[05]
รเณศขยับตัวยุกยิกและนั่งเชิดคอตั้งก่อนจะปรายตามองทะลุกระจกออกไปนอกตัวรถ ท่าทางแบบนั้นทำให้คนขับที่ประคองพวงมาลัยอยู่ข้างๆ นึกขัน แน่นอนว่าเสียงหัวเราะสากๆ ในลำคอนั่นทำเอาคนเมืองหน้างอเป็นจวักแล้วหวนนึกถึงบทสนทนาช่วงเช้าที่ผ่านมา
เรื่องมันมีอยู่ว่าผู้ช่วยคนดีของป้าอนงค์เอ่ยปากว่ามีธุระในเมือง เจ้าบ้านเลยเห็นดีเห็นงามให้เขาติดรถมาทำธุระส่วนตัวด้วย ใจจริงเขาก็อยากรอเข้าเมืองพร้อมกับป้าแก แต่อีกใจก็กลัวว่าการหายขาดจากการติดต่อกับชินกรไปหลายวันแบบนี้จะทำให้ฝ่ายนั้นร้อนใจไปกันใหญ่
สุดท้ายเขาเลยตกกระไดพลอยโจรมานั่งปั้นหน้ายากอยู่ข้างคนขี้แกล้ง
“นั่งแบบนั้นไม่เมื่อยคอหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
เมื่อยสิ โคตรเมื่อยเลย นั่นคือคำตอบในใจของคนเมืองที่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะขยับแผ่นหลังไปจนชิดพนักเก้าอี้แล้วพิงอย่างยอมจำนน เป็นโชคดีอยู่หน่อยที่วันนี้หมอนั่นเปลี่ยนพาหนะจากมอเตอร์ไซค์คลาสสิกมาเป็นกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง
พูดถึงมอ’ไซค์คลาสสิกเขาก็นึกเจ็บใจ เพราะเสื้อตัวที่ถูกโคลนดีดใส่ ซักเท่าไหร่ก็ยังมีคราบกระด่างกระดำน่าอนาถใจ เห็นสภาพเสื้อตัวเก่งนั่นแล้ว เขาจึงอดเคืองตัวต้นเหตุที่นั่งประจำอยู่ตำแหน่งคนขับนี้ไม่ได้
คนดีๆ ที่ไหนถึงชอบกลั่นแกล้งคนอื่นเขาแบบนั้น
“ด่าผมอยู่ในใจเหรอ”
รเณศสะดุ้งโหยง
“คุณอ่านใจคนออกรึไง”
เพลิงส่ายหัว
“เปล่า” ร่างสูงพึมพำ “แต่ผมเดาสีหน้าคุณออก”
“ถ้าผมบอกว่าคุณคิดผิดล่ะ”
เพลิงยักไหล่
“ไหนคุณบอกสิว่าตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่”
เพลิงละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามาจ้องมองคนข้างกาย
“คุณชมผมอยู่มั้ง”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ผมด่าคุณอยู่ในใจต่างหาก”
รเณศตอบทันควัน กว่าจะรู้ตัวว่าเสียรู้ให้อีกฝ่ายเสียแล้ว ก็ตอนที่สบตากับแววตาคู่คมที่เจือแววขบขันอยู่
แม่งงงงงงงงงงงง
โคตรเสียรู้เลย
คนเมืองนั่งหน้าตูมปิดปากเงียบกริบจนกระทั่งเครื่องยนต์สี่ล้อพาเข้าเขตตัวอำเภอ ไม่นานตึกรามบ้านช่องเริ่มปรากฏมีให้เห็นมากขึ้น
“ผมขอแวะซื้อของแห้งก่อนนะ”
คนขับตบไฟเลี้ยวซ้ายก่อนจะจอดที่หน้าร้านขายส่งคล้ายๆ ซุปเปอร์มาร์เก็ตขายปลีกขนาดใหญ่ คนเมืองพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะมองไปรอบๆ เห็นอาคารห้างสรรพสินค้าอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนพอดี
“นั่นใช่ห้างหรือเปล่า”
เพลิงมองตามสายตาคนถาม
“ผมขอแยกไปทำธุระก่อนได้มั้ย”
“เอาสิ”
คนขับพยักหน้าหงึกหงัก
“ถ้าคุณเสร็จธุระแล้วรออยู่หน้าห้างแล้วกัน เดี๋ยวผมซื้อของเสร็จจะแวะไปซื้อหนังสือในห้างต่อ”
รเณศขยับเปิดประตูรถ ตอนที่คนในชุดลายพรางเดินเข้าไปในร้านขายปลีก ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าฝ่ายนั้นจะเข้าเมืองมาซื้ออาหารแห้งสำหรับใช้เป็นอาหารยังชีพสำหรับการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ คนเมืองยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้านจนเพลิงหันมาเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม
“เอ่อ”
เภสัชกรหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”
เพลิงกดยิ้มมุมปาก
“ไม่มี...ไปทำธุระคุณเถอะ”
“อ๋อ”
รเณศพึมพำเตรียมจะผละออกไป เมื่อรู้สึกว่าการสบตากับฝ่ายตรงหน้าเป็นเรื่องที่ชวนให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดยากที่จะอธิบายได้
“ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ”
ติดรถคนอื่นมา มันก็สมควรแสดงน้ำใจรึเปล่าล่ะ จะให้เดินเปิดตูดหนีไปทำธุระตัวโดยไม่ไถ่ถามเจ้าของรถมันก็กระไรอยู่
เรื่องแค่นี้เอง...ขอบคุณทำไม
ขอบคุณไม่พอ...ยิ้มทำไมวะ
.
จุดหมายแรกที่รเณศมุ่งหน้าไปคือร้านโทรศัพท์หลังจากตัดสินใจซื้อซิมใส่ใหม่ก่อนจะเปิดเครื่องโทรหาชินกร หลังจากปลายสายกดรับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วตามด้วยเสียงบ่นยืดยาวที่เขาขาดการติดต่อไปหลายวัน
[มึงทำกูใจหายเนตร กูคิดอยู่เลย ว่าหากมึงยังไม่ติดต่อกลับมาวันนี้ กูจะแจ้งความ]
รเณศยิ้มขำเพราะสิ่งที่ชินกรพูดไม่ผิดไปจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“ใจเย็นน่า กูยังอยู่สบายดี”
[เฮ้อ]
ปลายสายถอนหายใจ
[เนตร]
“อืม”
[เมื่อวานพี่เตมาหากูที่ทำงานว่ะ]
รเณศกำโทรศัพท์ในมือจนเกร็ง
[เขามาถามหามึง]
“อืม”
รู้ตัวเลยว่าตอบเพื่อนไปเสียงสั่นเพียงใด
[เนตร...มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยที่ทำแบบนี้]
รเณศรู้สึกว่าหัวตาร้อนผ่าว จมูกก็แสบร้อนไม่ต่างจากลำคอที่จุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แน่ใจ”
กัดริมฝีปากจนเจ็บ
[พี่เตเข้าใจว่ามึงงอนหนีไปเที่ยว อีกไม่นานคงกลับ]
รเณศแค่นยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเองเมื่อครั้งอดีต ครั้งนั้นเตวิชบอกว่าต้องคบหากับคนที่ครอบครัวจัดหาให้ แน่นอนว่าเขางอนจนหนีไปพักใจคนเดียวและสุดท้ายคนอ่อนแออย่างเขาก็ซมซานกลับไปตายที่รังเดิม กลับไปเป็นโง่งมเช่นที่แล้วมา
ต่างจากครั้งนี้...
“ชิน กูขอร้อง”
[อืม]
“อย่าให้เขารู้ เพราะกูจะไม่กลับไป”
ไม่กลับไปอีกแล้ว
รเณศคนนั้นตายไปแล้วพร้อมกับความรักลวงๆ
‘พี่ต้องแต่งงานกับเขา’ในเมื่อเตวิชเลือกแล้ว เขาก็จะเลือกเหมือนกัน
รเณศเลือกเดินไปข้างหน้า...โดยไม่มี ‘เตวิช’ อีกต่อไป
☘☘☘☘
เพลิงชะงักปลายเท้าก่อนจะหยุดยืนนิ่งตอนที่เห็นแผ่นหลังงองุ้มของใครบางคนเบื้องหน้า หัวไหล่ทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทาบ่งบอกอารมณ์ของคนๆ นั้นได้เป็นอย่างดี แม้ไม่เห็นสีหน้า แต่เพลิงก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่ยืนจ้องมองนิตยสารมีชื่อซึ่งมุมด้านหนึ่งของปกนั่นมีรูปของพี่ชายต่างมารดาในชุดแต่งงานกับเจ้าสาวของเขา
เหอะ งานวิวาห์ของไฮโซหนุ่มตระกูลผู้ดีเก่า มันจะแปลกอะไรที่จะเป็นข่าว
ไม่แปลกหรอก หากเป็นคนอื่นไกล
ไม่แปลกเลย หากใครบางคนไม่มีใจให้เจ้าบ่าว
แวบหนึ่งเพลิงนึกเวทนาเจ้าของไหล่งองุ้มตรงหน้า เพราะเข้าใจถึงได้เห็นใจ สถานะตัวสำรองที่รอคอยอยู่เบื้องหลังมันเจ็บไม่น้อย เพราะคุณค่าของมันเป็นแค่คนคั่นเวลา เพลิงกับรเณศอยู่ในสถานะที่ใกล้เคียงกัน ตั้งแต่เล็กจนโตเขารับรู้มาตลอดว่าเขาและแม่คือบ้านที่สอง เป็นอับดับที่รองลงมาจากความสำคัญอื่นๆ ในชีวิตของบิดา
แม่ของเพลิงเฝ้ารอ ตั้งใจรอ อยู่ในมุมเงียบๆ เพื่อรอเศษความรักความห่วงใยจากบิดา ตั้งแต่จำความได้ การที่เพลิงเห็นแม่ร่ำไห้อย่างทุกข์มรมานเป็นภาพติดตาเขามาตลอด จนกลายเป็นความชินชาและสุดท้ายเพลิงชิงชังในสถานะที่เป็นอยู่ เพราะต่อให้ดิ้นรนหนีไปไกลเท่าไหร่ แต่ความจริงก็ซัดใส่หน้าอยู่ดีว่าเขาคือ ‘ลูกเมียน้อย’
เพลิงขยับไปใกล้จนเห็นสายตาของรเณศที่แสดงออกอย่างเจ็บปวดไม่ต่างจากสายตาของแม่ มันคือสายตาของผู้พ่ายแพ้ที่ยอมจำนนต่อความรักอย่างขมขื่น เพราะเขาอยู่กับความรู้สึกนี้มาตั้งแต่เกิด เพลิงจะเข้าใจและเห็นใจผู้พ่ายแพ้เบื้องหน้า คงไม่แปลกหากเขาจะนึกเวทนาและเห็นใจคนเป็นรองอย่างรเณศ
เขาไม่รู้ว่าเรื่องของเตวิชและรเณศจบลงแบบใด แต่การที่รเณศดั้นด้นมาที่นี่และเตวิชตัดสินใจแต่งงานนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบทุกอย่าง เรื่องความรักของคนสองคน เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าใครถูกหรือผิด เพลิงคือคนอื่นจึงได้แต่มองอยู่ในฐานะคนนอกและเป็นคนนอกที่ปรารถนาให้แววตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตานั้นดีขึ้นในเร็ววัน
เพลิงเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง และถึงจะมีพี่ชายต่างมารดา แต่ความสัมพันธ์ก็ห่างเหินกัน ซ้ำความรู้สึกยังห่างไกลจากคำว่าครอบครัว เมื่อได้รู้ว่าอดีตคนของพี่ชายนั่นคือหลานแท้ๆ ของป้าอนงค์ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตาเขาตั้งแต่มาประจำอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เขาจึงอดเอ็นดูในฐานะน้องนุ่งไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นตัวคนเดียวซ้ำยังช้ำรักมาหมาดๆ แบบนี้ ถึงแม้การเจอกันไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ก็ตาม
“เช็ดน้ำตาหน่อยเถอะ”
รเณศยืนตะลึงตอนที่ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มยื่นมาตรงหน้า และยิ่งตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย
“คุณ...”
“เช็ดน้ำตาซะ”
แววตาคู่คมที่จ้องมองกันนิ่งนั่นทำเอาคนช้ำรักนึกกระดากอาย
อีกแล้ว...รเณศทำให้คนตรงหน้าเห็นสภาพตัวดูไม่ได้ของตัวเองอีกแล้ว เขาส่ายหน้าแรงๆ ก่อนจะเดินผละหนีออกไป
“ผมจะไปล้างหน้า”
รเณศปฏิเสธผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
“กว่าจะเดินไปถึงห้องน้ำ น้ำตาคุณคงไหลกลบดวงตาจนมองไม่เห็นทางแล้วมั้ง”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
รเณศพูดเสียงสั่น ขณะที่เพลิงถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะสบตากับคนเมือง แววตาที่เจือไปด้วยความปวดนั่นชวนเวทนาไม่น้อย ความรักทำให้คนเราพังภินท์ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ไม่ต้องมีใครตอบคำถามนี้ให้เขาหรอก ในเมื่อเพลิงรู้อยู่เต็มอก รเณศเหมือนแม่ที่เจ็บเพราะคำว่ารัก และช้ำใจเพราะการรอคอย รเณศยังโชคดีที่พาตัวเองรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานนั้นได้ ขณะที่แม่ของเขาหลงอยู่ในวังวนนั้นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“เอาสิ อยากจะเยาะเย้ยอะไรผมก็เชิญเลย”
“...”
“ผมมันอ่อนแอ”
รเณศทุบอกตัวเองแรงๆ
“ผมนี่แหละที่หน้าด้านขอนอนกับคุณ เพราะความคิดโง่ๆ”
“...”
“ผมเองที่กินเหล้าจนขาดสติเพราะถูกทิ้ง”
“...”
“ผมมันโง่ ทั้งโง่ทั้งเซ่อที่หลงเชื่อคำว่ารักของคนๆ หนึ่ง หน้าโง่ไม่มีใครเกิน โง่ที่สุด”
“หยุด”
เพลิงตวัดตามองคนตรงหน้านิ่ง
“ผมแม่งโคตรน่าสมเพช”
“หยุดพูด”
รเณศเหยียดยิ้มทั้งที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา
“หัวเราะเยาะผมสิ”
สภาพคนช้ำรักคล้ายแก้วที่ถูกทำให้แตกสลายไม่มีชิ้นดี เหมือนในความต่าง ต่างด้วยช่วงเวลา และเหมือนที่ว่าคือเหมือนภาพมารดากล่าวโทษตัวเองก่อนสิ้นใจที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพแบบนี้ แม่ขอโทษที่ทำให้เกิดมาและถูกตราหน้าจากคนอื่นว่าเป็นลูกเมียน้อย แม่โทษตัวเองที่โง่งมและทำให้เขาต้องทนทุกข์มาตั้งแต่เกิด
‘แม่ขอโทษที่เป็นเมียน้อยเขา แม่ขอโทษที่ทำให้เพลิงต้องแปดเปื้อนด้วยคำสกปรก’
‘แม่ขอโทษ ที่แม่ เป็นแม่ที่ไม่น่าภาคภูมิใจสำหรับลูกเลย’
เพลิงกำหมัดแน่น
“จากคนรักกลายเป็นชู้ คุณได้ยินมั้ยว่า สถานะผมมันน่าสมเพช เป็นชู้ เป็นคนในที่มืด เป็นความลับที่ไม่น่าเปิดเผยเลยในชีวิตเขา”
เพลิงกัดฟันกรอดก่อนจะกระชากแขนรเณศจนตัวปลิว
“ปล่อยผม”
“เงียบแล้วหุบปากคุณซะ”
รเณศพยายามยื้อแขนตัวเองไว้ แต่สุดท้ายก็สู้แรงของเพลิงไม่ไหวเซแถ่ดๆ ตามแรงลากของคนบ้าพลัง เพลิงฉุดแขนรเณศไปจนถึงห้องน้ำก่อนจะเปิดน้ำที่อ่างแล้วผลักให้เจ้าของใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเข้าไป
“ล้างหน้าล้างตาซะ”
“ปล่อยผม”
“อย่าให้ผมต้องจับคุณกดน้ำ” เพลิงกระซิบเสียงลอดไรฟัน “คุณรเนศ”
คนเมืองทำหน้าขัดใจก่อนจะจำใจวักน้ำใส่หน้าเมื่อหน้าใบหน้าดุดันยืนจ้องเขม็ง
“ล้างน้ำตาออกไปให้หมด แล้วคุณจะมองอะไรได้ชัดขึ้น”
รเณศเม้มปากแน่นแล้วจ้องใบหน้าตัวเองในกระจก สภาพที่เห็นคือผู้ชายที่มีใบหน้าขาวดวงตาและจมูกแดงก่ำ เส้นผมที่เปียกน้ำ สภาพใบหน้าบิดเบี้ยวไม่น่าดูเลยสักนิด
“พูดให้ร้ายตัวเอง แต่สุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดคือตัวคุณเอง ขณะที่คุณกำลังร้องไห้จะเป็นจะตาย คนที่ทำให้คุณเจ็บปางตายอาจจะกำลังยิ้มอย่างมีความสุข”
คำพูดนั้นเสียดแทงกลางใจเขาเต็มๆ แค่คิดตามก็นึกถึงภาพอดีตคนรักกับเจ้าสาวของเขาในนิตยสารนั่นไม่ได้
ถูกแล้ว ขณะที่รเณศเจ็บเหมือนจะตาย อดีตคนรักรุ่นพี่คงกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิต
“คุณสิ้นคิดมากรู้มั้ยที่พูดจาดูถูกตัวเอง”
‘ไม่มีใครดูถูกหรือตีค่าราคาของคุณได้หรอก หากคุณไม่ยอมให้เขาประเมินราคาตัวเอง’“เวลารักน่ะมันใช้หัวใจมากกว่าสมอง แต่เวลาเลิกคุณควรใช้สมองมากกว่าหัวใจ”
รเณศหน้าชา
“คุณไม่เป็นผม คุณไม่มีวันเข้าใจ”
“งั้นเหรอ”
เพลิงกอดอกมองหน้าเขานิ่ง
“คุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม คุณไม่เข้าใจ”
เพลิงกดยิ้มมุมปากแต่แววตากลับแข็งกร้าว
“มีแต่คนไม่มีสมองเท่านั้นแหละ ที่ใช้ความรู้สึกและสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญเพียงอย่างเดียวไปตัดสินทุกอย่างบนโลก คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ยังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แล้วคุณรู้ได้ไงสิ่งที่คุณเผชิญอยู่มีแค่คุณคนเดียวที่รู้สึกได้”
รเณศเม้มปากแน่น
“เผื่อคุณยังไม่รู้...”
“...”
“ว่าผมเป็นลูกเมียน้อย”รเณศยืนตะลึง
“ลูกเมียน้อย คำเรียกที่ได้ยินตั้งแต่เกิด”
เพลิงกำหมัดแน่นใบหน้าคมคายดูเย็นชามากขึ้นจนคนมองนึกใจหาย รเณศเหมือนคนหายใจไม่ออกเมื่อสบตากับดวงตาสีเข้มที่ดำมืดเหมือนจิตใจที่โดนคำบางคำทำร้ายจนชินชา
“คุณยังโชคดีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวจริง...” เพลิงพูดเสียงแผ่ว “ขณะที่แม่ผมไม่เคยเป็นตัวจริงเลยสักครั้งในชีวิต”
รเณศเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
ผู้ชายตรงหน้าดูเข้มแข็งที่พูดเรื่องเจ็บปวดได้อย่างหน้าตาเฉย แต่แววตาเขากลับดูอ้างว้างจนอยากแตะที่บ่าทั้งสองข้างนั่นเบาๆ
“คุณ...”
...Rrrrrr...
ตอนที่ขยับไปใกล้คนตัวโตนั่น เสียงเครื่องมือสื่อสารของเพลิงก็ดังขึ้น ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมา มันคงเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดและไม่ควรอย่างยิ่งหากรเณศจะเผลอยิ้มออกมาเมื่อจ้องไปที่มือถือแอนดรอยตกรุ่นซึ่งฝาโทรศัพท์แนบไม่สนิทกับตัวเครื่องจนเจ้าของต้องใช้หนังยางรัดเพื่อให้ใช้งานได้ รเณศเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างที่ผละออกไปโทรศัพท์ น่าแปลกที่ความรู้สึกหนักหนาซึ่งแบกมาจากเมืองหลวงมันค่อยบางเบาจางลงอย่างไม่เชื่อ
เพลิงเป็นผู้ชายที่ประหลาด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังทำหน้าเหมือนเด็กหนุ่มที่มีปมเรื่องครอบครัว แต่บัดนี้หลังจากรับโทรศัพท์เสร็จ ภาพหน้าเรียบเฉยตามปกติของผู้ช่วยคนดีของใครต่อใครก็กลับมาอีกครั้ง
“ธุระคุณเสร็จแล้วใช่มั้ย พอดีผมมีงานด่วน”
รเณศพยักหน้าหงึกหงัก อดที่จะวนสายตาไปยังโทรศัพท์แฮนด์เมดในมือของคนตรงหน้าไม่ได้
“อันนี้น่ะเหรอ”
เพลิงชูโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายราวกับว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่หนักหนาในชีวิต
“อย่าได้ดูถูกมันเชียว เห็นแบบนี้มันอึดมากนะ”
“...”
“คงอึดเหมือนเจ้าของมัน”
รเณศเบะปากก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างไป
สภาพโทรศัพท์นั่นคงตกพื้นบ่อยไม่ต้องสงสัย น่ากลัวว่ามันน่าจะทั้งอึดทั้งทนเหมือนเจ้าของตามที่ใครบางคนพูด แต่รเณศแอบเพิ่มข้อดีอย่างว่าโทรศัพท์นั่นคงแข็งแรงและเข้มแรงเหมือนเจ้าของมัน
ต้องเข้มแข็งมากแค่ไหนที่พูดเรื่องปมด้อยของตัวเองให้คนฟังด้วยท่าทางแบบนั้น
เข้มแข็งจนอดที่จะชื่นชมไม่ได้
แวบหนึ่งรเณศเผลอยิ้มและกว่าจะรู้ตัวเขาก็มองตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปจนลับตา
☘☘☘☘
ธุระของคนในชุดลายพรางคงจะสำคัญน่าดู เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเพลิงไม่พูดไม่จาอะไรนอกจากสายตาที่จับจองไปยังถนนเบื้องหน้า ไม่นานเครื่องยนต์สี่ล้อก็พาเลี้ยวเข้าเขตอุทยาน ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวครึ้มดูอุดมสมบูรณ์
‘อุทยานแห่งชาติดอยห่มรัก’รเณศอ่านป้ายบอกทางแล้วเริ่มขยับตัวเพราะไม่นานเพลิงก็บังคับรถไปจอดหน้าอุทยานก่อนจะกระโจนออกจากรถอย่างว่องไว ระหว่างนั้นคนเมืองจึงเพิ่งสังเกตว่านอกจากรถของเพลิงแล้วยังมีรถกระบะจอดอยู่บริเวณนั้นอีกสามสี่คัน ซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นรถตำรวจ พอได้ตามเจ้าถิ่นไปสักระยะรเณศจึงเห็นว่ามีกลุ่มคนมากมายกระจายกันอยู่แถวๆ ที่ทำการอุทยานไม่ต่ำกว่าสิบคน
“ผู้ช่วย”
เพลิงถอนหายใจแรงๆ ตอนที่กวาดสายตามองบรรดาลูกน้องพร้อมกับสำรวจร่างกายแต่ละคน
“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่มั้ย”
“พี่พลไหล่หลุด ส่วนพี่เกิ้งโดนกระสุนถากๆ ครับ”
เพลิงเม้มปากแน่นหวนนึกถึงสายโทรศัพท์ก่อนหน้าที่ลูกน้องโทรรายงานว่าวันนี้กลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ส่วนหนึ่งบังเอิญไปตรวจและจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ลักลอบตัดและขนไม้พะยูง แน่นอนว่าการจับกุมที่มีสายข่าวจากชาวบ้านที่มาแจ้งนั่น มีการประทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้กระทำผิด โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ลูกน้องเขาไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส
เจ้าเต็งหลานพรานป่าธีปอพยักพเยิดไปทางคนเจ็บทั้งสองที่เดินมาทางนี้พอดี ‘พล’ เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้รุ่นน้องที่คณะ ส่วน ‘เกิ้ง’ คือรุ่นพี่ที่รุ่นจักมักคุ้นกันมานาน
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นพี่เพลิง ผมแค่ไหล่หลุดเมื่อกี้ลุงแสวงแกเอาเข้าให้แล้ว”
เพลิงส่ายหัว
“ไปให้หมอเขาดูอาการหน่อยเถอะ เผื่อมันอักเสบไปพร้อมกับพี่เกิ้งนั่นแหละ”
“ไม่เอาหรอกผู้ช่วย ผมกลัวโรงพยาบาล”
เกิ้งส่ายหัวแรงๆ
“ได้ข่าวว่ามีพยาบาลสาวจบใหม่มาประจำนะพี่ ข่าวว่าสวยน่าดู”
เปลวชี้โพรงเพราะรู้ดีว่าเกิ้งมีข่าวกิ๊กกับพยาบาลสาวที่โรงพยาบาลนั่น ซ้ำยังเคยมีเหตุการณ์รถไฟชนกันจนทำให้เจ้าตัวเข็ดขยาดกับสาวพยาบาล
“ถ้าพี่เกิ้งแกขืนไปโรง’บาล คงโดนแหกอกตาย”
เต็งหันไปยักคิ้วให้เปลวสมกับเป็นคู่หูกันจริงๆ
“สู่รู้จริงๆ ไอ้พวกห่านี่ แค่โรง’บาล กูไม่กลัวหรอกเว้ย”
“งั้นตกลงพี่ไปโรง’บาลนะพี่เกิ้ง”
“ไปให้พยาบาลฉีดฟอร์มาลีนแทนยาแก้อักเสบเหรอ มึงนี่ก็พูดไม่คิด”
พลขำไหล่สั่นขณะที่เพลิงได้แต่ส่ายหัวก่อนจะชะงักกึกเมื่อมองเลยไหล่คนเจ็บไปเห็นกองไม้จำนวนมาก ที่เหลือเมื่อเห็นสายตาของเพลิงก็พากับหุบปากฉับ
“เท่าไหร่”
เพลิงถามเสียงเรียบ
“ประมาณ30-40ท่อนครับผู้ช่วย”
“แบกกันจนหลังแอ่นเลย พอเจอพวกเรานี่ทิ้งไม้วิ่งกันไม่คิดชีวิตเลย ดีว่าพวกมันมีอาวุธแค่คนเดียว ไม่พวกเราคงหนัก”
เพลิงพยักหน้าหงึกหงัก
“จับได้แต่ลูกหาบที่รับจ้างขนครับ ส่วนใหญ่ก็พวกต่างด้าว คนนำทางก็คนไทยเองนี่แหละ เหอะ มันนำทางให้คนชาติอื่นเข้ามาตัดโค่นต้นไม้ป่าตัวเอง โคตรเลวบัดซบ”
ไม้พะยูงเป็นไม้มีราคา แผ่นหนึ่งเทียบเท่ากับทองเส้นหนึ่งได้มั้ง ไม่แปลกหรอกที่เม็ดเงินนั่นจะทำให้ความรู้ผิดชอบชั่วดีถดถอย
“ที่สำคัญ” พลกับเกิ้งลอบสบตากัน “เราพบซากสัตว์บริเวณนั้นด้วย”
“ระยำ”
รเณศสะดุ้งโหยงตอนที่เดินเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงเพลิงสบถ แน่นอนว่าคนแปลกหน้าอย่างเขาโผล่เข้าไปย่อมทำให้เจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางคนอื่นๆ หันมามองอย่างสนใจ
“ตามมาทำไม”
รเณศยิ้มแหย
“ก็เผื่อคุณมีอะไรให้ช่วย”
เพลิงส่ายหน้า “ขอผมคุยกับเจ้าหน้าที่สักครู่ เดี๋ยวจะไปส่งคุณที่บ้าน”
รเณศกำลังจะผละออกไป พอดีกับที่เพลิงถูกลูกน้องกระตุกแขนเสื้อเบาๆ
“ใครอ่ะพี่เพลิง”
พลถามยิ้มๆ เพลิงถอนหายใจเพราะรู้ว่ารุ่นน้องสมัยเรียนนี่มันชอบของสวยๆ งามๆ ถึงแม้ว่าของสวยงามที่ว่าจะเพศเดียวกับมันก็ตาม
“รเณศ”
เสียงเรียกชื่อตัวเองทำให้คนเมืองต้องหันมามอง “หลานป้าอนงค์”
“อ๋อ”
พวกนั้นพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะยิ้มกว้างตอนที่รเณศผงกศีรษะเป็นเชิงทักทาย เพลิงเหลือบตามองคนที่ตามติดมาด้วย ชายหนุ่มขยับไปนั่งยองๆ อยู่ใกล้กับกองไม้พะยูงซึ่งถูกตัดเป็นท่อนพร้อมส่งขายราวๆ สามถึงสี่สิบต้นตามที่ลูกน้องบอกกล่าว ชายหนุ่มมองภาพนั้นแล้วความรู้สึกบางอย่างก็ประทุขึ้นมา ถ้าเดาไม่ผิดไม้พะยูงเหล่านี้คงมาจากป่าทึบในเขตรอยต่ออุทยานซึ่งไม้เหล่านั้นอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี แต่บัดนี้ต้นไม้ที่ควรมีอายุยืนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษากลับกลายเป็นแค่ท่อนไม้ที่ถูกเลื่อยเพื่อส่งขายให้กับนายทุน
เพลิงกำหมัดแน่น
‘เราพบซากสัตว์บริเวณนั้นด้วย’ทั้งตัดไม้ทั้งฆ่าสัตว์
เลวบัดซบที่สุด
“คุณ”
เพลิงถอนหายใจแรงๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกตัวเอง ก่อนจะหันไปเห็นรเณศที่ยืนยิ้มแหยอยู่เบื้องหลัง
“ผมไม่ได้จะรบกวนคุณนะ แต่พอดีผมอยากเข้าห้องน้ำ”
รเณศยืนเก้ๆ กังๆ
“ขอโทษที่รบกวน”
“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย”
“อ๋อ”
รเณศพ่นลมหายใจทางปากดังฟู่ก่อนจะเหลียวหลังกลับไปดูคนในชุดลายพรางคุยกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจเข้าไปทักหรอก เห็นกำหมัดแน่นราวกับโกรธแค้นใครมาก็ไม่ปาน ขืนปล่อยให้กำอยู่อย่างนั้นกลัวมือจะเจ็บจนได้เลือดไปซะก่อน
‘คุณอาจเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมการณ์ แต่ผมขอเรียกมันว่าความรัก’คนที่ก้าวร้าวดุดันแต่การกระทำชัดเจนยิ่งกว่าอะไร
.
.
เกือบค่อนคืนแล้วรเณศก็ยังไม่หลับอาจจะเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เขานอนไม่หลับ ทั้งที่ถูกป้าอนงค์ไล่ให้เข้านอนแต่หัววัน แต่พอจะหลับตาลงนอนภาพความทรงจำเมื่อหัวค่ำก็ผุดขึ้นมา หลังจากเสร็จธุระที่อุทยาน คนหน้าดุก็พาเขามาส่งที่บ้าน
รเณศเห็นเพลิงเข้าไปอุ้มแก้มใสซึ่งกำลังนอนกินนมอยู่ นอกจากนี้เขายังเห็นถุงอะไรสักอย่างที่เพลิงหอบหิ้วมาตั้งแต่ที่ห้าง นั่นแหละถึงรู้ว่ามันคือตุ๊กตาหมีซึ่งน่ารักไม่น้อย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปแอบไปซื้อตอนไหน และเขาเห็นแววตาที่เพลิงมองหนูน้อยเต็มไปด้วยความรัก ผู้ชายตัวสูงใหญ่อย่างกะตึกกลับโอบกอดหนูน้อยอย่างทะนุถนอม
ภาพนั้นดูขัดแย้ง แก้มใสในอ้อมกอดของเพลิงเหมือนของจิ๋วในมือยักษ์ใหญ่ แต่มันกลับให้ความอบอุ่นจนบอกไม่ถูก
เป็นภาพที่มีความต่าง แต่ทุกอย่างมันลงตัว
ผู้ชายที่มีปมเรื่องครอบครัวแต่แสดงออกกลับเด็กน้อยได้อย่างอบอุ่น
ผู้ชายที่ดุดันแข็งกร้าว มือใหญ่กระชากแขนเขาแทบปลิว แต่มือคู่นั้นลูบท่อนไม้พะยูงที่ถูกเลื่อยอย่างแผ่วเบา
ผู้ชายที่พูดจาห้วนห้าวไม่ไพเราะ แต่เนื้อความเต็มไปด้วยความจริงใจ
“อย่าดูถูกตัวเองเพราะความรักปลอมๆ นั่น เพราะคุณมีค่ามากกว่าคำร้ายๆ ที่คุณพูดให้ร้ายตัวเองคุณรเนศ”น่าแปลกที่รเณศเผลอใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงประโยคนั้น
สงสัยจะกินอิ่มเกินไปซะละมั้ง
นอนๆ รเณศบอกตัวเองให้หลับตาก่อนที่เขาจะสะดุ้งโหยงเมื่อเผลอไปนึกถึงภาพผู้ช่วยปากเจ็บกำลังยิ้มมุมปากมองกัน
คิดอะไรบ้าๆ เขานอนกัดริมฝีปากตัวเองทั้งที่รู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว
☘☘☘☘
หายไปหนึ่งอาทิตย์จ้า สัปดาห์ที่แล้วเราเป็นหวัด ตอนนี้หายดีแล้วจ้า
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ