คุณหมีกับลูกเจี๊ยบ
“คนนั้น เขายังมากวนคนดีอยู่ไหม”
ผมถามขึ้นในเย็นวันศุกร์ที่มารับเขาถึงที่ฝึกงาน ตั้งแต่เจอเรื่องวันนั้นจากที่ผมกะเวลาขับรถมารับเขาให้พอดีเลิกงาน ผมก็รีบออกมาก่อนเพื่อที่จะได้รอเขา
...ผมไม่อยากให้เขาเจออะไรไม่ดีอีก...
“ครามรู้ว่าคนดีไม่อยากเล่า แต่ครามเป็นห่วงคนดีมากเลยนะ”
ผมบอกคนข้างตัว คนดีส่ายหน้าไปมาอย่างเคยเวลาที่อยากจะปฏิเสธ
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ว่าแล้วว่าต้องได้คำตอบแบบนี้ ผมถึงคิดเผื่ออยู่หลายอย่าง
“งั้นคนดีไปเรียนพวกมวยไทยมั้ย เวลาครามไม่อยู่ จะได้สู้เขาได้ หรือไม่ก็พกพวกอุปกรณ์ป้องกันตัว”
คนดีส่ายหน้า
“ตอนเด็กๆเคยเรียนเทควันโด้ครับ แต่ก็ไม่รอด”
เขาเล่าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“แล้วครามจะช่วยอะไรคนดีได้บ้าง ครามไม่อยากให้คนดีโดนใครทำร้ายนะ”
“ผม…”
“ครามรักคนดี เลยเป็นห่วงคนดีมาก”
ผมว่า คนดีอาจจะไม่รู้หรือไม่ก็อาจจะไม่คิดก็ได้ว่าผมเป็นห่วงเขามากขนาดไหน
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ผมถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังแยกข้างหน้าที่รถติดขนัด เรานั่งเงียบกันไม่เหมือนอย่างเคย
ผมยอมรับว่าตัวเองหงุดหงิดและอย่างที่พวกไอ้แซมรู้ว่าผมเป็นคนใจร้อนมาก แต่กับคนดี ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงจริงๆ
ผมมองไปยังถนนข้างหน้า ข้ามแยกนี้ไปก็จะถึงบ้านของคนดีแล้ว
“คราม โกรธเหรอครับ”
“โกรธใคร”
ตอนนี้ถ้าโกรธคงโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมเอาแต่คิดว่าถ้าเขาเจอเรื่องแบบนั้นแล้วผมไม่ได้บังเอิญไปทันพอดี คนดีจะเป็นยังไงบ้าง แล้วผมจะทำยังไงได้บ้าง
คนดีเขาเอื้อมมือมาจับมือผมตรงกระปุกเกียร์ ตาคู่สวยมองกันเหมือนกำลังรู้สึกผิดมากมาย
“ครามโกรธคนดีเหรอครับ”
ผมถอนหายใจอีกรอบ เป็นแบบนี้ใครจะโกรธลง
“คนดีฝึกงานเป็นไงบ้าง”
ผมเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะถามเขาเรื่องผู้ชายคนนั้นทุกวัน และคนดีก็ไม่เคยให้คำตอบอะไรผมเลย
“ก็สนุกดีครับ ครามล่ะ ใกล้สอบแล้วอ่านหนังสือยังครับ”
“อ่านแล้ว”
ผมตอบก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านหลังสวย เห็นว่าไฟเปิดแล้ว
“วันนี้พี่คู้กับโต้ซังกลับมาแล้วใช่ไหม”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเลย ซึ่งก็ดูเหมือนคนดีจะรู้ เขาถึงยอมให้ผมไปรับส่งทุกวัน และถ้าวันไหนที่บ้านเขากลับช้าก็จะเป็นผมที่อยู่กับเขาจนกว่าที่พี่คู้หรือโต้ซังจะกลับมา
“กลับแล้วครับ”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะลูบหัวคนที่ผมยาวมากแล้ว
“งั้นครามกลับแล้วนะ”
คนดีแตะมือที่แขนผมเบาๆ ผมจับมือนั่นขึ้นมาแนบแก้ม
“ว่าไงคะ”
“คือจริงๆแล้วโต้ซังชวนกินข้าวเย็นนี้ครับ ไม่รู้ว่าครามสะดวกไหม”
พ่อกับพี่ชายเขาเจอผมแทบจะทุกวันที่บ้าน นอกจากทักทายแล้วก็ยังไม่ได้ถามไถ่อะไรกันมาก ผมว่าผู้ใหญ่ดูออก แค่รอเวลาที่จะพูดเท่านั้นเอง
“สะดวก แต่ครามจะไม่โดนโต้ซังตีใช่ไหม”
ผมถามพร้อมกับหัวเราะ แต่คนดีส่ายหน้า
“โต้ซังใจดี”
พ่อที่ไหนก็ใจดีกับลูกตัวเองทั้งนั้น แต่กับลูกคนอื่นน่าจะเป็นอีกเรื่อง ผมกดจูบที่ฝ่ามือเขาก่อนจะดับเครื่องยนต์
แต่ก่อนผมมักจะกังวลและกลัวกับการเจอพ่อแม่ของแฟน แต่กับบ้านคนดีที่เคยเจอหลายครั้งกลับคนละแบบ
“สวัสดีๆ”
โต้ซังที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวยกมือรับไหว้เรา คนดีเดินเข้าไปหาพ่อเขาก่อนจะถาม
“พี่คู้ล่ะครับ”
“พี่คู้อยู่ที่ร้านเสื้อผ้า คงไม่กลับ คนดีอยากกินอะไร โต้ซังทำผัดผักกับซุปให้ไหม”
คนดียิ้มพร้อมกับมองวิตถุดิบทำกับข้าวของคนเป็นพ่อ
“ได้หมดเลยโต้ซัง ขอบคุณครับ”
“ไปอาบน้ำ ค่อยลงมากกินนะ”
ผมมองพ่อเขาเหมือนเห็นตัวเองกับพ่อเมื่อก่อน คนดีพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องครัว ผมที่กะจะเดินตามเขาโดนรั้งไว้ในครัว
“เธอไม่ต้องขึ้นไป มานี่ๆ มาช่วยโต้ทำกับข้าว”
และผมก็รู้ว่าบทสนทนาของคนเป็นพ่อแฟนกับผมจะเริ่มที่นี่ ผมพยายามไม่เกร็งแต่กลับได้คำถามแรกมาตรงจุดอย่างไม่น่าเชื่อ
“ชอบคนดีเหรอ”
“ครับ”
ผมตอบตามตรง
“เรียนจบยัง”
“ยังครับ ผมเด็กกว่าคนดีอยู่ 1 ปี”
พ่อเขายิ้มๆอย่างที่เคยเห็นประจำ ก่อนจะหันมาถาม
“จบไปแล้วทำงานอะไรล่ะ”
เรื่องที่คนดีชอบผู้ชายพ่อและพี่ชายเขาคงรู้ดีอยู่แล้ว แต่คงเพราะเป็นห่วงถึงได้เรียกผมมาหา ผมเข้าใจนะ ถ้าแนนมีแฟนผมก็คงถามคำถามพวกนี้เหมือนกัน
“น่าจะสอบข้าราชการครับ”
โต้ซังทำท่าคิดอยู่หน่อย ก่อนจะหั่นผักต่อ
“ทำกับข้าวเป็นไหม”
“พอทำได้ครับ”
“มา ช่วยหน่อย”
ผมเดินไปล้างผักในซิงก์ อาจจะเพราะว่าผมเข้าครัวประจำ ถึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับสถานที่ตรงนี้นัก
“เพราะโต้ซังให้กินแต่อาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก คนดีถึงกินเผ็ดไม่ได้เลย”
นี่เป็นสาเหตุของคนที่กินแม้กระทั่งน้ำจิ้มของเต้าหู้ทอดไม่ได้ ผมเคยเห็นเขาพยามกินเพราะผมซื้อมาให้แต่สุดท้ายก็หน้าแดงจัดแล้วก็น้ำตาไหล ทำเอาผมจำขึ้นใจว่าเขาไม่ใช่แค่กินเผ็ดไม่ได้แต่กินอะไรที่มีพริกไม่ได้เลยต่างหาก
“โต้ซัง คนดีชอบกินอะไรครับ”
ผมถาม เพราะเวลาผมทำอะไรให้เขาก็จะบอกว่าอร่อย ซึ่งผมไม่เข้าใจความอร่อยของเขาเลย
“คนดีกินง่ายนะ ทำอะไรให้ก็กิน มีแต่โต้ซังที่กลัวเขาไม่อร่อย”
ผมหัวเราะก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับพ่อของเขา
“เขาเลิกกินเนื้อมานานแล้วใช่ไหมครับ”
ผมถามถึงอีกคำถามที่เคยถามเจ้าตัว แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ได้แค่ยิ้มหวานกลับมา
“ก็ตั้งแต่อายุ 12 มั้ง เขากลับมาแล้วก็กินไม่ได้อีกเลย”
โต้ซังยิ้มเศร้า
“กลับมาจากไหนครับ”
พ่อของคนดีเงียบไปเหมือนรู้ว่าตัวเองหลุดสิ่งที่ไม่ควรพูด
“เดี๋ยวให้คนดีเล่าเองนะ เดี๋ยวเขาพร้อมเขาจะบอกเอง”
ผมพยักหน้ารับ แปลกดีที่ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือฟูมฟายอะไรแต่กลับเข้าใจ สำหรับผม การที่คนดีให้เข้ามาในที่ของเขาขนาดนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว
“แล้วครามกินเนื้อไหม โต้ได้เนื้อโกเบมา”
“กินครับ ของโปรดผมเลย”
พ่อคนดีหัวเราะก่อนจะพึมพำว่าเจอพวกเดียวกัน ผมยืนหั่นผักเพื่อที่จะทำหม้อไฟ พ่อคนดีทำกับข้าวเก่ง ถึงได้ช่วยบอกอะไรผมหลายอย่าง เขาสอนให้ผมจับมีดแบบที่ถูกต้อง ก่อนที่วกกลับมาคุยเรื่องคนดี
“โต้ไปเจอคนดีตอนสองขวบ ตอนนั้นไปเลี้ยงขนมบ้านเด็กกำพร้า เห็นเขากำลังนั่งวาดรูปอยู่คนเดียว เขากลัวคนนะ ไม่คุยกับใครเลย”
โต้ซังว่ายิ้มๆ
“แต่เขาก็พยายามเอารูปวาดมาขอบคุณขนมที่โต้ให้”
ผมยิ้มตามแต่กระบอกตากลับร้อนผ่าว เรื่องนี้คนดีไม่เคยปิดบังมาตั้งแต่แรก เขาบอกมาตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันว่านามสกุลของเขามาจากพ่อเลี้ยง
“จำได้ว่าเขาตัวเล็กมากๆเลย ตัวมีแต่แผล รู้ตัวอีกทีก็พามาอยู่บ้านแล้ว”
ผมนึกถึงแผลที่หลังกับหลายจุดบนร่างกายเขาที่โดนสักทับไว้
“ที่เล่าเพราะไม่อยากปิดบังเธอนะ ไม่อยากให้ใครมาเข้าใจอะไรคนดีผิด”
“ยังไงครับ”
ผมถามผู้ชายที่น่าจะอายุเท่าๆพ่อผมถ้าพ่อผมยังมีชีวิตอยู่
“มีคนแถวบ้านเคยพูดไม่ดี ว่าคนดีเขาเป็นเด็กของโต้ เด็กแบบในทางไม่ดี”
ผมนึกถึงตาสวยของเขาเวลามองตรงมา นึกถึงความสงบของเขา ไม่รู้เลยจริงๆว่าที่ผ่านมาเขาเจออะไรมาบ้าง
“โต้มีภรรยาและลูกสาวอยู่แล้วที่ญี่ปุ่นพอเลิกกันเลยมาทำธุรกิจไทย ทางนั้นก็มีครอบครัวใหม่แต่ก็ติดต่อกันอยู่ตลอด ตอนเด็กๆคนดีกับคู้ก็เคยไปเที่ยวที่นู่นบ่อย โต้เลี้ยงคู้กับคนดีมาก็รักเขาเหมือนรักลูก”
ภาษาไทยของพ่อคนดีมีสำเนียงแปร่งอยู่หน่อย แต่ผมว่าเขาเก่งมาก เก่งที่ทำงานมีร้านใหญ่โตแล้วก็เป็นพ่อที่ดีในเวลาเดียวกันได้
“ทำไมคนดีถึงสักครับ”
ผมสงสัยมานานแล้ว ผมอยากให้เป็นเพราะอิทธิพลจากร้านพ่อของเขา ไม่ใช่เพราะแผลพวกนั้น
พ่อของเขายิ้มเศร้าอีกครา ก่อนจะบอกเท่าที่พูดได้
“ที่ทำร้านสักก็เพราะคนดีนะ ธุรกิจของโต้จริงๆคือนำเข้าปลา”
.
.
.
.
“ทำงานเป็นไงบ้างคนดี”
โต๊ะอาหารของบ้านวันนี้มีผมนั่งอยู่ข้างคนดีแทนที่จะเป็นพี่คู้อย่างเคย
“ดีครับโต้ซัง ได้ทำโปรเจคกับพี่ที่เก่งๆด้วย เดี๋ยวมีจัดนิทรรศการ โต้ซังต้องไปดูนะ”
เขาว่าพร้อมกับยิ้ม
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว”
ผมนั่งฟังพ่อลูกคุยกันเรื่อยๆ คนดีดูเป็นธรรมชาติมากในตอนที่อยู่กับพ่อหรือพี่ชาย ต่างจากเวลาที่อยู่กับผม เขามักจะเก็บบางส่วนไว้ เหมือนไม่อยากให้เห็น
“ผมยาวไปไหม อยากตัดยัง”
พ่อเขาถามถึงผมดำหนาและยาวเลยบ่ามาแล้ว
“อยากรอจบแล้วค่อยตัดทีเดียวครับ”
“เขาเคยตัดสกินเฮดนะ เหมือนพระญี่ปุ่น”
พ่อเขาหันมาบอกผม คนดีทำตาโตเหมือนไม่อยากให้เล่าก่อนจะบอกออกมาเสียงเบา
“ตอนนั้นทำทรงเดร็ดร็อคตามเพื่อนครับแล้วรำคาญเลยตัดทิ้ง”
ขนาดคำว่ารำคาญจากปากเขา ยังดูไม่น่ารำคาญเท่าไหร่เลย
“โต้ซังมีรูปเก็บไว้ด้วยนะ”
ผมขำคุณพ่อที่ดูชอบล้อลูกชาย ผมมองคนผมยาว แอบนึกไม่ออกว่าถ้าผมสั้นคนดีจะหน้าตาเป็นยังไง
.
.
.
.
“มีอะไรวะ”
พี่เพนท์เพื่อนของคนดีนั่งลงในร้านกาแฟในห้างที่เรานัดกันไว้ ผมได้เบอร์พี่แกมาจากไอ้แซม ก่อนจะโทรนัดออกมา
“ผมอยากถามเรื่องคนดีครับ”
“ทำไม จะจีบมันเหรอ”
พี่เพนท์ถามพร้อมกับหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้นก่อนจะถามคำถามที่คุยกันมาบ้างแล้ววันก่อนในแชท
“ผมอยากรู้ว่าเด็กอีกม.ที่พวกพี่พูดถึงเป็นใครครับ”
พี่เพนท์ยิ้มๆก่อนจะบอก
“ไอ้โป้ง แม่งจีบคนดีมาตั้งแต่เข้าค่ายศิลปะรวมปีหนึ่งแล้ว แต่คนดีไม่ชอบ บอกว่าน่ากลัว”
“ใช่คอนที่ผอมๆสูงๆไหมพี่”
“ไม่ใช่นะ ทำไมวะ”
พี่เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปในโซเชียลให้ดู คนชื่อโป้งมีตัวสมส่วน หุ่นแบบคนออกกำลังกายมาดีมาก หน้าตาติดจะต่างจากคนที่เห็นวันนั้นลิบลับ
“วันนั้นผมไปรับคนดีที่ทำงานพี่ แล้วเจอใครไม่รู้จะลากเขาขึ้นรถ ผมคิดว่าเป็นคนชื่อโป้ง แต่ไม่ใช่”
พี่เพนท์ขมวดคิ้ว
“แล้วพวกมึงแจ้งความยัง”
“ผมถามคนดีหมดแล้วพี่ เขาไม่พูดอะไรเลย”
พอบอกออกไปแบบนั้นเพื่อนคนดีก็ถอนหายใจ
“มันเป็นคนเงียบ ต้องสนิทหน่อยถึงจะพูด”
“ผมเป็นแฟนเขา ยังไม่สนิทอีกเหรอวะพี่”
“ก็เหี้ย”
พี่เพนท์ทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อ ผมได้แต่หัวเราะ
“ผมพูดจริง ฝากบอกคนชื่อโป้งด้วยนะพี่เพนท์”
“กวนตีนฉิบหายเลยมึง”
พี่เขาว่าพร้อมขำแต่ก็ดูเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไปทำยังไงวะ มันถึงยอม”
“ก็ขอดีๆครับ”
พี่เพนท์พยักหน้า
“มันแพ้คนเอาใจใส่ กูก็เคยถามว่ามึงเป็นใคร มันก็ไม่ตอบนะ แต่คุยกับสาว่ากลับบ้านก็ไม่เหนื่อยเพราะมึงมารับทุกวัน”
ผมยิ้ม
“คนดีเป็นคนที่ไม่ควรโดนใครทำร้ายนะ มึงรู้ใช่ไหม”
“ผมรู้ครับพี่”
ใครๆก็เป็นห่วงคนดี อันนี้ผมก็รู้ ขนาดแนนเองยังคอยถามอยู่ประจำว่าพี่คนดีเป็นยังไงบ้างทั้งๆที่ตัวคนดีเองก็สบายดี
“คนดีมันสนิทกับสา ชอบคุยเรื่องส่วนตัวกัน เดี๋ยวกูลองๆถามฝั่งนั้นให้”
“ขอบคุณมากเลยครับพี่”
ผมยกมือไหว้พี่เขา
“แล้วจะเอายังไงต่อวะ”
“ผมอยากไปลงบันทึกประจำวัน ทำอะไรให้มันเป็นกิจลักษณะพี่ แต่ผมไม่รู้จริงๆว่าคนนั้นเขาเป็นอะไรกับคนดี”
“คุยกับโต้ซังยัง”
“กลัวคนดีเขาไม่อยากจะให้พ่อเขารู้ว่ะพี่”
“เออ แม่งชอบทำให้คนอื่นห่วง ตัวแม่งไม่เดือดร้อนหรอก คนรอบตัวเนี่ยจะตายเอา เหมือนสอบโปรเจคเทอมที่แล้วไง กูก็โมโห ไอ้สาก็ร้องไห้จะตาย แม่งเอาแต่ยิ้มบอกไม่เป็นไรๆ”
พี่เพนท์พูดถึงตอนที่คนดีโดนว่าเรื่องรอยสัก ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกับงานเขาแม้แต่น้อย
“แต่เห็นหน้าก็โมโหไม่ลงนะพี่”
ผมว่าพร้อมกับขำตัวเอง
“เออ จริง”
“ตอนแรกผมคิดว่าพี่ชอบคนดี”
ผมพูดถึงตอนแรกๆที่รู้จักพวกเขา พี่เพนท์กับคนดีเหมือนจะตัวติดกันตลอดเวลา พี่เพนท์ดูจะไม่ค่อยชอบใจผมเท่าไหร่ด้วย
“เฮ้ย กูชอบแบบมีนม”
เขาว่าพลางขำ
“แต่คนชอบมันเยอะกูเลยกลายเป็นไม้กันหมา”
ผมขำบ้าง คิดว่าดีเหมือนกันที่ผมเป็นหมีแบบที่คนดีบอก
.
.
.
.
“ไปหาเพนท์มาเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
ผมตอบรับแล้วมองคนที่เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด เป็นแบบนี้ประจำเลย
“เคโระไม่อยู่อีกแล้วเหรอ”
ผมถามเมื่อเดินเข้ามาในบ้านของคนดีแล้วไม่เจอแมวตัวอ้วน วันนี้เหมือนพี่คู้กับโต้ซังจะกลับช้า
“เคโระโดนแฟนพี่คู้ยึดไปแล้วครับ”
คนดีว่าพลางขำ
“พี่คู้มีแฟนแล้วเหรอคะ”
“มีแล้วครับ”
พอได้ยินแบบนี้เดี๋ยวต้องเอาไปบอกแนน เพื่อนแนนคงอกหักกันเพราะเห็นบอกว่ามีหลายคนแอบปลื้มพี่คู้อยู่
“อันนี้คนดีใช่ไหม”
ผมถามถึงรูปในอินตราแกรมของร้านพี่คู้ คนดีสวมเสื้อตัวโคร่งกับกางเกงลูกฟูกสีน้ำเงินนั่งอยู่บนรถเก่า ดูจากภาพก็รู้ว่าใช้
โปรโมทเสื้อ แต่ก็เห็นหน้านายแบบอยู่บ้าง คนดียื่นหน้ามาที่มือถือผมก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ครับ”
“สวยนี่”
“ใช่ครับ เสื้อที่พี่คู้ทำสวยทุกตัวเลย”
คนที่พยายามขายของให้พี่ชายว่า
“คนดีต่างหากที่สวย”
“ผม...เปล่า”
เขาส่ายหน้าไปมาแล้วก็หลบตา ดูก็รู้ว่าเขิน ผมยิ้มตามก่อนจะเอื้อมมือไปดึงเขาเข้ามาหาตัว กอดไว้จากข้างหลังแล้วเอาคางเกยไหล่ ก่อนจะดึงตัวเขามานั่งตักกันบนโซฟา
วันนี้พี่คู้กับโต้ซังน่าจะกลับดึก
“คราม...”
“ครามไปสักบ้างดีไหม”
ผมถามพร้อมกับกดจูบตรงหลังคอเขา ผมยาวนิ่มปัดไปมาตรงปลายจมูกผม
“อย่าเลยครับ มันจะยากกับงานครามนะ”
ผมสอดมือเข้าไปประสานกับนิ้วเขาไว้ นึกอยากรู้อดีตของเขาอยู่หลายอย่างแต่ก็ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เขาเองไม่อยากพูดถึง แต่ภาพวาดรูปวงกลมบูดเบี้ยวตามประสาเด็กที่โต้ซังสักไว้ที่แขนแล้วเปิดให้ผมดูเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนยังติดตาผมอยู่จนถึงทุกตอนนี้
พ่อเขาบอกว่าภาพนี้เป็นของที่คนดีในวัย 2 ขวบ เอาไว้ขอบคุณสำหรับขนมแค่ไม่กี่ชิ้น
“สักไว้ลึกๆ คงไม่มีใครเห็นมั้ง”
“โดนโต้ซังล่อลวงใช่ไหมครับ”
คนดีถามพร้อมกับขำ ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้น นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขาอยู่ตรงนี้กับผม
“ที่อยู่บนตัวคนดีทุกลาย ครามว่าสวยดี”
คนดีหันมามองผม
“ไม่น่ากลัวเหรอครับ บางคนก็บอกว่ามันสกปรก”
เขาถาม ผมเลยส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ไม่น่ากลัวเลย”
คนดียิ้มบาง ผมจับตัวเขาพลิกให้นั่งคร่อมกันไว้ ก่อนจะเงยหน้าไปขอจูบ...ซึ่งคนดีก็ยอมให้โดยดี กลิ่นหอมจากน้ำหอมที่ติดตัวเขาทำผมอยู่ไม่เป็นสุข
“วันนี้โต้ซังกลับกี่โมง”
ผมถามพร้อมกับกอดเขาไว้แนบตัว และพอยิ่งได้กอดก็ยิ่งอยากทำมากขึ้น
“น่าจะอีกสักพักมั้งครับ ครามจะกลับยัง”
เพราะช่วงนี้น้องแนนกลับไปอยู่บ้านแล้ว ผมเลยไม่ค่อยพะวงเรื่องน้องสาวมากนัก
ผมเลื่อนมือจากเอวเขามาเกาะที่สะโพกบาง ลูบมือกับก้นนุ่มนิ่มผ่านกางเกงสแล็คนักศึกษาสีดำ หลังจากวันนั้นเกือบเดือนแล้ว ผมยังไม่มีเวลาอยู่กับเขาแค่สองคนเลย
“คราม…”
คนดีเรียกเมื่อผมจูบลงที่ไหปลาร้าเขา ขบให้เส้นสีดำที่สักไว้ช้ำขึ้นรอย
“ไปที่ห้องกันไหมคะ”
คนดีเบิกตากว้าง ผมอยากบีบก้อนก้นนุ่มให้ติดมือ อยากจะตีให้ขึ้นรอยแดง แต่เพราะคร้งที่แล้วผมทำเขาเจ็บ...ครั้งนี้ถึงได้ยากนัก
“ครามอยากกอดคนดี ได้ไหมคะ”
ผมเอียงหน้าเพื่อที่จะมองคนหลบตาได้ถนัด กดจมูกที่แก้มใสย้ำๆ ก่อนจะยื่นมือให้เขาจับ คนดีเหมือนจะะจับ แต่สุดท้ายก็ไม่จับ
“ไม่เอาครับ เดี๋ยวโต้ซังกลับมา”
เขาหลบตาแล้วส่ายหน้า ผมลูบผมยาวเบามือ ก่อนจะแตะเข้าที่ปากตัวเอง
“งั้นตรงนี้ ทำให้ครามได้ไหมคะ”
คนดีมองมือผม ก่อนจะมองไปรอบๆบ้านที่ยังเงียบสงัด เขาก้มหน้าลงกดจมูกลงที่แก้มผม
“ลูกเจี๊ยบขี้โกงคุณหมีเหรอคะ”
ผมว่าก่อนจะยืนขึ้นรวบตัวเขาเข้ามากอด แล้วก้มต่ำลงไปชิดปลายจมูกลงที่จมูกเรียวโด่งของอีกคน มองจิวบนมุมปากสวย
เห็นทีต้องสอนอีกรอบว่า...จูบ...ต้องทำยังไง
.
.
.
.