บทที่ 138 A Mirror
“พวกเธอลองหันไปเงาตัวเองในกระจกนั่น”
ครูอิสราเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเฉียบคมเช่นเดิม ก่อนจะชี้นิ้วไปทางกระจกบานใหญ่ที่ตั้งไว้ราวกับว่าเป็นผนังด้านหนึ่งของห้องสี่เหลี่ยมนั่นฉะนั้น
เฟี๊ยตและธันเอ่ยตอบรับสั้นๆ ก่อนจะหันไปมองตามคำเชื้อเชิญกึ่งคำสั่งนั่น เฟี๊ยตเฝ้าพิจารณามองตัวเองที่เป็นภาพเงานั่น เขารู้สึกถึงความแตกต่างจากภาพสะท้อนของตัวเองที่เห็นได้จากกระจกเงาทั่วไป หากแต่เขาก็ยังจับสังเกตไม่ได้เหมือนกันว่าความแตกต่างที่ว่าคืออะไร
“พวกเธอเห็นความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในกระจกนี้หรือไม่” ครูอิสราเอ่ยถามพวกเขาด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ดวงตาคมคู่นั้นพิจารณามาที่พวกเขาทั้งสองคน
“กระจกนี้แสดงถึงพลังงานบางอย่างที่หล่อเลี้ยงร่างกายเราอยู่”
เสียงของธันเอ่ยตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์นัก หลังจากที่คำถามนั้นจบไปชั่วอึดใจหนึ่ง เฟี๊ยตที่ทำได้แต่พยักหน้าน้อยๆ นั่น จึงลองหันกลับไปตั้งใจค้นหาความผิดปรกติของเงาสะท้อนในกระจกนั่นอีกครั้ง เขาสังเกตตามคำพูดของธันก่อนจะพบว่า ภาพนั้นมันมีลักษณะเหมือนที่เด็กหนุ่มพูดอยู่จริงๆ เขารู้สึกว่ามีแสงอ่อนๆ หรือที่น่าจะเรียกได้ว่าออร่าเปล่งออกมาจากตัวเขาเอง
“ถูกต้องค่ะ กระจกที่พวกเธอกำลังเห็นอยู่นี่เป็นกระจกเงาที่สามารถสะท้อนพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเธออยู่ เธอลองสังเกตตัวเธอกับประตูที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั่นสิคะ เธอจะเห็นความแตกต่างว่า ตัวพวกเธอนั้นมีพลังงานอย่างหนึ่งหล่อเลี้ยงอยู่ หากเธอพิจารณาให้ดี เธอจะพบว่าแสงออร่าอ่อนๆ สีเหลืองที่เธอพบอยู่บนตัวของพวกเธอนี่ ไม่มีอยู่บนประตูที่ไม่มีชีวิตบานนั้นค่ะ” ครูของเขาชี้ไปที่ประตูอีกด้านหนึ่งฝั่งที่เขาเดินเข้ามานั่นเอง
“ใช่จริงๆ ด้วย”
เสียงของเฟี๊ยตรำพึงออกมาเหมือนจะตั้งใจพูดกับตัวเองมากกว่า ตอบคำอธิบายของผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
“ออร่าสีเหลืองอ่อนที่เธอเห็นอยู่นี่คือลักษณะของ ชี่ ซึ่งจะสามารถแบ่งแยกสิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งไม่มีชีวิตได้ ผู้คนในเกมนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีชี่เป็นของตัวเอง ถ้าใครมีชี่ นั่นแปลว่าคนๆ นั้นมีชีวิตอยู่จริงในโลกของความเป็นจริง แต่ถ้าไม่ นั่นก็แปลว่าคนๆ นั้นเป็นเพียงบทบาทสมมติที่โซดิแอคสร้างขึ้นเท่านั้น”
เด็กหนุ่มสายฟ้าอดไม่ได้เลยที่จะชำเลืองตาไปมองเงาของผู้ที่ได้ชื่อว่าครูของเขาในกระจกนั่น ธันพบว่า ครูอิสราคนนั้นก็มีชี่หล่อเลี้ยงอยู่เช่นกัน นั่นแปลว่า เธอเองก็มีชีวิตอยู่ในโลกความเป็นจริงเช่นกัน
“ต่อไป เธอลองยืนกระต่ายขาเดียวซิ๊ ทำเป็นไหม เธอลองยืนแล้วหันไปมองกระจก แล้วลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดู”
เฟี๊ยตยกแขนสองข้างขึ้นขนานกับพื้น ก่อนจะเอาขาข้างขวายกขึ้นตั้งฉากกับเอวและนำมาแตะไว้ตรงหัวเข่าข้างซ้าย เพื่อทรงตัวขาเดียวอย่างว่าง่าย ในขณะที่ธันเองมีท่าทีอิดออด แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำอย่างไม่อุทธรณ์ใดๆ เด็กหนุ่มจึงทำตามต่อมาอย่างเสียไม่ได้
เฟี๊ยตพยายามจับจ้องไปที่ภาพเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกนั่น หากแต่เขาก็ไม่เห็นอะไรที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน เขาจึงปิดปากเงียบไว้ก่อน ในขณะที่ธันก็เอาแต่จับจ้องไปที่กระจกนั่น และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างนั้นประมาณ 5 นาทีได้ ความเมื่อยเริ่มจู่โจมเฟี๊ยตเข้ามาน้อยๆ หากแต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรที่จะอดทนและรอคอยคำตอบนั่น จนช่วงจังหวะหนึ่งที่เขาเผลอใจลอยไปจนลืมควบคุมท่าทางการยืนนั่น ตัวของเฟี๊ยตเอนไปทางด้านซ้ายน้อยๆ แต่เขาก็พยายามควบคุมสติและกลับมาทรงตัวให้ได้อีกครั้ง เขาพยายามอย่างหนักที่จะใช้ฝ่าเท้าช่วยควบคุมสมดุลของท่าทางดังกล่าว
“ออร่าสีส้มหรือเปล่าครับ” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ถูกต้องค่ะ เมื่อได้คำตอบแล้วก็ยืนปรกติได้แล้วค่ะ”
หญิงสาวคนเดียวในห้องนั้นตอบขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ เฟี๊ยตถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่จะได้เลิกทำท่าตลกๆ นี่เสียที
“เธอคิดว่าออร่าสีส้มเป็นตัวแทนของพลังงานอะไร” ครูคนนั้นหันมาทางเภสัชกรหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยคำถามดังกล่าวขึ้น
“จิตครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นจิต” เฟี๊ยตเอ่ยออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
“ใช่ค่ะ ออร่าสีส้มเป็นลักษณะของจิต เธอจะสังเกตได้ว่าในลักษณะปรกตินั่น ออร่าสีส้มจะไม่ปรากฏขึ้นมาชัดจนมองเห็นได้เท่าไหร่นัก จวบจนกระทั่งเธอใช้ความตั้งใจอย่างสูงในการควบคุมร่างกายหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง จิตของเธอนั้นจะโดดเด่นขึ้นมาอย่างที่เธอพบเห็นเมื่อสักครู่นี้ ขณะที่เธอกำลังพยายามควบคุมการทรงตัวในช่วงสุดท้ายที่จะล้มลงนั่นเอง” ครูคนนั้นเผยยิ้มให้เขานิดหน่อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อไป
“โดยปรกติแล้ว จิตของบุคคลจะมีขอบเขตอยู่ที่ร่างกายของบุคคลนั้นๆ เท่านั้น จิตของคนทั่วไปไม่อาจแบ่งจิตไปสถิตอยู่กับวัตถุอื่นใดได้ แต่โดยในความเป็นจริงแล้วก็มีผู้ที่สามารถทำได้ หากแต่มันเป็นศาสตร์ที่ลึกลับเกินกว่าที่คนทั่วไปควรจะเรียนรู้”
“จิตของเธอจะถูกผูกไว้กับอวัยวะในส่วนที่เธอควบคุมได้เท่านั้น พูดให้เข้าใจกันตรงๆ ก็คือทุกบริเวณที่ระบบประสาท somatic nervous system ของเธอไปถึงนั่นเอง ดังนั้น จิตของคนทั่วไปจะไม่อาจควบคุมอวัยวะอื่นใดที่เกินไปจากขอบเขตนี้ได้ แต่แน่นอน ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงย่อมสามารถควบคุมจิตของตนได้ทั่วทุกอณูของร่างกาย นั่นหมายความว่า หากเธอศึกษาให้สูงขึ้นไปอีกนั้น แม้แต่หัวใจของเธอ เธอก็สามารถบังคับให้มันหยุดเต้นได้ แม้แต่สมองของเธอ เธอก็สามารถบังคับให้มันลืมหรือจำอะไรได้ตามต้องการ”
“เป้าหมายของการเรียนของเราในคลาสนี้ คือการสามารถควบคุมตัวเองให้ยึดติดอยู่กับเรือบิน และไม่หลุดลอยไปตามลมกรรโชกได้ โดยโจทย์แล้ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องดึงจักระออกมาใช้เพียงแต่น้อย แค่จิตอันมั่นคงของพวกเธอก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น ครูจะสอนพวกเธอควบคุมจิตของตนให้มีประสิทธิภาพเสียก่อน หากมีเวลาเพียงพอ ก็จะสอนเพิ่มเติมในส่วนจักระให้” ครูวัยกลางคนของเขากล่าวเริ่มต้นเข้าสู่บทเรียนอีกครั้ง
“แล้วเรียนควบคุมจักระ และใช้จักระยึดตัวเองไว้กับวิหารไม่ได้เหรอครับ”
ธันหันหน้าไปทางหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะเอ่ยแย้งขึ้นมาเป็นคำถาม แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ดูก้าวร้าวแต่อย่างใดหากแต่มันก็ไม่ได้ฟังดูนุ่มนวลหูเท่าไหร่นัก
“ควบคุมจิตเธอให้ได้เสียก่อน ก่อนจะพยายามควบคุมจักระที่อยู่ภายในของเธอนั้น วิชาควบคุมจักระยากเป็นพันเท่าหมื่นเท่าของการกำหนดจิตนัก เธออาจจะเข้าใจผิดว่าจักระเป็นเรื่องง่ายๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าคนทั่วไปสับสนระหว่างคำว่า ชี่ จิต และจักระกันนั่นเอง หากเธอได้เจอผู้รู้และศึกษาให้ถึงแก่นแล้ว เธอจะพบว่าจำนวนผู้ที่รู้จักจักระอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่น้อยเหลือเกินในเกมนี้ อาจจะอยู่ในหลักสิบเสียด้วยซ้ำ”
ครูอิสรากล่าวขึ้นมาอย่างเรียบๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยการฟาดฟันทางคำพูดอยู่อย่างลึกๆ นั่น รอยยิ้มที่เธอส่งมาให้นั้นดูเคลืองแคลงไปด้วยความนัยอยู่ไม่น้อยเลย
“ได้เลยครับ ตามที่คุณครูบอกเลยครับ เริ่มต้นจากการควบคุมจิตตามที่ครูบอกเลยก็ได้ครับ ถ้ามีเวลาเหลือหลังจากนั้นค่อยเพิ่มเติมกันภายหลัง”
เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างนุ่มนวลเป็นการขัดตราทัพที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างน้อยๆ นั่น และคำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการตัดบทเพื่อเข้าสู่การเรียนรู้ในขั้นตอนต่อไป ทั้งครูและศิษย์ที่เหลืออีกสองคนก็ดูจะไม่ใส่ใจจะหาความใดๆ กันอีก บทเรียนของวันนั้นจึงเริ่มต้นด้วยประการนี้เอง
คาบเรียนอันแสนยาวนานของวันนั้นดำเนินไปจนจบเมื่อตะวันตกดินนั่นเอง ครูอิสราสอนถึงพื้นฐานการควบคุมอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมด้วยจิต เริ่มต้นจากการกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาสองคนเรียนรู้การกำหนดลมหายใจให้ยาวนานขึ้น ตั้งสติอยู่กับอากาศที่เดินทางไปตามอวัยวะเหล่านั้น ครูอิสราสอนให้พวกเขาค่อยๆ ขยายอาณาเขตของลมหายใจให้กว้างขึ้น หายใจเข้าให้นานขึ้น หายใจออกให้นานขึ้น ฝึกการกลั้นลมหายใจให้ได้นานขึ้น รวมถึงการดึงศักยภาพปอดมาใช้ให้สมบูรณ์
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้เรียนรู้การกำหนดจิตไว้ที่ปาก พวกเขาต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงเพื่อผ่านพ้นบทเรียนเหล่านั้นไปให้ได้ ครูสั่งให้เขากำหนดลิ้นตัวเองให้รู้สึกตามความปารถนาตนเองให้ได้ สั่งให้เปรี้ยว ต้องรู้สึกเปรี้ยว สั่งให้หวาน ต้องรู้สึกหวาน ราวกับว่า พวกเขาสามารถปรุงแต่งรสชาติอาหารใดๆ ขึ้นก็ได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีวัตถุหรือสสารใดตกต้องถึงลิ้นของพวกเขาอย่างแท้จริงเลย
การเรียนดำเนินไปทางลักษณะแบบนี้เรื่อยๆ หากแต่เปลี่ยนอวัยวะไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไล่ไปตั้งแต่จมูก ปาก ลิ้น ตา หู แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมไปถึงทุกอวัยวะที่ระบบประสาทภายใต้อำนาจจิตใจจะไปถึง หลายครั้งที่เฟี๊ยตจวนเจียนจะหมดแรงนั่น ในใจส่วนลึกเขาก็ตะโกนก้องออกมาว่า นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลย ที่จะได้เรียนเรื่องเหล่านี้ พวกเขามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น พวกเขาต้องซึมซับความรู้จากสามวันนี้ไปให้ได้มากที่สุด หนทางของการเกมนี่ยังอีกยาวไกลนัก!
เพจสำหรับเม้ามอยหอยเป๋าฮื้อ :
www.facebook.com/allornonetheauthorจากผู้แต่ง : วันนี้ตั้งใจว่าจะต้องแต่งให้ได้ห้าตอน ตุนเก็บไว้ เพราะอาทิตย์หน้าว่าจะไปเที่ยวทะเล แต่จนแล้วจนรอด แต่งทั้งวันก็ได้แค่สองตอนเท่านั้น โฮฮฮฮฮฮ นักเขียนที่เขาแต่งนิยายขายกันเป็นเรื่องเป็นราวนี่ช่างเก่งชะมัด ผมต้องสอบ IELTS อีก พูดแล้วน้ำตาจะไหล เฮ้อออ ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ มาก ผมจะได้คะแนนติดลบไหม ฮ่าฮ่า
ปล. เม้นน้อยอะ ไม่ยอมเม้นเดี๋ยวจะไม่ยอมลงนิยายบ้าง อิอิ แลกกันๆ