ตอนพิเศษ>>>มิค“วันนี้ก็มาซินะ”
รถยนต์คันคุ้นตาที่แอบจอดลึกเข้าไปในซอยบ้านผมมันไม่ได้รอดพ้นสายตาผมหรอกครับ และผมรู้มานานแล้วว่าเจ้าของมันน่ะพามันมาจอดแอบซุ่มทุกวันตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น
“มิคยังไม่ไปเรียนอีกเหรอลูก อ้อ วันนี้ก็มาอีกแล้วเหรอ แต่เมื่อไหร่น้าคนแถวนี้ถึงจะยกโทษให้เจ้าของรถคันนั้น”
ผมรู้มานานแล้วครับว่ารอยยิ้มของผมนั้นมาจากผู้หญิงที่สวยที่สุดตรงหน้าผมนี่เอง คุณแม่ผมท่านเหมือนจะบอกใบ้อะไรกับผมอยู่ใช่มั้ยครับและดูท่าจะเห็นใจเจ้าของรถคันนั้นมากกว่าลูกชายแบบผมที่โดนทำร้ายจิตใจนะครับเนี่ย
“แม่อ่ะ” ผมน่ะแกล้งงอนแบบสาวๆกับคนไม่กี่คนหรอกครับ หนึ่งในนั้นก็ท่านแม่สุดสวยผมนี่แหละครับ
“ฮึๆ ลูกชายแม่งอนด้วยเหรอเนี่ย ไปๆ ไปเรียนได้แล้วจ๊ะมิค แต่เอ๊ คนแถวนี้จะรู้มั้ยน้าว่าเจ้าของรถนั่นน่ะดูท่าจะแย่แล้วจากเทพบุตรกลายเป็นยาจกแล้วนะนั่นน่ะ ฮิๆๆ”
ผมรีบเดินขึ้นรถก่อนที่ท่านแม่จะทำให้ผมใจอ่อน แอบเหลือบดูกระจกส่องหลังก็เห็นว่าไอ้รถที่ซุ่มอยู่ขับตามมาห่างๆ คนที่ตามต้องพัฒนาฝีมือนะครับทำให้ผมรู้ตัวได้ยังไงกัน พอคิดถึงไอ้คนที่ขับรถตามอยู่นั่นใจหนึ่งยังโกรธแต่อีกใจก็เริ่มสงสาร ผมรู้นะครับว่าผมอาจจะดูใจร้ายในสายตาของหลายๆคน เพราะคิดว่าที่นายฟินทำมันก็แค่หวังดีอยากช่วยเพื่อนและที่ไม่บอกผมก็เพราะไม่อยากให้คิดมากน่าจะยกโทษให้เพราะเห็นแก่ความหวังดีที่มีให้เพื่อน แต่พวกคุณรู้มั้ยคนที่โดนปิดบังแบบผมน่ะพอได้ไปเห็น ‘แฟน’ ตัวเองสวีทหวานกับหญิงอื่นและนายนั่นมีท่าทางจะขอแต่งงานด้วยน่ะ ใจผมมันเย็นวาบเหมือนโดนแช่แข็งและลามไปทั้งตัวและใจมันเจ็บจนแทบจะยืนไม่อยู่คิดได้อย่างเดียวว่าผมโดนหลอกจากคนที่บอกว่ารักผม ก็ไหนว่าไม่ว่างติดงานขอเลื่อนนัดดูหนังกับผมเพื่อมากับผู้หญิงคนอื่นแบบนั้นเหรอถ้าผมไม่ได้ชวนน้องชายออกไปดูหนังเพราะผมอยากดูเรื่องนั้นมาก ผมก็คงไม่รู้และเรื่องมันก็จะผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เมื่อผมต้องมารับรู้ในลักษณะนั้นมันรู้สึกแย่มากครับ
เมื่อผมได้รู้ความจริงจากฟินเหตุผลนั้นผมรับได้นะครับถ้าฟินจะบอกผมก่อนไปทำอะไรบ้าๆนั่น แต่ผมกลับต้องมารู้เรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองแถมต้องรับรู้ว่าฟินโกหกผม ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่ชอบมากๆที่จะให้ใครมาโกหกกัน เคยเอ่ยปากบอกเจ้าตัวแล้วด้วยซ้ำว่ามีอะไรให้บอกอย่ามาโกหกกัน เพราะผมรู้ครับว่าการโกหกมันส่งผลร้ายให้เราเสมอ จะว่ามันเป็นเรื่องฝังใจก็ว่าได้ครับ ว่า ‘การโกหกมักคู่กับการสูญเสีย’ ประโยคนี้มันฝังในหัวผมจากเหตุการณ์ในอดีต
เมื่อตอนผมเป็นเด็กอายุสักเจ็ดขวบได้ผมไปเจอลูกแมวที่ถูกทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน มันมีสีขะมุกขะมอมขนแข็งเป็นหย่อมเพราะโดนโคลนที่แห้งแข็งจับเป็นก้อน ผมแอบเอามันกลับบ้านมาอาบน้ำครับจำได้ว่าวันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลย ผมจัดการมันเสร็จก็หลงรักมันทันทีครับ เพราะมันน่ารักมากเลยครับตาสีดำจ้องแป๋วมาที่ผม มันมีขนสีขาวที่นุ่มมากหลังเอาขี้โคลนออก ผมกอดรัดเล่นกับลูกแมวตัวนั้นพักใหญ่ เพราะตอนนั้นพ่อแม่มีผมเป็นลูกคนเดียวแม็คยังไม่เกิดครับ ผมไม่มีเพื่อนเล่นพอได้ลูกแมวมาก็คิดจะเลี้ยงมันครับ แต่พอพ่อแม่กลับมาบ้านผมไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยง เพราะแม่ผมเค้าแพ้ขนแมวและผมเป็นเด็กดีที่เข้าใจเหตุผลนะ แต่ความที่อยากเลี้ยงมันไว้เองจึงโกหกพ่อแม่ว่าจะเอามันไปให้เพื่อนบ้านที่เค้าเลี้ยงแมวอยู่แล้วให้เค้ารับไปเลี้ยงต่อ แต่ความจริงผมแอบเลี้ยงมันไว้ในสวนหลังบ้านตรงเรือนกล้วยไม้ของพ่อน่ะครับ ผมแอบเอามันไปไว้ในนั้นหานมไปให้มันกิน ด้วยความเป็นเด็กก็คิดว่ามันจะเพียงพอแล้วสำหรับลูกแมว แต่คงเป็นโชคร้ายของมันและความไม่รู้เดียงสาของผมทำให้มันตาย เพราะคืนนั้นฝนตกหนักลูกแมวตัวน้อยคงตกใจกับเสียงร้องของฟ้าฝนทำให้มันวิ่งออกจากเรือนกล้วยไม้มาหน้าบ้านและถูกรถชน
ผมมารู้ว่ามันตายก็ต่อเมื่อเช้าของวันใหม่แล้วเมื่อผมลุกมาตักบาตรหน้าบ้านพร้อมพ่อแม่ ภาพที่ผมเห็นคือลูกแมวตัวเล็กขนสีขาวเปลี่ยนเป็นแดงฉานจากเลือดทั้งตัวและมีเลือดออกทางปากทางจมูก ผมได้แต่ยื่นนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะไปใกล้มัน จนพ่อต้องอุ้มผมที่ยืนช็อคเข้าบ้านและจัดการลูกแมวน้อยที่น่าสงสารที่ต้องตายเพราะการโกหกของผม ก็ถ้าผมเอามันไปให้คนที่เลี้ยงมันได้มันก็คงไม่โดนรถชนตายแบบนั้น พ่อแม่เป็นห่วงกับอาการของผมที่ไม่พูดไม่จาอยู่เป็นวันหมอที่ท่านพาผมไปหาก็บอกแค่ว่าผมช็อคกับเหตุการณ์ที่เห็นแมวตายตรงหน้า คงต้องรอให้ผมกลับมาพูดเองตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็เพราะเสียงร้องไห้ของแม่ที่ดังอยู่ข้างตัว ท่านกอดผมแน่นและเขย่าเรียกสติผมให้รู้ตัว พอผมรู้ตัวอีกครั้งความทรงจำกับภาพแมวน้อยที่เต็มไปด้วยเลือดก็ลอยมาครับ ผมก็ร้องไห้จ้ากับอกแม่ทันทีแต่ผมก็รับรู้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นของท่านและเสียงเรียกชื่อผมของท่านเรียกดึงสติผมไว้ จนผมสงบลงและสารภาพเรื่องทั้งหมดให้ท่านทั้งสองฟัง พอได้ฟังท่านก็ปลอบประโลมและให้กำลังใจผมว่ามันไม่ใช่ความผิดผมไม่ต่อว่าผมสักคำที่เป็นต้นเหตุให้แมวน้อยนั่นตาย แต่มันก็เป็นปมในใจที่ฝังแน่นและนั่นทำให้ผมไม่คิดจะโกหกและไม่ชอบให้ใครมาโกหกผมครับ
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้ผมโกรธฟินมากแต่เมื่อเหตุการณ์มันผ่านมาเป็นเดือนความโกรธก็จางลงมากแล้ว แถมตัวต้นเหตุของความโกรธของผมก็เหมือนจะสำนึกรู้แล้วล่ะครับ อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมทำแบบนี้เพราะผมอยากให้บทเรียนคนที่บอกว่ารักกันนักหนาแต่กลับมาโกหกแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นั้น ในอนาคตข้างหน้าฟินจะไม่โกหกผมเรื่องใหญ่กว่านี้เหรอครับ และมันก็คงถึงเวลาแล้วมั้งที่ผมจะให้อภัยคนที่สำนึกผิด
Rrr Rrr Rrr
“ว่าไงครับมน” ผมกดรับโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาขัดจังหวะความคิด และเป็นสายของคนที่โทรหาผมบ่อยพอๆกับเพื่อนสนิทผมหลังเกิดเรื่องขึ้น
“มิค วันนี้ฟินมันโหมงานอยู่ที่บริษัท คุณพิมพ์บอกว่ามันไม่ยอมกินข้าวกลางวันน่ะ ซัดแต่กาแฟจนหน้ามันโทรมเป็นมหาโจรแล้วล่ะ” เสียงปลายสายรายงานแบบราบเรียบไม่ใส่อารมณ์ในคำพูด
“ครับ” ผมที่ไม่รู้จะตอบปลายสายยังไงก็แค่แสดงอาการรับรู้ว่าผมฟังอยู่เท่านั้น
มนเป็นคนที่คอยส่งข่าวรายงานความเคลื่อนไหวพฤติกรรมของฟินทุกฝีก้าวให้ผมรู้ครับ เธอไม่โน้มน้าวให้ผมหายโกรธหรือยกโทษให้ฟิน ก็แค่ให้ผมรับรู้ทุกช็อตว่านายนั่นทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และมันก็เป็นกิจวัตรประจำวันซ้ำๆที่ฟินเคยทำร่วมกับผมแต่ตอนนี้ก็แค่ต้องทำคนเดียวโดยไม่มีผมร่วมด้วยก็แค่นั้น และผมก็ฟังเธอรายงานเรื่องฟินอีกพักใหญ่ว่าตอนนี้นายฟินมีโครงการใหญ่ที่จะทำสัญญาขายสินค้าล็อตใหญ่ให้กับลูกค้าชาวไต้หวันทำให้งานยุ่งมาก แต่ฟินก็ยังขับรถตามรับส่งผมไม่เคยขาด อย่างตอนนี้ก็กลับไปนั่งทำงานต่อที่บริษัทและดูท่าจะเป็นแบบนี้อีกหลายวัน ไม่รู้ว่าตอนนี้จะได้กินข้าวรึยังนะ ถ้าไม่ได้กินข้าวแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าร่างกายจะทนทำงานหนักต่อไปได้อีกสักกี่วันกัน
Rrrr Rrrr
วันนี้ผมฮอทจังครับมีแต่คนโทรหา นี่ก็เป็นกัสเพื่อนสนิทผมครับ
“ว่าไงกัส มีอะไรให้มิคช่วยครับ” ส่งเสียงทะเล้นไปตามสายให้คนที่ผมรู้ว่าเค้าเป็นห่วงผมได้สบายใจ
“มิคอ่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างมิค ‘เหนื่อย’ มั้ย” เสียงหวานของกัสที่แอบเน้นกับคำว่า ‘เหนื่อย’ ท้ายประโยค ที่ผมแปลความหมายว่ามันมากกว่าถามว่าเรียนเหนื่อยมั้ย เจ้าตัวคงต้องการถามผมว่าผม ‘เหนื่อยใจ’ มั้ยมากกว่ามั้งครับเนี่ย
“.....อืม” ผมนิ่งไปนานก่อนตอบรับ
ผมยอมรับนะครับว่าผมเหนื่อย เหนื่อยใจที่ผมกับฟินเราต้องเป็นแบบนี้ ช่วงแรกที่เกิดเรื่องกัสและมายโกรธฟินมากพอๆกับผมล่ะครับ สองคนแทบจะไปเอาเรื่องกับนายนั่นที่บ้านเลยด้วยซ้ำครับ แต่ผมก็ห้ามไว้เพราะผมรู้ครับว่าฟินก็เจ็บพอๆกับที่ผมเจ็บ และบทลงโทษที่ผมเป็นผู้หยิบยื่นไปให้ฟินก็คงพอแล้วไม่ต้องให้เพื่อนผมเค้าไปโวยซ้ำหรอกครับ แค่นี้ผมว่าฟินก็สำนึกผิดแล้ว จนถึงตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจเพราะพฤติกรรมที่ฟินแสดงออกทั้งหมด
“กัสเริ่มสงสารฟินแล้วอ่ะ”
“ฮึๆๆ อะไรกัสแปรพักตร์แล้วเหรอ”
“มิคอ่ะ จริงๆกัสสงสารเพื่อนกัสมากกว่านะ เพราะกัสไม่ได้เจอหมอมิคที่ร่าเริงยิ้มง่ายเลยหายไปไหนก็ไม่รู้ กัสเจอแต่หมอมิคหน้าดุจนคนไข้ตัวน้อยร้องไห้จ้าเมื่อเจอหน้าอ่ะ มิค กัสอยากเห็นมิคยิ้มได้อีกครั้งนะ”
“อืม ขอบคุณนะกัส”
ผมรู้นะครับว่าเพื่อนรักผมแค่ไหนเพราะกัสที่เป็นเดือนเป็นร้อนแทนผมเมื่อรู้เรื่องจนแทบจะไปขย้ำนายฟินด้วยตัวเองทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยกัสคนที่แสนอ่อนหวานเลย และกัสที่คอยมาหาผมมาให้กำลังใจผมถึงบ้านทั้งๆที่บ้านผมก็อยู่ชานเมืองแบบนี้ไปกลับก็แสนไกลแต่ก็ยังมา จนตอนนี้เพื่อนถึงกับเอ่ยปากสงสารนายฟินขึ้นมานั่นแสดงว่าฟินก็คงอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากแล้วมั้งครับ ผมรู้นะว่ากัสคงรู้เรื่องฟินมาจากแฟนตัวเองแหละครับ เพราะฝั่งนู้นเค้าก็ผลัดเวรกันไปเฝ้าเพื่อนด้วย หรือนี่จะถึงเวลาแล้วจริงๆที่ผมจะยกโทษให้ฟิน ในเมื่อผมที่อยู่ในสภาพแบบนี้ก็เหนื่อยใจไม่แพ้กัน
.........................................................................
“มิค มิคครับ มิค” เสียงชายหนุ่มแว่วมาในความคิด
“อ๊ะ มีอะไรต้นเรียกเสียงดังเราตกใจหมด” ผมมองไปที่หน้าเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ก็พบสายตาเป็นห่วงเป็นใยส่งมาให้
“ต้นเรียกมิคตั้งนานแล้วครับ แต่มิคไม่ได้ยินนี่หน่า” ต้นทำหน้าสำนึกผิดส่งมาให้ผม จนผมอดจะหัวเราะไม่ได้ก็เหมือนหมาหงอยตอนที่เจ้าของไม่สนใจนี่ครับ
“ฮิๆๆ มิคไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่หน่า แล้วต้นเรียกมิคทำไมอ่ะ”
“ก็พรุ่งนี้วันหยุด ต้นว่าจะชวนมิคมาช่วยดูเรื่องงานวิจัยให้ต้นหน่อยครับ ต้นเห็นว่ามิคถนัดเรื่องสถิติอยากให้ช่วยดูให้ต้นหน่อย” ต้นส่งยิ้มอ้อนมาให้ผม ผมที่ได้เห็นก็ส่งยิ้มแหยๆไปให้เพราะไม่ชินกับรอยยิ้มอ้อนของผู้ชายคนอื่น ยกเว้นก็แต่ผู้ชายที่ผมเพิ่งมองหาเมื่อครู่เท่านั้น
“แหะๆ ได้ซิพรุ่งนี้สายๆเจอกันที่ห้องสมุดของคณะแล้วกัน”
ผมขนแขนลุกชันคันไม้คันมือจากรอยยิ้มอ้อนตาเยิ้มของต้น ผมทนไม่ไหวแล้วครับ เลยรีบตัดบทขอตัวออกมาที่รถเพื่อกลับบ้าน กลัวว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นได้มีเรื่องแน่ครับ ผมก็ผู้ชายนะมีไอ้ตัวผู้เหมือนกันมามองแบบนั้นเหมือนกับจะเขมือบผมกินมันทนไม่ได้ครับ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นและไอ้คนที่เป็นข้อยกเว้นมันหายไปไหนกันนะ วันนี้ตั้งแต่เช้าก็ไม่มีรถคุ้นตาขับตามผมเลยครับ หรือนายนั่นมันจะติดธุระไปประชุมที่ไหน แต่ไม่น่าใช่เพราะสายสืบสาวของผมเธอไม่เห็นรายงานนี่ครับ เอ๋ หรือผมควรจะโทรไปถามมนก่อนดี ระหว่างที่ผมขับรถคิดถึงไอ้คนที่มันหายไปโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำเอาผมสะดุ้งเบี่ยงพวงมาลัยรถทำเอารถเฉเกือบชนขอบทาง แต่ยังดีที่เอารถกลับมาทัน เฮ้อ ผมจะไม่ลำบากอย่างนี้เลยนะครับ
เนี่ยถ้าสารถีประจำตัวไม่ก่อเรื่องอ่ะ ผมกดรับสายโดยไม่ทันได้ดูว่าใครโทรมา
“ครับ มิคครับ....มนเหรอ มิคเพิ่งคิดถึงเองนะเนี่ย....หา!....มะ มนว่าอะไรนะ” ผมใจสั่นมืออ่อนจนต้องหาที่จอดรถข้างทางและตั้งสติตัวเองก่อนคุยกับปลายสายต่อได้
“อืม มิคไปเป็นอะไรแล้ว....แล้วฟินอยู่ที่โรงพยาบาลไหน....ครับ....ครับ มิคไปได้....เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
ผมมืออ่อนปล่อยโทรศัพท์ลงข้างตัวตั้งสติและประมวลผลสิ่งที่รับรู้มาจากสาวสืบแสนเท่ห์ของผม เธอโทรมารายงานว่านายฟินเข้าโรงพยาบาลกะทันหันครับ ให้ผมรีบไปด่วนไอ้ความตกใจและความสับสนตอนรับโทรศัพท์เมื่อแรกทำให้ผมลืมถามไปว่าฟินเข้าโรงพยาบาลเพราะอะไร แต่คงต้องหนักเอาการไม่งั้นมนคงไม่ทำเสียงตกใจและเร่งให้ผมไปแบบเร่งด่วนแบบนี้หรอกครับ
เมื่อตั้งสติได้ผมก็ขับรถไปยังโรงพยาบาลที่รู้ว่าฟินอยู่ทันที ไม่รู้ว่าฟินจะเป็นยังไงบ้างนะครับ ถ้าผมมีมนต์วิเศษผมล่ะอยากหายตัวได้แล้วไปยืนตรงหน้าให้ได้รู้ว่าฟินเป็นอะไรจังครับ ไอ้ความโกรธความโมโหที่เคยมีมันเลือนรางจนผมลืมคิดถึงไปแล้วครับตอนนี้ รู้แค่ว่าขอไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ฟินอยู่ให้เร็วที่สุดเป็นพอ เพราะผม ‘เป็นห่วง’ฟินเหลือเกินแล้ว
........................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
หมอมิคมาคลายข้อสงสัยเรื่องปมของการโกหกแล้วนะคะ
ใครคิดถึงก็ได้เจอแล้วเนอะ และมาม่าก็หมดถ้วย เย้ๆๆๆ
ตอนหน้าตามต่อค่ะว่าฟินเป็นอะไรถึงเข้ารพ.แต่ แหม
ช่างเหมาะเจาะซะจริง ทำเอาหมอมิคใจอ่อนเลย
ปล.+1ให้คนเข้มแข็งรับมาม่าทุกคนค่ะ ตอนหน้าเจอกันวันเสาร์ค่ะ
รวบ

ขอกำลังใจหน่อยค่ะ
