เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 124245 ครั้ง)

ออฟไลน์ Panza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮือออ ชอบบบ ชอบความเกรี้ยวกราดของกอลิล่าก้องอยากกลับจรัญสนิทวงศ์แล้ว5555 พี่อู๋มีพัฒนาการแล้วนะคะ บอกชอบน้องแล้ว ชอบแล้วก็กรุณาทำตัวให้ดีๆ ทำงานทำการ ส่งน้องเรียนได้แล้วพี่จ๋า


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่อู๋ เราแปลออกนะ
 :mew3:
แล้วๆๆๆๆๆๆ
น้องก้องเรียนศิลป์ญี่ปุ้นป้ะลูก
คลุมผ้าห่มหนีความเขินอ๋ออออ
#สายมโน

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พี่อู๋มาบอกรักบอกชอบอย่างนี้ เขินแทน แต่กว่าก้องจะเข้าใจ เฮ้อ เมื่อไหร่ล่ะ  :ling1:

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กรี๊ดดดด เกือบจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่วายแล้วเชียว 555555555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
กรี๊ดเป็นบ้าเป็นบอแทนยัยกอริลล่าก้อง พี่อู๋อาศัยความตลกแดกทำเป็นบอกลิงจั๊กๆนะ พอบอกตรงๆก็บอกให้น้องไม่รู้มันน่านัก สารภาพว่าตั้งแต่อ่านมาไม่เคยมองสองคนนี้เป็นคู่รักเลย เรายอมหยุดแค่สถานะนี้ตลอดไปเพราะหาทางไปไม่เจอว่าต้องมาในรูปแบบไหน แต่เจอพี่อู๋วันนี้รู้ซึ้ง 55555555555555555  :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ Loverouter

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 446
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +471/-12
รักเรื่องนี้ที่สุดเลยค่ะ วันนี้อ่านแล้วยิ้มเหมือนคนบ้า บทพี่อู๋จะน่ารักก็ทำใจเป๋เลย กิสสสสส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2019 08:56:41 โดย Loverouter »

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่อู๋ทำเนียนบอกก้องหรออ5555 หรือที่กอลิลล่าก้องหนีไปนอนเพราะแปลออกใช่มั้ยยย
 เราชอบหนังเรื่องนี้มากเลยค่ะ ชอบคนที่แสดงเป็นเอลิโอมีสเน่ห์มาก


ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องมันน่ารักใช่ไหมล่ะพี่อู๋ ปล.ก้องดูชอบการทำอาหารนะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ fun_la_ong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำเนียนดูหนัง ทำเนียนบอกชอบน้อง แต่เสียใจด้วยน้องไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นโว้ย!!!!! พูดไทยหน่อยก็ไม่ได้

ออฟไลน์ SeaBreeze

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
่ในรอบหลายเดือนของพีาอู๋กับก้อง พึ่งเห็นพี่อู๋ทำอะไรดีๆก็วันนี้ :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
26 [PART 1/2]
ผมไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดอะไรอยู่ ไม่เคยรู้เลยว่าในสมองของชายวัยสามสิบสองที่ตกงานมีเรื่องแบบไหนอยู่บ้าง ผมไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจว่าคุณอิศรินทร์วางแผนชีวิตตัวเองเอาไว้ยังไง แต่สำหรับนายก้องเกียรติในตอนนี้ – แค่คิดว่าต้องทำงานงกๆอาบเหงื่อตากน้ำทุกวันก็อยากร้องไห้แล้ว

ปกติผมไม่ใช่คนขี้เกียจขนาดนั้น แต่งานช่างไม่ใช่ทางถนัดของผม ผมไม่ชอบ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชอบการทำงานในห้องเล็กๆที่ร้อนอบอ้าว ต้องผสมปูน ต้องออกแรงขนของยกของทั้งวัน ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งประกอบตู้ไม้ให้คุณย่า กิจวัตรมันวนเวียนเป็นลูปไม่มีจุดสิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเหนื่อย ผมเซ็ง ผมไม่อยากทำงาน

ไม่อยากทำงาน

ไม่อยากทำงาน

“ผมไม่อยากทำงาน”

นายก้องเกียรติหลุดปากพูดความในใจออกมา ผู้ปกครองของมันร้องฮะ? ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งว่าเมื่อกี๊พูดว่าอะไร

“เปล่าครับ” ผมเฉไฉ “ผมไม่ได้พูดอะไร”

เช้าวันหนึ่ง ผมจึงได้รู้จักกับความรู้สึกไม่อยากลืมตาแบบที่สอง แบบแรกคือตอนป่วย ผมไม่อยากลืมตา ผมอยากตาย อยากตื่นอีกทีก็ไม่ต้องใช้ชีวิต แต่การไม่อยากลืมตาแบบที่สองคือไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง ผมไม่ได้อยากตาย แต่ไม่อยากตื่นมาทำงานที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ได้เงินอีก ทุกเช้าหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ผมจะโมโหจนอยากตะโกนออกมาดังๆว่ากูไม่อยากทำงาน! ไอ้เหี้ย! แต่ก็ทำได้แค่ข่มความโกรธในใจแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ

จริงๆนะ – ผมไม่เข้าใจพี่อู๋
ไม่เข้าใจเลย

ตกบ่าย เราละมือจากงานช่างไปช่วยกันประกอบเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่กำลังต่อตู้เสื้อผ้าให้คุณย่า ผมอยากถามเขาว่าพี่ไม่เหนื่อยเหรอ พี่ไม่เบื่อเหรอ เมื่อก่อนเราเคยมีอิสระกว่านี้ตั้งเยอะ จู่ๆตารางเวลาถูกบีบให้ต้องตื่นมาทำงานที่ไม่ได้เงินทุกวัน ผมถามจริงๆเถอะ พี่ทนไหวได้ยังไง

“ยาผมใกล้หมดแล้ว”

ผมชวนคุยเพราะอยากรู้ว่าพี่อู๋จะเอายังไง

“เดี๋ยวค่อยกลับไปหาหมอ”
“เมื่อไหร่ครับ?”
“อาทิตย์หน้า ในเมืองก็มีหมอ เดี๋ยวพี่พาไป”

พาผมไปหาหมอที่สมเด็จเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้เลยนะ – พาผมกลับไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย

ผมร้องตะโกนอยู่ในใจเพราะพูดออกไปไม่ได้ การบอกผู้มีพระคุณว่า ไม่อยากทำงานแล้ว อย่าบังคับจะได้ไหม คงเป็นเรื่องน่าละอาย ผมละอายใจทุกครั้งที่รู้สึกเกลียดงาน พี่อู๋เองก็กำลังลำบาก ถึงจะขี้เกียจ แต่เขาก็ไม่หนีไปนอนกินแรงคนเดียว เขาอยู่ช่วยผมทำงานทุกวัน ทนฟังคำบ่น คำติของอาเจี๊ยบที่ไม่มีวันจบสิ้น เขาเองก็อยู่ในสถานะเดียวกับผม ถ้าพี่อู๋ทนได้ นายก้องเกียรติก็ต้องทนได้ ใช่ – ต้องทนให้ได้ ต่อให้จะเกลียดการปูกระเบื้องขนาดไหน ถ้าพี่อู๋พูดว่า ไปทำงานกันเถอะ ผมก็จะก้มหน้าก้มตาทำ ไม่ปริปากบ่นให้เขารำคาญ

วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กอริลลาตัวหนึ่งได้แต่กรีดร้องในใจว่าเกลียดอาเจี๊ยบ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กนิสัยเสียที่โดนดุนิดหน่อยก็เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย แต่ให้โกหกว่าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่ไหวเหมือนกัน อาเจี๊ยบชอบพูดเชิงว่าเรามันทางเลือกน้อย มีงานอะไรให้ทำก็ทำไป ผมอยากบอกอาเจี๊ยบว่าเออ ผมมันทางเลือกน้อย ขอโทษที่แม่ตาย ขอโทษที่ไม่กล้าเอ่ยปากขอทุนจากแน คนไม่มีใบปริญญาอย่างผมคงเลือกงานเหมือนคนอื่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมควรได้เลือกว่าจะทำงานอะไรไม่ใช่เหรอ ต่อให้ไม่จบปริญญาตรี – ผมยังมีสิทธิ์หางานอื่นที่ไม่ต้องปูกระเบื้อง ฉาบปูน ทาสี ประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่เหรอ แต่นี่ผมไม่ได้เลือกไง งานรีโนเวทบ้านไม่ใช่สิ่งที่ผมเลือกตั้งแต่แรก ผมถูกบังคับให้ทำทางอ้อม ผมโดนพี่อู๋จับใส่กรอบโดยไม่สมัครใจ ถ้าอาเจี๊ยบบ่นหรือเข้มงวดเรื่องงานช่างเพราะอยากให้บ้านของคุณย่าออกมาสวย ผมไม่ว่า แต่ถ้าอากวดขัน คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ผมตั้งใจทำงานเพื่อเป็นช่างที่ดีในอนาคต ผมขอปฏิเสธความหวังดีของคุณอาก็แล้วกัน เพราะผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่อยากทำงานช่าง ได้ยินไหมครับ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำงาน ไม่อยาก –

“เหนื่อยหม้ายก้อง?”

น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณย่าดังขึ้นข้างหลัง ผมที่กำลังโมโหฟึดฟัดก็ใจอ่อนทันทีเมื่อเห็นคุณย่าหิ้วถังพลาสติกเล็กๆ ใส่แดงโซดาเย็นๆมาให้

“ย่าบอกอู๋แล้วให้จ้างคน”
“ไม่เป็นไรครับ อย่าจ้างให้เปลืองเงินเลย ผมทำได้”

ผมยิ้มและรับน้ำหวานเย็นๆมาดื่ม ถ้าไม่ติดว่าคุณย่าใจดีมากๆ ผมคงโยนทุกอย่างทิ้ง และโบกรถกลับกรุงเทพแล้ว

“งานแบบนี้อย่าทำเลย เหนื่อยเปล่า” ย่านั่งบนเตียงขณะมองกอริลลาก้องใช้ไขควงหมุนน็อต “คุณแม่เสียแล้วเหรอ?”
“ครับ”
“ลำบากหม้าย” (ลำบากไหม?)
“ไม่ครับ ผมไม่ลำบากเพราะพี่อู๋เลี้ยงผมดีมากๆ”
“ย่าใช้แรงก้องทำงานแต่ไม่ได้ให้เงินเลย”
“ไม่เป็นไรครับ แค่ข้าวกับที่นอนก็พอแล้ว”

คุณย่าเงียบไปพักนึงก่อนจะเดินออกจากห้อง สวนทางกับพี่อู๋ที่ปั่นจักรยานไปซื้อไอศกรีมตามคำขอของกอริลลาก้อง คุณอิศรินทร์ส่งไอศกรีมถั่วแดงให้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มุมปากฉีกซอง และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับนายก้องเกียรติที่หน้าบึ้ง ไม่ยอมพูดแม้แต่คำว่าขอบคูณครับตอนเอื้อมมือไปรับไอศกรีม

“พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานนะ พี่จะพาก้องไปเที่ยว”
“เที่ยวไหนครับ?”

ผมถามเซ็งๆ ไม่ตื่นเต้นเพราะเราเคยไปรอบๆบ้านของคุณย่ามาหมดแล้ว ทั้งวัดริมทะเล บ้านญาติที่อยู่ใกล้น้ำตก บ้านกลางสวนยางของเพื่อนคุณย่า ร้านขายของชำปลีกย่อยเราก็ไปเยือนมาหมดแล้ว โลตัสก็ไปมาแล้ว ร้านขายวัสดุก่อสร้างก็ไปจนเบื่อแล้ว ดังนั้นตอนที่พี่อู๋พูดว่าจะพาเที่ยว ผมจึงไม่รู้สึกว้าวอีกต่อไป

“คีรีวง”

ผมไม่รู้ว่าคีรีวงคืออะไร คิดว่าคงเป็นหาดๆนึงที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณย่า แต่วันรุ่งขึ้น พี่อู๋ก็ขับรถย้อนกลับเข้าไปทางตัวเมือง ถึงสี่แยกเบญจมแล้วเลี้ยวขวา พากอริลลาก้องเข้าดงป่าที่ไม่มีวี่แววของหาดทรายเลย

ทางเข้าคีรีวงเหมือนหมู่บ้านลับแล ยิ่งขับเข้าไปเรื่อยๆยิ่งเจอแต่ถนนคดเคี้ยวสูงชันโดยมีผืนป่าโอบล้อมเอาไว้เหมือนหลุดเข้ามาอีกมิติ ผมถามพี่อู๋ว่าคีรีวงไม่ใช่ทะเลเหรอ เขาหัวเราะขำแล้วถามว่าไม่รู้จักคีรีวงเหรอ

“ในพันทิปมีเขียนไว้เยอะแยะ”
“จังหวัดพี่เองแท้ๆ ยังต้องพึ่งพันทิปอีก”
“เมื่อก่อนจังหวัดพี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เพิ่งมาบูมเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ช่วงจตุคาม”
“ทะเลเหรอ?”
“พระเครื่อง” พี่อู๋ส่ายหน้าเพราะนายก้องเกียรติสอบตกวิชาประเทศคอน101 “พี่เห็นก้องเครียดๆ เลยอยากพามาเปิดหูเปิดตา”

ผมนึกขอบคุณพี่อู๋ในใจที่เมื่อผมใกล้ถึงจุดเม้งแตก เตรียมวางแผนโยนเกรียงกับเครื่องมือช่างทิ้ง คุณอิศรินทร์ก็พากอริลลาประสาทแดกมาพักผ่อนหย่อนใจ ต้องใช้คำว่าพักผ่อนหย่อนใจจริงๆเพราะคีรีวงไม่มีร่องรอยของสังคมเมืองใหญ่อยู่เลย ราวกับบ้านเรือนและการใช้ชีวิตถูกสตัฟฟ์ไว้ให้เป็นแบบนี้ เราสามารถแยกคนท้องถิ่นออกจากนักท่องเที่ยวได้ด้วยตาเปล่า ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะดูปกติธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจะมีกล้องถ่ายรูปหรือไม่ก็สวมชุดสวยๆมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ตอนที่ขับรถข้ามสะพานใหญ่ ผมเห็นคนยืนถ่ายรูปกับป้ายสะพานบ้านคีรีวง จุดนั้นไม่เคยว่างเลยเพราะมีนักท่องเที่ยวจ่อคิวถ่ายรูปตลอด พี่อู๋ถามว่าอยากถ่ายไหม ผมตอบทันทีว่าไม่ ถ่ายไปก็ไม่รู้จะให้ใครดู แม่ไม่อยู่แล้ว ใครมันจะสนใจว่าผมไปเที่ยวไหนล่ะ

รถวีออสของเราต้องขับหลบให้รถที่วิ่งสวนมาแทบจะตลอดทาง ถนนที่นี่ค่อนข้างเล็กและแคบ พอเจอทัวร์ลงก็ยิ่งแคบจนแทบไม่ได้เหยียบคันเร่ง พี่อู๋กับผมหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าคนพลุกพล่านไม่ต่างอะไรกับห้างในกรุงเทพเลย เขาบอกว่าช่วยไม่ได้ ประเทศคอนมีที่เที่ยวไม่เยอะ พอที่ไหนแมสก็ไม่แปลกที่คนจะพากันมาพักผ่อนจนแออัด

“อย่าเพิ่งเซ็งสิ” พี่อู๋เอื้อมตัวมาดึงหูนายก้องเกียรติที่ทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างๆ “พี่พามาหาของอร่อยกิน ไม่ได้พามาเบียดคน”
“เราจะค้างที่นี่ไหมครับ?”
“ค้าง” พี่อู๋พยักหน้า กอริลลาก้องหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าต้องติดอยู่ในคีรีวงที่คนเยอะจนหัวไหล่แทบชนกัน “พี่จองห้องบนเรือสำราญไว้แล้ว รับรองก้องต้องชอบแน่ๆ”

จะเรือสำราญหรือไททานิกก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแหละ

ผมคิด หรือจริงๆแล้วอาการนอยด์พวกนี้ไม่ได้เป็นเพราะจำนวนนักท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะหงุดหงิดจากการโดนใช้งานหนักกันแน่ พออารมณ์ไม่ดีทีไรผมชอบดึงหน้าตลอด นึกๆดูก็รู้ตัวว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่น่ารัก แต่ทำไงได้ พอคิดถึงหน้าอาเจี๊ยบ เสียงดุๆของแกก็ดังในหัว คำสอนเกี่ยวกับทางเลือกที่มีไม่มากดังซ้ำไปซ้ำมาจนผมรำคาญ อยากควักเอาสมองตัวเองออกมาจากกะโหลกแล้วล้างน้ำจนกว่าจะลืมอาเจี๊ยบและงานพวกนั้นได้

เราติดยู่บนถนนเกือบสิบหานาทีก่อนพี่อู๋จะลัดอ้อมขึ้นเขา ผมไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหน แต่ขับตามจีพีเอสซักพักถึงรู้ว่าพี่อู๋กำลังพาไปกินข้าว มื้อเที่ยงวันนี้คือขนมจีนป้าเขียว จุดเด่นไม่ใช่รสชาติแต่เป็นจำนวนลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านต่างหาก ยังดีหน่อยที่ร้านเป็นประเภทบริการตัวเองเลยไม่ต้องเสียเวลารอเด็กเสิร์ฟ หลังจอดรถเสร็จเราก็จัดการหาของอร่อยใส่ปาก คุณอิศรินทร์กับนายก้องเกียรติกินขนมจีนไปหนึ่งกิโลครึ่ง ไก่ทอดสี่ชิ้น และปิดท้ายด้วยขนมหวานเป็นข้าวเหนียวดำเปียกอีกสองถ้วย เรากินกันจนพุงกาง กินจนเรอเป็นกลิ่นแกงกะทิ กินจนพี่อู๋ต้องเดินพยุงท้องกลับรถเพราะยัดลงกระเพาะมากเกินไป

“คนโลภ” ผมว่าเมื่อเห็นคุณอิศรินทร์ขยับตัวช้าๆเพราะอิ่มจนจุก “ตอนบ่ายไปไหนครับ?”
“เล่นน้ำตก”

พี่อู๋บอกและขับรถกลับหมู่บ้านคีรีวง เราแวะเก็บกระเป๋าที่รีสอร์ทก่อนจะขับรถขึ้นไปบนภูเขา แน่นอนว่าเราไม่ได้พักบนเรือสำราญเพราะคีรีวงไม่ใหญ่พอสำหรับเรือสำราญ อย่างมากก็มีแค่เรือยางเป่าลมเท่านั้น เจ้าของที่พักบอกว่าบนเขามีของกินเพียบ ร้านพิซซ่า ร้านกาแฟ ร้านส้มตำไก่ย่าง มีกิจกรรมคลายร้อนมากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่ พี่อู๋ดูตื่นเต้นใหญ่เมื่อพูดว่าจะเล่นน้ำจนผมไม่แน่ใจว่าทริปนี้เกิดขึ้นเพื่อใคร เพื่อนายก้องเกียรติที่โมโหฟึดฟัดเรื่องงาน หรือเพื่อคุณอิศรินทร์จะได้ย้อนวัย กลายร่างเป็นเด็กกะโปกเที่ยวเล่นไปเรื่อยกันแน่

นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงสี่สิบสองนาที

พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าที่จอดรถสามสิบบาทและมุ่งตรงไปจุดเล่นน้ำที่มีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด มองจากสายตาแล้วน่าจะมีเกือบๆห้าสิบคน พวกเขากระจัดกระจายจับจองพื้นที่เป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่เด็กๆจะกอดห่วงยางเล่นริมฝั่ง โตขึ้นมาหน่อยก็ลอยคออยู่ตรงกลาง คุยหยอกล้อส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามประสามาเที่ยวกันเป็นครอบครัว นายก้องเกียรติผู้ไม่ชอบความพลุกพล่านหน้างอเป็นตูดเพราะเซ็ง ผมไม่อยากเล่นน้ำ ยิ่งคนเยอะจนแทบไม่มีมุมส่วนตัวยิ่งไม่อยากเล่น ผมอยากกลับห้องไปนอนเงียบๆแต่พี่อู๋ไม่ยอม เขาเช่าห่วงยางเป็ดยักษ์ให้ผมหนึ่งตัว และบอกว่าขี่เป็ดน่าจะดีกว่ากลับห้อง แบบนั้นไม่คุ้มค่าเที่ยว อุตส่าห์มาตั้งไกล ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กอายุสิบแปดหน่อยสิ

“เด็กอายุสิบแปดเขาเรียนหนังสือ ใครมันว่างมากเหมือนผมล่ะ”

ผมบ่นงุบงิบเมื่อปล่อยเป็ดยักษ์ลงน้ำ ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่นายก้องเกียรติด้วยความอิจฉาเพราะส่วนใหญ่เช่าแค่ห่วงยางสีดำเท่านั้น ไม่มีใครเล่นใหญ่เหมือนคุณอิศรินทร์ซักคน

“คนเยอะ”

 ผมบ่น พี่อู๋คงเข้าใจ เขาเลยว่ายน้ำเข็นกอริลลาก้องที่นั่งบนเป็ดออกไปเล่นไกลหูไกลตาผู้คน

“สนุกไหม?”
“ผมเพิ่งลงน้ำเองนะ”
“นั่งบนเป็ดเรียกว่าเล่นน้ำเหรอ? ลงมาว่ายกับพี่เร็ว”

กอริลลาขี้เบื่อกระโดดลงน้ำเย็นเจี๊ยบเพื่อลอยคอเล่นกับผู้ปกครอง รอบตัวของเรามีแต่เสียงจอแจของผู้คนที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ริมตลิ่งมีเด็กประถมแข่งกันกระโดดน้ำ พวกลุงๆป้าๆก็นั่งในศาลามุงจากเต็มทุกหลัง กินส้มตำกินอาหารที่สั่งจากร้านข้างบน ผมว่าการเที่ยวจะสนุกถ้าเรามากันเยอะกว่านี้ แต่ผมกับพี่อู๋ไม่มีใคร เรามีกันแค่สองคน จะให้สนุกเหมือนคนอื่นๆก็คงยากหน่อย อย่างมากคงทำได้แค่เล่นน้ำและขึ้นไปหาอะไรกินเงียบๆเท่านั้น

ระหว่างเราลอยคอเปื่อยๆกันสองคน ผมเห็นกลุ่มผู้หญิงสวมชุดสวยๆถ่ายรูปบนสะพานแขวนด้วย ตัวสะพานเด้งไปเด้งมาตามจังหวะของคนเดิน แต่ผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังสามารถโพสต์ท่าพ้อยท์ขา ถ่ายรูปกันสนุกสนานจนผมอิจฉา ไม่ว่าจะพานจะสั่นหรือลมแรงจนผมเผ้ากระเซิง พวกเขาก็ยังยิ้มได้และหัวเราะให้กับเพื่อนๆที่มาด้วยกัน ในขณะที่มองคนอื่นมีความสุขอยู่เงียบๆ พี่อู๋ก็ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ เขาถามผมว่าเป็นอะไร ทำไมถึงเงียบไปเฉยๆ ผมบอกเขาว่าไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่รู้สึก –

ไม่เข้ากับที่นี่เลย

“มันไม่ใช่ที่ของผม” ผมบอกพี่อู๋ “แต่พอนึกว่าที่ไหนคือที่ที่ควรอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมบอกเขาอีกว่าผมชอบที่นี่ก็จริง แต่ผมอยู่ไม่ได้ ทุกอย่างแตกต่างไม่เข้ากับผมเลย ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตในต่างจังหวัด ไม่ได้หมายความว่าบ้านพี่ไม่ดีนะ มันดี แต่ผมเข้ากับมันไม่ได้ ผมคิดว่าผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมต้องไปที่ไหนซักที่

“แล้วก้องจะไปไหน?”

พี่อู๋ถาม ผมส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่รู้ ผมไม่รู้จริงๆว่าต้องไปไหน ผมเล่าให้พี่อู๋ฟังทุกอย่างว่าตัวเองเข้ากับที่นี่ไม่ได้ยังไง ผมบอกพี่อู๋ซ้ำเป็นหนที่สามว่าผมไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่บ้านเกิดของพี่ไม่มีที่ให้ผมยืนเลย ผมบอกผู้ปกครองว่าไม่ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องไม่ได้เงิน หรืองานหนัก แต่ผมเบื่อที่จะต้องได้ยินคำพูดเรื่องทางเลือกแล้ว อาเจี๊ยบเอาแต่ย้ำอยู่นั่นแหละว่าจบแค่มอปลายจะไปหางานสบายๆที่ไหนได้ ก้มหน้าก้มตาฝึกฝีมือตัวเองดีกว่า อย่างน้อยเสร็จงานนี้ก็ยังพอมีฝีมือไว้เลี้ยงตัวเองบ้าง

“ผมไม่ได้อยากเป็นช่างก่อสร้าง ผมไม่ถนัดงานช่าง”

ผมบอกผู้ปกครอง ตอนแรกคิดว่าจะโดนพี่อู๋หาว่าขี้เกียจ แต่เขากลับไม่ว่าอะไรซักคำนอกจากบอกว่าพี่เข้าใจ อืม พี่เข้าใจที่ก้องพูดนะ

“ผมรู้ว่าถ้าเรียนจบปริญญาคงหางานสบายๆกว่านี้ทำได้ ถ้าผมเรียนเก่งเหมือนพี่ ผมคงได้นั่งห้องออฟฟิศเย็นๆไปแล้ว”

ผมบ่นและปีนกลับขึ้นไปนั่งบนเป็ดเหมือนเดิม กอริลลาก้องถอนหายใจเซ็งๆเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้ต้องกลับไปเจออาเจี๊ยบและงานช่างที่ท่าศาลา ผมไม่อยากกลับเลย ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจพี่อู๋ ผมจะไม่กลับไปจับงานพวกนั้นอีกเลย

“งานออฟฟิศดูสบายก็จริง แต่ภาระหน้าที่มันก็เยอะตามวุฒิที่เรียนจบเหมือนกัน” พี่อู๋บอก เขาคอยจับเป็ดยางตลอดเพราะกลัวกอริลลาขี้หงุดหงิดจะโดนกระแสน้ำพัดหายไปในป่าเสียก่อน “บางวันพี่ไม่ได้นั่งสบายๆที่โต๊ะอย่างที่คนอื่นคิด ต้องตามนายไปล่ามในโรงงานร้อนๆก็มี ต้องเขียนรีพอร์ต ต้องเตรียมต้องแปลเอกสาร เป็นงานที่ไม่ต้องออกแรงแต่เหนื่อยมาก เหนื่อยจนหลับบนเอ็มอาร์ทีก็บ่อยไป”

พี่อู๋ยังเล่าไม่ทันจบก็ต้องว่ายน้ำหลบกลุ่มวัยรุ่นมาใหม่ เราจึงย้ายไปเล่นกันเงียบๆอีกฟากของน้ำตกแทน ผมใช้เวลาคุยเกี่ยวกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองในช่วงนี้ ทีแรกผมนึกว่าจะโดนดุหรือไม่ก็โดนบ่นว่า “เรื่องแค่นี้” เหมือนที่เคยกลัว แต่พี่อู๋กลับไม่ว่าอะไรซักคำ เขาดูเข้าอกเข้าใจและบอกถ้าไม่ชอบงานช่างก็ไม่เป็นไรเพราะเขาเริ่มคิดๆจะจ้างช่างมาแทนเหมือนกัน 

“ปัญหาย่อมแก้ได้ด้วยเงิน” คุณอิศรินทร์กล่าว
“พี่พูดได้สิเพราะพี่รวย ผมคงใช้ชีวิตแบบพี่ไม่ได้หรอก ผมไม่ได้เรียนมหาลัย ผมไม่มีทางเลือกเยอะเหมือนคนอื่นๆ”
“แล้วก้องไม่อยากมีทางเลือกมากกว่านี้เหรอ?”
“อยาก แต่ทำไงได้”

ผมขอบตาร้อนผ่าวจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อนึกน้อยใจชีวิตตัวเอง ผมรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะลืมตาอ้าปากด้วยตัวเองได้ แต่การเดินไปให้ถึงจุดนั้นไม่ง่ายเลย

“ถ้าพี่ให้ยืมเงินเรียนต่อ – เอาไหม”

นายก้องเกียรติกระโดดลงจากเป็ดยางตกน้ำดังตู้ม! ก่อนจะรีบพรวดพราดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถามผู้ปกครองซ้ำอีกครั้งว่าให้ยืมได้เหรอ ยืมได้จริงๆเหรอ ผมสามารถยืมเงินพี่ไปเรียนต่อได้เหรอ

“ได้สิ”

ผมดีใจมาก เผลอยิ้มกว้างจนปวดแก้ม สองมือตีน้ำด้วยความร่าเริงเมื่อรู้ว่าปลายทางที่เคยมองไม่เห็นเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง

“พี่คิดดอกเบี้ยเท่าไหร่?”
“ไม่คิด”
“ผมขอเรียนพิเศษได้ไหม?” ผมถามอย่างกระตือรือร้น “ขอผมเรียนได้ไหม แค่วิชาเดียวก็ได้ ผมขอยืมเงินพี่เรียนพิเศษด้วยได้ไหมครับ?”
“จะเรียนกี่วิชาก็ได้” พี่อู๋ยิ้มเมื่อเห็นนายก้องเกียรติทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่มีข้อแม้ข้อเดียว --”

พี่อู๋เว้นวรรคไปนานทำเอานายก้องเกียรติใจหาย แต่สุดท้ายข้อแม้ของเขาก็ยังพอรับได้ ผมอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เงินไปเรียนต่อ ผมขอแค่นี้จริงๆ

“ต้องเรียนม.รัฐบาลเท่านั้นนะ เพราะพี่คงไม่มีปัญญาส่งก้องเรียนเอกชน”
“ขอบคุณครับ! ผมจะตั้งใจเรียน!”

ผมให้สัญญา

“ผมจะตั้งใจเรียน”





[PART2] ข้างล่างเลยจ้ะพี่จ๋า  :hao5:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
26 [PART2/2]


คีรีวงสวยมาก

ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันสวยและน่าอยู่ก็เมื่อตอนเล่นน้ำเสร็จ ขากลับเราใช้เสื้อกันฝนปูรองเบาะแล้วนั่งรถกลับรีสอร์ต ตลอดทางผมถามพี่อู๋ไม่หยุดว่าจะให้ยืมเงินจริงๆเหรอ ให้จริงใช่ไหม ให้เท่าไหร่ ให้ผมเรียนพิเศษด้วยได้ไหม ถามอยู่นั่นแหละ ถามจนเขารำคาญถึงขนาดบอกว่าถ้าถามอีกจะไม่ให้ยืม นายก้องเกียรติถึงได้แต่นั่งยิ้มแก้มแตกจนถึงห้องพัก แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเช็ดผมหน้าทีวี

ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุกไปหมด ทั้งรายการชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลัง ทั้งบทสนทนาของเราสองคนที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนช่างคุยตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมคุยกับผู้ปกครองไม่หยุดปาก จบเรื่องนั้นต่อด้วยเรื่องนี้ ออกไปที่อีกเรื่อง แล้วก็วกกลับมาเรื่องที่ทำให้นายก้องเกียรติมีความสุขมากที่สุด ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำไงดี ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากเลย ผมดีใจมากเลย ผมมีความสุขมากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเหมือนจะตายเพราะตื่นเต้นเกินไป แค่คิดว่าจะมีมหาลัยเรียน จะได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมก็มือไม้สั่น มีความสุขออกนอกหน้าจนพี่อู๋หมั่นไส้

“ให้เงินเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อย่าโดดเหมือนไอ้สไปก์”

ผมให้รับปากและให้สัญญาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่พี่อู๋ให้ยืม ผมจะใช้อย่างรู้คุณค่าและไม่ทำให้เขาผิดหวังเด็ดขาด คุณอิศรินทร์บอกว่าเขาเองไม่ได้คาดหวังอะไรจากผมหรอก แค่ก้องตั้งใจเรียน ไม่แอบเอาเงินที่พี่ให้ไปใช้ในทางไม่ดีก็พอแล้ว

“คิดหรือยังว่าอยากเรียนอะไร?”
“ไม่รู้ครับ”
“ปรึกษาสมาร์ทสิ”

พี่อู๋แนะนำและส่งโทรศัพท์ให้ ผมได้มีโอกาสคุยกับสมาร์ทอีกครั้งหลังไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์ ตอนนี้สมาร์ทกลับไปอยู่หอที่ลาดกระบังแล้ว เขาถามผมว่าอยากเรียนคณะอะไร ผมตอบว่ายังไม่รู้ ผมไม่รู้เลยว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน

คำแนะนำแรกของสมาร์ทคือเรียนคณิตศาสตร์เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ PAT1 ในการยื่น เว้นแต่ว่าผมจะอยากเรียนสายภาษาแบบพี่อู๋ ถ้าเลือกทางเหมือนผู้ปกครอง ผมไม่จำเป็นต้องใช้ PAT1 ก็ได้ ใช้ PAT7 ยื่นก็โอเคเหมือนกัน

“ไปถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แล้วค่อยคิดเรื่องคอร์สติว” สมาร์ทแนะนำ “อย่าลืมยื่นคำรองขอสอบโอเน็ตด้วย”
“อื้อ ไม่ลืมแน่นอน”
“ทำยังไงโกอู๋ถึงให้ยืมเงิน?”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อกี๊เล่นน้ำตกกันสองคน จู่ๆพี่อู๋ก็บอกว่าให้ยืม”
“อ้าว ทำไมเล่นน้ำตก? โกอู๋ไม่กลับมาทำงานเหรอ?”
“อ๋อ – เดี๋ยวก็กลับแล้ว พี่อู๋ลาพักร้อนอ่ะ”

ผมเลิ่กลั่กพลางเหลือบมองผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ คุณอิศรินทร์ทำหน้าเซ็งก่อนจะโบกมือปัดเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวมันก็ลืม

“เราต้องวางแล้วสมาร์ท พี่อู๋จะพาไปกินข้าว”
“เค มีอะไรสงสัยค่อยโทรมาละกัน”

ผมขอบคุณสมาร์ทและส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครอง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเย็นสิบสามนาที คุณอิศรินทร์พากอริลลาก้องไปทานร้านอาหารแพงๆที่อยู่บนเนินเขา ทางขึ้นสูงและชันมากจนผมกลัวรถจะไหลตกถนนแต่พี่อู๋ก็พาเรามาถึงร้านอย่างปลอดภัย เย็นวันนั้นผมได้กินใบเหลียงผัดไข่ครั้งแรก และติดใจมากจนต้องขอเบิ้ลสองจาน

“กินเยอะๆ กินให้อร่อย” พี่อู๋ตักใบเหลียงให้นายก้องเกียรติ “อยู่บ้านย่ากินน้อยจนแก้มตอบ คราวนี้ก็กินให้อิ่มเลยนะ”

ตลอดเวลาที่อยู่บ้านคุณย่า ผมคงแสดงออกได้แย่มากแน่ๆไม่งั้นพี่อู๋คงไม่คะยั้นคะยอให้กินข้าว ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้ผู้ปกครองคิดว่าการอยู่ที่นี่กับเขาไม่มีความสุข ดังนั้นผมเลยบอกพี่อู๋ว่าขอโทษที่แสดงสีหน้าไม่ดี ผมไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ที่นี่ ผมแค่เบื่องานช่าง

“พี่รู้น่า” เขาตอบปัดๆเพื่อให้นายก้องเกียรติสบายใจ “เพราะพี่เองก็เบื่อเหมือนกัน”
“อ้าว แล้วพี่จะฝืนทำทำไมล่ะครับ?”
“มันไม่มีที่ให้ไป ถ้าจะอยู่บ้านย่าก็ต้องช่วยกันทำงานนั่นแหละ แต่พออยู่ไปนานๆพี่คิดถึงกรุงเทพว่ะ”
“ผมก็คิดถึงคอนโดที่ลาดพร้าว”
“งั้นพรุ่งนี้เรากลับกรุงเทพกันเนอะ”
“ง่ายขนาดนั้นเลย?”

ผมมุ่ยหน้าเมื่อนึกถึงวันเกิดเมื่อปลายปี ตอนนั้นเขาดูจริงจังกับการย้ายมาอยู่ที่นี่มากๆ แต่ผ่านไปแค่สองเดือน คุณอิศรินทร์ก็บ่นว่าเบื่อและอยากกลับลาดพร้าวเสียอย่างนั้น

“พี่อยากกลับเพราะก้องต้องทำเรื่องเรียนต่อด้วยไง พวกเอกสาร ใบรับรองวุฒิ ใบมรณบัตรของแม่ก็คงไหม้ไปกับบ้านแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“เดี๋ยวกลับไปเคลียร์เอกสารกันนะ เพื่อนพี่บอกว่าถ้าบ้านไฟไหม้แต่ไม่ได้มีประกัน ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ ก้องถ่ายรูปบ้านเก็บไว้บ้างไหม?”
“ไม่ได้ถ่ายเลยครับ ตอนนั้นผมเคว้งจนไม่รู้จะทำยังไง”

ผมถอนหายใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่ลีเคยถ่าย เช้าหลังกลับเข้าไปดูซาก พี่ลีกับแฟนถ่ายรูปบ้านของตัวเองและคนในชุมชนเก็บไว้ ผมว่าในวันนั้นต้องมีบ้านของผมซักรูปสองรูปแน่ๆ

“รู้ไหมว่าร้านขายขนมพี่ลีอยู่ไหน?”
“รู้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปหาพี่ลีกันนะ”
“รัฐจะจ่ายค่าชดเชยให้จริงๆเหรอครับ?”
“จ่ายสิ แต่คงไม่กี่หมื่น” พี่อู๋ขมวดคิ้วไม่แน่ใจ
“งั้นผมไม่ยืมเงินของพี่อู๋ดีกว่า ผมใช้เงินชดเชยก้อนนี้ก็ได้”
“กว่าจะเดินเรื่อง กว่าจะเตรียมเอกสารไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เงินพี่ไปก่อนเถอะ เรียนจบแล้วค่อยคืน”
“พี่ไม่กลัวผมเบี้ยวเหรอ?”
“ก้องไม่กล้าหรอก” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ “หรือถ้ากล้าก็ลองดู”

ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่เบี้ยวแน่นอนครับและก้มหน้าก้มตากวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จเราแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อโค้กคนละถุงก่อนกลับห้อง คืนนั้นผมกับพี่อู๋นั่งดื่มน้ำอัดลมและพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตเกือบทั้งคืน ผมจดแผนชีวิตตัวเองลงบนกระดาษแจกฟรีของรีสอร์ตเป็นข้อๆ อย่างแรกคือกลับไปเคลียร์เอกสาร ทั้งโฉนดที่ดิน ทั้งสำเนาทะเบียนบ้าน ทั้งใบมรณบัตรของแม่ ทั้งสูติบัตรและใบรับรองวุฒิการศึกษาต่างๆของผม หลังจากนั้นก็ยื่นเรื่องขอเงินชดเชยค่าบ้าน ระหว่างรอดำเนินการ ผมจะเริ่มหาที่เรียนกวดวิชา อาจจะต้องรีบหน่อยเพราะคอร์สซัมเมอร์ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ขืนช้าเดี๋ยวจัดตารางไม่ลง เวลาเรียนจะชนกันจนทำให้อดเรียนคอร์สสำคัญก็ได้

“เด็กสมัยนี้เรียนหนักเนอะ” พี่อู๋พูดระหว่างที่เรานอนดูตารางคอร์สเรียนพิเศษของสถาบันต่างๆ “สอบก็เยอะ จุกจิก”
“สมัยพี่มีโอเน็ตไหมครับ?”
“ไม่มีอ่ะ มีแต่โอน้อยออก”
“พี่อู๋รุ่นเอนทรานซ์เหรอ?” เมื่อเขาพยักหน้า ผมก็รีบแซวต่อทันที “รู้เลยนะครับว่าแก่”
“แหม คุณก้องเกียรติผู้ยังหนุ่มยังแน่น คุณรู้หรือยังล่ะครับว่าระบบ Admission รุ่นคุณต้องสอบอะไรบ้าง?”
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ Admission แล้วครับ เปลี่ยนเป็น TCAS แล้ว”

พี่อู๋เหวอแดกเลย

“พี่แก่แล้วนะครับ” ผมพูดซ้ำอีกรอบ “เรามันคนละเจเนอเรชึ่นจริงๆ”

คุณอิศรินทร์แจกมะเหงกให้กอริลลาก้องหนึ่งโป๊กแล้วกลับมาช่วยกันดูคอร์สติวต่อ พอเห็นราคาแล้วผมแอบร้อนๆหนาวๆ ต่อให้ได้เงินช่วยค่าไฟไหม้จากรัฐก็คงไม่มากพอจะลงเรียนทุกวิชา ผมเผลอถอนหายใจเฮือกออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าพี่อู๋จะให้ผมยืมเงินจริงหรือเปล่า ตอนนี้ตัวเขาเองก็ตกงาน แถมค่าเรียนกวดวิชาก็แพงแสนแพง ยังไม่รวมค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะที่ต้องใช้ในแต่ละวันอีก คิดๆดูแล้ว – ผมไม่ควรรบกวนเขาเลย

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ผมไม่อยากยืมเงินพี่แล้วอ่ะ”

ผมบอก คุณอิศรินทร์ถามว่าทำไม ผมจึงอธิบายเพิ่มว่าค่าเรียนพิเศษมันแพงเกินไป มันแพงมาก อย่างต่ำก็ห้าพันแล้ว ผมคิดว่าผมควรเรียนแค่วิชาเดียว อย่างน้อยพี่อู๋จะได้ไม่ต้องลำบาก แถมตอนนี้พี่ – ไม่มีรายรับด้วย ผมกลัวเขาเดือดร้อนเพราะเด็กเร่ร่อนอย่างนายก้องเกียรติ

“เรียนไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่พี่ไม่ใช่ – ญาติผม เราไม่ได้เป็นครอบครัวกัน” ผมอ้อมแอ้ม และแน่นอน พี่อู๋มองผมตาเขียวทันทีที่พูดประโยคทำนองนี้ออกมาอีกครั้ง “พี่เองก็กำลังลำบาก --”
“เดี๋ยวพี่ก็หางานทำแล้ว”
“พี่พูดจริงเหรอครับ?” ผมถาม คุณอิศรินทร์ให้คำตอบเป็นการพยักหน้า “ที่พี่ต้องหางานทำนี่เป็นเพราะผมหรือเปล่า? ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าหรอก มันถึงเวลาแล้ว”
“ยังไง?”

พี่อู๋ไม่ตอบ เขายีหัวนายก้องเกียรติจนเสียทรงก่อนจะปิดไฟเตรียมเข้านอน เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปปั่นจักรยานแต่เช้า เราจะปั่นขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาเพื่อสูดความสดชื่นให้เต็มปอดก่อนจะต้องกลับไปดมควันรถเมล์ที่กรุงเทพภายในอาทิตย์นี้




ผมตื่นหกโมงเช้าเพราะพี่อู๋ปลุก เขาเขย่าตัวกอริลลาก้องแรงมากจนนึกว่าแผ่นดินไหว คุณอิศรินทร์ต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะลากผมออกจากที่นอนได้ เราลุกไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันหน้ากระจกก่อนจะเข็นจักรยานของรีสอร์ตไปกันคนละคัน

เช้าวันนี้หนาวน้ำค้างกว่าเช้าไหนๆ ผมต้องลูบแขนตัวเองเพราะอากาศเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ยี่สิบเอ็ดองศา พี่อู๋ดูท่าทางร่าเริงกว่าที่เคย เขาปั่นจักรยานนำผมขึ้นไปบนเขา เลียบถนนข้างลำธารย้อนกลับไปจุดที่เล่นน้ำตกด้วยกันเมื่อวาน บรรยากาศข้างทางสดชื่นและสบายตามาก มีแต่ต้นไม้กับเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่ดังเป็นเพื่อนเราสองคน ระยะทางที่ปั่นขึ้นไปค่อนข้างไกลจนเราหอบ ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะ สูดแค่ตรงนี้ก็น่าจะเต็มอิ่ม อย่าปั่นไปถึงข้างบนเลย เดี๋ยวจะมีคนเหนื่อยตายก่อน

“เอาน่า ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวหน่อยสิ เห็นไหมใครๆก็ปั่นกัน”

เขาบุ้ยปากไปทางนักท่องเที่ยวที่ปั่นสวนทางลงจากเขา พวกเธอเป็นกลุ่มสมาคมคุณป้าแม่บ้านที่ดูภายนอกแล้วน่าจะควบตำแหน่งนักเต้นหน้าเวทีแอโรบิคด้วยแน่ๆ ผมบ่นอุบอิบเพราะเหนื่อยที่ต้องออกแรงปั่นจักรยานต้านแรงโน้มถ่วง แต่สุดท้ายเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนจนได้

มื้อเช้าของวันนี้คือข้าวเหนียวไก่ทอดกับโอวัลตินเย็น เรานั่งทานบนโขดหินริมน้ำตกด้วยกันจนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง ผมแกว่งขาในน้ำ ปล่อยให้ความเย็นช่วยคลายความเมื่อยล้าจากการออกแรงเข็นจักรยาน ระหว่างกินข้าวเหนียว ผมกับพี่อู๋ก็พูดคุยถึงอนาคตด้วยกัน ในอนาคตของผมยังคงมีพี่อู๋อยู่ ผมตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาลัยให้ได้และทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้เขาให้หมด ส่วนพี่อู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกแค่ว่าจะหางานและดูแลผมไปด้วย

“เพราะพี่เป็นผู้ปกครองของก้อง” เขากัดน่องไก่คำโต เคี้ยวหยับๆเสียงดังไม่อายใคร
“พี่จะหางานที่ไหนครับ?”
“เยอะแยะ เขี่ยๆเอาก็เจอแล้ว”
“งานนะครับ ไม่ใช่หอยเสียบที่ใช้เท้าเขี่ยๆตามหาดก็เจอ”

ผมหัวเราะพลางนึกถึงโหลหอยเสียบดองน้ำปลาของย่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก อยากกินหอยดองกับข้าวสวยร้อนๆซักถ้วยจัง

“ก้องไม่ต้องเครียดเรื่องพี่หรอก ห่วงตัวเองดีกว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งปีจะเป็นปีที่เครียดมากๆ ก้องคิดว่าก้องรับมือไหวไหม?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“ไม่ไหวบอกไหว”
“พี่จะเล่นต่อเพลงกับผมเหรอครับ?”

ผมยิ้มขำ เรากินข้าวเหนียวไก่ทอดและโอวัลตินจนหมดก่อนจะช่วยกันเก็บขยะที่อยู่ริมทางไปทิ้ง นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงสิบเอ็ดนาที พี่อู๋ที่ปั่นจักรยานนำหน้าผมหันมาบอกว่าแข่งกันไหม ใครถึงรีสอร์ตก่อนชนะ

“รางวัลคืออะไรครับ?”
“คนแพ้ต้องเก็บกระเป๋า”

ผมตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดเพราะงานเก็บกระเป๋าเป็นงานที่วุ่นวายและหลงลืมบ่อยมาก ผมเคยลืมแปรงสีฟันตั้งสองครั้ง พี่อู๋ลืมกางเกงใน ลืมสายชาร์ตโทรศัพท์ ลืมของชิ้นเล็กๆอย่างมีดโกนหนวดด้วย ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าเวลาจัดกระเป๋าควรมีคนทำแค่คนเดียว ไม่งั้นก็จะลืมแบบนี้ตลอดเพราะคิดว่าอีกคนหยิบมาแล้ว

พอรับคำท้า ผมก็ออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ การปั่นจักรยานลงเขานั้นง่ายกว่าปั่นขึ้นหลายเท่า เราแทบไม่ต้องออกแรงเลย ก็แค่ปล่อยให้รถไหลไปตามความชันของถนน ผมกับพี่อู๋ผลัดกันแซงอยู่หลายหน เราหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนานเพราะผลการแข่งขันที่สูสี จนกระทั่งผมออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเพราะความอยากเอาชนะ ในที่สุดจักรยานสีน้ำเงินของนายก้องเกียรติก็วิ่งนำหน้าผู้ปกครอง ผมหันไปเยาะเย้ยคุณอิศรินทร์โดยไม่ทันมองทางข้างหน้า หลังจากนั้นก็โครม! ผมปลิวขึ้นไปบนอากาศก่อนจะกลิ้งบนถนน พี่อู๋ตะโกนเสียงดังว่าก้อง! ก่อนจะกระโดดทิ้งจักรยานแล้วรีบวิ่งมาหา ตอนแรกมันหนึบๆชาๆบอกไม่ถูก พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ ผมเจ็บจนร้องโอ๊ยเพราะทั้งแขนขา ทั้งคางมีเลือดออกเต็มไปหมด

“ทำไมขับไม่ระวังเลยก้อง! ทำไมไม่ดูทาง!”

พี่อู๋ดุเหมือนเด็กในปกครองทำความผิดร้ายแรง ผมได้แต่นั่งจ๋อย น้ำตาซึมเพราะรู้สึกผิด เสียงโหวกเหวกโวยวายของเขาทำให้ชาวบ้านที่ขายของริมทางต้องเดินออกมาดู คุณป้าคนหนึ่งช่วยเข็นจักรยานของเรามาไว้ข้างทางและชวนให้นั่งบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนก่อนจะเอาน้ำเกลือล้างแผลขวดใหญ่มาให้

“ขอบคุณครับ”

พี่อู๋พูดขอบคุณแล้วบีบน้ำเกลือราดแผลผมทันที นายก้องเกียรติร้องโอ๊ยจะเป็นจะตายเพราะเจ็บแผล คราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาซึมแล้ว แต่เป็นน้ำตาทั้งมหาสมุทรเลย ผมร้องไห้จนหน้าเปียกไปหมด พี่อู๋ดุผมจนคุณป้าต้องบอกให้พอก่อน เด็กมันล้มไปแล้ว จะดุให้เสียใจอีกทำไม ไปกันใหญ่พอดี

“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย”

พี่อู๋ทิ้งท้าย เขาขมวดคิ้วมองนายก้องเกียรติอย่างตำหนิ ผมได้แต่นั่งสูดน้ำมูกกระซิกๆไม่มีข้อแก้ตัว หลังล้างแผลเบื้องต้นเรียบร้อยพี่อู๋ก็บอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล คางแตกแบบนี้โดนแน่

“ผมไม่อยากโดนเย็บ”
“ไปต่อรองกับหมอเองสิ”

พี่อู๋หงุดหงิดเย็นชา เขาฝากผมไว้หน้าบ้านคุณป้าผู้ใจดีก่อนจะหายไปเอารถที่รีสอร์ต คุณป้าที่เห็นผมร้องไม่หยุดก็ได้แต่บอกว่าพี่คงเป็นห่วง ถ้าไม่เป็นห่วงเขาไม่คงไม่ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาหาหรอก

นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงยี่สิบนาที วีออสสีดำมาจอดตรงหน้าโดยมีพี่อู๋ที่ยังคงหงุดหงิดเดินมารับนายก้องเกียรติขึ้นรถ เขาตั้งใจจะจ่ายเงินค่าน้ำเกลือให้คุณป้าด้วย แต่เธอไม่รับ เธอบอกว่าให้รีบพาผมไปหาหมอดีกว่า ดังนั้นทริปคีรีวงส่งท้ายประเทศคอนจึงจบลงด้วยน้ำตาของนายก้องเกียรติและคำบ่นของคุณอิศรินทร์ที่คงไม่เงียบง่ายๆในสองสามนาทีนี้แน่ๆ




ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาล พี่อู๋ยังบ่นไม่หยุด เขาบ่นๆๆเหมือนหมีกินผึ้งที่เอาแต่ตำหนิผมเพราะไม่ระวังตัว ถึงปากจะบ่นและหน้าจะงอแค่ไหน สุดท้ายเขาก็พาผมไปส่งโรงพยาบาล แถมยังอยู่เป็นเพื่อนตอนหมอฉีดยาชาและเย็บแผลด้วย พี่อู๋เหมือนแม่ไม่มีผิด

“หายซ่าหรือยัง?”

เขากอดอกมองกอริลลาก้องที่มีผ้าก็อซแปะคาง ตรงแขนขามีผ้าพันไว้เหมือนมัมมี่ นี่ขนาดแค่ล้มจักรยานเองนะเนี่ย สุดยอดไปเลย

“ทำไมพี่ต้องโมโหด้วย ก็แค่ล้มจักรยาน --”
“แค่ล้ม?” พี่อู๋โมโหจนแสดงออกทางสีหน้า “ขนาดแค่ล้มยังโดนตั้งสองเข็ม ถ้าเป็นมากกว่านี้จะว่ายังไง?”
“พี่จะโวยวายทำไม คนเจ็บตัวมันผมต่างหาก พี่ไม่ได้เจ็บซักหน่อยอ่ะ”
“ใครว่าพี่ไม่เจ็บ”

พี่อู๋โยกหัวนายก้องเกียรติอีกหนึ่งทีก่อนจะลุกไปรับยาให้ พอเห็นเขาเป็นห่วงขนาดนี้มันอดรู้สึกดีไม่ได้จริงๆ เมื่อกี๊พี่อู๋เหมือนแม่เลย แววตาของเขาดูกังวลและกลัวมากเหมือนสมัยที่ผมตกบันไดในบ้านตอนเรียนประถม แววตาของเขาไม่ต่างจากแววตาของแม่ในวันนั้น แถมพอผมเจ็บตัว พี่อู๋ก็เอาแต่บ่นๆๆเหมือนแม่ บ่นแต่ก็พาไปหาหมอ บ่นแต่ก็ดูแลอย่างดี บ่นแต่ก็ยังคงแสดงออกว่ารักและเป็นห่วง อ่า— ตอนนี้ผมรู้สึกดีจัง การมีใครซักคนแสดงออกว่าเราสำคัญเป็นเรื่องที่ดีมากเลย

“เสร็จแล้วเราจะไปไหนกันครับ?”
“กลับบ้านย่า” พี่อู๋ตอบขณะเปิดประตูและช่วยประคองมัมมี่ก้องขึ้นรถ “ตอนนี้มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นแล้ว”
“ข้ออ้างอะไรครับ?”

ผมถามก่อนจะมองสภาพตัวเอง อ๋อ แผลขนาดนี้ ถ้าโดนใช้ให้ไปฉาบผนังอีก ผมจะฉาบอาเจี๊ยบก่อนเลย

“อยากกินอะไรก่อนถึงบ้านย่าไหม?”
“อะไรก็ได้ครับ”

ผมบอกและไม่พูดอะไรอีก ตลอดทางผมเอาแต่คิดถึงสีหน้าท่าทางของผู้ปกครองเมื่อเช้า ผมดีใจที่พี่อู๋เป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เรามาพบกันแต่ผมรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆที่ไม่ทิ้งนายก้องเกียรติตั้งแต่วันที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่มีพี่อู๋ คงไม่มีผมในวันนี้ และผมคงเป็นนายก้องเกียรติที่มีความสุขไม่ได้ถ้าคุณอิศรินทร์ไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นคนในครอบครัว

“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ไม่มีอะไรครับ”

ผมเปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่ากอริลลากลายร่างเป็นแมวเพราะอยากเอาใจที่ได้ยืมเงิน

“เรียกแล้วไม่พูด โดนเสยคางแตกนะ”
“มันแตกอยู่แล้ว พี่ยังจะทำให้มันเยินกว่านี้อีกเหรอ?” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ เขาถามซ้ำอีกครั้งว่าเรียกทำไม ผมจึงต้องโกหกเพราะเขิน ไม่กล้าขอบคุณเขาตอนนี้ “ผมอยากกินชาเขียวอ่ะ”
“บอกช้าไปละ พี่ขับเลยปั๊มมาแล้วเนี่ย”

พี่อู๋บ่นอีกแต่สุดท้ายก็กลับรถพาผมไปซื้ออเมซอนจนได้ เป็นไงล่ะผู้ปกครองของผม หล่อ ลาดพร้าว ใจดี มีวีออสขับ แถมยังน่ารักที่หนึ่ง ตอนนี้นายก้องเกียรติอาจจะตอบแทนผู้มีประคุณเป็นเงินหรือสิ่งของไม่ได้ แต่ในอนาคตผมจะชดใช้ให้แน่ๆ ผมสัญญาเลยว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นเด็กดีของคุณอิศรินทร์ ผมจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ผมจะขยัน ผมจะตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พี่อู๋หนักใจเด็ดขาด

แต่อย่างแรกเลย พี่ต้องหยุดบ่นก่อนนะ
ถ้าพี่ไม่หยุด – ผมจะอาละวาดจริงๆด้วย



TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันศุกร์ค่ะ  :z13:

หลังจากนี้หนูจะค่อนข้างยุ่งมากๆเลย เจอกันอีกทีหลังวันที่ 7 กรกฎานะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันเสมอน้า  :hao5:

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
นี่ก็ยังคงคิดว่าพี่อู๋มันแอบเล่นหุ้นหรือป่าวนะ 5555 เงินเยอะมากเอาจริง ใช้ชีวิตแบบไม่มีงานทำมาหลายเดือนเลยนะ แต่ยังคงมีเงินพาน้องกินของแพงๆได้เวลาไปไหน ไปเที่ยว สังเกตุดูว่าอีพี่จะให้น้องกินของดีๆตลอด ถ้ามีร้านดีๆให้กิน คือแบบเงินมาจากไหนเยอะแยะอ่ะ คือถ้าทำงานอย่างเดียวแสดงว่าเงินเดือนพี่แกบวกโบนัสเอาเรื่องอยู่นะ ละคงเก็บเงินได้เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไลฟ์สไตล์ชีวิตกินดีอยู่ดีนี่เงินน่าจะไม่เหลือเก็บบ้างนะ แต่นี่มีตลอดจนบางทีก็อยากได้พี่แกมาไว้ในชีวิตจริงบ้าง 55555555

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่อู๋เค้ารักของเค้าจริงๆ ก้องจะกลับไปเรียนแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองอยากเรียนเนอะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ nisaday

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอ็นดูความเป้นผุ้ปกครองของพี่อุ๋
เลี้ยงต้อยโดยสมบุรณ์แบบเลยอ่ะ 555555

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พี่อู๋ต้องเหนื่อยหนักแน่ๆกว่ากอริลล่าก้องจะรุ้ตัวว่าพี่มันแอบรักเนี่ยะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แหม พอได้อย่างใจคิดก็ดี๊ด๊ามีความสุขนะนายก้อง
รู้หรอกน่าว่าพี่อู๋รอให้นายก้องเป็นคนพูดทุกอย่างออกมาอย่างเรื่องอยากกลับไปเรียนนี่ไง

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
กลับคอนโดกันเสียที ชีวิตก้องจะได้เดิน พี่อู๋ด้วย ทั้งงานทั้งเรียน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอพี่อู๋สักคนตรงนี้ค่ะ ไม่ไหวแล้ว อบอุ่น อุ่นใจ อะไรขนาดนี้  :mew1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้ยยย เขิน 55555ยิ้มแก้มแตกเลย

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อีพี่อู๋นับวันยิ่งป๋าขึ้นไปทุกที ไม่ใช่พอก้องเข้ามหาลัยแล้วจะไปกัดหัวเพื่อนเขานะ จะทำไรก็รีบๆทำนะลุง เดี๋ยวสายเกิน

ออฟไลน์ lemon_sour

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องก้องง พอคุณเขาตามใจหน่อย เป็นห่วงหน่อยย ก็ดีใจใหญ่เลยนะะ คุณเขาก็บอกชอบไปแล้ว บ้าบอออ

รู้สึกเพิ่งได้รับความหวานจากเรื่องนี้ เมื่อ 2-3 ที่ผ่านมา รู้สึกว่ามันก่อตัวแล้วสินะ ขาดกันไม่ได้แล้วล่ะสิ

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนนี้ทำเอาเขินตัวม้วนไปหมด รู้เลยว่าพี่อู๋ทั้งรักทั้งห่วงนายก้องขนาดไหน แอบงงนิดนึงว่าทำไมก้องไม่กู้กยศ หรือนางไม่รู้

ปล.ใบเหลียงผัดไข่น่ากินมาก คนเขียนเขียนเก่งมากทำให้เราหลงเสน่ห์เมืองคอน หลงเสน่ห์ภาษาใต้ไปแบบไม่รู้ตัว  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 เพิ่งเข้ามาอ่านแต่ชอบมากเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
27 [PART1/2]


มัมมี่ก้องกลับมาแล้วครับ!

หลังจากหายไปอยู่ในป่ามะพร้าวกับผู้ปกครอง ในที่สุดมัมมี่ก้องก็ได้กลับมาอยู่ลาดพร้าวอีกครั้ง ภารกิจแรกที่พวกเราต้องทำคือจัดการเอกสารที่ไหม้ไปกับบ้านเมื่อปีก่อน อาทิตย์แรกที่มาถึง ผมกับคุณอิศรินทร์ออกเดินสายสถานที่ราชการแทบทุกวัน นอกจากโรงพักและหน่วยงานต่างๆแล้ว ผมยังต้องกลับไปโรงเรียนสมัยมัธยมเพื่อขอใบจบและเกรดด้วย

ตอนที่นายก้องเกียรติปรากฏตัวครั้งแรก คุณครูต่างตื่นเต้นตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นผมอีกครั้ง หลายท่านถามถึงมหาวิทยาลัยก่อนความเป็นไปของลูกศิษย์เสียอีก ผมรู้สึกอายทุกครั้งเมื่อบอกพวกท่านว่า ยังไม่มีที่เรียนครับ แต่ยังดีที่ไม่ต้องขยายความว่าทำไม ทั้งเรื่องแม่ที่ตายในวันสอบโอเน็ตและข่าวไฟไหม้บ้านคงรู้กันทั่วโรงเรียนหมดแล้ว

“ก้องเกียรติ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”

คุณครูปริตตาที่สอนภาษาอังกฤษตอนมอปลายถามขึ้น ผมยกมือไหว้คุณครูก่อนจะตอบว่าสบายดีครับ ท่านจึงถามอีกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร มีญาติมารับไปเลี้ยงดูหรือเปล่า ผมตอบคุณครูปริตตาว่าไม่มีครับ ผมไม่เหลือใครแล้ว แต่มีผู้ชายคนนึงรับเลี้ยงผมไว้ เขาชื่ออิศรินทร์ เป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทญี่ปุ่น

“ไปเจอกันได้ยังไงเหรอ?”

คุณครูถามอีก ผมอึกอักไม่กล้าเล่าถึงเรื่องสะพานก็เลยบอกว่าพี่อู๋เป็นคนใจดีที่ไปเยี่ยมญาติในโรงพยาบาล เราก็เลยบังเอิญเจอกัน เขาได้ยินเรื่องของผมจากเพื่อนบ้านก็เลยรับผมไว้เป็นเด็กในอุปการะ คุณครูปริตตาอมยิ้ม ท่านบอกว่าดีแล้วล่ะที่ยังมีคนเมตตา ก้องเกียรติก็ต้องเป็นเด็กดีอย่าทำให้เขาลำบากใจนะ เขาจะได้เอ็นดูเราไปนานๆ

“เรื่องมหาลัยล่ะว่ายังไง? จะเรียนต่อไหม?”

ผมบอกคุณครูว่าเรียนแน่นอนครับ คุณอิศรินทร์คนนี้แหละที่เอ่ยปากให้ยืมเงินเรียนหนังสือ คุณครูปริตตาดูชอบอกชอบใจใหญ่ ท่านบอกให้ผมพยายามต่อไป ก้องเกียรติเป็นคนเก่ง เป็นเด็กขยัน ก้องเกียรติทำได้อยู่แล้ว ขาดเหลืออะไรก็ติดต่อครูมานะ เผื่อมีเรื่องที่พอช่วยได้ ครูจะช่วย

ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูที่ใจดีและถามถึงชีวิตของผมก่อนชื่อมหาวิทยาลัยแล้วขอตัวกลับ ผมใช้เวลาทำธุระในโรงเรียนแค่ชั่วโมงกว่าๆก่อนจะเดินไปขึ้นรถวีออสที่จอดหลับเงาใต้ต้นมะขาม พี่อู๋สวมแว่นกันแดดมองมัมมี่ก้องแล้วถามว่าเป็นไงบ้าง ได้เอกสารครบหรือยัง

“ครบครับ”

ผมตอบและเก็บแฟ้มของสำคัญใส่ไว้ในกระเป๋า เราแวะหาร้านข้าวอร่อยๆกินก่อนจะกลับลาดพร้าว เย็นวันนี้หลังตัดไหมที่คาง ผมจะต้องวางแผนตารางเรียนพิเศษ สมาร์ทบอกว่าวิชาที่ควรเรียนคือวิชาคำนวณเช่นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี วิชาท่องจำอย่างภาษาไทย สังคม และชีววิทยาค่อยอ่านจากชีทเก่าๆของเขาหรือซื้อหนังสืออ่านเองก็ได้ ส่วนภาษาอังกฤษพี่อู๋สอน –

“เอ๋ – อ๋าเร๋ – มุริดะโย๋ว --” (เอ๋ อะไรนะ ไม่ไหวหรอกมั้ง)

พี่อู๋ว่ามาแบบนั้น ผมก็เลยต้องหาคอร์สภาษาอังกฤษเป็นทางเลือกหนึ่ง ตอนนี้วิชาหลักที่ต้องจ่ายเงินเรียนแน่ๆมีสามวิชา ราคาค่าเรียนเกือบสองหมื่นบาท พอคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้วผมถึงกับเหงื่อตก ไม่อยากเรียนพิเศษให้เปลืองเลยจริงๆ

“ก็ลองยืนดูโจทย์จากแนวข้อสอบในร้านหนังสือสิ” สมาร์ทแนะนำ “วิชาไหนพอทำได้ก็ไม่ต้องเรียน แต่ถ้าอยากได้มหาลัยดีๆ คณะดังๆนะ เรียนเถอะ การสอบเข้าไม่ได้แข่งกับตัวเอง แต่ต้องแข่งกับคนอีกเป็นแสน หรือจะเถียงว่าไม่จริง?”

ก็จริง

การสอบเข้าต้องแข่งกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกเป็นแสนเพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้รับเด็กทุกคนที่คะแนนผ่านเกณฑ์ แต่ยังจำกัดจำนวนเด็กที่จะได้เข้าเรียนด้วย ดังนั้นต่อให้คะแนนของผมจะออกมาเป็นที่น่าพอใจแค่ไหน ถ้ามันน้อยกว่าคนอื่นๆ ผมก็หมดสิทธิ์เหมือนกัน

ในสงครามนี้มีแค่ผู้แพ้และผู้ชนะ

คำพูดของสมาร์ทติดค้างในหัวชนิดที่สะบัดยังไงก็ไม่หลุด

ก้องต้องเลือกแล้วว่าจะสู้ตายหรือจะเลื่อนๆลอยๆจนไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย



มัมมี่ก้องเกียรติจากไปแล้ว เหลือกอริลลาก้องใจสู้ที่พร้อมลุยทุกอย่างเท่านั้น

ครั้งล่าสุดที่ไปหาหมอที่สองวันก่อนเริ่มเรียนพิเศษ การพบกันครั้งนี้ใช้เวลาแค่สิบนาที มันเร็วจนพี่อู๋ประหลาดใจเมื่อเห็นกอริลลาก้องเดินออกจากห้องตรวจด้วยท่าทางมั่นใจมากกว่าเดิม ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอจะจ่ายยาให้สามเดือนเพราะรู้ว่าผมคงไม่ว่างมาหาตามนัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าหากมีไม่สบายใจก็กลับมาได้เสมอ อย่ารอ อย่าปล่อยให้ตัวเองย้อนกลับไปอยู่จุดเดิมโดยไม่มาพบหมอ

“เก่งมากก้อง”

พี่อู๋พูดขณะขับรถกลับลาดพร้าว วันนี้เราจะซ้อมเดินทางไปเรียนพิเศษด้วยรถไฟฟ้ากัน เพราะอีกไม่กี่วันคุณอิศรินทร์คงไม่ว่างรับส่ง เขากำลังจะเริ่มหางาน ผมจำสถานีและประตูทางออกจนขึ้นใจ นั่งเอ็มอาร์ทีไปสถานีจตุจักรเพื่อต่อบีทีเอสหมอชิตแล้วนั่งยาวจนถึงพญาไท หลังจากนั้นก็เดินย้อนไปทางสี่แยก ข้ามถนนที่มีนักเรียนประมาณครึ่งร้อยยืนเบียดกันริมฟุตปาธ สีหน้าของพี่อู๋ดูโคตรเซ็งเมื่อโดนเด็กมัธยมเบียดเสียดแย่งกันข้ามถนน พอเข้าตึกวรรณสรณ์ก็ยังเจอเด็กต่อคิวรอใช้ลิฟต์อีกเป็นร้อย เขาส่ายหัวเซ็งๆก่อนจะบ่นให้ผมได้ยินว่าเด็กตัวแค่นี้ทำไมไม่เอาเวลาไปเล่น มาเรียนพิเศษกันทำไม

“พี่พูดเหมือนผมไม่ได้เรียนงั้นแหละ”

ผมว่าเขาขณะใช้บันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นสิบสี่เพื่อรับหนังสือเรียน พอรับเสร็จก็ต้องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อรับหนังสือเรียนวิชาคณิตกับฟิสิกส์ ผมได้หนังสือกลับห้องเยอะมาก ทันทีที่ถึงลาดพร้าว ผมก็นั่งเปิดอ่านล่วงหน้าด้วยความตื่นเต้น ผมเคยเรียนกวดวิชาบ้างสมัยที่แม่ยังอยู่ แต่ไม่เคยเรียนที่พญาไทมาก่อน พอได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ ไฟในใจก็ยิ่งลุกโชน ถ้ากำดาบไปรบแล้วเข้ามหาลัยได้ ผมคงทำไปแล้ว

ตกเย็นวันนั้นพี่อู๋พาผมไปซื้อโคมไฟอ่านหนังสือที่ออฟฟิศเมท เขาจริงจังกับการสร้างบรรยากาศเพื่อให้ผมอยากอ่านหนังสือมากจนยอมซื้อโต๊ะใหม่ไปวางในห้องนอนเล็ก ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่เห็นจำเป็นเลยเพราะยังไงโต๊ะกินข้าวก็มีอยู่แล้ว แต่เขายืนยันว่าอ่านหนังสือที่โต๊ะกินข้าวไม่มีสมาธิหรอก เดี๋ยวเสียงไอ้นั่นเสียงไอ้นี่ ไหนจะทีวี ไหนจะโซฟาอีก ผมควรมีห้องอ่านหนังสือของตัวเอง ควรมีเครื่องเขียน มีสมุดจดและชั้นวางของ ผมถามคุณอิศรินทร์ว่าจะซื้อให้เปลืองทำไม ยังไงผมก็ใช้แค่ปีเดียว ไม่ได้อยู่กับพี่ตลอดไปเสียหน่อย

“ใจคอสอบติดแล้วจะไม่กลับมาอยู่กับพี่บ้างเหรอ?” ผมนึก เออว่ะ สอบติดมหาลัยไม่ได้แปลว่าผมต้องไปจากเขานี่นา “อีกอย่าง พี่ก็ต้องมีห้องทำงานเหมือนกัน ไว้เราแชร์ห้องด้วยกันก็ได้”

หลังซื้อของเสร็จเราก็ขับรถกลับลาดพร้าว ห้องนอนเล็กนั้นไม่กว้างพอที่จะวางโต๊ะหนังสือได้ก็เลยต้องย้ายไปห้องนอนใหญ่ พี่อู๋บอกผมว่าไม่ต้องกังวล ถ้านายก้องเกียรติอ่านหนังสือเขาจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย เขาจะรอข้างนอกจนกว่าผมจะอ่านเสร็จแล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน

“พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ผมบอกขณะมองโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ที่วางตรงปลายเตียง ข้างๆมีชั้นหนังสือโครงเหล็กสำหรับเก็บชีทเรียนพิเศษ มีโคมไฟดวงใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ มีกล่องใส่ปากกา กระดาษโพสอิทสีแสบตาวางอยู่ในลิ้นชักเล็กๆ พี่อู๋ลงทุนกับการเรียนของนายก้องเกียรติมากเกินไป ผมว่ามันฟุ่มเฟือย แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าผมจำเป็นต้องมีห้องอ่านหนังสือจริงๆ แล้ววันหนึ่งผมจะขอบคุณเขาที่ลงทุนซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ เขามั่นใจว่าต้องมีวันนั้น

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็วางกรอบรูปของแม่ไว้ตรงขอบโต๊ะติดผนัง วางกล่องดนตรีสนู้ปปี้ที่พี่อู๋ซื้อให้ ข้างๆมีแจกันใส่กุหลาบเหี่ยวๆที่ได้เป็นของขวัญวันเกิด ของพวกนี้คือกำลังใจชั้นดีที่ทำให้ผมอยากขยันเรียน ผมมีรูปถ่ายของแม่ มีของที่ได้จากพี่อู๋ ตัวแทนของผู้มีพระคุณทั้งสองวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ต่อไปผมจะตั้งใจเรียนเต็มที่เลยครับ



หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมเพิ่งเข้าใจว่าทำไมสมาร์ทถึงบอกว่าให้ไปเรียนที่พญาไท นอกจากตึกวรรณสรณ์จะมีทุกอย่างครบครัน มีสถาบันกวดวิชาครบทุกแขนงแล้ว ที่นี่ยังมีบรรยากาศคุกรุ่นของเด็กเรียนด้วย

ทุกเช้าผมจะเห็นเด็กที่อายุใกล้เคียงกันคาบแซนด์วิชไว้ในปาก พวกเขาจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อเข้าให้ทันชั้นเรียนและทำอะไรด้วยความเร่งรีบเสมอ สมาร์ทบอกว่าถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เราจะกระตือรือร้นตามพวกเขาไปด้วย โดยเฉพาะเวลามีการบ้าน ข้อไหนทำไม่ได้หรือทำไม่ทัน ถ้าเห็นว่าคนข้างๆคิดออก ผมจะรู้สึกกดดันทุกครั้งไป

“ถูกค่ะ ถูกค่ะ ถูกค่ะ”

ผมกดดินสอแกรกๆเมื่อได้ยินเสียงติวเตอร์พูดว่าถูกค่ะอยู่หลายหน เด็กห้องส่งนี่หัวดีกันเหลือเกิน โจทย์เคมียากขนาดนี้ทำไมถึงคิดออกในเวลาไม่ถึงนาที ทั้งๆที่ผมเองก็ตั้งใจเรียนมาตลอดแต่คิดไม่เร็วเท่าพวกเขา บางครั้งก็ทำผิด บางครั้งก็ใช้เวลานาน ส่วนใหญ่แล้วผมสู้ผู้หญิงคนข้างๆไม่ได้เลย เธอมักจะจรดมากกาไม่ถึงครึ่งนาที เสร็จแล้วก็นั่งกอดอกรอติวเตอร์เฉลย ส่วนกอริลลาก้องได้แต่หน้ามุ่ยเพราะคิดไม่ออก ผมเข้าใจเนื้อหาโดยคร่าวๆของวิชานี้นะ แต่เจอโจทย์ประยุกต์เข้าไปกลับจนมุม นึกวิธีหาคำตอบไม่ได้เลย

“ถูกค่ะ” เสียงติวเตอร์ดังขึ้นอีก ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว “ถูกค่ะ --”

สัปดาห์แรกของการเรียน นายก้องเกียรติยังทำเป็นใจสู้ ต่อให้ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ผมจะตั้งใจฟังเฉลยและคอยจดรายละเอียดเสมอ แต่พอความไม่เข้าใจสะสมไปเรื่อยๆ จบบทนี้แล้วยังไม่เคลียร์ ขึ้นบทใหม่ก็มึนๆจำผิดๆถูกๆ ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น มันเริ่มจากผมตามบทเรียนไม่ทัน ในขณะที่ผู้หญิงใส่แว่นข้างๆทำโจทย์ได้เร็วมากจนน่ากลัว เธอดูสบายๆผิดกับนายก้องเกียรติที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยคิดออกซักข้อ การบ้านก็ทำไม่ได้ เนื้อหาก็จำไม่แม่น สุดท้ายผมหลุดและปล่อยเบลอเหลือแค่กายหยาบที่เข้าเรียน ชั่วโมงติวกลายเป็นเวลาที่น่าเบื่ออันไม่มีที่สิ้นสุด ผมเบื่อ ผมเซ็ง ผมง่วง ผมสับปะหงกตอนเรียนจนถูกเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปลุกหลายรอบ ผมอายทุกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำที่ไม่ตั้งใจเรียนในห้องนี้ นอกจากจะคิดไม่ออกแล้ว ยังกล้าหลับในห้องทั้งๆที่คนอื่นตั้งใจเรียนขนาดนี้ได้ยังไง

สัปดาห์ที่สองของการเรียน ผมเริ่มอดนอนเพื่อทำการบ้านให้เสร็จ วันนึงผมเรียนสามวิชา แต่ละวิชาก็มีการบ้านให้กลับมาหัดทำทั้งนั้น วิชาที่น่ารักสำหรับผมคือคณิตศาสตร์ รองลงมาคือฟิสิกส์ ส่วนเคมีไม่น่ารักกับผมเลย ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจหรือทบทวนโจทย์แค่ไหนมันก็ไม่เข้าหัว ผมไม่เข้าใจ งง และสับสนว่าอะไรคืออะไร ผมตามเนื้อหาไม่ทันและได้แต่มานั่งงมต่อเองที่บ้านแบบงูๆปลาๆ ผมชักสงสารพี่อู๋ที่จ่ายเงินให้นายก้องเกียรติเรียนพิเศษแล้ว เขาไม่น่าส่งผมเรียนเลย ขนาดจ่ายคอร์สละหลายพัน ผมยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย

 สัปดาห์ที่สาม ผมลดเวลานอนของตัวเองจนเหลือวันละสี่ชั่วโมงเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรก ทั้งคณิต ฟิสิกส์ และเคมีเป็นวิชาที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากสำหรับเด็กหัวกลางๆระดับผม แต่ไม่ว่าจะพยายามทบทวนแค่ไหน อาการได้หน้าลืมหลังก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ บางวันผมเรียนบทนี้เข้าใจ แต่พอเลิกเรียนกลับจำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งโจทย์ที่เพิ่งทำไปเมื่อซักครู่ เดี๋ยวนี้เวลาทำโจทย์ในห้อง ผมไม่เคยคิดออกเลย จากที่คิดได้บ้างไม่ได้บ้างกลายเป็นนั่งเฉยๆ บางทีก็หลับจนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาปลุก ผมพยายามหาวิธีแก้ไขให้ตัวเองหลุดพ้นจากภาวะนี้แล้วแต่ทำยังไงก็ไม่ได้ ผมดื่มกาแฟ กินเครื่องดื่มชูกำลังจนหัวใจเต้นเร็วตุบตับ แต่สุดท้ายผมก็ยังหลับเหมือนเดิม หลับจริงจังชนิดที่พี่เจ้าหน้าที่เอ่ยปากแซวทุกวัน

“เป็นไงบ้างก้อง เรียนรู้เรื่องไหม?”

พี่อู๋ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวถามเมื่อนายก้องเกียรติเปิดประตูบ้าน ผมยิ้มแล้วโกหกว่าเข้าใจครับก่อนจะปลีกตัวไปทบทวนบทเรียนในห้องนอนใหญ่ ตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่อู๋จริงๆที่สร้างโต๊ะอ่านหนังสือให้ เพราะถ้าอ่านที่โต๊ะกินข้าว เขาต้องรู้แน่ว่านายก้องเกียรติคว้าน้ำเหลวกลับบ้านมาเกือบเดือนแล้ว

กิจวัตรประจำวันของผม หลังกลับถึงห้องจะกินข้าวอาบน้ำก่อนอ่านหนังสือในห้อง พี่อู๋นั่งข้างนอกก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ความเครียด ความผิดหวังในตัวเองมันทับถมจนทุกอย่างพังหมด ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนแล้ว พอกลับบ้านมาอ่านหนังสือก็จำไม่ได้ว่าโจทย์ข้อนี้ได้คำตอบแบบนี้เพราะอะไร ใช้วิธีไหน ทฤษฎีไหน ผมจำอะไรไม่ได้เลยเพราะหลับในเวลาเรียน ลายมือยึกยือที่จดในหนังสือก็ไก่เขี่ยจนอ่านไม่ออก สุดท้ายผมนั่งร้องไห้คนเดียวเพราะคิดโจทย์ไม่ได้ ผมร้องอยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ ร้องเสร็จ ปิดหนังสือ หนีความจริงด้วยการเข้านอนแล้วตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนใหม่ พอผ่านไปนานเข้า ความมุ่งมั่นในตอนแรกก็เหือดหายจนเหลือแต่ความกล้ำกลืนฝืนใจกลายเป็นไม่อยากเรียนหนังสือ ผมไม่อยากอ่าน ไม่อยากทำโจทย์ ไม่อยากได้ยินเสียงถูกค่ะและหน้าของผู้หญิงที่นั่งข้างๆอีกแล้ว ผมมันไม่เก่งพอที่จะอยู่ในสนามนี้ ลาก่อนเพื่อนๆ ตัดนายก้องเกียรติออกจากรายชื่อคู่แข่งได้เลย มันไม่มีวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนได้หรอก

หนึ่งเดือนผ่านไป การอดนอนส่งผลให้ผมเป็นเหมือนร่างไร้วิญญาณ

ผมยังคงตื่นเช้าไปเรียนเหมือนเดิม กินแค่แซนด์วิชเป็นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง ตกเย็นก็แออัดเบียดเสียดกับมนุษย์เงินเดือนเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน การไปเรียนพิเศษเหมือนการถูกส่งไปทรมาน ผมนอนน้อยจนเพลีย เรียนติดกันจนไม่มีเวลากินข้าวเลยซักจาน แถมสมองก็ตื้อตันไม่รับเนื้อหาใหม่ๆเข้ามาอีก ทุกวันนี้ผมเหมือนซอมบี้มากกว่านักเรียนเตรียมสอบ ผมนั่งเหม่อในคาบวิชาเคมี หลับจนโดนปลุก และปล่อยให้หน้ากระดาษขาวโพลนเพราะไม่อยากจดอะไร แม้กระทั่งจับปากกาเพื่อวาดรูปฆ่าเวลา ผมยังไม่อยากทำ

คุณอิศรินทร์ไม่รู้เรื่องนี้เลย พอกลับถึงบ้านผมจะทำเป็นร่าเริงและปลีกตัวไปอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวในห้องนอนใหญ่ พี่อู๋ไม่กล้าเข้ามากวนเพราะกลัวทำผมเสียสมาธิ เขาก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วไอ้โง่ก้องเกียรตินั่งร้องไห้ทุกวันเพราะทำโจทย์ไม่ได้ ทั้งๆที่แต่ละวันก็นอนน้อยเพราะพยายามอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมีความเครียด ผมยิ่งนอนหลับยากขึ้นกว่าเดิมอีก จากที่เคยนอนวันละห้าหกชั่วโมงก็ลดลงเรื่อยๆจนเหลือวันละสี่ชั่วโมง น้อยสุดคือสอง ผมเคยนอนวันละสองชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์โดยไม่รู้เลยว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน

วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนพิเศษ จู่ๆผมก็รู้สึกตัวเบาหวิวอยู่หลายหน ทีแรกผมคิดว่าเป็นเพราะง่วงเลยไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งหน้ามืดที่สถานีจตุจักร ครั้งแรกที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนคือตอนที่ล้มลงไปนั่งกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะลืมกินข้าวเช้าก็เลยไม่คิดมาก แต่อาการตัวเบาหวิวและใจสั่นยังคงมีมาเรื่อยๆ มันมาบ่อยขึ้นจนผมรู้สึกเหมือนไม่มีสติเวลาเดินไปไหนมาไหน

ผมไม่เคยบอกพี่อู๋ เวลามีคนเข้ามาช่วยเหลือและถามว่ามีเบอร์โทรของผู้ปกครองไหม ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ ตอนนี้พี่อู๋กำลังยุ่งกับการสัมภาษณ์งาน ผมเห็นเข้าแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าออกจากบ้านทุกวัน ลำพังแค่หางานก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้ารู้ว่านายก้องเกียรติที่แบมือขอเงินเรียนพิเศษกลับไม่ได้อะไรเลยเหมือนที่เขาคิด พี่อู๋คงเสียใจ เขาต้องผิดหวังแน่ๆถ้ารู้ว่าผมกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนแบบนี้

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ วันนี้หน้าซีดๆนะ”

พี่เจ้าหน้าที่เตรียมจะเดินเข้ามาปลุก แต่พอเห็นผมนั่งก้มหน้า แสดงออกว่าไม่สบายตัวก็เปลี่ยนเป็นถามด้วยความเป็นห่วง ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมแค่หิวข้าวเฉยๆ เลิกเรียนแล้วผมจะลงไปชั้นสองเพื่อกินข้าวเอง

“ถ้าไม่ไหวหยุดก่อนก็ได้นะคะ ค่อยมาชดเชยวันหลัง”

ผมยืนยันคำเดินว่าไม่เป็นไรครับและอดทนเรียนจนหมดเวลา หลังเลิกเรียนแทนที่จะไปกินข้าว ผมกลับรีบเข้าห้องน้ำเพื่อแอบร้องไห้เพราะเครียดและเกลียดตัวเองที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งๆที่ก่อนเรียนผมขยันและตื่นเต้นกับการเริ่มต้นใหม่ แต่พอเรียนแล้วไม่เป็นดั่งใจ ทุกอย่างที่คิดไว้ก็พังหมด มันพังถล่มไม่เป็นท่าจนความฝันของผมค่อยๆไกลห่างออกไป ขืนยังเป็นอย่างนี้อยู่คงไม่ไหวแน่ๆ ผมคงสอบเข้ามหาลัยไม่ได้เหมือนที่หวังไว้แน่ๆ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงผมควรทำยังไงดี ผมจะบอกพี่อู๋ยังไงว่าผมมันโง่ ผมมันไม่ดีเองที่เอาเงินของเขามาถลุงเล่น แต่สุดท้ายก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้

ผมเก็บความเครียดไว้กับตัวแล้วกลับบ้าน น่าแปลกที่การเดินทางมันเหนื่อยกว่าวันไหนๆ แค่เดินขึ้นบันไดก็หน้ามืดจนมองไม่เห็นทาง แล้วผมต้องเดินแบบนี้อีกหลายกิโลกว่าจะถึงบ้าน ทั้งขึ้นรถไฟฟ้า ทั้งข้ามสะพานลอย แต่ผมก็กัดฟันลากสังขารกลับถึงห้องจนได้ ทันทีที่ไขประตูเข้าไป ผมก็เห็นคุณอิศรินทร์นั่งเล่นโน้ตบุ๊กอยู่

“วันนี้กลับช้าจัง”
“รถไฟฟ้าเสียครับ”

ผมโกหกก่อนจะปลีกตัวเข้าห้องนอน แสร้งเก็บกระเป๋า เก็บหนังสือให้เข้าที่ก่อนจะออกมานั่งทานมื้อเย็นข้างนอก วันนี้พี่อู๋ซื้อราดหน้ายอดผักมาฝาก ผมฝืนกินจนหมดจานแล้วขอตัวไปอ่านหนังสือในห้องนอนใหญ่เหมือนเช่นทุกที

“เหนื่อยก็พักบ้างนะก้อง”

พี่อู๋พูด แต่ผมไม่ได้ทำตามคำแนะนำนั้น ผมยังคงฝืนถ่างตาอ่านหนังสือที่โต๊ะอีกหลายชั่วโมง พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาที่เพิ่งเรียนวันนี้และวันอื่นๆจนถึงตีสอง พอรู้ตัวว่าฝืนต่อไปไม่ไหวจึงเดินออกจากห้องไปปลุกคุณอิศรินทร์ที่นอนอยู่บนโซฟา เห็นเขานอนงอขาแล้วไม่สบายใจเลย ผมสงสารเขาที่ยอมลำบากเพื่อให้ผมคว้าน้ำเหลว

“ต่อไปพี่อู๋นอนในห้องก็ได้ ผมไม่เสียสมาธิหรอก”

ผมบอกผู้ปกครอง แต่คุณอิศรินทร์ยืนยันว่าไม่เป็นไร คืนนั้นเราเข้านอนพร้อมกันตอนตีสองครึ่ง พี่อู๋หลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ส่วนนายก้องเกียรตินอนคิดมากจนถึงตีห้า ได้หลับแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ต้องลุกขึ้น เตรียมอาบน้ำแต่งตัว ไปเผชิญโลกที่มีแต่ความทรมานเหมือนทุกวัน



ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเช่นเคยคับผม  :katai3:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
27 [PART2]


ร่างกายส่งสัญญาณเตือนเรื่อยๆแต่ผมไม่เคยคิดสนใจ

ผมยังคงไปเรียนโดยมีขนมปังหมูหยองตกถึงท้องแค่ชิ้นเดียว สายๆหน่อยก็กระดกน้ำเป็นขวดเพื่อให้ปวดฉี่จะได้หายง่วง ตกเที่ยงก็จัดมาม่าหนึ่งถ้วย จากนั้นก็วิ่งข้ามไปอีกฝั่งเพื่อเรียนเคมีต่อ ผมเคยชินกับความเร่งรีบที่ต้องทำเวลาไม่งั้นจะเข้าห้องเรียนไม่ทัน แต่วันนี้ร่างกายของผมประท้วงแล้ว มันไม่เหมือนเดิม มันไม่แข็งแรงจนทำให้แข้งขาของผมอ่อนแรง ในที่สุดระหว่างที่วิ่งเบียดเด็กอีกนับสิบเพื่อข้ามถนน ผมก็ล้มฟุบลงจนทำให้คนที่ข้างหลังสะดุดล้มไปตามๆกัน โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่โบกรถคอยดูแลรักษาความปลอดภัย ดังนั้นนายก้องเกียรติก็เลยรอดจากการถูกรถทับและได้นั่งพักบนเก้าอี้ในอาคาร

“ไหวไหม? กินน้ำก่อนนะ”

ผู้ปกครองที่อยู่บริเวณนั้นช่วยส่งน้ำส่งยาดมมาให้ ผมจิบน้ำเย็นๆและนั่งพักเพื่อให้ร่างกายกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้งแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหมือนเดิม ผมเหนื่อยและหมดแรงเกินกว่าจะขอบคุณสำหรับน้ำจิตน้ำใจจึงทำได้แค่นั่งเฉยๆ พยายามหายใจเข้าออกโดยมีคนคอยพัดให้ตลอดเวลา

“มีเบอร์แม่ไหม? เดี๋ยวป้าโทรบอกแม่ให้”

ผมตอบคุณป้าผู้ใจดีไปว่าไม่มีครับ ผมไม่มีแม่แล้ว ผมมีผู้ปกครองอยู่คนนึงแต่อย่าโทนหาเขาเลย วันนี้เขาไปสมัครงาน ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาต้องเสียงานเสียการมาหาผมที่พญาไท

“แต่น้องไม่สบาย น้องต้องบอกให้ผู้ปกครองรู้นะ”

เธอว่า คุณป้าอีกคนจึงพยักหน้ารับและคะยั้นคะยอให้ผมบอกเบอร์พี่อู๋ ในที่สุดความอ่อนเพลียหมดเรี่ยวแรงทำให้ผมส่งโทรศัพท์ให้พวกเขา ผมบอกคุณป้าว่าไม่ไหวแล้วครับ ช่วยบอกผู้ปกครองให้หน่อย เขาชื่อพี่อู๋ บอกเขาว่าผมท้องเสียจนหมดแรงก็ได้แต่อย่าบอกว่าเป็นลม

คุณป้ากดโทรศัพท์ตัวเองโทรหาพี่อู๋ ผมได้ยินแว่วๆว่าเธอขอให้เขามารับเด็กในปกครองที่อาคารวรรณสรณ์หน่อย ดูเหมือนพี่อู๋จะงงๆไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอวางสาย เธอก็บอกว่าพี่อู๋กำลังมา เขาอยู่สุขุมวิท เขาน่าจะมาถึงในครึ่งชั่วโมง

ระหว่างรอผู้ปกครองผมก็ได้จิบน้ำหวานที่มีคนใจดีซื้อให้ พวกเขาชวนผมคุยเรื่องทั่วๆไปก่อนจะคาดคะเนไปต่างๆนานาว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงเป็นลม คุณป้าคนหนึ่งเดาว่าอากาศน่าจะร้อนเกินไป ส่วนอีกคนเดาว่าน่าจะเรียนติดกันจนไม่มีเวลาทานข้าว ส่วนคุณตาที่มารอรับหลานลงความเห็นว่าผมคงเรียนหนักเกินไป การศึกษาไทยนี่ไม่ดีเลย บีบบังคับเด็กให้กดดันตัวเองขนาดนี้ไปเพื่ออะไร

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เหล่าคนใจดีที่เคยช่วยผมเหลือเพียงคนเดียว คุณป้ายังคงนั่งเป็นเพื่อนและคอยส่งน้ำหวานให้จิบเป็นระยะๆ ตอนนี้ผมอาการดีขึ้นมากแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่ตาลาย ไม่ตัวเบาหวิวเหมือนก่อนหน้า ผมคิดว่าผมไหวก็เลยขอตัวลาคุณป้าเพื่อไปเรียนเคมีต่อ แต่แกห้ามไว้ว่าอย่าไปเลย การเรียนสำคัญก็จริง แต่สุขภาพสำคัญกว่านะ ถ้าพี่อู๋รู้ว่าผมฝืนตัวเองก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากเห็นลูกป่วยหรอก

“เขาไม่ใช่พ่อผมครับ” ผมตอบเสียงอ่อน “เขาเป็นผู้ปกครองเฉยๆ”
“นั่นแหละ ผู้ปกครองก็เหมือนพ่อเหมือนแม่ เขาต้องห่วงเรามากกว่าการเรียนอยู่แล้ว”

จังหวะที่คุณป้าจะพูดต่อ ผมก็เห็นพี่อู๋วิ่งหน้าตาตื่นมาหา เขาถามคุณป้าว่าผมเป็นอะไร เธอตอบทันทีว่าเป็นลม หมดกันที่เตี๊ยมไว้ว่าท้องเสีย ทำไมป้าลืมง่ายแบบนี้

“เป็นลมตอนข้ามถนน โชคดีนะมียามคอยโบกรถเลยไม่เป็นไร”

พอรู้ว่านายก้องเกียรติเป็นลม พี่อู๋ก็เก็บสีหน้าเก็บอาการไม่อยู่เลย เขาดูกระวนกระวายมากเมื่อรู้ว่าผมเป็นลมกลางถนน ก่อนจะพาผมกลับ เขาขอบคุณคุณป้าผู้ใจดีอีกหลายหน พี่อู๋ควักเงินจ่ายค่าน้ำหวานคืนให้แกด้วย แต่คุณป้าไม่รับ แกบอกว่าให้พาผมไปพักดีกว่า ขนาดเป็นลม ยังคิดจะกลับไปเรียนอีก

“กลับบ้านเถอะก้อง ไม่ต้องเรียนแล้ว”

น้ำเสียงของคุณอิศรินทร์เด็ดขาด เขาประคองผมให้เดินด้วยกันไปถึงลาดจอดรถก่อนจะเปิดประตูให้ ผมที่คิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วกลับขาสั่นอีกครั้ง พี่อู๋คงสังเกตเห็นอาการนี้เหมือนกันถึงได้เปลี่ยนปลายทางจากลาดพร้าวเป็นโรงพยาบาล

“แต่ผมดีขึ้นแล้ว”

ผมพยายามอธิบาย ซึ่งพี่อู๋ไม่ฟัง เขาไม่แสดงออกว่าโกรธที่นายก้องเกียรติขาดเรียนแต่ดูร้อนใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“พี่ไปสัมภาษณ์งานต่อเถอะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“ก้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ” ผมตอบ “พี่ถามทำไม?”
“มีอะไรก็บอกพี่สิก้อง ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว ก้องไม่ไว้ใจพี่เหรอ?”

ประโยคนั้นของเขาทำเอานายก้องเกียรติบ่อน้ำตาแตก ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆเพราะเสียใจที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนที่คิดไว้ ผมเรียนไม่รู้เรื่อง ผมป่วย ผมไม่สบาย แถมยังทำให้พี่อู๋ต้องผิดนัดสัมภาษณ์เพื่อมาหาถึงพญาไทอีก ผมได้แต่ร้องเงียบๆไม่บอกผู้ปกครองเพราะช้ำใจ ร้องอยู่อย่างนั้นจนถึงโรงพยาบาล ร้องจนปวดหัว แม้แต่ตอนโดนเจาะน้ำเกลือ ผมยังนอนน้ำตาไหลไม่บอกความจริงให้พี่อู๋รู้ คุณอิศรินทร์ก็อดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ แทนที่จะโมโหผมซักนิดกลับไม่ว่าอะไรเลย เขาพามาส่งถึงโรงพยาบาล รอจนให้น้ำเกลือเสร็จและรับยากลับบ้าน จากนั้นก็แวะกินเอ็มเค น้ำซุปร้อนๆทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก พอมีอาหารตกถึงท้อง เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมา ผมหยุดร้องไห้แล้วขอโทษพี่อู๋สำหรับความวุ่นวายในวันนี้อีกครั้ง

“ขอโทษทำไม คนมันไม่สบาย” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เรียนเป็นไงบ้าง? เหนื่อยไหม?”

แค่คำว่าเหนื่อยไหมของเขากลับทำให้นายก้องเกียรติน้ำตาแตกอีกหน ผมพยักหน้ายอมรับตรงๆว่าเหนื่อยครับ เหนื่อยมากเลย มันเหนื่อยจริงๆ พี่รู้ไหมว่าผมเรียนสู้ใครไม่ได้เลย ที่นี่มีแต่เด็กเก่ง ผมไม่เก่งเท่าพวกเขา ต่อให้พยายามขนาดไหนก็สู้ผู้หญิงที่นั่งเรียนข้างๆไม่ได้ ผมรู้สึกแย่มากที่เงินของพี่สูญเปล่า ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีเลยครับ

“เรียนไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ พี่เองก็เรียนไม่รู้เรื่องออกจะบ่อย ไม่เห็นเดือดร้อน”

พี่อู๋ไม่โกรธเลย เขาไม่ตำหนิผมซักคำ

“อาทิตย์นี้นอนพักก่อนดีกว่านะ ค่อยเริ่มใหม่อาทิตย์หน้า”
“แต่ถ้าขาดเรียนจะเรียนต่อไม่รู้เรื่องนะครับ”
“เรียนต่อไม่รู้เรื่อง ยังดีกว่าฝืนตัวเองไปเรียนหรือเปล่า? นี่ยังดีนะที่รถไม่ชน ถ้าคราวหน้าเป็นลมตอนขึ้นบันไดล่ะ? ถ้าหัวทิ่มตกรางรถไฟล่ะ? ตอนนั้นก้องจะเสียใจไหมที่ไม่นอนพักให้ตัวเองหายดี?”

คุณอิศรินทร์ตั้งคำถาม แต่นายก้องเกียรติกลับไม่รักตัวกลัวตายเลย ใจของผมมีแต่หมกมุ่นกับการเรียนพิเศษ ผมคิดแค่ว่าต้องเรียนให้ครบ อย่าขาด อย่าหาย ต่อให้จะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมใส่หัว อย่างน้อยๆถ้าจดลงหนังสือก็ยังเอากลับมาอ่านที่บ้านได้

“ถ้ามันเหนื่อย มันเครียดมาก ก้องจะหยุดเรียนก่อนก็ได้”
“พี่จ่ายเงินตั้งหลายหมื่น ผมจะยอมแพ้ตอนนี้ได้ยังไง”
“ช่างมันสิ เสียเงินดีกว่าเสียก้องไปไม่ใช่เหรอ?”

ผมเงียบ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“ก้อง พักก่อนเถอะนะ พี่ไม่อยากเห็นก้องเป็นลมอีก”
“ผมบอกพี่แล้วไงครับว่าที่เป็นลมเพราะลืมกินข้าว ผมแค่ลืมกินข้าว!”

ผมขึ้นเสียงด้วยความโมโห พี่อู๋จะรู้ไหมว่าผมไม่ดีใจเลยที่เขาเป็นห่วงจนอยากให้หยุดเรียนพิเศษซักพัก ยิ่งหยุดผมยิ่งเครียดเพราะกลัวตามเพื่อนไม่ทัน เขาไม่รู้หรอกว่าเด็กรุ่นเดียวกันกับผมอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้ว ถ้ามัวแต่นอนเหยาะแหยะอยู่บ้าน เมื่อไหร่จะยืนด้วยขาของตัวเองได้เสียที

“พี่เลี้ยงก้องมาผิดจริงๆ”

พี่อู๋พูดแค่นั้นและไม่ชวนนายก้องเกียรติทะเลาะอีก เขาก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็นจนหมดก่อนจะจ่ายเงินแล้วขับรถพาผมกลับลาดพร้าว คืนนั้นเราต่างแยกย้ายกันหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเอง พี่อู๋ทำงานที่โต๊ะกินข้าว ส่วนนายก้องเกียรติหนีไปร้องไห้คนเดียวในห้องเพราะเสียใจที่ผู้ปกครองพูดประโยคนั้นออกมา




TBC

___________________________





#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้





สวัสดีวันเสาร์ค่ะ :3

ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆจากทุกคนเช่นเคยนะคะ  :pig4:

พรุ่งนี้ใครมีสอบก็สู้ๆน้า ขอให้สอบผ่านสมใจกันทู้กคนเลยค่ะ 
:z13:

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เดาว่าก้องหมกมุ่นกับการเรียนมากเกินไปจนลืมกินยาหรือเปล่า ก็เลยเกิดภาวะเครียดแบบนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะก้อง

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
บรรยากาศชมพูวิ้งๆไปไหนแล้ว นี่มืดทะมึนมาอีกแล้วกลับไปหาหมอเหอะก้อง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด