32 [PART 2/3]
ผมจดกำหนดการสำคัญเอาไว้ในปฏิทิน วันที่สิบเก้ามิถุนานี้ผมต้องไปตรวจสุขภาพที่สำนักหอสมุด ข้ามไปวันที่สามกรกฎาต้องเตรียมเอกสารหลายอย่างมากเพื่อรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษา – เตรียมเงินสองร้อยบาทจ่ายค่าบัตรด้วย วันที่แปดมีปฐมนิเทศผู้ปกครองตอนเช้า แต่พี่อู๋ไม่ว่าง วันที่เก้าคือ Pre Engineering Camp วันที่สิบถึงยี่สิบสามมีเรียนปรับพื้นฐาน ยี่สิบเก้ากรกฎาถึงหนึ่งสิงหามีค่ายของภาควิชา วันที่สองสิงหามี Open Room วันที่สามสิงหางาน First Step วันที่ห้าสิงหา ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่และเปิดเรียน – กำหนดการแน่นขนาดนี้ พี่อู๋จึงรีบพานายก้องเกียรติไปซื้อชุดนักศึกษาก่อนเดือนกรกฎา
“ไหนลองขยับแขนซิ” ผมทำตามคำสั่งเขา “เหยียดแขนไปข้างหลังหน่อย” ผมเปลี่ยนอิริยาบถตามที่ผู้ปกครองสั่งทันที พี่อู๋ใช้สายตาพินิจพิจารณาแค่ชั่วครู่ก็บอกว่าตัวนี้ไม่ได้ รัดแน่นเกินไป ปลิ้นเหมือนแหนม
“แขนเสื้อยาวพอดี” พี่อู๋พูดงึมงำๆคนเดียว “ชุดนักศึกษาต้องใส่ในกางเกงให้เรียบร้อย ชายเสื้อต้องยาวประมาณ --” เขาใช้นิ้ววัดความยาวตั้งแต่ช่วงเอวจนสุดชายเสื้อก่อนจะพยักหน้าพออกพอใจ “เอาไซส์นี้แหละ”
“ผมแค่ใส่ไปเรียนหนังสือเอง”
“แล้วไง?” พี่อู๋ถามอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเลือกกางเกงต่อ “ถ้าเราแต่งตัวดูดี เดี๋ยวอะไรดีๆก็ตามมา”
“ที่นี่เขาตัดเกรดจากคะแนนสอบนะครับ ไม่ใช่เสื้อผ้า”
ผมกลอกตาแต่ก็ยืนเป็นหุ่นลองเสื้อตามใจผู้ปกครอง สมาร์ทบอกว่าชุดนักศึกษาไม่ต้องซื้อเยอะเพราะเทอมสองจะได้ใส่เสื้อช็อป ไว้วันที่รายงานตัวค่อยไปสั่งที่คณะ ส่วนเข็มขัดไม่ต้องเพราะสมาร์ทมีตั้งสี่เส้น มาเอาไปได้เลย เอ้อ – เนกไทก็ไม่ต้องซื้อนะ ช่วงเดือนสิงหา มหาวิทยาลัยมีพิธีมอบเนคไทและเข็มประดับ ไม่ต้องรีบซื้อให้เปลืองสตางค์ รอรับของฟรีในวันนั้นดีกว่าเพราะเนกไทใส่แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หายแล้ว
ตอนแรกผมบอกพี่อู๋ว่าไม่ต้องรีบเซ็นสัญญาหอเพราะผมจะไปค้างที่ลาดกระบังเดือนสิงหาทีเดียว แต่กิจกรรมมันแน่นมากพี่อู๋ก็เลยเป็นห่วง ไม่อยากให้ผมเดินทางไปกลับดึกๆดื่นๆก็เลยต้องย้ายของเข้าไปก่อน จะอยู่กี่วันค่อยว่ากัน น่าเสียดายที่พี่อู๋ไม่ว่างไปรับไปส่งเพราะต้องทำงาน ดังนั้นผมจึงเดินทางไปมหาวิทยาลัยคนเดียว เรียกมันว่าการผจญภัยครั้งใหญ่ของนายก้องเกียรติก็ได้เพราะครั้งนี้ไม่มีสมาร์ทคอยช่วย ผมต้องนั่งเอ็มอาร์ทีไปลงสถานีเพชรบุรี ต่อแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ไปสถานีลาดกระบัง นั่งรถสองแถวที่เขียนคำว่าเทคโนฯเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นเดินหาอาคารที่คนเดียว หลงหน่อย เหนื่อยหน่อย ป้ำๆเป๋อๆหน่อยแต่ก็สนุกดี
ผมไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีเพื่อนเยอะ แต่อย่างน้อยถ้ามีซักคนก็คงดีจะได้ช่วยๆกันตอนเรียน วันรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษา ผมเจอกลุ่มเพื่อนที่เข้าหาชวนคุยประมาณสองสามคน แต่พอหมดวันเราก็แยกย้ายเพราะจูนกันไม่ติด ผมจึงยังไม่มีเพื่อนที่คุยกันได้เลยซักคน
วันนี้มี Pre Engineering Camp ผมแอบหวังว่าจะมีใครเข้าหาอีกเพราะผมเป็นคนขี้อายมาก แทบไม่เคยเป็นฝ่ายถามชื่อใครเลยยกเว้นโดนถามก่อน แต่หมดช่วงเช้าแล้วผมก็ยังไม่มีกลุ่มเพื่อน ทุกคนแยกย้ายไปนั่งจับกลุ่มกินข้าวกัน ส่วนผมกับบางคนที่โลกส่วนตัวสูงปลีกตัวไปนั่งกินเงียบๆคนเดียว ผมไม่ใช่คนติดเพื่อน จะมีเพื่อนหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหา แต่การอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เริ่มสนิทสนมกันมันแอบกดดันแปลกๆ ผมถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่มีเพื่อนเสียที ผมดูหยิ่งมากเหรอ ผมตัวเหม็นเหรอ ทำไมไม่มีใครเข้ามาถามชื่อผมเลยล่ะ ผมครุ่นคิดหนักอกหนักใจระหว่างกินข้าวมันไก่ จนกระทั่งเห็นกระโปรงนักศึกษาหยุดอยู่ระดับสายตาพอดี ผมเงยหน้ามอง เจอผู้หญิงที่น่ารักมากๆถามว่าทำไมกินคนเดียวอ่ะ กินด้วยได้หรือเปล่า
“เอาสิ”
ผมผายมือเชิญให้เธอนั่ง เพื่อนใหม่ที่ห้อยป้ายชื่อเหมือนๆกันวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้นแล้วนั่งกินเป็นเพื่อน ผมแอบเหลือบมองเธอหลายหน มองอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะเธอเป็นคนสวย ลำพังแค่เพื่อนผู้หญิงก็เข้าหาลำบากแล้ว ทำไมต้องสวยด้วย รู้ไหมมันกดดัน
“ชื่อไรอ่ะ?”
“อ๋อ เราชื่อก้องนะ” ผมแนะนำตัวพร้อมชูป้าย เธอชูของตัวเองบ้างและบอกว่าชื่อทราย
“ทำไมนั่งคนเดียว?”
“ไม่รู้จะนั่งกับใคร”
“แล้วนี่เรียนภาคอะไร?”
“แมคคา” ผมตอบ ทรายเลิกคิ้วแล้วบอกว่าเธอเองก็เรียนแมคคาทรอนิกส์เหมือนกัน
“อาจารย์พูดไรไม่รู้ แม่งง่วงว่ะ” ทรายบ่นงุบงิบตามประสา ท่าทางเหมือนลูกคุณหนูขี้รำคาญที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร ผมถามเธอว่าทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ ไม่นั่งกับกลุ่มผู้หญิงฝั่งโน้นเหรอ
“อ๋อ เห็นยายนั่นไหม?” ทรายเอาส้อมชี้ไปที่ผู้หญิงผมหยักศกใส่แว่น เธอกำลังฉีกยิ้มหัวเราะร่ากับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางสนุกสนาน “มันชื่อฟ้าใส เราเกลียดมัน”
“เขาไปทำอะไรให้อ่ะ?”
“เรามาจากโรงเรียนเดียวกับมัน อีนั่นมันตีสองหน้า” ทรายด่าพลางใช้ช้อนสับไก่ในกล่องโฟมจนแทบแหลก “มันชอบเสี้ยมให้คนเกลียดกัน แล้วตัวเองก็รับบทนางฟ้าสวยๆ”
“ถ้าไม่อยากมีเพื่อนเก่งๆ ทรายจะอยู่กับเราก็ได้นะ”
“โอ๊ย เราก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เกรดมอปลายได้แค่สองจุดเจ็ดเอง”
โอเค – ผมจะไม่พูดเรื่องเกรดกับทราย
“เออ ก้องเป็นคนที่ไหนอ่ะ?”
ทรายชวนคุย แล้วเราก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน ผมบอกทรายแค่ว่ามาจากลาดพร้าว อาศัยอยู่กับผู้ปกครองสองคนในคอนโดขนาดกลาง ส่วนทรายเป็นลูกสาวคนที่สามของร้านทำเบเกอรี นอกจากจะต้องมาเรียนแล้วยังต้องกลับไปช่วยที่บ้านทำขนมทุกวันหยุดอีก ผมถามทรายว่าร้านชื่ออะไรเหรอ ถ้ามีโอกาสก็อยากลองชวนพี่อู๋ไปกินบ้าง ทรายบอกว่าไม่มีชื่อหรอก บ้านทรายแค่ทำขนมแล้วขายต่อให้แต่ละเจ้าไปแปะสติ๊กเกอร์เป็นแบรนด์ตัวเอง
“นี่ถ้าเราสนิทกันเร็วนะ เย็นนี้จะชวนไปตีแป้งที่บ้าน ขี้คร้านจะทำ”
“บ้านทรายอยู่ไหนเหรอ?”
“บางพลี” ทรายดูดนิ้วที่เปื้อนน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ผู้หญิงอะไรหน้าสวยผิวสวย แต่ตอนกินโคตรมูมมามเหมือนพี่อู๋เลย “เออ แล้วเราต้องลงทะเบียนวันไหนนะ?”
“เขาบอกว่าปีหนึ่งไม่ต้องลง รอลงวิชาเลือกวันที่ห้าเดือนหน้า”
“เออ เค” ทรายพนักหน้า “ขอไลน์หน่อยดิก้อง”
“อื้อ ได้สิ”
เราแลกคอนแท็คกัน พอเห็นรูปโปรไฟล์ของผมทรายก็ถามว่าทำไมใช้รูปนารูโตะ ผมบอกเธอว่าผมชอบ สนุกดี แต่ไม่ได้อ่านต่อนานมากแล้วเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ
“จริงๆไลน์ควรเป็นรูปก้องนะ เวลาคนอื่นอยากคุยจะได้หาแชทง่ายๆ”
“เราไม่มีรูปตัวเองในมือถือเลย”
“ไม่ถ่ายบ้างเหรอ?”
“ถ่ายนะ แต่อยู่ในโทรศัพท์พี่อู๋อ่ะ”
“งั้นถ่ายดิ มา เราถ่ายให้”
ผมไม่ค่อยมั่นใจ แต่พอทรายยกไอโฟนของตัวเองจะถ่ายให้ ผมจึงยิ้มแหยๆ ทรายบอกว่าถ้ายิ้มเหมือนถูกบังคับให้กินอึ๊ก็ทำหน้าบึ้งไปเลยเถอะ จะได้ไม่ต้องครึ่งๆกลางๆ ผมจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าถูกใจคุณนายทรายไหม แต่พอเธอส่งรูปมาให้ทางไลน์ มันค่อนข้างออกมาดูดีเลย
“ใช้แอปอ่ะ ถ่ายออกมาไม่หล่อให้ถีบยอดหน้าเลย”
ผมหัวเราะและเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ทันที หลังจากนั้นไม่นานพี่อู๋ก็ทักมาถามว่าเปลี่ยนรูปใหม่เหรอ ใครถ่ายให้ มีเพื่อนใหม่หรือยัง ผมจึงบอกทรายว่าขอเซลฟี่ด้วยหน่อยสิ พี่อู๋อยากเห็นหน้าเพื่อน ทรายจัดให้ตามคำขอ เธอชูสองนิ้วแนบแก้มทำปากจู๋ ท่าทางดูกวนตีนมากกว่าให้ออกมาแอ๊บแบ๊วน่ารัก
“พี่อู๋ถามว่าทำไมเพื่อนสวย”
“ขอบคุณนะคะพี่ แต่หนูมีแฟนแล้ว” ทรายจีบปากจีบคอพูด ผมอยากเอาน้ำจิ้มฉีดใส่หน้ามันจริงๆ “เอ้อ -- พี่อู๋ที่เป็นผู้ปกครองนี่คือพี่ชายหรือญาติของก้องเหรอ?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างอ่ะ แค่บังเอิญเจอกัน”
“จริงจัง? เรื่องมันอะไรยังไงไหนเล่าซิ?”
ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่ค่อยอยากเล่าเพราะเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นสามารถแชร์เรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทรายยังคงนั่งหลังตรงและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่ผมไม่ได้เล่า ผมไม่พูดอะไรซักคำจนกระทั่งหมดเวลาพัก เราจึงเดินไปทิ้งข้าวกล่องลงถังขยะและแยกย้ายไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นหอประชุมอีกครั้ง
ผมบอกทรายว่าจะรอตรงตู้กดน้ำ เธอตอบแค่โอเคแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำหญิง ผมมองเพื่อนร่วมคณะเดินขึ้นบันไดกันเป็นกลุ่ม พวกเขาส่งเสียงคุยจอแจเพราะคงกำลังทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ถ้าเป็นก่อนหน้าผมคงเศร้านิดหน่อยที่ไม่มีใครเข้าหา แต่ตอนนี้ผมมีทรายแล้ว คิดว่าน่าจะไม่ต้องกังวลอะไรเท่าไหร่ล่ะมั้ง
“เอ่อ – หนู”
เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้ผมตกใจ ผมรีบตอบครับโดยอัตโนมัติเมื่อพบคุณลุงที่ดูมีอายุคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างท้วม หน้าตาออกจีนๆ ผิวขาวซีด สวมเสื้อคอปกแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำ โดยรวมแกแต่งตัวดีมาก แต่ดูเงอะงะเหมือนไม่ใช่อาจารย์ที่นี่ น่าจะเป็นผู้ปกครองที่รอรับลูกหรือไม่ก็หลานกลับบ้าน
“ห้องน้ำอยู่ไหนเหรอ?”
“ทางนี้ครับ ข้างหลังนี้เลย”
ผมชี้นิ้วไปด้านหลัง คุณลุงมองตามก่อนจะบอกขอบอกขอบใจแต่ไม่รีบเดินไปไหน แกยืนยิ้มอย่างนั้นอยู่นานมาก และเอาแต่จ้องนายก้องเกียรติตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเจอของแปลก
“ให้ผมพาไปไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวลุงไปเอง”
เขายิ้มแล้วยอมเดินจากไป สวนทางกับทรายที่เดินสะบัดมือออกมาพอดี ทรายถามว่ารอนานไหม พอดีปวดขี้ก็เลยแวะหย่อนระเบิดหน่อย ผมบอกว่าไม่นานหรอก แค่ตอนนี้เราเรียนจบแล้ว ผมกำลังส่งเรซูเม่สมัครงานพอดี
“เว่อร์ว่ะ”
ทรายหัวเราะ แล้วเดินข้างผมกลับเข้าหอประชุม การมีเพื่อนเป็นคนที่หน้าตาดีมากๆมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเรากลายเป็นจุดสนใจโดยไม่ต้องพยายาม ทุกคนหันมองทรายจนคอแทบเคล็ดเพราะทรายสวยจริงๆ แต่เบื้องหลังความสวยคือการบอกเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันว่าไปขี้มา จะดมไหม ไม่ได้ใช้เจลล้างมือนะ มันหมด
“โสโครก”
ผมด่าทีเล่นทีจริง แต่ทรายไม่ยักโกรธ ตกบ่ายเราจึงย้ายมานั่งข้างกัน กิจกรรมที่รุ่นพี่จัดให้ไม่ได้ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ แน่นอนว่าทรายย่อมเป็นจุดสนใจเพราะเป็นคนสวย พอทรายมาอยู่กับผม เราก็เริ่มมีเพื่อนชวนคุยขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ผมรู้จักมิว เต้ โบ้ท อาร์ท และเชอร์รี่ มีอีกคนที่เข้ามาทักพวกเรา เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อออกัสแล้วนั่งจับกลุ่มกับผมกลายเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเพื่อนๆพูดกันลับหลังว่าออกัสเป็นเน็ตไอดอล น่าจะได้เป็นเดือนคณะ หรือไม่ก็เดือนมหาลัยของปีเราเลย
“ตอนเช้ายังเก๊กไม่คุยกับใคร พอเห็นทรายก็เสนอหน้ามาเลย หน้าหม้อชิบหาย ไอ้หม้อราชบุรี”
โบ้ทแอบกระซิบด่าออกัสให้นายก้องเกียรติฟัง ผมบอกโบ้ทว่า บ้า มึงอ่ะคิดมาก เขาอาจจะเป็นคนขี้อายก็ได้เลยไม่กล้าเข้าหาใครก่อน ถึงจะมีซุบซิบกันบ้างแต่เพื่อนกลุ่มแรกของผมค่อนข้างเฟรนลี่ก็เลยโอเค ถูๆไถๆกันไป เรานั่งด้วยกันจนหมดชั่วโมงกิจกรรมจึงชวนกันไปหาข้าวกิน ออกัสเสนอว่าอยากกินชาบู โบ้ทบอกอยากกินบะหมี่เกี๊ยว มิวอยากกินของเบาๆราคาไม่แพงเพราะเพิ่งซื้อบ้องไฟเกาหลีมา นายก้องเกียรติอะไรก็ได้ ตามใจทุกคน ส่วนทรายไม่กิน จะกลับบ้านไปทำขนมเพราะป๊าโทรตามแล้ว
“งั้นกินอาหารจานเดียวก็ได้ ทรายจะได้กลับไวๆ” ออกัสเสนอ
“กูบอกแล้วว่าไอ้เหี้ยนี่มันหม้อราชบุรี” โบ้ทกระซิบอีก ผมจึงบอกโบ้ทว่า ถ้ามึงยังไม่เลิกเอาจังหวัดราชบุรีต่อท้ายคำว่าหม้อ กูจะฟ้องผู้ว่า
ทรายกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกเพราะส่วนหนึ่งอยากกินข้าวกับเพื่อนด้วย อีกส่วนก็ต้องรีบไปช่วยที่บ้านทำขนมด้วย แต่สุดท้ายความใจแตกของทรายก็เลือกบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงกับเพื่อนๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเจ็ดนาที เราแยกย้ายกันตรงคิวรถตู้
“จริงๆถ้าทรายรีบ เราไปส่งทรายก็ได้นะ เรามีรถยนต์”
“อย่าเลยออกัส เสียเวลาเปล่าๆ บ๊ายบายนะทุกคน”
เธอเดินดุ๊กดิ๊กๆขึ้นรถเก๋งคันนึงแล้วออกไปโดยเหลือผมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ไว้เบื้องหลัง
“กูอยู่ซอยเกกีสอง มึงอ่ะก้อง?”
“เกกีหนึ่ง”
“งั้นไปมอไซค์กับกู เดี๋ยวกูไปส่ง”
โบ้ทอาสา ผมจึงกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ร้ายๆของมันจนถึงหอ ผมขอบใจมันก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้มีเรียนปรับพื้นฐานนะ อย่ามาสายล่ะ มันตอบเออๆแล้วขับรถจากไป นายก้องเกียรติจึงขึ้นห้อง วางกระเป๋าเป้บนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะกระโดดนอนบนเตียง คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีพี่อู๋ และต้องอยู่ที่นี่อีกสามวันกว่าจะได้กลับลาดพร้าวไปเจอเขา ว่าแล้วก็โทรหาคุณอิศรินทร์หน่อย อยากรู้จังว่าบ้านที่ไม่มีนายก้องเกียรติเงียบเหงาบ้างไหม
“พี่กำลังขับรถกลับบ้านเลยเนี่ย” พี่อู๋บ่นเซ็งๆ ไม่แปลกใจที่ป่านนี้เขายังไม่ถึงบ้าน การจราจรช่วงเลิกงานไม่เคยน่ารักสำหรับเรา “วันนี้เป็นไงบ้าง? นอกจากทรายแล้วมีเพื่อนคนอื่นอีกไหม?”
ผมตอบว่ามีและเล่าให้ฟังยาวเหยียดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีกิจกรรมอะไร อาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร รุ่นพี่ใจดีหรือเปล่า ผมเล่าเชิงนินทาให้พี่อู๋ฟัง ผมบอกเขาว่าคนที่ชื่อออกัสหน้าหม้อมาก ท่าทางคงจะชอบทรายจริงๆถึงพยายามตื๊อขนาดนี้ แต่ทรายบอกผมว่ามีแฟนแล้ว ไม่รู้ว่าออกัสรู้ไหม เขาควรรู้นะจะได้ไม่เจ็บหนักมาก
“ก้องเรียนปรับพื้นฐานถึงวันไหน?”
“วันที่สิบสองนี้ครับ”
“เดี๋ยวเลิกงานพี่ขับรถไปรับนะ”
ผมรีบปฏิเสธและบอกพี่อู๋ว่าอย่ามาเลย ลาดกระบังช่วงเลิกงานรถติดหนักไม่แพ้ลาดพร้าว อีกอย่างกำหนดการเลิกสี่โมงครึ่ง ถ้าผมนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านน่าจะถึงไวกว่ารอพี่มารับ ไว้เจอกันที่ลาดพร้าวนะครับ ผมจะซื้อบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงไปฝาก หน้าตลาดมีร้านนึงอร่อยมาก ผมกินแล้วคิดถึงพี่เลย ผมอยากให้พี่มากินด้วยกัน
“ไว้คราวหน้าก้องพาพี่ไปกินบ้างนะ”
ผมตอบครับแล้วคุยกันเรื่องอื่นต่อ สิ่งที่พี่อู๋ค่อนข้างกังวลคือเรื่องรับน้องเพราะได้ยินมาตลอดว่าวิศวะรับน้องโหด ผมบอกให้ผู้ปกครองสบายใจว่าที่นี่ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนที่เป็นข่าวเพราะยังไม่เจอพี่คนไหนหน้าหงิกหรือขึ้นเสียงใส่ อีกอย่างผมอายุพอๆกับรุ่นพี่ด้วย ถ้าว้ากมาก็ว้ากกลับไม่โกง พี่อู๋หัวเราะชอบใจ เขาบอกว่าให้มันจริงเถอะ บทสนทนาของเราเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่มีอะไรจะคุยต่อ ผมจึงโพล่งบอกพี่อู๋ว่าผมคิดถึงเขา คืนนี้เป็นคืนแรกที่ต้องนอนคนเดียว ผมกลัวผีมากเลย
“อยากกลับบ้านไหม? เดี๋ยวพี่ไปรับ”
“พี่อย่ามาเลย มันดึกแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้พี่ต้องทำงานแต่เช้า”
“ก็ก้องบอกว่าเหงา”
“ผมไม่ได้พูดว่าเหงา ผมพูดว่าคิดถึงพี่ต่างหาก”
พี่อู๋เถียงขาดใจ เขาบอกว่าประโยคก่อนหน้าที่ผมพูดมันหมายความว่าเหงานะจ๊ะพ่อรูปหล่อ ขับรถมาหาหน่อยสิ ผมแว้ดใส่พี่อู๋ว่าเขาจะตีความสิ่งที่ผมพูดผิดๆเพี้ยนๆไม่ได้ ผมคิดถึงก็บอกว่าคิดถึง ไม่ได้พูดอ้อมๆขอให้มาหา ถ้าผมอยากให้พี่มา ผมจะบอกเอง
“คืนนี้ก้องจะหลับไหมเนี่ย” พี่อู๋พึมพำลอยๆ ผมให้คำตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าจะนอนหลับไหม “เปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนสิ เดี๋ยวก็หลับ”
ผมตอบเขาว่าคงต้องทำแบบนั้นแหละ เราคุยกันอีกชั่วโมงกว่าๆผมถึงบอกให้พี่อู๋วางสาย เขาควรอาบน้ำเข้านอนได้แล้ว ผมเองก็จะไปอาบน้ำนอนเหมือนกัน
เราบอกลาทางโทรศัพท์ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หลังทำความสะอาดตัวเองเสร็จก็ออกมานั่งจัดกระเป๋าเตรียมตัวสำหรับเรียนพื้นฐาน ผมเช็กปากกาดินสอ เช็กว่ามีสมุด มีแฟ้มใส่เอกสารหรือยัง พรุ่งนี้ทางคณะอนุญาตให้สวมชุดสุภาพ ผมจึงรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กระโดดขึ้นเตียง ไม่รู้ก่อนเจอพี่อู๋ผมอยู่คนเดียวได้ยังไงเป็นเดือนๆ มีทีวีเครื่องเดียวก็ผ่านวันไปได้แต่คืนนี้กลับไม่ง่ายเหมือนที่คิด จากที่เคยล้อพี่อู๋ว่าอย่าร้องไห้คิดถึงผมนะ กลับกลายเป็นว่านายก้องเกียรติคือฝ่ายร้องไห้เสียเองเพราะคืนแรกที่ไม่ได้นอนด้วยกันมันโหวงในอกมากๆ ผมอยากให้พี่อู๋มารับกลับบ้านตอนนี้เลยจริงๆ
☁
กว่าจะปรับตัวเข้ากับชีวิตเด็กหอได้ก็เกือบสิ้นเดือน ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่ชวนกันไปกินข้าวและเที่ยวเล่นหลังหมดกิจกรรมจนเราค่อยๆคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น ผมไม่เหงาเท่าเมื่อก่อนเพราะต้องทำนั่นทำนี่ตามตารางที่พี่ๆจัดวางไว้ เมื่อวานเป็นวัน Open Room หรือพูดง่ายๆคือวันจับสายรหัส ที่นี่จะแบ่งออกเป็นสิบห้อง ชื่อนายก้องเกียรติขึ้นต้นด้วยก.ไก่ก็เลยได้อยู่ห้องแรก พอจบกิจกรรมผมก็กลับไปรอผู้ปกครองที่หอเพราะพี่อู๋บอกว่าคืนนี้จะมาค้างด้วย หลังเสร็จงาน First Step ในวันที่สาม เขาจะพานายก้องเกียรติกลับไปนอนลาดพร้าวแล้วค่อยมาส่งใหม่ตอนเย็นวันอาทิตย์
ทีแรกผมตั้งใจรอกินข้าวกับพี่อู๋ แต่รถติดหนักมากเขาก็เลยบอกให้ไปหาอะไรกินก่อน ผมเดินออกไปซื้อข้าวแถวนี้คนเดียว ขณะรอข้าวในร้านตามสั่ง ผมก็เจอคุณลุงที่เคยถามทางไปห้องน้ำอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่าเลยไม่ยกมือไหว้ทักทาย แต่ดูเหมือนแกจะจำได้เลยถามผมว่าอยู่แถวนี้เหรอ อยู่กับใครล่ะ กับเพื่อนใช่ไหม ผมบอกว่าเปล่าครับ อยู่คนเดียวในเกกีหนึ่ง
“ลุงมารอรับหลานเหรอครับ?”
“มารอลูกชายน่ะ”
“อ๋อ – ครับ”
ผมพยักหน้ายิ้มๆ ว่าจะถามถึงลูกแกหน่อยแต่กลัวว่าดูสาระแนเกินไปเลยไม่ถามดีกว่า หลังยืนรอข้าวผัดเกือบสิบนาที คุณป้าเจ้าของร้านก็ใส่ถุงส่งให้นายก้องเกียรติ ผมควักเงินเตรียมจ่ายค่าข้าวแต่คุณลุงกลับบอกว่าไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแกจ่ายให้ ผมรีบปฏิเสธเพราะไม่เข้าใจว่าจะจ่ายค่าข้าวให้ผมทำไมในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมแค่บอกทางไปห้องน้ำเองนะ ไม่เห็นต้องดีกับผมขนาดนี้เลย
เมื่อเถียงไม่ทันผมจึงรับถุงข้าวกลับมาถืองงๆ ยกมือไหว้ขอบคุณคุณลุงก่อนจะหันหลังเดินกลับหอ ระหว่างทางเจอออกัสเดินสวนมาพอดี เขาถามผมว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอบอกว่ากินในห้อง เขาก็ชวนไปกินข้าวเป็นเพื่อน
“แต่เราซื้อข้าวมาแล้วนะ”
“งั้นรอเราซื้อข้าวแป๊ป เดี๋ยวไปกินใต้หอเราก็ได้”
ผมเป็นคนปฏิเสธใครไม่เก่งก็เลยปล่อยตามน้ำ ยอมนั่งกินข้าวใต้ของออกัสตามคำชวนเพื่อนใหม่ บางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะชวนผมมากินด้วยทำไมในเมื่อมาแล้วก็นั่งใบ้ใส่ ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดนอกจากเหลือบมองคนที่ผ่านมาเจอเราสองคนแอบซุบซิบคุยกันว่านั่นน้องออกัส ออกัสวิศวะที่หล่อๆ ออกัสในทวิตเตอร์ไง มากินข้าวกับใครอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย
อ่า – ขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนเห็นภาพออกัสกินข้าวกับลิง เดี๋ยวหมดกล่องนี้กอริลลาก้องจะรีบกลับห้องตัวเองเลยครับ ขอโทษจริงๆที่ทำให้ตกใจ กอริลลามันก็ไม่ได้อยากโผล่มาแถวนี้หรอก แต่ปฏิเสธคำชวนออกัสของทุกคนไม่ได้ต่างหาก
หลังกินข้าวเสร็จผมก็ขอตัวกลับ กลับได้ง่ายๆเลยแค่เอากล่องโฟมไปทิ้งแล้วบอกว่าไปละ ก็คือจบ นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที พี่อู๋น่าจะยังไม่ถึงลาดกระบังเร็วๆนี้ ผมก็เลยนอนไถโทรศัพท์ เล่นไปซักพักก็เจอประกาศด่วนจากสำนักงานกิจการนักศึกษา รายละเอียดประกาศเรื่องยกเลิกกิจกรรมรับน้องรถไฟ แต่ให้เข้าร่วมกิจกรรม First Step ตอนเจ็ดโมงเช้าได้ตามกำหนดการเดิม
ผมรีบกดโทรศัพท์บอกพี่อู๋ว่าพรุ่งนี้เราไม่ต้องตื่นเช้าไปสถานีหัวลำโพงแล้วนะ ทางมหาวิทยาลัยเพิ่งประกาศยกเลิกเมื่อกี๊เอง คุณอิศรินทร์ถามต่ออย่างมีความหวังว่ายกเลิกกิจกรรมทั้งวันเลยใช่ไหม ผมบอกว่าไม่ใช่ พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องเข้ามอเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไปสายได้นิดหน่อย รุ่นพี่นัดเจอตอนเจ็ดโมงเช้า
“พี่อู๋ถึงไหนแล้วครับ?”
“ใกล้แล้วล่ะ” เขาบอก แต่ใกล้ของเขาไม่รู้ใกล้แค่ไหน อาจจะอีกสามสิบกิโลเมตรก็ได้ “นอนเล่นพลางๆ ถึงแล้วเดี๋ยวพี่โทรหา”
ผมตอบครับๆและนอนอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตต่อ พอสี่ทุ่มเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ผู้ปกครองของผมมาถึงแล้ว มาพร้อมกับของกินเต็มสองมือ ผมช่วยเขาขนของขึ้นห้องและนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้มีเรื่องให้คุยเยอะแยะเลย เริ่มจากระเบิดกลางกรุงก่อน แต่ผมขอตัดคำหยาบที่พี่อู๋ด่ารัฐบาลออกก็แล้วกันนะ หลังจากนั้นตามด้วยเรื่องกิจกรรมจับสายรหัสวันนี้ พี่อู๋ถามว่าเป็นไง มีคนเข้าหาเยอะไหม ผมบอกว่าไม่เลย ไม่มีใครเข้าหาผมตรงๆ ทุกคนเข้ามาชวนคุยเพราะผมอยู่กับทรายและออกัสเท่านั้น แต่ผมไม่รู้สึกน้อยใจเท่าไหร่ ดีเสียอีกที่ไม่ค่อยเป็นที่จดจำของใคร เวลาโดดกิจกรรมจะได้ไม่มีใครจำได้
“พี่ทำงานเหนื่อยไหม?”
“เหนื่อยสิ” พี่อู๋บ่นอ้อนๆ “ก้องบีบหลังให้พี่หน่อย พี่เมื่อยมากเลย”
ดังนั้นหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทาแป้งเย็นจนหอมฟุ้ง นายก้องเกียรติก็นวดให้ผู้ปกครองตามคำขอ ทั้งบีบ ทั้งขยำ และทำมือสับๆเหมือนที่เคยเห็นในหนังทุกกระบวนท่า พี่อู๋เหมือนคนแก่ที่ต้องให้ลูกหลานบีบนวดให้เปี๊ยบเลย เขาร้องอาๆอย่างพอใจเมื่อผมสับมือตรงจุดปวดเมื่อย อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆเอง ทำไมชอบทำตัวแก่จัง
นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสิบแปดนาที นายก้องเกียรติปิดไฟเตรียมตัวเข้านอนพร้อมผู้ปกครอง เพราะวันนี้พี่อู๋เหนื่อยมามากแล้วผมก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องคุณลุงแปลกหน้ากับออกัสให้ฟัง ผมตั้งใจว่าพรุ่งนี้หลังเสร็จกิจกรรมจะพาพี่อู๋ไปดูสถานีรถไฟ ถึงตอนนั้นค่อยเล่าก็แล้วกันว่ามีเรื่องประหลาดเกินขึ้นตอนที่เขาไม่อยู่ คุณอิศรินทร์ต้องน้ำลายฟูมปากแน่ๆถ้ารู้ว่ามีผู้ชายหล่อๆชวนผมไปกินข้าวด้วย ผมล่ะอยากให้เขารู้จัง ผมอยากเห็นจริงๆว่าเขาจะปั้นสีหน้ายังไง
Part 3 ต่อข้างล่างเลยค่ะ