TISHA’s PARTรถ Audi A5 Coupe’ เลี้ยวเข้ามายังลานจอดของวิลล่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งติดกับชายหาดบางแสนแค่ถนนกั้น ผมก้าวลงมาจากรถแล้วสูดอากาศไอทะเลจนเต็มปอดอยู่ด้านนอกอาคารระหว่างที่พี่โรมเข้าไปติดต่อทำเรื่องเช็คอินเข้าห้องพัก.... ยังงงไม่หายว่าอยู่ดีๆ ตัวเองมาโผล่อยู่แถวนี้ได้ยังไง เพราะเท่าที่จำได้ พี่โรมบอกว่ามีธุระสำคัญที่ต้องทำและอยากให้ผมมาด้วยกัน แต่พอขึ้นรถ ผมก็มัววุ่นวายอยู่กับการจับยัยมิลค์ใส่ตะกร้าแล้วปลอบให้มันเงียบจนเหนื่อย ผมว่าผมเผลอหลับไปแค่แปบเดียว หากพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็มองเห็นถนนเลียบชายทะเลอยู่ลิบๆ แล้ว
“บ้านเราอยู่ข้างหน้าฝั่งโน้นเลย.... ไปกันเถอะ”
ไม่ถึงสิบนาที พี่โรมก็กลับมาพร้อมกุญแจบังกะโลที่จองเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เขาพาผมตรงไปยังบ้านพักสไตล์รีสอร์ทสีขาวหลังใหญ่ที่สุดแต่ก็ตั้งอยู่ในโซนที่ไกลที่สุดเช่นกัน.... เห็นได้ชัดว่าพี่โรมแอบจัดการเรื่องนี้ในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ แถมยังอุตส่าห์หยิบเสื้อผ้าของผม รวมถึงของใช้ของมิลค์มาให้เสร็จสรรพ จนถึงตอนนี้ก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าคุณผู้ชายของผมกำลังอารมณ์ไหน ถึงได้หอบลูกหอบเมียออกจากกรุงเทพฯ มาบางแสนแบบไม่มีแพลนล่วงหน้าเลยสักนิด
ถึงจะกังวลเรื่องงานที่อาจารย์สั่ง แต่ผมก็ยังอยากชื่นชมดื่มด่ำบรรยากาศบังกะโลซึ่งเราจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนคืนนี้.... ก็บ้านพักสไตล์รีสอร์ทหนึ่งห้องนอนทั่วไปนั่นแหละ เปิดประตูเข้ามาก็เป็นห้องนั่งเล่นตกแต่งอย่างดี มีครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหาร มีห้องน้ำและระเบียงสำหรับรับลมชมวิวทะเลทางด้านหน้าหาด ถึงจะอยู่ค่อนข้างไกลจากรีเซฟชั่นและห้องอาหารแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัวมาทดแทน และบ้านหลังนี้ยังเป็นหลังเดียวของวิลล่าที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วย
เห็นพี่โรมบอกว่าปกติแล้วจะมีร้านขายอาหารทะเลสดๆ อยู่ตรงแหลมแท่นในตอนเช้า แต่เพราะวันนี้เรามาถึงช่วงเกือบหัวค่ำแล้ว เขาก็เลยพาผมออกไปซื้อกุ้งหอยปูปลาจากเพิงเล็กๆ แถวอ่างศิลาแทน.... วิลล่าที่เข้าพักมีเตาบาร์บิคิวพร้อมอุปกรณ์ปิ้งย่างให้ ดูท่าทางไม่น่าจะใช้ยาก เราเลยตกลงกันว่าจะซื้อแค่กุ้งกับปูกลับไปทำเอง ส่วนพวกข้าวผัดกับของกินอย่างอื่นก็สั่งจากร้านแถวนั้นเอา
“นี่ไง เวลาจุดไฟก็เอาเศษไม้มาสุมให้เป็นกระโจมตรงกลางเตาก่อน พอไฟติดแล้วค่อยเอาถ่านก้อนเล็กๆ ลงไปสุมเพิ่ม พอไฟติดจนทั่วก็เทถ่านก้อนใหญ่ที่เหลือลงไปได้เลย ง่ายจะตายไป”
พี่โรมสาธิตวิธีจุดเตาให้ดูเพราะผมบอกว่าทำไม่เป็น ถึงแม้ว่าที่ทางวิลล่าเตรียมเอาไว้ให้จะเป็นเตาบาร์บิคิวแบบฝรั่งซึ่งเปิดช่องลมด้านล่างได้ แต่ก็ยังต้องอาศัยการเผาถ่านไม้อยู่ดี ร่างสูงทำไปอธิบายไปใช้เวลาแค่ชั่วอึดใจก็จุดไฟจนเสร็จเรียบร้อย ทำเอาผมอึ้งอ้าปากค้างเพราะแค่ตัวเองจะใช้ไฟแช็คแบบหมุนๆ ให้ไม่ร้อนนิ้วยังยากเลย
“ทำไมพี่โรมเก่งจัง?”
“เก่งตรงไหนวะ.... มึงไม่เคยเข้าค่ายลูกเสือหรือไง?”
“ไม่เคยอะ ชาเรียนอินเตอร์.... เคยแต่ไปแคมป์ขี่ม้าที่เมืองกาญ ไม่งั้นก็ไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์หรือไม่ก็ออสเตรเลียโน่นเลย”
“อ้อ ลืมไปว่าคนที่กูพามาด้วยคือคุณหนูทิชา”
เขาแกล้งแหย่ผมก่อนจะหยิบพวกของสดที่ซื้อมาไปทยอยปิ้งอย่างรู้งาน ปล่อยให้ผมจัดการแกะพวกอาหารปรุงสุกจากร้านใส่จานไปตามเรื่องตามราว.... ผมไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้มาก่อน เวลาไปทริปกับโรงเรียนส่วนมากก็พักในโรงแรมสี่ดาวอัพตลอดเลยไม่ค่อยได้สมบุกสมบันมากนัก ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นเวลาพี่โรมทำอะไรที่ดูเหมือนว่าผมจะสามารถฝากชีวิตเอาไว้กับเขาได้
ผมกับพี่โรมจากคนละขั้วกันโดยสิ้นเชิง เราถูกเลี้ยงดูมาแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมคนละแบบ ผมคิดอย่างหนึ่งในขณะที่พี่โรมคิดอีกอย่าง เรื่องที่เขาถนัดมักจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่เรื่องที่ผมทำได้ดีก็เป็นเรื่องที่พี่โรมทำไม่ได้เลย.... ผมชอบที่เขาดูพึ่งพาได้แล้วก็มีมุมแปลกๆ ซึ่งผมคาดไม่ถึงแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เห็น อย่างเรื่องซื้อสายจูงมาให้มิลค์ พอเอาเข้าจริงมันก็ใช้ได้แฮะ ไม่อย่างนั้นผมก็คงต้องขังลูกเอาไว้ในบ้านพักระหว่างที่เราสองคนกินข้าวอยู่ข้างนอก
“กินเยอะๆ นะลูกสาว กินแล้วก็รักพ่อจ๋าให้มากๆ ด้วยล่ะ”
พี่โรมแกะเปลือกกุ้ง ยีเนื้อจนละเอียดแล้วเอาไปให้ยัยมิลค์ซึ่งโดนผูกสายจูงเอาไว้กับเสาข้างบันไดทางขึ้นบ้านใกล้ๆ กับตรงที่เรานั่ง ให้มันวิ่งเล่นตะปบนู่นนี่ตามประสาแมวแต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตาที่ผมมองเห็นและคอยดูแลได้
“พอได้แล้ว พี่โรม.... อย่าตามใจมิลค์มันมากนักสิ”
ผมรีบห้ามเมื่อคุณผู้ชายทำท่าจะเอากุ้งอีกจานไปเติมให้แมวหลังจากที่มันเพิ่งกินเซ็ตแรกหมดไป ปกติแล้วผมไม่กล้าเลี้ยงมิลค์ด้วยอาหารคนเลย ในคู่มือเลี้ยงแมวที่อ่านจากอินเตอร์เน็ตเคยบอกเอาไว้ว่ามันจะทำให้แมวติดนิสัยขโมยอาหารบนโต๊ะ อีกอย่างคือกลัวว่าพอลำไส้มันย่อยลำบากแล้วจะไม่สบายด้วย
“ไม่เห็นเป็นไรเลย มิลค์ชอบก็ให้มันกินเยอะๆ เหอะ.... กินแล้วเดี๋ยวมันก็วิ่งเบิร์นจับคางคก ไม่อ้วนหรอก”
“ชาไม่ได้กลัวแมวอ้วน แต่ให้มันกินอาหารคนมากๆ มันจะนิสัยเสีย อีกหน่อยมีหวังได้ปีนขึ้นโต๊ะกินข้าวเราแน่ๆ”
“ปีนก็ปีนสิ กูอนุญาตซะอย่าง”
“พูดขนาดนี้แล้วยังจะสปอยล์แมวอีก........”
“กูก็สปอยล์ทั้งแม่แมวลูกแมวนั่นแหละ.... ขยับมานั่งนี่เลย กูแกะปูเอาไว้ให้แล้ว เลิกบ่นแล้วก็กินซะ”
กลายเป็นว่าผมโดนพี่โรมดุซะงั้น ก่อนที่ก้ามปูกับเนื้อกรรเชียงย่างสุกแกะเปลือกทิ้งเรียบร้อยจะถูกยื่นส่งมาให้
“กินเข้าไปเยอะๆ เวลากอดจะได้มีเนื้อมีหนังนุ่มๆ หน่อย ผอมจะแย่อยู่แล้ว”
“ผอมตรงไหน.... เขาเรียกว่าหุ่นลีนต่างหาก”
“ลีนบ้าบออะไรล่ะ อย่างมึงน่ะเขาเรียกเด็กขาดสารอาหาร”
หลังจากนั้น ผมก็แทบไม่ได้เถียงอะไรอีกเพราะพี่โรมไม่เปิดโอกาสให้พูด แค่อ้าปากก็โดนสารพัดของกินยัดทะนานใส่จนเคี้ยวกลืนไม่ทัน ซ้ำยังโดนบ่นอีกว่ามัวแต่เคี้ยวเอื้องกินช้าแถมกินน้อยอีก.... เอาเป็นว่าไม่ต้องถามหาความคุ้ม พี่โรมจะไม่พาผมไปกินร้านไหนก็ตามที่เป็นบุฟเฟ่ต์อย่างแน่นอน
พอกินมื้อเย็นและเก็บกวาดดับเตาย่างเสร็จ ผมก็ปลดสายจูงแล้วอุ้มยัยมิลค์ที่ทั้งกินและเล่นจนเหนื่อยไปไว้ในห้องนอน คิดในใจว่าพอกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องรีบพามันไปร้านอาบน้ำให้ไวที่สุด เพราะในตอนนี้สี่เท้าของลูกสาวตัวดีกลายเป็นสีเทาดำสกปรกไปหมด.... แต่ถึงจะหน้ามุ่ยงอแงเรื่องพี่โรมทำแมวผมตัวเหม็น ผมก็แฮปปี้มากนะที่เขาเอ็นดูมิลค์ แถมยังเรียกตัวเองว่าพ่ออีก มันเหมือนกับว่าในที่สุดผมก็เจอโอเอซิสของตัวเองเสียทีหลังจากที่ระหกระเหินอยู่ในทะเลทรายมานาน และผมก็อยากหยุดช่วงเวลาที่มีแต่เรื่องดีๆ เอาไว้แบบนี้ตลอดไป
“ทิชา.... ลูกหลับแล้วเหรอ?”
“อืม มันกินอิ่มพุงกางขนาดนั้น วิ่งเล่นไม่ไหวแล้วล่ะ”
“งั้นก็ปล่อยมิลค์นอนในห้องนี่แหละ ส่วนมึงออกมาข้างนอกนี่มา”
หาดบางแสนอยู่ห่างจากที่พักเราแค่ข้ามถนน เวลาตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้วจึงไม่มีพวกเก้าอี้ผ้าใบ ร่มหลากสีสันและรถเข็นขายของแน่นขนัดจนรกหูรกตาเหมือนอย่างช่วงเย็นที่ผ่านมา มีแค่แสงไฟจากโคมริมถนนส่องพอให้เห็นทางเดินและภาพทะเลยามค่ำคืน นอกจากพวกผมแล้วยังมีลูกค้าจากวิลล่าอีกสอง-สามคนเดินเล่นอยู่ไม่ไกล ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างเพื่อความเป็นส่วนตัวของกันและกัน.... พี่โรมจูงมือผมแล้วพาเดินไปยังหาดทราย น้ำกำลังขึ้นได้ที่พอดีและลมทะเลก็ค่อนข้างแรงพอสมควร ผมรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่พี่โรมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตติดมือมาด้วย เขาก็เลยใช้เสื้อตัวนั้นคลุมไหล่ให้ผม
“ที่บอกว่าอยากให้มาด้วยกันคือมาเที่ยวทะเลเนี่ยเหรอ?”
พี่โรมพยักหน้า ระหว่างที่คลื่นเล็กๆ ลูกหนึ่งม้วนตัวมาโดนข้อเท้าของเรา แล้วจึงกลับคืนสู่ผืนน้ำตามวัฏจักรของมัน
“แล้วนึกยังไงอยู่ดีๆ ถึงพาชากับมิลค์มาล่ะ?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากมา........”
“ไม่ยักรู้ว่าคนเรียนวิศวะฯ ก็มีอารมณ์ติสท์กับเขาเหมือนกัน”
ผมแกล้งหยอกเขาบ้างก่อนจะหันไปมองใบหน้าหล่อจัดของคนที่ผมหลงรักจนหมดหัวใจ ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มแบบที่เคยทำอยู่เป็นประจำ มองเผินๆ อาจดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่า ภายในแววตาสีเข้มกลับปิดบังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ไม่มิด.... แน่นอนว่าผมไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะนั่นมันขึ้นอยู่กับว่าผมจะสำคัญมากพอที่พี่โรมจะยอมแชร์ความรู้สึกให้ฟังด้วยหรือเปล่า
“เวลาคิดถึงบ้านที่สุราษฎร์แต่ยังกลับไปไม่ได้ กูก็ชอบมาบางแสนนี่แหละ เอาแค่มีบรรยากาศทะเลคล้ายๆ กันก็พอใจแล้ว”
“งั้นตอนนี้พี่ก็กำลังคิดถึงบ้าน?”
“ไม่เชิงว่ะ.......”
แรงกระชับจากฝ่ามือใหญ่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทว่า มันกลับทำให้ก้อนเนื้อใต้อกซ้ายของผมสั่นสะเทือนรุนแรง
“กูแค่อยากพักผ่อนสมอง ช่วงนี้แม่งรู้สึกล้าๆ เพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้ สงสัยจะเหนื่อยเกินไป”
ถึงแม้พี่โรมจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นก็คือผมเอง.... นับตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันในงานแต่งพี่เกด คำสารภาพรักที่น่าอึดอัดซึ่งมาพร้อมกับความผิดหวังที่ผมไม่อาจทำใจยอมรับ ท้ายที่สุดมันก็เถิดกลายเป็นการชิงเกียร์ ผมทำให้พี่โรมถูกคนอื่นตราหน้าว่านอกใจแฟน ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่แอบมีใจให้ผม ทว่า การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงด่าเสียงนินทาจากผู้คนรอบข้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยนักหรอก
ผมเบียดตัวเข้าไปกอดพี่โรม ประสานมือตัวเองไว้ด้านหลังบั้นเอวของร่างสูงพลางซบหน้าลงบนผืนอกกว้าง....
“ชาขอโทษนะที่ทำให้พี่โรมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป..........”
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นตราบาปอยู่ในใจทั้งผมและเขา ไม่ว่าในอนาคตเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเช่นเวลานี้หรือไม่ แต่ถึงยังไงความผิดที่ผมก่อเอาไว้ก็จะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้
“ชารู้ว่าตัวเองก็ทำไม่ถูก ทั้งเรื่องเข้าไปชิงเกียร์พี่โรมที่เบอร์ลิค ทั้งเรื่องที่พูดขู่ว่าจะไม่ยอมคืนเกียร์เพื่อบังคับให้พี่โรมเลิกกับไอ้บี๋.... ถึงจะอ้างว่าทำไปเพราะรัก แต่มันก็คือความเห็นแก่ตัวของชานั่นแหละ แล้วชาก็เสียใจที่ทำให้พี่โรมต้องถูกคนอื่นๆ มองไม่ดีไปด้วย.........”
“กูไม่ได้พูดเพื่อเอาใจมึงนะ ทิชา แต่กูไม่สนหรอกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้จักกู และกูก็ไม่เคยรู้จักเขาจะคิดยังไง”
พี่โรมกอดผมตอบ แผ่นอกหนากระเพื่อมไหวยามเมื่อชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนแบบเดิมๆ ที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนแล้วหนเล่า
“คนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.... กูขอยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยนะว่าจริงๆ แล้วกูดีใจฉิบหายเลยที่มึงคิดว่ากูคือคนที่มีค่าน่าแย่งขนาดนั้น”
ร่างหนาพูดติดตลกก็จริง ทว่า น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของเขากลับแฝงความจริงจังยิ่งกว่าตอนกำลังพูดถึงโปรเจกต์ที่ต้องทำส่งเทอมนี้เสียอีก
“มึงคือความเหนื่อยที่กูเต็มใจรับเอาไว้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”
ทำยังไงดี.... ยิ่งอยู่ด้วยกันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรักพี่โรมมากขึ้นจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด จะเปรียบเทียบว่ามันมากกว่ำนวนเม็ดทรายทั้งหาด มากกว่าน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรก็ไม่รู้ว่าจะฟังดูเวอร์ไปไหม แต่ที่แน่ๆ ก็คือความรักมันล้นท่วมหัวใจผมจะไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ตรงไหนแล้ว
“แล้วมึงล่ะ ทิชา.... ที่มหาลัยยังโอเคอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่ถึงกับไม่โอเคหรอก แต่ก็ชินแล้ว.........”
ผมนึกถึงคำพูดของเจนนี่ และเพื่อนกลุ่มใหม่ของบีบี๋ นึกถึงข้อความไลน์ที่ตัวเองส่งไปหาอดีตเพื่อนแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมตอบกลับมา.... ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ใครๆ ก็คงรู้ว่าโกหก แต่ผมก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเท่านั้น ก็อย่างที่บอกว่าผมเองก็ขว้างก้อนหินใส่บีบี๋มันเหมือนกัน แล้วจะกล้าหวังให้มันยิ้มรับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง
“ถึงไอ้บี๋มันจะสารภาพว่าจงใจจะคบกับพี่โรมเพราะรู้ว่าชาชอบพี่ แต่ถ้ามองจากมุมของมัน ชาก็คือคนหน้าด้านที่แย่งแฟนเพื่อนมาเป็นของตัวเอง.... ถ้าไอ้บี๋มันหายโกรธแล้วยอมกลับมาเป็นเพื่อนชาเหมือนเดิมก็ดี แต่ถ้ามันไม่หาย หรือความโกรธของมันกลายเป็นความเกลียด ชาก็คงได้แต่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั่นล่ะ”
“กูขอโทษนะ ทิชา........”
อยู่ๆ คำขอโทษซึ่งผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินก็หลุดจากปากร่างสูงซึ่งกอดผมเอาไว้แน่น เสียงหัวใจของพี่โรมเต้นแรงจนผมได้ยินเสียงตึกตักเป็นจังหวะก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อนเอ่ยความในใจออกมาบ้าง
“อันที่จริง กูน่าจะบอกเลิกบีบี๋ตั้งแต่จบคืนแรกที่เรามีอะไรกันแล้ว ไม่ควรรอจนกระทั่งมึงสองคนต้องมาทะเลาะผิดใจกันเลย.... ตอนนั้นกูแม่งเป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ มัวแต่คิดว่าเพราะตัวเองขอคบกับบีบี๋ไปแล้วก็ไม่ควรเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน กูรู้ตัวว่าใจกูเอียงไปหามึงแต่ก็เสือกปอดแหกเกินกว่าจะยอมรับว่าหลงรักคนที่ตัวเองขีดเส้นเอาไว้ให้แค่น้องชาย แถมกูยังเคยพูดปฏิเสธเองกับปากว่าไม่ได้รักมึง............”
“ตอนแรก กูยังแอบคิดด้วยนะว่าที่มึงจงใจเข้ามาชิงเกียร์ก็เพราะอยากแก้แค้นที่กูไม่รับรักมึง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นเพราะมึงแค่ต้องการให้กูกับบีบี๋เลิกกันเพื่อความสะใจ แต่หลังจากที่เห็นมึงร้องไห้เรื่องที่บ้าน ความคิดของกูก็กลับตาลปัตรชนิดร้อยแปดสิบองศาเลย............”
หัวใจผมเต้นแรงไม่แพ้ของพี่โรม เผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บไปหมดเมื่อความรู้สึกนึกคิดของชายหนุ่มถาโถมเข้ามา.... ผมไม่กล้าหวังว่าพี่โรมจะบอกรัก ผมไม่กล้าคิดว่าคนที่ถูกทอดทิ้งและเหยียบย่ำมาตลอดชีวิตอย่างผมจะกลายเป็นคนสำคัญสำหรับใครได้ ขอแค่เขารู้ว่าผมรักเขามากเหลือเกินก็พอแล้ว
“มึงก็แค่ต้องการความรักจากกู และกูเองก็เริ่มหลงรักมึงเข้าแล้ว.........”“พี่โรม.......?”
ให้ตายเถอะ ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย นี่ถึงขั้นต้องกัดปากตัวเองแรงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังละเมอฝันอยู่ด้วยซ้ำ
“พี่พูดจริงเหรอ?? พี่ไม่ได้แกล้งโกหกให้ชาดีใจเล่นใช่ไหม??”
“มาหาว่าโกหกซะงั้น นี่มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย?”
พี่โรมคลายอ้อมกอดออกเพื่อที่จะได้สบสายตามองหน้าผมให้ชัดๆ แม้ความมืดรอบด้านจะโรยตัวจนแสงโคมไฟริมถนนซึ่งส่องอยู่ลิบๆ นั้นเกือบฉายมาไม่ถึงพวกเรา หากผมก็เห็นความจริงใจผ่านดวงตาของพี่โรมชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ความผิดที่มึงพูดถึงเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ของมึงแค่คนเดียวแล้วนะ ในฐานะที่กูเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยมาตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีบทลงโทษอะไรก็ขอให้กูเป็นคนรับมันเอาไว้ก็แล้วกัน.........”
“ไม่ได้หรอก แบ่งกันคนละครึ่งสิ”
ผมว่าก่อนจะโดนปลายนิ้วยาวดีดหน้าผากใส่ดังโป๊ะจนต้องนิ่วหน้า
“คิดว่าเป็นไอติมหรือไง จะมาขอแบ่งกันคนละครึ่งน่ะ?”
เวลาแบบนี้ พี่โรมยังมีแก่ใจจะทำให้ผมหัวเราะได้อีก.... เขาจับมือผมแล้วเราก็ออกเดินด้วยกันอีกครั้ง สายลมจากทะเลพัดขึ้นชายฝั่งยังคงหนาวเย็นทะลุผ่านเสื้อผ้ากระทบโดนผิวกาย แต่ทว่า มันกลับทำอันตรายต่อหัวใจที่ถูกโอบกอดจนอบอุ่นของผมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“จากนี้ไป กูก็เหลือแค่มึงแล้วนะ ทิชา”
อยู่ดีๆ พี่โรมก็พูดขึ้นมา เขาตัดสินใจที่จะเล่าให้ผมฟังว่าธุระสำคัญซึ่งทำให้เขาหายหน้าไปตลอดวันเมื่อวานนี้คืออะไร ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือยังมีอะไรที่ผมควรจะรู้อีก แต่เพียงแค่นี้มันก็มากพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าพี่โรมจริงจังกับความสัมพันธ์ของเราสองคน
“เมื่อคืนนี้กูบอกเลิกบีบี๋ ขอลาออกจากสายของเฮียรุจและจะไม่เข้าไปที่เบอร์ลิคอีก”
“ลาออกจากเบอร์ลิคด้วยเหรอ.....?”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ กูโอเคหรอกน่า”
“แต่ชาไม่อยากให้พี่โรมมีปัญหา............”
ผมเว้นคำว่า ‘โดยเฉพาะกับพี่รุจ’ เอาไว้ แต่ดูเหมือนพี่โรมจะรู้ว่าผมหมายความถึงใคร
“ไม่มีปัญหาหรอก ต้องเรียกว่ากูตัดปัญหาออกไปจากชีวิตเสียมากกว่า”
ร่างสูงบอกพลางเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ คล้ายจะบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวลทั้งนั้น
“เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง.... กูก็แค่เลือกที่จะอยู่กับมึงไง”
ถ้าถามว่าพี่โรมเก่งเรื่องไหนมากที่สุด ผมคงต้องขอตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าเขาเก่งเรื่องการทำให้หัวใจผมละลาย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผมคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียหมด
“ชาไม่ได้ดีขนาดนั้นสักหน่อย........”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่าจะดีใจแต่ก็อดคิดถึงชื่อเสียงเน่าๆ ของตัวเองไม่ได้ แล้วก็ยังกลัวว่าพี่โรมจะต้องมาโดนรุมเกลียดเหมือนอย่างที่ผมโดนอยู่เป็นประจำ
“มึงมีดีมากกว่าที่ใครๆ รู้”
พี่โรมบอกพลางโอบไหล่ผมราวกับจะปกป้องไม่ให้ถ้อยคำว่าร้ายกล้ำกรายผ่านมาให้ได้ยินอีก และนับจากนี้ไป ผมก็ควรที่จะฟังเพียงความจริงจากเขาคนเดียวเท่านั้น
“ไอ้พวกนั้นมันโง่ต่างหากที่มองไม่เห็นความน่ารักของมึง.... ซึ่งจะว่าไปก็ดีแล้วแหละ เพราะไม่อย่างนั้น มึงก็คงมีแฟนไปนานแล้วและไม่มีทางเหลือรอดมาจนถึงมือกูแน่”
เจ้าของมือใหญ่เกลี่ยปอยผมที่ปรกตรงหน้าผากและข้างแก้มออกให้ ก่อนที่กลีบปากหยักจะแนบประทับลงมาเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงให้ผมได้รับรู้.... หัวใจของเราเต้นประสานกันท่ามกลางเสียงคลื่นสาดซัด กลิ่นอายความรักอบอวลเคล้าไปกับไอทะเลยามค่ำคืน และสิ่งเหล่านี้จะถูกสลักลงในห้วงความทรงจำของผมไปตราบจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่
“ขอบใจมากนะที่คืนนั้นมึงมาชิงเกียร์ของกูไป.... เพราะถ้ามึงไม่ทำ เราสองคนก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างในตอนนี้”
“พี่โรม....ชาจะร้องไห้อยู่แล้วนะ..........”
เสียงผมสั่นเครือ ก้อนสะอื้นไหลขึ้นมาจุกลำคอเมื่อข้างในอกมันพองโตไปหมด ต่อมน้ำตาซึ่งหมู่นี้ตื้นบ่อยเหลือเกินก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องจนอยากจะมอบเหรียญดีเด่นให้
“ก็ร้องไปดิ.... แต่ให้ร้องครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ เพราะจากนี้ไป กูจะไม่ยอมให้มึงเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว”
พี่โรมแกล้งหยิกแก้มเปียกชุ่มของผมบิดไปบิดมาราวกับเห็นเป็นก้อนมาร์ชเมลโล่ เราสบตากันอีกครั้งเพื่ออำลาอดีตที่ผ่านเลยไป และสัญญาว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาหลังจากนี้ด้วยกัน ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม
“ไม่สิ.... ต้องพูดว่า ‘จากนี้ไป พี่จะไม่ยอมให้ทิชาเสียน้ำตาง่ายๆ อีกแล้ว’ ต่างหาก”
พี่โรมเปลี่ยนคำแทนตัวที่ใช้คุยกัน บ่งบอกว่าผมไม่ใช่คนที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้เป็นเพียงแค่น้องชายอีกแล้ว....
“เราสองคนเป็นคนรักกันแล้วนะครับ ทิชา”คำพูดนั้นมาพร้อมกับจูบหวานๆ ซึ่งแนบลงบนริมฝีปาก
พยานรักของเราก็คือหมู่ดาวบนท้องฟ้า สายลม เกลียวคลื่นและหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข.... จูบของพี่โรมในคราวนี้มีเพียงกลีบปากซึ่งแตะลงมาอย่างแผ่วเบา ไม่ร้อนแรงชนิดที่ทำให้เข่าอ่อนยืนไม่อยู่ ไม่สอดลิ้นปลุกอารมณ์เพื่อหวังจะให้ปลายทางไปจบลงที่เตียง เขาจูบผมอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม จูบเพียงเพื่อให้ผมได้รับรู้ว่าเขาเองก็รักผมจนหมดหัวใจเช่นเดียวกัน
......และผมก็รับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ......
.
.
.
“พี่โรม.... ปิดไฟเหอะ”
“ไม่เห็นต้องอายเลย ยังไงพี่ก็เคยเห็นของเราหมดทุกส่วนแล้ว”
คนรักของผมแกล้งหยอกหลังจากที่เขาลอกคราบถอดเสื้อผ้าผมออกหมด และสายตาเจ้าชู้ซึ่งกวาดมองไปทั่วร่างเปลือยเปล่าก็กำลังทำให้ผมเขินจนอยากจะเอาหมอนกดหน้าตัวเองหนีอายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เมื่อวานเราก็ทำกันตอนเช้า สว่างโล่งโจ้ง เห็นชัดกว่าเปิดไฟดวงส้มๆ นี่อีก”
เหมือนเมื่อกี้ผมจะบอกว่าเราแค่จูบกันเฉยๆ ไม่ได้กะจะมาจบกันด้วยเรื่องบนเตียงใช่ไหม.... ทีแรกมันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ทั้งผมและพี่โรมก็ยังหนุ่มยังแน่นเป็นวัยรุ่นตอนปลาย จูบกันไปจูบกันมา ฮอร์โมนก็เริ่มทำงานจนหมดอารมณ์จะเดินเล่นริมทะเล แต่อยากจะเล่นอย่างอื่นที่สนุกกว่าเอาเท้าแช่น้ำแช่ทรายแทน
แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เราไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง ผมก็เลยรู้สึกขัดๆ เขินๆ ยังไงชอบกล มิหนำซ้ำในห้องนี้ก็ไม่ได้มีแค่ผมกับพี่โรมด้วย....
“ก็มิลค์มันมองอยู่...........”
ผมพูดถึงดวงตาวาวๆ ของยัยลูกสาวซึ่งสะท้อนแสงไฟกลับมาเป็นจุดกลมๆ สองจุดจากตรงปลายเตียง
“โธ่ ที่แท้แม่แมวก็อายลูก”
พี่โรมหัวเราะลั่น ดูท่าทางเขาคงจะไม่เคยเจอใครที่เรื่องเยอะแถมยังชอบคิดอะไรประหลาดๆ อย่างผมแหง
“แมวมันมองเห็นในที่มืดได้ดีไม่ใช่เหรอ ถึงพี่ปิดไฟให้แต่ลูกมิลค์ก็ยังเห็นแม่มันโดนปล้ำอยู่ดี”
“แต่ชามองไม่เห็นมันไง”
“ถ้าอายนัก งั้นก็คลุมโปงเอาไว้ก็ได้”
ว่าแล้วมือใหญ่ก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมร่างของเราทั้งคู่จนมิด ตัดจากโลกภายนอกให้เหลือเพียงแค่ผมกับพี่โรมซึ่งแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน.... แน่นอนว่าทัศนวิสัยยังคงชัดเจนเพราะไม่ว่าจะพูดยังไง พี่โรมก็ไม่ยอมปิดสวิทช์ไฟตรงหัวเตียง
“เมียพี่ทั้งขาวทั้งหอมขนาดนี้ รับรองเลยว่าอีกไม่นานยัยมิลค์ได้มีน้องแน่”
“พูดแบบนี้อีกแล้ว ก็บอกว่าท้องไม่ได้ไง”
“ก็ไม่แน่.... เผื่อว่าทำบ่อยๆ วันละหลายๆ รอบแล้วจะฟลุค”
ผมเบะปากใส่ร่างสูงซึ่งคร่อมทับอยู่ด้านบน ขี้เกียจจะเถียงกับแฟนที่มีตรรกะความคิดแปลกพอๆ กันให้เหนื่อย เพราะไม่ว่าเขาจะทำยังไง จะอยากกอดอยากจูบผมเอาไว้นานหรือบ่อยครั้งแค่ไหน ผมก็ไม่คิดจะขัดขืนบ่ายเบี่ยงอยู่แล้ว
ความสุขของพี่โรมก็คือความสุขของผม
และผมก็คงจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า ถ้าคนที่ทำให้พี่โรมรู้สึกมีความสุขได้ก็คือตัวของผมเอง
.
.
.
คืนนั้น พี่โรมกอดผมและมอบความรักให้จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึง ผมเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากทอดกายให้เขาได้เชยชม และรองรับความรู้สึกเบาหวิวสลับหนักหน่วงที่คนรักมอบให้จนต้องกรีดเสียงครางเป็นระยะ ในที่สุดก็ผลอยหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งและช่วงล่างตรงหว่างขาก็แฉะชื้นไปหมด
อย่าว่าแต่อ่านข้อความเลย ผมไม่มีแรงแม้กระทั่งจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าแบตหมดไปแล้วหรือยังด้วยซ้ำ
ซึ่งถ้าผมมีสติเหลือพอสักนิด ผมก็คงเห็นไลน์ที่ใครบางคนส่งมาหาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน
Mr.Dan : ที่จะไปแคสละครด้วยกันพรุ่งนี้ มึงไปรถกูเลยก็ได้นะ
เดี๋ยวกูไปรับมึงที่ห้องเฮียโรมตอนแปดโมง
อย่าลืมแต่งตัวน่ารักๆ นะ *สติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม*
TO BE CONTINUE 