ป่าห่มรัก
[ 01 ]
“พี่รักเนตร”คำๆ เดียวที่ทำให้หัวใจคนฟังสั่นไหว และคำเดียวกันนี้ก็ทำให้ใครบางคนหูตามืดบอดยอมจำนนต่อทุกสิ่งทุกอย่างเพียง นั่นเพราะ”รัก” มันคือคำที่ฟังแล้วอบอุ่นซาบซ่านไปทั่วหัวใจ ขณะเดียวกันก็ชวนให้แสลงหูสะอิดสะเอียด
ร่างสูงโปร่งหลับตาพริ้ม มือทั้งสองข้างโอบกอดรอบคอร่างสูงใหญ่ด้านบนที่กำลังขยับความรุนแรงเข้าหา ดวงตากลมโตที่เคยมองคนรักอย่างเทิดทูลกับหลับตาพริ้มแล้วนิ่งฟังเสียงร่างกายที่ขยับเข้าหากันราวกับกระหายอยาก
“เนตร น้องเนตร”
เขากระซิบเสียงแหบพร่าข้างหู มือใหญ่นวดเฟ้นไปทั่วร่างกายทำเอาร่างสูงโปร่งที่นอนทรมานอยู่สะบัดกายเร่าๆ
“พี่รักน้องเนตร”
โกหก!
ร่างสูงโปร่งเงยหน้าขึ้นตอบรับจูบอันดุดันของคนตัวโต นัยน์ตากลมโตจ้องมองใบหน้าคมคายซึ่งอยู่ในอารมณ์ที่สุขสุดขีด ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อนั่นเป็นขุมพลังของคนหนุ่มซึ่งขับเคี่ยวให้เขาต้องครางเสียงแหบเสียงแห้ง ดวงตาคู่คมจ้องมองกันอย่างหลงใหล เรือนกายที่แนบสนิทขยับเข้าหากันจนไม่มีช่องว่างใดๆ เหลืออยู่
ก่อนที่จะแตะขอบฟ้าไปด้วยกัน คำรักนั้นก็ดังขึ้นอีกครา
เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว คนตัวโตนั่นก็ขยับออกห่างแล้วผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ทิ้งให้คนที่รองรับอารมณ์นอนตาค้างด้วยอารมณ์ที่ยากจะจัดการได้ในตอนนี้ ร่างสูงโปร่งขยับลุกขึ้นก่อนจะเดินเปลือยกายไปหยิบชุดคลุมมาสวมใส่แล้วเดินเรื่อยไปจนถึงระเบียงคอนโด ยามค่ำคืนที่มืดสนิท มีเพียงแสงสลัวส่องเข้ามาทำให้เห็นเงาร่างตัวเองรางๆ ที่สะท้อนในกระจก
“รเณศ” เห็นตัวเองในกระจกตรงประตูระเบียง มือเรียวยาวเอื้อมไปลูบไล้เงานั้นอย่างแผ่วเบา ยิ่งมองยิ่งเห็นแต่ความมืดเหมือนหัวใจของเขาในตอนนี้ มืดมน สิ้นหวัง และเจ็บปวดจนเผลอปล่อยให้น้ำตาไหลออกจากห่างตาทั้งสองข้าง
‘รเณศ’ หมายถึง จอมทัพซึ่งเป็นเจ้าแห่งการรบ แต่บัดนี้เขากลับอ่อนแอพร้อมจะแตกสลาย เขากำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่ความรัก ร่างสูงโปร่งเหลือบตามองคนรัก หรืออีกไม่นานต้องกลายเป็นอดีตคนรักกำลังหลับใหลด้วยหัวใจเจ็บชา
“เตวิช” คือคนรักรุ่นพี่ที่คบหากันมาเกือบสามปี และเป็นสามปีที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ รเณศรู้ดีตั้งแต่ตกลงคบหากับคนรักรุ่นพี่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันนั้นไม่อาจเป็นที่ยอมรับจากครอบครัวฝ่ายนั้นได้เลย แต่เขาก็อดทนรอ อดทนอย่างมีความหวัง เขาเริ่มต้นเป็นคนรักกับเตวิชก่อนจะถูกลดทนสถานะลงเรื่อยๆ เมื่อคนรักจำต้องคบหากับผู้หญิงที่ทางครอบครัวเลือกให้ จากคนรักกลายเป็นชู้ จากที่มาก่อนก็ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย
“พี่ต้องแต่งงานกันเขา”คำๆ นั้นของเตวิชเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ การรอคอยและอยู่ในมุมเงียบๆ ของตัวเองมาตลอดสามปีไม่เป็นผล สุดท้ายเตวิชก็เลือกครอบครัว
“รอพี่นะ พี่สัญญาว่าจะหย่ากับเขาให้ได้”รเณศแค่นยิ้มในความมืด
รอแล้วได้อะไร...รอแล้วมีอะไรเป็นหลักประกัน
เขารอเตวิชมาสามปี รอที่จะได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกยอมรับ รอด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ...แต่ก็รอ
รอด้วยหัวใจที่เจ็บปวด รอว่าสักวันหนึ่งเรื่องของเราคงเป็นจริงได้
รเณศรอจนลืมนึกถึงหัวใจของตัวเองที่เริ่มเจ็บชาจนแทบไร้ความรู้สึกแล้ว
“ผมไม่อยากรอแล้ว”
“...”
“ผมรอไม่ไหว มันเจ็บเหมือนไม่อยากหายใจแล้ว”
รเณศกระซิบเสียงแผ่ว ขณะที่จ้องมองคนรักทั้งน้ำตา
☘☘☘☘
“ไอ้เนตรรรร”
เสียงโหวกเหวกโวยวายนั่นปลุกให้คนที่นั่งเหม่อลอยปล่อยความคิดอย่างไร้จุดหมายสะดุ้งโหยง จนกระทั่งเจ้าของเสียงนั่นเดินมาพิงสะโพกโบกไม้โบกมือผ่านหน้าเขาไปมา
“ไฮค่ะเพื่อน”
เขาพยักหน้าหงึกหงักให้ร่างตุ้งติ้งที่เดินสะบัดตูดจนน่าหมั่นไส้ ไม่พอหลังจากอัญเชิญตัวเองให้นั่งแล้วมันทำคอเอียง ทำตาเล็กตาน้อยใส่นักท่องเที่ยวโต๊ะข้างๆ
“ระวังสันนิบาตขึ้นตานะสมบัติ”
มันค้อนขวับก่อนจะตีมือใส่หลังมือผมเบาๆ
“สมบัตินั่นพ่อกูค่ะ”
“เออสุชาติ”
“อ๊ายยย อย่าเรียกกูด้วยชื่อนี้ ฟังแล้วแสลงหู ดูปากกูนะ กูชื่อชิน มาจากชื่อจริงที่ไปเปลี่ยนใหม่มาแล้วว่าชินกรค่ะ”
รเณศยิ้มอ่อนๆ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทผู้ชายหัวใจสาวนางนี้ค่อนข้างจะซีเรียสกับชื่อเรียกหลังที่จากมันโมดิฟายตัวเองจนผุดผ่องแบบนี้หลังเรียนจบ ชินกรเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ถึงแม้ตอนเรียนระดับมหาวิทยาลัยจะเรียนกันคนละคณะ แต่ก็อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงได้เจอกันบ้าง และมันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวความรักหลบๆ ซ่อนๆ ของเขา
“แล้วนี่จะเมาแต่หัววันเลยรึไงเนี่ย”
มันทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเหล้าที่เปิดขวดแล้วพร่องไปเกินครึ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆ ทั้งๆ ที่รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า นั่นเพราะปกติรเณศไม่ใช่นักดื่ม
“เออแล้วพี่เตล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอวะ”
รเณศแค่นยิ้มก่อนจะส่ายหน้าหวือ
“ไม่ว่าง” เขาเผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บ “เตรียมงานแต่งอยู่มั้ง”
“หา”
ชินกรร้องลั่น
“มึงว่าไงนะเนตร พี่เตจะแต่งงานเหรอ”
คนเริ่มเมาพยักหน้าหงึกหงัก
“แต่งกับมึง?”
ผมยักไหล่ ท่าทางเฉยชาแต่ในใจเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าคนรักจะมีตัวจริงข้างกาย ซึ่งตำแหน่งนั้นไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
“เปล่า”
มันทำหน้าเหวอ
“มึงโอเคมั้ยเนตร”
ชินกรขยับมานั่งโซฟาตัวเดียวกับเขาด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก มือเรียวขยับมากุมมือข้างหนึ่งของ รเณศที่กำแก้วเหล้าเสียแน่น มันพอจะรู้ว่าเตวิชกำลังคบหากับผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อเอาใจครอบครัว พร้อมๆ กับเก็บเขาเอาไว้ข้างๆ กาย
“เนตร”
“...”
“โอเค กูโอเค”
ไม่รู้ว่าตัวเองพูดด้วยสีหน้าแบบไหน มันถึงได้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น คนเริ่มเมาหัวเราะน้อยๆ ทั้งๆ ที่น้ำตากำลังเริ่มไหลอีกครั้ง
“กูเหนื่อยแล้วชิน กูพอแล้ว”
“อื้อ เหนื่อยก็พอ ไม่เป็นไร กูจะอยู่ข้างๆ มึงเอง”
มันกอดเอวเขาเอาไว้นั่นทำให้รเณศน้ำตาซึม เนิ่นนานหลังจากที่ปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหวเข้ามายึดครองพื้นที่ในใจ เขาก็ผละออกจากมันแล้วฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย
“วันนี้อยากเมา กูอยากลืม”
“เดี๋ยวกูชงเหล้าให้”
ชินกรทำท่าขึงขังก่อนจะลงมือชงเหล้าให้ผม มันยิ้มให้ผมโดยที่ไม่มีคำปลอบอะไร นอกจากนั่งอยู่ข้างๆ แล้วฟังผมพล่ามระบายไปเรื่อย
.
.
“โคตรเซอร์ไพร์สเลย ไอ้เพลิงแม่งออกจากป่าได้”
“งั้นวันนี้ต้องฉลองที่ไอ้เพลิงกลับคืนสู่สังคม ฮ่าๆๆ”
“เกินไปไอ้พวกห่า”
“ก็จริงนี่หว่า นานแค่ไหนแล้วเนี่ยที่มึงไม่ได้เข้าเมือง พวกกูก็นึกว่ามึงจะแต่งงานกับสิงห์สาราสัตว์ในป่าไปซะแล้ว”
รเณศมุ่นหัวคิ้วพยายามปรือตาและยกศีรษะอันหนักอึ้งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ขึ้น เสียงบทสนทนาดังหึ่งๆ ดังขึ้นใกล้ตัวจนอดรู้สึกหงุดหงิดใจไม่ได้ เขาปรือตามองไปรอบๆ เห็นชินกรกำลังนั่งทำหน้าเคลิ้มกับอะไรสักอย่าง พอมองตามสายตาของมันไปจึงเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ราวๆ ห้าถึงหกคนกำลังคุยกันออกรสออกชาติ
เขากระพริบตาปริบๆ เพ่งพิจารณาภาพตรงหน้าอีกครั้งเพราะความเมา เสี้ยววินาทีนั้นเจ้าของใบหน้าคมคายท่ามกลางแสงไฟสลัวในบาร์ก็เบือนสายตาคู่คมมาทางนี้พอดี ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งมองมาทางเขาก่อนจะมุ่นหัวคิ้วคล้ายกับสงสัยอะไรบางอย่าง แวบหนึ่งเขาเห็นภาพซ้อนทับของผู้ชายคนนั้นกับเตวิช
คนเมากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ
“พี่เต”
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั่นยังคงเป็นใบหน้าของคนรักรุ่นพี่
“พี่เต”
“...”
รเณศผวาลุกขึ้นก่อนจะเดินเซๆ ไปยังทิศทางที่เห็นเตวิช ท่ามกลางสีหน้าตื่นกระหนกของชินกรที่ถลามาคว้าแขนผมเอาไว้
“เนตรมึงจะไปไหน”
“ไปหาพี่เต”
“พี่เตไหนวะ”
ชินกรทำหน้าตื่นมองไปรอบๆ กวาดสายตามองยังไงก็ไม่เห็นคนที่กล่าวถึง เดาได้ว่าสายตาคนเมาคงเริ่มฝ้าฟางจึงรีบกระตุกแขนให้นั่งลง
“เนตรมึงเมาแล้ว ไปๆ เดี๋ยวกูพากลับ”
“ไม่”
รเณศส่ายหน้าหวือ “จะไปหาพี่เต”
“เฮ้ย”
ชินกรร้องอุทานเมื่อคนเมาเล่นเดินปรี่ไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าหกคนนั้น
“โอ๊ะ”
ไม่รู้มันเดินอิท่าไหนถึงได้สะดุดลงไปนั่งตักหนึ่งในหกคนนั่น ดีว่าเจ้าของตักนั่นมีน้ำใจกระชับเอว รเณศไม่ให้หงายหลังไม่อย่างนั้นเพื่อนสนิทเขาคงหน้าทิ่มพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่เต”
ชินกรอ้าปากค้างเมื่อเห็นเพื่อนรักผวากอดเจ้าของตัก เท่านั้นไม่พอมันยังซุกซบใบหน้าไปที่อกกว้าง แน่นอนว่าการที่คนเมาเดินดุ่มๆ เข้าไปในวงย่อมทำให้ผู้ชายที่เหลือได้แต่จ้องตากันปริบๆ ไม่ต่างจากเจ้าของตักซึ่งประคองเอวรเณศไว้ด้วยใบหน้าถมึงทึง
“เนตร ไอ้เนตรลุก”
ชินกรผวาไปกระตุกเพื่อนให้ลุกขึ้น แต่คนเมาที่แรงเยอะกว่ากลับกอดคอชายคนนั้นเสียแน่นจนเขาได้แต่ทำหน้าขอโทษขอโพยเจ้าของตัก
“ขอโทษด้วยนะครับ เพื่อนผมเมามาก”
“ฮือ พี่เต พี่เตทำไมใจร้ายกับผมนัก”
รเณศเบะปากหลับตาปี๋จึงไม่เห็นใบหน้าคมคายที่จ้องคนเมาเขม่ง
“ลุก”
เสียงทุ้มที่เปล่งออกมาดูดุดัน
“เนตรไม่ลุก”
“ผมบอกให้คุณลุก”
“โอ๊ย”
รเณศร้องลั่นเมื่อถูกเขย่าตัวเรียกเพื่อเรียกสติ
“ลืมตาแล้วมองหน้าผม”
“ฮึก”
“ลืมตา”
“เบาๆ สิวะไอ้เพลิง น้องเขาคงเมามาก”
“เพลิง” ปรายตามองหน้าเพื่อนสนิททั้งโต๊ะที่ทำหน้าเห็นใจคนในอ้อมแขนเสียเต็มประดาแล้วรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ
“ไอ้เนตรลุกเถอะ มึงเมามากแล้วนะ”
ชินกรฉุดแขนเพื่อน
“ไม่...ไม่ไป”
คนเมาโงนเงน
“แหวะ”
“ฉิบหาย”
ผู้ชายทั้งโต๊ะร้องลั่นก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถของเจ้าของตักที่รเณศเผลออ้วกใส่เต็มแรง เพลิงมุ่นหัวคิ้วหน้าตาเครียดขมึงก่อนจะจ้องคนแปลกหน้าที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้วดันทำท่าจะหลับเฉย
“เอ่อ”
ชินกรหน้าเสียคล้ายจะร้องไห้ ก่อนจะผวาลุกตามเจ้าทุกข์ที่ตวัดร่างของรเณศขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ผู้ชายหัวใจสาวละล้าละลังจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้องน้ำที่ชายแปลกหน้าอุ้มรเณศซึ่งเมามายไม่ได้สติเข้าไป เสียงร้องโวยวายเคล้าเสียงสะอื้นของเพื่อนสนิทยิ่งทำให้เขาหวั่นวิตก สุดท้ายชินกรรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ภาพที่เห็นคือรเณศกำลังโก่งคออาเจียนด้วยท่าทางโงนเงน สภาพที่เห็นนั่นดูไม่ได้เลย ดีว่าเจ้าทุกข์ที่โดนอ้วกใส่ประคองเพื่อนเขาไว้ไม่ให้หน้าทิ่มลงอ่างล้างมือ สีหน้ายุ่งยากใจที่ชินกรสัมผัสได้จากคนตัวโตนั่นบ่งบอกว่าระอาเพื่อนเขาเสียเต็มประดา
“คุณ...”
ชินกรยืนอึ้งเมื่อใบหน้าคมคายชัดเจน ผู้ชายตรงหน้าที่กำลังทำหน้านิ่วนั่นมีโครงหน้าชวนตะลึง คิ้วเข้ม ดวงตาสีดำสนิทดูดุดัน ไรหนวดตามสันกรามและเหนือริมฝีปากนั่นยิ่งส่งเสริมให้ร่างสูงใหญ่ซึ่งประมาณการณ์ได้ว่าเกินหนึ่งร้อยแปดสิบไปมากโขดูดิบเถื่อน คมเข้มแบบไทยแท้
ยอมรับเลยว่าเขาแอบเสียมารยาทกลืนน้ำลาย เมื่อเหลือบไปเห็นกล้ามเนื้อต้นแขนเป็นมัดๆ ทั้งสองข้าง นั่นเพราะคนตัวโตถอดเสื้อเชิ้ตที่เปื้อนอาเจียนออกเหลือไว้แต่เสื้อกล้ามด้านใน ผู้ชายหัวใจสาวคงจะตะลึงลานมากไปกว่านี้ถ้าหากแววตาดุดันนั่นจะไม่ตวัดมองมาทางนี้
“มีเสื้อให้เพื่อนคุณเปลี่ยนมั้ย”
“เอ่อ..”
ฝ่ายนั้นมุ่นหัวคิ้วก่อนจะทวนคำถามอีกครั้ง
“สภาพเพื่อนคุณเลอะเทอะมาก ไม่ทราบคุณมีเสื้อให้เขาเปลี่ยนมั้ย”
น้ำเสียงดุดันแต่ฟังแล้วชวนสั่นไหว
“คุณ?”
“คะ ครับ”
ชินกรรีบพยักหน้ารับทันทีเมื่อเห็นฝ่ายนั้นเริ่มชักสีหน้า ก่อนจะรีบผละออกไปเอาเสื้อที่ว่าเขาทันได้เห็นเจ้าของใบหน้าคมคายกำลังลูบแผ่นหลังของรเณศที่โก่งคออ้วกสุดแรง
“ล้างหน้าล้างตาซะ”
น้ำเสียงดุดันนั่นทำให้รเณศที่ยืนเกาะอ่างล้างหน้าหลับตานิ่งอยู่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา แม้นัยน์ตาจะพร่ามัวเพราะฤทธิ์น้ำเมาแต่เขาก็ยังมั่นใจว่าคนตรงหน้าคือคนรักรุ่นพี่
“พี่เต...”
น้ำเสียงระโหยโรยแรงและมือที่ยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้าคนตรงหน้า รเณศลูบไล้ใบหน้าคมคายนั่นอย่างแผ่วเบา ถึงแม้สิ่งที่ได้กลับมาคือความนิ่งเฉยบวกกับแววตาที่เต็มไปด้วยความระอา
“มองหน้าผมชัดๆ”
“พี่เต”
“มองหน้าผม” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเรียบ “แล้วบอกว่าผมเป็นใคร”
“พี่เต”
รเณศหลับตาลงอีกครั้งแล้วสะบัดศีรษะตัวเองแรงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง
และครั้งนี้เขาเห็น...
ใบหน้าคมคาย นัยน์ตาสีดำสนิทเรืองรองดุดันราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง ริมฝีปากหนาเหยียดขึ้นตอนที่เขาทำท่าชะงักไป
“ไม่ใช่”
รเณศครางเสียงแผ่ว
“คุณไม่ใช่พี่เต”
แม้จะคล้ายบางมุม แต่ไม่ใช่ คนตรงหน้าไม่ใช่เตวิช
รเณศแค่นยิ้มให้กับโง่งมของตัวเอง มันเป็นอาการเพ้อพกไปข้างเดียว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเตวิชไม่มีทางอยู่ที่นี่ เตวิชที่กำลังยุ่งเรื่องงานแต่งงานไม่มีทางมาปรากฏตัว ณ สถานที่แห่งนี้
รเณศคือคนโง่
“พี่รักเนตร”
“...”
“พี่รักเนตรแค่คนเดียว ถึงแม้เรื่องของเราจะเปิดเผยไม่ได้ก็ตาม เนตรรอพี่นะคนดี”หึ สุดท้ายเขาก็ยอมรอด้วยความโง่งมถึงสามปีเต็มๆ
ไหนๆ ก็โง่แล้ว ก็โง่ให้สุดๆ ไปเลยแล้วกัน
คนไร้สติขยับก้าวอย่างเชื่องช้าก่อนจะเอื้อมมือไปคล้องคอคนตรงหน้า เจ้าของร่างสูงใหญ่ทำหน้าประหลาด แต่คนตัวโตนั่นยังยืนยิ่งรอดูปฏิกิริยาของเขา รเณศขยับเข้าไปจนใบหน้าเกือบจะชิดกับอีกฝ่ายแล้วช้อนสายตาขึ้นมองแล้วพูดว่า
“นอนกับผมมั้ย”
อาจจะเพราะความเมา เพราะเสียใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาถึงได้พูดแบบนั้นออกไป
มันน่าสมเพชแม้ใจจะเจ็บลึก แต่เขายังเชิดหน้ายิ้มท้าทายอีกฝ่าย เจ้าของใบหน้าคมคายกดยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนมือหนามาตะปบที่หัวไหล่เขาก่อนจะรั้งให้รเณศขยับไปชิดกว่าเดิม เราใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่มาจากตัวของอีกฝ่าย
“เท่าไหร่”
“ว่าไงนะ”
รเณศยืนอึ้ง
“เท่าไหร่”
“ผมไม่ได้ขาย”
รเณศเม้มริมฝีปากแน่น
“ฟรีเหรอ?”
เหมือนค้อนหนักๆ ทุบที่ศีรษะแรงๆ รเณศยืนอึ้งตัวชา ยิ่งเห็นสายตาคู่คมที่มองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าราวกับประมาณสินค้า นั่นยิ่งทำให้เขาหน้าชา สติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่กู่ไม่กลับไปชั่วขณะกลับคืนสู่เขาแทบจะทันที
“ปล่อยผม”
รเณศสะบัดตัวหนีจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
“คุณดูถูกผม”
ฝ่ายนั้นแค่นยิ้มก่อนจะยอมปล่อยมือจากไหล่เขาแต่โดยดี
“ผมดูถูกคุณงั้นหรือ?”
ฝ่ายนั้นกอดอกมองผมยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วขัดตา เพราะเหมือนว่าจงใจกดยิ้มมุมปากแค่นยิ้มมากกว่า
“ไม่มีใครดูถูกหรือตีค่าราคาของคุณได้หรอก หากคุณไม่ยอมให้เขาประเมินราคาตัวเอง”
‘นอนกับผมมั้ย’รเณศยืนอึ้งเพราะสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมามันจริงทุกอย่าง เขาดูถูกตัวเอง เขายอมให้คนอื่นตีค่าประเมินราคาราวกับสินค้า ช่างน่าสมเพชจริงๆ
“ถ้าสติคุณกลับมาแล้วก็กลับบ้านไปซะ” น้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แล้วอย่าไปพูดจาเชิญชวนคนอื่นไปนอนด้วยอีก มันจะเป็นอันตรายกับตัวเอง”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ทำไม แต่ผมจะบอกให้นะ ต่อให้ใครต่อใครดูถูกหรือยัดเยียดให้คุณเป็นอะไรก็ตาม มันก็แค่คำๆ หนึ่งเท่านั้น อย่าเก็บมาคิดหรือใส่ใจเลย”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
รเณศเบือนหน้าหนี นึกถึงสิ่งที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไปยิ่งละอายใจ
“เชื่อผมเถอะ กลับบ้านไปซะ” ฝ่ายนั้นมองเขานิ่ง “อ้ออีกอย่าง ผมไม่รู้คุณตรวจเลือดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ยังไงก็หาเวลาไปตรวจบ้างนะ รักสนุกแบบคุณน่ะ มันเสี่ยงติดโรคทางเพศสัมพันธ์”
“ไอ้บ้า”
รเณศตะโกนสุดเสียงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแปะกับพื้นอย่างหมดแรง
น่าละอาย
ทำไมถึงอาจหาญถึงขนาดกล้าชวนคนแปลกหน้าขึ้นเตียง ทั้งโง่ทั้งบ้าไม่มีใครเกิน
บ้าเอ๊ย รเณศนั่งน้ำตาคลอกุมขมับอย่างท้อแท้
☘☘☘☘
“ฝีมือไม่ตกเลยนี่หว่า”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะนั่นส่งผลให้ชายสูงวัยซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ถึงอย่างนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลายังปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ
“ไม่เหมือนแก ฝีมือไม่ได้เรื่อง”
“โธ่พ่อ”
คนถูกปรามาสยิ้มรับหน้าระรื่นไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“แกน่ะมันลูกชายคนเดียวของฉันซะเปล่า ดันเป็นลูกไม้ไกลต้นซะอย่างนั้น ไม่เหมือนเจ้าเพลิงมัน”
ชายชราพยักพเยิดมาทางเขาซึ่งกำลังรวบหมากสีขาวและดำเก็บ
“อย่าเพิ่งเก็บ ให้ลุงแก้มืออีกสักตาเถอะ”
“เดี๋ยวก็โดนไอ้เพลิงมันกินเรียบอีกหรอกพ่อ”
ชายชราปาหมากสีขาวในมือหมายจะให้โดนกลางศีรษะไอ้ลูกปากเปราะ เสียแต่ว่ามันดันหลบทันไปซะได้ เพลิงกดยิ้มมุมปากด้วยความเคยชินที่เห็นพ่อลูกคู่นี้ตีฝีปากใส่กันแบบนี้เป็นประจำ
“หุบปากไปเลยไอ้ลูกเวร”
ถึงคำพูดจะดูกระด้าง แต่น้ำเสียงนั่นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“เฮ้อ มึงเนี่ยนะไอ้เพลิง โผล่หัวทีไร กูเป็นหมาหัวเน่าทุกที”
น้ำเสียงโอดครวญต่างจากสีหน้าที่ยิ้มระรื่น
“พี่มันอ่อนนี่หว่า”
“ไอ้น้องเวร”
เพลิงหัวเราะในลำคอ ตอนที่ปลายเท้าของลูกพี่ลูกน้องอย่าง
‘ธาม’ ถีบเข้าที่บั้นเอวเหมือนจะแกล้งมากกว่าทำให้เจ็บ
“เสียงดังโหวกเหวกโวยวายอะไรหนุ่มๆ”
ร่างระหงของหญิงสูงวัยนางหนึ่งเดินถือของว่างมาวางไว้ใกล้ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเขา กลิ่นหอมของสาคูไส้หมูนั่นส่งผลให้ธามผุดลุกขึ้นก่อนจะเบะปากราวกับเด็กน้อย
“ของโปรดไอ้เพลิงอีกแล้ว เฮ้อ วันสองวันนี่แม่ทำแต่ของโปรดให้แต่ไอ้เพลิงจนผมน้อยใจแล้วนะเนี่ย”
คนน้อยใจสะดุ้งโหยงเมื่อถูกฟาดที่ไหล่อย่างไม่จริงจังนะ
“ก่อนหน้านี้ฉันทำแต่ของโปรดให้ วันๆ หนึ่งแกก็ไม่อยู่ติดบ้านหรอกพ่อคนปากดี ฟ้าไม่มืดจนเห็นดาว ฉันก็ไม่เห็นแกจะโผล่หน้ามาให้พ่อแม่ได้เห็น”
“ก็งานผมเยอะ”
“งานหรือผู้หญิงยะที่เยอะน่ะ”
“โธ่แม่ วัยอย่างผมฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน ขืนอยู่แต่บ้านแม่จะได้ลูกสะใภ้เหรอครับ”
“ฉันเบื่อจะพูดกับแก”
หญิงสูงวัยทำหน้าเหม็นเบื่อลูกชายก่อนจะหันไปทางหลานชายคนเดียว ซึ่งกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับกระดานหมากล้อม
“คนนึงก็เสือผู้หญิง ส่วนอีกคนก็อยู่แต่ในป่า”
ธามหัวเราะร่วน
“สักวันเถอะแม่ ไอ้เพลิงมันจะแต่งงานกับสิงสาราสัตว์ โอ๊ย”
เพลิงปาหมากสีดำใส่ลูกพี่ลูกน้องเต็มแรง แน่นอนว่าโดนกลางอกอีกฝ่ายเต็มๆ ธามร้องโอดโอยท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันของผู้สูงวัยทั้งสอง ส่วนเพลิงได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนจะชักงักกึกเมื่อประสานสายตากับหญิงสูงวัยพี่สาวของมารดาและมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของเขา
‘ป้าวดี’ ยิ้มอ่อนๆ ให้ แต่เขาทราบดีว่ารอยยิ้มนั้นไม่น่าวางใจนัก
“เพลิง”
“ครับ”
“เราไม่คิดอยากกลับมาทำงานในเมืองบ้างเหรอลูก”
เพลิงแค่ยิ้มเฉยแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“ไปอยู่ไกลขนาดนั้น ป้าเป็นห่วง นี่ดูสิถ้าเพลิงไม่มีธุระที่กรุงเทพฯ เราคงไม่แวะมาหาป้ากับลุง”
“อย่าไปบีบบังคับหลานมันเลยน่าแม่”
‘ลุงทัศน์’ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากล้อมเอ่ยขึ้น หญิงหนึ่งเดียวในที่นั้นจึงถอนหายใจแรงๆ เพลิงเลยขยับมารวบมือทั้งสองของ ‘ป้าวดี’ แล้วบีบเบาๆ เพราะรู้ดีว่านอกจากมารดาผู้ล่วงลับไปตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็มีเพียงป้าวดีและลุงทัศน์เท่านั้นที่คอยห่วงใยมาตลอด เพลิงในวัยสิบแปดปีที่สูญเสียมารดาต้องเข้ามาอยู่ในการอุปการะของลุงกับป้า แน่นอนว่าเพลิงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทั้งสองรักเขาเหมือนลูกแท้ๆ เรียกได้เต็มปากว่านี่คือครอบครัวที่เขาเหลืออยู่ ไม่ต่างธามซึ่งเขานับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ
เพลิงเข้าใจความหวังดีของป้าวดี เพราะอาชีพที่เขารักทำให้ต้องห่างไกลจากคนที่นี่ เกือบสี่ปีเต็มที่ต้องไปไกลขนาดนั้น ทุกครั้งที่กลับมาป้าวดีถึงได้คะยั้นคะยอให้เขาเปลี่ยนใจย้ายกลับมาทำงานในเมืองหลวง
“ก็แม่เป็นห่วงหลาน ไปอยู่ไกลขนาดนั้น จะเจ็บป่วยยังไงบ้างก็ไม่รู้ ย้ายกลับมาทำงานในเมืองเถอะลูก ที่นี่งานมีให้ทำเยอะแยะ หรือถ้าย้ายไม่ได้ก็ให้ลุงเข้าช่วยฝากให้ก็ได้นี่”
เพลิงรู้ดีว่าหากเอ่ยปากถามหาความสบายกับงานที่ทำอยู่ ลุงทัศน์ซึ่งก่อนเกษียณอายุราชการเคยดำรงตำแหน่งนายทหารยศสูงย่อมต้องหาทางช่วยทุกวิถีทาง แต่เขารักวิถีชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ซะแล้ว เพลิงสอบเข้าคณะวนศาสตร์เพราะหลงใหลงานป่าไม้ แน่นอนพอจบมาเขาสอบเข้ารับราชการในสายงานป่าไม้ได้สำเร็จ ท่ามกลางความไม่เห็นชอบของป้าวดีที่รู้ว่าเขาต้องไปทำงานในพื้นที่ที่ลำบาก
แต่เพลิงกลับชอบวิถีชีวิตแบบนั้น หลายปีที่ใช้ชีวิตในพื้นที่ห่างไกลความเจริญและแสงสีของเมืองหลวง เขามีป่าเป็นบ้าน มีลำธารเป็นห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ มีความเงียบเหงาเป็นเพื่อนสนิท เป็นชีวิตที่ไม่ศิวิไลซ์ซึ่งเขาหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ผมมันคนป่าครับ ขืนกลับมาใช้ชีวิตในเมืองคงอึดอัดใจน่าดู”
ลุงทัศน์หัวเราะถูกใจ
“นั่นไง หลานมันชอบชีวิตแบบนั้น เพลิงมันรักงานของมัน ทำใจเถอะแม่” ท้ายประโยคหันไปพูดกับป้าวดี
“แล้วแม่จะทำอะไรได้ล่ะ พ่อเล่นถือหางหลานมันขนาดนี้” ป้าวดีค้อนให้ “เอาเถอะ ถ้าเพลิงยืนยันแบบนั้น ป้าก็จะยอมรับการตัดสินใจของเพลิง ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม”
เพลิงยิ้มอ่อนๆ
“วางใจไอ้เพลิงเถอะแม่ มันโตแล้ว”
ธามพูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องกลัวว่ามันจะอยู่แต่ป่าจนกลับเข้าเมืองไม่ได้หรอก กลัวว่ามันจะหาหลานสะใภ้เป็นสาวชาวป่ามาฝากดีกว่ามั้ง”
“เพ้อเจ้อ”
เพลิงส่ายหัว เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องพูดออกมาไม่มีทางเป็นความจริงไปได้หรอก ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจคนป่าคนดอยหรอก ตรงกันข้ามจะมีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนอยากจะลงหลักปักฐานกับคนอย่างเขา แวบหนึ่งเพลิงนึกถึงอดีตคนรักที่ขอเลิกราไปเพราะทนลำบากไม่ไหว ใครล่ะจะอดทนกับผู้ชายที่มีภาระหน้าที่หนักหนาแบกอยู่บนบ่า ไม่มีหน้าตาทางสังคมและทรัพย์สินหนึ่งเดียวที่เขามีคือความอุตสาหะเท่านั้น
เหอะ เพลิงพิทักษ์และปกป้องได้แต่ป่าไม้เท่านั้นแหละ เขาพิทักษ์หัวใจใครไม่ได้หรอก☘☘☘☘
เปิดเรื่องใหม่จ้า เรื่องนี้แนวผู้ใหญ่สักหน่อย ฝากติดตามด้วยน้า
เราใช้เวลาพอสมควรตอนที่ตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ ยอมรับว่ากลัวกระแส เพราะมันไม่ใช่แนวที่คนส่วนใหญ่ชอบ
แต่สุดท้ายทนเสียงเรียกร้องในใจไม่ไหว คิิกคิก เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ตัวละครจะจีบในป่า รักกันในลำธารเด้อ
ใครเม้นท์ให้กำลังใจฝากแท็ค #ป่าห่มรัก ด้วยนะคะ