สัญญาใจ
“พรุ่งนี้ผมจะไปซื้อต้นไม้นะครับ ครามจะได้ไม่ต้องมาหาที่บ้าน” เจ้าของห้องว่าพลางดันตัวผมออก วันนี้เป็นวันหยุด ผมมาหาคนดีที่บ้านเพราะพี่คู้กับโต้ซังชวนกินข้าวเที่ยง เห็นว่าสองคนนั้นเมื่อคืนนอนที่ร้านและกำลังจะกลับมา
“ต้นไม้อะไร”
“หลายๆอย่างครับ อยากไปเดินดู” คนดีว่า มือสวยดันไว้ที่อกผมเพื่อขอระยะห่าง ส่วนใบหน้าก็กำลังเบือนหนีจากปากผม
“ครามไปด้วยไหม” ผมดึงเขาเข้ามากอดแนบตัว ผมว่าคนดีน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกๆหน่อย เพราะยิ่งกอดเขาผมยิ่งรู้สึกเหมือนได้ชาร์ตแบต แต่เป็นแบ็ตที่ชาร์ตยังไงก็ไม่เต็ม
“ผมกลัวครามจะเหนื่อย มันร้อนแล้วก็หนักด้วย” คนตัวเล็กกว่าบอก ผมจับเอวเขาไว้ รู้ดีว่ามันบางนิดเดียว
“แล้วคนดีจะไม่ร้อนหรือไม่หนักใช่ไหม”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ผมขำ ตัวก็แค่นี้ นึกภาพแล้วยังดูออกเลยว่าจะไปแบกต้นไม้แบบบ้าหอบฟางคนเดียว หน้าก็จะแดงๆเพราะแดด ที่สำคัญคงจะใส่เสื้อกล้ามแขนกว้างไปถึงเอว
ใครบอกว่าผู้ชายโป๊แล้วไม่เซ็กส์ซี่...ผมอยากให้มาเห็นคนดีมากจริงๆ
“ครามไปด้วยดีกว่าเนอะ”
เจ้าตัวยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ”
“แล้ววันนี้จะนอนไหนดี” ผมแกล้งถาม หร้อมกับก้มลงจูบแก้มของคนที่ยังพยายามดันตัวออก
“ที่บ้านครับ”
“ครามให้พูดใหม่อีกรอบ” ผมแกล้งแหย่แต่อีกคนส่ายหน้าหวือ
“ที่บ้านครับ”
“งั้นเริ่มงานแล้วมาอยู่กับครามไหม”
หลังจากฝึกงานเสร็จเทอมสุดท้ายคนดีก็ได้งานทันทีจากสตูดิโอในเครือเดียวกัน เห็นว่าหนึ่งอาทิตย์ต้องเข้าออฟฟิศแค่สามวัน นอกนั้นจะทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าบ้านคนดีมันไกลจากเมืองเกินไปอยู่ดี
คนดียิ้ม ก่อนจะบอกผม
“ไม่ครับ คนดีจะอยู่กับโต้ซัง”
ผมนึกแล้วว่าคำตอบต้องออกมาแบบนี้ถึงได้จับเจ้าลูกเจี๊ยบขึ้นอุ้มแล้ววางลงบนเตียง เห็นแล้วมันเขี้ยวพิกล ผมดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าอีกชั่วโมงกว่าๆโต้ซังถึงจะกลับมา
“คราม…” เขาเรียกผมในตอนที่เสื้อยืดสีขาวของเขาถูกถอดออกจากตัว
“เดี๋ยวโต้ซังมาเจอ อื้อ”
ผมยังจำตอนแรกที่ผมทำกับเขาในห้องนี้ได้ ตอนนั้นพี่คู้กลับมาบ้านพอดี ลูกเจี๊ยบถึงได้กลัวมาถึงทุกวันนี้ ผมจูบที่ริมฝีปากนิ่มเบาๆก่อนจะกวาดลิ้นเข้าไปข้างใน พร้อมกับแทรกตัวลงไปจับขาของคนดีแยกออก ทำให้กางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่บ้านถลกขึ้นไปถึงไหนต่อไหน
“คนดีไม่อยากทำกับครามเหรอคะ” คนถูกอ้อนหน้าแดงจัดเมื่อผมยันตัวขึ้นถอดเสื้อของตัวเองออกบ้าง คนดีเบือนหน้าหนี เขาเม้มปากแน่นในตอนที่ถูกผมดึงกางเกงตัวบางพร้อมกับชั้นในออกไป ปกติเราทำกันตอนกลางคืน ผมถึงไม่ได้เห็นเขาชัดขนาดนี้
แสงอาทิตย์ที่สาดลอดผ้าม่านโปร่งเข้ามาทำให้ห้องของเขาสว่างโร่ตัดกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศข้างใน ในกระทั่งเราเริ่มเบียดตัวเข้าหากัน ห้องนี้ถึงได้ร้อนขึ้น
“ทำอะไรคะ” ผมถามคนที่หยัดตัวขึ้นมาจูบตรงซอกคอผม ฟันคมขบลงเบาๆเหมือนกลัวผมจะเจ็บก่อนจะเงยหน้ามามองตาแป๋ว
“เอาคืนครับ” และสุดท้ายคนที่จะเอาคืนก็เขินเอง ผมยิ้มกว้างก่อนจะซุกหน้าลงไปที่คอขาว งับให้ขึ้นรอยก่อนจะดูดให้มันช้ำแลัวนมาที่หน้าอกเขา จูบและใช้ปันงับมันให้ชูชัน คนดีครางเสียงหวานอยู่ในลำคอ
“อยากเอาคืนอีกรอบไหมคะ” ผมพยายามกลั้นขำคนที่นอนตัวอ่อนปวกเปียก คนดียกมือขึ้นมากอดคอผมไว้ ผมยกตัวเขาให้นั่งทับตักผมในที่สุด ลิ้นเล็กๆค่อยๆเลียตรงยอดอกผม คนดีเงยหน้ามองผมเป็นระยะ จนเขาแน่ใจว่าผมอมยิ้มถึงได้หยุด
“ไม่ทำแล้ว”
ผมหลุดขำคนงอน
“ทำไมวันนี้ถึงอยากทำคะ” ผมไล้มือไปตามแนวกระดูกสันหลังเขา
“ผมอยากให้ครามรู้สึกดีบ้างครับ” คนดีบอกเสียงเบา ผมยิ้มจนปวดแก้ม เพราะแบบนี้ถึงอยากจะอยู่กับเขาตลอดเวลา
“งั้น…” ผมบีบก้นกลมให้แยกออก เบียดสิ่งที่คับแน่นใต้กางเกงกับท่อนล่างเขา
“วันนี้ คนดีอยู่ข้างบนตัวครามนะคะ”
.
.
.
.
“เริ่มงานแล้วไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงานไหม จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาแบบนี้” โต้ซังถามขึ้นกลางโต๊ะอาหาร วันนี้บ้านนี้ก็ยังเป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นอย่างเคยและผมว่าโต้ซังทำได้อร่อยมากจริงๆ ผมคีบปลาย่างเข้าปากพร้อมกับมองคนข้างตัว
“แต่ว่าโต้ซัง...”
“โต้ไม่เหงา เดี๋ยวอามิจังจะมาอยู่ด้วยนานเลย” คนเป็นพ่อบอก คนดีวางช้อนส้อมในมือก่อนจะมองหน้าพี่ชายและพ่อ
“พี่อามิมาเหรอ!”
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่เคยเจอคนดีที่กำลังตื่นเต้นแบบนี้
“ใช่ อามิจะลองมาช่วยงานนำเข้าปลา ถ้าทำได้ก็จะมาอยู่ไทยด้วยกัน” โต้ซังว่า ผมเเดาว่าน่าจะเป็นพี่สาวคนญี่ปุ่นที่คนดีเคยเล่าให้ฟัง
“ในที่สุดห้องที่ทำไว้สิบปีก็ได้ใช้” พี่คู้ว่าพลางขำพ่อตัวเอง
“ยิ่งอยากอยู่บ้านเลยครับ อยากอยู่คุยกับพี่อามิ” คนดีบอก แต่พี่คู้รีบขัด
“ทำอย่างกับคุยกับเขารู้เรื่อง”
“ก็โต้ซังไม่สอนภาษาญี่ปุ่นให้ผม”
ผมเคยถามเขาเหมือนกันว่าพูดได้ไหม เพราะแอบเห็นพี่คู้พูดได้บ้าง แต่คนดีไม่รู้เรื่องเลย เขาบอกว่าตอนรับเขามาเลี้ยงโต้ซังเก่งภาษาไทยแล้ว
“วันไหนอยากมาคนดีก็ค่อยมา วันไหนเหนื่อยก็อยู่แถวที่ทำงาน คนดีไปหาคอนโดมาแล้วมาบอกโต้นะ” พ่อคนดีบอก แต่คนโดนบอกกลับทำหน้ายุ่ง
“อยู่กับครามไงโต้ ประหยัดดี” พี่คู้หันมาทางผม ผมยิ้มอยากจะบอกว่าผมเองก็ชวนเขาอยู่เหมือนกันแต่โต้ซังกลับไม่เห็นด้วย
“ไม่ดี อย่าไปกวนครามมาก”
“ไม่เป็นไรครับโต้ซัง ผมไม่อยากให้คนดีอยู่คนเดียว” ผมรีบบอก คนเป็นพ่อถอนหายใจก่อนจะมองที่ลูกชายคนเล็ก
“ที่อยากให้ไปอยู่ข้างนอกเพราะอยากให้ลองอยู่โดยแบบที่ไม่มีโต้กับพี่คู้บ้าง”
อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าโต้ซังกับพี่คู้ดูแลคนดีดีมาก จนบางทีเจ้าตัวก็ไม่ค่อยสู้คน เรื่องง่ายๆอย่างกับข้าวก็ยังทำไม่เป็น พ่อของคนดีหลังๆมาก็ชอบมาบ่นกับผมว่าถ้าโต้แก่ไป คนดีจะดูแลตัวเองยังไง ผมว่าคนดีเก่งนะ….เขาคงอยู่ได้ แต่ยังไงพ่อกับพี่ชายก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี
“เลี้ยงน้องแบบไข่ในหินไง ทีผมนะใช้เอาๆ”
“เดี๋ยวนะพี่คู้”
ผมขำคู่พี่น้องที่เริ่มทะเลาะกัน เข้าใจแล้วว่าทำไมโต้ซังถึงบอกว่าคนดีงอนพี่คู้บ่อย
“เออ พรุ่งนี้ตกลงให้พี่ไปส่งไหม ที่บอกจะไปซื้อต้นไม้”
“ไม่เป็นไรครับ ครามบอกจะไปด้วย” คนตัวเล็กกว่าว่า
“ตามใจกันเกินไปไหม” พี่คู้หันมามองผม ผมได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
“ผมไม่อยากให้คนดีไปคนเดียวครับ”
“ให้ทำอะไรเองบ้างเถอะ เดี๋ยวพอโตไปจะพึ่งตัวเองไม่ได้”
“ทีพี่คู้ตั้งแต่มีแฟนยังไม่สนใจผมเลย”
“ทีคนดีมีแฟนก็ไม่ค่อยสนใจพี่เหมือนกัน”
“พี่คู้!”
“ก็ถามอยู่นี่ไงว่าให้ไปส่งหรือเปล่า!”
ผมนั่งกลั้นขำสองพี่น้อง พี่คู้อายุมากกว่าผมอยู่เกือบ 6-7 ปี ดูไม่่คนที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับน้องเท่าไหร่ แต่ดูก็รู้ว่าโอ๋น้องแค่ไหน
“ตีกันแล้ว” โต๋ซังส่ายหน้าไปมา แต่ก็ยิ้ม
“คนดีมีแฟนบ้านช่องก็ไม่ค่อยอยู่” พี่คู้ว่า คนเป็นน้องเหมือนจะเถียงแต่สุดท้ายก็นิ่งไป
“ไม่เถียงแล้วพี่คู้ ผมแพ้”
คนดีทำผมหลุดยิ้ม โต้ซังบ่นว่าไม่โตกันสักทีก่อนจะหันมาหาผม
“เรียนจบแล้วจะทำงานแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว คบกับใครโต้ก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ผมพยักหน้ารับเพราะรู้ว่าโต้คงจะบอกว่าให้ดูแลเขาดีๆ
“ที่โต้ยังไม่เห็นว่าผมเลย แต่พี่คู้ว่าเอาว่าเอา ตัวเองนะแอบไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“ไม่จบเหรอคนดี” คนเป็นพี่บ่นแต่มือก็ตักกับข้าวลงจานน้อง ผมมองคนดีกินข้าวไปบ่นไป เขาดูแปลกตามากจริงๆเวลาอยู่กับครอบครัว
.
.
.
.
ผมมองคนที่กำลังนั่งลงยองๆลงเลือกต้นไม่ประดับที่ถูกวางไว้เป็นกระถาง ถ้าผมไม่มาด้วยคงไม่รู้ว่าร้านต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คนดีบอกจะไกลออกมาเกือบถึงนครนายก เขาบอกว่าถ้าผมไม่มาด้วยอาจจะนั่งรถตู้มา ขากลับก็คงจ่ายเพิ่มนิดหน่อยให้ต้นไม้นั่ง ผมได้แต่ถอนหายใจกับลูกเจี๊ยบ
“คนดีทำให้ครามคิดถึงน้องแนนเลย”
คนดีเอี้ยวหน้าขึ้นมามอง
“คนดีเหมือนน้องของคุณหมีเหรอคะ” เขาล้อผม คนดีชอบบอกว่าเวลาผมพูดคะขาแล้วทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเวลาเขาพูดแบบนี้มันน่าฟัดแค่ไหน
“ไม่เลยค่ะ” ผมนั่งลงข้างๆเขา มองกระถางต้นไม้ที่เยอะจนสุดลูกหูลูกตา น่าจะเป็นที่เพาะพันธุ์ด้วย
“ถ้าครามเห็นลูกเจี๊ยบเป็นน้องคงไม่อยากทำ”
“ทำอะไรครับ” คนดีถามหน้ายุ่ง ผมแอบใช้หลังมือเกลี่ยแก้มเขาเบาๆ
“ทำแบบที่เมื่อวานทำไงคะ”
คนดีลุกขึ้นยืนพร้อมกับบอกว่าผมขี้แกล้งแล้วเดินไปที่ต้นไม้แปลงอื่น ผมมองแก้มแดงใต้หมวกคุณป้าของเขา เห็นแล้วอยากจะจับมาจูบอีกที
“ไม่ได้เจอน้องแนนเป็นเดือนแล้วนะครับ” คนดีว่า ปกติถ้าเจอกันสองคนนี้จะคุยกันเหมือนคนสนิทกันมานาน ต่างจากเวลาอยู่กับผม คนดีมักจะคิดมากกว่าพูดเสมอ บางทีผมก็อยากคุยกับเขาเยอะๆแบบนั้นบ้าง
“แวะซื้อต้นไม้เสร็จไปหาแนนกันไหม” ผมถามพร้อมกับช่วยเขาหิ้วกระถางต้นไม้ประดับเกือบสิบกระถาง คนดีพยักหน้าเพราะบอกว่าซื้อเผื่อน้องแนนด้วย
“ไปที่บ้านครามนะ” พอบอกแบบนั้นคนที่ดูดีใจเมื่อครู่ก็เงียบลง
“ผม...จะดีเหรอครับ”
ผมยิ้มก่อนจะใช้ทิชชู่เปียกเช็ดมือให้เขา
“ดีสิ เดี๋ยวครามโทรบอกคุณแม่ก่อน”
คนดีดูอึกอัก แต่ก็ยอมพยักหน้าในที่สุด
“ดีมากค่ะลูกเจี๊ยบ” ผมลูบผมเขาเบามือ เห็นแพนิคน้อยลงแบบนี้ก็เบาใจ
.
.
.
.
แต่ผมคงคิดน้อยไป เพราะทันทีที่มาถึงบ้านคนดีกลับทำตัวไม่ถูก เพราะนอกจากครอบครัวผมแล้ว วันนี้ยังมีเพื่อนแม่มาเต็มบ้าน ผมโทรบอกแม่ว่าจะพาแฟนที่คบกันมาสักพักมาหา ท่านดูดีใจ แต่พอเจอตัวจริง แม่ผมกลับเงียบไปจนผมใจเสีย และนั่นก็ยิ่งทำให้คนดีกดดัน
...ผมบอกแม่ว่าจะพาแฟนมาที่บ้าน แต่ไม่เคยบอกแม่มาก่อนว่าคนที่คบเป็นผู้ชาย…
“พาคนดีขึ้นไปที่ห้องก่อนไหม เดี๋ยวน้องแนนมาค่อยลงมากินข้าวพร้อมกัน” พี่จอยบอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะดันหลังคนดีขึ้นไปที่ห้อง เพราะแนนยังไม่กลับจากไปซื้อของที่ห้าง ทั้งแม่เอกก็ติดธุระกับเพื่อนอยู่
“คนดี”
“คนดีคะ…”
ถ้าเป็นปกติเขาจะดูประหม่าและพูดอะไรตะกุกตะกักบ้าง แต่ตอนนี้เขากลับส่งยิ้มฝืนๆมาให้ผม
“ขอครามกอดหน่อย” ผมเดินเข้าไปกอดคนตัวเล็กไว้จมอก
“คุณแม่ครามใจดีมากเลย เดี๋ยวเราค่อยลงไปสวัสดีแม่อีกทีกันนะ”
คนดีไม่ตอบอะไรเลย เขาเอื้อมมือขึ้นกอดผมไว้แน่น ผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เขาร้องไห้ หรือคิดมาก
“ไหน ขอครามดูหน้าลูกเจี๊ยบหน่อยเร็ว” ผมผละตัวออกก่อนจะดึงเขาลงมานั่งที่เตียงด้วยกัน แล้วมองใบหน้าที่กำลังกังวลแบบเห็นได้ชัด
“ห้องครามสวยเหมือนของคนดีไหม” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ผลเพราะคนดีตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดีขึ้นเลย
“สวยครับ” เขาว่า ผมมองไปรอบห้องสีขาวที่ไม่ได้กลับมาอยู่นาน มันเรียบง่ายไม่มีตรงไหนเลยที่สวยแบบที่คนดีบอก
“คราม”
“ว่าไงคนดี”
“ผมขอโทษ” ผมมองหน้าคนที่บอกว่าขอโทษแบบไม่มีเหตุผล
“ขอโทษทำไมคะ”
“ไม่รู้ครับ แต่รู้สึกว่าต้องขอโทษ” ผมบีบนวดเบาๆที่หลังคอเขา คนคิดมากก็ยังเป็นคนคิดมากอยู่วันยังค่ำ
“ครามคิดว่าพี่จอยกับน้องแนนคงคุยกับแม่บ้างแล้ว ครามถึงไม่เคยบอกอะไรแม่เลย” ผมดึงเขามาซบ
“แต่เชื่อใจครามนะ แม่จะต้องรักคนดีแบบที่ครามรักแน่นอน”
เขายิ้มบางๆอย่างเคย แต่มือคนดีกลับบีบมือผมไว้แน่น
“หูย แนนมาขัดจังหวะหรือเปล่าคะ” ตัวแสบที่พึ่งจะกลับมาบ้านทำหน้าตาล้อเลียน
“น้องแนน”
“คุณแม่กับพี่จอยเรียกทานข้าวค่ะ” แนนว่า ก่อนจะเดินนำลงไป
.
.
.
.
“ไปไหนมากันคะ” พี่จอยทักทายคนที่ไหว้อีกรอบ คนดียิ้มก่อนจะตอบ
“ไปซื้อต้นไม้มาครับ”
“ของแนนด้วยใช่ไหมคะ” น้องแนนถามหน้าตาตื่นเต้น พอคนดีพยักหน้า น้องสาวคนเล็กของบ้านก็ยิ้มหวาน ก่อนจะกระพุ่มมือไหว้คนที่โตกว่า คนดียิ้มเขิน จนแม่ผมเดินเข้ามา เขาก็หน้าเจื่อนลงไป
“หกเดือนกลับบ้านทีนะคะลูกชาย” ผมยิ้มก่อนจะเข้าไปกอดคนเป็นแม่ ถ้าพี่จอยดุแม่ผมอาจจะดูดุยิ่งกว่า เพราะแม่ต้องทำธุรกิจที่บ้านเองทั้งหมดตั้งแต่พ่อเสีย เลยทำให้คุณแม่ใจดีของผมติดลุคเจ้าของโกดังที่จัดการทุกอย่างได้เนี้ยบอยู่เกือบตลอดเวลา
“แม่ครับ นี่คนดี” แม่ผมมองอีกคนปราดเดียว ก่อนจะยกมือขึ้นรับไหว้
“ขอโทษนะคะ พอดีเมื่อครู่เพื่อนมาเยอะ แม่เลยไม่ได้ตอนรับเลย”
คนดีทำหน้าตกใจ เขาส่ายหน้าไปมาก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไรครับอย่างเคย
“เห็นน้องแนนบอกว่าสักด้วยนี่” แม่ถามคนที่สวมเสื้อแขนยาวคลุมถึงนิ้ว
“ครับ สักหลายที่เลย”คนดีตอบ เขายิ้มผืนๆก่อนจะดึงเสื้อขึ้นให้เห็นรอยบนนิ้วและเขมทิศบนแขน
บ้านผมค่อนข้างอยู่ในกรอบมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ แต่ก็ไม่ใช่จะหัวโบราณ แม่ผมมองมือเขาก่อนที่พี่จอยจะเข้ามาเรียก
“น้องกลัวจอยไปแล้วนี่ยังต้องมากลัวคุณแม่อีกเหรอคะ” พี่จอยว่าขำๆ
“ก็แม่อยากเห็นเฉยๆ” แม่ผมทำหน้านิ่งอย่างเคย
“ได้ยินว่าทำงานแล้วเหรอคะ” แม่ผมถาม คนดีที่เหมือนโดนรุกไล่นิ่งมากกว่าที่คิด
“ครับ เริ่มงานเดือนหน้าครับ”
“ทำงานอะไร อยู่แถวไหนคะ”
“เป็นอาร์ตสตูดิโอครับ แถวพระราม 9” คนดีว่า
“ที่บ้านพี่คนดีเป็น tattoo สตูดิโอด้วยนะคะคุณแม่ ทำแบรนด์เสื้อผ้าด้วย” น้องแนนช่วยเสริม แม่ผมทำท่านึกอยู่หน่อยก่อนจะหันไปหาลูกสาวคนเล็ก
“มิน่า น้องแนนถึงเอามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ สายอาร์ตเหรอบ้านนั้น”
คนดียิ้มพร้อมกับตอบ
“ครับ จริงๆโต้ซังทำพวกนำเข้าปลาจากญี่ปุ่นครับ อย่างอื่นเป็นธุรกิจเสริม” เขาว่าเสียงเบา เหมือนจะรู้แล้วว่าแม่ผมก็แค่หน้าดุและมาดนิ่งไปบ้าง
“ทางนั้นเขาธุรกิจเยอะนะคะ แต่งเข้ามาช่วยบ.เราสบาย” พี่จอยเย้าแม่ ทำเอาอีกคนหน้าแดงจัด ผมมองคนที่ดูเบาใจลงแล้ว ก่อนจะดันหลังให้เข้าไปที่งที่โต๊ะกินข้าว
“พูดถึงงาน จบไปจะทำอะไรล่ะลูกชาย” แม่หันมาถามผม ผมรู้ว่าใจจริงแม่อยากให้จบแล้วมาช่วยงานที่บ้านมากกว่า แต่ผมก็ยังอยากทำงานเหมือนที่พ่อเคยทำ
“ว่าจะลองสอบดู สองปีสองปีถ้าไม่ติดก็จะเลิก” ผมคุยเรื่องนี้กับน้องสาวมาหลายรอบแล้วแต่ยังไม่บอกแม่ ผมกะว่าเรียนจบจะช่วยที่บ้านเท่าที่ช่วยได้ แล้ววิ่งสอบข้าราขการ ถ้าไม่ติดก็คงต้องคิดใหม่อีกรอบ
“น้องคนดีช่วยคุยให้แม่หน่อยนะคะ เจ้าครามอยากไปทำงานเงินเดือนสตาร์ทเจ็ดพัน” แม่ผมหันมาหาคนดี
“สมัยนี้หมื่นสองแล้วนะคะแม่” พี่จอยว่า ผมได้แต่ขำเพราะมันจริง ส่วนคนดีมองกับข้าวเต็มโต๊ะที่พี่จอยทำบ้าง สั่งมาจากข้างนอกบ้าง
“ซาลาเปาผักเจ้านี้อร่อย ครามเคยพาคนดีไปทานยังคะ” แม่ผมถาม ผมส่ายหน้าเพราะแทบไม่มีเวลากลับมาแถวบ้าน
“ลองชิมดู อร่อยนะคะ”
คนดียิ้มเขิน ก่อนจะรับกล่องของกินจากแม่ผม
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ทานให้อร่อย”
.
.
.
.
ตอนนี้คนดีเริ่มทำงานได้เกือบเดือนแล้ว ผมเองอาทิตย์หน้าก็ตะเปิดเทอมใหม่ นึกไม่ชอบใจที่เกิดช้ากว่าลูกเจี๊ยบตั้งหนึ่งปี ผมยอมรับว่ากลัวสังคมที่กว้างขึ้นของคนดี แต่ก็เบาใจตรงนี้คนดียอมมาอยู่ด้วยกันจนได้ เพราะไม่อยากกวนให้โต่ซังช่วยค่าเช่าคอนโดที่สูงลิ่วและไม่อยากให้ผมวนไปรับไปส่ง
คนดีบอกว่าเขาอยากจะลองตั้งตัวและอยู่โดยไม่มีโต้ซังเอง ผมดีใจนะ...ที่เขาเลือกพึ่งผม
“นิ้วนั่น เจ็บไหมคะ” ผมถามถึงนิ้วนางของเขาที่ผิดรูป เวลาจับปากกาดูไม่ถนัดเท่าไหร่
“ชินแล้วครับ” คนดีว่าก่อนจะนั่งสเก็ตงานต่อ วันนี้วันหยุด ผมอยากให้เขาพักบ้างถึงได้มายืนมองคนที่เอาแต่ทำงาน
“โดนอะไรมา”
คนดีเหยียดนิ้วตัวเองเพื่อคลายความเมื่อย
“ตอนเด็กๆโดนทุบครับ” เสียงตอบเบา เป็นผมเองที่ไม่กล้าถามอะไรต่อ
“วันหยุด ไม่ทำงานได้ไหมคนดี”
คนดีมองหน้าผม ก่อนจะวางงานลงบนโต๊ะเพื่อบอกว่าเขาจะไม่ทำแล้ว
“มาดูหนังกับครามดีกว่า” ผมก้มลงจูบแก้มเขาแบบไม่รู้เบื่อ คนดีบ่นว่าผมกวนแต่ก็ยอมเดินออกจากโต๊ะทำงาน
“เดี๋ยวจะสายตาสั้น” ผมว่าคนที่เพ่งกระดาษอยู่นาน
“คงไม่เท่าคนที่เล่นเกมส์ทั้งคืนมั้งครับ”
ผมขำ เพราะมีอยู่คืนหนึ่งที่ผมกับแซมเล่นเกมส์กันทั้งคืน จนคนดีออกมาตามถึงได้ไปนอน
“เดี๋ยวนี้ลูกเจี๊ยบกล้าบ่นคุณหมีด้วยเหรอคะ” ผมถามเขา เจ้าตัวเงียบลงไปจนผมเองรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไป
“ต่อไปจะไม่บ่นแล้วครับ”
“ลูกเจี๊ยบขี้งอน” ผมว่าพร้อมกับดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดพร้อมกับระดมจูบ คนดีไม่ได้งอนจริงๆหรอก ดูก็รู้ว่าอยากแกล้งผมบ้าง เห็นแล้วมันเขี้ยวเหลือเกิน
“อย่ากัดตรงนี้” เขาว่า พร้อมกับหดคอลงเมื่อผมพยายามจะงับให้มันขึ้นรอย
“งั้นตรงอื่นได้ใช่ไหม”
เขาดันหน้าผมออกพร้อมกับขำเพราะโดนจี้เอว ผมมองคนที่นั่งลงบนโซฟาทั้งหอบหนัก ปากและจมูกที่โดนงับไปหลายทีแดงระเรื่อ ผมที่เริ่มยาวขึ้นมาบ้างยุ่งเหยิง ผมนั่งลงข้างเขาก่อนจะลูบผมเบาๆ
“เมื่อไหร่ผมจะยาวเนอะ”
คนดีอมยิ้ม
“ครามชอบผมยาวมากเลยใช่ไหมครับ”
ผมมองหน้าเขา ตอนผมสั้นเขาก็น่ารักดี แต่ตอนที่ผมยาวกลับรู้สึกว่าดึงดูดไปอีกแบบ
“ถ้าคนดีไม่ไว้ผมยาวแล้ว คุณหมีจะยังชอบอยู่ไหมครับ”
ผมยิ้มกว้างก่อนจะถือวิสาละนอนลงบนตักเขา หันหน้าเข้าหาหน้าท้องแบนเรียบ ให้มือขวากอดเอวบางไว้ ทั้งเหลือบมองคนที่อ้อนเองแต่เขินเอง
“ลูกเจี๊ยบขี้อ้อน” ผมว่า ก่อนจะเลิกเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้น
...ถ้าคอเป็นรอยไม่ได้ ตรงนี้คงไม่เป็นไร…
.
.
.
.
“คืนนี้ครามขอไปกินข้าวกับเพื่อนนะ” ผมบอกคนที่พึ่งจะอาบน้ำเสร็จ วันนี้ผมผัดฟองเต้าหู้ใส่ผักไว้ให้คนดี
“ทำไมต้องขอครับ”
ผมขำคนที่ดูไม่เข้าใจจริงๆ
“ผมผิดตรงไหนเนี่ย” คนดีว่าพร้อมกับย่นจมูก
“ขออนุญาตคนดีไง ถ้าคนดีไม่อยากให้ไปครามก็จะไม่ไป” คนดีมองผมตาแป๋ว ส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรครับ ครามไปกินข้าวกับเพื่อนเถอะนะ”
“ขอดื่มนิดนึงนะคะ จะนั่งแท็กซี่ไป ไม่ขับรถ”
เขาพยักหน้ารับ
“ก็ไม่เห็นต้องขอนี่ครับ”
“ต้องขอสิ คนดีเป็นแฟนครามไง”
คนดีทำท่านึกอยู่หน่อยก่อนจะบอก
“งั้นเดินทางดีๆนะ”
ผมขำร่วน ก่อนจะดึงอีกคนมาใกล้ นึกถึงสมัยก่อนและแฟนคนก่อนๆ ถ้าผมจะไปร้านเหล้าหรือไปหาเพื่อนทีดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ต่างกับคนตรงหน้าโดยสิ้นเชิง
...ถ้าคนดีจะหวงผมแบบนั้นบ้างคงดี….
“ขอครามกอดหน่อย”
ผมเอาคางเกยไหล่คนตัวเล็กกว่าไว้ ลูบผมเขาเบามือ
“ถ้าง่วงนอนไปก่อนเลยนะคะ”
“ครับ” คนดีตอบรับพร้อมกับซุกจมูกเข้าที่อกผม
“คราม กล้บเร็วๆนะครับ”
ผมโยกตัวเขาไปมา ไม่คิดเลยว่าแค่ไปกินเหล้ากับเพื่อนจะต้องคิดเยอะขนาดนี้.
.
.
.
.