เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 154951 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
การบอกรักก้องก็คงเป็นอีกเรื่องที่จะทำให้พี่อู๋ปวดหัว

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
น้องแค่สับสน น้องกลัวเพราะงั้นพี่อู๋ต้องค่อยๆเข้าหาน้าา แง

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฟีลดีมากเลยไม่ใช่รักกุ๊งกิ๊งแต่อบอุ่นจริงๆ เขายังไม่รักกันด้วยซ้ำเรือผีมาก555 เขียนดีมากๆเลยค่ะ ให้อารมณ์เหมือนนิยายวายยุคแรกๆ ชอบมากกก ขอบคุณนะคะ :3123:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
รอนะคะ.. อ่านยาวๆเรย.. ชอบมากกก.. :katai4: :katai2-1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
30 [PART 1/2]


ผมแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว โดยเฉพาะการหาคำตอบว่าทำไมพี่อู๋ถึงหอมแก้มนายก้องเกียรตินั้นโคตรน่าปวดหัวเลย ผมเสียเวลาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นวันๆ เสียสมาธิอ่านหนังสือทำโจทย์ตั้งเท่าไหร่ แถมปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงตะลุยสนามสอบแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องในคืนนั้นพังความสัมพันธ์ของเราจนผมกลายเป็นกอริลลาหน้าบูดอีก

   แต่ไอ้พี่อู๋ – ไม่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างสงบเลย

ถึงวันนี้ผมรู้แล้วว่าคืนก่อนไม่ใช่เพราะเมา พี่อู๋ทำมาตลอด เขาแอบทำตอนผมหลับลึกเพื่อไม่ให้กอริลลาแตกตื่น ผมรู้เรื่องนี้ในคืนที่ไม่ยอมกินยานอนหลับเพื่อจะสืบให้รู้ว่าเขาเป็นจอมฉวยโอกาสหรือไม่ ซึ่งพี่อู๋เป็นจริงๆ เขามันเสือมือไวในตำนาน บางคืนผมถึงกับต้องนอนเกร็งจนตะคริวแทบกินเพราะโดนพี่อู๋ลูบหัว บางคืนเขาก็นั่งบนพื้นข้างเตียง นั่งเงียบๆ หายใจเข้าออกเหมือนเป็นคนธรรมะธัมโมกำลังทำสมาธิ แต่พอแอบปรือตาก็จะเห็นเขาเท้าคางกับโต๊ะข้างเตียง จ้องมองนายก้องเกียรติและยิ้มเล็กๆเหมือนกำลังดูรายการลูกหมาในโทรทัศน์

ผมสงสัยจริงๆว่าเขาแอบทำแบบนี้มานานหรือยัง ทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไปทำไม ผมมีอะไรให้ต้องยุ่งต้องจับงั้นเหรอ หรือพี่อู๋แอบทำแบบนี้ตั้งแต่สมัยคบกับคุณหมูพี เพราะแบบนี้หรือเปล่าแฟนเก่าของเขาถึงเกลียดผมจนเอาแก้วกรีดด้วยความแค้น ไอ้บ้าพี่อู๋เอ๊ย – คนดีๆมีเป็นร้อยเป็นพันดันไม่ยุ่ง ทำไมต้องลดตัวมายุ่งกับกอริลลาจิตป่วยด้วย

“น้องก้องทำไมใจลอยจังเลยคะ? เครียดเรื่องเตรียมสอบเหรอ?”

พี่โรมถามระหว่างสอนนายก้องเกียรติเรียนเปียโนในบ่ายวันอาทิตย์ ผมบอกว่าเปล่าครับ แค่ง่วงอยากนอนเฉยๆไม่ได้เหม่ออะไร พี่โรมหรี่ตามองเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่าน ไม่ซักไซ้เซ้าซี้เพื่อเอาคำตอบ กอริลลาก้องที่กำลังหมกมุ่นกับความสับสนพยายามโฟกัสบทเรียนให้มากขึ้นจนหมดชั่วโมง พอพี่โรมเตรียมตัวกลับ เขาก็ถามอีกว่าไม่เข้าใจบทเรียนตรงไหนบ้าง ผมตอบว่าเข้าใจครับ ผมเข้าใจสิ่งที่พี่สอนวันนี้ แต่ผมไม่เข้าใจเพื่อนพี่ พี่รู้ไหมว่าเขาหอมแก้มผมทำไม

“พี่โรมครับ” ผมตัดสินใจถามครูสอนเปียโน “พี่โรมเคยเจอเอมไหมครับ?”
“เคยสิ ทำไมเหรอ?”
“พี่อู๋เลี้ยงเอมแบบไหนครับ?”
“เลี้ยงแบบไหนคืออะไรอ่ะ? พี่ไม่เข้าใจ”

พี่โรมขมวดคิ้วงง เขาวางกระเป๋าหนังลงบนโต๊ะก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับนายก้องเกียรติ

“เวลาอยู่กับเอม เขาแบบ – เลี้ยงเอมเหมือนน้องน้อยไหมครับ?”
“จะว่าเหมือนก็เหมือนนะ แต่น้องน้อยของก้องคือแบบไหนอ่ะ?”
“ก็แบบ – ลูบหัว” ผมยกตัวอย่าง พยายามเลี่ยงไม่ให้พี่โรมจับได้ว่าเพื่อนของเขาเคยทำแบบไหนกับผมบ้าง “หอมแก้ม นั่งมองเอม”
“โอ๊ย ไม่ขนาดนั้น” พี่โรมหัวเราะ “มันก็โอ๋เอมแหละ แต่โอ๋แบบตามใจมากกว่า ไม่ได้เลี้ยงเหมือนน้องจ๋าอย่างที่ก้องคิด”
“อ๋อ ครับ”
“ก้องถามทำไมเหรอ?”
“อ๋อ – ผมเห็นรูปเอมนั่งตักพี่อู๋ก็เลยสงสัยครับ”
“ไหน รูปไหน?”

ไอ้ชิบหาย –

“ผมเห็นที่บ้านที่นครครับ ก็เลยสงสัยเฉยๆ เห็นเขาดูสนิทกัน”
“สนิทแหละ เอมสนิทกับอู๋มาก”
“เขาไม่เคยหอมแก้มเอมจริงๆเหรอครับ?”
“หอมมั้ง พี่ก็ไม่แน่ใจอ่ะ เวลาอยู่กับเพื่อนๆเอมไม่ค่อยอ้อนอู๋ให้เห็นเท่าไหร่”
“แล้วกับคุณหมูพีล่ะครับ?”
“พี่ไม่เคยเจอหมูพีตัวเป็นๆอ่ะ ก้องน่าจะลองถามตั้มนะ ไอ้ตั้มมันรู้ มันเป็นพยานรักให้ไอ้อู๋กับเมียตั้งแต่คบใหม่ๆนู่น”

ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ใครมันจะกล้าถามพี่ตั้ม ดังนั้นผมจึงตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าพี่อู๋ทำกับผมเหมือนทำกับเอมทิ้งไป พี่โรมยืนยันเองว่าเขาไม่ใช่ประเภทรักน้องโอ๋น้องขนาดนั้น แสดงว่าที่หอมแก้มนายก้องเกียรติวันก่อนต้องไม่ใช่เพราะเห็นผมเป็นเอมแน่ๆ

น่าแปลกที่ช่วงย้ายมาอยู่กับพี่อู๋ใหม่ๆ ผมไม่พอใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผู้ปกครองเก็บผมมาเลี้ยงแทนที่น้องชาย แต่หลังจากคืนนั้นผมอยากให้พี่อู๋รักผมแบบเอม อยากให้เขาทำลงไปเพราะเคยชินกับการมีเอมมากกว่า ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขา แต่ผมกลัววันหนึ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ผมกลัวว่าจะเสียพี่อู๋ไปเพราะเขาคือครอบครัวคนสุดท้าย ผมแค่อยากมีคุณอิศรินทร์อยู่ในชีวิตไปจนวันตาย ผมไม่อยากจากเขา ไม่อยากแยกกันเหมือนเขากับคุณหมูพี

ทันทีที่คุณครูสอนเปียโนกลับไป ผมก็นั่งทิ้งตัวบนโซฟาแบบเครียดๆ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนที่กวนใจ แต่เรื่องพี่อู๋เข้ามามีบทด้วย ถ้าถามว่าผมอยากให้เรื่องของเราจบลงยังไง ผมคงตอบได้ว่าจบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ทะเลาะ ไม่แยกกัน ไม่รังเกียจกัน นั่นต่างหากคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็น

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเก้านาที คุณอิศรินทร์กลับจากพานายไปทานข้าวกับลูกค้าที่พารากอน เขาเดินหน้ายิ้มๆเข้ามาจนผมรู้สึกไม่ดีที่พยายามผลักไสเขาให้กลับไปอยู่จุดเดิม พี่อู๋ถามผมว่าหิวไหม กินอะไรหรือยังด้วยความเป็นห่วงอย่างเช่นทุกที พอเห็นเขาดีกับผมขนาดนี้มันก็อดโกรธตัวเองไม่ได้

“พี่กินกับนายมาอิ่มแล้ว เดี๋ยวกินเป็นเพื่อนก้องอีกทีก็ได้”

พี่อู๋บอกอย่างอารมณ์ดี เขาเดินมานั่งข้างนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แล้วถามว่าเป็นอะไร อ่านหนังสือไม่ทันเหรอ หรือจะหยุดเรียนก่อนไหม ไว้สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจก็ได้ว่าจะเรียนต่อหรือเปล่า

“ผม – ผมแค่กลัวว่าจะสอบไม่ติด”

พี่อู๋บ่นว่าโอ๊ย ไม่ต้องคิดมาก เหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าจะเริ่มเดินสายสอบ ก้องยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับอ่านหนังสือ ไม่เห็นต้องกังวลเลย

“เอ้อ – พี่ลืมบอกว่าปีนี้เราจะไม่กลับใต้กันนะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“แม่กับป๊าพี่ แล้วก็ครอบครัวไอ้สามเสือจะพาแนไปเที่ยวพม่าอ่ะ แต่เราก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆนะ พี่จะพาก้องไปเชียงใหม่”
“เชียงใหม่?” ผมตาลุกวาว เอาไว้ก่อนหัวข้อดราม่า ตอนนี้ขอโฟกัสกับทริปพากอริลลาเที่ยวดีกว่า “เราจะไปเชียงใหม่กันสองคนเหรอครับ?”
“เปล่า ลูกพี่ลูกน้องพี่ไปด้วย”
“เบียดกันไปในวีออสเหรอครับ?”

พี่อู๋ส่ายหน้าแล้วบอกว่าต่างคนต่างไป เราจะขับวีออสไปกันสองคน ส่วนพวกเขาขับยาริสของพี่จีน คุณอิศรินทร์ถามต่อว่าจำคนที่ชื่อเจมส์ได้ไหม พอผมบอกว่าจำไม่ได้ เขาก็นึกออกว่าปีก่อนที่บ้านแน น้องชายที่ชื่อเจมส์กับจีนไม่ได้อยู่ด้วย เจมส์ไปวิ่งรถที่กระบี่ ส่วนจีนติดสอบก็เลยกลับมาเยี่ยมบ้านไม่ได้

“จีนเป็นน้องของเจมส์ แก่กว่าก้องหนึ่งปี ตอนนี้เรียนวิศวะที่เกษตรกำแพงแสน อยากรู้อะไรเกี่ยวกับวิศวะก็ถามจีนนะ ไอ้จีนมันคุยเก่ง”
“ไม่ต้องถามสมาร์ทแล้วเหรอครับ?”
“สมาร์ทก็ถามได้ แต่ที่พี่ให้ก้องคุยกับจีนเพราะไอ้สมาร์ทมันเป็นประเภทหัวกะทิ มันเก่งตั้งแต่เกิด ส่วนจีนเป็นประเภทได้ดีเพราะขยัน พี่ว่ามันน่าจะเข้าใจก้องมากกว่าสมาร์ท”

ผมพยักหน้า ถึงว่าหลังๆพี่อู๋ไม่ค่อยให้ผมโทรคุยกับสมาร์ทเลย ไม่ใช่ว่าสมาร์ทไม่ดี แต่สมาร์ทคือยอดพีระมิดที่ไม่น่าจะเข้าใจว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าเป็นพี่จีนที่หัวสมองธรรมดาน่าจะคุยกับกอริลลาก้องได้ดีกว่าอย่างที่เขาว่า

“ตื่นเต้นไหมจะได้เที่ยวเชียงใหม่?”

ผมยิ้มกว้างแทนคำตอบ ทุกครั้งที่รู้ว่าจะได้เที่ยวต่างจังหวัด หัวใจของกอริลลามันก็เริงร่าจนลืมคิดเรื่องอื่นทุกทีเพราะตั้งแต่เกิดมา ผมแทบไม่เคยได้ไปไหนไกล วันๆเดินทางแค่ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน มีออกไปเดินห้างกับเพื่อนบ้างนานๆที เหตุผลหลักคือเราไม่ค่อยมีเงิน แม่ก็ต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน ผมจึงไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือชวนแม่ไปไหน

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบหกนาที ผมนั่งทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ทำงานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ในห้องไม่มีเสียงพูดคุยถามไถ่เหมือนก่อนหน้า มีเพียงเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังต็อกแต็กกับเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือจากนายก้องเกียรติเท่านั้น

นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสี่สิบสองนาที พี่อู๋ปิดโน้ตบุ๊กและเตือนผมให้กินยานอนหลับเม็ดที่หนึ่ง ผมปิดหนังสือเรียนและแสร้งทำเป็นเดินเข้าห้องนอน แต่ผมไม่ได้กิน

นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าทุ่มห้าสิบนาที พี่อู๋เงยหน้าดูเวลาแล้วสั่งให้ผมกินยานอนหลับเม็ดที่สองเพราะกอริลลาก้องไม่มีวี่แววว่าจะหลับง่ายๆ ผมทำเหมือนเดิม เดินเข้าห้องไปขยำๆถุงยาให้พอเกิดเสียงแล้วเดินออกมาเล่นเปียโนข้างนอก ผมอวดเพลงใหม่ที่แอบซ้อมมาหลายวันให้เขาฟัง แค่เริ่มกดโน้ตไม่กี่ตัวคุณอิศรินทร์ก็ยิ้มกว้าง

涙の奥にゆらぐほほえみは
(รอยยิ้มที่สั่นไหวภายใต้น้ำตาของเธอ)

時の始めからの世界の約束
(คือคำสัญญาของโลกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา)

พี่อู๋ไม่เคยบอกว่าทำไมถึงชอบเพลง The Promise of The World แต่ผมแอบอ่านคำแปลในเน็ตมา ผมคิดว่าเอมน่าจะเคยเล่นเพลงนี้มาก่อน หรือไม่มันก็แค่เพลงความหมายดีๆที่ทำให้เขาคิดถึงน้องชายเท่านั้น

いまは一人でも明日は限りない
(ตอนนี้อยู่ตัวคนเดียว แต่วันพรุ่งนี้ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด)

あなたが教えてくれた夜にひそむやさしさ
(เธอได้สอนให้ฉันได้รู้ถึงความอ่อนโยนที่แอบซ่อนในยามค่ำคืน)

พี่อู๋น้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ เขาทำเป็นยกมือขึ้นมาเท้าคาง แต่ท่านั่งนั้นเหมือนแค่ต้องการปิดปากไม่ให้ผมเห็นว่ามันสั่นขนาดไหนมากกว่า


思い出のうちにあなたはいない
(เธอไม่ได้อยู่ในความทรงจำของฉัน)

せせらぎの歌にこの空の色に花の香りにいつまでも生きて
(แต่มีชีวิตอยู่ในบทเพลงของลำธาร ในสีของท้องฟ้าผืนนี้ และในกลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดไป)


ตอนที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง ผมหันไปหาผู้ปกครองโดยไม่คาดหวังคำชมอะไร แต่พี่อู๋กลับยิ้มหน้าบานด้วยความภูมิใจ ไม่มีคำว่าเก่ง เก่งมาก เยี่ยมมากหลุดจากปากของเขานอกจากรอยยิ้ม คุณอิศรินทร์ยิ้มอย่างนั้นอยู่อีกหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าให้ผม

“ขอบใจนะก้อง” เขาบอก กอริลลาจิตป่วยหัวใจพองโตยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยได้รับคำชม “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบเพลงนี้?”
“วันก่อนผมเปิดยูทูปเรียนภาษาอังกฤษ ในวิดีโอที่ถูกใจของพี่มีคลิปเพลงนี้เยอะมาก ผมก็เลยขอให้พี่โรมสอนให้” ผมอวดโน้ตเพลงให้ผู้ปกครองดู “เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังอีกชิ้นนะครับ อาจจะช้าหน่อยเพราะตอนวันเกิดพี่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจ ผมไม่กล้าเล่นเพราะกลัวมันออกมาไม่ดี”

พี่อู๋ยิ้มกว้างจนตาหยี สีหน้าของเขาดูภูมิใจ ดีใจ และมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่ผมเคยเห็น เขาบอกขอบใจก่อนจะขอให้นายก้องเกียรติเล่นให้ฟังอีกรอบ คราวนี้เขาอยากอัดคลิปเก็บไว้ดูคนเดียว วันไหนเซ็งๆเศร้าๆ วิดีโอกอริลลาเล่นเปียโนน่าจะช่วยได้ ผมจึงเล่นเพลงนี้ซ้ำเป็นหนที่สองเพื่อให้พี่อู๋ได้บันทึกเป็นความทรงจำเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ หลังเล่นจบเราก็เข้าห้องนอน ผมกระโดดขึ้นเตียง ดึงผ้านวมมาห่มและหาวโชว์ผู้ปกครองหนึ่งหน ส่วนพี่อู๋ยังมีเรื่องต้องทำ เขาก็เลยปลีกตัวไปนั่งทำงานข้างนอกจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับเข้ามาในห้อง

ตอนนั้นผมยังไม่หลับ ประสาทสัมผัสยังคงรับรู้ว่าพี่อู๋เดินไปไหนและทำอะไรบ้าง เขาเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำก่อนจะขึ้นมานั่งบนเตียงเพื่อเล่นโทรศัพท์อีกพักใหญ่ๆ ทีแรกผมคิดว่าคืนนี้คงจบลงโดยไม่มีอะไร แต่ผมคิดผิด เพราะก่อนล้มตัวลงนอน พี่อู๋โน้มตัวมาจูบหน้าผากผมเบาๆหนึ่งที หลังจากนั้นห้องก็เข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเช่นทุกคืนคือพี่อู๋หลับสนิท ส่วนนายก้องเกียรติหัวใจเต้นตึกตักเพราะเขาทำแบบนั้นอีกแล้ว




วันที่ยี่สิบห้าธันวาคม

พี่อู๋ไม่ได้พานายก้องเกียรติไปตักบาตรเหมือนปีก่อน ปีนี้เขามีงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นผมจึงฉลองวันเกิดของพระเยซูเพียงลำพังในห้อง วันนี้ผมอนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนเต็มที่หนึ่งวัน ผมจัดห้อง แต่งต้นคริสต์มาส ทำงานบ้านจิปาถะอื่นๆที่สะสมมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมไม่คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญหรือเซอร์ไพรส์เจ๋งๆจากผู้ปกครองเพราะรู้ว่าเขาเหนื่อย ถึงปากจะบอกว่า ไม่ ไม่หวัง ไม่ได้ตั้งตารออะไร แต่ลึกๆในใจผมหวังว่าพี่อู๋จะจำได้ หวังว่าเขาจะทำให้มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสี่สิบหกนาที พี่อู๋เปิดประตูบ้านเข้ามาโดยถือของพะรุงพะรัง หนึ่งในนั้นมีเค้กปอนด์ใหญ่สำหรับนายก้องเกียรติ มันเป็นเค้กสั่งทำพิเศษเลียนแบบเค้กที่แฮกริดทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคแรก ตอนเปิดกล่อง ผมร้องว้าวทันทีเพราะมันเหมือนมาก ครีมสีชมพูปาดแบบลวกๆขาดความประณีต ตัวอักษรสีเขียวเข้มบนหน้าเค้กก็เขียนด้วยลามือยึกยือเหมือนเด็กหัดเขียน เค้กกล่องนี้เหมือนเค้กของแฮร์รี่เปี๊ยบเลยครับ ผมบอกผู้ปกครอง พี่อู๋ยิ้มหวาน ดีใจที่นายก้องเกียรติจำได้ เขาปักเทียนสิบเก้าเล่มจนเต็มหน้าเค้กและจุดไฟ เราร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันสองคนในห้องมืดๆ พอเนื้อเพลงวรรคสุดท้ายจบลง ผมก็หลับตา อธิษฐานในใจว่าขอให้สอบเข้าได้แล้วเป่าเทียน

ตอนสี่ทุ่ม กอริลลาก้องกับคุณอิศรินทร์กินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมว่าเค้กกล่องนี้ต้องแพงมากแน่ๆเพราะรสสัมผัสแน่นมาก ช็อกโกแลตเข้มข้นสะใจ ส่วนครีมก็นุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานแสบคอจนเกินไป หลังกินเสร็จพี่อู๋ก็ส่งกล่องของขวัญลายสนู้ปปี้ให้ แกะดูข้างในเป็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่เหมาะสำหรับใส่หนังสือไปเรียน

“ขอบคุณครับ”

ผมกอดกระเป๋าพร้อมกับลูบๆคลำๆ เป้ใบนี้สวยและเท่มากเหมือนเป้ที่เด็กผู้ชายแถววรรณสรณ์ชอบใช้ พี่อู๋บอกว่าดีใจที่เห็นผมชอบ เขาคิดหนักมากว่าควรซื้ออะไรเพราะนายก้องเกียรติไม่แสดงออกว่าอยากได้ของชิ้นไหนเลย

“แค่ได้ฉลองกับพี่ ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว”

ผมยิ้มจนแก้มแทบปริก่อนจะเปิดซิปเพื่อสำรวจกระเป๋าใบใหม่ ด้านในกว้างมาก น่าจะใส่หนังสือได้หลายเล่ม ผมพลิกไปพลิกมาโดยไม่รู้ตัวว่าพี่อู๋กำลังจ้องอยู่ พอสำรวจจนพอใจนั่นแหละถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของผู้ปกครอง

และตอนนั้นผมถึงคิดได้ว่า –
ที่เป็นอยู่อย่างนี้มันดีมากแล้ว

ผมชอบเป็นฝ่ายถูกดูแล ชอบเป็นคนพิเศษที่ไม่เคยคลาดสายตาจากใคร ชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่อู๋เพราะเขาเติมเต็มส่วนที่ผมขาด พี่อู๋ดูแลผมดีมาก ดีมาก มากพอๆกับแม่ เขาใส่ใจวันพิเศษของผม เขาดูแลและมอบสิ่งดีๆให้กับผมเสมอ รวมถึงการหอมแก้มและจูบหน้าผากที่เขาแอบกระทำลับๆนั่นก็เหมือนกัน มันหมายความว่าเขามีความรู้สึกดีๆให้นายก้องเกียรติ ซึ่งหากคิดดูอีกทีแล้วมันไม่มีอะไรแย่เลย ไม่ซักนิด – ผมไม่ได้รังเกียจหรืออยากให้พี่อู๋เว้นระยะเพื่อความถูกต้อง

เพราะผมชอบที่เราเป็นแบบนี้

ในขณะที่เขามองหน้าและส่งยิ้มมาให้ ผมเองก็มีความสุขได้รับความรู้สึกดีๆจากเขาเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ผิด – ถ้ามันไม่ทำร้ายใคร –

ผม – ก็อยากจะมีความสุขกับคนที่ให้ความรักผมบ้างเหมือนกัน





วันที่ยี่สิบเจ็ดธันวา กอริลลาก้องเดินทางไปฉลองวันสิ้นปีถึงเชียงใหม่

ผมคิดว่าระยะทางจากกรุงเทพไปนครศรีธรรมราชว่าโหดแล้ว แต่กรุงเทพเชียงใหม่ก็ยาวไกลไม่แพ้กัน ก้นของผมชาด้านจนไม่เหลือความรู้สึก ถ้าไม่ได้แวะปั๊มน้ำมันหรือจอดกินข้าว ผมคงกลายเป็นคนตายด้าน หยิกขาจนเลือดซิบก็ไม่รู้สึกอะไรแน่ๆ

ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับครอบครัวพี่เจมส์คือตอนงานศพก๋ง ตอนนั้นเราไม่มีโอกาสคุยกันเพราะทุกคนมัวแต่ยุ่งกับพิธีการ ส่วนการพบกันครั้งที่สองคือตอนแวะกินข้าวที่จังหวัดกำแพงเพชร พวกเขามีกันสามคน พี่เจมส์ แฟนของพี่เจมส์ และพี่จีนผู้ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนของผมในภายหลัง ตอนกินข้าว ผมเกร็งแทบแย่เพราะไม่เคยเจอพี่เจมส์กับพี่จีนมาก่อน แต่คุยๆไปซักพักก็เริ่มหาหัวข้อที่สนใจร่วมกันได้ นั่นคือเรื่องเรียน

พี่จีนชอบเรียนหนังสือ

เขาหลงใหลการไขว่คว้าหาความรู้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเวลาผมพูดหรือถามอะไร เขามักจะตอบได้เกือบทุกอย่าง พี่จีนอาจไม่ใช่คนหัวดีแต่เกิด หรือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหมือนพวกสามเสือ แต่เขาคือต้นแบบของการพยายามจนสำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนคุยกับเขา ผมจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฐานต่ำสุดของพีระมิด ผมรู้สึกว่าเราเท่ากันจนสามารถเล่าความกากไม่เอาไหนของตัวเองให้เขาฟังได้

“คืองี้นะ วิศวะเนี่ย มันก็มีหลายสาย ตอนจะแอดก้องก็ต้องเลือกก่อนเลยว่าจบไปอยากทำงานอะไร ถ้ายังไม่รู้ก็เลือกที่ตัวเองถนัด ก้องชอบไฟฟ้า ชอบเคมี หรือชอบพวกคอมพิวเตอร์ ชอบทางไหนมากกว่ากันก็ลองตัดสินใจดู”

ผมนึกตามพี่จีนแต่ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ที่แน่ๆตัดวิศวะเคมีไปได้เลยเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด ถ้าให้เลือกในใจตอนนี้ผมเหลือสี่ช้อยส์ที่กำลังสนใจ หนึ่งเครื่องกล สองไฟฟ้า สามโยธา สี่ – อาจจะเป็นวัสดุ ไม่รู้สิ ผมยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่

ผมจึงขอให้พี่จีนแนะนำอุตสาหการที่กำลังเรียนอยู่ให้ฟัง เขาบอกว่าคร่าวๆเกี่ยวกับการควบคุมต้นทุนตั้งแต่เริ่มผลิตจนจบกระบวนการ สั้นๆคือมีไว้เพื่อซัพพอร์ตทุกแผนก ดูคอร์ส ดูต้นทุน ดูราคาที่โรงงานต้องจ่ายแล้วพยายามหาวิธีลดรายจ่ายนั้นเพื่อทำกำไร ผมเล่าให้พี่จีนฟังว่าเจ้านายของพี่อู๋ออกแบบเครื่องจักรได้ตั้งยี่สิบล้าน ถ้างานผลิตแนวนี้ต้องเรียนวิศวะอะไรดีครับ

“แมคคาทรอนิกส์เลยครบสุด เรียนทั้งไฟฟ้า เครื่องกล ทั้งคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จบออกมาทำงานโรงงาน เขียนแบบเครื่องจักร คุมเครื่องจักร หรือพวกยานยนต์ก็มีนะ”
“พี่จีนครับ ผมขอถามอะไรตรงๆอย่างหนึ่งสิ” ผมเกริ่นเรื่องที่อยากคุยด้วย “วิศวะเงินเดือนเยอะไหมครับ?”
“เยอะ ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทางอ่ะนะ บางบริษัทให้เงินเดือนสองหมื่นต้นๆก็จริงแต่ยังไม่รวมโอที ยังไม่รวมค่าทำงานในวันหยุดอีก ถ้าได้ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นด้วยนะ โอ้ย --” เขาถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้วยิ้มกว้าง “ร๊วย!”

ตาของนายก้องเกียรติกลายเป็นรูปตัวเอสเลย ผมแทบมองเห็นเงินปลิวลงมาจากฟ้าเมื่อพี่จีนบอกว่าวิศวะได้เงินเดือนดี แบบนี้ก็เข้าทางกอริลลาปากแห้ง ผมอยากได้งานดีๆเงินเยอะๆจะได้ใช้คืนพี่อู๋ไวๆ ผมโม้กับพี่จีนว่าถ้ามีเงินเดือนนะ ผมจะพาพี่อู๋ไปกินซูชิอิรัชชัยมาเสะเลย

“อิรัชชัยมาเสะอะไรวะ ไม่ใช่ฮาจิเมะเตะเหรอ?”

ผมไม่รู้เลยหันไปถามพี่อู๋ว่าซูชิแพงๆที่เราเคยดูในทีวีวันก่อนเรียกว่าอะไร คุณอิศรินทร์งงอยู่ครู่ใหญ่จนต้องอธิบายเพิ่มว่าซูชิแบบนั้นไง แบบที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไร ต้องให้เชฟจัดให้เท่านั้นอ่ะ

“โอมากาเสะรึเปล่า?”
“อันนั้นแหละ! ถ้าผมมีเงินนะ ผมจะพาพี่ไปกินโอมาโมเอะเอง!”

คุณอิศรินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาแล้วไล่ผมกับพี่จีนให้รีบไปซื้อขนมที่เซเว่นเพราะต้องออกเดินทางต่อ หลังได้คุยกันซักพัก ผมกับพี่จีนกลายมาเป็นเพื่อนคู่ซี้เฉพาะกิจ อาจจะเพราะเราอายุไล่เลี่ยกันและสนใจอะไรเหมือนๆกันถึงคุยกันถูกคอ เราสนิทกันเร็วถึงขั้นที่พี่จีนชวนผมให้ดูแคสเกมในยูทูปด้วยกันที่โรงแรม เมื่อการเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง ผมก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กระโดดขึ้นเตียงเพื่อนอนดู HOME SWEET HOME ของช่องซียูเยสเทอร์เดย์ อย่าลืมเป็นร้อนใน พูดตรงๆว่าในบรรดาพวกเราไม่มีใครกล้าเล่นเกมนี้เลย ผมกับเขาจึงนั่งดูแคสเกมในยูทูปเพื่อสปอยล์ตัวเองก่อน ถึงเวลาเล่นจริงๆจะได้ไม่กรี๊ดคอแตกทุกห้านาทีจนพี่อู๋ต้องลุกขึ้นมาแจกมะเหงกคนละหนึ่งที

จากตอนแรกที่นอนดูกันแค่สองก็กลายเป็นสาม คุณอิศรินทร์ผู้เก่งกล้าทนสงสัยเสียงกรี๊ดไม่ไหวจึงมาร่วมดูกับเราด้วย สรุปคืนนั้นพี่จีนกลัวจนไม่กล้ากลับห้อง เราสามคนต้องนอนเบียดกันบนเตียงคิงไซส์จนแทบไม่มีที่ว่าง แน่นอนว่าคนที่นอนตรงกลางไม่ใช่ใครนอกจากนายก้องเกียรติ และนายก้องเกียรติที่นอนเบียดผู้ปกครองคนนี้นี่แหละที่โดนฉวยโอกาสด้วยกอดหลวมๆจากคุณอิศรินทร์ตลอดทั้งคืน


ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
30 [PART 2/2]



วันที่ยี่สิบแปดธันวาคม พวกเราขับรถขึ้นดอยอินทนนท์เพื่อเลี่ยงรถติดช่วงปีใหม่

ผมแต่งตัวพร้อม เสื้อยืด เสื้อกันหนาว กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบและสะพายเป้ใบใหม่ที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันเกิด ส่วนพี่อู๋ก็แต่งตัวเหมือนๆกับผม เพิ่มเติมคือกล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวเพื่อบันทึกภาพสวยๆตามประสานักท่องเที่ยว เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะอยากเก็บแลนมาร์คให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมอ่านแผนที่ของพี่อู๋ด้วยความตื่นเต้น วันนี้เราจะแวะกิ่วแม่ปานด้วย ผมไม่รู้ว่ากิ่วแม่ปานคืออะไร เดาเอาว่าคงเป็นที่เที่ยวสวยๆชิคๆมีของอร่อยๆขาย หลังจากนั้นก็ไปจุดสูงสุดบนดอยอินทนนท์ แวะน้ำตก แวะตลาดก่อนกลับเข้าเมืองเพราะทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่อยากพักบนดอย อยากกลับมานอนสบายๆที่โรงแรมมากกว่า

นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบห้านาที เราเดินทางถึงกิ่วแม่ปาน ไม่มีใครเตือนว่าอุณหภูมิจะต่ำจนเหลือเลขตัวเดียว นายก้องเกียรติก็เลยเดินตัวงอเป็นกุ้ง พยายามเก็บทุกส่วนของร่างกายให้อยู่ใต้เสื้อผ้า ส่วนวิวทิวทัศน์รอบข้างมีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ และหมอก ผมยังไม่เห็นความสวยงามของที่นี่จนกระทั่งเริ่มออกเดินไปกับไกด์นำเที่ยว ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี แสงสีส้มกระจายเป็นวงกว้างเต็มท้องฟ้าตัดกับทะเลหมอกสีขาวและเงาสีดำของต้นไม้ใหญ่ ตรงขอบฟ้าเป็นแสงสีส้มนวล ส่วนท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้าสดเหมือนสีของผ้าใบ

“สวยเนอะ”

พี่อู๋พึมพำ เขากดถ่ายรูปหลายแชะก่อนจะออกเดินตามไกด์ไปยังเส้นทางชมธรรมชาติ เดินไปได้ซักพักก็เจอน้ำตก เราหยุดถ่ายรูปตรงนี้ประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะออกเดินต่อ ช่วงแรกของการเดินมีแต่ป่าเป็นส่วนใหญ่ มีต้นไม้ มีมอส มีเฟิร์น และพืชสีเขียวที่พบเห็นได้ทั่วไป ผมเดินข้างพี่อู๋ที่เริ่มหอบแฮ่กตามประสาคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เขาบ่นอุบอิบว่าถ้ามาเพื่อดูต้นไม้แบบนี้ นอนดูในทีวีก็ได้ ไม่เห็นต้องถ่างตาตื่นแต่เช้าเพื่อเดินให้เหนื่อย

ทีแรกผมเห็นด้วยกับพี่อู๋ ถ้าเรามาเพื่อเดินกินลมชมวิวเล่นๆ ผมคิดว่าป่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจพี่เจมส์ให้ขับรถมาถึงนี่เพื่อเจออากาศหนาวจนเกือบติดลบกับต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ แต่พอเดินไปซักพักจนพ้นป่า เราก็เจอกับทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ภูเขาสีเขียวเข้ม และท้องฟ้าสีน้ำเงิน ทั้งสามสีตัดกันอย่างลงตัว

“ตรงนี้เป็นสันเขา เดินระวังกันด้วยนะครับ”

พี่ไกด์บอก พี่อู๋จึงเดินประกบหลังนายก้องเกียรติเพราะกลัวกอริลลาที่กำลังหนาวจนตัวงอเป็นกุ้งจะกลิ้งหล่นลงไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมใครต่อใครถึงมากิ่วแม่ปาน ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าสวยจนไม่อยากเชื่อว่ามีอยู่จริง สวยเหมือนสวรรค์ที่เคยจินตนาการ สวยเหมือนภาพถ่ายในเว็บขายรูปบนอินเทอร์เน็ต ผมไม่รู้จะบรรยายความสวยนี้ยังไง เอาเป็นว่ามันสวยเหมือนอยู่ในฝันเลย

“ดูทะเลหมอกสิก้อง”

พี่อู๋กดถ่ายรูปอีกแชะ

“มองไม่เห็นข้างล่างเลยเนอะ” ผมชวนผู้ปกครองคุย “พี่อู๋ดูสิครับ มันขยับเหมือนคลื่นด้วย”

ทุกคนตื่นเต้นกับความสวยของธรรมชาติ แต่สำหรับผม กิ่วแม่ปานสวยก็จริงแต่หนาวเกินไป ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้มาก่อน พี่อู๋เองก็ดูไม่สบายตัว เขาเต้นแร้งเต้นกาเพื่ออบอุ่นร่างกายแทบจะตลอดเวลา คนเดียวที่ดูแฮปปี้กับการเดินทางน่าจะเป็นภรรยาของพี่เจมส์ ผมเห็นเธอถ่ายรูปบ่อย ถ่ายคนเดียวไม่พอยังส่งกล้องให้พี่เจมส์ถ่ายรูปอีก เธอโพสต์ท่าเก่งเหมือนเป็นนางแบบมืออาชีพ เอี้ยวตัวมองกล้อง แกล้งหัวเราะจนตาหยี ยิ้มหวานแบบเผลอๆ สารพัดท่าสวยๆเท่าที่เธอจะคิดได้ ส่วนนายก้องเกียรติกับผู้ปกครองได้แต่รูปยิ้มแหย อากาศหนาวขนาดนี้ จะให้ผมโพสต์ท่าเอวเอสจิกกล้องแตกก็คงเป็นไปไม่ได้

เรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิว คราวนี้พี่ไกด์ให้เราหยุดพักและถ่ายรูปเก็บภาพได้เต็มที่ พี่สะใภ้คนสวยจัดไปตามคำขอ เธอหมุนกระโปรง จับแก้ม ม้วนปลายผม ยิ้มหวาน มองล่าง มองหลุบ เธอโพสต์ทุกท่าจนพี่เจมส์บ่นรำคาญ ส่วนพี่จีนดูไม่ค่อยอินกับธรรมชาติเท่าไหร่ เขาเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดชมวิว พอพี่เจมส์ถามว่าถ่ายรูปกันไหม เขาก็บอกปัด ไม่สนใจ ไม่อยากทำอะไรนอกจากนอน ดังนั้นคนที่มีรูปถ่ายกลับบ้านจากทริปนี้จึงมีแค่พี่สะใภ้ นายก้องเกียรติ คุณอิศรินทร์ และพี่เจมส์เท่านั้น

ครอบครัวกอริลลาสองตัวผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน หน้าเบลอบ้าง หลุดโฟกัสบ้างไม่ว่ากัน ผมกับพี่อู๋อยู่ในโลกของตัวเองไม่ได้สนใจใคร เราคุยกันสองคน คอยชี้นั่นชี้นี่ให้ดู อุ๊ย นั่นดอกไม้ นั่นต้นไม้ นั่นทะเลหมอก นั่นๆพระอาทิตย์ โน่นท้องฟ้า โน่น – โน่น – โน่น --

“โน่นแน่ะนกเขาคู จุ๊กจุ๊กกรู นกมันเฝ้าคูหาชู้มัน”

พี่อู๋ร้องเพลงหน้าตาเฉย ส่วนนายก้องเกียรติไม่รับมุกจึงกดชัตเตอร์ต่อ พอไม่มีคนร้องด้วย คุณอิศรินทร์ก็ดัดเสียงสอง ร้องเองเล่นเองหน้าตาเฉย

“แน่ะใคร”

“ไหนใคร”

“โน่นไง แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่”

อืม – ถ้าสนุกก็ร้องต่อเลยครับ

“พี่เห็นมันเฝ้าหยอกเย้าต่อกัน”

“พี่ต้องเอาอย่างมัน”

“พี่จะเอาอย่างมัน”

ถ้าไม่ได้ยินท่อนก่อนหน้า ผมคงตีความไปในแง่ไม่ดีแน่ๆ

“ผมเกิดไม่ทันเพลงนี้อ่ะ”
“อุ๊ย ว้าย ดูซิคนตอแหล”
“ถึงจะเกิดไม่ทันแต่ผมรู้นะว่าเนื้อเพลงไม่มีท่อนนี้”

ผมมองคุณอิศรินทร์ยิ้มหยอกอย่างชอบใจ เราถ่ายรูปจนเบื่อถึงนั่งบนม้านั่ง พี่เจมส์ถูกพี่สะใภ้ใช้ให้เป็นตากล้องเหมือนในหนังอินเดีย วิ่งไปถ่ายกับอันนั้นที อันนี้ที พี่เจมส์ พี่เจมส์ ถ่ายเบลล์กับต้นหญ้าหน่อยสิ โถ่ เบลล์ จะไปถ่ายกับหญ้าทำไม แค่เขาบนหัวคนก็รู้ทั่วแล้วว่าเธอเป็นควาย

“คุยกับจีนเป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ ผมคิดไว้แล้วว่าจะยื่นสาขาไหน”

แล้วผมก็เล่าให้พี่อู๋ฟังถึงความสนใจของตัวเอง ตอนนี้มันยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ แต่ตั้งใจว่าจะเรียนแมคคาทรอนิกส์หรือไม่ก็เครื่องกลครับ ส่วนมหาลัยค่อยเลือกตอนรู้ผลคะแนน ถ้าออกมาดีอาจจะเลือกลาดกระบัง แต่ถ้าออกมาคาบลูกคาบดอก ผมคงต้องคิดอีกที

ผมบอกถึงความกังวลให้พี่อู๋ฟังด้วย ผมบอกเขาว่าเมื่อวานเปิดดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต มีคนบอกว่าแมคคาทรอนิกส์เป็นคณะที่เรียนเครื่องกล คอมพิวเตอร์ และไฟฟ้าแค่อย่างละนิดละหน่อย ไม่ได้รู้ลึกเท่าสาขาเฉพาะทาง ผมถามผู้ปกครองว่าควรเอายังไงดี มีคนบอกว่าเงินเดือนน้อย เริ่มต้นแค่หมื่นห้าเอง ผมกลัวว่าจะไม่พอกิน พี่อู๋ถามว่าพี่จีนแนะนำยังไง แมคคาทรอนิกส์ครับ ผมบอก พี่จีนแนะนำให้เรียนเเมคคาทรอนิกส์ ผมอยากรู้ว่าสมาร์ทจะแนะนำอะไร พี่ช่วยถามสมาร์ทให้หน่อยได้ไหมครับ พี่อู๋พยักหน้ารับทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์หาสมาร์ท อาจจะรอคำตอบนานหน่อย ไอ้สมาร์ทติดพีเอสพีมากกว่าโทรศัพท์เสียอีก

พอหมดเรื่องเรียน ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรอีกจึงเงียบไปพักใหญ่ ปล่อยให้เสียงพี่เบลล์ด่าพี่เจมส์ลอยแว่วมาตามลม ปล่อยให้เสียงเพลงจากหูฟังของพี่จีนดังเข้ามาคั่นกลางบรรยากาศระหว่างเรา พี่อู๋คงเห็นว่าการอยู่เงียบๆมันอึดอัดแปลกๆจึงเริ่มชวนคุย แต่คุยได้ไม่กี่คำก็เงียบอีกเพราะผมมีเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

“ช่วงนี้พี่เป็นไงบ้างครับ?”

ผมถามผู้ปกครอง คุณอิศรินทร์ตอบแค่ว่าดี ดี มีงานทำก็ดีจะได้มีเงินซื้อของฟุ่มเฟือย แต่ทำงานกับชิราอิชิซังก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน บางทีพี่อู๋ก็ไม่รู้ว่านายของเขาพูดจริงหรือพูดเล่น ประชดหรือหยอก ถ้าแกอารมณ์ดี ออฟฟิศก็ดีกันถ้วนหน้า แต่ถ้าวันไหนอารมณ์เสียแต่เช้า วันนั้นพี่อู๋เหมือนตกนรก ต้องเป็นนางรองกระโถนฟังเขาบ่นเขาด่าเขาสบถทั้งวัน คนในออฟฟิศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีจังที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้สึกเจ็บเวลาโดนด่า แต่คนรับผลกระทบตรงๆคือพี่อู๋ เขาฟังออกทุกคำ เขาแปลได้ทุกประโยค ทีนี้เวลาล่ามระหว่างนายกับวิศวะเขาต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน บางทีชิราอิชิซังด่าแรงเกินไป มึงโง่เหรอ มึงไม่ได้เรียนมาเหรอ เขาก็ต้องแปลใหม่ให้ซอฟต์กว่าเดิมเช่น นายถามว่ารู้เรื่อง NNN ไหม ไม่เข้าใจระบบ YYY เหรอ บางครั้งถ้ามันหยาบมาก พี่อู๋ก็ตัดทิ้ง ไม่แปล เพราะประสบการณ์สอนเขาว่าแปลทุกประโยคที่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งก็สร้างความชิบหายให้องค์กรได้เหมือนกัน

“ทำงานหนักขนาดนี้ พี่ไม่หาแฟนซักคนล่ะครับ?”

ผมพูดแกมหยอก แต่พี่อู๋ไม่ยิ้มเลย เขาดูหนักใจและจ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่จนนายก้องเกียรติเริ่มใจไม่ดี

“วันก่อนพี่หอมแก้มผม”
“อ้าว ตื่นอยู่เหรอ?”
“ครับ” ผมตอบ บรรยากาศอึดอัดเริ่มโรยตัวรอบๆเราแล้ว “พี่ – พี่อู๋ทำแบบนั้นทำไม?”

คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบในทันที เขาดูหนักใจไม่ต่างจากกอริลลาที่เป็นฝ่ายโดนขโมยหอมแก้มเท่าไหร่ ผมเดาเอาว่าในหัวของเขาคงมีคำแก้ตัวมากมายเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ให้เปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น พี่อู๋แค่เงียบครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าและบอกนายก้องเกียรติว่าเขารู้สึกยังไง

“พี่รู้ว่าพูดแบบนี้อาจจะทำให้ก้องกลัว”

ผมพยักหน้าบอกเขาเป็นเชิงว่าใช่ ผมกลัว การที่พี่บอกว่ารู้สึกยังไงกับกอริลลาทำให้ผมกลัวมากๆ พี่รู้ตัวไหมว่าพี่กำลังเอาความสัมพันธ์ดีๆของเราไปแขวนบนเส้นด้าย ถ้าพี่คิดเกินเลยกับผมเรื่องระหว่างเราอาจจบไม่สวย ซักวันหนึ่งพี่อาจไม่ชอบผม ผมอาจไม่ชอบพี่ แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้วผมไม่อยากตัดขาดจากพี่เลยเพราะพี่คือครอบครัว พี่คือคนสุดท้ายที่ผมอยากอยู่ด้วยจนวันตาย ผมเสียพี่ไม่ได้ พี่เข้าใจตรงนี้ไหมครับ

“ก้อง” พี่อู๋เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ชอบก้อง ชอบมากจนไม่รู้จะทำยังไง”

นายก้องเกียรติช็อคน้ำลายฟูมปาก

“รู้แบบนี้ – ก้องรังเกียจพี่ไหม?”

เหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ถูกแช่แข็งในอุณหภูมิติดลบจนไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับคุณอิศรินทร์ได้ ผมมองหน้าพี่อู๋ มองสีหน้าที่มีแต่ความกลัวและกังวลของเขาด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเรากลัวการล้ำเส้นมากแค่ไหน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่กลัว พี่อู๋เองก็กลัวเหมือนกัน

“แต่อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ” ผู้ปกครองยิ้มเจื่อนเมื่อนายก้องเกียรติไม่ให้คำตอบ ไม่ส่งสัญญาณว่าดีใจ เสียใจ หรือรังเกียจแต่อย่างใด “ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ทำเป็นว่าพี่ไม่เคยพูด --”
“พี่รู้ไหม ผมมีความสุขมากเลยนะที่ได้อยู่กับพี่” นายก้องเกียรติโพล่งออกไป คุณอิศรินทร์ที่กำลังหน้าเสียค่อยๆหันกลับมามองอย่างมีความหวัง “จริงๆผมก็รักพี่มากเหมือนกัน”
“แต่มันไม่ใช่แบบที่พี่รักก้องใช่ไหม?”
“ผมคิดว่าพี่อาจจะรักผมเหมือนเอม” พี่อู๋ส่ายหน้าเพื่อบอกว่ามันไม่ใช่ “พี่อาจจะสับสนเพราะผมเข้ามาตอนที่พี่เสียเอมไป”
“พี่ไม่ได้รักก้องแบบเอม ถ้าพี่เห็นก้องเป็นน้องเป็นนุ่ง ก้องจะอยู่ในจินตนาการของพี่ได้ไง”
“จินตนาการอะไรครับ?”

พี่อู๋อึกอักก่อนจะบอกว่าจินตนาการถึงอนาคตของเรา เขารู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันยากเพราะผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ใช่เกย์ ผมไม่เคยมองพี่อู๋ในแง่ชู้สาว ทำให้หลายๆครั้งเขาถอดใจยอมแพ้ แต่พอผมอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกแย่เพราะพี่อู๋ชอบผมมากจริงๆ ชอบจนไม่อยากเสียนายก้องเกียรติให้ใคร ไหนๆเราก็พูดเรื่องนี้แล้ว มาทำให้มันจบกันเถอะ ไม่ว่าผมตอบยังไง พี่อู๋ก็จะดูแลส่งเสียผมเหมือนเดิม

ผมควรดีใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่ยิ่งพี่อู๋ดีกับผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของตอนนี้คือการไม่ปฏิเสธความรู้สึกดีๆที่ผู้ปกครองหยิบยื่นให้ ผมบอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่จริงๆ แต่ผมมองพี่เป็นคนในครอบครัว ผมกลัวว่าถ้าเราข้ามเส้น วันหนึ่งเราจะเลิกกันเหมือนที่พี่เลิกกับคุณหมูพี ซึ่ง – ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมเสียแม่ไปแล้ว จะให้เสียพี่อีกคนไม่ได้ พี่รู้ใช่ไหมว่าผมไม่อยากโตคนเดียว ผมอยากมีพี่อยู่ด้วยทุกช่วงเวลาในชีวิต ทั้งตอนมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัย ตอนรับปริญญา ตอนแต่งงาน ตอนมีลูก หรือแม้แต่ตอนเจ็บป่วย ผมก็อยากมีพี่อยู่ข้างๆ อยากช่วยกันดูแลแบบนี้ตลอดไป

พี่อู๋เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ เขารู้ว่าการเริ่มคบกับใครซักคนเป็นเรื่องยาก และมันยากยิ่งกว่าสองเท่าหากคนคนั้นเป็นเกย์ เขารู้ว่าผมเป็นเด็กดี รู้ว่าผมคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ เอาเป็นว่ามันไม่ใช่ความผิดก้องหรอก พี่ผิดเองแหละที่ไม่ระวัง ถ้าก้องไม่ตื่น เราก็คงไม่ต้องอึดอัดแบบนี้

“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปครับ?”
“ก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ”
“แต่ผมอยู่ไม่ได้ มันมาไกลเกินไปแล้ว”
“ก้องอยากให้พี่ทำยังไงล่ะ?”
“พี่อยากให้มันเป็นแบบไหนล่ะครับ?”

ผมถามย้อนเพราะตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ ผมจะให้คำตอบยังไงในเมื่อผมชอบพี่อู๋นะ ผมไม่ได้รังเกียจเขา ผมรักเขาเหมือนคนในครอบครัว แต่ถามว่าจะให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อไปในแบบพี่น้องก็คงไม่ใช่ พี่อู๋หอมแก้มผม กอดผม ทำเหมือนผมเป็นคุณหมูพีซึ่งไม่มีพี่น้องบ้านไหนทำกัน เขาต้องทำให้มันเคลียร์ ส่วนเคลียร์แบบไหน ก็ให้พี่อู๋ตัดสินใจดีกว่า

“พี่อยากเป็นแฟนก้อง”

อมก

“แต่พี่รู้ว่าก้องกลัว”
“ผมกลัว แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจตอนพี่หอมแก้มนะ” ผมบอกความจริงเพื่อให้พี่อู๋สบายใจ “พี่ – แอบทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว”
“ไม่ได้จะโกหกว่าไม่เคยนะ แต่มันหลายคืนมาก”

อมก x 2

“พี่แอบทำอย่างอื่นที่ผมไม่รู้อีกไหม?”
“ก็ – พี่เคยหอมก้องตรงนี้” เขายื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผม “ตรงนี้ --” จิ้มหน้าผาก “ตรงนี้ด้วย” เลื่อนมาจิ้มคอ “มือพี่ก็เคยหอม”
“โรคจิตนะพี่อ่ะ”
“โรคจิตยังไงวะ?”
“แอบทำตอนผมหลับไง”

พี่อู๋หัวเราะชอบใจ เขาคงมองเป็นเรื่องน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่สำหรับนายก้องเกียรติ มันน่ากลัวมากนะที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเคยโดนขโมยหอมไปกี่ครั้งและตรงไหนบ้าง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่พร้อมโดนฉวยโอกาสตลอดเวลา และมันไม่ใช่สิ่งที่ผมมองหาในความสัมพันธ์

“หอมตอนตื่นพี่ก็โดนตีนสิ”

ผมไม่ปฏิเสธเพราะพี่อู๋จะโดนมากกว่าตีนอีกถ้าเขาล่วงเกินผมโดยไม่สมัครใจ ผมบอกพี่อู๋ว่าเรื่องถูกเนื้อต้องตัวของเวลาอีกนิดได้ไหม ผมดีใจนะที่พี่รู้สึกดีๆกับลิงอย่างผม แต่อย่างน้อยขอให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ผมกลัวพี่หยุดตัวเองไม่ได้แล้วมันจะเลยเถิด

“เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะที่เคยแอบหอมแก้มก้อง ต่อไปนี้พี่จะขออนุญาตก่อน”
“แต่ผมจะอนุญาตไหมก็อีกเรื่องนะ”

ผมขู่ แต่พี่อู๋คงไม่เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของกอริลลาก้องเท่าไหร่ พอไม่รู้จะคุยอะไรเราก็กลับมาเงียบใส่กันเหมือนเดิม สรุปที่พูดไปทั้งหมดก็ยังไม่ชัดเจน เคลียร์อยู่เรื่องเดียวคือห้ามแอบลักหลับนายก้องเกียรติ ส่วนความสัมพันธ์จะเป็นยังไง พี่อู๋ยังไม่พูด

“แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆเหรอ?”

คุณอิศรินทร์เป็นฝ่ายถาม เขาคงรู้สึกเหมือนกันว่ามันยังไม่เคลียร์

“เอาเป็นว่าผมรักพี่ พี่ชอบผม เราต่างรู้สึกดีๆให้กัน”
“ตกลงก้องรังเกียจพี่ไหม?”
“ผมไม่ได้รังเกียจพี่”
“งั้น – ถ้าพี่ขอจีบก้องให้เป็นเรื่องเป็นราว ก้องจะว่ายังไง?”

ผมเหวอเมื่อได้ยินคำว่าจีบ จีบ? จีบเนี่ยนะ จีบไอ้กอริลลาเนี่ยนะ ถามจริงเถอะพี่อู๋ ผมมีอะไรที่พี่สนใจเหรอ หน้าตาก็บ้านๆ ตัวมอมแมม หนวดขึ้นไม่เป็นทรง เรียนก็งั้นๆ กากๆเกินๆ เทียบคุณหมูพีแฟนเก่าของพี่ไม่ได้ซักนิด

“พี่ชอบที่ก้องจิตใจดี”

แหม เหมือนนิยายเลย

“ชอบที่เราอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่ค่อยทะเลากัน”
“พี่ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเรียนพิเศษใหม่ๆ พี่ด่าจนผมร้องไห้ในรถ”
“ก็นานๆทีไง”

พี่อู๋ยิ้มแฉ่ง ครับ นานๆที แต่ทะเลาะกันทีก็บ้านแตก ขึ้นมึงขึ้นกู ไล่ออกจากบ้าน ด่าสารพัด มีการบอกว่ามึงตาย มึงตายแน่ ด้วยนะ

“แล้วพี่จะจีบผมยังไง?”
“บอกไปก็รู้ไต๋หมดดิ ของแบบนี้เขาไม่บอกกัน”
“ผมจีบยากนะ ผมไม่เคยมีแฟน ผมไม่เคยชอบใคร”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“สรุป – เราจะอยู่กันมึนๆต่อไปใช่ไหมครับ?” ผมถามผู้ปกครอง พี่อู๋พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาบอกว่าผมน่ะ อยู่แบบมึนๆ ส่วนเขาชัดเจนแล้วว่าจะทำยังไงต่อ
“จีบไม่ติดก็เป็นพี่น้อง แต่ถ้าก้องชอบพี่เมื่อไหร่ เราเป็นแฟนกันนะ”

ผมปั้นสีหน้าไม่ถูก จึงได้แต่บอกว่าครับๆ เอาที่พี่สบายใจเนอะ งั้นตกลงว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นความสัมพันธ์ที่ยังไม่ใช่แฟน แต่ก็จะไม่หยุดแค่ผู้ปกครองกับเด็กในการดูแล ผมเข้าใจถูกไหม พี่อู๋ยิ้มกว้างและบอกว่าใช่ มันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เขาจะทำให้ผมรักเขาหัวปักหัวปำเลยคอยดู




TBC





_________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้



Happy Monday ค่า heart​

ช่วงนี้ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับนิยาย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดเยอะมากๆค่ะ

ไม่รู้ว่าขอมากไปไหม แต่ช่วยสนับสนุนนิยายเรื่องนี้จนออกมาเป็นรูปเล่มด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ;-;



ส่วนเพลงที่น้องก้องเล่นให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังพี่อู๋ชื่อว่า The Promise of The World นะคะ

หากพี่จ๋าสนใจ สามารถกดฟังได้ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=tLVDOTq5Vc0&

สุดท้ายอยากขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

พบกันใหม่วันจันทร์หน้า สวัสดีค่า







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2019 22:18:58 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เขินตัวจะแตกเลยน้องก้องงงง พี่อู๋ดีอะไรแบบนี้รักๆๆ เรื่องสาขาที่เรียนบอกก้องเลยนะว่าหนีปายยยยย โปรเจคจบกำลังทำให้พี่กลายเป็นกอลิลล่า กำลังใจหนึ่งเดียวคือตื่นมารีเฟรชหน้านิยายทุกวัน555 ขอบคุณคนเขียนนะคะสนุกมากๆ :L1:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
บทพี่อู๋จะพูดตรงก็ตรงจนรู้สึกเศร้าแทนพี่อู๋เลยตอนน้องก้องปฏิเสธ แต่ดีใจที่ก้องปฏิเสธเพราะก้องไม่ได้รู้สึกกับพี่อู๋มากกว่าพี่เลย และไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าที่ต้องชอบพี่อู๋เพราะเกรงใจหรือเพราะความดีอะไรนั่นด้วย

พี่อู๋ เพราะฉะนั้นพี่ต้องจีบน้องก้องดีๆ ได้แล้ว ห้ามด่าก้องอีก แล้วเราจะเอาใจช่วยนะ

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โอ้ววว เข้าที่เข้าทางซะที :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โหห พี่อู๋ ไม่ใช่แค่หอมแก้ม ยังมีหอมมือ หน้าผาก และคอ และยิ่งกว่านั้นเนียนกอดน้อง โคตรเนียน ทำมาตั้งนาน คนร้ายอยู่ตรงนี้ค่ะคุณตำรวจ 55555555555555555555555

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอให้น้องก้องเลิกช็อคโดยเร็ววัน แม่ๆรอฉากกุ๊กกิ๊กกิ๊บกิ้วของพวเธออยู่นะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โถ พี่อู๋ จะจีบน้องยังไงละเนี่ย  :o8:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อมก..... คือไร

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 สารภาพความในใจกันเฉย ยังดีนะคุยกันดีๆนึกว่าจะทะเลาะกันซะแล้ว เอาใจช่วยพี่อู๋ให้จีบติดไวๆ จะได้ไม่ต้องลักหลับอีก :hao6:

ออฟไลน์ febusapollo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
พี่อู๋เครื่องติดแล้ว แงง  ก้องเปิดใจให้พี่เขาด้วยนะ พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่อแล้ว 55555
ชอบตอนที่พี่อู๋บอกว่าชอบก้องมากจนไม่รู้จะทำยังไง เห็นใจและเข้าใจเลย สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ยินดีกับพี่อู๋ล่วงหน้าเลยแล้วกัน นายก้องไปไหนไม่รอดแน่

ออฟไลน์ Kimmoominn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอาจริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ อยากรู้จังว่าพี่อู๋เริ่มรู้ตัวว่ารักน้องตอนไหน ต่อไปก็ดูแลกันดีๆ จีบกันดีๆ นะ อย่าทะเลาะกันอีกล่ะ เพราะทะเลาะกันแต่ละทีก็เหมือนระเบิดลงที รุนแรงเหลือเกิน 5555

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
รอฉากกุ้กกิ้กๆๆๆ อิ้อิ้

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ชอบอ่ะ.. ลุ้นเรยย.. :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
รอดูพี่อู๋จีบก้องอย่างเปิดเผย เพราะที่ผ่านมาจีบอยู่แต่ก้องไม่รู้ 555555

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เป็นนิยายที่ลุ้นให้ความสัมพันธ์ดีตลอดรอดฝั่ง คือตั้งแต่อ่านนิยายมาไม่เคยมีเรื่องไหนลุ้นเท่าเรื่องนี้มาก่อน  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ dezzetoeiiz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :laugh: #พี่อู๋ไม่อยากเป็นพ่อแล้ว พออ่านตอนนี้บรรยากาศดี๊ดี 2 ปีแล้วที่คู่นี้ฉลองปีใหม่ด้วยกันเนอะ ขอให้น้องก้องสอบเข้ามหาลัยได้ เจอเพื่อนเจอฝูงให้รู้สึกได้มีสังคมอื่นนอกจากพี่อู๋ เผื่อจะเข้าใจความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ บางทีเราก็ต้องก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนเนอะ อยากให้ก้องคิดตก เราไม่อยากให้พี่อู๋นก55555

เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ ถ้าออกเล่มจะ +1 แน่นอนนน

ออฟไลน์ KXXM04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แฮปปี้ซะที ฮอลลล /หาวิธีเม้นท์ในเล้านานมากT.T

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
31 [PART 1/2]

พี่อู๋จีบผมยังไงไม่รู้ ที่รู้ๆคือไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม

ตื่นนอนก็เจอหน้ากัน กินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน ตอนเปิดประตูบ้านเขาก็ถามด้วยประโยคเดิมๆว่าหิวไหม กินอะไรหรือยัง วันนี้เป็นไงบ้างทำโจทย์ผิดเยอะไหม มีตรงไหนไม่เข้าใจแล้วอยากเรียนพิเศษเพิ่มหรือเปล่า สั้นๆคือมันเหมือนเดิม ไม่มีเพิ่มขึ้น ไม่มีแย่ลง หรือจริงๆพี่อู๋จีบมานานแล้วแค่ผมไม่รู้ แต่จะบอกว่าจีบก็ไม่ได้เพราะปกติมันต้องมีช่วงโปรโมชั่น พาไปกินข้าวดูหนังเหมือนที่เพื่อนผมเคยจีบสาวสมัยมอต้น ส่วนพี่อู๋ไม่เคยมีช่วงโปรกระหน่ำให้นายก้องเกียรติเลย ไม่รู้ว่าเขาทำงานจนไม่มีเวลา หรือทุกอย่างที่ทำประจำมันชัดเจนอยู่แล้วจนไม่ต้องหาโปรเสริมเพื่อซื้อใจเด็กกันแน่

ผมใช้ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อเตรียมตัวสอบจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ สนามแรกของผมคือแกทแพท หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็สอบโอเน็ต ซึ่งทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ผมพอทำได้ในส่วนของวิชาคำนวณ แต่วิชาสามัญอย่างเคมี ชีวะ สังคมและภาษาอังกฤษค่อนข้างยากเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องชวนหงุดหงิดโมโหที่ทำให้ผมอารมณ์เสียไปหลายสัปดาห์ นั่นคือเรื่องเงิน ผมเก็บกด อึดอัด และรู้สึกถูกทอดทิ้งเพราะระบบการศึกษาของประเทศนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคนไม่มีเงินอย่างกอริลลาก้องเลย

การจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยของรัฐ ที่ต้องจ่ายแน่ๆคือค่าสอบแกทแพทตัวละหนึ่งร้อยสี่สิบบาท ในเมื่อผมอยากเรียนวิศวะ ผมต้องสอบแพทสามด้วยรวมเป็นเงินห้าร้อยหกสิบบาท ใน TCAS รอบรับตรง นอกจากแกทแพทแล้วบางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ยื่นคะแนนวิชาสามัญ หากผมอยากมีตัวเลือกเยอะๆก็ต้องสอบคณิตหนึ่ง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ ซึ่งคิดค่าสอบวิชาละหนึ่งร้อยบาทรวมเป็นเจ็ดร้อยบาท หากรวมกับแกทแพทอีกสี่ตัวด้านบนจะเป็นเงินทั้งหมด – หนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท

ตั้งหนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท

ไอ้หน้าเงิน

ใครก็ตามที่คิดระบบจุกจิกนี่ขึ้นมา ขอให้รู้ไว้เถอะว่ามันสร้างความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กที่ไม่มีตัวเลือกอย่างผม ถ้าสมมติว่าผมโชคร้ายไม่ได้เจอพี่อู๋ ไม่มีเงินติดตัวห้าร้อยบาทจากลุงชัย ไม่มีติ๊บจากแนและเงินกินขนมจากคุณย่า คิดว่าผมจะหาเงินจากไหนไปสมัครสอบ ยัง – ยังไม่จบแค่นี้ ทั้งๆที่จ่ายค่าสมัครสอบแล้ว ผมยังต้องจ่ายค่าเลือกอันดับอีกหกตัวตัวละหนึ่งร้อยบาท รวมค่าดำเนินการอีกห้าสิบบาทรวมเป็นหกร้อยห้าสิบ เมื่อรวมกับค่าสมัครสอบหนึ่งพันสองร้อยหกสิบบาท เท่ากับว่า TCAS รอบรับตรง นายก้องเกียรติต้องจ่ายเงินทั้งหมด –

หนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาท

เงินหนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาทที่ต้องจ่ายเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย

อย่างที่บอกไปว่าโชคดีที่นายก้องเกียรติมีพี่อู๋ เงินหนึ่งพันเก้าร้อยสิบบาทจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเด็กกำพร้าอย่างผม แต่มองในมุมกลับกัน เด็กคนอื่นๆที่ไม่มีเงินมากพอก็เท่ากับว่าแทบไม่มีตัวเลือกเยอะๆ ยังดีที่ผมรู้ตัวว่าเรียนหมอไม่ได้ เพราะถ้าอยากเรียนหมอจริงๆ ต้องจ่ายค่าความถนัดแพทย์อีกแปดร้อยบาท ซึ่งพูดกันตามตรงนะ ประเทศนี้มันเหมาะกับคนมีอันจะกิน พวกไร้พ่อแม่ ไร้เงินสนับสนุนจากทางบ้านแบบผมไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากหรอก

สรุปว่าไอ้ระบอบส้นตีนนี่มันออกแบบมาเพื่อใครวะ ในเมื่อมันไม่เอื้อกับอนาคตของชาติแล้วจะสร้างมาเพื่ออะไร ผมล่ะโมโหจริงๆ

ผมคับแค้นกับความอยุติธรรมของประเทศนี้เป็นวันๆ ที่แค้นเพราะเงินส่วนตัวไม่พอกับการสมัครสอบ ผมต้องคลานเข่าเข้าไปหาพี่อู๋ ต้องกราบลงบนตักเขาเพื่อบอกว่าขอยืมเงินไปจ่ายค่าเลือกอันดับได้ไหมครับ ผมขาดอีกเจ็ดร้อย ผมอยากเลือกหกอันดับไว้เผื่อร่วงจริงๆ ซึ่งพี่อู๋ก็ใจป๋ากระเป๋าหนาเหมือนเดิม เขาให้เงินมาสองพันไปจัดการเรื่องสอบให้เรียบร้อยโดยไม่ถามซักคำว่าทำไมต้องใช้เงินเยอะ แต่พอรู้ตอนหลังว่าระบอบมันเก็บเงินเด็กทุกด่าน พี่อู๋นี่แหละกลายเป็นเครื่องจักรด่าระบอบการศึกษา เราเคยกินข้าวไปด่าไป ด่า ด่า ด่า ด่าถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ด่าหน่วยงาน ด่ากระทรวง ด่าพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ช่วยเหลือเด็กยากจน ด่าลามไปถึงรัฐบาลทหารจนผมต้องบอกว่าพอก่อน เผื่อข้างห้องได้ยิน เดี๋ยวเราจะได้ไปค่ายทหารแทนมหาวิทยาลัย

หลังหมดเทศกาลสอบ กอริลลาก้องที่เครียดมาตลอดหลายเดือนก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับผู้ปกครองอยู่เกือบเดือน แต่เพิ่งกลับมาเครียดอีกครั้งตอนเลือกมหาวิทยาลัยรอบรับตรง ผมมีโอกาสเลือกแค่หกอันดับ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคณะวิศวะที่อยากเรียน แต่ความยากของการเลือกคือเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน อย่างจุฬาใช้แค่แกท แพทหนึ่งและแพทสาม เกษตรศาสตร์ใช้แกท แพทหนึ่ง แพทสามและโอเน็ตภาษาอังกฤษซึ่งมีข้อแม้อีกว่าแกทแพทต้องได้คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่วนมอขอนแก่นใช้วิชาสามัญสี่ตัว ดังนั้นจะเลือกแต่ละอันดับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ผมปรึกษาพี่อู๋ว่าควรเลือกที่ไหนดี คะแนนแกทแพทของผมเกินค่าเฉลี่ยก็จริงแต่ไม่รู้ว่ามากพอจะเข้าจุฬา เกษตร หรือลาดกระบังไหม พี่อู๋แนะนำให้วางจุฬาไว้บนสุด ส่วนอันดับอื่นๆค่อยๆไล่คะแนนจากสูงไปต่ำ แต่ก็ต้องเรียงตามมอที่อยากเรียนด้วย ไม่ใช่ว่าอยากเรียนลาดกระบังเหมือนสมาร์ทแต่เลือกไว้อันดับท้ายๆเพราะคิดว่าคงพลาดอันดับต้นๆ เผื่อฟลุ๊กติดอันดับบนขึ้นมาอดเลยนะลาดกระบัง ต้องเรียนที่ที่สอบได้แทน

ดังนั้นอันดับหนึ่งของ TCAS รอบที่ 3 ของนายก้องเกียรติคือวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อีกห้าอันดับคือเกษตรศาตร์ ธรรมศาสตร์ และวิศวะสามพระจอม

ผมไม่ค่อยมั่นใจคะแนนที่มีอยู่ในมือเท่าไหร่ แต่คนเราถ้าไม่ลองเสี่ยงก็ไม่รู้นี่จริงไหม ดังนั้นสิ่งที่นายก้องเกียรติทำได้มีแค่สวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญสติภาวนาเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองสอบได้ ช่วงสิบวันว่างๆ ผมจึงพยายามหาความสุขใส่ตัวเองพร้อมกับจินตนาการถึงอนาคตอันแสนหวาน ผมคุยกับพี่อู๋ทุกวันว่าถ้าได้จุฬาจริงๆเขาจะดีใจไหม พี่อู๋ตอบยิ้มๆว่าดีใจ ก้องได้ที่ไหนพี่ก็ดีใจทั้งนั้น

พอไม่มีคนคอยเบรก ผมยิ่งเพ้อเจ้อไปใหญ่ ผมคิดไกลถึงขนาดเห็นตัวเองสวมชุดครุยสีขาวของจุฬา เห็นภาพตัวเองเป็นวิศวกรเก่งๆที่ทำเงินได้เดือนละหกหลัก ถ้าทุกอย่างเป็นจริงนะ ผมจะคืนเงินให้พี่อู๋ก่อนเลย หลังจากนั้นก็จะตอบแทนบุญคุณของพี่อู๋ด้วยการซื้อของดีๆให้เขา พาไปกินของแพงของอร่อยในห้าง ชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนที่คนรวยๆเขาทำกัน ผมกับเขา — เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ควรเป็น

ตลอดสิบวันที่รอผลสอบมีทั้งความกระวนกระวายและอารมณ์ฟุ้งๆชวนฝัน นายก้องเกียรติมัวแต่หมกมุ่นกับโลกใหม่สวยงามของตัวเองจนไม่ทันได้เตรียมใจ ดังนั้นวันที่ผล TCAS รอบ 3 ประกาศ ผมจึงล้มทั้งยืน เพราะทั้งหกอันดับที่ยื่นไม่มีที่ไหนต้อนรับผมเลย





ผมร้องจนเหนื่อยตั้งแต่ก่อนพี่อู๋เลิกงาน แต่พอคุณอิศรินทร์เปิดประตูเข้ามาในบ้าน ผมก็ร้องไห้อีก

พี่อู๋คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เผลอๆเขารู้ตั้งแต่วันที่ผมเพ้อเจ้อแล้วว่าหกอันดับที่เลือกมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นตอนที่คิดได้ ผมจึงคุกเข่ากราบเท้าขอโทษพี่อู๋ คุณอิศรินทร์ตกใจใหญ่เลยที่จู่ๆผมก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย เขาถามว่ากราบเขาทำไม ขอโทษเขาทำไม ผมจึงบอกว่าเพราะผมสอบเข้าที่ไหนไม่ได้ เงินก้อนของพี่สูญเปล่าแล้ว TCAS รอบ 3 คะแนนของผมไม่ถึงที่ไหนเลย

“แต่มันยังมีรอบสี่ไม่ใช่เหรอก้อง?”

พี่อู๋พยายามทำหน้าที่ผู้ปกครองที่ดีด้วยการให้กำลังใจแต่ไม่มีอะไรช่วยได้ ผมกอดขาเขาแล้วร้องไห้นานเป็นชั่วโมงจนพี่อู๋ไม่ได้กินข้าว ผมเอาแต่ร้อง ร้อง ร้องจนงีบหลับบนโซฟา ตื่นมาเห็นพี่อู๋กินมาม่าก็ร้องอีก จริงอยู่ที่คุณอิศรินทร์ไม่ด่าไม่ว่าซักคำที่ทำพลาด แต่จิตสำนึกตอกย้ำตลอดว่ามึงมันห่วยแตก ขนาดเรียนพิเศษก็ยังได้คะแนนไม่ดีเหมือนคนอื่น ขนาดมีเวลาอ่านหนังสือวันละเจ็ดแปดชั่วโมงก็ยังแพ้รุ่นน้องที่ต้องแบ่งเวลาไปโรงเรียน ผมนี่มันโง่จริงๆ มีต้นทุนมากกว่าคนอื่นแท้ๆแต่ยังประสบความสำเร็จไม่ได้

“ก้องฟังพี่นะ – มันยังมีโอกาสอีกรอบ ก้องไม่ต้องเสียใจ”

พี่อู๋เช็ดน้ำตาให้ เขาแสดงออกว่าเป็นห่วงผมมากเพราะพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงาน ส่วนกอริลลาขี้แพ้ต้องอยู่ห้องคนเดียวกับใจพังๆที่ไม่น่าจะเข้มแข็งเร็วๆนี้ ยังดีที่คุณอิศรินทร์ไม่เอาแต่พูดว่าก้องทำได้ ก้องสู้ๆ แต่เขาต่อสายตรงหาลูกพี่ลูกน้องที่เรียนวิศวะลาดกระบังให้ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ เขาให้ผมคุยกับสมาร์ทเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจโดยลืมไปว่าน้องชายเขาคนนี้มันเป็นอัจฉริยะมาเกิด สมาร์ทกับผมไม่เท่ากัน

“ร้องไห้ทำไม ไร้สาระน่า” สมาร์ทปลอบแบบฮาร์ดคอร์ แต่นายก้องเกียรติก็ยังร้องสะอื้นพูดไม่รู้เรื่องอยู่ดี “เพื่อนเราหลุดรอบรับตรงตั้งหลายคน เพิ่งมาได้ตอนโค้งสุดท้ายนี่เอง”
“สมาร์ทได้รอบสามหรือรอบสี่?”
“เราแอดมิชชั่นรุ่นสุดท้าย TCAS เริ่มใช้หลังรุ่นเรา”

ผมร้องไห้ใส่โทรศัพท์ รู้สึกซวยจริงๆที่ซิ่วมาเจอระบอบใหม่ปีนี้

“แต่เราก็ไม่ติดรับตรงจุฬาเหมือนกันนะ”
“แล้วมออื่นที่เคยยื่นไปอ่ะ?”
“ติดหมด”

ผมปล่อยโฮหนักกว่าเดิมแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครองเพื่อหนีไปฟุบหน้าฟูมฟายกับโซฟาต่อ สมาร์ทรีบอธิบายใหญ่เลยว่า TCAS มันรวมจำนวนเก้าอี้รับตรงทั้งหมดมาคัดรอบเดียว ไม่แปลกที่คะแนนจะสูงลิ่วจนผมเข้าไม่ได้ ส่วนปีของเขามันต้องสมัครเองแต่ละมหาวิทยาลัย สมาร์ทก็เลยติดหลายที่เพราะการแข่งขันไม่เข้มข้นเท่า TCAS ที่เด็กเก่งๆมาโบ้มรอบเดียวกัน


“มันไม่ใช่ว่าติดกี่ที่ ปัญหาคือเราไม่ติดซักที่ไง” ผมอธิบายไปสะอื้นไป
“แล้วไง สอบติดแปลว่าให้กำลังใจคนที่ไม่ติดไม่ได้เหรอ?”

พอเถอะ ผมไม่อยากคุยกับสมาร์ทแล้ว เขาเก่งเกินไป เขามันยอดพีรามิดที่ผมไม่มีวันขึ้นไปได้ สมาร์ทเองก็คงเข้าใจว่าผมไม่อยู่ในภาวะรับฟังอะไรก็เลยยอมวางสายก่อน พอเห็นกอริลลาซึมหนักกว่าเดิมเขาจึงกดโทรหาพี่จีน และพี่จีนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาหัวเราะก๊ากใส่โทรศัพท์แล้วบอกว่าเลือกอันดับมั่นโหนกแบบนั้น ติดก็บ้าแล้ว

“มึงเลือกจุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตร แล้วก็สามพระจอมเลยเหรอก้อง?” เขายังคงหัวเราะในขณะที่ผมร้องไห้จะเป็นจะตาย “ไอ้ควาย”

เออ ผมมันควาย ผมมันโง่ที่สอบเข้าไม่ได้

“รอบรับตรงยากอยู่แล้วเพราะมันถูกรวบยอดมาระบบกลาง พวกเด็กเก่ง พวกหัวกะทิก็ต้องโดนช้อนก่อน มันเป็นธรรมดาหรือเปล่าวะ?” พี่จีนปลอบใจ “ละรอบสี่มันให้เลือกกี่อันดับ?”
“สี่ครับ”
“มึงตัดจุฬาทิ้งไปเหอะ เก็บอันดับไว้เลือกที่ที่เป็นไปได้ดีกว่า”
“มันก็ต้องตัดแหละพี่ ผมคงไม่มีวันได้เรียนจุฬาแล้ว”
“เออ ไว้เรียนปริญญาโทก็ได้ ตอนนี้เอาปริญญาตรีไว้ก่อน”

พี่จีนบอกก่อนจะแนะนำการเลือกมหาวิทยาลัยอีกเล็กๆน้อยๆอย่างวิทยาเขตก็สำคัญ พี่จีนไม่ใช่คนเรียนเก่ง ดังนั้นเขาไม่เสี่ยงเลือกเกษตรเขตบางเขนหมดสี่อันดับ เขาบอกว่าเรียนที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นคณะที่ชอบก็แฮปปี้เหมือนๆกัน หากนายก้องเกียรติอยากเพลย์เซฟซักอันดับ เก็บเกษตรกำแพงแสนไว้ในอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ บรรยากาศดี ต้นไม้สวย รวยเจ้าถิ่น ขอบคุณครับ

หลังวางสายจากพี่จีน ผมก็นั่งปาดน้ำตาเงียบๆคนเดียวอยู่บนโซฟา ส่วนคุณอิศรินทร์ปลีกตัวไปล้างถ้วยชามที่กองทิ้งไว้ตลอดทั้งวันแทนนายก้องเกียรติ อย่าให้ต้องบรรยายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย ผมพูดอะไรไม่ออกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลเท่านั้น พี่อู๋ทนเห็นกอริลลานั่งจมกองน้ำตาได้ไม่นานก็ชวนออกไปกินข้าวข้างนอก ผมถามเขาว่าดึกขนาดนี้จะไปไหนได้ คุณอิศรินทร์ให้คำตอบทันทีว่า

“แมคโดนัลด์”

ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่อยากไป แต่เขาก็ลากนายก้องเกียรติออกจากห้องจนได้ นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสิบหกนาที เราสองคนมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ชื่อแมคโดนัลด์




พี่อู๋ไม่น่าพาผมมาที่นี่เลย ถึงมาก็ได้แต่นั่งน้ำตาไหลหน้าเฟรนช์ฟรายส์ลดราคา ผมไม่มีกะจิตกะใจชวนเขาคุยหรือวางแผนอนาคตนอกจากร้องไห้และด่าตัวเองซ้ำๆในใจ ส่วนพี่อู๋ที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็สนองความต้องการของผมด้วยการปล่อยให้นายก้องเกียรติจมอยู่กับความผิดหวังของตัวเองเพียงลำพัง เขาปล่อยให้ผมนั่งมองเฟรนช์ฟรายส์เกือบชั่วโมงจนเห็นว่าคงไม่รู้สึกดีขึ้นมากกว่านี้จึงชวนออกจากร้าน เขาบอกว่าไปขับรถเล่นกันหน่อย ก้องอาจจะสบายใจขึ้นถ้าได้ออกไปสูดอากาศนอกห้องบ้าง

ตอนนั่งในรถ ผมเอาแต่เหม่อเลยไม่ได้ดูว่าพี่อู๋กำลังพาไปไหน  รู้ตัวอีกทีวีออสของเขาก็จอดในลาดจอดใต้สะพานแล้ว ตอนพี่อู๋ลงจากรถมาเปิดประตูให้ ผมถึงเห็นภาพเก่าๆที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีก่อน สิบเอ็ดเดือนที่แล้วเราเจอกันที่นี่ บนสะพานพระรามแปด พี่อู๋ขับรถมาเจอผมตอนกำลังจะฆ่าตัวตาย

ผมไม่ได้ถามผู้ปกครองว่าเรากลับมาที่นี่ทำไม แต่พอเขาออกเดิน ผมก็เดินตามไปจนถึงจุดที่เราเคยคร่อมราวสะพานด้วยกัน ผมจับรั้วสีเทาแล้วก้มมองแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ข้างล่าง พี่อู๋เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้จับราว แต่กุมมือนายก้องเกียรติเอาไว้หลวมๆ

“จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม”

ผมพยักหน้า ตอนนั้นไม่รู้นึกยังไงถึงล้มเลิกความตั้งใจกระโดดสะพาน แต่เอาเป็นว่าคำพูดของคนแปลกหน้าที่ยืนข้างๆไม่เคยเป็นเรื่องโกหกเลย ทั้งที่บอกว่าจะพาไปกินสตาร์บัคส์ จะพาไปตะลอนกินของอร่อยๆที่ไม่เคยกิน จนถึงตอนนี้พี่อู๋ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่ อาจจะไม่บ่อยเท่าตอนว่างงาน แต่เรายังคงหาของอร่อยๆกินด้วยกันเสมอ
 
“ก้องมาไกลมากแล้วนะ”

ครับ ผมรู้ ผมรู้ว่าตัวเองมาไกลมาก เดือนหน้าก็จะครบหนึ่งปีที่ผมตั้งใจจะจบชีวิตตรงนี้ พอนึกย้อนดูตัวเอง ผมไม่ได้เป็นก้องคนนั้นแล้ว ผมไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ดที่มายืนบนสะพานแล้วรู้สึกว่ามันน่ากระโดด ตอนนี้ผมคือนายก้องเกียรติที่อยู่ในช่วงกำลังโตเป็นผู้ใหญ่และผิดหวังกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่ถ้าถามว่าอยากตายไหม? ไม่ ผมไม่อยากตาย

ผมไม่อยากตาย

ผมแค่ผิดหวัง แต่ผมไม่อยากตาย เพราะผมมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับอย่างที่พี่อู๋พูด ผมเสียใจ ผมหดหู่ แต่ผมไม่อยากตายเพราะรู้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ผมมีพี่อู๋เป็นครอบครัว เป็นผู้ปกครองที่ให้คำปรึกษาอย่างดีตลอด ถ้าผมตาย เขาต้องสาปแช่ง เผาพริกเผาเกลือ จ้างหมอผีมาสะกดวิญญาณไม่ให้ไปผุดไปเกิดเพื่อเป็นการลงโทษที่ทิ้งเขาไปแน่ๆ

 “ก้องยังเหลือรอบสี่รออยู่ รอบนี้เราก็วางแผนกันดีๆ พี่ว่ายังไงมันต้องมีซักที่แหละที่ได้ คะแนนก้องก็ไม่แย่ แต่เก็งพลาดไปหน่อย ถ้าจะเรียนมหาวิทยาลัยยังไงก็ได้อยู่แล้ว แค่มอดังไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ได้แปลว่าชีวิตมันจบสิ้นนะก้อง”
“ผมรู้” ผมบอกเขาเสียงสั่นแล้วร้องไห้อีกรอบ “ผมแค่อยากทำให้พี่ภูมิใจ”
“อย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำเลยก้อง มันเหนื่อย ไดอะล็อกมันจำเจ” พี่อู๋กอดคอผมแน่น “ไม่ว่ามอไหน จะเหนือหรือใต้ จะใหญ่หรือเล็ก พี่ส่งก้องเรียนได้ทุกที่ พี่ภูมิใจในตัวก้องไม่ว่าก้องจะเป็นอะไร เป็นวิศวะ เป็นลิง เป็นหมา เป็นขวดนมเปรี้ยว พี่ก็ภูมิใจหมดขอแค่ก้องเป็นเด็กดี”

พอเขาพูดจบ กอริลลาก้องก็กอดผู้ปกครองและร้องไห้โฮอยู่พักใหญ่ พี่อู๋ไม่ว่าอะไรที่นายก้องเกียรติฟูมฟายจะเป็นจะตาย เขาบอกว่าอยากร้องก็ร้อง ไม่เห็นเป็นไร แต่ร้องไห้เสร็จเมื่อไหร่ต้องฮึบสู้ต่อนะ ชีวิตมันไม่ได้จบตรงนี้ ยังเหลือ TCAS รอบสี่เป็นความหวังอยู่ หรือต่อให้พลาดอีกก็ไม่เป็นไร เรียนรามฯก็ได้ คนที่เรียนจบรามฯถือว่าเก่งไม่แพ้เด็กมหาวิทยาลัยรัฐเหมือนกัน

คำพูดของเขาทำผมร้องไห้จนเชิ้ตสีขาวเปื้อนน้ำตากับขี้มูกเป็นวงกว้าง ผมขอโทษผู้ปกครองและบอกว่าพรุ่งนี้จะรีบซักให้ ว่าแต่ขอยืมเนกไทได้ไหมครับ ผมอยากยืมมาเช็ดน้ำตาหน่อย พี่อู๋หัวเราะขำและจัดให้ตามคำขอ เขาเช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากหน้านายก้องเกียรติให้โดยไม่รังเกียจ เขารอเวลาจนกระทั่งผมรู้สึกดีขึ้นถึงถามว่าหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่า ผมบอกเขาว่าเอาจริงๆตอนนี้ผมเครียดจนกินอะไรไม่ลง แต่ถ้าพี่อยากไปไหน ผมไปด้วยก็ได้

“ไปกินหมูปลาร้าที่ข้าวสารกัน”

คุณอิศรินทร์ชวน ดังนั้นอีกยี่สิบนาทีต่อมาเราจึงยืนอยู่หน้ารถเข็นหมูปิ้งในตรอกเล็กๆ เมื่อคนขายเห็นหน้าพี่อู๋ก็เอ่ยทักทันทีว่าไม่มาตั้งหลายเดือน เป็นไงบ้าง แต่งตัวเสียหล่อ เพิ่งเลิกงานหรือครับ

“ครับ ผ่านมาแถวนี้ก็เลยพาเด็กมากิน”

พี่อู๋วางมือบนหัวของกอริลลาก้องเบาๆเป็นเชิงแนะนำ เขาสั่งหมูย่างตั้งยี่สิบไม้กับข้าวเหนียวสามห่อ ผมยังไม่มีกะจิตกะใจกินก็เลยแทะแต่หมูและเหลือข้าวเหนียวให้พี่อู๋กิน แต่ลองกัดคำแรก อาการเบื่ออาหารไม่อยากกินก็หายไป ผมก็ตาลุกวาวและรูดหมูเข้าปากจนหมดไม้

“อร่อยเนอะ”

คุณอิศรินทร์พูดเมื่อนายก้องเกียรติเริ่มหยิบไม้ที่สี่มากิน ผมบอกพี่อู๋ว่าอร่อยมากครับ เนื้อหมูเหนียวนุ่มกำลังดี กลิ่นถ่านย่างที่ติดมากับเนื้อก็หอมมาก น้ำจิ้มก็อร่อย เสียดายที่เผ็ดไปหน่อยแต่โดยรวมแล้วอร่อยดี เรานั่งจกข้าวเหนียวหมูย่างบนเสื่อริมถนนจนหมดถาด แม้แต่แตงกวาผมก็กินเกลี้ยงไม่เหลือซักชิ้น มื้อดึกวันนี้อร่อยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า คุณอิศรินทร์คงชวนเดินเล่นแถวนั้นต่อแน่ๆ

นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสามนาที พี่อู๋เพิ่งพากอริลลาหน้าเศร้าถึงบ้านที่ลาดพร้าว เราสองคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้านอน ทันทีที่หัวถึงหมอน พี่อู๋ก็หลับสนิทเหมือนตาย ส่วนนายก้องเกียรตินอนหัวใจสลายเพราะฝันไม่เป็นจริง ผมร้องไห้จนเริ่มหายใจติดขัด สูดจมูกฟืดฟาดหลายหนเพื่อเอาอากาศเข้าปอด พอคุณอิศรินทร์ได้ยินเสียงร้องเขาก็พลิกตัวนอนตะแคงแล้วลูบแก้มเปียกๆของนายก้องเกียรติทั้งๆที่ยังหลับตา ผมที่โหยหาการปลอบประโลมจากพี่อู๋รีบโผกอดเขาแล้วร้องไห้ พี่อู๋ถามว่าถ้านอนไม่หลับ ฟังพี่ท่องสคริปพรีเซนต์โปรเจ็คพรุ่งนี้ดีไหม พอกอริลลาก้องตอบว่าได้ ภาษาญี่ปุ่นงึมงำๆยาวเป็นบทสวดก็ดังขึ้นทันที

 นานินานินานิบลาบลาเดส โคะโนะคิไคบลาบลาบลาเดส โสะชิเตะ บลาบลาเดส – เดส โซะเรนิ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาเดสงะ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลา เดส บลาบลาบลาดาเคะจะนะคุเตะ บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาเดส บลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลาบลา –

จนผมหลับคาอกเขาไปเลย




 

Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยฮับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2019 14:59:07 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
31 [PART 2/2]



ผมเป็นกอริลลาเน่าอยู่สามวัน วันที่สี่ของการจมอยู่ในห้วงความผิดหวัง ผมตัดสินใจดึงตัวเองให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนด้วยการโกนหนวด

ผมมองเงาในกระจก มองตาที่บวมเป็นถั่วแดงอยู่หลายนาทีจนเริ่มมีความคิดว่าแบบนี้ไม่ได้แน่ ผมต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อไม่ให้ผลของความทุ่มเทเสียเปล่า ดังนั้นเช้าวันที่สี่ ผมกินข้าวผัดกะเพราจนหมดกล่อง กินน้ำอัดลมหนึ่งขวด และไอศกรีมหนึ่งแท่งระหว่างวางแผนจัดอันดับ TCAS รอบสี่ ตอนนี้ผมตัดจุฬาทิ้งและวางเครื่องกลเกษตรบางเขนเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองคือแมคคาทรอนิกส์ลาดกระบัง อันดับสามเครื่องกลเกษตรกำแพงแสน และอันดับสุดท้าย เครื่องกลศิลปากร

ผมเช็กอันดับตัวเองซ้ำมาไปซ้ำมาหลายหน เทียบกับสถิติของปีก่อนๆจนแน่ใจแล้วว่าคะแนนที่อยู่ในมือจะไม่หลุดอันดับสุดท้าย แต่เพื่อความชัวร์ผมขอให้พี่อู๋ช่วยดูอีกครั้ง เขาบอกว่าไม่หลุดแน่ๆ ยังไงก็ไม่หลุด รู้ไหมว่าคะแนนที่ก้องมีซื้อทองได้เลยนะ

“หน่วยเป็นคะแนนครับ ไม่ใช่บาท” ผมรับไม่ได้กับมุกนี้ “ถ้าผมต้องไปเรียนกำแพงแสนหรือศิลปากรจริงๆ พี่โอเคไหมครับ? จากลาดพร้าวไปนครปฐมมันไกลนะ”
“ไกลอะไร นครปฐมนครศรีฯพี่ก็เคยขับมาแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ”
“ถ้าได้ลาดกระบังล่ะครับ?”
“ไม่มีปัญหา”
“ถ้าได้เกษตรอ่ะ?”
“พี่จะขับรถไปรับทุกวันเลย!”

พี่อู๋ตื่นเต้นเพราะบางเขนอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ถ้าสมมติผมได้เรียนเกษตรบางเขนจริงๆคงดีกับเราทั้งคู่ พี่อู๋ไม่ต้องเสียค่าหอเพิ่ม ส่วนผมได้กลับมานอนบ้านทุกวันไม่ต้องปรับตัวเยอะ ก็คงเหมือนสมัยไปโรงเรียนที่ตื่นเช้าเย็นเพื่อมากินข้าวกับแม่ แค่ตอนนี้เปลี่ยนจากแม่เป็นพี่อู๋เท่านั้นเอง

วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกลั่นแกล้ง นายก้องเกียรติใช้ชีวิตด้วยความกระวนกระวายแทบตลอดเวลา ช่วงกลางวันผมนอนกดมือถือ อ่านการ์ตูนออนไลน์บ้าง ดูยูทูปบ้างจนหมดวัน พอพี่อู๋กลับห้องก็นั่งกินข้าวด้วยกันสองคน บางวันก็เล่นเปียโนให้เขาฟัง บางวันก็เอาใจเขาด้วยการบีบนวดตามปกติ แต่มันเป็นสองอาทิตย์ที่โคตรทรมาน มันเจ็บจี๊ดในใจทุกครั้งที่เห็นเด็กรุ่นเดียวกันโพสต์อวดคะแนนบนเว็บบอร์ด สองหมื่นสี่เข้าวิศวะเกษตรได้ไหมครับ สองหมื่นสองพอจะเข้าลาดกระบังได้ไหมครับ เขาว่ากันว่าปีนี้คะแนนเฟ้อจริงเปล่า ที่บอกว่าเกษตรกำแพงแสนรับเด็กน้อยลงสรุปเป็นความจริงหรือข่าวลือกันแน่

แหม – ปั่นเก่ง ลูกอีช่างปั่น

ดังนั้นนายก้องเกียรติผู้มีในมือแค่หนึ่งหมื่นแปดพันปลายๆจึงเลิกเข้าเว็บพวกนั้นถาวรและเอาเวลาในแต่ละวันไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์และเล่นผลไม้บนโทรศัพท์แทน

ห้าวันสุดท้ายก่อนประกาศผล พี่อู๋ยอมเสียสละวันหยุดเสาร์อาทิตย์พากอริลลาก้องไปเล่นน้ำไกลถึงหัวหิน ทีแรกผมคิดว่าเราไปทะเล แต่พี่อู๋บอกว่าไม่ใช่ เขาจะพาผมไปเที่ยวสวนน้ำต่างหาก

“โอโห – สวนน้ำเหรอครับ?”

ผมตื่นเต้นตามประสาเด็กไม่เคยได้ไปที่ใหม่ๆ ผมเคยเห็นโฆษณาในอินเทอร์เน็ตหลายครั้งแต่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปมาก่อน หนึ่งเพราะมันไกล สองเพราะไม่มีเงิน และวันนี้เสี่ยอู๋ใจป้ำก็สานฝันกอริลลาตาดำๆด้วยการพาไปซื้อกางเกงและแว่นตาว่ายน้ำเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมถามพี่อู๋ว่านึกยังไงถึงพาไปเที่ยวสวนน้ำ เขาบอกว่าได้บัตรลดราคามาจากลูกค้า เห็นช่วงนี้ก้องเครียดก็เลยอยากพาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

เช้าวันเสาร์ เราออกเดินทางแต่เช้ามุ่งหน้าสู่หัวหิน สวนน้ำที่เราจะไปเที่ยวมีบ้านพักอยู่ในตัว พี่อู๋ก็เลยจองไว้หนึ่งคืนเพื่อความสะดวกจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับให้เหนื่อย ทันทีที่ถึงสวนน้ำ ผมก็ร้องว้าว ว้าว ว้าวอยู่หลายหน น้ำที่นี่เป็นสีฟ้าใสแจ๋ว เครื่องเล่นสไลด์เดอร์ก็เยอะจนเลือกไม่ถูก มีทั้งแบบเป็นท่อขดวนหลายรอบ มีอันหนึ่งสูงเท่าตึกสี่ชั้นด้วย แน่นอนว่านายก้องเกียรติไม่ยอมพลาด ผมเล่นสไลด์เดอร์แทบทุกแบบอยู่หลายรอบจนพี่อู๋เหนื่อย เขาคงแก่เกินไปจนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับเครื่องเล่นพวกนี้แล้ว 

ผมชอบมาก ตอนเล่นกระดานลื่นสูงเท่าตึกสี่ชั้นนี่เสียวไส้แทบแย่ และมีสไลด์เดอร์อันหนึ่งต้องนั่งบนเรือยางที่เล่นได้สองคน ผมขอให้พี่อู๋เล่นเป็นเพื่อนอยู่ตั้งสามรอบกว่าจะยอมเล่นอย่างอื่นบ้างเพราะมันสนุกจริงๆ ยิ่งตอนที่ผ่านอุโมงก์มืดๆนะ โอโห – ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนลุ้นผล TCAS รอบสามเพราะไม่รู้ว่าอุโมงก์มันสิ้นสุดตรงไหน หมุนซ้ายกี่รอบ หมุนขวากี่รอบ ควงสว่านฟิ้วๆจนไส้ขดเป็นก้อนกว่าจะถึงน้ำ เล่นเอาพี่อู๋อ้วกเกือบแตก เขายกธงขาวไม่เล่นแล้ว ขอเฝ้านายก้องเกียรติเล่นตามประสาผู้ปกครองดีกว่า

พอเล่นไปซักพักท้องก็เริ่มร้อง พี่อู๋จึงพาเด็กในปกครองไปกินมื้อเที่ยงที่ศูนย์อาหาร ผมสั่งแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตกับไอศกรีม เราถ่ายรูปมื้ออาหารและบันทึกภาพความทรงจำไว้เป็นที่ระลึกด้วย ในรูปผมยิ้มจนแก้มแตก เพราะผมสนุกและมีความสุขตามประสาเด็กอายุสิบเก้าที่เพิ่งได้มาสวนน้ำเป็นครั้งแรก หลังกินเสร็จผมก็ขอให้พี่อู๋พาไปเล่นโซนทะเลจำลอง โซนนี้เขาปล่อยคลื่นเทียมด้วย ผมอยากลองสัมผัสประสบการณ์โต้คลื่นเหมือนในหนังบ้าง คุณอิศรินทร์ก็จัดให้ตามคำขอ ตอนบ่ายเราถือโฟมว่ายน้ำไปคนละหนึ่งอัน เล่นโต้คลื่นที่สูงสามเมตรกันเกือบหมดวันก่อนจะปิดท้ายด้วยการนั่งเล่นบนแพยางเอื่อยๆในสระน้ำวน

ผมนั่งบนแพสีฟ้าตรงข้ามกับพี่อู๋ เราสวมแว่นกันแดดและหมวกสานเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคอยถ่ายรูปบรรยากาศ ทีแรกผมตกใจมากเพราะพี่อู๋ทำไอโฟนหล่นน้ำ แต่เขาบอกว่าใส่เคสป้องกันเรียบร้อย ถึงเปียกน้ำเข้าก็ช่างมันเพราะเครื่องที่เขาใช้ตกรุ่นมาหลายปีแล้ว

เราใช้เวลาช่วงเย็นนอนคุยกันบนแพ ผมเอาขาพาดบนพุงกะทิของพี่อู๋ ส่วนเขาเอาขาจุ่มน้ำเพราะไม่กล้าหือนายก้องเกียรติ แหงสิ -- ผมตัวแห้งกรอบเป็นไม้กระดานขนาดนี้ ขืนมีขาหนักสามตันมาวางพาดอีกคงตายก่อนรู้ผล TCAS แน่ๆ

“ผลประกาศวันไหนนะ?”
“วันพุธนี้ครับ”

ผมตอบผู้ปกครองขณะกวักน้ำเล่น บทสนทนาระหว่างผ่อนคลายตอนนี้ไม่มีเรื่องอนาคตเข้ามาเกี่ยวอีกนอกจากเย็นนี้จะกินอะไร จะไปเดินตลาดนัดไหม พี่อ่านรีวิวมามีของกินเยอะแยะเลยนะ ผมบอกผู้ปกครองด้วยคำตอบเดิมๆว่าอะไรก็ได้ครับ ไปไหนก็ได้ครับ พี่อยากกินอะไรผมก็กินอันนั้นแหละครับ ดังนั้นหลังเล่นน้ำจนตัวเปื่อย เราจึงไปกินอาหารทะเลที่ตลาดโต้รุ่ง

เมนูที่พี่อู๋สั่งคือเมนูเดิมๆที่เราชอบเช่นหอยเชลล์อบเนย กุ้งเผาหอยเผา ปลาหมึกย่าง ข้าวผัดทะเล แต่จานหลักที่เราตั้งหน้าตั้งตาคอยที่สุดคือปูม้านึ่ง พี่อู๋สั่งจัดเต็มมาสองกิโลเพื่อเลี้ยงกอริลลาก้องเต็มที่ ตอนที่น้องปูสีส้มสดวางลงบนโต๊ะ ผมแทบจะเอาเอาแก้มแนบกระดองหอมๆด้วยความหลงใหลและน้ำลายสอ เมื่อก่อนผมค่อนข้างเฉยๆกับอาหารทะเล แต่พอพี่อู๋พาไปกินที่ใต้ผมก็ติดใจ อยากเคี้ยวกระดองกุ้งและปูจนละเอียดเป็นผงจะได้ไม่ต้องเหลือทิ้งให้เสียของ

ทันทีที่อาหารเสิร์ฟครบ เราก็ก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิวโหย ผมแกะกุ้งกินกับข้าวผัดจนไม่ทันสังเกตว่าพี่อู๋ทำอะไร กว่าจะรู้ว่าบนจานของตัวเองมีเนื้อปูกองจนพูนก็ตอนเติมข้าวรอบสองแล้ว

“พี่ไม่ต้องแกะให้ผมหรอกครับ พี่กินเถอะ”

ผมบอกผู้ปกครองที่กำลังจริงจังกับการแกะปูให้กอริลลาหิวโซ พี่อู๋เงยหน้าขึ้นจากจานน้องปูก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาเห็นผมกินอร่อยก็เลยอยากแกะให้กินง่ายๆ จะได้ไม่ต้องหยุดๆกินๆเพื่อแกะเนื้อ

“พี่แกะยังไงเนี่ย เนื้อเละเป็นผงเลย” ผมหัวเราะก่อนจะช่วยเขาอีกแรง “ถ้าแกะไม่เป็นก็ไม่ต้องแกะครับ เดี๋ยวผมทำให้”

ผมบอกพลางใช้ฟันกัดก้ามน้องปูตัวใหญ่ดังกร๊อบแกร๊บ ขนาดเลียนแบบเทคนิกจากญาติของคุณอิศรินทร์แล้ว เนื้อปูที่ได้ก็ยังเละเป็นผงไม่ต่างจากที่พี่อู๋แกะให้ ผมถอนหายใจยอมแพ้เมื่อเริ่มเมื่อยกราม ไม่เข้าใจว่าทำไมของอร่อยต้องกินยาก ทำไมไม่แกะง่ายๆเหมือนปีโป้ที่แค่ลอกพลาสติกก็ได้กินเยลลี่ก็ไม่รู้

“เขาน่าจะมีบริการแกะให้เนอะ” พี่อู๋บ่นงึมงำแต่ยังคงไม่ยอมแพ้กับการใช้หางช้อนแงะเนื้อปูออกจากก้าม
“แล้วปกติพี่กินยังไงเหรอครับ?”
“มีคนแกะให้ตลอดอ่ะ”
“คุณแม่เหรอ?”
“อืม ส่วนใหญ่แม่แกะให้กินทั้งบ้าน พี่ไม่เคยต้องแกะเอง”
“อ้าว แล้วตอนอยู่กรุงเทพใครแกะให้พี่กินล่ะครับในเมื่อคุณแม่ไม่อยู่?”
 
พี่อู๋อ้ำๆอึ้งๆตอบไม่เต็มปาก ผมรู้ในทันทีว่าใครแกะกุ้งแกะปูให้เขากินตลอดคงไม่พ้นคุณหมูพี

“ผมแกะเก่งกว่าอีก พี่คอยดูนะ”

ผมพูดอวดไปงั้นแหละ จริงๆแกะเป็นเสียที่ไหน แต่ผมก็พยายามจนได้เนื้อปูพูนๆหนึ่งกอง ผมยกมันให้พี่อู๋ทั้งหมดแต่เขาไม่เอา เขาบอกว่าอยากให้ผมกินมากกว่า ผมเป็นเด็กกำลังโต ส่วนเขาแก่แล้ว กินปูเยอะๆ ระดับคอเลสเตอรอลจะอันตราย ดังนั้นคนที่ได้กินปูกองใหญ่คือกอริลลาก้อง ส่วนพี่อู๋กินอย่างอื่นเล็กๆน้อยๆจนหมดเกลี้ยง นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบห้านาที หลังซื้อไอศกรีมกะทิกับข้าวเหนียวมะม่วงเสร็จ เราก็กลับบ้านพักในสวนน้ำ

วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมาก เหนื่อยมากๆ เหนื่อยที่สุดในชีวิตของนายก้องเกียรติ ดังนั้นหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็คลานไปนอนบนโซฟาตัวใหญ่สีดำที่ตั้งอยู่หน้าทีวี พี่อู๋ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวเดินมาไล่กอริลลาหมดแรงให้ไปนอนในห้องแต่ผมไม่ไป ก็ผมเหนื่อย ผมจะของีบตรงนี้ ขอนอนฟังเสียงคลอทีวีซักเดี๋ยวแล้วค่อยกลับไปตายบนเตียงไม่ได้เหรอ พี่อู๋เห็นผมงอแงเลยไม่ว่าอะไร เขากลับเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จจึงเดินมานั่งบนโซฟา

“ขยับหน่อยสิก้อง”

พี่อู๋สะกิดกอริลลาที่เพิ่งหลับได้ไม่นานเพื่อทวงคืนที่นั่ง แต่ผมง่วงเกินกว่าจะสละที่ให้เขาจึงทำแค่ผงกหัวขึ้นและตบโซฟาเบาๆเป็นเชิงเรียกให้นั่งเพราะผมไม่อยากลุก แต่จะนอนหนุนตักเขาแทน

พี่อู๋ทำตามที่ขออย่างว่าง่าย เขานั่งดูโทรทัศน์ไปพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ในขณะที่มีกอริลลานอนซุกหน้าท้องบนโซฟา ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่คงนานมากพอจนเริ่มรู้สึกเมื่อยนิดหน่อยเพราะต้องงอขา พอเห็นผมขยับตัว พี่อู๋ที่นั่งเป็นหมอนให้นายก้องเกียรติหนุนก็เอ่ยปากขออนุญาตเป็นครั้งแรก

“พี่ลูบหัวก้องได้ไหม”
“อือ”

ผมงัวเงียตอบทันที และนอนหลับอย่างสบายใจโดยมีผู้ปกครองลูบหัวเบาๆ แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าพี่อู๋เป็นประเภทได้คืบจะเอาศอก พอยอมให้ลูบหัว เขาก็ขอเพิ่มอีก

“พี่จับมือก้องได้ไหม”
“อือ”

ผมยื่นมือให้เขาจับอย่างว่าง่าย แค่ลูบหัวกับจับมือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับคนที่ง่วงเหมือนโดนยิงยาสลบ ผมปล่อยให้พี่อู๋จับมือไปพร้อมกับลูบผมอยู่นานอีกหลายนาที พอนายก้องเกียรติเปลี่ยนท่านอน เขาก็ขออีก

“พี่หอมแก้มก้องได้หรือเปล่า?”
“ขอเยอะไปแล้วนะ”
“ได้หรือเปล่าล่ะ?”

ผมคิดหนักมากกว่าควรตอบยังไง ถ้าบอกว่าไม่ให้เขาจะน้อยใจไหมเพราะทำทุกอย่างขนาดนี้แต่นายก้องเกียรติกลับไม่เปิดโอกาสให้ตามที่รับปากไว้ หากถามว่าลึกๆผมต้องการให้เขาหอมแก้มไหม ผมก็ให้คำตอบไม่ได้ สั้นๆคือไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเพราะผมตัดปัญหาด้วยการไม่คิด

แต่แค่หอมแก้มเองนะ

คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เพราะมองอีกแง่ การหอมแก้มคือการแสดงความรักที่อ่อนโยนและน่ารักไม่ใช่เหรอ แม่ก็หอมแก้มผม เพื่อนที่ชอบผมก็หอมแก้มผม พวกเขาทำไปเพราะรักทั้งนั้น ถ้าพี่อู๋ไม่ทำให้มันเลยเถิดจนเกินไป ผมยอมให้หอมเบาๆก็ได้ ถือเป็นคำขอบคุณที่พามาเที่ยว และทำตามสัญญาที่บอกว่าจะให้โอกาสแล้วกัน แต่ถ้าพี่อู๋ทำมากกว่าหอม -- ผมถีบ

พอบอกผู้ปกครองว่า อือๆ จะหอมก็หอม คุณอิศรินทร์ก็ทำเสียงระริกระรี้แล้วก้มจมูกลงมาหอมแก้มกอริลลาดังฟอด ส่วนนายก้องเกียรติแกล้งตายในตักเขาเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูก เขาคงเห็นผมหลุดยิ้มละมั้งถึงได้ใช้มือยีผมกอริลลาจนเสียทรง เขาทำเสียงสองเหมือนกำลังคุยกับลูกหมาว่าน่ารักจัง ก้องน่ารักที่สุดเลยพร้อมกับบีบแก้มจนผมนอนต่อไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาแกล้งด่าเขาเพราะเขิน

“ไปนอนในห้องแล้ว!”

ผมกระทบเท้าปึงปังและเดินหนี หน้าเหน้อนี่ร้อนไปหมด ไอ้บ้าเอ๊ย ไม่น่ายอมให้เลย เซ็งจริงๆ



วันพิพากษามาถึงแล้ว มาถึงเร็วกว่ากำหนดการตั้งหนึ่งวันตามคำประกาศใหม่จาก ทปอ. นายก้องเกียรติตื่นนอนแต่เช้ามืดเพื่อหาอะไรทำจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เริ่มจากทำกับข้าวแบบจัดเต็มให้พี่อู๋ ปัดกวาดถูห้องสองรอบ เช็ดฝุ่น ขัดรองเท้าหนัง เช็ดประตูกระจกด้วยหนังสือพิมพ์จนใสแจ๋ว แถมยังรีดกางเกงในให้เขาอีก ผมทำงานบ้านจนถึงเที่ยงโดยไม่หยุดพักซักวินาทีเดียว เมื่อบ้านสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นจึงต้องจำใจนอนเฉยๆ แต่นอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องหาอะไรทำแก้เครียด สุดท้ายจบลงตรงที่ผมออกจากบ้านไปซื้อกับข้าวที่บิ๊กซี กลับมาอีกทีเกือบเย็น แต่ผลยังไม่ประกาศ

นายก้องเกียรติที่ไม่มีทางเลือกจึงโทรหาผู้ปกครองแก้เหงา ผมไม่รู้ว่าเขาว่างไหม แต่เดาเอาว่าน่าจะว่างเพราะเขาคุยโทรศัพท์ตั้งสามนาที สุดท้ายเสียงตามสายแก้เครียดต้องหยุดลงเพราะชิราอิชิซังขัดจังหวะด้วยประโยค โอ้ย – อู๋จัง นานิชิเตะรุ ซึ่งฟังดูหงุดหงิดพร้อมเหวี่ยง ผมจึงตัดใจวางสายด้วยความเสียดาย และบังคับตัวเองให้ทำสมาธิจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ทำได้ไม่นานก็สติแตกพล่านเมื่อมีเอสเอ็มเอสแจ้งทางโทรศัพท์ว่าทปอ.ประกาศผล TCAS รอบสี่แล้ว สามารถเช็กผลได้ที่เว็บไซต์  student.mytcas.com

ตอนที่อ่านข้อความจบ นายก้องเกียรติก็ประสาทแดกเพราะเครียดไปเลย ผมเต้นแร้งแต้นกา กรี๊ดอัดหมอน กระโดดเตะสะเปะสะปะจนชนกับขอบโต๊ะ ถึงจะเจ็บตัวแต่ผมก็ไม่ยอมหยุดดีดดิ้นเพราะกังวลกับผลลัพธ์ ถ้าไม่ติดล่ะ ถ้าไม่ได้ที่ไหนเลยล่ะ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ความคิดตีกันจนวุ่นไปหมด หัวใจก็เต้นแรงจนเหงื่อโทรมตัว ผลประกาศออกมาประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ผมยังไม่พร้อมเปิดดูเพราะกลัวผิดหวัง

ผมหนีไปปาหมอนอัดกำแพงในห้องนอน หนีไปอาบน้ำใต้ฝักบัวทั้งๆที่ยังสวมเสื้อผ้า เสร็จแล้วออกมานั่งเปียกกลางบ้านและเอาแต่เหลือบตามองโทรศัพท์ ผมจะบ้า ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว ใจหนึ่งก็กลัวพลาด อีกใจก็อยากรู้จะได้จบๆ ผมตัดสินใจไม่ได้ก็เลยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและออกมานั่งจ้องโทรศัพท์บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น

ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก

เสียงนาฬิกาบนผนังดังเป็นจังหวะบีบรัดนายก้องเกียรติ ผมกำมือสลับกับคลายออกอยู่เป็นนาทีเพื่อรวบรวมสติเพราะตอนนี้ผมตัวสั่นไปหมด สั่นตั้งแต่หน้ายันปลายเท้า แถมมือยังเย็นเยียบเหมือนแช่ช่องฟรีซอีก นี่คือเรื่องที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเลย นอกจากการได้ไปเที่ยวที่เจ๋งๆกับพี่อู๋แล้วก็มีแค่ผล TCAS เท่านั้นที่ทำให้กอริลลาก้องเป็นเอามากขนาดนี้ นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที ผมกัดฟันดูผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อความบนหน้าเว็บไซต์ยังโหลดไม่ครบ แต่พอจะอ่านได้ว่าผลสรุปเป็นยังไง



ประกาศผลการคัดเลือก รอบที่ 4



































สถานบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
คณะวิศวกรรมศาสตร์
สาขาวิชาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์

รายละเอียดการสอบสัมภาษณ์
วันที่ 03 มิ.ย. 2562
เวลา 08:30 -12:00
สถานที่ ให้ผู้เข้าสอบสัมภาษณ์รายงานตัวเข้าสอบสัมภาษณ์เวลา 08:30-09:00 น. HM-305 ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา คณะวิศวกรรมศาสตร์


ไอ้ – เหี้ย –

ไอ้เหี้ย

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังขึ้นในจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากค้างด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์เดินเข้าห้องงงๆเมื่อนายก้องเกียรติเริ่มส่งเสียงร้องเล็กๆในลำคอ ต้องรอให้เวลาผ่านไปสามสี่วินาทีผมถึงได้สติแล้วกระโดดกอดพี่อู๋

“ผมสอบได้แล้ว! ผมสอบได้แล้ว!”

ผมร้องไห้พร้อมกับตะโกนโหวกเหวกโวยวาย

“ผมติดลาดกระบังแล้วพี่อู๋!”
“ไอ้เหี้ย!”

พี่อู๋อุทานแล้วอุ้มผมจนตัวลอย เขาหมุนเป็นวงกลมสามสี่รอบก่อนจะวางกอริลลาลงบนพื้น จากนั้นเราก็จับมือแล้วกระโดดโลดเต้นเหมือนคนเสียสติ คุณอิศรินทร์ตะโกนว่าลาดกระบัง! ลาดกระบัง! ด้วยความดีใจไม่แพ้กัน หลังเต้นจนเหนื่อย ผมก็ปล่อยโฮออกมาก็อกใหญ่ก่อนจะโผเข้ากอดผู้มีพระคุณ

“ผมมีที่เรียนแล้วพี่อู๋ ผมได้เป็นนักศึกษาแล้วนะ”
“ดีใจด้วยก้อง” เขากอดผมแน่นไม่แพ้กัน “ก้องเก่งที่มากเลย เก่งที่สุด พี่ภูมิใจในตัวก้องมากๆ”

เรากอดกันอยู่พักใหญ่เลยกว่าผมจะกลับไปอ่านระเบียบการโดยละเอียดของทางมหาวิทยาลัย ความรู้สึกตอนนี้มันดีใจ มันตื้นตันจนไม่รู้จะพูดยังไง ผมมีความสุขมากที่จะได้เรียนต่อปริญญาตรีเหมือนคนอื่นๆ หลังจากเจอเรื่องแย่ๆมาตลอดหนึ่งปี ในที่สุด – ในที่สุด – ผมก็กลายเป็นนายก้องเกียรติที่กำลังจะมีชีวิตที่ดีกับผู้ปกครองคนใหม่ ผมจะได้เรียนหนังสือ จะได้พบเจอผู้คนและสังคมใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัส ซึ่งความฝันของผมคงไม่มีวันเป็นไปได้หากไม่มีพี่อู๋ หากเขาไม่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาวันนั้น ก็คงไม่มีนายก้องเกียรติในวันนี้

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสี่สิบนาที พี่อู๋ฉลองวันพิเศษด้วยซูชิจากร้านโปรดของเราที่ยูเนี่ยน มอลล์ มื้อนี้เขาจัดเต็มยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มีทั้งซูชิแซลมอน ซูชิหน้ากุ้งขาว ซูชิหน้าทูน่า หน้าหอยปีกนก ซูชิมันปู หอยเชลล์ย่าง แม้แต่คำแพงๆอย่างปลาไหล ไข่แซลมอน และตับห่านก็มี เราฉลองวันแห่งความสุขด้วยกันสองคนจนพุงกาง กินกันเกลี้ยงโต๊ะไม่เหลือซักอย่างแม้กระทั่งน้ำอัดลมที่ซื้อจากเซเว่น หลังกินเสร็จผมก็เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมเหมือนเดิม

พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมจึงเดินไปกอดเขาจากข้างหลัง อ้อนพี่อู๋ด้วยการเอาคางเกยไหล่และพูดว่าผมรักพี่ ผมรักพี่ที่สุดเลยซ้ำไปซ้ำมาหลายหน คุณอิศรินทร์เองคงดีใจที่นานๆทีผมจะทำตัวสมกับเป็นเด็กที่ส่งเสียเลี้ยงดู เขาดึงผมไปกอดและแอบหอมขมับกอริลลาหนึ่งทีก่อนจะไล่ให้ไปอาบน้ำ

“ผมเพิ่งอาบก่อนพี่มาแป๊ปเดียวเอง”

ผมบอกและอ้อนเขาต่อ สิ่งที่แสดงออกตอนนี้เป็นไปตามสัญชาติญาณล้วนๆไม่มีการปรุงแต่ง เพราะผมดีใจและมีความสุข ผมจึงกอดเขา เพราะผมสำนึกบุญคุณของพี่อู๋ ผมจึงบอกรักเขา เมื่อพันแข้งพันขา พูดจาฉอเลาะขอบคุณผู้ปกครองจนหมดมุก ผมจึงเดินเข้าห้องนอนเพื่อจัดหมอนที่ถูกปาอัดกำแพงให้กลับมาเรียบร้อย ขณะที่กำลังตบหมอนให้เข้าทรง ผมแอบได้ยินเสียงพี่อู๋คุยโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าปลายสายคือใคร แต่ที่มั่นใจคือบทสนทนาเป็นเรื่องความสำเร็จของนายก้องเกียรติ พี่อู๋โทรหาคนนั้นคนนี้เพื่อบอกว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงสอบได้แล้วนะ เขาขิงไปทั่วเลยว่าต่อไปผมไม่ใช่กอริลลามอมแมมแล้ว ผมกำลังจะเป็นวิศวกร เห็นไหมว่าเขาหยิบยื่นโอกาสให้ถูกคน ก้องเกียรติไม่ได้เกาะเขากินไปวันๆ เห็นหรือยังว่าก้องเป็นเด็กดี ทีนี้จะอย่าดูถูกก้องอีกนะ เขาน่ะเลี้ยงก้องเกียรติมาดีกว่าที่คนอื่นคิด

การกระทำของเขาทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนที่เราเคยดูด้วยกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาดเกิดจากการทดลอง ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว และอยู่ตัวคนเดียวเหมือนหมาจรจัดจนกระทั่งเด็กหญิงชาวฮาวายที่ชื่อลีโล่เก็บมาเลี้ยง ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ สติทซ์ทำลายข้าวของในบ้านจนพี่สาวของลีโล่โมโหและพยายามจับมันไปปล่อย ถึงสติทซ์จะทำตัวไม่ดี แต่ลีโล่ก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาว่าโอฮาน่า แปลว่า “ครอบครัว” ครอบครัว แปลว่า “เราจะไม่ทอดทิ้งใครเด็ดขาด”

ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมลีโล่ไม่ยอมให้พี่สาวเอาตัวปัญหาไปคืนศูนย์พักพิง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเมื่อได้เจอลีโล่ในชีวิตจริง

เพราะวันนี้กอริลลาจิตป่วยที่เคยถูกทอดทิ้ง -- มีโอฮาน่าเป็นของตัวเองแล้วครับ




TBC


________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ค่ะ!



มาตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วน้า แต่ตอนถัดไปจะค่อนข้างช้าหน่อยนะคะ อาจจะอัปวันศุกร์หน้าเลยเพราะช่วงนี้มีเรื่องต้องทำเยอะมากค่ะ TT ถ้าคิดถึง ส่องแท็กดูแฟนอาร์ตสวยๆจากคุมแม่ๆน้องก้องพลางๆนะคะ แฟนอาร์ตเยอะมาก และสวยมากด้วย อยากแชร์ให้โลกได้เห็นรูปวาดจากแม่ๆจริงๆค่ะ (⺣◡⺣) *

ขออัปเดตนิยายนิดนึงนะคะ ตอนนี้เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้วค่า เราเองก็กำลังรีบปิดเล่มนะคะ ส่วนคุณแม่ที่จะดูแลน้องก้องจนกว่าจะได้วางขายคือทีมคุมแม่จากเฮอร์มิทนะคะ เย้  ตอนนี้บรีฟรูปประกอบบรีฟปกเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือแค่เนื้อหาอย่างเดียว(ซึ่งเขียนได้วันละ200 คำ ปีนี้จะเขียนจบมั้ยแม่) ส่วนหนังสือวางขายเมื่อไหร่นั้นรอประกาศอย่างเป็นทางการจากเฮอร์มิทนะคะ ♡´・ᴗ・`♡

ตอนก่อนหน้าพี่จ๋างงว่า อมก แปลว่าอะไร อมก ย่อมาจาก โอ้มายก้อดนะคะ เด็กมันย่อจนงงเลย ขอโทษจริงๆค่ะ 5555555

ขอขอบคุณทุกๆ คนด้วยค่ะสำหรับกำลังใจน่ารักๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นต์ แท็ก ดีเอม โดเนท หรือการบอกต่อแนะนำนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ทุกๆ กำลังใจสำคัญมาก อยากบอกว่าเพราะความใจดีของทุกคนทำให้น้องก้องเข็นออกมาได้อาทิตย์ละตอน ขอบพระคุณนะคะ แล้วพบกันสัปดาห์หน้าน้า บ๊ายบายค่า

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
แบบว่าโอ๊ยย ดีใจแทนเจ้าก้องงงงงง ตั้งใจเรียนนะลูกกกก ฮืออ ปาดน้ำตาราวกับส่งเสียเอง

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิ้กค้ากกกก ยินดีด้วยนะน้องก้องงง :mc4: เป็นเด็กดีของพี่อู๋ต่อไปนะลูก พี่อู๋นี่ขยันจีบเหมือนไม่ได้จีบ555

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
นี่ดีใจกับน้องเหมือนตัวเองสอบติดเอง 5555

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หลากหลายอารมณ์มากๆเลยค่ะ เครียดเพราะลุ้นผลไปกับก้อง เขินที่พี่อู๋ขอหอแก้ม ซึ้งตอนท้ายที่พี่อู๋ภาคภูมิใจในตัวน้องที่น้องสอบติด
ยินดีกับน้องก้องด้วยน้าาา เข้ามหาลัยเจอผู้คนใหม่ๆเจอเพื่อนใหม่เจอสังคมใหม่ๆ พี่อู๋จะแอบหวงมั้ยนะ5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด