ตอนที่ 28ผมเริ่มรู้สึกตัวเปลือกตาเริ่มขยับแต่ต้องปิดลงอีกครั้งเพราะแสงที่แยงเข้าตา ผมพยายามกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงจนสามารถลืมตาได้ สิ่งที่ผมเห็นเป็นแสงจากหลอดไฟบนฝ้าเพดานสีขาวและมีอาการมึนงงของคนที่เพิ่งรู้สึกตัว จากสภาพที่เห็นผมน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ว่าทำไมผมถึงได้มานอนที่นี่ แรงขยับของเตียงที่ผมนอนอยู่ทำให้สายตาผมมองไปยังต้นเหตุ พบกลุ่มผมดำของคนที่ซบนอนอยู่ข้างเตียง สายตาผมยังจับจ้องว่าใครกันที่มานั่งหลับข้างเตียงผมอยู่แบบนี้ จนหัวทุยนั้นขยับพลิกหน้ามาให้เห็น
“มิค” เสียงแหบเรียกชื่อคนรักที่แทบไม่ได้ออกจากลำคอ
ใบหน้าหวานที่แสนคิดถึงมาอยู่ใกล้ผมแค่มือเอื้อม แต่ผมไม่กล้ายื่นมือออกไปกลัวเป็นเพียงภาพฝัน ถ้าผมเอื้อมสัมผัสภาพนี้มิคจะเลือนหายไปรึเปล่าครับ สายตาผมได้แต่จับจ้องมองใบหน้าด้านข้างของมิค แพขนตาหนาที่ไร้แว่นบดบังกระพริบปรือเริ่มขยับตัวก่อนเงยหน้าขึ้น และเราก็ได้สบตากันสายตาที่ผมได้สบมองมีแววตาแสดงความห่วงใยฉายชัดออกมา และนั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือภาพฝัน ถ้าเป็นมิคตัวจริงเค้าไม่มีทางมาอยู่ตรงนี้และส่งสายตาห่วงใยมาให้ผมแบบนี้แน่นอนครับ เพราะมิคยังโกรธผมอยู่และต้องการให้เรานั้นห่างกัน
“ฟิน!” เสียงหวานที่เรียกชื่อผมมาพร้อมสัมผัสของมือนุ่มที่แก้ม นี่ผมไม่ได้ฝันไปแต่เป็นมิคคนรักของผมเค้ามาอยู่กับผมตรงนี้แล้วครับ
“มิค ฟินขอโทษ”
ผมเอ่ยคำกล่าวที่ต้องการคำตอบคือการอภัยให้กับความผิดที่ผมได้ทำไป จนไม่ได้ใส่ใจกับมือนุ่มที่เฝ้าวนเวียนเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง ใบหน้าเศร้าๆของมิคทำให้ผมใจไม่ดีกลัวว่ามิคจะไม่ยอมยกโทษให้ ผมคว้ามือนุ่มที่อยู่ข้างแก้มไว้ทั้งสองมือและพรมจูบซ้ำๆย้ำคำขอโทษให้ร่างบางใจอ่อนให้กับผม ช่วงเวลาที่ห่างจากคนรักมันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานแม้ได้เห็นแต่ไม่อาจสัมผัสได้
“ฟิน หยุดร้องไห้นะครับ”
สัมผัสจากคนรักที่สวมกอดมาพร้อมความอบอุ่นเริ่มจากใจลามไปทั่วทั้งตัว จนผมไม่อยากคลายจากกอดนี้เพราะมันช่างนุ่มนวล อบอุ่น และเต็มไปด้วยความโหยหา ผมโอบกอดร่างเล็กแน่นซบหน้ากับบ่าเล็กและเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองร้องไห้เพราะความชื้นที่เสื้อบริเวณไหล่บางที่ผมซบหน้าอยู่ เราอยู่กันท่านี้นานเท่าไหร่ไม่รู้เพราะผมอยากยืดช่วงเวลานี้ไว้ไม่ให้หายไป
“ฟิน” เสียงหวานกระซิบชื่อผมข้างหูและดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของผม
ผมที่ไม่อยากออกจากกอดอบอุ่นที่แสนคิดถึงนี้พยายามฝืนตัวไว้ จึงได้ยินเสียงแข็งแกล้งดุจากมิคจนต้องยอมทำคลายกอดตามที่มิคต้องการ
“ฮิๆ ไอ้คนขี้อ้อนเอ้ยยย” เสียงหัวเราะใสดังขึ้น ใบหน้าหวานยิ้มกว้างตาปิด หน้าที่ไร้แว่นบดบังแบบนี้ยิ่งทำให้ผมได้เห็นหน้าคนรักได้ชัดตา
เหมือนว่าผมไม่ได้ยินเสียงนี้และไม่ได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างแบบใกล้ชิดอย่างนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ผมต้องจับจ้องนิ่งไม่อยากกระพริบตากลัวว่าภาพที่แสนรักนี้จะหายไปใจสั่นรัวเหมือนครั้งแรกที่ได้เห็นและรู้ซึ้งว่ามิคมีอิทธิพลกับใจผมมากแค่ไหน ผมมารู้สึกตัวก็เพราะแรงบีบจมูกเบาๆจากนิ้วขาวๆของคนรัก และเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ย
“ฟินนนน เดี๋ยวมิคเรียกหมอก่อนนะ”
หลังรู้สึกตัวและรับรู้ว่ามิคจะทำอะไรผมก็คว้าเอวบางมาใกล้ตัวยกร่างเล็กขึ้นนั่งบนเตียงและกอดแน่น จนมิคอุทานออกมาเพราะความตกใจ
“ไม่เอาฟินไม่ให้มิคไปไหน เดี๋ยวมิคหายไป” ผมพูดอู้อี้กับไหล่บาง และได้ยินเสียงคนในอ้อมกอดหัวเราะเบาๆออกมา
“ฮึๆ ฟินคลายกอดนิดนึง มิคไม่ไปไหนหรอกแค่จะกดกริ่งเรียกพยาบาลเท่านั้นเอง”
ผมคลายกอดให้มิคได้เอี้ยวตัวไปกดกริ่งที่หัวเตียง แต่ยังไม่ปล่อยให้คนรักที่ผมแสนรักแสนคิดถึงหลุดจากอ้อมกอดของตัวเอง มิคก็ไม่ขัดใจผมยอมให้ผมกอดตัวเองอยู่แบบนั้น จนมีคนเคาะประตูมิคจึงขยับตัวเหมือนจะให้ผมปล่อยแต่ผมไม่ยอมหรอกครับ ขอใช้สิทธิคนป่วยอ้อนคนรักที่น่าจะยกโทษให้ผมหมาดๆก่อนล่ะกัน
“อุ้ย! เอ่อ คนป่วยฟื้นแล้วนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตรวจร่างกายหน่อยค่ะ” เสียงผู้หญิงอุทานขึ้นและพูดขออนุญาตปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง
ผมคิดว่าน่าจะเป็นพยาบาล จึงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นพยาบาลสาวในชุดสีขาวเรียบร้อยมีใบหน้าแดงระเรื่อแต่ยังมีรอยยิ้มส่งมาให้เราทั้งคู่ ผมก้มมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ผมกอดอยู่ก็พบว่าหน้ามิคก็แดงไม่แพ้เธอเลยครับ แถมยังขยับตัวขลุกขลักในอ้อมกอดผมด้วย ผมจึงต้องยอมปล่อยคนรักออกจากอ้อมกอดและจึงให้พยาบาลเข้ามาตรวจร่างกาย แต่สายตาผมนั้นไม่คลาดไปจากร่างเล็กของมิค ที่พอลงจากเตียงได้ก็ก้มหน้าก้มตาหยิบแว่นที่หัวเตียงมาสวมและเดินเลี่ยงไปนั่งโซฟาที่ตั้งชิดผนังข้างเตียงผู้ป่วย มิคเงยหน้ามาสบตาผมแต่หน้ายังแดงระเรื่อคงอายสายตาพยาบาลน่ะครับ เราสบตากันผมก็ส่งยิ้มไปให้คนหน้าแดงแต่มิคซิครับไม่ยอมยิ้มตอบ กลับเลื่อนสายตาไปยังพยาบาลที่กำลังวัดอุณหภูมิผมและจับแขนผมเพื่อวัดความดัน ผมปล่อยให้เธอทำหน้าที่ไปครับไม่ได้สนใจต่อจากนี้ว่าจะทำอะไรบ้าง สายตาผมยังมองไปที่มิคที่ตอนนี้หยิบโทรศัพท์กดโทรออกและดูเหมือนว่าจะโทรหาคุณตาผมนั่นเอง
“คุณตาครับฟินฟื้นแล้วครับ...ครับ...มิคอยู่ได้ครับ....เดี๋ยวน้องชายเอามาให้ครับ....ครับ....สวัสดีครับ”
ระหว่างคุยโทรศัพท์มิคก็เงยหน้ามามองผมบ้างก้มหน้าคุยบ้างแต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับตลอดเวลาที่คุยมันก็ทำให้ผมมองเพลิน จนไม่รู้ว่าพยาบาลเธอตรวจร่างกายผมเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณชินกรณ์มีอาการปวดหัวหรือคลื่นไส้มั้ยคะ” เสียงพยาบาลดังขึ้นข้างตัว
จนผมต้องละสายตาจากร่างคนรักหันมามองเธอก่อนส่ายหน้าแทนการตอบ และหน้าผมคงมีเครื่องหมายคำถามอันโตอยู่เพราะมาถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมานอนที่โรงพยาบาลได้ยังไง รู้แต่ว่าพอฟื้นแล้วเจอคนที่ผมคิดถึงมากอยู่ใกล้แบบนี้ก็ลืมเลือนความสงสัยของตัวเองซะหมดสิ้นเลยครับ
“ไม่มีอาการก็ดีแล้วค่ะ เพราะศีรษะคุณกระแทกกับขอบโต๊ะอย่างแรงร่วมกับร่างกายอ่อนเพลียจากการทำงานและขาดสารอาหารร่วมด้วยเลยทำให้คุณหน้ามืดหมดสติค่ะ”
ผมจับหัวตัวเองพบว่ามันถูกพันไปด้วยผ้ากอซ มือก็ถูกเจาะน้ำเกลือและเริ่มมีอาการเจ็บจี๊ดๆที่ขมับขวาจนเผลอครางออกมา
“ซี๊ดด” จบเสียงครางผมก็รู้สึกถึงมือนุ่มมาแตะที่หัวตัวเอง
เมื่อหันไปก็พบใบหน้าหวานของมิคหัวคิ้วขมวดมุ่นตาจับจ้องไปที่หัวผมก่อนก้มมองสบตากัน ผมได้เห็นสายตาห่วงใยของคนรักแบบนี้ก็ยิ้มกว้างให้มิคส่งกำลังใจผ่านสายตาว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากและคว้ามือนุ่มมากุมไว้
“ฟินไม่เป็นอะไรครับ เจ็บแผลนิดหน่อยเอง” สีหน้ามิคคลายความกังวลลงทันทีที่ผมพูดจบ
“คุณหมอจะมาดูอาการอีกทีตอนเช้าค่ะ แต่เท่าที่ตรวจเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะคะ ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ” เสียงพยาบาลสาวเรียกสายตาเราทั้งคู่ให้หันไปทางเธอและพบรอยยิ้มสวยส่งมาให้พร้อมรายงานสิ่งที่เราต้องรู้ ก่อนเอ่ยขอตัวออกจากห้อง
“ขอบคุณครับ” มิคเอ่ยหลังเธอพูดจบ
เมื่อเราอยู่กันสองคนในห้องผมก็คว้าร่างบางของมิคเข้าสู่อ้อมกอด ผมกอดร่างที่ผมโหยหาและคิดถึงไว้แน่นเราไม่มีคำพูดต่อกัน เมื่อผมได้ซึมซับความอบอุ่นของร่างบางและบรรเทาอาการโหยหาที่มีต่อมิคลงแล้ว ผมจึงเอ่ยสิ่งที่ยังค้างคาระหว่างเราขึ้น
“มิคครับ ฟินขอโทษนะครับที่โกหกมิค ฟินยอมรับผิดทุกอย่างมิคอภัยให้คนงี่เง่าคนนี้นะครับที่รัก”
ผมจับกุมมือทั้งสองข้างของมิคไว้แน่นและส่งสายตาสำนึกผิดและต้องการการอภัยจากคนรักไปให้คนตรงหน้า
“ฟิน ฟินรู้ใช่มั้ยว่ามิคเจ็บแค่ไหน” สายตาหวานภายใต้แว่นเริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแต่มันยังไม่หลั่งรินออกจากตาหวาน
ผมใจหายกับสิ่งที่มิคพูดและสิ่งที่ตาเห็นว่าคนรักเค้าเสียใจร้องไห้กับการกระทำของตัวเอง ผมพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่มิคเอ่ยก่อนยกมือบางที่กุมไว้ขึ้นและพรมจูบซ้ำๆที่หลังมือทั้งสองข้าง เงยหน้าสบตาหวานไม่อาจเอ่ยคำขอโทษได้อีกเพราะลำคอที่ตีบตัน ผมได้แค่ขยับปากเป็นคำว่า ‘ขอโทษ’ ส่งให้มิคได้รับรู้
“ต่อไปอย่าโกหกกันแบบนี้อีกมีอะไรให้บอกแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม” น้ำตาใสหลั่งรินออกจากตาหวานเมื่อพูดจบประโยค
ผมพยักหน้าถี่รัวและเอื้อมมือหยิบแว่นออกจากใบหน้ามิค เพื่อเช็ดคราบน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าใสเพราะมันไม่เหมาะที่จะอยู่บนใบหน้าของมิคเลยครับ ผมเฝ้าเช็ดน้ำตาให้มิคแต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผมก็มีความชื้นเป็นสายออกจากตาอยู่บนหน้าตัวเองเหมือนกัน มารู้ตัวก็เพราะมือนุ่มที่เฝ้าวนเวียนเช็ดน้ำตาไม่ได้ต่างจากผมที่ปฏิบัติให้มิคเลย เราสบตากันและต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ฮิๆๆ / ฮึๆๆ”
ผมกอดร่างบางไว้แน่นกับอกกระซิบข้างหูหอมซ้ำๆว่า ‘ขอโทษ’ และให้สัญญาว่าผมจะไม่ทำความผิดแบบนี้ซ้ำอีก พอแล้วครับกับการห่างกันแบบนี้กับความรู้สึกเหมือนใจจะขาดเห็นหน้าแต่ไม่สามารถจับต้องได้แบบนั้น ‘ไม่เอาอีกแล้วครับ’
“มิคยกโทษให้ฟินนะครับ” กระซิบข้างหูหอมและจูบขมับนิ่งนานรอการให้อภัยจากมิคเป็นคำพูด
“อืม มิคยกโทษให้ แต่มิคให้ฟินได้แค่ครั้งเดียวนะ ฟินจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง” เสียงหวานพูดกับอกผมแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความรู้สึก
“ครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสฟิน ฟินรักมิคมากนะครับที่รัก”
ผมกอดกระชับร่างบางแน่นและเอ่ยคำรักปิดท้ายเพื่อย้ำให้มิคได้รู้ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน และผมจะไม่มีวันทำผิดพลาดซ้ำสองอีกแน่ ผมคลายกอดร่างนิ่มเชยคางให้มิคได้สบตาที่แสดงความจริงใจและสัญญาที่ผมส่งผ่านสายตาไปให้มิครับรู้ สายตาที่สบผมนั้นมีแววอ่อนหวานส่งมาให้กัน มันทำให้ใจผมแช่มชื่นและดีใจที่ได้คนรักกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง ริมฝีปากสีซีดของคนรักแม้มันจะไม่แดงฉ่ำเหมือนเดิม แต่มันยังสามารถดึงดูดให้ผมเคลื่อนตัวเข้าหา ความนุ่มที่ผมสัมผัสได้ด้วยริมฝีปากตัวเองนั้นทำให้ผมเต็มตื้นในความรู้สึก ผมละเลียดชิมความหวานตรงหน้าอย่างเชื่องช้าเหมือนการกินขนมที่ชอบเพราะไม่อยากให้มันหมดเร็วจนเกินไป
ผมไล้ลิ้นเปียกชื้นไปทั่วกลีบปากบนและล่างเลาะเปิดปากนุ่มอย่างเชื่องช้า อย่างต้องการขออนุญาตเจ้าของกลีบปากหวานให้เค้าพร้อมใจไปกับผม ร่างเล็กในอ้อมกอดผมสั่นระริกกระชับจับเสื้อด้านหน้าผมแน่น และดอกไม้หอมที่ผมเฝ้าไต่ตอมก็ยอมแง้มกลีบเปิดออกให้ผมชิมรสหวาน ลิ้นผมแทรกผ่านปราการนุ่มไล้ทั่วโพรงปากดูดชิมน้ำหวานของเกสรดอกไม้ที่ผมโหยหามาร่วมเดือนจากอารมณ์อ่อนหวานเปลี่ยนเป็นร้อนแรงอย่างคนที่โหยหาสัมผัสหวานที่ห่างหาย เหมือนคนที่เดินท่ามกลางทะเลทรายมาเจอบ่อน้ำ ผมเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นกับลิ้นนุ่มที่พยายามถดหนีแต่ต้องจนมุมให้กับผม เมื่อเจอผมทั้งดูดดึงเกี่ยวพันและเรียกร้องให้คนรักตอบโต้ ลิ้นเล็กเริ่มโอนอ่อนและตอบโต้รุนแรงอย่างไม่ยอมแพ้ ฝ่ามือนุ่มโอบรอบคอผมกดหัวผมเข้าหา เสียงหอบเหนื่อยและเสียงครางดังเล็ดลอดออกมาจากปากคนรักยิ่งกระตุ้นอารมณ์ผมให้สูงขึ้น
“อืมมมม”
เราอยู่ในโลกของตัวเองจดจ่อกับความหวานที่ปรนเปรอให้กันจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตูของใครบางคน จน
กระทั่งความหวานตรงหน้าผมโดนกระชากหลุดลอยไป และมีความเจ็บแปลบที่ใบหน้าด้านซ้ายมาแทนที่อย่างฉับพลัน
“พลัก!!”
...................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
คนรักกันเค้าย่อมอภัยให้กันได้ในที่สุด เมื่อต่างฝ่ายต่างเจ็บไม่แพ้กัน
แล้วความหวานก็กลับคืน แต่ใครกันหนอ? มาขัดจังหวะแถมดูท่าทาง
นายฟินจะเจ็บตัวซะด้วย ฮึๆๆ มาติดตามต่อกันในวันจันทร์นะคะ^^
และเตรียมตัวรับความหวานกันให้ดีๆ
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วนะคะ ฝากตามให้กำลังใจทั้งคู่ต่อด้วยค่ะ

และ

สำหรับการติดตามค่ะ