26 [PART2/2]
คีรีวงสวยมาก
ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันสวยและน่าอยู่ก็เมื่อตอนเล่นน้ำเสร็จ ขากลับเราใช้เสื้อกันฝนปูรองเบาะแล้วนั่งรถกลับรีสอร์ต ตลอดทางผมถามพี่อู๋ไม่หยุดว่าจะให้ยืมเงินจริงๆเหรอ ให้จริงใช่ไหม ให้เท่าไหร่ ให้ผมเรียนพิเศษด้วยได้ไหม ถามอยู่นั่นแหละ ถามจนเขารำคาญถึงขนาดบอกว่าถ้าถามอีกจะไม่ให้ยืม นายก้องเกียรติถึงได้แต่นั่งยิ้มแก้มแตกจนถึงห้องพัก แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งเช็ดผมหน้าทีวี
ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุกไปหมด ทั้งรายการชิงร้อยชิงล้านเทปย้อนหลัง ทั้งบทสนทนาของเราสองคนที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนช่างคุยตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมคุยกับผู้ปกครองไม่หยุดปาก จบเรื่องนั้นต่อด้วยเรื่องนี้ ออกไปที่อีกเรื่อง แล้วก็วกกลับมาเรื่องที่ทำให้นายก้องเกียรติมีความสุขมากที่สุด ผมเอาแต่ถามเขาว่าทำไงดี ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากเลย ผมดีใจมากเลย ผมมีความสุขมากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเหมือนจะตายเพราะตื่นเต้นเกินไป แค่คิดว่าจะมีมหาลัยเรียน จะได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมก็มือไม้สั่น มีความสุขออกนอกหน้าจนพี่อู๋หมั่นไส้
“ให้เงินเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อย่าโดดเหมือนไอ้สไปก์”
ผมให้รับปากและให้สัญญาว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่พี่อู๋ให้ยืม ผมจะใช้อย่างรู้คุณค่าและไม่ทำให้เขาผิดหวังเด็ดขาด คุณอิศรินทร์บอกว่าเขาเองไม่ได้คาดหวังอะไรจากผมหรอก แค่ก้องตั้งใจเรียน ไม่แอบเอาเงินที่พี่ให้ไปใช้ในทางไม่ดีก็พอแล้ว
“คิดหรือยังว่าอยากเรียนอะไร?”
“ไม่รู้ครับ”
“ปรึกษาสมาร์ทสิ”
พี่อู๋แนะนำและส่งโทรศัพท์ให้ ผมได้มีโอกาสคุยกับสมาร์ทอีกครั้งหลังไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์ ตอนนี้สมาร์ทกลับไปอยู่หอที่ลาดกระบังแล้ว เขาถามผมว่าอยากเรียนคณะอะไร ผมตอบว่ายังไม่รู้ ผมไม่รู้เลยว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน
คำแนะนำแรกของสมาร์ทคือเรียนคณิตศาสตร์เพราะส่วนใหญ่ต้องใช้ PAT1 ในการยื่น เว้นแต่ว่าผมจะอยากเรียนสายภาษาแบบพี่อู๋ ถ้าเลือกทางเหมือนผู้ปกครอง ผมไม่จำเป็นต้องใช้ PAT1 ก็ได้ ใช้ PAT7 ยื่นก็โอเคเหมือนกัน
“ไปถามตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แล้วค่อยคิดเรื่องคอร์สติว” สมาร์ทแนะนำ “อย่าลืมยื่นคำรองขอสอบโอเน็ตด้วย”
“อื้อ ไม่ลืมแน่นอน”
“ทำยังไงโกอู๋ถึงให้ยืมเงิน?”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อกี๊เล่นน้ำตกกันสองคน จู่ๆพี่อู๋ก็บอกว่าให้ยืม”
“อ้าว ทำไมเล่นน้ำตก? โกอู๋ไม่กลับมาทำงานเหรอ?”
“อ๋อ – เดี๋ยวก็กลับแล้ว พี่อู๋ลาพักร้อนอ่ะ”
ผมเลิ่กลั่กพลางเหลือบมองผู้ปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ คุณอิศรินทร์ทำหน้าเซ็งก่อนจะโบกมือปัดเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องใส่ใจ เดี๋ยวมันก็ลืม
“เราต้องวางแล้วสมาร์ท พี่อู๋จะพาไปกินข้าว”
“เค มีอะไรสงสัยค่อยโทรมาละกัน”
ผมขอบคุณสมาร์ทและส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ปกครอง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงเย็นสิบสามนาที คุณอิศรินทร์พากอริลลาก้องไปทานร้านอาหารแพงๆที่อยู่บนเนินเขา ทางขึ้นสูงและชันมากจนผมกลัวรถจะไหลตกถนนแต่พี่อู๋ก็พาเรามาถึงร้านอย่างปลอดภัย เย็นวันนั้นผมได้กินใบเหลียงผัดไข่ครั้งแรก และติดใจมากจนต้องขอเบิ้ลสองจาน
“กินเยอะๆ กินให้อร่อย” พี่อู๋ตักใบเหลียงให้นายก้องเกียรติ “อยู่บ้านย่ากินน้อยจนแก้มตอบ คราวนี้ก็กินให้อิ่มเลยนะ”
ตลอดเวลาที่อยู่บ้านคุณย่า ผมคงแสดงออกได้แย่มากแน่ๆไม่งั้นพี่อู๋คงไม่คะยั้นคะยอให้กินข้าว ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้ผู้ปกครองคิดว่าการอยู่ที่นี่กับเขาไม่มีความสุข ดังนั้นผมเลยบอกพี่อู๋ว่าขอโทษที่แสดงสีหน้าไม่ดี ผมไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ที่นี่ ผมแค่เบื่องานช่าง
“พี่รู้น่า” เขาตอบปัดๆเพื่อให้นายก้องเกียรติสบายใจ “เพราะพี่เองก็เบื่อเหมือนกัน”
“อ้าว แล้วพี่จะฝืนทำทำไมล่ะครับ?”
“มันไม่มีที่ให้ไป ถ้าจะอยู่บ้านย่าก็ต้องช่วยกันทำงานนั่นแหละ แต่พออยู่ไปนานๆพี่คิดถึงกรุงเทพว่ะ”
“ผมก็คิดถึงคอนโดที่ลาดพร้าว”
“งั้นพรุ่งนี้เรากลับกรุงเทพกันเนอะ”
“ง่ายขนาดนั้นเลย?”
ผมมุ่ยหน้าเมื่อนึกถึงวันเกิดเมื่อปลายปี ตอนนั้นเขาดูจริงจังกับการย้ายมาอยู่ที่นี่มากๆ แต่ผ่านไปแค่สองเดือน คุณอิศรินทร์ก็บ่นว่าเบื่อและอยากกลับลาดพร้าวเสียอย่างนั้น
“พี่อยากกลับเพราะก้องต้องทำเรื่องเรียนต่อด้วยไง พวกเอกสาร ใบรับรองวุฒิ ใบมรณบัตรของแม่ก็คงไหม้ไปกับบ้านแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“เดี๋ยวกลับไปเคลียร์เอกสารกันนะ เพื่อนพี่บอกว่าถ้าบ้านไฟไหม้แต่ไม่ได้มีประกัน ทำเรื่องขอเงินช่วยเหลือจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ ก้องถ่ายรูปบ้านเก็บไว้บ้างไหม?”
“ไม่ได้ถ่ายเลยครับ ตอนนั้นผมเคว้งจนไม่รู้จะทำยังไง”
ผมถอนหายใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพี่ลีเคยถ่าย เช้าหลังกลับเข้าไปดูซาก พี่ลีกับแฟนถ่ายรูปบ้านของตัวเองและคนในชุมชนเก็บไว้ ผมว่าในวันนั้นต้องมีบ้านของผมซักรูปสองรูปแน่ๆ
“รู้ไหมว่าร้านขายขนมพี่ลีอยู่ไหน?”
“รู้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปหาพี่ลีกันนะ”
“รัฐจะจ่ายค่าชดเชยให้จริงๆเหรอครับ?”
“จ่ายสิ แต่คงไม่กี่หมื่น” พี่อู๋ขมวดคิ้วไม่แน่ใจ
“งั้นผมไม่ยืมเงินของพี่อู๋ดีกว่า ผมใช้เงินชดเชยก้อนนี้ก็ได้”
“กว่าจะเดินเรื่อง กว่าจะเตรียมเอกสารไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เงินพี่ไปก่อนเถอะ เรียนจบแล้วค่อยคืน”
“พี่ไม่กลัวผมเบี้ยวเหรอ?”
“ก้องไม่กล้าหรอก” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ “หรือถ้ากล้าก็ลองดู”
ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่เบี้ยวแน่นอนครับและก้มหน้าก้มตากวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จเราแวะร้านขายของชำเพื่อซื้อโค้กคนละถุงก่อนกลับห้อง คืนนั้นผมกับพี่อู๋นั่งดื่มน้ำอัดลมและพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตเกือบทั้งคืน ผมจดแผนชีวิตตัวเองลงบนกระดาษแจกฟรีของรีสอร์ตเป็นข้อๆ อย่างแรกคือกลับไปเคลียร์เอกสาร ทั้งโฉนดที่ดิน ทั้งสำเนาทะเบียนบ้าน ทั้งใบมรณบัตรของแม่ ทั้งสูติบัตรและใบรับรองวุฒิการศึกษาต่างๆของผม หลังจากนั้นก็ยื่นเรื่องขอเงินชดเชยค่าบ้าน ระหว่างรอดำเนินการ ผมจะเริ่มหาที่เรียนกวดวิชา อาจจะต้องรีบหน่อยเพราะคอร์สซัมเมอร์ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ขืนช้าเดี๋ยวจัดตารางไม่ลง เวลาเรียนจะชนกันจนทำให้อดเรียนคอร์สสำคัญก็ได้
“เด็กสมัยนี้เรียนหนักเนอะ” พี่อู๋พูดระหว่างที่เรานอนดูตารางคอร์สเรียนพิเศษของสถาบันต่างๆ “สอบก็เยอะ จุกจิก”
“สมัยพี่มีโอเน็ตไหมครับ?”
“ไม่มีอ่ะ มีแต่โอน้อยออก”
“พี่อู๋รุ่นเอนทรานซ์เหรอ?” เมื่อเขาพยักหน้า ผมก็รีบแซวต่อทันที “รู้เลยนะครับว่าแก่”
“แหม คุณก้องเกียรติผู้ยังหนุ่มยังแน่น คุณรู้หรือยังล่ะครับว่าระบบ Admission รุ่นคุณต้องสอบอะไรบ้าง?”
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ Admission แล้วครับ เปลี่ยนเป็น TCAS แล้ว”
พี่อู๋เหวอแดกเลย
“พี่แก่แล้วนะครับ” ผมพูดซ้ำอีกรอบ “เรามันคนละเจเนอเรชึ่นจริงๆ”
คุณอิศรินทร์แจกมะเหงกให้กอริลลาก้องหนึ่งโป๊กแล้วกลับมาช่วยกันดูคอร์สติวต่อ พอเห็นราคาแล้วผมแอบร้อนๆหนาวๆ ต่อให้ได้เงินช่วยค่าไฟไหม้จากรัฐก็คงไม่มากพอจะลงเรียนทุกวิชา ผมเผลอถอนหายใจเฮือกออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าพี่อู๋จะให้ผมยืมเงินจริงหรือเปล่า ตอนนี้ตัวเขาเองก็ตกงาน แถมค่าเรียนกวดวิชาก็แพงแสนแพง ยังไม่รวมค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะที่ต้องใช้ในแต่ละวันอีก คิดๆดูแล้ว – ผมไม่ควรรบกวนเขาเลย
“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ผมไม่อยากยืมเงินพี่แล้วอ่ะ”
ผมบอก คุณอิศรินทร์ถามว่าทำไม ผมจึงอธิบายเพิ่มว่าค่าเรียนพิเศษมันแพงเกินไป มันแพงมาก อย่างต่ำก็ห้าพันแล้ว ผมคิดว่าผมควรเรียนแค่วิชาเดียว อย่างน้อยพี่อู๋จะได้ไม่ต้องลำบาก แถมตอนนี้พี่ – ไม่มีรายรับด้วย ผมกลัวเขาเดือดร้อนเพราะเด็กเร่ร่อนอย่างนายก้องเกียรติ
“เรียนไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่พี่ไม่ใช่ – ญาติผม เราไม่ได้เป็นครอบครัวกัน” ผมอ้อมแอ้ม และแน่นอน พี่อู๋มองผมตาเขียวทันทีที่พูดประโยคทำนองนี้ออกมาอีกครั้ง “พี่เองก็กำลังลำบาก --”
“เดี๋ยวพี่ก็หางานทำแล้ว”
“พี่พูดจริงเหรอครับ?” ผมถาม คุณอิศรินทร์ให้คำตอบเป็นการพยักหน้า “ที่พี่ต้องหางานทำนี่เป็นเพราะผมหรือเปล่า? ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าหรอก มันถึงเวลาแล้ว”
“ยังไง?”
พี่อู๋ไม่ตอบ เขายีหัวนายก้องเกียรติจนเสียทรงก่อนจะปิดไฟเตรียมเข้านอน เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปปั่นจักรยานแต่เช้า เราจะปั่นขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนเขาเพื่อสูดความสดชื่นให้เต็มปอดก่อนจะต้องกลับไปดมควันรถเมล์ที่กรุงเทพภายในอาทิตย์นี้
☁
ผมตื่นหกโมงเช้าเพราะพี่อู๋ปลุก เขาเขย่าตัวกอริลลาก้องแรงมากจนนึกว่าแผ่นดินไหว คุณอิศรินทร์ต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะลากผมออกจากที่นอนได้ เราลุกไปล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันหน้ากระจกก่อนจะเข็นจักรยานของรีสอร์ตไปกันคนละคัน
เช้าวันนี้หนาวน้ำค้างกว่าเช้าไหนๆ ผมต้องลูบแขนตัวเองเพราะอากาศเย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ยี่สิบเอ็ดองศา พี่อู๋ดูท่าทางร่าเริงกว่าที่เคย เขาปั่นจักรยานนำผมขึ้นไปบนเขา เลียบถนนข้างลำธารย้อนกลับไปจุดที่เล่นน้ำตกด้วยกันเมื่อวาน บรรยากาศข้างทางสดชื่นและสบายตามาก มีแต่ต้นไม้กับเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่ดังเป็นเพื่อนเราสองคน ระยะทางที่ปั่นขึ้นไปค่อนข้างไกลจนเราหอบ ผมบอกพี่อู๋ว่าพอเถอะ สูดแค่ตรงนี้ก็น่าจะเต็มอิ่ม อย่าปั่นไปถึงข้างบนเลย เดี๋ยวจะมีคนเหนื่อยตายก่อน
“เอาน่า ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวหน่อยสิ เห็นไหมใครๆก็ปั่นกัน”
เขาบุ้ยปากไปทางนักท่องเที่ยวที่ปั่นสวนทางลงจากเขา พวกเธอเป็นกลุ่มสมาคมคุณป้าแม่บ้านที่ดูภายนอกแล้วน่าจะควบตำแหน่งนักเต้นหน้าเวทีแอโรบิคด้วยแน่ๆ ผมบ่นอุบอิบเพราะเหนื่อยที่ต้องออกแรงปั่นจักรยานต้านแรงโน้มถ่วง แต่สุดท้ายเราก็ขึ้นมาถึงข้างบนจนได้
มื้อเช้าของวันนี้คือข้าวเหนียวไก่ทอดกับโอวัลตินเย็น เรานั่งทานบนโขดหินริมน้ำตกด้วยกันจนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง ผมแกว่งขาในน้ำ ปล่อยให้ความเย็นช่วยคลายความเมื่อยล้าจากการออกแรงเข็นจักรยาน ระหว่างกินข้าวเหนียว ผมกับพี่อู๋ก็พูดคุยถึงอนาคตด้วยกัน ในอนาคตของผมยังคงมีพี่อู๋อยู่ ผมตั้งใจว่าจะสอบเข้ามหาลัยให้ได้และทำงานเก็บเงินมาใช้หนี้เขาให้หมด ส่วนพี่อู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกแค่ว่าจะหางานและดูแลผมไปด้วย
“เพราะพี่เป็นผู้ปกครองของก้อง” เขากัดน่องไก่คำโต เคี้ยวหยับๆเสียงดังไม่อายใคร
“พี่จะหางานที่ไหนครับ?”
“เยอะแยะ เขี่ยๆเอาก็เจอแล้ว”
“งานนะครับ ไม่ใช่หอยเสียบที่ใช้เท้าเขี่ยๆตามหาดก็เจอ”
ผมหัวเราะพลางนึกถึงโหลหอยเสียบดองน้ำปลาของย่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก อยากกินหอยดองกับข้าวสวยร้อนๆซักถ้วยจัง
“ก้องไม่ต้องเครียดเรื่องพี่หรอก ห่วงตัวเองดีกว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งปีจะเป็นปีที่เครียดมากๆ ก้องคิดว่าก้องรับมือไหวไหม?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“ไม่ไหวบอกไหว”
“พี่จะเล่นต่อเพลงกับผมเหรอครับ?”
ผมยิ้มขำ เรากินข้าวเหนียวไก่ทอดและโอวัลตินจนหมดก่อนจะช่วยกันเก็บขยะที่อยู่ริมทางไปทิ้ง นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงสิบเอ็ดนาที พี่อู๋ที่ปั่นจักรยานนำหน้าผมหันมาบอกว่าแข่งกันไหม ใครถึงรีสอร์ตก่อนชนะ
“รางวัลคืออะไรครับ?”
“คนแพ้ต้องเก็บกระเป๋า”
ผมตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดเพราะงานเก็บกระเป๋าเป็นงานที่วุ่นวายและหลงลืมบ่อยมาก ผมเคยลืมแปรงสีฟันตั้งสองครั้ง พี่อู๋ลืมกางเกงใน ลืมสายชาร์ตโทรศัพท์ ลืมของชิ้นเล็กๆอย่างมีดโกนหนวดด้วย ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าเวลาจัดกระเป๋าควรมีคนทำแค่คนเดียว ไม่งั้นก็จะลืมแบบนี้ตลอดเพราะคิดว่าอีกคนหยิบมาแล้ว
พอรับคำท้า ผมก็ออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ การปั่นจักรยานลงเขานั้นง่ายกว่าปั่นขึ้นหลายเท่า เราแทบไม่ต้องออกแรงเลย ก็แค่ปล่อยให้รถไหลไปตามความชันของถนน ผมกับพี่อู๋ผลัดกันแซงอยู่หลายหน เราหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสนุกสนานเพราะผลการแข่งขันที่สูสี จนกระทั่งผมออกแรงปั่นให้เร็วขึ้นเพราะความอยากเอาชนะ ในที่สุดจักรยานสีน้ำเงินของนายก้องเกียรติก็วิ่งนำหน้าผู้ปกครอง ผมหันไปเยาะเย้ยคุณอิศรินทร์โดยไม่ทันมองทางข้างหน้า หลังจากนั้นก็โครม! ผมปลิวขึ้นไปบนอากาศก่อนจะกลิ้งบนถนน พี่อู๋ตะโกนเสียงดังว่าก้อง! ก่อนจะกระโดดทิ้งจักรยานแล้วรีบวิ่งมาหา ตอนแรกมันหนึบๆชาๆบอกไม่ถูก พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ ผมเจ็บจนร้องโอ๊ยเพราะทั้งแขนขา ทั้งคางมีเลือดออกเต็มไปหมด
“ทำไมขับไม่ระวังเลยก้อง! ทำไมไม่ดูทาง!”
พี่อู๋ดุเหมือนเด็กในปกครองทำความผิดร้ายแรง ผมได้แต่นั่งจ๋อย น้ำตาซึมเพราะรู้สึกผิด เสียงโหวกเหวกโวยวายของเขาทำให้ชาวบ้านที่ขายของริมทางต้องเดินออกมาดู คุณป้าคนหนึ่งช่วยเข็นจักรยานของเรามาไว้ข้างทางและชวนให้นั่งบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนก่อนจะเอาน้ำเกลือล้างแผลขวดใหญ่มาให้
“ขอบคุณครับ”
พี่อู๋พูดขอบคุณแล้วบีบน้ำเกลือราดแผลผมทันที นายก้องเกียรติร้องโอ๊ยจะเป็นจะตายเพราะเจ็บแผล คราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาซึมแล้ว แต่เป็นน้ำตาทั้งมหาสมุทรเลย ผมร้องไห้จนหน้าเปียกไปหมด พี่อู๋ดุผมจนคุณป้าต้องบอกให้พอก่อน เด็กมันล้มไปแล้ว จะดุให้เสียใจอีกทำไม ไปกันใหญ่พอดี
“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย”
พี่อู๋ทิ้งท้าย เขาขมวดคิ้วมองนายก้องเกียรติอย่างตำหนิ ผมได้แต่นั่งสูดน้ำมูกกระซิกๆไม่มีข้อแก้ตัว หลังล้างแผลเบื้องต้นเรียบร้อยพี่อู๋ก็บอกว่าต้องพาไปโรงพยาบาล คางแตกแบบนี้โดนแน่
“ผมไม่อยากโดนเย็บ”
“ไปต่อรองกับหมอเองสิ”
พี่อู๋หงุดหงิดเย็นชา เขาฝากผมไว้หน้าบ้านคุณป้าผู้ใจดีก่อนจะหายไปเอารถที่รีสอร์ต คุณป้าที่เห็นผมร้องไม่หยุดก็ได้แต่บอกว่าพี่คงเป็นห่วง ถ้าไม่เป็นห่วงเขาไม่คงไม่ทิ้งจักรยานแล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาหาหรอก
นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงยี่สิบนาที วีออสสีดำมาจอดตรงหน้าโดยมีพี่อู๋ที่ยังคงหงุดหงิดเดินมารับนายก้องเกียรติขึ้นรถ เขาตั้งใจจะจ่ายเงินค่าน้ำเกลือให้คุณป้าด้วย แต่เธอไม่รับ เธอบอกว่าให้รีบพาผมไปหาหมอดีกว่า ดังนั้นทริปคีรีวงส่งท้ายประเทศคอนจึงจบลงด้วยน้ำตาของนายก้องเกียรติและคำบ่นของคุณอิศรินทร์ที่คงไม่เงียบง่ายๆในสองสามนาทีนี้แน่ๆ
☁
ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาล พี่อู๋ยังบ่นไม่หยุด เขาบ่นๆๆเหมือนหมีกินผึ้งที่เอาแต่ตำหนิผมเพราะไม่ระวังตัว ถึงปากจะบ่นและหน้าจะงอแค่ไหน สุดท้ายเขาก็พาผมไปส่งโรงพยาบาล แถมยังอยู่เป็นเพื่อนตอนหมอฉีดยาชาและเย็บแผลด้วย พี่อู๋เหมือนแม่ไม่มีผิด
“หายซ่าหรือยัง?”
เขากอดอกมองกอริลลาก้องที่มีผ้าก็อซแปะคาง ตรงแขนขามีผ้าพันไว้เหมือนมัมมี่ นี่ขนาดแค่ล้มจักรยานเองนะเนี่ย สุดยอดไปเลย
“ทำไมพี่ต้องโมโหด้วย ก็แค่ล้มจักรยาน --”
“แค่ล้ม?” พี่อู๋โมโหจนแสดงออกทางสีหน้า “ขนาดแค่ล้มยังโดนตั้งสองเข็ม ถ้าเป็นมากกว่านี้จะว่ายังไง?”
“พี่จะโวยวายทำไม คนเจ็บตัวมันผมต่างหาก พี่ไม่ได้เจ็บซักหน่อยอ่ะ”
“ใครว่าพี่ไม่เจ็บ”
พี่อู๋โยกหัวนายก้องเกียรติอีกหนึ่งทีก่อนจะลุกไปรับยาให้ พอเห็นเขาเป็นห่วงขนาดนี้มันอดรู้สึกดีไม่ได้จริงๆ เมื่อกี๊พี่อู๋เหมือนแม่เลย แววตาของเขาดูกังวลและกลัวมากเหมือนสมัยที่ผมตกบันไดในบ้านตอนเรียนประถม แววตาของเขาไม่ต่างจากแววตาของแม่ในวันนั้น แถมพอผมเจ็บตัว พี่อู๋ก็เอาแต่บ่นๆๆเหมือนแม่ บ่นแต่ก็พาไปหาหมอ บ่นแต่ก็ดูแลอย่างดี บ่นแต่ก็ยังคงแสดงออกว่ารักและเป็นห่วง อ่า— ตอนนี้ผมรู้สึกดีจัง การมีใครซักคนแสดงออกว่าเราสำคัญเป็นเรื่องที่ดีมากเลย
“เสร็จแล้วเราจะไปไหนกันครับ?”
“กลับบ้านย่า” พี่อู๋ตอบขณะเปิดประตูและช่วยประคองมัมมี่ก้องขึ้นรถ “ตอนนี้มีข้ออ้างที่ฟังขึ้นแล้ว”
“ข้ออ้างอะไรครับ?”
ผมถามก่อนจะมองสภาพตัวเอง อ๋อ แผลขนาดนี้ ถ้าโดนใช้ให้ไปฉาบผนังอีก ผมจะฉาบอาเจี๊ยบก่อนเลย
“อยากกินอะไรก่อนถึงบ้านย่าไหม?”
“อะไรก็ได้ครับ”
ผมบอกและไม่พูดอะไรอีก ตลอดทางผมเอาแต่คิดถึงสีหน้าท่าทางของผู้ปกครองเมื่อเช้า ผมดีใจที่พี่อู๋เป็นห่วงผมมาก ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เรามาพบกันแต่ผมรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆที่ไม่ทิ้งนายก้องเกียรติตั้งแต่วันที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าไม่มีพี่อู๋ คงไม่มีผมในวันนี้ และผมคงเป็นนายก้องเกียรติที่มีความสุขไม่ได้ถ้าคุณอิศรินทร์ไม่ดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นคนในครอบครัว
“พี่อู๋ครับ”
“ว่า?”
“ไม่มีอะไรครับ”
ผมเปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่ากอริลลากลายร่างเป็นแมวเพราะอยากเอาใจที่ได้ยืมเงิน
“เรียกแล้วไม่พูด โดนเสยคางแตกนะ”
“มันแตกอยู่แล้ว พี่ยังจะทำให้มันเยินกว่านี้อีกเหรอ?” คุณอิศรินทร์หัวเราะขำ เขาถามซ้ำอีกครั้งว่าเรียกทำไม ผมจึงต้องโกหกเพราะเขิน ไม่กล้าขอบคุณเขาตอนนี้ “ผมอยากกินชาเขียวอ่ะ”
“บอกช้าไปละ พี่ขับเลยปั๊มมาแล้วเนี่ย”
พี่อู๋บ่นอีกแต่สุดท้ายก็กลับรถพาผมไปซื้ออเมซอนจนได้ เป็นไงล่ะผู้ปกครองของผม หล่อ ลาดพร้าว ใจดี มีวีออสขับ แถมยังน่ารักที่หนึ่ง ตอนนี้นายก้องเกียรติอาจจะตอบแทนผู้มีประคุณเป็นเงินหรือสิ่งของไม่ได้ แต่ในอนาคตผมจะชดใช้ให้แน่ๆ ผมสัญญาเลยว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นเด็กดีของคุณอิศรินทร์ ผมจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ผมจะขยัน ผมจะตั้งใจเรียน และไม่ทำให้พี่อู๋หนักใจเด็ดขาด
แต่อย่างแรกเลย พี่ต้องหยุดบ่นก่อนนะ
ถ้าพี่ไม่หยุด – ผมจะอาละวาดจริงๆด้วย
TBC
___________________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
สวัสดีวันศุกร์ค่ะ
หลังจากนี้หนูจะค่อนข้างยุ่งมากๆเลย เจอกันอีกทีหลังวันที่ 7 กรกฎานะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันเสมอน้า