บทที่ 160 In The Sky
ชายทั้งสองคนตอบรับคำเชิญรับประทานอาหารเที่ยงในห้องอาหารของเรือบินบนฟ้าแห่งนั้น ห้องอาหารที่มีทิวทัศน์ด้านซ้ายเป็นกระจกกว้างสะอาดมองเห็นท้องฟ้าสุดลูกหูลูกตาทำให้ชายทั้งสองเจริญอาหารอยู่ไม่น้อย อาหารกลางวันบนวิหารลอยฟ้าแห่งนั้นจัดมาเป็นเซตอาหารแบบยุโรป ตั้งแต่เรียกน้ำย่อย สลัด จานข้าว อาหารล้างปาก อาหารจานหลัก และสิ้นสุดที่ของหวาน ดูเหมือนธันจะแอบลืมเรื่องราวบาดหมางกับผู้เป็นนายแห่งนี้ไปเล็กน้อย อาหารอร่อยๆ ทำเอาเด็กหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นมาได้ไม่น้อยเลย
“ไปกันเหอะธัน จะได้ลงไปเอาการ์ดที่ในตัวเมืองด้วย ยังไม่เคยเดินเล่นในเมืองพฤษภาคมเลย” เฟี๊ยตพูดพร้อมกับยืนขึ้น หลังจากทั้งคู่จัดการกับของหวานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ยย จะรีบไปไหนอะ อยู่กินมื้อเย็นอีกมื้อดิ อาหารอร่อยจะตาย ฟรีด้วย” ธันพูดอย่างสบายๆ
“เจ้าของเขาไล่แล้วจะอยู่อีกทำไม มื้อเย็นหาอาหารกินเองก็ได้มั้ง” เฟี๊ยตตอบ
“ไล่ โดนไล่ตอนไหน โดนหลอกด่าว่ามีไพ่น้อยต่างหาก” ธันพูดออกมาพร้อมกับหน้าที่เริ่มเบ้น้อยๆ อย่างไม่สมอารมณ์เรื่องบทสนทนาเมื่อครู่เท่าไหร่นัก
“เขาบอกว่าเชิญทานอาหารเที่ยงตามสบาย นั่นแปลว่าเขาเต็มใจให้ทานแต่อาหารเที่ยงไง ไม่ใช่มื้อเย็น โอเค๊” เฟี๊ยตตอบไปแบบเรียบๆ
“เฮ้ยย มันมีความหมายขนาดนั้นเลยเหรอ” ธันหันกลับมาถามแบบสงสัย
“มันก็แปลความได้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ เท่าที่เล่นเกมมาได้สักพักก็พอจะจับจุดได้ว่า ถ้าคนในเกมนี้จะบอกอะไรสักอย่าง เขาจะไม่บอกตรงๆ หรอก มันจะแอบซ่อนอยู่ในคำพูดเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้แหละ ดูอย่างคำใบ้ของหมู่บ้านเด็กผู้ชายก็ได้ จะใบ้แท้ๆ ยังไม่บอกตรงๆ เลย ถ้าตั้งใจจับคำพูดให้ดีก็จะได้ข้อมูลอีกเยอะ” เฟี๊ยตพูดสิ่งที่ตัวเองสันนิษฐานมานานแล้วออกไป
“แล้วเมื่อกี้ โจแอนนาได้พูดอะไรเป็นความนัยออกมาบ้างหรือเปล่า”
ธันเริ่มหันไปถามอย่างสงสัย เขาเริ่มเห็นเค้ารางอะไรอยู่ในบทสนทนาอันชวนโมโหเมื่อครู่นี้ หรือบางที อาจจะเป็นตัวเขาเองที่อ่านเกมพลาดไป
“เท่าที่วิเคราะห์นะ ข้อแรก ตอนนี้เธอค่อนข้างเป็นมิตรกับเรา เพราะปรกติคนเป็นมิตรอาจพูดเผื่อเวลาต้องเป็นศัตรูในภายหลัง แต่คนเป็นศัตรูมักไม่พูดเผื่อว่าจะต้องเป็นมิตรในอนาคต” เฟี๊ยตเริ่มต้นพูดไปตามสมมติฐาน
“ข้อสอง พวกเราต้องได้เจอเธออีกแน่นอน”
“ข้อสาม ในตอนนี้ อันดับไพ่สูงสุดในเกมของเราสองคนถือว่ายังอยู่ในตำแหน่งท้ายๆ การพูดว่ามีไพ่น้อยมาก น่าจะเป็นเชิงเปรียบเทียบในรูปแบบอันดับมากกว่า นั่นหมายความว่า ถ้าอยากชนะเกมนี้จริงๆ เราคงจะต้องฝ่าฝันอะไรไปอีกมาก” เฟี๊ยตพูดต่อออกมาเมื่อเห็นว่าธันไม่พูดอะไรขัดออกมา
“และข้อสุดท้าย เธออาจจะไม่ได้อยากพูดจากระทบกระทั่งเราเลยก็เป็นได้ แต่นั่นอาจจะเป็นรูปประโยคที่เธอต้องพูดเพื่อสื่อถึงลำดับของผู้เล่นที่มีจำนวนไพ่สูงสุดในเกม อย่าลืมว่าเราไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่า ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว เราอยู่ที่ตำแหน่งไหน การปิดภารกิจใหญ่ๆ ได้จึงอาจจะมีรางวัลเล็กๆ เป็นการบอกถึงอันดับตรงนี้ ซึ่งเธอก็อาจจะไม่ได้อยากพูดจาให้ออกมาในรูปแบบนั้น แต่ก็อย่างที่เธอบอก มันเป็นแค่เกม บทของเกมอาจจะกำหนดให้เธอพูดแบบนี้ก็ได้”
ความจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจับพิรุธในคำพูดของโจแอนนามากมายเท่าไหร่ แต่เมื่อพฤติกรรมแสดงความรักของเธอกับน้องสาวกลายเป็นความกร้าวแข็งต่อพวกเขาที่แทบจะเรียกได้เลยว่าเป็นผู้มีพระคุณในช่วงเวลาเพียงอึดใจเดียว เรื่องมันก็ดูย้อนแย้งและน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย
เฟี๊ยตจับลักษณะการพูดแฝงความนัยแบบนจากไบเบิ้ลนั่นเอง เห็นได้ว่าหลายครั้งที่ไบเบิ้ลพยายามจะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์แก่เขา ไบเบิ้ลต้องเลี่ยงคำตอบอย่างตรงไปตรงมาและเปลี่ยนมาใช้การพูดสื่อความแบบอ้อมๆ แทน นั่นแปลว่าหลายๆ ข้อมูลในเกมนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถส่งมอบกันได้โดยตรง แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินกว่าพยายามของผู้ที่ต้องการจะบอกออกมาจริงๆ และยิ่งข้อมูลได้มายากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบอกถึงคุณค่าในตัวมันเองมากเท่านั้น
ธันที่นั่งฟังอย่างสงบจนครบทุกข้อนั่นอ้าปากขึ้นเหมือนจะพูดอะไรออกมาอยู่หลายครั้ง แต่เด็กหนุ่มก็ปิดปากลงอย่างตัดสินใจไม่ถูก สีหน้าของธันแสดงความสงสัยและค่อยๆ คลี่คลายลงตามลำดับ คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันในตอนแรกนั้นสลายปมออกในที่สุด ธันในขณะนั้นไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาเลย เด็กหนุ่มทำแค่เพียงพยักหน้าตามอย่างรับฟัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาเชื่อใจโจแอนนาในตอนแรก แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เขาจึงโกรธโจแอนนาในทีถัดมา ในขณะที่ เฟี๊ยตบอกให้เขาระวังตั้งแต่ต้น แต่เขาก็หลงเชื่อ พอต่อมาที่เขาไม่พอใจ เฟี๊ยตก็พลิกกลับมาให้เขามองอีกมุมหนึ่ง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ดีที่สุดอาจจะเป็นอย่างที่โจแอนนาบอก อย่าเชื่อ อย่าไว้ใจ อย่าอคติ อย่าโกรธเคืองใคร เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็เป็นแค่เกม
เฟี๊ยตเริ่มต้นออกเดินเพื่อออกจากวิหารแห่งนั้นหลังจากที่เห็นว่าธันไม่มีทีท่าอยากจะซักถามเรื่องอะไรต่ออีก ธันในขณะนั้นได้แต่ปล่อยความคิดตัวเองไปตามเรื่องราว และเดินตามเภสัชกรหนุ่มไปเงียบๆ เท่านั้น
“หยุดเลย” ธันเอ่ยขึ้นห้วนๆ เมื่อเฟี๊ยตหยิบไพ่สีเขียวขึ้นมาและทำท่าจะใช้มันกลับไปยังเมืองเบื้องล่างอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า ตกลงแล้วไงว่าค่อยมาขับเล่นคืนนี้” เฟี๊ยตพูด
“ขับตอนกลางคืนจะไปสนุกอะไร ท้องฟ้ามืดอย่างกับอะไรดี กลางวันนี่แหละ ฟ้าสวย นะเฟี๊ยต ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรต้องรีบแล้ว เราคงไม่มีโอกาสได้ขี่มอเตอร์ไซค์เหินฟ้ากันบ่อยๆ หรอกน่า” ธันโน้มน้าวมาอย่างมีเหตุผล
“มันเสียเวลา” เฟี๊ยตแย้ง
“แล้วจะรีบไปไหนเล่า พักบ้างดิ เทคอิทอีซี่หน่อย” ธันพูดอย่างเกลี้ยกล่อม
“เออๆ ตามใจ”
เฟี๊ยตพูดพร้อมกับเก็บการ์ดของตนลงในสมุด หลังจากที่บวกลบคูณหารแล้วพบว่า ถ้าใช้การ์ดเวทมนตร์อีกก็จะต้องเสียการ์ดไปฟรีๆ อีกหนึ่งใบเพราะไพ่เวทมนตร์ใช้แล้วจะหายไปเลยไม่เหมือนไพ่ตัวตนอย่างมอเตอร์ไซค์นั่น คิดๆ ไปก็ไม่เสียหาย นั่งรถชมวิวบ้างก็คงสนุกดี
“โกวววววววววววววววววววววว”
เสียงของธันดังขึ้นอย่างร่าเริงพร้อมกับเสียงเร่งของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ เด็กหนุ่มบิดคันเร่งพุ่งตัวออกไปพร้อมกับประตูอัตโนมัติที่เลื่อนขึ้นจนสุดเพดาน รถคันยักษ์ทะยานออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอกอย่างรวดเร็ว ลมแรงไม่น้อยพัดเข้าปะทะหน้าของเฟี๊ยตอย่างรวดเร็ว เขาเกือบจะลืมความรู้สึกแบบนี้ไปเสียแล้ว ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆ ตรงมุมปาก ความจริงการทำตัวไร้สาระบ้าๆ บอๆ บ้างนี่ก็ไม่เลวนะ
“จับแน่นๆ นะน้องตี๋ เดี๋ยวพี่จะซิ่งแล้ววววว” เสียงธันตะโกนออกมาแข่งกับเสียงลมพัดที่อื้ออึงไปหมด ณ เวลานี้
“จะรีบไหนวะ ขับช้าๆ ก็ได้” เฟี๊ยตบ่น
“ขับช้าๆ แล้วมันไม่มันนะตี๋ อะดรีนาลีนหนะตี๋ รู้จักไหม อะดรีนาลีน” ธันยังตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน
“เออๆ จะขับอะไรก็ขับไป เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
เสียงของเฟี๊ยตร้องดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อยังไม่จบประโยคดี เด็กหนุ่มสารถีก็เร่งเครื่องอย่างรวดเร็วจนรถกระตุกไปทั้งคัน เฟี๊ยตฉวยคว้าเอาเอวคนเบื้องหน้าเอาไว้แน่นอย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มพึมพำในลำคอออกมาอย่างหงุดหงิดน้อยๆ ลมแรงๆ ตีหน้าตลอดนี่มันก็เจ็บอยู่เหมือนกันนะ
“มึงจะรีบไปหาพ่องงงงงงง มึงเหรอ” เฟี๊ยตตะโกนส่งเสียงแข่งกับเสียงลมพัดดังนั่นไปให้คนข้างหน้า
“อะไรนะ” เสียงของธันตะโกนดังออกมาไม่แพ้กัน ยิ่งความเร็วมากเท่าไหร่ ลมก็ยิ่งพัดแรง เสียงลมก็ดังขึ้นไปเป็นทวีคูณ
“กูถามว่า มึงจะรีบขับรถไปหาพ่องงงงงงงงง มึงเหรอ” เฟี๊ยตกระเถิบเอาหน้าไปพูดช้าๆ ชัดๆ ตรงริมใบหูของสารถีขี้เล่นนั่น เสียงดังขนาดนี้ มันจึงเป็นไปแทบไม่ได้เลยที่จะพูดคุยกันอย่างปรกติแล้วได้ยิน
สถานการณ์ในขณะนั้นจึงกลายเป็นว่าธันอยู่ในอ้อมกอดของเฟี๊ยตอย่างเต็มตัว โดยมีคนเบื้องหลังนั่นเอาใบหน้ามาวางไว้บนไหล่ข้างขวาของคนขับ พวกเขาทั้งคู่ตะโกนคุยกันไปมาโดยมีเสียงกระแสอากาศดังกระหึ่มเป็นฉากหลังอยู่อย่างนั้น ถ้าหากเฟี๊ยตสามารถมองเห็นธันได้เต็มตาในเวลานี้ เขาจะค้นพบรอยยิ้มหนึ่งที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มนามว่าสายฟ้านั้นแน่นอน
“อ๋อ จะรีบไปหาพ่อ ได้ เดี๋ยวพี่เร่งให้นะตี๋ ฮ่าฮ่า” ธันหัวเราะร่วนออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน
บรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เฟี๊ยตตะโกนกรอกหูธันเป็นเสียงยาว ในขณะที่ธันก็ยังคงรักษาระดับความเร็วไว้อย่างต่อเนื่องอย่างนั้น
ทันทีที่พวกเขาหลุดออกมาจากเมฆก้อนใหญ่ที่ขวางกางอยู่เบื้องบน ลับสายตาอีกที ทิวทัศน์ทั้งหมดก็กลายเป็นเมืองแห่งสายลมที่แสนจะกว้างใหญ่เสียแล้ว ทิวแถวของกังหันลมสุดลูกหูลูกตานั่นทำเอาคนซ้อนในขณะนั้นพึมพำเสียงออกมาอย่างประทับใจ ในจังหวะเวลานั้น เฟี๊ยตไม่ได้ถอนศีรษะออกมาจากบ่าของธันเสียแล้ว เพราะการตั้งตัวตรงอยู่ข้างหลังนั้นจะต้านลมและโดนอากาศปะทะจนเจ็บอยู่ไม่น้อย เฟี๊ยตจึงเลือกที่จะห่อตัวติดกับธันและเอาหน้าตั้งไว้บนตัวชายหนุ่มข้างหน้านั่นอย่างนั้นต่อไป บางที เสียงคลื่นลมเหนือเมืองพฤษภาคมในเวลานั้นอาจจะลั่นดังมากจนเกินไป มากเกินกว่าที่คนๆ หนึ่งจะสัมผัสได้ว่าก้อนเนื้อที่สถิตอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของตนนั้นเต้นไปด้วยจังหวะที่ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่เลย
“เฟี๊ยตตต” ธันตะโกนแข่งกันเสียงลมดัง
“ว่างายยย” เฟี๊ยตตะโกนตอบไปเช่นกัน
“กูมีอะไรจะถามมึงหน่อยยย”
“จะถามอะไร แต่อย่าถามโจทย์ฟิสิกส์นะ กูคิดไม่ทันนน”
“มึงมีแฟนยังวะ”
“ถามทำไมวะ”
“กูอยากรู้ว่าหน้าจืดๆ อย่างมึงจะมีคนเอาไหม”
“จืดพ่อง แฟนเก่ากูเป็นดาวโรงเรียน อย่าดูถูกกู”
“กูถามว่าตอนนี้มึงมีแฟนไหม ไม่ได้ถามว่าเคยมีแฟนเก่าไหม อย่ามั่ว”
“ไม่มี”
“อะไรนะ”
“กูบอกว่ากูไม่มีแฟน”
“กาก”
“กากพ่อง กูแค่ยังไม่พร้อม”
“เออ นั่นแหละ เขาเรียกว่าไม่มีใครเอา ไอ้หน้าจืด”
“แล้วมึงหละไอ้หน้าแขก หน้าอย่างมึงอะ หาแฟนได้หรือไง”
“ไม่มีเว่ย กูหล่อเลือกได้”
“ถุยยย มึงก็ไม่มีใครเอาเหมือนกันหละวะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ดูเหมือนว่าวันนี้ท้องฟ้าจะเปิดกว้างและสว่างส่องประกายสดใสเป็นพิเศษ เมฆก้อนใหญ่โตเหล่านั้นก็ดูจะเป็นสีสันรูปทรงแสนแปลกตา ฝูงนกที่บินกันอยู่ลิบตรงฝั่งนั้นก็ดูจะสวยงามขึ้นมาทันทีทันใดอย่างไม่มีเหตุผล และบทสนทนากลางท้องฟ้ากว้างใหญ่นั่นก็สิ้นสุดลง ณ ตำแหน่งนั้นนั่นเอง
ทางไปเม้ามอยหอยอบแห้ง
www.facebook.com/allornonetheauthor