บทที่ 149 Twist
“เฮ้ยย นี่แปลว่าพวกเราถูกขังอยู่ในนี้เหรอเนี่ย” เสียงของธันดังขึ้นอย่างตกใจ พร้อมกับหันมาทางเพื่อนร่วมทีมที่กำลังชี้ถึงข้อเท็จจริงนั่น
“คิดว่าใช่ ครั้งที่แล้วก็เจอประมาณนี้ ต้องแก้ปริศนาให้ได้ ไม่งั้นก็ออกจากที่นี่ไม่ได้”
เฟี๊ยตพูดอย่างเรียบๆ ในใจของเขาหวาดวิตกอยู่ไม่น้อย แต่เขาไม่รู้จะแสดงความเครียดเหล่านั้นออกมาให้เด็กหนุ่มยิ่งคิดมากไปอีกทำไม
“สงสัยจะโดนโจแอนนาหลอกจริงๆ ด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า” ธันพูดขึ้นมาอย่างติดอารมณ์ขัน เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้นพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ
“เอาไงต่อ” เฟี๊ยตถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เป็นการหยั่งเชิง
“เดี๋ยวหาไรกินก่อน นอนพักสักคืน ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวก็คิดออกเอง เครียดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” ธันพูดเอ่ยออกมาง่ายๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
เฟี๊ยตหันไปดูเพื่อนร่วมทีมของตนที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นนั่น ธันเป็นคนที่ดูเหมือนจะเข้าใจง่าย แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ภายใต้ความเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสและเหมือนจะไม่คิดอะไรนั่น แฝงไว้ด้วยความเป็นผู้ใหญ่อยู่ลึกๆ ถึงแม้ว่าธันอาจจะไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวหรือละเอียดรอบคอบจนต้องจับตามองเป็นพิเศษ แต่ความชินชากับความกดดันต่างๆ นั้นต่างหากที่ดูจะเป็นคุณสมบัติชั้นเยี่ยมของเด็กหนุ่มตรงหน้านี่
ลึกเข้าไปในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ มันจะมีเบื้องหลังแบบไหนซุกซ่อนไว้หนอ หลายครั้งคำถามต่างๆ มากมายดังขึ้นมาในสมองของเขา แต่ความปากหนักก็ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยถูกถามออกไปสักครั้งเดียว
“เฟี๊ยต ดูเสาหินนั่นดิ มันไม่เรียบหวะ สังเกตดูดีดี” อยู่ดีๆ ธันที่กำลังนั่งอยู่อย่างเหมือนจะหมดแรงนั่นก็ชี้มือไปทางเสาหินแกร่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ไปดูใกล้ๆ กัน”
เสียงของเฟี๊ยตบอกขึ้นเบาๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปสำรวจเจ้าวัตถุนั่น เขาใช้มือลูบไปที่รอยบากที่ธันชี้ให้ดูนั่น เสานี่มีรอยบากจริงๆ ดูเหมือนว่ารอยนั้นจะหมุนเป็นเกลียวเหมือนกับลักษณะของสกรูอย่างใดอย่างนั้น
“เฟี๊ยต”
เสียงดังเรียกขึ้นเบาๆ พร้อมกันกับที่ชายหนุ่มหันไปหาที่มาของเสียงนั่น ธันขณะนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่ทางฐานเสาหินอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับใช้มือปัดไปปัดมาบนเสานั่นอย่างหนักมือพอสมควร การกระทำนั่นเผยให้ร่องลึกบนเสาหินที่ปรากฏอยู่เพียงจางๆ ตามที่เฟี๊ยตกำลังสำรวจ ต่างกันเพียงแต่ว่าบริเวณที่ธันค้นพบนั้นลึกและกว้างกว่ามาก
“จริงๆ แล้วร่องเกลียวนี่ลึกและกว้างพอตัวเลย แต่ดูเหมือนว่าฝุ่นหรือทรายจะเข้ามาอัดจนแน่นไปหมดทำให้มองเผินๆ เหมือนว่ามันเรียบกลืนไปเสียหมด ถ้าลากจากตรงนี้ไปตามแนวบากของมัน รอยนี่จะต้องไปพอดีกับตรงที่เฟี๊ยตสำรวจอยู่ เสาหินนี่น่าจะมีบากเกลียววนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไปจนถึงยอดบนสุดนั่นแน่นอน” ธันพูดสันนิษฐานออกมา พร้อมกับชี้มือให้เฟี๊ยตดูตามรอยเกลียวเหล่านั้นจนไปสมทบกันกับตรงที่เฟี๊ยตยืนอยู่
“น่าสนใจ” เฟี๊ยตพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับลองเอามือสำรวจไปบนรอยบากเหล่านั้นบ้าง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นฝุ่นทรายที่มาอัดอยู่บนร่องเหล่านี้จนกลืนสนิทจนแทบจะดูเหมือนมันราบเรียบ เมื่อใช้แรงปัดๆ เศษผงที่อัดแน่นเหล่านั้นออก รอยเหล่านั้นก็ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ
“พักกินข้าวก่อนเหอะ นี่ก็น่าจะเย็นแล้ว เดี๋ยวค่อยว่ากันต่อ” ธันพูดอย่างง่ายๆ พร้อมกับกระโดดลงจากแท่นหินที่ดูเหมือนฐานของวัตถุนั่น และเดินนำออกไปนอกเขตตาพายุนั้น
พวกเขาทั้งสองคนออกจากเขตอาคมที่ดับทุกความสามารถของไพ่นั่นเพื่อจัดการกับมื้อเย็นของวันนี้ เฟี๊ยตเรียกใช้ไพ่แคมป์ที่แสนจะคุ้นเคยตอนตะลุยไปกลางป่ากับทีมมายาอีกสองคน เฟี๊ยตนั่งปล่อยความคิดให้ล่องลอยฟุ้งในไปอากาศ ณ ขณะนั้น เรื่องปริศนานี่ก็ดูจะเป็นปัญหาที่ใหญ่อยู่ไม่น้อย แต่ชายหนุ่มกลับบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา ราวกับว่าหัวใจเขาในตอนนี้มีตะกอนอะไรสักอย่างตกอยู่ข้างใน และมันกำลังถูกอะไรบางอย่างกวนมันให้กลับมาฟุ้งกระจายภายในอกข้างซ้ายนั้นอีกครั้ง
“ธัน มึงว่าเกมนี้มันสามารถถูกเอาชนะได้จริงๆ เปล่าวะ”
เฟี๊ยตถามคำถามหนึ่งซึ่งค้างคาอยู่ในใจเขามาตลอดเวลา เมื่อหลุดไปจนจบประโยคแล้ว เขาก็แทบอยากจะย้อนเวลากลับไปถอนคำพูดนั้นคืนเสีย ชายหนุ่มรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ประกอบขึ้นเป็นประโยคนั้นมันดูอ่อนแอเหลือเกิน
“มึงเป็นอะไรเปล่าวะ”
ธันไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากแต่เลือกที่จะย้อนถามประโยคหนึ่งกลับมาแทน สายตานั้นถอดมองมาที่เขาอย่างไม่มีวี่แววล้อเล่นอยู่เลย
“ไม่รู้ดิ บางทีกูก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้” เฟี๊ยตถอนหายใจยาวเป็นการปิดประโยคนั่น
“ทำไมวะ อะไรทำให้มึงคิดอย่างนั้น” ธันถามขึ้น
“ธัน พูดตรงๆ นะ กูคิดว่ากูกากเกินไปที่จะเอาชนะเกมนี้หวะ ตอนแรกกูไม่คิดว่าเกมมันจะยากขนาดนี้ ทำไมทำไปทำมา มันดูมีอะไรต่อไปไม่มีสิ้นสุด กูอาจจะเหนื่อยมั้ง กูรู้สึกเหมือนกูกำลังวิ่งไปทั้งๆ ที่มองไม่เห็นปลายทางเลย” เฟี๊ยตระบายออกมาจากใจ
“มึงไม่เคยเล่นเกมออนไลน์มาก่อนใช่ไหม” ธันถามขึ้นอย่างเรียบๆ
“ก็ประมาณนั้น มึงถามทำไมวะ” เฟี๊ยตตอบกลับมาอย่างงงๆ
“ถ้ามึงเคยเล่นเกมออนไลน์ มึงจะรู้ว่าคนทุกคนเขาไม่ได้เล่นเกมเพื่อที่จะเอาชนะหรอก” ธันเอ่ยบอกมาด้วยน้ำเสียงใจเย็น เด็กหนุ่มเว้นจังหวะอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะอธิบายเรื่องราวต่อ
“เกมมันคือโลกของจินตนาการ คนส่วนใหญ่เขาก็มาเล่นเอาสนุกกันแค่นั้นแหละ การจะเอาชนะเกมนี่ถือเป็นอีกเรื่องนึงนะ มีคนแค่หยิบมือเดียวแค่นั้นแหละที่มานั่งคิดจริงจังเรื่องจะเคลียร์เกมจริงๆ” ธันอธิบายมาจากประสบการณ์ของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นจะเล่นไปทำไมให้เสียเวลาเปล่าวะ” เฟี๊ยตเอ่ยถามมาอย่างงงๆ น้ำเสียงนั้นไม่มีวี่แววยียวนแม้แต่น้อย
“มึงลองคิดในมุมกลับกันดิว่าทำไมจะต้องจริงจังกับอีแค่การเล่นเกมด้วยวะ ชื่อก็บอกว่าเล่น คนเขาก็เข้ามาเล่นเอาสนุกกันแค่นั้นแหละ จะจริงจังกันให้ปวดหัวทำไม” ธันพูดออกมายิ้มๆ
“แล้วมึงหละ มึงอยู่ในคนกลุ่มไหนวะ”
เฟี๊ยตเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง หลังจากเงียบไปสักพักอย่างครุ่นคิด เฟี๊ยตเองดูมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อได้ฟังคำอธิบายเหล่านั้น
“เสียใจด้วยหวะเฟี๊ยต พอดีกูเป็นพวกไม่ชอบความสบาย กูอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยหวะ ฮ่าฮ่า”
ธันพูดพร้อมกับขำออกมาอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศที่ดูอัดแน่นอยู่ในอกของเฟี๊ยตของนั้นก็ค่อยๆ เบาบางลงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำอธิบายที่มีเหตุผลนั่น หรือเพราะความใส่ใจในความรู้สึกของคนตรงหน้านี้ที่แบ่งเบาก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในใจเขาลงได้ แต่เขารู้แต่เพียงว่า เขารู้สึกดีขึ้นเท่านั้นเอง
“เดี๋ยว ธัน พวกเรากำลังเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่าวะ” เสียงเฟี๊ยตเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เรื่องเกมเนี่ยนะ” ธันหันมาถามอย่างงงๆ
“ไม่ใช่ เรื่องปริศนานี้ มึงคิดว่าไอ้ฐานหินนี่มันมีไว้ทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปอย่างไม่แสดงความกระจ่างใดๆ ออกไปนัก
“ตามหลักมันก็น่าจะยึดไว้เป็นฐานเปล่าวะ เสาสูงๆ แบบนี้ตามหลักมันก็ต้องง่อนแง่น การมีฐานขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้เสานี้ตั้งตรงอยู่ได้” ธันตอบไปตามความเข้าใจของตน
“มึงลองมองในมุมกลับกันดิ ถ้าจริงๆ แล้วเสาไม่ได้ถูกยึดไว้บนฐาน แต่ไอ้ฐานนี่ต่างหากที่ถูกยึดไว้บนเสา” ตัวเฟี๊ยตในขณะนั้นไม่อาจควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ตื่นเต้นได้เลย
“นี่มึงจะหมายความว่า ไอ้แผ่นที่เราเข้าใจว่าเป็นฐานนี่จริงๆ แล้วมันเป็นแผ่นเลื่อนสำหรับเคลื่อนที่ไปข้างบนใช่ไหม เฮ้ยย อย่างนี้เรื่องรอยบากนั่นก็ลงล็อคพอดีสิ ร่องนั่นต้องมีเอาไว้สำหรับให้แผ่นนี่เคลื่อนไปตามรอยเพื่อหมุนไปสู่ชั้นบนสุด” ธันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“แล้วไอ้น้ำเหนียวๆ นั่นก็เป็นน้ำมันหล่อลื่น” เฟี๊ยตหันมาปิดประโยคนั่นให้สมบูรณ์ ชายหนุ่มทั้งสองหันมายิ้มให้กันอย่างตื่นเต้น
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ธันยื่นมือออกไปแท็คมือของเฟี๊ยตอย่างตื่นเต้นและดีใจมาก ก่อนจะลากเฟี๊ยตที่นั่งอยู่นั้นให้วิ่งตรงเข้าไปยังแผ่นหินนั่นอย่างรีบร้อน
“พรุ่งนี้ก็ได้มั้ง คืนนี้นอนพักก่อน” เฟี๊ยตแย้งออกมาเบาๆ
“ไม่ได้เว่ย กูเป็นวัยรุ่นใจร้อน ฮ่าฮ่าฮ่า”
ธันกับเฟี๊ยตทดลองประสานจิตไว้ที่มือ ก่อนจะค่อยๆ ลองดันแห่นหินนั่นไปตามรอยบากที่วนไปตามทิศทวนเข็มนาฬิกานั่น ในตอนแรกมันเหมือนจะไม่มีวี่แววจะเคลื่อนที่อยู่อย่างนั้น แต่เมื่อพวกเขาฝืนออกแรงไปถึงจุดหนึ่ง เจ้าแผ่นหินนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามแรงผลักของพวกเขาทั้งสองคน เจ้าวัตถุแกร่งที่ดูเหมือนฐานนั่นเผยอขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เมื่อเห็นดังนั้นธันก็ส่งสัญญาณให้เฟี๊ยตถอนแรงออก ก่อนที่เจ้าหินนั่นจะถอยหลังกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
“มันจะหมุนไปถึงยอดเหรอวะ เกิดถ้าขึ้นๆ ไปแล้วมันหยุดหมุนจะทำไง” ธันพูดออกมาเชิงปรึกษาหารือ
“เมื่อวัตถุใดๆ เริ่มเคลื่อนที่แล้ว โมเมนตัมเชิงมุมจะเกิดขึ้นในระบบ และระบบจะพยายามรักษาโมเมนตัมนั้นไว้ตามกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม นั่นแปลว่าถ้าแรงที่เราเริ่มต้นใช้หมุนเจ้าแผ่นนี่มากพอจะเอาชนะแรงเสียดทานกับแรงโน้มถ่วงได้ แผ่นหินนี่มันก็จะรักษาการเคลื่อนที่แบบนี้ไปจนถึงจุดสูงสุดเอง” เฟี๊ยตเริ่มต้นอธิบายอย่างมีหลักการ
“โอเค พวกเราจะออกแรงหมุนแผ่นนี้แบบเมื่อกี้อีกครั้ง แต่คราวนี้ใส่จิตที่มีให้ถึงที่สุด หมุนให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมันลอยจากพื้นได้ประมาณหนึ่งเมตรจากพื้น มึงก็กระโดดขึ้นไปบนแผ่นนั่นเลย เดี๋ยวกูจะยื้ออยู่บนพื้นออกแรงหมุนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอหมดระยะแล้ว เดี๋ยวกูจะกระโดดตามขึ้นไป”
แผนการสั้นๆ ง่ายๆ เอ่ยออกมาจากเด็กหนุ่มสายฟ้าคนนั้น ชายหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ฝีมือกันดี ไม่มีคำพูดใดมากมายนอกจากการพยักหน้ารับคำเท่านั้น ชายทั้งสองเริ่มออกแรงแบบเดิมอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ทุ่มสุดแรงที่มีเลยก็ว่าได้
‘มึงนี่ก็พึ่งพาได้เหมือนกันนะ’
แหล่งกบดาน ลงรูป พูดคุยอย่างเป็นกันเอง :
www.facebook.com/allornonetheauthorจากผู้แต่ง : ศุกร์นี้ผมจะไปเที่ยวแล้วนา อิอิ หน้าร้อนอย่างนี้ต้องไปทะเล อาบแดด เล่นน้ำ ฮู่เร่ๆ ใส่ชุดว่ายน้ำโชว์พุงเดินริมหาด กิกิ ใครเจอผมทักทายกันได้ สังเกตง่ายๆ ตัวอ้วนๆ ดำๆ 555