ตอนที่ 26“ภัส / ฟิน”
สองเสียงประสานเรียกชื่อผมและสาวสวยที่นั่งอยู่ คนที่เรียกเป็นผู้ชายทั้งคู่คนหนึ่งถึงผมไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็พอรู้ว่าเป็นใคร แต่อีกคนแค่เสียงไม่เห็นหน้าผมก็รู้แล้วครับว่าเป็นใคร เพราะทุกอย่างของคนๆนี้ได้ฝั่งไว้ในสมองและหัวใจของผมอยู่แล้วครับ
“มิค”
เสียงผมที่เปล่งออกมาเรียกชื่อคนรักมันแทบไม่ออกจากลำคอเลยครับ ใบหน้าหวานที่คุ้นเคยซีดเผือดแววตาไหววูบเห็นร่องรอยของความผิดหวังส่งออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยจนเกือบเย็นชาใบหน้าที่นิ่งสงบของมิคแบบนี้ ผมนั้นเดาไม่ถูกว่ามิคคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่ที่ทำเอาผมรู้ตัวและลุกขึ้นคว้ามือนุ่มมากอบกุมไว้ก็เพราะสายตาที่ว่างเปล่าไม่แสดงอารมณ์ใดๆให้จับได้ว่าคิดอะไรและที่สำคัญเหมือนมิคไม่มีผมอยู่ในสายตา มือผมสั่นอย่างรู้สึกได้ส่วนมือที่ผมจับกุมไว้มันเย็นเฉียบจนต้องบีบให้เจ้าของเค้ารู้ตัวว่าผมยืนอยู่ตรงนี้และจับมือมิคไว้
“มิคครับ”
ผมหาเสียงตัวเองเจอแต่มันก็สั่นพร่าตามแรงอารมณ์ผมกลัวเหลือเกินกลัวว่าเจ้าของมือที่ผมกุมไว้เค้าจะหายไปต่อหน้าต่อตาผม มิคที่ได้ยินผมเรียกหันมาสบตาเหมือนเป็นสันชาติญาณซะมากกว่าที่ทำให้หันมาทางผม แววตาที่เลื่อนลอยกลับมามองผมและมันนิ่งสนิทจนผมต้องกลืนน้ำลายให้ลำคอที่แห้งผากกลับมาชุ่มชื่นเพื่อสามารถสื่อสารกับมิคได้อีกครั้ง
“ฟินอธิบายได้นะครับ”
เราจ้องตากันผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจออกไปและไม่ได้สนใจว่านักแสดงที่แสดงร่วมกับผมนั้นจะเป็นยังไง หรือใครจะมองพวกผมแบบไหน เพราะผมสนใจแต่คนตรงหน้าเท่านั้น
“มิคครับ เรื่องนี้ภัสเค้า....”
“ผมว่าเราไปคุยที่อื่นดีกว่า” เสียงเข้มดังขัดขึ้น
ก่อนที่ผมจะได้อธิบายให้มิคฟังก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน ผมเงยหน้ามองจึงรู้ว่าเป็น ‘แม็ค’ น้องชายมิคที่มองผมด้วยสายตาเข้มดุแต่ผมก็สู้สายตาเพราะเรื่องนี้ผมไม่ผิดแค่ตอนนี้เราเข้าใจผิดกันเท่านั้น ถ้าจะผิดก็แค่ผมโกหกเป็นสาเหตุที่ต้องเลื่อนนัดมิคและไม่ได้บอกมิคเรื่องที่ผมมีแผนมาเล่นละครบ้าๆแบบนี้ช่วยเพื่อน เราประสานสายตากันไม่นานมารู้ตัวจากแรงที่พยายามดึงข้อมือตัวเองออกจากมือผม ผมจึงหันกลับมามองมิคที่หันหลังเตรียมเดินออกนอกร้าน แต่ผมก็รั้งไว้และใช้อีกมือล้วงกระเป๋าสตางค์ก่อนโยนส่งให้แม็คและเดินตามร่างบางออกมานอกร้าน
ผมไม่สนใจว่านายแม็คจะรับกระเป๋าได้มั้ยแล้วเดินตามมาทันรึยังเลยครับ เพราะสายตาและความสนใจทั้งหมดของผมอยู่ที่ร่างบางข้างหน้า แผ่นหลังเล็กที่ตั้งตรงไม่ได้แสดงให้รู้ว่ามิคคิดยังไงแต่มันบอกผมได้ว่าเจ้าของไม่ใช่คนอ่อนแอหรือคนที่จะไม่รับฟังเหตุผลของผม เพราะนี่หมายความว่ามิคยังไม่โกรธผมถึงขั้นไม่อยากฟังหรือแม้แต่ไม่อยากเห็นหน้าผม มิคที่เป็นแบบนี้จึงทำให้ผมยังมีกำลังใจที่จะอธิบายและอ้อนวอนให้มิคเข้าใจได้
เราเดินกันมาโดยไร้คำพูดแต่มือผมยังจับแน่นที่ข้อมือบางกลัวว่าถ้าปล่อยมิคจะหายไปต่อหน้าผม จนมาถึงรถของบ้านมิคที่จอดไว้ มิคยังยืนหันหลังให้ผมนิ่งไม่พูดไม่จาจนผมต้องเอื้อมแตะไหล่บางแผ่วเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ และผมต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าของไหล่ที่ผมแตะสะดุ้งสุดตัว ผมจับไหล่ทั้งสองข้างให้หันมาทันได้เห็นหยดน้ำที่ไหลจากตากลิ้งตามร่องแก้ม
“โธ่ มิคครับ”
ผมตกใจใจนี่ร่วงไปบนพื้นเมื่อเห็นน้ำตาของคนรัก จะเอื้อมมือไปเช็ดออกแต่มิคเบี่ยงหน้าหลบ ผมชะงักมือก่อนถึงแก้มมิค เราสบตากันแม้ตาหวานจะแดงเพราะร้องไห้แต่แววตากลับนิ่งไร้ซึ่งแววสะท้อนภาพของผม ที่ผมต้องเห็นทุกครั้งเมื่อเราสบตากัน ผมยืนนิ่งกับความจริงที่ได้รู้ ‘มิคไม่มีผมอยู่ในสายตา’ แล้วหรือครับ
“พี่มิคขึ้นรถเถอะครับ”
ผมที่เป็นอัมพาตชั่วคราวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองน้องชายมิคประคองพี่ชายตัวเองขึ้นรถ และแม็คก็หันมาที่ผมแต่ผมไม่ได้มองหรอกครับว่าไอ้เด็กนี่มันจะมองผมแบบไหน สายตาผมมองร่างเล็กที่นั่งนิ่งในรถตรงเบาะข้างคนขับสายตามิคไม่ได้มองมาที่ผมอีกแล้วครับ
“ผมจะขับรถไปรอที่สวนสาธารณะใกล้หมู่บ้าน ตามไปแล้วกันผมจะรออยู่ 15 นาทีถ้าไม่มาหรือมาช้าผมจะพาพี่มิคกลับบ้าน” แม็คพูดจบก็เดินไปเข้ารถและขับออกไป
ผมได้สติเมื่อรถที่แม็คขับพ้นสายตาไปแล้ว ผมวิ่งเข้าประตูทางเข้าห้างฯและตั้งสติอยู่นานว่าผมเอารถไปจอดอยู่ชั้นไหนคว้าหากุญแจรถคำนวณเวลาและหาเส้นทางที่ผมจะไปสู่สถานที่ที่แม็คนัดไว้ได้เร็วที่สุด
.....................................................................
สระน้ำเบื้องหน้าระยิบระยับจากแสงแดดที่ส่องกระทบ ลมเย็นโชยผ่านหอบความเย็นชื่นมาสัมผัสผิวหน้า มีร่างสองร่างของผู้ชายสองคนที่นั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่หันหน้าออกสู่สระกว้าง แม้อากาศโดยรอบจะเย็นสบายแต่ใจของผมนั้นร้อนรุ่มอยากพูดอยากอธิบายให้คนรักที่นั่งข้างกันได้เข้าใจถึงเหตุการณ์ทั้งหมดของวันนี้ แต่ที่ยังรั้งรอเพราะมิคได้ขอร้องไว้
เมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อนนี้ผมที่กระหืดกระหอบวิ่งหาสองพี่น้องในสวนสาธารณะแห่งนี้ จนมาพบมิคที่นั่งรออยู่แล้วที่ม้านั่งนี้เพียงลำพังไม่เห็นร่างของน้องชาย และเมื่อมาถึงผมที่อัดอั้นอยากอธิบายให้มิคเข้าใจโดนยับยั้งไว้จากร่างบางที่นั่งนิ่ง
“อย่าเพิ่งพูด”
คำสามคำนี้ทำเอาผมกลืนทุกคำที่จะพ่นออกมาและนั่งรอ รอให้มิคพร้อมและอนุญาตให้ผมได้อธิบาย และเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง
“มีอะไรก็พูดมา เราให้โอกาสนายอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น” เสียงนิ่งเอ่ยอย่างมั่นคงไม่แม้แต่หันมามองกัน
“มิค” เสียงเรียกชื่อคนรักแทบไม่ออกจากลำคอ
ผมที่ได้ฟังประโยคนี้ประโยคที่ไม่ได้มีความหมายต่อว่าต่อขานเลยแต่มันเจ็บยิ่งกว่าการที่มิคต่อว่าผมซะอีก เพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไปไม่ใช่คำที่เราใช้กัน มันห่างเหินซะจนหัวใจผมแห้งผาก สิ่งที่อยากจะพูดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเลือนหาย เพราะคำว่า ‘นาย’ และ ‘เรา’ ที่มิคใช้ ไม่ใช่ ‘ฟิน’ และ ‘มิค’ เหมือนเมื่อเช้า ผมจ้องใบหน้าด้านข้างเป็นใบหน้าของคนที่ผมรักคนเดิม แต่ความรู้สึกของมิคที่มีต่อผมมันไม่เหมือนเดิมแล้วรึเปล่า ผมเอื้อมมือจะไปจับมือบางแต่ต้องหยุดชะงักเพราะอยู่ๆก็เกิดกลัวว่ามิคจะสะบัดมือผมออกเหมือนตอนที่ผมแตะไหล่แล้วมิคสะดุ้ง ผมยังจำความรู้สึกใจหายและเจ็บแปลบนั้นได้จึงชักมือกลับ และรวบรวมความคิดก่อนเล่าเรื่องทั้งหมดให้มิคฟัง
เรื่องทั้งหมดเริ่มจาก ‘ภัส’ อดีตคู่นอนผมคนนั้นเมื่ออาทิตย์ก่อนโทรมาร้องไห้กับผมเพราะเธอท้องกับคนที่คบด้วย สถานะที่ทั้งคู่ตั้งไว้นั้นไม่ได้ต่างจากผมกับเธอที่คบกันเมื่อก่อนเลย คือผูกพันแค่ทางกายเท่านั้นไม่ก้าวก่ายเรื่องอื่น แต่ภัสเริ่มหลงรักผู้ชายคนนั้นเธอเลิกมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชายคนอื่นหมดยกเว้นก็แต่คนที่เธอรัก และไม่กล้าบอกความรู้สึกตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ และยังรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์เท่าเดิมเพราะเธอกลัวว่าผู้ชายคนนั้นเค้าจะตีตัวออกห่างถ้าเธอสารภาพไป ภัสปล่อยตัวปล่อยใจลืมถึงการป้องกันจนพลาดตั้งท้องขึ้น ภัสไม่แม้แต่บอกฝ่ายชายว่ามีลูกเค้าอยู่ในท้อง เธอคงจะอยู่ในช่วงตัดสินใจและจะไม่เสียใจขนาดนี้ถ้าไม่ได้ข่าวว่าผู้ชายคนนั้นจะแต่งงานกับคนที่พ่อแม่หามาให้ ยิ่งสภาพร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอของผู้หญิงท้องทำให้คนที่เคยมั่นใจในตัวเองสูงมากกลายมาเป็นคนที่อ่อนไหวคิดมาก หาทางออกไม่ได้และเธอก็นึกถึงผมจึงทำให้ผมต้องออกโรงช่วยเหลือ
ผมที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากภัสที่เป็นฝ่ายหญิงและพอรู้ข้อมูลของผู้ชายที่เธอรักอยู่บ้าง หมอนั่นชื่อ ‘คณิณ’ เป็นนักธุรกิจรุ่นพี่ผมและเป็นพ่อม่ายเมียหย่าเพราะบ้างานไม่มีเวลาให้ครอบครัว เป็นคนนิ่งไม่ค่อยแสดงอารมณ์จนได้ฉายาว่า ‘สิงห์ซุ่ม’ เงียบจนไม่รู้ว่าคิดอะไร และเป็นที่หมายปองของสาวๆแต่ก็ไม่เห็นมีใครเป็นตัวเป็นตนจนมาคบกับภัส เท่าที่ผมให้คนสืบมาเมื่ออาทิตย์ก่อนก็พบว่าคณิณไม่ได้คบใครอื่นตั้งแต่คบกับภัส ผมไม่รู้หรอกว่าคณิณจะรักภัสมั้ยที่รู้จากข้อมูลเท่าที่สืบมาก็น่าจะถูกใจภัสอยู่มากถึงขั้นเลิกกับสาวคนอื่นทั้งหมด สิงห์ซุ่มฉายาที่ได้มาก็บอกได้ว่าเป็นคนเงียบและเชื่อได้ว่าเมื่ออยู่กันสองคนผู้ชายคนนี้น่าจะแสดงออกทางกายมากกว่าการพูด แต่ภัสผู้หญิงที่ร่าเริงพูดเก่งย่อมไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคณิณคิดอย่างไรกับตัวเอง แต่ผมว่าทั้งสองน่าจะคิดตรงกันแต่ไม่มีใครเริ่มก่อนเท่านั้นเอง
เมื่อต้องการพิสูจน์ใจของคณิณว่าคิดอย่างไรกับภัสผมจึงวางแผนให้สิงห์ซุ่มออกมาจากที่ซ่อน เมื่อรู้ว่ากระต่ายน้อยของตัวเองจะถูกสิงห์ตัวอื่นคาบไปกิน ไอ้สิงห์ตัวนั้นมันก็คือผมคนนี้ที่เป็นคนวางแผนและเอาตัวเข้าล่อหมัดของสิงห์ซุ่มที่อาจบันดาลโทสะเมื่อรู้ว่าผมจะแย่งกระต่ายน้อยมากิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันนอกเหนือความคาดหมายแม้ว่าผลลัพธ์ไม่น่าต่างจากที่คิดไว้ คือคณิณของจากที่ซ่อนเมื่อเห็นว่าภัสกำลังถูกผมขอแต่งงานและทั้งคู่คงกลับไปเคลียร์กันได้ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยากรับรู้ว่าผลมันจะเป็นแบบที่วางแผนกันมั้ย รู้แค่ว่าผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดว่ามิคจะมาเห็นละครฉากที่ผมเล่นคู่กับภัสมันจะมีผลลัพธ์แบบไหนมากกว่า แถมความผิดอีกหนึ่งข้อคือผม ‘โกหก’ มิคเพื่อมาแสดงละครฉากนี้
“.....เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ล่ะครับมิค”
เมื่อผมเล่าทุกอย่างให้มิคได้ฟังแล้ว ผมก็หันมามองร่างบางที่ยังนั่งนิ่งท่าเดิมไม่เปลี่ยน และภาวนาให้มิคเข้าใจและหายโกรธผมเมื่อได้รับรู้เหตุและผลที่ผมทำไปทั้งหมด ผมแทบจะหยุดหายใจเพราะเผลอกลั้นใจรอฟังคำพิพากษาจากคนรัก จนมิคถอนใจมาเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยออกมา
“เราเข้าใจเหตุผลทั้งหมดที่นายทำ”
ประโยคแรกที่มิคเอ่ยเหมือนว่าทำให้ผมโล่งใจแต่เปล่าเลยครับ เพราะสรรพนามที่ห่างเหินไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผมดีขึ้น และความกลัวที่มีอยู่มันเพิ่มสูงกว่าเดิมอีกครับ ผมยังคงนิ่งและรอสิ่งที่มิคจะพูดต่อและภาวนาขออย่าให้มันร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่เลยครับ
“นายจำได้มั้ยครั้งหนึ่งเราเคยบอกไว้ว่าไม่ชอบคน ‘โกหก’ เราเข้าใจสิ่งที่นายทำแต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้กับการโกหกจากคนที่เราคิดว่าไว้ใจได้ และน่าจะ ระ...รัก กัน” มิคก้มหน้าลงเมื่อพูดจบประโยค
“มิคครับ”
ผมที่ได้ยินทั้งหมดรู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจนี่ผมทำให้คนที่ผมรักและเค้าไว้ใจเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ ผมเป็นคนทำให้มิคเสียใจ อยากจะเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมและพร่ำคำขอโทษซ้ำๆให้มิคได้เข้าใจ แต่ผมก็ได้แต่คิดไม่กล้าแม้จะแตะต้อง มิคที่นั่งก้มหน้านิ่งแต่ไม่มีน้ำตา ผมมีสิทธิแค่จ้องมองเท่านั้นในตอนนี้ เรานั่งด้วยกันแบบนี้นานเท่าไหร่ไม่รู้ครับมารู้ตัวอีกทีเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“พี่มิคเรากลับบ้านกันเถอะพ่อแม่รออยู่” เสียงที่เคยเข้มดุแต่ตอนนี้มันกลับฟังดูอ่อนโยนเมื่อใช้พูดกับพี่ชาย
มิคลุกขึ้นและเดินช้าๆไปหาแม็คที่ยืนรอไม่ไกลจากม้านั่งที่ผมและมิคนั่งเมื่อครู่ ผมจะปล่อยให้มิคกลับทั้งๆแบบนี้ไม่ได้ เพราะความรู้สึกของเราทั้งคู่มันยังไม่ชัดเจน ผมเดินไปรั้งข้อศอกมิคไว้พอมิครู้ว่าเป็นสัมผัสจากผมก็สะดุ้งและหยุดเดินแต่ไม่ได้ดึงข้อศอกออกจากมือผม ผมจึงค่อยๆเดินไปตรงหน้าคั่นตัวเองอยู่กลางระหว่างสองพี่น้อง และจับมือบางฟาดมาที่แก้มตัวเองอย่างแรง
“มิคครับ มิคต่อยฟินเลยครับลงโทษฟินเลย จะทุบจะต่อยยังไงก็ได้ แต่มิคอย่าเดินออกไปจากฟินแบบนี้เลย นะครับมิค”
ระหว่างที่ผมพูดผมก็จับมือมิคฟาดมาที่หน้าที่ไหล่ตัวเองยอมให้มิคลงโทษผมเท่าที่มิคพอใจแต่ขออย่างเดียว ขอให้มิคกลับมาพูดคุยกับผมเหมือนเดิมอย่าทำเหมือนผมเป็นคนอื่นและไม่มีตัวตนในสายตามิคแบบนี้ แต่ปฏิกิริยาที่ผมได้รับมันเจ็บกว่าร่างกายที่เคยโดนทำร้ายมาทั้งชีวิต เพราะสายตาว่างเปล่าไม่มีผมในสายตาคู่สวยที่ผมชื่นชอบและมือบางที่โอนอ่อนตามแรงปล่อยให้ผมจับมือบางมาทุบตีร่างกายตัวผมเอง เหมือนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนสำหรับมิคแล้วครับ จนผมต้องหยุดทุกคำพูดและการกระทำ แต่ยังกุมมือบางข้างนั้นไว้เพราะกลัวเหลือเกินว่าถ้าปล่อยมิคไปวันนี้แล้วผมจะไม่ได้จับต้องมิคอีก
“เราไม่ได้ต้องการทำร้ายร่างกายนายให้เจ็บเพราะแค่นี้เราเชื่อว่า ‘ตรงนี้’ ของนายมันรู้สึกเจ็บพอแล้ว และขอให้รู้ว่าเราก็เจ็บไม่ต่างกัน ช่วงนี้เราห่างกันสักพักนะ”
มิคพูดเสียงนิ่งแต่สายตาวูบไหวเมื่อพูดถึง ‘ตรงนี้’ และวางมือตัวเองที่อกด้านซ้ายของผม ใจผมมันเจ็บเหมือนว่าเลือดจะออกจนหมดใจและพลันหนาวเหน็บไปทั้งร่าง ร่างกายผมหมดแรงยืนได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กที่เดินจากไป ร่างๆนั้นที่ผมเคยกอดเคยเดินเคียงข้างกันแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว และผมจะทำยังไงต่อไปดีเพื่อจะให้ได้ร่างนั้นกลับมา แต่มันจะมีหนทางให้ผมได้ก้าวเดินไปหาคนรักของผมมั้ยครับ
.....................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^3^
เหตุผลของการกระทำทั้งหมดได้ถูกเฉลย แต่คงไม่ได้ช่วยอะไรนายฟินได้
ตอนนี้คงทำเอาหลายคนอยากสมน้ำหน้าและจัดหนักฟินให้อ่วม
แต่แค่นี้ฟินก็เจ็บปวดมากแล้วค่ะ TT^TT
ส่วนตอนหน้าเรามาดูกันว่าฟินจะจัดการหาทางออกให้ตัวเองได้มั้ย
คนอ่านคะอย่าเครียดนะแล้วมันจะผ่านไปค่ะ ^^
ปล.+1ให้ทุกท่านที่ยังแข็งใจอ่านรับมาม่าค่ะ เจอกันวันอังคารนะคะ
