✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽✽ DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน ✽✽ CH20 + บทส่งท้าย หน้า9 [ 24/06/18 ]  (อ่าน 63078 ครั้ง)

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



DOWNPOUR : ขอให้พรุ่งนี้ไม่มีสายฝน
By SweetAlice0701



ผมเคยมองโลกนี้เป็นสีดำสนิท
เป็นโลกเน่าๆ แสนโสมมที่ไม่มีรักแท้อยู่จริงเหมือนในละคร
ผมจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบที่ไม่ต่างจากรูปปั้น ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก พยายามเฉยเมยเคยชินกับความต่ำทรามที่คนรอบข้างมักทำกับผม
 
จนกระทั่งวันที่เขาคนนั้นเดินเข้ามา
ผมถึงได้รู้ว่าหัวใจที่คิดว่าด้านชาไปนานแล้วมันยังคงมีเลือดเนื้อไหลเวียนอยู่ และมันก็เป็นเลือดชั่วเหมือนอย่างที่ผมชี้นิ้วด่าคนอื่นว่าน่ารังเกียจนั่นละ
 
เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีอะไรสักอย่างบนโลกนี้ที่ผมเกลียดที่สุด
 ....ก็อาจจะเป็นตัวของผมเองล่ะมั้ง....


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2018 01:11:17 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
0
~ จุดเริ่มต้นของฝนกระหน่ำ ~


EakEak : อีกสิบนาทีถึงร้าน ถ้าทิชามาถึงแล้วเข้าไปนั่งรอเลยนะครับ ^^
Tisha_950701 : ok  *สติ๊กเกอร์*
Eak : รอน้าาาาาา~



ผมเดินเข้ามาในร้านสตาร์บัคหน้าคณะบริหารธุรกิจ ด้วยความที่ข้ามเขตมาไกลจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอีกฟากหนึ่งของมหาวิทยาลัย ผมจึงค่อนข้างประหม่าและรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่มีคนพลุกพล่านอยู่พอควร แต่เพราะพี่เอกบอกว่าจะมารับผมที่นี่เนื่องจากลานจอดรถแถวนี้หาง่ายกว่า ผมถึงได้ยอมออกจากแดนสนธยาที่เรียกว่าคณะศิลปกรรมศาสตร์มาอยู่ในเขตเมืองมนุษย์


แม้ผมจะจำศีลเก็บตัวอยู่แต่ในคณะ แต่บอกได้เลยว่าผู้คนในนี้ส่วนใหญ่รู้จักผมกันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครลุกขึ้นมาทักทายอะไรหรอก แต่ผมบอกได้จากสายตาที่พวกเขามองมาตั้งแต่ตอนที่ผมเปิดประตูร้านแล้ว



อึดอัดฉิบหาย เวรเอ๊ย....!



“ชาเขียวปั่นแก้วเล็กหวานน้อยครับ”

“ใส่วิปครีมไหมคะ?”

“ไม่ครับ”

ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ผมก็เหมือนเด็กบ้านๆ ทั่วไป ขนาดเมนูสตาร์บัคชื่อเรียกยากๆ ฟังดูไฮโซยังสั่งไม่เป็นเลย เคยอ่านกระทู้พันทิปที่มีคนถามวิธีการสั่งก็ยังจำไม่ค่อยได้ จะมา Frappuccino แก้วไซส์ Tall , Venti , Grande มีหวังได้ลิ้นพันกันตายตรงหน้าเคาท์เตอร์พอดี สั่งง่ายๆ เหมือนสั่งน้ำปั่นร้านรถเข็นแหละดีแล้ว

ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็มายืนรอเรียกคิวรับของ ระหว่างนั้นก็คิดอะไรเพลินๆ เกี่ยวกับคู่นัดของตัวเองในวันนี้....

พี่เอก ปีสี่ คณะบริหารธุรกิจ เป็นคนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ก็สักราวๆ สอง-สามเดือนนี้เอง ย้อนกลับไปงานโอเพ่นเฮาส์ของคณะ พวกรุ่นพี่ในภาคจับผมไปแต่งตัวเป็นตุ๊กตานั่งเรียกแขกอยู่หน้าบูธแข่งกับน้องแพรวแห่งภาคแฟชั่นดีไซน์ แล้วน้องของพี่เอกก็ตั้งใจจะสอบเข้าภาคอินทีเรียอยู่แล้วก็เลยลากพี่ชายมาเดินดูงานเป็นเพื่อน.... เพราะงั้นแหละ เราถึงได้เริ่มคุยกัน

พี่เอกเป็นคนหน้าตาดีมาก ดีแบบที่สามารถไปเป็นดารานายแบบได้สบาย (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาคือเดือนคณะปีสี่) ซ้ำยังเป็นคนหล่อที่รู้จักบริหารเสน่ห์ตามประสาพวกที่รู้ว่าตัวเองมีดีตรงไหน.... เขาไม่ลังเลที่จะขอไลน์ผม ส่งข้อความมาขอบคุณที่ผมช่วยแนะนำเรื่องการสอบเข้าให้น้องชาย แล้วก็คอลมาชวนไปกินข้าวในเย็นวันนั้นเหมือนรู้ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางปฏิเสธ ซึ่งมันก็จริง ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมแค่แปบเดียว ผมก็ใจอ่อนยอมตกลงรับนัดเขาอย่างง่ายดาย

บอกอย่างไม่อายเลยว่า ผมรู้สึกชอบเขา.... ชอบที่เขาให้ความสนใจผม (ในทางที่ดี) ทุกครั้งที่คุยกัน เขาจะบอกเสมอว่าผมน่ารักเหมือนลูกแมว ผมคือคนที่เขาตามหามานาน แล้วเขาก็อยากให้ผมเป็นลูกแมวน้อยของเขาคนเดียว

มีครั้งแรกก็ย่อมต้องมีครั้งที่สอง จากแค่นัดกินข้าวก็เริ่มกลายเป็นดูหนัง จากดูหนังก็กลายเป็นไปนอนเล่นที่คอนโดของพี่เอก เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรา จากที่ผมแค่ยอมคุยด้วยก็กลายเป็นยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว ยอมให้จับมือ ยอมให้หอมแก้ม จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่ผมยอมปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างมันเลยเถิดไปอย่างรวดเร็ว.... นั่นคือผมยอมให้พี่เอกมีอะไรด้วย

ก็ถ้าเขาอยากให้ผมเป็นลูกแมวน้อยของเขา ผมก็จะเป็น....

พี่เอกไม่ใช่รักแรกของผมหรอก กว่าจะอยู่รอดมาจนอายุครบยี่สิบ ผมก็โดนมาเยอะเจ็บมาแยะ แต่ถ้าคุณถามว่าผมคาดหวังอะไรจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน.... บางทีผมอาจกำลังหน้าโง่ไขว่คว้าอะไรที่มันไม่น่าจะมีอยู่จริงก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหวังว่าพี่เอกจะสามารถให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้
   

ผม......อยากได้รับจากความรัก........

จากใครสักคนที่รักผมจริง.......

   


“ขอโทษนะคะ”

ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียก ทีแรกผมนึกว่าเป็นพนักงานมาตามให้ไปรับชาเขียวปั่นที่สั่งไว้ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่

คนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นผู้หญิงสวมชุดนักศึกษาแน่นเปรี๊ยะ ผมทองยาวสลวย แต่งหน้าจัดแต่มองแวบเดียวก็เห็นชัดเลยว่าสวยระดับดาวมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าผมไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักผมเป็นอย่างดี

“นี่น้องทิชา ปีสอง คณะสินกำใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ.........”  ผมตอบรับอย่างงงๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนรู้จักเยอะแต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้ามาทักผมตรงๆ โดยเฉพาะกับเพศตรงข้าม

แต่ทันทีที่รุ่นพี่สาวแน่ใจว่าทักถูกคน ไม่ผิดฝาผิดตัว รอยยิ้มนางฟ้าบนใบหน้าสวยก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแสยะน่าเกลียดราวกับแม่มดใจร้ายในนิทาน

“มีนา อย่านะ!!!”

อีกเสียงหนึ่งที่ดังกว่าแทรกเข้ามาในโสตประสาท ทว่า มันกลับหยุดยั้งอะไรไม่ได้เสียแล้ว


ซ่า!!!!


ซิกเนเจอร์ช็อกโกแลตเย็นหนึ่งแก้วใหญ่พร้อมด้วยน้ำแข็งราดลงกลางหัวผมเหมือนฝนห่าใหญ่ เสียงน้ำกระจายตัวดังกลบทุกสิ่งจนสมองของผมอื้ออึงไปหมด แว่วๆ ว่าได้ยินใครตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงหน้าจนฟังไม่ได้ศัพท์.... ผมยังคงยืนนิ่งคล้ายรูปปั้นบนขนมเค้กที่เคลือบด้วยช็อกโกแลตตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งพนักงานและเพื่อนนิสิตต่างช็อกกันทั้งร้านก่อนจะแปรสภาพเป็นไทยมุงเมื่อเหตุการณ์ตื่นเต้นระทึกขวัญยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ

พอได้สติถึงเห็นผู้หญิงที่ชื่อมีนากำลังถูกพี่เอกรั้งเอาไว้จากทางด้านหลังไม่ให้กระโจนเข้ามาข่วนหน้าผม ในขณะที่เจ้าหล่อนกรีดร้องดังลั่นจ้องมองผมเหมือนอยากจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือเปล่า.... ส่วนผมก็ได้แต่ปะติดปะต่อภาพตรงหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สภาพชุ่มน้ำข้นคลั่กยิ่งทำให้ผมรู้สึกหนาวและเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว แต่ในด้านจิตใจนั้น นอกจากตกใจ งุนงง กลัว อายแล้วยังมีอะไรเหลือให้รู้สึกอีกบ้างก็นึกไม่ออกแล้ว


อ้อ.... ยังเหลือ ‘ผิดหวัง’ กับ ‘เสียใจ’ อยู่อีกนี่นะ


“มีนา ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ!!??”

“อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นคนผิดนะ ก็ใครใช้ให้มันมายุ่งกับเอกก่อน!!??”

“แล้วทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย!?” 

เสียงของพี่เอกที่เหมือนจะเอาเรื่องแม่สาวโรคจิตในตอนแรกเริ่มแผ่วความแรงลง เช่นเดียวกับหัวใจของผมซึ่งเบาหวิวเหมือนถูกผลักให้ร่วงหล่นจากที่สูง 

“ไม่อายบ้างหรือไง คนอื่นมองกันเยอะแยะ”

“คนที่ต้องอายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นมันต่างหากล่ะ!!” 

ประโยคนั้นมาพร้อมกับปลายนิ้วเรียวซึ่งชี้หน้าประณามผมต่อหน้าธารกำนัล ดวงตาคู่สวยถลึงมองเหยียดประหนึ่งว่าเห็นผมเป็นขยะสดที่เทศบาลควรรีบๆ มาเก็บไปเสียก่อนที่จะเหม็นโฉ่มากไปกว่านี้ 

“เด็กอะไรหน้าด้าน ไม่มียางอาย เที่ยวมายุ่งกับแฟนชาวบ้านเขาอยู่ได้.... ถ้าไม่มีปัญญาหาผู้ชายเองก็ไปซื้อกินแถวสีลมสิยะ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นแมวขโมยแอบมาขึ้นคอนโดตอนที่เจ้าของตัวจริงเขาไม่อยู่!!”

พี่มีนาประกาศแถมประจานความผิดของผมให้ทุกคนในสตาร์บัคได้ยินกันถ้วนหน้า เสียงซุบซิบด้วยความรังเกียจลอยละล่องวนเวียนอยู่รอบกาย.... ผมหน้าชายิ่งกว่าถูกตบด้วยรองเท้าแตะกลางสี่แยก ข้างในท้องบิดมวนเหมือนอยากจะสำรอกเอาคำโกหกที่พี่เอกเคยใช้กรอกหูผมออกมาให้พี่มีนาได้ดู แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็กลายเป็นมือที่สาม เป็นตัวสร้างความร้าวฉานในสายตาทุกคนมาตั้งแต่แรกแล้ว

“พี่เอก...........”  ผมยิ้มไม่ได้ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เสียงที่เปล่งออกมาระหว่างมองหน้าพี่เอกเพื่อขอความจริงทั้งสั่นและฟังดูน่าสมเพชอย่างบอกไม่ถูก “พี่มีแฟนอยู่แล้วเหรอ?”

แค่เขานิ่งเงียบไป ผมก็รู้แล้วว่าพี่เอกคงกำลังนึกหาข้อแก้ตัวอยู่ เพียงแต่เขาจะเลือกแก้ตัวเพื่อทำให้ฝ่ายไหนรู้สึกแย่น้อยลงก็เท่านั้นเอง

“เอ่อ.......ทิชา........พี่ว่าพี่เคยบอกทิชาเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ไม่เลยครับ.... พี่เอกไม่เคยบอกเหี้ยอะไรทั้งนั้น เรื่องเดียวที่พี่เอกเคยบอกก็คือผมเป็นลูกแมวน้อยของเขาคนเดียว แล้วผมก็หลงเชื่อจนถึงขั้นยอมเขาไปหมดทุกอย่าง ร่างกายก็ให้ไปแล้ว ยังดีที่พอจะเหลือหัวใจเอาไว้กับตัวเองบ้าง

พี่เอกไม่คิดจะเลือกผมนี่ เพราะงั้นตอนนี้เขาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

“แกไม่ต้องมาทำแอ๊บแบ๊วเลยนะ คนทั้งมหาลัยนี้มีใครที่ไม่รู้ว่าบ้างว่าเอกบดินทร์กับมีนา ดาวเดือนคณะบริหารฯ เป็นแฟนกันมาสองปีแล้ว!”


มีสิ.... ก็นายทิชนันท์ คนโง่แห่งคณะหลังเขาไงที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้


ผมปล่อยให้พี่มีนาโวยวายด่าทออยู่อักพักใหญ่โดยไม่คิดเถียงสักคำ ในที่สุด เจ้าหล่อนก็สาแก่ใจและยอมออกจากร้านไปโดยมีพี่เอกคอยประกบตามง้อไม่ห่าง.... ส่วนนัดของผมกับพี่เอกในวันนี้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี และในวันพรุ่งนี้หรือวันไหนๆ มันก็จะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ความรู้สึกของผมก็เช่นกัน แตกสลายและยับเยินชนิดที่ต่อให้เอากาวทั้งโลกมาแปะซ่อมก็ยังคงบิดเบี้ยวผิดรูปอยู่วันยังค่ำ


“น้องคะ......ขอโทษทีนะ แต่พี่ขอเก็บตรงนี้นิดนึงเนอะ”

“อะ.....เอ่อ......เชิญครับ..........” 

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่พนักงานผู้หญิงมาสะกิด ในมือหิ้วถุงขยะ ถังน้ำและไม้ม้อบสำหรับถูพื้นมาด้วย และถ้าผมจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อ เธอก็คงจะทำความสะอาดลำบาก

“ถ้ายังไงน้องเข้าไปใช้ห้องน้ำพนักงานตรงนั้นก็ได้นะ ล้างเนื้อล้างตัวก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ขอบคุณครับพี่”

ถึงแม้จะแค่ทำตามหน้าที่ แต่ความมีน้ำใจของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยชีวิตก็ไม่น่าบัดซบจนเกินไป แต่กับคนอย่าง ทิชา ทิชนันท์ ที่ใครต่อใครรู้จักจากข่าวที่คนทั้งประเทศพากันวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นยี่สิบปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จบ มันไม่มีทางเสียหรอกที่พวกเขาจะปล่อยให้ผมออกไปจากที่นี่โดยไม่ถูกปากเหยี่ยวปากกาฉีกทึ้งให้เป็นแผลฉกรรจ์


‘เชี่ยยยย สันดานแม่งโคตรเหมือนแม่มันเลยว่ะ’

‘สุดยอด เชื้อไม่ทิ้งแถว ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นที่แท้ทรู..........’

‘ความร่านนี่มันส่งต่อผ่านดีเอ็นเอได้ด้วยเหรอวะ.... โชคดีของไอ้เอกนะเนี่ยที่มีนามาดึงตัวกลับได้ทัน ไม่งั้นคงได้เสียหายหลายล้านแน่’

‘พวกชอบกินน้ำใต้ศอก ให้โดนศอกเมียหลวงกระแทกปากสักทีก็ดีนะ’




มันเป็นสิ่งที่ผมควรจะเคยชินได้แล้ว แต่ข้างในอกก็ยังบีบรัดคล้ายจะตายเสียให้ได้ทุกครั้งที่เวลาผมทำอะไรไม่ดีไม่งามแล้วจะมีคนคลั่งแกทเชื่อมโยงเอาเรื่องของแม่มาด่าผสมไปด้วย.... คุณคงได้คำตอบแล้วใช่ไหมว่าเพราะอะไรตอนที่ผมเข้ามาในร้าน คนเหล่านั้นถึงได้พากันจ้องมองผม เขาไม่ได้ชื่นชมหน้าตาที่ผมได้รับมาจากแม่บังเกิดเกล้าซึ่งเป็นอดีตดาราชื่อดังหรอก แต่เขามองเพราะรังเกียจไม่อยากให้ตัวเสนียดสังคมที่เกิดจากช่องคลอดของผู้หญิงแพศยาเฉียดเข้าไปใกล้ต่างหาก

ผมน่าจะคิดให้ได้แบบนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มคุยกับพี่เอกนะ

ถ้าดึงสติตัวเองสักหน่อย เจียมตัวให้มากว่าเกิดมาเป็นขยะก็สมควรจะต้องตายไปในกองขยะ เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

แต่ความอ่อนไหวและอ่อนแอกลับเป็นจุดบอดที่ใหญ่จนเกินไป

ผมจึงต้องถูกทิ้งเอาไว้กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้


“พวกมึงก็หยุดปากหมาได้แล้ว!”


ใครคนหนึ่งตะโกนสวนขึ้นมาจากมุมหนึ่งของร้าน กลบเสียงพวกปากหอยปากปูให้เงียบสนิทเหมือนโดนปกคลุมด้วยบรรยากาศมาคุ.... ผมหันหลังกลับไปมองก็เห็นนิสิตชายใส่เสื้อช็อปคณะวิศวะฯ ลุกขึ้นยืนด่ากราดไปทั่วอย่างหงุดหงิด ท่าทางหัวร้อนของเขาทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย ทั้งที่เขากำลังช่วยผมอยู่แท้ๆ

“จะสมน้ำหน้าก็เดินไปสะกิดเรียกแล้วพูดต่อหน้าเขาเลย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นด่าลอยๆ อยู่ข้างหลัง! แต่ถ้าไม่กล้าก็หุบปากไป!”

ดูจากหน้าตาและท่าทีเกรงอกเกรงใจของผู้คนรอบข้าง ฝ่ายนั้นน่าจะเป็นรุ่นพี่ปีสามหรือปีสี่ แต่เอาจริงๆ ผมเข้าใจว่าฝ่ายนั้นน่าจะแค่รำคาญพวกขี้แซะที่ไม่ยอมเลิกส่งเสียงรบกวนสักที ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะเดินมาทางนี้

“เฮ้ย นายโอเคหรือเปล่าเนี่ย?”  เขาถามเสียงห้วน

“ผมไม่เป็นไรแล้ว......ขอบคุณมากนะครับ.........” 

ผมก้มหัวลงก่อนจะพูดตอบไป ขาก็เดินไปยังห้องน้ำพนักงานทางด้านหลังตามที่พี่ผู้หญิงคนเมื่อกี้บอก ช่างหัวชาเขียวปั่นที่อุตส่าห์จ่ายเงินร้อยกว่าบาทไปแล้วเถอะ หมดอารมณ์จะแดก ทางที่ดีผมควรจะรีบๆ ล้างหน้าตาเนื้อตัวแล้วไสหัวออกไปจากร้านได้แล้ว

แล้วพี่คนนั้นเดินตามผมมาทำเชี่ยไรเนี่ย.... ไม่กลับโต๊ะตัวเองไปล่ะวะ?

“ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมหรอกนะ แต่ไอ้เอกเนี่ยมันเจ้าชู้จะตายห่า แล้วเมียมันก็ดุยังกับหมาบ้า ไล่ตบรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไปยุ่งกับไอ้เอกจนเกือบหมดทั้งมหาลัยแล้ว นายไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยเรอะ?”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ไอ้ที่บอกว่าไม่อยากจะซ้ำเติมมันก็เหมือนซ้ำไปแล้วด้วยคำถามนั้นแหละ

“ก็ถือว่ายังโชคดีนะที่โดนแค่นี้.... บางคนแม่งเสียตัวไปแล้วค่อยมารู้ทีหลังว่าโดนมันหลอกฟัน ซวยฉิบหายอะ”

อืม ก็ต้องเรียกว่าซวยฉิบหายจริงๆ เพราะผมเพิ่งนอนกับไอ้เหี้ยพี่เอกไปเมื่อสองวันที่แล้วนี่เอง

ผมเปิดก๊อกวักน้ำล้างคราบน้ำหวานออกจากตัว แทบจะต้องจุ่มหน้าลงไปในอ่างเพราะพี่มีนาเล่นราดช็อกโกแลตใส่จนหัวผมเหนียวเหนอะไปหมด.... ระหว่างที่กำลังล้าง ความคิดมากมายล่องลอยปะปนอยู่ในสมอง หลายครั้งที่ผมพยายามบอกตัวเองว่าช่างแม่งเหอะ ก็แค่เรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนแหกด่าประจานในที่สาธารณะสักหน่อย แต่ลงท้าย ข้างในใจมันก็ยังรู้สึกเจ็บที่ถูกพี่เอกหลอกอยู่ดี

ผ่านไปเกือบสิบนาที ตอนนี้หัวและหน้าของผมไม่มีคราบช็อกโกแลตเหลืออยู่แล้ว หากพอเห็นเสื้อเชิ้ตนิสิตของตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะมันกลายสภาพจากสีขาวเป็นสีขาวปนน้ำตาลด่าง แถมยังเปียกโชกเหมือนโดนเหวี่ยงลงไปในบ่อโคลนอีกต่างหาก แต่ช่างแม่งอีกครั้ง แค่หาทางตะกายกลับไปคณะตัวเองให้ได้ก็พอ ค่อยไปขอยืมเสื้อช็อปจากเพื่อนในภาคเอาทีหลัง

“เอ้านี่” 

คนที่ยืนอยู่ด้านหลังโยนอะไรบางอย่างมาให้ ผมเอื้อมมือไปรับไว้ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นเสื้อช็อปของคณะวิศวะฯ นั่นเอง 

“จะออกไปทั้งๆ ที่ตัวด่างเป็นหมาหน้าคณะก็คงไม่ดีว่ะ ให้ยืมก่อนแล้ววันหลังค่อยเอามาคืน”

“ไม่ดีมั้งครับ ผมว่าพี่น่าจะต้องใช้เหมือนกัน........” 

เคยได้ยินมาว่าพวกวิศวะฯ หวงเสื้อช็อปอย่างกับอะไรดี แบบว่าฆ่าได้แต่จะแตะเสื้อช็อปกับเกียร์ไม่ได้ ผมก็เลยค่อนข้างลำบากใจที่จะรับความช่วยเหลือถึงแม้ว่าสภาพตัวเองจะดูไม่จืดนัก

“เอาไปเหอะ มึงเอาไปแล้วก็ซักด้วยละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูให้น้องที่รู้จักไปเอาคืน ไม่ให้มึงเก็บไว้นานหรอก” 

ไม่เท่าไรก็เริ่มขึ้นมึงขึ้นกูกันซะแล้ว ผมยังคงยืนกระพริบตาปริบๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ ไม่บังอาจโดดตะครุบเสื้อศักดิ์สิทธิ์ของพี่เขา แต่เจ้าตัวกลับยัดเยียดให้ผมถือเอาไว้ 

“ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ?”

“ชื่อทิชาครับ ปีสอง สินกำเอกอินทีเรีย”

เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อได้ยินชื่อของผม ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อผมฟังดูนุ่มนิ่มเหมือนชื่อผู้หญิงก็คงเป็นเพราะรู้สึกคุ้นหูว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนล่ะมั้ง

“โอเค มึงชื่อทิชา อยู่ปีสองนะ กูจะได้ตามตัวถูก”

รุ่นพี่วิศวะคนนั้นพูดงึมงำๆ ทวนชื่อผมแล้วกลับออกไปเมื่อพรรคพวกโทรศัพท์มาตาม โอกาสสุดท้ายที่จะผมจะปฏิเสธไม่ขอรับความช่วยเหลือหลุดลอยไปหลังจากที่อีกฝ่ายหุนหันเดินจากไปรวดเร็วยิ่งกว่าพายุ ผมก็เลยจำใจต้องถอดเสื้อเชิ้ตนิสิตสภาพเน่าหนอนออกแล้วสวมเสื้อช็อปโอเวอร์ไซส์ติดกระดุมหน้าแทน....

พอเงยมองกระจก สีแดงเลือดหมูของช็อปวิศวะฯ ตัดกับสีผิวขาวซีดของผม ขนาดร่างกายที่แตกต่างกัน ผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบนิดๆ ในขณะที่พี่เขาสูงร้อยแปดสิบกว่าทำให้ผมดูเหมือนเด็กทโมนที่ขโมยเสื้อพ่อมาใส่เล่นไม่มีผิด

ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นชื่อที่ปักเอาไว้บนอกข้างขวา ถึงได้รู้ว่ารุ่นพี่วิศวะที่โคตรใจดีผิดกับหน้าตามีชื่อว่า ‘ โรม อนุวัฒน์วงษ์ ’

.

.

.

แต่สิ่งที่ผมไม่มีทางรู้เลยก็คือ พี่โรมที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นพายุฝนในวันนี้จะเป็นต้นเหตุของมรสุมที่โหมกระหน่ำจนชีวิตผมแทบไม่เหลือทางไปในวันหน้า

......ไม่รู้เลยจริงๆ......



DOWNPOUR
~START~


✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽


เรื่องใหม่จากมือใหม่ ขอฝากตัว ฝากใจ ฝากนิยายด้วยนะจ๊ะ  :mew1:

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
1
~ โลกของทิชา ~



เมี้ยว....

เมี้ยว........ เมี้ยว.......



ผมลืมตาตื่นขึ้นในตอนสายของวันศุกร์ โทรศัพท์มือถือยังคงเงียบสนิทไม่ส่งเสียงปลุกเมื่อยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนที่แท้จริง แต่ผมจำใจต้องแหกขี้ตาขึ้นมาเพราะสัมผัสสากชื้นบริเวณแก้มและเสียงเล็กๆ ที่ดังรบกวนไม่หยุด ไอ้จะแกล้งทำหูทวนลมก็ไม่ไหว เพราะไอ้เจ้าผีลูกกรอกในห้องผมมันเริ่มปฏิบัติการมุดเข้ามาในผ้าห่มและงับนิ้วเท้าอย่างเกรี้ยวกราดแทนการเลียประจบ


เมี้ยว....


“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดอดทนหน่อยดิวะ มิลค์"

ผมบ่นไม่จริงจังนักแต่ก็ยอมโงหัวขึ้นจากหมอนแต่โดยดี พอลุกจากเตียง สิ่งมีชีวิตสีขาวก็วิ่งนำหน้าไปนั่งรอไซโคอยู่ตรงชามข้าวที่ผมวางไว้มุมห้อง แค่นั้นก็ระลึกชาติได้ทันทีเลยว่าเมื่อคืนนี้ผมลืมเทอาหารเผื่อเอาไว้นั่นเอง

“อะ เชิญครับเจ้านาย” 

ทั้งอาหารเม็ดพรีเมียมและอาหารเปียกถูกเทลงในชามใบเล็ก หลังจากนั้นเจ้านายก็สะบัดตูดก้มหน้ากินข้าวโดยไม่สนใจมนุษย์ทาสแมวอย่างผมอีกเลย แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แค่เห็นปากเล็กๆ ของเจ้านายเคี้ยวข้าวหงุบๆ ฝนเล็บ เตะหนูปลอม ปีนคอนโด โดดคว้าไม้ตกแมว ฟัดปลาทูยัดไส้แคทนิปได้ก็มีความสุขมากแล้ว

‘มิลค์’ เป็นลูกแมวพันธุ์เปอร์เซียผสมสก็อตติชโฟลด์สีขาวจั๊วะอายุหกเดือน ผมตกหลุมรักมิลค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปที่มีรุ่นพี่ในคณะเอามาติดประกาศหาคนรับเลี้ยง เจ้าของเก่าดูจะแปลกใจนิดหน่อยตอนที่ผมไปขอแต่เขาก็ยอมยกให้แต่โดยดี ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ค่อยชอบสัตว์เท่าไรก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผมตั้งใจจะเลี้ยงระบบปิดในห้องนอนแบบไม่ให้ใครมายุ่งกับมันเด็ดขาด โชคดีที่ห้องส่วนตัวของผมมีทั้งระเบียงและห้องน้ำในตัว จึงสามารถวางกะบะทรายและล้างชามข้าวได้ไม่มีปัญหา

ผมรับมิลค์มาเลี้ยงตอนอายุได้เดือนกว่าๆ ประคบประหงมให้อาหาร พาไปหาหมอ เฝ้าดูมันเติบโตขึ้นทีละนิดๆ.... มิลค์เป็นแมวหยิ่ง ชอบเล่นของเล่นมากกว่าเล่นกับทาส เนื้อตัวผมมีแต่รอยเล็บแมวข่วนเต็มไปหมด แต่บางทีมิลค์ก็ขี้อ้อนให้ทาสใจละลาย ผมเองก็บ้าคอยเฝ้าเอาใจมันทุกอย่างเพราะเพราะอยากเห็นมันอ้อนจนแทบลืมคำว่าเหงาไปเสียสนิท

ถ้าถามว่าในตอนนี้ผมแคร์อะไรมากที่สุด คำตอบก็คงเป็นเจ้ามิลค์ลูกรักแสนซนของผมนี่แหละ

“ไปก่อนนะไอ้แสบ ตอนเย็นเจอกัน” 

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็บอกลาเจ้านายพอเป็นพิธี ไม่รู้หรอกว่ามันสนใจฟังหรือเปล่า แต่ไปลามาไหว้ก็เป็นหน้าที่ของทาสอยู่แล้วนี่นะ

เสียงกุกกักดังมาจากห้องรับแขกชั้นล่าง ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใจก็นึกอยากสร้างบันไดพาดลงจากระเบียงห้องตัวเองไปหน้าบ้านเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดเป็นครั้งที่ร้อย



“ทำไมตื่นสาย? มหาลงมหาลัยไม่ต้องไปแล้วหรือไง?”

เมื่อคืนนี้ผมทำงานดรอว์อิ้งจัดแสงส่งอาจารย์จนเกือบสว่าง เพิ่งจะได้นอนไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่อยากรู้หรอกมั้ง เหมือนแม่จะจำฝังหัวไปแล้วว่าผมเป็นเด็ก จะดีชั่วยังไงก็ต้องตื่นหกโมงเช้าเพื่อไปเข้าแถวเคารพธงชาติให้ทันและกลับถึงบ้านตอนสี่โมงเย็นพอดีเป๊ะ

“วันศุกร์ผมเรียนบ่ายโมง”

“อ้าว งั้นจะรีบออกไปทำไม?” 

ไอ้ที่ออกเช้าก็กะจะเผื่อเวลาไปนั่งเก็บงานใต้ถุนคณะอีกหน่อย แต่อารมณ์ขี้เกียจตอบคำถามก็เลยปล่อยเบลอทำเป็นไม่ได้ยินความย้อนแย้งของแม่ ก่อนจะสะพายกระเป๋ากับกระบอกใส่แบบเตรียมออกไปมหาวิทยาลัย

“เดี๋ยว ชา.... อย่าเพิ่งไป”

“อะไรอีกล่ะ แม่?” 

คราวนี้ผมจิ๊ปากหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ตอนยังไม่ไปก็เร่งให้ไปนัก แต่พอจะไปจริงๆ ก็สารพัดจะเรียกเหลือเกิน

“พี่สาวแกกำลังจะแต่งงาน เพื่อนแม่เพิ่งส่งข่าวในเพจซุบซิบไฮโซมาให้อ่าน” 

หน้าจอไอแพดซึ่งกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของแม่ถูกยื่นมาจนแทบจะชิดหน้าผมอยู่รอมร่อ ในนั้นมีข่าวเกี่ยวกับคนที่ผมรู้จักแต่ไม่ค่อยมักคุ้นเปิดค้างเอาไว้ แวบแรกที่เห็นผมก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่อีนังขังขอบอะไรกับชีวิตส่วนตัวของชาวบ้าน ในขณะที่แม่ดูจะโกรธเอามากๆ ที่ตนเอง (อาจรวมถึงผม) ไม่ได้มีส่วนร่วมในงานมงคลของคุณหนูการะเกด ทิพยศักดิ์เสนา พี่สาวต่างพ่อของผม

“มีอย่างที่ไหนกัน คนในครอบครัวกำลังจะแต่งงานแท้ๆ แต่ไม่มีใครคิดจะบอกเราเลยสักคำ ให้มารู้เองจากข่าวในโซเชียลแบบนี้มันใช้ได้เหรอ!?”

“แล้วเราไปเป็นคนในครอบครัวเขาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ?”

“ถึงแม่ไม่ใช่แต่แกใช่นะ ชา.... อย่าลืมสิว่าแกกับหนูเกดใช้นามสกุลเดียวกัน ถ้าไม่เรียกว่าพี่น้องแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?”

พี่น้องที่เจอหน้ากันไม่ถึงห้าครั้งในรอบยี่สิบปี บอกตามตรงว่าผมเองก็ขี้เกียจจะหาคำนิยามว่าควรเรียกว่าสถานะน้องนอกไส้พรรค์นี้ว่าอะไรดี

เรื่องอื่นอย่างเช่นงานประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียน งานวันแม่ งานวันเกิด ผลการเรียนของผมอาจไม่ใช่เรื่องที่แม่นึกอยากใส่ใจนัก แต่เรื่องพยายามยัดเยียดผมให้เข้าไปมีตัวตนในบ้านใหญ่ของทิพยศักดิ์เสนา แม่กลับไม่เคยยอมท้อถอยเลย แม้ว่าจะถูกฝ่ายนั้นตอกหน้าหงายกลับมาทั้งแม่ทั้งลูกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“งานจะจัดที่โรงแรมแกรนด์เพรสทีค วันที่เก้าเดือนหน้า ใครจะว่ายังไงไม่รู้ละ แต่แกจะต้องไปงานนี้ในฐานะน้องชายของเจ้าสาว”

“ผมไม่ไปงานที่ไม่มีบัตรเชิญหรอกนะ”

“ไม่เห็นต้องมีบัตรเชิญ พ่อแกกับพ่อเจ้าสาวก็คนเดียวกัน ก็ใช้ดีเอ็นเอในตัวแกนั่นแหละเป็นบัตรเชิญเข้างาน”

‘เกลียดคำพูดแบบนี้ฉิบหาย......’ 

ผมได้แต่คิดพลางกลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างหน่ายๆ ออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่ใช่ลูกอกตัญญูอะไรขนาดนั้นหรอก ผมก็รักแม่อย่างที่ควรจะรักนั่นแหละ เพียงแต่ในบางครั้งหรืออาจจะหลายๆ ครั้ง ผมก็แค่อยากปกป้องความรู้สึกของตัวเองมากกว่าทำตามใจแม่โดยไม่มีขอบเขต

“งั้นแม่ก็หยิบใบเกิดผมไปใช้แทนบัตรเชิญแล้วกัน ผมไม่เอาด้วย”

“ทิชา!”

เมื่อไม่ได้ดั่งใจ แม่ก็เริ่มขึ้นเสียง.... ทำเป็นโกรธหน้าดำหน้าแดงแผดเสียงแสบแก้วหูเหมือนในละครเรื่องหลังๆ สมัยที่แม่ถูกปลดระวางจากบทนางเอกไปเป็นนางอิจฉาท้ายแถวไม่มีผิด

“ผมไปมหาลัยก่อนนะ หวัดดีครับแม่” 

ผมยกมือไหว้แม่บังเกิดเกล้าแล้วก็ออกจากบ้านมา ไม่คิดจะสนใจคำด่าที่ดังไล่หลังสนั่นซอยแม้แต่น้อย




เรื่องของผมกับแม่ และคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตามกฎหมายมันก็ไม่ได้ซับซ้อนเกินเข้าใจนักหรอก แต่มันอยู่ในขั้นเหี้ยจนไม่รู้จะเหี้ยยังไงเลยดีกว่า....

ย้อนกลับไปเมื่อสักยี่สิบสองปีที่แล้ว แม่เคยเป็นดารานักแสดงชื่อดังของวงการบันเทิงไทย ผมเองก็จินตนาการไม่ค่อยออกว่าสมัยก่อนแม่ดังมากแค่ไหน รู้แค่ว่าแม่เคยเล่นละครบทนางเอกสิบกว่าเรื่อง มีงานโฆษณากับงานถ่ายแบบเป็นร้อย มีชื่ออยู่ในอันดับความนิยมสวนดุสิตโพลมาตลอด และพ่อผมก็เป็นนักธุรกิจชื่อดังวัยสามสิบกว่า เป็นหนุ่มเนื้อหอมในวงสังคมชั้นสูง.... พ่อกับแม่ได้เจอกันในงานการกุศลของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง แบบว่าแม่เป็นตัวแทนนางเอกช่องมาเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม พ่อก็เป็นเสี่ยสายเปย์ทุ่มเงินบริจาคให้หลักล้าน

หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ มีนัดดูหนังรอบดึก ดินเนอร์ในโรงแรมหรู.... ความรักของนางเอกสาวกับนักธุรกิจหนุ่มคงไปได้สวย แต่มันเชี่ยตรงที่ว่าฝ่ายชายเขาแต่งงานมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว

สุดท้ายพอถูกนักข่าวจับได้ เรื่องของพ่อกับแม่ก็เลยโป๊ะแตก (ผมอ่านเจอว่าจริงๆ แล้วเมียหลวงของพ่อเป็นคนจ้างนักสืบแล้วก็ส่งต่อให้นักข่าวที่รู้จักกันช่วยแฉ แต่ก็ช่างเถอะ โป๊ะก็คือโป๊ะอยู่ดี) ถึงจะสาวและสวยแค่ไหนแต่แม่ก็โดนพ่อเททิ้งทันที พ่อบอกทุกคนว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดและไม่เคยรู้จักแม่มากเกินไปกว่าดาราที่ตัวเองชื่นชอบ ที่ไปดินเนอร์กันตอนดึกๆ น่ะเรื่องงานล้วนๆ

ถึงจะเป็นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่ประชาชนเขาก็ไม่ได้โง่เนอะ เพราะเรื่องนี้นี่แหละ แม่ผมถูกปลดออกจากบทนางเอก สินค้าทุกชิ้นประกาศปลดพรีเซนเตอร์ ร้ายที่สุดก็คือสถานีโทรทัศน์ที่แม่สังกัดแถลงข่าวฉีกสัญญากะว่าไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดกันเลย.... ชีวิตของแม่เหมือนร่วงจากฟ้าลงมาคลุกดิน ผู้จัดการที่เคยสนิทกันก็ทิ้ง เพื่อนในวงการก็ปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือ จะกลับบ้านนอกก็ไม่สมศักดิ์ศรีนางเอก แต่คิดว่าคนอย่างแม่จะยอมแพ้ง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง ถ้าไม่มีความร้ายอยู่ในตัว แม่ไม่มีทางฝ่าฟันขึ้นมาเป็นเบอร์ท็อปในวงการบันเทิงที่มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรดได้หรอก

หลังจากหายหน้าจากจอโทรทัศน์ไปเกือบๆ ครึ่งปี ช่วงเวลาที่ใครต่อใครคิดว่าเรื่องเงียบไปแล้ว แม่ผมก็คัมแบ็คสเตจด้วยการอุ้มผมที่เพิ่งคลอดไปหานักข่าวพร้อมบีบน้ำตาประกาศว่าผมคือลูกชายของคุณกาญจน์ ทิพยศักดิ์เสนา

แล้วคุณคิดว่าบ้านทิพยศักดิ์เสนาจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง.... แน่นอนว่าเขาก็ต้องปฏิเสธไม่ยอมรับเอาไว้ก่อน แม่ผมก็เล่นใหญ่แจกดราม่าเรื่องผู้หญิงตัวคนเดียวตั้งท้องคลอดลูกในขณะที่คนทำให้ท้องไม่เคยเหลียวแล กระแสสังคมตีกลับไปกลับมาจนงงไปหมด ระหว่างนั้นคนทั้งประเทศก็รู้จักน้องทิชา ทิชนันท์ ในฐานะลูกนอกสมรสของคุณกาญจน์ (เรียกอย่างบ้านๆ ก็ลูกเมียน้อย) เรื่องเลยเถิดไปจนถึงขั้นตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูก ผลก็อย่างที่เห็นแหละว่าผมคือลูกของพ่อ แต่เป็นลูกที่เขาไม่อยากได้และไม่คิดว่าจะมีด้วย

ข้อเสนอของแม่มีอยู่ว่า พ่อจะต้องจดทะเบียนรับรองบุตร ให้ผมใช้นามสกุลทิพยศักดิ์เสนา พร้อมส่งเสียค่าเลี้ยงดูหลักแสนต่อเดือน.... ในตอนนั้นฝั่งบ้านใหญ่ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักเพราะพ่อโดนสังคมรุมประณามจนเละพอๆ กับที่แม่โดน ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ใช้นามสกุลพ่อ แต่ก็โดนคนในบ้านใหญ่มองว่าเป็นกาลกิณี ไม่ให้เข้าบ้าน ไม่นับญาติด้วยแม้ว่าจะร่วมสายเลือดกันครึ่งหนึ่งก็ตาม

รายละเอียดการตีกันระหว่างแม่กับบ้านทิพยศักดิ์เสนา คุณหาอ่านเอาในกูเกิ้ลก็ได้ ทุกวันนี้ยังมีคนจัดอันดับให้เป็นดราม่าน้ำเน่าอันดับแรกๆ ของวงการบันเทิงอยู่เลย รับรองว่ามันส์สะใจและจะได้เห็นหน้าเห็นชื่อผมอยู่ในทุกเว็บข่าวอีกด้วย

ผมเติบโตมาอย่างเซเลป ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก แม่พยายามให้ผมมีทุกอย่างเทียบเท่าพี่สาว เรียนโรงเรียนอนุบาลแพงๆ เรียนประถม-มัธยมอินเตอร์ แต่ชีวิตผมก็ยังบิดเบี้ยวอยู่ดี.... ผมไม่ค่อยมีเพื่อน พ่อแม่เพื่อนและครูมักจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงจะมีเงินแต่ผมก็ยังเป็นผลผลิตของผู้ชายมักมากกับผู้หญิงไร้ยางอายที่ฉาวโฉ่ไปทั้งประเทศอยู่ดี และถึงแม้ว่าแม่จะสู้กับบ้านใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กับพวกผู้ปกครองด้วยกัน แม่กลับหน้าบางไม่เคยปกป้องผมในแบบที่ควรจะเป็นเลยเพราะแม่ทนไม่ได้ที่จะถูกใครนินทาซึ่งหน้า

พ่อไม่เคยมาหาผม มีแต่เงินสองแสนที่โอนเข้าบัญชีมาให้ใช้ทุกเดือน ทุกครั้งที่เจอกันคือแม่บังคับพาไปเจอตามงานต่างๆ ของบ้านใหญ่.... แม่อยากให้ผมมีตัวตนสมกับเป็นหลานชายของทิพยศักดิ์เสนา ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่สายตาเย็นชาและคำพูดตัดรอนที่ว่า

‘พวกคนชั้นต่ำ อย่าสะเออะโผล่มาเหยียบบ้านนี้อีกเป็นอันขาด!’




“กูว่ากูมาเร็วแล้วนะ ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะมาเร็วกว่า”

ผมเงยขึ้นจากกระดาษดรอว์อิ้งและข้าวกล่องเซเว่น เห็นไอ้เพื่อนเลิฟแบกข้าวของพะรุงพะรังพอกันเดินตรงมานั่งลงตรงข้ามผม หน้าตามันดูแปลกใจไม่น้อยเพราะรู้ดีว่าปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบฉายเดี่ยวในที่ชุมนุมชนสักเท่าไร

“ทีแรกก็กะว่าจะกินข้าวที่บ้านก่อนออกมา แต่ฤกษ์แดกไม่ค่อยดี กูเลยชิ่งออกมาก่อน”  ผมตอบทั้งที่สองตายังมองดูการบ้านตัวเองว่าต้องเก็บดีเทลตรงไหนอีกบ้าง มือขวาก็ตักข้าวกะเพราหมูสับเข้าปากไปด้วย

“ทะเลาะกับแม่มึงอีกแล้วดิ?”

“ไม่ถึงกับทะเลาะหรอกว่ะ กูแค่เบื่อเวลาแม่เล้าหลือ ขี้เกียจเถียง”

ถ้าเป็นคนอื่นได้ยินคงด่าผมว่าลูกทรพี แต่ ‘บีบี๋’ หรือ ‘ไอ้บี๋’ เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมเล่าปัญหา บ่นขิงบ่นข่าในชีวิตทุกอย่างให้ฟังได้โดยที่มันไม่หัวเราะเยาะหรือเอาไปเล่าต่อ แล้วผมก็ชอบตรงที่มันไม่ตั้งตนเป็นจิตแพทย์ส่วนตัว ทำเป็นรู้ดีเกินเบอร์คอยแนะนำนู่นนี่ให้ผมด้วย

ผมเพิ่งรู้จักกับบีบี๋ตอนปีหนึ่งเทอมสอง หลังจากที่พวกเราเริ่มแยกย้ายกันไปเรียนวิชาภาคนั่นแหละ ทั้งที่ผมต้องทนเจอกับสายตาแปลกๆ จากคนรอบข้างมาโดยตลอด แต่บีบี๋กลับเลือกมานั่งข้างผม จิ๊กยางลบผมไปใช้ ชวนพูดคุยลากไปกินข้าวที่แคนทีนคณะด้วยกันจนกระทั่งสนิทกันมากขึ้นอย่างทุกวันนี้

บีบี๋เป็นคนคุยเก่ง พูดเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ได้ตลอดเวลา แต่ก็แปลกที่ผมไม่ยักกะนึกรำคาญความขี้เมาท์ของมัน แถมยังตัวเล็กๆ ตากลมโต แก้มป่องน่ารักแบบที่ใครๆ ก็ชอบ พอมาอยู่ข้างผมแล้วยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพลังงานบวกโคตรๆ.... คนหนึ่งสว่างสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งหมองหม่นอมทุกข์พ่วงมีประวัติเหม็นเน่าฉาวโฉ่แปะอยู่กลางหน้าผาก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนดีๆ ส่วนใหญ่จะเลือกเข้าหาบีบี๋มากกว่ามายุ่งกับตัวปัญหาอย่างผม

พอจะนึกคอนเสปท์ออกไหม.... แบบว่าแปดสิบเปอร์เซนต์ของคนที่เข้ามาจีบบีบี๋คือพวกพระเอกที่หลุดออกมาจากในนิยาย จริงใจ ให้เกียรติ ยอมที่จะค่อยๆ คุยทำความรู้จักกันจนกว่าไอ้บี๋จะตกลงปลงใจด้วย แต่พวกที่เข้ามาจีบผม ร้อยละเก้าสิบเก้าคือความจัญไรของสังคม ถ้าไม่รักแท้หวังฟันจนออกนอกหน้าก็ตัวเหี้ยที่มีเมียอยู่แล้วแต่เสือกไม่รู้จักพอ อย่างไอ้พี่เอกที่ทำให้ผมโดนช็อกโกแลตทั้งแก้วราดหัว ซ้ำยังโดนชาวบ้านด่าไปสามบ้านแปดบ้านว่าคิดจะแย่งผัวชะนีมีนา

แต่เอาเถอะ.... ผมเองก็ไม่ได้ขี้งอแงอะไรขนาดนั้น ก็แค่อยู่ในช่วงทำใจว่าคงเพราะตัวเองเหี้ยก็เลยดึงดูดแต่คนเหี้ยๆ ให้เข้ามาล่ะมั้ง

“น้องบี๋ครับ”

“อ้าว พี่อาร์ท” 

ข้าวยังไม่ทันหมดกล่อง เรดาร์มนุษยสัมพันธ์ดีของไอ้บี๋ก็ทำงานอีกครั้ง คราวนี้มันยิ้มกว้างเชียวเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงหน้าตี๋หล่อสะอาดเดินเข้ามาทัก

“มาทำไมเนี่ย ก็ไหนบอกว่าค่อยเจอกันตอนเลิกเรียนไง?”

“อยากเจอหน้าบี๋ก่อนเจอหน้าอาจารย์ไง นี่พี่อุตส่าห์เดินมาจากตึกคณะวิทย์เชียวนะ”

โอ้ว.... จีบแบบให้โลกรู้ว่ากูจีบอยู่ รายนี้ก็แน่พอตัวเว้ยเฮ้ย

“เลี่ยนว่ะพี่ หัดอายปากบ้างเหอะ เพื่อนบี๋นั่งหัวโด่อยู่เนี่ย!”

ไอ้บี๋ยู่ปาก ทำเป็นด่าอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเองหน้าแดงเถือกไปถึงหู มิหนำซ้ำยังดึงผมเข้ามามีเอี่ยวด้วยอีก

“ชื่อทิชาใช่ไหม?”

หนุ่มตี๋มองหน้าผมก่อนจะยิ้มให้ ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มทักทายตามมารยาทหรืออะไรก็ช่างแม่งเหอะ แต่ช่วยมองไปที่ไอ้บี๋คนเดียวเถอะ อย่ามายุ่งกับผมเลย

“คุ้นๆ ว่าเคยเห็นในงานโอเพ่นเฮาส์น่ะ”

“ครับ”

“ตอนนั้นเขาให้แต่งเป็นเจ้าชายใช่ปะ? น่ารักดีนะ.... ไม่ดิๆ ต้องบอกว่าหล่อดีถึงจะถูกเนอะ”

“ครับ”

ผมยังคงประหยัดถ้อยประหยัดคำ วางตัวเหินห่างเย็นชาสุดฤทธิ์ มันไม่คุ้มกันหรอกนะถ้ามีคนเห็นผมยิ้มให้คนที่เข้ามาจีบบีบี๋แล้วโดนเอาไปนินทาลับหลังว่าพยายาม ‘ยั่วเย’  ว่าที่แฟนเพื่อน

แต่ไอ้เชี่ยบี๋ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผมกำลังปกป้องความรู้สึกของมันอยู่ เพราะความที่มันดีกับผมมาก ผมจึงไม่อยากให้มันได้ยินอะไรก็ตามที่จะสามารถทำลายความเป็นเพื่อนระหว่างเราแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ทว่า บางครั้งความแบ๊วผิดที่ผิดเวลาของมันนี่ก็น่าโมโหฉิบหาย

“เฮ้ย ไอ้ชา.... คนนี้ชื่อพี่อาร์ท อยู่วิทย์เคมีปีสาม กูเพิ่งรู้จักพี่เขาตอนที่ไปเลี้ยงสายกับพี่นุ่นเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว”

ทูตสันถวไมตรีประจำมหาวิทยาลัย (ประชด!) พูดเสียงใสเจื้อยแจ้วไปเรื่อย มาถึงขั้นนี้แล้วผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งหัวเราะเจื่อนตามน้ำไปกับมัน 

“พอดีคุยกับพี่เขาถูกคอน่ะเลยแลกไลน์กันไว้”

“แค่คุยถูกคออย่างเดียวเองเหรอวะ?”

“เออน่า มึงก็อย่าขี้จับผิดนักดิ!” ปกติไอ้บี๋ก็ตาโตแก้มป่องอยู่แล้ว ยิ่งเวลาเขินหน้าแม่งยิ่งกลมเหมือนจะระเบิดได้เลยว่ะครับ  “ไปได้แล้วพี่ เอาไว้ค่อยเจอกันตอนเย็น”

“โอเค งั้นเอาไว้พี่ไลน์หาน้องบี๋อีกทีนะครับ”

“อื้อ ไปเลย แล้วไม่ต้องมาหาบี๋ที่คณะอีกนะ”

พอโดนโบกมือไล่ พี่อาร์ทก็ถอยทัพกลับไปอย่างสุภาพ ไม่มีการตื๊อให้น้องบี๋ลำบากใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพื่อนผมนี่สิ เมื่อกี้ก็ทำเป็นตะโกนแว้ดๆ ไล่ให้พี่เขากลับไปแบบว่าน้องรำคาญ น้องไม่ชอบให้ใครมาเฝ้า แต่คล้อยหลังรุ่นพี่หนุ่มตี๋ปีสามได้ไม่ทันไร ไอ้บี๋ก็กลายเป็นบ้า นั่งคิกคักตาเยิ้มตามประสาคนกำลังแฮพพรี่~สุดๆ

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นะมึง”  เห็นมันบิดซ้ายบิดขวาน่าหมั่นไส้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอแซ็วสักหน่อย

“เชี่ย ไม่ต้องมาขยี้กูเลย เพราะมึงคนเดียวเลยเนี่ย ไอ้กากชา!”

“อารายยยย กูไปทำอะไรให้มึง.... พูดเองเออเองแล้วก็เขินเองทั้งนั้น”

“ก็แค่ลองคุยๆ ดูก่อน ไม่ได้คิดอะไรจริงจังตอนนี้หรอก”

คำพูดของบีบี๋ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจนัก เพราะกับหลายคนที่ผ่านมาก็ลงเอยคล้ายๆ กันหมดคือลองคุยแล้วเข้ากันไม่ได้ ต่อให้ในระยะเริ่มแรก ไอ้บี๋จะระริกระรี้กระดี๊กระด๊าอยากมีแฟนมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันแค่เผื่อเลือกจนกว่าจะเจอคนที่ชอบจริงๆ หรือชอบหมดทุกคนที่คุยกันแน่

“อันที่จริงกูว่ามึงจะมีแฟนก็ไม่เสียหายตรงไหนนะ” ผมพูดไปตามที่รู้สึก “คนชอบมึงออกจะเยอะแยะ เลือกที่ถูกใจสักคนสิ”

“ก็เพราะมันยังไม่เจอที่ถูกใจนี่ไงถึงต้องคุยไปเรื่อยๆ ก่อน แบบว่ากูก็ยังไม่อยากปิดโอกาสตัวเองด้วยการลงหลักปักฐานกับคนๆ เดียวอะ” 

ไอ้บี๋ส่ายหน้าพลางเบะปากอย่างกับว่ากลัวการถูกผูกมัดด้วยการตกเป็นของผู้ชายเพียงคนเดียวนักหนา ทั้งที่ตัวมันเองก็กำลังรอคอยเวลาที่จะโดนใครสักคนผูกมัดใจจะขาด 

“ถึงเวลาเจอคนที่กูคิดว่าใช่ เดี๋ยวกูก็หยุดเองแหละ แต่ถ้าไม่ใช่ อะไรก็หยุดวิญญาณคนร่าน2017 ในตัวกูไม่ได้”

“เฉียบมาก กูขอยืมไปลงเพจคำคมได้มั้ยวะ” 

ผมขำพรืดจนแทบจะพ่นหมูสับออกมาทางจมูก คนห่าอะไรวะ แซะตัวเองแรงๆ ก็ได้ แต่โชคดีนะที่คนพูดคือไอ้บี๋ ถ้าเป็นผมพูดล่ะก็รับรองว่าต้องมีคนคิดว่าจริงแหง

ภาวะเดดแอร์เกิดขึ้นเมื่อผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี สายตาจึงกลับมาจดจ้องยังกระดาษงานบนโต๊ะสลับกับข้าวกล่องที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่คำ แล้วอยู่ดีๆ ไอ้บี๋ก็เอื้อมมือมาตบบ่าผมแบบไม่มีสาเหตุ

“มึงเองก็เหมือนกันนะ ไอ้ชา”

“อะไรวะ?”

ผมขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะย้อนถามเพราะคำพูดที่โคตรจะไม่มีที่มาที่ไปของเพื่อนสนิท แต่แล้วมันก็ยิ้มน่ารักอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำพ่วงด้วยคำปลอบใจสไตล์มนุษย์โลกสวย

“ไม่ต้องรีบร้อน คนที่เขารักมึงจริงๆ ยังไงก็ต้องมีอยู่แน่”

“รอให้มีคนรักกู สู้รอให้หมาตัวผู้ออกลูกยังง่ายกว่า”

ผมแค่นยิ้มตอบติดตลกออกไปเหมือนไม่คิดมากกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงก็รู้กันดีอยู่แล้ว ตราบใดที่เมืองไทยยังปลูกดอกลาเวนเดอร์ที่สวนหลังบ้านไม่ได้ ผมก็คงไม่มีที่วิ่งเล่นท่ามกลางแสงเดือนแสงดาวรอจนกว่าจะมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิตหรอก

แต่ถ้าเป็นพวกผู้ชายกะหลั่วเฮงซวยที่เรียกสายฟ้าสายฝนผ่าลงกลางหัวแบบพี่เอกล่ะก็จะไม่แปลกใจเลย....




“ไอ้ชา~”

ทันทีที่อาจารย์บอกเลิกคลาส บีบี๋ก็ถลาเข้ามาเกาะแขนผมแน่นยิ่งกว่าหอยทากเกาะกำแพงหลังจากที่มันเอาแต่แอบจิ้มโทรศัพท์ตลอดคาบบ่าย ยิ่งมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ ไม่ต้องอ้าปากก็เห็นยันลิ้นไก่ไส้ติ่งแล้วว่ามันต้องการอะไร

“เดี๋ยวมึงจะไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“กูว่าจะกลับบ้านเลยว่ะ”

ผมว่าพลางยัดหนังสือภาษาอังกฤษใส่ในเป้ ยังปวดหัวไม่หายกับคำศัพท์ห่าเหวที่อาจารย์พ่นมาตลอดสองชั่วโมงเต็ม ไม่อยากเชื่อว่าอุตส่าห์หนีมาเรียนอินทีเรียแล้วจะยังต้องเจออะไรแบบนี้อยู่ แต่ถึงผมจะพูดแบบนั้นก็ใช่ว่าจะช่วยให้ไอ้บี๋ยอมปล่อยมือจากผมง่ายๆ 

“มีอะไร? ชวนแดกหมูกระทะเหรอ?”

“ปล่าวววววว”

เพื่อนตัวเล็กยืนบิดไปบิดมา ทำท่าเขินทั้งๆ ที่หน้าผมก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายเหมือนบรรดาคนคุยของมันเลยสักนิด กว่าจะพูดออกมาได้ก็ต้องรอจนกว่าดอกพิกุลจะร่วงจากต้นนั่นละ 

“แบบว่า พี่อาร์ทเขาชวนกูไปเบอร์ลิค กูไม่กล้าไปคนเดียวก็เลยจะชวนมึงไปเป็นเพื่อนหน่อย”

“ชวนมึงไปเบอร์ลิคเนี่ยนะ?”

แค่ได้ยินชื่อสถานที่นัดหมาย ผมก็ส่ายหน้าไม่เอาด้วยทันที ถ้าเป็นร้านนั่งเล่นกินดื่มอย่างเคียงมอค่อยว่าไปอย่าง 

“ไม่เอาว่ะ วันนี้กูไม่ได้ให้ข้าวไอ้มิลค์เผื่อไว้ด้วย ไม่อยากกลับดึก เดี๋ยวแม่งร้องแล้วแม่กูจะมาวุ่นวายเรื่องเลี้ยงแมวอีก”

“โห่วววว ไอ้ชา มึงห่วงน้องมิลค์มากกว่ากูอีกเหรออออ”

“เออ”

“น่านะ เพื่อนชา.... กูไม่อยากปฏิเสธพี่อาร์ทว่ะ เขาอุตส่าห์จะแนะนำกูกับเพื่อนๆ แต่จะให้ไปคนเดียวมันก็ยังไงอยู่ มึงไปกับกูสักครั้งไม่ได้เหรอ น้า~~~”

บีบี๋ทำเสียงกระเง้ากระงอดเกาะแขนผมแน่นกว่าเดิม ในตอนนี้เพื่อนคนอื่นเริ่มหันมามองเหมือนอยากจะถามว่าผมกับไอ้บี๋กำลังเบี้ยนกันหรืออย่างไรไม่ทราบ เอาจริงๆ เลยนะ เหตุผลที่ผมไม่อยากไปข้อแรกก็เพราะกิตติศัพท์ของร้าน เหตุผลข้อสองก็คือเซนส์จับสันดานชั่วของผมมันกำลังบอกว่าเรื่องนี้แม่งโคตรมีเงื่อนงำ คำชวนของพี่อาร์ทจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

“เมื่อเช้ามึงบอกว่าแค่ลองคุยๆ กันไปก่อน แต่พอตกเย็นบอกว่าจะเปิดตัวมึงกับเพื่อนเนี่ยนะ ไม่คิดว่ามันฟังดูประหลาดเกินไปหน่อยเรอะ ไอ้บี๋?”

“ก็แบบ......ถ้าจะคบกันมันก็ไม่ใช่แค่กูกับเขาไง แต่ยังมีเพื่อนเขา สังคมของเขาที่กูยังต้องเรียนรู้อีก......ก็เลยแบบ......แบบ...........”

เชี่ยบี๋พยายามแถ แถหน้าด้านๆ แถจนสีข้างถลอกปอกเปิกจนผมกลายเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเองก่อนจะตัดสินใจถามมันตรงๆ

“แบบว่ามึงแค่อยากไปแรดเบอร์ลิค ว่างั้นเหอะ”

“อ้ะ รู้ใจกู~”

โดนจับไต๋ได้แทนที่จะสลดสักนิดก็ไม่มี ยังจะมายิ้มระรื่นทำงุ้งงิ้งใส่ผมได้อีก

ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก็เข้าใจแหละว่าอาการอินเลิฟมันสามารถทำให้คนเราหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นกับดักหลุมพรางตรงปลายเท้าตัวเอง.... ผมก็เป็นออกบ่อย ครั้งสุดท้ายก่อนจะหายโง่ก็คือตอนที่มีเรื่องเพราะพี่เอกนั่นไง แล้วผมก็คงเสียใจถ้าหากพลังบวกของจักรวาลอย่างบีบี๋จะต้องมัวหมองด้วยน้ำมือของพวกตัวผู้ที่มีสมองอยู่ตรงหว่างขาและไม่เคยคิดเหี้ยอะไรนอกจากเรื่องใต้สะดือเลย

“ไปก็ได้ แต่กูไม่หารเหล้ากับมึงนะ กูแดกแต่มิกเซอร์กับเอ็นข้อไก่ทอด”

ผมรู้จักนิสัยขี้ตื๊อของบีบี๋ดี เห็นมันน่ารักง้องแง้งอย่างนี้แต่ก็ห่ามกว่าที่คิด ต่อให้ผมไม่ไปด้วยจริงๆ แต่มันก็คงเลือกจะไปอยู่ดี ก็สู้ตามไปนั่งเฝ้าระวังภัยให้มันสักครั้งคงไม่ถึงกับตาย

“โอเคร้~ กูเลี้ยงเฟรนช์ฟรายกับกุ้งแช่น้ำปลามึงด้วยเลย”

“หมูมะนาวด้วย”

“ได้จ้ะ ไอ้เชี่ยคุณเพื่อน”

“งั้นก็ดีล”

ก็หวังว่ามันจะเป็นแค่การเปิดตัวคนคุยในหมู่เพื่อนฝูงอย่างที่ไอ้บี๋มั่นใจ ไม่ใช่อะไรก็ตามที่จะทำให้ผมต้องจมอยู่กับคำครหาที่ว่าชอบแย่งแฟนชาวบ้านเหมือนแม่อีกก็แล้วกัน


TO BE CONTINUE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 19:46:26 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
ชอบสำนวนการเขียนคครับ และเนื้อเรื่องก็น่าติดตาม :L2: :L1:
กอดให้กำลังใจคนเขียนครับ :กอด1:

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
2
~ เรื่องบังเอิญครั้งที่สอง ~


บรรยากาศร้านเบอร์ลิคไม่ใช่อะไรที่ผมปลื้มสักเท่าไร เพราะมันเต็มไปด้วยสารพัดอบายมุขเท่าที่จะหาได้ในประเทศสารขัณฑ์แห่งนี้ แม้ภายนอกจะดูเป็นผับขายเหล้าเคล้าดนตรีเล่นสดเอาไว้ให้เพื่อนฝูงเฮฮาสังสรรค์กันธรรมดา แต่ก็เป็นที่ที่คุณสามารถสั่งยาไอซ์มาซี้ดเข้าจมูกไปพร้อมกับซดน้ำต้มข่าไก่ได้ ยังไม่รวมของเด็กๆ อย่างพวกบุหรี่ยัดไส้กัญชาหรือแม้แต่จะซื้อ-ขายบริการทั้งผู้หญิงผู้ชายอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อโคจรชนิดที่ผมกับบีบี๋ไม่ควรจะเฉียดเข้ามาเลยด้วยซ้ำ


ขึ้นชื่อว่าสถานที่แย่ๆ บรรดาคนที่มาเที่ยวแม่งก็ต้องฮาร์ดคอร์ตามไปด้วย ผมถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าไอ้พี่อาร์ทมันกล้านัดบีบี๋มานั่งในร้านแบบนี้ได้ยังไง.... ไอ้สายตาลวนลามน่ะผมรู้จักดี ชินแล้วด้วย แต่ถ้ามันมาพร้อมกันทุกทิศทางก็ยากเกินกว่าที่ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและควบคุมสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติได้


เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าบึ้งสนิท อารมณ์ก็บูดเช่นกัน....


“ยินดีต้อนรับว่าที่สะใภ้กลุ่มหน่อยเว้ย.... เอ้า ดื่มๆๆๆ” 


หนึ่งในเพื่อนพี่อาร์ทซึ่งผมขี้เกียจจะจำชื่อแหกปากตะโกนแข่งกับเสียงเพลง เหล้าสีเต็มแก้วทยอยแจกจ่ายไปรอบวงเป็นสัญญาณว่าพร้อมเมาฉลองคืนวันศุกร์เต็มที่

“น้องบี๋ เอาเรดหรือเอาเบียร์ดีครับ?” รุ่นพี่หนุ่มตี๋คนเดิมเอียงหน้ามาถามไอ้บี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างผม ยังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงโห่แซ็วขึ้นมาสำทับอีกระลอก

“หรือจะเอาพี่อาร์ทดีครับ ฮ่าๆๆๆ”

“เอาเบียร์ก็ดีกว่าครับ” บีบี๋ยิ้มเขิน ถ้าไฟในร้านสว่างกว่านี้อีกนิดรับรองว่าคงได้เห็นหน้ามันแดงไปถึงหูทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มสักแอะ

“งั้นรวดเดียวเลยนะ” 

พี่อาร์ทยุส่งก่อนจะส่งเบียร์สดหนึ่งแก้วเต็มๆ ให้คนตัวเล็ก ท่ามกลางความมืดที่มีเอ็นข้อไก่ทอดกับขวดชามะนาวขวางอยู่ตรงหน้า ผมพยายามส่งซิกพร้อมทั้งเตะขาเพื่อนให้รู้สึกตัว อย่าได้หลงคารมผู้ชายที่ส่อเจตนาจะมอมเหล้ามันแบบเนียนๆ อย่างเด็ดขาด

“บีบี๋ อย่าดื่มเยอะ”

“เออน่า กูไม่เป็นไรหรอก.... เห็นงี้แต่กูคอแข็งนะเว้ย”

กัลยาณมิตรอุตส่าห์เตือนด้วยความเป็นห่วงแต่เจ้าตัวกลับอยากจะโชว์พาวอวดผู้ ผมก็เลยไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้มันกระดกเบียร์ลงคอเอาอย่างที่สบายใจเลย

ถ้านี่เป็นบททดสอบความเข้ากันได้ระหว่างกลุ่มเพื่อนกับว่าที่แฟน ผมกล้าบอกเลยว่าไอ้บี๋คงผ่านฉลุยทุกด่าน เพราะนอกจากจะดื่มสารพัดแอลกอฮอลล์ที่พี่อาร์ทแอนด์เดอะแก๊งค์ประเคนให้แก้วแล้วแก้วเล่า มันยังพูดคุยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับเขาได้ทุกเรื่อง ทั้งผลบอลเมื่อคืน วิเคราะห์สาวไซด์ไลน์ วิจัยอาบอบนวด  หลีหญิงโต๊ะข้างๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งหน้าเป็นตูดและดูเป็นอะไรที่โคตรไม่เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่เสี้ยวกระผีก

“เฮ้ย มึงมีน้ำแข็งป่ะ เอามาแบ่งกูหน่อย”

“สัส แพงนะเว้ย.... เอาไปแล้วก็ซื้อมาคืนกูด้วย”

“เออน่า!”

และแล้วสิ่งที่ผมกังวลก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเพื่อนพี่อาร์ทส่งยาให้กันต่อหน้าต่อตาทุกคน ไม่มีหลบซ่อน ไม่มีความละอาย ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังทำผิดกฎหมาย ทำอย่างกับว่าผงสีขาวในซองซิปล็อคคือผงโอวัลตินใครกินก็อร่อยยังไงยังงั้น

“ไอ้โจ มึงเบาๆ ดิวะ.... เดี๋ยวก็ช็อกตายห่าคาร้านเขาหรอก”  พี่อาร์ทเตือน แต่เพื่อนที่ชื่อโจก็เอาหลอดตักยาสูดเข้าจมูกรวดเดียวไปแล้วเรียบร้อย

ผมไม่โอเคกับสิ่งที่เห็น การเสพยาไม่ใช่อะไรที่ผมอยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย จากที่ค่อนข้างนอยด์สภาพแวดล้อมอยู่แล้วก็เลยยิ่งแผ่รังสีมาคุมากกว่าเดิม.... ผมไม่ได้เกลียดการสังสรรค์และก็ยังมองว่าการที่ผู้ชายกินเหล้านั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ผมอยู่ในสถานะที่ต้องระมัดระวังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะถ้าหากผมเมา เล่นยาหรือก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ปลายทางมันจะไม่ได้จบแค่ถูกพ่อแม่ด่าเหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไป

“น้องทิชาอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วจะไม่ดื่มกับพวกพี่สักหน่อยเหรอ?”

“ไม่ล่ะครับ”  ผมตอบปฏิเสธเพื่อนพี่อาร์ทอีกคนซึ่งนั่งตรงข้ามกัน เห็นมาสักพักแล้วล่ะว่าเขาทั้งแปลกใจแล้วก็ขำที่ผมเอาแต่กินกับแกล้มเคล้าเลมอนไอซ์ที

“นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอกน่า.... ดื่มด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เต้ชงเรดให้”

“ชื่อทิชาแล้วยังกินแต่ชามะนาว น่ารักหน่อมแน้มยังกะเด็กม.ต้นแน่ะ”

“ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมสะดวกแบบนี้”

ถ้าชวนอย่างสุภาพก็ยังพอทน แต่ไอ้คนชื่อโจที่สูดไอซ์ไปเมื่อกี้ดันปากหมาแซ็วไม่ดูสี่ดูแปดจนผมแอบง้างตีนรออยู่ใต้โต๊ะ กะว่าถ้ามึงปากดีใส่กูอีกคำเดียวล่ะก็โดนแน่ จะผิดก็เพื่อนเวรของผมนี่แหละที่ดันผสมโรงไปกับพวกนั้นด้วย

“ทิชามันคออ่อนน่ะพี่ พวกพี่ที่คณะนัดไปก๊งกันทีไรมันก็กินได้แต่มิกเซอร์กับกับแกล้ม โคตรเปลืองเลย”

“เอาจริงดิ ไม่น่าเชื่อ”

“กูก็ว่างั้น.... ดูเรียบร้อยไม่เหมาะกับหน้าน้องมันเลยว่ะ”

“แล้วหน้าผมมันเป็นไงเหรอ?”

ผมทิ้งส้อมลงในจานเสียงดังแคร๊ง จากที่นั่งปั้นหน้านิ่งมาได้ตั้งนานก็เริ่มจะเหวี่ยงออกทางสายตาและคำพูด

“จะบอกว่าหน้าตาดูแรดไม่เหมือนคนไม่ชอบกินเหล้างั้นสิ?”

ผมไม่ได้ตะคอก แต่น้ำเสียงเย็นเฉียบก็ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบสนิทเหมือนโดนคำสาปลิ้นแข็ง พี่อาร์ทกับเพื่อนมองผมคล้ายอยากถามว่าเป็นเหี้ยอะไรมากไหมแต่ก็ไม่กล้า.... บีบี๋มันไม่ได้เมาหรือตั้งใจจะแซะเพื่อนหรอกแต่พอเหล้าเข้าปากแล้วดันพูดมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่ควรถือสา ทว่า ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางก็มีมากพอๆ กับความไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับรสนิยมส่วนตัว


โดยเฉพาะที่พวกแม่งคล้ายจะจี้ใจดำผมทางอ้อม ว่าหน้าตาเหมือนแม่ ก็ต้องชอบทำอะไรแย่ๆ อย่างที่แม่เคยทำ....!


“เหี้ยชา.... พี่เขาแค่หยอกเล่นเว้ย อย่าหัวร้อนง่ายดิมึง” 

บีบี๋หัวเราะแห้งหันมาลูบหัวผมหวังจะให้อารมณ์เย็นลง ตอนนี้มันคงรู้แล้วล่ะว่าสถานการณ์ระหว่างเพื่อนตัวกับเพื่อนว่าที่ผัวอาจบานปลายกลายเป็นสงครามในไม่ช้า ฑูตสันถวไมตรีจึงพยายามปล่อยมุขเรี่ยราดเกลี้ยกล่อมให้ผมสงบลง 

“อ้ะนี่ ไก่ทอดของโปรดมึง.... กินไก่ให้ใจเย็นๆ โนะคุณเพื่อน หรือมึงจะลากไปกินในน้ำก็ได้”

แต่ผมไม่ขำ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าขำตั้งแต่มีคนควักยาไอซ์มาดูดเล่นบนโต๊ะแล้ว 

“ไอ้บี๋ ปาร์ตี้เปิดตัวของมึงจบแล้ว.... กลับ!”

“ไอ้ชา มึงโกรธที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ.... กูขอโทษ”

คนตัวเล็กเสียงอ่อย สีหน้าเจื่อนสนิทเพราะเข้าใจว่าผมไม่ชอบที่มันเอาเรื่องวีรกรรมตัวจกกับแกล้มมาแฉกลางวงเหล้า มันเองก็ดื่มไปเยอะ สมองจะตกๆ หล่นๆ จนไม่ได้ยินอะไรไปบ้างก็ช่างเหอะ

“กูไม่ได้โกรธมึงเว้ย บี๋... แต่เชื่อกูเถอะว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่เหมาะกับมึงอยู่หรอก”

ประโยคหลังผมเน้นทั้งน้ำเสียงและสายตาไปทางพี่อาร์ทเต็มๆ ตั้งแต่รู้ว่านัดกันมาร้านนี้ ผมก็คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันไม่มีทางจบสวยได้แน่ๆ ซึ่งถ้าผมไม่สังหรณ์ใจในทางร้ายจนยอมตามมาเฝ้าบีบี๋ รับรองว่าต้องมีหมาตัวไหนสักตัวเทไอซ์ใส่แก้วเพื่อนผมแล้วลากมันไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนก็ไม่รู้

“เดี๋ยวสิครับ ทิชา”  พอผมดึงบีบี๋ให้ลุกขึ้น พี่อาร์ทก็ลุกตามทันที เขาดูโกรธจัดทีเดียวแต่ก็ยังมีสติมากพอจะคุยอย่างสุภาพชน  “พี่เป็นคนชวนน้องบี๋มา แล้วอยู่ดีๆ ทิชาจะมาบังคับให้เพื่อนกลับแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

“คราวหน้าพี่อาร์ทก็ชวนมันไปที่ดีๆ สิครับ ไม่ใช่พามันมานั่งร้านมั่วที่มีแต่เหี้ยนั่งดูดไอซ์กันหน้าสลอน” 

กลุ่มเพื่อนพี่อาร์ททำเป็นสะดุ้งโหยงกันทั้งโต๊ะ แต่ไหนๆ ก็พูดกันขนาดนี้แล้วก็คงไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจไว้หน้ากันอีกแล้วมั้ง

 “ถ้าพี่ไม่ดูดด้วยก็แล้วไป แต่เพื่อนขี้ยาแบบนี้เลิกคบได้ก็เลิกเหอะนะ ไม่พากันไปแก่ตายในคุกก็คงได้โอเวอร์โดสตายห่าเข้าสักวัน!"

“อ้าว ไอ้สัดนี่.... พูดงี้อยากเจ็บเหรอวะ!?”

"กูอุตส่าห์ไม่เล่นแม่งเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเมียมึงนะ ไอ้อาร์ท!”

โจกับเต้ (ในที่สุดก็จำชื่อได้) ลุกขึ้นชี้หน้าผม ในตอนนี้โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามองทางเรากันแล้ว แน่นอนว่าฤทธิ์เหล้าของฝั่งนั้นและความโกรธของผมทำให้ไม่มีใครหน้าบางยอมถอยกันสักคน

“ทิชา น้องพูดเกินไปแล้วนะครับ”

พี่อาร์ทยกมือเป็นเชิงบอกเพื่อนให้ยั้งตีนเอาไว้ก่อน แต่สีหน้าท่าทางและคำพูดคำจาวางมาดข่มขู่ขัดกับลุคพ่อพระที่เจ้าตัวพยายามพรีเซนต์เสียเหลือเกิน 

“ขอโทษเพื่อนพี่ซะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องกัน”

“ไอ้ชา........”  บีบี๋ดึงชายแขนเสื้อผมคล้ายว่าอยากให้ขอโทษพวกเชี่ยนั่นเหมือนกัน

“ก็แล้วแต่มึงนะบี๋ กูถือว่ากูเตือนมึงแต่แรกแล้ว” 

ไม่ว่าใครจะขอร้อง ผมก็ไม่สนทั้งนั้น ในเมื่อผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไอ้ขี้ยาสองตัวนั่นต่างหากที่เสียมารยาทวิจารณ์หน้าตาผม แล้วทำไมผมจะต้องยอมลดศักดิ์ศรีขอโทษเพื่อให้เรื่องจบด้วย

แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังเตรียมออกจากร้าน พี่อาร์ทก็รั้งผมไว้ด้วยคำถามที่ชวนให้เส้นเลือดในสมองเต้นตุบด้วยความโมโห

“อย่างน้องทิชายังมีอะไรให้เตือนคนอื่นได้ด้วยเหรอ? เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหมครับ?”

“อยากจะด่าอะไรก็ด่ามาตรงๆ เลยดิ!” 

ผมแหวใส่ รู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะเอาประเด็นไหนมาดิสเครดิตผม แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อไอ้พี่เต้กับไอ้พี่โจช่วยกันขุดเรื่องอับอายขายขี้หน้าของผมออกมาล้อเลียนกันสนุกปาก

“ไอ้อาร์ท มึงก็พูดไปเลยว่าใครๆ เขาก็รู้สันดานไอ้เด็กห่านี่กันหมดทั้งมหาลัยแหละว่ามันชอบเป็นเมียน้อยชาวบ้านเหมือนแม่มันอะ.... ถุย! ทำเป็นแอ๊บแดกเหล้าไม่เป็น รังเกียจพวกเล่นยา แต่กับผัวคนอื่นนี่ถึงไหนถึงกันเลยใช่ปะ”

“คดีล่าสุดมึงนี่อะไรนะ ใช่ไอ้เอก คณะบริหารหรือเปล่า.... ได้ยินว่าโดนเมียมันตามไปด่าประจานกลางสตาร์บัคเลยนี่ ฮ่าๆๆ”

ผมโกรธจัดจนหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายจะกลายเป็นน้ำเดือด.... คุณเคยโมโหอะไรสักอย่างมากๆ จนอยากรวบรวมเอาคำด่าหยาบๆ ทั้งโลกไปปาใส่หน้าคู่กรณี แต่ในความเป็นจริงกลับนึกคำพวกนั้นไม่ออก ทำได้แค่กำหมัดแน่นตัวสั่นแล้วก็น้ำตาคลอเพราะความเจ็บใจไหม นั่นละคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้

และระหว่างที่ยืนนึกหาทางตอบโต้อยู่นั้น ไอ้หมาขี้ยาก็ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดตัวผม

“ไอ้เหี้ย จับอะไรของมึงวะ!?”  ผมร้องโวยวายเมื่อหนึ่งในสองใช้มือขยำก้นผมเต็มๆ

“โห จับแค่นี้ทำหวงเว้ย” พวกมันหัวเราะ ทำราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขำฉิบหายที่ผมไม่เต็มใจให้ล่วงละเมิดทางเพศ 

“หรือกูเปิดเผยไปมึงเลยไม่ชอบวะ ต้องแอบๆ จับเหมือนที่ทำกับไอ้เอกสินะ มึงถึงจะยอม?”

“ปล่อย อย่ามาโดนตัวกู!!”

เหตุการณ์ยิ่งเลยเถิดเมื่อไอ้สองคนนั้นลากตัวผมเข้ามุมโซฟาได้สำเร็จ ผมดิ้นรนอยู่บนตักของคนชื่อเต้โดยที่มือของมันล็อกเอวไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนหนี ส่วนไอ้เหี้ยโจซึ่งกำลังดีดได้ที่เพราะน้ำแข็งที่เสพเข้าไปตามมาประกบทางด้านหน้า ฤทธิ์เหล้ายาผสมผสานกับสันดานเลวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดทำให้พวกมันดูถูกผมจนเกินกว่าที่จะให้อภัยได้

“เฮ้ย ทิชา.... ให้กูเอาทีนึงดิ เดี๋ยวกูจ่ายสดมึงสองหมื่นเลย โอเคปะน้อง?”

“กูด้วย ให้สามหมื่นเลย ถ้ายอมให้ปล่อยในกูจ่ายห้าหมื่น สนมั้ย?”

“ไอ้สัด! ไอ้พวกใจหมา! กูไม่ใช่กะหรี่โว้ย!!”

ผมทั้งตะโกนด่าทั้งดิ้นสุดแรงเกิด หากก็ไม่สามารถหยุดยั้งมือสากสกปรกที่สอดล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อได้ ผมขนลุกเกรียวด้วยความรังเกียจ ขยะแขยงเสียงหัวเราะและลมหายใจที่เป่ารดลงมาโดนผิวเนื้อ.... น้ำตาไหลไม่ใช่จากความหวาดกลัวว่าจะถูกรังแก แต่เป็นเพราะโกรธเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้ผมถูกมองว่าเป็นตัวร่าน เป็นของเล่นที่ใครจะเหยียดยามทำเหี้ยใส่ยังไงก็ได้

“พี่อาร์ท!!” บีบี๋หันไปโวยใส่คนคุยของมันเมื่อเหตุการณ์ดูท่าจะไปกันใหญ่ “บอกให้เพื่อนพี่ปล่อยไอ้ชาเดี๋ยวนี้เลยนะ.... ล้อเล่นอะไรกัน บี๋ไม่ตลกด้วยหรอก บี๋จะกลับแล้ว!!”

“นี่มันเรื่องของไอ้เต้กับไอ้โจ พี่ห้ามมันไม่ได้หรอก.... แล้วพี่ก็บอกให้เพื่อนบี๋ขอโทษพวกมันแล้วนะ แต่เขาไม่ยอมทำตามเองก็ช่วยไม่ได้”

ไอ้พี่อาร์ททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะดึงบีบี๋ให้นั่งลงตามเดิม แต่คราวนี้เพื่อนผมแม่งไม่ยอม มันสะบัดมือพี่อาร์ททิ้งพร้อมทั้งสบถเสียงลั่น

“โธ่เว้ย!”

ภาพที่ผมเห็นก็คือไอ้บี๋คว้าขวดชามะนาวบนโต๊ะตรงดิ่งมาทางนี้ หน้ามันดูโมโหมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่อาร์ทพยายามจะตามมาคว้าตัวเพื่อนผมให้ถอยกลับไปแต่ก็ช้าเกินไปแล้ว.... ขวดแก้วในมือบีบี๋เงื้อสูงขึ้นในอากาศ ในตอนนั้นผมคิดว่ามันจะต้องฟาดลงบนหัวไอ้เต้หรือไอ้โจคนไหนสักคนแน่

แต่ทว่า....



โครม!!!



“โอ๊ย!!!!”

มีเสียงของหนักหล่นกระแทกพื้นอยู่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ผมรีบตะกายตัวลุกขึ้นทันทีที่หลุดจากพันธนาการ เพื่อนรักของผมยังคงยืนถือขวดชามะนาวค้างอยู่ตรงที่เดิม หน้าตาดูเหวอหนักมากก่อนที่มันจะรีบเข้ามาคว้าตัวผมให้ออกมาจากมุมโซฟาตรงนั้น

แล้วเราก็ได้ยืนดูไอ้ขี้ยาสองตัวชดใช้กรรมด้วยกัน....

“เฮ้ย มึงมาเสือกอะไรด้วยวะ!!??”

“มึงกล้าถีบกูเหรอ ไอ้สัด!”

อ้อ ที่แท้เสียงหล่นตุ้บจากโซฟาเมื่อกี้เพราะโดนตีนอัดเข้าเต็มๆ นี่เอง

“เออ กูกล้า” 

หนึ่งในพลเมืองดีตอบหน้าตาย แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมก็เห็นสายตาคมปลาบของคนที่ยืนหน้าสุดมองพวกเพื่อนพี่อาร์ทอย่างเอาเรื่อง ฝูงชนรอบข้างที่แดนซ์กระจายลืมตายกันอยู่เมื่อครู่แตกฮือเพราะกลัวโดนลูกหลง เปิดทางให้เจ้าถิ่นตัวจริงและพรรคพวกเข้ามาประจัญหน้ากับทีมพี่อาร์ท 
“แล้วถ้ามึงสองตัวยังไม่หยุดทำอะไรชั่วๆ ล่ะก็ รับรองว่ากูไม่ทำแค่ถีบมึงหน้าหงายแบบตะกี้แน่!”

“พวกมึงอยู่วิดวะใช่มั้ย?” 

พี่อาร์ทก้าวออกมาขวางหน้าเพื่อน ใช้ความเป็นหัวโจกของแก๊งค์เจรจากับคู่กรณีซึ่งดูเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน

“ที่ร้านนี้มีกฎว่าเรื่องของใครของมัน ห้ามมาก้าวก่ายข้ามโต๊ะ กูว่าพวกมึงกลับไปที่ของตัวเองจะดีกว่า”

“ตอนแรกกูเห็นสองคนนี้มากับมึง กูก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แต่เด็กมันลุกจากโต๊ะมึงแล้ว เพื่อนมึงต่างหากที่ไปลากเขากลับมาปล้ำน่ะ”

“ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”

“แล้วแบบไหนวะถึงจะเรียกว่าเข้าใจถูก? จะบอกว่าไอ้เจ้านี่มันเต็มใจให้พวกเพื่อนมึงข่มขืนกลางร้านรุ่นพี่กูงั้นดิ?” 

ผู้ช่วยเหลือยักไหล่กวนตีนกลับเมื่อฝั่งพี่อาร์ทปฏิเสธหน้าตายว่าที่ไอ้เต้กับไอ้โจทำเมื่อกี้ก็แค่ล้อเล่นกันขำๆ สะเก็ดดาวในหมู่พี่น้อง ก่อนที่ร่างสูงจะหันมาหาผมเพื่อถามย้ำว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่   

“ว่าไง ตกลงว่ามึงสมยอมพวกมันหรือเปล่า?”

ผมส่ายหน้า อันที่จริงแค่สภาพหัวยุ่งเหยิง เนื้อตัวมีรอยช้ำจากการถูกฉุดกระชากแรงๆ ก็เป็นยิ่งกว่าหลักฐานอยู่แล้ว

“งั้นกูว่าก็น่าเคลียร์ได้แล้วมั้ง หรือมึงอยากให้คนทั้งมหาลัยรับรู้เรื่องที่เพื่อนมึงทำล่ะ?”

“แล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรพวกกูได้?”

“ไสหัวไปดีๆ เหอะว่ะ พวกมึงสามตัวเรียนวิทยาไม่ใช่เหรอ.... ถ้าคิดจะเรียนด้วยเงินพ่อมึงแม่มึงก็แล้วไป แต่ถ้าจะต่อโทแล้วเกิดอยากได้ทุนวิจัยขึ้นมา กูว่าคดีล่วงละเมิดทางเพศกับเสพยาอาจจะทำให้พวกมึงอยู่ยากสักหน่อยนะ”

“มึงขู่กูเหรอ?”

“ถ้ามึงจะไม่เอาทุนก็ไม่เห็นต้องกลัว” 

พอโดนต้อนเข้าหน่อย ไอ้พี่อาร์ทก็หน้าเสียไปเหมือนกัน สงสัยเงินที่เอามาเที่ยวเปย์ไอ้บี๋ก็คงกู้กยศ.มาแหง  ไอ้พี่เต้ก็เงียบสนิทเหมือนมีคนส่งส้นเท้าให้อม เหลือแต่ไอ้พี่โจที่ยังห้าวเป้งท้าคนตรงหน้าเหยงๆ คงเพราะยาไอซ์ที่ซี้ดเข้าไปทำให้มองเห็นช้างตัวเท่ามด

“บ้านกูรวยเว้ย!” มันว่าก่อนจะชี้หน้าผม ทำท่าคล้ายจะดึงตัวผมกลับไปที่เดิมให้ได้  “แล้วกูก็ยังไม่จบธุระกับไอ้เด็กเหี้ยนี่ด้วย อุก..........!!”

ยังไม่ทันขาดคำ ฝ่าเท้าหุ้มด้วยรองเท้าไนกี้ Air Max Zero ก็ยันโครมเข้าให้ที่กลางอก ส่งมนุษย์ขี้ยาให้ลงไปนอนกองเป็นหมาตายคาพื้น รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าของตีนขณะเดินเข้าไปกระทืบท้องซ้ำไม่ให้ลุกขึ้นมาซ่าส์ได้อีก

“อ้อ กูลืมเตือนมึงอีกอย่างนึงว่ะ” 

มือใหญ่กระชากคอเสื้อไอ้พี่โจทั้งที่แม่งกำลังสำลักจุกดิ้นทุรนทุราย พี่อาร์ทกับลูกสมุนอีกตัวก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปช่วยเพราะเจ้าของเสียงห้วนประกาศกร้าวว่าถ้ายังกล้าเปรี้ยวตีนอีก รับรองไม่ได้ขับรถกลับหอแบบครบสามสิบสองแน่ 

“นอกจากจะต้องระวังเรื่องทุนแล้ว อีกอย่างนึงก็มึงควรระวังก็คือคณะวิศวะ เพราะพวกกูน่ะโคตรจะสามัคคีกันเลยเวลายำตีนไอ้ขี้ยาคณะวิทย์ฯ หวังว่ามึงคงไม่โง่!”


เรื่องที่เคยได้ยินมาอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับร้านเบอร์ลิคก็คือ หุ้นส่วนของร้านเป็นรุ่นพี่คณะวิศวะ ฯ ที่จบไปนานแล้วแต่เบื่อจะทำงานกับเครื่องยนต์เลยหันมาเอาดีทางขายอบายมุขแทน พวกรุ่นน้องในสายก็เลยค่อนข้างจะมีสิทธิ์เข้านอกออกในประหนึ่งเจ้าถิ่น....

ปกติแล้ว ก็อย่างที่ไอ้พี่อาร์ทมันบอกนั่นแหละว่าทุกคนที่มาเที่ยวที่นี่จะไม่ก้าวก่ายข้ามโต๊ะกัน ใครอยากดื่มเหล้า อยากแดนซ์ อยากพี้ยา หรือจะทำอะไรก็เชิญ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตัวร้านก็จะไม่มีใครมาขวาง แต่คราวนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแก๊งค์วิศวะซึ่งน่าจะรับสืบทอดหน้าที่เฝ้าเบอร์ลิคถึงมาเช็คบิลเก็บโต๊ะพี่อาร์ทกับเพื่อนแบบนี้

ผมกับบีบี๋ออกมานอกร้านได้อย่างปลอดภัยก็เพราะได้พวกวิศวะฯ คุ้มกันประหนึ่งบอดี้การ์ด พอได้แสงไฟด้านหน้าบวกกับระยะสายตาที่กำลังพอเหมาะ ร่างสูงใหญ่ที่เป็นคนวอร์กับไอ้พี่อาร์ทและถีบไอ้เชี่ยพี่โจจนกลิ้งไม่เป็นท่าก็หันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วแน่น แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก

“กูว่ามึงนี่หน้าตาคุ้นๆ.......”  เขาพูดแบบไม่ค่อยแน่ใจ  “มึงใช่ทิชาที่อยู่สินกำมั้ยวะ?”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะย้อนถามบ้างตามมารยาท  “ใช่พี่โรมที่เคยเจอกันเมื่อตอนนั้นหรือเปล่าครับ?”

“เออ กูเอง”

แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมจำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างในแล้ว....

“ทำไมกูต้องมาเจอมึงตอนกำลังมีเรื่องตีกับชาวบ้านเขาอยู่ทุกทีเลยวะเนี่ย?”

“ไม่รู้ดิพี่ สงสัยดวงสมพงษ์กันมั้ง” 

ผมหัวเราะพลางตอบทีเล่นทีจริง แต่จะว่าไปแล้วก็คงต้องบอกว่าผมตอบจริงมากกว่า เพราะการที่ผมจะได้รับความช่วยเหลือจากคนๆ เดียวกันถึงสองครั้งสองคราวมันไม่น่าจะใช่แค่ความบังเอิญเพียงอย่างเดียว มันจะต้องมีผีผลักหรือไม่ก็บุพเพอาละวาดร่วมด้วยช่วยกันชัวร์

“ไอ้ชา มึงรู้จักพี่เขาด้วยเหรอ?”

ไอ้บีบี๋แอบกระซิบถาม ดูท่าทางมันออกจะหวาดๆ พี่โรมอยู่นิดหน่อย ซึ่งผมคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะพี่โรมเป็นคนตัวใหญ่ไซส์หมีกรีซลีย์ พูดจาโผงผางท้าตีท้าต่อยตามประสาพวกวิศวะฯ ทั่วไป แตกต่างจากหนุ่มตี๋เจ้าสำอางแบบพี่อาร์ทที่มันชอบชนิดฟ้ากับเหว (แน่นอนว่าไอ้เชี่ยพี่อาร์ทต้องเป็นเหว)

“พี่โรม คนที่ให้กูยืมเสื้อตอนที่มีเรื่องกับเมียพี่เอกน่ะ”

“อ้อ.... เจ้าของเสื้อช็อปภาคเครื่องกลคนนั้นนี่เอง~”

คราวนี้ไอ้บี๋ตื่นเต้นตาโตขึ้นมาเชียว จากที่หลบอยู่ข้างหลังผมก็โผล่มามองพี่โรมและพรรคพวกอย่างสนอกสนใจ

ผมได้ยินพี่โรมคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่ยังอยู่ข้างในร้าน ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะบังคับไอ้พี่อาร์ทกับเพื่อนชั่วของแม่งออกไปทางด้านหลังเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าตอนนี้ผมกับบีบี๋ปลอดภัยดีทั้งคู่ ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนดักตีหัวที่ลานจอดรถอย่างที่พวกหมาลอบกัดชอบทำกัน.... ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเรียกอูเบอร์ก่อนจะเดินออกไปรอรถตรงทางเข้า พี่โรมยังคงเดินตามติดผมทุกฝีก้าวจนแทบจะขึ้นมาขี่คอเป็นผีชัตเตอร์อยู่รอมร่อ ปากก็บ่นยืดยาวไปเรื่อยยิ่งกว่าครูฝ่ายปกครองสมัยมัธยม

“กูจะไม่ถามนะว่ามึงไปรู้จักกับไอ้ห่าสามตัวนั่นได้ยังไง มหาลัยแม่งก็มีกันอยู่แค่นี้ แต่มึงเห็นชื่อร้านนี้แล้วทำไมถึงยังกล้าเหยียบตีนเข้ามาอีก.... ได้ยินที่ไอ้หน้าปลาจวดนั่นพูดไหมว่าคนที่นี่เขาไม่เสือกเรื่องชาวบ้านกัน ถ้าพวกกูไม่อยู่แล้วไอ้ขี้ยานั่นมันจะข่มขืนมึงจริงๆ ก็ไม่มีใครเขาช่วยมึงได้หรอก”

ผมโดนด่าเต็มๆ ก็ยอมรับแหละว่าที่โดนไปนั้นครึ่งหนึ่งเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะความแรดของไอ้เชี่ยบี๋ที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ

“ทีพวกพี่ยังมาได้เลย.......”  ผมเถียง ไม่รู้จะเถียงไปทำไมแต่ก็ยังอยากจะเถียงอยู่ดี

“กูมาช่วยรุ่นพี่กูเปิดแผ่นโว้ย แล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย”

“ผมก็ผู้ชายนะ”

“แต่มึงเป็นผู้ชายที่โดนผู้ชายด้วยกันจับตูดแล้วปล้ำได้”

ผมอ้าปากค้างเถียงไม่ออก แสดงว่าไอ้พี่โรมแม่งเห็นเหตุการณ์ที่ผมโดนกลุ่มพี่อาร์ทลวนลามมาตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า

เจ้าของมือใหญ่ขยี้หัวผม เรียกสายตาผมให้แหงนขึ้นมองใบหน้าคมในระยะประชิด.... ครั้งแรกที่เจอกัน ผมยอมรับว่ามันคือความประทับใจบวกซาบซึ้งที่พี่โรมอุตส่าห์ช่วยเหลือรุ่นน้องต่างคณะผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากคืนเสื้อช็อปไปแล้ว ผมก็แทบไม่ได้นึกถึงวีรกรรมฮีโร่ของพี่โรมอีกเลย อย่างเดียวที่สลักฝังแน่นอยู่ในความทรงจำก็คือหน้าตาหมีๆ ของผู้ชายปากร้ายใจดีซึ่งขึ้นมึงขึ้นกูใส่ผมตั้งแต่คุยกันได้ยังไม่ถึงสองนาที

ให้ตายเถอะ ผมจำหน้าพี่โรมได้ก็จริง แต่ไม่ยักกะจำได้เลยว่าเขาจะเป็นมนุษย์หมีที่หล่อขนาดนี้

สัดเอ๊ย.... หล่อฉิบ!


“เห็นมึงเจ็บแล้วกูก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมนะ ทิชา แต่มึงน่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยดิวะ.... คราวก่อนก็โดนไอ้เหี้ยเอกหลอกให้เสียหมา คราวนี้ก็โดนรังแกอีก นั่นเพราะคนอื่นเขามองออกว่าจุดอ่อนของมึงคืออะไรไง มึงก็ต้องอย่าเอาตัวเองไปอยู่ใจจุดที่เขาจะเอาเปรียบมึงได้ง่ายๆ สิ”

ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดใส่หน้าแบบนี้ ผมคงสวนกลับไปแล้วว่า ‘แล้วมึงเสือกไรด้วย?’ แต่พอดีว่านี่คือพี่โรมที่ผมกำลังจ้องหน้าเขาจนตาค้างอยู่ ผมก็เลยโกรธไม่ลง.... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพราะพี่โรมเขาดูคล้ายจะเป็นห่วงผมจริงจังมาก ผมก็เลยไม่คิดจะเหวี่ยงใส่ต่างหาก

“หูย เท่จัง.......”

บีบี๋ตบมือเปาะแปะ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะชมพี่โรมจริงๆ หรือแกล้งปากมอมด้วยอารมณ์หมั่นไส้กันแน่ แต่พี่โรมละสายตาจากผมไปแยกเขี้ยวใส่มันทันที

“มึงก็ด้วย ไอ้ตัวเล็ก.... กูเห็นนะว่ามึงจะเอาขวดลิปตันอันเท่าฝ่ามือไปเพ่นกบาลไอ้ขี้ยานั่น ตัวเท่าข้าวสารแต่เปรี้ยวตีนฉิบหาย!”

“ก็บี๋จะช่วยเพื่อนอะ!”

“ก็แล้วถ้ามันหันมาเล่นงานมึง มึงว่ามึงกับเพื่อนจะรอดมั้ย หรือจะพากันตายห่าทั้งคู่!?”

เอาเป็นว่าทั้งผมและไอ้บี๋ ไม่มีใครเถียงสู้พี่โรมได้สักคน แต่ก็อย่างว่าแหละ มันผิดตั้งแต่พวกเราสองคนก้าวเท้าเข้ามาในเบอร์ลิค สถานที่โคตรอโคจรของชาวกรุงเทพ สถานที่ที่สามารถทำให้ชีวิตของใครบางคนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในชั่วข้ามคืน

และมันก็เป็นสถานที่ที่ผมจะมาเจอพี่โรมได้ทุกเมื่อที่อยากเจอ....

“รถมึงมาแล้วใช่มั้ย?”  พี่โรมถามหลังจากที่ผมเพิ่งกดวางสายคนขับ รถที่จะมารับอยู่ห่างออกไปแค่ห้าสิบเมตรนี่เอง

“งั้นผมไปก่อนนะครับพี่ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องในร้านเมื่อกี้ด้วย”  ผมยกมือไหว้ทั้งบอกลาและขอบคุณไปพร้อมกันแบบทูอินวัน

อูเบอร์ที่ผมเรียกจอดเทียบริมฟุตบาท ผมเปิดประตูให้บีบี๋ขึ้นไปนั่งเบาะหลังก่อนแล้วตัวเองค่อยตามไป แต่ก่อนที่จะดึงประตูปิดเป็นสัญญาณให้พี่คนขับซิ่งได้ พี่โรมก็เรียกผมซะเสียงดังลั่นถนน

“เดี๋ยวเด่ะ ทิชา!” 

ผมรีบชะโงกหน้าออกมาด้วยความตกใจ นึกไปเองว่าไอ้พวกพี่อาร์ทมันย้อนกลับมา ทว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือโทรศัพท์ไอโฟนของพี่โรมพร้อมกับคำพูดที่ว่า 

“.....กูขอแอดไลน์มึงหน่อย”

“แอดไม?” 

ผมทั้งอึ้งแล้วก็งงหน่อยๆ ออกแนวตั้งตัวไม่ติด ไม่คิดว่าคนอย่างพี่โรมจะอยากคุยอะไรกับผมมากไปกว่าที่บังเอิญพบกันสองครั้ง

“ก็กูเป็นคนส่งมึงขึ้นรถ กูก็ต้องเช็คว่ามึงถึงบ้านไหมวะ?”  เขาว่าก่อนจะยัดเยียดมือถือให้ผมพิมพ์ไอดีไลน์เพื่อแอดไว้ในเฟรนด์ลิสต์  “เดี๋ยวมึงแคปหน้าจออูเบอร์ที่มันมีโชว์ทะเบียนรถส่งให้กู พอถึงบ้านแล้วก็ทักมาบอกด้วย”

“พี่เป็นพ่อผมหรือไงเนี่ย?”  ผมทำเป็นบ่นแต่ก็ยอมให้พี่โรมแอดไลน์โดยดีไม่มีขัดขืน

ทว่า ประโยคที่ได้ยินต่อจากนี้แม่งเป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ


“ให้มีลูกดื้ออย่างมึงนี่กูไม่เอาด้วยหรอก แต่ถ้าเป็นเมียก็คงพอไหว......”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 21:06:42 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
เขินโรมอ่ะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
พูดเล่น พูดหยอกหรือรุกจีบ--
ทิชาซวยติดๆกันเลย โอ๋เอ๋นะ เอฟซีพี่โรม?!!

ออฟไลน์ monalism

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เอาเลยค่ะพี่ จะทำอะไรก็ทำ  :hao7:

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ดราม่าหนักแน่ๆ

เอาจริงนะ บี๋นี่ควรจะคิดให้ใากกว่านี้ ความแรดมันเป็นภัยต่อตัวมากๆ

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Annkhanista

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โรมโคตรเท่ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ต่อจากข้างบนอีกนิดนะคะ

+++++++++++


สติผมโคตรเบลอ ตัวแข็งทื่อเหมือนปลาช่อนที่โดนทุบหัวเข้าอย่างจัง จับใจความแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่พี่โรมพูดเมื่อกี้มันคืออะไรและหมายความว่าอย่างไร เพราะกว่าสมองจะประมวลผลเสร็จ รถคัมรี่ที่มารับผมกับบีบี๋ก็เคลื่อนตัวออกมาจากถนนด้านหลังมหาวิทยาลัยแล้ว

ผมแคปหน้าจออูเบอร์ส่งให้พี่โรมในไลน์ตามคำสั่ง เขากดอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ไอ้บี๋ก็ดังขึ้นมาพอดี เห็นเป็นชื่อพี่อาร์ท มันก็ทำหน้าแหยงแล้วกดบล็อคเบอร์ทันที ก่อนจะตามไปบล็อกไลน์ ไอจี เฟซบุค เรียกได้ว่าตัดขาดทุกช่องทางไม่คิดจะเผาผีกันอีกเลย

“ไม่คุยแล้วเหรอวะ?”  ผมถาม

“ไม่แล้วอะ”

คำตอบของมันทำให้ผมต้องพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกปนรู้สึกผิด

“กูขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไร?”  บีบี๋หันมามองหน้าผม ร่องรอยชองความประหลาดใจพุ่งทะลุออกมาจากนัยน์ตากลมโต

“ไม่รู้ดิ.... กูก็แค่อยากขอโทษมึงเรื่องพี่อาร์ท กูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนทำให้เรื่องของมึงกับเขาพัง ถึงเพื่อนแม่งจะโคตรเชี่ยเลยก็เหอะ”

ไอ้บี๋หัวเราะก๊ากหลังได้ยินคำสารภาพแสนซื่อจากผม

“กูจะบอกว่า ถึงมึงจะไม่มีเรื่องกับเพื่อนพี่อาร์ท กูก็ไม่คิดจะคุยกับเขาต่ออยู่แล้วล่ะ........” 

คราวนี้ผมเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง ทั้งที่คิดว่าบีบี๋จะต้องมีผิดหวังบ้างเพราะก่อนหน้านี้เห็นมันกระดี๊กระด๊าเพ้อถึงพี่อาร์ทอยู่ค่อนวัน แต่บทจะตัดก็ตัดในฉับเดียวแบบเลือดเย็นผิดกับหน้าตาบ้องแบ๊วของมันสุดๆ 

“มึงคงคิดว่ากูเอาแต่นัวกับพี่อาร์ทจนมองไม่เห็นสิ่งที่มึงเห็นล่ะสิ.... กูเห็นแล้วว่าไอ้สองตัวนั่นมันเล่นยา กูก็ไม่โอเคในใจแหละ แล้วกูก็คิดด้วยว่าคนจะคบกันเป็นเพื่อนได้ ศีลแม่งต้องเสมอกันในทางใดทางหนึ่งแน่นอน.... แต่จะให้โวยวายตอนนั้นมันก็ใช่เรื่องมั้ยวะ ไหนๆ กูก็แต่งตัวเสียค่ารถออกมาแล้ว กูก็ต้องกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยชิ่งนิ่มๆ ดิ”

“ไอ้บี๋ มึงมันงูพิษ!”  กลายเป็นผมที่ต้องอ้าปากค้างเพราะคิดไม่ถึงว่าเพื่อนตัวเองจะร้ายกาจล้ำลึกหลายมิติขนาดนี้

“แต่มึงรู้มั้ยไอ้ชา สิ่งที่กูรับไม่ได้มากที่สุดไม่ใช่เรื่องยาหรอก.... แต่กูไม่ชอบที่พวกนั้นพูดจาดูถูกมึง แถมยังทำเชี่ยใส่มึงอีก” 

บีบี๋พูดก่อนจะหันมามองหน้าผม ท่ามกลางความมืดที่มีแต่แสงไฟจากถนนในเมืองหลวงและท้ายรถคันหน้า ผมกลับเห็นความห่วงใยจากเพื่อนสนิทชัดเต็มสองตา 

“ที่กูบอกให้มึงขอโทษไอ้พี่โจกับไอ้พี่เต้ก็เพราะกูไม่อยากให้มึงโดนเล่น ไม่ใช่เพราะว่ากูหลงพี่อาร์ทจนไม่อยากมีเรื่องกับเขาอย่างที่มึงคิดนะ”

ผมว่าผมรู้แหละ รู้ตั้งแต่ตอนที่ไอ้บี๋คว้าขวดชามะนาวจะหวดเอาเลือดชั่วไอ้พี่โจกับไอ้พี่เต้เพื่อปกป้องผมแล้ว

“ขอบใจนะ ไอ้บี๋”

ยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ในมือผมก็เด้งข้อความไลน์ขึ้นมาบนหน้าจอ เมื่อคนที่ผมเพิ่งทักไปไม่กี่นาทีก่อนพิมพ์ตอบกลับมา



Do_As_RomanS : ใกล้ถึงบ้านยัง

Do_As_RomanS : ถึงบ้านมึงแล้วถ่ายรูปส่งมายืนยันด้วย
                    น้องกูก็ไม่ใช่ ทำไมกูต้องห่วงมึงด้วยเนี่ย

Tisha_950701 : *สต๊กเกอร์หน้างง*

Do_As_RomanS : วันนี้ร้านคนแน่นชิบหาย กูไปทำงานต่อละ

Tisha_950701 : เคครับ



บางทีโลกของผมมันอาจจะไม่ได้มืดมิดขนาดนั้นก็ได้มั้ง

อย่างน้อย ผมก็คิดว่าตัวเองพอจะหาแสงสว่างเจอบ้างแล้วล่ะ....




TO BE CONTINUE

+++++

ในที่สุดก็เริ่มมีคนเม้นให้แล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ hellfire

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาเม้นนนนนน เป็นกำลังใจให้ทิชาและคนเขียนค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
3
~ ขั้วบวกปะทะขั้วลบ ~


“ไอ้ชา~ มึงช่วยกูหน่อยดิ~~”

ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ เสียงโหยหวนจากผู้มาอาศัยค้างคืนก็พุ่งเข้ามาเขย่าแก้วหู ตามติดด้วยกายหยาบวิ่งมาเกาะแขนผมซึ่งกำลังเช็ดหัวเปียกๆ แน่นหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแก ครั้นจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ชี้นิ้วไปที่อสูรกายสีขาวซึ่งนั่งหน้าเชิดอยู่บนเตียงนอนพร้อมร่างคำฟ้องใส่แมวเป็นเรื่องเป็นราว

“น้องมิลค์ไม่ยอมเล่นกับกูอะ กูต้องทำยังไงกับลูกสาวมึงเนี่ย?” 

บีบี๋โวยตามประสาคนที่เลี้ยงหมามาตลอดและไม่ชินกับการถูกแมวเมิน รอบข้างมีไม้ตกแมว มีปลาทูหนูปลอมกระจายอยู่ทั่ว บ่งบอกถึงความพยายามที่จะก่อกวนความสงบสุขในยามเช้าของเจ้านายผม

“ไอ้มิลค์มันไม่ชอบให้ใครมาแย่งที่นอน มันไม่ยอมญาติดีกับมึงง่ายๆ หรอก”

“โธ่ววววว”

ผมเดาสาเหตุได้ไม่ยาก มิลค์มันก็นิสัยคล้ายๆ ผมนั่นแหละ หวงที่หวงของและไม่ชอบยุ่งกับคนแปลกหน้า ในขณะที่บีบี๋เป็นพวกชอบที่จะได้รับความรักความสนใจมากกว่าคนปกติ แต่ผมก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าแม้แต่กับสัตว์มันก็ยังไม่ละเว้น

ระหว่างรอให้ผมแห้ง ผมก็เดินเก็บเสื้อผ้ากับของเล่นแมวที่ตกเกลื่อนอยู่ตามซอกมุมไปโยนให้เข้าที่ ส่วนไอ้บี๋ก็สำรวจดูข้าวของในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น.... ถึงจะเคยแวะมาแปบๆ อยู่สอง-สามครั้ง แต่เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่มันนอนค้างก็เลยได้เห็นไลฟ์สไตล์และชีวิตความเป็นอยู่ของผมแบบเต็มๆ และดูท่าทางมันจะชอบห้องส่วนตัวซึ่งกินพื้นที่ชั้นสามของทาวน์โฮมย่านทองหล่อทั้งชั้น มีห้องน้ำและเพนทรีครัวเล็กๆ ในตัวเหมือนอยู่คอนโดไม่น้อย

“จะว่าไปแล้วห้องมึงนี่ก็สุดยอดเลยเนอะ ถ้ากูมีแบบนี้ที่บ้านบ้าง วันหนึ่งๆ คงไม่ออกไปไหนละ โคตรสบาย”

มันว่าก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ทั้งสายตาและสองมือยังคงจับนู่นดูนี่ไปเรื่อย ปากก็เอาแต่พร่ำบอกว่าผมโชคดีแค่ไหนที่เกิดมารวย อยากได้อะไรก็แค่ดีดนิ้ว ประเดี๋ยวคุณแม่ผู้ไม่เคยยอมให้ลูกน้อยหน้าใครก็หาซื้อมาให้ทุกอย่างแล้ว 

“ขนาดโต๊ะเขียนแบบยังโคตรอลังการงานสร้าง อุปกรณ์อย่างครบ ปากกาโคปิกมีเป็นร้อยสี ไหนจะเครื่องแมคอีก.... ถ้าพ่อแม่กูเปย์ให้สักครึ่งหนึ่งของที่มึงมีอยู่ ชีวิตกูคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้”

“พ่อแม่เปย์ที่ไหนล่ะ นี่คุณย่ากูส่งมาให้ตั้งแต่ตอนแอดมิชชั่นติด”

พูดไปแล้วก็ขำ แต่เพราะแม่ผมนี่แหละที่โทรไปวอแวกับทางบ้านใหญ่ว่าผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ อนาคตจะต้องเป็นมัณฑนากรมือเยี่ยมมาช่วยดูแลกิจการเรียลเอสเตทที่พ่อทำอยู่ คนอื่นในบ้านใหญ่ก็ไม่เห็นจะมีใครยินดียินร้ายอะไรด้วย แต่คุณย่าคงรำคาญมั้ง ก็เลยส่งของพวกนี้มาเพื่อให้แม่หุบปากเสียที

มาแต่ของขวัญ ในขณะที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะพูดกับผมสักคำ.... ถึงได้บอกไงว่ามันเป็นความตลกร้ายที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ถึงงั้นก็เหอะ ยังไงมึงก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี”  บีบี๋ยังพร่ำเพ้อไม่เลิก ทำให้ผมเข้าใจว่าสถานการณ์คนในอยากออก คนนอกอยากเข้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง

“งั้นมึงมาเป็นลูกบ้านนี้มั้ย เดี๋ยวกูกับมิลค์ไปทดลองเป็นลูกยี่ปั๊วร้านอุปกรณ์ก่อสร้างแทนมึงเอง”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวแม่กูรักมึงมากกว่ากู”

อันที่จริงไอ้บี๋มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ เพียงแต่มันมาจากครอบครัวคนจีนที่ยังใช้ระบบกงสีอยู่ เวลาจะใช้เงินนอกเหนือจากเรื่องเรียนก็เลยต้องเกรงใจอาเฮียอาเจ้ที่ทำงานแล้วถ้าอยากจะฟุ่มเฟือยก็ต้องไปทำงานรับจ้างสอนพิเศษ แต่ก็ทำได้ไม่บ่อยเพราะลำพังงานวิชาในภาคก็แทบจะทับหัวตายอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บีบี๋มันไม่ค่อยปฏิเสธเวลาที่มีพวกรุ่นพี่อาสาจะเปย์มัน

“ชา ปกติเวลามึงอยู่บ้านก็แต่งตัวงี้เหรอ?”

อยู่ดีๆ ไอ้บี๋ถามขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บห้องตัวเอง อันที่จริงก็มีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้สัปดาห์ละครั้งนะ แต่ผมก็ชอบที่จะลงมือทำเองมากกว่า

“แล้วมึงคิดว่ากูจะใส่อะไรวะ จะให้ใส่สูทเดินไปเซเว่นหรือไงเล่า?” 

ผมงงคำถามเพื่อนนิดหน่อยว่ามันแปลกตรงไหน หรือคนอื่นเขาไม่ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเวลาอยู่บ้านกันวะ

“ม่ายช่ายยยย คือแบบว่า.......”

บีบี๋ส่ายหน้า มันจ้องมองผมด้วยแววตาเป็นประกาย มีเส้นคั่นบางๆ เพียงนิดเดียวระหว่างความปลาบปลื้มชื่นชมกับความหื่น 

“เวลามึงใส่เสื้อยืดคอกว้างๆ แล้วดูเซ็กซี่ดีว่ะ แล้วหุ่นมึงก็ผอม เอวเอส แขนขายาวแต่มีก้นเด้งๆ.... ถ้ากูเป็นรุกแล้วมีเมียแบบมึงนี่คงฟินตายวันละสามหน”

ผมหันไปยิ้มหน้าปูเลี่ยนๆ ใส่บีบี๋

“ไอ้บี๋ ถ้ามึงจะเทิร์นรุกเมื่อไรก็บอกกูล่วงหน้านะ”

“ทำไมอะ? มึงจะยอมเป็นเมียกูเหรอ?”

“เปล่า กูจะเลิกคบมึง”

“ง่อวววว ทำไมมึงใจร้าย! ทำไมมึงไม่ทะนุถนอมใจกู!!!”



“อ้าว ทิชาพาเพื่อนมาค้างเหรอ?”

แม่ผมซึ่งแต่งตัวสวยเป๊ะพร้อมออกจากบ้านกำลังนั่งใส่ต่างหูอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขกชั้นล่าง พอเห็นว่าผมไม่ได้ลงบันไดมาคนเดียวจึงหันมาทักด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“บีบี๋ไงครับแม่.... คราวก่อนที่มาก็เคยเจอกันแล้ว” 

ผมแนะนำ แม่ทำหน้านึกอยู่พักหนึ่งก่อนจะร้องอ๋อ เพื่อนที่ผมสนิทด้วยจนยอมให้เข้ามาบ้านก็มีแค่บีบี๋คนเดียว แม่เลยค่อนข้างประทับใจเด็กหนุ่มตัวเล็กคนนี้เป็นพิเศษ

“หวัดดีครับ คุณแม่”  ไอ้บี๋ยกมือไหว้ ยิ้มโชว์แก้มกลมๆ น่าหมั่นเขี้ยว

“สวัสดีจ้ะ”

แม่ผมรับไหว้ แจกรอยยิ้มสดชื่นที่มีไว้ใช้กับนักข่าวและพวกผู้จัดละครโดยเฉพาะกลับคืนไปให้ ซึ่งนั่นแปลว่าแม่ถูกใจเพื่อนผมมากและอยากให้มาบ่อยๆ 

“ขอบใจมากนะที่คอยดูแลทิชาอยู่เรื่อยเลย อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ยังไงแม่ก็ขอฝากลูกชายกับน้องบีบี๋ด้วยนะคะ”

ทั้งผมและไอ้บี๋แอบขำกันอยู่ในใจ เพราะผมต่างหากที่เป็นฝ่ายคอยดูแลมัน แล้วไซส์น้องบีบี๋ก็ตัวเท่าเมี่ยง จะเอาปัญญาที่ไหนมารับฝากลูกชายแม่

“แล้วนี่กินอะไรกันหรือยัง? จะให้แม่โทรเรียกพี่สายใจเข้ามาทำให้ไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกับไอ้บี๋จะออกไปหาไรกินในห้าง”

“งั้นทิชาก็ซื้อมื้อเย็นกลับมาด้วยเลยนะ วันนี้แม่มีงาน น่าจะกลับมาเช้าพรุ่งนี้เลย.... ตอนกลางคืนก็ปิดบ้าน เปิดสัญญาณกันขโมยให้เรียบร้อยแล้วค่อยขึ้นห้องล่ะ แล้วแม่จะโทรมาเช็คอีกที”

ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง เห็นแบบนี้แต่แม่ผมก็ยังเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบกลางๆ ที่ดูอ่อนกว่าอายุจริง แถมยังดูแลรูปร่างหน้าตาอย่างพิถีพิถัน ถึงชื่อเสียงสมัยสาวรุ่นจะยับเยินป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแต่ก็ยังมีงานประเภทรีวิวสินค้าเพื่อสุขภาพอาหารเสริม ยาลดความอ้วน คลินิกศัลยกรรม รวมถึงละครบทร้ายตัวรองๆ เข้ามาให้ทำอยู่เรื่อย ผมก็เลยชินกับการอยู่บ้านคนเดียวตั้งแต่เด็กแล้ว

“ละครเรื่องใหม่เหรอครับคุณแม่?”  บีบี๋ถามด้วยความอยากรู้ สงสัยอยากจะอินไซด์วงการบันเทิงกับเขาบ้าง

“ใช่จ้ะ.... ถึงจะเป็นบทร้ายรุ่นแม่แต่ยังได้ลงช่องหลัก ไม่ใช่ละครช่องเคเบิลแล้วนะ พอออนแอร์แล้วน้องบีบี๋ก็อย่าลืมดูนะคะลูก”

“ได้เลยครับ แล้วผมจะรอดูคุณแม่ในทีวีน้า~”

“น้องบีบี๋นี่น่ารักจริงๆ ทิชาเขาไม่เคยเห็นจะดีใจเวลาแม่ได้ออกทีวีเลย”

แม่หัวเราะร่าอย่างชอบใจก่อนจะกดโทรศัพท์รับสายคนดูแลคิวงาน ผมเลยหันไปกระซิบกับไอ้บี๋ซึ่งยังสนใจงานอาชีพดาราของแม่ผมไม่เลิก 

“กูบอกละ มึงน่าจะมาเป็นลูกบ้านนี้แทนกูว่ะ”

ผมใส่รองเท้าเตรียมจะออกจากบ้าน แต่ก็เช่นเคยว่าจะต้องถูกแม่รั้งตัวเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยว ทิชา.... อย่าเพิ่งไป” แม่เรียกก่อนจะเดินตามมาพูดธุระ  “ไหนๆ ก็จะไปห้างแล้ว ก็แวะไปร้านคุณนุชที่แกลอรี่ชั้นใต้ดินห้าง M เลยสิ”

“ร้านคุณนุช?” ผมทวนคำเพื่อความแน่ใจ เพราะร้านคุณนุชที่รู้จักก็มีอยู่แค่ที่เดียวซึ่งผมคิดว่าตัวเองไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปที่นั่น  “ร้านตัดชุดออกงานที่ประจำของแม่น่ะเหรอ?”

แม่ไม่ถนัดตอบคำถามจากคนที่ไม่ได้ถือไมค์สำนักข่าว กับลูกในไส้ที่ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ แม่ถนัดแต่ออกคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น

“แม่จะโทรไปบอกคุณนุชให้เขาเลือกชุดที่เหมาะกับทิชาเอาไว้ให้ เดี๋ยวไปแล้วก็ลองหาตัวที่ชอบแล้วก็วัดไซส์อะไรให้เรียบร้อยนะ เผื่อต้องใช้เวลาแก้ จะได้ไม่ฉุกละหุกเอาใกล้ๆ วันงาน”

“งานอะไรครับแม่?”

“เอ้า ก็งานแต่งพี่เกดไง.... เพิ่งคุยกันเมื่อวาน ลืมแล้วเหรอ?”

คิ้วผมขมวดด้วยความขัดข้องเคืองใจทันที ผมไม่ได้ลืม เพียงแต่ผมรู้สึกว่าตัวเองพูดออกไปชัดเจนแล้วนะว่าจะไม่ไปงานนี้เป็นอันขาด

“แม่.......ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ไป...........”

“หยุดเลยนะ อย่าเถียงแม่” 

น้ำเสียงกระด้างทำลายบรรยากาศชื่นมื่นตอนเช้าวันเสาร์ไปในพริบตา

“แม่บอกว่าไปก็คือต้องไป แล้ววันนี้แกก็ต้องลองชุดให้เสร็จด้วย ไม่อย่างนั้นแม่ก็จะตามให้คุณนุชส่งคนมาวัดตัวแกถึงบ้านเลย!”

ผมถอนหายใจแรงๆ แสดงออกให้รู้เลยว่าไม่พอใจมากที่แม่ยังคงดื้อดึงที่จะเข้าไปยุ่งกับทางบ้านใหญ่ไม่เลิก ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไปแล้วจะต้องเจออะไรบ้างแต่ก็ยังขยันจะหาเรื่องโผล่หน้าไปให้เขาด่าเสียๆ หายๆ.... แต่ขึ้นชื่อว่าผ่านคำด่าจากคนทั้งประเทศมาได้จนทุกวันนี้ มีหรือว่าแม่จะแคร์กับแค่อีแค่สายตาขุ่นเคืองจากลูกชาย ซ้ำยังดึงเพื่อนลูกไปเข้าพวกหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“น้องบีบี๋ แม่ฝากพาทิชาไปร้านตัดชุดด้วยนะลูก.... ถ้าเขาไม่ยอมไป หนูรีบโทรมาบอกคุณแม่เลยนะคะ”

“คะ........ครับ.........”  เพราแม่ผมจัดแจงเอานามบัตรมายัดใส่มือมัน ไอ้บี๋ก็เลยตกปากรับคำไปแบบงงๆ

“ไปกันเหอะมึง” 

ผมรีบดึงเพื่อนออกจากบ้าน ไม่สนใจแล้วว่าแม่จะพูดยังไง ได้ยินเสียงแสบแก้วหูดังไล่หลังมาแต่ก็พยายามทำเป็นไม่แยแส ในเมื่อไม่มีใครบังคับแม่ให้หยุดเรียกร้องเอานู่นเอานี่ไม่รู้จบได้ ก็ไม่มีใครบังคับผมให้ต้องไปโดนญาติฝ่ายพ่อสาปส่งเหมือนไม่ใช่ลูกใช่หลานพวกเขาได้เหมือนกัน

รอกูเรียนจบก่อนเหอะ กูแจ้งเปลี่ยนนามสกุลแน่!


“พี่เกดที่แม่มึงพูดถึง คือพี่สาวคนละแม่ของมึงเหรอ?”

“อืม”

“แล้วมึงไม่เคยคุยกับเขาเลยเหรอ?”

“จะคุยทำไมวะ? ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันนี่” 

ผมตอบไปตามความจริง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณหนูการะเกด ทิพยศักดิ์เสนาก็มีแค่ฝ่ายหนึ่งเป็นลูกเมียหลวง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกเมียน้อย ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมาแบบเดียวกับบีบี๋ เฮียบิ๊กและเจ้แบมของมันสักหน่อย 

“แล้วงานแต่งเขาก็ไม่มีประเด็นห่าอะไรที่กูควรต้องไปเลยด้วย เขาอยู่กันมาได้เป็นยี่สิบปีโดยที่ไม่มีกู คงไม่อยากได้ลายเซ็นกูในสมุดอวยพรให้ต้องลำบากไปฉีกทิ้งทีหลังหรอกมั้ง”

“สรุปว่ามึงจะขัดใจแม่?” 

ไอ้บี๋ถามย้ำด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกังวลอะไรนักหนา แต่กลายเป็นว่าจากที่ผมมั่นใจว่าจะไม่สนไม่แคร์ใดๆ ก็เกิดลังเลขึ้นมาเพราะไม่อยากทะเลาะกับแม่ทีหลัง

“.................”

“อย่าหาว่ากูอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ไอ้ชา”

ไอ้บี๋พูดพลางใช้ตะเกียบที่คีบทงคัตสึชี้หน้าผม วางท่าเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนด้านการมีพี่สาว ย่อมรู้ใจผู้หญิงดีกว่าคนที่โตมาแบบเหงาๆ อย่างผมแน่นอน 

“งานแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตผู้หญิง.... อย่างน้อยเขาก็พี่สาวมึง สังคมเขาก็รับรู้ว่ามึงเป็นลูกบ้านนั้น จะไม่ชอบกันยังไงก็ควรไปแสดงความยินดีตามมารยาทนะ ถ้ามึงหายหัวไปสิจะยิ่งมีคนจุดประเด็นว่าทำไมมึงถึงไม่ไป พี่น้องไม่ถูกกันเหรอไรงี้”

“อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น?”  ผมถาม ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยคิดในมุมนั้นเลยนะ คงเพราะผมยึดเอาความสบายใจของตัวเองเป็นหลักล่ะมั้ง

“เอาน่า.... ก็แค่งานแต่ง ไปแปบๆ เดี๋ยวก็กลับแล้ว ไปให้แม่มึงเขาสบายใจหน่อยเถอะ” 

บีบี๋พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเดินเข้าไปแล้วกลับออกมาโดยไม่บุบสลาย แต่มันก็รู้ดีว่าเหตุผลที่ผมไม่อยากไปนั้นไม่ใช่เพราะขี้เกียจ ถึงได้พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยการมองโลกให้สวยเข้าไว้ 

“แค่เอาซองไปให้แล้วก็แว้บเข้างานไปหาอะไรกิน กินเสร็จแล้วก็กลับ.... งานระดับพี่สาวมึงเขาจัดในโรงแรมใหญ่โต แขกผู้มีเกือกมากันเยอะแยะ ไม่มีใครว่างออกมาด่ามึงต่อหน้าคนเป็นร้อยให้ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลหรอก”

ผมยิ้มขณะมองดูเพื่อนสนิทเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ หลังจากร่ายทุกสิ่งทุกอย่างมาจนจบ  “ไอ้บี๋ กูพูดจริงๆ เลยนะ............” 

“ว่า?”

“มึงไปเป็นลูกแม่กูแทนกูทีเหอะ”

หลังจากนั้นเราก็หัวเราะกันเสมือนว่ามันเป็นแค่เพียงมุขตลกร้ายประจำวันที่อีกไม่นานก็ถูกลืมไป....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2017 23:44:04 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“สวัสดีค่ะ น้องทิชา”

ทันทีที่ผลักประตูห้องเสื้อที่เรียกกันติดปากว่าเป็นแกลอรี่โชว์รูมของดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งวงการบันเทิงไทย เสียงสาวข้ามเพศรุ่นใหญ่ซึ่งหลายๆ คนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาจากทางโทรทัศน์ก็ลอยมากระทบโสตประสาท ตามมาด้วยร่างสูงชะลูดของคุณนุชออกมารับไหว้ผมตามประสาคนคุ้นเคยกัน

“ไม่เจอกันตั้งนาน ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะเราน่ะ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านเอ่ยทักหลังจากใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเอ็นดู

“สวัสดีครับ คุณป้านุช”

“ว้าย ป้าเป้ออะไรกัน.... เรียกพี่นุชสิคะ เดี๋ยวพี่ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย”

อย่างที่บอกว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของแม่ ไม่ว่าจะชุดออกงานหรือชุดอะไรก็ตามที่ค่อนข้างเป็นทางการหน่อย แม่ก็มักจะมาที่นี่เสมอ และในตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แม่ก็กระเตงผมใส่รถเข็นมาด้วย คนที่นี่ก็เลยได้เห็นผมตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งผมโตพอที่จะอยู่บ้านคนเดียวได้นั่นแหละถึงได้ห่างหายไป

“คุณนิดาโทรมาบอกพี่แล้วล่ะว่าคุณน้องจะแวะมาลองชุด พี่ก็เลยเลือกชุดออกงานที่เหมาะกับเด็กหนุ่มๆ เอาไว้ให้.... มีทั้งสูท เชิ้ตแล้วก็กางเกงเลย ยังไงก็ค่อยๆ ลองดูเนอะว่าชอบตัวไหน คับไปหลวมไปแก้ไซส์เอาทีหลังได้ค่ะ”

พี่พนักงานคนหนึ่งลากราวแขวนชุดแบบมีล้อเลื่อนออกมาให้ ในนั้นมีสารพัดเสื้อผ้าที่คุณนุชคัดไว้ให้แล้วว่าน่าจะเหมาะกับลูกชายคุณนิดา

“มามะ ไอ้ชา.... กูช่วยมึงเอง”  คนที่ดูตื่นเต้นกว่ากลับกลายเป็นบีบี๋ มันตรงเข้าไปหยิบโน่นหยิบนี่มาทาบกับตัวเองแล้วส่องกระจกอย่างร่าเริง

“ดูท่าทางจะสนุกนะมึง”

“สนุกดิวะ.... กูเลือกให้มึงก็เหมือนกูได้ชอปปิ้งด้วยเงินมึงอะ” เพื่อนตัวเล็กพูดติดตลกก่อนจะยัดเยียดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกรมท่ากับสูทเข้าชุดกันมาให้  “อ้ะ กูว่าตัวนี้น่าจะโอเค ไหนไปลองมาให้ดูหน่อยเด๊ะ”

มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินใจเลือกให้มันจบๆ ไป จะได้กลับบ้านไปปั่นงานวิชา Conceptual Thinking ต่อ.... ผมแอบถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังมุมด้านข้างของร้านซึ่งจัดไว้เป็นห้องกระจกสำหรับลองชุด ยังไม่ทันเกี่ยวผ้าม่านก็ได้ยินเสียงกริ่งเปิดประตู ตามติดมาด้วยเสียงวี้ดว้ายของพวกป้าๆ ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยลูกค้ารายใหม่จะต้องเป็นหนุ่มหล่อล่ำน่าหม่ำแหงแซะ

“สวัสดีค่า คุณน้อง มีอะไรให้ร้านพี่นุชรับใช้ดีคะ~”

“หวัดดีครับ คือผมมาหาชุดสำหรับใส่ไปงานแต่ง”

“อ๋อ ได้เลยค่ะ.... งั้นเชิญเลือกแบบที่ชอบๆ ทางนี้เลยนะคะ เดี๋ยวพี่นุชช่วยดูไซส์ให้ ปรับขนาดได้ แก้ทรงได้ พี่นุชไม่คิดเงินเพิ่มค่า~”

“อ้าว พี่คนที่เจอกันเมื่อคืนนี่หว่า โผล่มาได้ไงเนี่ย?”

“กูก็ขับรถมาจอดแล้วก็เดินมาสิวะ ไอ้ตัวเปี๊ยก.... ถามแปลกนะมึง!”

“ไม่ได้หมายความว่าแบบน้านนน~ แล้วนี่ก็ไม่ได้ชื่อไอ้ตัวเปี๊ยกด้วย ชื่อบีบี๋ เข้าใจป่าว?”

“ไม่เข้าใจเว้ย!”

“ไอ้บี๋ มึงคุยกับใครน่ะ?” 

ผมชะโงกหน้าออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนตัวเองคุยกับใครบางคนเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แล้วก็ได้เห็นบีบี๋กำลังยืนเถียงหน้าดำหน้าแดงกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจำได้แม่นว่าเขาคือใคร

“อ้าว ไอ้ชา.... ทำไมมึงยังไม่เปลี่ยนชุดอีกล่ะ? เดี๋ยวยังต้องลองอีกเพียบเลยนะ กูอุตส่าห์คัดในคัดเอาไว้ให้แล้วเนี่ย”

ผมได้ยินที่ไอ้บี๋ถามนะ แต่เหมือนสมองผมมันไม่ยอมประมวลผลคิดคำตอบ อย่างเดียวที่สามารถหลุดรอดออกมาเป็นคำพูดได้ก็คือชื่อของคนตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มหล่อระยับจับจิตมาให้

“พี่โรม..........”

“ทิชา”  เชาว่าก่อนจะเดินเข้ามาหาผม  “มึงมาซื้อเสื้อผ้าเหมือนกันเหรอ?”

ผมพยักหน้ารับ พยายามปั้นสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอยิ้มออกไปหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่าข้างในอกมันเหมือนมีระเบิดลูกใหญ่ เปรี้ยงปร้างตูมตามจนหัวใจสั่นสะเทือนไปหมด

“ทีงี้ล่ะจำชื่อแม่นเชียว ไม่เห็นมีเรียกไอ้ตัวเปี๊ยก ไอ้แห้ง ไอ้ถั่วงอกไรงี้บ้างเล้ยยย~ สองมาตรฐานว่ะ!”

บีบี๋โวยวายแต่ก็เรียกร้องได้แค่นิ้วกลางจากพี่โรม ทำเอาเจ้าตัวโมโหงอนจนตาพองแก้มป่องคล้ายปลาทองไม่มีผิด

“ว่าแต่มึงจะลองชุดไปไหนเนี่ย งานบวช งานแต่งหรือทอดผ้าป่าสามัคคี?”

“งานแต่งครับ......” 

ผมตอบพี่โรมเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าก้อนเนื้อในอกซ้ายจะดีดระรัวมากยิ่งกว่าเดิม.... ให้ตายเถอะ จากที่เมื่อวานก็คิดว่าพี่เขาหล่อฉิบหายวายป่วงมากอยู่แล้ว พอมาเจอเวอร์ชั่นคุณชายเดินห้างแบบนี้ก็เล่นเอานายทิชนันท์ ผู้เติบโตมาในแวดวงดาราไปไม่เป็นเหมือนกัน

“เหรอวะ กูก็ไปงานแต่งเหมือนกัน”  เขาบอกยิ้มๆ ก่อนที่บีบี๋จะถามแทรกขึ้นมาเผื่อว่ามีเซอร์ไพรส์

“ไม่ใช่ว่าพี่โรมจะไปงานเดียวกันกับไอ้ชานะ?”

“งานวันที่เก้าเดือนหน้า โรงแรมแกรนด์เพรสทีค ใช่ที่เดียวกับมึงหรือเปล่าล่ะ?”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมเริ่มคิดจริงจังแล้วนะว่าระหว่างผมกับพี่โรมจะต้องถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์วางกับดักเอาไว้แน่ เป็นไปได้ยังไงที่คนๆ เดียวจะมาช่วยเหลือตอนที่ผมกำลังเดือดร้อนถึงสองครั้งสองคราว อยู่ในสถานที่เดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย มาลองชุดร้านเดียวกัน เวลาเดียวกัน แถมยังจะไปงานแต่งงานเดียวกันอีก

“บางทีโลกแม่งก็กลมไปนะพี่”  ผมทำได้แค่หัวเราะเบาๆ ทั้งที่ในใจนั้นยิ้มกว้างไปถึงไหนต่อไหน

“พอดีว่าพ่อเจ้าบ่าวเขาเป็นเพื่อนกับพ่อกู ก็พวกนักการเมืองท้องถิ่นระดับภาคอะไรทำนองนั้นแหละ แต่พ่อแม่กูไม่ว่างขึ้นมากรุงเทพฯ ก็เลยส่งกูไปแทน” 

พี่โรมอธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องไปงานแต่งของพี่เกดกับว่าที่สามีก่อนจะเปลี่ยนมาสนใจเรื่องของผมบ้าง

 “แล้วมึงเป็นญาติฝ่ายไหนของใครวะ ทิชา?”

“ญาติห่างๆ ฝ่ายเจ้าสาวน่ะ”

“โอเค เก็ทละ”

ผู้ช่วยคุณนุชลากราวเข็นชุดอีกอันหนึ่งสำหรับพี่โรมออกมาพอดี เป็นอันว่าหมดเวลาทักทายชั่วคราวเมื่อต่างคนต่างคนจัดการธุระของตนเองให้เรียบร้อย

“มัวแต่คุยกันอยู่นั่นล่ะ ไอ้ชา ไปเปลี่ยนชุดออกมาให้ดูได้แล้ว”

ถึงไอ้บี๋ไม่ไล่ ผมก็ต้องกลับเข้าไปลองชุดอยู่แล้วเพราะตอนนี้พี่โรมกำลังถูกรุมล้อมด้วยแก๊งค์คุณนุชจนน่าเวียนหัวแทน

ผมเปลี่ยนจากเสื้อยืดกางเกงยีนแนวสตรีทที่ชอบใส่เป็นประจำมาเป็นชุดสูทเต็มยศอย่างที่บีบี๋จัดแจงเลือกให้ รู้สึกแปลกๆ กับเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกอยู่ไม่น้อย.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรอยเลือดฝาดสีชมพูบนแก้มทั้งสองข้าง ผมมั่นใจว่าในร้านนี้ปรับอุณหภูมิแอร์คอนดิทชั่นเอาไว้จนอยู่ในระดับแอบหนาวเล็กๆ ดังนั้น แก้มของผมจึงไม่ได้ซับสีระเรื่อนี้จากอากาศร้อนอย่างแน่นอน แล้วมันจะมาจากไหนได้ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเมื่อกี้นี้ ‘ผมเขินพี่โรม’


แล้วอาการเขินมันจะมาได้ยังไง นอกเสียจากว่าผมจะชอบเขา....?


“ไอ้ชา ทำไมมึงเปลี่ยนชุดนานขนาดนี้วะ..... ตอนกูมารอเจ้แบมชอปปิ้งอีฟแอนด์บอยยังไม่นานเท่ามึงลองเสื้อผ้าชุดเดียวเลยเนี่ย!”

เพราะได้ยินเสียงไอ้บี๋โวยวายดังลอดผ้าม่านเข้ามา ผมก็เลยต้องยอมออกจากที่หลบภัยชั่วคราว บอกใครไม่ได้เลยจริงๆ ว่าไอ้ที่หายเงียบอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าน่ะคือยืนรอให้รอยเลือดฝาดบนแก้มมันจางลงต่างหาก ลำพังแค่เปลี่ยนชุดอย่างเดียวนั้นเสร็จไปเป็นชาติแล้ว.... แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่ายิ่งคิดว่าพี่โรมยังอยู่ข้างนอก หน้าผมก็ยิ่งแดงขึ้นทุกทีๆ

“มึงว่าเป็นไงมั่ง?”  ผมถามอย่างขาดความมั่นใจ ยิ่งเห็นพี่โรมมองมาทางนี้ ผมก็ยิ่งวางมือวางไม้ไม่ถูกไปกันใหญ่

“กูว่าทรงสูทตัวนอกมันหลวมไปว่ะ มึงใส่แบบที่มันเข้ารูปหน่อยดีกว่า” 

บีบี๋แนะนำตามประสาคนแต่งตัวเก่ง ถึงแม้ว่ามันกับผมจะคนจะสไตล์กันโดยสิ้นเชิงก็ตาม 

“กางเกงก็เลือกแบบทรงสลิมฟิต เน้นเอวเน้นขาหน่อย.... มึงผอมจะตาย ใส่โอเวอร์ไซส์ตัวโคร่งๆ ยังกะพวกแร็พเปอร์เกาหลี”

“ไม่เอา ทรงสลิมมันรัดไป!”

“รัดเหี้ยไร.... มีอยู่อันเท่านี้ก็ใส่ๆ ไปเหอะ ไม่โป๊หรอกน่า!” 

ไม่พูดเปล่า แต่ไอ้ห่าบี๋ยังเสือกมองต่ำมาตรงเป้ากางเกงผมอีก เรียกเสียงขำพรืดจากคนที่กำลังลองเสื้อสูทแบบสวมทับเสื้อยืดอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อนตัวเล็กของผมหันควับไปแยกเขี้ยวใส่เหมือนชิวาว่าขู่โจรทันที 

“พี่โรมหัวเราะไร นี่ไม่ขำนะ!”

“ก็พวกมึงสองคนแม่งตลก.... ไอ้คนเรียบร้อยแม่งก็ยังกะแม่พลอยสี่แผ่นดิน ไอ้คนแรดแม่งก็แรดน่าตีฉิบหาย”

“พูดมากว่ะพี่ ไปเลือกของตัวเองเหอะไป๊!” 

ผมแกล้งทำเป็นไม่พอใจกลบเกลื่อนไปงั้น แต่อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำหน้ายังไงดีตอนที่พี่โรมบอกว่าผมเรียบร้อยเหมือนแม่พลอยสี่แผ่นดิน.... จะยิ้มดีใจก็ไม่ใช่ จะด่ากลับก็ไม่เชิง เพราะพี่แม่งชมหรือด่าก็ยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

“กูเลือกเสร็จแล้วโว้ย จะให้เลือกไรอีก”

“ห๊ะ เลือกเสร็จแล้ว!?”

“เออ ก็ใส่นี่อยู่ไง” 

ร่างสูงว่าก่อนจะหมุนตัวฟูลเทิร์นโชว์ให้ดูหนึ่งรอบ เชี่ยเอ๊ย พระเจ้าโคตรไม่ยุติธรรม สมควรแล้วเรอะที่คนๆ หนึ่งจะมีทั้งหน้าตา ส่วนสูง ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อและแขนขายาวสมส่วนครบสมบูรณ์ในร่างเดียว.... ยิ่งตอนเขายิ้มแบบมั่นหน้าผสมกวนตีนนี่ยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก 

“ก็กูผู้ชายแมนๆ แค่สูทสีดำตัวเดียวก็โอเคแล้ว”

นั่นเป็นทฤษฎีใหม่ที่ผมเพิ่งรู้วันนี้เลยนะเนี่ย แค่สูทดำอย่างเดียวก็พอ....

“ไอ้บี๋ งั้นกูก็เอาแค่สูทสีดำแล้วกัน”

“ไม่ได้!”

พี่โรมกับบีบี๋แทบจะประสานเสียงพร้อมกัน

“มึงไม่ใช่คนหล่อ เพราะฉะนั้นจะมาสูทตัวเดียวแล้วจบกันไม่ได้!”

“อะไรวะ!?”  ผมย้อนถามอย่างงงๆ ผสมหงุดหงิด  “ถ้ากูหน้าเหี้ยนัก งั้นใส่อะไรแม่งก็เหมือนกันแหละ จะเรื่องเยอะกับกูไปทำไม?”

พอได้ยินผมเหวี่ยง มนุษย์กวนตีนสองตัวก็พากันหัวเราะก๊ากไว้อาลัยให้กับความมองโลกในแง่ร้ายของผมสิบวินาที

“โน้วววว~ มึงหยุดทำหน้าบูดเดี๋ยวนี้ กูกับพี่โรมไม่ได้หมายความว่างั้นว้อย”

“แล้วมึงหมายความว่าไง?”


“กูหมายความว่ามึงเป็นคนสวย........”


หางคิ้วของผมกระตุกเหมือนโดนดึงก่อนจะหันไปมองยังต้นเสียงที่พูดประโยคเมื่อครู่ออกมา หัวใจซึ่งอุตส่าห์สงบไปได้พักใหญ่ก็พลันอเลิร์ทหนักขึ้นมาอีกรอบจนมีเสียงตึกตักโครมครามดังก้องอยู่ในหัวจนเกือบไม่รับรู้อย่างอื่น.... ท่ามกลางหัวสมองที่กำลังเบลอแดกได้ที่ ผมเห็นพี่โรมเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มหน้าลงสบสายตากับผมซึ่งวิญญาณออกจากร่างตายห่าไปแล้ว เจ้าของเสียงทุ้มบอกพลางใช้ปลายมือตีแก้มผมเบาๆ คล้ายกับจะหยอกเล่น

“แล้วคนสวยๆ อย่างมึงจะมาแต่งตัวลวกๆ ขอไปทีไม่ได้เว้ย....  มีของดีอะไรก็ต้องโชว์ดิ”

“สวยบ้าอะไรวะพี่ ผู้ชายนะ..........” 

ผมเถียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ จากที่แค่รู้สึกร้อนวูบวาบก็ยิ่งร้อนหนักเหมือนโดนจับโยนลงไปในกองไฟ

แล้วไอ้พี่โรมมันคิดจะปรานีผมบ้างไหม.... คำตอบคือไม่เลย อย่างกับว่าพอจับได้ว่าผมกำลังเขินเพราะคำพูดหวานๆ นั่น เขาก็กระหน่ำโจมตีจุดอ่อนของผมราวกับจะเอาให้เข่าทรุดลงไปนอนตายเสียตรงนี้ให้ได้

“เหอะน่า กูใช้เซนส์แฟชั่นทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อมึงคนเดียวเลยนะ ไอ้ทิชา.... มึงควรจะซาบซึ้งน้ำใจกูสิ ไม่ใช่มาทำหน้างอใส่อยู่ได้ ชาติที่แล้วมึงเกิดเป็นปลาทูแม่กลองหรือไงวะ?” 

ร่างสูงเอ่ยก่อนจะหันไปเลือกเสื้อผ้าจากราวของผมแล้วยื่นส่งให้ 

“ผิวมึงขาวยังกะไข่ปอก ใส่เสื้อเชิ้ตตัวในสีอ่อนคู่กับสูทสีน้ำเงินกรมท่าดีกว่า กางเกงก็เลือกให้มันตัวเล็กหน่อย ใส่ขาใหญ่ๆ แม่งโคตรเหมือนพวกลุงอบต. เวลามาหาเสียงแถวบ้านกูโน่น”

“บ้านพี่โรมอยู่ไหนอะ? ทำไมมีอบต.ด้วย?”  ต่อมเสือกไอ้บี๋กำเริบอีกแล้ว มันยื่นหน้าเข้ามาถามแทรก แสดงความต้องการใส่ใจเรื่องชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

“บ้านกูอยู่สุราษฎร์”

“หูววว หนุ่มใต้นี่หว่า”

“เออ แต่กูแหลงใต้ไม่เป็นนะเว้ย พอดีมาเรียนกรุงเทพตั้งแต่เด็ก”

จบช่วงสส.โรมตอบคำถามประชาชนเพียงเท่านั้น หนุ่มวิศวะเครื่องกลซึ่งประทับองค์อาจารย์ภาคแฟชั่นดีไซน์หันมามองผมที่ยืนลังเลไม่กล้าเปลี่ยนชุดที่เจ้าตัวเลือกให้.... เพิ่งคิดอยู่เมื่อกี้นี้เองว่าไอ้พี่โรมแม่งต้องรู้ว่าจุดอ่อนของผมอยู่ตรงไหน เขาถึงได้มั่นหน้าและมั่นใจว่าแค่ใช้รอยยิ้มกับคำพูดกล่อมนิดหน่อย ใจผมก็ปวกเปียกยวบยาบราวกับขี้ผึ้งลนไฟ

“ไหนลูกทีมคนสวยไปลองชุดให้เมนเทอร์พี่โรมดูหน่อยสิว่าจะพาไปเดินไฟนอลวอล์คได้ไหม..........”

หลังจากนั้นก็เหมือนหูผมดับสนิท ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงขำก๊ากชอบใจของบีบี๋ที่มีให้กับมุขตลกดัดแปลงจากรายการเรียลิตี้ชื่อดัง กว่าจะประคองตัวกลับเข้ามาในห้องลองเสื้อได้ก็ต้องกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้แน่น เพราะไม่รู้ว่าหัวใจมันจะหลุดกระเด็นออกมาประจานเจ้าของให้ได้อายเมื่อไร
   

สวยเหรอ?

ก็ใช่ว่าจะเพิ่งเคยได้ยินคำชมแบบนี้เป็นครั้งแรก ทุกคนที่เข้ามาจีบผมต่างก็ใช้คำนี้กันทั้งนั้น.... ทิชาสวย ทิชาน่ารัก สารพัดจะขุดหามาชมเพื่อให้ผมใจอ่อน

คงเพราะผมรู้ตั้งแต่แรกล่ะมั้งว่าคำพูดเลื่อนลอยพวกนั้นก็แค่พูดเพื่อหวังผลก็เลยค่อนข้างมีภูมิต้านทาน

ขอแค่กล่อมให้ผมยอมขึ้นเตียงด้วยได้ คำพูดพวกนั้นมันก็แค่ลมปากที่ไม่สามารถหวังเอาสาระความจริงอะไรได้เลย

ยกเว้นครั้งนี้ที่ผมเกิดใจเต้นขึ้นมาจริงๆ


......ใจเต้นจนเจ็บไปหมดทั้งอกแล้ว......



 

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
“เฮ้ย มึงตายห่าไปแล้วเรอะ?”

“พี่เข้ามาทำไมเนี่ย!?” 

ผมแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ไอ้เชี่ยพี่โรมก็แหวกม่านกั้นประตูเข้ามาส่องทั้งที่ผมยังไม่ได้ติดกระดุมกางเกงเลย ทำเอาผมเซถลาไปชนกำแพงอีกด้านก่อนจะส่งเสียงไล่ทั้งที่ปากคอสั่นพั่บ 

“ดะ.....เดี๋ยวเสร็จแล้วผมออกไปเอง.....ไม่ต้องเข้ามาเลยนะ.....!!”

“ก็กูรอมึงอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมึงออกไปสักที ก็เลยต้องเข้ามาดูไงว่าเป็นลมอยู่ในนี้ไปแล้วหรือเปล่า”

ไม่พูดเปล่า แต่มือใหญ่นั่นปลดตะขอเกี่ยวผ้าม่านแล้วฉวยโอกาสเบียดตัวเข้ามาอยู่ในห้องแคบๆ กับผมอย่างหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมนึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดเมื่อต้องมาอยู่ใกล้คนที่ตัวเองชอบชนิดที่อกแทบชนอกกันอยู่รอมร่อ

ว่าแต่อะไรนะ.... เมื่อกี้ผมบอกว่า ‘คนที่ตัวเองชอบ’ งั้นเหรอ?

“เออว่ะ มึงเหมาะกับเสื้อผ้าแบบนี้จริงๆ ด้วย” 

พี่โรมพูดพลางกวาดสายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าประหนึ่งว่าผมคือผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ก่อนจะมาหยุดด้วยการมองหน้าจ้องตาที่ทำเอาใจผมยิ่งเต้นแรงเป็นบ้าเป็นหลัง 

“กูบอกแล้วว่ามึงเป็นคนหน้าตาดี.... แต่อาศัยแค่เสื้อผ้าเพอร์เฟกที่กูเลือกให้มันยังไม่พอหรอกนะ มึงต้องหัดยิ้มให้มันเยอะๆ หน่อย จะได้น่ารักมากขึ้นไปอีกไง”

“พี่แม่งต้องเมาดิบแน่ๆ.... เห็นไหมเนี่ยว่าผู้ชายทั้งแท่ง ไม่สวย ไม่น่ารัก แล้วก็ไม่มีนมด้วย!” 

เถียงทั้งที่ก้มหน้างุด ไม่อยากให้พี่โรมเห็นว่าตอนนี้เขินจะตายห่าตายโหงอยู่แล้วเว้ยยยยยยย

“มึงนี่ดื้อฉิบหาย ต้องให้กูรูดก้านมะยมมาตีขามั้ยวะ?”

ยิ่งมาพูดเรื่องดื้อ ผมยิ่งคิดถึงคำพูดกำกวมที่ได้ยินเมื่อคืนนี้ ที่ว่ามีลูกดื้ออย่างผมเอาน่ะไม่เอา แต่ถ้าให้เป็นเมียก็พอไหวอะไรนั่น.... แล้วผลจากการถูกแหย่ซ้ำซากกระทบจุดอ่อนไหวเดิมๆ มันจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่ว่าในตอนนี้ทั้งหน้าตาและเนื้อตัวของผมนั้นแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศ

“ทิชา.... มึงแม่งโคตรขาวเลยว่ะ ร้อนนิดๆ หน่อยๆ ก็ตัวแดงแล้ว”

“พี่ก็ออกไปสักทีดิ มาแย่งอากาศหายใจอยู่ได้!”


กว่าจะปรับสภาพจิตใจให้กลับเป็นปกติแล้วโผล่หน้าออกไปข้างนอกได้ก็กินเวลาอีกพักใหญ่ ผมส่งเสื้อเชิ้ต สูท กางเกงและเข็มขัดที่พี่โรมเป็นคนเลือกให้ให้ผู้ช่วยของคุณนุชเป็นเชิงบอกว่าผมตัดสินใจเอาตัวนี้แหละ.... บัตรเครดิตเสริมที่แม่ออกไว้ให้ถูกใช้รูดไปร่วมๆ ห้าหมื่นบาทในวันเดียว ผมแอบกลืนน้ำลายด้วยความเสียดายเงิน แต่พอคิดว่าเดี๋ยวเดือนหน้าพ่อก็โอนเงินมาให้ผลาญอีกสองแสนแลกกับการที่เขาไม่สนใจใยดีผมแล้วก็ได้แต่ช่างหัวมันเถอะ

“พี่โรมแม่งเอาแต่ฟาร์มอะ ไม่เห็นมาช่วยตีป้อมเลย.... ชอบฟาร์มนักก็ไปเล่นเกมปลูกผักเลยไป ไม่ต้องมาเล่น ROV แล้ว!”

“ฟาร์มห่าไร กูตีป้อมอยู่มุมซ้ายบนแมป มึงนั่นแหละขาสั้นเดินมาไม่ถึงเอง!”

“ยังจะมาพูดอีก ทีมแพ้แล้วเนี่ย ไม่เล่นด้วยแล้ว!”

“เออ หน้าอย่างมึงไปวิ่งคุกกี้รันคนเดียวเลยไป๊!”

สองคนที่ผมปล่อยให้อยู่ด้วยกันกำลังทะเลาะกันเรื่องเกมออนไลน์ในมือถือ ดูท่าทางดุเดือดเหมือนจะก่อสงครามโลกครั้งที่สามกันในร้านคุณนุช จนกระทั่งไอ้บี๋เห็นว่าผมเสร็จธุระแล้วถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นจากจอ

“ไอ้ชา เลือกได้แล้วเหรอ?”

“อืม”  ผมตอบพลางบุ้ยหน้าให้มันดูว่าที่เคาท์เตอร์กำลังจัดการห่อชุดของผมใส่ในที่แขวนเสื้อแบบมีพลาสติกอย่างดีคลุมให้อยู่

“ตกลงว่าเลือกตัวไหน ใช่ตัวที่เมนเทอร์โรมเลือกให้ปะ?”

“ตัวนั้นแหละ”

“ถ้าไอ้ชาใส่ออกมาแล้วดูสะเหล่อนะ ผมจะโทษพี่!” 

บีบี๋หันไปเบะปากใส่พี่โรมอย่างเอาเรื่อง ไม่รู้แม่งจะกัดกันอีกนานไหมทั้งๆ ที่ก็เห็นว่านั่งเล่นเกมด้วยกันอยู่ พี่โรมเองก็ใช่ย่อย ตัวใหญ่เท่าหมีควายแต่ดันลดไซส์ลงไปทะเลาะกับหมาชิวาว่าอยู่ได้

“มึงไม่ได้โทษกูแน่นอน ไอ้เปี๊ยก เพราะทิชามันสวย ใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้นแหละ ยิ่งกูเป็นคนเลือกให้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”  พี่โรมหันมายักคิ้วให้ผมคล้ายกับจะหาพวกเข้าข้าง  “เนอะ ไอ้ทิชา”

“แหวะ~”  บีบี๋แกล้งทำท่าอ้วกใส่ ก่อนที่พี่โรมจะหันมาดีดหน้าผากมันเสียงดังเป๊าะ เร่งเสียงโวยวายทะเลาะกันง้องแง้งให้ดังขึ้นไปอีก

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหน่วงแปลกๆ แต่ก็พยายามจูนสมองและความคิดของตัวเองให้ไปอยู่ในฝั่งขั้วบวก.... เป็นเพื่อนกันมาเกือบปี ผมย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าบีบี๋มันเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม เข้ากับคนง่าย คุยกับใครแปบๆ ก็สนิทกับเขาไปหมดแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และพี่โรมก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ยิ่งมีเรื่องเกมให้คุยกันถูกคออยู่แล้วด้วย

“มึงกับพี่โรมดูสนิทกันเร็วดีนะ.........” 

แต่แล้ว ผมก็กลับห้ามปากตัวเองไม่ได้ โชคดีที่ผมเป็นคนเก็บสีหน้าเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ถึงซ่อนความรู้สึกไม่ชอบใจนิดๆ เอาไว้ภายใต้คำพูดกลั้วหัวเราะได้อย่างแนบเนียน

“สนิทกะผีน่ะสิ พี่โรมแม่งแกล้งกูอยู่ได้!” 

ไอ้บี๋ปฏิเสธสวนกลับมาทันควันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด “นิสัยแย่ แถมยังชอบเรียกกูว่าไอ้เปี๊ยกมั่ง เตี้ยมั่ง ขาสั้นมั่ง..... ทีกับมึงไม่เห็นพูดอะไรไม่ดีใส่บ้างเลย!”

“ก็มึงเตี้ยจริงนี่หว่า ไอ้สเมิร์ฟ!”  พี่โรมด่ากลับ  “แล้วไอ้ทิชาก็น่ารักกว่ามึงตั้งเยอะ กูจะเสียเวลาไปแกล้งมันทำซากไรวะ”

“โอ๊ย เบื่ออออออ.... ไม่มีใครอ่อนโยนกับกูเล้ยยยยย!!”

เชี่ยบี๋ยังคงบ่นงุ้งงิ้งตัดพ้อของมันไปเรื่อย ผมหันไปรับบัตรเครดิตคืนพร้อมสลิปและชุดที่อยู่ในห่อเรียบร้อยจากคุณนุช หลังยกมือไหว้ขอบคุณร่ำลากับเจ้าของร้านซึ่งเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกเป็นหลานเสร็จแล้วก็ได้เวลาที่ผมจะต้องรีบกลับบ้านไปสะสางงานของตัวเองเสียที

“พวกมึงเสร็จธุระแล้ว งั้นกูขอตัวก่อนนะ”  พี่โรมพูดกับผม “ถ้าไม่บังเอิญเจอกันแถวมหาลัยอีกก็เจอกันที่งานแต่งเลยแล้วกัน”

“ครับพี่............”

“หวังว่ากูจะไม่เจอมึงที่เบอร์ลิคนะเว้ย”

“ไม่เจอแล้วน่า”

เจ้าของมือใหญ่ขยี้หัวผมแล้วยิ้มให้แบบเดียวกับที่ทำเมื่อคืนนี้ การกระทำยังคงเหมือนเดิม แต่ทว่า เมื่อความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งกลับเตลิดไปไกลเหมือนลูกโป่งอัดแก็สที่ถูกทำหลุดมือ มันจึงช่วยไม่ได้เลยที่ผมจะเผลอตีความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นแบบเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะพี่โรมก็คงมีใจให้ผมไม่มากก็น้อย


แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมจะคิดอะไรตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า....?


“ส่วนมึง ไอ้เปี๊ยก คืนนี้เจอกูในเกมตอนสี่ทุ่ม”

“ไหนเมื่อกี้พี่โรมไล่ให้บี๋ไปเล่นคุกกี้รันคนเดียวไง?”

“กูบอกให้ออนก็ออน ทำมาเป็นงอน เดี๋ยวปั๊ดตบกะโหลกยุบเลยมึงนี่!”

“โว้ย เผด็จการฉิบหาย!”

เมื่อความคิดขั้วลบแทรกเข้ามาในห้วงความคิด ผมก็พยายามยิ้มแล้วก็ใช้พลังบวกมาหักลบกลบหนี้ให้สิ่งเหล่านั้นหายไป.... ผมลองเปรียบเทียบลักษณะภายนอกระหว่างพี่โรมกับพี่อาร์ทที่ไอ้บีบี๋มันกรี๊ดแทบเป็นแทบตายก่อนจะพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเหมือนกันเลย พี่โรมแม่งมึงมาพาโวย คุยกันสองคำก็เป็นอันต้องทะเลาะกันให้เห็น ในขณะที่พี่อาร์ทและผู้ชายคนก่อนๆ ที่เคยคุยกับเพื่อนผมจะดูสุภาพเวอร์วังเหมือนพวกเจ้าชายอะไรทำนองนั้น

ในเมื่อพี่โรมไม่ใช่ไทป์แบบที่ไอ้บี๋ชอบ ผมก็ไม่ควรจะต้องกังวลนี่นา....

หลังจากแยกย้ายกันไปได้ครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้ามา ผมรีบหยิบออกมาดูก่อนจะพบว่ามันเป็นข้อความจากพี่โรม

หัวใจพองโตเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้....


   Do_As_RomanS : กูว่าจะบอกมึงเมื่อกี้แต่กูลืม
                                  ถ้าไม่อยากให้คอโล่งตอนใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุม
                                  มึงน่าจะหาสร้อยเงินใส่สักเส้นนะ



“ไอ้ชา.... เดี๋ยวมึงจะกลับบ้านเลยมั้ย”  บีบี๋หันมาถามผม ทางเชื่อมที่จะออกไปสถานีรถไฟฟ้านั้นอยู่แค่ตรงหน้านี้เอง

“กูกะว่าจะแวะร้านเครื่องประดับสักหน่อยว่ะ มึงจะกลับไปก่อนก็ได้นะ”

“หืม มึงจะซื้อไรวะ?”

ท่าทางมันดูงงๆ คงเพราะตอนที่เดินออกจากร้านผมเพิ่งบ่นให้มันฟังเองว่าแค่เสื้อผ้าชุดเดียวแต่ต้องจ่ายเงินถึงครึ่งแสนนั้นมันมากเกินไป แต่ยังไม่ทันขาดคำผมก็กลับหาเรื่องจะผลาญตังค์เพิ่มอีกเสียอย่างนั้น

“สร้อยเงินสักเส้นมั้ง.........” 

ผมบอก ในใจก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าบ้าไปแล้วที่ปล่อยให้พี่โรมเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจได้เร็วขนาดนี้

“อ้อ งั้นเดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนมึงแล้วกัน.... เชี่ย!” 

ยังพูดไม่จบดี ไอ้บี๋ก็สะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่อโทรศัพท์ของมันมีสายเรียกเข้า เพื่อนสนิทผมทำหน้ามุ่ยคล้ายลังเลว่าควรจะกดรับสายดีหรือไม่ แต่แล้วมันก็เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยิ้มแหยๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพย 

“สงสัยกูคงไปกับมึงไม่ได้แล้วว่ะ ไอ้ชา.... ถ้ามึงเลือกไม่ได้ก็ถ่ายรูปส่งเข้าไลน์มานะ เดี๋ยวกูช่วยดูให้”

“เออ ไปเหอะ บายๆ”

ผมโบกมือให้ก่อนจะเดินแยกออกมาเพื่อลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง ส่วนไอ้บี๋เดินออกไปทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า ในตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นป๊าม้าหรือไม่ก็อาเฮียอาเจ้ของมันโทรมาตามให้กลับบ้านได้แล้ว

แต่แวบหนึ่งที่ผมได้ยินเสียงแว่วมา ซึ่งผมคิดมาตลอดว่าตัวเองคงจะเพียงแค่หูฝาดไป


“โทรมาหาบี๋ทำไมเนี่ย ไอ้พี่โรม... เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงสิบนาทีเลยนะ!”


TO BE CONTINUE



✽✽✽✽✽✽✽✽✽✽


ดราม่าหรือไม่ ติ๊กต่อกๆๆๆ /ยิ้มชั่ว  :katai2-1: :katai3:
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2017 22:34:27 โดย SweetAlice0701 »

ออฟไลน์ godofhill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่อยากให้ดราม่าเลย สงสารทิชา

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ไม่ดราม่าน้าาาา //กอดทิชา
แล้วพี่โรมโทรหาบี๋ทำไมมม

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
4
~ คำขอที่ไม่เคยเป็นจริง ~


“ไหนลองหันมาให้แม่ดูหน่อยสิ ทิชา”

ผมหมุนตัวจากหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องรับแขกชั้นล่างไปทางด้านหลังตามคำสั่ง รู้สึกประหม่าอย่างแรงกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ขัดแย้งกับความเป็นตัวเองและทำให้ผมดูเหมือนตุ๊กตาจนน่าใจหาย แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่แม่ชอบและอยากให้ผมเป็นมาโดยตลอด ผมจึงเงียบและอดทนให้เวลาผ่านไปเร็วๆ

“แต่งตัวแบบนี้ค่อยดูเข้าท่าหน่อย” 
แม่พูดพลางยิ้มชอบใจ ดวงตาคู่สวยที่ถ่ายทอดมาให้ผมเหมือนเคาะออกมาจากเครื่องซีร็อกซ์กวาดมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายหน 

“ทีแรกให้ไปลองชุดเอง แม่ก็กลัวอยู่ว่าจะได้อะไรก็ไม่รู้กลับมา เห็นแบบนี้แล้วโล่งใจจริงๆ ที่แกยังพอจะเลือกเสื้อผ้าเป็นกับเขาบ้าง”

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เพราะอันที่จริงแล้วนี่เป็นชุดที่รุ่นพี่คณะวิศวะฯ เลือกให้ต่างหาก....

อยู่ๆ แม่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมแล้วฉีดสเปรย์ใส่ดังฟื้ด ทำเอาผมต้องย่นจมูกเบ้ปากเพราะไม่ชินกับกลิ่นฉุนกึกของน้ำยาจัดแต่งทรงผม แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละว่าแม่ชอบให้ผมดูดีในแบบที่แม่คิดว่าดี แล้วผมจะไปบ่นว่าอะไรได้

“แค่นี้ก็หล่อแล้ว”

“หล่อเหรอครับ?”  ผมย้อนถามแบบขำๆ สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อพลังอวยของแม่แม้แต่น้อย

“ก็ใช่น่ะสิ” แม่ทำหน้างงผสมไม่พอใจที่โดนผมขัดคอ  “ก็เราเป็นผู้ชายนี่ ชมว่าหล่อก็ถูกแล้ว จะให้บอกว่าสวยเหมือนแม่หรือไง?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย..........”

ถึงจะทำเป็นหงุดหงิดมองบนไปเรื่อยเปื่อย ทว่า สมองกลับนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้.... ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกอีกครั้ง ก็ยังไม่ชินกับสภาพแปลกตาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสักเท่าไรนัก ผิวขาวซีดที่ผมไม่เคยนึกชอบมันเอาเสียเลยโดนแม่จับประโคมด้วยอะไรต่อมิอะไรจนเหมือนมีแสงออร่าเปล่งออกมา เสื้อผ้าขนาดพอดีตัวที่ทำให้อึดอัดในตอนแรกกลับช่วยเน้นรูปร่างผอมบางให้เด่นขึ้น เส้นผมถูกเสยขึ้นให้เห็นช่วงคิ้วและหน้าผากเกลี้ยงมน ถึงได้รู้สึกว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผมมันเหมือนมีดาวระยิบระยับอยู่ข้างในนั้น

เป็นครั้งแรกที่ผมละสายตาไปจากตัวเองไม่ได้ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด

บางทีผมอาจจะ ‘สวย’ เหมือนอย่างที่พี่โรมบอกก็ได้มั้ง....?

“จะว่าไปแล้ว เอาไว้ว่างๆ แม่โทรนัดคุณเจตน์ ช่างภาพนิตยสารรันเวย์ให้มาถ่ายรูปทิชาทำพอร์ตเผื่อไว้ดีกว่า”

“ทำพอร์ต?”  ผมทวนคำแม่ด้วยความสงสัย  “ทำไปทำไมครับ?”

“ก็เผื่อว่าจะมีงานโฆษณา งานถ่ายแบบเข้ามาให้ทำไงล่ะ” 

แม่อธิบายเสมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน 

“ทีแรกแม่ก็ไม่คิดถึงเรื่องนี้หรอกนะ เพราะว่าแกน่ะตัวเล็กเกินไป เป็นพระเอกก็ไม่ได้ เดินแบบก็ไม่น่าจะไหว แต่เดี๋ยวนี้เขากำลังฮิตเทรนด์ผู้ชายหน้าสวยกันไม่ใช่เหรอ.... ถ้าได้งานปังๆ สักสอง-สามชิ้น บางทีแกอาจจะดังกว่าแม่สมัยสาวๆ ก็ได้นะ”

“ผมไม่เอาด้วยหรอก”  แค่ได้ยินก็ทำเอาผมขนลุกขนพองไปทั้งตัว หากเป็นไปได้ก็ขอให้แม่รีบๆ ลืมความคิดไปเสียเถอะ

“แกก็เป็นแบบนี้ทุกที อะไรที่ไม่ชอบหรือไม่เคยทำก็เอาแต่ปฏิเสธไปหมด ถ้าไม่รู้จักลองเสี่ยงดูบ้างแล้วจะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้ยังไง”

ในตอนนั้น ผมไม่เข้าใจความหมายคำพูดของแม่เท่าไร ผมคิดแค่ว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็ดีเกินพอแล้วสำหรับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง.... ผมไม่อดอยาก มีบ้านอยู่ มีเงินใช้ มีที่เรียน เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีพอเรียนจบก็คงมีงานทำเหมือนอย่างคนทั่วไป ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องไปไขว่คว้าทำตัวให้เด่นดังแบบที่แม่ต้องการเลยสักนิด

เรื่องอะไรผมจะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แล้วได้ผลลัพธ์เป็นความอับอายหรือคำด่าประณามจากลมปากคนอื่นด้วยล่ะ?

แค่เท่าที่ผ่านมาก็ควรจะหลาบจำได้แล้ว....


นานทีปีหน ผมถึงจะยอมจับพวงมาลัยขับรถสักครั้ง กว่าจะถอยเจ้ามินิคูเปอร์ (ที่แม่รักมากกว่าผม) เข้าซองจอดได้สำเร็จก็เล่นเอาแม่หงุดหงิดใส่ไปหลายยก แต่ความหรูหราอลังการของโรงแรมห้าดาวย่านสาทรก็ช่วยให้บุพการีผมใจเย็นลงได้ไม่ยาก.... แม่ส่องกระจกเติมลิปสติกสำรวจความเรียบร้อยทั้งของตัวเองและของผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะควงแขนผมตรงเข้าไปยังห้องแกรนด์บอลรูมสถานที่จัดงาน แสงไฟสว่างไสวจากโคมไฟแชนเดอเลียทอดยาวอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างจากแสงสปอร์ตไลท์ที่แม่หลงรักมันเป็นชีวิตจิตใจ

แม่ของผมกรีดยิ้มสวยและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ท่อนขาเรียวเดินเยื้องย่างในชุดราตรียาวเหมือนนางพญา ในขณะที่ผมพยายามก้มหน้าหลบแสงไฟแสงแฟลชให้มากที่สุด หากก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าทุกสายตาในบริเวณนั้นกำลังจับจ้องมายังเราสองแม่ลูก.... แต่จะเป็นสายตาแบบไหนนั้นผมเองก็ไม่กล้ารับประกันหรอกนะ

“สวัสดีค่ะ.... คุณพี่กัลยา คุณพี่กวินตรา” 

แม่จูงผมตรงเข้าไปหาผู้หญิงสูงวัยสองคนซึ่งยืนคุยกันอยู่ตรงโต๊ะรีเซฟชั่นเสมือนว่าล็อกเป้าหมายเอาไว้แล้ว ก่อนจะยกมือไหว้และเอ่ยทักทายเสียงหวาน 

“ไม่เจอกันเสียนาน ดูสาวขึ้นเยอะเลยนะคะ.... มีร้านหมอร้อยไหมดีๆ ก็แนะนำให้น้องรู้จักบ้างสิคะ”

“นิดาวัลย์ เธอมาทำอะไรที่นี่!?”  คนถูกทักหน้าตึงไปทันที ไม่รู้ว่าตึงเพราะโบท็อกซ์หรือตึงเพราะเห็นแม่ผมกันแน่

“แหม~ คุณพี่ทั้งสอง งานแต่งงานหนูเกดก็เหมือนงานรวมญาติไม่ใช่เหรอคะ แล้วนิดาจะไม่มาได้ยังไงกัน?”

“ใครเขานับญาติกับเธอ!?”

“เท่าที่จำได้ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้นับเธอเป็นน้องสะใภ้นะ.... อย่าสำคัญตัวผิด!”

และแล้ว สิ่งที่ผมคิดว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ก็เกิดขึ้นจริง แถมยังมาเร็วชนิดที่ผมยังไม่ทันได้หาที่หลบภัยเลยด้วยซ้ำ แต่แม่ผมก็โนสนโนแคร์ใดๆ ยังคงเชิดหน้าใส่ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วทอดเสียงกลั้วหัวเราะราวกับว่าท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เหล่านั้นเป็นเรื่องตลก

“เอาล่ะค่ะ ถึงนิดาไม่ถูกนับรวมเป็นญาติ แต่ทิชาก็เป็นหลานแท้ๆ ของคุณพี่ทั้งสอง จะพูดอะไรก็ถนอมน้ำใจสายเลือดทิพยศักดิ์เสนาด้วยกันหน่อยเถอะค่ะ”

แม่พูดพลางดึงมือผมให้มายืนรับแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังด้วยกัน 

“ทิชา มานี่มา.... จำคุณป้ากัลกับคุณป้าเก๋ได้ใช่ไหมลูก รีบไหว้พวกคุณป้าเขาเสียสิ”

“สวัสดีครับ” 

ผมยกมือไหว้ตามคำสั่ง แต่ก็อย่างที่เห็น คนเขาไม่ได้รักไม่ได้เอ็นดูมาตั้งแต่แรก จะมาหวังให้เขาลูบหัวหยิกแก้มคุยกันจี๋จ๋าก็คงไม่ใช่

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” 

ป้าคนซ้ายรับไหว้ตามมารยาท ทว่า สายตาที่ใช้มองผมก็กระด้างนัก จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจะด่าอะไรก็รีบๆ ด่าออกมาเถอะ

“หน้าตาดีนะเรา”  ป้าคนขวาพูดขึ้นบ้าง แต่ก็ออกแนวประชดประชันแดกดันพอกันนั่นแหละ  “เสียดายนะที่หน้าเหมือนแม่เกินไป โบราณว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เด็กนี่ก็คงไม่ต่างจากแม่นิดาวัลย์นักหรอกกระมัง”

ถ้านี่เป็นฉากในละครเคเบิล บางทีเราอาจจะได้เห็นแม่ผมถลาเข้าไปตบหน้าแล้วจิกหัวมนุษย์ป้าทั้งสองต่อหน้าคนนับร้อย แต่พอดีว่านี่คือชีวิตจริง การฟาดฟันจึงจำกัดอยู่เพียงแค่แสยะยิ้มมุมปาก เหยียดหยามดูแคลนผ่านสีหน้า และทำอะไรก็ได้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามหัวร้อนประสาทเสียมากที่สุด

“เอาซองช่วยงานไปให้ที่โต๊ะตรงนั้นนะ ทิชา.... อย่าลืมเซ็นอวยพรให้พี่เกดด้วยล่ะ”

“เอาเงินที่ปอกลอกจากพ่อมาใส่ซองคืนให้ลูกสาวเขา ช่างหน้าไม่อาย อัฐยายซื้อขนมยายแท้ๆ”

“ใจจริงนิดากับลูกก็อยากใส่ซองให้งานคุณพี่ทั้งสองนะคะ แต่น่าเสียดาย อุตส่าห์รอมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีโอกาสได้ใส่เลย ชาตินี้ก็คงไม่มีหวังจะได้ใส่แล้ว  ถึงต้องรีบมาใส่งานหนูเกดนี่ล่ะค่ะ.... อย่าว่ากันเลยนะคะ”

“นังนิดาวัลย์ แก.....!!”

ผมรีบดึงแม่ให้ถอยหลังออกมา ก่อนที่ซองช่วยงานแต่งจะกลายเป็นซองช่วยงานศพ แน่นอนว่าสงครามน้ำลายเมื่อครู่ไม่มีทางรอดพ้นความขี้เสือกของคนแถวนั้นไปได้ ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องมือถือต่างหันมาเตรียมพร้อมบันทึกภาพลงโซเชียลทันทีหากเกิดเหตุพี่ผัวกับสะใภ้นอกคอกพุ่งเข้าตบกันชนิดลืมแก่

ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างกำลังฮึมแฮ่วัดเชิงสกิลฝีปากใส่กันอยู่นั้น ผู้ชายที่ผมรู้จักดีก็เดินเข้ามา สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตกใจและไม่พอใจที่เห็นผมกับแม่ยืนประจัญหน้าอยู่กับคุณป้ากัลคุณป้าเก๋

“นิดา เธอมาทำอะไรที่นี่?”

“คุณกาญจน์” 

แม่เปลี่ยนเป้าหมายจากสองป้าไปหาชายคนนั้น น้ำเสียงลากยาวยียวนเมื่อครู่ยิ่งฟังระคายหูมากกว่าเดิม 

“ถามแบบนี้อีกคนแล้ว.... นิดามางานแต่งงานก็ต้องมาอวยพรให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวสิคะ ยิ่งเป็นลูกสาวคุณยิ่งพลาดไม่ได้”

“ไม่ต้อง กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“ไม่กลับค่ะ”

“แม่ครับ เรากลับกันเถอะ.........” 

เพราะคนที่ว่าคือพ่อของผมเอง การที่ต้องมาเห็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าทำสงครามประสาทใส่กันไม่ใช่เรื่องสนุก มันน่าอายแล้วก็เจ็บปวดที่ต้องถูกตอกย้ำว่าตัวผมคือลูกที่เกิดมาบนความไม่ตั้งใจ แต่เป็นเครื่องมือที่แม่มีเพื่อใช้เอาชนะพ่อที่ไม่ยอมหย่ากับเมียหลวงต่างหาก

“คุณกาญจน์คะ คุณไม่ได้เจอทิชามาหลายปีแล้วนะคะ.... จะทักทายลูกสักคำยังไม่มี แล้วยังจะมาไล่แกกลับทั้งๆ ที่แกอุตส่าห์มาหาคุณถึงที่อีก”

“ผมจะเจอทิชาที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

“แล้วเจอลูกที่นี่กับที่อื่นมันต่างกันตรงไหนคะ? ทิชาก็เป็นทิพยศักดิ์เสนาคนหนึ่งเหมือนกัน จะเข้ามาในงานแต่งของพี่สาวตัวเองแล้วมันจะเสียหายยังไง?”

แทนที่แม่จะอายกล้องและเสียงซุบซิบนินทาที่หนาหูมากขึ้นทุกขณะ แม่กลับเร่งเสียงตัวเองให้ดังขึ้นจนผู้คนรอบข้างได้ยินกันทั่ว เรียกแสงแฟลชสะท้อนวูบวาบอยู่รอบตัวพวกเรา ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะตอนนี้พ่อแสดงออกชัดเลยว่าอยากจะแทรกแผ่นดินหนีนักข่าวมากแค่ไหน 

“ทิชาเป็นลูกของคุณไม่ได้แตกต่างจากหนูเกดสักนิด แต่ถ้ามันจะต่างก็คงเป็นตรงที่คุณไม่เคยสนใจใยดีแกเลยนั่นละ!!”

“คุณกับทิชาได้ไปมากเกินพอแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก!?”

“นิดาต้องการให้ลูกได้อยู่ในงานนี้ค่ะ”  แม่พูดย้ำชัดถึงความต้องการ ไม่แยแสสีหน้าเหมือนคนเพิ่งกินของขมเข้าไปของพ่อแม้แต่น้อย  “.......อย่างเท่าเทียมกับญาติๆ ทุกคนที่มาที่นี่ด้วย!”

พ่อไม่ยอมรับปาก ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห คงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยทีเดียวที่จะไม่ตะเพิดผมกับแม่ออกไปอย่างหมูอย่างหมา

“คุณแม่คะ.... ทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะ อย่าให้เรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย”

ผมได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนซึ่งยืนอยู่กับหญิงชราเอ่ยขึ้น เธอมองมาทางผมและแม่อย่างเย็นชาและเกลียดชัง.... ก็แน่ละ คงไม่มีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายคนไหนจะชอบขี้หน้าเมียและลูกนอกสมรสอยู่แล้ว ยิ่งมาสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ด้วย 

“วันนี้เป็นวันสำคัญของยายเกด วิสงสารลูก”

“คุณย่า.........”  ผมยกมือไหว้หญิงชราในชุดผ้าไหมสีเข้ม ท่านชำเลืองมองผมเล็กน้อยแล้วก็ผ่านเลยไปหยุดอยู่ตรงพ่อกับแม่

“ถ้าแม่นิดาวัลย์เขาต้องการแบบนั้นก็ตามใจเถอะ” 

คุณย่าพูดประโยคนั้นกับพ่อ ก่อนจะหันไปมองหน้าแม่แล้วพูดส่วนที่เหลือให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกัน 

“ฉันอนุญาตให้คนที่เป็นทิพยศักดิ์เสนาอยู่ในงานนี้ได้ ส่วนคนที่เหลือ ถ้าไม่มีบัตรเชิญหรือไม่มีหน้าที่ในงานนี้ก็กลับออกไปให้หมด!”

แม้แต่คนที่โง่ที่สุดฟังแล้วก็ยังรู้เลยว่าคุณย่าจงใจจะไล่แค่แม่คนเดียว ใครต่อใครต่างก็คิดว่าแม่จะโกรธที่ถูกฉีกหน้า แต่เปล่าเลย เพราะแม่ผมคลี่รอยยิ้มสะใจใส่พวกญาติฝ่ายพ่อที่สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาปฏิเสธความมีตัวตนของผม

“เข้าไปสิ ทิชา..... คุณย่าอนุญาตแล้วลูก”

“แม่............” ผมลังเล ไม่ยอมเดินเข้าไปตามคำสั่ง แต่แม่ก็ฉวยเอากุญแจรถจากผมแล้วกำชับสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จสรรพ

“เข้าไปอวยพรพี่เกดแล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้หลายๆ กล้องนะลูก จะได้ออกข่าวเยอะๆ.... แล้วขากลับให้ลีมูซีนของโรงแรมไปส่งที่บ้าน อย่านั่งแท็กซี่กลับเอง มันอันตราย เข้าใจนะ ทิชาของแม่?”

ผมไม่ตอบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือยืนนิ่งปั้นหน้าไม่ถูก พอรู้ตัวอีกที แม่ก็ไปแล้ว

“ทิชา เข้าไปในงานแล้วก็อยู่เฉยๆ อย่าคิดจะก่อความวุ่นวายเหมือนแม่แกเป็นอันขาด!”


นั่นเป็นคำพูดแรกที่พ่อพูดกับผมในรอบห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน

บอกตามตรง ผมรู้สึกประทับใจเหี้ยๆ เลยล่ะครับ....


ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
ผมไม่ค่อยได้มางานแบบนี้บ่อยนักหรอก งานแต่งงานที่เคยไปก็ประมาณว่างานของคนในวงการบันเทิงที่เขาไม่ถือสาข่าวฉาวของแม่และยังให้เกียรติเชิญอยู่ ผมก็เลยไม่ค่อยคุ้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหลบไปมุมไหนดี.... ผมส่งไลน์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้บีบี๋ฟัง ซึ่งมันก็บอกให้ผมสงบสติอารมณ์ด้วยแซลมอนและขนมหวาน กวาดทุกอย่างลงท้องจนกว่าจะอิ่มแล้วก็กลับบ้านไปแบบไม่ต้องคิดมาก

และผมก็เชื่อว่าแซลมอนกับช็อกโกแลตจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ผมก็เลยหยุดตัวเองอยู่ตรงมุมซูชิ กินสลับกับเค้กช็อกโกแลตกานาชของโปรด ใครจะมองยังไงก็ช่างแม่งเหอะ เพราะผมก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำนอกจากกินอยู่แล้วนี่

“มึงตายอดตายอยากมาจากไหนวะเนี่ย?”

เสียงทักลอยมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับมือหนาที่ฟาดลงบนไหล่ผมดังป้าบ

“อุ๊บ......พี่โรม!” 

ผมหันไปมอง แทบจะสำลักพ่นเอาแซลมอนออกทางจมูกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่ผมตั้งใจอยากจะมาเจอ แต่พอเจอดราม่าก็ดันลืมไปเสียสนิทว่าเขาจะมางานนี้ด้วย

“ไม่ได้กินข้าวมาจากบ้านเรอะ กูเห็นมึงกินเอาๆ อยู่สักพักแล้ว” 

ร่างสูงพูดขำๆ บอกให้ผมรู้ตัวว่าเขาสังเกตผมอยู่นานแล้วก่อนจะเดินเข้ามาหา ทำเอาใจผมสั่นระรัวเพราะแอบคิดไปไกลแล้วว่าพี่โรมคง ‘ชอบ’ ที่จะมองผม

“ก็.......เปล่า.........”

“กูส่งไลน์หามึง ทำไมไม่อ่านเลยวะ?”

“พอดีก่อนเข้ามาผมยุ่งๆ อยู่น่ะ แทบไม่ได้จับโทรศัพท์เลย”

“อะไร คนจีบเยอะหรือไงมึง?” 

พี่โรมแกล้งหยอก นัยน์ตาคมสีเข้มมองชุดสูทเข้ารูปที่เขาเป็นคนเลือกให้เองกับมืออย่างภาคภูมิใจ แล้วจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมซึ่งค่อนข้างแปลกตาไปจากเวลาปกติพอสมควร ซึ่งผมคิดว่าที่พี่โรมจ้องเอาๆ ขนาดนี้คงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์คูชั่นและสารพัดเครื่องประทินโฉมที่แม่กระหน่ำโปะลงบนผิวผมนั่นแหละ แต่สุดท้ายพี่แกก็เคลมเอาว่าเป็นความดีความชอบของตัวเองทั้งหมด

“กูบอกแล้วว่าเชื่อฝีมือกูได้เลย.... เป็นไงล่ะ เจมส์จิก็เจมส์จิเหอะ เจอทิชา ลูกทีมกูหน่อยเป็นไง”

ผมหัวเราะความมั่นหน้าในแบบฮาๆ ของพี่โรม ถึงจะบ้าบอไปหน่อยแต่ก็เป็นเรื่องแรกในรอบสัปดาห์ที่ผมรู้สึกว่ามันตลกจริงๆ

“ตกลงวันนี้มีใครมาจีบมึงหรือยัง?”

“บ้าแล้วพี่ อยู่ดีๆ ใครมันจะมาจีบ........” 

ผมส่ายหน้าถลึงตาใส่คนถาม เกลียดสายตากรุ้มกริ่มเหมือนมีเลศนัยแปลกๆ ที่พี่โรมใช้มองผมชะมัดยาด เพราะมันกำลังทำให้ผมหน้าร้อนผ่าว เสียงสั่น แล้วก็เริ่มจะควบคุมสติไม่ค่อยอยู่ 

“ละ......แล้วผมก็ผู้ชายด้วย พี่แม่งชอบพูดเหมือนผมเป็นผู้หญิงอีกแล้ว”

“อ้าว ก็ลูกทีมกูสวย กูก็ต้องหวงของกูดิ”

‘จะหวงได้ก็ต้องเป็นเจ้าของก่อนไม่ใช่เหรอวะ.........’

ผมแอบคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา สมองของผมไม่ต่างจากรถที่ติดอยู่ในหล่มโคลน แม้จะพยายามเร่งเครื่องยนต์จนล้อฟรีก็ยังตะกายขึ้นมาจากกับดักของคำว่า ‘พี่โรมหวงผม’ ไม่ได้ หากดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกเลยว่าคำพูดกำกวมของเขาจะทำให้ผมคิดเยอะเกินไปกว่าความจริงที่เป็น

“ว่าแต่มึงมางานนี้คนเดียวเหรอ..... กูนึกว่ามึงจะมากับพ่อแม่ไรงี้เสียอีก?”

ผมยังไม่ทันตอบ คนกลุ่มใหญ่ก็ยกโขยงเข้ามาใกล้ เหมือนจะเป็นช่วงบ่าวสาวเข้ามาทักทายแขกเหรื่อในงานก่อนขึ้นเวที ผมตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทางให้พ้นรัศมีตากล้องและสายตาบรรดาญาติฝ่ายพ่อ แต่ทว่า ไอ้เชี่ยพี่โรมกลับไม่ยอมไปไหน ซ้ำยังดึงผมให้ยืนอยู่ข้างกันอีกต่างหาก

“ไอ้โรมใช่มั้ยนั่น?”

“เออ ผมเอง พี่ธันวา”  พี่โรมเข้ามาจับมือและกอดทักเจ้าบ่าวแบบแมนๆ คุยกัน  “ยินดีด้วยนะพี่ เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาได้เสียที พ่อแม่ผมฝากมาอวยพรด้วย”

“ขอบใจมาก ฝากความคิดถึงไปให้พวกคุณอาด้วย”

ผมเพิ่งนึกออกว่าพ่อพี่โรมกับพ่อเจ้าบ่าวเป็นเพื่อนกัน รุ่นลูกก็เลยพลอยนับถือกันเหมือนเป็นพี่น้องไปด้วย ทั้งคู่พูดคุยทักทายกันอย่างสนิทสนม มีเรื่องสารทุกข์สุกดิบและเรื่องธุรกิจรีสอร์ทที่สุราษฎร์แพล่มมาให้ได้ยินประปราย เหลือแค่ผมกับเจ้าสาวที่ยืนเงียบอยู่ข้างคนของฝ่ายตัวเองโดยไม่พูดอะไร

“แล้วน้องคนนั้นเพื่อนเอ็งเหรอ?”  อยู่ดีๆ เจ้าบ่าวหันมาสนใจผม พี่โรมก็เลยโอบไหล่ผมคล้ายกับจะโชว์ให้ทุกคนเห็นชัดๆ ว่าผมเป็นลูกทีมเขา

“อ๋อ.... ทิชาเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยน่ะ เห็นบอกว่าเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวก็เลยนัดมาเจอกันที่งานพอดี”

“ญาติเกดเหรอ?”  เจ้าบ่าวกระซิบถามเจ้าสาว แต่ก็ยังเสียงดังมากพอที่จะทำให้ผมได้ยิน

“ไม่รู้สิคะ เกดไม่รู้จัก” 

เธอปรายหางตามองผมผ่านๆ ประหนึ่งมองเศษฝุ่นเศษผงที่เปื้อนรองเท้าก่อนจะตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ 

“สงสัยนามสกุลพ่อเกดคงจะฟังดูเพราะมากล่ะมั้งคะ เลยมีพวกสัมภเวสีหน้าด้านหน้าทนอยากมาขอใช้ด้วยเยอะเสียจนจำไม่ได้แล้วว่ามีใครบ้าง........”

ช่องท้องผมปั่นป่วนขึ้นมาทันที อยากจะสำรอกเอาทุกอย่างที่กินเข้าไปเมื่อกี้ออกมา.... ถ้าเป็นคนอื่นพูด ผมก็คงทำเป็นหูทวนลมแอบกรวดน้ำคว่ำขันให้ในใจได้ไม่ยาก แต่บังเอิญว่าผู้หญิงที่พูดประโยคเมื่อครู่เป็นพี่สาวของผม แม้จะเกิดจากคนละแม่ อาศัยอยู่กันคนละบ้าน แต่ผมก็ไม่เคยทำร้ายพี่เกด ไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวด้วย ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เกดถึงต้องใจร้ายกับผมขนาดนี้

“ไปทางอื่นกันทางเถอะค่ะ ธันวา.... ยังมีแขกอีกตั้งเยอะแน่ะ เดี๋ยวทักทายไม่ครบแล้วจะกลายเป็นเสียมารยาทเอา”

“ไอ้โรม พี่ไปก่อนนะเว้ย เอาไว้ค่อยนัดเจอกัน”

“ได้เลยพี่”

คู่บ่าวสาวและกองทัพผู้ติดตามจากไปแล้ว เหลือทิ้งเอาไว้เพียงบาดแผลในใจผมที่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งรอย.... ผมพยายามบอกตัวเองว่าคำด่ามันทำให้เจ็บอยู่แค่ชั่วประเดี๋ยวแต่ไม่ถึงกับตาย อีกไม่นานผมก็ยิ้มได้กินข้าวอร่อยเหมือนเดิม แม้จะรู้ดีว่าแผลใจพวกนี้จะไม่มีวันแห้งสนิทก็ตาม

“ทิชา.............”

มันเหี้ยตรงที่พี่โรมดันได้ยินพี่เกดด่าผมนี่แหละ แล้วก็คงสงสัยมากด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ เจ้าสาวซึ่งสมควรจะมีความสุขที่สุดในงานถึงได้กล้าจิกญาติฝั่งตัวเองจนเหวอะต่อหน้าแขกเบอร์นี้

“มึงโอเคใช่ไหม?”

ผมไม่ได้ตอบด้วยคำพูด เพียงแต่ยิ้มเป็นเชิงบอกว่ามันไม่มีอะไรหรอก ก็แบบเดียวกับตอนที่ผมโดนเมียพี่เอกตามมาแหกกลางสตาร์บัคนั่นแหละ ผมเจ็บจนชิน เจ็บแล้วก็หาย แล้วก็กลับไปเจ็บใหม่จนเป็นเรื่องปกติ.... แต่พี่โรมคงมองออกว่ารอยยิ้มของผมมันก็แค่ยิ้มกลบเกลื่อน ยิ้มเหมือนแมวโดนกระตุกหนวด เขาถึงได้กุมมือผมเอาไว้แน่นราวกับจะปลอบโยน

“พี่โรม.........”  บ้าฉิบหาย เสียงผมสั่นอย่างกับจะร้องไห้  “เรา........ออกไปนั่งคุยกันข้างนอกกันไหม?”

“ให้กูไปส่งมึงที่บ้านดีกว่าหรือเปล่า?”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ในนี้แอร์มันเย็นเกินไป..........” 

ผมยังคงเสแสร้งแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ถ้าควักหัวใจผมออกมาดูก็คงเห็นว่ามันยับเยินไปหมดแล้ว 

“ผมยังกลับบ้านไม่ได้จนกว่างานจะเลิก.... พี่โรมออกไปนั่งเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย แค่แปบเดียวเอง?”

หากเกิดเรื่องขึ้นที่มหาวิทยาลัย ผมคงพูดขออะไรใครแบบนี้ไม่ได้ ทุกคนจะรุมด่ารุมกล่าวหาทันทีว่าผมมันขี้อ่อย ชอบทำเป็นสำออยให้ผู้ชายสงสาร ผมถึงได้รักษาระยะห่างและระมัดระวังท่าทีของตัวเองมาโดยตลอด.... แต่ในตอนนี้ ผมคงอยู่คนเดียวไม่ไหวแล้วจริงๆ

“ไปสิ.... มึงก็อย่าคิดมากนะ ทิชา เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง..........”



ROME’s PART


ครั้งแรกที่ผมเห็นทิชามีเรื่องกับเมียไอ้เอก ผมก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่มันคิดว่าตัวเองเป็น

ครั้งที่สองที่เห็นมันโดนพวกขี้ยาคณะวิทย์รังแก ผมก็ยิ่งเข้าใจว่ามันไม่ได้เก่งกล้าอะไรอย่างที่พยายามแสดงออกเลยแม้แต่น้อย

ผมเองก็ไม่ใช่พวกฮีโร่ หลงใหลคลั่งไคล้ความยุติธรรมอะไรนักหรอก แต่พอเห็นไอ้ทิชาทำท่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก เป็นส่วนเกินที่ถูกทุกคนทิ้งเอาไว้ข้างหลังก็กลับรู้สึกว่าแม่งโคตรผิดพลาด.... คนอย่างมันก็เป็นแค่เหยื่อของความเห็นแก่ตัว ความมักมากและสันดานเหี้ยๆ ของหมาตัวผู้บางตัว แต่การที่มันจะต้องมารับคำด่าและบทลงโทษจากสังคมก็เป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน

ทิชาเป็นเด็กแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน รุ่นน้องในคณะผมก็ไม่มีใครที่เป็นเหมือนอย่างมัน.... ผมเป็นฝ่ายเลือกเข้าหาทิชาในตอนแรก จะว่าด้วยความสงสารก็คงใช่แหละมั้ง แล้วผมก็ได้รู้ว่าไอ้ทิชาก็แค่เด็กซื่อบื้อธรรมดาๆ ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ขี้เหงา แต่ก็ขี้ระแวง กลัวว่าตัวเองจะโดนคนรอบข้างทำร้ายถึงได้เอาแต่หนีอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ถ้ามันรู้จักยิ้ม รู้จักคุยได้สักครึ่งหนึ่งของไอ้บีบี๋เพื่อนมัน โลกก็อาจจะไม่โหดร้ายกับมันมากถึงขนาดนี้ก็ได้

ผมถึงอยากให้ทิชายิ้มเยอะๆ หัวเราะเยอะๆ

แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดน้อยเกินไปหน่อย....


ผมพาทิชามานั่งตรงริมสระน้ำด้านหลังห้องแกรนด์บอลรูม ในเวลาเกือบสามทุ่มไม่มีแขกลงมาใช้งานแล้ว บริเวณนี้จึงมีแค่ผมกับมันนั่งพิงไหล่กันอยู่ท่ามกลางความมืด แววตาสีน้ำตาลเข้มของร่างเล็กสะท้อนภาพผืนน้ำไหวกระเพื่อมตามแรงลม.... แวบหนึ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะร้องไห้แต่ก็ไม่เห็นมีน้ำตาไหลออกมาเลย

แต่ถ้าผมมองดูให้ชัดอีกนิดก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าทิชามันกำลังร้องไห้อยู่ในใจต่างหาก....

พี่โรม”

“หืม?”

“สงสัยใช่ปะว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น........” 

ทิชาถามผม น้ำเสียงมันกลั้วหัวเราะแห้งๆ อีกแล้ว ซึ่งผมไม่ชอบเลย เพราะฟังดูเหมือนมันกำลังแค่นหัวเราะสมเพชตัวเองยังไงยังงั้น

 “ลองเสิร์ชกูเกิ้ลชื่อ ทิชา ทิชนันท์ ดูดิพี่”

“กูเกิ้ลเลยเหรอวะ”

“อือ รับรองว่าโคตรแซ่บ”

ผมทำตามอย่างที่ทิชาบอก หยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชชื่อเจ้าตัวดูว่าจะมีอะไร แล้วผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อข่าวของอดีตดาราระดับนางเอกที่ชื่อนิดาวัลย์ปรากฏขึ้นมาจนเต็มหน้าจอไปหมด.... ผมเองก็เคยได้ยินข่าวเหตุการณ์ระหว่างเจ้าหล่อนกับตระกูลทิพยศักดิ์เสนามาบ้าง มันก็เรื่องชู้สาวที่ดังฉาวโฉ่ระดับประเทศ ขนาดเวลาผ่านไปเป็นยี่สิบปีแล้วก็ยังมีประเด็นให้คนพูดถึงอยู่เป็นระยะ ซึ่งผมมองว่ามันก็แค่เรื่องชิงรักหักสวาทไร้สาระที่มีทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายชายเข้ามากระพือให้ไฟยิ่งโหมหนักมากขึ้น

แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือ ลูกชายของดาราหญิงคนนั้นซึ่งผมเคยเห็นแวบๆ ในข่าวหลายต่อหลายครั้งจะมานั่งอยู่ข้างผมในตอนนี้....

“สนุกมั้ย.... นิยายน้ำเน่าที่ให้อ่านนั่นอะ?”

ไอ้ทิชายังคงหัวเราะงี่เง่าตามสไตล์ของมัน อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเสมือนว่าเป็นเรื่องตลกที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน

“ทีนี้พี่ก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วนะถ้าอยู่ดีๆ จะมีใครมาด่าผมประมาณว่าแรดร่าน หาผู้ชายเองไม่ได้ สันดานเมียน้อย หรือชอบเกาะผู้ชายรวยๆ อะไรทำนองนี้น่ะ”

ผมพอจะปะติดปะต่อคำบอกเล่าของทิชากับสิ่งที่เคยเห็นได้รางๆ หลังจากที่โดนเมียไอ้เอกด่าสาดเสียเทเสียกลางร้านกาแฟก็มีคนพูดแบบนี้ ตอนที่ทิชามีเรื่องกับพวกคณะวิทย์ก็ถูกด่าประมาณนี้เหมือนกัน

“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วย?” 

ถ้าถามผม ผมก็มองว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ข่าวที่ลงก็มีแต่ความขัดแย้งกันของพ่อแม่มัน ตามหลักแล้ว เด็กไม่ควรจะต้องถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วยสักหน่อย

“ใครเขาสนกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หรือของเด็ก.... สิ่งที่คนแถวนี้ตัดสินก็มีแค่ว่าแม่มันเลว ลูกออกมาก็ต้องเลวเหมือนแม่” 

ทิชาบอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มในขณะที่ดวงตาไหวระริกจนฝืนปิดบังความเศร้าเอาไว้ไม่มิด 

“แต่ผมก็ถูกด่าจนชินแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก.... ที่ให้พี่โรมอ่านก็เพราะอยากให้รู้ความจริง พี่จะได้ตัดสินใจถูกไงว่าจะยังอยากคุยกับผมอยู่หรือเปล่า”

“มึงก็ส่วนมึง แม่มึงก็ส่วนแม่มึงสิวะ.... เอามารวมกันได้ไง”

“นอกจากไอ้บี๋ก็มีแค่พี่โรมนี่แหละที่พูดแบบนี้”

ทิชาซบหน้าลงบนไหล่ของผมอีกครั้ง ความอุ่นชื้นรินรดผ่านผ้าตัดสูทเนื้อดีจนกระทั่งผมสามารถรับรู้ได้ถึงปริมาณความหนักหนาสาหัสของมัน ไม่มีเสียงสะอื้นฟูมฟาย มีเพียงสัญลักษณ์ความอ่อนแอของมนุษย์ที่หลั่งออกมาเมื่อความเข้มแข็งมาถึงขีดจำกัด.... ผมจึงพาดแขนโอบร่างผอมบางนั้นเอาไว้แล้วปล่อยให้ทิชาได้อยู่เงียบๆ จนกว่ามันจะสงบลง

“ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยมีใครพูดกับชาดีๆ เลย.... พอมีคนทำดีด้วยสักครั้ง ชาก็มารู้เอาทีหลังตลอดว่าพวกเขาก็แค่หว่านพืชหวังผล ตอนที่เข้ามาจีบแรกๆ ก็สารพัดจะเอาใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอนอนด้วยกันแล้ว คนพวกนั้นก็ทิ้งชาไปกันหมด..........” 

นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยิน ทำไมคนที่ทั้งสวยน่ารักและใสซื่ออย่างไอ้ทิชาถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันถูกหลอกอยู่ฝ่ายเดียว

 “แบบไอ้เหี้ยพี่เอกไง.......แต่ไม่ได้มีแค่คนเดียว.......ชาเจอเรื่องแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..............”


ทว่า สิ่งที่ผมไม่ทันคิดก็คือแล้วเพราะอะไรทิชาถึงไม่ยอมหยุด?

ทำไมมันถึงยังพยายามจะไขว่คว้าเรียกร้องหาสิ่งที่ทำให้มันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น....?

                                                                                                                             

“แล้วพี่โรมล่ะ พี่ทำดีกับชาขนาดนี้.... ต้องการอะไรหรือเปล่า?”

เสียงแหบแห้งนั้นฟังดูเหมือนใจจะขาด ผมสงสารมันจนแทบทนฟังต่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในขณะที่ผมคิดว่าตัวเองควรทำอย่างไรเพื่อให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ดีขึ้น ทิชาก็โผเข้ามาซุกอกผม สายตาที่มันช้อนมองคล้ายจะเว้าวอนขออะไรบางอย่างมากกว่าจะอยากได้คำตอบให้กับสิ่งที่เพิ่งถามออกมา

“มึงถามว่ากู.....ต้องการอะไรงั้นเหรอ.....?”   

“อืม แล้วพี่โรมอยากได้อะไรล่ะ?”  ปลายนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นมาแตะสันกรามผม.... สีหน้าและน้ำเสียงของมันช่างเย้ายวนจนน่ากลัว  “พี่อยากนอนกับชามั้ย?”

“ทิชา.......มึง..........”

“ถ้าพี่จะเอา ชาก็ให้ได้นะ.... ให้ได้จริงๆ...........”

และกว่าที่ผมจะทันรู้ตัว กลีบปากนุ่มหยุ่นก็ประกบเข้ากับริมฝีปากผม ไม่เพียงแค่สัมผัสออดอ้อนเรียกร้องความสนใจ หากกลับร้อนเร่าเสียจนสติสัมปชัญญะของเราทั้งคู่กระเจิดกระเจิงไปไกล

ออฟไลน์ TNM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เห็นชื่อเรื่องก็กดเข้ามาเลยเพราะชอบioi

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ฮือออ มาต่อออ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
สงสารน้องงงง

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
TISHA’s PART



พี่โรมไม่ปฏิเสธผม....


ไม่ว่าจะด้วยความเหงา กลัวว่าจะถูกทิ้งหรืออะไรก็ช่าง ผมไม่อยากจะหยุดหัวใจตัวเองเอาไว้กับความผิดหวังเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ผมเคยเสียใจแล้วก็ยังแกล้งยิ้มระรื่นทำเป็นไม่รู้สึกเจ็บปวด

ความเข้มแข็งที่ไม่เคยมีอยู่จริงนั้นไม่ช่วยอะไร นอกเสียจากช่วยให้ผมจมอยู่กับความโดดเดี่ยวไปจนตาย

แต่ตอนนี้ผมต้องการพี่โรม

ผมอยากได้เขา.... อยากให้เขามาเป็นของผมคนเดียว.......




ครั้งแรกในชีวิตที่ผมเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน ขอบคุณประสบการณ์เหี้ยๆ ในอดีตที่ทำให้ผมไม่เหลือความไร้เดียงสาและยางอายอยู่อีกแล้ว.... ผมเบียดตัวเข้าหาพี่โรมจนกระทั่งตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาจนได้ สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าราวกับสายฝนซึ่งพร่างพรมลงมาในวันที่แสนอบอ้าว เรียวลิ้นชื้นซึ่งเกี่ยวกระหวัดตอบรับกลับมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลม เหมือนกำลังงถูกกอด เหมือนกำลังได้รับความรัก ผมจึงย้ำจูบอยู่อย่างนั้นคล้ายกับจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ให้เป็นของพี่โรม

หัวใจของผมอบอุ่นขึ้นแล้ว


พี่โรม.......เขาก็ชอบผมเหมือนกัน..........



“อืม......ทิชา...........”

เสียงทุ้มครางออกมาเป็นชื่อผม ร่างหนาขยับคล้ายกับจะถอยออกห่างแต่ผมก็ยังไม่หยุด ผมอาจจะไม่ได้หอมหวานบริสุทธิ์อย่างที่ใครๆ ต้องการ แต่ร่างกายนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมมีเหลืออยู่

“........พอก่อน.......มึง.............”

หูผมอื้อจนไม่ได้ยินเสียงร้องห้าม แต่ถึงได้ยิน ผมก็ไม่คิดที่จะทำตาม.... ผมยังเฝ้ากดริมฝีปากป้อนจูบที่เต็มไปด้วยความโหยหาใส่คนตรงหน้า หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ยกเว้นแต่จะให้พี่โรมอยากได้ผมเหมือนอย่างที่ผมอยากได้เขา

ทว่า มือหนาคู่นั้นกลับไม่ได้โอบกอดผมเอาไว้ มีเพียงแรงผลักไสเหมือนนึกรังเกียจที่ทำเอาผมแทบล้มหน้าหงาย

“กูบอกให้พอก่อนไง.....!”

พี่โรมหอบหายใจแรง มือของเขายันอกผมไว้เป็นเชิงห้ามไม่ให้ขยับเข้าไปหา ใบหน้าฉายชัดถึงความตกใจ สับสน......แล้วก็ไม่พอใจมาก..........



ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าพี่โรมมีความสุขที่ได้จูบกับผมเลย



“ทำไมล่ะ?”  ผมแอ๊บทำเป็นถามใสๆ ทั้งที่ในใจนั้นรู้แล้วว่าตัวเองคงทำพลาดครั้งใหญ่  “ชาจูบไม่เก่งเหรอ? งั้นขอเริ่มใหม่ได้มั้ย?”

“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!”

โอเค.... พี่โรมยิ่งดูหัวเสียเมื่อผมแกล้งโง่ใส่เขา ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงยอมแพ้แล้วก็ปล่อยให้เขาเดินจากไป แต่เพราะว่าอีกฝ่ายคือพี่โรมที่ดีกับผมมากเหลือเกิน ความดื้อรั้นในตัวจึงร้องบอกให้ผมพยายามยื้อจะเอาให้ได้.... ในเมื่อเขาทำดีกับผมขนาดนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่พี่โรมจะไม่คิดอะไรกับผมเลย

“แล้วมันยังไงล่ะ?”

พี่โรมดูลำบากใจกับรอยยิ้มของผม.... ทั้งที่เมื่อคราวก่อน เขาเป็นคนบอกให้ผมยิ้มเยอะๆ เองไม่ใช่เหรอ ผมก็อุตส่าห์ยิ้มแล้วไง แล้วทำไมตอนนี้เขากลับทำคล้ายกับว่าไม่อยากเห็นหน้าผมอีกเสียอย่างนั้น

“กู.......ไม่ได้อยากได้มึง.........”

ใจผมกระตุกร่วงหล่นลงสู่ปลายเท้า เย็นวาบหนึบชายิ่งกว่าตอนที่ถูกพี่มีนาราดช็อกโกแลตลงกลางหัว.... ผมหายใจแรงขึ้นเมื่อก้อนแข็งขมปร่าแล่นขึ้นมาจุกลำคอ แต่ผมก็ฝืนกลืนมันลงไปแล้วปั้นยิ้มหน้าระรื่นเสมือนไม่รู้สึกรู้สมกับอะไรทั้งสิ้น

“พี่โรมไม่ชอบที่ชาเคยนอนกับคนอื่นมาก่อนใช่ไหม?” 

ผมกอดพี่โรมเอาไว้ พยายามอ้อน พยายามใช้น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเสมือนว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยซื่อใสไร้เดียงสา รุ่นพี่กี่คนๆ ที่เคยคบมาก็ชอบให้ผมทำแบบนี้กันทั้งนั้น พี่โรมเองก็คงไม่ได้ต่างกันนักหรอก 

“แต่เวลาคบ ชาก็คบทีละคนนะ แล้วก็ไม่เคยยอมให้ใครสดด้วย.... พี่โรมใจดีกับชามากยิ่งกว่าคนพวกนั้นอีก ชาไม่กล้าทำให้พี่เดือดร้อนหรอกน่า”

“เป็นห่าอะไรของมึงวะเนี่ย ทิชา......!?”

“นะ.....เปิดห้องกัน........เดี๋ยวชาอมของพี่ให้ก็ได้ รับรองว่าพี่โรมต้องติดใจแน่”

“ไอ้ทิชา.... ตั้งสติหน่อยสิวะ!” 

พี่โรมจับตัวผมเขย่าจนหัวคลอน เขาคงคิดว่าผมเมาหรือไม่ก็เสียใจจนเป็นบ้า ถึงได้พูดคำพูดน่ารังเกียจเมื่อกี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว 

“มึงอย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินอีกนะ อมเอิมเหี้ยไร.... พูดอย่างกับจะเอาตัวเข้าแลกให้กูเป็นผัวมึงอยู่ได้!”

“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ? พี่โรมไม่ได้ทำดีกับชาเพราะว่าอยากนอนด้วยหรอกเหรอ?”

“ห่าเอ๊ย.....มึงนี่แม่งประสาทแดกชัดๆ!” 

จากที่แค่โกรธกลับกลายเป็นรังเกียจ พี่โรมลุกขึ้นยืนมองหน้าผมเหมือนเห็นเป็นตัวประหลาด.... ข้างในอกผมลั่นเปรี๊ยะคล้ายแผ่นน้ำแข็งที่แตกออก อารมณ์ว่าแตกสลายอยู่ข้างในแต่น้ำตาเจ้ากรรมเสือกจะไหลออกมาประจานกันให้ได้ รอยยิ้มจอมปลอมซึ่งเป็นเกราะกำบังของผมหายไปแล้ว เหลือเพียงเนื้อในที่โคตรอ่อนแอและโคตรน่าสมเพชเมื่อต้องมาร้องขออะไรก็ไม่รู้จากคนที่เขาไม่มีจะให้

“งั้นพี่โรมมาคุยกับชาทำไม?” 

ผมลุกขึ้นตามคาดคั้นเอาเรื่อง เสียงผมยิ่งสั่นเมื่อข่มก้อนสะอื้นให้กลับลงไปไม่ได้ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวจากหยดน้ำที่แห่กันมากระจุกรวมอยู่ตรงหัวตา 

“สงสารเหรอ? หรืออยากสมน้ำหน้า? หรือแค่อยากเห็นกับตาว่าไอ้ทิชาที่คนอื่นเขาพูดถึงกันมันร่าน มันใจง่ายจริงหรือเปล่า.... หรือว่ามันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย พี่แค่ทำเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง?”

“กูชอบมึงนะ ทิชา แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเข้าใจอะไรผิดๆ เหมือนกัน” 

คำว่าชอบที่มาพร้อมกับสีหน้าอึดอัดใจก็ไม่ต่างอะไรกับคำว่ารำคาญ ผมรู้ว่าพี่โรมก็แค่ใจอ่อนเพราะเห็นผมร้องไห้ แต่ก็ไม่ได้อ่อนมากพอที่จะยอมตามใจผมสักครั้ง

“กูชอบมึงแบบน้องชาย มึงเข้าใจมั้ยว่ามันเป็นแค่ความเอ็นดู กูแค่อยากดูแลมึงในฐานะพี่.... ไม่ได้อยากเอามึงมาทำอย่างว่าแบบนั้น”

“แต่ชาไม่ได้อยากเป็นน้องพี่โรมนี่!”

เมื่อความผิดหวังและเสียใจกำลังครอบงำสติสัมปชัญญะ ผมในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ลงไปดิ้นพราดกับพื้นเพราะพ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้.... ผมรู้ดีว่าผมงี่เง่า ผมงอแง และผมกำลังโมโหพาลโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะคนรอบข้างต่างหากที่คิดจะทำร้ายผม แต่ไม่เคยย้อนกลับมาดูเลยว่าผมเอามีดที่มองไม่เห็นทิ่มหัวใจตัวเองไปกี่ครั้งแล้ว

“เลิกทำตัวเป็นพระเอกเหอะพี่ พี่น้องห่าไรใครจะโง่เชื่อวะ ไม่มีใครเข้าหาชาโดยไม่หวังอะไรหรอก....”

ผมแค่นยิ้มประชดทั้งน้ำตา เชื่อฝังใจแล้วว่าสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นอีหรอบเดิม 

“ไหนๆ เรื่องระหว่างเรามันก็ฉิบหายขนาดนี้แล้ว บอกมาสิว่าพี่โรมต้องการอะไรกันแน่!”

พี่โรมไม่ตอบ เขาเอาแต่ยืนนิ่งมองหน้าผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ.... มันไม่เหมือนกับตอนที่ผมจับได้ว่าโดนพี่เอกคบซ้อน เพราะนั่นคือพี่เอกเงียบไปเพื่อนึกหาข้อแก้ตัวให้พ้นผิด ในขณะที่พี่โรมมีเหตุผลรองรับการกระทำของตัวเองและเขาก็ไม่ต้องการที่จะโกหกเพื่อปัดสวะให้พ้นตัว

เพียงแต่เขาก็ไม่อยากบอกให้ผมรู้ความจริงด้วยเช่นกัน....


Tlu…. Tlu…. Tlu….


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายความเงียบที่แสนกระอักกระอ่วน ร่างสูงก้มลงมองชื่อบนหน้าจอไอโฟนสลับกับใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของผมแล้วก็กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจที่มีมากขึ้นไปอีก.... ลางสังหรณ์ตะโกนลั่นอยู่ในหัวว่าสายเรียกเข้าที่ดังไม่หยุดกับปัญหาที่ผมและพี่โรมยังเคลียร์ไม่จบน่าจะเกี่ยวข้องกัน ผมจึงบอกให้พี่โรมรีบรับสายให้มันเสร็จๆ ไป

แววตาสีเข้มคู่นั้นมองมาราวกับจะพูดว่า ‘มึงบังคับกูเองนะ ทิชา.....’ ก่อนที่พี่โรมจะสไลด์หน้าจอรับสายและจงใจคุยให้ผมได้ยินชัดๆ



“โทษที บีบี๋......ตอนนี้พี่ไม่ค่อยสะดวกคุยว่ะ เดี๋ยวพี่โทรกลับนะ........”

“อืม.....ก็อยู่กับไอ้ทิชานั่นแหละ.....งานยังไม่เลิกเลย แต่อีกสักพักก็คงกลับแล้วล่ะ”

“......โอเค เดี๋ยวกลับแล้วจะโทรหานะ.....คิดถึงเหมือนกัน ไอ้ตัวเล็ก”




ผมว่าเมื่อกี้ผมยืนคุยกับพี่โรมอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนไหน.... น้ำตาไหลจนมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกแล้วนอกจากเสียงสะอื้นของตัวเอง หัวใจของผมเจ็บเสียจนคล้ายว่ามันจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เลือดในตัวร้อนจัดเหมือนน้ำเดือด พาลให้ผมทุรนทุรายราวกับจะตายลงไปตรงนี้เสียให้ได้

ผมดื้อเค้นจะเอาคำตอบให้ได้เพราะคิดว่ายังไงตัวเองก็รับความจริงไหว ผมคิดว่าตัวเองเก่งมากพอที่จะยิ้มเยาะเชิดใส่ความต่ำตมของทุกคนบนโลกนี้ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ผมกลับทนไม่ได้แม้แต่จะฟังคำพูดพวกนั้นจนจบ

“พี่โรมมาคุยกับชาก็เพราะไอ้บี๋สินะ.........” 

เสียงของผมแหบพร่าและขาดห้วงเพราะแรงสะอื้น 

“เพราะพี่ชอบไอ้บี๋ก็เลยใช้เรื่องของชาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันแต่ก็ทำทีว่าเป็นห่วงเป็นใยนักหนา......อึก......ที่แท้ก็เข้ามาคุยด้วยเพื่อที่จะได้เนียนไปจีบเพื่อนชา.... ความจริงมัน.....ฮึก....เป็นอย่างนี้ใช่ไหม......?”

“กูยอมรับว่ากูชอบบีบี๋”  พี่โรมตอบ 

“แต่กูเพิ่งมาชอบมันหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว.... กูเข้าไปคุยกับมึงก็เพราะเป็นห่วงมึงจริงๆ เรื่องระหว่างกูกับบีบี๋มันเกิดขึ้นหลังจากนั้น และมันก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมึงเลยนะ ทิชา”

“พี่แม่งเหี้ยว่ะ.... โคตรเหี้ยเลยอะ!!”

ผมแผดเสียงก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นทุบอกคนตรงหน้าระบายความโกรธ ยิ่งโมโหเจ็บใจและสมเพชตัวเองที่ใจง่ายหวั่นไหวหลงคิดว่าจะได้รับความรักความจริงใจจากพี่โรมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอาละวาดตัดพ้อต่อว่าเขามากเท่านั้น

“พี่โรมทำแบบนี้กับชาได้ยังไง.... ชาเคยไปทำอะไรให้พี่งั้นเหรอ!? พี่เอาความรู้สึกของชามาล้อเล่นได้ยังไง!!??”

“ทิชา.....กูขอโทษ.........”

พี่โรมยืนนิ่งไม่โต้ตอบ เขายอมให้ผมทุบตีได้จนกว่าจะพอใจ หากก็แลกกับการที่ผมต้องทนฟังคำพูดที่ว่าเขาไม่เคยนึกชอบผมเลยสักนิด มีแต่ผมนั่นแหละที่คิดไปเอง 

“กูขอโทษจริงๆ........กูก็ไม่คิดว่ามึงจะชอบกู.........”

“พอแล้ว.....ฮึก......ไม่ต้องมาพูดดีเลย.....!!”

“ทิชา มึงอย่าเป็นแบบนี้สิวะ......กูไม่ได้คิดจะหลอกอะไรมึงเลยนะ” 

พี่โรมกอดผมที่กำลังฟูมฟายไร้สติเอาไว้ เขาพยายามปลอบ พยายามประคับประคองหัวใจแตกๆ ร้าวๆ ของผมให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่มันสายเกินไปแล้วเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่มันพังฉิบหายไปหมดแล้ว

“กูยังดูแลมึงในฐานะน้องได้นะเว้ย......มีอะไรมึงก็คุยกับกูได้.........”

มาถึงตอนนี้ คุณคงคิดใช่ไหมว่าผมผ่านผู้ชายคนอื่นมาได้ตั้งเยอะ แล้วจะเป็นจะตายอะไรหนักหนากับอีแค่พี่โรมคนเดียว?

ความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่าคนพวกนั้นเข้าหาผมเพราะหวังจะได้นอนกับผม แต่พี่โรมเข้าหาผมเพราะหวังจะได้สานสัมพันธ์กับบีบี๋.... ผมรู้ว่าใครๆ ก็ชอบคนน่ารักสดใสมากกว่าคนที่มีประวัติเน่าๆ แปะอยู่กลางหน้าผากอยู่แล้ว แต่คุณเข้าใจไหมว่ามันเป็นความเสียหน้า เหมือนโดนมองข้ามหัว เหมือนโดนบอกว่ามึงน่ะมันเฮงซวย ไร้ค่า ไม่สำคัญมากพอที่ใครเขาจะมารักมาชอบ แม้แต่ให้เอาฟรีๆ เขายังไม่อยากเอาเลย

และความแตกต่างอีกข้อก็คือผมไม่เคยชอบคนพวกนั้น แต่ผมชอบพี่โรม....

ผมชอบเขา........ชอบมากจริงๆ...........



“ถ้าให้ทั้งหมดไม่ได้ งั้นก็เอาคืนไปให้หมด.... ไอ้เศษๆ หัวใจที่แบ่งมาเพราะความสงสารพรรค์นั้นน่ะ ชาไม่อยากได้!!”

“ชาเกลียดพี่โรม....ฮึก.....เกลียดฉิบหายเลย.....ไสหัวไปให้พ้น.....!!”




ผมเช็ดน้ำตาซมซานออกมาหน้าโรงแรมเพื่อเรียกแท็กซี่ ไม่สนใจแล้วว่าพี่โรมแม่งจะกลับเข้าไปในงาน กลับบ้าน โทรคุยกับบีบี๋หรือจะไปตายห่าตายโหงที่ไหน เพราะผมเพิ่งแหกปากไล่เขาอย่างกับคนบ้า ถึงแม้ว่าพี่โรมจะพยายามขอไปส่งผมที่บ้าน ปากก็บอกว่าห่วงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้พูดจริงหรอก.... ก็แค่รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ใช้ผมเป็นสะพานทอดไปหาสิ่งที่ต้องการ ก็เลยอยากจะทำดีชดเชยเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเหี้ยจนเกินไปนัก

เห็นไหมว่าทิชา ทิชนันท์เก่งแค่ไหน แปบเดียวก็อ่านเกมออกแล้วว่าพี่โรมก็แม่งก็ผู้ชายใจหมาที่แค่เอาตีนเขี่ยๆ ตามกองขยะก็เจอ

มึงจะไม่ตายเว้ย ทิชา

จำเอาไว้ว่ามึงเก่ง มึงเข้มแข็ง และจะไม่มีใครทำอะไรมึงได้ทั้งนั้น


เป็นยังไงบ้างครับ.... ผมหลอกตัวเองเก่งใช่ไหมล่ะ?


TO BE CONTINUE

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
พี่โรมมม ชอบบี๋จริงเหรอ ฮรือออ วายยยย
สงสารทิชา ไม่ร้องนะหนู ใจเย็นนะ ; __ ;

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ตอนล่าสุดทำให้เรารู้สึกว่าว้าวมากๆเลย เราไม่โอเคกับพี่โรมเลย แบบฮืออออ มาต่อเถอะนะคะ อยากอ่านต่อแล้ว frist impression เราให้พี่โรมไปหมดแล้วไหงทำกับทิชางี้ แล้วแบบเหมือนพี่โรมกับบี๋แอบคุยกันเลย จะคุยทำไมไม่บอกทิชาก่อนล่ะ โอ้ยยยยย

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ร้าวมากกก ฮือออ

ออฟไลน์ Shizuru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หน่วงมากกกก แต่ชอบมากกกกกเช่นกัน ตอนเมื่อใดตอนใหม่จะมาาาาาาาาาาาาาาาา :katai4: :katai4:  รออยู่น้าา เป็นกำลังใจให้คนแต่ง อิอิ o13 o13

ออฟไลน์ Mod40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่โรมสรุปเอาทิชาเป็นสะพานทอดไปหาบีบี๋
ความสงสารมีเส้นแบ่งบางๆระหว่างความรักให้เข้าใจผิดได้นะคับ ทิชาอย่าทำตัวให้ไร้ค่าก็พอเข้มแข็งแบบนี้ถูกแล้วคับเดินหน้าต่อ
ผมเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคับสู้ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2017 16:00:33 โดย Mod40 »

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
หน่วงมากกกกกกกก :ling3:
เราไม่ใช่สายมาม่านะ แต่นิยายที่เราติดทำไมเริ่มม่าเกือบทุกเรื่องแล้วอ่ะ :hao5:
ไรท์มาต่อเถอะนะคะ  :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 10:55:21 โดย สาว801 »

ออฟไลน์ SweetAlice0701

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
5
~ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ~



“ไอ้ชา~!”

เมื่อได้ยินเสียงเรียก แทนที่ผมจะหยุดฝีเท้าแล้วหันไปทักเพื่อนสนิทอย่างที่ควรจะเป็นก็กลับเร่งความเร็วเหมือนจะหนีให้พ้น แต่ระเบียงทางเดินตึกคณะก็กว้างแค่นี้ จะแกล้งทำหูทวนลมยังไงก็คงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายหันกลับไปปั้นหน้าเหรอหราราวกับเพิ่งสังเกตเห็นบีบี๋ที่โดนทิ้งอยู่ทางด้านหลัง

พอไอ้บี๋คว้าแขนผมเอาไว้ได้ ใบหน้าน่ารักนั้นก็งอง้ำ ทำเป็นงอนจนแก้มป่องแล้วก็ตัดพ้อต่อว่าผมเสียยกใหญ่

“ทำไมมึงออกมาไม่รอกูเลยอะ แล้วเดินก็โคตรเร็ว จะรีบไปไล่ควายที่ไหนวะเนี่ย เรียกตั้งนานก็ไม่ยอมหัน?"

“อ้าว โทษที กูนึกว่ามึงออกมาก่อนแล้ว” 

ผมตอบหน้าตาย พยายามฝืนยกมุมปากตัวเองไม่ให้คว่ำลง แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่โคตรปลอมแต่ก็จำเป็นต้องทำ

“เชี่ยละ กูจะเดินออกมาคนเดียวไม่รอมึงได้ไงล่ะ?”

เพื่อนตัวเล็กยังคงฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด คงจะฉุนหน่อยๆ ที่เช้าวันนี้ผมรีบมาเข้าห้องสอบย่อยโดยไม่รอมัน แถมพอหมดเวลาควิซ ผมก็เดินจ้ำเอาๆ เหมือนว่ามันไม่มีตัวตน

ผมรู้ว่านี่เป็นการกระทำที่เหี้ยมาก เหมือนเด็กไม่ได้ดังใจแล้วก็พาลฟาดหัวฟาดหางใส่คนรอบข้างไปเรื่อย แต่พอเห็นหน้าบีบี๋ ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา.... พี่โรมสารภาพความจริงออกมาแล้วว่าเขาชอบบีบี๋ ไม่ได้ชอบผม และทั้งสองคนก็แอบคุยกันมาตลอดปล่อยให้ผมบ้าบออยู่ฝ่ายเดียวว่าที่พี่โรมเข้ามาคุยด้วยเพราะว่าเขามีใจให้ ทั้งข้อความในไลน์ที่พี่โรมส่งหาผม ความห่วงใยที่แสดงออกไม่มีความหมายอะไรเลย พี่โรมแค่ทำดีกับผมก็เพราะผมเป็นเพื่อนของไอ้บี๋เท่านั้นเอง

ความเหี้ยของเรื่องนี้ก็คือผมถูก ‘อ่อย’ หนักเสียจนยังตัดใจจากพี่โรมไม่ได้

ผมจึงไม่พร้อมจะมองหน้าไอ้บี๋ในตอนนี้ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอดราม่าใส่มันหรือทำนิสัยขี้อิจฉาน่ารังเกียจออกไป....

“แล้วมึงเป็นอะไรวะ ตาบวมเชียว?”  บีบี๋ถามพลางเขย่งปลายเท้าขึ้นดูรอยแดงช้ำใต้ตาผมให้ชัดๆ

“กูนอนดึกน่ะ อ่านควิซนี่แหละ”

“เหรอ.... กูนึกว่ามึงตาบวมเพราะร้องไห้เสียอีก”

รอยยิ้มสุดเฟคของผมตึงเปรี๊ยะ เช่นเดียวกับเส้นความอดทนที่คล้ายจะขาดสะบั้นออก เหมือนมีเข็มแหลมพุ่งเข้าทิ่มแทงหัวใจพาลให้ตัวชายิ่งกว่าโดนน้ำเย็นจัดสาดเข้าใส่ แวบหนึ่งที่ผมแอบคิดว่าบีบี๋กำลังถากถางผมเรื่องพี่โรม และผมก็เกือบพลั้งปากตอบโต้ออกไปแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ทำแบบนั้น

“เสียงนกเสียงกาน่ะมึง ผู้ใหญ่เขาจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาเพ้อเจ้อไป คนไหนดีเราก็กลับไปกตัญญูตอบแทนบุญคุณ คนไหนที่แม่งแย่ๆ ไม่น่าเคารพก็คิดซะว่าชีวิตเขาเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี มึงก็ทำบุญทำทานกรวดน้ำให้เขาไป”

“เออ กูกรวดน้ำคว่ำขันไปแล้ว เอาขันปาหัวญาติกูแถมไปด้วย”

“มึงแม่งตลกว่ะ”

ไอ้บี๋ควงแขนผมหัวเราะร่า มันยังคงคิดว่าสาเหตุความเครียดของผมมาจากพวกญาติๆ ซึ่งไม่เคยลงรอยกับแม่และไม่ยอมรับผมให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล.... มือเล็กเอื้อมมาลูบหลังผมระหว่างที่เดินลงจากตึกคณะด้วยกัน เป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนขมคอจนอยากอ้วกออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด บีบี๋เป็นห่วงกลัวว่าผมจะคิดมากที่ถูกญาติผู้ใหญ่และพี่สาวฉีกหน้ากลางงาน มันชวนพูดชวนคุยหน้าซื่อเสียงแบ๊วไม่รู้เรื่องรู้ราว  ในขณะที่ใจผมกำลังเกรี้ยวกราดเดือดดาลจนสลัดความคิดที่ว่าไอ้บี๋แย่งพี่โรมไปออกจากหัวสมองไม่ได้

“วันนี้ไปกินร้านเจ้สวยข้างมอกันนะ กูอยากกินผัดซีอิ๊ว”

“อืม.... ก็ไปดิ”

ร้านเจ้สวยที่ว่าอยู่ตรงข้ามประตูทางออกฝั่งคณะวิศวะฯ เป็นร้านอาหารตามสั่งยอดนิยมของพวกห้อยเกียร์สวมเสื้อช็อป นานทีปีหนผมถึงจะยอมเดินไปสักครั้งเพราะทำเลอยู่ค่อนข้างไกลจากคณะศิลปกรรมพอสมควร.... เข้าทำนองว่าอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ผมรู้ได้ในทันทีว่าเหตุผลที่ไอ้บี๋ชวนผมเดินฝ่าแดดตอนเที่ยงไปถึงร้านเจ้สวย ไม่ใช่แค่ว่ามันอยากกินผัดซีอิ๊วหรอก ในเมื่อแคนทีนทุกคณะก็ร้านตามสั่งเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น

แต่เพราะมันนัดพี่โรมเอาไว้ต่างหาก....



บีบี๋ดูมีความสุขกับเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วของมันมาก ในขณะที่ผมเขี่ยหมูกระเทียมในจานไปมา สายตาจับจ้องไปยังเพื่อนตัวเล็กซึ่งเล่นโทรศัพท์พร้อมกินมื้อเที่ยงไปด้วย เห็นคิกคักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ท่าทางคงกำลังคุยกับคนที่คุณก็รู้ว่าใครอยู่แหง

“ยิ้มอะไรของมึงวะ?”  ในที่สุดผมก็ห้ามปากเอาไว้ไม่อยู่ แกล้งทำเป็นถามให้แผลกลัดหนองเล่นทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว “คนคุยใหม่เหรอ?”

“ก้อออออ บรั่บแว่~~~”

ไอ้บี๋หน้าแดงบิดตัวไปมา มือขวาม้วนเส้นใหญ่ในจานจนเป็นเกลียวตามระดับความเขิน และถึงผมจะหมั่นไส้แกมโมโหมันแค่ไหนก็ทำได้เพียงกระตุกยิ้มเฝื่อนตอบกลับไป 

“ถ้าพูดภาษาคนดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่านะ”

พอเห็นว่าผมไม่ค่อยอยากฟังเรื่องของมันสักเท่าไร ไอ้บี๋ก็เปลี่ยนท่าทีมาซีเรียสจริงจังมากขึ้น.... มันมองหน้าผมพลางกลืนน้ำลายเหมือนลำบากใจ แววตาบอกอารมณ์ประมาณว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีทำให้ผมนึกถึงตอนที่พี่โรมไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ ว่าใช้ผมเป็นสะพานทอดไปหาบีบี๋ แต่ความอยากอวดผู้ใหม่มันคงคับอกคับใจมากก็เลยทนเก็บความลับเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“คืองี้ ไอ้ชา.... มึงต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่โกรธกู............”

“กูไม่สัญญา”

ผมไม่อยากรับปากในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ เชื่อเถอะว่าไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวมันก็อดใจไม่อยู่ ต้องคายสิ่งที่มันแอบไปทำลับหลังผมออกมาให้รู้เห็นจนได้ 

“เพราะมึงจะพูดหรือไม่พูดตอนนี้ สุดท้ายกูก็ต้องรู้อยู่ดีแหละ”

เพื่อนสนิทผมนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่มันจะสารภาพความจริงที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกินในความรู้สึกของผม



“คือ.......ตอนนี้กูคุยๆ กับพี่โรมอยู่นะ”



“มึงไม่เซอร์ไพรส์เลยเหรอ?”  ไอ้บี๋ถามหน้าจ๋อยเมื่อเห็นว่าผมไม่หือไม่อือกับความลับของมัน

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงอยากอาละวาดแล้วก็คว้าอะไรสักอย่างใกล้มือปาใส่มันให้หายโกรธ ผมไม่ได้โลกสวยและความคิดของผมก็เหี้ยมากซะด้วย ผมอิจฉา ผมตีหน้าซื่อแต่แอบเกรี้ยวกราดใส่มันอยู่ในใจ ทว่า ในตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยคาดหวังนั้นพังฉิบหายไปหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือฝืนยิ้มตอแหลต่อไปเพื่อประคับประคองมิตรภาพระหว่างเพื่อนให้อยู่รอด

“ก็กูรู้อยู่แล้ว”

“รู้แล้ว?? ใครบอกมึง? พี่โรมบอกเหรอ??”

ไอ้บี๋ทำตาโต กะว่าจะได้เซอร์ไพรส์ผมเต็มที่แต่กลับกลายเป็นมันที่โดนเซอร์ไพรส์เสียเอง 

“โว้ยยยย กูอุตส่าห์ขอพี่แม่งแล้วนะว่ากูจะเป็นคนบอกมึงเอง แล้วมาหักหลังกูแบบนี้ได้ไงเนี่ย!?”

“พี่โรมไม่ได้บอกอะไรกูหรอก”

ผมโกหก ไม่ได้อยากปกป้องพี่โรมนักหรอกแต่เป็นเพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมร้องไห้อ้อนวอนขอความรักจากพี่โรมอย่างน่าสมเพช ซ้ำยังถูกตอกหน้ากลับมาด้วยคำว่าเขาชอบคนอื่นอีกต่างหาก 

“ก็วันที่ไปเลือกชุดไปงานแต่งพี่สาวกูด้วยกัน ตอนแยกกันขากลับ กูได้ยินมึงรับโทรศัพท์แล้วเรียกชื่อพี่โรม.... กูก็สงสัยอยู่แล้วล่ะว่าพี่เขาน่าจะชอบมึง มึงเองก็ดูเอ็นจอยกับเขาดี จะคุยกันถูกคอก็ไม่แปลก”

จะว่าไป ผมก็น่าจะระแคะระคายเรื่องพี่โรมกับบีบี๋ตั้งนานแล้วนี่นา ไม่น่าเชื่อว่าความเพ้อเจ้อของผมจะทำให้ผมลืมสิ่งที่ได้ยินในวันนั้นไปเสียสนิท

“มึงสงสัยแต่ก็ไม่เคยถามเลยนะ ปล่อยให้กูคิดมากอยู่คนเดียวตั้งนาน” 

เพื่อนตัวเล็กพรูลมหายใจยาว สีหน้าแสดงความโล่งอกที่นอกจากจะไม่โดนผมโกรธแล้ว ผมยังเงียบเหมือนรู้เห็นเป็นใจให้มันกับพี่โรมจีบกันเสียด้วย

“คิดมากเรื่องไร?”

“ก็.......ทีแรกกูคิดว่ามึงจะไม่โอเค........”

ไอ้บี๋พูดเสียงอ่อย แต่ดูจากรอยยิ้มบนใบหน้า เชื่อขนมกินเถอะว่ามันไม่ได้เครียดหรอก ก็แค่เขินที่ต้องเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น นายโรมคนดังแห่งคณะวิศวะฯ มาจีบมันได้ยังไงเสียมากกว่า

“คือกูเห็นมึงคุยกับพี่โรมก่อน แล้วเฮียแกก็เข้ามาทักเพราะกับรู้จักกับมึงใช่ไหมล่ะ.... ทีนี้ ถ้ากูกับพี่โรมเกิดจะสนิทกันขึ้นมาโดยที่มึงไม่รู้เห็นด้วย มันก็เหมือนว่ากูแอบทำอะไรข้ามหน้าข้ามตามึง ตอนที่พี่เขาขอเบอร์กับไลน์ไป กูลำบากใจฉิบหายเลยอะ พอให้ไปแล้วก็เสือกโทรมาจริงๆ อีก ไลน์ก็ส่งมาแทบจะทุกชั่วโมงเลยเนี่ย........”

มันพูดก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดู ข้อความแชทในไลน์ยาวเป็นพรืดที่พี่โรมส่งหามันกระแทกตาทะลุหัวใจผมเข้าเต็มๆ.... คิดถึงตัวเล็กอย่างนั้น อยากเจอตัวเล็กอย่างนี้ ทั้งนัดกินข้าวดูหนัง เอามาขิงใส่ให้ผมตาร้อนเล่น

แต่ที่กวนใจผมมากกว่าแชทจีบกันพวกนั้นก็คือคำพูดของบีบี๋ที่คล้ายจะยอมรับกลายๆ ว่าตั้งใจจะปาดหน้าเค้กคุยกับพี่โรมลับหลังผม

“หมายความว่าถ้ากูชอบพี่โรมแล้วมึงจะไม่คุยกับเขาเหรอวะ?”  ให้ตายเถอะ ผมพลั้งปากกึ่งถามกึ่งแซะมันไปอีกแล้ว ชาติก่อนผมแม่งเกิดเป็นชาวอำเภอท่าแซะหรือไงกันนะ

ที่เหี้ยเหนือกว่าการแซะของผมก็คือไอ้บี๋เสือกพยักหน้ารับเนี่ยสิ 

“แต่เห็นมึงเงียบๆ ไป ไม่เคยพูดถึงพี่โรมให้กูได้ยินอีกเลย กูก็เลยคิดว่ามึงไม่น่าจะอะไรกับพี่เขาใช่ปะล่ะ”

ผมเพิ่งรู้ซึ้งถึงความโง่งี่เง่าของตัวเองเอาเดี๋ยวนี้ เพราะผมไม่พูด ไม่ออกไปแหกปากตะโกนบอกชาวบ้านกลางสี่แยกว่าผมชอบพี่โรม คนอื่นก็เลยทึกทักคิดเองว่าผมไม่อยากได้พี่เขา.... แต่ถ้าผมบอกว่าชอบแล้วไอ้บี๋ยอมหลีกทางให้ นั่นก็หมายความว่ามันไม่ได้คิดจริงจังกับพี่โรมเลยสักนิด พอคิดว่ามันไม่ได้ชอบพี่โรมมากเท่าที่ผมชอบแต่กลับได้เขาไปครอบครอง ในขณะที่ผมได้แต่หัวใจสลายผิดหวังซ้ำซาก ความโมโหก็เลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนเส้นเลือดข้างขมับเต้นเสียงดังตุบตับ

แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกเสียจากยิ้มรับความสุขของเพื่อนที่งอกงามขึ้นจากคราบน้ำตาและความน่าสมเพชเวทนาของผม

“เดี๋ยวบ่ายมีเรียนประวัติศาสตร์’ถาปัต มึงจะกลับคณะพร้อมกูเลยไหม?”

กินข้าวเสร็จ นาฬิกาบนหน้าจอไอโฟนก็บอกเวลาเกือบบ่ายโมง วิชาต่อไปต้องไปเรียนรวมที่ตึกสถาปัตย์ซึ่งอยู่ข้างตึกคณะศิลปกรรม ผมก็เลยกะว่าจะไปนั่งทำงานรอที่ใต้ถุนคณะตัวเองก่อน

“เรียนตั้งบ่ายสาม มึงอย่าเพิ่งรีบไปเลย”

“แล้วจะให้กูอยู่นี่ทำด๋อยไร?”

ผมสังเกตเห็นว่าใครบางคนกำลังข้ามถนนมาจากประตูฝั่งคณะวิศวะฯ ท่าทางตกใจไม่น้อยที่เห็นผมนั่งอยู่กับบีบี๋ รอยยิ้มของผมยังคงค้างอยู่บนหน้า ในขณะที่สองตาร้อนผ่าวจนแทบไหม้ รู้สึกเหมือนของเหลวบางอย่างทำท่าจะระเบิดตัวทะลักออกมาอยู่รอมร่อ

“มึงนัดใครไว้ก็ไปหาเขาไป แล้วค่อยเจอกันในห้อง.... อย่าสายแล้วกัน กูไม่เช็คชื่อแทนให้หรอกนะ”

“งั้นกูฝากมึงจองที่ด้วยก็แล้วกัน”

ผมผงกหัวเป็นเชิงรับปาก เตรียมจะออกไปจากร้านเจ๊สวยให้เร็วที่สุด ไม่อยากรู้เห็นว่าสองคนนั้นจะคุยกันยังไง หวานชื่นแค่ไหน แล้วก็ไม่อยากให้พี่โรมเซ็งที่จนป่านนี้แล้วผมยังมองเขาตาละห้อยอยู่อีก แต่ไอ้บี๋กลับตามมาคว้ามือผมเอาไว้ก่อนจะกระโดดกอดจนแทบล้มลงไปนอนคลุกฝุ่นกันทั้งคู่

“ไอ้ชา...........”  บีบี๋ซบหน้าลงบนไหล่ผม เสียงของมันสั่นนิดๆ ราวกับว่าต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อพูดในสิ่งที่อยากพูด

“หืม?”

“ขอบใจนะที่ไม่ด่ากูเรื่องพี่โรม.... บอกตามตรง กูโคตรกลัวว่ามึงจะโกรธเลย คิดอยู่ตั้งนานว่าจะบอกมึงยังไงดี......”

คำสารภาพที่ได้ยินเหมือนยกภูเขาออกจากอกไอ้บี๋แล้วย้ายมาทับหัวผมแทน ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองควรตอบอย่างไร ควรจะพูดว่ายินดีกับความรักของเพื่อนหรือควรแช่งชักหักกระดูกขอให้มันกับพี่โรมรีบๆ เลิกกันไปซะ แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่เปลี่ยน.... พี่โรมเลือกแล้วว่าบีบี๋คือคนน่ารักสำหรับเขา ส่วนผมก็เป็นได้แค่น้องชายนอกไส้ที่ต้องรอจนกว่าเขาจะว่างโยนเศษเสี้ยวความสงสารมาให้

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก.... มึงรีบไปเหอะ อย่าให้เขารอนานเลย”

ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินข้ามถนนสวนกับพี่โรมที่มาถึงฝั่งนี้พอดี ผมเห็นว่าเขามองผม พยายามเอ่ยเรียกแต่ผมก็ไม่คิดจะหยุดฟัง

ก็อย่างที่บอกว่าถ้าเขาไม่ยอมให้ผมทั้งหมด งั้นผมก็ขอไม่รับอะไรจากเขาเอาไว้เลย แม้แต่เศษใจที่อุตส่าห์แบ่งมาให้ก็ไม่อยากได้....




‘อยากบอกเธอคำเดียวเสียใจ เสียใจเหลือเกิน ที่บังเอิญไว้ใจ สองคนเขาและเธอ…. แต่จะเป็นไรไป อย่างน้อยก็เพื่อนกัน แด่ความหลังที่พ้นผ่าน ที่คบกันมานาน ผู้ชายคนนั้น ฉันให้เธอ’



เสียงเพลงลอยมากระทบหูทันทีที่ผมข้ามกลับมาถึงฝั่งมหาวิทยาลัย เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นว่าคนที่กำลังยืนพิงรั้วร้องเพลงด้วยท่าทางกวนประสาทคือเดือนคณะสถาปัตย์ชั้นปีเดียวกับผม.... ผมกับไอ้หมอนี่รู้จักกันก็จริงแต่ห่างไกลจากคำว่าสนิทสนมไปประมาณล้านปีแสง อันที่จริงต้องเรียกว่าผมไม่ชอบขี้หน้ามันเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเพลงที่ได้ยินเมื่อกี้ก็เป็นการกวนตีนในรูปแบบหนึ่ง

“ถ้าไม่ชอบเพลงนี้ก็ยังมีเพลงอื่นอีกนะ”

“จำไม่ได้ว่าเราสนิทกันถึงขนาดจะมาร้องเพลงให้ฟังนะ”

“อุตส่าห์เรียนรวมเซคชั่นเดียวกันมาตั้งหลายวิชาแล้ว มาสนิทกันเอาไว้ก็ไม่เสียหายนี่นา”

โจทก์เก่าของผมสูงประมาณร้อยแปดสิบนิดๆ ไหล่กว้างตัวหนาขัดกับใบหน้าหล่อที่ชอบทำเป็นยิ้มระรื่นไร้สาระได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่ผมกำลังอารมณ์บูดอย่างเห็นได้ชัดอยู่นี่ มันก็ยังกล้ายื่นหน้ายื่นตาเข้ามายั่วให้สวนกำปั้นกระแทกดั้งสักครั้ง 

“ไหนๆ เพื่อนนายก็ไปสนิทกับรุ่นพี่วิศวะฯ แล้ว จะรับเพื่อนใหม่เพิ่มอีกสักคนไม่ได้เลยเหรอ ตอนนี้ตำแหน่งเพื่อนรักน่าจะกำลังว่างนะ?”

ไอ้ตัวครึ่งคนครึ่งหมีพูดพลางชี้ให้ผมดูพี่โรมกับบีบี๋เดินจูงมือกันที่อีกฝั่งถนน ใจของผมเจ็บแปลบเมื่อเห็นภาพบาดตา มือเผลอกำแน่นเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวก่อนจะสะดุ้งโหยงเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึจากคนตรงหน้า.... เชี่ยเอ๊ย เป็นตายร้ายดียังไงก็จะให้ไอ้เวรนี่รู้ว่าผมชอบพี่โรมไม่ได้เด็ดขาด

“ถึงจะไม่มีเพื่อนแต่กูก็ไม่คิดจะคบมึงหรอกนะ แดน”

“เหยดดดด เซเลบมหาลัยจำชื่อกูได้ด้วย รู้สึกเป็นเกียรติฉิบหายเลย ทิชา”

“ก็รู้สึกเป็นเกียรติฉิบหายเหมือนกันที่เดือนสถาปัตย์ใจหมาอย่างมึงมาเรียกกูว่าเซเลบ”

“ถึงกับใจหมาเลยเหรอวะ? กูแค่หอมแก้มมึงไปทีเดียวเองนะ”

ไอ้เชี่ยแดนปล่อยขำก๊ากเมื่อเห็นว่าผมยังผูกใจเจ็บอาฆาตมันด้วยเรื่องโบราณตั้งแต่สมัยยังเป็นเฟรชชี่ด้วยกันทั้งคู่ เมื่อต่างคนต่างเป็นตัวแทนคณะออกไปทำกิจกรรมแล้วไอ้แดนนรกนี่เสือกมาขโมยหอมแก้มผมต่อหน้าคนเป็นพัน 

“ก็ตอนนั้นมึงแม่งโคตรน่ารักอะ.... เด็กปีหนึ่งตัวเล็กๆ ดูใสๆ ไร้พิษสง ผิวขาวจั๊วะ แถมแก้มมึงยังฟูน่ากัดอย่างกับโมจิสุพรรณ รุ่นพี่สินกำก็ดันรู้เห็นเป็นใจส่งมึงมายืนข้างกูพอดี กูก็แค่หอมนิดๆ หน่อยๆ เซอร์วิสพวกรุ่นพี่เขาไง”

เป็นความซวยระดับพรีเมียมที่คณะศิลปกรรมกับคณะสถาปัตย์เป็นเหมือนคณะพี่น้องกัน ตึกคณะอยู่ใกล้กัน วิชาที่ชั้นปีต้นๆ ต้องเรียนรวมด้วยกันก็มีเยอะ เวลาทำกิจกรรมก็มักจะถูกจัดแถวให้อยู่ติดกันไปโดยปริยาย.... การเอาผมไปยืนข้างไอ้แดนก็ไม่ต่างจากส่งเนื้อเข้าปากหมา ผมตัวเล็กกว่ามันเป็นคืบแถมยังผอมกว่าจะไปขัดขืนอะไรได้มากมาย ถึงตอนนี้ยังจำได้ดีว่าเสียงโห่เสียงกรี๊ดในวันนั้นมันเลวร้ายมากแค่ไหน แล้วการที่ผมถูกล้อถูกปล่อยข่าวลือว่าเสียตูดให้ไอ้แดนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ถูกเรียกลับหลังว่าเป็นเมียมันก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ได้รับมรดกจากแม่ของผมยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

“เซอร์วิสเหี้ยไร มึงก็แค่จะเอากูไปใช้เรียกคะแนนให้พวกผู้หญิงโหวตมึงเป็นเดือนคณะ!”

ถ้าจะถามว่ามันทำไปเพื่ออะไร นี่แหละคือคำตอบสุดท้าย เหมือนตอนนั้นพวกสถาปัตย์จะอยู่ในช่วงเลือกดาวเดือนคณะปีหนึ่ง ไอ้แดนมันก็มีคู่แข่งที่ความหล่อสูสีกันอยู่หลายคน มันก็เลยสิ้นคิดเลือกสร้างกระแสให้ตัวเองเป็นที่พูดถึงด้วยการใช้ผมเป็นบันไดเหยียบขึ้นไปให้ถึงเป้าหมาย

“หึ ไวรัลมึงได้ผลมากนะ.... ทุกวันนี้กูยังได้ยินคนพูดว่า แดน ดรัณภพ เดือนปีสองคณะสถาปัตย์ นัวหญิงก็ได้ คั่วชายก็ดีอยู่เลย”

มันยักไหล่ไม่ถือสาก่อนจะเอาคืนผมบ้าง

“โอ๊ย คนพูดถึงกูไม่เยอะเท่า ทิชา ทิชนันท์ จอมเสียบแฟนชาวบ้านหรอก”

ผมหน้าชาเหมือนถูกตบเข้าอย่างจัง รู้อยู่แล้วล่ะว่าไอ้ห่านี่โคตรห่างไกลจากคำว่าสุภาพบุรุษ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเหี้ยได้โล่ขนาดนี้

“ดูปากกูนะ แดน”  ผมแกล้งยิ้มเย็น แต่แววตาเหี้ยมเกรียมคล้ายจะจับมันถลกหนังด้วยมือเปล่าก่อนจะด่ากลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ  “ไอ้! สัด! เอ๊ย!”

“เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้ทิชา.... กูขอโทษเว้ย กูล้อมึงเล่นแรงไปหน่อย อย่าเพิ่งหัวร้อนดิวะ”

“ล้อเล่นเหรอ.... หน้ากูเหมือนเพื่อนเล่นมึงนักหรือไง!?” 

ทั้งที่อุตส่าห์เดินหนีแสดงท่าทางไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย หากไอ้แดนก็ยังไม่ละความพยายามที่จะวอแวผม.... ตอนบ่ายสามผมกับมันมีเรียนวิชาเดียวกัน จะเดินไปทางเดียวกันก็ไม่แปลก แต่ที่เชี่ยสุดก็คือมันถือวิสาสะมาเดินข้างๆ ซ้ำยังจับมือผมไว้แล้วแย่งเอากระเป๋าผมไปถือเองอีก

“มึงจะเอาไงวะเนี่ย มีธุระห่าอะไรกับกูอีก!?”

ผมเริ่มขึ้นเสียงด้วยความโมโห แม้จะไม่ทำให้ไอ้แดนรู้สึกกลัว แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะรู้ได้แล้วว่าผมไม่ใช่สาวๆ ที่จะมาทำเล่นเป็นหมาหยอกไก่ด้วยได้

“อันที่จริงแล้ว กูมีเรื่องจะขอให้มึงช่วยน่ะ......”

ไอ้แดนผู้ซึ่งยึดกระเป๋าผมไว้เป็นตัวประกันยื่นแท็บเล็ตมาให้ บนหน้าจอเป็นออฟฟิเชียลแฟนเพจเฟซบุคของค่ายละครแห่งหนึ่งที่ผมพอจะเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง โพสต์นั้นคือข่าวรับสมัครออดิชั่นนักแสดงที่จะมารับบทในละครซีรีส์ที่สร้างจากนิยายวายชื่อดังในอินเตอร์เน็ต.... ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เชื่อมโยงไม่ถูกว่าข่าวที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้อ่านนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเองยังไง แล้วใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าผมไม่ชอบออกสื่อ ไม่ชอบถ่ายรูป ยิ่งวงการบันเทิงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“อยากเป็นดาราก็ไปสมัครสิ เอามาให้กูทำไม?”

“ก็เพราะว่ากูจะไปสมัครนี่แหละถึงได้มาบอกมึงก่อน”

“ถ้ามึงคิดว่าแม่กูเป็นดาราเลยจะมีเส้นสายช่วยดันมึงเข้าวงการได้ล่ะก็ มึงคิดผิดแล้วล่ะ”

ไอ้แดนนรกมองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่คุณครูอนุบาลใช้มองลูกศิษย์

“กูไม่รบกวนไปถึงแม่มึงหรอกน่า”  มันว่าพลางยิ้มจนตาหยีก่อนจะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริง  “กูอยากให้มึงไปแคสต์บทคู่กับกูต่างหาก”

“ห๊ะ!?”

ผมหยุดเดินหันไปจ้องหน้าไอ้แดนว่ามันคิดจะมาไม้ไหนอีก น้ำเสียงและสายตาผมบ่งบอกถึงความประหลาดใจผสมหวาดระแวง แต่สีหน้าของเดือนสถาปัตย์ก็ไม่ได้สะทกสะท้านหรือฉายแววหยอกล้อกวนตีนเล่น หากแต่จริงจังจนน่าขนลุกเช่นเดียวกับมือของมันที่ไม่ยอมปล่อยผมไปเสียที

“ทิชา กูคิดจริงๆ นะเว้ยว่าในบรรดาผู้ชายทั้งหมดที่กูเคยคุยด้วย มึงเป็นคนที่เคมีเข้ากับกูมากที่สุด.... แล้วถ้ากูจะต้องเล่นละครบทที่ได้ผู้ชายเป็นเมีย กูก็อยากให้มึงมาเป็นนายเอกของกูไง” 

คำพูดนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปกติผมค่อนข้างชอบเวลาที่มีคนพูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อมนะ แต่กับไอ้แดนปรโลกนี่คงเป็นข้อยกเว้นเพราะตอนนี้ผมโคตรอยากจะจับหัวมันโขกเสาไฟคอนกรีตฉิบหาย 

“รูปที่กูหอมแก้มมึงตอนปีหนึ่ง จนป่านนี้เพจคิวท์บอยมหาลัยเรายังเอามารีโพสต์ซ้ำอยู่เลย รู้หรือเปล่าว่ามึงกับกูน่ะเป็นคู่จิ้นกันนะเว้ย”

“ปลื้มเหี้ยๆ โดนโพสต์รูปให้ชาวบ้านคอมเมนท์ด่าเล่นเนี่ย!”

“โธ่ มึงก็ใจบางเหลือเกิน”

คนชอบก็คงมี แต่คนไม่ชอบผมนั้นมีมากกว่า แล้วผมก็เบื่อจะถูกใครต่อใครรุมด่าในโซเชียลเต็มทีถึงได้ปิดแอคเคาท์เฟซบุคไปตั้งแต่ปีก่อน อยู่ดีๆ จะรนหาที่เสนอหน้าไปทำตัวเด่นดังให้คนด่าอีกรอบก็ใช่เรื่อง

“อะไรก็ช่าง กูขอปฏิเสธมึงตรงนี้เลยก็แล้วกัน”

“จะไม่เอากลับไปคิดสักหน่อยเหรอวะ?”

“ไม่.... กูอยากรีบๆ เรียนให้จบ อย่างอื่นกูไม่สนใจ”

“ทิชา มึงเป็นคนสวยนะ เสียแต่ว่ามึงแม่งขี้อายฉิบหาย”

“กูไม่ได้ขี้อาย!” 

ผมชักจะหมดความอดทนเมื่อไอ้แดนไม่ยอมเลิกตื๊อ แค่มันอ้าปาก ผมก็เห็นไปถึงลิ้นปี่แล้วว่ามันคิดจะใช้ผมสร้างกระแสเรียกคะแนนความสนใจจากมหาชนเหมือนอย่างตอนโหวตเดือนคณะ อาศัยฐานแฟนคลับคู่จิ้นเดิมที่มีอยู่แล้วต่อยอดความนิยมขึ้นไปอีก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ตอแยเบอร์แรงขนาดนี้ 

“แดน กูรู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอร้องเหอะว่ะ ชีวิตกูทุกวันนี้แม่งก็จัญไรมากเกินพอแล้ว คนที่เขายินยอมพร้อมใจจะเล่นบทเมียมึงคงมีอีกเป็นสิบเป็นร้อย อย่าให้กูต้องโดนเกลียดขี้หน้ามากไปกว่านี้เลย.... ถ้ามึงกลัวว่าจะไม่มีคนช่วยดันเข้าวงการ เอาไว้กูจะลองขอให้แม่ช่วยหาโมเดลลิ่งดีๆ ให้มึงก็แล้วกัน”

“กูบอกแล้วไงว่าไม่คิดจะรบกวนถึงแม่มึง........”

ผมถอนหายใจใส่ก่อนจะพยายามแย่งกระเป๋าคืนเมื่อเห็นว่าคงจะคุยกันด้วยภาษาคนไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้แดนนรกมันไม่ยอมถอย แถมยังไขว้แขนเอากระเป๋าผมไปไว้ด้านหลังไม่ส่งคืนให้ง่ายๆ

“โอเค ไวรัลในแบบของกูอาจจะทำให้มึงอึดอัดไปบ้าง แต่กูไม่ขอให้มึงช่วยฟรีๆ หรอก” 

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยหงุดหงิดความสูงของตัวเองเท่าวันนี้เลย เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเสียเปรียบเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างให้ไอ้เวรนี่รังแกอยู่ได้ ทั้งถูกแย่งกระเป๋า ถูกคุกคามด้วยข้อเสนอแปลกๆ ซึ่งผมทำเชี่ยอะไรไม่ได้เลยนอกจากวิ่งเต้นไปตามที่มันต้องการ 

“เรื่องที่มึงยังไม่รู้ก็คือ พี่โรม ปีสามวิศวะฯ เครื่องกลที่เดินไปกับเพื่อนเลิฟมึงเมื่อกี้น่ะเป็นลูกพี่ลูกน้องของกูเอง”

“แล้วยังไง?”

“ก็ไม่ยังไง.... แค่จะบอกว่า สิ่งที่มึงอยากได้ กูจะช่วยมึงสอยมาเอง”

ผมติดสตันท์ไปห้าวิ มือที่ไล่ตามคว้าเอากระเป๋าคืนหยุดการทำงานไปเสียดื้อๆ ทีแรกคิดว่าตัวเองน่าจะหูฝาดแต่รอยยิ้มแฝงเลศนัยของคนตรงหน้าก็บอกให้รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันไม่ได้แค่ล้อเล่น.... แต่ที่ทำให้ผมตกใจมากกว่าเงื่อนไขหยิบยื่นความช่วยเหลือก็คือไอ้แดนยมโลกมันรู้ได้ยังไงว่าผมชอบพี่โรม ผมแน่ใจว่าไม่เคยบอกใครและเหตุการณ์ที่ริมสระน้ำโรงแรมก็ไม่น่ามีคนอื่นรู้เห็นด้วย

“แดน มึงพูดอะไรของมึงวะ.......?”  ผมแกล้งทำไขสือทั้งที่หน้าเริ่มซีด ร่างสูงก้มลงมาพยายามสบสายตาผมที่หลุบต่ำหนีการจับพิรุธ

“แค่เห็นสายตาที่มึงมองญาติผู้พี่กู กูก็รู้เหมือนกันว่ามึงคิดอะไร”

ไอ้แดนเอียงหน้าเข้ามาจนปลายจมูกเกือบจะชนแก้มผม ลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะเข้ามาบังคับให้ต้องรีบดีดตัวออกห่างเพื่อความปลอดภัยแต่ติดตรงที่มันยังฉวยข้อมือของผมเอาไว้.... ระหว่างที่คิดว่าตัวเองกำลังตกเป็นเบี้ยล่างให้มันเอาเปรียบ เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้นตรงริมหูกับข้อความที่ทำให้ผมตัวชาเหมือนโดนจับฝังใต้กองหิมะทั้งเป็น


“สองคนนั้นแม่งไม่เห็นเหมาะสมกันเลย พี่โรมควรจะเป็นของมึงมากกว่า.... กำลังคิดชั่วๆ แบบนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ?”


หัวสมองผมอื้ออึงคล้ายโดนฟาดด้วยไม้หน้าสาม ปากชาลิ้นแข็งจนเปล่งเสียงพูดออกมาไม่ได้ เดือนสถาปัตย์ปีสองยิ้มเยาะอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะยอมปล่อยมือผมแล้วตบบ่าเบาๆ เป็นเชิงเรียกสติให้ แต่ผมกลับอ่อนแรงตัวแข็งทื่อเกินกว่าจะเดินหนี

“ตอนนี้มึงอาจจะกำลังสับสนอยู่.... แน่ล่ะ ความรู้สึกอยากแย่งผัวเพื่อนแม่งไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยอมรับกับตัวเองง่ายๆ นี่หว่า” 

แม้ผมจะช็อคจนโต้ตอบด้วยคำพูดไม่ได้ แต่ทุกประโยคของไอ้แดนนรกภูมิทะลุเข้าทิ่มแทงหัวใจผมเหมือนห่าฝนลูกธนู 

 “เอาเป็นว่าถ้ามึงโอเคกับข้อเสนอของกูก็ค่อยมาคุยกัน.... รู้อยู่แล้วเนอะว่าจะเจอกูได้ที่ไหน”


“ขอแค่มึงเอ่ยปาก.... กูช่วยมึงได้จริงๆ นะ ทิชา”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด