#ญอผู้หญิงโศกา
ตอนที่ 02
ดวงจันทร์ที่หันหลังให้
“มึงว่าพอโตขึ้นเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่เปล่าวะ?”
คนขี้กังวลยิงคำถามมาอีกครั้ง กับเรื่องที่เขาเองก็จินตนาการไม่ออกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
“นั่นสิ”
“เรียนจบ แต่งงานมีครอบครัว แล้วก็เลี้ยงเด็กจนกว่ามันจะโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือเป้าหมายชีวิตที่ใคร ๆ ก็บอกว่า ‘ต้องทำให้ได้นะเท็น’ แต่กูก็อดคิดไม่ได้ว่าพอถึงตอนนั้นแล้วเราจะยังเป็นแบบนี้อยู่ไหม หรือว่าต่างฝ่ายต่างแยกทางไปมีชีวิตของตัวเอง?”
การเป็นผู้ใหญ่ช่างซับซ้อนนัก หลายครั้งที่แจ็คเห็นพ่อพูดถึงเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมซึ่งนาน ๆ ทีถึงจะมีโอกาสได้เจอกัน ทั้งที่เคยสนิทกันมากจนให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่พอเวลาผ่านไปสิ่งแวดล้อมก็ผลักดันให้ทุกคนเดินหาเส้นทางที่ต้องการ จนความสนิทในวันนั้นกลายเป็นเพียงความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่ง
“มองไร หน้ากูเหมือนโดเรม่อนที่จะพามึงนั่งไทม์แมชชีนไปอนาคตได้เหรอ?” แจ็คคาดโทษเขาที่เอาแต่ถามเรื่องชวนปวดหัว “กูจะรู้ไหมล่ะ ตอนนี้กูเพิ่งอายุสิบหกนะ”
“ก็ลองคิดดูเล่น ๆ จะเป็นไร แต่จากสภาพแล้วกูน่าจะหาเมียได้ก่อน”
“อ้าปากคุยกับคนอื่นนอกจากกูกับพวกไอ้ธีร์ให้ได้ก่อนไหมครับ ถ้ามึงแต่งก่อนจริงกูจะสาธุให้งาม ๆ” ไม่พูดอย่างเดียว แจ็คพนมมือขึ้นเหนือศีรษะปั่นไอ้ซื่อบื้อที่หัวเราะร่าอย่างพอใจ
“มึงต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้กูนะเว้ย ล็อกคิวไว้แล้ว ห้ามตาย ห้ามหายไปไหน”
“หาเมียให้ได้ก่อน จริง ๆ” แจ็คทำหน้าเนือยติดตลก
“เดี๋ยว ๆ นี่มึงสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” เท็นถามไอ้หัวสกินเฮดที่อยู่ ๆ ก็เอาซองสี่เหลี่ยมเล็กกว่าฝ่ามือออกมาพร้อมไฟแช็ก มันยังใหม่เอี่ยมไม่เคยถูกแกะ และแจ็คก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วแสดงความไก่อ่อนด้วยการพยายามกะเทาะมันออกมา
“วันนี้แหละ”
“มึงสูบเป็นไง?” เขาและอีกฝ่ายต่างก็เป็นเด็กที่อยู่ในกรอบไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ดังนั้นการเห็นอีกฝ่ายคาบบุหรี่ไว้แล้วจุดไฟแช็กจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นชิน
“แค่ก ๆ”
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย” เท็นหลุดขำพลางตบหลังเพื่อนสนิทที่สำลักควันอย่างน่าอาย แจ็คลูบอกตนเองทั้งที่ยังกระแอมไอ ก่อนจะหันมาทำหน้าเหยเกใส่เขา
“สักหน่อยปะ?” คนถูกชวนไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก เท็นยังคงขำแล้วรับบุหรี่ตัวใหม่มาซึ่งคนข้างตัวก็จัดแจงจุดไฟแช็กให้ และเขาก็ได้รู้ว่าตรงนี้ไม่ได้มีไอ้โง่แค่คนเดียว
“แค่ก ๆ” เท็นหันหลบไปกระแอมไอ ท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของเพื่อนสนิท
การสูบบุหรี่ไม่ใช่แค่อัดควันเข้าแล้วพ่นออกทางปาก เท็นนั่งนิ่งพลางมองสิ่งในมือที่ทำให้ผู้ชายหลายคนดูเท่เพียงแค่ถือมันไว้ แต่เขากับเพื่อนสนิทกลับทำออกมาจนดูตลก
“ขำเชี่ยไรนักหนา?” ไฟสีแดงอ่อน ๆ เริ่มไหม้เข้าหามวนจนส่วนขี้บุหรี่ร่วงลงบนหญ้า ไม่มีใครอัดควันอีกแล้ว เด็กที่อยู่ในชุดนักเรียนมอปลายแค่เอนหลังนอนพิงกับผืนหญ้าทั้งที่ยังถือบุหรี่ไว้อย่างนั้น
“ก็ที่เราทำเรื่องโง่ ๆ เพราะคิดว่ามันเท่แต่สุดท้ายก็เละไม่เป็นท่าไง”
“แถมยังเหม็นฉิบหายอีกต่างหาก”
“ฮะ... กูโดนด่าแน่ถ้าพ่อได้กลิ่น”
“รู้อย่างนี้แต่ก็เสือกยื่นให้กูสูบด้วย พ่อกูก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นนะเว้ย ขากลับแวะซื้อสเปรย์ดับกลิ่นเลย” เท็นบ่นอุบอิบ แต่คนข้าง ๆ กลับหัวเราะชอบใจ
“ดึกป่านนี้แล้วคิดว่าพ่อมึงยังจะนั่งรออยู่หรือไง”
“เออ ก็จริง แต่เสื้อผ้ามันก็ยังมีกลิ่นอยู่ดีไหม?”
“แอบเอาไปขยี้ในอ่างอาบน้ำตากสิ กูก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน” เด็กเกรียนพยายามโตเกินวัยให้คำแนะนำกันและกัน ซึ่งเท็นก็พยักหน้ารับเห็นด้วยกับความคิดนี้ “ทั้งที่สูบไม่เป็น แต่กูเสือกรู้สึกดีมาก”
“ทำไมวะ?” ทั้งคู่มองท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน มันไม่มีกลุ่มดาววาววับเหมือนสมุดภาพระบายสีตอนประถมต้น บนนั้นช่างว่างเปล่านัก เหมือนกับอนาคตของเขาที่มองไม่เห็นอะไรเลย
“เพราะมึงอยู่ตรงนี้มั้ง”
“...” เท็นเห็นหน้าเพื่อนไม่ชัดนัก ที่ตรงนี้มันมืดเกินกว่าจะมองเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มกว้างแค่ไหนตอนกำลังบอกว่าเขานั้นสำคัญ
“จะมีสักกี่คนที่ทำเรื่องบ้า ๆ ไปกับเราได้ทั้งที่มันก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรควรไม่ควร”
“นั่นสิ”
เท็นละสายตาจากคนข้าง ๆ แล้วกลับไปสนใจท้องฟ้าอีกครั้ง เด็กหนุ่มยิ้มออกมาเพียงเพราะเห็นว่าบนท้องฟ้าที่คิดว่าว่างเปล่ามีดวงจันทร์ประดับอยู่เกือบสุดขอบ มันคงอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขากลับเอาแต่มองหาความมืดแล้วปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งเคว้งคว้างจนเพิกเฉยแสงสว่างอยู่ห่างเพียงหางตา
“ดูนั่นสิ”
“อะไร?”
“ดวงจันทร์วันนี้เหมือนมึงเลยว่ะ” แจ็คขมวดคิ้วพร้อมหันมาสบตากับเขาระหว่างรอเฉลยคำตอบ ซึ่งคนที่มีมุกตลกฝืด ๆ อยู่ในใจก็หลุดขำพรืดทั้งที่ยังไม่ได้พูด “...หัวกลมเหมือนกันเปี๊ยบ”
“หัวมึงเป็นสี่เหลี่ยมหรือไงไอ้หน้าหมา?”
“โอ๊ย!!!!”
เท็นรีบยกมือขึ้นบังศีรษะตนเองหลบฝ่ามือที่เพื่อนรักเหนี่ยวมาราวกับจะสั่งสอนให้สำนึก เขายังคงหัวเราะไปกับบรรยากาศที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเรื่องพ่อแม่แยกทางกันเริ่มจางหายไปจากความคิด แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีเพราะมีเพื่อนสนิทอยู่ตรงนี้... ข้าง ๆ กัน
*
[Pandrift] ความในใจที่ผมอยากพูดถึง TEN10
ออกตัวก่อนว่าผมเป็นแฟนคลับเท็นมานาน ตั้งแต่ฝีมือยังอยู่ในระดับที่ไม่มีใครมองจนเขาพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้า ผมมองเห็นความพยายามของเขา ก็เลยนึกเสียดายถ้าคนฝีมือดีขนาดนั้นจะถูกบอยคอร์ตเพราะนิสัยส่วนตัว
โอเค มันอาจจะจริงที่นิสัยเขาไม่น่าคบหาจนทำให้เพื่อนร่วมทีมทนไม่ได้ มันคงมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่บางครั้งมันเป็นเพราะเท็นคนเดียวจริง ๆ เหรอครับ? เพราะล่าสุดผมรู้สึกว่ามันไม่เมคเซนส์เลยสักนิดที่ทีมใหญ่ทีมหนึ่งบีบให้เขาออกเพียงเพราะเกมนั้นไม่ได้รับชัยชนะ
หนำซ้ำสมาชิกในทีมก็ยังออกมาโพสต์แขวะอ้อม ๆ ในเฟซบุ๊ก ถึงจะไม่ได้ระบุชื่อแต่ถ้าอ่านเนื้อความและการตอบโต้ใต้คอมเมนต์ ผมว่าต่อให้เป็นเด็กอนุบาลก็คงเดาถูกว่ากำลังพูดถึงใคร การโบ้ยให้เป็นความผิดเท็นมันสมควรแล้วเหรอครับ ทั้งที่เกมนั้นสมาชิกอีกสองคนทำได้แย่กว่าเขาด้วยซ้ำ
แต่มันก็น่าจะฟังขึ้นอยู่ เพราะการปล่อยให้เท็นโดนชาวเน็ตด่ามันคงดีกับชื่อเสียงทีม อย่างน้อยคนก็หลับหูหลับตาคิดกันไปได้ว่าที่แพ้เพราะมีเท็นอยู่ ไม่ใช่เพราะฝีมือทีมด้อยลง ก็ไม่รู้สินะครับ หลายครั้งที่ผมหงุดหงิดกับสิ่งที่เท็นเป็น แต่ผมรู้สึกว่ามันมากเกินไปไหม
อะไรผิดก็ว่าไปตามผิดสิครับ ไม่ใช่เอะอะมีอะไรก็ไปลงที่เขา คน ๆ หนึ่งจะต้องเป็นสนามอารมณ์ให้พวกคุณโดยไม่มีมูลเหตุแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ เพลา ๆ กันลงบ้างก็ดีนะครับ
Ancients041
ความเห็นที่ 1
แต่เขาก็ไม่เห็นหยุดเลยนี่คะ ก่อนหน้านี้ก็ไปท้าพวกพี่แจ็คแข่ง คนไม่ถูกกันควรอยู่ห่าง ๆ กันหรือเปล่าคะ แต่เขาก็เลือกไปวุ่นวายทำให้คนอื่นหัวเสียอยู่เรื่อย ขอโทษที่เห็นใจไม่ลงค่ะ
BabiizAlice
ความเห็นที่ 4
ถ้ามองในมุมแฟนคลับ ผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้เรื่องฝีมือเท็นนะครับ แต่ถ้าให้ถอยออกไปหลาย ๆ ก้าวเพื่อมองภาพให้กว้าง ๆ ผมว่านิสัยเท็นก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ถ้าปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ผมคิดว่ามันคงมีสักวันที่เท็นจะเจอทีมที่เปิดใจรับเขา
Vincent
ความเห็นที่ 9
เกลียดมันครับ ตัวฉิบหายแห่งวงการเกม 55555555555555555555555555555555
สมาชิกหมายเลข 6651778
เหมือนทุกครั้งที่เปิดเว็บไซต์แล้วต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ชายหนุ่มเลื่อนนิ้วหัวแม่มือสไลด์จอโทรศัพท์ช้า ๆ อ่านข้ามบ้าง ตั้งใจบ้าง แต่ก็แค่ครู่เดียวก็กดล็อกหน้าจอเพราะคิดว่าควรพอกับการรับรู้ความคิดของคนอื่นที่มีต่อตนเองได้แล้ว
งานแต่งไม่เคยสนุกอย่างไรวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม หลังจากปลีกตัวเข้ามานั่งเล่นมือถือในห้องน้ำอยู่สักพัก ชายหนุ่มผมเทาก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ให้ช่องสี่เหลี่ยมบนนั้นเป็นจุดยึดสายตาระหว่างที่สมองกำลังคิดว่าควรไปอยู่ส่วนไหนของโลก
ออกไปด้านนอกหาจุดนั่งสูบบุหรี่ระหว่างรอถ่ายรูปรวมรุ่นดีไหม ใช่ มันเข้าท่าพอสมควรเลยล่ะ พอทุกอย่างจบจะได้กลับไปนอนเล่นกับหมาแมวที่บ้านเสียที
เปิดประตูห้องน้ำออกไปพร้อมควานหาบุหรี่ออกมาคาบไว้ขณะขายาวก้าวไปหาพื้นที่โล่งสูดอากาศหายใจหลังจากถูกบีบคอตายในโลกโซเชียลมาเมื่อครู่ จุดนั่งอมควันคงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ซึ่งเขาหวังว่าจะมีคนห่วงกินหรือติดลมคุยกับเพื่อนเก่ามากกว่าจะมีใครชิงไปนั่งสูบบุหรี่ตัดหน้าก่อนแล้ว
จริงอยู่ที่เท็นเคยเป็นคนรักการเข้าสังคม แต่นั่นก็ก่อนที่เขาจะถูกชาวเน็ตรุมประณามจนทุกวันนี้แทบไม่เหลือที่ยืน จะบอกว่าเปลี่ยนเป็นคนรักสันโดษก็ไม่ใช่ เพราะถ้าจะพูดให้อายตัวเองหน่อยก็คงต้องบอกว่าไม่กล้าคุยกับใครเพราะกลัวถูกตอกหน้ากลับมาด้วยเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำมากกว่า
เขาไม่ได้สำนึก เอาเข้าจริงก็แค่ไม่อยากพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำให้ต้องถอนหายใจเพราะคำพูดใคร ‘เคยคิดจะกลับตัวเป็นคนดีบ้างไหม?’ ‘ไม่หรอก คนอย่าง TEN10 น่ะเหรอจะเลิกทำตัวเหี้ยใส่คนอื่น ไม่มีทาง’ ใช่ ที่คนพวกนั้นพูดไปก็ถูกทั้งหมด ว่าแต่... ทำไมเขาต้องเป็นคนดีล่ะ ในเมื่อคนเหล่านั้นก็มือถือสากปากถือศีล ด่าทอเขาด้วยคำหยาบสารพัดแต่ก็กล้าชี้หน้าสั่งสอนคนอื่นว่าควรเป็นคนดีให้ได้เนี่ยนะ... ถามจริง?
“ถ้าไม่ไหวก็ร้องออกมาเถอะ”
อยากพ่นควันออกแต่ก็ต้องอมไว้ในปากเพราะสะดุดกับประโยคเมื่อครู่ซึ่งเหมือนจะพูดกับเขาแต่ก็ไม่ใช่ว่ะ ตรงนั้นมีใครนั่งอยู่ เขามองไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าคนอยากปลีกตัวออกมาจากความน่าเบื่อหน่ายจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวแล้ว คู่รักเหรอ หรือว่าใคร?
“ให้พี่ไปหาไหม อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว”
ผิดคาดเพราะบทสนทนานั้นไม่มีเสียงโต้ตอบ เท็นชะโงกหน้ามองหาต้นเหตุหลังกระถางต้นไม้ ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นคือคนที่นั่งทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่โต๊ะเดียวกันตั้งนานสองนาน
“จะออกไปไหน ตอนนี้มันดึกแล้ว ซอยหอเราก็เปลี่ยว แพรว ฟังพี่หน่อยได้ไหม?”
แพรว?
หมายถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารัก ๆ คนนั้นที่เคยได้แชมป์ RoV หรือเปล่า? คิดว่าน่าจะใช่ เพราะเห็นว่าอยู่ก๊กเดียวกัน ก็ถ้าไอ้หมอนั่นไม่ได้จีบสาวชื่อซ้ำกับน้องนุ่งอยู่น่ะนะ?
“เลิกเข้าไปส่องเฟซกับไอจีเขาได้แล้ว เดี๋ยว จะวางทำไม เกรงใจอะไรอีก พี่บอกแล้วไงว่าคุยได้ แพรว – เดี๋ยว ให้ตาย...”
จากที่คิดว่าควรมีมารยาท อยู่ ๆ ก็อยากเป็นคนส้นตีนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เท็นก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงระเบียง มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างคีบบุหรี่อัดมะเร็งเข้าปอด ก่อนจะพ่นควันให้ลมพัดไปตามทิศจนคนที่นั่งหัวเสียกับโทรศัพท์ตรงนั้นมองมาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
“โทษที ไม่รู้ว่ามีคนอยู่”
“...”
“อ๊ะ ๆ จะรีบไปไหน?” เท็นถอยหลังหนึ่งก้าวขวางคนที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในงาน ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร และคงมีเพียงเขาที่ยกยิ้มอย่างพอใจที่เห็นอีกฝ่ายหัวเสียได้อีกครั้ง
“มีอะไร?”
“สักหน่อยไหม เผื่ออารมณ์จะดีขึ้นบ้าง” แจ็คลดระดับสายตามองซองบุหรี่ในมืออีกคน ก่อนจะเงยหน้าสบตากันอีกครั้ง
จะมาไม้ไหนอีกล่ะ?
อีกฝ่ายอมยิ้มชอบใจหลังจากเขาเอาบุหรี่มาคาบไว้แทนที่จะเดินชนไหล่ไปอย่างไม่ใยดี แจ็คไม่อยากหาเหตุผลที่ยังอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าเดินหนีก็คงถูกตามวอแวประชดประชันให้หัวเสียกว่าเดิม ซึ่งเขาไม่อยากรู้สึกอย่างนั้น
แจ็คล้วงกระเป๋าในสูท แต่ยังไม่ทันเอาไฟแช็กออกมาบุหรี่ก็ถูกจุดให้โดยคนที่ใบหน้าไม่เคยเข้าใกล้กันขนาดนี้มานานแล้ว เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ยาวนาน ที่เขาได้ตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“...”
“เด็กผู้หญิงก็งี้ เอาใจยาก”
“อย่าทำเป็นรู้มากทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย”
“เยือกเย็นจริง ๆ” เท็นหัวเราะในลำคอพลางเท้าศอกกับระเบียง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมปล่อยควันบุหรี่ให้ลอยไปกับสายลม “ชอบน้องเค้าสินะ?”
“กูต้องตอบเหรอ?”
“จะเบลอไปก็ได้ กูแค่หาเรื่องชวนคุยฆ่าเวลา เพราะมึงก็ไม่ได้สนุกกับงานนี้เหมือนกันนี่?”
“การคุยกับมึงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการนั่งอยู่ในนั้นนักหรอก”
“แต่มึงยังยืนอยู่ตรงนี้ นั่นคือประเด็น” เท็นยกยิ้ม ทอดสายตามองตึกสูงในกรุงเทพฯ ที่ยังคงมีรถวิ่งผ่านอยู่ตลอด “จีบเลยสิ รออะไร?”
“มึงไม่ใช่กูรูความรักที่กูอยากได้ความเห็น เพราะงั้นไม่ต้อง”
“วงการเกมมันแคบกูเลยพอได้ยินเรื่องน้องแพรวมาบ้าง ก็ถ้าเป็นคนเดียวกันกับที่คุยเมื่อกี้น่ะนะ ที่จริงอาจจะรู้เยอะกว่านี้ถ้าน้องเค้าไม่ได้อยู่ก๊กเดียวกับมึง แต่กูดันรู้จักแฟนน้องเค้าก็เลยได้ยินเรื่องฝั่งนั้นมาบ้างนิดหน่อย” เท็นขมวดคิ้วปั้นหน้ากวน “เหมือนจะเพิ่งเลิกกันแต่ฝ่ายผู้ชายดันมีคนใหม่แล้ว กูพูดถูกไหม?”
“...”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะแจ็ค?” เจ้าของชื่อยังคงให้ความสนใจกับบุหรี่มากกว่าจะตอบคำถามที่เขารู้ว่าไม่มีวันได้ “อยู่ใกล้กันก็เลยรู้สึกเหรอ ถ้าเพราะเหตุผลนี้มึงจะดูลูซเซอร์ยิ่งกว่าเดิมอีกนะ อย่างน้อยมึงก็ควรหาคนที่ไกลตัวหน่อย เพราะถ้าเลิกกันแล้วจะได้ไม่ต้องกล้ำกลืนทำเหมือนปกติเวลานัดกินหมูกระทะหน้าร้านเกม”
รู้สึกเหมือนอ้วกตีขึ้นมาถึงคอ กับความคิดด้านหนึ่งที่ตะโกนบอกให้หยุดพูดทำร้ายอีกคนได้แล้ว แต่ความคิดอีกด้านกลับบอกให้ทำต่อไป ยิ่งถูกเกลียดมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เหมือนกับทุกครั้งที่เขาไม่เคยห้ามปากตัวเองได้ มันรีบพูดออกไปไวราวกับว่าอยากปกป้องหัวใจตัวเอง
“ถ้าเห็นกูชอบมากจะได้ตามจีบบ้างหรือไง?”
“ก็ไม่แน่? – โว้ว ๆๆ”
บุหรี่ทั้งสองมวนร่วงลงพื้นพร้อมร่างที่ถูกผลักหลังชนกับผนัง เท็นลดระดับสายตามองมืออีกคนที่ขยำคอเสื้อเขาจนยับคามือ ก่อนจะพบกับแววตาที่คงมอบให้เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
“อย่า... แม้แต่จะคิด”
ในนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ใช่... เท็นคงไม่ได้คิดไปเอง
“ขอเวลากูเดี๋ยว... ที่มึงเป็นแบบนี้เพราะโมโหที่จีบสาวไม่ติดหรือเพราะเป็นเพราะเห็นกูมางานนี้วะเนี่ย?” เท็นยังคงแสร้งทำหน้าทะเล้น ปั่นประสาทให้โทสะคนตรงหน้าปะทุขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไม คนอย่างมึงเคยสนด้วยเหรอว่ากูจะรู้สึกยังไงบ้าง?”
ความสนุกดิ่งลงไปอยู่ใต้พื้นเพียงเพราะอีกฝ่ายเลือกพูดความในใจออกมามากกว่าจะตอกกลับอย่างอ้อมค้อมด้วยคำพูดที่ทำให้โมโหทีหลัง อาจจะสักวินาทีหรือมากกว่านั้น ที่เท็นเห็นว่าแจ็คมีท่าทีว่าอยากง้างมือขึ้นมาต่อยแต่ก็ทำได้แค่กัดฟันเอาไว้
“เพราะคิดมาตลอดไงกูถึงได้เป็นแบบนี้”
“งั้นเหรอ?” แจ็คแค่นหัวเราะกับคำตอบที่เอาแต่เข้าข้างตัวเองโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ชายหนุ่มสองคนยังคงสบตากันเพื่อสาดเทความรู้สึกของตัวเองใส่อีกฝ่าย กระทั่งเท็นเป็นฝ่ายปัดมืออดีตเพื่อนสนิทออกจากคอเสื้อตนเอง
“รู้ไหมว่ากูได้คำตอบให้คำถามเมื่อตอนนั้นแล้ว” การเป็นผู้ใหญ่ช่างน่ากลัวนัก เด็กมอปลายสองคนนั้นไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้ ด้วยการพูดอย่างไรก็ได้เพื่อให้อีกฝ่ายเจ็บใจมากที่สุด
ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีเอาไว้
“ว่าโตขึ้นเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม?”
“...”
“มึงคงสงสัยว่าทำไมกูเพิ่งนึกขึ้นได้ เปล่าเลย ความจริงเรื่องนั้นวนเวียนอยู่ในหัวกูตลอด จนโลกเหวี่ยงให้มึงมายืนอยู่ตรงนี้ ข้างหน้ากู”
‘อาจเป็นเพราะมึงอยู่ตรงนี้มั้ง?’
“ถ้าเด็กสองคนนั้นมาเห็นกูกับมึงตอนนี้แม่งคงขำจนสำลักน้ำลาย”
เท็นยังคงพูดเรื่องลวงโลกที่มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงแม้ว่าเด็กมอปลายสองคนนั้นจะเปิดประตูมิติข้ามมาเห็นตัวเขาและแจ็คในอนาคตได้ บางทีเขาอาจจะหยุดถ้าอีกฝ่ายซัดหมัดมาสักครั้ง แต่แจ็คก็ยังเหมือนเดิม ที่เอาแต่ยืนมองนิ่ง ๆ และให้เพื่อนเก่าคนนี้คาดเดาเอาเองว่ากำลังถูกมองในแง่ลบไปสักเท่าไหร่
“เพราะทุกวันนี้ว่าที่เพื่อนเจ้าบ่าวงี่เง่าที่คุยกันไว้แม่งเป็นใครสักคนที่หน้ายังไม่อยากจะมอง”
สถานะของทั้งคู่ไม่มีคำว่าเพื่อนหลงเหลืออยู่แล้ว แต่พวกเขากำลังรู้สึกว่าลึก ๆ มันมีความเจ็บปวดถูกฝังอยู่ แต่เพราะทิฐิที่บังตา จึงทำให้ต่างคนต่างทำตัวร้ายกาจใส่อีกฝ่ายจนกว่าจะรู้สึกเจ็บไปเอง
ทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาเลวแค่ไหน ที่ถูกเกลียดก็สมควรแล้ว เพราะการยิ้มแหย ๆ พร้อมกล่าวทักทายเหมือนคนรู้สึกผิดมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ เท็นจะไม่มีวันพาตัวเองไปอยู่จุดที่ถูกสมเพชเวทนาเด็ดขาด
เขาจึงเลือกหันหลังให้ดวงจันทร์ที่ครั้งหนึ่งเคยส่องสว่างในชีวิต มันก็แค่ตอนนี้เท่านั้น เพราะถ้าลืมตาตื่นในตอนเช้า ดวงจันทร์ที่มีอยู่ก็ถูกบดบังด้วยแสงแดดอยู่ดี พรุ่งนี้แจ็คก็จะหายไป เหมือนทุกครั้งที่โลกเหวี่ยงให้ทั้งคู่มาเจอกัน
หรือแม้แต่บางครั้งที่เขาพยายามเอาตัวเองเข้าไปวนเวียนอยู่ในชีวิตอีกฝ่าย
“มึงไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
“...”
เท็นหยุดยืนอยู่กับที่โดยไม่หันไปมองเจ้าของคำพูด ซึ่งถ้าแจ็คคิดว่าประโยคนี้มันเจ็บแล้ว ก็ขอบอกไว้เลยว่าธีร์ทำได้ดีกว่านัก
“ขอบใจที่ยังจำได้ว่ากูเคยเป็นคนแบบไหน”
*
“ว่าแต่... มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกูเลยนี่หว่า”
“เรื่องไหนวะ?” หลังจากมองนาฬิกาข้อมือจนรู้ว่าควรกลับบ้านได้แล้ว เท็นก็ยิงคำถามมาอีกครั้ง
“เรื่องที่กูถามว่ามึงจะมีแฟนไหม?”
“ทำไม มึงไม่อยากให้กูมีหรือไง?”
จากสีหน้าของเท็นตอนนี้ แจ็คคิดว่าเพื่อนคงไม่อยากให้เขามีใคร อาจเป็นเพราะกลัวถูกแย่งความสำคัญไปหรืออะไรก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เขาอยากให้อีกฝ่ายเปิดใจและยอมรับให้ได้ว่าทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่แคร์ แต่เท็นจะอยู่กับเขาตลอดเวลาเพียงเพราะกลัวถูกทำร้ายไม่ได้ โลกนี้อาจจะน่ากลัว แต่แจ็คเชื่อว่าทั้งร้อยคนคงไม่มีใครพร้อมใจกันรุมกระทืบเพื่อนเขาแน่ อย่างน้อยมันต้องมีสักคนที่ยิ้มรับและพร้อมเป็นเพื่อนกับเท็นได้
อีกอย่าง มันเป็นเรื่องปกติที่วัยรุ่นจะเริ่มมีความสัมพันธ์อื่นนอกจากมิตรภาพ การมีความรักสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตดูมีสีสันขึ้น ดังนั้นแจ็คจึงอยากให้เท็นลองมีความรักดูสักครั้ง เผื่อจะได้มองเห็นความแตกต่างว่าความรักในโลกใบนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ใช่มีแค่ครอบครัวกับเพื่อนเท่านั้น
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น” เท็นเงียบไปเหมือนกำลังทบทวนกับตนเองว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไร “กูรู้ว่าสักวันไม่กูก็มึง ใครสักคนต้องมีแฟนก่อน เอางี้ กูเปลี่ยนคำถาม”
“เช่น?” แจ็คขมวดคิ้ว ยิ้มเล็ก ๆ กับสีหน้าโง่ ๆ ของเพื่อนสนิท
“สมมติว่ามึงติดเกาะ แล้วเลือกได้แค่อย่างเดียว มึงจะเอาแฟนไปอยู่ด้วยกันไหม?”
“คำถามไก่ ๆ”
ไอ้หัวสกินเฮดหัวเราะพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ ขณะที่เท็นได้แต่ถอนหายใจยาวกับคำถามตนเอง ก็แค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าถามไปตรง ๆ เพราะกลัวถูกมองว่าเกย์ ซึ่งความจริงเท็นก็แค่รู้สึกว่ามันดีพอแล้วกับการมีกันและกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องมีแฟนเข้ามาพ่วงด้วยเลย
“ไม่อยากให้กูมีแฟนเพราะกลัวเหงาก็บอก”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงวะ”
“เรื่องอะไรกูจะเอาเค้าไปด้วย เอามึงไปยังจะคุ้มกว่า อย่างน้อยถ้าอยากเลี้ยงหมาก็เกาคางแทนได้”
“อ้าว?” เขาขมวดคิ้วสงสัย ขณะที่ใจมันกำลังพองโตเพราะสุดท้ายก็ได้รับความสำคัญจากคน ๆ เดิมอยู่ดี “พ่อมึงพาเลี้ยงหมาตอนติดเกาะเหรอ ก็บอกว่าเอาไปได้แค่อย่างเดียว อีกอย่าง เลี้ยงตัวเองก็แทบจะไม่รอดอยู่แล้วยังจะเลี้ยงหมา”
“ก็มึงหน้าเหมือนหมา กูก็คิดไปดิว่าเป็นหมา”
“มึงก็หมา แถมโดนไถขี้เรื้อนจนขนเกรียนด้วย” พูดจบก็ขยี้ผมสกินเฮดจนศีรษะโคลง ไอ้คนถูกแกล้งจึงถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง
“แล้วมึงจะเอาใครไปด้วย ตอบดี ๆ นะ” แจ็คล็อกคอเพื่อนสนิทเข้ามาพร้อมออกแรงเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายส่งเสียงโอดครวญเล่น ๆ
เท็นก็ยังคงเป็นเท็น ที่ไม่มีความมั่นใจในอะไรเลยแม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อมัน
“เอามึงไปด้วย ไว้ลูบหัวเล่นตอนรอคนมาช่วย โอ๊ย! หายใจไม่ออก! แจ็ค! 55555555”
“หน้าหมาเอ๊ย”
เสียงหัวเราะกับเรื่องจิตนาการช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน เด็กหนุ่มสองคนเล่นต่อสู้กันเหมือนเด็ก ๆ ผลัดกันงัดคอก่อนจะตบแขนซ้ำ ๆ เหมือนนักมวยปล้ำตอนบอกให้รู้ว่ากำลังยอมแพ้
ทั้งคู่ทิ้งบุหรี่มวนที่สองลงกับผืนหญ้าพร้อมเอารองเท้าขยี้ดับไฟ ก่อนแจ็คจะเอากระดาษในกระเป๋ามาห่อเศษบุหรี่ไว้เพื่อเตรียมเอาไปทิ้ง คนมองเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มขำไม่ได้ นึกจะเกเรแต่ก็ยังเป็นคนดีมีวินัยเก็บซากขยะไปทิ้งให้ด้วย
เท็นลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือลงไป ซึ่งเพื่อนสนิทก็ยิ้มรับก่อนจะคว้ามือเขาเอาไว้พร้อมดึงตนเองให้ลุกขึ้น ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เด็กหนุ่มไม่อยากให้เพื่อนต้องทนอยู่ตรงนี้เพื่อเขาทั้ง ๆ ที่ในใจก็คงอยากกลับไปเปิดคอมเล่นเกมที่บ้านกับเพื่อนคนอื่น
“บีทีเอสยังไม่หมด เดี๋ยวกูเดินไปส่งมึงแล้วค่อยขึ้นแท็กซี่กลับ”
“เอาดิ” แจ็คไม่ได้ปฏิเสธเพราะเข้าใจเจตนาของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี ถ้าเท็นสบายใจอย่างนี้ การเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นพร้อมคุยเรื่องโลกแตกก่อนจะแยกกันตรงทางเข้าสถานีก็คงไม่เสียหายอะไร
เด็กมอปลายสองคนเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปด้านหลัง กอดคอกันและกันเดินไปข้างหน้าพร้อมตกลงกันว่าเสาร์นี้จะดูหนังเรื่องอะไร แจ็คชอบร้านกล้วยกล้วย เท็นจึงอยากไปก่อนเวลาสักหน่อยเพื่อที่จะได้นั่งอยู่ตรงนั้นนาน ๆ
เขาแค่อยากผลักไสความกลัวจากสิ่งที่เรียกว่าชีวิตออกไปให้ไกลตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว การเรียนที่การแข่งขันเริ่มสูงขึ้น หรืออะไรก็ตามที่จะเข้ามาสั่นคลอนมิตรภาพที่อยากโอบกอดไว้
แต่เด็กหนุ่มอายุสิบหกไม่เคยรู้ว่าเขาจะเป็นคนทำให้ความกลัวเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง
“ตอนกลางวันดวงจันทร์จะหายไปไหมวะแจ็ค?”
เจ้าของชื่อนิ่งไประหว่างใช้ความคิด ก่อนจะหันไปมองคนที่กอดคอเขาซึ่งเท็นคงต้องการคำตอบบางอย่างมากกว่าเรื่องทางวิทยาศาสตร์
“เพราะแสงสว่างจากดวงอาทิตย์คงทำให้มันไม่มีตัวตน”
แจ็คอมยิ้มกับคนขี้กังวล จึงยีผมเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองดวงจันทร์บนนั้นที่มันยังคงสว่างท่ามกลางความมืด
“มองไม่เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงไม่ใช่เหรอวะ?”
.
.
ตอนนั้นเท็นยิ้มกว้างมากแค่ไหน แจ็คจำได้ดี
แต่เท็นคงไม่เคยรู้ว่าแม้จะหันหลังให้สักแค่ไหน ดวงจันทร์บนนั้นก็ยังคงส่องแสงสว่างต่อไป ราวกับว่ามันกำลังรอให้เด็กคนนั้นหันกลับมาเพื่อยอมรับว่ามันมีอยู่จริง แม้หลายครั้งจะถูกกลบโดยแสงแดดยามเช้าจากดวงอาทิตย์ หรือถูกบดบังโดยก้อนเมฆที่สาดเทน้ำตาลงมาเป็นฝน
ดวงจันทร์ดวงเดิมยังคงอยู่ตรงนั้น ขณะที่เด็กอายุสิบหกหันหลังเดินหนีมันไปไกลทุกที
TBC
คนอ่านบอก อีกนิดนึงกุไปเคลียร์กะนาซ่าละ