[ 04 ]
เสียงโหวกเหวกของเจ้าบ้านคละเคล้าไปกับเสียงเคาะกระทะยามเช้าปลุกให้รเณศตื่นเต็มตา ร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นแล้วชะโงกหน้าจากหน้าต่างออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก บ้านเรือนไทยหลังนี้ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่จึงดูร่มรื่นน่าอยู่อาศัยมากๆ ป้าอนงค์เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนที่นี่ครึกครื้นไม่น้อย ตอนที่ตายังอยู่มักมีคนรุ่นเดียวกับตาพากันมากินกาแฟและนั่งโขกหมากรุกคุยเรื่องสัพเพเหระ รวมถึงข่าวสารบ้านเมือง แต่พอสิ้นบุญตาแล้วผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นราวคราวเดียวกันก็มาล้มป่วยและเสียตามกันไปติดๆ บ้านหลังนี้จึงเงียบเหงาลงถนัดตา
“แกงส้มดอกแคนะพี่อนงค์”
“เอาสิมีปลาช่อนอยู่ไม่ใช่รึ”
“มีๆ ฉันอุ่นไส้อั่วที่ซื้อจากในเมืองเพิ่มด้วยนะ”
“เออแหน่ะ ไม่รู้ว่าคนกรุงเขาจะกินได้มั้ยน่ะสิ ทอดไข่เจียวเพิ่มอีกสักจานเถอะ” รเณศโผล่หน้าเข้าไปในครัวทันได้ยินประโยคนั้นพอดี
“ผมกินได้ครับ ไม่ต้องเจียวไข่เพิ่มหรอก”
ป้าอนงค์ชะงักมือที่กำลังเด็ดผักก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “มีแต่อาหารพื้นๆ ทั้งนั้น เจียวไข่เพิ่มอีกสักจานเป็นไร”
รเณศยิ้มกว้างพอจะรู้ว่าป้าอนงค์แกเป็นคนปากร้ายใจดี
“งั้นผมเจียวไข่ให้นะครับ”
“ทำเป็นหรือเรา”
แกทำหน้าประหลาดใจ
“พอทำได้ครับ”
“อย่าทำครัวฉันไหม้แล้วกัน”
ป้าสมัยหัวเราะ
รเณศยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไข่สามสี่ฟองมาตอกใส่ชาม เขาเหยาะน้ำปลาและผงปรุงรสเล็กน้อย ก่อนจะตีให้เข้ากัน
“แหม คุณเขานี่ท่าทางคล่องแคล่วอยู่นะพี่อนงค์”
“เคยช่วยแม่ทำกับข้าวตอนเด็กๆ ครับ”
รเณศยิ้มจางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ลูกมือมารดา
“นังนุชมันทำกับข้าวอร่อย” ป้าอนงค์พูดเสียงแผ่ว “แกงส้มดอกแคนี่เมนูเด็ดเลยล่ะ”
“จริงครับ”
รเณศพยักหน้าเห็นด้วย “ทำทีไรพ่อแทบจะยกหม้อซดน้ำเลย”
“เหมือนตาแก”
“ยังไงครับ”
เขาทำหน้าสนใจ
“ยกหม้อซด/ยกหม้อซดเหมือนกัน”
รเณศชะงักตอนที่พูดประโยคเดียวกับเจ้าของบ้าน ป้าอนงค์ทำหน้าไม่ถูกก่อนจะเบือนไปทางอื่นแล้วยิ้มน้อยๆ ความรู้สึกขัดๆ เขินๆ เพราะความไม่คุ้นเคยจึงเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
“กลิ่นอะไรไหม้”
ป้าสมัยร้องทัก เขาจึงสะดุ้งโหยงรีบหันขวับไปที่เตาแก๊ส
“ตายห่า”
รเณศตาเบิกโพลงตอนที่เห็นไข่เจียวกลายเป็นสีคล้ำ
“อะไรกันล่ะนั่น”
“ไข่ไหม้ครับ”
“นั่นปะไร”
ป้าอนงค์ส่ายหัว
.
.
“อร่อยครับ”
รเณศยิ้มตาหยีหลังจากที่ซดน้ำแกงส้ม รสชาติที่ได้กินนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากฝีมือของแม่ที่เขาเคยกินมาก่อน
“วางเจ้าแก้มลงก่อน แล้วมากินข้าวกันสมัย”
ป้าอนงค์กวักมือเรียกป้าสมัยที่กำลังกล่อมหนูน้อยซึ่งนอนดูดนมขวดอยู่
“ป้าอนงค์ ป้าอนงค์”
จังหวะที่ป้าสมัยกำลังวางหนูน้อยใส่เปล เสียงเรียกเจ้าบ้านก็ดังมาจากหน้าเรือนไทย
“ใครกันล่ะนั่น”
“ป้าอนงค์ช่วยที”
รเณศขยับตามเจ้าบ้านซึ่งก้าวฉับๆ ลงบันไดบ้านอย่างกระฉับกระเฉงผิดกับรูปร่างสูงท้วม
“มีเรื่องอะไรกัน”
“ช้างจ๊ะช้าง”
แขกที่มาเยือนไม่ทันตั้งตัวละล้ำละลักบอก ท่าทางดูตระหนกตกใจ
“ทำไม”
เจ้าของบ้านมุ่นหัวคิ้ว
“ช้างป่าลงมากินสัปปะรดท้ายไร่ ตอนนี้เสียหายไปเยอะแล้ว ช่วยฉันทีป้าอนงค์”
ไม่รอให้ต้องพูดซ้ำสอง ร่างท้วมของเจ้าบ้านรีบหันไปสั่งป้าสมัยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดตามแบบฉบับสาวโสด
“โทรตามผู้ช่วยเร็วเถอะแม่สมัย”
สั่งเสร็จแล้วแกก็เดินตามคนทุกข์ใจนั่นไปติดๆ รเณศทำอะไรไม่ถูกเพราะยังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเห็นญาติผู้ใหญ่เดินดุ่มๆ ไปท้ายไร่แบบนั้น เขาจึงอดห่วงไม่ได้เลยสาวเท้าตามไปติดๆ
“รอผมด้วยครับ”
☘☘☘☘
เสียงร้องแปร๋นๆ ดังกึกก้องของสัตว์ใหญ่ทำเอาคนเมืองกรุงนึกขยาดกลัว ขนาดว่าไม่เห็นตัว ฟังแต่เสียงของมันเท่านั้นก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แล้ว รเณศขยับเข้าไปชิดป้าอนงค์จนแกหันมามองอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มเลยยิ้มแหยๆ เป็นคำตอบให้กับผู้สูงวัย
“ตามมาทำไมกันล่ะเนี่ย”
“ก็ผมเป็นห่วงป้า”
แกถอนหายใจเฮือกใหญ่
“งั้นอย่าเดินทะเล่อทะล่าไปไหนตามลำพังล่ะ”
รเณศพยักหน้าหงึกหงักรับคำ
ป่าสัปปะรดประมาณการณ์จากสายตานั่นไม่ต่ำกว่าห้าไร่ ซ้ำผลผลิตของมันกำลังออกผลให้เก็บกิน แต่ภาพที่เห็นคือช้างป่าโขลงใหญ่นับสิบตัวกำลังเดินลุยสวนสัปปะรดและกัดกินผลผลิตนั่นอย่างสบายใจเฉิบ ทั้งกินทั้งเหยียบจนต้นสัปปะรดล้มระเนระนาดราบเป็นหน้ากอง
รเณศสังเกตว่าท้ายสวนนั่นเป็นแนวรั้วมีหลอดไฟล้มลงกับพื้นเป็นแนวยาว บ่งบอกว่าแนวกั้นที่ชาวบ้านทำไว้ถูกทำลายลงแล้ว ระหว่างนั้นเจ้าของสวนและญาติพี่น้องจำนวนหนึ่งกำลังเหนี่ยวหนังสติ๊กที่ใส่อาวุธเป็นอะไรสักอย่างสีดำๆ ยิงใส่ก้นช้าง แต่ดูเหมือนมันจะแค่ทำหน้ารำคาญก่อนจะยกหางปัดกระสุนที่ว่านั่นลงพื้น
“มันไม่เจ็บเลยเหรอครับนั่น”
“กระสุนดินเหนียวน่ะ” ป้าอนงค์อธิบาย “แรกๆ มันก็ได้ผลอยู่หรอก หลังๆ มาเจ้าพวกนั้นมันดันฉลาดรู้ทันคนว่ากระสุนดินเหนียวนั่นทำอะไรมันไม่ได้”
“หวอออออออออออ”
เสียงไซเรนดังกึกก้องทำเอาสัตว์ใหญ่ตกใจ พวกมันกระพือหูแล้วเดินวนไปวนมาก่อนจะเริ่มขยับถอยหลัง แต่นั่นทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นลูกหลานเจ้าของสวนที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงช้างป่าเผลอขยับเข้าไปใกล้พวกมัน สถานการณ์ตรงหน้าชวนหวาดเสียวจนรเณศเผลอลืมหายใจ ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรแวบๆ คล้ายคนวิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว
ปังๆๆ
เสียงประทัดดังรัวในระยะประชิด
“ระวัง”
น้ำเสียงดุดันตะโกนบอกทำให้เด็กน้อยที่ว่าซึ่งกำลังยืนเบะปากร้องไห้ถูกใครบางคนในชุดลายพรางตวัดขึ้นอุ้มแล้วพาออกมาจากรัศมีที่เป็นจุดอันตราย รเณศเกือบลืมหายใจมองเหตุการณ์ชวนระทึกนั่นอย่างใจจดใจจ่อ เพลิงอุ้มเด็กน้อยแนบอกไปคืนญาติ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางเกือบสิบนายก็เดินกระจายอยู่รอบๆ ในระยะที่ปลอดภัย ในมือพวกเขามีโทรโข่งอันใหญ่ที่เปิดเสียงไซเรน
โขลงช้างป่าเริ่มขยับถอยหลังไปเพราะเสียงประทัด พวกมันเดินวนไปวนมาพักหนึ่งก่อนจะพากันหันหลังกลับ รเณศเห็นร่างสูงของใครบางคนเดินตามหลังช้างไปเรื่อยๆ ก่อนที่คนในเครื่องแบบลายพรางนั่นจะตะโกนบอกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
“ระวังๆ อย่าไปใกล้มันมาก”
เกือบสิบนาทีหลังจากฝูงช้างหายเข้าป่าไป รเณศได้ยินเสียงสะอื้นจากเจ้าของสวนหลังจากที่เห็นสภาพสวนสัปปะรดราบเป็นหน้ากอง ป้าอนงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปปลอบใจเจ้าทุกข์ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางก็เดินสำรวจพื้นที่เสียหาย
“ขอบคุณผู้ช่วยมากนะจ๊ะที่ช่วยหลานป้าไว้”
ป้าเจ้าสวนยกมือไหว้หมอนั่นปลกๆ ตอนที่กอดเด็กน้อยขวัญเสียที่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่
“ผู้ช่วยเลือดออกนี่”
ป้าอนงค์ร้องเมื่อเห็นเลือดออกบริเวณศอก
“คงเกี่ยวกับกิ่งไม้มั้งครับ”
“งั้นไปทำแผลที่บ้านป้าก่อนเถอะ จะได้อยู่กินข้าวเช้าด้วยกัน”
เพลิงเหลือบตามาทางรเณศซึ่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงหน้า
“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”
“เอาน่าผู้ช่วย ยังไงป้าก็ต้องฝากปิ่นโตกับเจ้าเปลวไปให้ผู้ช่วยอยู่แล้ว กินข้าวด้วยกันซะที่บ้านเลยเป็นไร”
เพลิงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะปกติชีวิตชายโสดอย่างเขามีอะไรก็กินไปตามมีตามเกิด ป้าอนงค์คงนึกเห็นใจถึงได้มีน้ำใจแบ่งปันกับข้าวกับปลา จนสุดท้ายเพลิงตัดสินใจผูกปิ่นโตอาหารมาเรื่อย
“ยังไงเดี๋ยวผมขอเคลียร์พื้นที่กับเจ้าหน้าที่ก่อนแล้วจะตามไปนะครับ”
“รีบมาทำแผลนะผู้ช่วย”
รเณศเผลอเหลือบมองข้อศอกที่มีรอยขูดเป็นทางยาวจนมีเลือดไหลซิบ แผลขนาดนั้นคงเจ็บไม่น้อย คนมองแอบนิ่วหน้าก่อนจะชะงักกึกเมื่อใบหน้าคมคายนั่นหันมาทางเขาแล้วตรงๆ รเณศรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนตอนที่มองแผลอีกฝ่าย
ยอมรับว่านึกกังวลกับบาดแผลนั่นตามประสาคนขี้สงสาร
“รเณศ”
“...”
“รเณศ”
ป้าอนงค์ขยับมาหยุดตรงหน้าตอนที่เราทั้งคู่เดินมาถึงบ้านเรือนไทย
“คะ ครับ”
“เหม่ออะไรกัน”
รเณศเกาหัวแก้เก้อ
“ผมสงสัยน่ะครับว่าทำไมช้างป่าถึงลงมาบุกรุกสวนสัปปะรด”
ป้าแกร้องอ๋อ
“ก็เมื่อก่อนหน้าน่ะสิ ชาวบ้านบุกรุกที่อุทยานขึ้นไปปลูกพืชผลทำมาหากิน ตอนนั้นสัปปะรดมันราคาดี คนก็แห่ปลูกกัน แต่พอช่วงที่ราคาตก ขายไม่ออกผลผลิตก็เน่าคาไร่ ช้างมันได้กลิ่นก็ตามมากินเอาน่ะสิ กินไปกินมาชักติดใจมาบุกรุกแทบทุกปี ไอ้ชาวบ้านนี่ก็กระไรพอผลผลิตมันมีราคาขึ้นมาก็เข้าไปทำมาหากิน”
รเณศพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วไร่เราไม่โดนช้างป่ารุกบ้างเหรอครับ”
ป้าอนงค์ส่ายหัว
“ท้ายไร่เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ตั้งแต่สมัยตาแกยังอยู่ก็ปล่อยให้พืชมันขึ้นตามธรรมชาติ หากพ่อพลายแม่พังเขาจะมาเยี่ยมเยียนคงไม่เสียหายอะไร เมื่อก่อนตาแกเขาเคยเลี้ยงผึ้งไว้ขายที่ท้ายไร่ ช้างน่ะมันกลัวผึ้งเลยไม่เข้ามาใกล้ อีกอย่างท้ายไร่น่ะมีแต่ไผ่หนามที่ตาแกปลูกทิ้งไว้ โดนหนามมันทีเจ็บน่าดูเลยล่ะ ยิ่งถ้ากิ่งหรือแขนงมันแตกมานะ อย่าว่าแต่ช้างเลย คนก็ยังกลัวหนามมัน”
“คุณตาเก่งจังเลยครับ”
“ไล่ช้างแบบภูมิปัญญาชาวบ้านน่ะ”
รเณศคิดตามแล้วนึกสนุก แวบหนึ่งเขานึกถึงสมัยเรียนที่ต้องเรียนเกี่ยวกับสมุนไพรที่ใช้รักษาแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน วิชาที่ลงเรียนพร้อมกับเตวิชและชินกร
..เตวิช..
ชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ความรู้สึกเบิกบานยามเช้าเป็นอันสะดุดลง คนมีอดีตรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้น เพราะต่อให้เขาคิดถึงอีกฝ่ายมากเพียงใด มันก็แค่ความคิดถึงที่ครอบครองไม่ได้อยู่ดี
“เอ่อป้าอนงค์ครับ”
“มีอะไรอีกล่ะ”
“ถ้าผมจะเข้าไปในเมืองไปทำธุระ”
นอกจากเตวิชแล้วชินกรยังเป็นอีกคนที่เขานึกถึง ฝ่ายนั้นย้ำนักย้ำหนาว่าหาถึงที่หมายให้โทรบอกข่าวกัน แต่รเณศตัดสินใจหักซิมอันเก่าทิ้งไปตั้งแต่อยู่ที่สนามบินแล้ว ตั้งใจว่าถึงที่นี่จะซื้อซิมใหม่ใช้เพราะตัดใจทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง
“แกรีบมั้ยล่ะ”
“ไม่ครับ”
“สุดสัปดาห์ฉันจะไปดูตลาดผลไม้ในเมือง ถ้าธุระแกไม่รีบ ค่อยไปกับฉัน”
สุดสัปดาห์ก็อีกสี่วันเท่านั้น คงไม่ทำให้ชินกรผลุนผลันไปแจ้งความว่าเขาหายตัวไปหรอกนะ
“ฉันว่าจะพาแกไปดูตึกแถวในตลาดด้วย”
“ทำไมเหรอครับ”
ป้าอนงค์หันมามองหน้าผมตรงๆ
“แกจบเภสัชฯ มาไม่ใช่เหรอ แล้วตึกแถวที่ว่านั่นมันก็ยังว่าง ถ้าแกอยากเปิดร้านขายยาฉันจะช่วย”
รเณศทำตาโต
“แกมาอยู่ที่นี่เฉยๆ ไม่ได้หรอก มันต้องมีอะไรทำ จะทำสวนผลไม้กับฉัน แกจะไหวเหรอ”
“ผมไม่มีทุนเปิดร้านขายยาหรอกครับ”
รเณศส่ายหัว
“ก็ฉันบอกนี่ไงว่าจะออกทุนให้”
“ป้าอนงค์”
รเณศน้ำตารื้อตั้งแต่สิ้นบุญของพ่อกับแม่ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ คราแรกหมายจะฝากชีวิตไว้ในมือคนรักก็ต้องพลาดหวัง ชายหนุ่มเหมือนคนเรือแตกไร้หลักยึด ตอนที่คล้ายจะจมลงกลับมีมือของป้าอนงค์ฉุดรั้งขึ้นมา
พี่สาวของแม่ไม่เคยเอ่ยปากบอกตรงๆ ว่าอนุญาตให้รเณศอยู่ด้วย แต่การกระทำวันนี้กลับบอกชัดแล้วว่าป้าอนงค์คือคนปากร้ายแต่ใจดีอย่างแท้จริง
☘☘☘☘
เครื่องยนต์สี่ล้อจอดสนิทหน้าเรือนไทยดับลงพร้อมกับเสียงเห่าเกรียวกราวของเจ้าสัตว์สี่เท้า เรียกให้ป้าอนงค์ขยับตัวลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง
“ผู้ช่วยมาแล้ว เจ้าเนตรไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาเร็ว”
รเณศเบะปาก แต่ก็ยอมจำนนเดินเลี่ยงไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่ในชุดลายพรางเดินพ้นหัวบนไดบ้านมา เพราะส่วนสูงที่เกินมาตรฐานไปไกลทำให้ตอนที่ผ่านบันไดขั้นสุดท้ายมานั่นต้องค่อมตัวให้ลอดผ่านซุ้มประตู
“ตัวอย่างกับเปรต”
รเณศบ่นกระปอดกระแปด
“บ่นอะไรฮึเรา”
ป้าอนงค์ถามขึ้น
“เปล่านี่ครับ”
แกทำหน้าฉงน
“เอาเถอะยังไงฝากทำแผลให้ผู้ช่วยหน่อยนะ” คนฟังเดินหน้าบอกบุญไม่รับไปยังแขกตัวยักษ์ซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงชานบ้าน ให้ตายเถอะ ป้าอนงค์ก็ดันเดินไปช่วยป้าสมัยยกกับข้าวข้างล่างอีก
หลานเจ้าบ้านพยายามทำหน้านิ่งตอนที่เดินถือกล่องปฐมพยาบาลมาหยุดอยู่ตรงหน้าแขกที่เขาไม่อยากจะต้อนรับ
“จะทำอะไร”
น้ำเสียงดุดันถามขึ้นตอนที่เขาเอื้อมมือไปใกล้กับบาดแผลตรงศอก รเณศเหลือบตามองใบหน้าคมคายแวบหนึ่งก่อนจะทำหูทวนลม
“โอ๊ะ”
มือที่ถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ชะงักกึกเพราะถูกมือใหญ่เกือบเท่าตัวกำรอบ
“ปล่อย”
“เพิ่งรู้ว่าหลานป้าอนงค์เป็นใบ้”
รเณศค้อนให้
“จะทำแผล”
เพลิงพยักหน้าหงึกๆ ทอดสายตามองคนตรงหน้าตั้งใจทำแผลให้อย่างเบามือ ภาพใบหน้าขาวที่กำลังจดจ่ออยู่กับแผลที่โดนกิ่งไม้ข่วนเป็นทางยาวนั่นทำเอาคนมองใจกระตุกก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อถูกจิ้มแรงๆ ที่แผล
นัยน์ตากลมโตไหวระริกราวกับขบขับแม้จะพยายามเก็บอาการมากเพียงใด แต่คนถูกแกล้งก็จับสังเกตได้ เพลิงจ้องใบหน้าขาวนิ่งทั้งๆ ที่รู้เต็มอกถูกแกล้งทำแผลแรงๆ ถึงจะรู้สึกเจ็บไม่น้อยแต่เพลิงก็ไม่ได้ปริปากอะไรนอกจากเม้มปากแน่น จนสุดท้ายรเณศยอมรามือไปเอง
“พอใจแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มดังขึ้นตอนที่รเณศผ่อนแรงลง เล่นเอาคนถูกถามถึงกับหน้าม้าน
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”
มือหนาขยับมาจับข้อมือรเณศอีกครั้ง
“เจ็บ”
เพลิงพูดเบาๆ เรียกให้คนเมืองเผลอยิ้มเพราะรู้สึกดีไม่น้อยที่ทำให้คนตรงหน้าหลุดมาด
“เจ็บมั้ย?”
“ห่ะ!”
รเณศทำหน้ามึนงง
“ผมหมายถึงนิ้วมือของคุณที่กดแผลผมแรงๆ น่ะเจ็บมั้ย”
แม่งงงงงงง
รเณศนั่งหน้าตูมทำปากขมุบขมิบ แล้วลงมือทำแผลต่อท่ามกลางเสียงแผ่วๆ ในลำคอคล้ายเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า
“บ่นอะไร”
“หูหาเรื่อง”
รเณศเงยหน้าขึ้นก่อนจะชะงักกึกเมื่อสบสายตากับแววตาสีดำสนิทที่ไหวระริกคล้ายกับจะหยอกกัน แวบหนึ่งคนเมืองรู้สึกเก้อกระดากจนต้องเบือนหน้าหนี จังหวะนั้นแหละเขาถึงเพิ่งจะสังเกตเครื่องแบบชุดลายพรางที่คนตรงหน้าสวมใส่ เครื่องแบบที่คล้ายกับชุดทหารแต่ลายพื้นหลังเขียวน้ำตาลนั่นมีรูปต้นไม้และนก แวบหนึ่งเขานึกถึงสารคดีเกี่ยวกับป่าไม้ซึ่งเคยดูผ่านๆ ที่เปิดเผยถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของทั้งสัตว์ป่าและเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สะดวกสบายมากนัก
หึ คนตรงหน้านี่คงไม่พ้น...
“พวกกินอุดมการณ์”
เพลิงเลิกคิ้วสูง
“อุดมการณ์มันก็แค่คำสมมุติ”
“แต่ก็มีคนยึดถือ”
รเณศท้วง เรียกรอยยิ้มมุมปากจากคนเจ็บ
“คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตมั้ยล่ะ”
รเณศกัดปากจนเจ็บเมื่อถูกถามแบบนั้น เสี้ยววินาทีนั้นเขาอดนึกถึงอดีตคนรัก เป้าหมายหนึ่งเดียวที่พลาดหวังไปแล้ว ร่างสูงโปร่งเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
“เป้าหมายและความฝันของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก บางคนแค่กินอิ่มนอนหลับก็พอใจแล้ว ขณะที่บางคนมีเงินเป็นร้อยล้านยังไม่หยุดที่ขวนขวาย โลกใบนี้มันไม่มีขาวไม่มีดำที่แท้จริงหรอก อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนต่างหาก”
“ความฝันของคุณอาจเพียงแค่มีใครสักคน” แวบสีดำสนิทจ้องรเณศนิ่งจนเขารู้สึกสะอึกในใจ “ขณะที่ความฝันของผมอยู่ที่ผืนป่าแห่งนี้”
“กับงานที่อันตรายแบบนี้น่ะเหรอ”
รเณศบุ้ยปากไปที่แผลตรงศอก
“ใช่”
เพลิงพูดเสียงเรียบ
“คงไม่ได้แก่ตายเหมือนคนอื่นเขาหรอก”
รเณศอดค่อนขอดใส่ไม่ได้
“ก็ถูกของคุณ” เพลิงพูดยิ้มๆ
“วันหนึ่งผมอาจเป็นไข้ป่าตาย ระหว่างลาดตระเวนอาจปะทะกับพรานป่า ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มผู้กระทำผิดแล้วโดนยิงตาย ถ้าโชคร้ายหน่อยคงโดนช้างป่าเหยียบตายเข้าสักวันหนึ่ง”
รเณศกัดปากจนเจ็บเมื่อคนตรงหน้าพูดถึงความเป็นความตายได้อย่างหน้าตาเฉย ต่างจากคนฟังที่ใจวูบโหวงบอกไม่ถูก
“พวกกินอุดมการณ์”
“ผิดแล้ว”
เพลิงส่ายหัว
“คุณอาจเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมการณ์ แต่ผมขอเรียกมันว่าความรัก”
‘ความรัก’รเณศทำหน้าฉงน อุดมการณ์รักในอาชีพแบบไม่คิดถึงชีวิตแบบนั้นน่ะเหรอเรียกความรัก เหอะ เขาส่ายหน้าไปมารับไม่ได้กับความคิดนั้น
ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนแบบไหนกันแน่!
ผู้ชายปากร้ายที่ผับ ผู้ชายที่ดูดุดันน่ากลัวแต่กลับมีคำพูดฉุกสติเขาในวันนั้น และเป็นผู้ชายขี้แกล้งหาตัวจับยาก เป็นผู้ช่วยฯ ที่ใครต่อใครต่างสรรเสริญเยินยอ ทั้งที่บุคลิกนั่นห่างไกลจากคำว่าน่าเข้าหาแต่กลับเป็นคนๆ เดียวที่ออกปากว่าจะอุปการะลูกของลูกน้อง
ทุกอย่างขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
รเณศสะบัดหัวแรงๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเอาใจไปจดจ่อกับเรื่องคนอื่นมากเกินไปแล้ว
“เสร็จแล้ว”
รเณศเอ่ยขึ้นหลังจากปิดแผลด้วยผ้าก๊อช
“ขอบคุณ”
รเณศยักไหล่
“ถ้าป้าอนงค์ไม่สั่ง อย่าหวังว่าผมจะทำให้เลย”
“เปล่า”
“ผมขอบคุณผ้าก๊อช”
เพลิงพูดหน้าตาย
รเณศอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะทำหน้าบึ้งเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องอย่างมีอารมณ์
“ขอบคุณแอลกอฮอล์ล้างแผล”
“...”
“ขอบคุณเบตาดีน”
“...”
“ขอบคุณ...”
เพลิงขอบคุณไปเรื่อย จนรเณศโกรธจนควันออกหู
“กล่องปฐมพยาบาล”
คนเมืองกระแทกเสียงตอบอย่างหมั่นไส้
“เปล่า”
เพลิงกอดอก
“ขอบคุณคุณ”
รเณศชะงักกึกก่อนจะเหลือบตามองเจ้าของเสียงทุ้ม
“ขอบคุณครับ” เพลิงกดยิ้มมุมปาก
“คุณรเณศ”เจ้าของชื่อยืนอึ้ง ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่อเจอสายตาสีดำสนิทจ้องมองกันตรงๆ ทั่วร่างกายเหมือนจะสั่นไหวจนเก้อกระดาก
รเณศรู้สึกปั่นป่วน ขณะที่เพลิงอยากทำมากกว่ากดยิ้มมุมปาก
☘☘☘☘
ขอบคุณไปเรื่อย อ้อมโลกจังผู้ช่วย ฮ่าๆๆๆ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ