บทที่ 137 A Class
“เฟี๊ยต”
เสียงของเด็กหนุ่มที่กำลังใช้ร่างกายรองรับตัวชายหนุ่มอีกคนอยู่ทางด่านล่างนั่น ดังขึ้นอย่างน้อยๆ ทำลายความเงียบของบรรยากาศนั้นลง หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเองไปนานแสนนาน คำเอ่ยเรียกชื่อของเขาคำนั้น ดูแฝงไว้ด้วยความรู้สึกต่างๆ มากมาย
“หืมม”
เสียงของเขาเอ่ยตอบรับขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่นัก สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างของหัวใจที่นำพาเขาเข้าไปสู่วังวนที่ไม่มีวันจบสิ้นนั่น ราวกับมีแม่เหล็กขนาดยักษ์ดึงดูดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย หากตัวเขาเป็นขั้วบวกอย่างใด เด็กหนุ่มตรงหน้าก็คือขั้วลบที่จะเข้าร่วมปฏิสัมพันธ์ให้ตัวเขามลายกลายเป็นกลางเสียหมดสิ้น ไม่มีทางเลย ไม่มีทางใดที่เขาจะต้านทานแววตาแสนทรงอำนาจคู่นั้นได้เลย
“คนหรือฮิปโปโปเตมัสเนี่ย ทำไมตัวหนักอย่างนี้วะ ฮ่าฮ่า ลดความอ้วนบ้างนะไอ้ตี๋”
เสียงหัวเราะที่กังวานขึ้นน้อยๆ นั่นทำลายบรรยากาศในภวังค์นั้นให้กระจายหายไปเสียหมดสิ้น ดูเหมือนว่าโลกจะกลับมาหมุนดังเก่าอีกครั้ง เด็กหนุ่มตรงหน้ากลายมาเป็นเด็กเมื่อวานซืนจอมยียวนกวนประสาทแล้ว
“ถามทำไม อยากกินตีนฮิปโปโปเตมัสหรือไง จะจัดให้สักคู่ไหม เดี๋ยวจะถวายตีนคู่หน้าให้สักคู่หนึ่ง ถุ๊ยย ไอ้แขกขี้เหม็นเอ๊ย”
เฟี๊ยตสะบัดหัวเล็กน้อยอย่างเรียกสติสัมปชัญญะ ก่อนจะเถียงออกไปด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนพอกัน เขาจะให้ไอ้เด็กนี่รู้ความผิดปรกติของตัวเขาที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
“แขกอะไรจะหล่อขนาดนี้ เจ๊กเข้าใจไรผิดเปล่าครับ ฮ่าฮ่า”
ธันก็ยังคงกวนโมโหด้วยความสนุกสนานเช่นเดิม แต่ถ้าหากเภสัชกรหนุ่มตั้งใจจะสืบค้นลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นแล้ว เขาจะพบว่า มันยังคงเหลือร่องรอยของความวูบไหวอยู่ไม่น้อยเลย
“ลุกๆๆ ไปเรียนได้แล้ว สายตั้งแต่วันแรกขายขี้หน้าเขาตาย”
เฟี๊ยตในขณะนั้นไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงใดๆ ให้มากความลงไปอีก เขาตัดสินใจเอ่ยสั่งธันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกยืนขึ้นเดินออกไปจากห้องในเวลานั้น โดยที่ธันก็ได้แต่มองผ่านไป และลุกขึ้นตามไปโดยไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน
ไม่มีคำอธิบายใดๆ มอบให้แก่ช่วงเวลาสั่นคลอนของหัวใจที่เกิดขึ้น ยากเหลือเกินที่จะหาคำจำกัดความใดๆ ให้กับความรู้สึกเมื่อครู่ของชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังเดินเคียงคู่กันไปในหนทางยาวนี้ บางที คำพูดที่ดีที่สุดอาจจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยออกมานั่นเอง และดูเหมือนว่า ชายทั้งสองคนนั้นก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
พวกเขามาถึงห้องเรียนก่อนเวลานัดหมายร่วมครึ่งชั่วโมงได้ หลังจากที่แวะหาขนมปังทานกันง่ายๆ ที่ห้องโถงใหญ่ที่เมื่อวานพวกเขาได้ร่วมรับประทานอาหารกับองคมนตรีคนนั้น ห้องเรียนของพวกเขาเป็นห้องขนาดกว้างใหญ่ร่วม 10 คูณ 20 เมตรเห็นจะได้ ด้านยาวฝั่งหนึ่งของมันถูกประดับไว้ด้วยกระจกเงาขนาดบานใหญ่เต็มพื้นที่ผนังนั่นเลย ความรู้สึกของเฟี๊ยตเหมือนห้องซ้อมเต้นหรือการแสดงต่างๆ ตามที่เคยเห็นในโทรทัศน์อย่างใดอย่างนั้น จวบจนถึงเสี้ยววินาทีนี้ เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่ากระจกเงาดังกล่าวมันเกี่ยวข้องกับการเรียนจักระอย่างไร
ครูของเขามาถึงก่อนเวลานัดจริงประมาณห้านาทีเห็นจะได้ ครูของเขามีชื่อว่า อิสรา เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ถ้าจะให้เขาเดา น่าจะอายุประมาณสี่สิบหน่อยๆ หากแต่โครงหน้าและลักษณะท่าทางดูภูมิฐาน แต่ก็ยังสดใสอ่อนกว่าวัยอยู่มาก เธอแต่งตัวในชุดสีน้ำตาลรัดกุมด้วยผ้าที่ดูค่อนข้างบางเบาตามที่เขาชอบเห็นคนในวังนี้สวมใส่กันจนชินตา ผมที่รวมบตึงประกอบกับตุ้มหูรูปไม้กางเขนนั่นทำให้ครูอิสราของเขาดูหน้าเกรงขามอยู่ไม่น้อยเลย เธอก้าวเข้ามาในห้องอย่างมั่นใจ พร้อมกับมอบรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากให้กับเขาทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะ”
เธอเอ่ยทักทายสั้นๆ กับพวกเขา และทันทีที่พวกเขาเอ่ยตอบรับ หญิงวัยกลางคนคนนั้นก็เอ่ยแนะนำชื่อตัวเองสั้นๆ เหมือนกับที่เขาแอบสอบถามมาจากเหล่านางกำนัลในห้องโถงนั่น ครูอิสราดูเป็นผู้หญิงที่สวยสมวัยตามที่เหล่านางในเหล่านั้นชื่นชมไว้ไม่ผิดเลย
พวกเขาตอบแนะนำชื่อตัวเองออกไปบ้าง ก่อนที่จะยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม และครูของเขาก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเมื่อเห็นกิริยาเหล่านั้น
“ครูได้รับหน้าที่ในการฝึกสอนเรื่องจักระพื้นฐานให้กับพวกเธอทั้งสองคน เนื้อหาของเราจะเน้นไปที่การควบคุมจักระให้นิ่งอยู่ที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง ทักษะนี้เองจะทำให้พวกเธอขึ้นไปพบกับควีนโจแอนนาได้อย่างปลอดภัย”
บทเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างง่ายๆ ครูอิสราของพวกเขาเริ่มต้นการบรรยายเกริ่นเข้าเรื่องในห้องเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์อยู่เลยทั้งสิ้นนั้น เฟี๊ยตกับธันติดจะงงอยู่เล็กน้อยในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนนี่ แต่พวกเขาก็เก็บอาการได้ดี และยืนฟังเรื่องราวเหล่านั้นโดยสงบ
“ครูสอนจักระในโลกแห่งนี้มีอยู่น้อยมาก และครูสอนจักระในโลกแห่งนี้ที่เขาจะสอนจักระให้เธอยิ่งจะมีน้อยลงไปอีก วิชาการควบคุมจักระถือเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีใครสอนให้เธอได้ง่ายๆ นัก ดังนั้น ถ้าใครเอ่ยปากว่าจะสอนวิชาจักระให้กับเธอหละก็ เธอควรจะสันนิษฐานไว้ได้เลยว่าเธอได้สร้างบุญคุณอันแสนยิ่งใหญ่กับเขาคนนั้นไว้เสียแล้ว”
ครูของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ท่าทางของเธอดูกร้าวขึ้นเล็กน้อยทันทีที่พูดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ประโยคที่ดูจะพูดไปแบบไม่ได้เจาะจงนักของเธอทำให้เฟี๊ยตหวนไปคิดถึงชายคนหนึ่งในป่าทิวสนนั่น ชายเจ้าของผมสีดอกเลาที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้จากโรคร้ายนั่น ยิ่งเขาได้รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าการเรียนวิชาจักระเป็นเรื่องซับซ้อนมากมายถึงขนาดนี้ มันยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลย ชั่วขณะจิตนั้น เขาก็เพิ่งค้นพบว่าตัวเขาเองในขณะนั้นลืมที่จะถามชื่อของคนไข้คนนั้นของเขาเสียสนิท ใจของเขาไล่ลำดับไปถึงเรื่องราวต่อจากนั้น ครูสอนจักระอีกคนที่ชายคนนั้นแนะนำให้เขาไปฝากตัวเป็นศิษย์ หัสดิน ชายเจ้าของชื่อที่ดูทรงอำนาจคนนั้นนั่นเอง
“แต่พวกเธอทั้งสองถือเป็นกรณีพิเศษสำหรับครู เพราะปรกติ ครูจะสอนเฉพาะคนที่มีเชื้อสายของผู้ปกครองเมืองเท่านั้น แต่ในฐานะที่พวกเธอทั้งสองทำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไว้แก่ดินแดนของเรา เธอจึงได้รับสิทธิพิเศษนี้ ตักตวงความรู้ไปให้มากที่สุด เพราะโอกาสอย่างนี้จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”
หญิงสาวที่ดูไว้ตัวคนนั้นหันมาส่งสายตาคมกริบกับพวกเขาทั้งสองคนอีกครั้ง หากแต่เฟี๊ยตก็เลือกที่จะไม่แสดงอาการต่อต้านอื่นใดๆ ออกไป
“ก่อนจะเริ่มต้นเรียน พวกเธอจะต้องเข้าใจจักระให้ถ่องแท้เสียก่อน พวกเธอเคยเรียนเรื่องจักระมาก่อนบ้างหรือเปล่า” เสียงนั่นเอ่ยสูงขึ้นเป็นคำถาม
“ไม่/ไม่ครับ”
เสียงของพวกเขาทั้งเอ่ยตอบขึ้นอย่างประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟี๊ยตลอบเอาขาไปสะกิดธันน้อยๆ เสียงของธันไม่ได้หางเสียงเสียแล้ว เฟี๊ยตรู้สึกได้เลยว่าธันเริ่มมีอาการต่อต้านครูคนนี้ขึ้นน้อยๆ เสียแล้ว
“ร่างกายของคนเราก็มีลักษณะเป็นเพียงสสารหนึ่งเท่านั้น หากแต่มีพลังงานอย่างหนึ่งที่มีอำนาจในการควบคุมมันให้มีชีวิตอยู่ได้ สิ่งนั้นเราทั้งหลายให้คำนิยามมันว่าวิญญาณ หากแต่ถ้าจะแบ่งย่อยให้ละเอียดลงไปอีก ก็สามารถจะแบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้”
“สิ่งแรกคือ ชี่ หรือที่มีลักษณะเหมือนวิญญาณนั่นเอง ชี่คือพลังชีวิตที่ขับเคลื่อนให้สิ่งมีชีวิตยังมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มีชี่ หมายถึงไม่มีชีวิตนั่นเอง”
“สิ่งต่อมาคือ จิต ซึ่งก็คือความกำหนดรู้นั่นเอง ตราบใดที่เธอยังรู้สึกตัวอยู่ นั่นหมายความว่าจิตของเธอยังสถิตอยู่กับเธอ ณ ขณะนี้ แต่ถ้าหากเธอหมดสติลงไป แต่ยังมีลมหายใจอยู่ นั่นหมายว่า จิตเธอไม่อยู่เสียแล้ว แต่เธอยังคงมีชี่ที่หล่อเลี้ยงร่างกายเธอไว้”
“สุดท้ายคือ จักระ หรือสิ่งที่พวกเรากำลังจะศึกษากันอยู่นี่เอง จักระไม่ใช่ทั้งชี่ และไม่ใช่ทั้งจิต หากแต่มันเป็นสิ่งที่ซ่อนและหล่อเลี้ยงเธออยู่ภายใน เธอแม้ว่าเธอจะไม่สามารถควบคุมจักระเธอได้ แต่เธอก็ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปรกติสุข นั่นหมายความว่า จักระคือพลังขับเคลื่อนส่วนลึกที่ยากที่จะควบคุม แต่ถ้าหากผู้ใดสามารถดึงมันออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นผู้ที่เหนือมนุษย์นั่นเอง!”
เพจสำหรับเม้ามอยหอยแมงภู่นิวซีแลนด์ :
www.facebook.com/allornonetheauthorจากผู้แต่ง : มาลงล๊าววววววววววว วันนี้ไปเดินงานไทยเที่ยวไทยที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์มาด้วยยย ใครไปบ้างงงงงง เจอกันทำไมไม่ทัก ฮึ 555555555555