✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63183 ครั้ง)

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
12
~ วาระซ่อนเร้น ~


BEE-BEE’s PART



“ช่วงนี้บีบี๋ดูผอมลงนะ ไดเอ็ทอยู่เหรอ?”

“นั่นสิ.... เราว่าเราไม่ค่อยเห็นบีบี๋กินอะไรเลย ต้องแอบฟิตหุ่นอยู่แน่ๆ”

ระหว่างที่กำลังตักข้าวกลางวันแสนจืดชืดที่เอามาจากบ้านเข้าปาก เจนนี่กับฝ้าย สองเพื่อนสาวคนสนิทกลุ่มใหม่ก็เอ่ยทักขึ้น ผมแปลกใจนิดหน่อยก่อนจะก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตัวเอง ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันแหละว่าน้ำหนักน่าจะเริ่มลดลงไปบ้าง แต่ถ้าถามว่าตั้งใจจะไดเอ็ทหรือเปล่า อันนั้นผมคงต้องบอกว่าไม่ใช่

“เปล่านี่......”  ผมตอบยิ้มๆ ทั้งที่ในใจอยากจะแหวะสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไปเต็มแก่.... ให้ตายเถอะ เบื่อเกียมฉ่ายผัดไข่ฝีมือหม่าม้าชะมัด! “.......เราก็เอาข้าวมาเองไง”

“ก็จริงอยู่ว่ากินข้าว แต่บีบี๋ไม่กินขนมเลย ชานมก็ไม่กิน เดี๋ยวนี้ชวนไปกินไก่ทอดเกาหลีกับเฟรนช์ฟรายราดชีสหลังเลิกเรียนด้วยกันก็ไม่ยอมไป บอกว่าติดธุระบ้างอะไรบ้าง งานชุกยิ่งกว่านักธุรกิจพันล้าน ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ นี่แทบไม่ต้องชวนเลย ยังไงก็ไปแน่”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เบื่อๆ น่ะ”

ผมอุตส่าห์ไม่คิดถึงชีวิตอันแสนสุขแล้วพยายามหลอกตัวเองว่าเอ็นจอยดีกับอาหารต้นตำหรับบรรพบุรุษจากซัวเถาซึ่งเป็นอย่างเดียวที่แม่ผมสามารถทำได้ แต่พอเจนนี่พูดถึงฟาสต์ฟู้ดของโปรดให้ได้ยิน หัวใจของผมก็เจ็บแปลบยิ่งกว่าโดนมีดเสียบ ท้องไส้ที่กินแต่กับข้าวแต้จิ๋วสไตล์มาร่วมครึ่งเดือนก็ร้องอุทธรณ์ส่งเสียงโครกคราก ซึ่งผมก็ทำได้แค่คุมโทนหน้านิ่ง ไม่สน ไม่อยากเพราะจะให้ใครรู้ไม่ได้เชียวว่าผมตั้งใจจะใช้เงินให้น้อยเข้าไว้ หรือถ้าไม่ใช้ได้เลยยิ่งดี

“แหม คงไม่ใช่ว่าลดน้ำหนักเปลี่ยนลุคให้คนเก่าเสียดายเล่นหรอกนะ” 

ฝ้ายสันนิษฐานไปไกลถึงดาวพลูโต แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องหนี้เบอร์ลิคเข้ามา ผมก็แทบไม่ได้นึกถึงคนเก่าที่กำลังถูกพาดพิงอีกเลย

“บ้า บีบี๋ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำแบบนั้นสักหน่อย.... น่ารักอยู่แล้ว เดี๋ยวก็มีคนใหม่เข้ามาจีบเองแหละ” 

เจนนี่ช่วยเสริม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงได้อวยผมสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนพูดทุกอย่างนะ แต่เพราะฟังแล้วรื่นหูดีก็เลยไม่อยากขัดต่างหาก

“อย่างพี่โรม ถึงจะหล่อจะรวยแต่ดันซื่อบื้อเห็นดอกหน้าวัวเป็นดอกบัวถวายพระ อย่าไปนึกถึงเลย ปล่อยให้ไปที่ชอบๆ พร้อมกับทิชานั่นแหละดีแล้ว”

ผมหัวเราะแห้งประหนึ่งว่าชอบใจที่เจนนี่ช่วยด่าเฮียโรมกับอดีตเพื่อนซี้ แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้นะว่าสองคนนั้นคือความด่างพร้อยที่เจ็บแสบที่สุดในชีวิตผม และไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะปล่อยวางได้ง่ายๆ

ผมยังจำเหตุการณ์ซึ่งกลายมาเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ศิลปกรรมเมื่อไม่นานมานี้ได้ดี เฮียโรมที่เลี้ยงหมามาตลอดตอนอยู่สุราษฏร์อุ้มน้องมิลค์ ลูกรักของไอ้ชามาเซอร์ไพรส์เหล่าขาเผือกถึงหน้าคณะ ในเวลานั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเขาบอกเลิกผมแล้ว ผมเองก็ไม่ได้บอกใครเพราะคิดว่ายังไงก็จะพยายามง้อ ยื้อเอาเขากลับมาให้ได้ แต่บอกตามตรงว่าใจผมฝ่อทันทีเมื่อเห็นเฮียโรมจูงมือทิชาไปขึ้นรถแบบไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น.... ทั้งๆ ที่มันผ่านแฟนเก่ามาไม่รู้กี่มือต่อกี่มือ ทั้งๆ ที่ชื่อเสียงมันฉาวโฉ่ชนิดใส่ตะกร้าล้างน้ำอีกรอบก็ไม่หมดกลิ่นคาว แต่เฮียโรมก็ยังคิดว่าทิชาดีกว่าผม

ผมรู้สึกพ่ายแพ้ หดหู่ แล้วก็เกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกครั้งที่มีคนเข้ามาถามว่า ‘เลิกกับพี่โรมแล้วใช่ไหม?’ ‘ถูกทิชาแย่งแฟนไปเหรอ?’ หรือ ‘ทำไมเขาถึงไปชอบทิชาได้ล่ะ?’ เพราะมันโคตรตอกย้ำเลยว่าผมก็เป็นได้แค่ไอ้บีบี๋ เบี้ยล่างกระจอกงอกง่อยที่คอยเดินตามทิชาต้อยๆ และไม่มีวันขึ้นมาเทียบเท่ามันได้

เรื่องระหว่างผมกับเฮียโรมมันมากกว่าแค่คบแล้วเลิก ไม่ใช่แค่อกหักรักไม่สมหวัง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงหนี้สองล้านที่เฮียรุจเอามาโยนใส่หัวผม....

ผมไม่เชื่อหรอกว่าเฮียโรมจะไม่รู้เรื่องนี้เลย ถึงจะเป็นกฎของเบอร์ลิคแต่ก็ไม่มีทางที่พี่แจ็คจะไม่เล่าให้เพื่อนฟัง.... ผมแน่ใจว่าเฮียโรมรู้ทุกอย่างแต่ไม่สนใจ ก็เขาไม่ชอบผมแล้วนี่ เผลอๆ อาจจะนึกสมน้ำหน้าผมด้วยซ้ำที่คิดจะใช้อำนาจเฮียรุจบีบบังคับเขาก่อน

ป่านนี้เขาก็คงมีความสุขอยู่กับไอ้ชาสมใจอยากล่ะมั้ง.... ผมก็คงไม่หัวร้อนเท่าไรนักหรอก ถ้าหากว่าเฮียโรมไม่เคยบอกว่าชอบผมมาก่อน เสร็จแล้วก็มาทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น


“เออ ว่าแต่เมื่อไรบีบี๋จะแนะนำให้พวกเรารู้จักพี่ปีสามคนนั้นสักทีล่ะ คนที่ตัวสูงๆ ผิวเข้มๆ ที่ชอบมาหาบ่อยๆ หลังเลิกเรียนน่ะ”

“หืม พี่แจ็คน่ะเหรอ?”

อยู่ดีๆ เจนนี่ก็ถามขึ้นมา คนที่มาหาผมช่วงนี้ก็มีแค่พี่แจ็คคนเดียวนั่นแหละ แค่งงว่าทำไมผมถึงต้องแนะนำคนรู้จักให้เพื่อนด้วย ตอนอยู่กับทิชา ไม่เห็นมันจะเซ้าซี้ขอให้ผมแนะนำคนรู้จักให้เลย หรือว่านี่จะเป็นความคิดแบบผู้หญิงๆ กันนะ

“ก็ไม่มีอะไรนี่ เขาชื่อพี่แจ็ค ปีสามภาคเครื่องกลก็แค่นั้น”

“ไม่มีอะไรจริงเหรอจ๊ะ?”  ฝ้ายช่วยแซ็วสมทบ ที่แท้สองคนนี้ก็สงสัยว่าพี่แจ็คจะมาจีบผมนี่เอง

“กับพี่แจ็คน่ะไม่มีหรอก...........”

เพราะเขาแค่มีหน้าที่ขับรถรับ-ส่งให้ผม ส่วนคนที่มีจริงๆ น่ะคือตัวร้ายซึ่งผมไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อโดยไม่จำเป็น

“งั้นก็แนะนำได้น่ะสิ” 

สองสาวมองผมตาเป็นประกาย ถึงจะไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปหลงอะไรคนหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาอย่างไอ้พี่แจ็ค แต่เพื่อนสัมพันธภาพอันดีกับเพื่อนใหม่ ผมก็ยินดีขายทอดตลาดเบ๊กิตติมศักดิ์ด้วยความเต็มใจ

“ได้อยู่แล้ว ถ้าพวกเธออยากได้ไลน์พี่แจ็ค เดี๋ยวเราแชร์คอนแท็คให้เลย”



“น้องบีบี๋เสร็จธุระหรือยังครับ?”


ยังไม่ทันที่ผมจะควักโทรศัพท์ออกมา น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งเฮือกมือไม้สั่นโดยอัตโนมัติ แล้วก็ยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อหันไปเจอว่าคนที่มารับผมไปเบอร์ลิคในวันนี้ไม่ใช่ไอ้พี่แจ็คหน้าเหม็นบูดเหมือนเช่นเคย

หากแต่เป็นเจ้าหนี้ คนที่ผมเพิ่งบอกว่าไม่อยากเอ่ยถึงโดยไม่จำเป็น....!

“ฮะ.....เฮียรุจ!” 

เวรเอ๊ย ทำไมผมต้องสั่นไปยันลูกกระเดือกด้วยเนี่ย แถมอยู่ต่อหน้าเจนนี่กับฝ้าย โดนทักประชิดถึงตัวขนาดนี้ จะวิ่งหนีหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็ไม่ได้ 

“แล้วพี่แจ็คล่ะ?? พี่แจ็คไปไหน ทำไมต้องมาเอง??”

“ไอ้แจ็คมันก็ต้องมีเรียนหนังสือบ้างสิ ใครจะมาว่างคอยตามรับ-ส่งน้องบีบี๋ได้ตลอดเวลาล่ะครับ?” 

เฮียรุจพูดอย่างกับว่าผมเป็นเด็กอนุบาลติดพี่เลี้ยง ในขณะที่ตัวเขาคือผู้ปกครอง ทั้งน้ำเสียงและสายตาราวกับจะตอกย้ำว่าคนที่ผมควรต้องเชื่อฟังและเดินตามคือเขา ไม่ใช่พี่แจ็คซึ่งแค่ทำหน้าที่ขับรถให้ 

“ถ้ากินข้าว คุยกับเพื่อนเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ.... วันนี้หน้ามอรถติดตั้งแต่หัววันเชียว พี่ต้องกลับถึงร้านก่อนบ่ายสามด้วย พอดีนัดคุยกับพวกนักดนตรีเอาไว้”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเรียนรู้แบบจำฝังหัวว่าทุกคำที่เฮียรุจพูดไม่ใช่การขอร้องหรือถามความเห็น แต่มันคือคำสั่งที่ผมจะต้องปฏิบัติตามเท่านั้น และถ้ายังไม่อยากโดนซ่อมจนน่วม ผมก็ไม่ควรอ้อยสร้อยจนเขาต้องพูดซ้ำสอง

“ไปก่อนนะ เจนนี่ ฝ้าย.... ไว้เจอกัน บาย”

ผมเก็บข้าวกล่องที่หอบมาจากบ้านทั้งที่เพิ่งกินไปได้แค่สอง-สามคำแล้วรีบหยิบข้าวของเตรียมไปขึ้นรถ เฮียดูค่อนข้างพอใจที่ผมไม่แผลงฤทธิ์ใส่เขาแบบเดียวกับที่ชอบทำใส่พี่แจ็ค เขาก็คงได้ยินรุ่นน้องคนสนิทรายงานถึงความร้ายกาจของผมมาหลายหน ถึงได้อยากมาโชว์พาวแล้วก็แสดงตัวตอกย้ำให้ผมจำขึ้นใจว่าเป็นลูกหนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ร้านหรือที่ไหนก็ยังเป็นแค่ทาสอยู่ดี

 “เอ่อ.... ขอโทษนะคะพี่”

เจนนี่ส่งเสียงเรียกก่อนที่ผมกับเฮียรุจจะออกไปจากแคนทีนคณะ ฟังจากสรรพนามบุรุษที่สองแล้ว เจนนี่ไม่น่าจะเรียกผม หากแต่เป็นร่างสูงในชุดแบรนด์ Diesel ตั้งแต่หัวจรดเท้า 

“เมื่อกี้พวกหนูได้ยินบีบี๋เรียกพี่ว่าเฮียรุจ ไม่ทราบว่าใช่เฮียรุจที่เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิคหรือเปล่าคะ?”

เฮียรุจหันมายิ้มให้สองสาว ยิ้มแบบที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเพื่อธุรกิจล้วนๆ

“น้องคนสวยเคยไปเบอร์ลิคด้วยเหรอครับ?”

“ยังเลยค่ะ แต่หนูเคยเห็นรูปพี่ในไอจีเพื่อน คิดว่าไม่น่าจะจำผิด”

“ก็ไม่ผิดหรอกครับ.... พี่ชื่อรุจ เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิค” 

เพียงเท่านี้ เจนนี่กับฝ้ายก็กรี๊ดกร๊าดตีมือกันยกใหญ่ อยากจะสะกิดบอกเหลือเกินว่าไอ้ที่เห็นว่าเป็นเจนเทิลแมน พูดเพราะ สุภาพน่ะก็แค่เปลือกนอก แต่ข้างในน่ะฆาตกรโรคจิตอาจจะต้องยกมือไหว้เรียกพี่เลยด้วยซ้ำ 

“เห็นว่าน้องสองคนเป็นเพื่อนกับบีบี๋ เอาไว้ถ้าแวะไปเที่ยวที่ร้านเมื่อไรก็เข้าไปทักพี่ที่บาร์ได้เลยนะ จะลดค่าค็อกเทลให้เป็นพิเศษ”

“ขอบคุณเฮียรุจมากเลยค่ะ ไว้ส่งงานไฟนอลเทอมนี้เรียบร้อยแล้วจะไปเที่ยวที่ร้านพี่แน่ๆ”

ผมแอบเบะปากในใจก่อนจะเดินนำหน้าเจ้าหนี้ไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกคณะ ยอมรับเลยว่าหัวร้อนพอสมควรที่เฮียรุจชวนเจนนี่กับฝ้ายไปร้าน ถึงเพื่อนผมจะถามแต่เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเสนอและสนอง.... แค่เอาชีวิตนอกมหาวิทยาลัยของผมไปจนเกือบหมดก็มากพอแล้ว ผมไม่อยากให้ตัวตนและเงินของเขาเข้ามาทำลายชีวิตที่ยังเหลืออยู่ที่นี่ด้วย

“หงุดหงิดอะไรครับ บีบี๋?”

ในเมื่อเขากล้าถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ งั้นผมก็กล้าตอบ....

“หงุดหงิดเฮียรุจ!” 

ผมพูดออกไปตรงๆ พลางเหวี่ยงกระเป๋าและกระบอกใส่ดรอว์อิ้งไปไว้เบาะหลังรถ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็เอาให้รู้ไปเลยว่าไม่ชอบ 

“อย่ามายุ่งกับเพื่อนบี๋.... ไม่ว่าเฮียรุจจะแค่หน้าหม้อ อยากแกล้งประจานบี๋ หรือห่าเหวบ้าบออะไรก็ตาม เราตกลงกันแล้วว่าเรื่องเกิดที่เบอร์ลิคก็ให้จบในเบอร์ลิค อย่าขี้โกง!”

“เป็นห่วงเพื่อนกับเขาด้วยเหรอเนี่ย? หรือว่าเฮียหูฝาด?”

ร่างสูงแค่นเสียงในลำคอราวกับจะบอกว่าที่ผมพูดไปเมื่อกี้คือมุขตลก 

“ทีกับทิชายังไม่เห็นน้องบีบี๋จะดูรักเพื่อนแบบนี้เลย ออกจะห้ำหั่นฟาดฟันกันให้ตายไปข้าง”

และนั่นก็คือความจริงที่เถียงไม่ได้ ผมแสร้งทำทีเป็นเพื่อนที่แสนดีแต่ใจจริงแล้วมองทิชาเป็นคู่แข่งมาตลอด ก็ไม่แปลกที่จะโดนตัดสินว่าคนอย่างผมไม่น่าจะมีความจริงใจให้ใคร ซึ่งจะว่ากันตามตรงแล้ว ที่ผมหันมาคบเจนนี่กับฝ้ายก็ไม่ใช่เพราะอยากสนิทด้วยมากมาย แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นมองและนินทาว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครคบต่างหาก.... เฮียรุจก็คงดูออกล่ะมั้ง เขาถึงยิ้มเยาะหน้าตายและออกคำสั่งให้ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งได้แล้ว

“ถ้าไม่มีอะไรจะแก้ต่างที่เฮียพูด ก็เชิญขึ้นรถได้แล้วครับ”

หากเป็นรถพี่แจ็ค ผมยังพอเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้เขาเปิดเพลงตามใจได้บ้าง แต่พอเป็นรถเฮียรุจ พอก็ได้แต่นั่งหาวหวอดฟังเพลงที่เจ้าของรถใส่เพลย์ลิสท์เอาไว้.... ใครจะไปคิดว่าคนหน้าตาเหมือนพี่ว้ากปีแปด ประกอบสัมมาอาชีพสีเทา จะชอบฟังเพลงบอสซาโนว่าของลิซ่า โอโนะ แทนที่จะเป็นพี่ตูน บอดี้สแลม

เพิ่งจะบ่ายต้นๆ แต่ถนนแถวนี้รถติดจนอารมณ์เสีย ง่วงนอนก็ง่วง ที่สำคัญก็คือเมื่อกี้นี้ผมกินข้าวไปแค่นิดเดียว ตอนนี้ก็เลยหิวไส้จะขาด และทันทีที่คิดว่าหิว กระเพาะของผมก็ประท้วงด้วยการส่งเสียงชวนขายขี้หน้าออกมาประจาน


โครกกกกกก~~



 “น้องบีบี๋ไม่ได้กินข้าวเหรอ?” เจ้าหนี้ถามคล้ายจะล้อเลียน  “ทำไม? หม่าม้าไม่ได้ให้เงินมาเรียนหนังสือหรือไง?”

“ยุ่ง!”

เฮียรุจยักไหล่ไม่ถือสาเมื่อผมกระแทกเสียงใส่

ป๊าม้าผมยังให้เงินค่าขนมมาเรียนตามปกติ ถึงครอบครัวผมจะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ยากจน ส่วนใหญ่อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่หลังจากที่ผมตัดสินใจจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อไถ่ตัวเองจากการเป็นลูกหนี้เฮียรุจ ผมก็อยู่ในขั้นอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลายิ่งกว่าเด็กเอธิโอเปีย.... ก็อย่างที่บอกว่ากับข้าวบ้านไม่ค่อยถูกปาก ถึงจะห่อข้าวมาก็ใช่ว่าจะช่วยได้ เพราะผมมักจะกินไม่ลงอยู่เรื่อย

นั่งแกร่วอยู่อีกร่วมสิบห้านาทีกว่าจะหลุดแยกไฟแดงมาได้ แต่แทนที่เฮียรุจจะบึ่งตรงไปเส้นเอกมัยเพื่อเข้าร้าน เขากลับเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ซึ่งมีที่ว่างสำหรับจอดรถก่อนจะดับเครื่องดึงกุญแจออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“จอดทำไม?”

“หิวข้าวครับ”

“ก็ไปกินที่ร้านสิ มาจอดอะไรตรงนี้?” 

ผมถามฉุนๆ ก็ไหนเจ้าตัวว่ารีบนักรีบหนา ปกติที่เบอร์ลิคก็มีพ่อครัวกับแกล้มเข้ามาเตรียมของตั้งแต่บ่าย พวกเฮียรุจก็สั่งกินกันในร้าน ไม่เคยเห็นจะต้องแวะกินข้าวที่อื่นให้เปลืองเวลา

“บังเอิญว่าเฮียอยากกินก๋วยจั๊บร้านนี้ ตอนนี้”  ร่างสูงว่าพลางเปิดประตูรถแล้วปิดกลับมาดังโครม

“เลี้ยงหรือให้จ่ายเอง?” 

ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ จะดีลอะไรกับเฮียรุจแม่งโคตรเหนื่อย ต้องคอยระวังตัวและรอบคอบทุกเม็ด

“เฮียเป็นคนชวนก็ต้องเลี้ยงสิครับ” 

ยิ่งผมแสดงออกว่าระแวง เขาก็ยิ่งทำน้ำเสียงมีเลศนัยเหมือนแกล้งจะขู่ให้ผมจิตตกเล่น เพียงแต่มันเป็นการขู่ที่มีผลบังคับใช้จริงในภายหลังทุกครั้ง 

“วันนี้เฮียจะสั่งไม่ให้พี่ปุ้ยทำกับข้าวให้น้องบีบี๋ ถ้าจะกินก๋วยจั๊บก็ตามมา แต่ถ้าเรื่องมากไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินอะไรเลยจนถึงพรุ่งนี้”

เดิมทีก็หิวอยู่แล้ว ยิ่งโมโหน้ำย่อยก็ยิ่งไหลออกมาพาลให้หิวไปกันใหญ่ ผมก้าวลงจากรถเดินตามเฮียรุจไปอย่างเสียมิได้ ถึงจะไม่ใช่พิซซ่าขอบชีสหรือไก่ทอดเกาหลีที่คิดถึงอยู่ทุกชั่วขณะจิต แต่ก๋วยจั๊บก็คงดีกว่าเกียมฉ่ายผัดไข่กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแหละวะ.... ที่สำคัญคือมื้อนี้ฟรี ผมอัดเสียงเฮียรุจตอนบอกว่าจะเลี้ยงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และจะไม่ยอมให้เอาเขาไปลงบัญชีเพิ่มหนี้เพิ่มดอกเบี้ยเป็นอันขาด

พอได้โต๊ะนั่งแล้ว เฮียรุจก็หันไปสั่งเมนูกับอาเจ๊ก แถมยังสั่งเผื่อของผมให้เสร็จสรรพไม่การถามสักคำว่าจะกินแบบไหน

“เอาก๋วยจั๊บน้ำใสใส่ทุกอย่างหนึ่ง แล้วก็เอาพิเศษใส่แค่ไข่กับหมูกรอบ ไม่เอาเครื่องในอีกหนึ่งครับ”

ดีนะที่สั่งถูก จะได้ไม่มีใครว่าผมกินทิ้งกินขว้าง

“นึกว่าจะไม่อยากกินเสียอีก” 

เจ้าหนี้ถามเมื่อเห็นผมจ้วงเอาทุกอย่างในชามเข้าปากชนิดแทบไม่เงยหน้าขึ้นมองผู้คนเลย ถึงจะไม่ใช่ของชอบ แต่รสชาติเข้มข้นกับเนื้อสัตว์กรุบกรอบก็ทำเอาผมน้ำลายสอจนหยุดกินไม่ได้ จะเรียกว่าทั้งโหยทั้งหิวก็คงใช่แหละ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยอมรับให้เสียฟอร์ม

“ก็ไม่ได้อยากกิน แค่ไม่อยากนั่งรอบนรถเฉยๆ”

“ถ้าอยากกินอีกก็สั่งเพิ่มได้นะ จะได้ไม่หิวตายไปซะก่อน”

แต่ก็นั่นแหละ ถึงผมไม่ยอมรับ เฮียรุจก็แสนรู้อยู่ดี....

โทรศัพท์ของผมส่งเสียงติ๊ง เตือนว่ามีข้อความอินบ็อกซ์เข้ามาทางเฟซบุค พอหยิบขึ้นมาดู ผมก็ยิ้มออกด้วยความดีใจเมื่อคนที่อุตส่าห์เฝ้ารอตอบกลับมาในที่สุด และผมก็ไม่รีรอที่จะเลิกสนใจก๋วยจั๊บชามพิเศษตรงหน้าแล้วรีบตอบข้อความกลับไปโดยเร็ว

“ยิ้มอะไร? คุยกับผู้ชายที่ไหนอีกล่ะ?” 

เฮียรุจถามผม น้ำเสียงและท่าทางของเขาไม่ได้บอกว่าไม่พอใจ จะว่าหึงหวงก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน ผมจึงสรุปเอาเองว่าเป็นสันดานของพวกวิศวะฯ ในเบอร์ลิคที่ไม่ชอบให้คนที่คล้องเกียร์ตัวเองไปยุ่งกับคนอื่น ถึงแม้ว่าผมจะจ่ายเงินราคาหลักล้าน ไม่ได้ห้อยฟรีก็เถอะ 

“เฮียเคยเตือนแล้วนะว่าถ้ามีแฟน ราคาต่อรอบก็จะตกกลางทาง หนี้ก็จะหมดช้าลง.... ไม่กลัวก็ตามใจ”

“จะไม่คิดถึงเรื่องเงินสักนาที ผมเฮียคงไม่ร่วงหมดหัวหรอกมั้ง” 

ผมเถียงกลับตามประสาคนปากไว แต่สายตาดันไม่ไวก็เลยพลาดหลบไม่ทัน โดนคนตรงหน้าแย่งฉวยโทรศัพท์ไปจากมือแบบหน้าด้านๆ

“เฮียรุจ เอามือถือบี๋คืนมานะ คนอะไรไม่มีมารยาท!”

“หืม รับสอนพิเศษด้วยเหรอเนี่ย?” 

ร่างสูงยิ้มรับคำด่า หากก็สไลด์อ่านข้อความแชทระหว่างผมกับน้องที่คุยกันต่อ คิ้วหนาเข้มเลิกขึ้นสูงนิดๆ เมื่อสมองประมวลผลเสือกเสร็จสรรพว่าผมกำลังทำอะไร 

“คอร์สสอนวาดการ์ตูนเด็กม.ต้น ชั่วโมงละสามร้อยห้าสิบ.... ไม่ยักรู้ว่าน้องบีบี๋จะขยันทำมาหากินขนาดนี้”

“ยุ่ง!”  รู้สึกว่าวันนี้ผมจะด่าเขาด้วยคำนี้มาสองรอบแล้วนะ

“ไหนเล่าซิ จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ?”

ยัง.... ยัง.... ยังมีหน้ามาถามอีก

“ก็เอามาใช้หนี้คนแถวนี้ จะได้หมดเร็วๆ ไง!”

“เฮียบอกเลยนะว่าน้องบีบี๋จะผ่อนจ่ายเป็นเงินก็ต้องจ่ายมาทั้งก้อน ไอ้จะมาผ่อนทีละหมื่นสองหมื่นนี่ไม่โอเค เฮียไม่รับ ขี้เกียจนับเหรียญ” 

นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้ว เฮียรุจยังหาเรื่องหาเหตุมากดดันผมทุกวิถีทางเหมือนจะบอกว่าไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะปลดแอกให้ตัวเองแล้วหนีพ้นสภาวะหนี้นอกระบบท่วมหัวไปได้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะมาอวยชัยให้พร แต่ในฐานะเจ้าหนี้แล้ว ถ้าลูกหนี้เครดิตดีมีความพยายามจะจ่าย มันก็น่าจะอะลุ่มอล่วยหักลบยอดหนี้ให้กันบ้างสิ

 “ว่าแต่เราชอบวาดรูปแนวนี้ ทำไมไม่เรียนพวกมีเดียอาร์ตหรือนิเทศศิลป์ล่ะ มาเรียนอินทีเรียทำไม?”

“ก็คนส่งเสียเขาสั่งให้เรียนอันนี้ บี๋ก็ต้องเรียน” 

ผมตอบตามตรง ทุกครั้งที่นึกถึงสงครามตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ยังเซ็งไม่หายที่ป๊าม้าผมไม่เหมือนพ่อแม่บ้านอื่นที่ให้อิสระลูกได้เลือกเรียนอย่างที่ชอบ ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ไม่งั้นก็เชิญเสด็จออกจากบ้านไปหาเลี้ยงตัวเองได้เลย 

“เบื่อเว้ย มีแต่เรื่องเงินๆๆๆ แล้วก็เงิน.... ถ้าถูกหวยสักสามสิบล้านก็คงไม่ต้องโดนกดขี่ข่มเหงแม่งทุกทางแบบนี้หรอก!”

“ถ้าน้องบีบี๋คิดว่าเงินคือปัญหา งั้นก็ตั้งใจหาเงินเข้านะครับ.... เฮียจะเอาใจช่วยให้ถูกหวยไวๆ ไม่ต้องรอชาติหน้า”

“อย่ามาประชดได้มะ”

“ประชดที่ไหน นี่ให้กำลังใจอยู่นะ” 

เฮียรุจแค่นหัวเราะใส่ ปากบอกว่าให้กำลังใจแต่ผมกลับดูเจตนาเขาไม่ออกว่าเจ้าตัวกำลังคิดะไรกันแน่ระหว่างจะทรมานผมด้วยเรื่องนั้นต่อไป หรืออยากได้เงินครบสองล้านแล้วไม่ต้องเผาผีกันอีก 

“เอาเป็นว่า อย่างน้อยถ้าน้องบีบี๋กำลังยุ่งเรื่องทำงานพิเศษหาเงินมาใช้หนี้ ก็จะได้ไม่ว่างไปหมกมุ่นกับเรื่องของคนอื่น”


นึกว่าอะไร.... ที่แท้ก็กลัวว่าผมจะกลับไปยุ่งกับเฮียโรมนี่เอง

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



สามวันแล้วหลังจากประกาศผลออดิชั่นนักแสดงละครซีรีส์ของช่องเอ็ม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกโล่งใจที่ปิดแอคเคาท์เฟซบุคไปเมื่อปีก่อนและไม่เคยปลดล็อกไอจีเลย ไม่รู้ว่ากระแสข้างนอกที่พูดถึงผมเลวร้ายถึงขั้นไหน แต่ก็พอเดาได้จากสายตาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่จ้องมองมา.... พวกเขาคงกำลังด่าผมว่า ‘ขี้โกง’ หรือไม่ก็ ‘เด็กเส้น’ แล้วก็พากันรอดูว่าคนอย่างผมจะแพ้ภัยตัวเองและร่วงลงมาให้พวกเขาเหยียบซ้ำตอนไหน แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อผมเป็นอย่างที่เขาว่าทั้งสองอย่างแล้วจะมีหน้าไปพูดแก้ตัวอะไรกับใครได้

แม้กระทั่งกับพี่โรม จนป่านนี้ ผมยังพูดกับเขาไม่ได้เลย....

“พี่อิ๋ว สวัสดีค่ะ”

“อ้าว น้องนิดา เชิญเข้ามาได้เลยจ้ะ พานายเอกละครพี่เข้ามานั่งด้วยกันตรงนี้เลย มีอะไรที่ต้องคุยเยอะแยะเชียวล่ะ” 

ผมยกมือไหว้คุณป้าผู้จัดละครช่องเอ็มซึ่งเป็นเพื่อนในวงการและพี่สาวที่แม่นับถือมานาน ก่อนจะนั่งลงบนโซฟารับรองภายในห้องทำงานโดยมีแม่ของผมซึ่งยิ้มไม่หุบมาสามวันแล้วตามประกบไม่ห่าง 

“สวัสดีจ้ะ ทิชา..... เป็นไงบ้างลูก คงได้ดูไลฟ์ประกาศผลการคัดเลือกนักแสดงแล้วเนอะ ละครเรื่องนี้ของป้าจะปังหรือพังก็ขึ้นอยู่กับทิชาแล้วนะ”

“ครับ ป้าอิ๋ว”  ผมยกมือไหว้อีกครั้ง  “ขอบคุณมากเลยนะครับที่เลือกผม”

“โอย ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกจ้ะ.... ที่ทิชาได้รับเลือกก็เพราะนายทุนกับสปอนเซอร์เขาชอบเรามากกว่าอีกคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง อันที่จริงในวันที่คนอื่นๆ มาแคส ทีมงานกับกรรมการก็แอบมีเซ็ตตัวกันคร่าวๆ เอาไว้บ้างแล้วว่าจะให้ใครได้บทไหนแต่ยังไม่ไฟนอล พอทุกคนได้เห็นคลิปแนะนำตัวกับรูปเทสต์หน้ากล้องของทิชา พวกเจ้าของเงินก็เปลี่ยนใจมาเลือกทิชากันหมด ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้”

อย่างที่ป้าอิ๋วบอก แม่ผมเป็นคนโทรศัพท์ขอให้ผมได้เข้าร่วมการออดิชั่นโดยให้เหตุผลว่า  ‘วันนั้นน้องทิชาติดเรียนจนถึงเย็น ไปยื่นใบสมัครไม่ทันเที่ยง แต่หลานอยากลองแคสดูจริงๆ นะคะคุณพี่’  ป้าอิ๋วซึ่งเคยมาทาบทามผมผ่านทางแม่ปรึกษากับทีมงานแล้วก็อนุญาตให้ผมเข้ามาเทสต์หน้ากล้องทีหลัง.... หากพอได้ยินว่ามีใครคนหนึ่งต้องพลาดบทนำเพราะมีผมเข้ามาเสียบแทน และอาจมีอีกคนหนึ่งพลาดงานนี้ไปเลยก็อดรู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำลงไปไม่ได้

ไม่รู้ด้วยว่าหนึ่งในนั้นคือใคร จะใช่คนที่ชื่อปาย คู่จิ้นใหม่ของไอ้แดนหรือเปล่า....?

“แต่จะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหมคะที่ทิชาได้บทเด่นขนาดนี้ทั้งๆ ที่มาทีหลัง?” 

แม่ผมถามได้ตรงประเด็นมาก ถึงแม้ผมจะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงมันก็ต้องมีปัญหาตามมา อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยแค่นั้น 

“นิดาก็แค่ห่วงสภาพจิตใจลูกน่ะค่ะ ทีแรกที่โทรมาขอให้แกได้ลองแคสบทก็ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นได้รับบทนำ.... งานนี้ก็เป็นงานแรกด้วย แฟนคลับอะไรก็ไม่มีเหมือนเด็กคนอื่นๆ นิดาไม่กล้าอ่านโพสในเพจละครเลยแต่ก็มีคนบอกมาเหมือนกันว่าแฟนคลับของเด็กที่ชื่อปายเขาไม่ยอมรับผลการตัดสิน แล้วก็มาต่อว่าลูกชายนิดาสารพัด...........”

ว่าแล้วเชียว คนที่โดนผมแย่งบทไปก็คือคนชื่อปายจริงๆ ด้วย

แล้วไอ้แดนล่ะ ตกลงว่ามันจะหายโกรธเพราะผมกลับมาแคสละครคู่กับมันตามสัญญา หรือจะยิ่งโกรธกว่าเดิมเพราะอยากเล่นคู่กับคนชื่อปายซึ่งเป็นคู่จิ้นใหม่มากกว่า แต่ผมดันโผล่เข้ามาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มันแพลนเอาไว้ฉิบหายหมดกันนะ?

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น นิดาไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก.... พี่บอกแล้วว่าทิชาเข้ามาแคสบทอย่างถูกต้อง มีคลิปมีอะไรให้กรรมการตัดสินเหมือนเด็กทุกคน และผลก็คือนายทุนเขาเลือกทิชา” 

แม้ป้าอิ๋วจะไม่พูดถึงว่าทำไมพวกเจ้าของเงินถึงเลือกผม แต่ผมก็พอจะรู้ว่าเป็นเพราะชื่อ ‘ทิชนันท์ ทิพยศกดิ์เสนา’ นี่แหละ นามสกุลไฮโซของพ่อกับข่าวฉาวเมื่อยี่สิบปีก่อนซึ่งติดตัวผมมาจนถึงทุกวันนี้มันง่ายต่อการใช้สร้างกระแส เรียกให้คนหันมาสนใจละครเรื่องนี้ 

“ที่แฟนคลับของปายกับเด็กคนอื่นๆ ต่อว่าเรื่องที่ไม่เห็นทิชาในไลฟ์วันแคส เดี๋ยวพี่จะให้พีอาร์กองละครแถลงข่าวว่าทางทีมงานได้มีการทาบทามทิชาเอาไว้ก่อนแล้ว แต่หลานไม่ว่างก็เลยนัดให้มาแคสในวันหลังแทน แล้วก็จะปล่อยคลิปแนะนำตัวของทิชาให้พวกเขาได้ดูด้วย.... แล้วก็จะย้ำให้หนักๆ เลยว่าทิชาผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง หลานมีแม่เป็นดารา ดูเหมือนเป็นเด็กเส้นก็จริง แต่ถ้าสปอนเซอร์ไม่เลือก แล้วพวกพี่จะไปช่วยอะไรได้ล่ะ จริงไหม”

“ได้ยินแบบนี้ นิดาก็ค่อยโล่งอกหน่อยค่ะ.... บอกตามตรงว่ากลัวลูกจะถูกมองไม่ดี พี่อิ๋วก็รู้ว่าคนสมัยนี้ร้ายกาจจะตาย ยิ่งพวกในเน็ตด้วยนะ.........”

“ไม่ว่าจะยุคไหน มีอินเตอร์เน็ตหรือไม่มี พฤติกรรมของคนที่ติดตามดารามันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมนักหรอก.... อะไรที่ถูกใจตัวเองก็คือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรไม่ถูกใจก็ปักธงด่าเอาไว้ก่อน ต่อให้ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ไม่รู้ว่าตัวตนของเราเป็นแบบไหน เขาก็ยังจะด่าอยู่ดี” 

ป้าอิ๋วพูดอย่างคนที่อยู่ในวงการมานาน เห็นโลกมามากจนเข้าใจและยอมรับได้กับสัจธรรมเหล่านี้ ก็เหลือแต่แม่ผมนี่แหละที่ยังปลงไม่ได้กับตัวผมซึ่งกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นเหยื่อโซเชียลแบบเต็มตัว 

“เราก็ทำงานของเราต่อไป สิ่งที่จะช่วยทิชาได้ก็คือผลงานและความตั้งใจ ก็ใช้โอกาสนี้พิสูจน์ตัวเองนะลูก.... ทำให้คนที่ด่าเรารู้สึกว่าเขาคิดผิด และกลับมาหลงรักตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้”

“ครับ ป้าอิ๋ว”

ผมรับปากทั้งที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะทำได้หรือเปล่า.... ผมเองก็ไม่ใช่สายสู้ชีวิตเสียด้วย ผมเลือกที่จะหนีผู้คนกับเสียงนินทามาตั้งแต่เด็ก ใครร้ายก็ผม ผมก็แค่ไม่ยุ่งกับเขาและอยู่ให้ห่างที่สุด ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ว่าจะเป็นอคติของคนอื่นหรือแม้กระทั่งทัศนคติของตัวเอง

แต่ในเมื่อสปอตไลท์มันหันหัวมาทางนี้แล้ว บางทีผมอาจจะต้องเรียนรู้วิธีเผชิญหน้าและรับมือกับความเกลียดชัง แทนที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดเหมือนที่ผ่านมา

“จบเรื่องซีเรียสแล้ว เรามาคุยกันแบบสบายๆ บ้างเถอะนะ” 

ป้าอิ๋วยื่นเอกสารมาให้แม่กับผมคนละชุด ข้างในนั้นมีกำหนดการต่างๆ ของทางกองถ่ายพร้อมด้วยรายละเอียดในการเตรียมตัวสำหรับนักแสดง 

“พอดีว่าเด็กๆ ที่ผ่านการคัดเลือกมาเล่นสงครามคิวท์บอย ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานด้านละครมาก่อน ป้าก็เลยจัดเวิร์กชอปสอนพื้นฐานการแสดงให้กับทุกคน ก็จะให้เข้ามาเรียนตอนเย็นวันธรรมดากับเสาร์-อาทิตย์เต็มวัน ช่วงแรกก็จะนัดถี่หน่อย.... หลังจากนี้ก็จะมีตารางฟิตติ้ง ถ่ายรูปทีเซอร์ เดินสายโปรโมทละครตามรายการข่าวบันเทิง ทิชาคงไม่มีปัญหาเรื่องเวลาใช่ไหมลูก?”

ผมไม่กล้ารับปากในทันที เพราะตารางที่ทางกองจัดมามันซ้อนทับเวลาเรียนไปพอสมควร ต่อให้ไม่ซ้อน ผมก็ไม่น่าจะมีเวลาว่างทำงานส่งอาจารย์ได้ทันอยู่ดี ยิ่งคณะผมไม่ได้มีวิชาเรียนประเภทอ่านหนังสือสอบก็จบกัน แต่คะแนนทุกอย่างมาจากงานที่ทำส่งล้วนๆ.... ดูจากสถานการณ์แล้ว ผมอาจจะต้องดร็อปบางตัวแล้วก็เรียนจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มหรือเปล่าเนี่ย

เหมือนป้าอิ๋วจะมองออกว่าผมกังวลกับตารางที่ได้รับจึงพยายามอธิบายเพิ่ม

“ทำงานแบบนี้มันก็ต้องมีกระทบการเรียนบ้างแหละ เดี๋ยวทิชาก็เอาตารางเรียนเทอมนี้ให้ผู้จัดการกองถ่ายใช้จัดคิว เขาก็จะพยายามนัดวันที่หลานไม่มีเรียน ยังไงก็จะพยายามให้เด็กทุกคนดร็อปเรียนน้อยที่สุด” 

ยังไม่ทันที่ผมจะนึกถึงใครอีกคนซึ่งเรียนอยู่ที่เดียวกันในคณะเพื่อนบ้าน ผู้ใหญ่ก็ชิงเล่าข่าวคราวความเป็นไปของฝ่ายนั้นให้ฟัง 

“พระเอกของเรื่องเขาก็เรียนที่เดียวกับทิชา เห็นว่าเรียนสถาปัตย์ก็น่าจะงานยุ่งพอๆ กันกับอินทีเรียใช่ไหม.... ยังไงทั้งสองคนก็ลองไปคุยกันดู ถ้าวิชาเรียนคล้ายๆ กัน แต่ละคนก็น่าจะช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาให้กันได้”

จริงอยู่ว่าศิลปกรรม สาขาตกแต่งภายในกับคณะสถาปัตย์มีวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนร่วมกัน หากผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่าไอ้แดนจะอยากปรึกษาหาเรืออะไรกับผม.... ก่อนหน้านี้ก็ยังพอเข้าใจได้ว่ามันโกรธ แต่สามวันแล้วหลังจากประกาศผล มันก็น่าจะรู้แล้วว่าสุดท้ายผมก็ไม่ได้ผิดสัญญา แต่ทว่า มันก็ยังไม่ตอบไลน์ ดีไม่ดีอาจจะบล็อกผมไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้

แค่เริ่มต้นก็ชวนให้ปวดหัวชะมัด ขอเหอะนะ จากนี้อย่าให้มีอะไรน่าปวดประสาทมากไปกว่านี้อีกเลย....

“ทีนี้มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว.........”

ยังไม่ทันขาดคำ ก็ดูคล้ายว่าปัญหาใหม่จะเข้ามาไวประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะเงยหน้าจากกระดาษในมือขึ้นมองป้าอิ๋ว รอยยิ้มใจดีที่เห็นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ราวกับจะบอกว่าในเมื่อผมอุตส่าห์ได้รับโอกาสในการเป็นที่รักแล้ว ก็อย่าทิ้งมันไปเพราะความคิดตื้นๆ เป็นอันขาด

“เห็นคุณแม่บอกว่าทิชายังไม่มีแฟน ตกลงว่าไม่มีจริงๆ ใช่ไหมลูก?” 

ผู้ใหญ่ซึ่งเวลานี้กลายเป็นผู้มีพระคุณด้วยเอ่ยถามออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม 

“ตอบตามตรงนะ เรื่องแบบนี้ป้าขอเลยว่าอย่าปิดบังกัน”

“..........................”

ผมนิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะหันไปมองหน้าแม่ด้วยสายตาประมาณว่า ‘แม่บอกป้าอิ๋วแบบนั้นได้ยังไง?’ แต่จะโทษแม่ก็ไม่ถูก เพราะผมเองก็ไม่เคยบอกใครว่าคบกับพี่โรม คนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่เพื่อนร่วมคณะที่เคยเห็นพี่โรมมารับผม

อ้อ แล้วก็นายแดน ดรัณภพอีกหนึ่งราย....

“นิดาก็บอกแล้วว่าไม่มีหรอกค่ะ ปกติทิชาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นานทีปีหนถึงจะออกไปเที่ยวข้างนอกสักครั้ง อย่าว่าแต่แฟนเลย ขนาดเพื่อนสนิทยังไม่ค่อยมีเหมือนคนอื่นเขา.......”

แม่ให้ข้อมูลป้าอิ๋วไปตามที่เคยรู้ ถ้าเป็นเมื่อสักสอง-สามเดือนก่อน ผมก็คงได้แค่พยักหน้าเออออห่อหมกไปด้วยเพราะผมก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ทว่า ตอนนี้ชีวิตผมขยับก้าวหน้าขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปแล้ว เพียงแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าควรจะอัพเดทเรื่องพี่โรมให้แม่รับรู้ด้วยดีหรือเปล่า

“อันที่จริง ถ้าทิชาจะมีแฟน ป้าก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ เพียงแต่ทางสปอนเซอร์เขามีข้อเสนอมาให้ทางกองละครนิดหน่อย”

“ข้อเสนออะไรเหรอคะ?”

หน้าที่ซักถามข้อสงสัยกลายเป็นของแม่ไปโดยปริยาย โดยที่ผมจะนั่งฟังและเครียดตามอย่างเดียว ก็หวังว่าแม่จะไม่ตกลงรับปากไปหมดทุกสิ่งจนลืมดูว่าลูกตัวเองสามารถทำตามนั้นได้หรือเปล่าก็แล้วกัน

“ก็อย่างที่รู้ว่าสมัยนี้กระแสคู่จิ้นกำลังมาแรง นายทุนเขาก็เลยอยากให้เราอาศัยจุดนี้ในการโปรโมทละคร เพราะมันสามารถเอาไปต่อยอดทำงานอย่างอื่นได้และพวกแฟนคลับสาวๆ ก็ชอบด้วย” 

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ก็เพราะความที่เป็นคู่จิ้นกันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งนี่แหละที่ทำให้ไอ้แดนยื่นเงื่อนไขให้ผมมาแคสบทในละครเรื่องนี้กับมัน แต่ไอ้ที่ว่าจะยกกระแสขึ้นมาใช้โปรโมทจะต้องทำกันถึงขั้นไหน ถ้าถึงขนาดให้โกหกประชาชนว่าผมกับไอ้แดนคบกันจริงๆ นี่ก็ไม่ไหวนะ

 “พี่ประชุมกับทางพีอาร์แล้วว่าอยากจะให้ทิชากับแดนออกงานคู่กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันให้บ่อยกว่าคนอื่น แล้วก็ให้มีซีนกุ๊กกิ๊กหลุดเป็นรูปหรือคลิปออกไปบ้าง.... แต่ไม่ต้องให้สัมภาษณ์ตรงๆ ว่าเป็นแฟนกันหรืออะไรทำนองนั้นนะ ปล่อยให้แฟนคลับเขาคิดกันเองว่าพระเอก-นายเอกในละครจะรักกันนอกจอจริงหรือเปล่า”

“น่าสนใจดีนะคะ สมัยที่นิดายังเล่นเป็นนางเอก ทางช่องก็เคยมาขอให้โปรโมทในแนวคู่ขวัญแบบนี้เหมือนกัน”

“เพราะอย่างนี้ ถ้าแฟนคลับเกิดรู้ว่าทิชามีแฟนขึ้นมา แผนโปรโมทโดยการใช้คู่จิ้นก็จะไปไม่รอด พี่ถึงอยากขอให้ทิชาเก็บเรื่องแฟนเอาไว้จนกว่าละครจะจบ ในกรณีที่หลานมีแฟนอยู่แล้วน่ะนะ” 

ป้าอิ๋วหันมามองหน้าผม 

“ส่วนงานหลังจากนี้ก็แล้วแต่ว่าทิชาจะอยากสานต่อความเป็นคู่จิ้นกับแดนหรือเปล่า อันนี้ป้าให้เราไปตกลงกันเอง.... แต่ถ้าคุยกันแล้วโอเค ทางช่องก็จะขอให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องเต็มตัวแล้วก็โปรโมทไปในทางนี้ต่อ รับรองว่าป้าจะหาละครดีๆ ให้ลงเล่นด้วยกันอีก แล้วก็พวกงานอีเวนท์ งานพรีเซนเตอร์คู่ด้วย”

“แล้วทางพระเอกเขาว่ายังไงบ้างคะ? เขาตกลงรับข้อเสนอแล้วหรือยัง?”

“เรื่องโปรโมทละครด้วยกันกับทิชาก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหานะ แต่เรื่องเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง พี่ได้ยินมาว่าโมเดลลิ่งของคุณโรสกำลังพยายามทาบทามแดนอยู่ คงตั้งใจว่าพอจบละครเรื่องนี้แล้วจะเอาน้องแดนไปขายคู่กับปายที่เป็นเด็กของเขาให้ได้ เพราะมันก็มีกระแสคู่จิ้นแดนปายลากยาวมาตั้งแต่วันแคสบทเหมือนกัน.... แต่พี่สั่งเอาไว้แล้วว่าห้ามคุณโรสแอบเซ็นกับเด็กถ้าละครยังไม่จบ ต้องให้ช่องมีสิทธิ์ก่อน แต่ถ้าทิชาไม่ตกลงก็ปล่อยเขาไปรับงานกับทางนั้นตามสบาย”

ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกเมื่อคุณป้าที่เคารพบอกกันตรงๆ ว่าไม่คิดจะเซ็นสัญญาให้แดนเป็นนักแสดงสังกัดช่องถ้าหากไม่มีผม ผมไม่รู้หรอกว่าโมเดลลิ่งของคุณโรสอะไรนี่มีชื่อเสียงขนาดไหน แต่คิดว่ายังไงการได้เซ็นสัญญากับช่องใหญ่ๆ ซึ่งมีความสามารถในการผลิตละครได้เองก็น่าจะดีกว่า.... ซึ่งถ้าผมปฏิเสธไม่เอา ไอ้แดนก็จะพลาดโอกาสนี้ไปด้วย กับคนที่ใฝ่ฝันอยากเข้าวงการบันเทิง มันก็คงไม่ต่างจากโดนถีบลงจากเรือทั้งๆ ที่จวนจะพายถึงฝั่งเลยทีเดียว

แต่ถึงจะรู้สึกแย่มากแค่ไหน คนที่ผมควรจะแคร์มากที่สุดก็ยังไม่ใช่แดนอยู่ดี ที่สำคัญก็คือผมรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมันแล้ว มันเองก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมด้วยว่าจะมีแค่งานนี้งานเดียวเท่านั้น

‘กูขอโทษมึงอีกทีก็แล้วกันนะ.... แดน’


“ป้าอิ๋วครับ เรื่องเซ็นสัญญากับช่อง ผมขอตัดสินใจตอนนี้เลยได้ไหมครับ?”

“ว่ายังไงลูก?”

“ผมตั้งใจแล้วว่าจะแสดงละครเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว ผมคงเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องตามที่ป้าอิ๋วเสนอไม่ได้ ผมต้องขอบคุณแล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง............”

เพียงแค่นั้น ทั้งแม่และป้าอิ๋วต่างก็จ้องหน้าผมในทำนองว่า ‘เอาอีกแล้ว.... เด็กคนนี้นี่!’  ผมรู้ว่าแม่จะต้องหัวเสียมากแน่ๆ แล้วก็คงอยากจะหยิกผมให้เนื้อเขียวเต็มแก่ แต่ติดตรงที่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น แม่ก็เลยทำได้เพียงเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ปล่อยให้ป้าอิ๋วเกลี้ยกล่อมเผื่อว่าผมจะนึกเกรงใจขึ้นมาบ้าง

“ทำไมล่ะ ทิชา?”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสไม่ได้แสดงความไม่พอใจ แต่ค่อนข้างเป็นห่วงด้วยคิดว่าผมจะใจร้อน รีบคิดรีบพูดเกินไปจนทำให้พลาดอะไรดีๆ 

“เรายังไม่ได้ลองทำงานเลย ทำไมถึงคิดว่าจะไม่อยากทำต่อแล้วล่ะ.... หรือมีเหตุผลอะไรอย่างอื่น คุยกับป้า กับคุณแม่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นะ”

“คะ.......คือ ผมเป็นห่วงเรื่องเรียนน่ะครับ” 

ผมบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะยังไม่พร้อมที่จะให้แม่รู้เรื่องพี่โรม รับรองเลยว่าถ้าแม่รู้ว่าผมมีแฟนล่ะก็จะต้องอาละวาดหนักแหง เผลอๆ จะสั่งให้ผมเลิกคบกับเขาเพื่อมาเป็นดาราด้วย 

“เท่าที่ดู เทอมนี้ก็น่าจะต้องดร็อปอย่างน้อยๆ ก็สองตัวแล้ว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าละครจะถ่ายนานแค่ไหน จะกินเวลาเทอมหน้าด้วยหรือเปล่า.... ผมก็แค่อยากเคลียร์เรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกทีน่ะครับ”

“อืม ถ้าเป็นเหตุผลนี้ ป้าก็พอเข้าใจทิชานะ” 

ป้าอิ๋วไม่ได้ต่อว่าแต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับผมเซ็นสัญญาให้ได้ ไม่ว่าจะเพราะหวังดีหรือแค่เล็งเห็นว่าผมจะสามารถทำเงินให้ต้นสังกัดได้ในอนาคตก็ตาม 

“แต่โอกาสดีๆ แบบนี้ก็ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ เอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีก็แล้วกัน.... ตอนนี้ทิชาอาจจะยังรู้สึกกลัววงการบันเทิง นั่นก็เพราะเรายังมองภาพไม่ออกว่าถ้าได้เข้ามาแล้วมันจะเป็นยังไง แต่พอทำไปสักพัก เริ่มมีแฟนคลับ ไปไหนมาไหนก็มีคนจำได้ ได้รับคำชมมากๆ บางทีทิชาอาจจะชอบการเป็นดาราเหมือนอย่างคุณแม่ก็ได้”

และถึงป้าอิ๋วจะเอาเรื่องความรักที่จะได้รับจากประชาชนคนทั่วไปมาล่อ แต่ผมก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีใครนึกชอบคนอย่างผมขึ้นมาจริงๆ

นอกจากพี่โรมก็คงไม่มีอีกแล้ว....




“ถ้าไม่ได้อยากเป็นดารา แล้วแกมาขอให้แม่ช่วยเรื่องแคสบททำไม?”

“...................”

“เจาะจงจะเล่นละครแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว มีเหตุผลอะไรกันแน่ ทิชา?”

ทันทีที่ขึ้นรถได้ แม่บังเกิดเกล้าก็เริ่มต้นทำการสอบสวนผมเหมือนเป็นนักโทษ แต่จะว่าแม่จู้จี้จุกจิกชอบบงการก็ไม่ได้ เพราะตัวผมเองที่เป็นคนขอร้องบอกว่าต้องเข้ามาออดิชั่นสงครามคิวท์บอยให้ได้ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาแคสกันเสร็จไปหมดแล้ว หากพอป้าอิ๋วอุตส่าห์จะให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง ผมก็กลับอิดออดทำท่าจะไม่ยอมขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้แม่ซึ่งเป็นคนออกหน้าฝากฝังผมกับคุณป้าหัวหน้าผู้จัดละครอารมณ์เสียได้ยังไง

“ก็ไม่มีอะไร...........” 

ผมพูดเสียงอ่อยพลางเสียบกุญแจสตาร์ทรถ พยายามทำเหมือนว่ามันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนหากผมจะคิดว่าตัวเองคงเหมาะกับการเป็นมัณฑนากรมากกว่า 

“ก็ตอนนั้นผมคิดว่าอยากลองดู แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันต้องทำอะไรวุ่นวายมากมายขนาดนี้ แค่ดูตารางที่ป้าอิ๋วให้มา ผมก็น่าจะต้องดร็อปเรียนอย่างน้อยสองตัวแล้ว”

“มาขอเล่นละครแต่ไม่รู้ว่าจะกระทบเวลาเรียนงั้นเรอะ อย่ามาโกหกแม่หน่อยเลย!” 

แม่ยังคงไม่ยอมแพ้

 “แม่เลี้ยงแกมาตั้งแต่ฝ่าเท้าเท่าฝาหอย นิสัยใจคอแกเป็นยังไง แม่นี่แหละที่รู้ดีกว่าใคร ทำไมแค่นี้จะดูไม่ออกว่าแกมีเรื่องปิดบัง”

ถ้าผมไม่ยอมรับสารภาพ เห็นทีว่าวันนี้คงขับรถกลับไปไม่ถึงบ้านแน่ แถมมีหวังได้โดนแม่หยิกจนเนื้อหลุดติดมือแหงแซะ

“ผมมีเหตุผลอื่นจริง.... แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะบอก ขอยังไม่บอกได้ไหม?”

แม่หรี่ตามองหน้าผมอย่างคาดโทษแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา

“ตามใจ อย่างกับว่าแม่อยากรู้เรื่องของเด็กๆ แบบแกนัก” 

แม่โบกมือเป็นสัญญาณให้ผมออกรถได้ แต่แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก 

“ว่าแต่ที่ป้าอิ๋วเขาขอให้แกโปรโมทเป็นคู่จิ้นกับพระเอกที่ชื่อแดนจนกว่าละครเรื่องนี้จะจบ แกจะทำตามนั้นได้ใช่ไหม?”

“ผมไม่อยากทำก็ต้องทำหรือเปล่า ป้าอิ๋วพูดซะขนาดนั้นแล้ว..........”

คุณนายนิดาวัลย์พยักหน้าพอใจก่อนจะพูดต่อ

“งั้นก็ไปบอกคนของแกให้เข้าใจด้วยว่านี่คืองาน อย่าให้แม่ได้ยินว่ามีใครมาอาละวาดโวยวายในกองถ่ายหรือมาทำอะไรให้แกขายขี้หน้าเป็นข่าวฉาวเชียวนะ บอกเลยว่าต่อให้เป็นลูกท่านหลานเธอมาจากไหน แม่ก็ฉะไม่ไว้หน้าแน่”

“แม่หมายถึงใคร....???”

“แกคิดว่าใครก็คนนั้นแหละ”

ถ้ามีอะไรสักอย่างที่ผมขอร้องแม่ได้ ผมก็อยากจะขอว่าอย่าเพิ่งทำให้ผมตกใจตอนกำลังขับรถเลย คนยิ่งขับไม่คล่องอยู่ ถ้าเกิดมือลั่นขาสั่นเข้าเกียร์ผิดหรือเหยียบเบรกไม่โดน มีหวังได้อัดก็อปปี้กับเสาไฟฟ้าได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งกรอบบ่ายทั้งแม่ทั้งลูกแน่นอนทีเดียวเชียว

“แล้วแม่.......รู้ได้ยังไง.........?” 

เมื่อตั้งสติได้ ผมจึงถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อยกว่าเดิม รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปตอนห้าขวบที่เอาเสื้อผ้าในตู้ของแม่มาตัดเล่นแล้วโดนจับได้ นอกจากโดนดุแล้วยังโดนตีซ้ำเพราะไอ้เสื้อเวรตัวนั้นดันยี่ห้อวาเลนติโน่ ราคาเหยียบหลักหมื่นทั้งๆ ที่ผมเห็นเป็นเสื้อยืดกิ๊กก๊อกธรรมดา

“ร้อยวันพันปีแกไม่เคยไปค้างกับใครที่ไหน บ้านเพื่อนยังแทบไม่เคยไป แต่นี่น้อยใจแม่แล้วหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไปดื้อๆ หายหัวไปอยู่กับใครก็ไม่รู้เป็นอาทิตย์.... ถ้าดูไม่ออกว่าไปนอนบ้านแฟนก็ไม่ต้องมาเป็นแม่แกแล้ว!” 

ทีแรกผมคิดว่าแม่จะโมโหหนักกว่านี้ถ้ารู้ความจริง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกเสียจากบ่นไปตามประสาผู้หญิงใกล้วัยทอง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับฟังทุกคำที่แม่บ่นโดยไม่คิดจะเถียง.... เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการที่ผมหายออกไปบ้านไปอยู่กับพี่โรมแบบไม่บอกไม่กล่าวนั้นทำให้แม่เสียใจมากแค่ไหน แม่เองก็รู้สึกผิดที่พลั้งปากด่าว่าผมแรงๆ เพียงแต่แม่มีนิสัยไม่ชอบง้อใครแม้กระทั่งกับลูกตัวเองก็เลยไม่ยอมเป็นฝ่ายโทรหาผมก่อน 

“แล้วคนที่ไปอยู่ด้วยเป็นยังไงบ้าง? ผู้หญิงหรือผู้ชาย? นิสัยใจคอโอเคหรือเปล่า? เขาดีกับแกจริงๆ ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพ่อหรือป้าๆ ที่บ้านใหญ่ใช่ไหม?”

“เขาเป็นผู้ชาย ชื่อพี่โรม เรียนวิศวะฯ ปีสาม มหาลัยเดียวกัน...........” 

ก่อนหน้านี้ยังกลัวอยู่เลยว่าแม่จะไม่ชอบที่ผมมีแฟน แต่พอโดนถามแบบนี้แล้ว ผมก็อยากอวดสรรพคุณพี่โรมให้แม่ฟังชะมัด 

“นิสัยก็กระด้างๆ มึงมาพาโวยแบบผู้ชายนั่นแหละ แต่พอคบกันแล้วเขาก็ใจดีมาก ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย”

“เฮ้อ ฉันว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นผู้ชาย” 

แม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรียกให้ผมละสายตาจากถนนหันไปมองด้วยความกังวล แต่แล้วแม่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ 

“อันที่จริงก็เห็นแววตั้งแต่ช่วงเรียนเกรดสิบแล้วว่าคงไม่มีสาวๆ ที่ไหนมาหลงชอบแกแน่.... โทษกรรมพันธุ์ก็แล้วกัน ความผิดฉันเองแหละที่สวยเกินไป เลยคลอดลูกชายออกมาสวยเหมือนแม่”

หลังจบมุขตลกที่ไม่รู้ว่าควรจะขำตามดีหรือเปล่า เราสองแม่ลูกก็เงียบไปอีกพักใหญ่ ผมตั้งใจว่าจะขับรถไปส่งแม่ที่บ้านแล้วจะออกไปหาพี่โรมที่คอนโดฯ เพราะผมฝากยัยมิลค์เอาไว้กับเขาก่อนจะออกมา เท่ากับว่าวันนี้ผมมีเวลาอยู่กับแม่อีกไม่กี่นาที จึงอยากจะให้แน่ใจว่าแม่จะไม่คิดมากเรื่องที่ผมมีแฟน และแฟนคนนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย

“ตกลงว่าแม่ไม่โกรธจริงๆ ใช่ไหมครับ?”

“โกรธเรื่องไหนดีล่ะ.... แม่มีเรื่องที่ต้องโกรธแกเยอะแยะเต็มไปหมด”

“ก็.......ที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายไง......”

“นี่มันยุคไหนแล้ว ยิ่งแม่อยู่ในวงการ มีคนรู้จักอย่างพวกดีไซเนอร์ ช่างหน้าช่างผมที่เป็นเกย์ไม่รู้กี่สิบคน คนพวกนั้นเก่งๆ มีความสามารถเป็นเจ้าคนนายคนถมไป ไม่มีเหตุผลที่แม่จะโกรธแค่เพราะลูกชายตัวเองเป็นเกย์หรอกนะ” 

แม่เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ

“ถ้าจะโกรธก็โกรธเรื่องที่แกหนีออกจากบ้าน แล้วก็ไม่ยอมเซ็นสัญญาเป็นดาราช่องป้าอิ๋วมากกว่า.... ทำอะไรไม่รู้จักคิด น่าโมโหที่สุด!”

หัวใจของผมพองโตขึ้นมาทันที จะด่าว่าผมเห็นแก่ตัวหรือเป็นลูกชั่วก็ได้ หากเพราะบนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่ารักจนหมดหัวใจ คนหนึ่งคือแม่ ส่วนอีกคนก็คือพี่โรม ทั้งสองคนเติมเต็มความรักคนละรูปแบบให้แก่ผม.... ถ้าหากแม่เกิดไม่ยอมรับเรื่องที่ผมคบกับพี่โรม ผมเองก็คงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะเลือกฝ่ายไหน แต่โชคดีเหลือเกินที่เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น

“จะไปอยู่กับแฟน แม่ก็ไม่ได้จะว่านะ แต่ช่วงที่ถ่ายละครก็พยายามกลับมาอยู่บ้านดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาต้องมานั่งแก้ข่าวกันทีหลัง.... เพิ่งทำงานแรก ผู้ใหญ่เขาขออะไรก็ทำตามนั้นเถอะ อย่าให้เสียชื่อมาถึงแม่เป็นอันขาด เข้าใจนะ?” 

ผมพยักหน้ารับคำทันที ตั้งแต่เกิดมานี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งของแม่โดยไม่มีอิดเอื้อนงอแงเลยสักนิด ยิ่งคำสั่งข้อหลังสุด ผมยิ่งยินดีจะเชื่อฟังบุพการีจากก้นบึ้งหัวใจ 

“แล้วมีเวลาว่างตรงกันเมื่อไรก็พาพี่โรมอะไรนั่นมาแนะนำให้แม่รู้จักด้วย.... จะได้รู้ว่าว่าที่ลูกเขยหน้าตาเป็นยังไง แล้วลูกชายแม่ไปอาศัยอยู่กับคนแบบไหน จะบ้าตาย นี่แม่ต้องนัดคุยเรื่องสินสอดล่วงหน้าเลยไหมเนี่ย”

“อย่าเรียกนักแพงนะแม่ ไม่งั้นผมจะหนีตามเขา”

“ทำมาพูด แกน่ะหนีไปแล้วรอบนึงเถอะ!”

ผมเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้าน เมื่อกี้บอกแม่ไปแล้วว่าผมทิ้งแมวไว้ที่คอนโดฯ พี่โรม ยังไงวันนี้ก็ต้องกลับไปดูแลมัน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมจะไปค้างกับแฟน เพียงแต่สั่งให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหลังจากที่ห่างหายไปนาน หลังจากนั้นจะไปไหนก็เชิญตามสบายเพราะแม่เองก็มีนัดออกกองละครถ่ายซีนกลางคืนเช่นกัน



TO BE CONTINUE

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
การที่ทิชาเลือกที่จะไปเล่นละครมันจะทำให้มีปัญหากับแดน เฮียโรมแล้วก็คนอื่นๆอีกรึป่าว
แต่ก็ยังดีที่แม่เข้าใจเรื่องที่ทิชามีแฟนเป็นผู้ชายล่ะนะ

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

แต่ทว่า โลกก็ยังคงโหดร้ายกับผมไม่จบไม่สิ้น....

.

.


“พี่โรม.... ชากลับมาแล้ว”

“มาแล้วเหรอ คุณดาราหน้าใหม่?”

น้ำเสียงทุ้มยังคงห้วนสั้นมึนตึงเหมือนครั้งสุดท้ายที่คุยกัน บ่งบอกให้รู้ว่าช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ห่างกันไปนั้นไม่ได้ช่วยให้พี่โรมอารมณ์ดีขึ้นเลย.... แม้ปากจะพูดว่าไม่ได้โกรธแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ที่แย่ที่สุดก็คือ พี่โรมไม่กอดผมอีกเลยนับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าผมได้เล่นละครเรื่องเดียวกับไอ้แดน มิหนำซ้ำยังเป็นการแอบไปขอแคสบทนอกรอบโดยที่ไม่ปรึกษาเขาอีกด้วย

ผมรู้ว่าที่ตัวเองทำลงไปก็ไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ และพี่โรมก็บอกแล้วว่าจะช่วยเคลียร์กับไอ้แดนให้ แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือสัญญาระหว่างผมกับญาติผู้น้องของเขามันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยชักชวนกันไปแคสงานธรรมดา แต่มันคือหนี้ที่ผมสมควรต้องจ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรับผิดชอบแทนได้.... ผมก็ไม่กล้าเล่าให้พี่โรมฟังด้วยว่าตัวเองถูกไอ้แดนด่ามาว่ายังไงบ้าง กลัวเรื่องจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ เลยคิดว่าถ้าจัดการทำตามสัญญาให้มันจบๆ ไปซะ มันก็น่าจะดีกว่าปล่อยให้นายดรัณภพเข้าใจว่าหลอกใช้มันแล้วก็ถีบหัวส่ง

จะบอกว่าผมขี้กลัวและเซ็นสิทีฟเกินไปก็คงใช่ แต่คำพูดของไอ้แดนในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นทุกอย่างตามที่มันด่าจริงๆ.... ร่าน เลว หลอกลวง และสุดท้ายก็จะโดนพี่โรมเขี่ยทิ้งเพราะไม่มีใครอยากจริงใจกับคนตลบแตลงอย่างผม

ผมกลัว ไม่อยากให้ใครพูดแบบนั้นเลย

ยิ่งเป็นไอ้แดนที่รู้จักผมดีพอๆ กับตัวผมเอง ไม่ว่าผมจะคิดอ่านทำอะไร มันก็มักจะเดาถูกอยู่เสมอ ผมยิ่งไม่อยากให้มันเข้าใจผิดว่าผมคือคนใจร้าย

แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้พี่โรมเข้าใจผิดด้วยว่าผมแคร์ความรู้สึกของไอ้แดนมากกว่าเขา....


“ดารง ดาราอะไรกัน.... ไม่เอาสิ อย่าเรียกชาแบบนี้เลยนะ” 

ผมโน้มตัวไปกอดชายหนุ่มจากทางด้านหลังแล้วจูบแก้มสากอย่างออดอ้อนเอาใจ หากก็ไม่อาจทำให้พี่โรมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งมีรูปพิมพ์เขียวเครื่องยนต์แล้วหันมาสนใจผมได้ 

“กินข้าวหรือยัง เดี๋ยวชาทำให้.... พี่โรมอยากกินอะไร? เอาพาสต้าซอสเนื้อดีไหม ชาเพิ่งซื้อของมาไว้ในตู้เย็นเมื่อวาน ทำแปบเดียวก็เสร็จแล้ว”

“พี่สั่งร้านข้างล่างมากินแล้ว ยัยมิลค์ก็กินแล้วเหมือนกัน”  เขาว่าอย่างเฉยเมย ทำเอาผมหน้าเจื่อนไปในพริบตา  “ถ้าทิชามีอะไรจะอัพเดทก็รีบพูดมาเลย พี่จะได้ทำงานต่อ”

นอกจากกลัวใจไอ้แดนแล้ว ตอนนี้ผมยังกลัวใจพี่โรมด้วยอีกคน....

“คุณป้าที่เป็นผู้จัดละครเขาเรียกชาไปคุยเรื่องตารางงาน เทอมนี้ชาอาจจะต้องดร็อปเรียนหลายตัวเลย.... ก็คงจะเรียนจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างน้อยเทอมนึง หรืออย่างแย่สุดก็คงจบช้ากว่าปีนึง”

พูดถึงเรื่องเรียน พี่โรมก็แค่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘ก็เลือกจะไปเล่นละครเองนี่ แล้วจะมาบ่นอะไร.........’

“พอจบเรื่องนี้ คุณป้าจะให้ชาเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่องเอ็ม แต่ชาปฏิเสธไปแล้วนะว่าไม่เอา”

“อ้อเหรอ”

“มีอีกเรื่อง..........” 

ผมสูดลมหายเข้าลึกๆ หวั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะบอกต่อไปนี้จะทำให้พี่โรมโกรธมากยิ่งขึ้น แต่มันก็เหมือนกับเรื่องที่ผมแอบไปแคสบทนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วก็ต้องสารภาพความจริงอยู่ดี ก็ได้แต่หวังว่าระหว่างเรามันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมก็แล้วกัน 

“ทางทีมงานเขาขอให้ชาปิดเรื่องที่มีแฟนเป็นความลับเอาไว้จนกว่าละครจะฉายจบ และช่วงที่โปรโมทละคร ชาก็อาจจะต้องกลับไปอยู่บ้านเพื่อไม่ให้เป็นข่าว คงจะอยู่กับพี่โรมที่คอนโดฯ นี้ไม่ได้”

คราวนี้พี่โรมหันมามองหน้าผม แต่ไม่ใช่ด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างเคย ปากคอผมสั่นพั่บเมื่อคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาต่อยหรือเปล่า หรือจะบอกเลิกแล้วไล่ผมออกไปจากห้องเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่แล้ว น้ำเสียงเย็นเยียบชนิดที่ทำให้ขนลุกเกรียวเสียวสันหลังก็เอ่ยถามออกมา

“ทำไมต้องปิดบัง?”

“คะ.....คือทางช่องเขาจะโปรโมทละครแนวคู่จิ้น......กะ.....ก็เลย......”

“ทิชาก็เลยรับปากเขาไปงั้นสิ?” 

พี่โรมอาจจะไม่รู้ว่าแค่คำถามไม่กี่ประโยคจากเขา หัวใจของผมก็คล้ายถูกเขวี้ยงจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว ลมหายใจที่อุตส่าห์สูดเข้าไปสำลักกระอักอยู่ในคอเมื่อดวงตาคมดุจับจ้องราวกับจะเอาผมไปขึ้นตะแลงแกงเตรียมประหาร แล้วสิ่งที่คนรักใช้เชือดเฉือนฟาดฟันผมให้ตายคาที่ก็คือคำพูดประชดประชันตอกย้ำความผิด 

“ก็ดีแล้วนี่ น่าจะสมใจทิชาแล้ว ในเมื่ออยากเป็นห่วงเป็นใยไอ้แดนมันดีนัก กลัวว่าจะผิดสัญญาถึงได้แอบไปทำอะไรต่อมิอะไรลับหลังไม่ยอมบอกพี่ ให้มารู้เอาตอนที่ประกาศผลไปแล้วนี่คือเจตนาจะมัดมือชกให้พี่ยอมปล่อยเราไปใช่ไหม!?”

“ไม่ใช่นะ......ชาไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น........”

“ห้องพระเอกของทิชาอยู่โน่นไง ไปเลยสิ เผื่อว่าอยากจะกิ๊กนอกจอ!”

“พี่โรม.............”

ตอนที่ผมก่อปัญหาขึ้นมา ไอ้แดนก็โกรธ พอผมพยายามจะแก้ปัญหา พี่โรมก็โกรธ.... ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ย่อมต้องมีคนหนึ่งที่ไม่พอใจ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีใครเลยที่จะรับรู้เลยสักนิดว่าผมลำบากใจมากแค่ไหน

แม้กระทั่งพี่โรมที่ผมรักเขาจนไม่รู้จะรักยังไงก็ไม่คิดที่จะทำความเข้าใจ

เขากลับไปนั่งลงตรงเก้าอี้หน้าคอมพ์ตัวเดิม หันหลังให้ผมโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ข้างในหัวผมหมุนคว้างเสมือนโลกทั้งใบกำลังเหวี่ยงไปมา.... หัวใจผมเต้นรัวมาก มากเสียจนข้างในอกสั่นสะท้านเสียการควบคุมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หลุดลอยไป รวมถึงความเชื่อมั่นที่ว่าผมได้เป็นที่รักของคนตรงหน้า เหมือนถูกหลุมดำดูดร่างกลับไปยังริมสระน้ำของโรงแรมแห่งนั้น ในวันที่พี่โรมบอกว่าเขาไม่ได้รักผม



ทำไมล่ะ? ทำไมพี่โรมถึงไม่รักผม??

ผมรักเขามากนะ เขาไม่เคยรู้บ้างเลยเหรอ??

ทำไมเขาถึงหันหลังให้ผม? ทำไมถึงต้องโกรธขนาดนี้? ทำไมถึงต้องพูดจาทำร้ายจิตใจกันด้วย??

พี่โรมไม่รักผม....... เขาไม่รักผมแล้ว............

ทำยังไงดีล่ะ ทิชา??

ทำยังไงดี???




ราวกับว่ามันคือสัญชาตญาณ เป็นคำสั่งการจากสมองโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางความคิด.... ปลายนิ้วผมสั่นเทาขณะที่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต ตามด้วยกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นใน เสื้อผ้าทุกชิ้นร่วงลงมากองอยู่บนพื้น ก้อนเนื้อข้างในอกซ้ายยังคงเต้นแรงจนผมนึกอยากจะควักมันโยนทิ้งไปเสีย ผมคุกเข่าลงข้างเก้าอี้ที่พี่โรมนั่ง กอดเอวเขาเอาไว้ในสภาพร่างเปลือยเปล่าแล้วซุกหน้ากับกล้ามท้องแข็งแรง ไม่กล้าสบสายตามองว่าตัวเองจะโดนดูถูกมากขนาดไหนที่คิดจะใช้ร่างกายเข้าแลก.... อีกครั้งและอีกครั้ง

เหมือนติดอยู่ในเขาวงกตซึ่งไม่มีทางออก สุดท้ายผมก็ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นเดิมๆ คือขอซื้อความรักด้วยเซ็กซ์

ผมเองก็อาย ทั้งอายแล้วก็นึกสมเพชตัวเองไปพร้อมๆ กัน

แต่เพราะเซ็กซ์คือเรื่องเดียวที่คนอย่างผมทำได้ ทุกคนที่เข้ามาต่างก็หวังว่าจะได้เอาผมฟรีๆ.... ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?

“จะทำอะไรน่ะ ทิชา!?”

ผมแยกไม่ออกว่าพี่โรมถามเพราะตกใจหรือแค่อยากรู้ หัวสมองผมมันอื้ออึงไปหมด มีเพียงเสียงจากจิตใต้สำนึกที่เอาแต่ตะโกนบอกซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องเอาใจพี่โรมให้มากกว่านี้ ต้องยั่วยวน ต้องนอนกับเขา ต้องทำให้เขามีความสุข ต้องทำให้เขากลับมาบอกว่ารักเหมือนเดิมให้ได้....!

“พี่โรมอยากมีเซ็กซ์ไหม เราเอากันตรงนี้ก็ได้นะ แล้วแต่พี่เลย.........” 

ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาทั้งที่ตาสองข้างแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าสีหน้าของตัวเองนั้นดูน่าเกลียดมากแค่ไหน รู้แค่ว่าจะต้องฝืนยกมุมปากขึ้นไปค้างไว้ให้นานที่สุด 

“จะเล่นแรงๆ ก็ได้ หรือจะจับมัดแล้วทรมานแบบในหนังเรื่องนั้นที่เราเคยดูด้วยกันก็ได้.... พี่โรมไม่อยากลองบ้างเหรอ? ชาโอเคจริงๆ นะ ถ้าพี่อยากทำ ชาก็ยอม.... ยอมแล้ว.......ยอมให้พี่ทุกอย่างเลย.........”

เพราะพี่โรมไม่ตอบ ผมจึงเหมาเอาเองว่าเขาตกลงทำอย่างที่ผมเชิญชวน แต่ทว่า ในตอนที่ผมยืดตัวขึ้นจูบริมฝีปากหยักได้รูป เจ้าของมือใหญ่กลับผลักไสผมออกพร้อมทั้งสบถเสียงลั่นด้วยความโมโห

ผมกลัว.... ยิ่งกลัวก็ยิ่งเสียศูนย์ ไม่ต่างจากคนซึ่งกำลังพยายามยื้ออุดรอยรั่วไม่ให้น้ำซึมเข้ามาในเรือ ทั้งๆ ที่ก็รู้ชะตากรรมว่ายังไงมันก็ต้องจม

“ไม่เอาน่า พี่โรมก็.... เรามามีความสุขด้วยกันเถอะนะ ชารู้หรอกนะว่าพี่ก็ชอบ.....” 

ผมเอื้อมมือไปตะปบเข้าตรงหว่างขาร่างสูง ทำเป็นไม่รับรู้ถึงอาการขัดขืนเกรี้ยวกราดจากคนตรงหน้าก่อนจะหาทางเบียดเข้าไปเพื่อปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่าย 

“งั้นพี่โรมอยู่เฉยๆ ก็ได้.... เดี๋ยวชาทำให้เองดีกว่านะ”

“ทิชา!”

“อย่าดุสิ ชากำลังจะทำอยู่นี่ไง”

“ทิชา นี่มันไม่ตลกนะ!!”

เขาตวาดเสียงแข็งขณะจับข้อมือผมบีบแน่น แน่นเสียจนผิวเนื้อขาวปลิ้นขึ้นมาตามร่องนิ้วจนผมต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ หากมันไม่ทำให้เจ็บแสบระคายหัวใจได้มากเท่ากับสายตาและท่าทางซึ่งทำราวกับว่าผมคือตัวประหลาดน่ารังเกียจ เป็นตัวแพศยาที่อยู่ดีๆ ก็แก้ผ้ากระโดดกอดผู้ชาย เสนอตัวทำอย่างว่าเพียงเพื่อจะให้เขากลับมาเหลียวแล

ผมยังรู้เลยว่ามันทุเรศ พี่โรมก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน....

“ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง.... ทิชาเห็นพี่เป็นคนแบบไหนถึงได้คิดว่าพอชวนขึ้นเตียงแล้วก็หายกัน เอาเรื่องเซ็กซ์มาล่อเพื่อให้พี่ยกโทษให้เราเนี่ย!?” 

ผมไม่กล้ามองหน้าพี่โรม ร่างเปลือยไร้สิ่งใดปกปิดสั่นระริกปราศจากอ้อมกอดของคนรักโอบอุ้มกำบัง ความคิดที่ว่าพี่โรมไม่รักผมแล้ว เขารังเกียจผมจนเกินกว่าจะนึกอยากแตะต้องกำลังทำให้ผมหายใจไม่ออก 

“ทิชารู้หรือเปล่าว่าทั้งหมดที่พูดมานั่นน่ะมันโคตรดูถูกพี่เลย อย่างกับว่าเราเห็นพี่เป็นไอ้หื่นที่มีสมองอยู่ตรงหว่างขายังไงยังงั้น!”

“ชะ.....ชาไม่รู้..........ชาขอโทษ............” 

“พวกคนเก่าๆ ที่ทิชาเคยคบ วิธีนี้มันอาจจะได้ผล แต่ไม่ใช่กับพี่!”

“ชากลัวว่าพี่โรมจะเกลียด.....ก็เลย.......ก็เลย...........” 

ลำคอผมตีบตันเพราะก้อนสะอื้นจึงเปล่งเสียงออกมาได้แค่นั้น ซึ่งถ้าหากพี่โรมหันหลังเดินจากไปจริง ผมคงได้ล้มลงขาดใจตายลงไปตรงนี้แน่.... หากเลือกได้ล่ะก็ ขอให้ผมโดนธรณีสูบหายไปเสียตอนนี้เลยยังจะดีกว่าให้พี่โรมมายืนตอกหน้าถึงความโง่เง่าสิ้นคิดของตัวเอง

“ถ้าเพิ่งรู้จักกันได้แค่วันสองวัน พี่ก็คงไม่อะไรนักหรอก แต่นี่เราอยู่ด้วยกันมาจะครบเดือนแล้วนะ ทิชายังไม่รู้อีกเหรอว่าทำไมพี่ถึงคบกับเรา.... พี่โกรธเพราะพี่รัก พี่เป็นห่วง พี่แคร์ทิชา พี่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับแฟนพี่ ไม่ใช่คบแค่เพราะหวังจะมีเซ็กซ์ด้วยอย่างเดียว” 

ร่างหนาเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นอย่างหงุดหงิด สายตาและน้ำเสียงยังมีความโกรธเป็นส่วนประกอบหลัก หากก็พอจะมีความสงสารเจือปนเข้ามาให้รู้สึกบ้าง แต่แล้ว เขาก็ก้มลงหยิบเสื้อเชิ้ตซึ่งผมถอดทิ้งไว้บนพื้นมาคลุมให้ก่อนจะใช้หลังมือแตะผิวแก้มที่แดงก่ำเพราะถูกคราบน้ำตาอุ่นๆ กัด 

“ความรู้สึกของคนเราน่ะมันชดเชยกันด้วยเซ็กซ์ไม่ได้.... ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไหนก็เหอะ ทิชาอย่าแก้ปัญหาด้วยวิธีแบบนี้อีก เข้าใจไหม?”

“แต่พี่โรมยังโกรธอยู่.......ชาต้องทำยังไงพี่ถึงจะหายล่ะ..........” 

ผมเอ่ยถามเสียงเครือ ในที่สุดร่างสูงก็ยอมอยู่นิ่งให้ผมกอดโดยไม่ผลักไส เพียงแต่เขายังไม่ยอมกอดตอบ

“เรื่องไปเล่นละครกับไอ้แดนน่ะช่างแม่งเถอะ เอาที่ทิชาสบายใจก็แล้วกัน มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนี่” 

พี่โรมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะขืนกายออกเล็กน้อยเพื่อให้มองหน้าโทรมๆ ของผมได้ถนัด ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวยังอารมณ์คุกรุ่นอยู่แต่ก็พยายามระงับเอาไว้ไม่ระเบิดใส่ให้ผมสติแตกอีก.... ดวงตาคมดุสะท้อนภาพผมอยู่ภายในลูกแก้วใสสีเข้ม นิ่งนานจนกระทั่งหัวใจสองดวงซึ่งกระจัดกระจายเพราะแรงพายุเมื่อครู่กลับมาเต้นในจังหวะเดียวกันแล้วจึงค่อยพูดคุยปรับความเข้าใจ 

“ถ้าพี่ไม่โกรธเลย ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ ทิชาก็คงไม่รู้ตัวว่าทำให้พี่หัวเสียมากขนาดไหน.... พี่ไม่ชอบเลยนะที่ทิชาตัดสินใจคนเดียวไม่มาคุยกันก่อน พี่อุตส่าห์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะจัดการกับไอ้แดนเอง ไม่ให้มันมาชวนทิชาไปทำเรื่องแบบนี้ด้วยกันอีก เรานั่นแหละจะห่วงสัญญาบ้าบออะไรกับมันนัก”

มาจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่กล้าเล่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแดนให้พี่โรมฟัง แต่ถ้าไม่ยอมสารภาพแล้วปล่อยให้เขามารู้ทีหลังแบบคราวนี้อีก ผมก็กลัวว่าตัวเองจะต้องเสียพี่โรมไปจริงๆ

“หรือทิชามีเหตุผลอะไรอย่างอื่นที่ไม่ได้บอกพี่?"

“แล้วถ้าชาบอก พี่โรมจะโกรธอีกไหม?”

“ก็ถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน พี่ว่าพี่สมควรที่จะต้องรู้นะ แต่รู้แล้วจะโกรธหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง” 

คำตอบของพี่โรมทำเอาผมใจแป้ว กลืนคำพูดบอกเล่าทุกสิ่งอย่างลงคอแทบไม่ทัน ทว่า มือใหญ่ซึ่งเมื่อครู่เฝ้าแต่จะผลักไสอย่างไม่ใยดีก็กลับมากุมมือผมเอาไว้ น้ำเสียงทุ้มห้าวโอนอ่อนลงในขณะที่ร่างหนารับเอาตัวผมเข้าไปกอดไว้   

“ลำพังแค่โกรธ แปบเดียวมันก็หาย แต่ถ้าถูกคนที่ตัวเองรักปิดหูปิดตาให้เป็นคนโง่มันก็ไม่ต่างกับถูกนอกใจไปแล้วครึ่งหนึ่งเลย.... พี่ถึงอยากให้เราคุยกันด้วยเหตุผล จะทะเลาะกันก็ช่าง จะคิดไม่ตรงกันบ้างก็ไม่เป็นไร พี่แค่ต้องการให้ทิชากล้ายอมรับว่าเหตุผลจริงๆ ของเรื่องนี้คืออะไร.........”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดปากพูดไปตามความจริง

“ที่ชาต้องไปแคสละครคู่กับแดนไม่ใช่แค่ว่ามันชวนหรอก จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างชากับน้องชายพี่......” 

ผมเว้นวรรคหยุดมองปฏิกิริยาพี่โรม เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังหวั่นใจว่าเขาจะไม่โอเคอยู่ดี 

“ชาสัญญากับแดนเอาไว้ว่าถ้ามันยอมบอกว่าทำต้องยังไงถึงจะแย่งพี่โรมมาจากไอ้บี๋ได้ ชาจะยอมไปแคสละครเป็นคู่จิ้นกับมันเป็นการตอบแทน......เพราะงี้แหละ ชาถึงได้รู้เรื่องเกียร์และกฎของเบอร์ลิค แล้วก็ไปชิงเกียร์พี่โรมในคืนนั้น......”

“หึ ว่าแล้วเชียว”

“ชาก็ว่าแล้วว่าพี่โรมต้องไม่ชอบใจแน่ๆ........” 

ปลายนิ้วทั้งสิบของผมจิกอกเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะโดนเหวี่ยงกระเด็นออกไปอีกหน   

“แต่ถ้าชาไม่ทำ เราสองคนก็คงไม่ได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้.... แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแดน มันจะได้จบเรื่องจบราวกันไปสักที พี่โรมอย่าโกรธเลยนะ ต่อไปนี้ชาจะไม่แอบทำอะไรโดยไม่ปรึกษาพี่อีกแล้ว”

“พี่ไม่โกรธทิชาแล้ว แต่โกรธไอ้ห่าแดนมากกว่า!” 

อยู่ๆ ปากกระบอกปืนก็เปลี่ยนทิศเล็งไปหาเดือนสถาปัตย์ ถึงผมจะปลอดภัยจากการถูกพี่โรมสับด้วยกีโยติน แต่ก็ยังรู้สึกแย่ที่ตัวเองกำลังจะกลายเป็นต้นเหตุให้ลูกพี่ลูกน้องเขาตีกัน 

“มันก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่าข้างในเบอร์ลิคเป็นยังไง อันตรายแค่ไหน ตัวมันเองก็เคยเกือบโดนรุมกระทืบตายเพราะถูกเข้าใจผิดว่าจะมาชิงเกียร์รุ่นพี่ผู้หญิง ถ้าไม่ใช่ว่าพี่ช่วยเคลียร์ให้ ป่านนี้แม่งคงพิการไปนานแล้ว แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องพรรค์นี้มาบอกให้ทิชาทำเพื่อที่ตัวเองจะได้ผลประโยชน์.... พี่ไม่โอเคกับไอ้น้องเวรนี่ ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่มัน พี่จะไปเคาะห้องเรียกมาซัดให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มเดี๋ยวนี้เลย!”

“ตอนนั้นชาไม่มีทางเลือกก็เลยรับปากไป ก็อย่างที่บอกว่าสัญญาไปแล้ว อยู่ดีๆ จะไปเบี้ยวมันก็เหมือนกินข้าวแล้วไม่จ่าย” 

ผมว่าพลางแค่นรอยยิ้มเจื่อนๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่าทำผิดและกำลังสำนึกในสิ่งที่ทำลงไป 

“ครั้งสุดท้ายที่ชาคุยกับแดนหลังกลับจากบางแสน แดนมันคงคิดว่าถูกชาหลอกใช้ พอได้ทุกอย่างสมใจแล้วก็เชิดหนีมันไปดื้อๆ.... เอาตรงๆ นะพี่ ชาไม่อยากทะเลาะกับแดน ยิ่งมันเป็นน้องชายพี่โรม ชาก็ยิ่งไม่อยากมีปัญหา.........”

“ทิชาดูห่วงไอ้แดนมากกว่าที่พี่คิดนะ ไหนว่าไม่สนิท?”

“ก็........ไม่ได้สนิทกันจริงๆ..............”

ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เครดิตดีเท่าไรนัก โดยเฉพาะกับเรื่องชู้สาวเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ก็ได้แต่ขอให้พี่โรมเชื่อในคำพูดว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับน้องชายเขา และทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพียงเพื่อจะให้ตัวเองได้มาอยู่เคียงข้างเขาตรงนี้


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
พี่โรมลากตัวผมให้ไปนอนลงบนโซฟาด้วยกัน เขานอนหงายอยู่ด้านล่างโดยมีผมคว่ำหน้าซ้อนทับอยู่ด้านบน ร่างกายของเราแนบชิดในขณะที่สายตาประสานกัน หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งที่ถูกชายคนรักจ้องมองแบบนี้.... เพราะมันเหมือนกับว่าผมคือที่รักของพี่โรม เขาหลงใหลและหวงแหนผมเกินกว่าจะปล่อยให้ใครได้แตะต้องแม้เพียงปลายเล็บ ร่างสูงเลื่อนไล้ปลายนิ้วไปตามใบหน้าผมก่อนจะโน้มคอให้ก้มลงมารับจูบที่แสนเอาแต่ใจ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวผมอย่างที่ไม่เคยมีผู้ขายคนไหนทำมาก่อน

“ทิชาต้องรับปากพี่นะว่าจะทำแค่งานนี้งานเดียว จบเป็นจบ ไม่มีอย่างอื่นต่อหลังจากละครที่เล่นคู่กับไอ้แดน” 

พี่โรมออกคำสั่ง เป็นจอมเผด็จการรูปหล่อที่ต้องการให้ผมเชื่อฟังคำพูดเขาทุกอย่าง 

“พี่ไม่ชอบเลยที่จะต้องเห็นทิชาไปอะไรๆ กับผู้ชายคนอื่น ต่อให้เป็นเรื่องงานก็ไม่ชอบ.... ถึงทิชาไม่ได้คิดเกินเลยแต่พี่จะไว้ใจไอ้พวกนั้นได้ยังไงว่ามันจะไม่คิดมาแย่งแฟนพี่ ยิ่งเป็นไอ้แดนยิ่งไม่น่าไว้ใจไปกันใหญ่”

กลับกลายเป็นว่าพี่โรมเพ่งเล็งหมายหัวนายดรัณภพหนักกว่าเก่าซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้เลย

“ชารับปากพี่.... งานนี้งานเดียว จบเป็นจบ”

พี่โรมหอมแก้มผมแล้วจูบซ้ำที่หน้าผาก

“ทิชาคงรู้แล้วนะว่าพี่รักเราจริงๆ ทั้งหวงแล้วก็ห่วงถึงได้โกรธ.... ต้องปล่อยให้ไปอยู่ไกลหูไกลตากับคนแปลกหน้า แถมเรายังจะกลับไปอยู่บ้าน ไม่รู้เมื่อไรจะมาหาพี่อีก แล้วพี่จะหลับลงได้ยังไงถ้าไม่มีทิชาให้กอด?”

“คอลกันก็ได้ คุยกันทุกคืนจนกว่าจะหลับเลยดีไหม?”

ตั้งแต่คบกันมา ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายอ้อนให้พี่โรมเอาใจ และผมก็จะทำในสิ่งที่เขาชอบโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปาก หากในคราวนี้ พี่โรมเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายอ้อนผม เดี๋ยวจูบเดี๋ยวหอม คลอเคลียไม่ห่าง แปลงร่างจากพายุฝนหนาวเหน็บมาสู่สายลมเอื่อยอ่อนปลอบโยนผมให้หายจากความกังวลทั้งหลายทั้งปวง

“พี่ก็ไม่ได้อยากจะเจ้ากี้เจ้าการหรอกนะ แต่ทิชาต้องโทรรายงานตัวกับพี่ทุกชั่วโมงถ้าไม่ติดงาน โทรคุยเท่านั้นนะ ไม่เอาแชทผ่านไลน์.... อ้อ ต้องเฟซไทม์หาพี่หลังตื่นนอนแล้วก็ก่อนเข้านอนทุกวันด้วย เดี๋ยวไม่เห็นหน้า”

“ได้คร้าบบบ~ แด๊ดดี้ของน้อง” 

ผมให้สัญญาด้วยความเต็มใจ

“จบเรื่องนี้แล้ว เราสองคนจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ”

ร่างหนายิ้มก่อนจะพยักหน้าให้รู้ว่าเป็นอันตกลงตามนั้น ผมทิ้งตัวลงทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิม ให้อีกฝ่ายกอดรัดฟัดเหวี่ยงเหมือนตุ๊กตาจนกว่าจะพอใจ ถึงแม้จะมีความสุขมากจนแทบล้นออกมาจากอกแต่ผมก็ตระหนักดีว่าสิ่งเหล่านั้นมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ด้วยเหตุนี้ ผมถึงไม่อยากขัดใจพี่โรม ไม่อยากทำให้เขาต้องหงุดหงิดจนเราเกือบทะเลาะกันอีกแล้ว

“อ๊ะ! เกือบลืมแน่ะ” 

ผมสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้บอกพี่โรม พอเขาลุกตามขึ้นมา ผมก็รีบเฉลยให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น 

“คือว่า.... ชาบอกแม่แล้วนะว่ามีแฟน”

“แล้วคุณแม่ว่ายังไงบ้าง?”

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่าให้พาพี่โรมไปทักทายบ้าง แม่อยากรู้จัก”

“งั้นเอาไว้ว่างตรงกันเมื่อไรแล้วเราค่อยไปหาคุณแม่ของทิชากัน” 

ชายหนุ่มเริ่มจัดการวางแผนชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายผมอนุญาตให้เราสองคนคบหากันในฐานะคนรักได้แล้ว เขาก็อยากทำให้มันถูกต้องด้วยการพาผมไปให้พ่อแม่ของเขารู้จักเช่นกัน 

“แล้วพอทิชาถ่ายละครเสร็จแล้วก็ลงใต้กับพี่นะ พี่ก็ตั้งใจจะพาทิชาไปแนะนำกับที่บ้านเหมือนกัน”

“ลงใต้? ที่สุราษฎร์น่ะเหรอ?”

“อืม.... ว่าที่เถ้าแก่เนี้ยในอนาคตจะได้ไปดูกิจการรีสอร์ทด้วย” 

เขาจริงจังกับแผนที่มโนไว้ในหัวมากเสียจนผมอดขำไม่ได้ บอกตามตรงว่าผมยังไม่กล้าคิดเลยว่าพอตัวเองเรียนจบแล้วจะมีงานทำหรือเปล่า แต่พี่โรมเล่นแพลนทุกอย่างเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย 

“หัวเราะอะไร พี่พูดจริงนะเนี่ย.... รับรองว่าที่ทิชาเรียนอินทีเรียมาน่ะได้ใช้งานจริงแน่ มีทั้งให้ออกแบบใหม่ ทั้งงานรีโนเวต แค่รีสอร์ทของบ้านพี่อย่างเดียวก็หลายสิบแล้ว ไหนจะของพวกญาติๆ นายทุนแถวนั้นอีกไม่รู้ตั้งเท่าไร”

“ให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะ ชาจะเรียกค่าตัวแพงๆเลย”

ผมก็แกล้งเล่นตัวไปงั้นๆ แหละ ส่วนใจจริงน่ะตอบตกลงตั้งแต่วินาทีแรกที่พี่โรมเอ่ยชวนแล้ว

สัญญาใจระหว่างเราทั้งคู่ถูกพันธนาการให้แน่นแฟ้นด้วยริมฝีปากซึ่งประกบเข้าหากัน ผมผวาเฮือกเมื่อมือหนาสอดล้วงเข้าข้างใต้ชายเสื้อลูบไล้ไปทั่วผิวกายเปลือยเปล่า ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตัวเองมีแค่เสื้อเชิ้ตห่มคลุมอยู่อย่างหมิ่นเหม่และไม่ได้สวมกางเกง แค่เพียงถูกกลีบปากหยักอุ่นร้อนซุกไซ้ไปข้างแก้มและซอกคอสลับกับโลมเลียด้วยปลายลิ้น ท้องน้อยของผมก็หดเกร็งพร้อมๆ กับที่ส่วนกลางลำตัวเริ่มขยับขยายไปตามการปลุกเร้า

“ทิชาอยากให้พี่จ่ายมัดจำค่าตัวตอนนี้เลยไหมล่ะ?”

“อืม.... แล้วพี่โรมจะจ่ายยังไง?”

ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่คนฟังรู้ได้ทันทีว่ากำลังออดอ้อนยั่วยวน ก่อนจะเม้มปากเก็บเสียงเมื่อพี่โรมใช้ปลายนิ้วเขี่ยโดนยอดอกซึ่งแข็งชันเต็มตึง

“ก็จ่ายแบบที่ทิชาชอบ.........”

“อย่ามาอ้างเลย.....อ๊ะ........” 

เรียวลิ้นชื้นจู่โจมยอดอกอีกข้าง ในขณะที่มือของชายหนุ่มก็ยังไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ผมเชิดหน้าขึ้นสูงปลดปล่อยห้วงอารมณ์ให้เตลิดไกล แอ่นกายขึ้นรับทุกสัมผัสที่พี่โรมมอบให้ จริงอยู่ว่าผมชอบเวลาที่เขาหื่นใส่ แต่เขาเองชอบเวลาที่จะได้นัวเนียกับผมเหมือนกันนั่นแหละ 

“พี่โรมมีแต่ได้กับได้.......อื้ม........แบบนี้มันเรียกว่าจ่ายตรงไหนกัน........”

“พี่ก็เสียน้ำให้ทิชาไง จะเอาสักกี่น้ำดีล่ะ?” 

ตรงนั้นของพี่โรมเริ่มแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว มันพองตัวอยู่ภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์รอเวลาที่จะได้ออกมาผงาดอวดความแข็งแรงกำยำซึ่งสามารถทำให้ผมตกเป็นทาสในเกมรักของเขาได้ทุกครั้ง 

“มัวแต่โมโหเด็กดื้อ พี่เลยไม่ได้กอดเราตั้งหลายวัน.... คิดถึงจะแย่ คอยดูเหอะ วันนี้โดนพี่ขย่มจนเตียงหักแน่”

ว่าแล้วพี่โรมก็ช้อนตัวผมอุ้มเข้าห้องปิดประตูแล้วไปจบลงที่เตียง.... ไม่มีใครรอช้าให้เสียเวลาไปเปล่าๆ พี่โรมประโคมทั้งมือและริมฝีปากละเลงทั่วทุกตารางผิวเนื้อเรียกเสียงครางกระเส่าจากผมให้ดังก้องทั่วห้องสี่เหลี่ยม เพียงแค่สามวันที่เหินห่างจากสัมผัสร้อนแรง อุณหภูมิในร่างกายผมถีบตัวขึ้นสูงเร็วกว่าปกติจนหัวใจสูบฉีดเลือดอย่างบ้าคลั่ง แขนขาอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง หัวสมองรับรู้ได้แค่ความเสียวกระสันรัญจวนซึ่งชายหนุ่มเป็นคนสร้างขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งได้ยินเสียงกุกกักตรงหน้าประตูเหมือนมีตัวอะไรบางอย่างเอาเล็บตะกุยจากด้านนอก ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่กลับมายังไม่ได้อุ้มยัยลูกสาวขนฟูให้หายคิดถึงเลย   


แง้ววววว

แง้วววววววววววววววว!!!!!



เพราะเรียกแล้วไม่มีมนุษย์หน้าไหนสนใจ มิลค์ก็ยิ่งโวยวายข่วนประตูอย่างเกรี้ยวกราด แน่นอนว่าผมย่อมต้องทนฟังเสียงมันร้องไม่ได้ อารมณ์ว่าเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือ ตามใจเสียยิ่งกว่าอะไร ต่อให้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับแฟนก็ต้องยกให้แมวมาก่อนเสมอ

“พี่โรม ไปเปิดประตูให้มิลค์มันเข้ามาหน่อยสิ”

“ไม่เอา.... ให้ยัยมิลค์เข้ามา เดี๋ยวมันก็มานั่งจ้องตาแป๋วให้แม่มันเขินอีก” 

เขาหมายถึงตอนที่เราไปเที่ยวบางแสนด้วยกันแล้วผมงอแงบอกให้พี่โรมปิดไฟเพราะอายลูก สุดท้ายก็ต้องคลุมโปงมีอะไรกันอยู่เป็นชั่วโมงจนยัยมิลค์หนีไปนอนใต้เก้าอี้อีกมุมหนึ่งถึงได้โผล่หน้าออกมาหายใจหายคอ เป็นความสุขบนความอึดอัดชนิดที่พี่โรมถึงขั้นออกปากว่าจะไม่มีทางยอมอีกเป็นครั้งที่สอง 

“พี่เอาข้าวให้มิลค์กินแล้ว ข้าวเม็ดก็มีเป็นบุฟเฟ่ต์วางไว้ให้.... เด็กก็อยู่ส่วนเด็ก ให้พ่อแม่กอดกันสบายๆ ไม่มีตัวป่วนมั่ง”

“ก็ชอบทำแบบนี้ มิน่าล่ะ มิลค์เลยไม่สนิทด้วยสักที!”

“ทิชานั่นแหละ เลี้ยงลูกมายังไง ดื้อเหมือนแม่ไม่มีผิด”

ประโยคนั้นของพี่โรมมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่กอบกุมลงบนแก่นกายของผม ผมแยกขาออกกว้างอย่างรู้งาน ปล่อยให้ร่างสูงได้เพลิดเพลินกับการแตะต้องปลุกเร้าทุกส่วนได้มากเท่าที่เขาต้องการ

“ใส่ร้าย.... เห็นไหมว่าชาไม่เคยดื้อกับพี่โรมสักหน่อย”

“ถ้าไม่ดื้อจริงก็ต้องอยู่ให้ถึงห้ารอบนะ.... บอกเลยว่าพี่จะไม่ให้ทิชาพัก จะเอาให้พรุ่งนี้เดินขาถ่างเป็นเป็ดไปมหาลัยเลย”

ผมตอบรับด้วยการครางกลับไปก่อนที่ริมฝีปากร้อนเร่าจะบดขยี้ลงมาช่วงชิงความรู้สึกนึกคิดทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าไม่ต่างจากเปลวไฟซึ่งลุกวาบหลอมละลายก้อนน้ำแข็ง ทั้งหอมหวานและดุดัน อ่อนโยนแต่ร้อนแรงเสมือนแสงแดดที่สาดส่องลงมาหลังพายุสงบลง




DAN’s PART


เวลาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหมดไปกับการเจรจาพูดคุยเงื่อนไขและเตรียมตัวให้พร้อมในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ หลังจากทดลองจัดตารางชีวิตแล้ว ผมสามารถไปมหาวิทยาลัยได้เพียงสัปดาห์ละสอง-สามวัน เหลือแค่ห้าวิชาเรียนกับสิบสามหน่วยกิตสำหรับเทอมนี้ นอกนั้นต้องดร็อปทิ้งทั้งหมดเพื่อไม่ให้กระทบกับตารางงานที่ทางกองละครจัดไว้ให้.... แม้จะเสียดายเพราะนี่ก็จวนจะสอบไฟนอลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่โอกาสแจ้งเกิดด้วยบทพระเอกก็ใช่ว่าจะผ่านเข้ามาง่ายๆ ยิ่งวงการบันเทิงเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของผมอยู่แล้ว ผมก็เลยอยากลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยกลับไปเรียนก็ยังไม่สาย

ชีวิตของผมมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันตั้งแต่วันแคสบท ทีมงาน สปอนเซอร์ ผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายสิบชีวิตจนยกมือไหว้แทบไม่ทัน ผมมีแฟนคลับมากขึ้นและเริ่มกลายเป็นคนดังอย่างเต็มตัว ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกดี.... สนุกจนผมเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองผูกทุ่นระเบิดเอาไว้ แล้วมันก็กำลังจะย้อนกลับมาจุดชนวนฉีกแขนขาผมให้ขาดกระจายตายคาที่


‘ทิชาเขาตอบตกลงเรื่องที่จะให้ทางทีมพีอาร์โปรโมทเป็นคู่จิ้นกับแดนแล้วนะ ยังไงจากนี้ แม่อิ๋วก็ขอฝากแดนช่วยดูแลทิชาด้วยนะลูก’

.

.

บรรยากาศวันปฐมนิเทศน์นักแสดงซึ่งผ่านการคัดเลือก แทนที่จะชื่นมื่นครื้นเครงตามประสาเวลาที่เด็กวัยรุ่นผู้ชายมารวมตัวกันเยอะๆ ก็กลับกลายเป็นความขมุกขมัวมีแต่ความเครียดและความรู้สึกไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องผลการคัดเลือกที่ยังคงเป็นประเด็นร้อนทั้งในหมู่พวกเราด้วยกันเองและแฟนคลับของแต่ละคน.... การแถลงข่าวของทีมผู้จัดอาจช่วยคลายข้อกังขาได้ในหลายๆ ข้อว่า ทิชา ทิชนันท์ ทิพยศักดิ์เสนา โผล่มารับบทนำทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมออดิชั่นได้ยังไง อาจจะฟังดูเหมือนก็แฟร์ดีที่ทิชายังอุตส่าห์มาแคสทีหลังคนอื่น หากก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่ามันมีความไม่เท่าเทียมกันแฝงอยู่ในการแข่งขันจึงไม่สามารถยอมรับผลการคัดเลือกได้อย่างสนิทใจ

พี่ปายพยายามไม่แสดงออกว่าผิดหวัง แต่ผมก็รู้แหละว่าเขาเสียใจและเสียเซลฟ์มากเลยทีเดียวที่ตัวเก็งบทนำถูกเลือกให้ได้รับแค่บทรอง มิหนำซ้ำยังเป็นบทที่ไม่ตรงกับคาแร็คเตอร์ตัวเองชนิดพลิกกลับร้อยแปดสิบองศา ได้ยินแว่วๆ ว่าทีมเขียนบทจะต้องไปหารือกับนักเขียนเจ้าของนิยายต้นฉบับเพื่อปรับบทให้พี่ปายโดยเฉพาะ แฟนนิยายก็ยิ่งโวยวายไม่พอใจเพราะมันดูเหมือนไม่เคารพบทประพันธ์.... จุดนั้นผมจะไม่ยุ่ง เพราะเอาแค่เคลียร์ความรู้สึกของตัวเองกับดูแลคนใกล้ตัวที่คุยกันทุกวันไม่ให้ดิ่งไปกว่านี้ก็เหนื่อยเอาการแล้ว

“พี่ปายกับแดนได้ดูไลฟ์แถลงข่าวเรื่องเด็กเส้นนั่นแล้วใช่ไหม?”

“โคตรไม่ยุติธรรมเลย.... ถ้าแม่อิ๋วมีคนในใจอยู่แล้วจะเรียกพวกเรามาแคสให้เหนื่อยทำไม ในเมื่อแคสให้ตายก็ไม่มีทางได้บทนำ สู้อยากให้ใครเล่นบทไหนก็ชี้นิ้วเคาะโต๊ะเลือกเอาเองแต่แรกเลยไม่ดีกว่าเหรอ”

ผมกับพี่ปายนั่งอยู่ด้วยกัน เพื่อนสองคนซึ่งได้รับบทตัวสี่ตัวห้าก็พุ่งตรงเข้ามาคุยด้วย เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นเนื้อหาการแถลงข่าวของทีมพีอาร์ที่ว่า ทิชา ทิชนันท์ เข้ามารับบทนำในละครเรื่องนี้อย่างถูกต้อง และที่ได้รับเลือกก็เพราะสปอนเซอร์และนายทุนชอบทิชามากกว่าพี่ปาย

“ถ้าถอนตัวก็เท่ากับแพ้ พี่อย่าไปยอมแพ้พวกทุนนิยมสามานย์เชียวนะ”

“เหมือนทางนั้นจะไม่เคยผ่านงานอะไรมาเลยใช่มะ?”

“หน้าใหม่.... ไม่มีไอจีกับเฟซบุคให้ตามด้วย ไม่รู้เพิ่งออกจากป่ามาหรือเปล่า”

“งั้นพี่ปายก็ชนะขาดอยู่แล้ว คนตามไอจีพี่ปายมีเป็นแสน.... ถ้าเป็นเบียร์นะ เบียร์จะอัพแซะเปิดวอร์กับทางนั้นก่อนเลย แล้วให้แฟนคลับช่วยด่าตาม ให้ไอ้ทิชาอะไรนั่นมันรู้ซะบ้างว่ากำลังเล่นกับใครอยู่!”

สถานการณ์ตอนนี้จะมีคนหงุดหงิดหัวร้อนไปทั่วก็ไม่แปลก แต่ไอ้โกรธแล้วมายุแยงตะแคงรั่วเหมือนพยายามจะยืมดาบพี่ปายฆ่าทิชานี่ผมว่ามันก็ชักจะยังไงๆ อยู่ ก็ได้แต่หวังว่าพี่ปายจะไม่บ้าจี้เต้นไปตามที่เบียร์กับแก๊ปพูดก็แล้วกัน

“พี่ปาย ยังโอเคอยู่ใช่ไหม?” 

ผมหันไปถามพลางบีบมือเจ้าตัวเบาๆ ถ้าตามไอจีของผมกับพี่ปายก็จะเห็นว่าเราสองคนคุยเล่นหยอดกันบ่อยๆ สนิทกันในระดับหนึ่งทั้งต่อหน้าและลับหลังแฟนคลับ ผมจึงแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก

ร่างโปร่งเอนตัวมาซบไหล่ผมก่อนจะตอบเสียงเศร้า 

“ไม่โอเค แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผลออกมาแบบนี้ก็ทำได้แค่ยอมรับ จะให้โวยวายเป็นเด็กๆ จนเสียชื่อไปถึงพี่โรสก็ไม่ใช่” 

แม้จะเป็นเน็ตไอดอลชื่อดังมาก่อนแต่ก็ยังเป็นเด็กใหม่ในวงการบันเทิงซึ่งไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ถ้าไม่พอใจก็มีแค่ทางเดียวคือขอถอนตัวออกไปเลยซึ่งพี่ปายไม่ยอมทำแน่ เพราะเขายังอยากเล่นละครเรื่องเดียวกับผมอยู่ 

“อันที่จริง ละครเรื่องแรกได้บทรองก็ไม่ได้ถือว่าแย่นักหรอก แค่มันยังไม่ใช่สิ่งที่พี่อยากได้เท่านั้นเอง..........”

“เรากับเขามันคนละชั้นกันน่ะพี่ ทำใจเหอะ เจอเส้นก๋วยจั๊บเบอร์นั้น คนธรรมดาลูกตาสีตาสาที่ไหนจะไปสู้ได้”

คนชื่อเบียร์ยังคงพูดต่อ ดูท่าทางหมอนี่จะเกลียดทิชาเข้าไส้เข้ากระดูกดำถึงได้ใส่เอาๆ ไม่ยอมหยุด ส่วนไอ้แก๊ปก็ทำหน้าที่เป็นลูกคู่ที่ดี ถามกันเองตอบกันเองนินทาชาวบ้านได้เข้าขากันดีจนนึกว่าสนิทกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล

“เออ พูดถึงพ่อแม่.... ได้ยินมาว่าทิชาเป็นลูกของนิดาวัลย์ ดาราที่เคยมีข่าวแย่งสามีชาวบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อน นี่เรื่องจริงหรือเปล่าววะ?”

“ก็จริงน่ะสิ มนุษย์ป้านิดาวัลย์ถึงได้โดนปลดจากบทนางเอกช่องเอส มาเล่นเป็นตัวประกอบช่องเอ็มได้อย่างเดียว.... เล่นมาหลายปีดีดักจนสนิทกับแม่อิ๋วไง คงเพราะงี้แหละถึงได้ยัดลูกชายตัวเองเข้าวงการมาได้ง่ายๆ”

“พี่ว่าเบียร์กับแก๊ปเลิกนินทาทิชาเหอะ ลามไปถึงพ่อแม่เขาแบบนี้ พี่ว่ามันไม่ดีนะ ไม่น่ารักเลย” 

พี่ปายดุสองคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น คงจะเบื่อเต็มทีเพราะไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่คนพูดชื่อทิชาให้ได้ยิน เรียกมาเล่าเรื่องแย่ๆ ของทิชากับแม่ให้ฟัง พยายามจะบิวท์ให้เขาหลุดปากร่วมผสมโรงด่าเด็กเส้นด้วยให้ได้ ซึ่งพูดก็พูดเถอะ เท่าที่ผมคุยกับพี่ปายมา ผมว่านิสัยเขาก็ไม่ใช่แนวอิจฉาริษยาอะไรทำนองนั้น 

“แม่อิ๋วก็บอกแล้วว่าเขามาแคสอย่างถูกต้อง ที่ทิชาได้บทเด่นไปก็เพราะสปอนเซอร์ชอบเขามากกว่าพี่.... พวกเราที่เหลือก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแล้วกัน เผื่อว่าวันไหนดังขึ้นมาแล้วจะได้ไม่โดนสปอนเซอร์มองข้ามความสามารถไปอีก”

“ขอโทษครับพี่ปาย”

“งั้นพวกเราไปนั่งตรงโน้นนะ เผื่อว่าพี่จะอยากคุย”

เบียร์กับแก๊ปยกมือไหว้แล้วก็ลุกหายไปนั่งที่อีกมุมหนึ่ง ปล่อยให้ผมกับพี่ปายอยู่ด้วยกันภายในห้องประชุมซึ่งมีผู้คนทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างเห็นใจพี่ปายที่ผลการคัดเลือกออกมาในรูปนี้ เพราะเขาคือคนที่ตั้งใจอยากจะเข้าวงการมาเป็นนักแสดงจริงๆ พี่ปายทุ่มเทถึงขนาดควักเงินส่วนตัวไปลงเรียนคอร์สการแสดงล่วงหน้า ศึกษาบท ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ แต่ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้ในเมื่อฝ่ายคู่กรณีคือทิชา.... คนที่ผมตั้งใจชวนมาแคสด้วยกันตั้งแต่แรก และจนถึงตอนนี้ ทิชาก็ยังมีอิทธิพลต่อจิตใจของผมอยู่เหมือนเดิม

“พี่ปาย.............”

“เฮ้ย อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ.... พี่โอเคจริงๆ นะแดน บทไหนก็เล่นได้ ขอแค่ยังเราได้เล่นเรื่องเดียวกันก็พอใจแล้ว” 

คนอายุมากกว่าพูดยิ้มๆ ทั้งที่แววตายังเต็มไปด้วยความเสียดาย.... เรื่องบทนำในละครซึ่งต้องเล่นคู่กันนั้นอาจยอมสละให้ได้เพราะมีมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เจ้าตัวคงไม่ได้หมายความรวมไปถึงเรื่องอื่นที่คิดว่ากำลังไปได้ดีด้วย 

“เห็นว่าทิชาเขาเรียนมหาลัยเดียวกับแดน น่าจะรุ่นเดียวกันแต่คนละคณะ.... แดนเคยเจอเขาบ้างไหม? ตัวจริงน่ารักหรือเปล่า?”

“ก็งั้นๆ ไม่น่ารักหรอก” 

ผมหมายถึงนิสัยของทิชา ก็ได้แต่คิดในใจว่าขนาดมันไม่เคยทำตัวน่ารักกับผม มันยังทำเอาผมเพ้อถึงได้เป็นปี

“โกหก.... หน้าวิ้งเป็นตุ๊กตาเบอร์นั้นจะบอกว่าไม่น่ารักได้ไง” 

พี่ปายตีต้นแขนผมพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นใบหน้าประดับรอยยิ้มสวยเหมือนทุ่งดอกไม้มาให้เห็นในระยะประชิดพร้อมด้วยคำถามลองเชิงทีเล่นทีจริง 

“เทียบกับพี่แล้ว แดนว่าใครน่ารักกว่ากันเหรอ?”

“ก็ต้องพี่ปายอยู่แล้วสิครับ” 

แน่นอนว่าผมตอบเอาใจพี่ปายทั้งที่ในใจแอบนึกถึงใครอีกคน.... ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเหี้ยไม่เบาที่ทำเหมือนให้ความหวังเขา แต่ผมก็ไม่ได้มีหวังอะไรกับคนอื่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับทิชาซึ่งมีแต่เฮียโรม เฮียโรม แล้วก็เฮียโรมอยู่เต็มหัวใจจนไม่เหลือที่ว่างให้ใครเข้าไปแทรก

และถึงผมอยากจะแทรก ไอ้เฮียโรมก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ....

“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย” 

คนหน้าหวานพรูลมหายใจยาวบ่งบอกให้รู้ว่าเขาสบายใจมากแค่ไหนที่ผมยังเลือกเขา พี่ปายกุมมือผมตอบก่อนจะช้อนสายตามองผมอย่างไม่คิดปิดบังความชื่นชอบหลงใหลที่มีให้ เจ้าของน้ำเสียงทุ้มหวานเอ่ยขอในสิ่งที่คิดว่าเขาอยากได้และควรจะได้ตรงๆ 

“เวลาอยู่หน้ากล้องก็ทำงานของเราไป เรื่องโปรโมทคู่จิ้นอะไรนั่น พี่ก็เข้าใจแล้วก็จะถือว่ามันเป็นงานอย่างหนึ่งของแดน.... แต่นอกเหนือเวลางาน แดนอย่าสนิทกับทิชามากกว่าพี่ได้ไหม?”

“พี่อยากเป็นที่หนึ่งของแดน อยากเป็นคนแรกที่แดนนึกถึง.... เราสองคนจะคุยกันทุกวันเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากตอนนี้นะ?”

“อืม..........”

เพิ่งโกหกไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะต้องตอแหลซ้ำซ้อนครั้งที่สองภายในระยะเวลาไม่ถึงนาที.... ผมชอบพี่ปายเพราะคุยกับเขาแล้วสบายใจ เขาเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดีซึ่งไม่เคยทำให้ผมอึดอัดว่าระหว่างเราจะมีสิ่งไหนมากไปหรือน้อยไป บางครั้งผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ เหรอที่จะมีใครสักคนซึ่งเข้ากันกับผมได้ดีขนาดนี้ ดีจนไม่อยากเชื่อว่าโลกจะหมุนพี่ปายให้มาเจอกับผมง่ายๆ

ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ใช่คนแรกที่ผมจะนึกถึง....


‘น้องทิชา.... เชิญห้องนี้เลยค่ะ เข้าไปนั่งรอข้างในกับเพื่อนๆ ก่อนนะคะ อีกสักพักคุณอิ๋วถึงจะมาแล้วจะได้เริ่มงานกันค่ะ’



สิ้นเสียงทีมงานผู้หญิง ทุกคนที่นั่งรออยู่ก่อนก็หันไปมองประตูห้องประชุมสถานีโทรทัศน์แทบจะเป็นตาเดียวกัน เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจเมื่อครู่เงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้าในขณะที่ ‘เด็กเส้น’ กำลังเดินเข้ามา

แวบแรกที่เห็น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าทิชาพยายามมองหาคนรู้จักซึ่งก็คือผม กลีบปากบางเฉียบยกขึ้นคล้ายจะส่งยิ้มทักทายให้หากก็ยิ้มได้ไม่สุดเมื่อผมไม่คิดจะทักตอบหรือส่งสัญญาณบอกให้มานั่งกับผมได้.... แววตาของทิชาดูสับสนเหมือนไม่รู้จะทำยังไงต่อ เช่นเดียวกับที่หัวสมองผมเต็มไปด้วยเมฆฝนสีเทาหนาทึบ ผมว่าผมเคยพูดไปแล้วว่าไม่ต้องการการชดเชยใดๆ จากมัน จะไสหัวไปไหนก็ไป ตอนนี้ผมมีพี่ปายแล้ว การขอตามมาแคสบททีหลังและโผล่หน้ามาเอาป่านนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการโยนห่วงยางมาให้ในตอนที่ผมตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว

“พี่ปายดูนี่ดิ ไอ้ตัวนี้โคตรน่ารักอะ.........”

ผมเลี่ยงไม่สบตาทิชาด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้าชิดรุ่นพี่คนสวยมากกว่าเดิม ชิดจนต้นขาเราแทบจะเกยกันอยู่รอมร่อ

“หืม? คลิปแมวเหรอ?” 

พี่ปายเอียงคอมาซบบ่าผมอีกครั้งเพื่อดูสิ่งที่ผมนำเสนอให้ชัดๆ มันก็คือแมวสก็อตติชโฟลด์หน้ากลมสัญชาติญี่ปุ่นที่กำลังโด่งดังอยู่ในโซเชียล เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่อย่างที่ผมหลงรักเป็นชีวิตจิตใจ

“แดนนี่ชอบแมวจังเลยนะ.... เอางี้ พอละครจบแล้ว เราไปซื้อแมวมาเลี้ยงด้วยกันไหมล่ะ ญาติของเพื่อนพี่มีฟาร์มแมวอยู่ที่เชียงใหม่ ไว้จะให้เขาถ่ายรูปส่งมาให้ดูนะ”

ทิชายังคงยืนมองมาทางนี้อยู่ เห็นภาพผมกับพี่ปายนั่งพิงนั่งซบคุยกันกระหนุงกระหนิงเต็มสองตา ผมไม่ได้คิดว่ามันจะหึงหรือรู้สึกโกรธที่ผมทิ้งมันไปหาคู่จิ้นใหม่ แค่อยากให้ทิชารู้สึกว่าถ้าจะเบี้ยวสัญญาก็ต้องเบี้ยวให้ตลอด อย่ามาเล่นตลกทำตบหัวแล้วลูบหลัง และการจะมาจะไปของมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมทั้งสิ้น


‘เอ้า พอไม่มีใครช่วยปูพรมแดงให้ก็ไปไม่เป็นเลยนะ’


ใครก็ไม่รู้แกล้งเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำเอาทิชาหน้าเจื่อนเม้มปากแน่นแล้วรีบนั่งลงบนเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด ไม่มีใครเดินเข้าไปทักทายหรือคิดจะรับมันเป็นเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว.... ก็แน่ล่ะ ไม่มีชนชั้นกลางที่ไหนชอบพวกเด็กวีไอพี ขี้โกงเล่นเส้นสายใต้โต๊ะเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการแบบไม่ต้องพยายามหรอก ถึงแม้ว่าแม่อิ๋วจะประกาศชัดเจนว่าทิชาผ่านเข้ามาอย่างถูกต้อง ก็คงเป็นแค่ความถูกต้องตามบรรทัดฐานของทีมงานและสปอนเซอร์ ซึ่งไม่ใช่ความถูกต้องสำหรับคนทั่วไป

“แดน.... พี่ว่าเราเรียกทิชามานั่งด้วยกันดีกว่าไหม?” 

พี่ปายกระซิบถามผมอย่างไม่ค่อยแน่ใจ 

“น่าสงสารเขานะ ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอีกหลายเดือน พี่ไม่อยากให้ใครมองว่าพวกเรารวมหัวกันรังแกทิชา..........”

“อย่าไปยุ่งเลยพี่” 

ผมตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือ ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองว่าคนที่พี่ปายพูดถึงกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ด้วยซ้ำ 

“เขารู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรแต่ก็ยังเลือกที่จะมาด้วยวิธีนี้ เขาก็ควรจะต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองให้ได้สิ.... ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องตามไปโอ๋สักหน่อย”

“แต่ว่า...........”


‘น้องแดน น้องทิชา.... เชิญถ่าย VTR คู่กันทางนี้นิดนึงค่ะ’

‘น้องปายกับน้องภัทรเตรียมสแตนด์บายนะคะ เดี๋ยวเสร็จคู่นี้แล้วจะถ่ายน้องสองคนเป็นคิวต่อไป’


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมเก็บมือถือแล้วลุกขึ้นไปที่หน้าห้องประชุมตามที่ทีมงานเรียกอย่างเสียไม่ได้ ทิชาลุกตามหลังผมออกมา จากนั้นถึงได้พบว่ามีตากล้องกับแผ่นรีเฟล็กซ์ขนาดใหญ่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว.... ช่างผมและช่างเมคอัพถูกกำชับให้จัดการแปลงโฉมซับหน้าตบแป้งให้พวกเราอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้น พีอาร์กองละครก็เข้ามาบรีฟสิ่งที่อยากได้ให้ฟังแบบคร่าวๆ

“อันนี้คือเราจะถ่ายคลิปสั้นทักทายแฟนๆ ผ่านทางหน้าแฟนเพจนะคะ.... บอกว่าเรากำลังจะเริ่มเวิร์คช็อปกันแล้ว พูดฝากเนื้อฝากตัว อ้อนแฟนคลับได้ตามสบายแล้วก็ชวนให้พวกเขาคอยติดตามละครสงครามคิวท์บอยด้วย”

“อ้อ แล้วก็มือด้วยค่ะ.... น้องแดนกุมมือน้องทิชาด้วยนะคะ ท่องเอาไว้ค่ะคู่จิ้น เรารักกัน เรารักกัน เราเป็นแฟนกัน แบบนั้นแหละค่ะ ดีมากกกกกกกกกกก”

เสียงดีมากกกกก ลากก.ไก่ยาวไปรอบกาแล็คซี่ของพีอาร์ทำเอาหัวคิ้วผมขมวดชิดติดกัน ก่อนจะรู้ตัวว่าร่างเล็กซึ่งยืนอยู่ข้างกันนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเอื้อมมือมาหาผมเอง.... มือเรียวเล็กซึ่งผมไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสนั้นโคตรนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอม เพราะอยู่ใกล้กันเท่านี้ทำให้ผมได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากซอกคอมันชัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เพียงแค่หันไปมองก็เห็นแพขนตาสีดำสนิทตัดกับผิวแก้มขาวจัดในระยะประชิด เป็นความรู้สึกดีที่มาพร้อมกับความทรมาน เหมือนมีใครเอาเนื้อวากิว A5 มาแขวนล่อตรงหน้าล่อให้ผมอ้าปากแต่ดันกรอกยาฆ่าแมลงเข้ามาแทนยังไงยังงั้น

“แดน...........”

ทิชาเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว ดวงตากลมโตมองผมอย่างหวาดหวั่นคล้ายกลัวว่าจะโดนควักปืนขึ้นมายิงใส่กลางแสกหน้า แต่กระนั้น เจ้าตัวก็ยังกล้าเอ่ยถามผมในสิ่งที่ตัวเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ 

“มึงยังโกรธกูอยู่อีกเหรอ?”

“เปล่า”

“แต่มึงโกรธ........”

“กูไม่ได้โกรธมึง”

ผมตอบเสียงเรียบ ในใจคิดเพียงว่าทำยังไงก็ได้เพื่อให้ทิชารู้สึกเสียใจ เสียดายและสำนึกว่ามันไม่ควรผิดคำพูดกับผมตั้งแต่แรก ไม่ใช่ทำลายความรู้สึกของผมจนย่อยยับแล้วก็กลับมายิ้มหวานหน้าระรื่นเสมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น 

“มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ตอนนี้กูไม่สนแล้วว่ามึงจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร”

“งั้นก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหมล่ะ?”

เพราะประโยคเมื่อครู่ ผมถึงต้องหันกลับไปมองหน้าทิชาอีกครั้ง.... ไม่ได้อยากกวนตีนนะ แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าที่ผ่านมาผมกับมันเคยอยู่ในฐานะอะไร แล้วไอ้คำว่าคุยกันเหมือนเดิมนั้นหมายความว่าอย่างไร สิ่งเดียวที่ผมรับรู้มาตลอดตั้งแต่งานเฟรชชี่สมัยปีหนึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็คือทิชาเกลียดผม เหม็นขี้หน้า ไม่มีสักครั้งที่มันจะหยุดเดินเวลาที่ผมตะโกนเรียกหรือโบกมือทักทาย ก็อย่างที่เคยบอกว่าครั้งแรกที่คุยกันเกินสามประโยคก็คือตอนที่ผมเสนอเงื่อนไขจะบอกวิธีชิงเกียร์ของเฮียโรมให้มันรู้แลกกับการมาแคสบทละครด้วยกันนี่แหละ

“คุยเหรอ? คุยอะไร? กูกับมึงเคยเป็นเพื่อนคุยกันตั้งแต่เมื่อไร?”

“แดน มึงอย่าทำแบบนี้สิ” 

ผมตีความหมายจากสิ่งที่ได้ยินว่าทิชาน่าจะกำลังขอร้องอย่างคนซึ่งยอมแพ้ทุกประตู หงายไพ่ให้ผมจนหมดหน้าตัก แต่เอาจริงๆ นะ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันจะดิ้นรนอยากขอคืนดีกับผมไปเพื่ออะไรในเมื่อตัวมันเองก็ไม่ได้แคร์ผมสักนิด.... คำก็พี่โรม สองคำก็พี่โรม พี่โรมอย่างนั้น พี่โรมอย่างนี้ แม้กระทั่งเวลาแบบนี้มันก็ยังหายใจเข้าออกเป็นญาติผู้พี่ของผมคนเดียว 

“มึงคงไม่รู้ว่ากูเกือบทะเลาะกับพี่โรมเพราะเรื่องของมึงนะ.... พี่โรมโกรธกูจะตายห่าตอนที่รู้ว่ากูแอบมาแคสละครเรื่องนี้เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับมึง”

“สมน้ำหน้า ขอให้เลิกกันไวๆ นะ”

“.....................”

หลังจากนั้น ทิชาก็หุบปากสนิทไม่พูดอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวกับผมอีกเลยแม้แต่คำเดียว มันแค่ยิ้มตามที่ตากล้องสั่ง พูดในสิ่งที่พีอาร์บรีฟให้ฟังได้อย่างฉะฉานครบถ้วนไม่เหมือนลูกแมวขี้อายที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่า มือเล็กซึ่งอุตส่าห์ยื่นมาหาผมเมื่อครู่นั้นถอยกลับไปประจำที่เดิม ราวกับกลัวว่าถ้ามาโดนตัวผมแล้วจะเฮียโรมจะโผล่หน้ามาบอกเลิกมันเดี๋ยวนี้

สุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องตามไปคว้ามือมันมากุมไว้ ร่างเล็กสะดุ้งนิดหน่อยเหมือนโดนใครเอาบุหรี่จี้หลังแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน.... บอกไม่ได้เหมือนกันว่าระหว่างผมกับทิชาใครจะอกแตกตายก่อนกันที่ต้องมาทำแบบนี้ เราหันมายิ้มให้กัน หัวเราะปรบมือต่อหน้ากล้อง แสดงท่าทางเฟคๆ ว่าหลงรักกันและกันจนหมดหัวใจทั้งที่ข้างในแม่งว่างเปล่ากลวงโบ๋ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว

และทันทีที่ไฟสีแดงซึ่งปรากฏอยู่ข้างเลนส์กล้องวิดิโอดับลง ผมก็ต้องปล่อยมือทิชาและไม่มีสิทธิ์ที่จะจับอีกจนกว่าจะมีคำสั่งจากกองละคร


......เพราะทิชาไม่ใช่ของผม แค่นั้นแหละที่ต้องจำใส่ใจเอาไว้......




ROME’s PART


Tisha_950701 : เหงาอะ อยากกลับคอนโดฯ แล้ว

                       คิดถึงพี่โรม คิดถึงยัยมิลค์

                 *สติกเกอร์ร้องไห้*

Do_As_RomanS : พบเด็กงอแง 1 ea

                    พี่ควรปลอบใจหรือซ้ำเติมทิชาดีเนี่ย อยากพูดไม่ฟังแล้วที

                         นี้เป็นไงล่ะ

Tisha_950701 :   พี่จ๋าโอ๋น้องหน่อย นะๆๆๆ

Do_As_RomanS : ไม่โอ๋หรอก

                     ตั้งใจทำงานจะได้กลับมาเร็วๆ เดี๋ยววันหยุดก็เจอกันแล้ว

Tisha_950701 :   งื่อ T___T




ผมกะแล้วเชียวว่าเหตุการณ์นี้มันจะต้องเกิดขึ้น เพราะทิชาไม่ใช่คนประเภทที่รักการเข้าสังคมกับคนแปลกหน้า สนุกกับการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ได้ชอบแสงสีและการตกเป็นจุดสนใจอย่างที่ดาราควรจะเป็น ผมถึงได้ทั้งค้านและเตือนเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทิชาแน่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดแค่วันแรกก็ดูท่าทางจะไม่ไหวแล้ว

แต่จะโทษทิชาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก จริงๆ แล้วผมควรจะด่าไอ้แดนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุมากกว่าใครทั้งหมด.... ไม่ว่าใครก็คงดูออกว่ามันคิดยังไงกับทิชา ผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสตรงที่มันมาแอบชอบแฟนผม แต่ผมรู้สึกไม่โอเคกับวิธีการเข้าหาทิชาของมัน ทั้งเรื่องโกหกว่าทำกับข้าวไม่เป็นแล้วหลอกให้ทิชาไปที่ห้อง บอกให้ไปชิงเกียร์วิศวะฯ ที่เบอร์ลิคทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าที่นั่นอันตรายแค่ไหน แล้วยังจะมาลากทิชาไปเล่นละครเป็นดาราคู่กับตัวเองทั้งๆ ที่มันก็น่าจะรู้นิสัยทิชาว่าเขาไม่ชอบและไม่ถนัดเรื่องพรรค์นี้

ถ้าแบบนี้เรียกว่ารัก งั้นผมก็ทำถูกแล้วที่ไม่อนุญาตให้มันมารักแฟนผม

ทิชาเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะ แม้ภายนอกจะยังดูสวยสภาพดีอยู่แต่ข้างในก็ไม่ต่างจากรถที่เจออุบัติเหตุชนยับมาถึงห้องเครื่อง เอาไปวิ่งแรงๆ ยังไงมันก็ต้องมีปัญหาน็อคกลางอากาศ.... ผมกำลังพยายามซ่อมหัวใจทิชาอยู่ก็จริง แต่ก็อย่างที่บอกว่าของมันเคยพังมาก่อน วันนี้ซ่อมตรงนี้ พรุ่งนี้ก็มีอีกแผลโผล่มาให้เห็นอีก ซ่อมจนเหนื่อย วนลูปกันไปเรื่อย แม้แต่ตัวผมก็ยังบอกไม่ได้เลยว่าจะซ่อมเสร็จเมื่อไร

ส่วนไอ้แดนก็เป็นพวกดีแต่ใช้งาน เห็นอะไรสวยถูกใจเข้าหน่อยก็อยากได้มาครอบครองแต่ไม่รู้จักบำรุงรักษา.... ที่มันเห่อทิชาจะเป็นจะตายก็คงเป็นเพราะมันยังไม่เคยได้ แต่ถ้าได้ไปแล้วเกิดเบื่อหรือมารู้ทีหลังว่าหัวใจที่อยู่ข้างในมันไม่ได้สภาพครบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนที่เห็นภายนอก ผมก็กลัวว่ามันนี่แหละที่จะเป็นคนเอาทิชาไปโยนทิ้งกองขยะเองกับมือ

ผมอาจจะมองไอ้แดนในแง่ร้ายจนเกินไป แต่ถ้าผมเลือกที่จะอยู่กับทิชาแล้ว ผมก็ไม่อยากให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องสิ่งที่ผมกำลังทะนุถนอม แม้จะซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แต่รอยขีดข่วนเล็กเท่าขนแมวรอยเดียว ผมก็ไม่อยากให้มีเพิ่ม

มันยากมากเลยใช่ไหมล่ะ....?

นั่นสินะ.... เพราะแม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังเคยคิดเลยว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่มีใครบนโลกนี้เกิดมาและตายจากไปโดยที่ไม่ฝากแผลให้คนใกล้ตัวหรอก อยู่ที่ว่าจะมากจะน้อย รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเท่านั้น



“เวลาวาดโครงหน้า เราใช้รูปวงกลมเป็นฐานแล้วก็ลากเส้นจากด้านบนลงมาเพื่อเป็นการกำหนดจุดกึ่งกลางแบ่งซ้ายขวา ไอ้เส้นที่เราลากนี่แหละจะช่วยให้รูปที่วาดออกมาไม่เบี้ยว.... เดี๋ยวพี่บี๋จะทำให้ดูก่อน แล้วน้องค่อยลองทำตามนะ”

“อื้อ แบบนั้นล่ะ ดีแล้วๆ เก่งมาก”

เสียงคุ้นหูที่ได้ยินเรียกฝีเท้าของผมซึ่งกำลังเดินผ่านโต๊ะม้าหินหน้าสำนักหอสมุดกลางให้หยุดชะงักแล้วหันไปมอง สิ่งที่เห็นก็คืออดีตแฟนที่คบกันได้แค่ไม่กี่วันของผมกำลังนั่งอยู่กับเด็กมัธยมต้นจากโรงเรียนสาธิตข้างๆ อุปกรณ์วาดรูปอย่างดินสอไม้ ยางลบ กบเหลาวางกองอยู่เต็มโต๊ะ.... ถ้าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าบีบี๋คงกำลังหารายได้พิเศษด้วยการเปิดคอร์สสอนวาดรูปการ์ตูนให้เด็กๆ ล่ะมั้ง

ว่าแต่นึกยังไงถึงได้ต้องมาทำงานแบบนี้....?


‘น้องบีบี๋ติดหนี้เฮียรุจอยู่สองล้าน’ 

‘หนึ่งล้านแรกเป็นค่ายืมเกียร์รุ่น 32 เอาไปใช้บังคับให้มึงทิ้งทิชาแล้วกลับมาคบกับน้องบีบี๋ต่อ แต่สุดท้ายมึงก็เลือกตัดสายแล้วลาออกจากเบอร์ลิคไปเฉยเลย ก็เท่ากับว่าน้องบีบี๋เสียค่าโง่สร้างหนี้ให้ตัวเองฟรีๆ หนึ่งล้านโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง’

‘เงินล้านที่สองเป็นค่าชดใช้ความเสียหาย.... เพราะมึงลาออกจากเบอร์ลิค เท่ากับทำให้เฮียรุจเสียรุ่นน้องที่แกไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งไป พอมึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ เฮียแกก็เลยไปเพิ่มค่าเสียหายจากน้องบีบี๋ที่เป็นตัวต้นเหตุ’



คำพูดของไอ้แจ็คลอยเข้ามาในหัวสมองทันที ทั้งที่ผมตั้งใจว่าจะหาทางคุยกับบีบี๋หลายรอบแล้วแต่พอเจอเรื่องยุ่งๆ จากทิชาก็ทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

ผมไม่คิดว่าไอ้แจ็คมันจะพูดโอเวอร์ให้ผมเครียดเล่นหรอก บีบี๋ก็คงจะมีหนี้สองล้านที่ต้องจ่ายให้เบอร์ลิคจริง แต่สิ่งที่ผมยังไม่ได้คำตอบจากเพื่อนสนิทก็คือบีบี๋เอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายคืนเฮียรุจ บ้านก็ไม่ได้รวยถึงขั้นจะมีเงินเก็บส่วนตัวหลักล้าน สอนพิเศษเด็กมัธยมหนึ่งชั่วโมงจะได้สักกี่ตังค์ หรือว่ายังมีเงื่อนไขอะไรอย่างอื่นที่แม้แต่มือขวาเฮียรุจอย่างไอ้แจ็คก็ยังไม่รู้

เงินหนึ่งล้านแรก ผมจะทำไม่รู้ไม่เห็นแล้วโทษว่าบีบี๋หาเรื่องใส่ตัวก็พอได้ แต่เงินล้านที่สองซึ่งมีผมเป็นต้นเหตุ ไม่ว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองยังไงก็มองไม่เห็นความสมเหตุสมผลที่บีบี๋จะต้องชดใช้ให้เฮียรุจมากขนาดนี้.... ผมถึงได้อยากคุยให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าหากผมยังพอสามารถช่วยเหลืออะไรได้ในฐานะคนคุ้นเคยกัน ผมก็ยินดีที่จะช่วย

“ก็ลองเอาไปฝึกตามที่พี่บี๋สอนนะ แล้วอาทิตย์หน้ามาเจอกันใหม่ บายจ้า”

เมื่อผมเดินกลับมาหน้าหอสมุดกลางอีกครั้งก็ได้เวลาเลิกสอนพอดี น้องมัธยมคนนั้นไหว้ขอบคุณคุณครูมือใหม่ก่อนจะลุกไป บีบี๋ก็นับเงินที่ได้รับเป็นค่าสอนจนครบแล้วเก็บลงกระเป๋า ผมจึงเดินเข้าไปหาพร้อมทั้งวางนมชมพูปั่นใส่เยลลี่ซึ่งเป็นของโปรดของเจ้าตัวให้แทนคำทักทาย

“เฮียโรม........?”

“อืม เป็นไงบ้างล่ะ สอนพิเศษวาดรูปให้เด็กเหรอ?”

ผมถามทำทีเสมือนว่าเพิ่งบังเอิญผ่านมาแถวนี้ ถือวิสาสะนั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามพลางเลื่อนแก้วนมปั่นไปให้อีกฝ่ายใกล้ๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่านี่คือของฝาก 

“พอดีเห็นบีบี๋นั่งอยู่ก็เลยซื้อมาจากซุ้มตรงโน้น.... ไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่ เฮียไม่รู้ว่าเรายังชอบนมปั่นปีโป้อยู่หรือเปล่า แต่ถ้าชอบก็รับไว้เถอะ”

“เฮียโรมให้บี๋.....จริงเหรอ......?”

“จริงดิ ไม่คิดตังค์หรอกน่า”

เมื่อผมยืนกรานแบบนั้น บีบี๋ถึงได้เก็บขวดน้ำเปล่าลงไว้ตรงช่องตาข่ายข้างกระเป๋าเป้แล้วยอมกินนมปั่นที่ผมซื้อมาให้

ระยะเวลาเดือนกว่าๆ เกือบสองเดือนที่ผมตัดขาดจากเบอร์ลิค บีบี๋ดูเปลี่ยนไปมาก จากที่เห็นภายนอกก็คือผอมลงพอสมควร แก้มป่องๆ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์และความน่ารักเฉพาะตัวก็หายไป เหลือไว้แต่ใบหน้าซูบตอบ ตากลมโตปรากฏรอยคล้ำนิดๆ ดูอิดโรยอย่างบอกไม่ถูก.... ท่าทางร่าเริงช่างพูดช่างคุยเสียงดังเหมือนหมาชิวาว่ากลับกลายเป็นหม่นเศร้าพิกล แม้จะพยายามฉีกยิ้มสดใสต่อหน้าผมแต่มันก็ยังไม่เนียนอยู่ดี

พอเห็นแบบนี้ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะหนี้จำนวนสองล้านนั่น....

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาคุยกับบี๋ล่ะ ไม่กลัวไอ้ชาเข้าใจผิดเหรอ?” 

บีบี๋หรี่ตาลงมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจ เมื่อท้าวความย้อนความทรงจำถึงครั้งสุดท้ายที่คุยกันก่อนที่ผมจะตัดขาดจากเบอร์ลิค ร่างเล็กก็ยิ่งแสดงอาการระแวงอย่างเห็นได้ชัด 

“ถ้าจำไม่ผิด บี๋ว่าเฮียโรมเคยพูดว่าไม่อยากยุ่งกับคนอย่างบี๋อีก แล้วนี่ลมอะไรพัดมาล่ะ? ไม่เชื่อหรอกนะว่าแค่อยากแวะเอานมปั่นปีโป้มาให้กินเฉยๆ”

“แค่เอานมมาให้กินเฉยๆ นั่นละ” 

ที่ผมซื้อนมปั่นมาให้ก็เพราะอยากซื้อ แต่ก็แน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าทำไมตัวเองถึงต้องกลับมานั่งคุยกับแฟนเก่าซึ่งรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าร้ายเดียงสา มีสารพัดเล่ห์เหลี่ยมความอิจฉาแฝงอยู่ภายใต้หน้าตาใสซื่ออย่างที่เคยทำให้ผมเซอร์ไพรส์หงายเงิบมาแล้ว 

“แล้วก็มีเรื่องบางอย่างที่เฮียอยากถามบีบี๋ด้วย....”

“เรื่องอะไร?”

ร่างเล็กแค่นเสียงหัวเราะในลำคอถามกลับ

“ถ้าเป็นเรื่องไอ้ชา เฮียก็ต้องไปถามมันเองนะ.... บี๋ไม่ได้คุยกับมันอีกเลยตั้งแต่จับได้ว่ามันแอบไปชิงเกียร์ของเฮียโรมที่เบอร์ลิค แย่งมาแย่งกลับ เจ๊ากันแล้วก็เลิกคบ”

“เฮียไม่ได้อยากคุยเรื่องทิชา”

“งั้นเรื่องนายแดน สถาปัตย์ใช่มะ? รู้ยังอะว่ามันแอบชอบไอ้ชาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว มันเคยหอมแก้มไอ้ชาในงานเฟรชชี่ด้วยนะ เวลาเรียนรวมคลาสเดียวกันก็ชอบนั่งมองไอ้ชาอย่างกับพวกโรคจิต ถามจริงเหอะ น้องชายเฮียมันเป็นสตอล์กเกอร์หรือเปล่าเนี่ย.....”

“เฮียอยากคุยเรื่องบีบี๋ต่างหาก” 

ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปตรงๆ ไม่อยากอ้อมค้อมเฉไฉให้ออกทะเลจนไปจบที่เรื่องของทิชาหรือแดน ตอนนี้คนที่ผมกำลังคุยด้วยคือบีบี๋ และผมก็ต้องการที่จะรู้ความจริงจากปากของเจ้าตัวเท่านั้น

“หนี้สองล้านที่เฮียรุจบอกให้จ่าย ทุกวันนี้บีบี๋จ่ายเฮียรุจยังไง?”

“................”

ร่างเล็กได้ยินคำว่าหนี้สองล้านก็นิ่งเงียบไปไม่ยอมตอบ ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันในขณะที่มือซึ่งกำรอบแก้วนมปั่นจิกเกร็งจนเนื้อพลาสติกยุบเข้าไป

บีบี๋อาจจะตกใจหรือสงสัยว่าผมรู้เรื่องได้ยังไงแต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะคุยกันเวลานี้ ผมอยากรู้ว่าที่บีบี๋ต้องทำงานพิเศษทั้งที่ไม่เคยทำ ผอมลงจนดูเหมือนคนป่วยนั้นเป็นเพราะถูกเฮียรุจบังคับเอาเงินไปจนหมดหรือว่าอะไรกันแน่.... ในเมื่อหนี้ครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นเพราะผม ผมก็ควรกระดิกตัวแสดงความรับผิดชอบบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้คนที่ตัวเองเคยเรียกเต็มปากเต็มคำว่าแฟนรับผลกรรมไปคนเดียว

“ถึงเราจะเลิกกันแบบไม่ค่อยดี แต่เฮียว่าเงินสองล้านที่เฮียรุจโยนมาให้ชดใช้เป็นค่าเสียหายก็มากเกินไป.... ถ้าเฮียพอช่วยอะไรบีบี๋ได้บ้างล่ะก็......”


“ไอ้โรม มึงจะเสือกไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ได้นะ”


“เฮียรุจ!”

ฉับพลัน คนที่กำลังถูกพูดถึงก็โผล่มากระแชกแขนบีบี๋จากทางด้านหลังรวดเดียวเกือบหงายหลังลงมาจากม้านั่ง ร่างเล็กส่งเสียงร้องลั่นจนคนแถวนั้นหันมามองด้วยความแตกตื่นตกใจ ผมรีบลุกขึ้นจะตามไปคว้าเอาบีบี๋คืนมา หากติดตรงที่ว่าเฮียรุจดึงให้ลูกหนี้ไปหลบอยู่ด้านหลังแล้วหันมาเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับอดีตรุ่นน้องคนสนิท.... ซึ่งก็คือผมเอง

“ทำไมเฮียต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วย ไม่เห็นเหรอครับว่าน้องเจ็บ!?”

“เรื่องของกูกับน้องบี๋ กูตกลงกับน้องมันเรียบร้อยแล้วว่าเราจะจ่ายอะไรกันแบบไหนยังไง.... ขึ้นชื่อว่าเป็นสะใภ้ใหญ่เบอร์ลิค ห้อยเกียร์อยู่ที่คอ กูก็ต้องดูแลน้องบี๋อย่างดี น้องบี๋เองก็ดูไม่ได้จะเดือดร้อนอะไรตรงไหนนี่นา”

 เฮียรุจเหยียดมุมปากใส่ผมอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า น้ำเสียงเยาะเย้ยที่ได้ยินผิดกับตอนที่เขารับปากว่าจะช่วยดูแลบีบี๋เป็นอย่างดีชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า 

“ไม่งั้นมึงลองถามน้องบี๋เอาเองเลยก็ได้ว่าใช้หนี้สองล้านนี่งานยากหรือเปล่า?”

ผมมองเด็กหนุ่มตัวเล็กซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างหลังเจ้าของร้านเบอร์ลิคด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เกียร์รูปเฟืองสีทองแดงยังคงคล้องอยู่บนลำคอขาว แต่ทว่า รอยแดงช้ำอมม่วงคล้ายรอยฟันกัดที่ผมไม่ทันได้สังเกตในคราวแรกกลับโผล่พ้นคอเสื้อออกมาให้เห็นด้วย และที่แน่ๆ ก็คือมันไม่ได้มีแค่รอยเดียว

“บีบี๋.... เฮียรุจให้บี๋ใช้หนี้ยังไง? จ่ายเป็นเงินหรือว่าอะไร?”

“................”

ผมยังหวังว่าบีบี๋จะยอมพูดอะไรสักคำ พยักหน้าแทนคำตอบหรือขอความช่วยเหลือก็ได้ แต่ดูคล้ายว่าความหวังดีของผมจะไร้ค่าหรือไม่ก็มาช้าจนเกินไป

“บีบี๋ ไม่ต้องกลัวนะ เฮียจะพยายามหาทางช่วย......”

“เฮียรุจไปกันเหอะ บี๋หิวข้าวแล้ว”

“ได้สิ.... วันนี้น้องบี๋อยากกินอะไรล่ะ? เอาพิซซ่าดีไหม?”

“อะไรก็ได้ แล้วแต่เฮียรุจ”

“โอเค งั้นวันนี้ตามใจเฮียนะครับ”

มือเล็กกระตุกชายเสื้อเจ้าหนี้แล้วพูดสั้นๆ แค่นั้น หน่วยตากลมโตหลุบต่ำไม่มองหน้าผมก่อนจะรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วเดินหนีไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่สิบเมตร.... เฮียรุจชี้หน้าผมเป็นเชิงคาดโทษและเตือนให้รู้ว่าอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยใช่เหตุ เมื่อผมออกลาเบอร์ลิคไปแล้ว ผมก็ไม่ใช่คนใน ไม่ใช่รุ่นน้องคนสนิทที่เขาจะต้องให้ความเมตตา และถ้าเขาจะสั่งกระทืบผมด้วยข้อหามายุ่งกับสะใภ้ห้อยเกียร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย

 “เชี่ยโรม กูเตือนมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าเสือกเรื่องนี้!”

ไอ้แจ็คโผล่มาจากทางด้านหลัง กระชากคอเสื้อผมจนแทบรั้งหลอดลมหายใจไม่ออกตาย สีหน้ามันดูเป็นเดือดเป็นร้อนหลังจากที่เห็นว่าคนที่เป็นทั้งเพื่อนและแฝดรหัสของตัวเองเพิ่งจะล้วงมือลงไปในรังงูเห่า ถึงจะรอดชีวิตมาได้ในคราวนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่โดนตามอาฆาต

“สัดแจ็ค!” 

ผมรู้ว่าผมแม่งห่ามที่ไปท้าทายเฮียรุจ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะไอ้แจ็คนี่แหละที่ไม่ยอมพูดเรื่องที่ควรพูดให้ผมรู้ตั้งแต่แรก 

“มึงรู้ใช่ไหมว่าเฮียรุจทำอะไรกับบีบี๋.... ทำไมวะ ไอ้เหี้ย!? ทำไมมึงไม่ยอมบอกกู!!??”

“กูบอกแล้วมึงจะทำอะไรได้.... ในเมื่อถ้าไม่จ่ายรวดเดียวสองล้าน เฮียแม่งก็ไม่ยอมเอาเงินจากน้อง หรือมึงคิดว่ามึงจะจ่ายแทนล่ะ!?”

เมื่อถูกไอ้แจ็คตอกหน้ากลับมา ผมก็ทำได้แค่กลืนคำด่าทุกคำกลับลงคอไป เพราะถึงแม้บ้านผมจะค่อนข้างมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ แต่การเบิกเงินออกมาใช้คราวละหลักล้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนพวกคุณชายในละคร.... และใจความสำคัญก็อย่างเพื่อนผมว่าไปเมื่อกี้นี้ ถ้าไม่จ่ายคืนรวดเดียวครบจำนวนสองล้าน เฮียรุจก็จะไม่รับเงินและจะทรมานบีบี๋ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ

“เหี้ย.... แล้วกูต้องทำไงวะเนี่ย!?”

“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไอ้โรม” 

ผมหันไปมองไอ้แจ็ค ซึ่งมันก็ยังคงยืนยันคำเดิมกับที่เคยบอกผมเมื่อครั้งก่อน 

“ถ้าไม่อยากฉิบหายก่อนวัยอันควร มึงอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ปล่อยให้น้องบีบี๋จัดการกับปัญหาของเขาเอง ก็อย่างที่เฮียรุจบอกว่ายังไงก็สะใภ้ เขาไม่เอาเมียตัวเองจนถึงตายหรอก.... ส่วนมึงมีน้องทิชาแล้ว สนใจแค่แฟนคนปัจจุบันของมึงก็พอ อย่าล้ำเส้นกลับเข้าไปในเบอร์ลิคอีกเป็นอันขาด ไม่งั้นมึงจะรักษาอะไรไว้กับตัวไม่ได้สักอย่างเลย”

ผมทิ้งร่างนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิมพลางถอนหายใจไล่ความรู้สึกสับสนว้าวุ่นให้พ้นไปจากหัวสมอง แต่ก็ได้แค่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วก้อนเมฆสีเทาก็ก่อตัวทับถ่วงข้างในอกขึ้นมาใหม่.... นมชมพูปั่นใส่เยลลี่ที่ผมซื้อมาให้บีบี๋ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม น้ำแข็งในแก้วละลายจนกลายเป็นน้ำเหลวๆ เละเทะไม่น่ากินอีกต่อไป ก็คงไม่ต่างจากหัวใจของผมซึ่งถึงแม้จะอยู่ข้างในอกซ้ายเหมือนเดิมหากก็มองไม่ออกแล้วว่าก่อนหน้านี้มันเคยมีไว้เพื่อใครกันแน่


TO BE CONTINUE

 :hao7: :katai4: :katai1:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คนที่เลวที่สุดก็คือไอ้โรมค่ะเรื่องนี้ ขอให้มันไม่เหลือใคร

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำไมพี่ขี้ลังเลงี้ ฮอลลลลลล เลือกทางไหนก็สงสารคยที่เหลืออยู่

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทำตามที่แจ็คบอกเถอะโรม อย่ากลับไปยุ่งไปวุ่นวาย ใครผูกปมอะไรไว้ก็ให้ไปแก้ปมเอง สนใจแค่เรื่องของตัวเองกับทิชาก็พอ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
เฮ้ออ วิญญาณพ่อพระอีกแล้ว
รับรู้แล้วก็อย่าออกตัวแรงซิพี่โรม
จะช่วยอะไรยังไงก็คิดเยอะๆหน่อย
เดี๋ยวจะชวดหมดอย่างที่แจ็คว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
โอยย มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไอ้พี่โรม คิดให้ดีนะว่าที่รู้สึกกับทิชามันคืออะไร แล้วที่รู้สึกกับบีบี๋มันคืออะไร
ความรัก ความหลง ความเอ็นดู หรือความสงสาร
จับตัวเลือกสี่ตัวนี้ให้ถูกคนซะ แล้วทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
ถ้าไม่จัดการอะไรเลยคนที่จะไม่เหลือใครก็คือแกไอ้พี่โรม

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
13
~ ครึ่งชีวิตที่บิดเบี้ยว ~


TISHA’s PART


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ที่ถูกไล่ออกจากป่าให้มาอยู่รวมกับมนุษย์ในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันครื้นเครง แต่ละคนแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่ก็ทักทายเล่นหัวกันยิ่งกว่าเพื่อนสมัยเด็ก.... ก็คงมีแค่ผมที่ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้ว่าควรพาตัวเองไปฝังร่างไว้ตรงไหนดี เพราะนอกจากป้าอิ๋วที่เป็นหัวหน้าทีมผู้จัดละครช่อง , พี่ก้อย ผู้จัดการกองถ่าย , พี่ปลา พีอาร์ประจำกอง และทีมงาน คนที่เหลือก็ดูคล้ายว่าจะไม่ค่อยอยากต้อนรับผมสักเท่าไร ถ้าไม่ได้มีกล้องแคนดิดคอยตามถ่ายเบื้องหลังการเตรียมงานไว้อัพเดทให้แฟนๆ ดูผ่านโซเชียล บางครั้งพวกเขาก็ทำเป็นมองไม่เห็นผมขึ้นมาเสียเฉยๆ

เรียนการแสดงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อถูกป้าอิ๋วขอร้องแกมบังคับให้เปิดแอคเคาท์ไอจี การรับมือกับคำด่าทอและความเกลียดชังกลับยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด....

เพราะนามสกุลของพ่อ ข่าวฉาวในอดีตของแม่ บวกกับการโผล่มามีชื่อรับบทนำละครทั้งๆ ที่ไม่ได้มาแคสพร้อมคนอื่นของผม ก็เลยมีคนใจดีอุตส่าห์ช่วยขุดเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนมาตั้งกระทู้ถามกันให้ควั่ก แล้วบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายที่รู้จักผมแต่ผมไม่รู้จักเขาก็ออกมาให้ข้อมูลกันเต็มไปหมดว่าทิชาเป็นคนอย่างนู้นอย่างนี้ เรียกได้ว่าเรื่องส่วนตัวของผมกลายเป็นประเด็นในสังคมออนไลน์ พาชื่อละครที่กำลังจะถ่ายทำให้เป็นกระแสติดเทรนด์ไปด้วย ซึ่งก็คงถูกใจสปอนเซอร์นายทุนทั้งหลายแต่ไม่ถูกใจเพื่อนนักแสดงด้วยกันสักเท่าไร

ดังนั้น การคุยกับพี่โรมในตอนเช้าและก่อนเข้านอนของทุกวันจึงเป็นการฮีลลิ่งตัวเองสำหรับผมไปโดยปริยาย ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อจนแทบจะนับถอยหลังเป็นวินาทีกว่าจะถึงเวลานัดเฟซไทม์.... ก็ไม่รู้ว่าผมหวังให้พี่โรมเป็นที่พึ่งพิงทางใจมากเกินไปหรือเปล่า แต่ผมบอกได้เลยว่าถ้าไม่มีกำลังใจจากเขา ชีวิตในแต่ละวันของผมก็คงผ่านไปได้ยากเหลือเกิน



“พรุ่งนี้ชามีเรียนเช้า ตอนบ่ายถึงจะเข้าไปเวิร์คช็อปที่สถานี.... ตอนเที่ยงพี่โรมว่างไหมอะ มาเจอกันแปบนึงได้หรือเปล่า เดี๋ยวชาไปนั่งรอพี่โรมที่ร้านเจ๊สวยตรงประตูฝั่งวิศวะฯ ก็ได้”

ผมเพิ่งออกจากห้องน้ำด้วยสภาพผมเปียกหมาดๆ เดินลงมาจากชั้นสามเพื่อหาของกินในครัวโดยถือโทรศัพท์คุยเฟซไทม์กับแฟนไปด้วย เมื่อได้น้ำเต้าหู้สำเร็จรูปสูตรไขมันต่ำที่แม่ซื้อมาทิ้งไว้ให้ในตู้เย็นก็ย้ายร่างมากลิ้งบนโซฟา อ้อนชายหนุ่มซึ่งอยู่บนหน้าจอไอโฟนด้วยความหวังว่าเขาจะยอมตามใจ

ทว่า พี่โรมกลับมีท่าทางลังเลก่อนจะตอบมาให้ได้ยิน

‘พรุ่งนี้เที่ยงน่าจะยาก พี่ต้องออกไปศูนย์จำลองยานยนต์ตั้งแต่เช้า กลัวจะกลับมามหาลัยไม่ทันตอนเที่ยงนี่สิ’

“อ้าว เหรอ..........”

ช่วงนี้หาเวลาว่างตรงกันยาก ผมเลยเฟลนิดหน่อยที่แผนล่มไม่เป็นท่า แน่นอนว่าพี่โรมจะต้องเห็นผมทำหน้าเป็นหมาหงอย ยู่ปาก เหมือนเด็กที่โดนพ่อแม่เอาไปทิ้งไว้โรงเรียนประจำ ต้องรอจนกว่าปิดเทอมถึงจะได้กลับบ้านไม่มีผิด

‘งอแงอีกแล้วนะ ทิชา’

“ก็ชาอยากเจอพี่โรม ไม่ได้เจอพี่กับมิลค์มาสี่วัน เก้าชั่วโมง.... กับอีกสิบสองนาที สามสิบห้าวินาทีแล้ว..........” 

ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่งี่เง่าที่สุดที่ตัดสินใจขอให้แม่ช่วยขอร้องป้าอิ๋วเรื่องแคสบทละคร ก่อนหน้านี้ผมก็ติดยัยมิลค์ชนิดไม่ยอมไปค้างที่ไหนถ้าลูกไม่ได้ไปด้วยอยู่แล้ว พอมาติดพี่โรมด้วยก็ยิ่งกลายเป็นขี้เหงายกกำลังสอง เพราะความรู้สึกผิดชั่ววูบที่มีต่อใครบางคนแท้ๆ ที่ทำให้ผมต้องกระสับกระส่ายทรมานแบบนี้ 

“ชาคิดถึงพี่โรมนะ.... คิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วเนี่ย”

‘พี่ก็คิดถึงทิชาเหมือนกัน’ 

พี่โรมยิ้มเขินขณะตอบกลับผม ใบหน้าหล่อยิ่งดูน่ามองน่าหลงจนหัวใจผมเต้นตามแทบไม่เป็นจังหวะ 

‘ว่าแต่อุตส่าห์ไปเป็นดารา แฟนคลับออกจะเยอะแยะ อินสตราแกรมก็เปิดแล้ว ทำไมไม่อัพนู่นอัพนี่เรียกเรตติ้งเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้างล่ะ.... วันๆ เอาแต่รอคุยกับพี่แบบนี้ ทางกองละครเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ?’

“มีสิทธิ์อะไรมาว่า ชาไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขสักหน่อยนี่” 

ผมหมายถึงเรื่องที่ทางสปอนเซอร์กับผู้จัดขอให้ปิดเรื่องที่ผมมีแฟนแล้วไว้เป็นความลับ เพื่อที่ทีมพีอาร์จะได้โปรโมทซีรีส์ในแนวคู่จิ้นได้สะดวก ซึ่งทุกวันนี้ ผมก็ได้แค่หลบๆ ซ่อนๆ แอบคุยกับพี่โรมไม่ให้ใครในกองละครเห็น 

“คนพวกนั้นไม่มีใครใจดีกับชาเหมือนพี่โรมสักคน.... เขาเกลียดขี้หน้าชากันจะตาย ชาเองก็ไม่อยากคุยกับพวกเขา..........”

‘หืม ไอ้แดนด้วยเหรอ?’

พี่โรมทำท่าแปลกใจเมื่อผมส่ายหน้ากลับไปให้เห็น

“กับแดน ชาคุยได้เฉพาะเรื่องงาน เรื่องอื่นอย่าไปพูดถึงเลย.........”

ผมไม่อยากฟ้องพี่โรมว่าไอ้แดนนรกมันพูดอะไรกับผมบ้าง ไม่อยากให้ความไม่พอใจระหว่างผมกับมันลุกลามไปกันใหญ่จนทำให้พี่โรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย.... จะว่าผมเอาแต่ทำตัวเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ ในเมื่อผมขยับไปทางซ้ายก็มีคนโกรธ ขยับไปทางขวาก็มีคนไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ผมก็จะปล่อยให้ไอ้แดนเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจเสียให้พอ เผื่อว่าสักวันหนึ่งความหัวร้อนของมันจะทุเลาเบาบางลงบ้างแล้วเราจะกลับมาคุยกันอย่างคนปกติได้เหมือนเดิม

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไอ้วันนั้นที่ว่าจะมีอยู่จริงหรือเปล่า....

“จะเที่ยงคืนแล้ว ชาว่าเราแยกย้ายกันไปนอนดีกว่า.... พรุ่งนี้พี่โรมก็ต้องตื่นแต่เช้านี่เนอะ” 

หลังจากคุยกันต่อไปได้อีกพักใหญ่ ความง่วงก็ตรงเข้าเล่นงานทำเอาเปลือกตาผมหนักอึ้งยิ่งกว่าโดนหินถ่วง แม้จะอยากเห็นหน้าคนในจอมือถือให้นานกว่านี้อีกนิด บอกรักเขาให้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่ขีดจำกัดของร่างกายกลับไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย 

“พี่โรมก็ไฟท์ติ้งนะ ชาฝากดูแลมิลค์ด้วย สองพ่อลูกอย่าทะเลาะกันล่ะ..... วันอาทิตย์ตอนเย็นเจอกัน ชาจะเข้าไปหาพี่ที่คอนโดฯ แล้วเรามาทำกับข้าวกินกันเนอะ”

‘ได้สิ แล้วเจอกันนะ’

“ฝันดีนะ แด๊ดดี้ของชา”

‘กู๊ดไนท์ครับ แม่แมวของพี่’



ผมวางโทรศัพท์ไว้เหนือศีรษะตัวเอง ไม่ยอมลุกขึ้นจากโซฟาแม้จะกดวางสายจากพี่โรมไปได้สักพักแล้ว.... ผมนอนแผ่กางแขนกางขาอย่างหมดสภาพพลางถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยปนเบื่อหน่าย ยิ่งคุยกับพี่โรมก็ยิ่งคิดถึง ยิ่งเห็นหน้าเขาผ่านจอโทรศัพท์ หัวใจก็ยิ่งร่ำร้องอยากเจอตัวจริงให้ได้ อยากมากจนต้องข่มใจไม่ให้ลุกไปหยิบกุญแจรถบึ่งไปคอนโดฯ อีกฝ่ายเอาเดี๋ยวนี้

ความคิดในหัวมีแต่สารพัดคำด่าเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าทุกสิ่งที่ทำลงไปนั้นโคตรเปล่าประโยชน์ ความสัมพันธ์กับไอ้แดนก็พังหมด กับพี่โรมก็ต้องมาห่างกันทั้งๆ ที่เพิ่งคบได้ไม่นาน.... ถ้าย้อนเวลากลับไปต่อยหน้าตัวเองได้ล่ะก็ ผมจะรีบย้อนไปต่อยไอ้ทิชาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนให้หัวหลุดเลย

ไหนจะเรื่องน่าปวดหัวกับเพื่อนร่วมงานและโลกโซเชียลอีกยาวเป็นหางว่าว รู้สึกเหมือนเจอเดจาวูตอนที่เพิ่งเรียนจบไฮสคูลแล้วเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ทุกคนรู้จักทิชา ทุกคนมองหาทิชา ทุกคนพูดถึงทิชา.... แต่กลับไม่มีใครยินดีต้อนรับทิชาให้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเลยสักคน

เหนื่อยจัง....



Rrrrr Rrrrr

Rrrrr Rrrrr Rrrrr Rrrrr


โทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ไฟหน้ารถยนต์สาดเข้ามาถึงข้างในตัวบ้าน จากที่กำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ผมก็สะดุ้งโหยงหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่กด้วยความตกใจว่าจะต้องทำอะไรก่อนระหว่างรับโทรศัพท์กับออกไปดูว่าใครกันที่มันบังอาจเปิดไฟสูงใส่บ้านผม.... แต่แล้ว ชื่อของพี่โรมซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำเอาผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง พอชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นรถ Audi A5 Coupe’ สีน้ำเงินจอดอยู่นอกรั้ว หัวใจที่ห่อเหี่ยวซังกะตายอยู่เมื่อครู่ก็พลันตื่นเต้นลิงโลดยิ่งกว่าถูกหวยสามลิบล้านเสียอีก

‘เปิดประตูให้พี่กับมิลค์หน่อยสิครับ คุณเจ้าของบ้าน’

นั่นคือสิ่งที่พี่โรมบอกกับผมหลังจากสไลด์ปุ่มรับสาย

“อื้อ แปบนึงๆ”

ผมกระวีกระวาดรีบออกไปเปิดประตูรั้ว ช่วยดูท้ายรถและโบกให้สัญญาณจนกระทั่งเจ้าออดี้สีน้ำเงินถอยเข้ามาจอดภายในเขตบ้านได้เรียบร้อย และทันทีที่ร่างสูงก้าวออกมาจากรถ ผมก็กระโดดโผเข้าไปหาแล้วกอดเขาเอาไว้ด้วยความคิดถึงจนสุดใจขาดดิ้น

“เชื่อแล้วว่าคิดถึงกันจริง” 

พี่โรมว่าก่อนจะกดปลายจมูกลงบนแก้มผมเบาๆ แล้วกอดตอบ น้ำเสียงทุ้มคล้ายจะเอ่ยแซ็วความโอเวอร์ของผม แต่ผมแอบรู้หรอกว่าเขาเองก็คิดถึงผมเหมือนกัน

“ไม่ใช่แค่คิดถึงนะ.... แต่คิดถึงมากๆ มากที่สุดของที่สุดเลยต่างหาก” 

ผมขยี้หน้าตัวเองกับอกเสื้ออีกฝ่าย สูดกลิ่นครีมอาบน้ำเมนทอลจากแบรนด์ดังที่ตัวเองเป็นคนเลือกให้พี่โรมเองกับมือให้เต็มปอด 

“ไม่คิดว่าพี่จะมาหาชาจริงๆ นะเนี่ย ตกใจหมดเลย”

“ก็ถ้าบ้านทิชาอยู่รังสิต บางบัวทอง พุทธมณฑลอะไรงี้ พี่ก็คงไม่มาหรอก” 

คนขี้แกล้งยังคงแหย่ไม่เลิก ชอบให้ผมเบะปากใส่หรือไม่ก็ลงไม้ลงมือด้วยการหยิกต้นแขนล่ำๆ เสียก่อนถึงจะยอมหยุดได้ 

“ล้อเล่นน่า.... ทีแรกก็ว่าจะนอนแล้วล่ะ แต่พอเห็นเราทำหน้าทำตาอย่างกับแมวโดนเอาไปปล่อยวัดก็เลยทนไม่ไหว ดึกดื่นเที่ยงคืนยังไงก็ต้องมาให้เห็นหน้า ไม่งั้นไม่สบายใจ........”

“อะไร? ใครหน้าอย่างกับแมว?”

“ก็ทิชาไง.... ถ้าวาดหนวดลงบนแก้มข้างละสามเส้นได้นี่ก็แมวชัดๆ” 

ร่างสูงแกล้งชูสามนิ้วแล้ววางทาบลงบนแก้มผมทั้งสองข้างให้เหมือนหนวดแมวแล้วก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว.... จะว่าวันนี้พี่โรมดูอารมณ์ดีแปลกๆ ก็ใช่ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจสงสัยให้เป็นเรื่อง คิดว่าคงเพราะเราไม่ได้เจอกันหลายวัน เขาก็เลยอยากแสดงความรักความเอ็นดูให้ผมเห็นมากเป็นพิเศษ 

“พูดถึงแมว เกือบลืมแน่ะว่าพาลูกมาด้วย.... เอ้า ถึงบ้านแล้ว ออกมาเร็ว ยัยตัวแสบ”

พอเปิดประตูฝั่งเบาะหลังก็เจอมิลค์เวอร์ชั่นแต่งตัวเต็มยศนั่งกอดปลาทูยัดไส้กัญชาแมวรออยู่ ผมอุ้มลูกสาวสุดที่รักมาจุ๊บด้วยความคิดถึงไม่แพ้คนพ่อ ไม่เจอกันสี่วันแต่ยังอ้วนขนฟูแน่นเหมือนเดิม แสดงว่าพี่โรมให้ข้าวให้น้ำพร้อมขนมแมวเลียครบตามที่ผมกำชับ แต่คุณผู้ชายก็ยังมีเหตุให้คนเรื่องเยอะแบบผมบ่นจนได้

“พี่โรมเอามิลค์ขึ้นรถมาทั้งอย่างนี้เลยเหรอ ทำไมไม่ใส่กรงล่ะ?”

“เดี๋ยวมันอึดอัด นั่งรถแค่ไม่กี่นาทีเอง”

“แล้วถ้ามิลค์ฉี่กลางทางจะทำไง?”

“ก็ให้แม่มันจ่ายค่าซักเบาะรถไง”

“นิสัย!”

เอาจริงๆ ตอนอยู่คอนโดฯ พี่โรม ผมกับเขาก็เถียงกันบ่อยนะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงยัยมิลค์นี่แหละ เพราะผมเป็นพวกจะทำอะไรก็ต้องชัวร์เอาไว้ก่อน เสิร์ชกูเกิ้ลหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าอันไหนแมวกินได้หรือไม่ได้ แมวแสดงท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง วัคซีนต้องตรงเวลา ทุกอย่างทำตามคู่มือเป๊ะๆ ในขณะที่พี่โรมเลี้ยงด้วยสัญชาตญาณพ่อ ลูกขอกินอาหารคน ขอกินขนมวันละสามเวลา ปีนโต๊ะคุ้ยของกระจัดกระจายก็ไม่เคยว่า ตามใจมิลค์จนเสียแมว.... แต่เพราะเขารักก็เลยอยากตามใจมิลค์เหมือนที่ตามใจผม เรื่องก็เลยจบลงตรงที่ผมต้องยอมปล่อยให้พี่โรมเลี้ยงลูกตามแบบของเขาเองบ้าง

“ไหนมาดูหน่อยซิ.... แด๊ดดี้ซื้อเสื้อให้ใส่ด้วยเหรอ น่ารักเชียว” 

ลูกสาวผมใส่เสื้อลายกะลาสีมีผ้าพันคอเข้าชุด เห็นแล้วชวนให้อยากไปเที่ยวทะเลชะมัด

“เออ เพิ่งไปยืนเลือกที่ตลาดรถไฟเมื่อวันก่อน อายฉิบหาย” 

น้ำเสียงคนบอกว่าอายไม่เห็นฟังดูอายตรงไหนเลยสักนิด ออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ทำหน้าที่เมนเทอร์โรมคอยเลือกเสื้อผ้าให้ลูกทีมอีกครั้ง  “พี่ซื้อแว่นตากับหมวกแมวมาด้วยนะ แต่ยัยมิลค์ไม่ยอมใส่ กว่าจะจับใส่เสื้อได้ก็แทบรากเลือดแล้วเนี่ย”

ชายหนุ่มพูดพลางยื่นแขนทั้งสองข้างมาให้ผมดู เล่นเอาผมร้องเฮ้ยด้วยความตกใจเพราะรอยข่วนนับสิบพาดเป็นริ้วสลับไปมาบนท้องแขนเจ้าตัว มิหนำซ้ำบางรอยยังเป็นสะเก็ดเลือดเหมือนแผลยังไม่แห้งดีอยู่เลยด้วย

“โห พี่โรม.... ชาเลี้ยงมิลค์มาครึ่งปี ยังได้แผลรวมกันไม่เท่าพี่อยู่กับมิลค์แค่อาทิตย์เดียวเลยนะ!”

“แมวดื้อคือแมวฉลาด รอยถากๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“ไม่เป็นไรได้ไงเล่า!” 

ผมส่ายหน้าถอนหายใจให้กับความชิลล์เกินเหตุของพี่โรม มีอย่างที่ไหนบอกว่าแมวดื้อคือแมวฉลาด ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินตรรกะเพี้ยนๆ พรรค์นี้ 

“ว่าแต่ได้ทำแผลบ้างหรือเปล่าเนี่ย หรือโดนก็ช่างมัน ปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ทำอะไรเลย?”

“พี่ล้างแผลแล้ว”

“ล้างยังไง? ล้างด้วยอะไร?”

“ก็......ล้างน้ำเปล่า...........”

“พอเลยๆ ชาฟังแล้วปวดหัว” 

มาถึงตอนนี้นี่อยากจะกลอกตามองบนใส่คุณแฟนบังเกิดเกล้าเหลือเกิน ที่แท้ก็เป็นพวกดูแลคนอื่นไม่มีขาดตกบกพร่องแต่หละหลวมกับตัวเองจนน่าจับมาเขกหัวจูนสมองสักหลายๆ รอบ 

“เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวชาทำแผลให้ใหม่ดีกว่า.... นี่ดีนะว่ามิลค์ฉีดวัคซีนพื้นฐานครบหมดแล้ว ไม่งั้นชาจะไล่พี่โรมไปโรงพยาบาลฉีดยารอบสะดือเดี๋ยวนี้เลย”


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
พี่โรมนั่งรออยู่บนเตียงระหว่างที่ผมแบกกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาลตามขึ้นมาจากชั้นล่างก่อนจะจัดการล้างแผลด้วยน้ำเกลือแล้วใส่ยาเหลืองให้.... ทีแรกก็แอบคิดว่าหรือจริงๆ แล้วพี่โรมจะกลัวแสบเลยไม่ยอมทำแผล แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็นั่งเฉยๆ ชิลล์ๆ ไม่หือไม่อืออะไร ผมเลยได้ข้อสรุปว่าก็คงเพราะขี้เกียจนั่นแหละ หรือไม่ก็มัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นจนลืมใส่ใจตัวเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วตอนนี้พี่โรมอยู่ปีสาม เห็นว่ากำลังวุ่นๆ ทั้งโปรเจ็กต์แล้วก็เรื่องหาที่ฝึกงานใหม่ ผมก็ยังจะเอายัยมิลค์ไปฝากไว้กับเขาเพราะตัวเองไม่มีเวลาดูแล พอคิดแบบนี้ก็อดรู้สึกผิดที่ทำเหมือนผลักภาระไปให้เขาช่วยรับผิดชอบไม่ได้

“ไหวหรือเปล่าเนี่ย.... ถ้าพี่ไม่โอเค จะเอามิลค์กลับมาอยู่กับชาก็ได้นะ” 

ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเดิมทีพี่โรมก็ไม่คุ้นกับแมว ยัยมิลค์ก็ซนพอสมควร ผมเลยกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนจากเอ็นดูเป็นรำคาญเข้าสักวัน

“ไม่ได้ๆ ขืนเอากลับมาอยู่นี่แล้วถ้าทิชาไม่อยู่บ้านหลายๆ วันจะทำยังไง?”

“ก็คงต้องเอาไปฝากโรงแรมแมว......”

“ไม่ต้องเลย ให้พี่ดูลูกเองนั่นละดีแล้ว” 

พี่โรมยกมือขึ้นเป็นท่าปางห้ามญาติ ยืนกรานเด็ดขาดว่าถ้าผมต้องเอามิลค์ไปไว้กับคนอื่นก็ปล่อยให้เขาสู้รบปรบมือกับมันเองดีกว่า 

“พี่สั่งคอนโดแมวไว้แล้วด้วย แบบทาวเวอร์สี่ชั้นอย่างหรูเลย ร้านเขาจะเอามาส่งให้วันเสาร์นี้ พอยัยมิลค์มีที่ประจำของตัวเองแล้วก็คงเกเรน้อยลงไปเองแหละ”

เราสองคนสรุปจบปัญหาว่าด้วยลูกสาวขนฟูเอาไว้แค่นั้น พี่โรมกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงหัวเตียงโดยที่ผมก็ตามไปหนุนอกเขาก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเราทั้งคู่เอาไว้ ภายในห้องเงียบกริบ นอกจากเสียงยัยมิลค์ตะกุยเล็บกับของเล่นอันเก่าก็มีแค่เสียงลมจากเครื่องปรับอากาศกับเสียงหัวใจของพี่โรมซึ่งดังทะลุอกเข้ามาในโสตประสาทผม.... พี่โรมยังไม่หลับ ไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทีคล้ายเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์นั้นเขากำลังคิดถึงเรื่องอะไร จะใช้เรื่องเดียวกับผมหรือเปล่า หรือว่าจะมีผมอยู่ในนั้นบ้างไหมก็ยังไม่อาจคาดเดา

“พี่โรมคบกับชาแล้วเหนื่อยมากไหม?” 

ผมเป็นฝ่ายเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจก่อน เจ้าของดวงตาสีเข้มมองมาราวกับจะถามว่าผมกำลังละเมอหรือว่าอะไร ผมจึงขยับตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะได้สบตาอีกฝ่ายได้ถนัดแล้วถามย้ำอีกครั้ง 

“ถ้าหากชาอ้อนพี่โรมมากเกินไปจนทำให้พี่อึดอัดก็บอกได้นะ.... ทุกวันนี้เห็นพี่โรมคอยทำนู่นทำนี่ให้ตั้งหลายอย่างก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เหมือนชาเอาภาระของตัวเองมาทิ้งไว้ให้พี่ช่วยรับผิดชอบเลย.......”

“เหนื่อยอะไรกันล่ะ.... ไม่เหนื่อยหรอก ไม่อึดอัดด้วย”

ร่างสูงว่าพลางเอื้อมมือมาบิดปลายจมูกผมเล่น รอยยิ้มละมุนปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเซอร์ช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ใช่ว่าความกังวลทั้งหมดจะถูกกำจัดไปได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว

“ก็พี่โรมใจดีจนน่ากลัว........” 

ผมชิงปิดปากคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากตัวเองก่อนที่เขาจะได้ถามว่าความใจดีจนน่ากลัวมันคืออะไร หากก็แค่จูบหยอกแบบลูกแมวเวลาเลียนมแล้วผละออกมาคุยกันต่อ 

“ชากลัวว่าความใจดีของพี่จะเหมือนระเบิดเวลา ช่วงแรกๆ ก็ไม่เป็นไรแต่พอทนไม่ไหวก็ตูมออกมาทีเดียวแล้วก็หายไปจากชีวิตชาตลอดไป.......”

“คิดเยอะอีกแล้ว”

“ก็ต้องเยอะสิ.... เพราะชารักพี่โรม อยากอยู่กับพี่โรมไปนานๆ ยิ่งรักมากก็ยิ่งคิดเยอะมากตามไปด้วย” 

ผมพูดในสิ่งที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีอยู่แล้วแต่อาจเข้าใจไม่ตรงกัน ถึงจะชอบแกล้งทำเป็นดุบังหน้า แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมแอบรู้สึกว่าพี่โรมเห็นว่าผมเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะจนอ่อนไหวง่ายและเปราะบางกว่าคนทั่วไป เขาถึงค่อนข้างยอมตามใจผมแทบทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่อยากเอาเปรียบพี่โรมด้วยการทำตัวปวกเปียกให้เขาต้องคอยประคับประคองอยู่ตลอดเวลา และไม่อยากให้เขาคิดว่าผมอ่อนแอจนความรักของเราถูกผูกติดเอาไว้ด้วยความสงสาร 

“เรื่องไหนที่พี่โรมไม่โอเค พี่ปฏิเสธชาบ้างก็ได้นะ บอกกันตรงๆ เลย ไม่ต้องตามใจชาทุกเรื่องหรอก”

สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือความรัก อยากให้เราสองคนอยู่ด้วยกันเพราะรัก ไม่ใช่เห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นภาระที่ปล่อยวางไม่ได้

“สำหรับชา พี่โรมไม่ใช่แค่แฟนที่คบกันแก้เหงาไปวันหนึ่งๆ แต่พี่คือคนสำคัญที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันไปอีกหลายสิบปีหรืออาจจะชั่วชีวิต.... ชาไม่ได้อยากเรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ ให้พี่โรมทุ่มเททำทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียว แต่ชาอยากเป็นฝ่ายให้และคอยดูแลพี่โรมบ้าง”

“เพราะฉะนั้น ถ้าหากพี่โรมเหนื่อยหรือเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วก็บอกชาได้นะ ถึงชาจะบ้าๆ บอๆ ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่ชาก็เป็นที่พึ่งให้พี่ได้เหมือนกัน........”

ปลายนิ้วของผมสอดประสานเกาะเกี่ยวกับมือของพี่โรม ดวงตายังคงสบมองลูกแก้วสีเข้มซึ่งสะท้อนภาพตนเองกลับมาไม่เว้นวาง.... คนอย่างทิชา ทิชนันท์ ถึงใครจะมองว่าข้างในพังยับเยิน หัวใจไม่สมประกอบมากแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อคนที่รักมากที่สุดอย่างพี่โรมแล้ว ผมก็พร้อมจะถีบตัวเองขึ้นมา ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นและอยู่เคียงข้างเขาให้ได้.... ไม่ต้องมองเห็นกันตลอดกันเวลา ไม่ต้องเรียกหาทุกชั่วโมง ไม่ต้องเอาเชือกมาผูกตัวเราติดกัน แค่รับรู้ว่าใจเราอยู่ตรงนี้ ความรักของเราอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว

พี่โรมจับตัวผมให้นอนหงายแล้วตามขึ้นมาทาบทับ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบก่อนที่พี่โรมจะจูบหน้าผากและแก้มผมดังฟอด

“เรานี่ที่สุดของที่สุดเลยว่ะ”

“หือ.... ที่สุดยังไง? อะไรที่สุด?” 

ผมย้อนถามด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจทั้งความหมายคำพูดและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของร่างสูง

“ก็น่ารักที่สุดไง” 

พี่โรมบอกเฉลยพลางฝังปลายจมูกลงกับซอกคอผมแล้วนิ่งค้างไปเสียเฉยๆ เหมือนเครื่องดับ ตอนแรกผมนึกว่าเขาคงจะแค่แกล้งหยอดแกล้งพูดชมให้ผมเขินเล่นเหมือนอย่างเคย หากประโยคถัดมาก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกนั้นลึกซึ้งและสำคัญเพียงไหน 

“ทิชารู้ไหมว่าไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับพี่เลยนะ.... ปกติมีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ แต่เวลาที่พี่อยากให้พวกเขาช่วยบ้างก็มีแต่คนเดินหนี สุดท้ายคนที่พึ่งได้ก็มีแค่ตัวเองนี่แหละ”

ผมยกแขนขึ้นโอบรอบคอร่างสูง กอดเขาเอาไว้อย่างนั้นด้วยความเต็มใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าผมคือคนแรกและคนเดียวที่จะสามารถเป็นโอเอซิสให้พี่โรมได้ หัวใจก็พองฟูยิ่งกว่าบอลลูนบรรจุจำนวนความรักซึ่งยกกำลังไม่รู้จบลอยล่องไปบนท้องฟ้าซึ่งเปลี่ยนจากสีเทาครึ้มฝนเป็นสีชมพูสดใส

“พี่โรมมีชาแล้วนะ อย่าลืมสิ.........” 

ผมบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม 

“ถึงไหล่จะไม่กว้าง อกจะไม่หนา นมจะไม่ใหญ่ แต่ก็ให้พี่โรมใช้เป็นที่พักกายพักใจได้เสมอ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกตัวขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วยาวล้วงเข้าไปในคอเสื้อชุดนอนของผมแล้วดึงสายสร้อยหนังสีดำออกมา จี้รูปเฟืองสีทองแดงอันเดิมสะท้อนแสงไฟอยู่ตรงหน้าเราสองคน.... แม้ระยะเวลาเกือบสองเดือนอาจฟังดูไม่นานในความรู้สึกของใครหลายๆ คน หากสำหรับผมกับพี่โรมแล้ว กว่าที่เกียร์ของเขาจะกลายมาเป็นของผมอย่างสมบูรณ์ กว่าที่เราจะได้มาอยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก มันช่างยาวและยากลำบากมากเหลือเกิน

“พี่คิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจยกเกียร์อันนี้ให้ทิชา........”

“จริงเหรอ?”

“อืม..... ต้องเป็นทิชาคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ทิชาของพี่ก็ไม่มีใครที่คู่ควรกับมันอีกแล้ว” 

หากเป็นก่อนหน้านี้ ความอ่อนไหวและนิสัยชอบมองโลกในแง่ร้ายคงเตือนให้ผมเผื่อใจเอาไว้ว่าบางทีพี่โรมก็อาจจะแค่พูดเอาใจไปอย่างนั้น หากในวันนี้ ความรู้สึกทุกอย่างระหว่างเรามันชัดเจนมากขึ้น สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นจากรอยน้ำตารัดรึงหัวใจเราให้แนบชิดกันจนไม่เหลือที่ว่าง และผมก็พร้อมที่จะเชื่อคำพูดของพี่โรมอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ 

“เกียร์อยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่นั่น..... ประโยคนี้พี่ไม่ได้พูดเอาเท่นะ แต่พี่หมายความตามนั้นจริงๆ และพี่ก็อยากให้ทิชาเชื่อ”

ทว่า ภายใต้ความเชื่อมั่นที่พี่โรมมอบให้มันกลับแฝงเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่าง คล้ายกับพายุมรสุมซึ่งมักจะถาโถมเข้ามาหลังจากคลื่นลมสงบ แต่ผมก็เลือกที่จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกระแสน้ำที่ไหลวนบ้าคลั่งอยู่ภายในแววตาอีกฝ่ายและอยู่กับความเชื่อที่ว่าพี่โรมรักผมมากขนาดนี้ เขาจะไม่ทำให้ผมกลับไปเป็นเศษขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน


“ไม่ว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พี่พูดไปเมื่อกี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง.... พี่อาจจะดูโง่หรือทำตัวเข้าใจยากไปบ้าง บางทีก็ชอบคิดทำอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย แต่พี่บอกว่ารักทิชาแล้วก็คือรัก.........”

“อืม.... ชารู้ว่าพี่โรมจะไม่โกหก.....ชาเชื่อพี่โรมนะ.......”




BEE-BEE’s PART



“น้องบีบี๋ ทำไมไม่กินอะไรเลยล่ะ ไม่หิวเหรอ?”

คนที่ขึ้นมาบนห้องพักในตึกด้านหลังเบอร์ลิคตอนเกือบๆ ตีสองก็คือพี่แจ็ค เขามองถาดพิซซ่าที่เฮียรุจสั่งมาให้ผมตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแล้วก็เอ่ยถาม เพราะปริมาณของมันไม่ลดลงเลย มีแปดชิ้นอย่างไรก็ยังคงเหลือแปดชิ้นอยู่อย่างนั้น รวมถึงพวกของกินเล่นอย่างขนมปังกระเทียม ไก่บาร์บิคิวก็ไม่มีร่องรอยการแกะกล่องเปิดออกมาดูเลยด้วยซ้ำ

“ไม่อยากกิน ไม่มีอารมณ์จะกิน”   

ผมตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกสมุดวาดรูปเล่นของตัวเอง ไอ้หิวน่ะก็หิวอยู่ หิวมากด้วย เพียงแต่พอนึกถึงเจ้าของเงินค่าพิซซ่าก็พาลให้รู้สึกผะอืดผะอมไม่อยากกินขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เดี๋ยวเฮียรุจขึ้นมาเห็นก็เป็นเรื่องอีก.... วันนี้เฮียแกอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ ไอ้เซียนบอลวิทยุมันฟันธงถูกหลายคู่ เฮียต้องจ่ายลูกค้าเป็นล้าน”

ในใจผมคิดว่า ‘อ๋อเหรอ แล้วไงต่อล่ะ?’ แบบไม่แยแสว่าคนเป็นเจ้าหนี้จะเส้นเลือดในสมองแตกตายไปแล้วหรือยัง ประเด็นก็คือผมรู้ว่าเฮียรุจไม่ได้อารมณ์เสียเรื่องโต๊ะบอลหรอก แต่เขาหงุดหงิดเพราะอดีตรุ่นน้องคนสนิทหมายเลขหนึ่งมาคุยกับผมเรื่องช่วยปลดหนี้ที่มหาลัยเมื่อตอนบ่ายต่างหาก

“เมื่อไรจะพาบี๋ไปส่งบ้านสักที?” 

ผมทวงถามถึงสิ่งที่เฮียรุจรับปากแต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำตามที่พูด ก็ไม่ได้อยากจะกดดันพี่แจ็คหรอกนะ แต่เพราะเขาเป็นคนที่รับคำสั่งจากเจ้าของเบอร์ลิคทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมโดยตรง เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหรือฝากบอกอะไรก็ต้องผ่านทางพี่แจ็คคนดีคนเดียวนี่แหละ 

“จะตีสองแล้ว หม่าม้าบี๋ก็โทรตามไม่หลับไม่นอน.... บี๋บอกหม่าม้าไปแล้วว่าวันนี้จะกลับบ้าน ถ้าเฮียรุจไม่ยอมให้พี่แจ็คไปส่ง บี๋จะได้ออกไปโบกแท็กซี่กลับเอง”

“งั้นรออยู่นี่ก่อน พี่จะลงไปถามให้”


“ไม่ต้อง!”


ยังไม่ทันที่พี่แจ็คจะหันหลังกลับลงบันไดไป เสียงตวาดก็ดังสวนขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ใบหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์วัดแจ้งก็มาโผล่อยู่ตรงประตู.... ปกติแล้วเฮียรุจเป็นพวกที่สีหน้าไม่ค่อยเปลี่ยน ไม่ว่าจะสั่งเหล้าเลี้ยงวันเกิดเด็กในร้านหรือสั่งกระทืบคนก็มักจะมีสีหน้าแบบเดียวกันคือยิ้มเยาะกวนส้นตีน ดังนั้น สถานการณ์ตรงหน้าจึงถือว่าอันตรายอยู่พอสมควร

แม้ผมจะกลัวเจ็บกลัวตาย แต่ผมก็เบื่อกับการตกอยู่ในสภาพเดียวกับลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดตามใจแต่เฮียรุจเต็มที....

“วุ่นวายเหี้ยอะไรนักหนาวะ.... กูบอกให้รอเฉยๆ มึงก็ต้องรอ อย่ามาทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก!!”

เฮียรุจมาถึงก็ชี้หน้าผมด่าเสียงลั่น ผมเห็นพี่แจ็คส่งสัญญาณมือบอกให้เงียบ อย่าดื้อ อย่าเถียง อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเป็นอันขาด แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเบื่อที่จะต้องคอยรองรับอาการผีเข้าผีออกแบบนี้ ที่สำคัญก็คือเฮียรุจเป็นคนพูดเองว่าวันนี้เขาจะปล่อยผมกลับบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมาเกือบอาทิตย์

“บี๋ไม่ได้วุ่นวาย แค่จะถามว่าเฮียรุจจะให้ใครไปส่งบี๋กลับบ้านหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร บี๋เรียกรถกลับเองได้”

“กูไม่ให้มึงกลับ!”

“แต่เมื่อวานเฮียบอกว่าจะให้บี๋กลับ” 

ผมมองหน้าเฮียรุจซึ่งกำลังเกรี้ยวกราดได้ที่ พยายามซ่อนความกลัวเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

“บี๋เป็นลูกหนี้เฮียก็จริง แต่บี๋ก็ยังมีบ้าน มีพ่อแม่ที่ต้องกลับไปนะ เผื่อเฮียจะลืมว่าเขาเลิกทาสกันไปเป็นร้อยปีแล้ว สมัยนี้เขาไม่มีทาสขัดดอกกันแล้ว.... โอ๊ย!!!”

“กูบอกว่าไม่ให้กลับก็คือไม่ให้กลับ หรือมึงจะลองดีกับกู!?”

ขากรรไกรผมถูกบีบจนลั่นเปรี๊ยะ เสียงพูดเมื่อครู่กักอยู่ในลำคอพร้อมๆ กับที่ความเจ็บปวดแล่นจากจุดเกิดเหตุไปจนถึงกะโหลกศีรษะ ร่างกายผมสั่นสะท้านยามเมื่อสบสายตามองดวงตาสีเข้มซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือดอย่างสัตว์ร้าย.... สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ย้อนกลับมาตรงจุดเดิมคือผมเป็นฝ่ายแพ้ ผมเป็นเบี้ยล่างของเขา และผมกลัวเฮียรุจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

และถ้าคิดว่าความซวยของผมมันจะจบแค่นั้นก็ผิดมหันต์....


“อุก!”

เฮียรุจจับผมเหวี่ยงไปกระแทกกับขอบเตียง ข้าวของอุปกรณ์วาดรูปบนโต๊ะที่ยังไม่ได้เก็บกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น.... กระดูกชายโครงของผมเจ็บร้าวจนได้แต่นิ่วหน้างอตัวอยู่กับที่ ไม่ได้อยากสำออยทำเป็นร้องไห้ให้ใครเห็นเลยสักนิด เพราะผมมันตัวเหี้ย ถึงร้องไปก็ไม่มีใครสงสาร แต่น้ำตามันดันไหลออกมาเองแบบช่วยไม่ได้

เท้าใหญ่ซึ่งหุ้มด้วยด็อกเตอร์มาร์ตินทรงคอมแบทเตะกล่องพิซซ่ากระเด็นไปชนอีกมุมห้อง เพียงแค่เห็นสภาพของที่ถูกเตะแล้วนึกตามว่าถ้านั่นคือหัวหรือท้องผมก็ไม่ต้องเรียกรถพยาบาลให้เสียเวลา แต่เรียกรถร่วมกตัญญูพาไปส่งวัดได้เลย

“แล้วนี่อะไรอีก.... ซื้อให้แดกทำไมไม่แดก จะกวนตีนกูหรือไง!?”

“บี๋ไม่กิน.......ฮึก........บี๋จะกลับบ้านแล้ว.............” 

ผมยังคงยืนยันคำเดิม ในเมื่อจะอยู่หรือไปก็เจ็บพอๆ กัน งั้นผมก็ขอไปตายเอาดาบหน้าที่อื่นดีกว่าจะให้เขาเหยียบย่ำระบายอารมณ์จนเละเหมือนกล่องพิซซ่านั่น แต่ก็อย่างที่บอกว่าความซวยของผมไม่มีทางจบลงง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมเป็นคนเรียกร้องเอาความซวยนั้นมาแขวนใส่คอตัวเอง 

“อื้อ........!!!”

ผมพยายามส่งเสียงร้องหากก็ทำได้เพียงตะเกียกตะกายหาอากาศหายใจ เมื่อเฮียรุจเอาพิซซ่าที่ตกพื้นมายัดใส่ปากผม ร่างสูงใหญ่นั่งคร่อมทับไม่ให้ขยับหนี มือข้างหนึ่งง้างปากผมให้อ้าออก มืออีกข้างก็ยัดแป้งแข็งเย็นชืดชิ้นใหญ่ๆ เข้ามาจนผมสำลัก.... ไม่ว่าจะปัดป้องดิ้นรนอย่างไรก็มีแต่ความอึดอัดทรมานสะท้อนกลับมาประหนึ่งบทลงโทษที่ผมหาเรื่องใส่ตัวด้วยการไปเอาเกียร์ของเขามา

“อุ๊บ!! แค่กๆๆๆ!!!!”

“เก่งนักใช่ไหม ยัดห่าเข้าไป!!!”

“เฮียครับ.... พอเถอะ อย่าไปทำน้องมันเลย” 

“มึงไม่ต้องเสือก ไอ้แจ็ค!” 

พี่แจ็คจะเข้ามาช่วยผม แต่พอเจอเฮียรุจหันไปตวาดจ้องตาขวาง เขาเองก็ไม่กล้าหือเช่นกัน 

“เล่นกับหมา หมาเลียปาก.... มันจะได้รู้สักทีว่ากูไม่ใช่คนที่มันจะมาเล่นหัวด้วยได้!!”

ในที่สุดเฮียรุจก็ยอมปล่อยมือ ผมคายพิซซ่าที่รสชาติอุบาทว์ที่สุดเท่าที่เคยกินมาทิ้ง สำลักกระอักไอจนแทบอ้วกก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างสุดที่จะอดกลั้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด น้ำตาไหลพรากเป็นทางก็ไม่ได้มีความหมายใดนอกเสียจากประจานความโง่เง่าของตัวเอง..... และเมื่อเฮียรุจตามมาจิกหัว ผมก็ได้แต่ยกมือไหว้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว ผมรู้แล้วว่าผมเคยทำไม่ดี แต่ผมก็ได้รับบทเรียนแล้ว......หนี้สองล้านกับบาดแผลทั้งทางกายและใจอีกนับไม่ถ้วน......ผมเจ็บมากเกินพอแล้ว...........

“อะไร แค่นี้กลัวเหรอ? ทีตอนมาขอเกียร์จากกูก็เห็นเก่งกล้าดีนี่”

“ปล่อยนะ........อย่าทำบี๋เลย.....ฮึก.........เจ็บ..........”

แววตาของเฮียรุจฉายแววยิ้มเยาะราวกับว่าการที่ผมร้องไห้อ้อนวอนเขาเป็นเรื่องน่าขำ ซึ่งมันก็น่าขำจริงแหละ เพราะในตอนนั้นผมโคตรจะมั่นหน้าเลยว่าเฮียโรมจะต้องซมซานกลับมาหาผม ไอ้ทิชาจะต้องยอมแพ้ผม และคนฉลาดอย่างผมคือผู้ที่อยู่บนชั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย

บีบี๋คือหมาขี้แพ้ที่น่าสมเพช ไม่เคยชนะใครแถมยังขุดหลุมฝังกลบตัวเอง.... เฮียโรมเขาไปมีชีวิตดีๆ กับไอ้ทิชาแล้ว เขารักกัน มีความสุขด้วยกันทุกวัน ในขณะที่ตัวผมนั้นเรียกได้ว่าย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี

“เจ็บมากนักก็ไปฟ้องไอ้โรมมันสิ ตะโกนเรียกให้มันมาช่วยเลย!!” 

เฮียรุจจี้ใจดำผมไม่หยุด เช่นเดียวกับที่มือของเขาจิกหนังหัวผมจนแสบไปหมด 

“คิดจริงๆ สินะว่าไอ้โรมมันจะมาช่วยมึง.... เงินตั้งสองล้านมันคงจะยอมจ่ายเพื่อช่วยคนจัญไรๆ อย่างมึงหรอก เลิกฝันเหอะ ไอ้โรมมันมีเมียใหม่ไปแล้ว ก็ทิชาเพื่อนรักมึงไง.... เห็นไหมว่าไม่มีใครเขาอยากได้มึง บีบี๋!”

ผมนึกถึงเฮียโรม นึกถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือของเขา แต่ก็อย่างที่เฮียรุจตอกย้ำให้ฟัง ผมเป็นคนทำร้ายเฮียโรมก่อน ผมเป็นคนทำให้เขาต้องหนีจากไปเอง ผมเปลี่ยนความรักใคร่เอ็นดูที่เคยได้รับให้กลายเป็นความโกรธเกลียด แล้วผมยังจะมีหน้าเรียกร้องขอรับน้ำใจจากเฮียโรมได้อีกเหรอ

“ทิชาที่มึงคิดจะกดหัวเขาเอาไว้ใต้ตีนก็เหมือนกัน เป็นไงล่ะ ตอนนี้เขาเป็นดาราไปแล้ว แถมยังได้ไอ้โรมไปนอนกกอีกต่างหาก.... แล้วคนเก่งแบบมึงมีอะไรเหลือบ้าง นอกจากคลิปตอนโดนเอาที่กูถ่ายไว้รอส่งให้ป๊าม้ามึงดู?”

นั่นสินะ.... ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากสัญญาทาสที่ทำไว้กับเฮียรุจ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือการชดใช้ หน้าที่ของผมในแต่ละวันก็คือถูกพาตัวมาขังไว้ในหอคอยเบอร์ลิค เป็นเครื่องมือเอาไว้ให้เฮียรุจใช้ระบายความป่าเถื่อนแบบที่เขาไม่สามารถทำกับคนอื่นได้.... ก็มีคนบอกอยู่เหมือนกันว่าเฮียรุจแม่งน่าสงสาร รสนิยมเรื่องเซ็กซ์ซาดิสม์ผิดมนุษย์มนาจนผู้หญิงกี่คนๆ ก็ทนอยู่ด้วยไม่ไหว จะไปตีกะหรี่ซื้อสาวไซด์ไลน์ก็น้อยคนที่จะอยากขาย ก็มีแค่ผมที่ต้องยอมทนมือทนตีนเพราะมีหนี้สองล้านค้ำคออยู่ เอะอะๆ ก็จะเพิ่มหนี้ พูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยก็ดีแต่ขู่ว่าจะเอาคลิปเปิดซิงของผมไปปล่อย

แล้วผมจะต้องทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดสองล้านจริงๆ เหรอ?

ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเฮียรุจไม่มีทางปล่อยผมไป

หนี้สองล้านนั่นไม่มีวันใช้หมดได้หรอก ตราบใดที่เฮียรุจยังใช้ผมตอบสนองความต้องการทางเพศของเขาได้ ต่อให้อดข้าวจนตาย ทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อเอาเงินสองล้านมากองให้ตรงหน้า ยังไงผมก็ไม่มีทางเป็นอิสระ

“กูสั่งให้มึงอยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่.... แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ มึงก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไปเลย!!”

ใช่แล้ว.... ผมยังมีทางที่จะหลุดพ้นจากเรื่องเหี้ยๆ นี่อยู่

ไม่มีใครช่วยผมได้ และไม่มีใครคิดที่จะช่วยผมจริงด้วย

ไหนๆ ตัวตนและชีวิตผมก็ฉิบหายมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็เอาให้มันพังพินาศไปให้หมดเลยก็แล้วกัน


ผมรวบรวมพละกำลังเฮือกสุดท้ายสะบัดตัวออกจากเงื้อมมือเฮียรุจ ทางออกสำหรับปัญหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมและผมก็กระโจนเข้าใส่มันอย่างไม่ลังเล.... หัวสมองว่างเปล่าเหมือนกระดาษขาวที่ผมชอบใช้วาดรูป ผมก็ยังเป็นสิ่งที่มีชีวิตชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารเช่นเดิม จะไม่มีใครสามารถทำอะไรผมได้อีกแล้ว แต่ถ้าจะมี คนๆ นั้นก็ต้องเป็นตัวของผมเอง

ร่างกายเบาหวิวลอยหวืออยู่ในอากาศ สายลมอบอ้าวปะทะผิวหน้า รู้สึกเย็นวาบนิดๆ ตอนที่มันกระทบโดนรอยคราบน้ำตาเกรอะกรัง หากก็แค่แปบเดียวเท่านั้นที่เท้าเหยียบไม่ติดพื้น.... เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการเลือกที่จะหนีมันง่ายกว่าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองแล้วพยายามแก้ไขเยอะเลย


“บีบี๋ กลับมานี่!!!”


และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลง

ผมเป็นอิสระแล้ว....

เสียใจด้วยนะ ผมไม่ขอกลับไปเป็นแบบเดิมให้โง่หรอก........


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
DAN’s PART



“ดีมากครับ แดน.... โพสต์ต่อเรื่อยๆ เลยครับ”

“ไหนลองหันอีกด้านแล้วเงยหน้าขึ้นนิดนึง แบบนั้นแหละครับ ใช่เลย ขออีกห้าช็อตนะครับ”

ผมหันไปหันมา เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยตามที่ช่างภาพสั่ง การเป็นเดือนคณะทำให้ผมต้องออกงานมหาวิทยาลัยค่อนข้างบ่อยก็เลยคุ้นเคยกับมุมกล้องและวิธีการโพสต์ท่าอยู่แล้ว แค่ทีมงานบรีฟคอนเสปท์และสไตล์ที่อยากได้ให้ฟัง นายดรัณภพก็พร้อมจัดเต็มให้ทุกอย่างที่ต้องการ



‘ใช้ได้เลยนะคะพระเอกคนนี้ ได้ยินมาว่าเริ่มมีงานอีเวนท์กับงานพรีเซนเตอร์ติดต่อเข้ามาแล้ว.... ไม่ทราบว่าคุณอิ๋วเตรียมงานชิ้นต่อไปให้น้องแดนหรือยังคะเนี่ย?’

‘ก็มีแพลนเอาไว้บ้างแล้วค่ะ แต่ต้องรอให้ละครเรื่องแรกนี้จบก่อน แล้วก็รอดูอีกทีว่าทางนิดาวัลย์กับลูกชายเขาจะว่ายังไง’

‘อ้าว นี่น้องทิชาไม่ได้ตอบตกลงจะเซ็นกับช่องเหรอคะ?’

‘ยังเลยค่ะ.... งานที่ติดต่อเข้ามาส่วนใหญ่ก็เป็นงานคู่ทั้งนั้น ถ้าทิชาไม่ไป แดนก็ไปไม่ได้เหมือนกัน พี่ก็เลยยังไม่ได้ตกปากรับคำงานนอกไป บอกว่าเด็กต้องเรียนการแสดงแล้วก็เดินสายโปรโมทละครให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่’

‘อันตรายนะคะ คุณอิ๋ว ถ้าช่องไม่จับเซ็น น่ากลัวโมเดลลิ่งจะมาขโมยเอาไปเล่นให้ช่องอื่น’

‘โมของคุณโรสเขาก็เล็งจะเอาแดนเข้าสังกัดอยู่ แต่คุณเธียรชัย ประธานบอร์ดช่องสั่งมาว่าเคสนี้ถ้าไม่เซ็นคู่ก็คือไม่เอาเลย พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง.......’



บทสนทนาระหว่างแม่อิ๋ว หัวหน้าผู้จัดละครกับสปอนเซอร์ที่มาดูงานทำให้รอยยิ้มมาดเท่บนหน้าผมหายไปแต่ก็แค่ไม่กี่วินาที.... อันที่จริงก็ได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าทิชาไม่ยอมเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง กะว่าเล่นแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วเลิก พี่โรสเจ้าของโมเดลลิ่งที่พี่ปายสังกัดอยู่ก็เลยมาจีบผมให้ไปอยู่กับเขาแทนเพราะไหนๆ ก็คงไม่ได้เซ็นกับช่องแล้ว เป็นอันว่าหลังจากจบงานนี้ ผมกับทิชาก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก แล้วก็ควรจะเป็นแบบนั้นตลอดไป....

ผมงี่เง่าเองที่ดื้อด้านจะสอยดาวลงมาจากฟ้า แต่กลับกลายเป็นสอยลงมาให้คนอื่นคว้าไปเชยชม ส่วนตัวเองก็ทำได้แค่ยืนมองเขารักกัน แตะต้องไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น.... จะตอบรับด้วยรอยยิ้มจอมปลอมก็แสนยาก จะผลักไสออกไปเลยก็กลายเป็นว่าผมใจร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำกับทิชาดูเหมือนว่าจะผิดพลาดบิดเบี้ยวได้เสมอต้นเสมอปลายจนน่าโมโห

แม้กระทั่งจะเกลียด หัวใจแม่งยังไม่ยอมให้เกลียดเลย


“ทิชาตั้งใจหน่อยลูก!”

“เวลาแดนโน้มต้วเข้าไปหาไม่ต้องเกร็งสิครับ อันนี้น้องทื่อมากเลย สีหน้าก็ยังไม่ผ่าน.... แค่ถ่ายช็อตภาพนิ่ง ไม่ได้บรีฟให้จูบ ไม่ต้องกลัวโดนปากหรอกครับ”

“ขอโทษครับ.............”

งานที่ทำมาอย่างราบรื่นสะดุดทันทีที่เปลี่ยนจากถ่ายเดี่ยวมาเป็นถ่ายคู่ เมื่อกี้ก็ยังดีๆ อยู่แต่เข้าใกล้ผมปุ๊บ ทิชาก็กลายสภาพจากมนุษย์ธรรมดาเป็นปลาตายแข็งทื่อทันที.... แม้ช่างภาพจะสั่งแล้วสั่งอีก แต่ทิชาก็ยังเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นคอทุกครั้งที่เราต้องอยู่ใกล้กัน ก็ช่วยไม่ได้ที่ทีมงานจะเริ่มหัวเสียแล้วกดดันเจ้าตัวมากขึ้น

“ทิชา หายใจลึกๆ อย่าเกร็งแขนค่ะลูก”

“ท่าดีแล้วแต่สีหน้าไม่ได้เลยครับ ทิชายิ้มหน่อย อย่าหลบตาแดน.... โธ่ เจอกันในเวิร์คช็อปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เลิกเขินกันอีกเหรอ”

ถ่ายใหม่ครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม ครั้งที่สามและสี่ก็ด้วย ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะทิชาคงรู้สึกอายที่จะต้องมาแสดงท่าทางรักใคร่กับผู้ชายด้วยกัน คงมีแค่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าไอ้อาการกระอักกระอ่วน ตัวเกร็ง หน้าแข็ง ยิ้มฝืดนั้นไม่ใช่เพราะอายหรอก แต่ทิชามันกลัวผมต่างหาก.... และตอนนี้ก็คงฝังใจไปแล้วว่าผมพยายามจะหักคอมันด้วยมือเปล่า หรือไม่ก็สาปแช่งให้มันเลิกกับเฮียทุกครั้งที่เจอหน้า

เสียงช่างกล้องกับแม่อิ๋วยังคงลอยมากำกับท่าทางที่อยากได้แต่ทิชาไม่ยอมจัดให้ แววตาเหมือนกระต่ายเจอเสือของมันกำลังทำให้ผมหมดความอดทน แล้วก็อดพาลไม่ได้ว่าทีกับเฮียโรม ทิชาแม่งตามใจทุกอย่าง ทีกับผม แค่จะแตะนิดจะหน่อย ทำไมจะต้องทำตัวมีปัญหาเหมือนรังเกียจกันตลอด

แต่มันควรจะรู้ได้แล้วว่าที่นี่ไม่มีเฮียโรม ที่นี่มีแค่ไอ้แดนคนที่มันไม่เคยเห็นหัว ต่อให้ฝืนใจไม่อยากมองหน้าผมแค่ไหนก็ต้องทำ....!

“ถ้าไม่ไหวก็เบรคไปพักบิวท์อารมณ์ก่อน......อะ อ้าว เฮ้ยยยย!!!”

ยังไม่ทันที่ตากล้องจะสั่งแยกย้ายได้จบประโยค ผมก็คว้าไหล่ทิชาเอาไว้ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินหนีไป ริมฝีปากผมประกบลงบนกลีบปากสีสดที่อยู่ตรงหน้า บดขยี้สัมผัสนุ่มหยุ่นซึ่งมาพร้อมกับรสชาติหอมหวานเจือขมราวกับดาร์กช็อกโกแลต.... แค่เริ่มก็คล้ายก้าวขาเข้าไปในเขาวงกต ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นและติดอยู่กับความทรมานแสนหวานเช่นนี้ตลอดไป

“อื้อ........!”

รอบข้างมีแต่คนตะลึงจนอ้าปากค้างพูดไม่ออก ผมเองก็รับรู้ได้เพียงแรงต่อต้านจากร่างบางซึ่งดูท่าว่าจวนเจียนหายใจไม่ออก ทิชาผละออกเพื่อสูดอากาศเข้าปอดแต่ก็โดนผมรั้งท้ายทอยให้กลับมารับจูบเร่าร้อนเช่นเดิม มิหนำซ้ำ ผมยังฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปในตอนที่อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากหอบหายใจอีกด้วย

ก็เอาให้คุ้มกับที่มันทำเสมือนว่าผมเป็นงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่จะฉกมันตายได้ทุกเมื่อนั่นแหละ....

“เฮ้ยๆๆ ไอ้น้องแดนครับ.....พอแล้ว......สั่งแยกแล้วครับ แยกๆๆๆๆ!!”


ผมยอมปล่อยทิชาก่อนที่ผู้คนในสตูดิโอถ่ายภาพทีเซอร์จะแตกตื่นเพราะฉากเลิฟซีนซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมากไปกว่านี้ ทีมงานหลายคนวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจับเราแยกออกจากกันอย่างกับว่าผมเพิ่งก่ออาชญากรรมร้ายแรงกับคนตรงหน้าไปหมาดๆ.... ร่างเล็กหน้าแดงก่ำจ้องมองค้อนผมตาคว่ำพลางยกหลังมือขึ้นเช็ดปากตัวเองแรงๆ ท่าทางเหมือนอยากด่าผมเต็มแก่แต่ก็คีปลุคไม่กล้าพ่นคำหยาบต่อหน้าผู้ใหญ่ ประหนึ่งแฟลชแบ็คย้อนกลับไปในห้องเชียร์รวมงานเฟรชชี่ที่ผมหอมแก้มทิชาต่อหน้าเพื่อนทั้งรุ่นและรุ่นพี่อีกเกือบครึ่งมหาวิทยาลัย

ไม่น่าเชื่อว่าปีกว่าๆ ผ่านไป ผมก็ยังยืนอยู่ตรงที่จุดเดิม....


“แดน ตายแล้ว.... ทำอะไรลงไปเนี่ยลูกเอ๊ย!!??”

แม่อิ๋วสอบปากคำผมยกใหญ่ คงจะตกใจมากทีเดียวที่อยู่ดีๆ นายเอกเด็กเส้นสุดรักสุดหวงก็โดนประกบปากแบบไม่มีคิวล่วงหน้า รับรองว่าถ้าหากผมไม่ได้เป็นพระเอกมีหวังถูกด่าเปิงหรือไม่ก็ไล่ตะเพิดออกนอกสถานีไปแล้ว

“ก็เห็นทิชาเขาทำท่าเหมือนกลัวว่าจะโดนจูบ ผมก็เลยจูบๆ ให้มันเสร็จไปซะจะได้ไม่ต้องกลัวอีก......” 

ผมอธิบายหน้าตายพลางชำเลืองสายตามองไปยังคู่จิ้นและคู่เวรคู่กรรมของตัวเองซึ่งยังยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ 

“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่านะครับ บางทีใครบางคนแถวนี้อาจจะโดนจูบฟรี”

“มันจะไปใช้ได้ได้ยังไงคะลูก ทางบ้านทิชาเขาอุตส่าห์กำชับมาว่าไม่ให้ฉากเลิฟซีนเยอะเกินไป.... ที่สำคัญคือละครฉายสองทุ่มนะ ไอ้ที่เราจูบเพื่อนไปเมื่อกี้น่ะเรทฉ.ชัดๆ!”

ยิ่งได้ยินที่แม่อิ๋วโวยวาย ทิชาก็ยิ่งหน้าแดงแปร๊ดคล้ายลูกเชอร์รี่ที่กำลังจะระเบิดตู้ม เมื่อกี้ก็คงเห็นกันทั้งสตูดิโอแล้วว่าผมไม่ได้แค่เอาปากชนปากธรรมดา แต่จงใจสอดลิ้นทับรอยซึ่งเคยมีคนตีตราแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้แล้ว.... แน่นอนว่าไอ้ทิชามันไม่มีทางแฮปปี้กับเรื่องนี้หรอก เพียงแต่ผมก็อยากรู้ว่าระหว่างถูกผมจูบกับถูกทับรอยเฮียโรม มันจะไม่แฮปปี้เรื่องไหนมากกว่ากัน

“แต่พูดก็พูดเถอะ เอาจริงๆ ช็อตเมื่อกี้มันก็ใช้ได้นะ ถ้าคุณอิ๋วโอเค.... ผมว่าดีกว่าไอ้ที่เราถ่ายมาเจ็ด-แปดรอบนั่นอีก”

“ใช้ได้เหรอ? ไหนขอพี่ดูหน่อย” 

แม่อิ๋วรีบเข้าไปดูมอนิเตอร์ตามที่พี่ช่างภาพบอก จากทีสีหน้าตื่นตระหนกก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพึ่งพอใจหลังจากได้เห็นรูปที่กล้องจับไว้

“ถ้าใช้รูปช็อตนี้ก็จะได้มุมเอียงด้านข้างพอดี มือไอ้เจ้าแดนก็จะบังด้านล่างของทิชาเลยไม่เห็นช่วงปาก ท่าโพสต์กับปลายนิ้วที่ล็อคด้านหลังคอทิชาก็โอเค.... แล้วฟีลลิ่งตบจูบแบบนี้ถึงจะไม่ตรงกับคอนเสปท์ละครเสียทีเดียวแต่แฟนคลับสาวๆ ส่วนใหญ่เขาก็ชอบกัน ยังไงนี่ก็แค่ทีเซอร์สำหรับโปรโมทช่วงรอเปิดกล้องอยู่แล้ว รูปนี้อาจจะเป็นไวรัลให้คนมาติดตามละครเพิ่มขึ้นก็ได้”

“อืม มันก็จริงแหละ” 

พอเกริ่นมาแนวนี้ ผมกับทีมงานก็รู้แล้วว่าแม่อิ๋วเริ่มเอนเอียงอยากจะใช้รูปช็อตจูบในการโปรโมทแทนที่จะเป็นช็อตหยอกล้อกุ๊กกิ๊กกันธรรมดา ตามประสาคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานาน งานแบบไหนถึงจะเป็นกระแส งานแบบไหนทำแล้วจะดังเปรี้ยงทำไมแม่อิ๋วจะไม่รู้ เขาก็แค่ทำเป็นอยากขายจนออกนอกหน้าไม่ได้เพราะเกรงใจนามสกุลพ่อทิชานั่นแหละ 

“ถ้าอย่างนั้นคุณกบก็เก็บรูปไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวถ่ายซ่อมรอบบ่ายแล้วเราค่อยมามีตติ้งกันอีกทีว่าจะใช้รูปไหน”

“ตามนั้นครับ”

“คุณก้อยปล่อยเด็กๆ ไปพักทานข้าวเลยจ้ะ บ่ายโมงครึ่งเรียกภัทรกับปายมาถ่ายต่อเลย.... อ้อ แล้วก็เด็กคนไหนที่ไม่มีคิวถ่ายทีเซอร์วันนี้ เข้าคลาสแอคติ้งเสร็จก็ให้กลับได้”

พอได้สัญญาณปล่อยพักช่วงมื้อเที่ยง ทิชาก็หันหลังเดินออกนอกห้องซึ่งใช้เป็นสตูดิโอถ่ายทีเซอร์ไปเลย หลบลี้หนีหน้าคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระเอกของตัวเองจนเริ่มมีเสียงซุบซิบหนาหูว่าผมกับทิชาไม่ถูกกัน กว่าละครจะถ่ายจบคงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกัดลิ้นตายไปเสียก่อน



ผมเจอพี่ปายในห้องประชุมเล็กซึ่งจัดไว้เป็นที่สำหรับทานข้าวและนั่งพักผ่อนสำหรับนักแสดง เขารอผมอยู่ตรงโต๊ะที่เรานั่งด้วยกันจนกลายเป็นที่ประจำด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก.... ผมพอจะเดาออกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะคุยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องอื้อฉาวที่เพิ่งเกิดขึ้นในสตูดิโอเมื่อครู่ นับตั้งแต่วันที่พี่ปายพูดอ้อมๆ แต่ทำให้เข้าใจชัดเจนว่าเขาชอบผมจริงจังไม่ใช่แค่หวังให้มาเป็นคู่จิ้น เขาก็อ่อนไหวต่อท่าทีของผมมากขึ้น แม้จะพยายามรักษาฟอร์มด้วยความที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่กว่า หากในหลายๆ ครั้งผมก็จับได้ว่าเขาแอบน้อยใจปนอิจฉาที่ทิชาได้เป็นนายเอกของผม แทนที่จะเป็นเขาอยู่ดี

“แดน.........” 

ทันทีที่ผมนั่งลง พี่ปายก็ขยับเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งแตะแขนผมพลางช้อนสายตามองหน้าอย่างต้องการคำตอบ 

“พี่ได้ยินพวกพี่ๆ ข้างนอกเขาพูดกันว่าแดนจูบทิชา นี่เรื่องจริงเหรอ? ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย?”

“ก็ไม่มีอะไร.... ถ้าผมไม่จูบๆ ไปซะให้มันหมดเรื่องก็ต้องถ่ายอยู่อย่างนั้น เมื่อไรจะเสร็จก็ไม่รู้ น่ารำคาญ”

ร่างโปร่งบางหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสุดท้าย แม้ว่าผมจะไม่ได้หมายความถึงเขาก็ตาม

“แต่นั่นมันจูบเลยนะ........” 

น้ำเสียงพี่ปายแผ่วลง รอยยิ้มซึ่งสดชื่นอยู่เสมอของเขาก็พลันจืดจางลงเช่นกัน 

“แล้วที่เขาพูดกันนั่นน่ะ......เห็นว่าแดนไม่ได้แค่จูบธรรมดา........แต่แดน.......เอ่อ.............”

“ก็แค่จูบครับ”

“แค่จูบจริงๆ เหรอ? ไม่ได้ทำมากกว่านั้นใช่ไหม?”

“มากกว่านั้นที่ว่าคืออะไรล่ะครับ?” 

ผมเลิกคิ้วย้อนถามกลับคนช่างซัก รู้ตัวดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เรียกว่าโกหกตอแหลหน้าตาย แต่ในเมื่อตอนนี้ทิชากับผมไม่ได้มีความสัมพันธ์มากเกินไปกว่าเพื่อนร่วมงาน ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจะมีความหมายสลักสำคัญนักหรอก 

“แค่เอาปากชนปากต่อหน้ากล้องกับคนอีกเป็นสิบ ผมไม่อยากเรียกว่าจูบด้วยซ้ำ........”

“จริงนะ?”  พี่ปายยังคงแคลงใจไม่หาย หากใบหน้าสวยก็เริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

“ไม่จริงมั้ง”  ผมแหย่เขา

“แดนบ้าว่ะ แกล้งพี่อยู่ได้!”

หลังจากนั้น ผมกับพี่ปายก็ไม่ได้ติดใจสงสัยที่มาที่ไปของฉากจูบนอกคิวอีกเลย ระหว่างที่เราไปหยิบเอาข้าวกล่องมื้อเที่ยงมานั่งกินด้วยกัน บุคคลที่สามซึ่งกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาประจำวันก็คือทิชา ด้วยความที่เจ้าตัวมักจะมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องซ้อมบทหรือถ่ายอะไรบางอย่างคู่กับผม พี่ปายก็เลยเหมาเอาว่าทิชาเป็นฝ่ายทำให้งานของผมยุ่งยาก.... แม้จะไม่ได้พูดตำหนิออกมาตรงๆ ว่าไม่ชอบ แต่ผมก็มองออกว่าการมีอยู่ของทิชานั้นคงรบกวนหัวใจพี่ปายมากเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่แยกกันเมื่อกี้ ผมก็ยังไม่เห็นทิชาอีกเลย.... คู่จิ้นสวรรค์สาปของผมไม่รู้หายหัวไป ข้าวปลาก็ไม่ยอมมากินให้เรียบร้อย สงสัยว่าจะไปนั่งหลบมุมข้างบันไดหนีไฟคุยโทรศัพท์อี๋อ๋อกับเฮียโรมตามเคย ดีไม่ดีป่านนี้คงฟ้องญาติผู้พี่ผมจนหมดแล้วมั้งว่าโดนทำอะไรไปบ้าง

“ถึงพี่จะเคยบอกว่ามันคืองานของแดน จะพยายามไม่คิดมากเรื่องที่แดนกับทิชาจะต้องใกล้ชิดกันก็เหอะ แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันจะดีเหรอ ถ้าทิชาเขายังปรับตัวให้เข้ากับการทำงานไม่ได้แล้วแดนจะต้องมาช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งน่ะ”

“ผมก็แค่ทำให้งานมันเดินต่อไปได้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากอะไร.......” 

ก็อย่างที่บอกว่าทำได้แค่เอาปากชนกัน แม้กระทั่งตัวเองยังไม่อยากเรียกว่าจูบแล้วจะมองให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม

“แดนไม่รู้สึกว่าลำบากก็ใช่ แต่ถ้าทิชาเขาเกิดทำไม่ได้ขึ้นมาอีก แดนก็ต้องช่วยเขาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ.........”

“หรือพี่ปายกลัวว่าพอทิชาโดนผมจูบแล้ว เขาจะเปลี่ยนท่าทีจากเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สนใจใครมาชอบผมเข้าจริงๆ ?” 

เมื่อพี่ปายไม่ยอมจบ ผมก็เลยหันไปพูดกับเขาตรงๆ ยอมรับเลยว่าหัวเสียนิดหน่อยที่เขาพูดเหมือนกับว่าความรู้สึกของคนเราสามารถเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ กับคนอื่นน่ะผมไม่รู้ แต่กับผมมันไม่ง่ายและไม่เคยง่าย เพราะมันก็เห็นๆ กันอยู่ว่าทิชาไม่เคยสนใจใยดีผมเลย


“ถ้าใช่ งั้นผมขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าสิ่งที่พี่คิดมันจะไม่เกิดขึ้นหรอก.... ทิชาไม่เคยคิดกับผมเกินคำว่าเพื่อนร่วมโลก พี่ไม่เห็นเหรอว่าถ้าไม่มีกล้องตามถ่าย หมอนั่นแทบไม่เคยพูดกับผมเลยสักคำ เอาแต่เดินหนีอย่างกับว่าผมแม่งเป็นตัวห่าอะไรสักอย่าง!”

พี่ปายนิ่งอึ้งไปหลายวินาที คงจะตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เหวี่ยงใส่เขา

“พี่ว่าพี่คงเยอะใส่แดนเกินไปหน่อย.... ขอโทษทีนะ ตัวพี่เองก็น่าจะรู้ว่าที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ก็เพราะเรื่องงานทั้งนั้น พี่ไม่น่าจุ้นจ้านคิดแทนใครเลย..........”

กลายเป็นว่าพี่ปายโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่มาวิพากษ์วิจารณ์ทำเป็นรู้ดีว่าผมไม่โอเคเรื่องทิชา ผมจะไม่พูดหรอกนะว่าไม่เป็นไรเพราะทุกสิ่งที่ได้ยินจากปากเขาเมื่อครู่มันทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้.... ปมเชือกในหัวใจยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเมื่อผมลากเอาพี่ปายมาติดบ่วงนรกด้วยอีกคน ผมตัดใจจากทิชาไม่ได้แต่ก็ไม่ปฏิเสธการเข้ามาของคนใหม่ แถมยังจับเขาลากถูลู่ถูกังไปบนถนนความรักแสนเฮงซวยที่เต็มไปด้วยหินกรวดกับขวากหนาม

อาจฟังดูเหี้ยไม่น้อย แต่ไม่มีใครอยากให้ตัวเองเป็นคนที่เจ็บที่สุดหรอก ใครมันจะอยากแพ้ในแพ้ แพ้ซ้ำแพ้ซ้อน ผมเองก็เหมือนกัน.... นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเก็บพี่ปายเอาไว้ข้างๆ โดยไม่บอกอะไรเขาเรื่องทิชาสักคำ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังฉิบหายไปหมด จะได้มีคนที่เจ็บกว่าคอยรองรับความรู้สึกของผมอยู่ไง

เก้าอี้อีกตัวหนึ่งถูกเลื่อนออก พระเอกเบอร์สองซึ่งผมไม่ค่อยถูกโรคกับความขี้เก๊กของมันถือวิสาสะนั่งลงข้างพี่ปายโดยไม่มีใครเชิญ

“ผมว่าพี่ปายไม่ต้องขอโทษแดนหรอก” 

แค่มานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ว่าเชี่ยมากแล้วนะ แต่ถึงขั้นมาเสือกเรื่องที่ผมกับพี่ปายกำลังคุยกันนี่เข้าขั้นจัญไรเลยทีเดียว

“หมายความว่าไงน่ะ ภัทร?”

พี่ปายหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่ถูกยัดเยียดให้มาเป็นคู่จิ้นของเขา หากก็แค่ในจอเหมือนผมกับทิชานั่นแหละ แต่ยัโชคดีกว่าตรงที่พี่ปายยิ้มแย้มอัธยาศัยดีกับทุกคนก็เลยไม่เคยเหวี่ยงใส่ไอ้ภัทรเวลาที่มันมาทำตัวเจ๊าะแจ๊ะเกาะแกะไม่เข้าท่า

“เท่าที่ผมดู ทิชาก็ไม่ได้แอคติ้งแย่เลยนะ ละครเรื่องนี้ก็งานแรกในวงการของเขาด้วย ผมเห็นตอนเรียนในคลาสกับตอนถ่ายฟิตติ้งก็ทำได้ดีออกจะตาย.... จะมีปัญหาก็แค่ตอนที่ทำงานคู่กับหมอนี่คนเดียว” 

ภัทรเว้นช่วงเมื่อพาดพิงถึงผม สายตายั่วโมโหที่จ้องมองมาชวนให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากกระแทกหมัดเข้าใส่ฉิบหาย 

“บางทีตัวต้นเหตุที่ทำให้งานสะดุดอาจจะไม่ใช่ทิชาก็ได้.......”

“หาเรื่องกูเหรอ ไอ้ภัทร?” 

อันที่จริง ผมไม่ได้สนิทกับไอ้ภัทรถึงขั้นจะขึ้นมึงกูกับมันหรอกนะ แต่ในเมื่อมันไม่ได้คิดจะมาดี ผมก็ขี้เกียจเสแสร้งรักษามารยาท

“กูแค่พูดไปตามที่เห็น” 

มันว่าพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อารมณ์ว่าไม่ได้ตั้งแต่จะกวนตีนแต่ก็บังเอิญกวนตีนไปแล้ว ช่วยไม่ได้ 

“ที่ทิชาเกรงใจไม่ค่อยกล้าคุยเล่นหัวกับคนในกองถ่ายก็พอเข้าใจได้นะว่าเพราะเขาถูกนินทาเรื่องเป็นเด็กเส้น แต่เวลาทำงาน เขาก็ไม่ได้จะงอแงอะไรเลย กับใครเขาก็คุยด้วยได้ทั้งนั้น ก็เหลือแค่มึงคนเดียวที่เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากเข้าใกล้ไม่ว่าจะตอนไหน.... และกูก็คิดว่ามึงเองก็น่าจะรู้ตัวดีนะว่ามันเป็นเพราะอะไร”

“มึงเก็บปากไว้แดกข้าวเหอะ ไม่รู้อะไรก็ไม่ต้องเสือกพูดมาก!”

ผมสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้า รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนจี้ใจดำด้วยธูปติดไฟเมื่อคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งตระหนักรู้ถึงความผิดพลาดที่ทำเอาไว้กับทิชา.... ผมเริ่มต้นแบบผิดๆ สานต่อความสัมพันธ์แบบผิดๆ ความรักของผมถึงได้บิดเบี้ยวมาจนถึงตอนนี้ซึ่งมันสายเกินกว่าจะขอย้อนกลับไปแก้ไข ทว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครหน้าไหนจะมาตอกย้ำสมน้ำหน้าในสิ่งที่ผมกำลังทำให้ผมเจ็บปวด โดยเฉพาะกับคนนอกที่ไม่รู้ห่าอะไรเลยอย่างไอ้ภัทร

“ก็เพราะกูไม่รู้น่ะสิ กูถึงได้ถามไง” 

พระรองซีรีส์ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดู แน่นอนว่าพี่ปายก็ต้องเห็นด้วย บนหน้าจอมีรูปจากงานเฟรชชี่สมัยปีหนึ่งที่ผมขโมยหอมแก้มทิชาโชว์หราอยู่ เส้นประสาทผมตึงเปรี๊ยะขณะมองรูปๆ นั้นสลับกับหน้าตากวนโอ๊ยของไอ้ภัทร มือที่กำช้อนกินข้าวอยู่เกร็งแน่นจนเส้นเลือดขึ้นเมื่อเส้นความอดทนใกล้จะขาดผึง 

“กูสงสัยก็เลยลองไปถามเพื่อนที่เรียนมอเดียวกับมึง เขาก็ส่งรูปนี้มาให้บอกว่ามีลงในเพจคิวท์บอยมหาลัยตั้งนานแล้ว เพราะมึงไปแกล้งหอมแก้มทิชากลางห้องเชียร์ตอนปีหนึ่ง หลังจากนั้นทิชาก็ไม่ยอมมาเข้าประชุมเชียร์อีกเลย.... บอกตรงๆ ว่าเซอร์ไพรส์นะเว้ย กูนึกว่ามึงกับทิชาเพิ่งจะมารู้จักกันตอนเล่นละครเรื่องนี้เสียอีก”

“ไอ้เหี้ยภัทร!”

“เพราะงี้ใช่ไหม ทิชาถึงได้เกลียดขี้หน้ามึง ทั้งๆ ที่มึงน่ะชอบเขา........”

“ไอ้สัตว์ กูบอกให้หุบปากไง!!!”

ช้อนพลาสติกในมือถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนหักกลาง เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงผมตะคอกชื่อไอ้ภัทรทำเอาทั้งนักแสดงตัวประกอบคนอื่นๆ และทีมงานหันมามองด้วยความตกใจ.... มีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมโกรธจนฟิวส์ขาด ถ้าพี่ปายไม่ดึงแขนเสื้อรั้งสติเอาไว้ ผมกล้ารับรองเลยว่าวันนี้ไอ้ปากหมาภัทรดลจะต้องโดนผมเอาเลือดหัวออกมาล้างตีนแน่

“แดน.... ใจเย็นๆ ก่อน” 

พี่ปายพยายามห้ามไม่ให้ผมหัวร้อน ทั้งที่ตัวเขาก็หน้าเสียคล้ายอยากจะร้องไห้โวยวายเพราะรูปผมหอมแก้มทิชาเช่นกัน

ผมปัดมือพี่ปายทิ้ง เดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากตรงนั้นก่อนจะโยนข้าวกล่องลงถังขยะดังโครม ก็อย่างที่บอกว่าไม่มีใครชอบเห็นตัวเองน่าสมเพช ผมทั้งโกรธทั้งอายที่มีตัวเสือกมือวางอันดับหนึ่งขุดเอาความรักผุๆ พังๆ ของผมออกมาประจาน.... ถ้าทิชาไม่รักผม ผมก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ ถ้าผมจะตายก็ให้เอามงกุฏดอกแห้วกับปีกนกขึ้นเมรุเผาไปกับผมด้วย ไม่ต้องเหลืออะไรเอาไว้ให้ใครนึกถึง แม้กระทั่งความทรงจำ


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
.

.

.


‘ทำไงดี ชาเริ่มรู้สึกว่าไปต่อไม่ไหวจริงๆ แล้วล่ะ.......’

‘ถอนตัวไม่ได้หรอก ขืนชาไปบอกแม่กับป้าอิ๋วว่าจะไม่เล่นแล้ว มีหวังโดนหนักแน่ๆ.... พี่โรมก็รู้ว่าแม่ชาน่ะอะไรก็ไม่ว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องเสียหน้าเสียเครดิต แม่ไม่มีทางยอม’

‘คิดถึงพี่โรมอีกแล้ว.......อยากกลับไปอยู่คอนโดฯ กับพี่เร็วๆ.......ไม่อยากต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้วอะ.........’



ปลายเท้าผมหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกระเง้ากระงอดดังมาจากข้างบันไดหนีไฟ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้ามาก็ต้องได้ยินอะไรแบบนี้แต่ผมก็ยังเลือกที่จะมาหาไอ้ทิชา.... จากที่ตรงนี้ผมมองเห็นสีหน้าของเจ้าตัวได้ชัดเจน มันทั้งอ้อน ทำเสียงสองใส่กล้องหน้าโทรศัพท์ตัวเอง ทิชายิ้มไม่บ่อยแต่ยิ้มแล้วน่ารักฉิบหายเหมือนเอาดอกไม้ทั้งโลกมากองรวมกัน และคนที่ได้ดอกไม้ทั้งหมดนั้นไปแบบสบายๆ แทบไม่ต้องทำห่าอะไรเลยก็คือคนที่อยู่ในหน้าจอวิดีโอคอลนั่น

ในขณะที่ผมโดนมันปาหินใส่ไม่เว้นแต่ละวัน....



‘หืม? พี่แจ็คโทรมาเหรอ?’

‘งั้นพี่โรมไปคุยกับเพื่อนก่อนเถอะ คงจะมีธุระด่วนแหละ.... ชาก็จะไปหาอะไรกินแล้วเหมือนกัน โอเค ไว้เลิกแล้วชาจะคอลไปอีกทีนะ บายครับ’



ร่างเล็กลุกขึ้นยืนถอนหายใจ ราวกับว่าต้องใช้ความกล้าอย่างมากที่จะกลับเข้าไปในห้องพักทานข้าวซึ่งมีผมและคนอื่นๆ ที่ไม่ชอบขี้หน้าเด็กเส้นลูกดาราอยู่เต็มไปหมด แต่ทันทีที่ทิชาเดินออกจากมุมลับที่เอาไว้ใช้แอบคุยกับแฟนมาเจอผมยืนจ้องรออยู่ มันก็สะดุ้งโหยงสุดตัวจนทำไอโฟนหลุดมือหล่นกระแทกพื้น

ทิชาก้มลงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงมือไม้สั่น ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงไปโดยไม่สบตาผม.... อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่แล้วปะทุแรงหนักกว่าเก่าเมื่อถูกตอกย้ำด้วยการหลบหน้า คำพูดของไอ้ภัทรยังคงหลอนอยู่ข้างในหัวทำให้ผมยิ่งประสาทแดกคว้าแขนทิชาแล้วดึงกลับมาอย่างจงใจจะหาเรื่อง

“เป็นอะไร? เดี๋ยวนี้มึงกลัวกูถึงขั้นต้องหนีแล้วเรอะ?”

ทิชาออกแรงสะบัดหมายจะให้ผมปล่อยมือ ดวงตาคู่สวยไหวระริกหลุบต่ำขณะเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบสั่นไม่เหมือนตอนที่คุยอ้อนไอ้เฮียโรมเลยสักนิด 

“ไม่ได้กลัว.........แต่กูไม่อยากคุยกับมึง”

“อ้อ ใช่สิ.... ก็มึงมีเฮียโรมแล้วนี่ ถึงไม่มีเฮียโรมก็มีคนอื่นอยู่ตลอด จะมาอยากคุยอะไรกับไอ้แดนนรกอย่างกูล่ะ!”

“นี่มึงเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย!?”

ผมออกแรงมากขึ้นจนทิชานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ มันทั้งตกใจและงงเป็นไก่ตาแตกที่อยู่ๆ จู่ๆ ผมก็มาอาละวาดใส่ไม่มีเหตุผล.... ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทิชานั่นแหละที่ควรจะรู้ดีกว่าใครว่าผมโกรธเรื่องอะไร เพียงแต่มันไม่เคยใส่ใจเพราะไม่เคยเห็นคนอย่างผมอยู่ในสายตา

“เกลียดกูนักใช่ไหม.... ก็เอาเลยสิ เชิญมึงเกลียดกูจนกว่าจะตายห่ากันไปข้างนึงเลย แต่อย่าหวังเสียให้ยากว่ากูจะออกไปจากชีวิตมึงง่ายๆ ไม่มีทาง!!”

“แดน มึงอย่านะ......อื้อ........!!”

เสียงร้องห้ามเงียบหายไปเมื่อผมประกบริมฝีปากลงไป ร่างเล็กถูกดันให้ชิดติดผนังข้างบันไดระหว่างที่ผมจาบจ้วงล่วงล้ำเข้าไปขโมยลมหายใจและความหอมหวานเหมือนผลไม้ต้องห้ามมาเก็บไว้กับตัวเอง.... ครั้งที่สองแล้วที่ผมบังคับจูบทิชา คราวนี้ไม่มีกล้องกับทีมงานคอยจ้องมองหากมันก็ยังดิ้นขลุกขลักขัดขืนสุดกำลัง ปลายลิ้นเล็กกระถดหนีแต่ผมก็ตามไปกระหวัดเกี่ยวเหมือนตะขออันใหญ่ ใบหน้าสวยแดงก่ำ ผืนอกแบนราบกระเพื่อมแรงคล้ายกำลังจะสำลักในขณะที่สองมือยังคงผลักไสผมออก แต่คราวนี้ไม่มีเสียงสั่งห้าม ไม่มีทีมงานมาคอยจับแยก ผมก็เลยยิ่งย่ามใจรังแกทิชาจนกว่ามันจะรู้สึกตัวสักทีว่ามันนั่นแหละที่ผิด

ผิดที่ทำให้ผมหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วก็เย็นชาใส่....

“อุก.......พะ.....พอแล้ว...........”

“ไม่.... กูยังไม่พอ” 

ผมกระซิบบอกในตอนที่หยุดให้ทิชาพักหายใจ 

“กูรอที่จะได้ทำแบบนี้กับมึงมาเป็นปี จูบแค่นี้ยังชดเชยได้ไม่เท่ากับเวลาเดือนนึงที่กูต้องรอ แล้วก็ทนเห็นมึงได้กับใครต่อใครที่ไม่ใช่กูเลยมั้ง”

ผมเบียดร่างผอมบางให้จนมุม ใช้ความแข็งแรงกักขังความบอบบางให้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์..... ทิชาเลิกดิ้นรนแล้ว มันโคตรน่ารักแล้วก็น่าทะนุถนอมในตอนที่อยู่นิ่งๆ ให้ผมป้อนจูบเอาแต่ใจ กลีบปากสีสดนุ่มนิ่มถูกดูดดึงจนช้ำ ลมหายใจของเราร้อนผ่าวจนข้างในอกคล้ายจะมอดไหม้ด้วยความรักซึ่งล้นทะลักออกมาจากหัวใจผม แม้ว่าจะเคยมีใครได้ครอบครองร่างตรงหน้ามาก่อน ผมก็ไม่สน สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในเวลานี้ก็คือผมอยากได้ทิชาจนแทบเป็นบ้า

แต่ทว่า น้ำตาเพียงหยดเดียวกลับสามารถเปลี่ยนความหอมหวานให้กลายเป็นขมปร่าระคายคอได้ในชั่วพริบตา

ผมทำให้ทิชาร้องไห้อีกแล้ว....


“ทำไมต้องร้องไห้เพราะกูด้วยวะ.........” 

ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจและไม่คิดจะทำความเข้าใจ เมื่อกี้มันยังหัวร่อต่อกระซิกอารมณ์ดีกับญาติผู้พี่ของผมอยู่เลย แล้วทำไมพอเป็นผม ทิชาถึงยิ้มให้แบบนั้นบ้างไม่ได้เลย

“ที่กูทำมันไม่เหมือนกับที่เฮียโรมทำให้มึงตรงไหน.... มึงอยากได้อะไรก็บอกมาสิ ทุกอย่างที่เฮียโรมทำ กูก็ทำได้เหมือนกัน และกูก็มั่นใจว่ากูจะทำได้ดีกว่าเขาด้วย”

ทิชาเอาแต่ส่ายหน้าปล่อยน้ำตาให้หยดลงต่อหน้าผม ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้แต่ก็เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างผมกับมันตลอดเวลา.... แตะต้องไม่ได้ ยิ่งไขว่คว้าก็มีแต่จะยิ่งหลุดลอยห่างออกไปไกลมากขึ้นทุกที และถ้าคิดจะบังคับเอามาครอบครองก็คงแตกสลายลงไปแทบจะทันที

“มึงทำแบบนี้กับกูทำไมวะ แดน?” 

ทิชาเอ่ยถามผมด้วยเสียงเจือสะอื้น ร่องรอยของความสับสนฉายชัดอยู่ภายในลูกแก้วใสสีน้ำตาลเข้มคลอหยาดน้ำอุ่น 

“เรื่องผิดนัด กูก็ขอโทษมึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว กูพยายามแก้ไขสถานการณ์เท่าที่กูจะทำได้แล้วไง.... มึงบอกว่าอยากเล่นละครเรื่องนี้กับกู กูก็ยอมไปขอแคสบทนอกรอบทั้งๆ ที่กูไม่ได้อยากทำเลย แล้วทำไมมึงต้องเกรี้ยวกราดใส่กูด้วยวะ? ทุกอย่างที่กูทำเพื่อชดเชยความรู้สึกที่มึงเสียไปมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ?”

“มึงแน่ใจเหรอว่าทำเพื่อชดเชยความรู้สึกของกู?” 

ผมแค่นหัวเราะในลำคอขณะมองหน้าทิชา ไม่ว่ากี่ร้อยพันเหตุผลที่ทำให้เราทั้งคู่มายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้คืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือมันไม่ใช่เพราะทิชาอยากทำเพื่อไอ้แดนนรกอย่างผมหรอก 

“มึงไม่ได้ทำเพื่อกูเลยสักนิด.... มึงกำลังทำเพื่อตัวมึงเองต่างหาก ทิชา”

“เพื่อตัวกูเองยังไง.... ที่กูฝืนใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มีตรงไหนที่กูทำเพื่อตัวเองเลยนะ เหตุผลเดียวที่กูมาที่นี่ก็เพราะมึง!”

“แล้วถ้ากูไม่ใช่น้องเฮียโรม มึงจะยังรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับกูไหมล่ะ? ถ้ากูเป็นแค่ไอ้แดนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนที่ใช้นามสกุลเดียวกับผู้ชายที่มึงหลงรักหัวปักหัวปำ มึงยังจะแคร์ความรู้สึกของกูหรือเปล่า?” 

นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดตั้งแต่วินาทีแรกที่ทิชาโผล่มาในฐานะนักแสดงนำของซีรีส์เรื่องนี้ กับคนที่ไม่เคยมองอะไรไกลเกินกว่าความรักที่จะได้จากไอ้เฮียโรม ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแขวนเอาไว้บนความต้องการของไอ้เฮียโรม ผมก็เชื่อว่าตัวเองไม่ได้คิดหยุมหยิมแล้วเก็บเอามาพาลไปเองอย่างที่ใครบางคนกำลังรู้สึกอย่างแน่นอน 

“เห็นไหมล่ะ.... มึงแค่รักษาสัญญา ทำตัวเป็นคนดีด้วยก็เพราะกูเป็นน้องชายแฟนมึง เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดเหมือนกับว่ามึงเห็นความสำคัญของกูหน่อยเลยในเมื่อมันไม่จริง!”

“มัน.....มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว............”

“แล้วมันยังไง?”

“กูก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน แต่กูแคร์ความรู้สึกมึงจริงๆ นะ แดน” 

ร่างเล็กเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้ เป็นครั้งแรกในรอบวันเลยมั้งที่มันยอมสบตามองผมตรงๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยราวกับขอร้องให้เชื่อสิ่งที่มันพูด มันควรจะรู้ว่าคนอย่างนายดรัณภพไม่เคยต้องการอะไรเลยนอกจากความรักความสนใจจากคนที่ชื่อทิชา ผมอยากได้แค่นั้น แต่มันก็ไม่เคยให้ มิหนำซ้ำยังตอกย้ำทำหัวใจผมพังครืนด้วยคำพูดง่ายๆ แค่ไม่กี่ประโยค   

“กูไม่ได้แคร์เพราะมึงเป็นน้องพี่โรมอย่างเดียว แต่มึงคือคนที่ช่วยให้กูกับพี่โรมรักกันนะ......สำหรับกู มึงก็เหมือน.............”

“พอได้แล้ว!!” 

ผมตวาดใส่อย่างเหลืออด เมื่อจนแล้วจนรอด สิ่งที่อยู่ในหัวทิชาก็ยังมีแต่พี่โรมๆๆๆๆ ไม่รู้แม่งโดนล้างสมองมาหรือยังไง 

“ถ้าหากมึงไม่มีอะไรอย่างอื่นจะพูดถึงนอกจากพี่โรมสุดที่รักของมึงก็ไม่ต้องพูดแล้ว กูไม่อยากฟัง!!”

ทิชาปล่อยมือจากผมแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม ในขณะที่ผมกำหมัดแน่นทุบกำแพงด้านหลังมันระบายอารมณ์โกรธจัด.... จนป่านนี้แล้ว ทิชาก็ยังไม่รู้ว่าผมกำลังจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ เพราะมัน คล้ายว่าหัวใจที่เต้นไหวอยู่ในผืนอกบอบบางนั่นถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่มีต่อเฮียโรมจนเต็มแน่น ไม่สามารถที่จะเปิดรับใครอื่นเข้าไปได้อีกแล้วแม้สักเพียงเศษเสี้ยว

“กูไม่น่าบอกให้มึงไปชิงเกียร์เฮียโรมที่เบอร์ลิคเลย.... ถ้าวันนั้นกูแค่แอบมองมึงเฉยๆ แล้วก็เดินผ่านไปเหมือนทุกครั้งก็คงไม่เป็นงี้..........”

หากที่ผ่านมาไม่เคยรู้ ในวันนี้มันก็คงรู้แล้วว่าที่ผมทำลงไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร แต่มันก็ยังไม่ยอมรับสิ่งที่ผมมอบให้อยู่ดี

“แดน.... กูกับมึงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้วใช่ไหม?”

“กูก็อยากกลับ แต่จุดที่อยากกลับไปของกูกับมึงมันต่างกันว่ะ”

“มึงก็ลองพูดมาสิ.... พูดกับกูตรงๆ อย่างที่ใจมึงคิด”

โอกาสมาถึงในวันที่สายเกินไป ก็ไม่ต่างจากการที่มีคนโยนห่วงยางลงมาให้ในตอนที่ผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นเรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางทีก็อยากบอกนะว่าถ้าจะมีน้ำใจผิดที่ผิดเวลาก็สู้ปล่อยให้ผมจมน้ำตายห่าไปเสียยังจะดีกว่า

“มึงน่ะแค่อยากให้กูกลับไปเป็นไอ้แดนนรก คนที่เป็นฝ่ายเดินเข้าหามึงก่อนแต่มึงก็ชอบทำเป็นมองไม่เห็น เดินหนี ทำท่าหงุดหงิดรำคาญใส่ หรือไม่ก็ด่ากูแรงๆ ต่อหน้าคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกผิด.... ถูกไหม?” 

หากเทียบกับตอนนี้ ช่วงเวลาที่ทิชาเหม็นขี้หน้าผมอาจดีกว่าก็จริง แต่ช่วงเวลานั้นมันก็เหมือนค่อยๆ กรีดแผลสะสมในหัวใจผมไปเรื่อย เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง จนกระทั่งผมตัดสินใจทำในสิ่งที่โง่และสิ้นคิดที่สุดลงไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเดือนจะได้อยู่เคียงข้างดาว สุดท้ายมันก็ส่งผลตรงกันข้ามมาให้พร้อมกับก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่ผมเสือกกลืนลงไปเอง 

“แต่กูอยากย้อนเวลากลับไปให้ไกลกว่านั้น.... กูอยากย้อนกลับไปวันแรกที่เจอมึงในห้องเชียร์รวม กูจะถามคนอื่นว่ามึงเป็นใครมาจากไหน กูจะเสิร์ชกูเกิ้ลดูทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไม่ทำอะไรโง่ๆ ให้มึงเกลียดขี้หน้า.... กูจะทำแต่เรื่องดีๆ เหมือนที่เฮียโรมทำให้มึง กูจะปกป้องมึงจากรุ่นพี่เหี้ยๆ ทุกคนที่ทำมึงเสียใจ..........”

“แดน......นี่มึง............?”

“ถ้ากูทำได้อย่างที่พูด คนที่มึงบอกรักวันละสามเวลาก็คงเป็นกู ไม่ใช่เฮียโรม.... แต่กูไม่ไหวแล้วว่ะ กูเหนื่อยที่จะต้องทนเห็นมึงเป็นของคนอื่น ทุกคนที่ผ่านเข้ามาไม่ว่าใครก็จีบมึงได้หมด ยกเว้นกู โลกของมึงไม่เคยมีที่ว่างสำหรับกูเลย........” 

ลำคอผมแห้งผากระหว่างที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แต่กลับมาชุ่มตรงตาทั้งสองข้างจนผมต้องเงยหน้ากระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่สิ่งที่จวนจะทะลักล้นให้ถอยร่นกลับลงไป 

“ก็มีหลายครั้งนะที่กูสงสัยว่ามึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่ากูคิดยังไง ช่างแม่งเหอะ มันไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้วนี่.... ตอนนี้กูแค่อยากลืมมึง อยากจะเกลียดขี้หน้ามึงให้ได้อย่างที่มึงเกลียดขี้หน้ากู แต่พอมึงโผล่มา ทุกอย่างที่กูตั้งใจก็ย้อนกลับไปหยุดอยู่ตรงที่กูรักมึง แต่มึงไม่เคยรักกู..........”

“กูไม่รู้จริงๆ แดน.......กูขอโทษ...........”

“ความไม่รู้ของมึงมันฆ่ากูอยู่ทุกวัน........กูทรมานว่ะ กูพอแล้ว............”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจะหักดิบจบทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ได้.... ผมไม่ได้อยากไปจากทิชา ผมยังคงรักมัน รักมากกว่าครั้งแรกที่เจอกันเสียอีก แต่ถ้าหากการมีตัวตนของผมจะทำให้ทิชาลำบากใจ มันก็อาจถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องหลบไปเลียแผลปลอบใจตัวเองอย่างหมาขี้แพ้

“มึงไม่ต้องถอนตัวจากละครหรอก ทิชา เดี๋ยวแม่มึงจะเสียชื่อ.... ถ้ามึงทำต่อไม่ไหวจริงๆ กูจะเป็นฝ่ายไปเอง.........”


หากมีอะไรที่ผมจะสามารถทำเพื่อทิชาได้ ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

เพราะถ้าจะต้องเลิกรักมัน ผมรู้ดีว่าไม่ง่าย

ไม่ง่ายเลย และไม่คิดว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะทำได้ด้วย....



TO BE CONTINUE

 :katai5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ที่พี่โรมพูดกับทิชามันหมายความว่าจะไปช่วยบี๋หรอ แล้วที่พี่แจ็คโทรมาอีก ต้องเกี่ยวกับบี๋แน่ๆ
แถมแดนกับทิชาก็เป็นแบบนี้กันอีก เดาทางไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เรื่องนี้มีแต่คนโลเล อิรุงตุงนังกันไปหมด เฮ้อออ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Mithuna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตั้งแต่ตอนแรกๆที่อ่านก็คิดว่า #โรมทิชา มาตลอด จนหลังๆ เริ่มรู้สึกเหมือนว่าจะเป็น #แดนทิชา รึป่าว แดนสารภาพกับทิชาแล้วและโรมไปช่วยบี๋ทำให้โรมทิชามีปัญหากันด้วยเรื่องงานด้วยอาจจะเลิกกันแล้วแดนก็เสียบจบแบบเป็นพระเอก

แงงงง เดาและมโนล้วนๆ  :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2018 04:42:37 โดย Mithuna »

ออฟไลน์ Zxjmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เชียร์คู่ #แดนทิชา สุดขีดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ROME’s PART



หลังรู้ข่าวเรื่องบีบี๋จากไอ้แจ็ค ผมก็รีบบึ่งรถมาโรงพยาบาลเอกชนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเบอร์ลิค ถนนเส้นอโศก-เพชรบุรีตอนเที่ยงก็ยังคงรถติดเป็นบ้าเป็นหลังจนผมทุบพวงมาลัยแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด แทบจะอยากทิ้งรถโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้แม่งรู้แล้วรู้รอดไปเลย

จากที่ได้ยินคร่าวๆ ผ่านโทรศัพท์ ผมยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าเฮียรุจไม่พอใจบีบี๋ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีจนน้องมันทนไม่ไหว กระโดดลงมาจากชั้นสองของโกดังที่พักหลังร้าน.... จริงอยู่ว่าระดับความสูงแค่นั้นอาจไม่ทำให้ถึงตาย บีบี๋ก็แค่กระดูกไหปลาร้าหลุดกับขาขวาหักและสามารถออกจากห้องฉุกเฉินมาแอดมิดอยู่ห้องพิเศษได้ตั้งแต่เมื่อตอนเช้ามืด คนเจ็บต้องได้รับการรักษามันก็ถูกแล้ว แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงที่ว่าทำไมบีบี๋ถึงตัดสินใจทำร้ายตัวเองและจากนี้ไปเฮียรุจจะเอายังไงกับน้องและเงินสองล้านนั่น

ก่อนหน้านี้ ผมแค่กลัวใจเฮียรุจว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรเพื่อที่จะเอาเปรียบบีบี๋ แต่ตอนนี้บอกตามตรงว่าผมชักเริ่มรู้สึกกลัวใจบีบี๋ไม่แพ้กันว่าจะคิดสั้นเพื่อหนีให้พ้นเงื้อมมือเฮียรุจอีกหรือเปล่า

บ้าชะมัด ถ้าผมดึงตัวบีบี๋คืนมาจากเฮียรุจเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหาทางช่วยน้องเคลียร์หนี้ก็คงไม่เกิดเรื่องเมื่อคืนนี้....!

“ไอ้แจ็ค บีบี๋เป็นไงบ้าง?” 

ทันทีที่ผลักประตูห้องพักฟื้นผู้ป่วย ผมก็รีบเอ่ยถามขออัพเดทสถานการณ์ด้วยความร้อนใจโดยไม่ได้แหกตาดูเลยว่ามีใครอยู่ข้างในนั้นบ้าง แน่นอนว่าผมไม่ได้รับคำตอบอย่างที่อยากได้ สิ่งเดียวที่ถูกส่งกลับมาคือสายตาไม่ยินดียินร้ายจากรุ่นพี่ที่ผมเคยเคารพ

“ไอ้แจ็คไม่อยู่ กูใช้มันไปซื้อบุหรี่ที่เซเว่นหน้าโรง’บาล”

เฮียรุจลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงไปยืนพิงผนังคล้ายกับจะเปิดทางให้ผมเข้าไปดูอาการบีบี๋ได้สะดวก แม้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงจะสวนทางกับการกระทำโดยสิ้นเชิงก็ตาม

“ส่วนคนที่มึงถามถึงก็แหกตาดูสารรูปมันเอาเอง”

ร่างเล็กซึ่งยังหลับอยู่บนเตียงมีเฝือกกับสายพยุงช่วงไหล่ ขาขวาก็ใส่เฝือกแถมยังต้องใช้เสาช่วยยกขาตรงปลายเตียง ตามเนื้อตัวและใบหน้าบางส่วนมีรอยถลอกและแผลฟกช้ำจากการตกกระแทกพื้นคอนกรีต.... เท่าที่ผมฟังจากไอ้แจ็ค บีบี๋พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังไม่ฟื้น เท่าที่หมอเอ็กซเรย์ดูส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะปล่อยผ่านบุคคลซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดได้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับเฮีย ทำไมบีบี๋ถึงกระโดดลงมาจากหน้าต่าง?” 

ผมหันไปหาเฮียรุจเพื่อคาดคั้นถามเอาความชัดเจน แต่สิ่งที่เขาทำมีแค่ยักไหล่เดาะลิ้นด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ดูจะสะใจเสียด้วยซ้ำที่ลูกหนี้ตกอยู่ในสภาพนี้

“ก็แค่กระดูกหักนิดหน่อย มึงไม่ต้องสำออยแทนมันก็ได้มั้ง”

“ผมถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง!?” 

สถานการณ์เปราะบางแบบนี้ ผมไม่มีแก่ใจจะให้ใครมาเล่นหัว ต่อให้เป็นเจ้าของร้านเบอร์ลิคก็เถอะ

เฮียรุจก้าวอาดๆ ตรงเข้ามาคว้าคอเสื้อผมกระชากให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากัน ผมกับเขาไม่มีใครเสียเปรียบกันในด้านกายภาพ ถ้าคิดจะแลกกันหมัดต่อหมัดก็ยากที่จะตัดสินว่าใครมีโอกาสชนะมากกว่า ทว่า ที่ผมไม่ตอบโต้อะไรเขานอกจากจ้องตอบด้วยแววตาเกรี้ยวกราดเหมือนสัตว์ป่าไม่แพ้กันก็เพราะที่นี่คือโรงพยาบาล ถ้ามีเรื่องชกต่อยกันก็อาจทำให้บีบี๋ซึ่งเจ็บหนักอยู่แล้วโดนลูกหลงได้

แต่ในด้านความเคารพที่มีต่อรุ่นพี่ในสาย บอกตามตรงว่าแทบไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว

“มึงคิดว่ามึงเป็นใครหา ไอ้โรม.... มึงก็แค่รุ่นน้องทรยศ เป็นเด็กเมื่อวานซืนในสายตากู อย่ามาทำเป็นเห่าดังหน่อยเลย!”

เฮียรุจคำรามลอดไรฟัน มือที่กำคอเสื้อผมเกร็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา 

“ตราบใดที่กูยังไม่ได้เงินสองล้าน บีบี๋มันก็เป็นเมียกู เป็นลูกหนี้ แล้วก็เป็นทาส.... กูจะทำอะไรกับมันก็ได้!!”

“จนป่านนี้แล้วเฮียยังกล้าพูดว่าบีบี๋ติดหนี้เฮียอยู่อีกเหรอ บีบี๋ไม่ได้อะไรเลยสักอย่างแถมยังเกือบเอาตัวไม่รอด แล้วไอ้จำนวนเงินสองล้านนั่น เฮียก็เป็นคนอุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งหมด!?”

“เด็กมันเสนอตัวเข้ามาหากูเอง เพราะฉะนั้น คนที่จะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินชีวิตของมันก็คือกู.... มึงเองก็รู้กฎดีอยู่แล้วนี่!” 

สิ่งที่เฮียรุจพูดคือความจริงที่เถียงไม่ได้ บีบี๋ก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำร้ายทุกคนรวมถึงตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ผมก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้อดีตแฟนเลือกเดินบนเส้นทางซึ่งผิดมหันต์ 

“ที่สำคัญ คนที่ทำให้บีบี๋ไม่ได้อะไรเลยแถมยังมีหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งล้านก็คือมึงนั่นล่ะ.... มึงคงลืมไปแล้วสินะ ไอ้น้องรัก?”

คนตรงหน้าแค่นเสียงหึในลำคอ หรี่ตามองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองพวกเด็กประถมหัวเกรียนตามร้านเกม

“เพิ่งจะมาอยากเป็นคนดีอะไรเอาป่านนี้ ตัวมึงเองนะที่เป็นฝ่ายทิ้งบีบี๋ก่อน บีบให้มันต้องดิ้นรนมานอนกับกูเพื่อจะขอยืมเกียร์ไปห้อยคอ หวังจะพึ่งกูให้ช่วยเอาแฟนห่วยๆ อย่างมึงกลับมา.... แล้วตลอดเวลาที่ไอ้เด็กนี่เข้า-ออกเบอร์ลิคให้กูเอาทุกวี่ทุกวัน มึงไปอยู่ซะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่ว่านอนกอดน้องทิชาคนสวยอยู่คอนโดฯ สบายใจเฉิบเหรอวะ? ไหนตอบให้กูชื่นใจหน่อยสิ ไอ้คนดี!”

เฮียรุจปล่อยมือจากผมแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่ยืนนิ่งจ้องหน้าเขาตอบด้วยความโมโหและเจ็บใจ ผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนอย่างเฮียรุจไม่เคยช่วยใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วสิ่งตอบแทนนั้นจะต้องมากกว่าต้นทุนที่เสียไป.... ถ้าในเวลานั้นผมใจเย็นกับเรื่องของบีบี๋ให้มากกว่านี้ ไม่ตัดขาดลอยแพอีกฝ่ายเพียงเพราะคิดว่าไม่มีทางไปต่อด้วยกันได้ ผลลัพธ์ของความร้ายกาจ ชิงดีชิงเด่นกันตามประสาเด็กไม่รู้จักคิดก็คงไม่เลวร้ายอย่างที่เห็น

แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็เป็นอีกมือหนึ่งที่ผลักบีบี๋ลงไป....

ร่างบนเตียงขยับเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าตื่นจากฤทธิ์ยาแล้ว ผมกับเฮียรุจวางความหมาดบางพักไว้ชั่วครู่ก่อนจะหันไปสนใจบีบี๋ เสียงแหบแห้งลอดผ่านริมฝีปากแตกยับบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวน่าจะรู้สึกเจ็บและอึดอัดจากเฝือกที่หุ้มไว้ทั้งช่วงไหล่และท่อนขา.... ดวงตากลมโตแดงช้ำหรี่ปรือเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่เหมือนคนกำลังพยายามรวบรวมสติ ผมกุมมือเล็กเอาไว้เพื่อปลอบโยนให้บีบี๋รับรู้ว่าเขาไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง และทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเห็นหน้าผมเป็นคนแรก น้ำตาของคนเจ็บก็ไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก

“......ฮึก........อึก..............”

“บีบี๋ เป็นยังไงบ้าง?” 

ผมเอ่ยถามพลางดึงทิชชู่จากโต๊ะข้างเตียงมาซับคราบชื้นบนใบหน้าซีดเซียวให้ร่างเล็ก อดีตคนรักยังคงมองผมอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองในขณะที่น้ำตาก็ไหลพรากไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ 

“นี่เฮียโรมเองนะ......เฮียอยู่นี่แล้ว......ไม่มีใครทำอะไรบีบี๋ได้แล้วนะ.............”

“เฮียโรม........จริงเหรอ............?” 

บีบี๋พูดเหมือนละเมอ ทว่า ความโหยหาในน้ำเสียงนั้นกลับชัดเจนจนน่าใจหาย 

“.......ฮือ.........เฮียโรมจริงๆ ใช่ไหม......นี่เรื่องจริงหรือเปล่า.........บี๋คงไม่ได้ตายแล้วฝันไปหรอกนะ...........”

“อย่าแช่งตัวเองสิ บีบี๋ยังไม่ตายนะ แล้วก็ไม่ได้ฝันด้วย”

ผมพูดได้แค่นั้น เฮียรุจก็ก้าวเข้ามาประชิดถึงเตียงคนป่วยส่งผลให้บีบี๋สะดุ้งเฮือกพยายามจะถอยหนีแต่ก็ติดที่เฝือกดามขาทำให้ขยับไม่ได้ ถึงแม้เฮียรุจจะไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามทำร้ายเหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นกับตา แต่ก็ดูคล้ายว่าบีบี๋จะหวาดกลัวและจดจำความเจ็บปวดที่ได้รับจนฝังใจไปแล้ว

“เฮียโรม.....บอกให้เขาออกไปนะ.......ให้เขาออกไปที............”

เสียงแหบแห้งเริ่มร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ มือที่ผมกุมเอาไว้จิกเกร็งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสะบัดยกขึ้นราวกับจะปัดป้องไม่ให้เจ้าหนี้เข้ามาข่มขู่รังแกตัวเองได้ น้ำตาซึ่งเริ่มจะเหือดแห้งไปแล้วกลับมานองหน้าอีกครั้ง 

“บี๋กลัว......ฮึก.........กลัวแล้ว.......เจ็บ.........ไม่เอาแล้ว....ฮือ.............”

เมื่อเห็นอาการตื่นตะหนกสุดขีดของบีบี๋ ผมก็ตั้งใจจะหันไปบอกเฮียรุจให้ออกไปก่อนแล้วกดปุ่มเรียกพยาบาลเข้ามาให้ยานอนหลับหรือช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่เฮียรุจไม่สนใจคำบอกเชิงขอร้องของผมเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาจนห่างกับบีบี๋ซึ่งขยับตัวไม่ได้เพียงแค่คืบ.... ริมฝีปากเขาแสยะยิ้มเหมือนสะใจที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ หากดวงตากลับฉายแววโมโหโกรธเคืองที่บีบี๋สติแตกร้องไห้บอกให้ผมช่วยไล่เขาออกไป

ไม่ทันคาดคิด มือหนาก็จัดการกระชากสายสร้อยเงินเส้นเล็กจากคอบีบี๋เสียงดังผึง โลหะเสียดสีกับผิวเนื้อบาดเป็นรอยแดงมีเลือดซึมออกมาคาตา ร่างเล็กคงทั้งเจ็บและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนได้แต่อ้าปากร้องแบบไม่มีเสียง แม้แต่ผมเองก็คิดไม่ถึงว่าเฮียรุจจะดึงเกียร์คืนกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้

เพราะมันหมายความว่าเขายอมตัดขาดจากบีบี๋ และนับจากนี้เป็นต้นไปคนทั้งเบอร์ลิคอาจกลายเป็นศัตรูกับเด็กคนนี้ด้วย....!

โทรศัพท์มือถือหน้าจอแตกถูกโยนมาให้ ผมจำได้ดีว่ามันเป็นของบีบี๋

“มึงโทรบอกพ่อแม่มันด้วยก็แล้วกัน.... ค่ารักษาก็ให้พ่อแม่มันจ่าย เสือกกระโดดลงมาเอง กูไม่ปล่อยตายห่าคาร้านก็บุญหัวแล้ว!”

เฮียรุจทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากห้องพักคนป่วยไป ปล่อยให้บีบี๋นอนสะอื้นอยู่กับสภาพร่างกายพังๆ ซึ่งมีเขาเป็นต้นเหตุ

เมื่อเฮียรุจจากไป บีบี๋ก็เริ่มสงบลงและหยุดร้องไห้ ผมเช็ดหน้าเช็ดตาให้ร่างเล็กแล้วกดปุ่มเรียกพยาบาลกับคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาดูอาการ ระหว่างนั้น ไอ้แจ็คก็กลับเข้ามาพอดี

“อ้าว.... เฮียรุจไปไหนแล้ววะ?”

“ออกไปสักพักแล้ว คงกลับร้านไปก่อนแล้วมั้ง” 

เพื่อนสนิทผมหน้าเหวอเมื่อรู้ว่าคนที่สั่งให้ออกไปซื้อบุหรี่ชิ่งหนีหายไปแล้ว ผมไม่เว้นช่วงรอให้มันหายตกใจรีบเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยและต้องการรู้ความจริงให้ได้ทันที ถึงไอ้แจ็คจะเทิดทูนบูชาเฮียรุจเสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่คราวนี้ต่อให้ต้องเค้นคอง้างปากมัน ผมก็จะทำ 

“กูรู้ว่ามึงพูดมากไม่ได้ แต่เรื่องแม่งใหญ่ขนาดทำคนเกือบตายแล้ว มึงบอกกูมาตามตรงเถอะว่าบีบี๋ตกลงมาจากหลังร้านได้ไง?”

“กูก็บอกแล้วไงว่าน้องมันโดดลงมาเอง” 

แจ็คยืนยันคำเดิมตามที่เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ เดิมทีเพื่อนผมคนนี้ก็ไม่ใช่ประเภทโกหกตอแหลเป็นอาชีพ ผมจึงอยากเชื่อใจว่ามันไม่ได้พูดเพื่อช่วยปกป้องรุ่นพี่ที่มันเคารพจนไม่สนผิดถูก 

“ก่อนหน้านั้นน่ะ เฮียกับน้องตีกันจริง น้องบีบี๋อยากกลับบ้านแต่เฮียรุจกำลังอารมณ์เสียเรื่องโต๊ะบอลก็เลยไม่ไปส่ง.......ก็มีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อย แต่ไอ้ที่ตกลงมาจากชั้นสองนี่เฮียแกไม่ได้ทำนะเว้ย กูเห็นเองกับตา”

“ไม่จริงนะ!”

อยู่ดีๆ ร่างบนเตียงก็ตะโกนสวนขึ้นมา นัยน์ตากลมเบิกโพลงจ้องมองไอ้แจ็คอย่างเอาเรื่อง ถ้าหากแขนขาปกติดีลุกขึ้นมาบีบคอมันได้ก็คงทำไปแล้ว 

“บี๋ไม่ได้โดดลงมาเอง มีคนผลักบี๋ลงมาต่างหาก!!”

“เฮ้ย น้องบีบี๋!?” 

มือขวาของเฮียรุจซึ่งเป็นพยานหนึ่งเดียวในเหตุการณ์เมื่อคืนร้องเสียงหลง สีหน้าเหวอแดกยิ่งกว่าเมื่อกี้เพราะทั้งงงและตกใจที่บีบี๋ให้การไม่ตรงกับสิ่งที่มันเล่าให้ผมฟัง

“บี๋จำได้.......ก่อนที่จะหล่นลงมา มีมือใครก็ไม่รู้มาโดนตัวบี๋.........ต้องเป็นคนเมื่อกี้แน่ๆ ที่ผลักบี๋............”

“บ้าแล้วมึง เฮียรุจไม่ได้ผลักนะเว้ย เฮียแกตามไปคว้าตัวน้องไว้หรอก!”

ไอ้แจ็ครีบหันมาบอกผม ยืนยันตามเดิมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตั้งใจของเฮียรุจและตัวมันเองก็ไม่ได้โกหกด้วย ผมมองหน้าเพื่อนสนิทกับอดีตแฟนสลับกันด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน หัวสมองพยายามประมวลผลอย่างหนักจนคิดไปถึงขั้นว่านี่แม่งราโชมอนแห่งแดนสยามชัดๆ ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องเล่าเหตุการณ์จากมุมที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ทว่า ไอ้แจ็คกลับเอะใจบางอย่างจากคำพูดของบีบี๋ขึ้นเสียก่อน 

“ว่าแต่น้องบีบี๋เรียกเฮียรุจว่าอะไรนะ.... คนเมื่อกี้เรอะ??”

“อะ......อือ..........”

ร่างบนเตียงผงกหัวเป็นเชิงบอกว่าใช่ ทำเอาไอ้แจ็คขมวดคิ้วก่อนจะถามต่อ

“แล้วทำไมถึงเรียกเฮียรุจแบบนั้น?”

“ทำไมล่ะ......ก็บี๋.......ไม่รู้จักเขานี่...........”

“บีบี๋??”

คราวนี้ทั้งผมและเพื่อนสนิทเรียกชื่อคนเจ็บพร้อมๆ กัน คนที่นอนอยู่ก็ออกอาการมึนงงว่าพวกผมตกใจอะไรกัน

บาดแผลภายนอกของบีบี๋ก็มีเท่าที่เห็น ส่วนศีรษะทั้งหมดดูปกติดีและไม่น่าจะมีตรงไหนได้รับการกระทบกระเทือน ผมกำลังจะถามไอ้แจ็คให้ชัวร์ว่าหมอได้เอ็กซเรย์ดูสมองหรือเปล่า เพราะประเมินจากสถานการณ์เวลานี้ ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว.... แต่ถ้าถามว่าบีบี๋โกหกไหม ผมเองก็ตอบไม่ได้และค่อนข้างเอนเอียงไปทางเชื่อว่าใครมันจะมีอารมณ์มาสร้างเรื่องเล่นละครกันตอนนี้

“ไอ้โรม มึงกดเรียกหมอแล้วใช่ไหม?”

“เออ กูเรียกแล้ว”

เป็นอันว่าผมกับไอ้แจ็คเข้าใจตรงกันว่ามันไม่ใช่แค่บีบี๋ไหปลาร้าหลุดกับขาหัก แต่ยังมีอาการภายในซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน ในที่สุดคุณหมอเจ้าของไข้กับพยาบาลก็เข้ามา.... ผมปล่อยให้แจ็คซึ่งเป็นคนที่อยู่กับบีบี๋มาตั้งแต่เมื่อคืนอธิบายว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวเองก็หยิบโทรศัพท์ที่เฮียรุจทิ้งไว้มากดหาเบอร์โทรศัพท์พ่อแม่น้อง ป่านนี้ที่บ้านบีบี๋คงจะเป็นห่วงกันใหญ่แล้ว ยังไงผมก็ต้องโทรบอกให้พวกเขารู้ว่าลูกชายคนเล็กเป็นตายร้ายดีอยู่ที่โรงพยาบาลนี้

ผมกะว่าจะออกไปคุยข้างนอกห้องเพื่อไม่ให้เกะกะรบกวนการทำงานของหมอ แต่ก่อนที่ผมจะเดินหลบมุมพ้นไปจากสายตาของร่างเล็ก น้ำเสียงแหบแห้งก็ร้องเรียกพร้อมทั้งเอื้อมมือข้างที่ยังใช้การได้ราวกับจะไขว่คว้าเอาตัวผมกลับคืน

“เฮียโรม.......อย่าทิ้งบี๋ไปไหนนะ.........”

บีบี๋มองผมอย่างเว้าวอน คำพูดแบบเดียวกับที่เคยได้ยินเมื่อหลายเดือนก่อนหวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่หนนี้ ใจผมกระตุกวูบด้วยความวิตกกังวลมากกว่าจะยินดี 

“เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว......เมื่อวันก่อนเฮียเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเฮียชอบบี๋.......เฮียโรมอย่าโกหกบี๋นะ.........”

ผมหันไปมองหน้าไอ้แจ็คเหมือนกับจะถามว่าควรทำยังไงดี มันเองก็ส่งซิกสั่งให้ผมรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้น้องอาละวาดโวยวายขึ้นมาอีก.... ในตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นี้คือความฝันหรือความจริงกันแน่ ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบให้บีบี๋สบายใจเอาไว้ก่อนในขณะที่ลางสังหรณ์ร้ายเริ่มถาโถมเข้ามาหลังจากที่คลื่นลมสงบอยู่นาน

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
PAI’s PART



‘ทิชา วันนี้ไม่ให้รถสถานีไปส่งเหรอลูก?’

‘พอดีว่าผมมีธุระด่วนที่อื่นน่ะครับ ก็เลยจะเรียกแท็กซี่ไปเอง’

‘โอย ไม่ต้องเลยๆ.... รถคันนี้ป้าจัดไว้ให้รับส่งทิชาโดยเฉพาะ ทิชาจะไปไหนก็บอกพี่คนขับรถได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ’

‘ขอบคุณมากครับ ป้าอิ๋ว’

‘ไหว้พระเถอะจ้ะ.... พักผ่อนเยอะๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ถ้าแม่นิดากลับบ้านแล้วเจอกันก็ฝากความคิดถึงไปให้ด้วย’



ผมออกจากลิฟท์มาเจอแม่อิ๋วกับทิชากำลังยืนคุยกันอยู่ตรงล็อบบี้หน้าประตูใหญ่ของสถานีโทรทัศน์พอดี สิ่งที่ได้ยินทำให้หางคิ้วผมกระตุกนิดหน่อยกับการที่เด็กใหม่แกะกล่องในวงการบันเทิงอย่างทิชา ทิชนันท์จะได้อภิสิทธิ์พิเศษระดับเดียวกับดาราซูเปอร์สตาร์ของช่องทั้งที่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าสังคมไหนก็ย่อมมีการจัดลำดับและความไม่เท่าเทียมกัน การที่ทิชาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านักแสดงรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้อิจฉาทิชาเลยสักนิด

ตั้งแต่ตัดสินใจย้ายจากเชียงรายลงมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเข้าวงการและตะลุยแคสงานไปทั่วราชอาณาจักร ผมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าหนทางคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คู่แข่งมีเป็นร้อยเป็นพัน เด็กต่างจังหวัดอย่างผมไม่มีเส้นสายจะไปสู้กับพวกคุณหนูคุณชายที่ได้อะไรมาง่ายๆ แค่กระดิกนิ้วสั่ง คนที่ต้นทุนทางสังคมต่ำกว่าก็ต้องพยายามถีบตัวขึ้นไปมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา

แม้กระทั่งกับเรื่องความรักก็ไม่เคยง่าย....



ปกติผมจะรอพี่โรสซึ่งเป็นทั้งผู้จัดการและเจ้าของโมเดลลิ่งมารับ แต่วันนี้ผมโทรบอกเรียบร้อยแล้วว่ากลับเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง ให้พี่เขาเอาเวลาไปดูแลน้องพุดซึ่งกำลังแคสงานโฆษณาขนมอยู่ที่สตูดิโออีกแห่งดีกว่า.... ทีแรกพี่โรสก็ไม่ยอมหรอกเพราะว่าผมคือตัวท็อปของสังกัด ตารางงานทุกอย่างจะต้องมีเขาคอยตามประกบคอยดูแลความเรียบร้อยและรับส่งถึงที่ แต่พอบอกไปว่าผมจะขอติดรถใครไปลงสถานีรถไฟฟ้า คุณผู้จัดการก็ไฟเขียวเซย์เยสให้ผมกลับเองได้ทันที

ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่ได้เอ่ยปากอะไรกับเจ้าของรถเลยก็เถอะ....

ผมไปดักรอแดนตรงประตูทางออกลานจอดรถ เมื่อเป้าหมายโผล่มา ผมก็พุ่งเข้าไปชาร์จพร้อมด้วยรอยยิ้มสดชื่นแบบที่มีให้อีกฝ่ายอยู่เสมอ

“แดน วันนี้พี่ขอติดรถไปลงบีทีเอสได้ไหม?”

“แล้วพี่โรสล่ะครับ ไม่ได้มารับเหรอ?” 

ร่างสูงดูประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อเห็นผมยืนรออยู่ตรงนี้ เพราะงานส่วนของผมกับภัทรถ่ายเสร็จไปนานแล้ว น้องๆ คนอื่นก็ทยอยกลับไปตั้งแต่ตอนเย็น เหลือแค่แดนกับทิชาที่ต้องถ่ายซ่อมภาพนิ่งที่มีปัญหาเรื่องฉากเลิฟซีนกะทันหัน

“พี่โรสไปดูเจ้าพุดแคสโฆษณาที่สตูดิโอแถวปิ่นเกล้าโน่น ป่านนี้งานยังไม่เสร็จเลย พี่ก็เลยขอเขากลับเองดีกว่า”

“งั้นก็ได้ครับ............”

แดนตอบตกลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเดินนำไปยังรถคัมรี่สีบรอนซ์เงินซึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล ท่ามกลางความดีใจที่เขาไม่ปฏิเสธก็ยังมีอารมณ์วูบโหวงแทรกเข้ามาให้อกสั่นขวัญแขวน.... แดนไม่เคยเย็นชากับผมแบบนี้เลย ทุกครั้งที่เจอหน้าหรือคุยกันผ่านแชทก็มักจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน แต่หลังจากที่นายภัทรเอารูปๆ นั้นมาเปิดประเด็น ท่าทีของแดนที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า

ผมไม่คิดเลยว่าความรักที่อุตส่าห์แน่ใจหมายมั่นปั้นมือว่าใช่ สุดท้ายจะต้องลงเอยด้วยการที่ตัวเองเป็นฝ่ายรักเขาข้างเดียว.... จะว่าไปแล้ว ผมกับแดนก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อาจจะมองดูว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่าสำหรับการฟันธงคนๆ นี้ก็คนที่ดีที่สุด ผมก็บอกไม่ได้หรอกว่าแดนคือคนที่ดีที่สุด รู้เพียงแค่ว่าเขาคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วยมากที่สุดในเวลานี้

สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือจริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนใจเย็นหรือมีความเป็นผู้ใหญ่มากนัก ผมเพิ่งอายุยี่สิบสอง ความหัวดื้อและใจร้อนตามประสาวัยรุ่นก็ยังมีมากอยู่

ยิ่งเป็นเรื่องความรัก ผมยิ่งดื้อ

ทั้งดื้อด้านและโง่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ....


“แดน.... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาเปิดไลฟ์แก้เบื่อรถติดกันไหม?” 

ผมเอ่ยถามลองเชิงดูว่าตอนนี้อีกฝ่ายอารมณ์เป็นยังไง ก่อนหน้านี้ผมกับแดนก็เคยไลฟ์ทักทายแฟนคลับในอินสตราแกรมด้วยกันบ่อยๆ เผื่อว่าบางทีการได้เห็นแฮชแท็ก #แดนปาย ติดเทรนด์เหมือนช่วงแรกๆ ที่เราคุยกันจะทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ และเราสองคนก็เป็นคู่จริง ไม่ใช่คู่พีอาร์กองละครสั่งโปรโมทแบบ #แดนทิชา

“วันนี้ผมเหนื่อย ขอบายแล้วกันครับ”

คำปฏิเสธซึ่งเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกทำเอาผมหน้าเจื่อน แดนก็คงรู้แหละว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกมายิ่งทำให้ผมเสียเซลฟ์เพิ่มขึ้นไปอีกจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่เขาก็ไม่คิดจะปราณีผมเอาเสียเลย

“แต่พี่ปายจะไลฟ์ก็ได้นะ แค่อย่าให้ผมติดไปในกล้องก็พอ”

“งั้นไม่เอาดีกว่า........” 

ผมส่ายหน้าพลางหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนความผิดหวังก่อนจะยกมือถือขึ้นมาเปิดอ่านคอมเมนท์ในไอจีฆ่าเวลา พอดีเจอคอมเมนท์จากเพื่อนสมัยม.ปลายก็เลยกะว่าจะพิมพ์ตอบมันสักหน่อย ทว่า คำพูดจากคนข้างกายก็ทำให้ผมต้องชะงักปลายนิ้วลงชั่วคราว

“พี่ปายรู้ตัวไหมว่าโกหกไม่เก่ง อุตส่าห์เทคคอร์สแอคติ้งเยอะกว่าคนอื่นแท้ๆ แต่เล่นละครไม่เนียนเลยนะ”

เนื้อความอาจฟังดูเหมือนหยอกล้อเล่นแต่ผมกลับมองไม่เห็นร่องรอยของความซุกซนขี้แกล้งปรากฏในดวงตาสีเข้มคู่นั้น.... สัญญาณไฟจราจรยังคงเป็นสีแดง รถยนต์นับร้อยต่อแถวรอข้ามสี่แยกยาวเหยียดและไม่มีวี่แววว่าแถวจะขยับ ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแดน ริมฝีปากหยักได้รูปขยับประโยคต่อไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับผม

“พี่มีเรื่องอยากคุยกับผมก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบ”

ก็จริงอย่างที่แดนว่า ผมเรียนแอคติ้งเพื่อใช้ในการทำงาน แต่ในชีวิตจริง ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องนำเอาทักษะทางนี้มาใช้กับคนใกล้ตัว

ไม่รู้สิ ถึงเจ้าตัวจะบอกอนุญาตให้ถามได้ แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกว่าสิ่งที่จะได้รับกลับมาจะเป็นความจริงทั้งหมด.... ผมเข้าใจผิดคิดไปเองว่าคนๆ นี้คือเด็กหนุ่มที่แสนใสซื่อน่าเอ็นดูเหมือนน้องชายข้างบ้าน ก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหัวใจของเขามีความลึกลับซับซ้อนไม่ต่างจากกล่องปริศนาซึ่งมีกุญแจหลายสิบหลายร้อยดอกวางเอาไว้ โดยที่ไม่มีคำบอกใบ้ว่ากุญแจดอกไหนคือของจริง

“ถ้าถามแล้วจะยอมบอกจริงเหรอ?”

“จะพยายามครับ”

สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ลองไขไปเรื่อยๆ จนกว่าจะใช่....

“งั้นพี่จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน.... ตกลงว่าแดนกับทิชารู้จักกันมาก่อนใช่ไหม? แล้วคบกันแบบไหน? ทำไมถึงต้องทำเป็นไม่ชอบหน้ากันต่อหน้าทุกคนด้วย?”

แดนกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วหันไปมองถนนข้างหน้า แค่คำถามชุดแรกเขาก็ออกอาการไม่อยากตอบให้เห็นแล้ว

“ผมว่าคำถามนี้พี่ปายก็รู้คำตอบอยู่แล้วนะ ไอ้ภัทรมันเล่าให้ฟังหมดแล้วนี่”

สิ่งที่ภัทรพยายามกรอกหูผมมาตลอดช่วงบ่ายที่ทำงานด้วยกันก็คือแดนแอบชอบทิชามาตั้งแต่ปีหนึ่ง ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังแต่เพื่อนที่เรียนคณะสถาปัตย์ก็ดูออกกันทั้งนั้น.... สารพัดวีรกรรมและความทุ่มเทเพื่อให้ทิชาหันมามองมีพยานรู้เห็นเยอะแยะ ที่เขาไม่แซ็วกันต่อหน้าก็เพราะกลัวแดนจะเสียใจที่ทิชาไม่เคยรับรู้สนใจใยดีอะไรเลย หากสำหรับผม นี่คือความจริงในมุมของคนส่วนใหญ่ที่รู้จักแดนแต่อาจไม่ใช่ความจริงในมุมของคนโง่ๆ อย่างผมก็เป็นได้

“พี่ไม่สนใจที่ภัทรพูดหรอก พี่อยากฟังความจริงจากแดนคนเดียว”

ผมบอกผ่านน้ำเสียงหนักแน่น ใช้เวลาไม่กี่วินาทีที่มีอยู่เพื่อเตรียมใจรับสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้ 

“ถ้าแดนบอกว่าใช่ก็คือใช่ แต่ถ้าแดนบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้คิดอะไรกับทิชาเลย พี่ก็จะเชื่อ.... ต่อให้มีรูปแบบนี้โผล่มาให้เห็นอีกกี่ร้อยกี่พันใบ พี่ก็จะเชื่อแค่สิ่งที่แดนบอกเท่านั้น”

“.....................”

“พี่ชัดเจนกับแดนมาตลอด แดนเองก็รู้นี่ว่าพี่คิดยังไง เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องการความชัดเจนจากแดนเหมือนกัน”

เงียบกริบ..... แดนนั่งนิ่งเม้มปากอยู่พักใหญ่ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยนอกจากเสียงแตรจากรถยนต์ข้างหลังกับเสียงหัวใจตัวเองเต้น

ผมว่าผมรู้คำตอบเรื่องนี้อยู่แล้วอย่างที่แดนพูดนั่นแหละ ขนาดเขาไม่พูดยังทำให้ผมทั้งเจ็บทั้งจุกได้ขนาดนี้ ถ้าเขาพูดออกมาตรงๆ นี่ไม่ทำผมร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเลยเหรอ.... จนถึงเมื่อกี้ผมยังคิดว่าตัวเองมีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะเผชิญหน้ากับความชัดเจนแบบแฟร์ๆ แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับยากมาก รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกจนแทบจะทนไม่ไหวเลยทีเดียว

แต่จะห้ามไม่ให้เขาพูด มันก็คงสายเกินไปเสียแล้ว....


“ผมรักทิชา”

“ตกหลุมรักมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่เหมือนเดิม.......”



กลายเป็นผมที่เงียบสนิทพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนโดนกำปั้นสวนเข้ากระแทกดั้งจมูกอย่างจัง อาการเจ็บจนจี๊ดขึ้นสมองแล่นลามไปทั่วจนหู้อื้อตาลายไปหมด กระบอกตาผมร้อนผ่าว อยากจะส่งเสียงออกมาก็ดันมีก้อนสะอื้นขมเฝื่อนจุกขวางจนแม้แต่จะหายใจยังลำบาก

“แล้วพี่ล่ะ?”

“ผมชอบพี่ปายครับ”

“แดนชอบพี่เหรอ..........”

ไม่น่าเชื่อว่าเขายังจะพูดแบบนี้อยู่ ช่างเป็นคนที่โกหกหน้าตายได้เลือดเย็นที่สุด ผมกำลังจะต่อว่าออกไปอยู่แล้วเชียวแต่พลันฉุกคิดถึงความแตกต่างระหว่างคำสองคำขึ้นมาได้ 

“อ้อ มันคือความชอบ.... สำหรับแดนแล้ว ความชอบไม่เท่ากับความรักสินะ”

“ตามนั้นครับ”

“แล้วทั้งหมดที่เราคุยกันล่ะ ที่ผ่านมามันคืออะไร?”

“ก็คือการคุยนั่นแหละครับ ก็อย่างที่ไอ้ภัทรบอกว่าทิชาเกลียดขี้หน้าผม ในเมื่อผมคบกับคนที่ตัวเองรักไม่ได้ก็ต้องคบกับคนอื่น”

คำว่า ‘ตัวสำรอง’ กับ ‘ตัวตายตัวแทน’ โผล่เข้ามาในห้วงความคิดทันทีที่แดนพูดจบ ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แดนกำลังพยายามทำอยู่นะ เพราะไม่มีทางสมหวังกับคนที่รักก็เลยต้องไปหาทางลงกับคนอื่น แต่ที่หัวใจผมกรีดร้องโหยหวนก็เพราะไม่คาดฝันว่าตัวเองจะต้องมาเป็นเงาทับซ้อนของใครบางคนนี่แหละ 

“บอกตามตรง ผมเคยคิดนะว่าบางทีพี่ปายอาจจะเข้ามาแทนที่ทิชาในใจผมได้ถ้าเรารักษาระดับความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คนที่ใช่อาจไม่ใช่คนแรกที่เราตกหลุมรักเสมอไป.... ผมถึงได้คุยกับพี่ปายเหมือนที่อยากคุยกับทิชา เผื่อว่าความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมมีให้ทิชาจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมมองหน้าหรือได้ยินเสียงพี่ปายบ้าง........”

“แต่มันก็ไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?”

“พี่ปายจะเลิกคุยกับผมก็ได้นะครับ” 

คนที่เคยอ่อนโยน บทเวลาจะเย็นชาใจร้าย เขาก็ร้ายได้สุดขั้วเหมือนเป็นคนละคน 

“แต่ถ้าจะคุยกันต่อ พี่ก็ต้องรับให้ได้ว่าผมรักทิชาอยู่แล้ว และมันคงยากมากที่จะมีใครมาแทนที่เขา”

“พี่ให้แดนได้มากกว่าที่ทิชาให้นะ”

“ทิชาไม่เคยให้อะไรผมเลยต่างหากครับ แต่ผมก็ยังรักมันอยู่ดี”

“สรุปคือแดนไม่มีความคิดที่จะเลิกรักทิชาเลยเหรอ?”

“ผมทำไม่ได้ครับ”

สถานการณ์ตรงหน้าคือสงครามความรักที่ผมไม่มีวันได้ลงสนามเป็นตัวจริง ทางเลือกมีอยู่แค่ว่าจะถอนตัวออกมาหรือกระโจนลงไปเสี่ยงตาย.... สถานีรถไฟฟ้าที่ผมต้องลงอยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร การเปิดประตูรถแล้วจากไปพร้อมกับเศษหัวใจซึ่งแตกละเอียดอาจฟังดูเป็นเรื่องง่ายและจบปัญหาคาราคาซังได้ดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ยอมทำ

อ้อ.... ก็เพราะผมมันดื้อด้านแล้วก็โง่เง่าที่สุดไงล่ะ


“พี่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พี่เลิกรักแดนไม่ได้”

“พี่ตกหลุมรักแดนตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ถึงจะถูกหักอกแบบทุเรศๆ แต่ก็ยังรักอยู่เหมือนเดิม..........”



.


.


.


จุดหมายปลายทางของผมในวันนั้นไม่ใช่สถานีรถไฟฟ้าอย่างที่ตั้งใจในคราวแรก แต่เป็นคอนโดฯ ย่านอโศก-เพชรบุรีซึ่งเคยคิดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วว่าอยากจะลองมาเที่ยวดูสักครั้ง ทว่า สิ่งที่ผิดไปจากความฝันก็คือผมไม่ได้มาเที่ยว หากแต่มาเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้บางอย่างซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นเลยในอนาคต

แน่นอนว่าผมยังคงหวัง ยังคงอยากได้ถึงได้ยอมเสี่ยงทุ่มจนหมดหน้าตัก แบบเดียวกับที่แดนทุ่มเทให้ทิชา

ถ้าผลออกมาไม่เป็นอย่างที่หวัง อย่างน้อยผมก็อยู่ในสถานะเดียวกับเขาคือเป็นฝ่ายรักโดยที่ไม่ได้ความรักตอบกลับมา

ร่างเปลือยเปล่าของผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียงหลังกว้าง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอยลงมาปะทะผิวเนื้อพาลให้รู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งตัวนั้นไม่ใช่เพราะหนาวหรอก แต่เป็นเพราะสายตาคมกริบจากร่างสูงซึ่งจ้องมองมาต่างหาก.... แต่ก็เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น หลังจากที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายประกบทาบทับลงมา หัวสมองผมก็ว่างเปล่าจนแทบไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากสิ่งที่แดนสามารถมอบให้ผมได้

เขามอบให้ผม วางมันลงบนมือทั้งสองข้างของผม

แต่มันก็ยังไม่ใช่ของๆ ผมอยู่ดี



‘ทิชา.............’


ชื่อนั้นย้อนกลับเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้งเมื่อห้วงอารมณ์กำลังพุ่งทะยานขึ้นไปถึงขีดสุด แต่ทันทีที่แดนเรียกชื่อของใครอีกคนแทนที่จะเป็นผม มันก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมจนฟีบ ร่างกายของผมยังคงตอบสนองเรื่องเซ็กซ์ไปตามสัญชาตญาณในขณะที่หัวใจหยุดชะงักไม่ต่างจากก้อนเนื้อที่ถูกน็อคน้ำแข็ง

เจ็บ....

แดนบอกในสิ่งที่ผมควรรู้แล้ว และผมก็เป็นคนเลือกที่ก้าวลงสนามรบเอง ถ้าต้องการจะอยู่ตรงนี้ต่อก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มาได้ไกลแค่ไหนและสถานะที่แท้จริงคืออะไร

ต่อให้เป็นความรักที่แสนบิดเบี้ยวที่อาจไม่มีวันจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง หากสุดท้ายมันก็คือความรักในรูปแบบของผมกับแดน


......ไม่ต้องห่วงนะ ถึงจะเจ็บแต่ผมก็ยังสบายดีอยู่......



TO BE CONTINUE

 :katai5:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อิรุงตุงนังไปหมดเลย เห้อออ
ยังไงก็อยากให้เป็นโรมทิชานะคะ แต่แอบอยากให้โรมใจแข็งกว่านี้อีกนิด  :katai1:

ความใจอ่อนของโรมจะทำให้ทิชาเสียใจหรือเปล่านะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2018 00:09:38 โดย suck_love »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ปวดหัวละเกิน วุ่นวายกันไปหมดเลย
นี่บี๋แกล้งความจำเสื่อมรึป่าว

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เอาเหอะ มาถึงตอนนี้แล้วใครจะคู่ใครเราไม่สนแล้วนะ
ขอแค่ทิชาไม่ต้องเสียใจกับความโลเล ใจร้าย ของทั้งแดนและโรมก็พอ
บอกเลยเรารักทิชามาก ถ้าสองคนที่มีอยู่มันไม่ดี วอนคนเขียนเอาพระเอกคนใหม่ออกมาเลย
เราพร้อมเชียร์เสมอ ขอแค่ให้น้องทิชาของเราสมหวังในความรักบ้างก็พอแล้ว

ออฟไลน์ minjeez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เอาเหอะ มาถึงตอนนี้แล้วใครจะคู่ใครเราไม่สนแล้วนะ
ขอแค่ทิชาไม่ต้องเสียใจกับความโลเล ใจร้าย ของทั้งแดนและโรมก็พอ
บอกเลยเรารักทิชามาก ถ้าสองคนที่มีอยู่มันไม่ดี วอนคนเขียนเอาพระเอกคนใหม่ออกมาเลย
เราพร้อมเชียร์เสมอ ขอแค่ให้น้องทิชาของเราสมหวังในความรักบ้างก็พอแล้ว

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
มีความซับซ้อน วุ่นวายสับสนเข้าไปอีก
เห็นด้วยกับเม้นบนนะคะ ที่เราขอให้กำลังใจนิชาคนเดียวละ
ตอนนี้ไม่เชียร์ใครทั้งนั้น ขอให้ได้แฟนใหม่นอกเหนือจากกลุ่มเดิมนี้เลยด้วย
แต่ลุ้นเฮียรุจเอ็นดูทิชาเขาหน่อย ได้พี่เหี้ยมๆมาเป็นแบ็คอัพบ้าง
 ใครจะมารังแกจะได้เกรงใจหน่อย ชีวิตรันทดเหลือเกิน เหอๆ

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ขอแค่ทิชามีความสุขก็พอตอนนี้ไม่อยากขอไรมาก

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
14
~ให้โลกหมุนรอบตัวเอง ~


TISHA’s PART


ผมเดินเร็วเต็มฝีเท้าจนเกือบกลายเป็นวิ่งไปตามทางเดินในอาคารพักฟื้นผู้ป่วย แม้นางพยาบาลสูงวัยหน้าดุจะหันมาเอ็ดแต่ก็ไม่ทำให้ผมลดความเร็วลง.... ใจผมเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นข้อความที่แม่และพี่สาวของเพื่อนส่งมาหา ผมเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง รู้แค่ว่าบีบี๋ประสบอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก นอกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และทำไมบีบี๋ถึงได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาแบบนั้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง ผมก็เจอกับแม่และพี่สาวของบีบี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่มีสีหน้าย่ำแย่อิดโรยเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“สวัสดีครับ หม่าม้า เจ้แบม.... หมอบอกว่าบีบี๋เป็นยังไงบ้างครับ? ตกลงว่าพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหม?”

“บีบี๋ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แค่ไหปลาร้าหลุดแล้วก็ขาหัก ที่เหลือก็แค่แผลถลอกนิดหน่อย”

เจ้แบมเป็นคนตอบ ผมพยักหน้ารับรู้พลางหันไปมองร่างที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง บอกตามตรงว่าค่อนข้างโล่งใจขึ้นมากเมื่อสภาพของเพื่อนไม่ได้หนักหนาสาหัสปางตายเหมือนที่แอบคิดไปล่วงหน้า ถึงเฝือกที่ไหล่กับขาจะดูหนาเตอะน่ากลัวชวนให้รู้สึกอึดอัดแทนก็เถอะ แต่เชื่อว่าหลังถอดเฝือกทำกายภาพบำบัดอีกไม่กี่เดือนก็น่าจะกลับมาหายเป็นปกติได้ไม่ยาก

“ถ้าคุณหมอว่าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ยังไงหม่าม้ากับเจ้แบมก็อย่าคิดมากเลยนะครับ เข้มแข็งเผื่อมันด้วย ถ้าไอ้บี๋ตื่นมาเห็นหม่าม้ากับเจ้ร้องไห้เสียใจที่มันเจ็บ มันก็คงไม่สบายใจ.........”

“มันไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บตัวอย่างเดียวน่ะสิ ทิชา”

เจ้แบมดึงทิชชู่จากโต๊ะหัวเตียงมาซับน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าผม ดูคล้ายว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เกิดขึ้น และมันก็คงต้องร้ายแรงมากพอสมควรถึงทำให้หญิงแกร่งสายสตรองแบบเจ้แบมออกอาการเครียดจัดได้ขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่ครอบครัวของบีบี๋ส่งข้อความหาผมเพื่อขอให้มาที่นี่

หม่าม้าดึงมือผมเอาไว้เสมือนว่าผมคือความหวังสุดท้าย ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจความหมายที่ส่งผ่านแววตาอ่อนล้าของหญิงสูงวัยเท่าไรนัก หากก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าและรักใคร่ห่วงใยในตัวลูกชายตามประสาคนเป็นแม่

“อาน้องทิชา หม่าม้ารู้ว่าหมู่นี้ลื้อกำลังยุ่งๆ เรื่องเป็นดาราอยู่ แต่ลื้อพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าอาบีบี๋ไปคบเพื่อนเกเรที่ไหน?” 

ผู้ใหญ่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ไม่ทันขาดคำน้ำตาก็ร่วงเผาะจนผมต้องหยิบทิชชู่ส่งให้.... ทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเกินกว่าที่ผมเคยคิดไปไกลหลายปีแสง แน่นอนว่าผมรู้เรื่องที่บีบี๋โดดเรียนบ่อย ยิ่งถ้าเป็นวิชาบรรยายที่อาจารย์ไม่เช็คชื่อก็แทบไม่เห็นหน้ามันในคลาสเลย แต่เพราะเราทั้งสองคนเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้วผมจึงไม่กล้าไลน์ไปพูดคุยถามไถ่ ถึงส่งไปมันก็คงไม่ตอบ ก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนใหม่ของมันจะช่วยเหลือประคับประคองกันไป แล้วมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง 

“อีไม่ค่อยกลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ไปค้างบ้านเพื่อนที่ไหน หม่าม้าถามก็ไม่ยอมบอก ปาป๊ากับอาเฮียบิ๊กจะตีอาบีบี๋เพราะเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแต่อีก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย.... บางทีอีก็บอกว่าไปนอนบ้านอาน้องทิชา แต่หม่าม้าดูออกว่าอีโกหก”

“ผมขอโทษครับ หม่าม้า แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.... ผมกับบีบี๋ไม่ได้คุยกันมาพักนึงแล้ว...........” 

ผมตัดสินใจบอกความจริงที่ว่าผมกับบีบี๋เลิกคบกัน หม่าม้ากับเจ้แบมต่างก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเพราะบีบี๋แทบไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ที่บ้านฟัง แต่ถึงจะไม่ได้สนิทกันแล้วก็ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากเห็นครอบครัวของมันทุกข์ใจ แล้วเท่าที่ผมรู้ ฝ้ายกับเจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มใหม่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดจะพากันไปเสียผู้เสียคนแบบนั้น 

“บีบี๋ไปสนิทกับเพื่อนผู้หญิงในภาคเดียวกันน่ะครับ แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้ดูเกเรอะไร ไม่น่าใช่เด็กเที่ยวด้วย”

แม้จะพยายามช่วยบอกให้คลายความกังวล หากก็ดูท่าทางจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไร.... เจ้แบมลากเก้าอี้มานั่งประกบผมอีกข้างก่อนจะยอมเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อคืน ผมถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าทำไมแม่กับพี่สาวบีบี๋ถึงได้กลุ้มอกกลุ้มใจเพราะพฤติกรรมซึ่งเหมือนออกนอกลู่นอกทางของมันนัก

“คืออย่างนี้นะ ทิชา.... เมื่อคืนที่บีบี๋เกิดเรื่องน่ะ สถานที่เกิดเหตุเป็นผับแถวเอกมัยชื่อเบอร์ลิค พอเจ้ลองไปถามจากบุรุษพยาบาลห้องฉุกเฉิน คนที่เรียกรถพยาบาลพาบีบี๋มาส่งแล้วก็อยู่ด้วยจนหมอใส่เฝือกจับแอดมิดเสร็จก็คือเจ้าของผับกับลูกน้องเขา เห็นว่าทางนั้นรู้ชื่อรู้ข้อมูลบีบี๋ทุกอย่าง ถ้าสนิทกันขนาดนั้นก็ไม่น่าจะใช่แค่เจ้าของผับกับลูกค้าธรรมดาๆ ใช่ไหมล่ะ” 

ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวผมก็คือชื่อของพี่รุจ เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเด็กนอกคณะวิศวะฯ อย่างบีบี๋จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคได้ยังไง แต่แล้ว ผมก็นึกถึงของชิ้นสำคัญซึ่งห้อยคอตัวเองมานานนับเดือนขึ้นมาได้

หรือว่าบีบี๋ไปได้เกียร์จากใครคนใดคนหนึ่งในนั้นมา....?

ผมรีบหันมองไปยังคนที่กำลังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง บริเวณลำคอโล่งโจ้งว่างเปล่าไม่มีเครื่องประดับสวมอยู่ก็จริง แต่รอยบาดเล็กๆ ซึ่งพาดตัดกับสีผิวก็ทำให้ผมทำได้แค่เพียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย.... ไม่ใช่ว่าผมนิ่งนอนใจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนที่เลิกคบกันไปแล้ว แต่ในเมื่อผมไม่เห็นบีบี๋คล้องเกียร์วิศวะฯ ก็เท่ากับไม่มีหลักฐานว่ามันเป็นคนในของเบอร์ลิค และผมก็ไม่อยากซี้ซั้วพูดเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริงจนทำให้คนอื่นเขายิ่งเครียดหนักไปกว่าเดิมด้วย

หากดูท่าทางผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในสายตาพี่สาวบีบี๋ไปเสียแล้ว....

“ถึงเจ้จะเอาแต่เรียน วันๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแต่เจ้ก็รู้นะว่าเบอร์ลิค เอกมัยไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย แล้วเจ้ก็คิดว่าทิชาก็น่าจะรู้เหมือนกัน”

“ผมกับบีบี๋เคยไปเที่ยวเบอร์ลิคด้วยกันครั้งนึงครับ แต่ก็แค่ไปเที่ยว แล้วมันก็นานหลายเดือนมากแล้วด้วย..........”

ผมบอกได้แค่นั้นก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แม่และพี่สาวบีบี๋ ผมอาจดูเป็นคนที่แย่เอามากๆ ทิ้งคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนไปมีความสุขโดยไม่สนใจใยดีมันเลย พอเกิดเรื่องก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แม้กระทั่งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มีปัญหาจะให้

“ขอโทษจริงๆ ครับ เจ้แบม.... ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้.........”

“ช่างเถอะๆ เจ้ก็ไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดของทิชาสักหน่อย”

เจ้แบมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แม้เจ้าตัวจะมีสีหน้าผิดหวังที่ผมไม่ยอมปริปากพูดถึงเบอร์ลิคมากเกินไปกว่าแค่สารภาพว่าเคยไปเที่ยวครั้งเดียว พอๆ กับที่ผิดหวังในตัวน้องชายซึ่งดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน 

“บีบี๋ต่างหากที่ทำตัวเอง โตจนป่านนี้แล้วยังเหลวไหลไม่เอาไหน.... พอไม่ได้คบกับเพื่อนดีๆ แบบทิชาก็ยิ่งกู่ไม่กลับไปกันใหญ่”


ก๊อกๆๆๆ



‘ผมเข้าไปนะครับ..........’



เสียงเคาะประตูกับเสียงพูดที่แสนคุ้นหูดังขึ้น เชื่อไหมว่าผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่างเพียงแค่แวบแรกที่ได้ยิน ภายในชั่วระยะเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีนั้นมีแต่คำขอร้องอ้อนวอนคุณพระคุณเจ้าว่าอย่าให้ใช่คนที่ผมคิดลอยวนเวียนอยู่เต็มหัวสมอง แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าผมไม่ใช่ประเภทมากับดวง โชคไม่เคยเข้าข้างมาตั้งแต่เกิด แล้วมีหรือว่าไอ้คำขอติงต๊องนั่นจะเป็นจริงขึ้นมาได้

แค่เห็นปลายรองเท้ายื่นโผล่มา ผมก็รู้แล้วว่าเขาคนนั้นคือใคร

แฟน....ของผม..........


“หม่าม้ากับเจ้แบมมาทานข้าวก่อนเถอะครับ ผมซื้อของกินมาหลายอย่างเลย น้ำผลไม้กับขนมก็มี.... เดี๋ยวผมดูน้องให้เอง”

ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อช็อปวิศวะฯ หิ้วถุงใส่ข้าวกล่องกับก๋วยเตี๋ยวพะรุงพะรังพลางเอ่ยขันอาสาช่วยเฝ้าคนป่วยให้อย่างน้ำใจงาม เส้นประสาทผมเขม็งเกลียวเต้นตุบตับจนเสียงลอดออกมาทางหู.... บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่จะโกรธ โมโห หรือเป็นบ้าเป็นบออะไรก็ช่างแม่งเหอะ ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากจะเดินเข้าไปตีคนตรงหน้าแรงๆ แล้วโยนข้าวของพวกนั้นออกนอกหน้าต่างไปให้มันรู้แล้วรู้รอด

ทำไมพี่โรมถึงมาอยู่ที่นี่....!?

“ขอบใจมากนะ โรม.... ถ้าไม่ได้นายคอยเป็นธุระจัดการเรื่องบีบี๋ให้ พวกเจ้คงยังตั้งสติไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูกแน่”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย”

ชายหนุ่มซึ่งทำตัวเสมือนเป็นลูกชายอีกคนของตระกูลแซ่ลิ้มกุลีกุจอวางข้าวปลาอาหารที่ซื้อมาลงบนโต๊ะพร้อมทั้งพูดคุยกับเจ้แบมอย่างสนิทสนม บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์เข้ามาปกคลุมแทนที่ความตึงเครียดเมื่อครู่ จากที่ร้องห่มร้องไห้กลุ้มใจเรื่องบีบี๋ก็เปลี่ยนมาเป็นชื่นมื่นเตรียมล้อมวงกินข้าว แต่ก็ชื่นกันได้ไม่นานหรอกในเมื่อยังมีก้างขวางคอชื่อทิชายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้

“พี่โรม.........”

“ทิชา!?” 

พี่โรมดูจะตกใจมากทีเดียวที่เห็นผม รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อหายวับไปราวกับโดนหลุมดำดูดไปอีกมิติหนึ่ง 

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

ผมว่าคำถามนั้นควรจะเป็นของผมมากกว่า แล้วพี่โรมก็ควรจะตอบให้เคลียร์ด้วยว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง ซึ่งถ้าเจ้แบมไม่เข้ามาแทรกแล้วชิงพูดแทนทั้งผมทั้งพี่โรม เห็นทีว่าทิชาเวอร์ชั่นหัวร้อนคงได้ออกมาแผลงฤทธิ์ให้ผู้ใหญ่หมายหัวว่าเป็นเด็กร้ายกาจไม่มีมารยาทแน่

“เจ้เป็นคนส่งแมสเสจบอกทิชาว่าบีบี๋เข้าโรงพยาบาลเองแหละ พอดีว่ามีหลายๆ เรื่องที่อยากถามทิชาก็เลยขอให้เขามาคุยกันนิดหน่อย” 

พี่สาวบีบี๋อธิบายต้นสายปลายเหตุทางฝั่งผมก่อนแล้วค่อยไล่เรียงความดีความชอบที่พี่โรมทำเอาไว้ให้ฟังทีละข้อ

“โรมเป็นคนโทรบอกเจ้กับหม่าม้าเรื่องบีบี๋ เห็นว่าเจ้าของร้านเบอร์ลิคเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับเขาก็เลยรู้ข่าวต่อๆ กันมาจากเพื่อนอีกที.... นี่โรมก็อุตส่าห์อยู่เฝ้าให้ตั้งแต่บ่าย ช่วยจัดการพวกเรื่องเอกสารขอเคลมประกันสุขภาพของมหาลัยให้ ค่อยยังชั่วหน่อยที่อย่างน้อยบีบี๋ก็รู้จักคบคนดีมีน้ำใจเอาไว้บ้าง”

“เหรอครับ”

ผมลืมไปได้ยังไงว่าพี่โรมกับบีบี๋เคยเป็นอะไรกัน ถึงแม้จะแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็เคยไปรับ-ส่งเข้านอกออกในบ้านบีบี๋จนรู้จักมักจี่กับคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ความหงุดหงิดในหัวใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหม่าม้ากับเจ้แบมดูจะปลื้มพี่โรมเหมือนอยากได้ไปเป็นเขย แล้วเจ้าตัวก็ยังคงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยสักนิด

หน้าผมตึงมาก ตาแข็งปากคว่ำหนักจนรู้ตัวเลยว่าไม่มีทางกลับมายิ้มต่อหน้าคนทั้งหมดในห้องนี้ได้แน่....

“อาน้องทิชา อาโรม พวกลื้อมากินข้าวกับหม่าม้าก่อนแล้วค่อยกลับนะ.... เดี๋ยวคืนนี้หม่าม้ากับเจ้แบมจะอยู่เฝ้าบีบี๋เอง พวกลื้อเหนื่อยเพราะลูกชายหม่าม้ามาเยอะแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า”

“ไม่ล่ะครับ หม่าม้า ผมไม่กล้ารบกวนหรอก” 

ผมตอบปฏิเสธอย่างสุภาพโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองพี่โรมซึ่งกำลังช่วยเจ้แบมแกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม

“รบกวนที่ไหนกัน ดูสิ อาโรมซื้อข้าวมาเยอะแยะเชียว หม่าม้ากับเจ้แบมกินกันสองคนไม่หมดอยู่แล้ว”

“คือ........รถที่มาส่งผมเขาจอดรออยู่ข้างล่างน่ะครับ หม่าม้า ถ้าผมกลับดึก พี่คนขับรถก็ต้องกลับดึกไปด้วย ผมเกรงใจเขา”

“งั้นลื้อก็กลับดีๆ ถ้ามีเวลาว่างก็มาเยี่ยมบีบี๋บ้างนะ อาน้องทิชา”


ผมยกมือไหว้หม่าม้ากับเจ้แบมก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ความรู้สึกหงุดหงิดเกรี้ยวกราดแน่นตื้ออยู่ในอกจนอึดอัดอยากหาที่ระบาย.... จะด่าว่าผมแม่งไบโพล่าร์ อารมณ์สองขั้วเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงน่ารำคาญฉิบหายก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อกี้ผมยังนึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแม่และพี่สาวบีบี๋ได้อยู่เลย แต่พอมีคนยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็ดันทำตัวงี่เง่าด้วยการนึกหวงพี่โรม ไม่พอใจที่เขากลับไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวแฟนเก่า

ใครจะเสนอหน้าเป็นคนดีมีน้ำใจยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่โรม

ต้องไม่ใช่แฟนของผม คนที่ครั้งหนึ่งเคยมองว่าไอ้บี๋ช่างน่ารักแสนดีแล้วก็เลือกมันก่อนที่จะมาเลือกผม....!



“ทิชา”

“ทิชา...........”

ต้นเหตุของเชื้อไฟในหัวใจพยายามเอ่ยเรียกจากทางด้านหลัง ผมยิ่งเร่งฝีเท้าหนีทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงห่าเหวอะไรทั้งนั้นจนมาหยุดอยู่หน้าลิฟท์ ปลายนิ้วกระแทกปุ่มซ้ำๆ ทั้งที่ก็เคยเรียนมาว่าการกดปุ่มลิฟท์หลายครั้งไม่ได้ช่วยให้มันมาเร็วขึ้น หากตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพี่โรม ยังไม่อยากรับรู้รับฟังว่าเขายังหลงเหลือความรักความห่วงใยให้บีบี๋มากแค่ไหน

“มาคุยกันก่อน พี่อธิบายเรื่องทั้งหมดได้นะ” 

เพราะไอ้ลิฟท์เวรมันไม่ยอมมา ผมก็มองหาป้ายบันไดหนีไฟ ยอมวิ่งลงสิบห้าชั้นดีกว่าคุยกับคนโลเลสองใจ แต่พี่โรมกลับคว้าแขนผมเอาไว้ได้ก่อนจะดึงให้มาหลบมุมจ้องหน้ากันแบบกระอักกระอ่วนที่สุดในรอบเดือน

“ฟังที่พี่พูดให้จบแล้วจะโกรธก็ค่อยโกรธ อย่ามาเดินหนีกันแบบนี้”

“งั้นก็พูดสิ ชาจะฟัง........”

ผมว่าผมเดาความคิดพี่โรมออก เขาต้องผิดหวังที่ผมทำตัวงอแงอย่างกับเด็กอนุบาลทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าพร้อมจะเป็นที่พึ่งให้เขา สถานการณ์เวลานี้ไม่เหลือทางเลือกให้ผมเลย ผมโกรธก็จริงแต่ก็ไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับพี่โรม สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือยืนฟังอะไรก็ตามที่เขากำลังจะพูด

“เรื่องบีบี๋ พี่รู้มาจากไอ้แจ็คอีกทอดหนึ่ง ก็ที่มันโทรมาหาพี่ตอนเที่ยงวันนี้ตอนกำลังเฟซไทม์กับเรานั่นแหละ.... บีบี๋เกิดอุบัติเหตุที่เบอร์ลิค มันกับเฮียรุจเป็นคนช่วยพามาส่งโรงพยาบาล ไอ้แจ็คเห็นว่าพี่รู้จักกับที่บ้านบีบี๋ มันก็เลยคิดว่าถ้าให้พี่เป็นคนแจ้งข่าวไปเองน่าจะดีกว่า” 

เหตุผลของพี่โรมก็พอฟังขึ้นอยู่หรอกนะ แต่มันก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงใจผมตรงที่เพราะพี่โรมคือแฟนเก่าก็เลยต้องรับภาระไป ผมโคตรอยากพูดเลยว่าบีบี๋ก็มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่หลังจากที่เราสองคนเดินออกมา แล้วมันจำเป็นแค่ไหนที่พี่โรมจะต้องอุทิศตัวบำเพ็ญประโยชน์เพื่อคนที่ไม่ได้อยากให้เรารักกัน

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ใครมีเบอร์บ้านไอ้บี๋ก็โทรหาหม่าม้าได้ทั้งนั้น”

“เฮียรุจเป็นเจ้าของร้าน แกไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวลูกค้า..........”

“ลูกค้าเหรอ?” 

ผมย้อนถามเสียงขึ้นจมูก พยายามแล้วนะที่จะไม่คิดในแง่ร้ายแต่ก็ยังไม่สามารถมองข้ามสิ่งที่เจ้แบมพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ได้ คนประเภทที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่นสนุกอย่างพี่รุจน่ะเหรอจะพาเด็กซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกันขึ้นรถพยาบาลมาเอง อมพระประธานยันหลังคาโบสถ์มาพูดยังไม่อยากเชื่อเลย 

“ลูกค้าธรรมดาๆ จะไปมีอุบัติเหตุในร้านได้ไง ร้านก็มีอยู่แค่นั้น นี่ถึงขนาดแขนหักขาหักเชียวนะ หรือไอ้บี๋มันเมาแล้วกระโดดหัวทิ่มลงมาจากเวทีล่ะ?”

“ก็คนที่อยู่ในเหตุการณ์เขาว่าอย่างนั้น.........”

“ใคร? พี่แจ็คเหรอ?” 

ผมไม่ได้เจตนาจะจับผิดพี่โรมนะ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางจะชวนให้คิดว่าผมกำลังทำอย่างที่ว่าก็เถอะ 

“งั้นพี่แจ็คอยู่ไหน ชาอยากคุยด้วย”

“ไอ้แจ็คกลับหอไปแล้ว เมื่อคืนมันไม่ได้นอนเลยทั้งคืน”

“โทรหาเขาสิ โทรศัพท์ก็มีนี่!”

“ทิชา!”

พี่โรมทำเสียงดุเตือนให้รู้สึกตัวว่าผมล้ำเส้นจากการคุยกันด้วยเหตุผลไปสู่การโวยวายเอาแต่ใจ ทำเหมือนโลกทั้งใบจะต้องหมุนรอบตัวเองคนเดียว.... กับคนอื่นผมคงไม่ติดใจอะไรมากมาย เข้าใจด้วยซ้ำว่านิสัยพี่โรมก็เป็นแบบนี้ แต่เพราะคนที่นอนเดี้ยงอยู่ในห้องนั่นคือบีบี๋ แล้วจะไม่ให้ผมระแวงว่าเขาจะกลับไปพูดคุยคืนดีกันช่วงระหว่างที่ผมหัวหมุนอยู่ในกองถ่ายซีรีส์เฮงซวยเลยหรือไง ลำพังแค่อยากประกาศให้หม่าม้ากับเจ้แบมรู้ว่าพี่โรมเป็นแฟนผมก็ยังพูดออกมาไม่ได้

จะบอกว่าเพราะไปแย่งเอาของเขามาก็เลยกลัวที่จะโดนแย่งคืนก็คงใช่มั้ง แต่ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิม ได้แต่นั่งดูเขารักกันพูดถึงกัน แล้วตัวเองก็อกกลัดหนองช้ำใจตายไปในที่สุด

ผมกำลังหึงพี่โรม.....ทั้งหึงแล้วก็หวงมากด้วย......

“ชารู้ว่าพี่โรมก็แค่มีน้ำใจ เห็นใครเดือดร้อนก็อยากช่วย แต่ช่วยจบแล้วก็จบกันไปไม่ได้เหรอ.... ชาไม่อยากให้พี่โรมกลับไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้บี๋อีก.........”

ผมก้มหน้าลงมองกระเบื้องปูพื้น ไม่กล้าให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตาน่าเกลียดของคนขี้หึงจนแทบเป็นบ้า 

“ถ้าเรื่องวันนี้มันมีแค่พี่โรมโทรศัพท์หาหม่าม้ากับเจ้แบม ชาจะไม่พูดว่าอะไรเลยสักคำ แต่ที่ชาเห็นมันไม่ใช่ นี่มันเหมือนว่าพี่โรมกำลังพยายามเอาตัวกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนั้นทั้งๆ ที่พี่เลือกเดินออกมาพร้อมกับชาแล้ว.... ไอ้บี๋มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย แล้วพี่โรมก็ไม่ใช่คนที่ทำให้มันเจ็บตัว ทำไมพี่ต้องทำอย่างกับว่าจะรับผิดชอบชีวิตมันด้วย.........”

พี่โรมเงียบไปเลย เงียบไปนานมากจนผมรู้สึกได้ว่าคำพูดเมื่อกี้คงแทงใจดำเขาเข้าอย่างจัง.... เขาเป็นคนที่ต่างจากผมชนิดคนละขั้ว ผมอ่อนไหวง่ายชอบทำอะไรตามอารมณ์ แต่พี่โรมเป็นพวกใช้ตรรกะและเหตุผลนำหน้า รวมถึงเรื่องนี้ด้วย ผมถึงได้รู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมา

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากฟังเหตุผลแสนห้าของเขานักหรอก ผมสนแค่ว่าพี่โรมจะไม่ทิ้งผมไปก็เท่านั้น....

“ทิชา พี่รู้ว่าเราคิดมากเพราะคนเจ็บคือบีบี๋ แต่เวลาแบบนี้เราอย่าเพิ่งเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดถึงเลยนะ”

“กลายเป็นว่าชาคิดมากไปเองเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น........” 

ร่างหนาถอนหายใจดังเฮือก คงหน่ายที่จะต้องชักแม่น้ำร้อยสายมากล่อมให้ผมยอมลงให้เต็มที 

“ทิชาก็เห็นว่าบีบี๋มีแค่หม่าม้ากับเจ้แบมมาดูแล ปาป๊าต้องอยู่ดูแลร้านขายของ เฮียบิ๊กก็ไปเป็นหมอใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ลำพังผู้หญิงแค่สองคนจะทำอะไรก็ลำบาก.... อะไรที่เราพอช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ ทิชาเองก็เป็นห่วงบีบี๋ใช่ไหมล่ะถึงได้มาหาเพื่อนน่ะ”

ยิ่งพูดยิ่งฟังดูเหมือนผมโดนด่าอ้อมๆ ว่าเห็นแก่ตัวเลย แต่พี่โรมควรจะรู้หรือเปล่าว่าคนที่ทำให้ผมเลิกเป็นห่วงบีบี๋อย่างสิ้นเชิงก็คือตัวเขานั่นแหละ

“โอเค งั้นเรื่องวันนี้เป็นอันว่าจบเคลียร์ ชาไม่โกรธพี่โรมก็ได้” 

ผมเงยหน้าขึ้นมองแฟนหนุ่ม รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นใบเค้าหน้าหล่อหากก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ในเมื่อพี่โรมเคยโดนยัยมิลค์ข่วนมือแหกเวลาไม่ได้ดั่งใจแล้ว ก็อย่าแปลกใจเลยว่าลูกสาวเราได้นิสัยขี้โมโหมาจากใคร 

“ช่วยเฝ้าให้ก็แล้ว ช่วยเดินเอกสารให้ก็แล้ว พี่โรมก็หมดหน้าที่สักทีเนอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำอะไรๆ ให้พวกเขาอีกแล้วนะ”

“..................”

“พี่โรม รับปากชาสิว่าจะไม่มาอีก!”

ผมร้องเหี้ยหนักมากในใจเมื่อคนตรงหน้าใช้วิธีสงบสยบเคลื่อนไหว เพราะนั่นหมายความว่าเขากำลังมีเหตุผลห่ารากจากไหนก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ ส่วนพวกที่พูดๆ มาก่อนหน้านี้ก็แค่อารัมภบทเกริ่นนำให้ผมอารมณ์เย็นลงต่างหาก

“พี่ยังรับปากไม่ได้.... ถ้าจำเป็น พี่ก็ต้องมา.........”

“ไหนว่าพี่โรมแค่ถูกเรียกให้มาช่วยเพราะรู้จักกับที่บ้านไอ้บี๋ไง.... อุบัติเหตุบ้าบอนั่นพี่โรมก็ไม่ได้เป็นคนทำ เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แล้วคิดจะอยู่ช่วยเขาไปถึงไหน!?”

ผมโวยดังขึ้นจนนางพยาบาลซึ่งอยู่เวรตรงเคาท์เตอร์ประจำชั้นต้องเดินมาบอกให้เราเงียบเสียงลง ถึงแม้จะหุบปากนิ่งสนิทหากความโกรธยังคงคุกรุ่นจนหูตาร้อนผ่าวแทบไหม้.... ถ้าเมื่อกี้ยังคิดไม่ได้ก็ไม่อยากว่ากัน แต่จนป่านนี้ก็น่าจะคิดได้แล้วสิว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้มากแค่ไหน เขาอยากจะเป็นคนดีรับรางวัลระฆังทองก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ผมไม่เอาด้วย! ให้ตายก็ไม่เอาด้วย!

แต่แล้ว พี่โรมก็มีสารพัดเหตุผลมาดึงแกนโลกไปหมุนรอบตัวเขาอีกจนได้

“พี่ก็ไม่ได้อยากมา......แต่พอบีบี๋ตื่น เขาก็ร้องหาแต่พี่คนเดียว ไม่เอาคนอื่นเลย........แม้แต่แม่กับพี่สาวเขาเองก็ยังไม่รู้จะทำยังไง.........”

“.......อะไร.......นะ?”

ไม่ใช่ว่าผมฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่โรมพยายามอธิบายนะ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเล่นมุขนี้ทั้งๆ ที่ก็น่าจะตระหนักว่าคำพูดพล่อยๆ พวกนั้นมันอาจแยกเราทั้งคู่ออกจากกันได้ ผมย้อนถามร่างสูงพร้อมปั้นสีหน้าเหมือนรู้ทันให้เขาเห็น ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาคือมหากาพย์เรื่องเศร้ายาวเหยียดของคนรักเก่าผู้โชคร้ายกับชายหนุ่มแสนดีที่กำลังประคับประคองจูงมือทุกคน.... แล้วผมก็คือแฟนใหม่ซึ่งเป็นตัวอิจฉา คอยกีดกันไม่ให้โรมิโอกับจูเลียตได้ครองรักกันนั่นแหละ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้ก็ลองขอให้หมอช่วยเอ็กซเรย์ดูแล้ว เขาก็บอกว่าบีบี๋ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าที่เห็นภายนอก แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าสมองส่วนหน้าอาจถูกกระทบกระเทือน ทำให้ความทรงจำบางอย่างเกิดสับสนขึ้นมา........”

ผมเลิกคิ้วเบ้ปากให้กับข้ออ้างข้างๆ คูๆ เหมือนหลุดออกมาจากละครน้ำเน่า ในใจมีเพียงความรู้สึกไม่เชื่อผุดโผล่งอกออกมาทั่วทุกตารางนิ้ว และก็คงจะหัวเราะขำก๊ากไปแล้วถ้าหากพี่โรมไม่ได้ทำท่าทางคล้ายจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ตรงหน้า 

“เท่าที่ลองคุยดูตอนเขาตื่น ดูเหมือนว่าความทรงจำในช่วงสอง-สามเดือนที่ผ่านมาของบีบี๋จะหายไป อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายเป็นปกติ”

พี่โรมกุมมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ ร่องรอยของความกังวลและกลัวไม่แพ้กันฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเข้ม ผมรอให้เขาร้องแว่~ แลบลิ้นปลิ้นตาหรือบอกว่านี่เรากำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่นแบบ MTV Prank หรือ Deal with it อะไรทำนองนั้น รับรองเลยว่าผมจะไม่โกรธ จะไม่โมโหแล้วก็จะไม่ประชดกลับใส่เขาด้วย

แต่ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคไม่เคยเข้าข้าง....?



“บีบี๋จำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราไม่ได้เลย เรื่องสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือวันที่พี่ขอเขาคบเป็นแฟน...........”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด