บทที่ 155 On and Off Phenomenon
มะนาวเป็นเด็กสาวอายุยี่สิบปีต้นๆ ที่อาจจะเรียกได้ว่ามีชีวิตไม่เหมือนคนในรุ่นราวคราวเดียวกันเลย เธอเป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่เกิดจากการขาดแคลนโดพามีน (Dopamine) อันเป็นสารสื่อประสาทสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ โดยปรกติแล้ว ผู้ป่วยโรคนี้จะเริ่มแสดงอาการเมื่อเริ่มย่างเข้าสู่วัยกลางคน แต่ไม่ใช่สำหรับมะนาว เธอเริ่มมีอาการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เธอเล่าว่าในงานวันเกิดปีที่ 15 ของเธอ ทุกอย่างกำลังดำเนินได้ไปอย่างงดงามที่สุด จนกระทั่งเวลาที่เธอจะต้องเป่าเค้กในเทียนวันเกิด เธอพบว่าตัวเองไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อในลำคอของเธอให้พ่นลมออกมาได้ ล่วงพ้นจากวินาทีนั้นเป็นต้นไป ชีวิตของเด็กหญิงคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ชีวิตของเธอหลังจากนั้นผูกพันอยู่กับยาเม็ดไม่เล็กเป็นต้นมา เป็นที่รู้กันดีในวงการการแพทย์ว่าโรคที่เด็กสาวเผชิญอยู่นั้นนับเป็นโรคที่จัดการเรื่องยาได้ยากจนเลื่องลือ ระยะต้นนั้นผู้ป่วยจะฟื้นฟูระดับโดพามีนในร่างกายได้อย่างดี จนคุณภาพชีวิตกลับมาเป็นปรกติ แต่เมื่อใช้ยาต่อไปเรื่อยๆ ระดับโดพามีนที่เคยควบคุมได้จะกลับมาควบคุมไม่ได้อีกครั้ง จากเม็ดเป็นสองเม็ด จากสองเม็ดเป็นสี่เม็ด จากสี่เม็ดเป็นแปดเม็ด จนเธอเองก็คงไม่อยากนับเสียแล้ว ปริมาณยาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อาการที่ไม่สามารถควบคุมได้ตามต้องการทำให้สุขภาพจิตของผู้ป่วยทรุดโทรมขึ้นทุกวัน ช่วงระยะเวลาที่ระดับโดพามีนขึ้นสูง ร่างกายผู้ป่วยจะกระตุกจนควบคุมแทบไม่ได้ ตัวเธอเองแลบลิ้นเข้าออกโดยไม่รู้สึกตัว เธอเริ่มเก็บตัวหลังจากเรียนมัธยมปลายจบ เธอเคยไปกินข้าวกับเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าและอาการกำเริบ เธอแลบลิ้นไม่หยุดจนคนอื่นคิดว่าเธอเป็นบ้า เธอร้องไห้ออกมาทั้งที่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้อย่างนั้น เธอเกลียดตัวเอง เธอเกลียดร่างกายของเธอที่ไม่ได้เป็นของเธอเลย
มะนาวไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเนื่องจากอาการของโรคนั้นรุดหน้าไปกว่าที่ประมาณกันไว้มาก บ่อยครั้งที่ระดับโดพามีนของเธอลดต่ำลงจนแสดงอาการ เธอเขียนหนังสือไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ มะนาวทำไม่ได้แม้กระทั่งจะกลืนน้ำลายตัวเอง กลางดึกคืนหนึ่ง เธอถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉินที่สุด เนื่องจากเธอตื่นมากลางดึกแล้วค้นพบว่าเธอพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แม้กระทั่งการหายใจ เธอก็ทำแต่อย่างแผ่วเบา หลังจากรถพยาบาลที่เข้ามาส่งเธอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในวันนั้น เธอก็ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้อีกเลย
เธอกับถุงน้ำเกลือกลายเป็นเพื่อนที่ไม่เคยแยกจากกันเสียแล้ว ระดับสารสื่อประสาทที่ไม่คงที่นั้นทำให้เธอต้องเปลี่ยนรูปแบบจากยากินเป็นยาฉีดแทน อาการที่เกิดจากการเหวี่ยงไปมาของระดับโดพามีนนั้นหายไปแทบเป็นปลิดทิ้ง สุขภาพที่ดีขึ้นเหล่านั้นแลกมาด้วยชีวิตที่เหลือเกือบทั้งหมดของเธอ ไม่มีมหาวิทยาลัยสำหรับเธอแล้ว ไม่มีการเที่ยวเล่นและชีวิตวัยรุ่นเหลือให้ใช้อีกต่อไป เพื่อนฝูงที่เคยสนิทสนมก็ตกหล่นหายไปตามการเวลาเพราะไม่มีโอกาสได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ดูเหมือนว่าครอบครัวจะเป็นสิ่งสุดท้ายเท่านั้นที่เธอเหลืออยู่ ยังโชคดีที่เธอเกิดมาในยุคที่ผู้ป่วยโรคร้ายแรงจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลแทบทั้งหมด หญิงสาวจึงเป็นภาระทางการเงินกับครอบครัวเพียงไม่มากนัก
“มะนาวอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ มีอะไรที่พี่พอจะช่วยน้องได้ไหม มันไม่ใช่เรื่องวิจัยอะไรเป็นสำคัญนะ แต่พี่อยากให้น้องมีความสุขขึ้นจริงๆ”
เขาพูดกับคนป่วยในความดูแลของเขาอย่างอ่อนโยน เขาเองก็จนปัญญาเรื่องการรักษา เพราะยาที่ได้รับก็ถูกต้องตามหลักเวชปฏิบัติทุกอย่างแล้ว คงจะมีแต่เพียงการเยียวยาด้านอื่นๆ เท่านั้นที่เขาพอจะทำได้ ถ้าเขาสามารถทำให้คนตรงหน้านี้มีความสุขได้เพียงแต่น้อย เขาก็อยากทำ
“ไม่รู้สิคะ ทุกวันนี้มะนาวก็ไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายชีวิตคืออะไร แค่ใช้ชีวิตให้หมดเป็นวันๆ” เธอพูดออกมาจากใจจริง เสียงนั้นไม่ได้ดูเศร้า เธอดูผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน
“มะนาวมีงานอดิเรกบ้างเปล่า ช่วงก่อนเข้าโรงพยาบาลชอบทำอะไรเป็นพิเศษไหม เผื่อว่างๆ ตอนบ่าย เราอาจจะหาอะไรทำกันสนุกๆ” เฟี๊ยตฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับถามคำถาม
“จริงๆ แล้วมะนาวชอบทำเบเกอรี่มากเลยพี่เฟี๊ยต แต่ในโรงพยาบาลแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาตามตรง เธอส่งรอยยิ้มมาให้อย่างเข้าใจถึงข้อจำกัดมากมายที่คงจะทำให้พี่ชายตรงหน้านี้ทำตามใจเธอไม่ได้ แค่มีคนมาใส่ใจพูดคุยกับเธอแบบนี้ เธอก็ดีใจมากแล้ว สายตาของชายหนุ่มแสดงถึงความเข้าใจในความเจ็บปวดของเธอมาก เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยแบบนี้ คนในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์คงจะรู้ดี
เฟี๊ยตพาร่างกายมายังฟิตเนสอย่างเหนื่อยล้า เรื่องราวของมะนาวทำให้สมองเขาอื้อไปอย่างบอกไม่ถูกเลย วันนี้ชายหนุ่มมีนัดกับพี่หมู เอาตามความจริงคือเขาลืมไปแล้ว การไปผจญภัยในความฝันนั้นทำให้วันนี้กับเมื่อวานห่างกันเป็นสิบวันเห็นจะได้ โชคดีที่ฟิตเนสแห่งนี้มีระบบการแจ้งเตือนด้วยข้อความทางมือถือ มิเช่นนั้นเห็นทีว่านัดต่อยมวยคงจะกลายเป็นหมันอย่างง่ายดาย
“เป็นไงบ้างน้อง ทำไมดูเพลียๆ” เสียงเข้มจากพี่หมูทักมาอย่างคุ้นเคย ทันทีที่เภสัชกรหนุ่มในชุดวอร์มเดินเข้าไปในห้องฝึก
“โหยพี่ งานโคตรหนัก วันนี้ผมจะมีแรงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าฮ่า”
ใจจริงแล้วเฟี๊ยตอยากจะบ่นไอ้เรื่องเกมในฝันของเขามากกว่า แต่ดูจะติดที่ว่ามันดูจะเพ้อฝันเกินไป เขาจึงโบ้ยความผิดไปให้งานของเขาแทน ชายหนุ่มถือโอกาสออกตัวเรื่องความอ่อนล้า เผื่อจะยืมมาเป็นข้ออ้างระหว่างฝึกได้
“ดีเลย เหนื่อยกับงานเนี่ย ต้องมาออกแรงกับกีฬา เตะป๊าบ เตะป๊าบ เอาให้สุดแรง ฮ่าฮ่า” พี่หมูพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
“โอ๊ย ไหงไปทางนั้นได้หละ พี่ ฮ่าฮ่า ลืมๆ ไปหลายท่าแล้วพี่ ทวนๆ ให้หน่อยนะครับ”
เฟี๊ยตพูดพร้อมกับเก็บของสำคัญในล๊อกเกอร์ที่ตั้งอยู่ในตัวห้องแห่งนั้น ก่อนจะเดินขึ้นสู่สังเวียนผ้าใบแคบๆ ที่แสนจะคุ้นเคย
“เตะ!”
เสียงคำสั่งของเทรนเนอร์ของเขาดังขึ้นมาอย่างหนักแน่น พร้อมกันกับที่เฟี๊ยตสะบัดต้นขาเพื่อเอาหน้าแข้งอัดไปที่นวมที่สวมอยู่ที่แขนของครูของเขาอย่างเต็มแรง
ป๊าบบบบบบ
“เตะแรงอีก!”
เสียงสั่งดังขึ้นอีกครั้ง เฟี๊ยตพยายามเกร็งหน้าขาให้มากขึ้น และเพิ่มองศาการสะบัดต้นขาให้กว้างกว่าเดิม เพื่อเพิ่มแรงให้ลูกเตะของเขาหนักแน่นขึ้นไปอีก
ป๊าบบบบบบบบบบบบบ
“เตะแรงกว่านี้อีก!”
ความรู้สึกในเสี้ยววินาทีนั้นเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เฟี๊ยตนึกถึงครูอิสราก็ไม่รู้ เขารวบรวมจิตไปที่ต้นขาอย่างรวดเร็ว เขากำหนดจิตให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสี้ยวหนึ่ง ก่อนจะถอยหลังมาในสัดส่วนที่มากกว่า ผลคือขาเขาเลื่อนตีวงถอยหลังอย่างช้าๆ จังหวะนั้นเอง เขาเลื่อนจิตกำหนดมาไว้ที่หน้าแข้งนั่น ก่อนจะถ่ายเทแรงที่มีออกไปอย่างเต็มแรงพร้อมกับการเหวี่ยงขาไปยังนวมที่เล็งเป้าหมายไว้
ตู๊มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
พี่หมูของเขาตัวลอยจากพื้นขึ้นเกือบคืบหนึ่งได้ ก่อนที่ตัวจะลอยไปข้างหลังเล็กน้อยตามแรงนั่น เทรนเนอร์หุ่นล่ำของเขาล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว!
“เฮ้ยย พี่เป็นไรเปล่า ขอโทษครับ ผมไม่นึกว่ามันจะแรงขนาดนี้”
เฟี๊ยตรีบวิ่งเข้าไปขอโทษขอโพยครูของเขาอย่างรู้สึกผิด เขาไม่นึกเลยว่าทฤษฎีเรื่องจิตที่เรียนมาในความฝันนั่นจะเอามาประยุกต์ใช้ได้จริงๆ แวบนั้นเขาคิดถึงสายตาคมๆ ของครูอิสราอย่างอดไม่ได้ เขาเรื่องอยากจะเรียนรู้เรื่องจิตและจักระให้มากกว่านี้เสียแล้ว
“แรงดีเหมือนกันนี่หว่าเรา ตอนแรกก็เตะซะเหยาะแหยะเชียว สับหลอกนะเนี่ย มา มาต่อกันอีกสักยก คราวนี้รับประกัน แรงแค่ไหนก็ไม่ยั่น จัดมา!”
ครูหมูของเขาพูดอย่างร่าเริงแบบไม่ถือสา ก่อนจะจบท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะอย่างง่ายๆ บทเรียนการทบทวนหมัด เท้า เข่า ศอกของเขายังคงดำเนินต่อไปอย่างนั้นจนหมดเวลา เฟี๊ยตเริ่มจับเทคนิคในการรวบรวมจิตตามจุดต่างๆ ของร่างกายได้ ทฤษฎีเรื่องจิตที่ได้รับการถ่ายทอดมาดูจะให้ผลเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าจิตที่เขาศึกษาเองอย่างงูๆ ปลาๆ ในตอนต้น หากแต่เขาก็ไม่สามารถพัฒนาอะไรไปได้ไกลนัก เพราะเนื้อหาที่ร่ำเรียนมาจากเวลาสามวันในฝันนั้นก็เรียกได้ว่าน้อยเหลือเกิน เห็นทีเขาจะต้องตามหาครูสอนจักระที่ชายเฒ่าคนนั้นฝากฝังไว้ให้เจอเสียแล้ว
เฟี๊ยตแบกร่างที่ทรุดโทรมยิ่งกว่าตอนออกโรงพยาบาลกลับมาถึงห้องจนสำเร็จ เขาพุ่งตัวไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว สภาพของชายหนุ่มตอนนี้มันกะปลกกะเปลี้ยไปทั้งตัว เขาปล่อยให้สายน้ำเย็นๆ คืนความมีชีวิตชีวาให้กับเขาในเวลานี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จเพียงไม่นาน เฟี๊ยตก็ตัดสินใจหาอะไรในครัวมารองท้องก่อนจะหมดวัน เขานัดกับธันไว้ตอนสองทุ่มเมื่อตอนเข้าเกมครั้งที่แล้ว แต่ออกมาจากเกมครั้งล่าสุด เขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันก่อนแม้แต่น้อย เฟี๊ยตหวังว่าธันน่าจะเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามเดิม ชายหนุ่มล้างจานกับแก้วน้ำ เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้ถึงสองทุ่มเต็มทน เฟี๊ยตเดินกลับไปยังห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงที่แสนจะคุ้นเคย เขาเลือกที่จะสวดภาวนาในใจบทสั้นๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ความรู้สึกในขณะนั้นล่องลอยไปไกลแสนไกล
“ธัน”
เสียงของเฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เมื่อพบว่าทันทีที่ตื่นขึ้น เขาก็กลับมาปรากฏอยู่ในหมู่บ้านลึกลับนั้นเช่นเดิม และที่สำคัญ ดูเหมือนว่าธันจะยังไม่ลืมเรื่องเวลาที่ตกลงกันไว้
“วะ วะ วะ ว่าไงวะ”
เสียงของธันตอบออกมาอย่างตะกุกตะกัก ธันในขณะนั้นได้เฝ้ามองเฟี๊ยตมาสักพักแล้ว เด็กหนุ่มตื่นก่อนเป็นเวลาชั่วไม่นานนัก
“เป็นไรวะ ทำไมพูดติดๆ ขัดๆ” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นอย่างงงๆ
“ปะ ปะ ปะ เปล่า โธ่เอ๊ย ก็บอกว่าเปล่าไง”
ยิ่งธันพยายามจะทำให้คำพูดของตัวเองดูปรกติเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้มากเท่าไหร่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังแอบซ่อนความผิดต่อหน้าพ่อแม่อย่างนั้น ธันเริ่มวิตกจริตขึ้นไปอีกเมื่อสำนึกได้ว่าคนฉลาดอย่างเฟี๊ยตต้องจับพิรุธที่เกิดขึ้นในตัวเขาได้แน่ เด็กหนุ่มพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อปรับความรู้สึกไม่แสดงออกจนมากเกินไปแบบนี้ ดูเหมือนวิญญาณอาภัพนั่นจะหักหลังเขาเสียแล้ว
“ธัน กูถามจริงๆ เถอะ นี่มึงคิดจะปกปิดไปถึงไหนวะ”
เฟี๊ยตเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาของเขาจ้องมองลึกลงไปในแววตาของเด็กหนุ่มอย่างหาคำตอบ
“เฟี๊ยต มึงรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเหรอวะ”
เสียงของธันตอบมาเพียงสั้นๆ อย่างแผ่วเบา ชั่วขณะ ณ อารมณ์นั้น เขารู้สึกเหมือนก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายของเขามันบินหนีหายไปเสียแล้ว เขารู้สึกโหวงไปหมดทั้งใจ ลำคอมันแห้งผาก เขาไม่รู้จะเลือกใช้ประโยคหรือคำใดในสภาวการณ์เช่นนี้เลย
ทางไปเม้ามอยหอยกาบ :
www.facebook.com/allornonetheauthor
