉาวโฉ่ไปทั่วมหาวิทยาลัยพร้อมๆ กับเสียงก่นด่าและสีหน้ารังเกียจจากคนที่ฟังความข้างเดียวแล้วเชื่อ.... ผมก็เอียนกับการถูกหลอกซ้ำซากอยู่หรอกนะ แต่พอมีคนใหม่เข้ามาทำดีด้วย สัญญาสาบานดิบดีว่าจะรักและดูแลผม ไม่ให้ผมต้องจมอยู่กับความเหงาอีก หัวใจเจ้ากรรมมันชอบก็พุ่งกระโดดลงหลุมกับดักไปก่อนที่ผมจะตามคว้าเอาคืนได้ทัน

เหมือนวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีใครสามารถหยุดได้ แม้กระทั่งตัวผมเอง

หลายครั้งที่ผมแอบคิดว่าไม่มีทางที่จะมีใครรักผมจริง ขนาดพ่อบังเกิดเกล้ากับญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันยังไม่เคยเห็นผมมีตัวตนเลย แล้วใครที่ไหนจะมาให้ค่ากับคนไม่สำคัญแบบผมล่ะ.... นานแค่ไหนแล้วที่วิ่งไล่ไขว่คว้าหาความรักจนเหนื่อย อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วหายไปจากโลกนี้เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด เผื่อว่าจะหลุดพ้นไปจากเขาวงกตซึ่งไม่มีทางออกแห่งนี้สักที

แต่ในความเป็นจริงก็คือผมยังคงวิ่งต่อไป

วิ่งไปเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจที่มีรอยร้าวรอยขีดข่วนเพิ่มมากขึ้น จนน่ากลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องแตกสลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี

ผมควรจะวิ่งต่อไปดีไหมนะ?


หรือมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องหันหลังกลับเพื่อนอนพักไปตลอดกาล?
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 29-05-2018 11:37:08
ภาพบนจอกลับมามืดสนิทอีกครั้งก่อนที่ผมจะพรูลมหายใจออกมา ความเจ็บร้าวไปตามฝ่ามือถึงได้รู้สึกตัวว่าผมเกร็งจิกปลายเล็บเข้าเนื้อตัวเองตลอดเวลาที่นั่งดูเรื่องราวในอดีตอันแสนน่าสมเพช ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายเต้นแผ่วเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันควรจะหยุดนิ่งไปได้สักที.... น้ำตาซึ่งไหลรินอาบแก้มถูกปาดทิ้งลวกๆ ความสงสัยเกาะกุมอยู่เต็มหัวใจว่าที่ผ่านมาผมต้องอดทนมากขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วผมจะอดทนต่อไปทำไม ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยเห็นจะมีอะไรดีขึ้น


“เจอแต่เรื่องลำบากๆ มาตลอดเลยเนอะ พวกเราน่ะ”

ทิชาร่างสามขวบหันมาถามผม แม้จะเป็นเวอร์ชั่นเด็กแต่กลับทำท่าทางแก่แดดรู้ดีจนน่าหมั่นไส้ แต่ผมก็เห็นด้วยกับที่เจ้าเปี๊ยกพูดทุกคำ

“อืม.... นั่นสิ”

“เหนื่อยขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่หยุดพักสักหน่อยล่ะ?”

“ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าจะหยุด.........” 

น้ำเสียงผมฟังดูคล้ายรำพึงรำพันเปิดใจคุยกับจิตแพทย์ แต่ไม่มีหมอที่ไหนมารักษาผมหรอก ก็มีแต่ตัวผมนี่แหละที่เยียวยารักษาจิตใจตัวเองมาโดยตลอด 

“แต่ทุกครั้งที่คิดว่าไม่เอาแล้ว พอได้แล้ว ใจมันก็แอบหวังทุกทีว่าบางทีอาจจะเป็นคนถัดไป หรือไม่ก็คนถัดไปของคนถัดไป เดี๋ยวก็คงมีคนดีๆ เข้ามาเองแหละ...........”

“แล้วคนๆ นั้นใช่คนที่เรากำลังตามหาอยู่หรือเปล่า?”

จอภาพเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนไหวอีกหน ทันใดนั้นเอง ผู้ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อช็อปคณะวิศวะฯ สีเลือดหมูก็ปรากฏขึ้นบนฉากสีขาว จี้รูปเฟืองสีทองแดงเป็นประกายส่องสว่างอยู่เหนือผืนอกกว้าง.... เส้นผมของเขายาวกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นนิดหน่อย ดูเหมือนว่าพี่โรมซึ่งอยู่บนจอภาพยนตร์จะเป็นตอนที่ผมกับเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรก เขาอาจจะไม่ใช่คนหล่อจัดแบบไอ้แดนหรือบรรดาแฟนเก่าใจหมาของผม แถมยังหน้าดุ พูดจาโผงผางมึงมาพาโวย แต่ใครเลยจะรู้ว่าพี่โรมนั้นทั้งอ่อนโยนและใจดีกับผมยิ่งกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้

“คิดว่าใช่นะ” 

ผมตอบพลางเหม่อมองละครฉากที่พี่โรมถอดเสื้อช็อปยื่นส่งให้ผมซึ่งตัวเปียกไปด้วยน้ำโกโก้ข้นคลั่ก มาย้อนภาพดูแบบนี้ถึงได้เห็นชัดว่าผมน่าจะตกหลุมรักเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ เพียงแต่พี่โรมไม่ได้คิดเหมือนกันกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว 

“ไม่รู้สิ.......ก็แค่อยากให้ใช่..........”

“แต่เขาไม่ได้รักเรานี่นา เราจำได้นะว่าเขาเคยพูดแบบนั้น” 

ทิชาน้อยตอกย้ำความจริงให้ผมฟัง 

“พี่ชายที่ชื่อโรมคนนั้นเขาบอกว่าชอบคนร่าเริงสดใส คุยเก่ง มองโลกในแง่ดี ดูซื่อใสไร้เดียงสา.... แต่พวกเราน่ะมีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ คนเกลียดทั้งมหาลัย มิหนำซ้ำยังนอนกับแฟนชาวบ้านมาไม่รู้ตั้งกี่คน สเป็คของพี่โรมน่ะไม่มีอะไรที่เหมือนเราเลยสักอย่าง เราถึงได้ถูกมองข้ามไง”

ผมนิ่งเงียบระหว่างที่เรื่องราวบนจอดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมเห็นตัวเองร้องไห้กระเซอะกระเซิงเพราะถูกพี่โรมปฏิเสธไม่รับรัก เห็นตัวเองขับรถออกจากบ้านไปเบอร์ลิค ดื่มเบียร์ผสมยาปลุกเซ็กส์แม้จะรู้ดีว่ามันจะส่งผลอย่างไร ถูกพี่รุจลากขึ้นไปบนเคาท์เตอร์พร้อมประกาศว่าจะให้รุ่นน้องเขาลงโทษผมข้อหาชิงเกียร์ด้วยการรุมโทรม เห็นพี่โรมพุ่งเข้ามาช่วยก่อนจะอุ้มผมออกมาจากที่นั่นโดยที่ไม่เฉลียวใจเลยว่าน้องทิชาที่เขาเอ็นดูจะโกหกตอแหลเพราะอยากเสียตัวให้ผู้ชายที่แอบชอบ ซ้ำร้ายผู้ชายคนนั้นยังเป็นแฟนของเพื่อนสนิทด้วย

แต่ผมก็เห็นพี่โรมกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนจนถึงรุ่งเช้า เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าของเขายามเมื่อริมฝีปากหยักได้รูปทาบทับลงบนผิวแก้มผม

แล้วอย่างนี้ ผมจะแอบมีความหวังบ้างไม่ได้เลยเหรอ....?

“จะเอาอีกจริงๆ เหรอ.... ถ้าเจ็บขึ้นมาคราวนี้ ต่อให้เราเข้มแข็งแค่ไหนก็คงจะเยียวยาตัวเองไม่ไหวแล้วนะ”

เจ้าตัวเล็กเบะปากเมื่อเห็นผมโผเข้ากอดพี่โรมแล้วร้องไห้จะเป็นจะตาย.... ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่ผมทะเลาะกับแม่เรื่องเปลี่ยนนามสกุลก็เลยเตลิดไปหาพี่โรมที่เบอร์ลิค เขาปลอบใจผมก่อนที่เราจะจูบกันในร้านอาหาร ก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำไมพี่โรมถึงได้เปลี่ยนท่าทีจากไม่ชอบมาเป็นชอบ แถมยังยกเกียร์ที่ผมชิงมาให้ไม่ทวงคืนอีก

ถึงแม้สิ่งที่พี่โรมมอบให้จะเป็นแค่ความสงสาร หากสำหรับผมแล้ว นั่นคือความรัก.... ทั้งรักและหลง รักทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอาจไม่ได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา ถ้าจะเปรียบว่าเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็คงไม่ผิด

ผมยอมเผาตัวเองตายเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

แต่แล้ว ภาพที่พี่โรมนั่งจับไม้จับมือบีบี๋อยู่ที่โรงพยาบาลก็แทรกเข้ามาในประสาทส่วนการมองเห็น ผมลืมตัวกัดปากจนช้ำห้อเลือด หัวใจเจ็บร้าวขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมเมื่อคิดว่าสองคนนั้นเคยชอบกันมาก่อน และผมก็คือมือที่สามซึ่งจ้องจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาให้พังพินาศ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความรักหวานซึ้งจนกระอักเลือดตายไปเองในที่สุด

“ก็รู้นี่ว่าคนชื่อโรมเขาชอบบีบี๋มาตั้งแต่แรกแล้ว.... อย่าเสี่ยงเลยนะ ทิชา อยู่ด้วยกันกับเราที่นี่เถอะ” 

ทิชาเวอร์ชั่นเด็กเกาะแขนผมเอาไว้ ไม่ยอมให้ลุกขึ้นหนีไปจากความเป็นจริงซึ่งสะท้อนอยู่ตรงหน้า 

“ดูมาตั้งนานยังไม่มีเห็นมีใครรักเราสักคน แล้วเราจะกลับไปเหนื่อยอีกทำไม.... หรือว่าที่ผ่านมาเรายังเสียใจไม่พอ?”

“ฉัน.......พอแล้ว........ไม่อยากเสียใจอีกแล้ว...........”

“ไม่อยากเสียใจแล้วก็นั่งลงสิ.... นั่งลงแล้วหลับตา หลังจากนั้นเราก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด น้ำตาก็จะไม่ไหลอีกแล้วด้วย” 

ร่างกะจ้อยร่อยเกลี้ยกล่อมผม มือเล็กบีบแขนผมแน่นคล้ายจะบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกระเสือกกระสนออกไปพบเจอกับสิ่งโหดร้ายและความรักที่บิดเบี้ยวอีก 

“หลับซะนะ ทิชา.... แค่เรานอนหลับไป เรื่องทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียงความฝัน และสุดท้ายมันก็จะถูกลืมไปเอง...........”

“แค่หลับก็โอเคแล้วเหรอ?”

“อือ.... ในโลกแห่งความฝัน เราจะทำอะไรก็ได้ จะรักใครก็ได้ หรือจะให้ใครมารักเราก็ได้ ง่ายกว่าวิ่งไปตามคว้าที่ข้างนอกนั่นเยอะเลย”

“ฉันว่าตอนนี้ฉันก็กำลังฝันอยู่นะ.........” 

ผมยิ้มให้ตัวเองในวัยเด็ก ทิชาคนที่อยู่ตรงหน้าพูดทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนว่ามันคือเรื่องธรรมดา ไม่เจ็บปวดไม่เสียใจ แต่ก็คงเพราะว่าเจ้าเปี๊ยกนี่เป็นเด็กนั่นแหละ ถึงได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่เอาเสียเลย 

“แต่วิธีการของนายก็ฟังดูดีไม่เบา ถึงเวลาที่ฉันควรจะพักผ่อนแล้วลืมทุกอย่างได้แล้วล่ะมั้ง.........”

ทิชาตัวน้อยส่งยิ้มตอบกลับมา ในขณะที่เปลือกตาของผมค่อยๆ ปิดลง

ร่างกายเบาหวิวคล้ายถูกยกลอยขึ้นในอากาศ ก้อนหินหนักอึ้งซึ่งทับถ่วงพันธนาการหัวใจผมเอาไว้กับความทุกข์ได้รับการปลดปล่อย

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น....



‘ทิชา......’



ใครบางคนกำลังเรียกผมจากที่ไหนสักแห่ง



‘ทิชา.... อย่าไปไหนนะ กลับมาหาพี่เถอะ คนดี’



นี่คือโลกแห่งความฝันที่เจ้าตัวเล็กพูดถึงเมื่อกี้ใช่หรือเปล่า?

ถ้าใช่.... แล้วทำไมผมถึงยังปวดหน่วงในใจ ไม่หมดความรู้สึกไปสักทีล่ะ?



‘ทิชาไม่รักพี่แล้วเหรอ? ทำไมถึงได้เอาแต่นอนแบบนี้ล่ะ?’

‘ตื่นขึ้นมาเถอะนะ.... ตื่นขึ้นมาดูให้เห็นกับตาว่าผู้ชายคนนี้รักทิชามากแค่ไหน พี่รักทิชานะครับ........รักมากจริงๆ...........’




ผมได้ยินเสียงพี่โรมจากที่ไกลๆ แต่มองไม่เห็นตัวเขา น้ำเสียงปวดร้าวที่ส่งมาถึงตรงนี้บอกให้รู้ว่าเขากำลังเป็นฝ่ายร้องไห้แทนที่จะเป็นผม.... เหมือนร่างกายถูกกระชากอย่างรุนแรงด้วยมือลึกลับ ผมสะดุ้งเฮือกสุดกายลืมตาขึ้นมาเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาต้นเสียง แต่กลับพบว่าผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ฟังถ้อยคำวิงวอนราวกับจะขาดใจของพี่โรมโดยที่ไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้

“พี่โรม.............”

น้ำตาซึ่งควรจะเหือดแห้งไปได้แล้วร่วงเผาะเหมือนทำนบเขื่อนแตก ห้วงความคิดว้าวุ่นสับสน ทั้งไม่อยากกลับไปพบเจอกับโลกอันแสนโหดร้ายแต่ก็ไม่อาจตัดใจจากความรักซึ่งมีคนอุตส่าห์หยิบยื่นให้

“ลังเลอีกแล้ว” 

ทิชาน้อยกุมขมับพลางส่ายหน้าให้กับความไม่เอาไหนของผู้ใหญ่อายุยี่สิบ 

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่โรมไม่ได้รักเรา.... เขาก็แค่พยายามทำตัวเป็นคนดีไปอย่างนั้นเอง นั่นคือความสงสารแต่ไม่ใช่ความรักหรอกนะ ทิชา”

“รักสิ.... พี่โรมเขารักฉัน”

“ไม่ได้รัก”

“รัก!!!”

ผมตะโกนออกไปจนสุดเสียง ทำเอาเด็กชายตัวเล็กนิ่งอึ้งไปก่อนจะมองผมคล้ายจะด่าว่า ‘นายมันบ้าไปแล้ว’ แต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้บ้า ผมแค่เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ รักคนที่ผมอยากรัก และผมก็อยากกลับไปหาเขา

ไม่มีอะไรทำให้ผมหมดรักและตัดใจจากพี่โรมได้ แม้กระทั่งความตาย

ต่อให้ต้องตายไปตอนนี้ ผมก็ยังจะรักเขาอยู่ดี....

“ถ้าหากวันไหนที่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันจะกลับมานั่งดูละครน้ำเน่าอยู่ตรงนี้กับนาย.... ฉันรู้ดีว่าคนเราเกิดมาจะช้าหรือเร็วก็ต้องตาย สุดท้ายก็ไม่มีใครที่จะอยู่กับฉันไปได้ตลอดนอกจากตัวฉันเอง...........” 

ผมกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยความต้องการออกมาอย่างหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำให้ร่างเล็กซึ่งเป็นจิตใต้สำนึกของตัวเองฟัง 

“แต่ในตอนนี้ที่ฉันยังมีทางเลือกอยู่ ฉันก็ขอเลือกที่จะกลับไปหาพี่โรม แล้วหลังจากนี้ ไม่ว่าชีวิตที่เหลือจะเป็นยังไง จะดีจะเลวแค่ไหน ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน.... นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ทิชา?”

“ฉันรู้ว่ามันยาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ.... แต่ฉันก็อยากเชื่อใจพี่โรมว่าเขาจะสามารถทำให้เรามีความสุขได้ และเรื่องราวบนจอที่เราดูด้วยกันเมื่อกี้จะไม่เกิดขึ้นอีก........” 

ผมซับน้ำตาจนแห้ง มองทิชาน้อยอย่างขอร้อง 

“ฉันให้โอกาสพี่โรมแล้ว นายล่ะ จะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งได้หรือเปล่า?”

เจ้าตัวเปี๊ยกทำหน้าบึ้ง แต่แล้ว ริมฝีปากสีสดก็ค่อยๆ ยกมุมขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มในที่สุด

“เฮ้อ.... รู้อยู่แล้วว่าเราน่ะดื้อจะตาย แม่ก็เคยพูดบ่อยๆ ว่าทิชาเป็นเด็กดื้อเงียบ” 

ทันใดนั้นเอง มือล่องหนซึ่งจับล็อคตัวผมเอาไว้ก็คลายออก พร้อมกับที่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงป้าย EXIT ช่วยชี้ทางออกจากโรงหนังแห่งนี้ 

 “ทางออกอยู่ตรงนั้นไง รีบๆ เดินไปสิ”

ผมก้าวออกมาจากแถวที่นั่งแล้วเดินไปตามแสงนำทาง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไอ้เด็กแก่แดดช่างจ้อไม่ได้เดินมากับผมด้วย

“แล้วนายล่ะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ?”

“จะตามไปทำไม ในเมื่อเราเป็นแค่ความทรงจำร้ายๆ ของทิชา” 

ทิชาไซส์มินิบอกผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี

 “เมื่อใดก็ตามที่ทิชามีความสุข ความทรงจำนิสัยไม่ดีอย่างเราก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว”

“พูดบ้าๆ คนเราจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีความทรงจำ”

“ทิชาก็สร้างมันขึ้นมาใหม่สิ.... ใช้เวลาที่ได้อยู่กับพี่โรม กับคนที่รักทิชาสร้างความทรงจำดีๆ ขึ้นมา เอาให้เยอะแยะนับไม่ถ้วน แล้วทิชาก็จะเข้าใจเองว่าความทรงจำแย่ๆ นั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถูกเก็บอยู่ในใจของทิชาเลย”

“เอางั้นเรอะ?”

“อื้อ”

“แน่ใจนะ?”

“แน่ใจสิ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากความทรงจำในจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขาโบกมือให้ผมแทนคำบอกลาก่อนที่ผมจะก้าวพ้นไปจากประตูทางออกและไม่หันกลับมาคร่ำครวญถึงเรื่องราวในอดีตอีก

ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากแสงสีขาวตรงหน้า ผมกระโจนเข้าไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางแสงสว่างนั้นอย่างไม่ลังเล และทันทีที่รัศมีของมันโอบล้อมรอบกายผม จากภาพสถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่าซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลยก็กลับกลายเป็นภาพฝ้าเพดานคาดด้วยเส้นอลูมิเนียมเป็นตารางสี่เหลี่ยม แสงสว่างซึ่งไม่มีที่มาที่ไปก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงจากหลอดไฟนีออนผสานกับแสงจากดวงอาทิตย์อัสดง

ผมยังขยับตัวไม่ได้ก็จริง แต่ประสาทหูยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม



‘ทิชา!!!’



‘ทิชาฟื้นแล้ว..... คุณแม่ครับ น้องฟื้นแล้ว น้องกลับมาหาเราแล้ว!!!’



.


.


.



นั่นคือเสียงของพี่โรม

เสียงที่เรียกหาผมตลอดเวลาที่อยู่ในห้วงความทรงจำ ดึงผมให้ตื่นจากความฝันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง


.


.


.


และใช่.... ผมกลับมาแล้วครับ




TO BE CONTINUE



++++



ใกล้ตอนจบมากขึ้นทุกที เหลือแค่อีก 2ตอนสั้นๆ + 1 บทส่งท้ายก็ได้เวลาจบนิยายเรื่องนี้แล้วค่ะ

อยู่ด้วยกันไปจนจบนะคะ ^__^
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 29-05-2018 12:21:46
ดีใจที่ทิชาฟื้น
หวังว่าเรื่องร้ายๆ ไม่มีแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 29-05-2018 12:40:23
หมดแล้วใช่มั๊ยยย ฮรือออ ใจบางไปหมดแล้วว
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-05-2018 14:12:47
อย่าให้มีพายุฝนกับชีวิตของทิชาอีกเลยนะ ขอให้มีแต่สายรุ้งที่สวยงาม สู้ๆนะทิชา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 29-05-2018 17:41:45
ขอบคุณค่ะลงได้ยาวจุใจมาก ทิชากลับมาแล้ว เรื่องบางเรื่องคลี่คายแล้ว เหลือเรื่องใหญ่ๆคือแม่พี่โรม สู้ๆค่ะคนแต่ง เป็นกำลังใจให้ เขียนนิยายได้สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 29-05-2018 19:45:04
ยาวมาก ขอบคุณนะคะ ที่พาน้องกลับมาไม่งั้นมีเครียดค่ะ
ทิชาน่าสงสารเจออะไรทชมาเยอะมาก แต่จากนี้น่าจะดีแล้ว มีพี่โรม มีแม่ก็พอ
รุจนี่น่ารังเกียจจัง เป็นคนที่เลว ไม่มีเหตุผล ไม่ทีหัวใจที่สุดละ ขอให้บี๋ไม่รักไปจนตายเลย
คือบีบี๋เองก็น่าเบื่ออ่ะ แต่ละเรื่อง กรรมใครกรรมมัน ไปใช้กรรมไป

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 31-05-2018 07:26:38
ทิชาคนเก่ง ดีใจทีหนูกลับมา ขอให้ชีวิตหลังจากนี้มีแต่ความสุขนะ ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการซื้อชีวิตใหม่ก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 31-05-2018 16:11:29
เสียน้ำตาเยอะมาก  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 31-05-2018 16:14:38
คู่ผีเน่ากับโลงผุไปไกลๆๆๆๆ  :fire: :m31: :fire:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 02-06-2018 14:46:28
เข้ามาอ่านเรื่องนี้เพราะเห็นชื่อเรื่องแล้วสัมผัสได้ถึงความเศร้า เป็นนิยายดราม่าที่หนักหน่วงอีกเรื่องนึงเลยจริงๆ ทุกตัวละครไม่มีใครดีร้อยเปอร์และก็ไม่ได้ร้ายร้อยเปอร์เช่นกัน มีแต่ตัวละครสีเทาๆที่ทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ก็เหมือนชีวิตคนจริงๆที่มักเห็นแก่ตัวเองมากกว่าคนอื่นเสมอ เห็นว่าใกล้จะจบแล้ว เรารออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 09-06-2018 23:25:20
19
~ สถานที่ที่มีไว้เพื่อเรา ~


TISHA’s PART



“มีดอกไม้ส่งมาอีกแล้วคร้าบ คุณทิชา~”

เจ้าของเสียงยิ้มร่าเข้ามาหาผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ในอ้อมแขนมีช่อดอกยิปโซสีขาวห่อด้วยกระดาษคราฟท์ผูกริบบิ้นช่อเบ้อเริ่ม บอกให้รู้ว่าเสียงเคาะประตูเมื่อครู่นี้คงจะเป็นพนักงานส่งจากร้านดอกไม้นั่นเอง.... และทันทีที่กลับมานั่งลงข้างเตียง นายดรัณภพก็จัดแจงทำหน้าที่อ่านข้อความให้เสร็จสรรพโดยไม่ต้องร้องขอ   

“ขอให้ทิชาหายไวๆ นะคะ พวกเรายังรอติดตามผลงานของทิชาอยู่เสมอ.... จาก บ้านคนรักทิชา ณ ดินแดนทวิตภพ”

อ่านเสร็จก็ส่งช่อดอกไม้ให้ผมอุ้มแล้วถ่ายรูปเก็บไว้พอเป็นพิธี เผื่อว่าวันไหนที่ผมพร้อมจะให้ทุกคนเห็นสภาพปัจจุบันของตัวเองแล้วจะได้อัพขอบคุณลงอินสตราแกรม.... ผมพลิกการ์ดอ่านพลางอมยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าแฟนคลับซึ่งผมไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาพวกเขาเลยสักครั้งจะทั้งรักและเป็นห่วงผมขนาดนี้ กำลังใจที่ได้รับยิ่งทำให้ผมอยากหายเจ็บไวๆ เผื่อจะได้มีโอกาสพูดคุยและตอบแทนน้ำใจจากทุกคนบ้าง

จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาร่วมหกสัปดาห์แล้วหลังจากอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บของผมฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ สมองไม่มีปัญหาและเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น แต่เพราะกระดูกขาหักสองท่อนและกระดูกสะโพกแตกก็เลยยังไม่สามารถลุกจากเตียงได้.... หมอบอกว่าผมจะกลับไปหายดีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ก็อาจไม่ถึงขั้นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังไงกระดูกที่หักก็จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของผมไม่มากก็น้อย แต่สำหรับผม ถ้าไม่ถึงขั้นพิการก็โอเค เช่นเดียวกับแผลบนหน้าซึ่งคุณหมอศัลยกรรมบอกว่าคงจะต้องทำเลเซอร์หลายครั้งหน่อยกว่าที่แผลเป็นจะหายไปหมด

นอกจากคนใกล้ตัวก็มีแฟนคลับและคนทั่วไปที่คอยให้กำลังใจผม แฮชแท็ก #PrayForTisha #GetWellSoonTisha ติดเทรนด์นานเป็นสัปดาห์นับตั้งแต่เกิดเรื่อง จนถึงตอนนี้เวลาที่แดนหรือคนในกองซีรีส์สงครามคิวท์บอยมาเยี่ยมผมแล้วอัพเดทความเคลื่อนไหว แฮชแท็กที่ว่าก็จะกลับมาติดเทรนด์ประเทศไทยอยู่เนืองๆ.... น่าขำตรงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีแฟนคลับกับเขาด้วย คิดว่าจะโดนคนทั้งประเทศอคติใส่ตั้งแต่เกิดจนตายเสียอีก

อันที่จริง ผมเองก็สื่อสารกับชาวบ้านไม่ค่อยเก่ง ถ้าไม่มีไอ้แดนช่วยเป็นสะพานเชื่อมผมกับโลกภายนอกก็คงลำบากน่าดู เพราะฉะนั้น เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ผมขอยกเครดิตความดีความชอบให้มันก็แล้วกัน

“นี่เขาเรียกดอกอะไรวะ.... น่ารักดีอะ เหมาะกับมึงมากเลย”

“ดอกยิปโซ” 

ผมตอบคำถาม มือก็จับนู่นพลิกนี่ดูไปเรื่อย

“ตอนเค้าฮิตถือช่อดอกยิปโซถ่ายรูปรับปริญญาลงในไอจีกันก็เฉยๆ นะ แต่พอมาเห็นของจริงแบบนี้ก็เออ สวยดีเหมือนกัน”

“มึงชอบเหรอ??”

เดือนสถาปัตย์ทำตาโตใส่ผม หน้าตาแม่งเหมือนหมาโกลเด้นตัวใหญ่ๆ เวลาเห็นกระดูกยางไม่มีผิด

“อือ.... ก็ได้อยู่”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูซื้อมาให้มึงบ้าง เอาช่อใหญ่กว่านี้สักสามเท่า.... โอ๊ย! ตีกูทำไมเนี่ย!?”

เจ้าหมายักษ์ร้องเสียงหลง คลำต้นแขนตัวเองป้อยๆ ตรงที่โดนผมตีพลางทำมองค้อนขมิบปากด่ามุบมิบ คงคิดในใจว่าในเมื่อสวรรค์อุตส่าห์ให้ผมขาหักแล้ว ทำไมถึงไม่ให้แขนหักไปด้วย จะเหลือไว้ให้ประทุษร้ายมันเพื่ออะไร

“ไม่ต้องซื้อมาเลยนะ!” 

ผมจิกเสียงใส่ไอ้แดนก่อนจะชี้ให้มันดูบรรดากระเช้าของขวัญกับดอกไม้ทั้งแบบช่อและแจกันซึ่งกองพะเนินเต็มมุมรับแขกจนแทบไม่มีที่นั่ง 

“ไอ้ที่อยู่ตรงนั้นน่ะของมึงคนเดียวก็เกินครึ่งหนึ่งแล้วมั้ง.... บอกว่าไม่ต้องซื้อๆๆ ก็ไม่เคยจะฟังกันเลย ห้องก็มีอยู่แค่นี้ ไม่มีที่จะวางแล้ว!”

“งั้นเดี๋ยวกูบอกแปะใหญ่ให้ย้ายมึงไปห้องพรีเมียร์วีไอพีบ่ายนี้เลย จะได้มีที่วางของเยอะๆ”

“ยังจะกวนอีก เดี๋ยวเหอะ”

“ลงโทษที่มึงโกหกกูเรื่องหาบ้านพักให้แม่ไง นอนดมเกสรดอกไม้ไปสักสามเดือนจนกว่าจะออกจากโรงพยาบาลท่าจะดี”

คำพูดนั้นฟังดูคล้ายจะล้อเล่น หากผมก็ดูออกว่าแดนมันงอนจริง แล้วก็คงอยากจะด่าผมมากๆด้วย

แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผมยังไม่ฟื้น ก็มีพี่โรมกับไอ้แดนนรกนี่แหละที่มาเกาะกระจกห้องไอซียูไม่ยอมหลับยอมนอน.... นายดรัณภพร้องห่มร้องไห้แทบจะกราบขอโทษแม่ที่ส่งโลเกชั่นบ้านพักให้ผมโดยไม่ทันคิด มันโทษตัวเองเสียจนทุกคนต้องหันไปปลอบแล้วคอยจับตาดูเพราะกลัวว่ามันจะทำอะไรบ้าๆ ลงไป จนกระทั่งผมฟื้นขึ้นมาแล้วยังพูดจารู้เรื่อง เจ้าหมอนี่ถึงได้กลับมายิ้มร่ากวนประสาทได้เหมือนเดิม

ถึงผมจะรอดมาได้ แต่ก็น่าจะทิ้งแผลเอาไว้ในใจมันไม่มากก็น้อย ต่อให้ไม่พูดออกมาตรงๆ ผมก็พอรู้ว่ามันยังเสียใจและคิดอยู่ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ผมเกือบตาย

“แดน.............”

ผมเอ่ยเรียกคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง พูดก็พูดเถอะ จนป่านนี้แล้วผมก็ยังไม่ได้ขอโทษมันเลยสักคำ 

“กูทำมึงตกใจมากเลยใช่ไหม?”

“ตกใจดิวะ ตอนนั้นกำลังไถโทรศัพท์ไปด้วยดื่มน้ำไปด้วย.... เจอข่าวมึงเด้งมาในหน้าฟีด แก้วหล่นแตกน้ำหกเต็มพื้นเลยมึง”

คนพูดทำเหมือนเป็นเรื่องตลก ทว่า มันคือตลกร้ายซึ่งไม่มีใครหัวเราะออกเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

“กูดีใจนะที่มึงไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นกูคงได้รู้สึกผิดแล้วก็โทษตัวเองไปตลอดชีวิตแน่” 

แดนคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ก่อนจะจับยกขึ้นแนบผิวแก้มสาก หน่วยตาเรียวคมจ้องมองมาอย่างพยายามจะสื่อความในใจซึ่งไม่มีโอกาสได้พูดบ่อยเท่าที่ใจอยาก โดยเฉพาะเวลาที่ญาติผู้พี่อยู่ด้วย

“เวลาที่ซื้อของให้มึงก็เหมือนได้บอกตัวเองว่ามึงยังอยู่ ยังไม่ตายจากไปไหน.... ถึงจะซื้อมาแล้วไม่ถูกใจก็กลับไปซื้อใหม่ได้ ซื้อไปเรื่อยๆ จนกว่ามึงจะบอกว่าชอบ”

รอยยิ้มบนใบหน้าคล้ายสายลมเอื่อยอ่อนทำให้รู้สึกสบายใจว่าผมไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไป.... เอาจริงๆ นะ ผมเคยคิดว่าไอ้แดนก็แค่มนุษย์ฉาบฉวย ทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่เหมือนเด็กๆ พอเวลาผ่านไปผมถึงได้รู้ว่ามองมันผิดมาตลอด ถึงผมจะทำตัวแย่ๆ ใส่มันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไล่ด่าแรงๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้าย ในยามที่ผมกำลังตกที่นั่งลำบากก็มีมันนี่แหละที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ แล้วช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่คนเป็น ‘เพื่อน’ จะทำให้กันได้

“มึงแม่งก็เป็นเสียอย่างนี้..........” 

ผมถอนหายใจยิ้มๆ เกลียดความขี้อ้อนขี้เอาใจของอีกฝ่ายชะมัด ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าผมคงตอบแทนอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

“กูรักมึงจริงๆ นะ ทิชา.... ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ.........”

ความรู้สึกที่มอบให้อาจจะรับเอาไว้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมกับแดนก็รับรู้ว่ามันมีอยู่จริงและจะไม่สูญเปล่า อย่างน้อยเราก็คอยดูแลกันไปในฐานะเพื่อน เป็นมิตรภาพที่ไม่จำเป็นจะต้องหวือหวาสาบานร่วมเป็นร่วมตาย หากก็มั่นคงและยาวนานตราบเท่าที่เราอยากให้มันดำเนินต่อไป

“เดี๋ยวกูต้องไปถ่ายซีรีส์ต่อแล้ว เมื่อไรเฮียโรมจะมาวะ?”

เมื่อเข็มสั้นนาฬิกาแตะถึงเลขสาม ไอ้แดนก็ถามถึงญาติผู้พี่ของตัวเองซึ่งตามปกติจะต้องมาสลับเวรเฝ้าผมอยู่นี่แล้ว

“วันนี้พี่โรมมีเรียนถึงเย็นเลย กว่าจะมาก็คงช่วงค่ำๆ แหละ”

ผมตอบไปตามที่รู้ เห็นว่าเทอมนี้พี่โรมต้องลงวิชาสาขาหลายตัว ซึ่งแต่ละตัวก็มีทั้งเข้าฟังบรรยาย ส่งเล่มเปเปอร์ และไปสอบภาคปฏิบัติที่ศูนย์ซ่อมบำรุงยานยนต์ ไหนจะต้องเทียวไปเทียวมาดูแลผมกับยัยมิลค์ก็ทำเอาหัวหมุนไม่ใช่เล่น....

ฝั่งไอ้แดนเองก็ใช่ย่อย ใกล้จะถึงเวลาต้องส่งไฟนอลวิชา Architectural Design อยู่รอมร่อ ทั้งพรีเซนต์แบบและตัดโมเดลจนมือเป็นระวิง ไปไหนก็ต้องหอบกระดาษกับไม้บัลซ่าไปนั่งตัดชิ้นส่วนโมเดลเตรียมขึ้นงานส่งอาจารย์ให้เป็นที่น่าสงสารเห็นใจ แถมยังมีถ่ายซีรีส์อีกสัปดาห์ละสาม-สี่วัน ถึงมันจะบอกว่าเรียนไหวไม่ต้องดร็อปก็เถอะ แต่เท่าที่เห็นก็ทำเอาเดือนสถาปัตย์แทบรากเลือดเหมือนกัน

“มึงมีคิวถ่ายก็รีบไปเหอะ ขืนไปสายเดี๋ยวคนอื่นเขาจะสาปส่งพระเอกเอา”

“มึงอยู่คนเดียวได้แน่นะ?”

ร่างสูงถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะตอนนี้ผมยังขยับตัวไม่ได้มาก มันก็คงกลัวว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาแล้วจะลำบาก

“อยู่ได้สิ.... เห็นกูเป็นเด็กอนุบาลหรือไง” 

ผมว่าพลางชี้ให้คนขี้ห่วงดูว่าเขามีปุ่มอินเตอร์คอมกดเรียกนางพยาบาลให้ใช้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

“งั้นพรุ่งนี้กูค่อยมาเยี่ยมมึงใหม่ ตอนเช้ากูต้องเข้ามอด้วย จะแวะซื้อข้าวมันไก่เดชโอชามาฝาก”

“โอเค ไว้เจอกัน”

แดนแตะไหล่ผมเบาๆ แทนคำบอกลาชั่วคราว ก่อนจะหอบเอาสมบัตินิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ไปขึ้นรถเพื่อไปสตูดิโอถ่ายทำซีรีส์.... ถึงจะดูยุ่งหัวปั่นจนแทบไม่มีเวลานอนแต่ก็น่าอิจฉามากในความรู้สึกของผม งานที่ตัวเองชอบก็ได้ทำ เรื่องเรียนก็รับผิดชอบแบ่งเวลาได้ดี ไอ้แดนก็คงประสบความสำเร็จได้ทุกอย่างที่มันตั้งใจ ในขณะที่ผมต้องปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับการนอนนิ่งๆ

เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ผมจึงถูกขอให้ถอนตัวออกจากบทนำซีรีส์สงครามคิวท์บอย ป้าอิ๋วคุยกับแม่ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่สปอนเซอร์กับทางช่องเร่งให้เปิดกล้องเพื่อให้ทันฉายตอนแรกในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งยังไงผมก็ไม่มีทางหายทัน ทีมงานปรึกษากันแล้วว่าจำเป็นจะต้องหาคนอื่นมารับบทแทนเพื่อไม่ให้งานสะดุด มันก็เลยเป็นไปตามนั้น

นายเอกใหม่ที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ก็พี่ปายนี่เองที่ถูกสลับให้มาเล่นบทของผม ส่วนบทคู่รองของพี่ปายก็เรียกตัวน้องอีกคนที่ชื่อพุดดิ้งซึ่งไม่ผ่านรอบออดิชั่นคราวแรกเข้ามาเล่น.... มีคนบอกในโซเชียลว่าจริงๆ แล้วนี่แหละคือเซ็ตนักแสดงที่กรรมการตั้งใจเลือกในตอนแรก แต่เพราะผมเข้ามาแทรกก็เลยทำให้ผังตัวละครรวนไปหมด ดังนั้น การที่ผมถอนตัวออกไปก็เท่ากับว่าอะไรๆ ได้กลับคืนสู่สิ่งที่มันควรจะเป็น

และผมก็กลับมาเป็นทิชา ทิชนันท์ คนแสนธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่เคยเป็นมาตลอด....



หลังจากที่แดนกลับไป ผมก็นอนดูทีวีจนเบื่อแล้วก็ผล็อยหลับไปเองในที่สุด ตื่นมาอีกที ท้องฟ้าข้างนอกก็กลายเป็นสีส้มจัดแล้ว ตรงโต๊ะรับแขกมีใครบางคนกำลังนั่งพิมพ์งานใส่แล็ปท็อปเสียงก๊อกแก๊กๆ อยู่ พอเขาเห็นผมขยับตัวก็วางมือจากงานแล้วเดินตรงเข้ามาหา

“ทำไมตื่นเร็วจัง.... พี่นึกว่าเราจะตื่นสักสาม-สี่ทุ่มเสียอีก”

คำถามนั้นมาพร้อมกับน้ำเปล่าแก้วใหญ่ซึ่งพี่โรมยื่นส่งให้ ผมจิบน้ำทีละน้อยจนกระทั่งก้อนหินหนักๆ ในหัวและความแห้งผากในลำคอหายไป

“ชานอนเยอะแล้ว เก็บเอาไว้นอนต่อวันหลังบ้างก็ได้”

ผมพูดติดตลก จริงๆ ก็คือผมนอนจนไม่รู้จะนอนยังไงแล้วต่างหาก 

“พี่โรมมานานแล้วเหรอ?”

“เพิ่งมาได้สักพักเอง พอดีพี่แวะไปดูยัยมิลค์ที่โรงแรมก่อนแล้วค่อยมานี่”

“มิลค์เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็กินเยอะแข็งแรงดี แต่พี่เลี้ยงบอกว่าไม่ค่อยยอมเล่นเท่าไร ถ้าไม่กินก็จะนอนตลอดทั้งวัน.... สงสัยว่าจะคิดถึงบ้าน”

พอได้ยินที่พี่โรมบอก ผมก็ปวดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้เจอลูกสาวมาเป็นเดือนๆ แล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนต้องนอนเตียงเดียวกันทุกคืน ถึงโรงแรมแมวที่เอาไปฝากจะมีกล้อง IP Camera ให้ดูความเป็นอยู่ของยัยมิลค์ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ยัยมิลค์คงไม่รู้ว่าโดนผมส่องอยู่ ไม่ได้ยินเสียง ไม่โดนอุ้ม มันก็คงจะเหงาและคิดว่าโดนมนุษย์ทาสทอดทิ้งไปแล้วล่ะมั้ง

“งั้นสักอาทิตย์หน้าพี่โรมก็ไปรับมิลค์กลับมาอยู่คอนโดฯ ได้แล้วล่ะ มีเครื่องให้น้ำกับอาหารอัตโนมัติแล้วก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก.... พี่โรมก็ค่อยกลับไปเปลี่ยนทรายให้มันวันละครั้งก็ได้ มิลค์ก็คงสบายใจที่จะได้นอนบ้านมากกว่า”

“ได้ครับ แม่แมว เอาตามนั้นเลย”

เราจบเรื่องยัยมิลค์เอาไว้แค่นั้นเพราะได้เวลาที่พยาบาลจะเข้ามาจัดการช่วยผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำธุระส่วนตัว.... อันที่จริงพี่โรมเคยพูดว่าจะดูแลเรื่องพวกนี้ให้ผมเอง แต่ผมบอกเขาว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพยาบาลดีกว่า ถึงเขาจะไม่รังเกียจและคอยเฝ้าอยู่ไม่ไปไหน หากกลับเป็นผมเองที่กลัวว่าพี่โรมจะทนไม่ได้ที่ผมต้องนอนเปลี้ยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกหลายเดือนจนกว่าจะหาย

เวลาที่จิตตกมากๆ ก็มีบ้างที่ผมแอบคิดว่าถ้าไม่ช่วยไอ้บี๋ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถึงรอดมาได้ก็ต้องอยู่ในสภาพกึ่งๆ คนพิการ แถมเรื่องเรียนและเรื่องงานยังพังหมด ความหงุดหงิดเซ็งโลกก็ย่อมมีมากเป็นธรรมดา

“เป็นอะไร เบื่อเหรอ?”

พี่โรมเอ่ยถามเมื่อเห็นผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องเคเบิ้ลทีวีไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะมาหยุดที่ช่องเดิม ถึงจะเบื่อเอียนรายการซ้ำซากพวกนี้มากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้ว ครั้นจะอ่านหนังสือเยอะๆ ก็ปวดสายตาไปอีก

“อืม.... ก็นอนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมาตั้งเดือนกว่าแล้ว”

ผมบ่นพลางถอนหายใจดังเฮือก คิดถึงแบบจำลองเฟอร์นิเจอร์นับร้อยชิ้นกับแปลนสามมิติตกแต่งภายในร้านค้าในพื้นที่อเนกประสงค์ซึ่งทำค้างเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านชะมัด

“จริงๆ ตอนนี้ชาต้องส่งไฟนอลโปรเจกท์ของเทอมแล้วด้วย อุตส่าห์คิดคอนเสปท์เอาไว้ดิบดี สุดท้ายก็ต้องดร็อปหมดทุกตัวเลย”

“ก็เราเจ็บอยู่นี่นา...........” 

ร่างหนาลูบหัวผมอย่างหมายจะช่วยปลอบโยน ทั้งที่เขาควรจะดุผมที่ช่างหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ทำเอาตัวเองและคนรอบข้างพลอยลำบากกันไปหมด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เคยมีคำพูดแรงๆ ให้เจ็บช้ำน้ำใจหลุดมาเลยสักคำ 

“เอาไว้รอให้หายดีก่อนแล้วค่อยกลับไปเรียนใหม่ก็ได้ หมอบอกว่าถ้าร่างกายเราฟื้นตัวเร็ว เดือนหน้าก็ให้กลับไปอยู่บ้านได้แล้ว พอเอาเฝือกออกสักพักก็เริ่มทำกายภาพได้เลย.... อีกเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”

“ทำไมพี่โรมปลอบใจคนเก่งจัง?”

“สงสัยช่วงที่เราหลับไป พี่จะปลอบใจคนอื่นบ่อยจนเชี่ยวล่ะมั้ง”

คนรักของผมบอกยิ้มๆ แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแต่ความรู้สึกหวาดหวั่นอกสั่นขวัญแขวนก็ยังอยู่ในใจของคนใกล้ตัวผมทุกคน 

“ต้องปลอบใจตัวเองด้วยว่าเดี๋ยวทิชาก็ฟื้น วันนี้ยังไม่ฟื้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องฟื้น...........”

“พี่โรม........ชาขอโทษนะ...........”

ก็รู้อยู่หรอกว่าลำพังแค่คำว่าขอโทษคงชดเชยความรู้สึกของพี่โรมที่ต้องเสียใจและกลัวว่าผมจะตายจนกินไม่ลงนอนไม่หลับไม่ได้ ไม่อยากพูดด้วยว่าก็ทำลงไปแล้ว จะให้ย้อนเวลากลับไปยังไง.... ผมเองก็เสียใจไม่น้อยเหมือนกันเมื่อได้ยินว่าพี่โรมต้องออกจากโรงพยาบาลกลางคันโดยที่หมอยังไม่อนุญาตทันทีที่รู้ว่ผมเกิดอุบัติเหตุ ขับรถเป็นร้อยกิโลฯ ทั้งที่แขนเจ็บ อยู่ให้กำลังใจแม่และคอยช่วยเหลือทุกอย่างทั้งที่ตัวเองก็มีภาระที่กรุงเทพฯ อีกเยอะแยะ มันคงเหนื่อยน่าดูที่ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งในขณะที่ข้างในหัวใจอัดแน่นไปด้วยความเครียดขึ้งกังวล

“ชาขอโทษที่ทำอะไรไม่บอกพี่ ไม่รู้จักระวังตัวเองให้ดีกว่านี้.... ทำให้พี่กับใครต่อใครต้องเป็นห่วง............”

“พี่ไม่โทษทิชาหรอก.... ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเราน่ะบ้าระห่ำ ถึงพี่บอกว่าไม่ให้ไป ทิชาก็คงจะยังอยากช่วยบีบี๋อยู่ดี” 

สมกับเป็นคนที่เข้าใจผมดีกว่าใครทั้งหมด ตั้งแต่วินาทีแรกที่ฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่พี่โรมมอบให้ก็มีเพียงความอ่อนโยนทะนุถนอม ราวกับว่าผมคือแก้วแสนเปราะบางซึ่งร่วงหล่นกระแทกพื้นไปแล้วหนหนึ่ง แค่โชคดีที่ยังไม่ถึงกับแตกจนซ่อมแซมไม่ได้ 

“แต่คราวหน้าเวลาจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ทิชาต้องคิดให้เยอะกว่านี้นะ.... ทิชาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราน่ะมีคุณแม่ มีพี่ มียัยมิลค์ เพื่อนๆ กับทีมงานที่กองถ่ายซีรีส์เขาก็เป็นห่วง ถ้าเกิดทิชาเจ็บหนักกว่านี้หรือเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ทุกคนก็เสียใจกันหมด”

ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะปล่อยร่างให้อ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนซึ่งโอบล้อมเข้ามา ไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยช่วยให้จิตใจผมสงบลงอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับสัมผัสจากกลีบปากหยักได้รูปที่แนบลงกลางหน้าผาก แก้มของผมอิงแอบอยู่กับผืนอกกว้างพลางหลับตาลงซึมซับความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่ไม่อาจหาได้จากใครอื่นอีกแล้วให้เต็มที่

“ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้.... ขวัญเอยขวัญมานะ แม่แมวของพี่”

“ตอนที่หลับอยู่ ชาได้ยินเสียงพี่โรมเรียกด้วยล่ะ.........” 

ผมเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงความฝันที่เห็นระหว่างที่ยังไม่ได้สติ น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะปกติแล้วผมมักจะจำเรื่องที่ตัวเองฝันไม่ค่อยได้ ผิดกับเรื่องนี้ที่จำแม่นทุกรายละเอียดประหนึ่งว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 

“ในความฝันมันก็มีอยู่หลายครั้งที่ชาคิดว่าพอแล้ว ไม่อยากสู้ ไม่อยากกลับมาชีวิตอยู่ต่อแล้วเจอกับเรื่องร้ายๆ แบบเมื่อก่อน แต่พอได้ยินเสียงพี่โรมแทรกเข้ามา ความรู้สึกอยากยอมแพ้พวกนั้นก็หายไป.... พูดก็พูดเถอะ ถ้าไม่มีเสียงพี่โรมคอยเรียกเอาไว้ล่ะก็ ชาก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้นะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก เขาเองก็ดูประหลาดใจกับเรื่องความฝันที่ผมเล่าให้ฟัง ผมเชื่อสุดหัวใจเลยว่าพี่โรมพยายามเรียกผมตลอดเวลาที่หลับอยู่ เพียงแต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าผมจะได้ยินจริงๆ และคลำทางกลับมาได้เพราะเขา

“ขอบคุณที่พาชากลับมา ขอบคุณนะที่ไม่ทิ้งกัน..........”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่รักทิชา.... เราสองคนจะอยู่เลี้ยงยัยมิลค์ด้วยกัน พี่ไม่ยอมให้ใครพาทิชาไปไหนง่ายๆ หรอก”

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ ห้ามเปลี่ยนใจด้วย”

“จูบสาบานกันเลยไหมล่ะ?”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบโอเค ริมฝีปากของจอมฉวยโอกาสก็ประกบทาบทับลงมา แรงดูดดึงน้อยๆ บังคับให้ผมต้องเปิดปากรองรับรสจูบซึ่งเริ่มหนักหน่วงขึ้นจนแทบหายใจตามไม่ทัน.... เรียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวเข้าหาด้วยความคิดถึง ปลดเปลื้องความทุกข์กังวลที่เคยมีให้เลือนรางจางหายไปด้วยจุมพิตหอมหวานซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ผมส่งเสียงครางในลำคออย่างพึงใจ อยากจะให้พี่โรมคอยป้อนจูบอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ติดตรงที่ร่างกายผมมันไม่เอื้ออำนวยเท่าไร มิหนำซ้ำ พออยู่นิ่งไม่ขัดขืน คุณผู้ชายก็ทำท่าว่าจะไม่ยอมหยุดแค่จูบเสียอย่างนั้น

“อื้อ..... พี่โรม ชาเจ็บอยู่นะ!” 

ผมต่อว่าเมื่อร่างสูงเลื่อนริมฝีปากลงมาดูดซอกคอจนขึ้นเป็นรอยแดง พอพูดกันดีๆ แล้วยังไม่ฟัง ผมก็เลยหยิกต้นแขนเขาก่อนที่มือใหญ่จะล้วงเข้าใต้ชายเสื้อแล้วจะยิ่งห้ามยาก ทำเอาเจ้าตัวหน้าเบ้ร้องโอดโอยอย่างกับว่าเนื้อจะหลุดติดนิ้วผมออกมายังไงยังงั้น

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่จูบเอง เดี๋ยวนี้มีลงไม้ลงมือกับแฟนนะ........” 

พี่โรมลูบแขนตัวเองป้อยๆ แก้ตัวตาใสๆ

“ปากเราก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย มาให้พี่จุ๊บต่อเร็ว”

“พอได้แล้วน่า ใจคอจะจูบกันทั้งคืนเลยหรือไง?”

ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับประกายวิบวับในดวงตาสีเข้มแล้วชวนให้รู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล

“ทั้งคืนยังน้อยไป........” 

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย มีหรือที่คนวอแวเก่งอย่างพี่โรมจะยอมรามือไปง่ายๆ กลีบปากของผมถูกประกบแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อกระพือปีกใส่ เสียงทุ้มกระซิบริมหูทำให้หัวใจสั่นไหว ถ้อยคำปฏิเสธเมื่อครู่หายวับไปจากสมองเพียงแค่ได้รับรู้ว่าผมยังเป็นคนรักที่แสนสำคัญสำหรับเขา 

“ขอจูบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำอย่างอื่นได้ก็แล้วกันนะ”

“ถ้าบอกว่าไม่ให้แล้วจะฟังเหรอ?”

“ไม่ฟัง”

“งั้นทีหลังก็ไม่ต้องถาม”

พอบอกว่าไม่ต้องถาม พี่โรมก็จูบเอาๆ ไม่บันยะบันยัง มากกว่าความคิดถึงที่ผมมีให้เขาก็คือความรักที่เขามีต่อผม ถึงแม้จะเกิดมาตัวคนเดียวแต่ในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป.... ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็มีอ้อมกอดของพี่โรมรอให้ผมกลับมาอยู่เสมอ แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่คิดอยากจะไปไหนอีกแล้วล่ะ


อยู่นิ่งๆ ให้พี่โรมจูบแบบนี้สบายกว่าตั้งเยอะ....
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 09-06-2018 23:32:59
.

.

.

อีกประมาณสองอาทิตย์หลังจากนั้นก็มีข่าวดีว่าหมอกำหนดวันออกจากโรงพยาบาลให้ผมคร่าวๆ แล้ว หลังจากที่ต้องนอนพักรักษาตัวนานกว่าสองเดือน.... อาการของผมดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลภายในและแผลฟกช้ำตามร่างกายเริ่มหายเป็นปกติ เหลือแค่พวกกระดูกทั้งหลายแหล่ที่หัก หมอยังไม่เอาเฝือกออกให้แต่จากผลเอ็กซเรย์ครั้งล่าสุดก็เห็นว่ากระดูกเริ่มเชื่อมกันแล้ว รออีกสักพักก็น่าจะเอาเฝือกออกแล้วทำกายภาพบำบัดได้

ในบรรดาคนที่มาเฝ้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่โรมกับไอ้แดน ทีมงานละครก็มีช่วงแรกๆ ที่มาบ่อยแต่พอเปิดกล้องแล้วก็ทยอยหายหน้าหายตาไปเพราะงานยุ่ง แม้กระทั่งแม่ผมยังไม่ค่อยมาเลย สอง-สามวันจะได้ฤกษ์เห็นหน้ากันสักที.... ลูกชายนอนเจ็บอยู่ทั้งคนแต่ดูเหมือนว่าแม่จะรับงานเพิ่ม ละครที่ถ่ายอยู่ก็ยังไม่ปิดกล้อง เรื่องใหม่ก็ตกลงรับเล่น แล้วก็มีงานจิปาถะอะไรไม่รู้อีกเยอะแยะ

ขนาดมาเยี่ยมผมก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่ตลอด เดี๋ยวนัดถ่ายงาน เดี๋ยวนัดช่างหน้าช่างผมออกอีเวนท์ พอผมจะคุยด้วยแปบๆ ก็มือถือดังขัดจังหวะขึ้นมาอีก



‘ได้ค่ะ คุณเปิ้ล ส่งบรีฟงานกับสคริปท์เข้าไลน์มาได้เลยค่ะ.... อยากให้พูดอะไร ถือครีมท่าไหนหรือต้องเปิดทาโชว์ยังไง นิดาทำให้ได้หมดเลยค่ะ’

‘ค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะที่กรุณาให้งาน.... ยินดีเสมอค่ะ’




“งานอะไรครับแม่.... ฟังดูไม่เหมือนละครเลย?”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้มันไม่น่าใช่งานปกติทั่วไปที่เคยเห็นแม่ทำ

“ก็รีวิวสินค้าไง เหมือนๆ ที่พวกเน็ตไอดอลเขาทำกันน่ะ”

“ขายครีมเหรอ?” 

คราวนี้ผมยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ ก็รู้แหละว่าแม่ก็มีงานพรีเซ็นเตอร์ขายของบ้าง อย่างพวกอาหารเสริมลดความอ้วน คอลลาเจน โสมอัดเม็ดหรือชุดชั้นในกระชับสัดส่วนแบบที่โฆษณาทางทีวีตอนดึกๆ แต่รีวิวสินค้าลงโซเชียลแบบพวกเน็ตไอดอลเนี่ย ผมไม่คิดจริงๆ ว่าแม่จะยอมทำ 

“ครีมอะไร? มีอย.หรือเปล่า? สมัยนี้รีวิวซี้ซั้วไม่ได้นะแม่ เดี๋ยวก็โดนจับไปสอบสวนแบบแก๊งค์ที่เพิ่งเป็นข่าวหรอก”

“เอาเถอะน่า.... เงินดีงานสุจริตแม่ก็ทำ แกเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องยุ่ง”

“แม่จะเอาเงินไปทำอะไรครับ?”

แม่หันมามองผมประหนึ่งว่ามีเขาควายงอกออกมาจากหัวลูกชายตัวเอง

“ถามมาได้ แม่ก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าหมอค่ายาให้แกน่ะสิ ประกันที่ทำไว้มันเคลมได้ไม่เต็มหรอกนะ” 

ให้ตายเถอะ ผมลืมคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวไปเสียสนิท คิดแค่ว่ามีประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตซึ่งทำเอาไว้แล้วก็คงไม่ต้องเป็นห่วง แต่พอย้ายจากโรงพยาบาลท้องถิ่นมาโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพ ผมก็นอนห้องพิเศษที่มีพยาบาลและคุณหมอเฉพาะทางคอยดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อีกเป็นเดือนๆ กว่าจะถอดเฝือกกลับไปอยู่บ้าน.... ไหนจะค่าทำกายภาพบำบัด ไหนจะค่าเลเซอร์ศัลยกรรมลบรอยแผลเป็นบนหน้า ลำพังเงินที่พ่อโอนให้ในแต่ละเดือนคงไม่พอ แล้วแม่ก็คงไม่อยากให้เข้าเนื้อเงินเก็บที่มีอยู่ด้วย 

“จริงๆ แล้วคุณวัฒน์ก็ออกปากจะขอช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย แต่ลำพังแค่เขาช่วยทำเรื่องส่งตัวให้แกมาอยู่โรงพยาบาลเอกชนที่มีอาจารย์หมอแบบนี้ได้ก็เป็นบุญคุณมากแล้ว.... ที่สำคัญคือแกเป็นลูกแม่ จะรบกวนให้คนอื่นมาจ่ายให้ได้ยังไง”

คุณวัฒน์ที่แม่พูดถึงก็คือป๊าพี่โรม เท่าที่ผมรู้ก็คือป๊าช่วยรับเป็นเจ้าของไข้ผมร่วมกับแม่ จัดการหาห้องพิเศษให้แล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง แต่เรื่องที่ป๊าพี่โรมบอกว่าจะช่วยเหลือถึงขนาดจ่ายค่ารักษาให้ ผมก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง

“แม่ครับ ผมขอโทษ.........”

“มาขอโทษอะไรเอาป่านนี้ ทีตอนทำล่ะไม่รู้จักคิด!” 

ผมก้มหน้าสลด ไม่ได้เฟลเพราะถูกแม่ดุ แต่พอคิดได้ว่าตัวเองสร้างภาระให้แม่บังเกิดเกล้ามากแค่ไหน ผมก็รู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญูขึ้นมาทันที จนกระทั่งแม่เดินเข้ามานั่งลงตรงที่ว่างบนเตียงข้างๆ กันแล้วเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากผม ถึงได้ยิ่งเข้าใจว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับแม่เลย เพราะสิ่งที่แม่ต้องการก็มีแค่ขอให้ผมฟื้นขึ้นมาและหายเป็นปกติเท่านั้น 

“หลับไปตั้งห้าวัน ทีแรกแม่นึกว่าแกจะนอนเป็นผักไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก.... โชคดีแค่ไหนแล้วที่รอดมาเถียงแม่ฉอดๆ ได้แบบนี้ หา?”

“ผมเปล่าเถียงสักหน่อย” 

ผมไม่ใช่เด็กขี้อ้อนติดแม่ แต่ร้อยวันพันปีจะได้คุยกันนานๆ ก็เลยโถมตัวท่อนบนใส่แม่เต็มแรง กอดชดเชยให้คุ้มกับที่ไม่ได้กอดแม่มาหลายเดือน 

“ก็ผมเป็นห่วง กลัวแม่โดนจับไง.... แม่ไม่อยู่แล้วผมจะอยู่กับใครล่ะ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย อย่างแกน่ะเคยคิดถึงแม่ที่ไหนกัน”

“คิดถึงสิ แค่ไม่ได้บอกให้แม่รู้เอง”

สองมือประสานไหว้ลงบนหัวไหล่ของผู้หญิงที่ดีกับผมที่สุดในโลก ถึงแม้จะโมโหหงุดหงิดใส่กันบ้าง ความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างแต่สิ่งเดียวที่ผมจำใส่ใจไม่เคยลืมก็คือถ้าไม่มีแม่คอยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาจนโต ผมก็คงไม่ได้พบเจอกับความสุขในชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้ 

“ขอบคุณที่เหนื่อยเพื่อผมมาตลอด ผมรักแม่นะครับ.......”

ผมว่าผมแอบเห็นแม่ยิ้มนะ แต่แค่แปบเดียวใบหน้าสวยซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็นต้นฉบับของผมก็กลับไปเริดเชิดตามประสานางเอกละครเก่าเช่นเดิม

“เป็นเด็กขี้อ้อนตั้งแต่ตอนไหน ไม่เห็นแม่จะจำได้เลย”



ก๊อกๆๆๆ
แกร๊ก!


เสียงเคาะและเปิดประตูเรียกพวกเราสองแม่ลูกให้หันไปมองผู้มาเยือน ทีแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่โรมกับที่บ้าน เพราะครั้งสุดท้ายที่คุยไลน์กันเมื่อชั่วโมงก่อน พี่โรมบอกว่าจะไปรับป๊ากับม๊าที่สนามบินดอนเมืองแล้วค่อยมาหาผม ดูจากเวลาที่ไฟลท์ลงก็น่าจะมาถึงที่นี่พอดีๆ

แต่ทว่า คนซึ่งเดินผ่านมุมรับแขกเข้ามากลับทำให้ผมทั้งแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะมา และสงสัยไม่แน่ใจด้วยว่าเขามาทำไม....

“พ่อ..............”

ผมเอ่ยเรียกพลางยกมือไหว้ จากที่ง้องแง้งอ้อนแม่อยู่เมื่อครู่ก็พลันนั่งตัวเกร็งไหล่แข็งขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ นึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันยังค้างเรื่องที่พ่อจะให้ผมเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่เอาไว้ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากคิดเองเออเองไปว่าจะมีความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ในหัวใจของพ่อบังเกิดเกล้า

“เป็นยังไงบ้าง ทิชา?”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

ผมตอบได้แค่นั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงสลัดความคิดที่ว่าพ่อเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมออกไปไม่ได้ ทั้งที่ในตัวผมก็มีเลือดของพ่อไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งแท้ๆ

“พ่อดูในข่าวบอกว่ากระดูกหักเกือบทั้งตัว โดนเศษกระจกบาดด้วย ค่อยยังชั่วนะที่เห็นทิชาไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

“ข่าวคงไม่ได้เขียนสินะคะว่าทิชาผ่าตัดเป็นสิบกว่าชั่วโมง หลับไม่ได้สติไปอีกห้าวันเต็มๆ ที่คุณเห็นตอนนื้คือมันผ่านมาสองเดือนแล้ว!”

สิ่งที่แม่พูดก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมอยากพูด เพียงแต่เพิ่มเลเวลความเกรี้ยวกราดเข้าไปอีกประมาณร้อยเท่า.... ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าพ่อคงไม่สนใจหรอกว่าผมจะเป็นตายร้ายดียังไง แค่เห็นข่าวว่าผมไม่ตายแล้วก็นิ่งเฉยไม่หือไม่อือใดๆ ทั้งสิ้น หากพอเห็นท่านมาเยี่ยมและได้ยินว่าจริงๆ แล้วก็ติดตามดูข่าวอยู่พอสมควร ความสงสัยคลางแคลงใจว่าคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนาต้องการอะไรก็ยิ่งมีมากขึ้น 

“ลูกจะออกจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว มาทำอะไรเอาป่านนี้คะ!?”

“ผมมีประชุมเมืองนอก บินไปบินมา อยู่ไทยได้แค่วัน-สองวันก็ต้องบินอีกเพิ่งหาเวลามาเยี่ยมทิชาได้”

“งั้นเหรอคะ ถึงขนาดต้องหาเวลามาเชียว!”

แม่แค่นเสียงประชดใส่พ่อ เพราะสิ่งที่ได้ยินมันก็ชวนให้คิดได้ว่าพ่อยกให้เรื่องงานสำคัญกว่าชีวิตลูกชายนอกสมรสแบบผม มิหนำซ้ำยังมีบ้านใหญ่ค้ำหัวพวกเราอยู่อีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำหรับผู้ชายคนนี้ พวกเราสองแม่ลูกถูกจัดลำดับให้อยู่ที่ตรงไหนกันแน่ แต่มันก็คงป่วยการที่จะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“แม่ครับ...........” 

ผมดึงชายเสื้อแม่เอาไว้เป็นเชิงขอว่าอย่าเพิ่งชวนพ่อทะเลาะเลย ก่อนจะหันไปคุยกับพ่อตามมารยาท ไหนๆ ท่านก็อุตส่าห์มาแล้วนี่นะ 

“ขอบคุณมากนะครับที่พ่อมาเยี่ยมผม”

“จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไร หมอบอกหรือยัง?”

“ใกล้แล้วครับ น่าจะน่าจะสักกลางๆ เดือนหน้า.... คุณหมออยากให้กระดูกขาติดกันมากว่านี้ก่อนแล้วค่อยถอดเฝือก”

“แล้วมหาลัยล่ะ?”

“ก็คงต้องดร็อปไปทั้งปีเลยครับ พอออกจากโรงพยาบาลก็ต้องทำกายภาพต่ออีกหกเดือน ระหว่างนั้นก็คงยังไปเรียนไม่ได้”

“เรียนจบช้าไปปีนึง แต่ก็ถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะ” 

พ่อวางมือลงบนไหล่ผมราวกับจะปลอบและให้กำลังใจ หากก็แค่เพียงแตะๆ เท่านั้น ด้วยความที่พ่อไม่เคยเลี้ยงดูผมด้วยวิธีอื่นนอกจากโอนเงินให้ใช้ในแต่ละเดือน ก็ไม่แปลกถ้าเราจะไม่ค่อยสนิทใจที่จะพูดคุยหรือแสดงความรู้สึกต่อกัน.... ผมก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอก แต่ผมคิดจริงๆ นะว่าถ้าพ่อไม่มีใจเป็นห่วงผมเลย ท่านก็คงไม่เสียเวลามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้ ในเมื่อการยกหูโทรศัพท์นั้นมันง่ายกว่ากันเยอะ 

“พวกค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาทิชาให้ส่งบิลไปที่ออฟฟิศพ่อ เดี๋ยวพ่อจะสั่งให้เลขาจัดการให้เรียบร้อยเอง”

“ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ.... ค่ารักษาทิชาคราวนี้คงหลายแสน ประเดี๋ยวพวกญาติๆ คุณจะมาหาว่าลูกผลาญเงินคุณอีก”

“ผมไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับคุณนะ นิดา”

พ่อตัดบท ชิงออกตัวก่อนเลยว่าไม่ต้องการปะทะคารมก่อสงครามน้ำลายใดๆ ทั้งสิ้น 

“เอาเป็นว่าผมจะรับผิดชอบค่ารักษาลูกเอง จะกี่แสนกี่ล้านก็ช่าง ผมบอกว่าจะจัดการให้ก็คือตามนั้น.... คุณอยู่เฉยๆ รับงานให้มันน้อยลงแล้วคอยดูแลทิชาให้ดีก็พอ”

แม่เบะปากใส่เหมือนไม่เชื่อว่าพ่อจะรับผิดชอบอย่างที่พูดจริง แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่ารักษาผมคราวนี้อย่างต่ำๆ ก็อาจมีถึงครึ่งล้าน ไหนพอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดต่ออีกหลายเดือน ค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวเบ็ดเสร็จก็คงบานปลายไปอีกมากโข ถ้าพ่อรับอาสาจะซัพพอร์ตให้ แม่ผมก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยรับงานไปทั่วราชอาณาจักรแบบนี้

“พ่อมีงานต้องไปทำต่อ ถ้ามีเวลาจะมาเยี่ยมทิชาใหม่นะ”

“ครับ........”

ผมพยักหน้ารับพร้อมทั้งยกมือไหว้ลา หากยังไม่ทันที่พ่อจะกลับไป แม่ก็ชิงถามถึงธุระสำคัญระหว่างเราสามคนซึ่งยังค้างคาอยู่

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณกาญจน์.... นี่คุณแค่มาเยียมลูกจริงๆ เหรอคะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ คุณคิดว่าผมจะมาทำอะไรล่ะ?”

“ฉันก็คิดว่าคุณจะเอาเรื่องเปลี่ยนนามสกุลอะไรนั่นมาบังคับลูกทางอ้อมเสียอีก” 

แม่เอ่ยเสียงเยาะอย่างรู้ทัน ในขณะที่พ่อนิ่งเงียบไปและมีสีหน้าลำบากใจจนเห็นได้ชัด 

“ได้ข่าวว่าคุณแม่คุณโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตั้งแต่ตอนที่มีข่าวว่าทิชาจะเข้าวงการแล้ว อยากจะไล่หลานออกจากตระกูลใจจะขาด ขนาดฉันบอกแล้วว่าให้รอทิชาสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยมาว่ากันก็ยังส่งเอกสารส่งอะไรมาวุ่นวายไปหมด!”

ผมเห็นว่าพ่อกำลังจะพูดตอบโต้อะไรบางอย่าง แต่ก็พอดีกับที่ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดเข้ามาโดยคนจากข้างนอก บทสนทนาว่าด้วยเรื่องที่ผมกำลังจะถูกบ้านใหญ่ขับไล่ไสส่งอย่างเป็นทางการจึงต้องยุติลงเพียงเท่านั้นก่อน



“อ้าว สวัสดีครับ คุณกาญจน์ คุณนิดา.... อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะครับ”

“คุณวัฒน์ มาได้ยังไงครับเนี่ย??”

ต่างฝ่ายต่างประหลาดใจเมื่อได้พบคู่ค้าทางธุรกิจในสถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่ห้องประชุมของบริษัทหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างผู้บริหารในโรงแรม แต่พ่อของผมดูจะตกใจมากกว่าฝ่ายป๊าม๊าของพี่โรมเยอะ เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้ว่าบ้านอนุวัฒน์วงษ์เข้ามาให้ความช่วยเหลือและดูแลผมมาตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ แล้ว

“พอดีลูกชายของผม เจ้าโรม สนิทกับทิชาน่ะครับ ทางผมก็เลยเสนอตัวมาช่วยรับเป็นเจ้าของไข้ร่วมกับคุณนิดาวัลย์ เผื่อว่ามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันง่ายขึ้น” 

ป๊าช่วยอธิบายคร่าวๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกว่าจริงๆ แล้วผมกับลูกชายท่านสนิทสนมคบหากันในฐานะไหน คงเพราะกิตติศัพท์ความเป็นผู้ดีเก่าของตระกูลฝั่งพ่อผมทำให้ป๊ารู้สึกว่าไม่ขอเข้าไปก้าวก่ายเรื่องที่ผมควรเป็นคนพูดเองด้วยความสมัครใจดีกว่า 

“เรื่องที่ทางครอบครัวผมรับดูแลทิชาอยู่ หวังว่าคุณกาญจน์จะไม่ขัดข้องนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกให้ทราบก่อนหน้านี้ พอดีหลังจากทิชาย้ายโรงพยาบาลเข้ามากรุงเทพฯ แล้ว ผมก็ขึ้นเหนือลงใต้ไปๆ มาๆ อยู่ตลอด เลยยังไม่มีโอกาสเข้าไปหาคุณกาญจน์ที่ออฟฟิศสักที”

“ไม่เป็นไรครับ ทางนี้เสียอีกที่ต้องขอบคุณคุณวัฒน์ที่ช่วยเป็นธุระให้.... ผมเองก็ไม่ค่อยได้เจอลูกบ่อยเท่าไร นี่ก็เพิ่งจะมีเวลามาเยี่ยมแก..........”

ผมแอบเห็นว่าพ่อหน้าเจื่อนไปพอสมควรเมื่อรู้ว่าป๊าพี่โรมเป็นเจ้าของไข้ผมร่วมกับแม่ แทนที่จะเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดก็กลับกลายเป็นคนนอกซึ่งไม่ได้มีความผูกพันทางสายเลือดกับผมเลย ท่านก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วนและละอายใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนอื่นมาทำหน้าที่แทน

ยังไม่ทันที่ผมจะบอกพ่อว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่าสถานภาพครอบครัวเรามันไม่ได้ปกติเหมือนอย่างบ้านอื่น แค่ท่านมีใจจะแวะมาดูอาการผมสักครั้งก่อนออกจากโรงพยาบาลก็ถือว่าดีมากแล้ว พี่โรมก็เดินเข้ามาหาแล้วแอบกระซิบสั่งให้ผมนั่งเฉยๆ ไว้ รอฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน

เพราะป๊าม๊าพี่โรมมา พ่อผมก็เลยจำเป็นต้องอยู่ต่ออีกหน่อยเพื่อรักษามารยาท และเมื่อกาแฟร้อนสั่งเดลิเวอรี่จากร้านข้างล่างขึ้นมาส่งถึงห้อง ผมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่พี่โรมบอกให้รอฟังนั้นคือเรื่องอะไร....

“อันที่จริง ผมตั้งใจมาวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับคุณนิดาวัลย์ แต่คุณกาญจน์อยู่ด้วยก็ยิ่งดีเลย จะได้ขอความเห็นชอบพร้อมๆ กันจากทุกฝ่าย ทั้งคุณแม่แล้วก็คุณพ่อของทิชาเขา.............”

“เรื่องอะไรเหรอคะ คุณวัฒน์?”

ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาผมก็ไม่น่าจะต้องขอความเห็นจากพ่อ เพราะใครๆ ทั้งประเทศต่างก็รู้กันหมดว่าพ่อและพวกญาติๆ ที่บ้านใหญ่ก็แค่ส่งเสียเงินให้แต่ไม่ได้เลี้ยงดูผม ทว่า ป๊าพี่โรมก็ไม่ปล่อยให้พวกเราได้สงสัยนานนัก


“คือผมกับภรรยา เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะขออนุญาตรับทิชาเป็นลูกบุญธรรมน่ะครับ”


ผมตกใจหันไปมองพี่โรมสลับกับป๊า ร่างสูงกุมมือผมเอาไว้ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าผมไม่ได้หูฝาดไปหรอก

“ละ......ลูกบุญธรรมเหรอคะ??”

แม่เองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้เช่นกัน น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจอยู่สอง-สามหน หันมาหาผมคล้ายกับจะถามว่าแม่ฝันไปหรือเปล่า แต่ก็อย่างที่เห็นว่าเราสองแม่ลูกไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่ และข้อเสนอจากทางบ้านพี่โรมก็เป็นเรื่องจริงที่สุดของที่สุด

“ใช่แล้วครับ คุณนิดาวัลย์ฟังไม่ผิดหรอก” 

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายสูงวัยที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นานบอกถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง 

“ที่ได้ยินจากเจ้าโรม ลูกชายผมยืนยันหนักหนาว่าทิชาเป็นเด็กดีมากๆ ตัวผมก็ค่อนข้างเอ็นดูทิชาอยู่แล้ว ก็อยากขอรับแกเป็นลูกอีกคนหนึ่งเสียเลย.... ยังไงเราสองครอบครัวก็ยังต้องเกี่ยวดองพบเจอกันอยู่เรื่อยๆ มีอะไรก็จะได้ไปมาหาสู่ดูแลกันได้สะดวก.........”

เอาจริงๆ เลยนะ ผมเคยหวังแค่ไม่อยากให้ทางบ้านพี่โรมรังเกียจผม ขอแค่ให้ป๊าม๊ายอมรับให้ผมได้คบกับลูกชายของพวกท่านต่อไปก็พอ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าป๊าจะเอ็นดูผมถึงขนาดนี้.... เด็กที่เกิดมาบนความไม่ต้องการของพ่อ ถูกเลี้ยงให้โตมากับแม่ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในวงการบันเทิง ถูกเกลียด ถูกยัดเยียดอคติจนกลายเป็นแกะดำของสังคมแบบผม นิสัยใจคอหรือความสามารถอะไรก็ไม่ได้ดีเด่นวิเศษกว่าคนทั่วไป มันยิ่งกว่าเหลือเชื่อ ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ที่ได้ยินว่ามีคนอยากรับผมไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา

“จะเป็นแค่ลูกบุญธรรมในนามอย่างเดียวไปก่อนก็ได้ เอาไว้พร้อมเมื่อไรแล้วค่อยจดทะเบียนรับทิชาเข้าบ้านอนุวัฒน์วงษ์อย่างเป็นทางการ หรือจะไม่จดเลยก็แล้วแต่.... ตรงนี้ผมขอยกให้ทางคุณนิดาวัลย์กับคุณกาญจน์ แล้วก็ทิชาเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่า”

“คือ........ดิฉันก็ดีใจนะคะที่คุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วเอ็นดูทิชา” 

แม่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล 

“แต่ดิฉันเกรงว่าจะเป็นการรบกวนทางคุณมากเกินไป ที่สำคัญ คุณสองคนก็เพิ่งรู้จักทิชาได้ไม่นาน แค่ช่วยเหลือเรื่องย้ายโรงพยาบาล ติดต่ออาจารย์หมอเก่งๆ จนลูกดิฉันหายดีขึ้นมากขนาดนี้ก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้วค่ะ”

ผมรู้ว่าเหตุผลที่แม่ไม่กล้าตอบรับคำขอจากทางบ้านพี่โรมคืออะไร ไม่ใช่แค่กลัวว่าจะไปรบกวนป๊าม๊าโดยใช่เหตุ แต่กลัวว่าชื่อเสียงแย่ๆ ที่เรามีจะพลอยทำให้อีกฝ่ายต้องแปดเปื้อนตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน เหยื่อปากกานักข่าวไร้จรรยาบรรณ และเลวร้ายที่สุดก็คือพวกนักเลงคีย์บอร์ดตามเพจบันเทิงที่คิดว่าจะด่าใครก็ได้ตราบเท่าที่โลกนี้ยังมีอินเตอร์เน็ตกับมือถือให้ใช้

แต่แล้ว ม๊าพี่โรมซึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มองผมในแบบที่สังคมส่วนใหญ่มองก็ขอเป็นฝ่ายพูดบ้าง ทั้งๆ ที่ผมแอบคิดว่าม๊าไม่น่าจะเห็นดีเห็นงามกับการรับผมเป็นลูกบุญธรรมสักเท่าไร

“ว่ากันตามตรง ทีแรกดิฉันก็ไม่เห็นด้วยนักหรอกค่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะใจเร็วเกินไปหรือเปล่า ลูกเราก็มีตั้งสี่คนแล้ว........” 

เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ม๊าพี่โรมเคยไม่ชอบผมอย่างไรก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ม๊าไม่ได้ปิดโอกาสที่จะให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองตามที่เคยเอ่ยปากขอเอาไว้ และนี่ก็คือประตูบานแรกที่แง้มเปิดออกให้ผมค่อยๆ ผ่านเข้าไป 

“แต่คุณวัฒน์บอกว่าถูกชะตากับทิชามาก พวกเด็กๆ ที่บ้านก็ดูจะชอบทิชากันทุกคน.... ถ้าสามีกับลูกดิฉันไม่มีปัญหา ดิฉันก็ยินดีที่จะเปิดใจรับแกมาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านเราเช่นเดียวกันค่ะ ค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวกันไป ประเดี๋ยวก็คงเข้ากันได้เอง”

“โอย ตายจริง........” 

แม่ยกมือขึ้นกุมอก น้ำตาร่วงจนต้องคว้าทิชชู่มาซับกันยกใหญ่ 

“ไม่เคยมีใครดีกับลูกชายดิฉันขนาดนี้มาก่อนเลย.... ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ..........”

“คุณนิดาวัลย์เลี้ยงทิชาได้ดีนะครับ แกเป็นเด็กน่ารักมากทีเดียว”

“ดิฉันก็ไม่ได้เป็นแม่ที่ดีนักหรอกค่ะ ออกจะบกพร่องเสียด้วยซ้ำ.... คงต้องบอกว่าทิชาดีได้ด้วยตัวแกเองมากกว่า”

ผมอยากจะบอกว่าถ้าไม่มีแม่ ผมก็คงไม่มีทางเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ อย่างไรผู้หญิงที่ทั้งคลอดและต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งสังคมเมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่ค่อยจะให้การยอมรับก็สมควรจะได้รับการชื่นชมยกย่องและตอบแทนพระคุณ แต่เอาไว้ค่อยบอกให้แม่ฟังทีหลังก็แล้วกัน

“ถ้าคุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วจะเมตตาทิชา ผมก็ไม่มีปัญหาครับ” 

และนั่นก็เป็นความเห็นเดียวที่พ่อจะสามารถให้ได้ เพราะตัวท่านเองก็มีครอบครัวที่บ้านใหญ่อยู่แล้ว 

“ยังไงผมก็ต้องขอฝากคุณวัฒน์ดูแลทิชาเผื่อในส่วนของผมด้วยนะครับ”

ดูเหมือนว่าพวกผู้ใหญ่จะตกลงกันได้แล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมคืออะไร ไม่มีใครคัดค้านหรือคิดว่าการรับลูกบุญธรรมซึ่งบรรลุนิติภาวะไปแล้วจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันราบรื่นสวยงามไปหมด ราวกับว่าพายุฝนที่เคยโหมกระหน่ำใส่ชีวิตผมแบบไม่ลืมหูลืมตาได้ผ่านพ้นไปจนหมดแล้ว

“ถ้าทางผู้ใหญ่ไม่มีใครขัดข้องอะไร งั้นก็เหลือแค่รอคำตอบจากทิชาล่ะนะครับ” 

ป๊าพี่โรมเอ่ยขึ้น หลังจากนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมามองผมซึ่งนั่งฟังเหตุการณ์อยู่บนเตียงอย่างพร้อมเพรียงกัน 

“ว่าไง ทิชา.... อยากจะมาเป็นลูกอีกคนของป๊ากับม๊าหรือเปล่า?”

“ค่อยๆ ตัดสินใจก็ได้นะ ไม่ต้องรีบร้อน”

พี่โรมซึ่งยืนเคียงข้างผมกระซิบบอกพลางบีบมือผมเบาๆ ผมยอมรับว่าดีใจมากที่ได้ยินว่ามีคนรักใคร่เอ็นดูตัวเองโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รักถึงขั้นอยากให้เข้าไปอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน.... แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็กลัวว่าความดีใจจนเกินเหตุจะกลับกลายเป็นทำร้ายความรู้สึกของคนที่เลี้ยงดูผมมาทั้งชีวิต

“แม่ครับ..........”

ผมมองไปยังแม่คล้ายกับจะขออนุญาต ด้วยความที่พวกเราอยู่กันแค่สองคนแม่ลูกมาโดยตลอด ผมจึงไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าโดนทอดทิ้งไปมีความสุขคนเดียว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากจนจบประโยค แม่ก็ชิงยกอำนาจการเลือกทางเดินในอนาคตให้ผมคิดตัดสินใจด้วยตัวเอง

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่ก็ยังอยู่บ้านเหมือนเดิม อยากกลับมาตอนไหนก็กลับมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้แกต้องคิดถึงอนาคตตัวเองให้มากๆ.... เข้าใจที่แม่พูดใช่ไหม ทิชา?”

หัวใจที่เคยตายซาก เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ บัดนี้กลับเต้นไหวระรัวเหมือนของเล่นพังๆ ที่เพิ่งชาร์จไฟเข้าได้สำเร็จ ผมหันไปทางซ้ายทีขวาทีคล้ายกับจะรอให้มีใครสะกิดบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ก็แค่เรื่องล้อเล่นอำกันขำๆ ทว่า ภาพซึ่งสะท้อนปรากฏกลับมาให้เห็นก็มีเพียงแค่รอยยิ้มเอ็นดูและแววตาที่บ่งบอกว่าผมคือคนที่พวกเขาพร้อมจะมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยม

“คือ.......ผมไม่คิดว่าจะมีใครชอบผม...........”

“มีสิ ก็ยืนอยู่ข้างทิชานั่นไง” 

ป๊าชี้ให้ดูผู้ชายตัวสูงซึ่งยืนยิ้มเผล่อย่างภาคภูมิใจอยู่ข้างๆ เตียงผม 

“โรมเป็นคนบอกกับป๊าว่าทิชาเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับความรักจากทุกคน แล้วป๊าก็คิดว่าโรมมองคนไม่ผิดด้วย.... ทิชาเป็นเด็กดี คอยดูแลลูกชายป๊าจนมันหายซ่าส์ไปตั้งเยอะ แถมยังกลับมาเป็นผู้เป็นคนตั้งใจเรียนกว่าเดิม ก็สมควรจะได้อะไรดีๆ ตอบแทนบ้าง”

“มาเป็นลูกชายม๊าอีกคนหนึ่งเถอะนะ ทิชา.... มาเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่ คราวนี้ม๊าจะไม่เอาคำพูดคนอื่นมาตั้งแง่กับเราแล้ว แต่จะมองทิชาในแบบที่ทิชาเป็นจริงๆ เหมือนอย่างที่ตาโรมมอง”

สิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนานหล่นมาอยู่ในมือคู่นี้แล้ว และผมก็พยักหน้ารับมันด้วยความเต็มใจ....



“งั้นผมก็ขอฝากตัวกับครอบครัวของป๊าม๊าด้วยนะครับ........”



ไม่เพียงแค่ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น แต่โลกที่ผมเคยคิดว่ามันเงียบเหงา หันมองไปทางไหนก็ไม่เคยเจอใครก็กว้างขึ้นด้วย

ท้องฟ้าของผมเริ่มมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำกับเทาแทรกเข้ามาบ้างแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ผมจะเรียนรู้ได้จนครบว่าสีสันของความสุขมันเป็นอย่างไร แต่ก็คงไม่ยากนักหรอก เพราะตอนนี้ผมก็พอชะโงกหัวมองเห็นสายรุ้งที่สุดปลายขอบฟ้าบ้างแล้วล่ะ


......ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้......
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:18 หน้า8 [ UPDATED 29/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 09-06-2018 23:38:58
ในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาลสักที หลังจากกินๆ นอนๆ นั่งเปลี้ยเป็นหนอนชาเขียวอยู่ร่วมสามเดือน.... ตอนนี้ไม่มีเฝือกหนาเตอะห่อขาให้ไอ้แดนมาวาดรูปเล่นแล้วแต่ข้างในตัวผมก็ยังมีเหล็กดามกระดูกจนแทบจะเป็นหุ่นยนต์ ก็ถือว่าโอเคตรงที่พอจะลุกเดินเองได้บ้างแล้วโดยที่ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำ บาดแผลทั้งภายในและภายนอกแทบทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เหลือแค่รอยแผลเป็นเล็กๆ ตรงใต้ตาขวาซึ่งทำเลเซอร์แล้วยังไม่ดีขึ้น แต่ผมก็ไม่ใส่ใจกับมันนักหรอก เพราะทุกคนที่อยู่รอบตัวผมไม่มีใครสนใจว่าผมจะน่ารักไหม จะขี้เหร่หรืออ้วนเผละมากขึ้นกี่กิโล แค่พวกเขารักผมในแบบที่ตัวผมเป็นจริงๆ เท่านั้นก็พอ

บุรุษพยาบาลช่วยเข็นวีลแชร์มาส่งถึงลานจอดรถหน้าตึกผู้ป่วย รถออดี้สีน้ำเงินที่แสนคุ้นตาจอดรออยู่ก่อนแล้ว พี่โรมจัดแจงยกข้าวของสัมภาระต่างๆ ที่ใช้ระหว่างรักษาตัวไปไว้ตรงเบาะด้านหลัง ปรับเบาะข้างคนขับเอนให้อยู่ในระดับที่ผมจะนั่งสบาย ก่อนจะหันมาประคองผมให้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“อันที่จริงให้ทิชากลับไปอยู่บ้านแล้วจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องลำบากโรมด้วย”

เพราะผมยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มที่ แถมอีกไม่นานพี่โรมก็จะเข้าสู่ช่วงฝึกงานแล้ว วันจันทร์ถึงศุกร์ต้องขับรถไป-กลับโรงงานรถยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมแถวๆ ลาดกระบัง กลัวว่าจะเหนื่อยแล้วก็ต้องการพักผ่อนมากกว่าจะมีเวลามาดูแลผม แม่ก็เลยเสนอความเห็นเผื่อว่าพี่โรมจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เป็นไรครับ คุณแม่.... ถ้าอยู่บ้านก็ต้องขึ้นๆ ลงๆ บันได ออกไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวก ให้ทิชาอยู่คอนโดฯ ผมน่าจะดีกว่า ยังไงตอนนี้น้องก็พอจะเดินเองได้บ้างแล้ว ตอนเย็นกลับมาผมจะได้ช่วยน้องทำกายภาพตามที่หมอสั่งได้ด้วย” 

พี่โรมตอบยืนยันคำเดิมว่าเขาอยากจะดูแลผมด้วยตัวเอง ไม่ลืมที่จะหยอดคำหวานเอาใจแม่เหมือนเช่นเคย 

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมดูแลน้องให้เอง ถ่ายละครกลับมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อนเต็มที่”

“ลูกเขยแม่ ทำไมถึงเป็นคนดีแบบนี้นะ พ่อคุณเอ๊ย” 

แน่นอนว่าแม่ต้องตกหลุมพรางความใจดีของพี่โรมเหมือนอย่างที่ผมเคยตก จนป่านนี้ยังตะกายหาทางขึ้นไม่เจอ ดูเหมือนอาการจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ 

“ทิชา อยู่กับพี่เขาก็ห้ามทำนิสัยไม่ดีนะ ไอ้ที่ปากคอเราะร้ายชอบเถียงคำไม่ตกฟากก็เก็บๆ เอาไว้บ้าง เข้าใจไหม?”

“แม่อะ เห่อพี่โรมอยู่ได้..........” 

ผมตัดพ้อเบาๆ เมื่อดูท่าทางลูกเขยคนโปรดจะมาแย่งตำแหน่งที่หนึ่งในใจแม่ไปจากผมไปเรียบร้อยแล้ว

“จะไปด้วยกันไหมครับ คุณแม่ เดี๋ยวผมแวะไปส่งที่บ้าน”

พี่โรมยังคงทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าตัวยังสัมฤทธิ์ผลได้ไม่เต็มที่เพราะแม่มีงานที่ต้องไปทำต่อ

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ต้องไปถึงกองถ่ายก่อนเที่ยง นี่ก็นัดให้พีอาร์เขาเอารถมารับแล้ว อีกสักสิบนาทีก็คงมาถึงแล้วล่ะ”

“งั้นผมกับน้องอยู่รอเป็นเพื่อนก็แล้วกันครับ ให้คุณแม่ขึ้นรถก่อนแล้วพวกเราค่อยไป”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วอึดใจ รถตู้กองถ่ายละครก็มาจอดรับแม่ให้ไปทำหน้าที่นางร้ายรุ่นลายครามประจำสถานีโทรทัศน์ทั้งช่องหลักและช่องดิจิตอล พี่โรมจึงหันมาจูงผมให้ค่อยๆ ขึ้นไปบนรถซึ่งปรับเบาะเอนหลังเหยียดขาเตรียมเอาไว้เสร็จสรรพ เมื่อเสียบกุญแจสตาร์ทเครื่อง โรงพยาบาลเอกชนซึ่งเป็นที่หลับนอนรักษาตัวของผมร่วมๆ สามเดือนก็กลายเป็นเพียงฉากหลังในความทรงจำ แม้จะเจ็บปวดทางกายแต่ก็ได้ความสุขทางใจกลับคืนมาอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้

อยู่บนถนนไปได้สักพัก โทรศัพท์ที่วางไว้บนคอนโซลรถก็มีเสียงข้อความเด้งขึ้นมา เรื่องตลกก็คือหลังจากเกิดอุบัติเหตุ มือถือผมยังใช้งานได้ดีไม่มีรอยแตกอะไรเลย แม้กระทั่งรอยขีดข่วนบนฟิล์มหน้าจอสักนิดก็ยังไม่มี ผิดกับเจ้าของมันที่แทบจะเละคาเสาไฟเกือบเอาชีวิตไม่รอด

พอหยิบขึ้นมาดูถึงได้เห็นว่าเป็นข้อความแชทจากคนที่ผมไม่เห็นหน้าและแทบไม่ได้ยินข่าวคราวอีกเลยหลังฟื้นจากโคม่า....



Im_BeeBeE :    ไอ้ชา วันนี้มึงออกจากโรงบาลแล้วใช่ปะ?

               กูไม่ได้ไปเยี่ยมมึงเลย

               ขอโทษนะ



Tisha_950701 :    ไม่เป็นไร

                         ว่าแต่มึงยังสบายดีอยู่ใช่ไหม หายหัวไปเลยเนี่ย

         โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็อ่านไม่ตอบ



Im_BeeBeE :    ไม่สบายก็ต้องสบายแหละวะ จุดนี้ 55555555



ถึงแม้จะเป็นการคุยขำๆ หัวเราะยาวเป็นพรืด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าในเลขห้าของไอ้บี๋มีน้ำตาซ่อนอยู่.... ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ผมก็เคยถามพี่โรมว่ามันหายไปไหน ทำไมถึงไม่มาเยี่ยมผมบ้างเลย กะจะใช้พี่โรมไปตามดูให้ด้วยว่าพี่รุจยังทำร้ายมันอยู่อีกหรือเปล่า แต่พี่โรมก็บอกแค่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ไม่พูดถึงสองคนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมปางตายอีกเลย ผมก็เลยพอเดาออกว่าระหว่างที่ผมยังไม่ฟื้น มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ



Im_BeeBeE :    คือกูมีเรื่องจะสารภาพ

               ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่ใช่ว่ากูจะหนีความผิดนะ แต่กูไม่กล้าสู้หน้ามึงกับเฮียโรมจริงๆ

                        เหมือนกูเป็นเพื่อนเหี้ยๆ ที่ดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้

                        เฮียโรมก็บอกว่าเขาไม่อยากให้กูมายุ่งกับมึงอีก กูก็เลยไม่

                        กล้าไปเยี่ยมมึง ไม่กล้าตอบไลน์มึงด้วย

                        แค่อยากบอกให้มึงรู้ว่ากูเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

                        เสียใจมากๆ

                        แล้วก็อยากขอโทษมึงด้วย

                        ขอโทษ

                        ขอโทษ

                        ขอโทษ



Tisha_950701 :    เฮ้ย อย่าคิดมาก

              เรื่องมันผ่านไปแล้ว กูไม่ติดใจอะไรแล้วว่ะ       

         

Im_BeeBeE :    แต่กูติด....

               มึงไม่ควรมีเพื่อนอย่างกูเลย ขอโทษล้านครั้งก็ยังไม่พอ



Tisha_950701 :    เชี่ยบี๋ อย่าพูดแบบนั้นดิวะ



Im_BeeBeE :    กูไม่ได้พูด กูพิมพ์



Tisha_950701 :    เออ ยังจะกวนตีน 55555555



Im_BeeBeE :    นี่จริงจังนะ



Tisha_950701 :    มึงชื่อจริงจังเหรอ กูทิชา

              ยินดีที่ได้รู้จักนะ จริงจัง *สติ๊กเกอร์*



Im_BeeBeE :    โห กล้าเล่น 5555555



ในตอนนั้น ผมกับไอ้บี๋คุยกันปกติมาก มากเสียจนผมคิดว่าระหว่างเราไม่น่าจะมีหนี้แค้นติดค้างกันแล้ว พอผมทำกายภาพบำบัดจนกลับไปเดินได้ตามปกติก็คงเจอมันที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิม.... เป็นเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างที่คนเป็นเพื่อนเขาทำด้วยกัน ผมหวังแบบนั้นจริงๆ นะ



Im_BeeBeE :    กูอยากให้มึงเจอเพื่อนดีๆ นะ ไอ้ชา

                        คนที่ดีกว่ากูอ้ะ....



Tisha_950701 :    มึงก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ จะว่าไป

              แค่ทำกูเกือบตายเอง 5555

         กูโอเคกับทุกอย่างตอนนี้แล้ว มึงเองก็อย่าคิดมาก

                        หายแล้วก็กลับไปเรียนซะ วิชาเล็กเชอร์เทอมหน้าที่กูยังไปเรียนไม่ได้ มึงเก็บชีทไว้ให้กูลอกด้วย

                        ขอบใจล่วงหน้า


รถออดี้ของพี่โรมเลี้ยวผ่านป้อมยามคอนโดฯ ไปแล้วในตอนที่ผมพิมพ์ประโยคนั้นออกไป เพราะเดี๋ยวจะต้องขนของขึ้นห้องแล้วก็ทำอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ ผมก็เลยกะว่าเอาไว้ว่างๆ ค่อยกลับมาคุยกับไอ้บี๋ต่อ



Tisha_950701 :    มีอะไรพิมพ์ทิ้งไว้นะ เดี๋ยวกูมาอ่าน



แต่ทว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีไลน์จากไอ้บี๋ส่งมาอีกเลย....


.

.

.

ความรู้สึกขณะที่เดินผ่านล็อบบี้ชั้นล่าง กดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องที่ผมคาดหวังว่าจะได้กลับมาอีกครั้งโคตรนั้นตื่นเต้นแบบที่สุดของที่สุด หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าวันแรกที่พี่โรมพามาค้างด้วยเสียอีก.... ไม่ได้มาแค่สามเดือนแต่เหมือนจากไปเมืองนอกสักสามปี กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าจากสวนหย่อมด้านนอกโครงการกรุ่นอยู่ในจมูกชะล้างกลิ่นยาเหม็นๆ ไปจนหมดเกลี้ยง ผมเหลียวมองไปรอบตัว ยิ้มให้กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา แม้กระทั่งลูกหมาที่เพื่อนบ้านใส่รถเข็นพาลงมาเดินเล่น

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าอารมณ์ของคนที่ได้กลับบ้าน มีสถานที่ซึ่งเป็นของตัวเองรออยู่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


คิดถึง....

คิดถึงมากๆ........



ในตอนที่กำลังกดรหัสผ่านประตู ผมก็ได้ยินเสียงหล่นตุ้บเหมือนมีของหนักๆ ร่วงข้างในห้องตามมาด้วยเสียงกระพรวนห้อยคอดังกรุ๊งกริ๊ง และทันทีที่บานประตูเปิดออก เจ้าอสูรกายสีขาวขนฟูฟ่องที่ผมรักพอๆ กับพี่โรมก็วิ่งห้อสี่คูณร้อยเข้ามาหาด้วยขาสั้นๆ ส่งเสียงเงี้ยวง้าวระงมด้วยความคิดถึงมนุษย์ทาสสุดใจขาดดิ้น

“เมี้ยวววววววว”

“มิลค์~” 

ผมอุ้มลูกสาวขึ้นมาฟัดให้หนำใจ ชนิดไม่กลัวว่าขนแมวจะเข้าจมูกเข้าปาก 

“เป็นยังไงบ้าง ยัยตัวแสบ.... แด๊ดดี้เอาอะไรให้หนูกินเนี่ย ตัวอ้วนปึ้กอย่างกับแมวซูโม่แน่ะ”

เคยมีคนบอกว่าเวลาเจอผู้หญิงห้ามทักว่าอ้วน แต่ไม่คิดเลยว่าข้อห้ามนี้จะรวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย.... พอหลุดปากไปว่าอ้วนขึ้นหน่อยเดียว ยัยมิลค์ก็ดิ้นพราดถีบผมรัวๆ จนต้องปล่อยมันกลับลงพื้นตามเดิม แผลที่ได้จากอุบัติเหตุอุตส่าห์หายไปหมดแล้วแต่ดันได้แผลแมวข่วนกลับคืนมาให้ดูเล่น แต่ถึงจะเกรี้ยวกราดใส่ทาส แมวขี้รำคาญก็ยังเดินตามมาพันแข้งพันขา บอกให้รู้ว่ามันก็คิดถึงผมนะแต่ไม่ต้องมาอุ้มเยอะ เดี๋ยวขนที่เลียไว้จะเสียทรง

ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหลังกว้าง กลิ้งเกลือกไปมาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งราวกับว่าภูเขาที่เคยทับถ่วงอยู่ข้างในอกถูกยกออกไป ซึมซับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและมั่นคงที่ทำให้หัวใจพองฟูเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้.... หมอนใบนี้ ผ้าห่มผืนนี้ ที่ตรงนี้ซึ่งเคยเป็นของผม ไม่ว่าจะเหินห่างไปนานแค่ไหนมันก็ยังเป็นของผมอยู่เช่นเดิม

“นอนสบายกว่าเตียงโรงพยาบาลตั้งเยอะ ดีจังเลยที่ได้กลับมา........”

“ชอบใช่ไหมล่ะ?” 

ร่างสูงวางกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของทั้งหลายแหล่ไว้บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ก่อนจะมากลิ้งแผ่หราอยู่บนเตียงข้างๆ ผม 

“พี่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนชุดใหม่เลยนะเนี่ย น้ำยาปรับผ้านุ่มหอมฟุ้งเชียว”

เมื่อได้ยินพี่โรมพูดว่าเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผมก็โงหัวขึ้นมามองสำรวจสภาพรอบๆ ห้อง เท่าที่เห็นก็ไม่มีจานชามกองทิ้งอยู่ในอ่าง ไม่มีเสื้อผ้าถอดโยนระเกะระกะตามพื้น สมบัติพัสถานเครื่องใช้จัดวางเป็นระเบียบน่าปลื้มใจ.... ด้วยความที่ปกติแล้ว พี่โรมเป็นพวกงานบ้านงานเรือนไม่เอาอ่าวเลย เวลาอยู่ด้วยกันก็ขยันทำรกให้ผมตามเก็บอย่างเดียว เลยค่อนข้างแปลกใจที่เห็นห้องเรียบร้อยในแบบที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้

“ห้องสะอาดกว่าที่คิดนะเนี่ย ฝุ่นก็ไม่มี.... พี่โรมให้แม่บ้านขึ้นมาทำเหรอ?”

คนถูกถามยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ปลายนิ้วชี้จิ้มลงบนอกกว้างของตัวเองพลางยักคิ้วหลิ่วตาอวดฝีมือการทำความสะอาดอย่างภาคภูมิใจสุดๆ

“ใครบอก พี่เป็นคนทำเองต่างหาก”

“จริงอะ??” 

ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเหมือนกัน คุณผู้ชายที่แยกความแตกต่างของน้ำยาล้างห้องน้ำกับน้ำยาถูพื้นไม่ออกน่ะเหรอจะทำได้ขนาดนี้

“จริงสิ.... เดี๋ยวนี้พี่ใช้เครื่องดูดฝุ่นกับเครื่องซักผ้าเป็นแล้วด้วย เก่งไหมล่ะ?” 

พี่โรมยังไม่เลิกอวดผลงานที่แอบฝึกปรือระหว่างที่ผมพักรักษาตัว แต่ก็น่าอวดอยู่หรอก เพราะนี่มันแทบไม่ต่างจากตอนที่ผมลงมือทำเองเลย แสดงว่าต่อไปนี้มีอะไรก็วางใจให้เขาช่วยทำแทนได้หมดทุกอย่างแล้ว 

“สงสัยเพราะมีแฟนเจ้าระเบียบ รักความสะอาด พี่ก็เลยติดนิสัยมาด้วย.... พอกลับมาเห็นห้องรกๆ มีฝุ่นเกาะแล้วมันทนไม่ได้ ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง”

“ดีมาก ไม่เสียแรงที่เคยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”

เครื่องปรับอากาศเริ่มเย็นได้ที่ ผมกับพี่โรมซุกตัวเข้าใต้ผ้านวมผืนหนาแล้วกอดกันให้หายอยากโดยมียัยมิลค์มาร่วมแจมที่ตรงปลายเตียง.... ถึงแม้ว่าในเวลานี้ผมจะได้รับความรักจากคนรอบข้าง มีแม่ มีป๊าม๊าซึ่งเป็นพ่อแม่บุญธรรม มีเพื่อนและแฟนคลับซึ่งรอให้ผมกลับไปเจอพวกเขาเร็วๆ แต่อ้อมกอดและคำบอกรักจากพี่โรมคือสิ่งที่ผมโหยหามากที่สุด ได้รับมากเท่าไรก็ยังไม่พอ แล้วก็คิดว่าจะไม่มีวันพอด้วย   

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะ ทิชา” 

ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่วก่อนจะเอี้ยวตัวมาจูบเบาๆ ที่ข้างขมับ นัยน์ตาสีเข้มสะท้อนภาพเงาของผมไหวระริก บ่งบอกถึงความในใจซึ่งยังไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้

“ห้องว่างๆ ที่ไม่มีทิชาอยู่ด้วยมันเหงามาก.... คนดีอย่าทิ้งพี่ไปอีกนะ”

“ถ้าพี่โรมอยากให้ชาอยู่ที่นี่ ชาก็ไม่ไปไหนแล้วล่ะ” 

ผมเป็นฝ่ายจูบร่างสูงคืนบ้าง ริมฝีปากนุ่มประกบเข้าหากลีบปากหยักได้รูปซึ่งรออยู่ตรงหน้า หยอกเอินเค้นคลึงอย่างออดอ้อนและเอาแต่ใจอยู่ในที โดยที่อีกฝ่ายก็เต็มใจให้ผมออเซาะเขาได้เต็มที่ 

“ที่ตรงนี้มีใครจองเอาไว้แล้วหรือเปล่า? ถ้าไม่มี ชาขออยู่กับพี่โรมแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยได้ไหม?”

“ฟังพูดเข้า ใครจะกล้ามาจองล่ะ.........” 

ร่างหนาหัวเราะหึ ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้เหมือนกอดตุ๊กตาหมี ผิวแก้มทาบทับลงบนผืนอกกว้างตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี ได้ยินเสียงก้อนเนื้อข้างใต้กำลังเต้นตึกตักชัดเจนอยู่ในโสตประสาท เฉกเช่นเดียวกับคำบอกรักซึ่งทำเอาทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนไหวยวบยาบจนอยากจะละลายคาอกชายหนุ่มไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด 

“ที่ตรงนี้มันเป็นของทิชาคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยปากขอ พี่ก็ให้อยู่.... พี่ต่างหากที่ต้องขอเราว่าอย่าหนีไปไหนอีก”

“ไม่ไปหรอก.... ชารักพี่โรม ชาจะอยู่นี่แหละ”

ผมเป็นฝ่ายลากตัวเองขึ้นไปนอนคร่อมทับพี่โรม แต่เขาเป็นคนใช้สองมือประคองศีรษะของผมไว้ในขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่บดเบียดเข้าหากัน รสจูบหวานซ่านแผ่กระจายไปทั่วโพรงปากในยามที่เรียวลิ้นสอดกระหวัดประหนึ่งถ้อยคำบ่งบอกว่าเราต้องการกันและกันมากเพียงใด.... ความร้อนแรงพุ่งทะยานทำเอาผมแทบหายใจไม่ทัน แต่เมื่อเปิดปากออกพยายามจะสูดอากาศ พี่โรมก็ตามรุกไล่เข้ามาอีกราวกับจะต้อนให้ผมจนมุมและต้านทานกระแสคลื่นแห่งความปรารถนาของเขาเอาไว้ไม่ไหว

แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าชอบ.... ชอบทั้งจูบของพี่โรม ชอบทั้งความรู้สึกที่ว่าเขาต้องการผมมากแค่ไหน

“เครื่องร้อนหรือยัง? ต้องวอร์มอัพอีกหน่อยไหม?”

ปลายนิ้วใหญ่เกลี่ยรอบริมฝีปากผมตรงที่เขาจูบเอาๆ จนเกือบช้ำ แน่นอนว่าโดนจูบเร้าขนาดนี้มันก็ต้องมีอารมณ์ตื่นตัวบ้างเป็นธรรมดา แต่คงไม่มากเท่าใครบางคนซึ่งเครื่องสตาร์ทแรงเตรียมแหกโค้งมาแต่ไกล แค่จูบไม่กี่นาทีก็ทำเอาน้องชายที่อยู่ใต้กางเกงยีนโป่งนูนขึ้นมาแบบลามกสุดๆ

“อดอยากมาจากไหนเนี่ย.... แค่จูบนิดจูบหน่อยทำมาแข็งใส่ ทะลึ่ง!”

“ก็มันคิดถึงเมีย.........” 

คนลามก2018 แก้ตัวหน้าตาย ก่อนจะพลิกร่างผมให้กลับมาเป็นฝ่ายถูกขึ้นคร่อม กลีบปากซุกซนยังลงไล้ไปตามผิวแก้มเรื่อยลงมาถึงซอกคอ ผมว่าผมโคตรเอาแต่ใจแล้วนะ แต่ถ้าเทียบกับพี่โรมเวลาหื่นแล้วก็ยังถือว่าน้อย 

“ไม่ได้กอดแม่แมวตัวนุ่มๆ หอมๆ มาตั้งสามเดือน อดทนโลกสวยด้วยมือตัวเองมาตั้งนาน.... ทิชาต้องเห็นใจพี่บ้างสิ”

“เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไม่ใช่เหรอ?” 

ผมแกล้งย้อน อุตส่าห์ซักผ้านวมตากจนกลิ่นหอมฟุ้งน่านอนขนาดนี้ จะรีบทำเลอะมันก็น่าเสียดาย

“งั้นใส่ถุงก็ได้ เดี๋ยวลงไปซื้อ”

คุณพ่อบ้านใจกล้าก็บ้าจี้เอาเรื่อง อยากก็อยากแต่ก็กลัวที่นอนเลอะ ทั้งขำทั้งสงสารจนไม่รู้จะพูดยังไง สุดท้ายก็เลยต้องดึงต้นแขนแกร่งเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งแจ้นลงไปซื้อถุงยางเพื่อการนี้จริงๆ

“ไม่ต้องแล้ว..........” 

ผมบอกพลางหัวเราะคิก จะว่าไปแล้วผมกับพี่โรมก็เหมือนจะไม่เคยใช้ถุงยางกันหรือเปล่า จำได้ว่าครั้งแรกๆ ไม่ได้ใช้ก็เลยไม่มีใครซื้อติดห้องไว้ งั้นก็เลยตามเลยอีกสักครั้งแล้วกัน 

“ปล่อยข้างในคงไม่ค่อยเลอะเท่าไร แต่พี่โรมต้องทำเบาๆ นะ ชายังเจ็บขาอยู่ ไม่อยากกลับไปใส่เฝือกอีก........”

“พี่จะทะนุถนอมทิชาอย่างดีเลย” 

คนรักของผมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น 

“ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง แต่กับทุกๆ เรื่องที่เราจะทำด้วยกัน..... ทิชาคือคนแรกที่พี่จะนึกถึง เป็นคนแรกที่จะต้องมาก่อนและสำคัญกว่าใครทั้งหมด.........”

“อืม.... ชาเชื่อใจพี่โรมนะ”

“รักนะครับ คนดีของพี่”

จบประโยคนั้น ร่างหนาก็โถมทับเข้าหาผมอย่างอ่อนโยนดังเช่นที่รับปาก กลีบปากหยักและปลายจมูกโด่งซุกไซ้ลงที่ข้างแก้มและซอกคอ ฝากรอยประทับลงบนผิวกายของผมราวกับว่ามันคือเครื่องหมายยืนยันความรักของเราทั้งคู่ เพียงไม่นานหลังจากนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่ติดกายก็ถูกโยนหายไปทางไหนไม่รู้

ยัยมิลค์ซึ่งนั่งเลียขนอยู่ตรงปลายเตียงหันมามองแล้วก็กระโดดหนีหายไปเหมือนรู้หน้าที่ จริงๆ มันก็คงอยากด่าผมกับพี่โรมที่ทำอะไรน่ารำคาญอีกแล้ว แต่เอาไว้ค่อยง้อยัยลูกสาวด้วยแซลมอนในน้ำเกรวี่ทีหลังก็แล้วกัน เพราะผมก็เกิดอยากเห็นใจพี่โรมขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้

.

.

.


ที่ตรงนี้ ในห้องนี้.... และอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้เรียกให้ผมต้องกลับมา

ทิชา ทิชนันท์ คนที่ไม่เคยมีใครต้องการ ไม่เคยมีสถานที่ที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นของตัวเอง

แต่ตอนนี้ ผมมีครบทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยวิ่งไล่ไขว่คว้าจนสุดชีวิตแล้ว

ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหยุดวิ่งและมีความสุขกับปัจจุบันของตัวเองเสียที



อีกเรื่องที่คิดได้ก็คือ ผมคงไม่กล่าวโทษอดีตที่แสนขมขื่นเลวร้ายพวกนั้นว่าเป็นจุดด่างพร้อยในความทรงจำอีกแล้วล่ะ เพราะถ้าไม่มีเมฆครึ้มสีเทาหม่น ผมก็คงไม่รู้ว่าสายรุ้งซึ่งจะปรากฏให้เห็นหลังฝนตกนั้นงดงามมากเพียงใด

บางครั้งคนเราก็อาจต้องเรียนรู้ที่จะเจ็บปวดเสียก่อน เพื่อที่จะได้รักษาสิ่งที่มีอยู่ในมือเอาไว้และไม่ทำมันหล่นหายไป



......เรื่องราวของผมก็คงจะเป็นเช่นนั้น......


TO BE CONTINUE



ใกล้จบแล้ว T____T
 :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-06-2018 14:08:14
ดีใจกับทิชาด้วยนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 10-06-2018 19:53:10
ตอนแรกแอบหวั่นนึกว่าทิชาจะความจำเสื่อม แต่ดีแล้วที่น้องกลับมาแบบปกติ ตอนนี้ก็ฟ้าหลังฝนแล้วมีความสุขมากๆนะทิชา ว่าแต่บีบี๋นี่ไลน์มาหาทิชาเหมือนสั่งลาเลยนะ ไม่ใช่คิดสั้นอีกใช่มั้ยอะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 10-06-2018 21:43:51
ซึ้งมากค่ะ ตามอ่านมาตั้งแต่แรกๆ รู้สึกเหมือนล้มลุกคลุกคลานไปพร้อมๆ กับทิชา  เราซึ้งมากตอนรับลูกบุญธรรม เหมือนในที่สุดก็มีที่ๆ เป็นของเราสักที
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-06-2018 22:20:39
ดีใจกับทิชาที่ได้พบกับคนดีๆ ชีวิตสดใสขึ้น ครอบครัวโรมน่ารักมาก คุณแม่ทิชาก็น่ารักมาก
พี่โรมยิ่งน่ารักมาก ดีไปหมดเลย ชอบ กว่าจะถึงวันนี้เจ็บกันมาเยอะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: jirap_tu ที่ 13-06-2018 22:56:29
ขอให้ทิชาไม่ต้องเจอกับความผิดหวัง เสียใจอีกแล้ว อยากให้เฮียโรมกับทิชาได้สมหวัง รักกันราบรื่นซักที ที่ผ่านมาอึปสรรคเยอะมากเหลือเกิน เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะ จะรอตอนต่อไป  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 14-06-2018 14:01:32
เหมือนบีบี๋จะฆ่าตัวตายเลย ไม่เอาแบบนี้นะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-06-2018 23:06:19
รอตอนจบอยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 00:39:34
20
~ ฟ้าหลังฝนของทิชา ~



BEE-BEE's PART





รถ Renge Rover จอดเบรคเอี๊ยดหัวทิ่มหัวตำเมื่อมาถึงอาคารศูนย์ทะเบียนของมหาวิทยาลัย ผมหันไปมองหน้าคนที่ทำให้หัวผมเกือบโขกคอนโซลรถอย่างปลงๆ ด้วยความที่เมื่อกี้ก่อนออกมาก็ยังคุยกันอยู่ดีๆ แค่สิบห้านาทีผ่านไปก็ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ไม่ว่าจะเพราะรถติด โดนมอเตอร์ไซค์แซงซ้ายหรือห่าเหวอะไรก็ช่างเถอะ คนอย่างเฮียรุจ แค่ได้ยินเสียงหมาเห่าตอนกำลังกินข้าวก็เปลี่ยนจากหน้ายิ้มเย็นยะเยือกมาเป็นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้

ผมหยิบแฟ้มใสใส่เอกสารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตรวจดูความเรียบร้อยเพื่อที่จะได้จัดการธุระให้จบๆ ไปโดยไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาอีก รู้สึกหน่วงข้างในอกนิดหน่อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า.... แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะให้มันเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากกลับลำคร่ำครวญให้ใครเขาต้องสมเพชเวทนาในความขี้ขลาดของตัวเองอีก

“ต้องให้ลงไปเป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่ต้อง.... บี๋จัดการเองได้”

เฮียรุจพยักหน้าแกนๆ แล้วดับเครื่องยนต์แทนคำตอบว่าเขาตกลงจะนั่งรออยู่บนรถ ทั้งที่มีป้ายแปะหราว่าห้ามสูบบุหรี่ภายในเขตสถานศึกษาแต่เฮียแกก็ไม่อินังขังขอบต่อคำเตือนและคำขู่ว่าจะปรับเงินใดๆ ทั้งสิ้น คว้าบุหรี่มาจุดสูบหน้าตาเฉย น้ำเสียงห้วนเอ่ยบอกกับผมก่อนที่จะได้เปิดประตูลงไป

“งั้นเสร็จแล้วก็รีบมา หวังว่าเฮียคงไม่ต้องไปตามนะ”

“ล่ามโซ่ฝังไมโครชิปเลยไหมล่ะ?”

“อย่าคิดว่าไม่กล้า”

เพราะเขาพูดแบบนั้น ผมก็เลยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ ก็แค่เปิดประตูรถแล้วปิดกระแทกดังโครม โชคดีที่เจ้าของรถไม่ตามลงมากระชากหัวผมโทษฐานเหวี่ยงไม่ดูตาม้าตาเรือ

ช่วงนี้ตามคณะต่างๆ ส่วนใหญ่สอบไฟนอลและส่งโปรเจกต์กันเรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่เหลือก็เลยดูค่อนข้างบางตากว่าปกติ ผมสูดลมหายใจลึกเข้าขณะก้าวขาขึ้นไปตามบันไดเตี้ยๆ ยกพื้นหน้าอาคาร ในมือยังคงถือเอกสาร ‘แบบคำร้องขอลาออกจากสถานภาพนิสิต’ ซึ่งกรอกรายละเอียดและลงลายมือชื่อเอาไว้เสร็จสรรพ

“ลาออกเทียบโอนหน่วยกิตไปม.อื่นเหรอคะ.... อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับทราบเรียบร้อยแล้วเนอะ?”

“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

ผมนั่งมองพื้นกระเบื้อง เช็คเฟซบุค ไอจีไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องให้.... สิ่งที่ผ่านหน้าฟีดไปก็เรตติ้งละครสงครามคิวท์บอย ความดังของนายแดน เดือนใจหมาแห่งสถาปัตย์กับคู่จิ้นคนใหม่ของมัน โฆษณาอาหารเสริมที่มีแม่เพื่อนเป็นพรีเซ็นเตอร์ สัพเพเหระใต้เตียงดาราและรอบรั้วมหาลัย แต่ที่ทำให้แปลกใจที่สุดในรอบหลายวันมานี้ก็คือไอ้ทิชายอมเปิดไอจีเป็นสาธารณะแล้ว

รูปที่ลงก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขอบคุณแฟนคลับที่ส่งของมาให้ระหว่างที่มันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แล้วก็มีลงรูปน้องมิลค์นิดหน่อยตามประสาคนอวดแมว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันใจแข็งพอจะอ่านคอมเมนท์ชาวเน็ตได้หรือยัง แต่พูดกันตามตรง เพียงแค่มันยอมเปิดตัวเองออกมาสู้กับเสียงด่าไร้สาระจากคนที่ไม่รู้จักกัน ก็แปลว่ามันเข้มแข็งและเติบโตขึ้นเยอะมากทีเดียวเชียวล่ะ

ผิดกับผมที่เลือกจบปัญหาด้วยการล้างไพ่ Set Zero ขอกลับไปเริ่มต้นใหม่เพราะมันน่าจะง่ายกว่าจมอยู่กับความรู้สึกในปัจจุบัน....

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” 

เจ้าหน้าที่คนเดิมเรียกผม ก่อนจะยื่นเอกสารเทียบโอนซึ่งผ่านการรับรองแล้วใส่แฟ้มคืนให้ 

“ไปเรียนที่ใหม่ก็ตั้งใจๆ นะ โชคดีจ้ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมหันหลังเดินออกมาจากฝ่ายทะเบียนนิสิต ถึงจะยังไม่แน่ใจนักว่าคณะใหม่ที่ตั้งใจจะสมัครนั้นจะสามารถใช้วิชาจากภาคอินทีเรียเทียบโอนได้มากน้อยแค่ไหนแต่ก็ยังดีกว่าไปเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานใหม่ทั้งหมด หากยังไม่ทันจะพ้นประตูดีก็มีคนคุ้นหน้าโผล่มาขวางไว้

“เป็นไงบ้าง น้องบี๋?”

“อ้าว พี่แจ็ค.... มาลาออกเหมือนกันเหรอ”

“ไม่ใช่เว้ย!” 

พี่แจ็ครีบย้อนเสียงหลง แต่เขาก็รู้แหละว่าผมแค่ล้อเล่น 

“เห็นเฮียรุจบอกว่าวันนี้น้องบี๋จะมามหาลัย พี่ก็เลยมารอเจอเราที่นี่”

พี่แจ็คไม่ค่อยได้เข้ามาที่เบอร์ลิคตั้งแต่ก่อนสอบไฟนอล เห็นว่ากำลังยุ่งๆ อยู่กับอะไรหลายอย่าง รวมถึงเรื่องเตรียมตัวฝึกงานช่วงปิดเทอมนี้ด้วย เฮียรุจก็เลยไม่ได้เรียกใช้พี่แจ็คบ่อยสักเท่าไรและเริ่มปั้นเด็กปีสองขึ้นมาเป็นลูกน้องคนสนิทแทน ก็เป็นธรรมดาของวงจรเด็กวิศวะฯ ในเบอร์ลิค คนเก่าถึงเวลาปลดระวางก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง งานในร้านก็มีเด็กใหม่ที่กำลังเห่อคลั่งไคล้ระบบเกียร์เข้ามาเสียบ

“เลือกมหาลัยใหม่ได้แล้วเหรอ?”

“ยังเลยพี่ แต่ก็ต้องรีบตัดสินใจแล้วล่ะ”

“อืม.... ก็เลือกดีๆ นะ อุตส่าห์มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้วทั้งที”

ผมผงกหัวรับคำ เฮียรุจบอกว่าจะรับผิดชอบค่าเรียนและค่าใช้จ่ายให้ผมระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งผมก็ตั้งใจจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและทำได้ดีกว่าเรียนออกแบบตกแต่งภายในอยู่แล้ว

“อ้อ มึคนบอกว่าอยากเจอนน้องบีบี๋ด้วยล่ะ พอดีพี่เจอเขาเมื่อวันก่อนก็เลยบอกให้ลองมาดักรอวันนี้ดู”

“ใครเหรอ?” 

พอถามออกไปแล้วถึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนรออยู่ด้านนอกประตูอาคารฝ่ายทะเบียนนิสิต ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะมีเพื่อนในภาคคนไหนอยากเจอผม โดยเฉพาะสองคนนี้ 

“เจนนี่? ฝ้าย?”

“พวกเราเอง............” 

เจนนี่เป็นคนพูดกับผม ในขณะที่ฝ้ายยังคงยืนเงียบหลบอยู่ข้างหลังเพื่อนสนิท 

“บีบี๋สบายดีใช่ไหม?”

“ก็เรื่อยๆ แหละ ไม่เจ็บไม่ไข้”

ผมตอบยิ้มๆ ไปตามมารยาท ตั้งแต่ขาหายเจ็บกลับมาเรียนและได้รู้ความจริงว่าเจนนี่กับฝ้ายเป็นคนเอาเรื่องคลิปไปพูดกลางห้องเรียนจนทำให้เพื่อนหลายคนมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผมก็ถอยห่างออกมาและแทบไม่ได้คุยกับทั้งคู่อีกเลย.... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของไอ้ทิชาก็ตอนนั้นเอง การที่เราไม่ใช่คนผิดแต่กลับต้องโดนเสียงนินทาและสายตาประณามหยามเหยียดทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลามันเป็นยังไง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรใครหรอกนะ ผมเลือกที่จะอดทนจนกว่าจะสอบไฟนอลและส่งงานเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยมาลาออกตอนจบเทอม

“ถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ?” 

อดีตเพื่อนร่วมภาควิชาเอ่ยถามเสียงแผ่ว หน้าตาสลดหดหู่ชวนให้คิดได้ว่าเจ้าหล่อนอาจจะสำนึกผิดจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไปแล้วก็ตาม 

“แล้วบีบี๋จะไปเรียนที่ไหน? มีที่เรียนใหม่แล้วเหรอ?”

“ยังไม่รู้เลย แต่ก็คงม.เอกชนในกรุงเทพฯ นี่แหละ ไม่ไปไหนไกลหรอก”

“บีบี๋ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปนั่นใช่ไหม?” 

คราวนี้ฝ้ายเป็นคนถามขึ้นบ้าง จะเรียกว่าถามเพราะอยากรู้ก็ไม่เชิง อาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปสักนิด แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่าเหตุผลที่ทั้งสองสาวมาดักรอผมก็เพราะอยากแก้ตัวให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงต่างหาก 

“พวกเราหลุดปากคุยกันเรื่องคลิปของบีบี๋กับพี่รุจให้คนอื่นได้ยินก็ใช่ อันนี้เราสองคนยอมรับ แต่เราไม่ได้ปล่อยคลิปเลยนะ.... หลังจบคาบนั้นเจนนี่ก็ลบทิ้ง ไม่ได้ส่งให้ใครเลยจริงๆ”   

“เรากับฝ้ายไม่ได้โกหกนะ ให้เราสาบานเลยก็ได้” 

เจนนี่รีบเสริมก่อนจะอธิบายเบื้องหลังความจริงอีกอย่างซึ่งผมยังไม่รู้ 

“เราขอโทษที่ตอนนั้นทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิด คะนองปากเกินไปจนไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อบีบี๋ยังไงบ้าง.... แต่หลังจากที่ทิชาเข้ามาว่าเรา บอกว่าเราทำตัวไม่สมที่เป็นเพื่อนกับบีบี๋ เราถึงได้รู้สึกตัวว่าทำผิดแล้วก็ลบคลิปไป.............”

ไอ้ทิชาอีกแล้ว.... ขนาดผมทำเรื่องแย่ๆ กับมันจนนับไม่ถ้วน ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่มันก็ยังพยายามปกป้องผมจากขี้ปากคนอื่น

นี่ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเลวของโคตรเลว สมควรจะไปให้ไกลๆ จากมัน แล้วให้ทิชาได้คบเพื่อนที่ดีกว่าไอ้ตัวขี้อิจฉาแบบผม

“ไม่เป็นไร.........” 

ผมยิ้มรับคำขอโทษจากสองสาว ไม่อยากถือโทษโกรธเคืองอะไรใครทั้งสิ้น เพราะถึงยังไงตัวตนของผมในชีวิตของคนเหล่านี้ก็กำลังจะจบลงอยู่แล้ว 

“อันที่จริงเราก็ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปเสียทีเดียวหรอก มันหลายๆ อย่าง หลายๆ เหตุผลรวมกันน่ะ เราไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกัน.... แต่เอาเป็นว่าเจนนี่กับฝ้ายไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรกับเราแล้วล่ะ เราโอเค”

เจนนี่กับฝ้ายเออออตามด้วยความโล่งใจเมื่อผมไม่ได้ต่อว่าถึงอดีตที่ผ่านเลยไปจนแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมกำลังจะเดินจากไปอยู่แล้วแต่พอดีนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญก็เลยต้องหันกลับมา แน่นอนว่าทำเอาสองคนนั้นสะดุ้งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงนึกว่าผมจะย้อนมาเอามีดแทงเรียงตัวล่ะมั้ง

“ยังมีอีกเรื่องที่เราอยากจะขอร้องพวกเธอก่อนไป ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงล่ะก็ พอจะช่วยเราหน่อยได้ไหม?”

“อะ....อะไรเหรอ?”

เจนนี่ย้อนถาม แม้จะหวาดๆ แต่ก็ดูมีวี่แววเต็มใจอยากช่วยอยู่

“เทอมหน้าโน้น ทิชามันน่าจะกลับมาเรียนได้แล้ว พวกเธอก็อย่าไปนินทาหรือพูดอะไรไม่ดีถึงมันอีกเลยนะ.... คือหลายๆ อย่างที่เราเคยเล่าให้เจนนี่กับฝ้ายฟังก็ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด เรายอมรับว่าทำไปเพราะโกรธแล้วก็อิจฉามัน จริงๆ แล้ว ทิชาไม่ได้เป็นคนแบบที่เราว่าหรอก” 

ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ผมจะทำเพื่อไอ้ทิชาได้ ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ขอให้มันได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ฝันมาตลอดก็แล้วกัน 

“ทิชามันเป็นเพื่อนที่ดีนะ เราต่างหากที่เลวใส่มันมาตลอด.............”

“อืม พวกเราเข้าใจแล้ว”

“งั้นก็โชคดีนะ บ๊ายบาย”

ผมโบกมือให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินออกมาจากอาคารศูนย์ทะเบียนนิสิตด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิม ต่อให้มันเทียบกับสิ่งที่ผมเคยทำลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ชดเชยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ให้กับเพื่อนรักบ้าง.... แม้จะไม่ทำให้ผมดูเป็นคนดีขึ้นสักเท่าไร หากก็ช่วยให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวจนเกินไปนัก

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ น้องบี๋” 

คนที่เดินตามผมมาจนเกือบถึงลานจอดรถหน้าตึกก็คือพี่แจ็ค ดูท่าทางเขาเองก็คงมีเรื่องอยากคุยกับผมเหมือนกัน 

“รีบกลับเหรอ เพิ่งมาได้แปบเดียวเองนี่?”

“โน่นไง” 

ผมชี้ให้พี่แจ็คดูว่ารถ Renge Rover สีดำจอดอยู่ข้างหน้าห่างไปไม่กี่สิบเมตร และคนที่รีบก็ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นลูกพี่สุดที่เคารพของเขาต่างหาก

“ประมาณอาทิตย์หน้าพี่ต้องเริ่มไปฝึกงานแล้ว คงไม่ได้ไปที่ร้านบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีอะไรไม่โอเคก็โทรมาหาพี่ได้เสมอนะ”

พี่แจ็คก็ยังคงเป็นพี่แจ็คคนดีคนเดิม คอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งๆ ที่ผมก็สารพัดจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาไม่เว้นแต่ละวัน

“พี่ไปฝึกงานให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้.... บี๋ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ” 

ผมถือวิสาสะตบบ่ารุ่นพี่อย่างปีนเกลียว ยิ้มให้เขาเห็น หัวเราะให้เขาดู พี่แจ็คจะได้ไม่ต้องมากังวลกับตัวภาระซึ่งรังแต่จะคอยสร้างความเดือดร้อนให้เขาเปล่าๆ 

“แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่แจ็คมากนะ พี่แม่งดีกว่าพี่ชายแท้ๆ ของบี๋เสียอีก”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยน่า”

“เฮียรุจก็ใจเย็นลงเยอะแล้ว ไม่ขี้เมาเหมือนแต่ก่อน พอไม่เมาก็ไม่ทะเลาะกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็น่าจะพออยู่ด้วยกันรอดแหละมั้ง” 

ไม่ใช่แค่พี่แจ็คที่ยินดีเมื่อรู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายของผมกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดปริ่มในอกเล็กๆ ไม่ได้เมื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ แล้ววันต่อๆ ไปก็จะต้องดีมากยิ่งขึ้นไปอีก.... ถึงจะฟังดูเพ้อเจ้อไม่ใช่น้อย หากผมก็ต้องพยายามปลอบใจตัวเองเช่นนั้นเอาไว้ก่อน 

“แล้วเดี๋ยวพอจัดการเรื่องที่เรียนใหม่เสร็จ บี๋ว่าบี๋จะลองกลับบ้านดูล่ะ.... ก็ไม่รู้ว่าจะโดนไล่ตะเพิดออกมาหรือเปล่านะ แต่บี๋ก็อยากขอโทษป๊ากับม๊าต่อหน้า เผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น”

“เออ พี่ก็คิดว่ามันจะต้องดีขึ้นแน่.... สู้ๆ นะเว้ย”

ได้ฟังแค่นั้น ผมก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นกอง แต่ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณอีกรอบ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แทบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเจ้าของสายเรียกเข้าคือใคร


‘เสร็จหรือยัง จะยืนคุยกับไอ้ห่าแจ็คอีกกี่ชาติ ห๊ะ!?’


“พ่อโทรตามแล้วว่ะพี่ รอนิดรอหน่อยทำบ่น!”

“งั้นน้องบี๋ก็รีบไปเหอะ.... ใกล้เที่ยงแล้ว สงสัยเฮียแกจะโมโหหิว”

พี่แจ็คพูดกลั้วหัวเราะตามประสาคนที่รู้จักนิสัยใจคอรุ่นพี่ตัวเองดี ก็อย่างที่เขาเคยเตือนผมมาตลอดว่าถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยในเบอร์ลิคก็อย่าไปแหย่รังแตน โดยเฉพาะแตนระดับบอสที่ชื่อรุจ อารมณ์ก็ดีแล้วไป แต่ถ้าอารมณ์เสียเมื่อไรก็ได้ฉิบหายวายวอดกันเป็นแถบๆ

“บี๋ไปนะ ไว้เจอกัน”

หลังจากนั้น ผมก็เดินกลับไปขึ้นรถ ฟังเสียงผู้ชายที่บอกว่าจะดูแลผมบ่นอีกนิดหน่อยก่อนที่รถคันใหญ่สีดำจะเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัย

ผมแอบชำเลืองมองสถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและบทเรียนราคาแพงค่อยๆ ห่างออกไปด้วยความรู้สึกวูบโหวง ราวกับว่าหัวใจถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่.... หัวสมองพลันนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ผมเจอไอ้ทิชาตอนประชุมรวมนิสิตภาคปีหนึ่ง ครั้งแรกที่เริ่มคุยและคบกันเป็นเพื่อนจริงๆ จังๆ ก็ตอนเทอมสองที่ผมจิ๊กยางลบมันไปใช้ระหว่างเรียน ผมกับมันมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันเยอะมากนะ แต่ก็น่าเสียดายตรงที่ผมทำมันพังและไม่สามารถเอากลับคืนมาได้

แต่เพราะชีวิตยังไม่ได้จบแค่นี้ ที่มหาวิทยาลัยใหม่ ผมก็คงจะมีเพื่อนใหม่ และได้เริ่มสร้างความประทับใจและความทรงจำใหม่ๆ ตามมา

ผมรู้แล้วว่ากับคนที่เป็นเพื่อนกัน ควรจะต้องปฏิบัติและรู้สึกต่อกันอย่างไร


.


.


.


ผมสัญญาว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำแบบเดิมอีก....

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 00:43:52
TISHA's PART



ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ส่งเสียงดังก้องอยู่ในรูหูซึ่งอื้ออึงเพราะความดันอากาศ ใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นส่ำนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้องแยกจากลูกสาวสุดซึ่งถูกโหลดเป็นสัมภาระพิเศษอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเจ้านกยักษ์ลำนี้.... จะหาว่าบ้าก็ได้นะ แต่ผมไม่ไว้ใจให้ยัยมิลค์อยู่ตามลำพังโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้เลย ถึงพี่โรมจะพยายามหาข้อมูลแถมยังช่วยปลอบผมว่ายัยมิลค์จะปลอดภัยแน่ๆ สายการบินจะต้องดูแลลูกผมเป็นอย่างดี แต่ใจคนมันห่วงก็พาลวิตกจริตไปร้อยแปด

จะให้พี่โรมขับรถมาจากกรุงเทพฯ ผมก็ดันกลัวไม่กล้านั่งรถออกต่างจังหวัด ครั้นจะให้ทิ้งลูกสาวไว้โรงแรมแมวหลายๆ วัน พี่โรมก็บอกว่าให้พามาเที่ยวด้วยกันดีกว่า ผลสรุปก็คือเราต้องเอายัยมิลค์ขึ้นเครื่องบินมาด้วย

และทันทีที่ออกมาถึงอาคารผู้โดยสารได้ ผมก็รีบดิ่งตรงไปยังห้องรับสัมภาระพิเศษเพื่อเอาตัวยัยมิลค์คืน ข้างในนั้นมีกรงน้องหมาน้องแมววางอยู่มากพอควรเลยทีเดียว.... แสดงว่าคนอื่นๆ เขาก็คงเดินทางกับสัตว์เลี้ยงจนเป็นเรื่องปกติสินะ?

“มิลค์ เป็นยังไงบ้าง? กลัวไหมเนี่ย?” 

ผมมองลอดซี่ประตูกรงเพื่อดูสารทุกข์สุกดิบลูกสาวว่ายังปลอดภัยดีหรือเปล่า พอเห็นดวงตากลมโตใสแจ๋วสีฟ้าจ้องกลับมาถึงได้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง

“ดูท่าทางไม่กลัวเลยนะครับ ส่วนใหญ่เวลามีน้องหมาน้องแมวโหลดขึ้นเครื่องมา ถ้าไม่ได้ให้ยาซึมมาจากต้นทางก็จะตื่นๆ กัน แต่น้องสีขาวตัวนี้นั่งเฉยมาก เก่งเชียว.... พาน้องขึ้นเครื่องบ่อยเหรอครับ?”

“ครั้งแรกครับ จริงๆ ก็เป็นห่วงแทบแย่แต่ก็อยากพามาเที่ยวด้วยกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าน้องแมวสุขภาพดีก็ไม่เคยปัญหาอะไรนะ ผู้โดยสารที่พาน้องไปเที่ยวไกลๆ นั่งเครื่องหลายชั่วโมงก็มีเยอะเลย” 

เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารมาให้ผมเซ็นชื่อ เป็นอันเสร็จขั้นตอนรับตัวสัตว์เลี้ยงออกจากเขตสนามบิน ดูท่าทางเขาเป็นคนรักสัตว์และอัยธยาศัยดีมากทีเดียว ก็สมควรแล้วที่ได้มาทำงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับบรรดาลูกรักต่างสายพันธุ์ของมนุษย์ 

“เสร็จแล้วครับ พาน้องแมวเที่ยวทะเลให้สนุกนะ.... เกาะสมุยยินดีต้อนรับครับ”

ผมยิ้มรับบอกขอบคุณแล้วหิ้วกรงยัยมิลค์เดินออกมา พี่โรมก็จัดการเอากระเป๋าโหลดของพวกเราใส่บนรถเข็นจนครบเรียบร้อยพอดี สัมภาระคนน่ะไม่เยอะเท่าไร แต่ของใช้ส่วนตัวยัยมิลค์ ทั้งอาหาร ชามข้าวชามน้ำและกะบะทรายใหม่เอี่ยมพร้อมถุงทรายสำหรับพอใช้ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก็เล่นเอาแด๊ดดี้สายเปย์ต้องจ่ายค่าน้ำหนักเพิ่มเป็นหลักพันเลยทีเดียว


“คุณโรมครับ.... ทางนี้”

ยืนรออยู่ไม่ถึงสิบนาที ผู้ชายอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างสันทัดผิวเข้มอย่างคนปักษ์ใต้ก็มายืนโบกมือเรียกด้วยสำเนียงทองแดง ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนขับรถของรีสอร์ทที่เรากำลังจะไปพัก แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย

“คุณโรมไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายปี นึกว่าจะจำผมไม่ได้เสียแล้ว”

“จำได้สิครับ.... พี่ป๋องไงจะใครล่ะ”

พี่โรมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ เขาชอบตามป๊าม๊าไปตรวจความเรียบร้อยในรีสอร์ท ก็เลยรู้จักสนิทสนมกับคนงานเก่าแก่ พี่คนนี้ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

“โอ๊ะๆๆ ไม่ต้องครับคุณทิชา เดี๋ยวผมยกกระเป๋าให้เอง.... คุณขึ้นรถเถอะครับ ผมเปิดแอร์แล้วก็เตรียมผ้าเย็นกับน้ำใบเตยเอาไว้ให้แล้ว เชิญครับๆ”

“ทิชา มาทางนี้มา”

ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทส่งผมขึ้นรถนั่งเบาะหลังกับยัยมิลค์ ส่วนตัวเขาอยู่ช่วยพี่ป๋องยกกระเป๋าก่อนแล้วจึงค่อยตามมานั่งด้วยกัน.... ผ้าเย็นกับน้ำใบเตยหอมๆ ทำเอาหายเพลียไปได้มาก บนรถตู้วีไอพีไม่มีแขกคนอื่นนั่งอยู่เลย ผมจึงอนุมานเอาเองว่าป๊าม๊าจัดรถคนนี้มาเพื่อรับผมกับพี่โรมและยัยมิลค์โดยเฉพาะ แถมพี่ป๋องคนขับรถยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามผมเป็นอย่างดีทั้งที่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน เรียกได้ว่าบริการทุกระดับประทับใจตั้งแต่เท้าเหยียบเกาะสมุยเลยเชียว

รีสอร์ทของบ้านพี่โรมตั้งอยู่บนหาดเฉวงน้อย ระหว่างทางที่รถวิ่งก็พอมองเห็นทะเลอยู่ไกลๆ ผมแนบหน้าจนแทบจะติดกับกระจกรถเพื่อดูทิวทัศน์ให้เต็มสองตา.... ก็ไม่อยากทำท่าตื่นเต้นเหมือนเด็กเล็กๆ หรอกนะ แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกมาเปิดหูเปิดตาหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายเดือนก่อน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นรีสอร์ทห้าดาวชื่อดังระดับประเทศ ใจมันก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้

“สวยใช่ไหมล่ะ?”

“อื้ม ชาไม่เคยเห็นทะเลสวยแบบนี้มาก่อนเลย”

ที่พูดนี่ไม่ได้โกหกเอาใจใครเลยนะ ด้วยความที่แต่ไหนแต่ไร แม่ไม่เคยว่างพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดเลยสักครั้ง เวลาไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนส่วนมากก็เป็นพวกแคมป์ปิ้งอะไรทำนองนี้ ปิดเทอมถ้าไม่นอนแกร่วอยู่บ้านเฉยๆ ก็ถูกส่งไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์กับออสเตรเลียซึ่งชายหาดก็ไม่ได้สวยเวอร์วังอะไร.... นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมจะได้เที่ยวสัมผัสธรรมชาติ ดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลให้เต็มปอดและลงเล่นน้ำจนตัวเปื่อย

“นี่ยังแค่จิ๊บๆ นะ วิวตรงบ้านพักรีสอร์ทที่เราจะไปสวยกว่านี้อีกหลายเท่า”

ดูดวิวเพลินๆ ได้อีกประมาณยี่สิบนาที รถตู้ก็มาจอดลงตรงบริเวณด้านหน้าอาคารชั้นเดียวเปิดโล่งสไตล์กึ่งโมเดิร์นผสมโคโลเนียล ตัวตึกเป็นสีขาวครีมตัดกับโครงไม้สานเป็นลวดลายสีน้ำตาลให้อารมณ์เหมือนบ้านขุนนางในสมัยอาณานิคม ดูเหมือนว่านี่จะเป็นล็อบบี้สำหรับให้แขกเช็คอินเข้าพัก แต่แค่นี้ก็ทำเอาผมอ้าปากค้างในความสวยอลังการของสิ่งก่อสร้างแล้ว....


นึกถึงที่พี่โรมบอกว่าอยากให้ผมมาช่วยงานออกแบบตกแต่งภายในหลังเรียนจบ เผื่อว่าจะมีรีโนเวตอะไรใหม่ๆ ผมกล้าพูดเลยว่าผมไม่เก่งพอจะทำงานสเกลใหญ่ขนาดนี้ให้เขาได้แน่ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าทีมมัณฑนากรที่ออกแบบงานภายในรีสอร์ทนี้ต้องมีฝีมือและค่าตัวระดับต้นๆ ของเมืองไทย แล้วหิ่งห้อยอย่างผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปแข่งกับแสงอาทิตย์ล่ะ

และถึงพี่โรมจะโม้ให้ฟังว่าเป็นรีสอร์ทห้าดาว หากผมก็ไม่คิดว่ามันจะไฮเอนด์ห้าดาวบวกๆๆๆ เบอร์นี้ แค่มองทะลุจากตรงนี้ออกไปก็เห็นผืนน้ำสีเทอร์ควอยซ์ทอดตัวยาวอยู่เบื้องล่าง ผมก็แทบจะน้ำตาไหลร้องไห้โฮเพราะความงดงามของทะเลใต้อยู่รอมร่อ อยากจะหันไปบอกพี่โรมว่าไม่ต้องเข้าห้องพักก็ได้นะ ให้นอนมองทะเลจากตรงนี้ทั้งวันผมก็ยอม

ยังเหลียวมองสถานที่ได้ไม่ครบสามร้อยหกสิบองศา ใครบางคนซึ่งดูคล้ายจะเป็นผู้จัดการรีสอร์ทก็เดินเข้ามาหาพี่โรมแล้วทักทายอย่างรู้จักมักคุ้นกันดี


“สวัสดีครับ คุณโรม.... ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

“สวัสดีครับ พี่จอม” 

ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแต่กลับต้องเป็นฝ่ายรับไหว้เสียอย่างนั้น แต่ก็เพราะพี่โรมเป็นลูกชายเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ล่ะนะ 

“นี่ทิชา แฟนผมเอง.... ผมตั้งใจจะพาเขามาเที่ยว ยังไงก็ต้องขอรบกวนพี่จอมหน่อยนะครับ”

“ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณทิชา.... แหม แฟนคุณโรมนี่น่ารักไม่ใช่เล่นนะเนี่ย ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะเลย”

“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

ผมว่าไอ้ประโยคเมื่อกี้ ผมน่าจะเป็นคนพูดมากกว่าไม่ใช่เรอะ แต่ไหงพี่โรมดันพูดแทนผมเสร็จสรรพ มิหนำซ้ำยังเอามือโอบไหล่ผมอวดคุณผู้จัดการไปอีก ไหนเพิ่งบอกอยู่แหมบๆ ว่าผมไม่ได้น่ารักไง

“พี่ให้เด็กๆ จัดห้อง Ocean view beach front pool villa A9 ให้คุณโรมกับคุณทิชานะครับ.... ห้องนั้นอยู่ริมสุดของไพรเวทโซนเลย ด้านหน้าบ้านพักมีหาดส่วนตัวด้วย จะได้พาน้องแมวออกมาเดินเล่นได้เต็มที่”

คุณพี่จอมผายมือไปตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ผมก็ชะเง้อมองตามจนมองเห็นหลังคาพูลวิลล่าสุดหรูอยู่ลิบๆ หูก็คอยฟังสิ่งที่ผู้จัดการบรีฟเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรีสอร์ท 

“พวกเรื่องห้องอาหารกับเวลาบริการบุฟเฟ่ต์ คุณโรมคงทราบดีอยู่แล้วเนอะ.... แม่บ้านจะเข้าไปเทิร์นดาวน์ที่นอนให้ตอนประมาณหนึ่งทุ่ม ถ้าอยากจะจองทริปไปดำน้ำ นวดสปาหรือต้องการบริการอะไรเพิ่มเติมก็บอกกับน้องบัตเลอร์ที่ดูแลห้อง A9 ได้เลย หรือโทรมาแจ้งที่ล็อบบี้ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะช่วยดูให้”

“นานๆ ผมจะได้มาเป็นลูกค้าเองสักที ฝากพี่จอมด้วยนะครับ”

“คุณวัฒน์กับคุณไหมแก้วกำชับมาเป็นพิเศษว่าให้ดูแลทริปนี้ดีๆ รับรองว่าคุณโรมกับคุณทิชาจะต้องประทับใจแน่.... พักผ่อนให้เต็มที่เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

รถกอล์ฟขับพาเราสองคนกับอีกหนึ่งตัวไปส่งบ้านพักโซนไพรเวท แน่นอนว่าความเป็นส่วนตัวที่สุดจะต้องแลกกับการนั่งรถมาจนเกือบสุดอาณาเขตรีสอร์ท.... ผมนั่งตะลึงตื่นตาตื่นใจไปตามประสาคนเรียนทางด้านอินทีเรีย ระหว่างทางต้องผ่านสระว่ายน้ำ ห้องอาหาร ห้องฟิตเนสแล้วก็บ้านพักแบบอื่นๆ ที่ทำให้ผมอดทึ่งในการออกแบบตกแต่งอันสุดแสนจะลงตัวไม่ได้ ข้างนอกยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าห้องที่ผมกับพี่โรมและยัยมิลค์จะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจตลอดหนึ่งสัปดาห์นับจากนี้จะสวยขนาดไหน

“ถึงแล้วครับ.... อีกสักพักกระเป๋าจะตามมา เชิญเข้าข้างในก่อนได้เลยครับ”

ผมแทบอยากร้องกรี๊ดออกมาดังๆ เพราะบ้านพักพูลวิลล่าที่ตัวเองเดินเข้ามานั้นเรียกได้ว่าสวยเนี้ยบเรียบหรูหมดจดทุกตารางนิ้วด้วยสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล ชุดรับแขกเป็นโซฟาหนังสีเข้มพร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงครบชุดอยู่ทางซ้ายมือ ขยับมาหน่อยก็เป็นส่วนเพนทรีครัวกับมินิบาร์ขนาดย่อม ด้านขวาคือห้องน้ำซึ่งกว้างพอๆ กับห้องนอนที่บ้านผม มีอ่างจากุซซี่กับฝักบัวเรนชาวเวอร์กับอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีขาว.... แต่ที่เลิศที่สุดก็คือเตียงนอนคิงไซส์ที่ตั้งอยู่หน้าประตูกระจกซึ่งสามารถเปิดออกสู่ระเบียงด้านนอก มองเห็นทะเลและดูพระอาทิตย์ขึ้นได้จากบนที่นอน แล้ววิวราคาหลักร้อยล้านก็สวยสมกับที่ลูกชายเจ้าของรีสอร์ทโม้เอาไว้จริงๆ

ผมปล่อยมิลค์ออกจากกรง มันวิ่งปรู๊ดออกมาสำรวจดมตรงนั้นตรงนี้อย่างร่าเริง ดูท่าทางตื่นเต้นพอกันกับผมนี่แหละ ในขณะที่พี่โรมเดินไปเปิดประตูระเบียงรับลมเย็นๆ เจือปนด้วยกลิ่นน้ำทะเลให้พัดเข้ามาในห้องพัก.... พอเดินตามร่างสูงออกไปก็เจอกับสระน้ำไร้ขอบ Infinity Edge Pool ความยาวประมาณเกือบๆ สิบเมตร มีโซฟาแบบเดย์เบดสำหรับนอนพักผ่อนอาบแดดตากลม แล้วก็มีโต๊ะกินข้าวเอาท์ดอร์กับเตาบาร์บีคิวให้ด้วย

ทิวทัศน์ตรงหน้าคือท้องฟ้าสว่างสดใสตัดกับทะเลสีฟ้าอมเขียวเหมือนอัญมณีทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ผมยังคงจ้องมองทุกสิ่งด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะให้มายืนอยู่ที่นี่.... มันสวยมากเสียจนผมกล้าพูดดังๆ เลยว่าโชคดีเหลือเกินที่ไม่เอาชีวิตไปทิ้งข้างถนนเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงได้กลายเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะความเสียดายที่ไม่ได้มาเที่ยวก่อนตายแน่ๆ

“ทิชาชอบที่นี่หรือเปล่า?”

“ไม่ได้แค่ชอบนะ แต่ชอบมากๆ เลยล่ะ.... ชอบที่สุดของที่สุด” 

ผมตอบด้วยน้ำเสียงเพ้อเหมือนกำลังฝันอยู่ 

“ไม่เห็นพี่โรมจะเคยบอกชาเลยว่ารีสอร์ทที่สมุยสวยขนาดนี้ บ้านพักก็สวย ทะเลยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ให้อยู่สักสามเดือนก็ยังได้นะเนี่ย”

“ถ้าทิชาชอบ พี่ก็ดีใจ”

พี่โรมยิ้มพลางยื่นมือมาโอบเอวผม ผมเอนหัวพิงไหล่หนาก่อนที่เราจะไปนั่งซบอิงแอบกันบนเดย์เบดที่ริมระเบียง

เรื่องของเรื่องคือทริปนี้เกิดขึ้นเพื่อฉลองที่พี่โรมเพิ่งฝึกงานเสร็จ เรามีเวลาอีกนิดหน่อยประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะเปิดภาคเรียนอีกครั้ง ป๊ากับม๊าก็เลยแนะนำแกมบังคับให้พี่โรมไม่ต้องกลับบ้านในตัวเมืองสุราษฎร์ แต่ให้มาพักผ่อนที่เกาะสมุยกับผม เหตุผลหลักๆ ก็เพราะเดินทางง่ายมีสนามบินอยู่บนเกาะ ไม่ต้องลำบากนั่งรถต่อเรือเป็นชั่วโมง และตอนนี้ผมก็เดินเหินได้คล่องมากขึ้นแล้วหลังจากทำกายภาพบำบัดตามที่คุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด สามารถเดินเล่นในรีสอร์ทได้สบาย

พี่โรมเองก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ฝึกงานสองเดือนกว่าแถมยังต้องกลับมาอยู่กับผมทุกวันก็ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย แต่พอรู้ว่าจะต้องมาสมุย เขาก็ยังมิวายทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี จัดนู่นเตรียมนี่เพราะกลัวว่าผมจะเที่ยวไม่สนุก.... ถ้าเป็นตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ผมคงจินตนาการไม่ออกเลยว่ารุ่นพี่วิศวะฯ สายโหดอย่างนายโรม อนุวัฒน์วงษ์จะกลายมาเป็นพ่อบ้านและแฟนหนุ่มเกรดพรีเมียม เขาดูแลผมชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง ทีแรกผมก็แอบระแวงหน่อยๆ ว่ามันเป็นโปรโมชั่นปลอบใจคนเจ็บหรือเปล่า แต่ผ่านมาร่วมครึ่งปีแล้วหลังจากอุบัติเหตุ พี่โรมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงท่าทีไปเลย มีแต่จะยิ่งโอ๋ผมมากขึ้นด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้จะเข้าข้างตัวเองเลยนะ แต่คงไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะบอกว่าพี่โรมเขารักผมจริงๆ น่ะ....?



“สระว่ายน้ำใหญ่ตรงโน้นก็สวยเนอะ สไลเดอร์นั่นเขาให้ผู้ใหญ่เล่นได้หรือเปล่า.... ชาอยากลองเล่นดูจัง”

ผมชี้ชวนให้ร่างหนามองไปอีกฝั่งซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ท เห็นสระว่ายน้ำที่เราเพิ่งนั่งรถผ่านมาเมื่อกี้มีทั้งสไลเดอร์อันใหญ่ สปริงบอร์ด แถมยังมีสระเล็กสำหรับนวดตัวด้วยพลังน้ำอีกต่างหาก อารมณ์อยากเล่นเหมือนเด็กๆ ก็แผ่ซ่านมือไม้สั่นจนต้องรีบหันไปอ้อนขอผู้ปกครองทันที

“แต่ตรงนั้นคนเยอะนะ” 

พี่โรมก็ปฏิเสธกลับมาทันทีเช่นกัน เร็วจนผมสงสัยว่าจะไม่เสียเวลาคิดก่อนตอบสักหน่อยเหรอ 

“ไม่ต้องไปหรอก ถ้าจะเล่นน้ำสระ เล่นหน้าห้องเรานี่แหละ เป็นส่วนตัวดีด้วย”

“ก็ไม่ได้อยากส่วนตัว อยากเล่นสไลเดอร์” 

ผมยังคงง้องแง้งจะเอาให้ได้อย่างใจ เพราะสระหน้าห้องถึงจะมองเห็นวิวทะเลระหว่างแช่น้ำได้แต่มันก็เล็ก แถมไม่มีเครื่องเล่นชวนให้อะดรีนาลีนหลั่งอีกต่างหาก

พี่โรมมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับคุณพ่อหัวโบราณเวลาที่เห็นลูกสาวใส่เสื้อครอปเอวลอยกับกระโปรงสั้นออกไปเที่ยวสยาม ก่อนที่เขาจะยอมคายเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่ยอมให้ผมออกไปเล่นสระว่ายน้ำส่วนกลางของรีสอร์ท

“ก็ถ้าทิชาจะลงสระใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำ พี่ไม่โอเค”

ผมนิ่งไปสิบวิ ทำหน้าเหยเกคล้ายเพิ่งโดนเอาบอระเพ็ดยัดปาก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นตัวเองแก้ผ้า ผมก็ไม่ได้มีหน้าอกตูมๆ กับหอยกาบสามเหลี่ยมตรงหว่างขาสักหน่อย แล้วพี่โรมมาเมาดิบอะไรแถวนี้เนี่ย

“พี่โรม.... ชาเป็นผู้ชายนะ”

“ถึงจะเป็นนายทิชนันท์ แต่นั่นก็แค่ในบัตรประชาชน.... แฟนพี่ตัวเล็ก ขาว สวยด้วย จะไปถอดเสื้อเดินโทงๆ ข้างนอกห้องได้ยังไง พี่ไม่อนุญาต” 

และนั่นก็คือเหตุผลก็ของคนขี้หวง น้ำเสียงดุๆ หน้าตาซีเรียสแบบนี้ก็เท่ากับบอกชัดเจนเลยว่านี่เป็นคำสั่งจากผู้ปกครอง ไม่ใช่การขอร้องซึ่งผมสามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ   

“วันที่ไปดำน้ำเที่ยวเกาะก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะ ใส่เสื้อสีขาวบางๆ ก็ไม่ได้.... พี่หยิบเสื้อแขนยาวสีดำมาให้แล้ว ถ้าจะลงทะเลก็ใส่ตัวนั้นแหละ”

“โอ๊ย อยากจะบ้า!”

นอกจากจะอยากเป็นบ้าแล้วยังอยากทึ้งหัวตัวเองเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด ผมขึ้นเสียงสูงอย่างขัดใจพลางเบือนหน้าหันหนีไปอีกทาง แก้มป่องพองลมอมอากาศเหมือนปลาปักเป้าเกยตื้น

“ก็แฟนทิชาขี้หึงไง ขี้หวงด้วย” 

พี่โรมง้อผมด้วยการตามมาหอมแก้มป่องๆ สองแขนแข็งแรงกอดผมแน่นอย่างกับเห็นเป็นหมอนข้าง ก่อนจะยกตัวผมให้ขึ้นมานอนหนุนอกเขา ดวงตาสีเข้มจ้องมองมาในขณะที่กลีบปากหยักได้รูปเผยรอยยิ้มร้ายแต่ก็สุดแสนจะหวานละมุนไปพร้อมๆ กัน 

“พี่อุตส่าห์ทะนุถนอมแม่แมวของพี่มาอย่างดี ไม่อยากแบ่งให้ใครมอง ถ้าเก็บไว้ดูคนเดียวทั้งวันทั้งคืนได้ก็คงทำไปแล้วเนี่ย”

“เวอร์อะ เลี่ยนด้วย”

ถ้าเป็นเวลาอื่น ผมคงจะละลายตายคาอกพี่โรมไปแล้วล่ะ แต่พอดีตอนนี้ผมกำลังหมั่นไส้ที่แฟนขี้หวงบังอาจขัดขวางไม่ให้ผมลงไปเล่นสไลเดอร์

ผมลุกขึ้นยืนมองพี่โรมซึ่งยังคงแผ่หลาเอกเขนกอยู่บนโซฟาเดย์เบด เสื้อยืดตัวโคร่งถูกถอดออกแล้วเหวี่ยงลงพื้น ตามติดด้วยกางเกงขาสามส่วน เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในแบบฮาล์ฟบรีฟ.... ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่ค่อยต่างจากกางเกงว่ายน้ำสักเท่าไรมั้ง

“ไม่ให้ถอดเสื้อข้างนอกห้อง แต่ถ้าถอดตรงนี้ พี่โรมคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

ผมยิ้มยั่วร้ายกว่าที่อีกฝ่ายยิ้มให้ผมเมื่อกี้สักสิบเท่า เห็นพี่โรมมองตาค้างก็ยิ่งแอบสะใจเบาๆ เพราะปกติเขาจะได้เห็นผมแก้ผ้าหมดแค่บนเตียงตอนกลางคืน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าร่างเปลือยท้าแดดท้าลมของผมจะทำให้เขาตื่นเต้นได้มากน้อยแค่ไหน 

“ขาวมากไหม? เห็นแล้วเป็นไงบ้าง?”

บางคนอาจจะชอบหุ่นแบบที่มีกล้ามเนื้อแน่นๆ ผิวสีแทนดูสุขภาพดี แต่ผมรู้ว่าพี่โรมชอบอะไรที่ดูบอบบางให้เขาได้ปกป้องมากกว่า.... แล้วผมก็ดันมีครบทุกอย่างที่เขาชอบเสียด้วยสิ

ยั่วได้ที่แล้วผมก็เดินหนีลงสระ อวดแขนขาเรียวบางผ่านม่านน้ำกระเพื่อมไหว หากก็ยังไม่เลิกส่งสายตาเชิญชวนให้ก็คนที่เอาแต่จ้องจนน้ำลายแทบจะไหล

“เห็นแล้วทำเอาอยากลงไปเล่นน้ำด้วยคนเลย”

แค่นั้นแหละ พี่โรมก็ถอดเสื้อกับกางเกงแล้วกระโดดลงสระตามผมมา แต่แทนที่จะดำผุดดำว่ายไปตามเรื่องก็กลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างผม สบโอกาสเข้าหน่อยก็รวบตัวผมเข้ามุมติดขอบสระ ประกบจูบร้อนแรงยิ่งกว่าแสงแดดยามบ่ายลงมาแบบไม่เว้นจังหวะให้หายใจหายคอ

ปลายลิ้นอุ่นชื้นสอดเข้ามาในโพรงปาก ตะโบมจูบไม่ผ่อนแรงราวกับว่าผมคือน้ำหยดแรกที่เขาได้ดื่มหลังพ้นจากวิกฤตกลางทะเลทราย มือหนาฟอนเฟ้นไปทั่วผิวกายทั่วทุกตารางนิ้วจนเนื้อตัวผมร้อนผ่าวทั้งที่ยังอยู่ใต้กระแสธารเย็นฉ่ำ รสชาติหวานปะแล่มกระจายตัวจากต่อมรับรสพุ่งตรงขึ้นสู่หัวสมองอันอื้ออึงมึนเมา จูบของพี่โรมไม่ต่างจากเหล้าฤทธิ์แรงซึ่งสามารถทำให้ผมสูญเสียสติสัมปชัญญะและการควบคุมตัวเองได้ทุกครั้ง.... ก็รู้ว่ามันยากที่จะต้านทาน เหมือนยาเสพติดซึ่งเมื่อลองแล้วก็ยิ่งอยากเสพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็แข็งใจเวลาที่ถูกเขาหลอกล่อไม่ได้จริงๆ

เมื่อไรที่ปฏิเสธ.... นั่นก็แปลว่าปากไม่ตรงกับใจ

หรือไม่ก็เล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการมากยิ่งขึ้นหลายเท่า


“อื้อ.... ไม่เอานะ ไหนว่าจะเล่นน้ำไง”

ผมแกล้งบอกเสียงพร่า ตอนนี้พี่โรมกำลังไซ้ซอกคอผม หัวเข่าสอดเข้ากลางหว่างขาถูไถขึ้นลงอย่างจงใจจะปลุกอารมณ์ แน่นอนว่าผมจะต้องปวกเปียกอ่อนระทวยไปแล้วเพราะความช่ำชองและลามกเก่งของคนตรงหน้า

“เปลี่ยนใจแล้ว เมียพี่น่าเล่นกว่าตั้งเยอะ”

ไม่พูดเปล่า แต่ปลายนิ้วซุกซนยังกดลงบนยอดอกผม คลื่นความเสียวแล่นจี๊ดทำเอาผมสะดุ้งเหมือนปลาที่โดนเบ็ดกระตุกแรงๆ 

“ว่าไง.... จะยอมให้เล่นไหม?”

แล้วผมจะพูดอะไรได้ล่ะ นอกเสียจากพยักหน้ารับก่อนที่พี่โรมจะอุ้มผมขึ้นไปนั่งบนขอบสระ เมื่ออยู่บนบกถึงได้เห็นว่ายอดอกผมบวมเป่งด้วยน้ำมืออีกฝ่าย เช่นเดียวกับส่วนกลางลำตัวซึ่งโป่งนูนจากการถูกเล้าโลม

“เล่นด้วยก็ได้........เบื่อจะแย่ มีแฟนโตแต่ตัว ชอบชวนเล่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ได้”

“ทิชาไม่เห็นต้องรู้เลยว่าพี่จะเล่นอะไร”  ร่างสูงยิ้มร้ายใส่  “แค่ครางเสียงหวานๆ ให้พี่ฟังอย่างเดียวก็พอ............”

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 00:49:17
“อึ้ก.....!”

ไม่ทันขาดคำ มือหนาข้างหนึ่งก็ล็อคเอวผมเอาไว้ ในขณะที่ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นเพื่อที่จะได้ใช้ปากดูดเล่นหัวนมผมได้ถนัด เรียวลิ้นสากชื้นตวัดลิ้นเม็ดเชอร์รี่สีสดซึ่งแข็งเป็นไตอย่างเมามัน ผมรู้สึกเสียวสะท้านจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงเอาไว้ ถึงยังไงผมก็ไม่ชินกับการเมคเลิฟนอกเตียง แต่พี่โรมก็เก่งในทางของเขามากเสียจนผมต้องยอมยกธงขาวตั้งแต่ต้นเกม

“อ๊ะ........พี่โรม.....อย่าเพิ่งเร่งนักสิ.............”

“ก็ใครใช้ให้นมเราหวานน่าดูดแบบนี้ล่ะ?”

ริมฝีปากนุ่มหยุ่นดูดเม้มส่งผ่านความร้อนรุ่มให้แทรกซึมไปตามกระแสเลือด ปลายลิ้นยังคงตวัดเลียตุ่มไตบนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักเบื่อ ท่อนแขนแกร่งยังคงกอดเอวผมแน่นไม่ต่างจากเครื่องพันธนาการ.... เส้นผมของพี่โรมถูกขยำในขณะที่เสียงครางแผ่วด้วยความเสียวซ่านลอดออกจากลำคอแห้งผาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตวัดเลียเจ้าเม็ดเล็กที่เขาบอกว่าหวาน ซ้ำยังใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างบิดดึงอย่างกับจะเค้นให้มันหลุดออกมา

“อ๊ะ.....ฮึก...........” 

มันเสียวจนทนไม่ไหว ผมบิวเอวเร่าๆ จนตะคริวแทบกิน แค่เพียงถูกเล่นหน้าอกก็ทั้งสุขสมและทรมานอย่างไม่น่าเชื่อ

รู้เลยว่าคราวนี้พี่โรมเอาจริง เขาตั้งใจจะให้ผมเสร็จตรงนี้....

“พี่โรม.......หื่นจัง...........อ๊ะ..........”

ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ใบหน้าของแฟนหนุ่มยังซุกอยู่บนหน้าอกผม กวาดลิ้นตวัดเลียรอบเม็ดนูนแข็งสลับกับขบเม้มเบาๆ ให้ผมต้องดิ้นเร่าๆ แอ่นหลังโก่งร้องครางเสียงหวานแบบที่เขาชอบ ก่อนที่มือขวาของร่างสูงจะเลื่อนลงต่ำพร้อมกับดึงขอบกางเกงในผมลงตามไปด้วย

ดวงตาคมจ้องมองท่อนเนื้อซึ่งเต้นตุบอยู่ข้างใต้เนื้อผ้า มุมปากหยักยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นสภาพของสิ่งที่เขาอยากจะเล่นเป็นลำดับต่อไป

“สีชมพูสวยเชียว........แฟนใครเนี่ย หัวนมก็สวย ตรงนี้ก็สวย” 

พี่โรมแกล้งแหย่ให้ผมเขินด้วยคำพูด แล้วพอเขินก็ยิ่งทำให้ผมอ่อนไหวต่อทุกสัมผัสที่เขามอบให้ 

“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมพี่ถึงหวง ไม่อยากให้เราไปแก้ผ้าให้คนอื่นเห็น?”

“มะ......ไม่รู้ด้วยหรอก........”

“เพราะคนที่เห็นมันก็คงอยากทำแบบที่พี่กำลังทำอยู่นี่ไง”

กางเกงตัวเล็กจิ๋วถูกถลกลงมาจนถึงต้นขา ยอดอกทั้งสองข้างที่โดนหยอกเย้าสั่นระริกคล้ายกับจะร้องเรียกให้คนตรงหน้าก้มลงมาดูดมันอีกครั้ง.... ผมก้มลงมองสิ่งที่พี่โรมทำค้างเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งยินดีและกระดากอายไปพร้อมๆ กัน ยอดอกแข็งชันสีสดเหมือนผลไม้ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำลายคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าชายคนรักหลงใหลในตัวผมมากแค่ไหน และผมก็เต็มใจให้เขารักได้มากเท่าที่อยากรัก

“จำไว้นะว่าพี่หวงเมียพี่ที่สุด.... ไม่อยากแบ่งใคร แล้วก็ไม่คิดจะแบ่งด้วย.......”

“บ้าแล้ว ใครเขาจะมาแย่งพี่โรม”  ชอบล้อเล่นนัก งั้นให้ผมล้อเล่นกลับบ้างก็แล้วกัน  “ถึงมีคนมาแย่งจริง ชาก็ไม่ไปกับเขาหรอก.... กลัวเขาทำเสียวไม่เก่งเท่าพี่ ต้องกลับมาง้อละเสียฟอร์มแย่”

“เผยตัวจริงออกมาจนได้นะ เด็กลามก!”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ ก่อนที่พี่โรมจะประกบจูบหนักๆ เข้าที่ริมฝีปากผม

มือสากคว้าหมับเข้าที่แก่นกายของผม ลูบไล้มันเบาๆ อย่างทะนุถนอมในคราวแรกแล้วจึงค่อยเพิ่มแรงรูดรั้งขึ้นลงเชื่องช้าแต่หนักหน่วง ถูกเล่นหน้าอกก็ว่าซาบซ่านมากแล้วแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความวาบหวามซึ่งก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนอยู่ในท้องน้อยราวกับมรสุมที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าชายฝั่ง.... ผมส่งเสียงครางกระเส่าอย่างสุดกลั้น กระดกสะโพกแอ่นร่างให้พี่โรมล้วงควักได้ตามใจชอบ ก็สมแล้วที่เขาจะบอกว่าผมลามก แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ใครใช้ให้แฟนผมทั้งหล่อทั้งเอาเก่ง แถมยังรู้ใจ จับตรงไหนก็เสียวไปหมด

“จะใส่กันตรงนี้เลยเหรอ?” 

ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่โรมดึงขอบกางเกงในของเขาลงบ้าง ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ซึ่งตื่นตัวเต็มที่ผงาดตั้งลำพร้อมที่จะสอดใส่เข้ามาในตัวผมจนแทบรอไม่ไหว.... ผมน่ะไม่มีปัญหากับการเอาท์ดอร์หรอก ถ้าพี่โรมกล้า ผมก็กล้า ห่วงอยู่ก็แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ

“เดี๋ยวน้ำในสระมันจะเลอะนะ........”

“เลอะก็โทรไปบอกให้เขาถ่ายน้ำใหม่สิ” 

คุณชายโรมแก้ปัญหาได้ชิลล์มาก ก่อนจะรั้งเอวผมให้ขยับมาข้างหน้าจนกระทั่งตรงส่วนนั้นของเราชนกัน มือใหญ่กำรวบท่อนเอ็นทั้งสองเอาไว้ ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มร้าย ความนึกสนุกทะลึ่งทะเล้นฉายชัดอยู่ในแววตาสีเหล็กกล้า 

“แต่จริงๆ แล้วพี่จะชวนเราทำแบบนี้ต่างหาก”

“ทำอะไรเหรอ.........อ๊ะ.........”

ยังถามไม่ทันจบ ผมก็สะดุ้งเฮือกบิดร่างไปมาด้วยความทรมาน ร่างสูงสาวมือรูดรั้งปรนเปรอแกนกายสองอันให้ชุ่มแฉะสุขสมไปพร้อมกัน ผมครางเสียงสั่นหวิว หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดบ่มผิวขาวจัดให้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เรียวขาอ้าออกกว้างยิ่งขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มขยับเข้ามาแนบชิดได้ถนัด ท่อนเนื้อต่างไซส์ต่างขนาดสองอันเต้นตุบตับบดเบียดเสียดสีกันดูหยาบโลนแต่ก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในที

“พะ......พี่โรม.........อื้อ.........!”

“มันส์ดีเนอะ.......เอามารูดด้วยกันแบบนี้น่ะ” 

ขาผมซึ่งจุ่มอยู่ในน้ำสั่นระริกจนน้ำในสระกระฉอกล้น ผมก้มลงมองส่วนไวสัมผัสของเราพลางพยักหน้ารับว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงยิ่งกว่าจริง.... ท่อนเอ็นลำใหญ่ขยายขนาดขึ้นอีกราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่าพี่โรมคือชายเหนือชาย ผมเกี่ยวขาข้างหนึ่งโอบรอบบั้นเอวหนา มองเขาด้วยแววตาปรือปรอยในขณะที่ถูกความเสียวซ่านก่อกวนจนใจจะขาด

 “ดูหน้าเราสิ.... ตอนกำลังจะเสร็จนี่แม่งเซ็กซี่ฉิบหาย”

“อ๊ะ......เซ็กซี่แค่ไหนเหรอ.......?” 

ผมแกล้งถามหลุดเสียงครางกระเส่าไปด้วย

“บอกไม่ถูก.......อืม.........” 

ร่างสูงทำท่านึกโดยที่มือก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวที่เบื้องล่าง 

“ไว้จะพาไปเอาในห้องกระจกก็แล้วกัน.... ทิชาจะได้เห็นเองว่าทำไมพี่ถึงต้องขย่มจนกว่าเราจะหมดแรงทุกที”

“ชาไม่ได้เซ็กซี่หรอก.....อะ.....พี่โรมนั่นแหละ.....หื่นเกินไป.......อา........”

ก็ไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่หื่นกว่ากัน รู้แค่ตอนนี้ผมแทบจะคลั่งตายกับสิ่งที่พี่โรมทำให้อยู่รอมร่อ.... ไม่ใช่เพียงแค่รูดขึ้นลงให้เราทั้งคู่รู้สึกดีไปด้วยกัน แต่เขายังใช้อีกมือบีบคลึงส่วนปลายยอดของผมเล่นเอาเสียวแปลบเข้าไปถึงท้องน้อย ผมเอื้อมแขนข้างหนึ่งกอดร่างหนา ส่วนอีกข้างยันพื้นด้านหลังไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหงายหลังลงไป ทั้งเอวและสะโพกส่ายวนสะบัดด้วยความทรมานอันแสนหวาน

และเมื่อผมใกล้จะเสร็จ พี่โรมก็ก้มลงมาเลียหัวนมซึ่งแข็งเด่นล่อสายตา เดี๋ยวดูดเดี๋ยวกัดจนผมแทบจะตายด้วยน้ำมือเขา

“อ๊ะ.....พี่โรม......แรงอีก.......อ๊า........”

“ซี้ด.........ทิชา......ครางอีก........”

“..........อื๊อ........พี่โรม......พี่จ๋า..........อ๊าง...........”

เมื่อผมส่งเสียงครางหนักขึ้น แฟนหนุ่มก็ยิ่งขยับข้อมือถี่ระรัว เหมือนคลื่นน้ำวนร้อนระอุไหลจากส่วนกลางลำตัว แตกละอองลงสู่ปลายเท้าที่เหยียดเกร็งแล้วแล่นขึ้นสู่ไขสันหลังและพุ่งตรงไปยังประสาทสัมผัสทุกส่วน.... ผมบิดกายด้วยความเสียวกระสันเกินทน สะโพกดีดเด้งกระตุกแรงสอง-สามครั้งก่อนจะผวากอดร่างสูงเอาไว้แน่นแล้วปลอดปล่อยความต้องการให้ปริ่มย้อยออกมาเต็มมือเขา

“อืม.......ทิชา.........ซี้ด............”

ผมเสร็จล่วงหน้าไปแล้วแต่พี่โรมยังไม่หยุดมือ เขาครางเสียงต่ำในลำคอ สันกรามขบจนนูนบ่งบอกว่าใกล้จะถึงเวลาของเขาแล้วเช่นกัน อีกไม่กี่ชั่วอึดใจ ท่อนเนื้ออวบหนาซึ่งปูดโปนด้วยเส้นเลือดก็กระตุกไหวอยู่ในอุ้งมือใหญ่ น้ำเชื้อสีขาวขุ่นฉีดพุ่งออกมาเปรอะหน้าท้องและซอกขาผม ใบหน้าหล่อคมแดงซ่านฉายชัดถึงความสุขสุดยอดที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกำยำ

พี่โรมคว้าตัวผมเข้ามากอด ผมเองก็ตวัดขากอดเกี่ยวเขาระหว่างที่กระแสคลื่นแห่งความวามหวามรัญจวนยังไม่เจือจาง หัวใจเต้นถี่ระรัวในยามที่ร่างสูงก้มลงมาป้อนจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเร่าร้อนให้อีก

“ขอตรงนี้ก่อนรอบนึงนะ เสร็จแล้วค่อยไปต่อกันที่เตียง”

“หืม.... แปลว่าพี่โรมจะทำหลายรอบเหรอ?”

“ไม่เห็นต้องถาม พี่เคยทำเรารอบเดียวแล้วพอหรือไงล่ะ?”  คนที่เพิ่งเสร็จด้วยมือตัวเองมาหมาดๆ ย้อนหน้าตาเฉย  “เมื่อกี้ทิชาก็เพิ่งบอกว่าพี่หื่น.... ก็ยอมรับ คราวนี้หื่นจริงอะไรจริง”

“บ้า.............”

คนโดนด่ายิ้มรับไม่สะทกสะท้านก่อนจะเอนตัวผมให้นอนราบลงกับขอบสระ ความเย็นชื้นของกระเบื้องหินอ่อนทำให้ผมเกร็งแผ่นหลังเล็กน้อยหากก็สามารถปรับตัวให้ชินกับพื้นรองรับแข็งๆ ได้ไม่ยาก.... กางเกงชั้นในสีขาวถูกรูดลงจากเรียวขาไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ร่างเปลือยเปล่าขาวจัดของผมตัดกับสีดำของฉากหลังยิ่งทำให้ความเป็นชายของพี่โรมตื่นตัวเร็ว แม้ว่าเราจะสนุกด้วยกันไปแล้วหนหนึ่งก็ตาม

“.......อึก.........พี่โรม........ทำอะไรน่ะ........”

ผมร้องถามเมื่อคนตรงหน้ายังไม่สอดใส่เข้ามาสักที หากกลับใช้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างแหวกเนื้อบั้นท้ายผมให้แยกออกจากกัน ช่องทางด้านหลังสัมผัสโดนลมแรงๆ ซึ่งพัดผ่านมา บังคับให้ผมต้องบิดเอวขมิบปากทางเข้าอย่างไม่ตั้งใจ

“ยังไม่ทันใส่เลย จะรีบตอดไปไหนครับ.... คนสวย?”

“พี่โรมอ้ะ.... ห้ามเล่นแผลงๆ นะ!”

แค่ตั้งท่าจะขัดใจ คุณผู้ชายก็ฟาดมือตีก้นผมเสียงดังเพี้ยะ

“พี่ตามใจทิชาตั้งเยอะแล้ว คราวนี้ขอตามใจพี่บ้างนะ”

“ตามใจยังไง?”

“ขอทำแรงๆ..........” 

พอโรคหื่นขึ้นสมองแล้ว อะไรก็กล้าขอทั้งนั้น.... แต่ผมก็เข้าใจนะ ปกติพี่โรมเขาเป็นพวกเยดุ ถ้ายังใส่ไม่หมดแม็กซ์ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมผ่อนแรงหรือเอาออก แล้วตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล เราก็มีอะไรกันแบบนุ่มนวลมาตลอดเพราะเขากลัวว่าผมจะต้องกลับไปใส่เฝือกอีกรอบ 

“แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ.... พี่ไม่ทำก็ได้ รอจนกว่าเราจะหายดีก่อน”

“ทำเหอะพี่.... ชาก็คิดถึงตอนที่โดนจนลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน”

“หึ แล้วมาว่าพี่หื่น ตัวเองก็พอกันนั่นแหละ”

“อ๊า.........อะ.......พี่โรม.............”

ผมสะดุ้งสุดตัวหวีดร้องเสียงแหบพร่าเมื่อท่อนเนื้อใหญ่พรวดพราดเข้ามาในช่องทางที่ถูกแหวกกว้างทีเดียวจนมิดลำ มุมปากหยักยกยิ้มอย่างพึงใจ ส่วนหัวป้านชี้ชนกับผนังด้านในจนมันเต้นตุบตับให้ผมต้องยิ่งตอดรัดสิ่งแปลกปลอมแรงขึ้น.... ปลายเล็บผมจิกลงบนหัวไหล่หนาโดยไม่เจตนา แต่เพราะความเสียวที่แล่นปรู๊ดปร๊าดไปทั่วร่างไปต่างกับกระแสไฟฟ้าทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ในตอนนี้ผมไม่คิดเรื่องกลั้นเสียงครางแล้ว มีเท่าไรก็ปล่อยออกมาให้หมดนั่นแหละ

“แน่นโคตร......น่ากระแทกให้ยับชะมัด!” 

ร่างสูงกัดฟันกรอด สายตายังคงจับจ้องไปยังรอยจีบตรงปากทางเข้าสีสดซึ่งตอนนี้มีของใหญ่เสียบคาอยู่

“กระแทกเลยสิ.....อ๊ะ.......เร็วๆ”

“อยากได้แบบซอยถี่ๆ รัวๆ หรือแบบหนักๆ เน้นๆ?”

“แบบไหนก็ได้ เอาที่พี่โรมชอบ” 

ผมช้อนตามองเจ้าของท่อนเนื้อซึ่งสั่นกระตุกอยู่ในกาย ก่อนจะอ้าขาให้กว้างขึ้นอีกเป็นการยั่วยวนเชิญชวน 

“ใหญ่ขนาดนี้จะทำแบบไหนก็ชอบทั้งนั้นแหละ.... ชาตามใจพี่โรมอยู่แล้ว”

“น่ารักที่สุด เด็กดีของพี่”

“อื้อ..........”

พี่โรมฟัดแก้มผมทั้งซ้ายขวาแล้วขึ้นคร่อมทับตัวผม จับเอวให้ยกสูงขึ้นเล็กน้อยในระดับที่เขาจะขย่มได้ถนัดแล้วจึงเริ่มโยกเข้า-ออกเป็นจังหวะเนิบนาบแต่หนักหน่วง.... ท่อนเนื้อใหญ่ยาวขยับครูดโดนจุดกระสัน ถูไถโพรงนุ่มนิ่มสอดลึกเข้าไปจนสุดทางเท่าที่มันจะสามารถเข้าได้ ผมร้องครางจนเสียงแห้ง หอบหายใจแรงเมื่อความต้องการปลดปล่อยพุ่งทะยานขึ้นอีกครา

ชายหนุ่มเองก็คงทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาเริ่มเร่งจังหวะจากเนิบช้ามาเป็นกระแทกกระทั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“อะ.....อ๊า.........พี่โรม........พี่จ๋า........อ๊า...............”

มือหนาเค้นคลึงบั้นท้ายผมอย่างกับเห็นมันเป็นก้อนมาร์ชเมลโล บีบเฟ้นไปมาในขณะที่บั้นเอวสอบโยกเข้าใส่สุดกำลัง แก่นกายกำยำผลุบเข้าผลุบออก ถอนออกไปจนสุดความยาวแล้วกระแทกกลับเข้ามาใหม่ทำเอาผมดิ้นพล่านหัวสั่นหัวคลอน แรงกระสันวูบวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนต้องเป็นฝ่ายแอ่นสะโพกเข้าหาคนคุมเกมทางด้านบนเสียเอง

“พี่จ๋า.......ฮึก.......น้องเสียว.......เสียวจะตายอยู่แล้ว...........”

“มิน่าล่ะ แม่แมวถึงตอดพี่รัวจังเลย”

ร่างสูงยิ้มร้ายหากก็ไม่หยุดซอยถี่ๆ เข้ามาในช่องทาง จุดไวสัมผัสซึ่งแฝงเร้นอยู่ลึกสุดโดนกระตุ้นย้ำเร็วระรัว ทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่างด้วยความทรมาน

“ชอบให้ขยี้ตรงนี้แรงๆ เหรอ? โดนแล้วมีความสุขมากเลยใช่ไหม?”

“อื๊อ......อย่าถามสิ......!”

เมื่อพี่โรมหาจุดเสียวของผมเจอ เขาก็บังคับส่วนปลายบานของตัวเองให้ชี้ชนตรงที่เดิมนับครั้งไม่ถ้วน ผมโอบแขนคว้าคอเขาแทนหลักยึดแต่กลับโดนริมฝีปากร้อนผ่าวดูดซอกคอบ้าง ดูดเม้มยอดอกบ้าง เพิ่มความรู้สึกกระสันซ่านให้มากขึ้นไปอีก.... เสียงเนื้อกระทบเนื้อช่วงล่างฟังดูลามกอย่างบอกไม่ถูกแต่ผมก็ชอบที่จะได้ยิน ชอบพอๆ กับการได้ยินพี่โรมจากมุมนี้ เขาหายใจแรงเสียจนแผงอกแน่นๆ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสะท้อนขึ้นลง กล้ามท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนยามเมื่อขยับโยกสอดใส่ สีผิวซึ่งไม่ถึงกับเป็นสีแทนยิ่งเซ็กซี่ขณะชโลมด้วยเม็ดเหงื่อ

พี่โรมบอกว่าผมเซ็กซี่เวลาที่ใกล้เสร็จ เขาเองก็เหมือนกัน....

“เล่นอะไรครับ คนสวย?” 

ร่างหนาเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเลื่อนมือลงไปด้านล่างแล้วกอบกุมท่อนเนื้อของตัวเองเอาไว้

“ชาอยากเสร็จแล้วอะ........” 

ผมสารภาพอย่างไม่อาย

 “เห็นพี่โรมหล่อเซ็กซี่ก็เลยทนไม่ไหว.......อยากปล่อยออกมาตอนนี้เลย........”

“เซี้ยวนักนะเราน่ะ” 

ชายหนุ่มไม่ว่าที่ผมช่วยตัวเองในตอนที่กำลังมีเซ็กซ์กับเขา แต่กลับอมยิ้มขำแล้วหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่

 “พูดจาน่าตีอย่างนี้ เดี๋ยวพี่จะให้ปล่อยน้ำจนแห้งหมดตัวเลย”

“อ๊ะ.......อ๊า........พี่จ๋า..........”

ผมร้องครางในขณะที่มือข้างหนึ่งยังคงสาวรูดท่อนเนื้อตรงหว่างขาตัวเอง ตาก็มองชายหนุ่มซึ่งโจนจ้วงขย่มโยกใส่ช่องทางด้านหลังไปด้วย พี่โรมเองก็ทั้งสอดใส่ร่วมรักและมองผมช่วยตัวเองพร้อมทั้งส่งเสียงครางเรียกเขาเช่นกัน.... มือหนาจับต้นขาผมบีบแรงๆ แล้วยกสูงขึ้นอีก โดยที่ผมส่ายร่อนเอวบิดสะโพกด้วยความเสียวกระสันที่ได้รับจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

เมื่อพี่โรมเอื้อมมืออีกข้างมาบีบยอดอกผมเล่น ผมก็แอ่นอกให้เขาปรนเปรออย่างเต็มใจ เสียงทุ้มเข้มครางต่ำในลำคอบ่งบอกถึงความพึงพอใจจากร่างสูง ผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเผลอขมิบช่องทางตอดรัดท่อนเอ็นใหญ่ไปกี่ครั้งและแรงแค่ไหน ได้ยินแค่พี่โรมกึ่งบนกึ่งครางในทำนองว่าผมยั่วอารมณ์เขาไม่หยุด และเขากำลังจะเอาจริงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้

“อ๊า........พี่โรม.......แรงอีก......เอาแรงๆ เลย..........”

ไหนๆ เขาก็ว่าผมยั่วแล้ว งั้นก็เอาให้ตบะแตกกันไปข้างหนึ่งเลยแล้วกัน

“ได้สิ.... แรงๆ เลยนะ”

พี่โรมไม่เคยปฏิเสธ ถึงอยากปฏิเสธก็คงทำไม่ได้เพราะห้วงอารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่านเกินกว่าจะระงับได้ไหว.... ร่างหนากระแทกแกนกายเข้ามาจนผมสะดุ้งเฮือกกรีดร้องสุดเสียง มือสากฟอนเฟ้นไปทั่วกายเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ตีตราจองเสียจนไม่มีส่วนใดบนร่างกายผมที่ยังไม่ถูกเขาจูบ เสียงหอบหายใจดังฟืดฟาดเหมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหาย และผมก็คือเหยื่อที่ยอมให้เขาฉีกทึ้งกัดกินด้วยความเต็มใจ

ทั้งผมและเขาต่างก็เร่งเร้าจังหวะในส่วนของตัวเอง ไม่นานนักผมก็เหยียดปลายเท้าเกร็งแน่น กระดกเอวขึ้นแล้วปลดปล่อยน้ำรักออกมาเปรอะเปื้อนมือและหน้าท้องแบนราบ ตามติดมาด้วยร่างสูงที่ขยับสะโพกแกร่งอัดเข้ามาจนมิดสุดถึงโคนอีกสาม-สี่ครั้งก่อนจะปลดปล่อยคราบขุ่นคาวให้หลั่งรดทะลักทลายภายในช่องทางรักของผม

“อื้ม............”

“อ่าห์......สุดยอดเลย..............”

ผมนอนอ้าขานิ่งๆ หน่วงเวลาให้ความรู้สึกเบาสบายแต่อิ่มเอมค้างอยู่เช่นนั้นให้นานที่สุด จนกระทั่งสติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมาอีกครั้งถึงได้เห็นพี่โรมค่อยๆ ถอนกายออกอย่างไม่รีบร้อน รู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ในตัวผมนั้นคงไม่ใช่น้อยๆ น้ำรักสีขาวถึงได้ชุ่มแฉะเยิ้มเลอะออกมาถึงต้นขาผมแบบนี้

“เป็นไงล่ะ.... อยู่กับพี่ไม่ต้องไปถึงเสม็ดก็เสร็จได้”

บทรักแรกหลังการเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดบ้านเกิดของชายหนุ่มเพิ่งผ่านพ้นไป พี่โรมทิ้งตัวลงนอนบนพื้นข้างผมก่อนจะจับให้ผมขึ้นมานอนเกยอยู่บนอกกว้าง ปลายนิ้วใหญ่ลูบเส้นผมชื้นสีเข้มซึ่งร่วงลงมาปรกตาออกให้ ส่วนนั้นของเราทั้งคู่ยังเต้นตุบและเสียดสีกับผิวกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย

“มาถึงก็เสร็จเลย.... มาเที่ยวทะเลแทนที่จะได้เล่นน้ำก็กลับกลายเป็นเสียน้ำซะงั้น”

ผมว่าอย่างงอนๆ แต่ก็ปิดรอยยิ้มชอบใจบนใบหน้าเอาไว้ไม่มิด.... ไม่ได้แค่ชอบธรรมดาด้วยนะ แต่ชอบให้พี่โรมกอดมากเป็นชีวิตจิตใจเลยล่ะ

“ขออีกสักสองน้ำไหวไหม?”

เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบถาม หนวดปลาหมึกเริ่มไต่จากแผ่นหลังลงไปถึงบั้นเอวคอด ขาอ่อนแล้ววกกลับมาบีบแก้มก้นผมอย่างมันส์มือ

“ไหว.........” 

ผมตอบแบบไม่ต้องเปลืองเวลาคิด แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้จนคุ้มอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็จำเป็นจะต้องยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับเขานิดหน่อยพอเป็นกระษัย

 “แต่เสร็จแล้วต้องเลี้ยงของอร่อยๆ นะ.... รีสอร์ทป๋ามีบุฟเฟ่ต์แซลมอนให้กินไหมฮะ ผมอยากกินแซลมอน”

“อีแค่แซลมอน จะกินให้หมดทะเลก็ยังได้.... เดี๋ยวป๋าเลี้ยงหนูทิชาเองค่ะ”

หลังจากนั้น พี่โรมซึ่งสถาปนาตัวเองเป็นเสี่ยโรมก็พลิกร่างผมให้กลับมานอนหงายเหมือนเดิม มือซุกซนซึ่งบีบก้นผมอยู่เมื่อกี้ก็ทำหน้าที่ของมันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งลูบไล้และบิดดึงฟอนเฟ้นไปทุกที่ที่มันลากผ่าน โดยที่ผมได้แต่ปล่อยหัวสมองให้โล่ง ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นนอกจากรสชาติหอมหวานของความรักและเซ็กซ์ที่พี่โรมเป็นคนสอนให้ผมได้เรียนรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมาคู่กัน


แน่นอนว่าแซลมอนน่ะเป็นผลพลอยได้ที่เรียกว่าของแถมนะ....
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 00:53:13
DAN's PART



‘ฉลองเรตติ้งตอนจบสูงถึง 6.5 เทียบเท่าได้กับละครหลังข่าวช่องหลัก มีสถานีโทรทัศน์ต่างชาติขอซื้อไปฉายอีกสามประเทศ.... สงครามคิวท์บอยจงเจริญ!’




บรรยากาศงานเลี้ยงหลังจากซีรีส์สงครามคิวท์บอยออนแอร์ตอนสุดท้ายเต็มไปด้วยความชื่นมื่นยินดี ทั้งเรตติ้งและกระแสในโลกโซเชียลต่างก็พุ่งทะลุเป้าเกินความคาดหมายอย่างถล่มทลาย.... อันที่จริงก็เห็นแววตั้งแต่ซีรีส์เริ่มฉายไปได้สอง-สามตอนแล้ว เพราะแฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย ติดเทรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทยข้ามวันข้ามคืน ไหนจะแท็กคู่จิ้นอีกทั้งคู่หลักคู่รอง สปอนเซอร์ที่ตอบปฏิเสธไม่ยอมซื้อโฆษณาในตอนแรกเพราะคิดว่าซีรีส์วายไม่น่าจะโด่งดังอะไรมากมายก็เปลี่ยนใจกลับมาจนแทบไม่เหลือสล็อตเวลาให้ลงกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าไม่เพียงแค่ตัวซีรีส์อย่างเดียวที่โด่งดังเป็นพลุแตก แต่นักแสดงหลักของเรื่องทั้งผม พี่ปาย ไอ้ภัทรและพุดดิ้งก็ได้กระแสไปต่อยอดงานอื่นกันถ้วนหน้า.... เท่าที่รู้คือตอนนี้พี่ปายมีงานละครเรื่องใหม่มาจ่อคิวรออยู่แล้วอีกสามเรื่อง มีเรื่องหนึ่งฟิตติ้งเสร็จเรียบร้อยกำลังจะเปิดกล้องในอีกไม่กี่วัน ไหนจะงานออกอีเวนท์ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ไอ้ภัทรจะกลับไปเน้นเรียนต่อก็เลยขอรับงานน้อยกว่า ส่วนเจ้าพุดดิ้งก็มีละครใหม่กับงานโชว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาไม่ขาดระยะ

เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี....


“น้องแดนคะ ขอสัมภาษณ์กล้องนี้หน่อยค่ะ”

“คร้าบบบบ~~”

ผมยิ้มให้พี่ๆ นักข่าวอย่างเป็นมิตรตามประสาคนอัธยาศัยดี แถมยังมีดีกรีพระเอกหน้าใหม่มาแรงพ่วงท้ายมาด้วย.... นักข่าวหลายคนที่มาร่วมงานฉลองวันนี้ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ส่วนหนึ่งที่ละครประสบความสำเร็จได้ก็เพราะได้พวกเขาช่วยเขียนเชียร์และลงรูปทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในเพจสำนักข่าวอย่างสม่ำเสมอ แม่อิ๋วก็เลยยิ่งกำชับใหญ่เลยว่าพวกเราจะทำตัวไม่น่ารักกับพี่ๆ เขาไม่ได้เป็นอันขาด

“รู้สึกยังไงบ้างคะที่เรตติ้งตอนจบพุ่งแรงจนไม่น่าเชื่อ ว่ากันว่าดีกว่าละครช่องหลักบางช่องที่ออนแอร์เวลาเดียวกันเสียอีก แถมยังสร้างสถิติแฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย ติดเทรนด์อันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ทุกตอนที่ออกฉาย?”

“ก็ดีใจมากเลยครับ ต้องขอบคุณทีมงานผู้สร้าง นักเขียนนิยายต้นฉบับ เพื่อนนักแสดง แล้วก็แฟนๆ ที่คอยติดตามและให้การสนับสนุนด้วย.... ถ้าไม่มีทุกคน ซีรีส์สงครามคิวท์บอยก็คงไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้แน่นอนครับ”

“แล้วหลังจากนี้จะมีผลงานใหม่ต่อเลยไหมคะ? มีโมเดลลิ่งหรือช่องไหนมาทาบทามเซ็นสัญญาหรือยังเอ่ย?”

“ยังก่อนดีกว่าครับ.... คือตอนนี้ผมขึ้นปีสามแล้ว เรียนสถาปัตย์ด้วย งานเยอะมากก็เลยอยากขอกลับไปโฟกัสกับเรื่องเรียนก่อน งานในวงการที่จะรับก็ขอเป็นงานเล็กๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นงานละคร ผมคงยังไม่ค่อยสะดวกครับ” 

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมบอกให้คนอื่นรับรู้ถึงการตัดสินใจถอยห่างออกจากวงการบันเทิงมาก้าวหนึ่ง แน่นอนว่าผมยังคงชื่นชอบการเป็นจุดสนใจและชอบที่จะได้ยินคำชมจากบรรดาแฟนคลับว่าผมหล่อแค่ไหน แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมจะได้มีเวลาอยู่กับดวงดาวแสนสวยของผมมากขึ้น

ไอ้เฮียโรมขึ้นปีสี่แล้ว เห็นว่ามีงานโปรเจกต์ มีไปศูนย์ซ่อมบำรุงยานยนต์ ทำอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ แล้วหมอนั่นก็ขี้ห่วงไม่อยากให้ทิชาอยู่ห้องคนเดียวแต่ก็โรคจิตไม่ยอมปล่อยเมียกลับไปอยู่บ้าน ก็เลยเป็นหน้าที่ที่ผมต้องคอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทน หรือไม่ก็เป็นคนหิ้วของเวลาที่ทิชามันอยากลงไปเซเว่น

แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจทำนะ โคตรของโคตรเต็มใจเลยต่างหากล่ะ

“แล้วน้องแดนคิดยังไงกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลคู่จิ้นแห่งปีคู่กับน้องปายคะ?”

หลังได้ยินคำถาม ผมแอบชำเลืองมองพี่ปายซึ่งกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวอีกกลุ่มหนึ่งอยู่.... จริงอยู่ว่าระหว่างผมกับพี่ปาย เรามีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน สำหรับพี่ปายมันอาจจะชัดเจนมากพอที่ทำให้เขากล้ายอมรับออกมาว่ามันคือความ ‘ชอบ’ หรือ ‘หลงรัก’ หากสำหรับผม ไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันบางเบาเกินไปและยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ผมมีให้ทิชามาโดยตลอด

คู่จิ้นก็ยังคงเป็นได้แค่เพียงคู่จิ้น ยากที่จะกลายเป็นคู่จริงเพราะจนป่านนี้หัวใจผมยังไม่เคยหวั่นไหวเวลาที่เห็นพี่ปายเลยสักครั้ง

มันไม่เหมือนเวลาที่ผมเห็นทิชา

ไม่เหมือนเลยแม้แต่น้อย....

“กับพี่ปาย.... อืม ก็ดีใจแหละครับ สงสัยว่าเราทั้งคู่จะแสดงดี”

“งั้นแปลว่าหลังกล้องก็ไม่มีอะไรสิคะ?”

“เอ๊ะ พูดแบบนี้คืออยากให้มีอะไรเหรอครับ?” 

ผมแกล้งย้อนพี่นักข่าวเรียกเสียงหัวเราะ ก่อนจะกลับมาเข้าสู่โหมดสัมภาษณ์เป็นการเป็นงาน 

“พี่ปายเป็นรุ่นพี่ที่ดีครับ เขาให้คำแนะนำผมเกี่ยวกับเรื่องในวงการหลายอย่าง เวลาเข้าบทก็ได้เขาคอยช่วยไกด์ให้ ที่ซีรีส์ออกมาดีขนาดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่ปายเลยครับ”

ถึงแม้ผมจะตอบเลี่ยงให้ออกมาในแนวความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวเหล่าแดนปายชิปเปอร์ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องรักใคร่ๆ ห่วงใยประทับใจกันตามประสาคนรักได้เอง เพราะฉะนั้น ผมแค่ให้คำตอบกลางๆ แบบนี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ

“แล้วกับน้องทิชาล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้ยังได้เจอกันอยู่ไหม?”

“เจอครับ.... ค่อนข้างบ่อยเลย”

ผมโคตรเกลียดเวลาที่ตัวเองเป็นแบบนี้จริงๆ นะ แต่มันก็ห้ามกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ให้ยกยิ้มเวลาที่มีคนถามถึงทิชาไม่ได้.... อารมณ์แบบมีแดนที่ไหน มีทิชาที่นั่น คิดถึงดรัณภพ คิดถึงทิชนันท์อะไรประมาณนั้น

ฟังดูเพ้อเจ้อฉิบหาย แต่ผมก็เพ้อของผมมาตั้งนานแล้วนี่หว่า

“น้องแดนคิดว่าถ้าซีรีส์สงครามคิวท์บอยไม่ได้มีการเปลี่ยนบบท สลับตัวนักแสดงที่เล่นคู่กันจากน้องทิชามาเป็นน้องปาย ซีรีส์จะดังขนาดนี้ไหมคะ? แล้วคิดว่าจะได้เสนอชื่อเข้าชิงคู่จิ้นแห่งปีหรือเปล่า?”

“ละครก็คงฮิตเหมือนเดิมแหละครับ เพราะว่าเนื้อหาดีและทีมงานทุกคนก็ตั้งใจกันอย่างเต็มที่” 

นี่ผมไม่ได้อวยเวอร์นะ ซีรีส์เขาดีจริง ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า เช่นเดียวกับอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ผมก็ขี้เกียจจะหลอกตัวเองว่ายังมีความหวังอยู่

“แต่รางวัลคู่จิ้นคงยากครับ เพราะทิชาเขาใจร้ายกว่าพี่ปายเยอะ”

เสียงหัวเราะฮาครืนดังขึ้นรอบวงเพราะพวกพี่ๆ นักข่าวคิดว่าผมพูดเล่นติดตลกเหมือนเคย แต่ใครจะรู้ล่ะว่านั่นคือความจริงซึ่งผมต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะยอมรับได้ว่าไอ้ทิชาคงไม่มีวันเป็นดาวที่ร่วงลงมาอยู่ในมือผมอีกต่อไปแล้ว.... แต่ถึงไอ้เดือนสถาปัตย์ใจหมาคนนี้จะไม่ได้ดาวศิลปกรรมมาครอบครอง (ตำแหน่งนี้ผมตั้งให้มันเอง) นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องดับแสงตัวเองแล้วเคลื่อนตัวออกไปจากวงโคจรนอกกาแล็คซี่สักหน่อย

ผมก็จะอยู่ของผมอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หลงรักมันข้างเดียวไปเรื่อยๆ

มองเห็นแต่ไม่ได้ครอบครองคือคอนเสปท์ของผม

ไม่เป็นไรหรอก.... เจ็บบ่อยๆ ก็ค่อยๆ ชินไปเอง

   

เมื่อผู้คนในงานเลี้ยงฉลองเรตติ้งละครเริ่มบางตา ผมก็เดินเข้าไปไหว้ลาพวกผู้บริหารช่อง แม่อิ๋วและพี่ๆ ทีมงานทุกคนเพื่อขอตัวกลับก่อน เพราะพรุ่งนี้ผมต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปขึ้นเครื่องกลับสุราษฎร์ที่สนามบินดอนเมือง.... เทอมที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าโคตรหนักหนาสาหัส มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิตผม ไหนจะได้เข้าวงการบันเทิงที่ใฝ่ฝัน ไหนจะนั่งหลับในตอนตัดโมเดลจะมีดเกือบเฉือนนิ้วขาด ไหนจะอกหักรักคุดหัวใจพังยับเยินไม่มีชิ้นดี เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เหลือเวลาอีกเพียงแค่อาทิตย์กว่าๆ สำหรับการพักผ่อน ผมก็อยากจะนอนนิ่งๆ เป็นผักเปื่อยให้สาแก่ใจ ไม่มีการซักผ้า ไม่มีการทำความสะอาดห้อง อยากกินอะไรก็มีคุณมี๊คอยหามาให้กินถึงเตียง

“แดน....!”

เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง แทบไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยว่าใครคือคนสุดท้ายที่จะได้คุยกับผมก่อนออกไปจากงานคืนนี้ และเมื่อหันกลับไปก็พบว่าร่างโปร่งบางของคู่จิ้นรุ่นพี่กำลังเดินเข้ามาหา ใบหน้าสวยยังคงมีรอยยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจจนอยากยิ้มตามเหมือนเช่นทุกครั้ง

“จะกลับบ้านที่สุราษฏร์พรุ่งนี้แล้วใช่ไหม?”

“ครับ.... กลับไฟลท์เช้าเลย ผมยังไม่ได้จัดของเลยเนี่ย”

“งั้นก็เดินทางดีๆ นะ เซฟไฟลท์”   

พี่ปายยกมือขึ้นโบกท่าบ๊ายบาย ผมคิดว่าบทสนทนาของเราจะจบลงเพียงเท่านั้นก็เลยบ๊ายบายตอบกลับไปให้ จบงานนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมาเจอกันอีก.... นับจากวันแรกที่เจอกันในวันแคสบท ผมกับพี่ปายก็คุยไลน์กันทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่เริ่มเวิร์คชอปแอคติ้งคลาสยันปิดกล้อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่เจอเขาเลยมั้ง พอมาถึงจุดนี้ก็อดยอมรับในใจไม่ได้ว่าต่อไปคงจะเหงาน่าดู

ถึงจะยังไม่ได้รักไม่ได้ชอบ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธนะว่าพี่ปายคือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตของผม

แต่สำหรับเขา ผมอยากให้เขารีบๆ ลืมผู้ชายเฮงซวยแบบผมไปเสียจะดีกว่า

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่ปายเขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้นะ

“เอ่อ.... พี่ขอถามอะไรแดนหน่อยนึงได้ไหม?” 

เสียงแหบหวานเอ่ยถามในตอนที่ผมกดสวิทช์ปลดล็อครถคัมรี่คู่ใจ ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าโอเค อยากถามอะไรก็ถามมาได้เลย คนอายุมากกว่าถึงได้กึ่งๆ สารภาพออกมาว่าเขาแอบฟังตอนที่ผมให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วย 

“พี่ได้ยินแดนบอกพี่นักข่าวว่าจะไม่รับงานแสดงแล้ว.... พูดจริงเหรอ? แค่งดรับงานแต่ไม่ได้จะออกจากวงการไปเลยใช่ไหม?”

“ผมแค่จะกลับไปเรียนน่ะ งานไหนที่พอรับไหวก็อาจจะยังรับอยู่ แต่ละครหรืออะไรที่ต้องใช้เวลามากๆ ผมคงไม่ทำแล้วล่ะครับ”   

“เหรอ............”

พี่ปายลากเสียงอ่อยด้วยความเสียดาย เขาเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพยายามฝืนยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มซึ่งเจือปนด้วยความเศร้าก็ตาม

“งั้นเราก็คงไม่ค่อยได้เจอกันจริงๆ แล้วสินะ”

“ก็คงอย่างนั้นแหละครับ”

ผมรู้ว่ามันฟังดูเหี้ยมากที่ตัวเองพูดจาตัดรอนไม่ให้ความหวังพี่ปายเลย หากเขาก็คงรู้เหมือนกันล่ะมั้งว่าถ้าผมไม่ทำงานในวงการแล้ว โอกาสที่เราจะได้เจอกันก็คงน้อยลงเต็มที.... เขาเป็นดารา ในขณะที่ผมเลือกขอกลับไปเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ต่างคนต่างเลือกเส้นทางชีวิตในแบบที่ต้องการ ไม่ต่างอะไรกับเส้นขนานซึ่งไม่มีทางหักเหมาบรรจบกันได้

“พี่ปายก็พยายามเข้านะ ได้ยินมาว่างานเข้าเพียบเลยนี่” 

ผมยิ้มให้เขาพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายแบบไม่แคร์ว่าเขาจะอายุมากกว่า ถึงจะมีอิมแพคต่อใจผมไม่เท่าไอ้ทิชา แต่พี่ปายก็มีความน่ารักในแบบของเขานั่นแหละ 

“ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนเยอะๆ กินข้าว กินผักผลไม้ด้วย ไม่ใช่กินแต่วิตามิน รู้ไหมครับ”

“รู้แล้วน่า.... พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ"

คนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเบะปากใส่ผมทันทีที่ได้ยินคำสั่งกำชับให้ทำในสิ่งที่ไม่ค่อยเต็มใจ.... เห็นอย่างนี้เถอะ ใครจะรู้ว่าพี่ปายคนเก่งของน้องๆ เป็นพวกกินโคตรยาก ไอ้นั่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่กิน ถ้าวันไหนกับข้าวกองถ่ายเน้นผักก็เขี่ยออกหมดจนแทบจะเหลือแต่ข้าวเปล่า พอโดนบังคับเข้ามากๆ ก็แถว่าเดี๋ยวกินวิตามินเสริมเอาก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าโตกว่ากันตั้งหลายปีล่ะก็ ผมคงจับมาตีก้นให้หายดื้อแล้ว

“ไม่เด็กก็ไม่เด็ก........” 

ผมแค่นหัวเราะหึเมื่อเห็นผู้ใหญ่ยืนมองค้อนผมจนตาคว่ำ ใจจริงก็อยากคุยต่ออีกหน่อยแต่เพราะนาฬิกาตรงหน้าอาคารหอประชุมที่จัดงานบอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ซึ่งผมคงจะต้องกลับเสียที 

“พี่ปายก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ.... ผมไปก่อนนะครับ”

แอบเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกอักๆ คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูด ผมก็ไม่คิดว่าระหว่างเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

แต่สุดท้ายพี่ปายก็ตัดสินใจโพล่งความในใจของเขาออกมาจนได้

“ถ้าว่างๆ พี่ขอทักไลน์ไปคุยกับแดนได้ไหม?”

ผมหันกลับมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มจางให้พร้อมกับคำตอบ

“ได้สิครับ”   

“แล้วถ้าว่างๆ.......สมมติว่าถ้าว่างมากๆ เราจะนัดเจอกันได้หรือเปล่า?”

สีหน้าของคนถามแลดูหวาดหวั่นเล็กน้อย เขาเองก็คงจะกลัวคำตอบจากผมว่าจะเป็นไปในทางลบหลังจากที่เคยโดนปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมาแล้ว.... มองพี่ปายก็เหมือนมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา กับไอ้ทิชา ผมก็เป็นแบบนี้เช่นกัน อกหักซ้ำซ้อนไม่มีอะไรเหลือให้หวังแต่ก็ยังดันทุรังเลือกรักคนใจร้ายคนเดิมที่ทำขยันให้เราเจ็บอยู่ได้.... และคงเพราะผมรู้ว่าความเจ็บปวดของการไม่เป็นที่รักนั้นเป็นยังไง ผมถึงได้ไม่อยากทำร้ายน้ำใจเขามากเกินไปกว่าที่เคยทำ

“พี่ปายรู้ว่าผมอยู่ไหนไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากเจอก็มาได้นี่ครับ”

“อื้อ”

พี่ปายยิ้มไม่หุบในตอนที่ผมพยักหน้าให้ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วขับออกมาจากสถานที่จัดงานเลี้ยง.... ก็คิดอยู่ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกต้องหรือเปล่า มันควรแล้วเหรอกับการให้ความหวังพี่ปายทั้งๆ ที่หัวใจผมถูกไอ้ทิชาคว้าไปตั้งแต่งานประชุมเชียร์รวมคณะตอนปีหนึ่งแล้ว แต่เพราะคนบางคนก็มีความสุขกับการได้หวังลมๆ แล้งๆ ถ้าพี่ปายยังอยากจะรอผมต่อไปก็ขอให้เป็นการตัดสินใจของเขาเองก็แล้วกัน



ถนนเพชรบุรียังคงรถติดแน่นขนัดตรงช่วงอาร์ซีเอเหมือนเช่นทุกวัน ผมฮัมเพลงของ Charlie Puth ซึ่งมักจะฟังบ่อยๆ จนกลายเป็นเพลงโปรดในช่วงนี้ไปเรื่อยเปื่อย โทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนเบาะข้างคนขับส่องแสงสว่างวาบแจ้งเตือนว่ามีคนอัพไอจีเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา.... จะเป็นใครที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ไอ้ทิชา ตั้งแต่มันเปิดไอจีส่วนตัวเป็นสาธารณะ ผมก็ตั้งแจ้งเตือนแอคเคาท์มันเอาไว้เพื่อที่จะได้ไม่พลาดกดไลค์และคอมเมนท์แหย่ให้มันเมนชั่นด่ากลับ

เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันอัพรูปซาชิมิแซลมอนจานใหญ่เบิ้มกับรูปน้องมิลค์นั่งเลียขนอยู่บนโซฟาริมทะเล แท็กโลเกชั่นรีสอร์ทไฮโซของแปะใหญ่ที่เกาะสมุย ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มันขึ้นเครื่องไปเที่ยวกับไอ้เฮียโรมแต่เช้า แถมยังพาลูกสาวขนฟูที่น่ารักพอๆ กับแม่ไปด้วย

“จะกินแซลมอนให้หมดทะเลเรอะ.... ไอ้ขี้อวด เดี๋ยวนี้ขิงเก่งจริงเว้ย!”

ผมก็บ่นขิงบ่นข่าไปงั้นเอง ถึงจะหมั่นไส้ทิชาเวอร์ชั่นใหม่ที่ร่าเริงมากขึ้นอีกนิด กล้าเอาตัวเองออกสู่โลกภายนอกมากขึ้นอีกหน่อยแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีให้มันก็คือความยินดีด้วยจากใจจริง.... ถึงตัวเองจะอกกลัดหนองแต่ถ้าไอ้ดาวของผมมันยิ้ม ผมก็ยิ้มไปพร้อมกับมันได้เสมอ แม้ว่าคนที่ทำให้เรื่องราวของมันจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งจะไม่ใช่ผมก็เถอะ มาได้ไกลมากเท่านี้ สำหรับผมก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทุกคนรอบข้างต่างก็มีหนทางที่ต้องไปต่อกันทั้งนั้น บางคนก็ยังอยู่ในช่างก้าวเดินตามล่าความฝัน บางคนโชคดีหน่อยก็อาจจะไปถึงปลายทางแล้ว แต่ไม่มีใครที่จะอยู่ที่เดิมไปตลอดชีวิตได้

แล้วตัวผมล่ะ.... บนถนนที่ปลายทางไม่มีไอ้ทิชารออยู่ ผมจะยังสามารถเจอกับตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนอย่างที่มันเจอเฮียโรมได้หรือเปล่า?

.

.

ผมจะลองเสี่ยงเดิมพันอะไรบางอย่างดูสักครั้งดีไหมนะ....?

.

.

‘ฮัลโหล แดน?’

ผมยังไม่ทันใส่หูฟังบลูธูทเสร็จดี พี่ปายก็กดรับโทรศัพท์ด้วยความเร็วแสง อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเห็นชื่อผมปรากฏขึ้นบนหน้าจอหรือเปล่าถึงได้รีบรับเร็วเหมือนกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจตัดสายทิ้งขนาดนี้

‘มีอะไร? ลืมของไว้ที่งานเหรอ?’

“อาทิตย์นี้พอจะมีเวลาว่างสักสองวันไหมครับ?”

‘เอ๊ะ??’

ปลายสายทำเสียงตกใจกลับมาให้ได้ยิน ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้นักหรอก จากที่ไม่เคยสนใจใยดีแต่อยู่ๆ จู่ๆ ก็โทรมาหาถามว่าว่างไหม เป็นใครก็ต้องตกใจอยู่แล้ว

เพียงแต่เรื่องที่น่าตกใจไม่ได้มีแค่นี้....

“ผมจะชวนพี่ปายไปเที่ยวสมุย.... ไปด้วยกันไหม?”

‘เอ๊ะ!!!!!???’

“ไปนอนเล่นรีสอร์ทของลุงผมสักคืน ย่างกุ้งย่างปูกินให้สะใจไปเลย หรือจะไปดำสน็อกเกิลดูปะการังเกาะข้างๆ อะไรงี้ก็ได้.........”

‘จริงเหรอ?? แดนชวนพี่จริงๆ นะ????’

พี่ปายยังคงทำน้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมว่าผมพอจะนึกหน้าเขาในตอนนี้ออก.... ดวงตาเรียวๆ เบิกกว้าง อ้าปากหวอ หันมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีแบบตื่นๆ ดูแล้วก็คงเหมือนตัวอัลปาก้าหรืออะไรประมาณนั้น

“จริงครับ ชวนพี่ปายคนเดียวด้วย”

‘โอ๊ยยยยย ทำไงดี.... แดนชวนพี่ไปเที่ยวอะ!!’ 

คนถูกชวนกรีดร้องโหยหวนเสียจนผมอดขำไม่ได้ แต่ไอ้ที่คิดว่าดีใจจนเนื้อเต้นขนาดนี้ยังไงก็ต้องตอบตกลงก็กลับกลายเป็นเรือคว่ำกลับตาลปัตรร้อยแปดสิบองศา 

‘แต่อาทิตย์นี้พี่มีคิวงานยาวเลย คงไปไม่ได้แน่ๆ..........’

รอยยิ้มเอ็นดูคนอายุมากกว่าบนใบหน้าผมหายไป แทนที่ด้วยการกระตุกมุมปากเบาๆ เมื่อรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเองก็แพ้เดิมพันหมดหน้าตักอีกเช่นเคย

‘รอแปบนึงนะ พี่จะลองถามพี่โรสดูก่อนว่าขอเลื่อนคิวงานไปสักสองวันได้ไหม.... รอนะ เดี๋ยวพี่โทรกลับไปบอก’

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีงานก็อย่าเลย"

‘พี่อยากไปจริงๆ นะ แดน.............’

อะไรที่มันไม่ได้ก็คือไม่ได้ อะไรที่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มาคิดดูอีกทีแล้ว ผมว่าก็อย่าไปฝืนลากสิ่งที่ไม่ใช่ให้กลายเป็นใช่เลยดีกว่า

“เอาไว้คราวหน้าก็ได้ครับ สมุยกับรีสอร์ทมันก็อยู่ที่เดิม ถ้าคนจะได้ไป เดี๋ยวก็คงได้ไปเอง” 

พี่ปายลากเสียงครางฮือบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเสียดายแทบตายกับโอกาสที่มาถึงแต่คว้าเอาไว้ไม่ได้ หากสำหรับผม ในตอนนี้เกมมันโอเวอร์ไปแล้วล่ะ 

“แค่นี้นะครับ ผมจะขับรถต่อแล้ว”

สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดีหลังจากที่ผมตัดสายพี่ปายทิ้ง รถทุกคันออกตัวไปข้างหน้ามุ่งสู่ปลายทางของแต่ละคน.... ผมเองก็เช่นกัน ในเมื่อความพยายามเปลี่ยนเส้นทางไม่ประสบผลสำเร็จ ชีวิตคนเราก็ดันไม่ใช่บทละครที่นึกจะเขียนตอนจบให้ออกมาดีแค่ไหนก็เขียนได้ตามใจชอบ ก็ได้แต่ปล่อยเท้าเหยียบคันเร่งมือประคองพวงมาลัยเข้าเกียร์เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แม้ว่า ณ สถานที่ตรงนั้นจะไม่มีอะไรที่เป็นของผมอย่างแท้จริงเลยก็ตาม


บางทีฟ้าอาจจะยังไม่เป็นใจให้ผมตัดใจจากไอ้ทิชาจริงๆ ล่ะมั้ง....?



หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 00:56:19
ROME's PART



รีสอร์ทสุดหรูติดชายหาดกับอาหารทะเลสดปิ้งย่างก็ถือว่าดี แต่ไม่มีอะไรดีเท่ากับการได้เห็นทิชากลับมาเดินได้อีกครั้ง กินแซลมอนเยอะเท่าภูเขา กินขนมหวานในไลน์บุฟเฟ่ต์เมื่อวานมากเสียจนผมสงสัยว่ากระเพาะเล็กๆ นั่นขยายใหญ่ได้อีกกี่เท่า ส่งเสียงดุไม่ให้ยัยมิลค์กระโดดขึ้นไปบนเคาท์เตอร์บาร์

ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำว่ารักที่ผมได้ยินจากปากเขาจะไม่ใช่แค่การปลอบใจให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ตัวเองอีกต่อไปแล้ว....


“มิลค์.... หม่ำแซลมอนกัน ปลาสีส้มๆ ไง”

“เมี้ยว~”

ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าสองแม่ลูกเขาคุยกันรู้เรื่องจริงหรือเปล่า แต่ก็เห็นเข้าอกเข้าใจกันดีเมื่อมีซาชิมิแซลมอนชิ้นอวบวางอยู่ตรงหน้า.... ทิชาฉีกเนื้อปลาให้เป็นชิ้นเล็กลงแล้วส่งให้ยัยลูกสาวเคี้ยวหยับๆ เจ้าตัวก็คีบใส่กินปากเองด้วย ระยะหลังมานี้ ทิชากินเก่งขึ้นมาก ขนาดแซลมอนจานไซส์ใหญ่สุดยังกินคนเดียว (กับยัยมิลค์) จนหมดได้ ไหนจะบรรดาขนมนมเนยของโปรดกับน้ำอัดลมอีก แต่ด้วยความที่ปกติแล้วทิชาค่อนข้างจะผอม พอมีแก้มนิดๆ ก็ยิ่งดูสุขภาพดีมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิม ตราบใดที่เขาไม่ได้กินจนผมล้มละลายก็ไม่มีปัญหา

“แม่แมว หันมาหน่อยครับ”

ผมยกเลนส์กล้องส่องไปทางคนที่กำลังเมามันส์อยู่กับปลาดิบ ทำเอาร่างเล็กหันมาโวยวายพร้อมทั้งเอามือบังหน้าตัวเองไม่ยอมให้ถ่ายรูปง่ายๆ

“พี่โรมอะ ชากำลังกินอยู่นะ!”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย แก้มป่องๆ น่ารักจะตาย”

พอชมว่าน่ารักเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยอมให้ถ่ายรูป ถึงจะโดนมองค้อนทิ้งท้ายบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบนักก็เถอะ แต่สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นตอนทิชากิน นอน นั่งเล่นเกมในแลปท็อป เลี้ยงยัยมิลค์หรือทำอะไรก็ตาม ผมก็อยากเก็บภาพเอาไว้แทนความทรงจำทั้งหมดที่เราได้อยู่ด้วยกัน

ลืมบอกไปว่างานอดิเรกในช่วงนี้ของผมก็คือการถ่ายรูป เพิ่งถอยกล้อง Mirrorless ตัวท็อปใหม่เอี่ยมพร้อมเลนส์อีกสอง-สามตัวมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ก็กะจะเอามาถ่ายรูปทิชากับยัยมิลค์นี่แหละ ฝีมือยังไม่เก่งกาจอะไรนัก อาศัยดูรีวิวกับวิธีตั้งค่าในเว็บไซต์ก็ช่วยให้รูปออกมาสวยได้อย่างใจพอสมควร.... แต่จะอวยว่าเป็นเพราะกล้องแพงหรือตากล้องมีพรสวรรค์ก็ไม่ใช่หรอก นายแบบส่วนตัวของผมเขางานดีมาตั้งแต่เกิด ต่อให้เอาโทรศัพท์กากๆ ถ่ายก็ยังน่ารัก แต่ผมก็มีความสุขที่จะได้ถ่ายรูปเขาด้วยกล้องดีๆ ให้รายละเอียดบนภาพที่อัดออกมาเหมือนตัวจริงที่สุด

“หยุดถ่ายได้แล้ว มากินนี่เร็วๆ เลย”

ระหว่างที่กำลังปรับโน่นปรับนี่หลังเปลี่ยนไปใช้เลนส์อีกตัว เผลอแปบเดียวนายแบบกิตติมศักดิ์ก็มานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วคีบมากิซูชิไส้กุ้งใส่ปากผม

ยี่สิบสองปีในชีวิต ผมไม่เคยรู้สึกเสียดายอะไรเท่ากับการเพิ่งได้เจอทิชาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ถ้าสามารถย้อนเวลาไปได้ ผมคงจะไปดักรอจีบตั้งแต่วันแรกที่น้องมาสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย.... ไม่สิ ตามไปจองที่โรงเรียนมัธยมเลยดีกว่า จะได้ไม่มีใครมายุ่งหรือทำให้แม่แมวของผมมีแผลใจจากไอ้พวกชาติชั่วโง่ซ้ำซ้อนที่ไม่รู้ตัวว่าทำเพชรเม็ดงามหลุดมือไป

การมีแฟนน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ แถมยังรักเราคนเดียวมันคือนิพพานสำหรับผู้ชายจริงๆ นะครับ

“พระอาทิตย์จะตกแล้ว ลงไปเดินเล่นชายหาดกัน”

ทิชาพยักหน้าตอบตกลงอย่างว่าง่าย หลังจากที่เรานอนเล่นพักสายตาและพักพุงหลังอิ่มอืดจากอาหารมื้อบ่ายซึ่งผมสั่งให้มาเสิร์ฟถึงห้อง.... เมื่อวานนี้ก็มัวแต่นอนกอดกันจนเพลิน ตื่นมาอีกทีก็ฟ้ามืดสนิทต้องรีบไปกินข้าวก่อนที่จะเลยเวลาห้องอาหารมื้อเย็น พลาดการดูพระอาทิตย์ตกดินในวันแรกที่มาถึงเกาะสมุยไปแบบที่ได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มหน้าแห้งทั้งคู่

ผมใส่สายจูงให้ยัยมิลค์แล้วอุ้มเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จูงมือทิชาให้เขาค่อยๆ เดินลงบันไดหน้าบ้านพักซึ่งทอดยาวสู่ชายหาดส่วนตัวของรีสอร์ทด้วยกัน   .... ไม่อยากจะคุยว่าทั้งสมุยมีบ้านพักติดชายหาดจริงๆ แบบนี้อยู่ไม่กี่หลัง แค่เดินออกจากบ้านไม่กี่สิบเมตรก็สามารถเอาเท้าแตะน้ำทะเลได้แล้ว

“น้ำทะเลยังอุ่นอยู่เลย ดูสิ”

ทิชาลงไปลุยคลื่นตรงที่ความสูงของน้ำประมาณช่วงข้อเท้า ใบหน้าสวยประดับรอยยิ้มร่าเริงชอบใจ ในขณะที่ผมรับหน้าที่จูงลูกสาวเดินเล่นบนพื้นแห้งสลับกับถ่ายรูปแม่แมวลูกแมวด้วยหัวใจที่อิ่มเอมกับภาพแห่งความสุขที่ได้

“พี่โรม”

“ครับ?”

“ขอบคุณที่พาชามาที่นี่นะ.... ชามีความสุขมากเลย” 

ร่างเล็กหันมาหาผม น้ำเสียงหวานกับดวงตากลมโตใสแจ๋วยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายสั่นไหว รู้สึกราวกับว่าตัวจะลอยขึ้นในอากาศอย่างไรก็อย่างนั้น 

“ถ้าไม่มีพี่โรม ชาก็ไม่รู้ว่าชีวิตในตอนนี้จะเป็นยังไง.... อาจจะยังเป็นเด็กมีปัญหา คิดว่าไม่มีใครรักตัวเอง แล้วก็ถูกพวกใจหมาหลอกให้ขึ้นเตียงด้วยซ้ำไปซ้ำมาอยู่ก็ได้มั้ง”

“อย่าไปคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยนะ” 

และนั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทิชาได้รับรู้ 

“เพราะสิ่งที่ทิชาคิดมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว.... ไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้หรือวันไหน ทุกวันของทิชาจะมีพี่อยู่ด้วยเสมอ พี่อาจจะไม่ได้เพอร์เฟก บางทีก็ออกจะทึ่มๆ เรื่องความรักเสียด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ใจได้เลยก็คือพี่จะไม่ทำให้ทิชาเสียใจ”

ผมวางมือจากกล้องถ่ายรูป อุ้มยัยมิลค์เดินเข้าไปหาร่างเล็กซึ่งกำลังรอฟังประโยคที่เหลือจากปากผม

“ขอบคุณที่สอนให้คนอย่างพี่ได้รู้ว่าความรักจริงๆ มันไม่ใช่แค่การคบกัน เจอหน้ากัน โทรศัพท์คุยจีบกัน เลี้ยงข้าว ดูหนังไปเรื่อยเปื่อย แต่มันเป็นอย่างที่เราสองคนเป็นอยู่ในตอนนี้แหละ”

“ถึงจะพูดให้ฟังจนเบื่อแล้ว แต่ขอพูดอีกทีก็แล้วกัน.... พี่รักทิชานะครับ”

“ไม่เห็นพี่โรมจะทึ่มเรื่องความรักตรงไหน.... จีบเก่งจะตาย ขนาดอยู่ด้วยแล้วยังจีบแฟนตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน”

ทิชาพูดขำๆ แต่เขาคงไม่รู้มั้งว่าที่ผมพยายามบอกรักเขาทุกวันก็เป็นเพราะความรู้สึกผิดปนเสียดายที่ตอนรู้จักกัน ผมไม่ได้เป็นฝ่ายจีบหรือทำอะไรดีๆ ให้เขาเลย

นึกย้อนกลับไปทีไรก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่ปฏิเสธคำสารภาพรักจากทิชา ผมเลือกมองข้ามเขาเพราะคิดว่าตัวเองรู้สึกดีกับอีกคนมากกว่า อยากได้คนรักที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ กลัวว่าความอ่อนไหวของทิชาจะทำให้ผมอึดอัดใจแล้วต้องบอกเลิกในที่สุด แต่มันไม่ใช่เลยสักนิด ทิชาเสียอีกที่ต้องรับมือกับความขี้ใจอ่อนไม่เอาไหนของผม ถึงจะเคยทำให้ผวาหน่อยๆ ตอนที่รู้ว่าโดนหลอกชิงเกียร์ หากสุดท้ายมันก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดเลยนอกจากทิชารักผม รักมาก รักจนยอมแลกได้ทุกอย่าง

และในวันที่ทิชาเกือบจะต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุ ผมก็ยิ่งตระหนักถึงความจริงที่ว่าผมไม่สามารถขาดคนๆ นี้ได้อีกแล้ว

ผมรักทิชายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แล้วผมก็อยากให้น้องรับรู้ด้วย....



“พระอาทิตย์จะตกแล้ว แสงสวยมากเลย”

“ทิชาหันไปทางนั้นนิดนึงสิ เดี๋ยวย้อนแสงแล้วหน้าดำ”

ผมยังคงหันเลนส์กล้องไปทางคนรัก ใบหน้าจิ้มลิ้มหมดจดเหมือนตุ๊กตาราคาแพงสะท้อนแสงสีส้มทองไม่ต่างจากภาพวาดจากฝีมือจิตกรเอก.... ให้ตายเถอะ ผมจะทำยังไงดี ไม่มีทางที่ไอ้เจ้ากล้องถ่ายรูปตัวละไม่กี่หมื่นจะเก็บรายละเอียดความสวยชวนตะลึงที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้ได้หมดแน่

“พี่โรมไม่ต้องถ่ายแล้ว มาดูด้วยกัน” 

ระหว่างที่กำลังมือสั่นปรับชัตเตอร์สปีดอยู่นั้น ทิชาก็ตรงเข้ามาอุ้มยัยมิลค์ขึ้นจากพื้นทรายก่อนจะดึงมือผมให้มายืนข้างกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ก็จ้องมองออกไปยังท้องน้ำซึ่งกระทบโดนแสงแดดสุดท้ายของวันจะเป็นประกายระยิบระยับ นิ่งค้างอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอียงศีรษะซบลงมาบนหัวไหล่ผม 

“อยู่ด้วยกันมาเกือบปี เพิ่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันครั้งแรกเลยนะ”

“นั่นสินะ...........”

“สวยจัง ต่างจากที่กรุงเทพฯ ลิบลับเลย”

ดูทิชาจะชอบทะเลที่นี่มาก ตั้งแต่เมื่อวานที่มาถึงก็อารมณ์ดีอยู่ตลอด ส่วนผม แค่ได้เห็นทิชากับยัยมิลค์มีความสุขอิ่มหนำสำราญ ผมก็ยิ่งกว่าดีใจแล้ว

“พระอาทิตย์ตกก็สวยนะ แต่สวยไม่เท่าความรักของเราหรอก” 

ผมพูดให้ฟังดูคล้ายทีเล่นทีจริง แต่เราสองคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นความจริงทุกคำ 

“ในสายตาพี่ ทิชาสวยที่สุด.... บอกตามตรงว่าทะเลยังหมองเลย”

ร่างบางหัวเราะร่าพลางเอื้อมมือมาตีแขนผมแก้เขิน

“ทำไมเดี๋ยวนี้หยอดเก่ง จะเป็นวิศวะหรือจะขายขนมครก?”

“เป็นวิศวะที่ขายขนมครกได้ไหม?” 

ผมก้มลงหอมแก้มทิชาอีกฟอด ขณะที่ยัยมิลค์โดนมนุษย์ทาสอุ้มนานเกินไปก็เลยดิ้นจนแม่แมวต้องปล่อยให้ลงยืนเองบนพื้นอีกรอบ ผมก็เลยขยับเข้าไปกอดคนรักเอาไว้ในอ้อมแขนได้เต็มที่ 

“พี่อยากบอกรักทิชาบ่อยๆ บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้.... เราอย่าเพิ่งเบื่อพี่เสียก่อนล่ะ”

“ชาไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย เก็บไว้บอกวันหลังบ้างก็ได้”

“ไม่ชอบให้พี่บอกรักเยอะๆ เหรอ?” 

ผมแกล้งย้อนถาม ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าร่างเล็กก้มหน้างุดอยู่กับอกผม ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเช่นเดียวกับผิวแก้มซึ่งนุ่มนิ่มน่าหอมเป็นที่สุด 

“เขินล่ะสิ.... ใช่ไหม?”

นึกว่าจะโดนกำปั้นเด็กขี้อายทุบแก้เขินเสียแล้ว ผิดคาดตรงที่ผมไม่ได้โดนประทุษร้ายร่างกายตรงไหนเลย หากเจ้าตัวกลับพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“เขินสิ..........มากด้วย”

ผมจับคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดู ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายถือสายจูงยัยมิลค์อยู่ ผมคงอุ้มขึ้นมาฟัดให้หนำใจแล้ว.... ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์สีส้มจัดก็เคลื่อนตัวลงจมหายไปกับเส้นขอบฟ้าโพ้นทะเล เหลือทิ้งไว้เพียงรัศมีของมันซึ่งน่าจะคงอยู่ได้อีกชั่วประเดี๋ยว ผมแอบชำเลืองมองไปยังบันไดทางลงจากบ้านพักพูลวิลล่าสู่ชายหาด สิ่งที่เตรียมไว้ถูกพนักงานรีสอร์ทช่วยนำออกมาจัดวางให้อย่างเรียบร้อยตามที่คิดเป๊ะ ผมจึงกระซิบบอกทิชาให้รู้ตัวก่อนจะจูงร่างบางให้หันกลับไปดูว่านอกจากบอกรักทุกวันแล้ว ผมยังทำอะไรเพื่อเขาได้อีก

“เดี๋ยวมีให้เขินยิ่งกว่านี้อีก”

“พี่โรม.....นี่มัน...........??”

แน่นอนว่าแม่แมวของผมจะต้องคิดไม่ถึงว่าจะโดนเซอร์ไพรส์เข้าอย่างจัง ทว่า ภายใต้สีหน้าตกตะลึงนั้น ผมสามารถมองทะลุลงไปเห็นรอยยิ้มได้ไม่ยากเลย

ก็อย่างที่บอกว่าความสุขของทิชาก็คือความสุขของผม


“เหมือนงานแต่งริมทะเลเลยใช่ไหมล่ะ?”


และจากนี้ไป ผมก็จะทำให้เขารู้ว่าเราสองคนก็คือคนๆ เดียวกัน และหัวใจของเราก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกันตลอดไป

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 01:00:34
TISHA's PART



เมื่อผมหันหลังกลับไปยังบันไดที่เราเดินลงมาด้วยกันเมื่อกี้ สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่เพียงหาดทรายว่างเปล่าอย่างที่มันควรจะเป็น....


เสาระแนงไม้สีขาวด้านบนมีผ้าพริ้วๆ สีฟ้าพันปล่อยชายให้ไหวไปตามแรงลมคล้ายกับซุ้มประตู กระดิ่งลมโมบายเปลือกหอยแกว่งไกวส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งน่ารักน่าฟัง บนพื้นมีกระถางดอกไม้พันธุ์เล็กแต่สันสดใสวางเรียงเป็นของตกแต่งซึ่งเหมาะกับบรรยากาศริมทะเลอย่างบอกไม่ถูก ตรงกลางซุ้มมีโต๊ะอาหารคลุมด้วยผ้าปูสีขาว บนโต๊ะมีเทียนประดับครอบด้วยโคมแก้วทรงกลมสำหรับกันลมพัด.... เมื่อแสงอาทิตย์หายลับไป ตะเกียงดวงใหญ่ก็ถูกจุดขึ้นให้แสงสว่างแก่บริเวณนั้นแทน ผมก็ยิ่งตื่นเต้นตกตะลึงไปกับความโรแมนติกของสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

“พี่โรม.....นี่มัน...........??”

“เหมือนงานแต่งริมทะเลเลยใช่ไหมล่ะ?”

ร่างสูงยิ้มอวดอย่างภาคภูมิใจในผลงาน จริงอย่างที่พี่โรมพูดนั่นแหละ งานแต่งริมทะเลที่ผมเคยเห็นตามฉากละครทีวีก็คล้ายๆ แบบนี้ หัวใจยิ่งพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาจากอกเมื่อคิดว่าพี่โรมอุตส่าห์เตรียมของพวกนี้เอาไว้ให้ แม้ว่าเราจะแต่งงานกันจริงๆ ไม่ได้ก็เถอะ

“แฟนใครเนี่ย.... จีบเก่งแล้วยังเซอร์ไพรส์เก่งอีก”

ผมไม่รู้เลยว่าพี่โรมแอบเตรียมการไว้ตั้งแต่เมื่อไร แสดงว่าไอ้ที่ชวนผมออกมาดูพระอาทิตย์ตกก็เพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ มิหนำซ้ำยังแอบนัดพี่ๆ พนักงานให้มาจัดของด้วยความเร็วแสงตอนที่เรากำลังหันไปดูทะเลเสียด้วยนะ

พี่โรมกุมมือผมพร้อมกับอุ้มยัยมิลค์ให้เดินเข้าไปยัง ‘งานพรีเวดดิ้ง’ เก้าอี้ถูกเตรียมเอาไว้สามตัว สำหรับผมกับพี่โรมและลูกสาวของเรา แต่เพราะยัยมิลค์ไม่ยอมนั่งนิ่งๆ เราก็เลยต้องผูกสายจูงเอาไว้กับขาเก้าอี้แทนแล้วปล่อยให้มันทำตาลุกวาวกระโจนใส่ปูลมอยู่ที่พื้น.... ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายอกสามศอกจะทำเรื่องมุ้งมิ้งขนาดนี้ได้ จนถึงตอนนี้ผมยังงงอยู่เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาแล้วเขาแอบไปเตี๊ยมกับคนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

“ยังมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ชาอีกไหม?” 

ผมถามทั้งที่หน้ายังบานจนหุบไม่ลง

“ไม่มีแล้วครับ แค่ดินเนอร์เฉยๆ” 

พี่โรมตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปยังรถเข็นแบบสามชั้นด้านข้างซึ่งมีอาหารมื้อค่ำของเราอัดมาจนแน่นขนัด ชั้นบนสุดเป็นถังน้ำแข็งกับเครื่องดื่มสารพัดชนิดทั้งแบบเมาและไม่เมา เขาเปิดสปาร์กลิ้งไวน์กลิ่นผลไม้แบบที่ดีกรีไม่แรงมากให้ผม ส่วนของเขาก็เป็นไวน์ขาวโซวีญง บลองก์ที่เข้ากันได้ดีกับอาหารทะเล 

“ดื่มให้กับทิชาและความรักของเรา........”

“ชาดื่มให้พี่โรม แล้วก็คนบนฟ้าที่ทำให้เราสองคนได้มาเจอกัน”

งานฉลองของเราเริ่มต้นขึ้นแบบธรรมดาๆ ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเกินไปกว่าการดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมทะเล เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่โรมทำให้ผมนั้น มันดีจนไม่รู้จะดียังไงได้มากกว่านี้อีกแล้ว.... แค่เขารักผม และช่วยให้ทุกคนรอบๆ ตัวเขารักและยอมรับผมด้วยมันก็ยิ่งกว่าความฝันที่เป็นจริง

“พี่สั่งแต่ของที่ทิชาชอบทั้งนั้นเลยนะ.... มีล็อบสเตอร์บิสค์กับหอยเชลล์ย่างเนยด้วย ล็อบสเตอร์กับหอยลายอบเนยกระเทียม กุ้งเผาปูเผาก็มี แล้วก็อันนี้ขาดไม่ได้ ซาชิมิแซลมอนของโปรดของแม่แมวกับลูกแมว”

“ยัยมิลค์ไม่สนใจแซลมอนแล้ว อยากได้ปูลมจนปากสั่นเลยเนี่ย”

เราคุยกันไปพลาง พี่โรมก็ทยอยเอาอาหารจากรถเข็นวางลงบนโต๊ะจนเกือบเต็มพื้นที่ เยอะเสียจนน่ากังวลว่าถ้ากินกันแค่สองคนหมดนี่มีหวังได้ท้องแตกแหงๆ แต่พูดแบบไม่อวยเลยนะ อาหารที่รีสอร์ทนี้อร่อยเกือบทุกอย่าง ผมพิสูจน์มาแล้วจากมื้อเย็นเมื่อวานและไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้า.... ผมว่าปกติผมเป็นคนกินน้อยนะ พี่โรมยังเคยบ่นเลยว่าผมกินข้าวเหมือนแมวดมและจะไม่พาผมไปร้านบุฟเฟ่ต์หมูกะทะอะไรแบบนี้เป็นอันขาด แต่วันนี้ผมกินมื้อนี้เป็นมื้อที่ห้า ไม่นับรวมขนมกับของว่าง ถ้ากลับกรุงเทพฯ แล้วยังตามใจปากอย่างนี้ต่อไป ผมคงต้องอ้วนเป็นหมูแน่ๆ

“ทิชา เปิดฝาเจ้าตัวนี้ให้พี่หน่อยสิ”

พี่โรมวานผมให้ช่วยแงะเปลือกหอยเชลล์ก่อนจะหันไปรินไวน์เพิ่ม ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะโดยทั่วไปแล้วหอยเชลล์ย่างมักจะเสิร์ฟแบบเปิดฝาด้านบนออกให้แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ

ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งผมมองเห็นแสงสะท้อนโลหะสีเงินกับเสียงก๊อกแก๊กลอดออกมาจากเปลือกหอยที่ปิดฝามาทั้งด้านบนและด้านล่าง



ไหนบอกว่าแค่ดินเนอร์เฉยๆ ไง

ไม่เห็นบอกกันเลยว่าจะเซอร์ไพรส์กันขนาดนี้



“โอย....เล่นแรงเกินไปแล้วนะ..........”

เหมือนหัวใจผมถูกโจมตีอย่างแรงเพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเปลือกหอยเชลล์ไม่ใช่เนื้อหอยทรงกลมเหนียวนุ่มแสนอร่อย หากแต่เป็นแหวนทองคำขาววงเกลี้ยงขึ้นรูปเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายอินฟินิตี้ที่ด้านในสลักคำว่า ‘Today , Tomorrow , Always’ สื่อให้รู้ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ ตลอดมาและตลอดไป ผมจะเป็นคนเดียวที่เขารัก ดูแลและให้ความสำคัญตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ผมเงยขึ้นมองคนเจ้าเล่ห์ช่างคิด ดวงตาสีเข้มฉายชัดถึงความชอบอกชอบใจที่ได้เห็นผมตกใจจนหน้าเหวอมือไม้สั่นไปหมด.... ใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ อยู่ดีๆ ก็มีแหวนแทนใจโผล่มากะทันหันแบบนี้ แถมคนให้ยังยิ้มกริ่มมีความสุขที่แผนการทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดีอีกต่างหาก

“เซอร์ไพรส์เก่งมั้ย แฟนใครเอ่ย?”

“พี่โรมบ้า......โตแล้วนะ ชอบเล่นเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อย...........” 

ผมไม่ได้โกรธพี่โรมเลยสักนิด ออกจะยิ้มไม่หุบกับสิ่งที่เขาทำให้ด้วยซ้ำ แต่ต่อมน้ำตากลับตื้นขึ้นมาเสียอย่างนั้นเมื่อหัวใจถูกสั่นไหวด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่างปะปนกัน 

“พี่โรมอะ.......ฮึก......บ้า.........บ้าที่สุดเลย..............”

“อ้าว ร้องไห้ซะแล้ว.... พี่ไม่ได้รังแกเราเลยนะ” 

ร่างสูงใช้ปลายนิ้วปาดเกลี่ยหยดน้ำอุ่นให้พ้นไปจากหางตาผม น้ำเสียงหยอกเย้านุ่มนวลเช่นเดียวกับทุกการกระทำซึ่งแสดงออกว่าเขารักและใส่ใจผมแค่ไหน 

“ยิ้มหน่อยนะ ทิชาของพี่”

ผมว่าผมก็กำลังยิ้มอยู่แหละ แต่สงสัยว่าแรงสะอื้นจะทำให้ผมหน้าบิดเบี้ยวเหยเกจนพี่โรมมองไม่ออกว่าผมตื้นตันใจจนแทบพูดไม่ออก.... แหวนวงนั้นสงบนิ่งอยู่บนฝ่ามือของผม ข้อความด้านในถูกอ่านซ้ำเป็นครั้งที่ร้อยภายในช่วงเวลาไม่ถึงนาที มันยิ่งกว่าความประทับใจ มากกว่าความตราตรึง มหัศจรรย์จนเกินว่าจะเชื่อได้ว่ามีคนทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อผม.... เพื่อคนที่ถูกโลกทั้งใบหันหลังให้อย่างผม

“พี่โรมรู้ไหมว่านี่มันสำคัญกับชามากเหลือเกิน...........” 

พอรู้ตัวว่าร้องไห้แล้ว น้ำตากลับยิ่งไหลไม่ยอมหยุด ผมมองพี่โรม บอกให้เขาได้ยินว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้กลายเป็นคนรักอย่างสมบูรณ์แบบของเขา 

“สำคัญมากจริงๆ นะ.......ชาไม่คิดมาก่อนเลยว่าชาตินี้จะมีคนทำอะไรแบบนี้ให้.......มันสวยมากเลย........สวยที่สุด..........”

“เกียร์วิศวะฯ ที่ห้อยคอทิชาอยู่มันเป็นของที่ทิชาต้องพยายามเพื่อให้ได้มาครอบครอง แต่แหวนวงนี้ พี่ตั้งใจสั่งทำให้ทิชาโดยเฉพาะ.... และมันจะเป็นของทิชาคนเดียว ไม่มีใครมาแย่งไปได้”

ร่างหนาหยิบแหวนจากมือผมไปถือไว้เองก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้า.... เขาบรรจงสวมแหวนให้ผมที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างทะนุถนอม สัมผัสจากเนื้อโลหะซึ่งโอบรอบข้อนิ้วไม่ได้เย็นเฉียบ หากแต่อบอุ่นอ่อนโยนราวกับแสงแดดยามเช้า แหวนวงนี้คือคำสาบานรักที่พี่โรมมีให้ผม ไม่ต้องเก็บความเสียใจเอาไว้แล้วคอยมองอยู่ห่างๆ ไม่ต้องอิจฉาใคร ไม่ต้องทะเลาะแย่งกับใคร ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรือเอาร่างกายเข้าแลกเพื่อให้ได้มันมา

ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากย้ำอีกครั้งและอีกครั้ง

พี่โรมรักผม....


“อันนี้ขอหมั้นไว้ก่อนนะ ไว้เรียนจบแล้วจะขอแต่งแบบเป็นทางการ.... จัดงานในโรงแรม เชิญพ่อแม่ ผู้ใหญ่กับเพื่อนๆ ทั้งฝั่งพี่แล้วก็ฝั่งทิชามาเป็นพยาน เอาให้รู้ไปทั้งโลกเลยว่าเราสองคนรักกัน”

ที่แท้เซอร์ไพรส์ที่พี่โรมเตรียมไว้ก็คืองานหมั้นเล็กๆ ที่มีแค่เรา ถึงแม้ว่าผมจะพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่อยากเรียกร้องอะไรจากเขาแล้ว แต่พี่โรมก็ช่างรู้วิธีที่จะทำให้ผมรักเขามากยิ่งขึ้นไปอีก

“ว่าแต่ทิชาจะแต่งกับพี่หรือเปล่าเนี่ย?”

“แต่งสิ.... พี่โรมนั่นแหละ พูดจริงหรือแค่อำเล่น?”

“จริงครับ”

“ไม่หลอกกันนะ”

“ไม่หลอกครับ”

พี่โรมกุมมือผมเอาไว้ด้วยสองมือของเขา ยกขึ้นมาประทับจูบเบาๆ ทว่า สั่นสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ แหวนเงินทอประกายล้อแสงจากโคมตะเกียง ระยิบระยับเหมือนดวงดาว.... ข้างในอกอุ่นซ่านและเบาหวิวยามเมื่อบรรยากาศแห่งความสุขอบอวลรายล้อม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหือดแห้งไป เหลือไว้เพียงรอยยิ้มซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าชีวิตอันแสนหดหู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกนั้นจะไม่หวนย้อนกลับมาหลอกหลอนทำร้ายผมอีก

“หมั้นแล้วหมั้นเลยนะ แหวนวงนี้ด้วย เปลี่ยนใจมาทวงคืนทีหลังก็ไม่คืนให้แล้วนะ”

“เด็กบ๊อง พี่ไม่ทวงคืนหรอกน่า” 

พี่โรมหัวเราะให้กับความขี้วิตกจริตของผม แต่ก็อย่างว่า ผมโดนมาเยอะ เจ็บมาเยอะ จะยังจำฝังใจก็ไม่แปลก 

“ให้แล้วให้เลย หัวใจพี่ก็เหมือนกัน”

มือข้างที่ถูกประทับจูบเมื่อกี้เลื่อนไปแตะบนอกซ้ายของร่างสูง ก้อนเนื้อเต้นไหวตุบตับจนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายก็กำลังอิ่มเอมกับช่วงเวลานี้ไม่แพ้กัน

“ทุกอย่างที่เป็นของพี่กลายเป็นของทิชาหมดแล้วนะ.... ห้ามทิ้งพี่ไปไหนด้วย ลูกผู้ชายร้องไห้มันดูไม่เท่เลย เข้าใจใช่ไหม”

“น่าเสียดาย ชายังไม่เคยเห็นพี่โรมร้องไห้เลยอะ”

ผมโถมตัวลงจากเก้าอี้ไปกอดร่างหนาเต็มแรงจนเราทั้งคู่ล้มลงคลุกพื้นทราย สภาพมอมแมมพอๆ กับยัยมิลค์ที่คว้าปูลมมาเหยียบไว้ใต้อุ้งเท้าจนได้.... ริมฝีปากของเราประกบเข้าหากัน แม้จะไม่ดูดดื่มร้อนแรงเหมือนเช่นทุกครั้งหากก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ล้นปริ่มออกมาจากหัวใจ ผมคงจะไม่ได้เห็นพี่โรมร้องไห้หรอกเพราะผมจะไม่มีวันจากเขาไป และเช่นเดียวกัน ผมก็คงจะไม่ได้ร้องไห้อีกแล้วตราบใดที่ยังมีพี่โรมอยู่ตรงนี้

มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท กลุ่มดาวกระจัดกระจายส่องแสงคล้ายมีคนจุดพลุฉลองให้กับการข้ามขั้นจากแฟน คนรัก ไปยังการเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน จากนี้ไปเราจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ซื่อสัตย์ ไม่ทอดทิ้ง เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและใจให้อีกฝ่ายเสมือนว่าเราคือคนๆ เดียวกัน

“พี่โรมว่าคืนนี้ฝนจะตกไหม?” 

ผมกระซิบถามพี่โรมเมื่อลมทะเลพัดมาวูบใหญ่ในตอนที่เรายังคงกอดกัน กลุ่มเมฆเริ่มเคลื่อนตัวหนาขึ้นจนแสงดาวถูกบัดบังไปส่วนหนึ่ง มือใหญ่ลูบหัวผมก่อนจะประคองให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม

“ไม่ตกหรอก พี่ดูพยากรณ์อากาศมาแล้ว”

ชายหนุ่มว่าพลางยกไอโฟนให้ผมดูว่าโอกาสที่ฝนจะตกในคืนนี้มีแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ลองว่าจะจัดงานหมั้นริมทะเลสุดโรแมนติก คนอย่างเขาจะไม่มีทางทำพลาดเพราะฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจเด็ดขาด

“เก่ง”

“แต่ถึงฝนจะตกจริง พี่ก็ไม่ยอมให้ทิชาเปียกหรอกนะ” 

ร่างหนาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปลิวมาปรกหน้าเพราะแรงลมออกให้ เมื่อไม่มีอะไรมาเกะกะสายตา รอยยิ้มแสนอ่อนโยนซึ่งปรากฏบนใบหน้าหล่อคมจึงซึมซับบันทึกลงสู่ห้วงความทรงจำของผมชัดเจนอย่างที่กล้องวิดิโอยี่ห้อไหนก็ทำไม่ได้ 

“พี่จะเป็นร่ม เป็นเสื้อกันฝน เป็นหลังคาที่จะปกป้องทิชาจากสายฝนให้เอง.... เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”

ผมยิ้ม.... ยิ้มสวยที่สุดซึ่งกลั่นออกมาจากหัวใจแล้วพยักหน้า



“ถ้ามีพี่โรมอยู่ด้วย ต่อให้เป็นพายุเฮอร์ริเคน ชาก็ไม่กลัว”


.


.


.


ในที่สุดยัยมิลค์ก็เบื่อปูลมแล้วกระโดดขึ้นมานั่งรออาหารบนเก้าอี้ ผมก็กลับไปฉีกเนื้อปลาป้อนลูกสาวแสนรู้ กินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ป้อนพี่โรมบ้าง พี่โรมป้อนผมบ้าง.... เสียงชัตเตอร์ดังเป็นระยะสลับกับเสียงพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุข เพื่อสร้างอัลบั้มรูปครอบครัวซึ่งมีเราสองคนกับอีกหนึ่งตัวอยู่ภายในนั้น มันจะเป็นอัลบั้มรูปครอบครัวเล่มแรกในชีวิตของผม คือตัวแทนความทรงจำที่บ่งบอกว่าเรื่องของพวกเราจะคงอยู่ต่อไปแบบ  ‘Today , Tomorrow , Always’

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง บอกลาพายุมรสุมซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้ผมเสียน้ำตา หนาวเหน็บและคิดว่าตัวเองคงจะต้องตายจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง

แต่ไม่แล้วล่ะ เพราะท้องฟ้าที่พี่โรมสร้างให้ผมนั้นสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


.

.


.


และไม่ว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้หรือวันไหนๆ

ผมก็คงไม่ต้องหวาดกลัวสายฝนอีกต่อไปแล้ว....



+++++


ขอข้ามคู่สมุยเดือดไปก่อน คู่นั้นเอาไว้ตอนจบแล้วค่อยพูดถึงทีเดียว


อันนี้ก็เป็นฉากสุดท้ายของคู่แดนปาย feat. แดนทิชา ในส่วนของ Downpour

เป็นคู่ที่เราบอกได้เต็มที่เลยว่ายังไม่แฮปปี้ในเวลานี้แน่นอน (แต่หลายๆคนก็คงรู้แล้วว่าแดนกับพี่ปายจะมีบทบาทต่อไป รวมถึงมีตอนพิเศษของตัวเองด้วย) ก็ลองติดตามกันดูนะคะว่าไอ้แดนนรกของทิชากับพี่ปายคนดีจะได้สมรสสมรักกันหรือเปล่า

ขอพูดถึงเนื้อหาในฉากสุดท้ายของคู่นี้อีกนิดนึง

ก็อย่างที่เห็นเนอะว่านายแดนเลือกที่จะไม่ตัดใจจากทิชา ยอมเป็นเบ๊ถือของให้ทิชา นั่งมองเค้าเฉยๆ ดีกว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถแอบรักทิชาได้อีก.... ประมาณว่าถ้าแดนเลือกที่จะคบกับพี่ปาย การแอบรักทิชาก็จะไม่ใช่เรื่องดีอีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องปล่อยทิชาไป ซึ่งตรงนี้นายแดนยังข้ามกำแพงตรงนั้นไปไม่ได้

ที่ชวนพี่ปายไปสมุยด้วยกันก็คือความพยายามจะข้ามกำแพงในใจตัวเอง อยากจะมีความสุขเหมือนคนอื่น ( ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ใครจะอยากเป็นที่2ไปตลอดล่ะเนอะ) แต่จังหวะมันไม่ได้ แดนก็ไม่อยากฝืน เพราะอันที่จริงก็ไม่อยากจะเลิกรักทิชาอยู่แล้ว

พี่ปายก็ไม่ต่างอะไรจากแดน รู้ว่าแดนรักใคร ตัวเองเป็นที่2ก็ได้ ดีกว่าจะให้คนที่เรารักหายไปเลย

ถึงจะเป็นคู่ประกอบ แต่ก็คิดว่าน่าจะสะท้อนความรักแบบคนกล้าได้ไม่กล้าเสียให้เห็นได้บ้างไม่มากก็น้อยเจ้าค่ะ



สำหรับอัพเดทนี้ก็จบบทบาทของบีบี๋ นังบี๋ หรืออีบี๋ ในเรื่อง Downpour แล้วค่ะ

นี่เป็นฉากสุดท้ายของบีบี๋ เฮียรุจ และพี่แจ็คคนดี

สำหรับพี่แจ็ค อาจจะมีกล่าวถึงต่ออีกนิดหน่อย เนื่องจากพี่เค้าเป็นเพื่อนรักของพี่โรม พี่เลยได้ไปต่อ แต่บีบี๋กับเฮียรุจ บทบาทหลักๆ ของทั้งคู่คือจบเท่านี้ ไม่มีต่อแล้วค่ะ ไม่มีตอนพิเศษ ในภาคต่อๆไปของจักรวาลโซนากีที่เราเคยเกริ่นในทวิตก็ไม่มีบทของบีบี๋กับเฮียรุจ (เท่าที่แพลนไว้ตอนนี้คือไม่มีค่ะ เหตุผลจะได้รู้ในบทส่งท้ายเด้ออออ)

หลายคนอาจจะยังสงสัยความสัมพันธ์ของบีบี๋กับเฮียรุจ.... ถามว่าเป็นแฟนหรือเป็นคนรักกันใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ค่ะ ทั้งสองคนแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ อยู่แบบที่เคยอยู่ เพราะคิดว่าไม่มีใครที่เหมาะกับตัวเองเท่าอีกฝ่ายอีกแล้ว แต่จะเป็นการคบแบบบอกรักกันจี๋จ๋า(แบบพี่โรมกับทิชา) อันนั้นไม่ใช่ค่ะ จุดเริ่มต้นมันไม่ใช่อะเนอะ

แต่ในอนาคต เค้าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันมั้ย ก็ขอให้เป็นจบแบบปลายเปิดแล้วแต่ใจคนอ่านจะจินตนาการแล้วกันเนอะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 01:03:36
~ บทส่งท้าย ~

ท้องฟ้าในวันที่ไม่มีสายฝน




เวลาผ่านไปหกปีกว่าแล้วนับจากพายุฝนลูกใหญ่ซึ่งพัดผ่านเข้ามาในตอนที่ผมอายุยี่สิบ....


เคยมีคนบอกเอาไว้ตามเพจคำคมสวยๆ ว่า บาดแผลในอดีตก็ไม่ต่างกับคราบสกปรกบนเสื้อผ้า มีทั้งซักออกได้และซักให้ตายก็ไม่มีทางออก

อยู่ที่ว่าเราจะเลือกวิธีจัดการกับมันยังไง.... บางคนก็ยังใส่เสื้อตัวเดิมโดยไม่สนใจว่ามันจะไม่สวยเหมือนเก่า ใครจะมองว่าซกมกก็ช่าง ขอแค่ใส่สบายก็พอ บางคนก็ยังใส่เสื้อตัวเดิมโดยที่ตีโพยตีพายไม่หยุดหย่อนว่าเพราะอะไรเสื้อฉันถึงต้องเลอะด้วย ทำไมผงซักฟอกถึงไม่สามารถช่วยขจัดคราบด่างพร้อยพวกนั้นได้หมดแบบในโฆษณา บางคนก็ช่างหัวแม่งทุกอย่างแล้วกำเงินไปซื้อเสื้อตัวใหม่ ทำราวกับว่าตัวเองไม่เคยมีเสื้อเลอะๆ ตัวนั้นมาก่อน

ต่างคนต่างความคิด ต่างกรรมต่างวาระ ไม่มีข้อไหนผิดและไม่มีข้อไหนถูก.... การตัดสินใจขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางความคิด อารมณ์ และการมองโลกในแง่มุมของคนๆ นั้น


แล้วคุณคิดว่า ทิชา ทิชนันท์ จะมองข้ามรอยแผลในหัวใจที่เคยหยั่งรากฝังลึกได้หรือเปล่า....?

.

.

.


“พี่โรม.... เดี๋ยวชาข้ามถนนไปรอฝั่งตรงข้ามก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องยูเทิร์นมา รถมันติด”

(ไม่เอา ถนนกว้างขนาดนี้จะข้ามมายังไง ทิชารอพี่อยู่หน้าตึกนั่นแหละ)

“อย่าเวอร์น่า สะพานลอยก็มี แค่นี้นะ”

ผมตัดบทแล้ววางสายไม่ให้คนขี้ห่วงแย้งอะไรกลับมาได้อีก ก่อนจะหอบข้าวของรวมถึงแปลนสเก็ตช์งานตกแต่งภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชั้นล็อบบี้ของตึกที่ผมเพิ่งเดินออกมาข้ามถนนสี่เลนย่านสุทธิสารไปอีกฝั่ง

ปกติแล้วผมมักจะไปไหนมาไหนด้วยรถไฟฟ้าหรือแท็กซี่ หากเพราะวันนี้มีธุระที่เราทั้งคู่ต้องไปต่อ พี่โรมก็เลยต้องมารอรับหลังเสร็จงาน.... มันเป็นผลกระทบจากอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้ผมเข็ดขยาดหวาดระแวงการขับรถไปเลย ทีแรกแทบไม่กล้านั่งรถยนต์ที่ขับบนทางหลวงด้วยซ้ำ ทว่า หลังจากเข้ารับการบำบัดติดต่อกันเกือบสองปี ผมก็ไม่รู้สึกกลัวการนั่งรถอีกต่อไป แต่ไอ้เรื่องให้หยิบกุญแจมาขับเองให้ตายก็ไม่มีทาง ผมยอมซดน้ำมันเครื่องทั้งแกลลอนดีกว่าจะไปสติแตกทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางถนนก่อนจะจบลงด้วยการฟาดกับเสาไฟฟ้าอีกรอบ

พี่โรมก็เห็นด้วยกับการที่ผมจะไม่ขับรถอีก เขาทำหน้าที่รับส่งผมโดยไม่เคยปริปากบ่น ยิ่งตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการดีลเลอร์อะไหล่รถยนต์นำเข้าเองแล้วก็เลยค่อนข้างมีเวลามากขึ้นกว่าช่วงที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ซึ่งต้องไปหาประสบการณ์ในบริษัทประกอบรถยนต์ญี่ปุ่นที่รุ่นพี่แนะนำให้



ลืมบอกไป.... หลังจากผ่านการฝึกงานอย่างหนักหน่วงจนคว้าใบปริญญามาได้ในที่สุด ผมก็เข้าทำงานในบริษัทอินทีเรียเฮาส์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าของบริษัทเป็นรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยเดียวกันตกลงรับผมเข้ามาในตำแหน่งมัณฑนากรผ่านการฝากฝังจากอาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยปัญหาด้านสุขภาพร่างกายซึ่งเป็นผลพวงจากอุบัติเหตุคราวนั้น ผมจะเจ็บทุกครั้งที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ ส่วนใหญ่เลยมักจะได้รับผิดชอบเรื่องการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ งานบิลด์อิน จัดวางเลย์เอาท์ ขึ้นแบบสามมิติด้วยโปรแกรมเสียมากกว่า ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ที่ช่วยให้ผมสามารถส่งไฟล์งานผ่านคลาวด์และประชุมกับทีมผ่านทีวีคอนเฟอร์เรนซ์หรือไลฟ์แชทได้ จะมีแค่ช่วงแรกๆ ของโปรเจกต์ที่ต้องเข้ามาดูหน้างานจริงเพื่อวัดขนาดพื้นที่ ถ่ายรูปเก็บข้อมูลไปลงรายละเอียดต่อ แล้วก็เข้าออฟฟิศอย่างมากเดือนละสอง-สามครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เคยอิดออดในหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว

ถึงจะไม่ใช่บริษัทมหาชนใหญ่โตมีชื่อเสียงอะไร แต่เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี รุ่นพี่ก็น่ารัก ผมจึงค่อนข้างแฮปปี้กับชีวิตการทำงานมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีงานเสริมเป็นจ๊อบฟรีแลนซ์เข้ามาให้ทำอยู่เนืองๆ บางทีก็เป็นงานออกแบบตกแต่งคอนโดฯ ร้านเค้กร้านกาแฟของเพื่อนแม่ บางทีก็เป็นงานรีโนเวตห้องพักในรีสอร์ทของทางบ้านพี่โรม หรือบางทีก็ได้งานจากไอ้แดนซึ่งไปลงหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างกับรุ่นพี่สถาปัตย์ มันออกแบบข้างนอก ผมออกแบบข้างใน ทำงานไปด้วยด่ากันไปด้วยก็สนุกไปอีกแบบ

ด้านชีวิตส่วนตัวของผมก็ราบรื่นดี ผมกับพี่โรมย้ายไปอยู่คอนโดฯ แห่งใหม่ฝั่งถนนสุขุมวิทติดสถานีรถไฟฟ้าซึ่งขนาดใหญ่กว่าที่เก่าซึ่งมีแค่หนึ่งห้องนอน แต่ผมก็ยังไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดฯ เหมือนสมัยเรียน เจอแม่บ้าง ไม่เจอบ้างก็แล้วแต่จังหวะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้จะเจอบ่อยขึ้นเพราะแม่รับงานในวงการน้อยลงมาก ไม่มีเดินสายรีวิวสินค้าออกอีเวนท์เรื่อยเปื่อยอะไรทำนองนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่งานละครของช่องป้าอิ๋วกับช่องหลักก็ไม่รับเลย.... ช่วงวันหยุดยาว ผมกับแม่ก็มักจะย้ายสำมะโนครัวไปพักผ่อนกันที่รีสอร์ททะเลภาคใต้ เปลี่ยนไปนอนเล่นน้ำเกาะนู้นทีเกาะนี้ทีแล้วแต่ลูกเขยสุดที่รักของแม่จะจัดให้

ปลายปีนี้เรามีแพลนจะไปเที่ยวยุโรปกันทั้งบ้านผมและบ้านพี่โรม ก็กำลังเลือกอยู่ว่าจะไปกับทัวร์เจ้าไหนดี ครั้งล่าสุดที่คุยกันได้ยินป๊าพี่โรมกำชับมาว่าราคาเท่าไรไม่เกี่ยง แต่ทัวร์ต้องบริการดีที่สุด มีรถรับส่งตลอดทริปเพราะผมเดินเยอะไม่ค่อยไหว ก็เกรงใจท่านอยู่เหมือนกัน แต่ก็แอบดีใจที่ป๊าม๊ายินดีต้อนรับผมเข้าไปเป็นสมาชิกครอบครัวเขาอย่างเต็มตัว

ผมไม่ได้ตกลงเซ็นเอกสารเป็นลูกบุญธรรมของป๊ากับม๊า เพราะไม่อยากให้ญาติๆ ฝั่งเขาหรือใครครหาได้ว่าผมกับแม่หวังจะมีส่วนในสมบัติของบ้านอนุวัฒน์วงษ์ แต่ทันทีที่พวกท่านทราบเรื่องที่บ้านใหญ่ยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้ผมเปลี่ยนนามสกุล ป๊ากับม๊าก็บอกให้ผมเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกับพี่โรมเสียให้หมดเรื่องหมดราว ซึ่งผมไม่ปฏิเสธ ณ จุดนั้น

สำหรับทางฝั่งบ้านพ่อ ตั้งแต่ผมเปลี่ยนนามสกุลมาใช้อนุวัฒน์วงษ์ พวกเขาก็ไม่ได้มายุ่มย่ามวุ่นวายกับผมอีก ผมมีคอนโดฯ ซอยหลังสวนกับเงินที่พ่อโอนเข้าบัญชีให้เป็นก้อนสุดท้ายก็คือจบ หลังจากนี้ผมกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะเรียกร้องเอาอะไร แม้กระทั่งสิทธิ์ในพินัยกรรม ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเจอกันอีกทีก็คงเป็นงานศพของใครสักคนนั่นแหละ.... ถึงจะเสียใจนิดหน่อยที่พ่อรักผมน้อยเกินกว่าจะทัดทานคำขาดจากญาติๆ ในบ้านใหญ่ซึ่งต้องการให้ผมเปลี่ยนนามสกุลและออกจากตระกูลทิพยศักดิ์เสนาไป แต่ผมก็โตพอที่จะเข้าใจว่าบางครั้งคนเราก็สั่งให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการไม่ได้ ผมจึงเลิกตั้งคำถาม เลิกโทษว่าตัวเองคือต้นเหตุความเฮงซวยของเรื่องราวทั้งหมด และมีความสุขให้มากๆ กับชีวิตในปัจจุบันแทน



“ตากแดดมาร้อนล่ะสิ.... ชามะนาวครับคุณ”

เมื่อผมแทรกตัวเข้ามาในรถ พี่โรมก็ส่งชามะนาวยี่ห้อโปรดแช่เย็นเจี๊ยบที่เขาเพิ่งแวะซื้อจากร้านสะดวกซื้อให้ เป็นความใส่ใจเสมอต้นเสมอปลายที่คนรักมีให้ผม แม้จะผ่านมาเกือบเจ็ดปีที่คบกันแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

“รู้ใจอีกละ” 

ผมยิ้มรับพลางเปิดฝาขวด ยิ่งข้างนอกอากาศร้อนตับแตก มาได้เครื่องดื่มหวานอร่อยเติมน้ำตาลเข้าเส้นเลือดก็ค่อยยังชั่ว

“ไม่รู้ใจทิชาแล้วจะให้พี่ไปรู้ใจใคร”

คนตัวสูงยักคิ้วให้ในทำนองว่ามันแน่อยู่แล้ว ก่อนที่บีเอ็มดับบลิวสีดำจะแล่นฝ่าการจราจรไปยังจุดหมายที่เราสองคนตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า



เมื่อกี้ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่โรมลาออกจากบริษัทที่เข้าไปทำตอนแรกแล้วมาเปิดกิจการดีลเลอร์ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์รายย่อยเป็นของตัวเอง จริงๆ แล้วก็ไม่เชิงว่าเป็นของตัวเองทั้งหมดหรอก แค่พี่โรมเป็นหุ้นใหญ่ มีรุ่นพี่อีกคนลงเงินเป็นหุ้นเล็กและพี่แจ็คลงแรง.... กิจการรีสอร์ทของที่บ้านก็ยังคงมีป๊าม๊าเป็นผู้บริหารหลัก สองแฝดมิลานกับเวนิสจะเริ่มเข้ามารับช่วงต่อหลังเรียนจบปริญญาโท พี่โรมก็แค่ออกความเห็นบ้างแต่ไม่เข้าไปมีบทบาทเยอะเพราะเขารักที่จะทำในสิ่งที่ชอบมากกว่า

บริษัทดีลเลอร์ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ค่อยๆ เติบโตไปทีละก้าวอย่างไม่เร่งรีบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกลูกเศรษฐีเงินหนาที่ชอบเล่นรถแต่ง ซูเปอร์คาร์อะไรเทือกๆ นี้ ซื้อมาขายไปพ่วงบริการช่วยเลือกอะไหล่ออปชั่นที่เฟี้ยวที่สุดในสยามประเทศ ตลอดจนเข้าไปเซอร์วิสช่วยคุมช่างซ่อมบำรุงสากกระเบือยันเรือรบ.... ยิ่งพอลูกค้ารู้แบ็คกราวน์ว่าลูกชายบ้านอนุวัฒน์วงษ์ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่แล้วในวงสังคมเปิดบริษัทนี้ขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองกับเพื่อนๆ คุณชายไฮโซลูกหลานไฮซ้อก็ยิ่งให้ความไว้วางใจที่จะใช้บริการ ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานขั้นแรกพอสมควร

นอกจากนี้ พี่โรมยังมีงานอดิเรกที่ใครรู้ก็ต้องอึ้งทึ่งเสียวอ้าปากค้างไปสิบวิ เพราะเขาคือแอดมินเพจ ‘พ่อบ้านกับสาวน้อย’ อันแสนโด่งดังในโลกโซเชียล ยอดกดไลค์ติดตามกว่าครึ่งล้าน เนื้อหาในเพจก็คือกิจวัตรประจำวันของพี่โรมกับยัยมิลค์ (ซึ่งถ้านับตามอายุแมวก็ควรจะเป็นคุณป้ามิลค์มากกว่าสาวน้อย) ไม่ว่าจะโยนปลาทูแคทนิปใส่กันอยู่ในบ้าน แต่งชุดคอสเพลย์ หรือพากันออกไปเดินเล่นข้างนอก

พี่โรมแกถ่ายรูปถ่ายคลิปอัพเดทให้แฟนคลับยัยมิลค์ได้กรี๊ดกร๊าดวันละสามเวลาหลังอาหาร ถึงจะเคยได้ยินว่าครึ่งหนึ่งของคนที่กดไลค์นั้นอยากติดตามคุณพ่อบ้านมากกว่าแม่สาวน้อยก็เถอะ สาม-สี่เดือนก็มีไปออกอีเวนท์การกุศลช่วยหาเงินบริจาคให้มูลนิธิแมวจรสักครั้งหนึ่ง.... เพราะทำแล้วมีประโยชน์แถมได้ช่วยเหลือสังคม ผมก็เลยไฟเขียวให้สองพ่อลูกสนุกกันได้เต็มที่

.


.


.


เย็นวันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดผู้บริหารช่องเอ็มที่โรงแรมห้าดาวย่านสาทร ดารานักแสดงทุกคน ตลอดจนคนที่เคยร่วมงานกับทางช่องต่างก็ได้รับเชิญให้ไปแสดงความยินดีกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือกัน.... ถึงแม้ผมจะต้องถอนตัวออกจากซีรีส์กลางคันเพราะอุบัติเหตุ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับเข้าวงการบันเทิงอีก แต่ประธานบอร์ดบริหารช่องกับป้าอิ๋วก็ยังให้ความเมตตาเอ็นดูผมอยู่เสมอในฐานะที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน อีกทั้งยังให้เกียรติเชิญมาร่วมงานเป็นตัวแทนแม่นิดาซึ่งวันนี้มีออกกองต่างจังหวัดของละครอีกช่องหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ผมกับพี่โรมก็เลยต้องมาเลือกของขวัญสำหรับแสดงความยินดีในห้างไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดฯ เรา เสร็จแล้วก็แวะหาข้าวกินให้เรียบร้อยก่อนจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปงานในตอนหัวค่ำ

ผมบอกว่าอยากกินสุกี้ พี่โรมก็ตามใจไม่ขัดเลยสักแอะ เมื่อเข้าไปนั่งประจำที่ ผมก็จัดแจงวางถุงของขวัญซึ่งห่อกระดาษติดริบบิ้นอย่างดีไว้ข้างตัว เพียงแต่ภายในถุงไม่ได้มีของเพียงแค่กล่องเดียวแบบที่ควรจะเป็น

“อีกกล่องนึงนั่นอะไร?”

“อ๋อ นี่ของขวัญวันเกิดไอ้บี๋น่ะ.... พอดีอาทิตย์หน้าวันเกิดมัน” 

ผมบอกความจริงตามตรงไม่มีปิดบัง

“ก็แค่เมาส์ปากกาเอาไว้ให้มันใช้ทำงาน ไม่ได้แพงอะไรหรอก”

“แล้วจะเอาไปให้ที่เชียงใหม่เลยเหรอ หรือส่งไปรษณีย์ไป?”

“เดี๋ยวชาถ่ายรูปส่งให้มันดูก่อน ไว้มีโอกาสเจอเมื่อไรค่อยให้ก็ได้”

พี่โรมพยักหน้ารับรู้โดยที่ไม่ขัดผมอีกเช่นเคย เขาคงเข้าใจแหละว่ายังไงผมกับบีบี๋ก็เคยสนิทกันมาก ถึงจะห่างกันไปแล้วนับตั้งแต่มันย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นโดยไม่บอกผมสักคำ แต่ความเป็นเพื่อนก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด และความห่วงใยก็ยังคงมีให้เสมอตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่



พูดถึงบีบี๋.... เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้เจอมันมาเกือบปีแล้วล่ะ

ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของพี่โรมที่ไปพูดใส่หน้ามันตอนผมยังไม่ฟื้นว่าอย่ามายุ่งกับผมอีก เพราะในเวลานั้นทุกคนต่างก็สติแตกโยนกันไปโยนกันมาว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมขับรถชนเสาไฟฟ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้บี๋มันรู้สึกผิดและเสียใจจนไม่กล้าสู้หน้าผม.... นัดเจอก็ไม่ค่อยยอมออกมา ต้องบังคับบ้างอะไรบ้างอยู่เรื่อย แล้วทุกครั้งที่คุยกันมันก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ผมเกือบตาย ถึงรอดมาได้แต่แข้งขาก็ไม่ดีเหมือนเดิม

ผมเองก็เคยโกรธมันนะ เวลาที่ต้องทำกายภาพบำบัดซ้ำๆ หรือเวลาที่ปวดขาก็มักจะแอบคิดอยู่เรื่อยว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาเจอเรื่องบ้าบอห่าเหวพรรค์นี้ด้วย หากสุดท้ายก็ต้องทำใจแล้วลืมๆ มันไปซะ โกรธไปก็เท่านั้น ถึงขาจะเจ็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตผมจะฉิบหายสักหน่อย อย่างน้อยก็มีพี่โรม มียัยมิลค์ มีแม่ แล้วก็ป๊าม๊าที่คอยดูแล แล้วจะเสียใจไปทำไมหนักหนา

กลับมาพูดถึงบีบี๋ต่ออีกนิด.... ตั้งแต่ผมกลับมาพักฟื้นที่คอนโดฯ ผมเข้าใจว่ามันยังไปเรียนตามปกติโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว จนกระทั่งเห็นมันอัพรูปงานที่ทำส่งอาจารย์ลงในไอจี ผมถึงได้ตงิดใจว่านี่มันวิชาอะไรก็เลยส่งข้อความไดเร็คไปถาม มันเลยต้องสารภาพว่าลาออกเทียบโอนหน่วยกิตไปมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง.... ได้ยินพี่แจ็คเล่าให้ฟังว่าพี่รุจเป็นคนส่งเสียให้มันได้เรียนนิเทศศิลป์ สาขามัลติมีเดียอาร์ตอย่างที่ชอบ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของมันแล้วล่ะมั้งที่ไม่ต้องฝืนใจกับอะไรที่ไม่ชอบและไม่ถนัดอีก

มันไม่เคยบอกผมหรือใครๆ ว่าอยู่กับพี่รุจในสถานะไหน แต่ผมคิดว่ามันน่าจะโอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วล่ะ.... ร้านเบอร์ลิคเพิ่งปิดกิจการถาวรไปเมื่อสองปีก่อนหลังจากที่บีบี๋เรียนจบ พวกวิศวะฯ แยกย้ายเปลี่ยนแหล่งชุมนุม ระบบเกียร์และกฏเหล็กกลายเป็นแค่เรื่องเล่าขานกันในหมู่รุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามา ส่วนพี่รุจกับบีบี๋ก็ย้ายไปซื้อบ้านอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ ไม่แน่ใจว่าคราวนี้พี่รุจทำงานอะไร ผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย แต่ไอ้บี๋เพื่อนผมเป็นนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์แล้วก็สอนพิเศษศิลปะให้เด็กๆ หลังเลิกเรียนและในวันเสาร์-อาทิตย์

ตอนจบของนิยายน้ำเน่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่ได้เห็นท้องฟ้าสดใสหลังพายุฝนผ่านพ้นไป ผมคิดว่าบีบี๋ก็คงเป็นเหมือนกัน

ถึงแม้บางสิ่งที่เสียไปจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม แต่เราทั้งคู่ต่างก็เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากบาดแผลที่ทิ้งไว้ให้กันและกัน


และไม่ว่าใครจะพูดว่าร้ายยังไง ไอ้บี๋ก็ยังเป็นคนแรกที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’ อยู่เช่นเดิม
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 01:06:20
ตอนที่ผมกับพี่โรมมาถึง ห้องแกรนด์บอลรูมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานของช่องเอ็มก็มีแขกเหรื่อมาจนเรียกได้ว่าคับคั่ง กองทัพนักข่าวยืนออกันอยู่เต็มทางเข้าเพื่อถ่ายรูปดารากับป้ายแบ็คดร็อป กว่าจะเบียดเสียดเข้าไปเซ็นชื่ออวยพรและวางของขวัญได้ก็เหนื่อยเอาการ โชคดีที่ไม่ค่อยมีใครจำผมได้ หลังจากผ่านพิธีแสดงความยินดีตามมารยาทก็สามารถเดินเข้างานได้แบบสบายๆ

“ทิชา ทางนี้!”

คนแรกที่เรียกผมพร้อมทั้งโบกมือให้ก็คือพี่ปาย เขารีบเดินเข้ามาทักทายก่อนจะกอดผมด้วยความคิดถึงตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“ไม่เจอทิชาตั้งหลายปี ยังดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ.... น่ารักเหมือนเดิม”

พี่ปายมองสำรวจพลางจับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาจนพอใจ เสียงแหบหวานเอ่ยชมแล้วชมอีกเสียจนผมต้องรีบส่ายหน้าบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้น บอกตามตรงว่าเวลาโดนคนหน้าตาดีมากๆ แบบเขาพูดชมนี่มันชวนให้รู้สึกจักจี้ยังไงพิกล  ถึงแม้ว่าพี่ปายจะไม่ได้เสแสร้งแกล้งชมตามมารยาทก็เถอะ

“พี่ปายเองก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะครับ ขนาดผมไม่ค่อยได้ดูทีวียังเห็นหน้าพี่แทบทุกวัน”

“ฟังพูดเข้า ก็นิดหน่อยน่า”

เจ้าตัวยิ้มเขิน ยกมือขึ้นเกาต้นคอเก็บอาการปลื้มกับฉายาซูเปอร์สตาร์รุ่นใหม่ของเมืองไทย แต่ก็อย่างที่ผมบอกเมื่อกี้ ไม่ว่าจะเปิดโทรทัศน์ไปช่องไหนก็ต้องได้เห็นพี่ปายทุกชั่วโมง ถ้าไม่ใช่ละครก็โฆษณา เห็นข่าวแว้บๆ ว่าละครเรื่องใหม่พีเรียดฟอร์มยักษ์ของเขาเพิ่งเปิดกล้อง มิหนำซ้ำทุนสร้างยังมากกว่าห้าสิบล้านด้วย

“แล้วนี่พี่ปายมากับใครครับ ภัทรเหรอ?”

ร่างโปร่งบางอมยิ้มก่อนจะปฏิเสธ 

“ไม่ใช่หรอก ภัทรเขามากับพุดดิ้งน่ะ”

“งั้นก็พี่โรส?”

ทีแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวซึ่งดูแลพี่ปายมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ แต่เขาก็ยังปฏิเสธด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ผมก็เลยเดาออกทันทีว่าบุคคลที่ทำให้ดาราเบอร์ต้นของวงการบันเทิงไทยปลื้มปริ่มมีความสุขหัวใจพองโตได้ขนาดนี้คือใคร

“รู้ละ มากับไอ้แดนแน่ๆ”

“ใช่.... วันนี้แดนไปรับพี่ที่บ้านล่ะ”

พี่ปายก็ยังคงเป็นพี่ปาย ถ้าเป็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับไอ้แดนก็ทำเขายิ้มเล็กยิ้มน้อยเหมือนเด็กวัยรุ่นแรกรักได้ตลอด.... ประเด็นคือจนป่านนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ปายกับไอ้แดนก็ยังไม่ชัดเจน แม้กระทั่งผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงทั้งคู่จะเอายังไงกันแน่ แต่ถ้าพี่ปายเขาแฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ ผมก็ไม่บังอาจไปวิจารณ์หรือพูดว่าเขาควรทำแบบไหนอย่างไรหรอก



เล่าเรื่องพี่ปายสักนิด.... ช่วงที่ผมเพิ่งฟื้นหลังจากที่หลับไปห้าวันเต็มๆ เมื่อป๊าพี่โรมช่วยทำเรื่องย้ายตัวผมมารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้ว นอกจากแม่ผมกับครอบครัวพี่โรมและไอ้แดน พี่ปายเป็นหนึ่งในคนที่มาเยี่ยมผมบ่อยที่สุดเลย ตอนนั้นสงครามคิวท์บอยเปิดกล้องแล้ว แต่พี่ปายก็ยังพยายามมาทุกครั้งที่ไม่มีคิวถ่าย.... ตอนแรกผมก็สงสัยปนระแวงว่าเขาจะมาทำไมบ่อยๆ ในเมื่อผมกับเขาก็ใช่ว่าจะสนิทสนมรักใคร่กันมากมาย ทำดีหวังผลหรือเปล่า ทำนองว่าผูกมิตรกับผมเพื่อหาโอกาสใกล้ชิดไอ้แดนอะไรประมาณนี้

แต่เมื่อได้คุยเปิดใจกับเขาจริงจังในฐานะเพื่อน ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลย แล้วผมก็รู้สึกแย่ด้วยที่เผลอคิดกับพี่ปายในแง่ร้าย.... คนๆ นี้เป็นคนดีมาก อ่อนโยนและมีน้ำใจ ดีเสียจนถ้าผมเป็นฝ่ายรุก ผมก็คงจีบเขาเองไปแล้วล่ะ

พูดถึงเรื่องงาน หลังจบสงครามคิวท์บอย พี่ปายก็ดังเปรี้ยงแซงหน้าดารารุ่นเดียวกันและได้รับรางวัลดาวรุ่งในปีนั้นจากทุกสถาบัน คะแนนโหวตทิ้งห่างคู่แข่งชนิดไม่เห็นฝุ่น.... ซึ่งผมว่าก็สมควรแล้วเพราะพี่ปายมุ่งมั่นตั้งใจจะมาทางสายนี้ตั้งแต่แรก ดีกว่าให้ผมแย่งบทที่เขาควรจะได้เล่นไปแล้วก็จบด้วยการหันหลังให้วงการบันเทิง ทิ้งโอกาสที่คนอีกนับแสนนับล้านอยากได้ไปแบบสูญเปล่า

แต่ถึงจะลัคกี้อินเกม ผมกลับไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเมื่อไรพี่ปายจะลัคกี้อินเลิฟกับคนที่เขาทุ่มเทความรักให้อยู่ฝ่ายเดียว....

พี่ปายไม่เคยบอกผมหรอกว่าเขาชอบไอ้แดน ไอ้แดนก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นอะไรที่รู้กันโดยไม่ต้องพูดล่ะมั้ง.... เหมือนเขาไม่กล้าแตะต้องหรือเอาตัวเข้ามามีส่วนในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้แดน เขาไม่เคยแสดงท่าทีโกรธเคืองที่แดนกับผมสนิทกัน ไม่เคยทำท่าน้อยใจเวลาที่แดนให้ความสำคัญกับเรื่องของผมมากกว่าเขา.... ในหลายๆ ครั้ง ผมก็เห็นนะว่าไอ้แดนมันใจร้ายกับพี่ปายแค่ไหน แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อทั้งสองคนพอใจจะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป

ความรักไม่ใช่แค่ฝ่ายหนึ่งเริ่มแล้วอีกฝ่ายจะต้องสนองตอบทันทีเสมอไป บางทีก็ต้องใช้เวลาและความพยายามในการจูนตัวเองเข้าสู่วงโคจรของเป้าหมาย ผมเข้าใจทฤษฎีนี้ดียิ่งกว่าหลักการออกแบบตกแต่งภายในเบื้องต้นเสียอีก

ก็ได้แต่หวังว่าพี่ปายเขาจะโชคดีเหมือนผมในวันใดวันหนึ่งล่ะนะ....




“ทิชา~ ทำไมมึงมาช้าจัง?”

พูดถึงหมา หมาก็รีบเดินหน้าแป้นแล้นมาเชียว....

“กูคิดถึงมึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งห้าวันแล้ว~”

นายแดน ดรัณภพ เดือนสถาปัตย์ในตำนานเดินมากอดล็อกคอผมจากทางด้านหลัง ลากเสียงยานคางอ้อนง้องแง้งไม่ต่างจากสมัยเรียนชวนให้อยากยกเท้าขึ้นถีบต่อหน้าธารกำนัล แต่คงไม่ต้องลำบากถึงผมหรอกเพราะบอดี้การ์ดร่างยักษ์ที่ผมหนีบมาด้วยเขาจัดการกับไอ้เหาฉลามนี่ให้แล้ว

“เฮ้ย ทำอะไรเกรงใจกูด้วย!” 

พี่โรมไม่เตือนแกมขู่แค่ปากเปล่า แต่มือยังกระชากหลังคอเสื้อญาติผู้น้องดึงให้ถอยห่างออกจากผมอย่างไม่ปรานีปราศัย

“เฮียจะมาทำไมเนี่ย.... เคยเป็นดาราเหรอ เขาไม่ได้เชิญสักหน่อย!”

ไอ้แดนก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ ถ้าเป็นเรื่องของผมล่ะก็ มันพร้อมจะกวนตีนพี่ชายได้ตลอด ผ่านมาหก-เจ็ดปีแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา

“ก็มากันมึงออกจากเมียกูไง!” 

ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไร เพราะให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางเล่นด้วย แต่พี่โรมก็มักจะหัวเสียเวลาเห็นไอ้แดนมาเกาะแกะผม เมื่อก่อนเป็นศัตรูหัวใจกันก็เคยต่อยฟาดปากกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผมกับพี่โรมอยู่ด้วยกันแบบเป็นทางการ ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้และเห็นดีเห็นงามด้วยแต่ไอ้แดนก็ไม่ยอมล้มหายตายจากไปไหนสักที.... เขาทั้งสาปแช่ง ทั้งอวยพรให้ไอ้น้องเวรรีบๆ มีเมียเป็นของตัวเองจะได้เลิกติดผม ทว่า ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ 

“หนังหน้ามึงก็ออกจะดี ไม่มีปัญญาหาเมียเองหรือไงวะ มายุ่งกับทิชาอยู่ได้!”

“รอเฮียเผลอไง อย่าเผลอก็แล้วกัน.... ผมขอบัตรคิวเบอร์แรกจากไอ้ทิชาไว้ละ ไม่เชื่อถามมันดูก็ได้นะ”

“หยุดเลย พี่น้องตีกันเองก็ไม่ต้องลากกูเข้าไปเกี่ยว!”

ผมด่าด้วยความเอือมระอา พี่โรมกับไอ้แดนเจอหน้ากันทีไรก็มีอันต้องฮึ่มแฮ่ใส่กันแบบนี้ตลอด ถึงพวกเขาจะไม่เลือดร้อนต่อยกันไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมแบบตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นก็เถอะ แต่ถึงจะเป็นวัยผู้ใหญ่อายุยี่สิบกลางๆ พี่โรมก็ยังคงหึงแรงหวงแรง แล้วไอ้แดนก็ยังเพียรพยายามวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมเช่นเดิม



ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแดนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไร มันยังคงวิ่งตามผมไปทุกหนแห่งแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรกๆ ผมก็เคยถามนะว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะถึงยังไงผมก็ไม่เลิกกับพี่โรมอย่างแน่นอน แถมในตอนนี้ผมก็เปลี่ยนนามสกุลเข้าบ้านอนุวัฒน์วงษ์ไปแล้ว แม้จะไม่มีผลทางกฎหมายแต่ก็เป็นที่รับรู้ในหมู่เครือญาติว่าผมคือพี่สะใภ้ของมัน.... ไอ้แดนก็แค่หัวเราะแล้วบอกว่ารักแรกนั้นแยกยาก ผมไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากไล่มันให้เปลืองน้ำลายเพราะมันไม่คิดจะไปไหน แต่ถ้ามันอยากไปและพร้อมจะไปเมื่อไรมันก็จะไปเอง

ก็อย่างที่เห็นว่าผ่านมาหก-เจ็ดปี นายดรัณภพขี้ตื๊อก็ไม่หายหัวไปไหน ยังอยู่กวนใจให้ผมด่าอยู่เรื่อย แต่ในฐานะเพื่อน เราก็สนิทกันมากและไอ้แดนก็ช่างแสนดีแสนประเสริฐกับผมมากจริงๆ

เรื่องที่ยังไม่ได้เล่าก็คือ ผมต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลถึงสามเดือนเต็ม จากนั้นก็กลับมาพักฟื้นเพื่อทำกายภาพบำบัดต่ออีกร่วมๆ ครึ่งปี เรียกได้ว่าดร็อปเรียนไปหนึ่งปีเต็มเพื่อพักรักษาตัวกว่าจะเดินร่อนไปตามถนนได้เหมือนอย่างคนทั่วไป.... นอกจากพี่โรมแล้วก็มีไอ้แดนนี่แหละที่คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง ไปรับไปส่งเวลาที่พี่โรมติดงาน แบกของหนักๆ ให้ กดลิฟท์ ตึกไหนไม่มีลิฟท์ก็ประคองผมขึ้นบันไดไปส่งถึงหน้าห้องเรียนแล้วก็มารอรับกลับทั้งที่งานคณะมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย เป็นอย่างนี้จนกระทั่งเรียนจบหลักสูตรห้าปีของมันและสี่ปีของผม

พูดถึงงานในวงการบันเทิง ไอ้แดนไม่ได้เซ็นสัญญาต่อกับช่องเอ็มหรือโมเดลลิ่งไหนแม้ว่าละครจะดังมากในระดับหนึ่งก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเน็ตไอดอลอัพเดทชีวิตตัวเองและทักทายแฟนๆ ในอินสตราแกรมอยู่เสมอ นานทีปีหนก็มีรับงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างถ่ายแบบเดินแบบบ้าง ทำแค่พอให้แฟนคลับเห็นหน้าหายคิดถึง ส่วนงานละครซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือน มันก็ไม่ได้รับอีก พอเรียนจบก็ลงหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างกับรุ่นพี่ในคณะและรุ่นพี่วิศวะฯ โยธา เวลาอยากได้อินทีเรียมาช่วยก็จ้างให้ผมทำฟรีแลนซ์ให้มัน

เมื่อมองย้อนกลับไป จากคนที่แค่เห็นหน้าก็อยากเดินหนีไปไกลๆ ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าผมกับไอ้แดนจะมีวันนี้ได้ ถึงมันจะยังคงงี่เง่าเอาแต่ใจ ชอบงอนฟาดหัวฟาดหางเวลาที่สู้พี่โรมไม่ได้ แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสำหรับผม แม้ว่าผมจะไม่เคยตอบแทนอะไรในแบบที่มันต้องการเลยสักครั้งเดียวก็ตาม....



“ทีมสงครามคิวท์บอย เชิญทางนี้หน่อยครับ”

เสียงตากล้องเรียกถ่ายรูปหมู่ดังมาจากอีกมุมหนึ่ง ทั้งพี่ปาย ภัทร แล้วก็คนอื่นๆ ที่ผมรู้จักดีต่างเข้าไปรวมกลุ่มอย่างกระตือรือร้นด้วยความที่ไม่ได้เจอกันมานาน แน่นอนว่าไอ้แดนก็ควรต้องไปถ่ายรูปกับเขาในฐานะพระเอก และผมซึ่งถอนตัวออกไปแล้วจึงถือว่าเป็นคนนอกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับละครเรื่องนี้

แต่ทว่า ไอ้แดนกลับรั้งมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“จะไปไหนวะ ไม่ไปถ่ายรูปด้วยกันเรอะ?”

“กูไม่น่าเกี่ยวมั้ง........” 

ผมบอกอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ถึงแม้พระเอกของเรื่องจะอยากให้ผมไปด้วยกัน หากก็กลัวว่าถ้าโผล่เข้าไปเสนอหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วจะทำให้ใครบางคนรำคาญใจ แต่แล้วคำพูดซึ่งบ่งบอกว่าผมยังมีความหมายสำหรับพวกเขาเสมอก็ดังเข้าหู หัวใจก็เลยพองโตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“แดน ทิชา มาทางนี้เร็ว.... ถ่ายรูปกัน”

“ทิชา มายืนตรงนี้มา พวกเราเว้นที่ข้างหน้าให้แล้วเนี่ย”

“เห็นไหม.... ถึงตัวมึงจะไม่อยู่ แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมเสมอนะ”

พอได้ยินเช่นนั้น ผมถึงได้ใจชื้นแล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับคนคุ้นหน้าคุ้นตา ยิ้มกว้างๆ ให้กับกล้องถ่ายรูปซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยเกลียดนักเกลียดหนา.... คืนนั้น แฮชแท็ก #สงครามคิวท์บอย #แดนทิชา #แดนปาย กลับมาติดเทรนด์อีกครั้งในรอบหลายปี ก็น่าดีใจนะที่มิตรภาพและการกลับมาพบกันของพวกเราทำให้คนจำนวนนับหมื่นนับแสนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมีความสุขนอนหลับฝันดีได้

อีกเรื่องที่ผมได้เรียนรู้เมื่อช่วงเวลาแห่งมรสุมผ่านพ้นไปก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าแย่จนจะเป็นจะตายในตอนนั้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย อาจเพราะทุกคนต่างก็เติบโตขึ้น อารมณ์เกลียดขี้หน้าหมั่นไส้กันแบบเด็กๆ ก็ถูกความเป็นผู้ใหญ่กลืนหายไปจนหมดแล้วก็ได้มั้ง

เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมไม่รู้สึกว่าโดนใครเกลียดหรืออคติตั้งแง่ใส่ด้วยความผิดที่ผมไม่ได้เป็นคนก่ออีกแล้วล่ะ....



“เหนื่อยไหม คนขอถ่ายรูปด้วยเยอะเชียว”

ใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วโมงกว่าที่ผมจะได้กลับมาหาพี่โรมอีกครั้ง เพราะที่นี่ไม่มีชาวมะนาวเสิร์ฟ ร่างสูงก็เลยหยิบน้ำอัดลมเตรียมเอาไว้ให้แทน

“อืม.... หายไปตั้งหลายปี อุตส่าห์คิดว่าจะไม่มีใครจำได้แล้วนะ”

“ทิชา ทิชนันท์ คนดัง แค่เสิร์ชกูเกิ้ลก็เจอประวัติตั้งแต่เด็กจนโต.... ใครจะไปลืมได้ง่ายๆ กันล่ะ” 

พี่โรมแกล้งล้อผม ถึงผมจะถอนตัวจากซีรีส์และไม่ได้มีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิง แต่พูดก็พูดเถอะ ทุกวันนี้เวลาไปกินข้าวดูหนังในห้างก็ยังมีอดีตแฟนคลับเข้ามาทักทายผมอยู่เรื่อย สงสัยที่พี่โรมพูดว่าพวกเขาลืมผมไม่ลงก็น่าจะจริงล่ะมั้ง

งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแขกเหรื่อจะทยอยกลับ แม้จะเป็นงานปาร์ตี้วันเกิดผู้บริหารช่อง แต่ส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นดาราเซเลบริตี้ ไหนจะเอ็นจอยกินดื่มพูดคุยกัน คงต้องรอสักประมาณห้าทุ่ม-เที่ยงคืนถึงจะได้ฤกษ์แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน.... ถ้าเป็นงานทั่วไป ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการรอเวลาหรอก แต่นี่ดันเป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทล โต๊ะเก้าอี้ที่นั่งมีอยู่จำกัด ยืนได้แค่ชั่วโมง-สองชั่วโมง ขาผมซึ่งข้างในมีท่อนเหล็กดามกระดูกก็เริ่มอุทธรณ์ ส่งความปวดเมื่อยนิดๆ มาให้ผมหน้าตึงเปรี๊ยะ ยิ้มไม่ค่อยออกเวลาที่มีคนเดินเข้ามาทักทาย

“ออกไปนั่งพักข้างนอกกันไหม อีกสักพักค่อยกลับเข้ามาใหม่”

“อืม”

พี่โรมสังเกตเห็นว่าผมไม่โอเค เขาจึงชวนให้ออกไปนั่งพักตรงริมสระน้ำด้านนอก ผมตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เพราะขืนให้ยืนต่อไปเรื่อยๆ จนจบงาน มีหวังพรุ่งนี้ได้ร้องโอดโอยลุกขึ้นมาทำงานไม่ไหวแน่

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:19 หน้า8 [ UPDATED 09/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SweetAlice0701 ที่ 25-06-2018 01:09:50
“เป็นไงบ้าง? รู้สึกสบายขึ้นแล้วเนอะ?”

เมื่อประคองกันออกมาจนถึงสระว่ายน้ำ พี่โรมก็ให้ผมนั่งลง ถอดรองเท้าแล้วพาดขาวางบนหน้าตักเขาก่อนจะบีบนวดผ่อนคลายความปวดเมื่อยให้ตามวิธีที่คุณหมอเคยสอน เพียงไม่นาน อาการที่ทำให้ผมทรมานจนอยากจะทิ้งตัวลงพื้นก็บรรเทาเบาบางลง สีหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษถ่ายเอกสารเริ่มกลับมาซับสีเลือดฝาด ยิ่งได้จิบน้ำแอปเปิ้ลซึ่งหยิบติดมือมาจากในงานก็ยิ่งค่อยยังชั่ว

“ดีขึ้นเยอะเลย” 

ผมตอบทั้งที่ยังเหยียดแข้งเหยียดขาให้เขานวด รู้สึกเป็นบุญหัวตัวเองเหลือเกินที่มีคนรักอย่างเขา 

“จริงๆ แล้วเพราะหมอนวดหล่อ ใส่สูทด้วย หุ่นก็ดี๊ดี ชาก็เลยหายปวดขาเร็ว.........”

“ทิชาจะเต๊าะพี่เหรอ?”

พี่โรมขำพรืด คงคิดไม่ถึงว่าผมจะกล้าเล่นมุกจีบกันเองแบบที่เขาชอบเล่นเป็นประจำ แต่ทิชาคนเรียบร้อยพูดน้อยก็ไม่มีอยู่จริงตั้งแต่ผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะเต๊าะเขาคืนบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร

“ก็วันนี้พี่โรมหล่อจริงๆ นี่ เมื่อกี้แอบเห็นนะว่ามีแก๊งค์นางแบบจ้องพี่อย่างกับจะจับกินเข้าไป.... แฟนใครก็ไม่รู้ ทั้งหล่อ ทั้งแสนดี แถมยังโคตรเจนเทิลแมน เห็นแล้วอยากได้ เห็นกี่ครั้งก็ยังอยากได้อยู่เหมือนเดิม”

“ก็ได้แล้วนี่ไง ยังจะเอาอะไรอีก หืม”

สงสัยว่าจะเมาน้ำแอปเปิ้ลเลยพูดเยอะไปหน่อย พี่โรมก็เลยยื่นหน้ามาจูบปิดปากผมให้เงียบเสียง.... ตอนแรกก็แค่จูบธรรมดา แต่ทำไปทำมาก็ชักเพลินเลยขยี้ริมฝีปากเข้าหากันแรงขึ้น สลับกับดูดดึงเล็กๆ พอให้มันเขี้ยวอยากขย้ำอีกฝ่ายให้หนำใจเมื่อกลับถึงคอนโดฯ หากเพราะสติสัมชัญญะยังครบถ้วนจึงรู้ตัวดีกันทั้งคู่ว่าจะต้องเก็บอาการเอาไว้บ้าง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนั่งพิงไหล่กัน มองแสงไฟข้างใต้สระว่ายน้ำในขณะที่ลมเย็นๆ พัดมาช่วยให้ปลอดโปร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

ถึงแม้ว่าเรื่องราวในอดีตจะล่วงเลยมานานมากแล้ว แต่เมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานที่เดิม บรรยากาศคล้ายคลึงกัน มันก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่พี่โรมเคยพูดกับผมในวันที่เรายังไม่ได้รักกันไม่ได้

ถูกแล้ว.... ที่โรงแรมแห่งนี้ ที่ริมสระน้ำแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของการตะเกียกตะกายไขว่คว้าความรักซึ่งผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มันมา

“พี่โรม.... จำครั้งแรกที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันได้หรือเปล่า?”

“จำได้สิ”

ร่างสูงตอบพลางเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมไว้ สันจมูกโด่งกดลงตรงข้างขมับอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่รู้ว่าพี่โรมจะเคยนึกเสียใจบ้างไหมที่ความรักของเราไม่ได้เริ่มต้นด้วยความปกติสุขเหมือนเช่นคู่อื่นๆ

“ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ พี่โรมจะยังปฏิเสธคำสารภาพรักของชาอยู่ไหม?”

ผมแค่ถามเล่นไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยนะ แต่พี่โรมดูจะจริงจังกับการตอบมากเลยทีเดียว มือใหญ่บีบต้นแขนผมเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดให้ดี ทันใดนั้น ดวงตาสีเหล็กกล้าที่สุดแสนจะน่าหลงใหลก็ปรากฏภาพใบหน้าของผมเองสะท้อนไหวระริกอยู่ภายใน

“พี่เองก็เคยคิดนะว่าอยากจะย้อนเวลากลับไป อยากเป็นคนแรกที่ได้เจอทิชาก่อนใคร เป็นคนแรกที่ทิชาจะพูดคำว่ารักให้ได้ยิน แต่ถ้าให้คิดอีกที พี่ว่าพี่ไม่ขอเปลี่ยนแปลงอะไรเลยดีกว่า.........”

“ทำไมล่ะ?”

เรียวคิ้วผมขมวดชิดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งพี่โรมใช้ต้องใช้ปลายนิ้วนวดวนให้มันคลายตัวออก แต่กระนั้นก็ยังไม่ช่วยให้ความสงสัยใคร่รู้หายไป

“เพราะว่าเราเคยเจ็บปวด เคยเสียใจ เคยรู้ว่าความผิดหวังและความน่ากลัวจากการที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้างมันเป็นยังไง เรื่องเลวร้ายพวกนั้นมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราทะนุถนอมความรู้สึกและให้ความสำคัญต่อกันมากขึ้น.... พี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพี่ได้ทิชามาง่ายๆ ก็จะทิ้งไปง่ายๆ แบบนั้นนะ แต่ก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเราขนาดนี้” 

ถึงจะตัวโตน่ากลัว ดูเป็นผู้ชายหยาบๆ ไม่ค่อยละเอียดอ่อนสักเท่าไร แต่นอกจากผมแล้วคงไม่มีใครรู้ว่าพี่โรมคือคนที่คิดอะไรลึกซึ้งมาก การกระทำของเขาทุกอย่างล้วนมีความหมาย คำพูดก็เช่นกัน 

“ดังนั้น พี่เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย อดีตผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป พี่มีความสุขดีกับการที่มีทิชาอยู่ตรงนี้ ดีใจที่ได้ร่วมสร้างอนาคตไปพร้อมกับทิชา.... แล้วทิชาล่ะ คิดแบบเดียวกันกับพี่ไหมครับ?”

“นั่นสินะ.... ถ้าไม่เคยเจอพายุ แล้วเราเราจะรู้ได้ยังไงว่าฟ้าหลังฝนมันสวย”

จริงอย่างที่พี่โรมว่านั่นแหละ สมมติว่าถ้าผมได้เขามาง่ายๆ หากวันไหนเกิดถูกทิ้งขึ้นมาก็คงลงเอยเหมือนบรรดาแฟนเก่าใจหมาคือลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำร่วมกันมาไปให้หมด ก่อนจะเริ่มต้นมองหาความเจ็บปวดครั้งใหม่ไม่รู้จักจบสิ้นโดยที่ไม่ได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้อยู่กับพี่โรม

“แต่เพื่อความสบายใจแล้วก็ถือว่าล้างคำสาปไปในตัว ในสถานที่เดียวกันแห่งนี้ พี่ขอเป็นฝ่ายสารภาพรักกับทิชาก่อนก็แล้วกัน...........”

ยังไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็โน้มตัวลงมาจูบผมอีกครั้ง.... เพียงแค่จูบบางเบา ทว่า ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปตามกระแสเลือด นำพาให้หัวใจเต้นแรง เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันในร้านกาแฟ เหมือนครั้งแรกที่เขาออกหน้าปกป้องผมต่อหน้าทุกคน เหมือนครั้งแรกที่เขาถอดเสื้อช็อปยื่นส่งให้ เหมือนครั้งแรกที่เขาชมว่าผมน่ารัก เหมือนครั้งแรกที่เขาขอแอดไอดีไลน์และส่งข้อความแชทมาหา



และเหมือนครั้งแรกที่ผมตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง

เพียงแต่ตอนนี้ ผมไม่ได้รักเขาข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว



“รักนะครับ ทิชาคนดีของพี่”


ผมได้ยินเขาบอกรักชัดเจนมาก และเสียงหัวใจผมก็เต้นดังไม่ต่างไปจากเดิม

เพราะความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นมั่นคงมาตลอด



“อืม.... ชาก็รักพี่โรมเหมือนกัน”







Downpour

~ ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ~



END
[/size][/b]



+++++



TALK



ในที่สุดก็ได้พิมพ์คำว่า END ลงไปสักที

ก็จบเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับ DOWNPOUR ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน หรือที่ส่วนใหญ่เรียกกันว่า #โซนากีJY ตามชื่อแท็ก



ความรู้สึกตอนที่พิมพ์ประโยคสุดท้ายของเรื่องนี้คือปริ่มมาก อารมณ์แบบในที่สุดก็ส่งน้องทิชาถึงฝั่งเสียที หลังจากที่เรือโคลงเคลงมานาน ก็หวังว่าจะเป็นตอนจบและบทสรุปในแบบที่ผู้อ่านรอคอยเช่นกันนะคะ


อันที่จริงแล้วมีอะไรที่อยากพูดถึงค่อนข้างเยอะเลย แต่พอถึงเวลาที่จะต้องบอกลาจริงๆ กลับนึกไม่ออก แหะๆ


ตัวละครหลักของเรื่องอย่างน้องทิชา เป็นตัวละครแบบที่เราชอบ จะเรียกเป็นนายเอกในอุดมคติของเราก็ได้.... เท่าที่อ่านฟีดแบค เคยเห็นหลายคนคิดว่าน้องเป็นนายเอกสายเยลลี่ นุ่มนิ่มน่ารัก น่ารังแก แต่ถ้าพิจารณาดีๆ แล้ว น้องเป็นคนที่โคตรสู้ รักแรงมาก เกลียดแรงมาก ถ้าไม่สนใจคือไม่อยู่ในสายตาเลย แล้วก็ไม่ใช่ใครจะมารังแกน้องได้ง่ายๆ อันนี้เราว่าเราใส่ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยนะ เวลาทิชาไม่พอใจแล้วด่าเนี่ย 55555+

แต่น้องเป็นคนอ่อนไหวง่ายกับคนที่น้องแคร์ อย่างแม่ พ่อ พี่โรม คือถ้าน้องรักแล้วก็คือรัก ยอมได้ทุกอย่าง (แต่อย่าทำให้โมโห) ในตอนกลางเรื่องก็จะเพิ่มแดนมาอีกคนที่ทิชาแคร์มาก

อาจจะไม่ใช่นายเอกแนวฟีลกู๊ดสักเท่าไร แต่ทิชาก็มีเสน่ห์ในแบบของน้องแหละเนอะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รักน้องมากๆ 55555+


พี่โรม พ่อคนดีศรีสุราษฎร์.... พ่อเป็นพระเอกที่ อืมมมมม จะว่าโง่ก็โง่แหละ แต่เอาจริงๆ เราว่าเราเจอผู้ชายซื่อบื้อแบบพี่เค้าในชีวิตจริงบ่อยมาก ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกแอ๊บแบ๊ว บางทีก็ทันแต่ต้องรักษาภาพก็เลยยังคีปความสัมพันธ์ไว้ ดีกับคนนอกจนหลงลืมคนใกล้ตัว แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เราใส่ภาพพจน์ของผู้ชายแบบพระเอกที่ดีไว้ในอีกด้านนึงของเค้า รักเมีย หลงเมีย ใครร้ายกับเมียพี่ พี่ก็ไม่ทน

ก่อนหน้าที่พี่โรมจะมาเจอทิชากับบีบี๋ เขาก็มีชีวิตเรียบง่ายมาตลอดแหละ เจอมาเจอเพื่อนรักเพื่อนร้ายคู่นี้ พี่ก็มีการอีโวในรูปแบบต่างๆ

ถึงจะไม่ใช่พระเอกที่แสนดีมาตั้งแต่แรก แต่ก็หวังว่าร่างอีโวสุดท้ายในตอนจบของพี่โรมจะสามารถเรียกคะแนนจากแฟนนานุแฟนได้บ้างนะคะ



ตัวละครหลักอื่นๆ อย่าง แดน บีบี๋ เฮียรุจ พี่ปาย ก็พูดถึงไปตั้งแต่ตอนที่แล้วเนอะ ต่างคนก็ไปมีชีวิตของตัวเอง บางคนก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับทิชาและพี่โรมอยู่ แต่บางคนก็ไม่แล้ว คิดว่าบทสรุปในบทส่งท้ายจะทำให้เห็นชีวิตของบรรดาคู่รองทั้งหลายชัดเจนขึ้น



ในเรื่องของการเขียน

อย่างที่เคยบอกเมื่อตอนเริ่มเรื่องใหม่ๆ ว่านี่เป็นผลงานชิ้นแรกของเราที่เขียนให้ตัวละครเป็นคนไทย ดำเนินเรื่องในไทย จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่ชินกับบทสนทนาและมุกแบบไทยๆ สักเท่าไร

ถ้ามีสะดุดตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ เราจะนำไปปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อไปค่ะ ยังได้เจอกันอีกแน่นอน ทั้งจักรวาลโซนากีอีก2เรื่องที่วางแผนไว้ และเรื่องอื่นๆ



ขอบคุณมากเลยนะคะที่ติดตามกันมาจนถึงเอนทรี่นี้ เราดีใจมากทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนท์ หรือได้เห็นทวิตติดแท็ก #โซนากีJY

เสียงตอบรับจากคนอ่านคือกำลังใจชั้นดีของเราจริงๆ ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้ง



สำหรับครั้งสุดท้ายนี้ก็อยากขอแรงทุกคนช่วยคอมเมนท์ส่งท้ายให้นิดนึงนะคะ จะในเล้าหรือในทวิตก็ได้ บอกเราสักหน่อยว่าคุณรู้สึกยังไงกับนิยายทั้ง21ตอนยาวๆ ของเรา

ขอบคุณล่วงหน้าพร้อมไหว้งามๆ เลยค่ะ



อ่าาาาา เรื่องรวมเล่ม รบกวนรอข่าวนิดนึงนะคะ ถ้ามีรายละเอียดที่แน่นอนแล้ว เราจะมาประกาศให้ทราบค่ะ แต่รับรองว่าทุกคนได้เปย์และอ่านตอนพิเศษหวานๆ ชัวร์



ถ้าเป็นเรื่องฟิค เราจะอัพเดทที่แอคทวิตเตอร์ @SweetAlice_KT ค่ะ



ต้องไปแล้ว

ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะที่อยู่ด้วยกันจนถึงประโยคสุดท้าย ขอบคุณที่รักน้องทิชา ขอบคุณที่รักพี่โรม ขอบคุณที่รักแดน ขอบคุณที่รัก DOWNPOUR ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน



ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆค่ะ



Alice

24 June 2018

หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-06-2018 10:19:52
สนุกมากค่ะ รู้สึกอินไปกับตัวละคร เวลาเศร้าก็เศร้าไปด้วย อยากเอาใจช่วยตลอด ถึงแม้จะแอบคิดว่าอีโวสุดท้ายของพี่โรมจะหาได้ยากมากก็ตามที 5555
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-06-2018 12:29:23
ขอบคุณไรท์มากๆเลยนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องอื่นๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 25-06-2018 16:18:29
เย้ อบคุณมากๆนะคะ ที่เขียนเรื่องราวของน้องทิชากับพี่โรมออกมาให้ได้อ่านกัน แอบเสียใจที่บี๋กับเฮีคจะไม่มีภาคต่อแต่ในใจเรามโนให้เฮียกลัวน้องบี๋และต้องชดใช้กรรมด้วยการล้างจาน ซักผ้าให้น้องไปแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 26-06-2018 04:24:07
รักเรื่องนี้มาก มันจริงดี ตอนแรกก็แอบไม่ชอบทิชา แต่หลังๆนี่หลงแล้วหลงอีก เลยเข้าใจอีพี่โรมเลย ฮ่าๆ จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ ใจหายมากเลย จบแล้ว :katai4: ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 27-06-2018 00:24:32
หลากหลายอารมณ์สุดๆ เรียกน้ำตาได้หลายลิตรเลยค่ะ
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบ ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย

รักนางมิลค์สุดทั้งเรื่อง อิอิ
ชอบความดาร์คของตัวละครแต่ละตัว เล่าออกมาได้ไม่เกินจริงไม่เว่อร์ไป
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 27-06-2018 19:55:50
จบแล้วว ดีใจที่ทิชาผ่านฝนหลายๆครั้งมาได้ ทิชาเข้มแข็งมาก เป็นเราเองที่ร้องไห้แทน  ชอบตัวละครทุกคนเลย รู้สึกได้ว่าเราสามารถเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มีดี มีร้ายปะปนกันไป ขอบคุณที่เขียนนิยายๆดีมาให้อ่านนะคะ จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปค่ะ #รักยัยมิ้ลค์
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: evil_kun ที่ 28-06-2018 23:07:35
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆดีๆให้อ่านนะคะ
นี่ใช้เวลาอ่าน 2 วันจบ ยาวมากกกก ตอนแรกเห็น20ตอน เลยคิดว่าแป๊บเดียวก็อ่านจบ ที่ไหนได้แต่ละตอนยาวมากกก 555

ส่วนตัวเราชอบคาร์แรกเตอร์ของทิชากับบีบี๋มากเลยนะ 2 คนนี้เหมาะจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายจริงๆนั่นแหละ
ยิ่งอ่านช่วงกลางเรื่ิองไป เรากลับเชียร์ให้บี๋มีความสุขมากกว่าทิชาอีกนะ 555

เราจะรอรวมเล่มเรื่องนี้นะคะ อยากอ่านตอนพิเศษหวานๆของพี่โรมทิชาค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 29-06-2018 11:11:06
อ่านทีเดียวรวดเลยค่ะ ชอบตัวละครทิชามาก รักมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง แอบเชียร์ทั้ง โรมทิชา และ แดนทิชาเลย เพราะรู้สึกว่าแดนก้อเหมาะสมกับทิชาดีนะ แต่โรมก้อดีค่ะ แต่ไม่อยากให้แดนคู่กับปายเลย ไม่ชอบตัวละครชื่อปายเลยค่ะ รู้สึกฟิน โรมทิชา กับแดนทิชามากกว่า รักตัวละคร 3 ตัวนี้ค่ะ ทิชา โรม แดน ส่วนเรื่องครอบครัวฝั่งพ่อของทิชา ไม่คิดเลยว่า พ่อจะต้องทำถึงขนาดนี้ ให้เปลี่ยนนามสกุล พยายามตัดทิชาออกจากทุกอย่างเลย เคยคิดสงสารลูกบ้างมั้ย ไม่เห็นว่าบ้านใหญ่จะรับกรรมอะไรบ้างเลยที่ทำแบบนี้กับทิชา แต่ชีวิตจริงก้อมีเรื่องแบบนี้ให้เห็นเยอะแยะเหมือนกันค่ะ แต่จบแบบแฮปปี้แบบนี้ก้อดีมากๆ แล้วค่ะ ตอนอ่านช่วงแรกน้ำตานี่ไหลตลอดเลย คิดหยุ่ว่าตอนจบทิชาจะเป็นอย่างไร แต่ดีใจค่ะ ที่จบแบบว่าทิชาแฮปปี้ ส่วนตัวแล้วไม่ว่าทิชาจะคู่กับเฮียโรม หรือ แดนนรก ก้อได้หมดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 30-06-2018 12:02:29
สนุกมากๆค่ะ
อ่านตอนแรกๆเจอนายเอกใช้วิธีแย่ๆแย่งแฟนเพื่อนทั้งที่ผู้ชายเขาบอกแล้วว่าไม่เอา ก็ชักจะไม่ชอบแล้ว มาเจอพระเอกใจโลเลอีก เฮ้ย บายดีกว่ามั้ยเรื่องนี้ แต่การผูกเรื่องยังสนุกเลยอ่านต่อ ไปๆมาๆทั้งพระ-นายดีขึ้น หวานขึ้น ตอนจบจบดีมากประทับใจค่ะ

คู่รุจบี๋ โหด ร้าย ทารุณ หาความหวานไม่เจอ สงสารบี๋มาก บทลงโทษความตอแหลขี้อิจฉาของน้องมันรุนแรงเหลือเกิน แต่อ่านสรุปท้ายเรื่ิองเหมือนว่าฟ้าหลังฝนสมชื่อเรื่องล่ะค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 01-07-2018 03:06:32
เห้ยย เราพลาดตอนจบเรื่องนี้ไปได้ยังไง ทั้งๆที่เราตามอ่านตามลุ้นอยู่แท้ๆ ตอนที่กดเข้ามาอ่านคือหวังดราม่านายเอกโดนรังแก และพออ่านไปถึงได้เห็นว่าทุกตัวละครมีความร้ายอยู่ในตัวหมดแต่ใครจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับระบบความคิดของคนนั้นๆ ไม่รู้นักเขียนจะลงตอนพิเศษให้มั้ยแต่ก็อยากอ่านความหวานของคู่นี้เยอะๆนะ เพราะกว่าจะลงตัวนี่เห็นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 02-07-2018 08:46:35
โอ้ยยยย ช่วงแรกเป็นช่วงที่เราอ่านแล้วดาวน์มาก ดราม่าขั้นสุด อ่านไปถอนหายใจไป น้ำตาคลอ บอกเลยว่าปูฐานของตัวละครได้ดีเลยค่ะ ให้เราค่อย ๆ รู้จัก ตัวละครและปม คือดี o13

ช่วงที่สองนี่เต็มไปด้วยความเกรี่ยวกราด เกลียดทุกตัวละคร อะไรจะขนาดนั้นนน 555  :katai4:

ช่วงหลัง แอบลุ้นให้แดนเทิร์นเป็นพระเอกจริง ๆ ค่ะ เรือผี ก็เป็นเรือผีต่อไป .. ทุกอย่างมันพันกันไปหมด อ่านแล้วรู้สึกเรื่องมันยืด ๆ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครดีค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-07-2018 01:42:59
อ่านไปบุ้นไปเกือบทั้งเรือง คิดแบบอะไรมันจะหน่วงขนาดน้านแต่ก็ชอบอะมันดูมีสตอรี่น่าติดตาม
ดีใจที่จบลงด้วยดี แม้บางทีจะแอบนอกใจไป แดนทิชา บ้างก็ตาม

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2018 14:05:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: weapons_space ที่ 11-07-2018 20:16:56
 :mew1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ และสนุกมาก รอติดต่มผลงานนะครับ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-08-2018 12:52:56
 :pig4: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-09-2018 05:07:30
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 05-09-2018 07:39:55
 :m31: เขียนได้ดีมากค่าา ติดตามๆ :3123:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cirrus ที่ 07-09-2018 00:14:13
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง //ไรท์ดูPD101ปะคะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-09-2018 08:26:44
หน่วงมาก แต่ก้อชอบมาก ร้องไห้ไปหลายรอบ ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆ รอเรื่องใหม่จ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 10-09-2018 17:17:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 13-09-2018 16:02:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ellemm ที่ 06-02-2019 03:32:53
 :z3:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-06-2019 16:46:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 23-06-2019 15:58:13
เนื้อเรื่องเขียนดีมากๆเลยค่ะ ตัวละครแต่ล่ะตัวก็เขียนออกมาได้ดี  :katai2-1:
สงสารก็ตอนที่ทุกคนติดอยู่ในบ่วงวังวนนี้ล่ะค่ะ อ่านไปหน่วงไปว่าจะหาทางออกกันได้ยังไง ลุ้นมากๆเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: allmysecret ที่ 25-08-2019 15:42:27
คือเราอ่านรวดเดียวเว้ย มันก็จะมีช่วงหรือตัวละครบางครั้งที่เราไม่ชอบ แต่ด้วยความไม่สมเหตุสมผลของตัวละครเลยทำให้นิยายสนุกมากๆ ตอนแรกก็สงสารบี๋ แต่หลังๆก็ไม่สงสารล่ะ ตอนแรกไม่ชอบแดนตอนนี้ก็ไม่ชอบเหมือนเดิม 555555 แต่ประทับใจเรื่องนี้มากกกก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 27-08-2019 20:24:21
คือทั้งเรื่องเชียร์แดนมาตลอดเลย แต่จบแบบนี้ก็แฮปปี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 01-09-2019 05:53:18
สนุกมากกกก หน่วงมากกกกก เทามากกกกกก
เราชอบที่สร้างตัวละครมีปมทุกคนเลย
อ่านไปปวดใจไป  :z3:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 29-03-2020 02:50:14
อ่านจบหน้าสี่ละ บอกกงๆว่าชอบนายแดนมาก ถ้าทิชายอมปล่อยโรมไปสักหน่อยและลองคบแดนดู มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้หรืออย่างแย่ก็แค่เริ่มต้นใหม่ ดีกว่าโรมน่ะ ไม่รู้ดิ... โรมเป็นคนดีที่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ทิชาปักใจไปแล้ว การที่พระเอกเคยชอบทิชาและเปลี่ยนใจไปชอบบี๋มันทำให้เรารู้สึกแย่กับโรม แต่ถ้าโรมชอบบี๋มาตั้งแต่แรกและค่อยมาชอบทิชาเราโอเคอยู่ นึกออกปะถ้าคุณชอบคนแรกจริงคุณจะไม่มีทางมีคนที่สองแล้วอย่างงี้ถ้าโรมชอบทิชาอีกครั้งมันเชื่อใจได้หลอ


เราอาจจะอิน5555 และอาจจะมีทัศนคติมุมมองแบบยึดมั่นถือมั่นเลยอ่านไปเกลียดโรมไป แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไรขนาดนั้นหรอก เรื่องมันจะไม่มีอะไรถ้าทิชาไม่ได้รักโรมอะนะ ถ้ากลับมารักกันจริงก็กีไป



Edit///จบแล้วฮูเร่ๆๆ สนุกมากกอะ5555 จนจบเรายังชอบแดนอยู่ดี เป็นตัวละครตัวเดียวที่ออกมาละเรายิ้มได้ เวลาไม่เคยเปลี่ยนแดนเลยรักไงก็รักงั้นแต่หวังว่าหลังจากนี้แดนจะเปิดใจให้คนอื่นมากกว่านี้ แต่คนบางคนก็ขอแค่ได้รักอะเนอะ แค่มีความสุขตอนเค้ายิ้มก็พอ

คุณพระเอกโรม เรายอมรับนะคะว่าโรมเป็นผู้ชายที่ดี ช่าย... ดีกับทุกคนด้วยสิ เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลตอนบีบี๋แกล้งความจำเสื่อมมันทำให้เราคิดว่านี่มันเห้อัลไลเนี่ย ปล่อยให้แฟนเก่ามาบลัฟทิชาอยู่ได้ เคลียร์กับทิชาได้แต่คนอ่านดันไม่ลืมอะดิ5555 เอาเหอะ ข้อดีนางก็เยอะจะลืมไปละกัน


น้องนายเอกทิชา เราชอบแหละและแอบสงสารอดีตเก่าๆของน้อง ตอนอ่านเรามีคำถามในใจมากมาย ทำไมทิชาต้องมาเจออะไรแบบนี้ ดีที่ไม่พังไปก่อนจะได้เจอความรักที่เหมาะสมกับตัวเอง และแบบน้องเป็นแฟนที่ดีมาก ไอ้ผู้ชายที่ทิ้งน้องไปโง่อะนี่พูดเลย555 หรือเพราะน้องไม่ได้รักคนพวกนั้นก็เลยไม่ได้แสดงออกเท่ากับตอนที่อยู่กับโรมก็ไม่รู้นะ


บีบี๋ตัวร้าย อ่านจบแล้วก็สงสารนาง เจอกับคนแบบอิรุจนี่ให้เราตายดีกว่า และอิรุจมันก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย บิดเบี้ยวมากๆ รู้จากพาร์ทของรุจอะนะว่าครอบครัวนางเจออะไรแต่เราไม่ได้เห็นใจ เกลียดด้วยอ่านจบละยังเกลียดอยู่


สุดท้ายขอบคุณคนเขียน ผลงานเรื่องนี้ของคุณมีความหลากหลายมากอ่านแล้วบันเทิง  เราอาจจะเม้นไม่สุภาพได้โปรดให้อภัยเพราะอิน ><
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mrfoxx ที่ 29-03-2020 10:54:54
งานเขียนดีมาก ชอบมิติของตัวละคร เทาๆดี
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 06-04-2020 21:04:23
ยังอ่านไม่จบแต่แวบไปอ่านเมนต์ช่วงท้ายตอนจบแล้วก็คงบอกได้แค่ว่า โรมคือพระเอกที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยอ่านนิยายมา เข้าหาเขา หักหลังเขา ปากบอกว่าอยากให้เขาเจอคนดีๆ แต่ตัวเองหลอกเขา ทำร้ายจิตใจเขา ชั่วในคราบนักบุญ การกระทำส้นตี-แต่กลับบอกว่าตัวเองทำดี
ส่วนอีบี๋คือไม่ชอบตั้งแต่ไปร้านกับไอ้พี่อาร์ทแล้วบอกให้ทิชาขอโทษคนอื่น คำแก้ตัวโคตนแย่อ่านแล้วตะหงิดมากจนได้รู้ว่ามันก็ร้ายใช่ย่อย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบคุณที่สร้าวตัวละครแดนขึ้นมา เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ไม่อึดอัดเกินไปนัก

คือนี่อินนะคะ ภาษาคนเขียนเขียนดีมากๆ ภาษาสวยมากกกก

:::

อ่านจบแล้วววว
สารภาพว่าอ่านเมื่อคืนช่วงที่อิเชี่ยโรมทำไม่ดีกับทิชาคืออ่านไปมือสั่นตัวสั่น โกรธ โกรธมากๆ จนกระทั่งอ่านจบโรมก็ยังเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าลอยตัวเหนือปัญหาทุกอย่าง หาเหตุผลสวยหรูมาซัพพอร์ตแต่ถามว่าความจริงเป็นไง ก็คือทำร้ายจิตใจคนที่ตัวเองเลือกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็นะ...นิยายแหละ
ส่วนบีบี๋ ไม่รู้ว่าเกลียดมันเพราะชื่อด้วยรึเปล่า ยิ่งเวลาแทนตัวเองบี๋อย่างนั้นเฮียอย่างนี้คือแบบกลอกตาเอือมมาก ทุกอย่างที่มันทำความฉิบหายที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองแต่ไม่เคยโทษตัวเอง(มาตอนท้ายทำสำนึกผิดไม่นับนะ สายเกินไปแล้ว เกลียด)
ส่วนแดนคือตัวละครที่ทำให้เรื่องนี้ไม่จมดิ่งมากเกินไป แม้ตอนที่ต่อว่าทิชาจะหลุดฟิวขาดมากก็ตาม
และสุดท้ายทิชา ถ้าทิชาคือคนปกติน้องควรพบจิตแพทย์มากๆ เพราะน้องมีบาดแผลทางความรุ้สึกมากเกินไปแล้ว สงสาร

สุดท้ายชื่นชมภาษาของคนเขียน ภาษาดีมากจริงๆค่ะ การเรียบเรียงคำออกมาไม่ติดขัดเลย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 08-04-2020 18:12:55
ในที่สุดก็อ่านจนจบ สาหัสมากบอกเลย อ่านนิยายเรื่องนี้ สงสารทิชามากๆ
อ่านไประแวงไปว่าอิพี่โรมมันจะทำร้ายจิดใจทิชาอีกตอนไหนแบบ อีพี่โรมดูโลเลมาก
ส่วนบี๋เราอ่านแล้วรู้แต่แรกเลยว่าเพื่อนคนนี้ตอแหลแน่ๆคบไม่ได้อ่ะ แล้วก็โป๊ะ จริงๆด้วย
ส่วนแดนไม่ชอบนิสัยตอนแรกมากๆแต่หลังๆโอเคถึงขนาดเชียให้คู่ทิชาไปเลย
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 10:27:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 01-05-2020 16:43:09
มาอ่านรอบที่สอง ชอบมากๆเลยค่ะ รักตัวละครทุกคนเลยยยยย  :impress2:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 04-05-2020 14:49:42
 o13
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 05-05-2020 22:44:22
อ่านจนจบจนได้....เหนื่อยมาก เป็นนิยายที่แบบ อ่านไปสักพักแล้วอยากจะขอข้ามมาอ่านตอนจบเลยได้มะ  ตัวละครแต่ละคนมีความเทามาก ผูกโยงกัน ทับซ้อนไปหมด ไม่รู้ใครจะคู่ใคร มึนตึบไปหมด คนเขียนเก่งมากครับขอชื่นชม  ขอบคุณมากครับ...
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: toonsora ที่ 26-05-2020 18:48:12
ทำไมอ่านเรื่องนี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนฟิคสายเจเรื่องนึงเลย แต่สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 08-06-2020 15:57:39
เราลงเรือ แดนทิชา  :กอด1: แต่จบแบบนี้ก็ถือว่าเหมาะสมละ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 00 [ 05/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-08-2020 16:24:16
การะเกด ทิพยศักดิ์เสนา พี่สาวต่างพ่อของผม


  ชา.... อย่าลืมสิว่าแกกับหนูเกดใช้นามสกุลเดียวกัน ถ้าไม่เรียกว่าพี่น้องแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?”


เดี๋ยวๆๆเดี๋ยวนะ คนละพ่อแต่นามสกุลเดียวกัน ไม่เข้าใจอ่ะ หรือใช้นามสกุลแม่ทั้งคู่ แต่ก็ไม่ถูกนะ ถ้าใช้นามสกุลแม่ทำไมแม่ถึงบอกว่าตัวเองเป็นคนนอก
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 04 [ 23/11/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-08-2020 20:43:56


 

“นะ.....เปิดห้องกัน........เดี๋ยวชาอมของพี่ให้ก็ได้ รับรองว่าพี่โรมต้องติดใจแน่”

“ไอ้ทิชา.... ตั้งสติหน่อยสิวะ!” 

พี่โรมจับตัวผมเขย่าจนหัวคลอน เขาคงคิดว่าผมเมาหรือไม่ก็เสียใจจนเป็นบ้า ถึงได้พูดคำพูดน่ารังเกียจเมื่อกี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว 

“มึงอย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินอีกนะ อมเอิมเหี้ยไร.... พูดอย่างกับจะเอาตัวเข้าแลกให้กูเป็นผัวมึงอยู่ได้!”

“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ? พี่โรมไม่ได้ทำดีกับชาเพราะว่าอยากนอนด้วยหรอกเหรอ?”

“ห่าเอ๊ย.....มึงนี่แม่งประสาทแดกชัดๆ!” 

จากที่แค่โกรธกลับกลายเป็นรังเกียจ พี่โรมลุกขึ้นยืนมองหน้าผมเหมือนเห็นเป็นตัวประหลาด....
เลือดแม่นี่มันแรงจริงๆ น่ารังเกียจ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 05 [ 03/12/2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-08-2020 21:22:07


“อย่าจับ........ฮึก.......!”

แค่ถูกแตะเนื้อต้องตัว อารมณ์ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ก็ยิ่งเตลิดไปไกลและรวดเร็ว กางเกงชั้นในของผมเริ่มเปียกเพราะบางสิ่งซึ่งขยับขยายปล่อยน้ำหล่อลื่นอยู่ภายใต้ร่มผ้า.... ร่างกายผมตื่นตัวรุนแรงจนไวต่อสัมผัสไปหมดทุกส่วน ผมตั้งสติให้มั่นเผยอปากสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด แต่มันไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นเลย ผมยังคงร้อนรุ่มไปทั้งกายและอยากปลดปล่อยความอัดอั้นบริเวณหว่างขาออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่า พี่รุจกลับตรงเข้ามาลากตัวผม รวบเอวแล้วจับโยนขึ้นไปนั่งบนเคาท์เตอร์บาร์ให้ทุกคนในร้านได้เห็นสภาพน่าอับอายนี้ชัดๆ

“เฮ้ย พวกมึงทุกคนฟัง!”  เสียงห้วนประกาศกร้าว  “คืนนี้เรามีนกน้อยบินหลงฝูงมาเว้ย!!”

สายตาสารพัดรูปแบบจากทุกมุมร้านจับจ้องมายังผมซึ่งถูกล็อกตัวเอาไว้บนบาร์เหมือนสินค้าประมูล ทั้งแปลกใจ สนใจ สงสัย ขบขัน สมน้ำหน้า เยาะเย้ย และสมเพชเวทนา ผมมองไปรอบๆ ไม่ต่างจากสัตว์เล็กที่ตื่นกลัวคมเขี้ยวของผู้ล่า.... พี่รุจกระชากคอเสื้อผมจนกระดุมหลุดหายไปสองเม็ด สาบเสื้อร่วงลงมาจากไหล่ให้คนพวกนั้นได้เห็นผิวขาวจัดที่โดนบ่มด้วยฤทธิ์เหล้าและยาจนเป็นสีชมพูระเรื่อ

ผมมองหาพี่โรม แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหนของร้าน....

“มีคนบอกว่ามันจะมาชิงเกียร์ที่มีเจ้าของแล้ว อยากมีผัววิศวะฯ จนต้องแรดมาหาแดกถึงถิ่นกู.... พวกมึงคนไหนเกียร์ยังอยู่ที่คอตัวเองช่วยมาสงเคราะห์มันหน่อยเด๊ะ!”

เสียงโห่ฮาเป่าปากดังขึ้นรับคำสั่งจากพี่รุจ.... ผมรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร เพราะผมไม่ใช่สะใภ้วิศวะฯ ตัวจริง เกียร์ของพี่โรมไม่ใช่ของผม ดังนั้น การมาหาพี่โรมก็ไม่ต่างจากมาขึ้นเขียงให้พวกนี้จับเชือด

“พี่โรม........ฮึก......พี่โรม..............”

“ไม่ต้องกลัวนะน้อง เคสแบบน้องเนี่ยมีมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แหละ ไม่ใช่คนแรกหรอก” 

พี่รุจบอกผมซึ่งนั่งตัวสั่นอยู่บนที่สูงก่อนที่เขาจะล้วงมือลงมาปลดกระดุมกางเกงยีนแล้วดึงลงจนทุกคนได้เห็นขาอ่อนผม... ผมดิ้นรนขัดขืน บอกตัวเองว่านี่คือการเข้าถ้ำเสือที่ผมตัดสินใจเลือกเอง อย่าร้องไห้ต่อหน้าคนพวกนี้เป็นอันขาด แต่ไอ้น้ำตาไม่รักดีก็เสือกไหลออกมาจนได้

“กติกาคือให้รุ่นน้องพี่ผลัดกันเอา.... โดนเอาน้ำนึงก็ได้เกียร์ไปคล้องคอหนึ่งวัน อยากคล้องกี่วันก็อ้าขารอได้ตามใจเลยนะ น้องทิชาคนสวย”



“แต่หลังจากนั้น ถ้าโดนเรียกว่ากะหรี่ห้อยเกียร์ก็ช่วยไม่ได้นะอีหนู”



 
ถ้าไม่ร่าน ไม่คิดจะแย่งของเพื่อน ก็ไม่โดนหรอก สมน้ำหน้ามากถึงมากที่สุด
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 09 [ UPDATED 07 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-08-2020 02:20:36
กฎบ้าบอ เจริญล่ะเรื่องแค่นี้เอาเรื่องการเรียนมาขู่ นิยายเรื่องนี้ต่างก็เป็นนักศึกษา แต่ทุกคนทำตัวเหมือนคนไม่มีการศึกษา
ให้1,000,000 likeเลย ตอบโดนฝจมาก รุ่นพี่เ-ี้ยๆเอาตีนเขี่ยก็เจอ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 11 [ UPDATED 27 JAN 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-08-2020 04:22:23
ROME’s PART





ผมรู้.... ผมเข้าใจ....

ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อรู้แล้ว ผมจะทำนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้บีบี๋จ่ายค่าเกียร์กับหนี้ค่าตัวผมต่อไปได้อีกนานแค่ไหนนี่สิ

เอาเลย เข้าไปช่วยเลย ทุกอย่างมันจะได้พังพินาศ แคร์อะไรนักหนา บีบี๋มันเลือกเอง แล้วไอ้รุจมันเลว ปล่อยมันสองคนไปอย่าไปยุ่ง
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CHAPTER : 13 [ UPDATED 02 MAR 2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-08-2020 11:41:42
BEE-BEE's PART


 
ผมพยายามยื้อมือถือเอาไว้สุดชีวิตแต่เฮียรุจก็แย่งมันไปได้แบบไม่ยากเย็น ริมฝีปากแสะยิ้มตอกย้ำเหมือนคำสั่งประหารตัดหัวเสียบประจานในที่สาธารณะ ความอับอาย การถูกสังคมรวมถึงคนที่ตัวเองรักขับไสไล่ส่งก็คือบทลงโทษที่คนเลวอย่างบีบี๋ควรจะได้รับ 

“ประเดิมด้วยคนที่บ้านมึงกับอดีตเพื่อนรักมึงก่อนเลยก็แล้วกัน!”

“......ฮือ........เฮียรุจ.........บี๋ขอร้องล่ะ.......บี๋ยอมแล้ว..........จะให้ทำอะไรก็ได้.........ยอมแล้ว...........ฮือ.............”

“พิการไปครึ่งตัว กูเอามึงไปก็ไร้ประโยชน์แล้วล่ะ.... เสียใจด้วยนะ น้องบีบี๋”

“.......เฮียรุจ......อย่า...............”

เจ้าของเบอร์ลิคใช้มือถือผมดูดไฟล์จากคลาวด์แล้วส่งหาคนที่มีรายชื่ออยู่ในไลน์ เขาใจร้ายมากที่ทำทุกอย่างให้ออกมาดูเหมือนว่าผมเป็นคนตั้งใจส่งคลิปอัปยศพวกนั้นด้วยตัวเอง.... ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งร้องไห้อ้อนวอนจะเป็นจะตาย ไม่รู้ว่าคลิปถูกส่งไปถึงมือใครแล้วบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คือเฮียรุจเล่นงานผมได้ถูกจุดมากเพราะสองในนั้นเป็นคนที่ผมรักและแคร์ที่สุด 

“พี่สาวมึงได้คลิปแล้วเรียบร้อย คนต่อมาก็พี่ชายมึง.... ชื่ออะไรนะ? เฮียบิ๊กใช่ไหม?”

“ฮึก.......ฮือ............”

หลังจากที่คลิปถูกส่งไปหาเฮียบิ๊ก โทรศัพท์จอแตกก็ถูกโยนคืนมาให้ผม ข้อความนับสิบจากบรรดาคนที่ได้รับคลิปเด้งเข้ามาจนน่ากลัวว่าเครื่องจะระเบิด ทันใดนั้นเอง เสียงริงโทนสายเข้าก็ดังขึ้น.... ทีแรกผมคิดว่าคงเป็นเจ้แบมโทรเข้ามาถามเรื่องคลิปที่ได้รับ หากพอดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอถึงได้รู้ว่าไม่ใช่



 
มันคือปีศาจ เลวร้ายที่สุด หวังว่าไรท์จะเขียนตอนจบให้มันตายสยดสยองทนทุกข์ทรมานนะ
หัวข้อ: Re: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH:17 หน้า7-8 [ UPDATED 09/05/18 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-08-2020 14:28:19
18
 
“เฮียโรมกำลังเข้าใจผิดนะ......เฮียรุจไม่ใช่คนที่ทำให้ไอ้ชาเจ็บ......แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการที่เฮียลาออกจากเบอร์ลิคด้วย...........” 

 
ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก ต้นเหตุมาจากไอ่รุจทั้งนั้น ถ้ามันเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา ทิชาจะต้องพาบีบี๋หนีมั้ย แล้วไอ้รถที่ไล่ตามพร้อมโทรมาข่มขู่มันไอ้เลวตัวไหนถ้าไม่ใช่ไอ้รุจ คนบาดเจ็บน่าจะเป็นไอ้รุจมากกว่า