30 [PART 1/2]
ผมแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว โดยเฉพาะการหาคำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงหอมแก้มนายก้องเกียรตินั้นโคตรน่าปวดหัวเลย ผมเสียเวลาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นวันๆ เสียสมาธิอ่านหนังสือทำโจทย์ตั้งเท่าไหร่ แถมปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงตะลุยสนามสอบแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องในคืนนั้นพังความสัมพันธ์ของเราจนผมกลายเป็นกอริลลาหน้าบูดอีก
แต่ไอ้พี่อู๋ – ไม่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างสงบเลย
ถึงวันนี้ผมรู้แล้วว่าคืนก่อนไม่ใช่เพราะเมา พี่อู๋ทำมาตลอด เขาแอบทำตอนผมหลับลึกเพื่อไม่ให้กอริลลาแตกตื่น ผมรู้เรื่องนี้ในคืนที่ไม่ยอมกินยานอนหลับเพื่อจะสืบให้รู้ว่าเขาเป็นจอมฉวยโอกาสหรือไม่ ซึ่งพี่อู๋เป็นจริงๆ เขามันเสือมือไวในตำนาน บางคืนผมถึงกับต้องนอนเกร็งจนตะคริวแทบกินเพราะโดนพี่อู๋ลูบหัว บางคืนเขาก็นั่งบนพื้นข้างเตียง นั่งเงียบๆ หายใจเข้าออกเหมือนเป็นคนธรรมะธัมโมกำลังทำสมาธิ แต่พอแอบปรือตาก็จะเห็นเขาเท้าคางกับโต๊ะข้างเตียง จ้องมองนายก้องเกียรติและยิ้มเล็กๆเหมือนกำลังดูรายการลูกหมาในโทรทัศน์
ผมสงสัยจริงๆว่าเขาแอบทำแบบนี้มานานหรือยัง ทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไปทำไม ผมมีอะไรให้ต้องยุ่งต้องจับงั้นเหรอ หรือพี่อู๋แอบทำแบบนี้ตั้งแต่สมัยคบกับคุณหมูพี เพราะแบบนี้หรือเปล่าแฟนเก่าของเขาถึงเกลียดผมจนเอาแก้วกรีดด้วยความแค้น ไอ้บ้าพี่อู๋เอ๊ย – คนดีๆมีเป็นร้อยเป็นพันดันไม่ยุ่ง ทำไมต้องลดตัวมายุ่งกับกอริลลาจิตป่วยด้วย
“น้องก้องทำไมใจลอยจังเลยคะ? เครียดเรื่องเตรียมสอบเหรอ?”
พี่โรมถามระหว่างสอนนายก้องเกียรติเรียนเปียโนในบ่ายวันอาทิตย์ ผมบอกว่าเปล่าครับ แค่ง่วงอยากนอนเฉยๆไม่ได้เหม่ออะไร พี่โรมหรี่ตามองเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่าน ไม่ซักไซ้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบ กอริลลาก้องที่กำลังหมกมุ่นกับความสับสนพยายามโฟกัสบทเรียนให้มากขึ้นจนหมดชั่วโมง พอพี่โรมเตรียมตัวกลับ เขาก็ถามอีกว่าไม่เข้าใจบทเรียนตรงไหนบ้าง ผมตอบว่าเข้าใจครับ ผมเข้าใจสิ่งที่พี่สอนวันนี้ แต่ผมไม่เข้าใจเพื่อนพี่ พี่รู้ไหมว่าเขาหอมแก้มผมทำไม
“พี่โรมครับ” ผมตัดสินใจถามครูสอนเปียโน “พี่โรมเคยเจอเอมไหมครับ?”
“เคยสิ ทำไมเหรอ?”
“พี่อู๋เลี้ยงเอมแบบไหนครับ?”
“เลี้ยงแบบไหนคืออะไรอ่ะ? พี่ไม่เข้าใจ”
พี่โรมขมวดคิ้วงง เขาวางกระเป๋าหนังลงบนโต๊ะก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับนายก้องเกียรติ
“เวลาอยู่กับเอม เขาแบบ – เลี้ยงเอมเหมือนน้องน้อยไหมครับ?”
“จะว่าเหมือนก็เหมือนนะ แต่น้องน้อยของก้องคือแบบไหนอ่ะ?”
“ก็แบบ – ลูบหัว” ผมยกตัวอย่าง พยายามเลี่ยงไม่ให้พี่โรมจับได้ว่าเพื่อนของเขาเคยทำแบบไหนกับผมบ้าง “หอมแก้ม นั่งมองเอม”
“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้น” พี่โรมหัวเราะ “มันก็โอ๋เอมแหละ แต่โอ๋แบบตามใจมากกว่า ไม่ได้เลี้ยงเหมือนน้องจ๋าอย่างที่ก้องคิด”
“อ๋อ ครับ”
“ก้องถามทำไมเหรอ?”
“อ๋อ – ผมเห็นรูปเอมนั่งตักพี่อู๋ก็เลยสงสัยครับ”
“ไหน รูปไหน?”
ไอ้ชิบหาย –
“ผมเห็นที่บ้านที่นครครับ ก็เลยสงสัยเฉยๆ เห็นเขาดูสนิทกัน”
“สนิทแหละ เอมสนิทกับอู๋มาก”
“เขาไม่เคยหอมแก้มเอมจริงๆเหรอครับ?”
“หอมมั้ง พี่ก็ไม่แน่ใจอ่ะ เวลาอยู่กับเพื่อนๆเอมไม่ค่อยอ้อนอู๋ให้เห็นเท่าไหร่”
“แล้วกับคุณหมูพีล่ะครับ?”
“พี่ไม่เคยเจอหมูพีตัวเป็นๆอ่ะ ก้องน่าจะลองถามตั้มนะ ไอ้ตั้มมันรู้ มันเป็นพยานรักให้ไอ้อู๋กับเมียตั้งแต่คบใหม่ๆนู่น”
ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ใครมันจะกล้าถามพี่ตั้ม ดังนั้นผมจึงตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าพี่อู๋ทำกับผมเหมือนทำกับเอมทิ้งไป พี่โรมยืนยันเองว่าเขาไม่ใช่ประเภทรักน้องโอ๋น้องขนาดนั้น แสดงว่าที่หอมแก้มนายก้องเกียรติวันก่อนต้องไม่ใช่เพราะเห็นผมเป็นเอมแน่ๆ
น่าแปลกที่ช่วงย้ายมาอยู่กับพี่อู๋ใหม่ๆ ผมไม่พอใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผู้ปกครองเก็บผมมาเลี้ยงแทนที่น้องชาย แต่หลังจากคืนนั้นผมอยากให้พี่อู๋รักผมแบบเอม อยากให้เขาทำลงไปเพราะเคยชินกับการมีเอมมากกว่า ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขา แต่ผมกลัววันหนึ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ผมกลัวว่าจะเสียพี่อู๋ไปเพราะเขาคือครอบครัวคนสุดท้าย ผมแค่อยากมีคุณอิศรินทร์อยู่ในชีวิตไปจนวันตาย ผมไม่อยากจากเขา ไม่อยากแยกกันเหมือนเขากับคุณหมูพี
ทันทีที่คุณครูสอนเปียโนกลับไป ผมก็นั่งทิ้งตัวบนโซฟาแบบเครียดๆ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนที่กวนใจ แต่เรื่องพี่อู๋เข้ามามีบทด้วย ถ้าถามว่าผมอยากให้เรื่องของเราจบลงยังไง ผมคงตอบได้ว่าจบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ทะเลาะ ไม่แยกกัน ไม่รังเกียจกัน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็น
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเก้านาที คุณอิศรินทร์กลับจากพานายไปทานข้าวกับลูกค้าที่พารากอน เขาเดินหน้ายิ้มๆเข้ามาจนผมรู้สึกไม่ดีที่พยายามผลักไสเขาให้กลับไปอยู่จุดเดิม พี่อู๋ถามผมว่าหิวไหม กินอะไรหรือยังด้วยความเป็นห่วงอย่างเช่นทุกที พอเห็นเขาดีกับผมขนาดนี้มันก็อดโกรธตัวเองไม่ได้
“พี่กินกับนายมาอิ่มแล้ว เดี๋ยวกินเป็นเพื่อนก้องอีกทีก็ได้”
พี่อู๋บอกอย่างอารมณ์ดี เขาเดินมานั่งข้างนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แล้วถามว่าเป็นอะไร อ่านหนังสือไม่ทันเหรอ หรือจะหยุดเรียนก่อนไหม ไว้สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะเรียนต่อหรือเปล่า
“ผม – ผมแค่กลัวว่าจะสอบไม่ติด”
พี่อู๋บ่นว่าโอ๊ย ไม่ต้องคิดมาก เหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะเริ่มเดินสายสอบ ก้องยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับอ่านหนังสือ ไม่เห็นต้องกังวลเลย
“เอ้อ – พี่ลืมบอกว่าปีนี้เราจะไม่กลับใต้กันนะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“แม่กับป๊าพี่ แล้วก็ครอบครัวไอ้สามเสือจะพาแนไปเที่ยวพม่าอ่ะ แต่เราก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆนะ พี่จะพาก้องไปเชียงใหม่”
“เชียงใหม่?” ผมตาลุกวาว เอาไว้ก่อนหัวข้อดราม่า ตอนนี้ขอโฟกัสกับทริปพากอริลลาเที่ยวดีกว่า “เราจะไปเชียงใหม่กันสองคนเหรอครับ?”
“เปล่า ลูกพี่ลูกน้องพี่ไปด้วย”
“เบียดกันไปในวีออสเหรอครับ?”
พี่อู๋ส่ายหน้าแล้วบอกว่าต่างคนต่างไป เราจะขับวีออสไปกันสองคน ส่วนพวกเขาขับยาริสของพี่จีน คุณอิศรินทร์ถามต่อว่าจำคนที่ชื่อเจมส์ได้ไหม พอผมบอกว่าจำไม่ได้ เขาก็นึกออกว่าปีก่อนที่บ้านแน น้องชายที่ชื่อเจมส์กับจีนไม่ได้อยู่ด้วย เจมส์ไปวิ่งรถที่กระบี่ ส่วนจีนติดสอบก็เลยกลับมาเยี่ยมบ้านไม่ได้
“จีนเป็นน้องของเจมส์ แก่กว่าก้องหนึ่งปี ตอนนี้เรียนวิศวะที่เกษตรกำแพงแสน อยากรู้อะไรเกี่ยวกับวิศวะก็ถามจีนนะ ไอ้จีนมันคุยเก่ง”
“ไม่ต้องถามสมาร์ทแล้วเหรอครับ?”
“สมาร์ทก็ถามได้ แต่ที่พี่ให้ก้องคุยกับจีนเพราะไอ้สมาร์ทมันเป็นประเภทหัวกะทิ มันเก่งตั้งแต่เกิด ส่วนจีนเป็นประเภทได้ดีเพราะขยัน พี่ว่ามันน่าจะเข้าใจก้องมากกว่าสมาร์ท”
ผมพยักหน้า ถึงว่าหลังๆพี่อู๋ไม่ค่อยให้ผมโทรคุยกับสมาร์ทเลย ไม่ใช่ว่าสมาร์ทไม่ดี แต่สมาร์ทคือยอดพีระมิดที่ไม่น่าจะเข้าใจว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพี่จีนที่หัวสมองธรรมดาน่าจะคุยกับกอริลลาก้องได้ดีกว่าอย่างที่เขาว่า
“ตื่นเต้นไหมจะได้เที่ยวเชียงใหม่?”
ผมยิ้มกว้างแทนคำตอบ ทุกครั้งที่รู้ว่าจะได้เที่ยวต่างจังหวัด หัวใจของกอริลลามันก็เริงร่าจนลืมคิดเรื่องอื่นทุกทีเพราะตั้งแต่เกิดมา ผมแทบไม่เคยได้ไปไหนไกล วันๆเดินทางแค่ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน มีออกไปเดินห้างกับเพื่อนบ้างนานๆที เหตุผลหลักคือเราไม่ค่อยมีเงิน แม่ก็ต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน ผมจึงไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือชวนแม่ไปไหน
นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที ผมนั่งทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ทำงานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ในห้องไม่มีเสียงพูดคุยถามไถ่เหมือนก่อนหน้า มีเพียงเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังต็อกแต็กกับเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือจากนายก้องเกียรติเท่านั้น
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสองนาที พี่อู๋ปิดโน้ตบุ๊กและเตือนผมให้กินยานอนหลับเม็ดที่หนึ่ง ผมปิดหนังสือเรียนและแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้องนอน แต่ผมไม่ได้กิน
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบนาที พี่อู๋เงยหน้าดูเวลาแล้วสั่งให้ผมกินยานอนหลับเม็ดที่สองเพราะกอริลลาก้องไม่มีวี่แววว่าจะหลับง่ายๆ ผมทำเหมือนเดิม เดินเข้าห้องไปขยำๆถุงยาให้พอเกิดเสียงแล้วเดินออกมาเล่นเปียโนข้างนอก ผมอวดเพลงใหม่ที่แอบซ้อมมาหลายวันให้เขาฟัง แค่เริ่มกดโน้ตไม่กี่ตัวคุณอิศรินทร์ก็ยิ้มกว้าง
涙の奥にゆらぐほほえみは
(รอยยิ้มที่สั่นไหวภายใต้น้ำตาของเธอ)
時の始めからの世界の約束
(คือคำสัญญาของโลกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา)
พี่อู๋ไม่เคยบอกว่าทำไมถึงชอบเพลง The Promise of The World แต่ผมแอบอ่านคำแปลในเน็ตมา ผมคิดว่าเอมน่าจะเคยเล่นเพลงนี้มาก่อน หรือไม่มันก็แค่เพลงความหมายดีๆที่ทำให้เขาคิดถึงน้องชายเท่านั้น
いまは一人でも明日は限りない
(ตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว แต่วันพรุ่งนี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด)
あなたが教えてくれた夜にひそむやさしさ
(เธอได้สอนให้ฉันได้รู้ถึงความอ่อนโยนที่แอบซ่อนในยามค่ำคืน)
พี่อู๋น้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ เขาทำเป็นยกมือขึ้นมาเท้าคาง แต่ท่านั่งนั้นเหมือนแค่ต้องการปิดปากไม่ให้ผมเห็นว่ามันสั่นขนาดไหนมากกว่า
思い出のうちにあなたはいない
(เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉัน)
せせらぎの歌にこの空の色に花の香りにいつまでも生きて
(แต่มีชีวิตอยู่ในบทเพลงของลำธาร ในสีของท้องฟ้าผืนนี้ และในกลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดไป)
ตอนที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง ผมหันไปหาผู้ปกครองโดยไม่คาดหวังคำชมอะไร แต่พี่อู๋กลับยิ้มหน้าบานด้วยความภูมิใจ ไม่มีคำว่าเก่ง เก่งมาก เยี่ยมมากหลุดจากปากของเขานอกจากรอยยิ้ม คุณอิศรินทร์ยิ้มอย่างนั้นอยู่อีกหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าให้ผม
“ขอบใจนะก้อง” เขาบอก กอริลลาจิตป่วยหัวใจพองโตยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยได้รับคำชม “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบเพลงนี้?”
“วันก่อนผมเปิดยูทูปเรียนภาษาอังกฤษ ในวิดีโอที่ถูกใจของพี่มีคลิปเพลงนี้เยอะมาก ผมก็เลยขอให้พี่โรมสอนให้” ผมอวดโน้ตเพลงให้ผู้ปกครองดู “เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังอีกชิ้นนะครับ อาจจะช้าหน่อยเพราะตอนวันเกิดพี่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ ผมไม่กล้าเล่นเพราะกลัวมันออกมาไม่ดี”
พี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยี สีหน้าของเขาดูภูมิใจ ดีใจ และมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยเห็น เขาบอกขอบใจก่อนจะขอให้นายก้องเกียรติเล่นให้ฟังอีกรอบ คราวนี้เขาอยากอัดคลิปเก็บไว้ดูคนเดียว วันไหนเซ็งๆเศร้าๆ วิดีโอกอริลลาเล่นเปียโนน่าจะช่วยได้ ผมจึงเล่นเพลงนี้ซ้ำเป็นหนที่สองเพื่อให้พี่อู๋ได้บันทึกเป็นความทรงจำเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ หลังเล่นจบเราก็เข้าห้องนอน ผมกระโดดขึ้นเตียง ดึงผ้านวมมาห่มและหาวโชว์ผู้ปกครองหนึ่งหน ส่วนพี่อู๋ยังมีเรื่องต้องทำ เขาก็เลยปลีกตัวไปนั่งทำงานข้างนอกจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับเข้ามาในห้อง
ตอนนั้นผมยังไม่หลับ ประสาทสัมผัสยังคงรับรู้ว่าพี่อู๋เดินไปไหนและทำอะไรบ้าง เขาเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อเล่นโทรศัพท์อีกพักใหญ่ๆ ทีแรกผมคิดว่าคืนนี้คงจบลงโดยไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิด เพราะก่อนล้มตัวลงนอน พี่อู๋โน้มตัวมาจูบหน้าผากผมเบาๆหนึ่งที หลังจากนั้นห้องก็เข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเช่นทุกคืนคือพี่อู๋หลับสนิท ส่วนนายก้องเกียรติหัวใจเต้นตึกตักเพราะเขาทำแบบนั้นอีกแล้ว
☁
วันที่ยี่สิบห้าธันวาคม
พี่อู๋ไม่ได้พานายก้องเกียรติไปตักบาตรเหมือนปีก่อน ปีนี้เขามีงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นผมจึงฉลองวันเกิดของพระเยซูเพียงลำพังในห้อง วันนี้ผมอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนเต็มที่หนึ่งวัน ผมจัดห้อง แต่งต้นคริสต์มาส ทำงานบ้านจิปาถะอื่นๆที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมไม่คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญหรือเซอร์ไพรส์เจ๋งๆจากผู้ปกครองเพราะรู้ว่าเขาเหนื่อย ถึงปากจะบอกว่า ไม่ ไม่หวัง ไม่ได้ตั้งตารออะไร แต่ลึกๆในใจผมหวังว่าพี่อู๋จะจำได้ หวังว่าเขาจะทำให้มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสี่สิบหกนาที พี่อู๋เปิดประตูบ้านเข้ามาโดยถือของพะรุงพะรัง หนึ่งในนั้นมีเค้กปอนด์ใหญ่สำหรับนายก้องเกียรติ มันเป็นเค้กสั่งทำพิเศษเลียนแบบเค้กที่แฮกริดทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคแรก ตอนเปิดกล่อง ผมร้องว้าวทันทีเพราะมันเหมือนมาก ครีมสีชมพูปาดแบบลวกๆขาดความประณีต ตัวอักษรสีเขียวเข้มบนหน้าเค้กก็เขียนด้วยลามือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียน เค้กกล่องนี้เหมือนเค้กของแฮร์รี่เปี๊ยบเลยครับ ผมบอกผู้ปกครอง พี่อู๋ยิ้มหวาน ดีใจที่นายก้องเกียรติจำได้ เขาปักเทียนสิบเก้าเล่มจนเต็มหน้าเค้กและจุดไฟ เราร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันสองคนในห้องมืดๆ พอเนื้อเพลงวรรคสุดท้ายจบลง ผมก็หลับตา อธิษฐานในใจว่าขอให้สอบเข้าได้แล้วเป่าเทียน
ตอนสี่ทุ่ม กอริลลาก้องกับคุณอิศรินทร์กินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมว่าเค้กกล่องนี้ต้องแพงมากแน่ๆเพราะรสสัมผัสแน่นมาก ช็อกโกแลตเข้มข้นสะใจ ส่วนครีมก็นุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานแสบคอจนเกินไป หลังกินเสร็จพี่อู๋ก็ส่งกล่องของขวัญลายสนู้ปปี้ให้ แกะดูข้างในเป็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่เหมาะสำหรับใส่หนังสือไปเรียน
“ขอบคุณครับ”
ผมกอดกระเป๋าพร้อมกับลูบๆคลำๆ เป้ใบนี้สวยและเท่มากเหมือนเป้ที่เด็กผู้ชายแถววรรณสรณ์ชอบใช้ พี่อู๋บอกว่าดีใจที่เห็นผมชอบ เขาคิดหนักมากว่าควรซื้ออะไรเพราะนายก้องเกียรติไม่แสดงออกว่าอยากได้ของชิ้นไหนเลย
“แค่ได้ฉลองกับพี่ ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว”
ผมยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะเปิดซิปเพื่อสำรวจกระเป๋าใบใหม่ ด้านในกว้างมาก น่าจะใส่หนังสือได้หลายเล่ม ผมพลิกไปพลิกมาโดยไม่รู้ตัวว่าพี่อู๋กำลังจ้องอยู่ พอสำรวจจนพอใจนั่นแหละถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของผู้ปกครอง
และตอนนั้นผมถึงคิดได้ว่า –
ที่เป็นอยู่อย่างนี้มันดีมากแล้ว
ผมชอบเป็นฝ่ายถูกดูแล ชอบเป็นคนพิเศษที่ไม่เคยคลาดสายตาจากใคร ชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่อู๋เพราะเขาเติมเต็มส่วนที่ผมขาด พี่อู๋ดูแลผมดีมาก ดีมาก มากพอๆกับแม่ เขาใส่ใจวันพิเศษของผม เขาดูแลและมอบสิ่งดีๆให้กับผมเสมอ รวมถึงการหอมแก้มและจูบหน้าผากที่เขาแอบกระทำลับๆนั่นก็เหมือนกัน มันหมายความว่าเขามีความรู้สึกดีๆให้นายก้องเกียรติ ซึ่งหากคิดดูอีกทีแล้วมันไม่มีอะไรแย่เลย ไม่ซักนิด – ผมไม่ได้รังเกียจหรืออยากให้พี่อู๋เว้นระยะเพื่อความถูกต้อง
เพราะผมชอบที่เราเป็นแบบนี้
ในขณะที่เขามองหน้าและส่งยิ้มมาให้ ผมเองก็มีความสุขได้รับความรู้สึกดีๆจากเขาเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ผิด – ถ้ามันไม่ทำร้ายใคร –
ผม – ก็อยากจะมีความสุขกับคนที่ให้ความรักผมบ้างเหมือนกัน
☁
วันที่ยี่สิบเจ็ดธันวา กอริลลาก้องเดินทางไปฉลองวันสิ้นปีถึงเชียงใหม่
ผมคิดว่าระยะทางจากกรุงเทพไปนครศรีธรรมราชว่าโหดแล้ว แต่กรุงเทพเชียงใหม่ก็ยาวไกลไม่แพ้กัน ก้นของผมชาด้านจนไม่เหลือความรู้สึก ถ้าไม่ได้แวะปั๊มน้ำมันหรือจอดกินข้าว ผมคงกลายเป็นคนตายด้าน หยิกขาจนเลือดซิบก็ไม่รู้สึกอะไรแน่ๆ
ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับครอบครัวพี่เจมส์คือตอนงานศพก๋ง ตอนนั้นเราไม่มีโอกาสคุยกันเพราะทุกคนมัวแต่ยุ่งกับพิธีการ ส่วนการพบกันครั้งที่สองคือตอนแวะกินข้าวที่จังหวัดกำแพงเพชร พวกเขามีกันสามคน พี่เจมส์ แฟนของพี่เจมส์ และพี่จีนผู้ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนของผมในภายหลัง ตอนกินข้าว ผมเกร็งแทบแย่เพราะไม่เคยเจอพี่เจมส์กับพี่จีนมาก่อน แต่คุยๆไปซักพักก็เริ่มหาหัวข้อที่สนใจร่วมกันได้ นั่นคือเรื่องเรียน
พี่จีนชอบเรียนหนังสือ
เขาหลงใหลการไขว่คว้าหาความรู้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเวลาผมพูดหรือถามอะไร เขามักจะตอบได้เกือบทุกอย่าง พี่จีนอาจไม่ใช่คนหัวดีแต่เกิด หรือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหมือนพวกสามเสือ แต่เขาคือต้นแบบของการพยายามจนสำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนคุยกับเขา ผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฐานต่ำสุดของพีระมิด ผมรู้สึกว่าเราเท่ากันจนสามารถเล่าความกากไม่เอาไหนของตัวเองให้เขาฟังได้
“คืองี้นะ วิศวะเนี่ย มันก็มีหลายสาย ตอนจะแอดก้องก็ต้องเลือกก่อนเลยว่าจบไปอยากทำงานอะไร ถ้ายังไม่รู้ก็เลือกที่ตัวเองถนัด ก้องชอบไฟฟ้า ชอบเคมี หรือชอบพวกคอมพิวเตอร์ ชอบทางไหนมากกว่ากันก็ลองตัดสินใจดู”
ผมนึกตามพี่จีนแต่ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ที่แน่ๆตัดวิศวะเคมีไปได้เลยเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด ถ้าให้เลือกในใจตอนนี้ผมเหลือสี่ช้อยส์ที่กำลังสนใจ หนึ่งเครื่องกล สองไฟฟ้า สามโยธา สี่ – อาจจะเป็นวัสดุ ไม่รู้สิ ผมยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่
ผมจึงขอให้พี่จีนแนะนำอุตสาหการที่กำลังเรียนอยู่ให้ฟัง เขาบอกว่าคร่าวๆเกี่ยวกับการควบคุมต้นทุนตั้งแต่เริ่มผลิตจนจบกระบวนการ สั้นๆคือมีไว้เพื่อซัพพอร์ตทุกแผนก ดูคอร์ส ดูต้นทุน ดูราคาที่โรงงานต้องจ่ายแล้วพยายามหาวิธีลดรายจ่ายนั้นเพื่อทำกำไร ผมเล่าให้พี่จีนฟังว่าเจ้านายของพี่อู๋ออกแบบเครื่องจักรได้ตั้งยี่สิบล้าน ถ้างานผลิตแนวนี้ต้องเรียนวิศวะอะไรดีครับ
“แมคคาทรอนิกส์เลยครบสุด เรียนทั้งไฟฟ้า เครื่องกล ทั้งคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จบออกมาทำงานโรงงาน เขียนแบบเครื่องจักร คุมเครื่องจักร หรือพวกยานยนต์ก็มีนะ”
“พี่จีนครับ ผมขอถามอะไรตรงๆอย่างหนึ่งสิ” ผมเกริ่นเรื่องที่อยากคุยด้วย “วิศวะเงินเดือนเยอะไหมครับ?”
“เยอะ ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางอ่ะนะ บางบริษัทให้เงินเดือนสองหมื่นต้นๆก็จริงแต่ยังไม่รวมโอที ยังไม่รวมค่าทำงานในวันหยุดอีก ถ้าได้ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นด้วยนะ โอ้ย --” เขาถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้วยิ้มกว้าง “ร๊วย!”
ตาของนายก้องเกียรติกลายเป็นรูปตัวเอสเลย ผมแทบมองเห็นเงินปลิวลงมาจากฟ้าเมื่อพี่จีนบอกว่าวิศวะได้เงินเดือนดี แบบนี้ก็เข้าทางกอริลลาปากแห้ง ผมอยากได้งานดีๆเงินเยอะๆจะได้ใช้คืนพี่อู๋ไวๆ ผมโม้กับพี่จีนว่าถ้ามีเงินเดือนนะ ผมจะพาพี่อู๋ไปกินซูชิอิรัชชัยมาเสะเลย
“อิรัชชัยมาเสะอะไรวะ ไม่ใช่ฮาจิเมะเตะเหรอ?”
ผมไม่รู้เลยหันไปถามพี่อู๋ว่าซูชิแพงๆที่เราเคยดูในทีวีวันก่อนเรียกว่าอะไร คุณอิศรินทร์งงอยู่ครู่ใหญ่จนต้องอธิบายเพิ่มว่าซูชิแบบนั้นไง แบบที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไร ต้องให้เชฟจัดให้เท่านั้นอ่ะ
“โอมากาเสะรึเปล่า?”
“อันนั้นแหละ! ถ้าผมมีเงินนะ ผมจะพาพี่ไปกินโอมาโมเอะเอง!”
คุณอิศรินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาแล้วไล่ผมกับพี่จีนให้รีบไปซื้อขนมที่เซเว่นเพราะต้องออกเดินทางต่อ หลังได้คุยกันซักพัก ผมกับพี่จีนกลายมาเป็นเพื่อนคู่ซี้เฉพาะกิจ อาจจะเพราะเราอายุไล่เลี่ยกันและสนใจอะไรเหมือนๆกันถึงคุยกันถูกคอ เราสนิทกันเร็วถึงขั้นที่พี่จีนชวนผมให้ดูแคสเกมในยูทูปด้วยกันที่โรงแรม เมื่อการเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียงเพื่อนอนดู HOME SWEET HOME ของช่องซียูเยสเทอร์เดย์ อย่าลืมเป็นร้อนใน พูดตรงๆว่าในบรรดาพวกเราไม่มีใครกล้าเล่นเกมนี้เลย ผมกับเขาจึงนั่งดูแคสเกมในยูทูปเพื่อสปอยล์ตัวเองก่อน ถึงเวลาเล่นจริงๆจะได้ไม่กรี๊ดคอแตกทุกห้านาทีจนพี่อู๋ต้องลุกขึ้นมาแจกมะเหงกคนละหนึ่งที
จากตอนแรกที่นอนดูกันแค่สองก็กลายเป็นสาม คุณอิศรินทร์ผู้เก่งกล้าทนสงสัยเสียงกรี๊ดไม่ไหวจึงมาร่วมดูกับเราด้วย สรุปคืนนั้นพี่จีนกลัวจนไม่กล้ากลับห้อง เราสามคนต้องนอนเบียดกันบนเตียงคิงไซส์จนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนว่าคนที่นอนตรงกลางไม่ใช่ใครนอกจากนายก้องเกียรติ และนายก้องเกียรติที่นอนเบียดผู้ปกครองคนนี้นี่แหละที่โดนฉวยโอกาสด้วยกอดหลวมๆจากคุณอิศรินทร์ตลอดทั้งคืน
ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างนะคะ
